แตะหัวถึงเท้า ให้นักเรียนยืนข้ึน ครูบอกให้เหยียดแขน ยื่นมือไปแตะศีรษะ หัวแม่เท้า เข่า ไหล่ แลว้ ไลก่ ลบั ถา้ เปน็ นกั เรยี นประถม ใชส้ ตู รงา่ ยๆ เชน่ แตะศรี ษะกบั หวั แมเ่ ทา้ ถ้าเป็นเด็กมัธยมใช้สูตรท่ียากขึ้น (ศีรษะ หัวแม่เท้า เข่า และไหล่) มีผลงานวิจัย บอกว่า ช่วยเพ่ิมความเอาใจใส่ ความจ�ำใช้งาน และการควบคุมตนเอง น�ำไปสู่ ผลการเรียนทด่ี ีข้ึนด้านภาษาและคณิตศาสตร์ เสยี งกลอง ใหน้ กั เรยี นเคลอ่ื นไหวรา่ งกายตามขอ้ ตกลง โดยใชเ้ สยี งกลองเปน็ สญั ญาณ เชน่ ใหเ้ ตน้ จงั หวะชา้ เรว็ ตามจงั หวะเสยี งกลอง และหยดุ นงิ่ เมอ่ื ไมม่ เี สยี งกลอง หรอื ตกลง ตรงกันข้าม ให้เตน้ จังหวะเร็วเมื่อกลองชา้ และเต้นจังหวะชา้ เม่ือกลองเร็ว วาทยกร ให้นักเรียนทุกคนเป็นนักดนตรี (จริงหรือสมมติ) ครูหรือนักเรียนหนึ่งคนท�ำ หนา้ ทเ่ี ปน็ วาทยกร โดยใชด้ นิ สอหรอื ไมต้ กี ลองเปน็ ไมส้ ง่ สญั ญาณ (baton) ชว่ งแรก นักดนตรีเล่นเพลงตามจังหวะของวาทยกร แล้วสลับเป็นเม่ือวาทยกรให้สัญญาณ จงั หวะเร็ว นกั ดนตรีเลน่ ชา้ เมอ่ื วาทยกรใหจ้ ังหวะช้า นกั ดนตรีเล่นเร็ว แตะแล้วไป ครูเปิดเพลง ๖๐ วินาที ให้นักเรียนลุกขึ้น เดินไปท�ำกิจกรรมตามที่ตกลงกัน เช่น ไปแตะเก้าอ้ี ๑๐ ตัว แตะฝาผนังห้องท้ังส่ีด้าน แตะส่ิงของท่ีท�ำด้วยไม้ ฯลฯ เมื่อเพลงจบนักเรียนกลับไปน่ังท่ีเดิม กิจกรรมง่ายๆ เช่นน้ี มีผลการวิจัยพิสูจน์ว่า ช่วยเพ่ิมระดับ โดปามีน (ช่วยความจ�ำใช้งาน ความยืดหยุ่นของสมอง และความ พยายาม) และเพม่ิ นอรอ์ ะดรนี าลนี (ชว่ ยการพงุ่ ความสนใจ และความจำ� ระยะยาว) มีผลเพม่ิ การเรียนรู้ และความสนใจตอ่ การเรียน • 251 •
๒๑ สรา้ งการเรียน อย่างเห็นคณุ คา่ บันทึกน้ีเป็นบันทึกที่ ๓ ใน ๔ บันทึก ภายใต้ชุดความคิดสร้างความเอาใจใส่ ของนักเรยี น (engagement mindset) ตคี วามจาก Chapter 17 : Engage Students for a Deeper Buy-In สาระหลักของบันทึกนี้คือ เป้าหมายของการเรียนรู้คือเปล่ียนแปลงสมอง หาก นักเรียนเข้าเรียนด้วยสมองที่อยู่กับกิจกรรมเพียงครึ่งๆ กลางๆ ผลการเรียนรู้ก็จะ ครง่ึ ๆ กลางๆ ดว้ ย โดยทส่ี มองมกี ารเปลย่ี นแปลงนอ้ ย สภาพทส่ี มองอยกู่ บั การเรยี น เตม็ รอ้ ย เปน็ สภาพทน่ี กั เรยี นเรยี นเพราะเหน็ คณุ คา่ ครจู งึ ตอ้ งเรม่ิ ตน้ การสอนดว้ ย การทำ� ใหน้ กั เรยี นเหน็ คณุ คา่ ของการเรยี นนน้ั นกั เรยี นตอ้ งตอบคำ� ถาม “ทำ� ไม” ได้ เปลี่ยนจากเรียนตามครูเป็นเรยี นตามที่ตนตอ้ งการ การเรียนร้ใู นห้องเรียนมี ๒ แบบ คอื เรยี นแบบจ�ำใจ (compliance learning) กบั เรียนเพราะชอบ เพราะอยากเรียน (choice learning) นกั เรยี นจ�ำนวนไมน่ ้อย ตกอยู่ในกลุ่มแรก เป็นหน้าที่ของครูที่จะต้องย้ายกลุ่มนักเรียน ไปไว้ในกลุ่มหลัง ใหห้ มด เพอื่ ใหเ้ กดิ การเรยี นทที่ รงพลงั และจารกึ เขา้ ไปในสมองของนกั เรยี น รวมทงั้ เพอื่ ให้บรรยากาศในห้องเรียนมชี วี ติ ชีวา มคี วามสขุ • 252 •
การเรยี นแบบจำ� ใจเรยี นของนกั เรยี นเปน็ ตวั บนั่ ทอนชวี ติ ครู เพราะเมอ่ื นกั เรยี น ไมเ่ ขา้ ใจ ครกู ต็ อ้ งสอนซำ�้ สมมตวิ า่ ครตู อ้ งสอนซำ้� วนั ละ ๑๐ นาที กเ็ ทา่ กบั ปลี ะกวา่ ๒๕ ชัว่ โมงท่คี รตู อ้ งท�ำงานเพิ่มโดยไมจ่ �ำเป็น ครูที่เริ่มคาบเรียนด้วยการกระตุ้นความต่ืนตัว (arousal) โดยให้แก้ปัญหา ให้เล่นเกม หรือเล่าเร่อื งขำ� ขัน ช่วยใหส้ มองตนื่ ตัวพรอ้ มเรียนคือ สมองตน่ื ว่องไว และอยใู่ นสภาพทมี่ ฮี อรโ์ มนเพอื่ การเรยี นรหู้ ลง่ั ออกมา แตย่ งั ไมใ่ ชส่ ภาพสมองทหี่ วิ การเรยี น ในภาษาองั กฤษใชค้ ำ� วา่ buy-in และเหน็ คณุ คา่ ของการเรยี น (relevance) ทีส่ มองตอบคำ� ถาม “ทำ� ไม” ได้ เช่น ทำ� ไมจึงตอ้ งเรียนบทเรียนนี้ ผมขอเพม่ิ เตมิ วา่ สมองมนษุ ยม์ คี วามฉลาดอยใู่ นตวั คอื รจู้ กั พกั ผอ่ นเพอื่ ใหส้ มอง ไม่เหน่ือยเกินไป หากตอบค�ำถาม “ท�ำไม” ไม่ได้ หรือตอบได้ไม่ชัดเจน สมองจะ เข้าสสู่ ภาพ “เกียรว์ า่ ง” และจะไม่จ�ำบทเรยี นน้ัน เพอ่ื ใหค้ รสู ามารถนำ� นกั เรยี นเขา้ สสู่ ภาพพรอ้ มเรยี น มแี รงบนั ดาลใจตอ่ การเรยี น ครตู อ้ งเขา้ ใจ ๓ ขนั้ ตอนของการเตรยี มพรอ้ ม คอื ขนั้ เรม่ิ ตน้ (set up) ขนั้ อยากเรยี น (buy-in) และขั้นเห็นคณุ ค่า (relevance) เตรยี มความพร้อม ๓ ขน้ั ตอน : เร่ิมต้น อยากเรยี น และเหน็ คณุ คา่ จะเห็นว่าผู้เขียนแยกแยะการเตรียมความพร้อมต่อการเรียนของนักเรียน ละเอยี ดออกไปถงึ ๓ ขน้ั ตอน โดยทต่ี อ้ งไมส่ บั สน หรอื ปนขน้ั ตอนดงั กลา่ ว เครอ่ื งมอื ๓ ข้ันตอนนี้จะได้ผลดีต้องการ “ตัวช่วย” ๔ ประการคือ (๑) ความสัมพันธ์ท่ีดี ระหวา่ งครกู บั นกั เรยี น (๒) บรรยากาศในหอ้ งเรยี น (๓) ความคาดหวงั ของนกั เรยี น ต่อผลสำ� เร็จในการเรยี น และ (๔) ความสัมพนั ธ์ของครกู บั ตัวช่วยทัง้ ๓ ประการ ขา้ งตน้ ทง้ั หมดนก้ี เ็ พอ่ื สรา้ งสภาพจติ ใจ หรอื สภาพสมองของนกั เรยี นทพ่ี รอ้ มเรยี น สงู สุด • 253 •
ขั้นเรมิ่ ตน้ อาจเรมิ่ ตน้ ดว้ ยเครอื่ งมอื ปลกุ เรา้ ความตนื่ ตวั เชน่ ใชค้ ำ� ถามกระตนุ้ ความอยากรู้ อยากเห็น “นักเรยี นอยากทำ� การทดลองทส่ี นุกสดุ ๆ ไหม” หรอื ปลกุ เรา้ ด้วยทา่ ที กระตอื รอื รน้ ของครู “วาว ครรู สู้ กึ ตน่ื เตน้ ทจ่ี ะสอนตอนนม้ี าก ทกุ คนกรณุ ายนื ขน้ึ ...” เขาแนะนำ� ประโยคต่อไปน้ี “ครูมีเรื่องส�ำคัญให้นักเรียนท�ำ กรุณายืนขึ้น” แรงดึงดูดคือ ความอยากรู้ อยากเห็น (curiosity) “ครูก�ำลังจะบอกบางเรื่องท่ีจะท�ำให้นักเรียนแปลกใจ” แรงดึงดูดคือ ความ คาดหวัง (anticipation) “ทุกคนกรุณายืนข้ึน เราก�ำลังจะท�ำการทดลอง เม่ือเสียงดนตรีเร่ิมข้ึน ให้เดินไปแตะโต๊ะทไี่ ม่ใชโ่ ต๊ะของตัวเอง ๕ โตะ๊ แลว้ ยืนรอคำ� สั่งตอ่ ไป” การปลุกเร้าข้ันเร่ิมต้นน้ีส�ำคัญมาก หากนักเรียนยังคงง่วงเหงาหาวนอน กระบวนการเตรียมความพร้อมอีก ๒ ขั้นตอนต่อไปจะไม่ได้ผล ในข้ันตอนแรกนี้ หวงั ผลให้การไหลเวียนเลอื ดเพม่ิ ข้นึ และเพิม่ สารเคมีเพอ่ื การเรียนรู้ในสมอง ขน้ั อยากเรียน เปา้ หมายของขน้ั ตอนน้ี เพอ่ื ให้นกั เรียนเข้าใจความหมายของสิ่งท่ีก�ำลงั จะเรยี น คือ ตอบค�ำถาม “ท�ำไม” ได้ ท�ำไมจึงต้องเรียนบทเรียนนี้ เป็นการดึงความสนใจ เข้าสู่บทเรียน และพร้อมเข้าสู่การเตรียมความพร้อมขั้นตอนต่อไป เคร่ืองมือของ ข้ันตอนนี้ คอื ค�ำพูดของครตู อ่ ไปน้ี • 254 •
“ขอให้ทุกคนหายใจเข้าออกยาวๆ ถ้านักเรียนพร้อมท่ีจะเรียนส่ิงที่น่าพิศวง จงกระทบื เทา้ สองครัง้ ” แรงดงึ ดดู คือการเรียนรู้ “นคี่ อื ปญั หาธรรมดาๆ ทไี่ มเ่ คยมลี กู ศษิ ยข์ องครคู นใดเคยแกป้ ญั หาไดภ้ ายใน ๓ นาที ครูให้เวลา ๓ นาที ให้นักเรียนจับคู่กับเพ่ือนท่ีนั่งติดกัน ช่วยกันท�ำโจทย์ พร้อมหรือยัง เร่ิม ! ”แรงดึงดูดคือ การท�ำงานเป็นทีมเพ่ือแก้โจทย์อย่างรวดเร็ว ซึ่งนักเรยี นรุ่นก่อนๆ ไมเ่ คยท�ำได้ “ตอ่ ไปนคี้ อื ความรทู้ จี่ ะชว่ ยใหน้ กั เรยี นไดเ้ กรดทอ่ี ยากได”้ แรงดงึ ดดู คอื เกรด ทส่ี งู ขนึ้ “ครมู งี านใหท้ ำ� ทจ่ี ะชว่ ยใหน้ กั เรยี นไมต่ อ้ งใชเ้ วลาอา่ นหนงั สอื นานๆ เปน็ งาน ทใ่ี ชเ้ วลาไม่ก่นี าที พร้อมหรือยงั ” แรงดงึ ดดู คือ มเี วลาเล่นกบั เพือ่ นมากขึน้ “เรามาเรียนรู้วิธีที่จะช่วยให้นักเรียนจ�ำเรื่องราวได้ดีขึ้นในช่วงสอบ โดยใช้ เวลาเรียนลดลงดีไหม” แรงดึงดดู คอื ท�ำขอ้ สอบไดง้ า่ ยขนึ้ และลดเวลาเรียนลง หลกั การคอื ใหน้ กั เรยี นไดช้ มิ เรอื่ งราวการเรยี นรสู้ ว่ นหนงึ่ กอ่ นจะเรยี นบทเรยี น ท้งั หมด ข้ันเหน็ คุณค่า ในสองขนั้ ตอนแรก เป็นการปลุกสมองและรา่ งกายใหต้ ่ืน ตามดว้ ยการกระตนุ้ ความอยากรอู้ ยากเหน็ ความคาดหวงั และความทา้ ทาย ตอ้ งตามดว้ ยขน้ั ตอนทสี่ าม คือการเห็นคุณค่าหรือความหมายของบทเรียนซ่ึงจะท�ำให้การเตรียมความพร้อม มผี ลระยะยาว คณุ คา่ ทดี่ งึ ดดู นกั เรยี นเปลย่ี นไปตามวยั เดก็ อายุ ๕ ขวบ เนน้ ทค่ี วามรสู้ กึ มน่ั คง และสนกุ สำ� หรบั นกั เรยี นอายุ ๑๕ ปี เนน้ ทกี่ ารไดร้ บั การยอมรบั จากเพอ่ื นและรสู้ กึ เป็นตัวของตัวเอง • 255 •
เขาแนะน�ำแรงขับเคล่ือนความรู้สึกเห็นคุณค่า ๑๐ ตัว เป็นแรงขับเคล่ือนจาก ภายในตัวเอง ๕ ตัว และแรงขับเคลื่อนผา่ นปฏสิ มั พนั ธก์ บั ผู้อ่ืน ๕ ตวั ดงั ตอ่ ไปนี้ แรงขับเคล่ือนภายใน ๑. สรา้ งความม่ันคงปลอดภัย (security) ๒. ใหค้ วามเปน็ อสิ ระ (autonomy) ๓. สรา้ งอตั ลกั ษณ์ (identity) ๔. ให้ความรสู้ ึกว่าทำ� ไดด้ ี (mastery) ๕. เชอื่ มโยงกับเปา้ หมายชีวติ ในมิติท่ีลกึ (deep meaning) แรงขบั เคลอื่ นผ่านปฏิสัมพนั ธ์ ๑. สถานะทางสังคม ๒. ผกู มติ ร ๓. มีคณุ ค่า ๔. เชือ่ มโยงสเู่ ป้าหมายย่งิ ใหญ่ ๕. พิสูจนต์ วั เอง หลกั การคอื เราอาจสนใจสง่ิ ใดสง่ิ หนง่ึ จากมตี วั กระตนุ้ แตห่ ากจะใหส้ นใจระยะยาว เราต้องเหน็ คณุ ค่าหรอื ความหมายต่อตัวเรา ใชต้ ัวช่วยดึงดูด การสรา้ งความสนใจเรยี นของนกั เรยี น ในเบอื้ งตน้ เนน้ การสรา้ งพลงั (energy) และสร้างแรงส่ง (momentum) แตจ่ ะให้นกั เรยี นรักเรยี นต่อเน่ือง ต้องให้นกั เรยี น เหน็ คณุ คา่ อยา่ งชดั เจนของการเรยี น ตอ่ ชวี ติ ของตนเองในขณะนน้ั และเปน็ ไปตาม ช่วงอายุของนักเรียน ตวั ชว่ ยดงึ ดดู นกั เรยี นสกู่ ารเหน็ คณุ คา่ ของการเรยี นตอ่ ชวี ติ ของตนเอง มมี ากมาย หลากหลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม การเคลื่อนไหว (ช่วยให้นักเรียนได้จับ คล�ำ โยน เลน่ ส่งิ ของนัน้ ) กลุ่มวสั ดสุ ิง่ ของ (สำ� หรบั เอามาโชว)์ กล่มุ การทอ่ งเทย่ี ว (ออกไป นอกห้องเรียน ไปยังบางสถานที่เพ่ือเรียนรู้) กลุ่มดนตรี (ใช้ดนตรีแสดงประเด็น • 256 •
การเรียนรู้) กลุ่มทัศนศิลป์ (สร้างโปสเตอร์เพ่ือบอกเป้าหมายการเรียนรู้ หรือ บอกการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้น) กลุ่มการละคร (แสดงท่าทางที่สะท้อนความคิด หรอื เหตกุ ารณ)์ กลมุ่ งานอดเิ รก (ใหน้ กั เรยี นแชรง์ านอดเิ รกของตน เมอื่ เรยี นมาถงึ เรอื่ งนน้ั ) กลมุ่ เสรี (อนญุ าตใหน้ กั เรยี นแสดงความเชอ่ื มโยงของเรอื่ งทเี่ รยี นกบั ชวี ติ ของตนได้โดยอิสระ) กลุ่มกิจกรรมตามเทศกาล (เชื่อมโยงกับเร่ืองราวตามข่าว) กลุ่มสร้างกล่องลับ (ภายในกล่องมีสาระการเรียนรู้ท่ีก�ำลังเรียน) กลุ่มออกแบบ ภายใน (ปรบั ปรงุ เปลี่ยนแปลงการจัดห้องให้เหมาะตอ่ การเรียนรู้สาระนั้นๆ) กลุ่ม เครื่องแต่งกาย (แตง่ ตวั ตามตวั ละครในเรื่องที่เรยี น) ตัวช่วยดึงดูดให้เห็นว่าการเรียนมีคุณค่าเชื่อมโยงกับชีวิตจริงในนักเรียนระดับ อนบุ าลถงึ ม.๖ มมี ากกวา่ ๕๐ อยา่ ง และมบี อกไวใ้ นหนงั สอื Teach Like a Pirate (Burgess, 2012) และ How to Motivate Reluctant Learners (R. Jackson, 2011) โดยมีตัวอย่างตัวดึงดูดทางสังคมในนักเรียนระดับประถมและมัธยม ดังใน ตารางขา้ งล่าง ตวั ดงึ ดูดการเหน็ คณุ ค่า ระดับประถม ตวั ดึงดูดการเหน็ คุณค่า ระดบั มัธยม การได้เล่อื นขึ้นไปเรยี นช้ันสูงขนึ้ การได้ท�ำสิ่งท่ีเสี่ยง หรือสร้างความตนื่ เตน้ แรงกดดนั จากเพื่อน รู้สึกวา่ เป็นบุคคลสำ� คญั มคี วามท้าทายสงู สนกุ กิจกรรมมีความยากขึน้ เปน็ ข้นั ๆ ครแู สดงความกระตอื รอื รน้ ไดท้ ำ� งานกบั เพือ่ น อยากรู้อยากเห็นจรงิ จงั สะทอ้ นสถานะ (status) ได้รบั การยนื ยันวา่ ถูกต้อง (affirmation) การทดลอง ขาดรสนยิ ม (grossness) ไดแ้ สดงออก มติ รภาพ ได้มสี ว่ นรว่ มแก้ปัญหาของท้องถน่ิ กจิ กรรมเคลอื่ นไหวรา่ งกาย ท�ำงานเพื่อเปา้ หมายย่ิงใหญ่ เรอ่ื งลลี้ บั นา่ สนใจ โอกาสเข้ามหาวิทยาลัย การแขง่ ขนั • 257 •
มีครูมัธยมในสหรัฐอเมริกาผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ ใช้การบรรลุระดับคะแนน สำ� หรบั การเปน็ นกั ศกึ ษามหาวทิ ยาลยั ทไี่ ดร้ บั การยกเวน้ คา่ เลา่ เรยี น เปน็ แรงดงึ ดดู คณุ คา่ นอกจากนนั้ ครทู า่ นนยี้ งั ใชค้ ะแนนคณติ ศาสตรข์ องโรงเรยี นใกลๆ้ ทม่ี ผี ลการ เรยี นดกี วา่ มาเปน็ ตวั เปรยี บเทยี บและกระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นชว่ ยกนั เอาชนะโรงเรยี นที่ สมมตวิ า่ เปน็ คแู่ ขง่ นน้ั ครทู า่ นนไ้ี ดช้ อื่ วา่ เปน็ ครคู ณติ ศาสตรท์ ปี่ ระสบความสำ� เรจ็ สงู ใช้คำ� ถาม เขาแบง่ ระดับค�ำถามเป็น good questions กับ great questions และบอกวา่ good questions ช่วยกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น การเห็นคุณค่า และการ ใคร่ครวญสะท้อนคิด ส่วน great questions ชว่ ยเปลีย่ นบรรยากาศของห้องเรียน และอาจถงึ กบั เปลยี่ นชวี ติ ของนกั เรยี น การใชค้ ำ� ถาม หรอื การถาม - ตอบ ในชนั้ เรยี น ทที่ ำ� อยา่ งถกู ตอ้ ง ชว่ ยเพม่ิ effect size ของผลการเรยี นสงู ถงึ ๐.๘๑ โดยทกี่ จิ กรรมนี้ ตอ้ งการ การมีส่วนรว่ ม ความรสู้ กึ ปลอดภยั ทจ่ี ะถาม การมเี ปา้ หมายท่คี วามเข้าใจ ท่ีลึก และการด�ำรงสัมพันธภาพที่ดี ตรงนี้ผมขอขยายความว่า ในส่วนของครู ต้องไม่ต้ังค�ำถามแบบไล่ต้อนให้จนมุม ต้องต้ังค�ำถามแบบหนุนการเรียนรู้ ในส่วน ของนักเรียน นักเรียนต้องร้สู ึกสบายใจท่ีจะถาม โดยไม่กลวั ถกู เยาะเย้ยวา่ โง่ เขาแนะน�ำวา่ คำ� ถามมี ๕ ประเภท ไดแ้ ก่ ค�ำถามเพื่อตรวจสอบความรู้เดิม ใช้เมื่อพบว่ามีนักเรียนบางคนไม่เข้าใจ หรอื เรยี นลา้ หลงั เพอ่ื นๆ อาจตงั้ คำ� ถามในทำ� นอง “อธบิ ายใหค้ รแู ละเพอ่ื นๆ ฟงั หนอ่ ย ว่าเธอมคี วามร้เู กย่ี วกับน�ำ้ ขึน้ นำ้� ลงอยา่ งไรบา้ ง” ค�ำถามท่ีช่วยยกระดับการเรียนรู้ มี ๒ แบบ (๑) ช่วยให้เข้าใจกว้างข้ึน เชน่ “ปรากฏการณน์ ำ้� ขน้ึ นำ้� ลงมผี ลอยา่ งไรตอ่ ชวี ติ มนษุ ย”์ (๒) ชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจสาระ ที่เรียนอยา่ งถกู ตอ้ งชัดเจน • 258 •
คำ� ถามทชี่ ว่ ยการสรปุ สาระการเรยี นรู้ เชน่ “สาระการเรยี นรสู้ ำ� คญั ในคาบนี้ มอี ะไรบา้ ง” ค�ำถามทีช่ ว่ ยการขยายความ กอ่ นใช้ค�ำถามชนดิ นค้ี วรถามคำ� ถามเชิงสรุป สาระการเรียนรู้ และได้ค�ำตอบที่ชัดเจนเสียก่อน ตัวอย่างค�ำถาม เช่น “ความรู้ ทเ่ี รียนในวนั น้เี กยี่ วขอ้ งกับชวี ิตประจ�ำวนั ของเราอย่างไรบ้าง” ค�ำถามเพ่ือรวบรวมข้อมูลหลักฐาน ใช้ในกรณีท่ีนักเรียนก�ำลังถกเถียงกัน หรือแบ่งจุดยืนออกเป็นหลายฝ่าย “บอกครูได้ไหมว่าหลักฐานที่แสดงว่าข้อโต้แย้ง ของเธอถกู ตอ้ งมอี ะไรบา้ ง” “ฝา่ ยตรงขา้ มจะโตแ้ ยง้ วา่ อยา่ งไร ทำ� ไม” “เธอมขี อ้ เทจ็ จรงิ อะไรท่ีฝ่ายตรงข้ามไมม่ ี” วิธีสร้างบรรยากาศต้ังค�ำถามและตอบค�ำถามอย่างคึกคักสนุกสนานท�ำได้ หลายแบบ เช่น เขียนค�ำถามไว้บนกระดานหน้าชั้น เขียนช่ือนักเรียนแต่ละคนลง กระดาษม้วนใส่ลงในกล่อง ให้นักเรียนอาสาสมัครเป็นผู้จับชื่อนักเรียนที่จะเป็น ผู้ตอบ (หากจับได้ตัวเองให้จับใหม่) หากนักเรียนที่ถูกขานช่ือตอบไม่ได้ ครูบอก ว่าให้เวลาคิดอีกสองสามนาที แล้วจับช่ือนักเรียนคนอื่นต่อไป หลังจากน้ันจึงกลับ มาใหน้ ักเรยี นคนเดมิ ตอบ เมื่อนักเรียนตอบ ครูควรตั้งค�ำถามต่อ “รู้ได้อย่างไรว่าค�ำตอบที่ให้เป็นค�ำตอบ ท่ีถูกต้อง” เม่ือนักเรียนตอบ ครูกล่าวค�ำขอบคุณและบอกว่า “ครูช่ืนชมที่เธอช่วย ทำ� ให้การเรียนรูม้ ีชวี ติ ชวี า ช่วยบอกครอู ีกนิดไดไ้ หมว่า ....” ครตู อ้ งตงั้ คำ� ถามดว้ ยความรกั ใหเ้ กยี รตนิ กั เรยี นในดา้ นทเ่ี ขาตอ้ งการการยอมรบั นับถือจากเพื่อนๆ ห้ามท�ำให้นักเรียนเสียหน้าหรืออับอายเป็นอันขาด หลักการ สำ� คญั คอื “คน้ หาใหพ้ บ” “คน้ หาเพมิ่ ” และผลกั ดนั ตอ่ ดว้ ยทา่ ทใี หเ้ กยี รติ ใหค้ ณุ คา่ ต่อส่งิ ท่นี ักเรยี นรู้ และความเจรญิ กา้ วหนา้ ของนักเรยี นแต่ละคน • 259 •
๒๒ สร้างความเปน็ พวกพอ้ ง บนั ทกึ นเ้ี ปน็ บนั ทกึ สดุ ทา้ ย ภายใตช้ ดุ ความคดิ สรา้ งความเอาใจใสข่ องนกั เรยี น (engagement mindset) ตีความจาก Chapter 18 : Engage to Build Community สาระหลกั ของบนั ทกึ นคี้ อื นกั เรยี นเรยี นไดด้ ผี า่ นการมปี ฏสิ มั พนั ธ์ (socialization) กับเพ่ือนๆ และครู เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม มีความต้องการเป็นส่วนหน่ึงของ กลมุ่ หรอื ชุมชน (community) การสรา้ งให้ชนั้ เรียนเป็นชุมชนของผเู้ รยี นทเ่ี อาจรงิ เอาจงั (community of engaged learners) จงึ ชว่ ยสง่ เสรมิ การเรยี นรขู้ องนกั เรยี น สร้างบรรยากาศการมองโลกในแง่ดีมีความหวัง และช่วยลดความประพฤติท่ี ไม่พึงประสงค์ของนักเรยี น ในบันทึกน้ีจะกล่าวถึงเคร่ืองมือสร้างความเป็นพวกพ้อง หรือความเป็นชุมชน เรยี นรจู้ รงิ จงั ในหอ้ งเรยี นดว้ ยเครอื่ งมอื ๓ ชนิ้ คอื พธิ กี รรมสรา้ งความพรอ้ มเพรยี ง การใช้ reciprocal teaching และ การเฉลิมฉลองชยั ชนะเลก็ ๆ ของทั้งชนั้ พิธีกรรมสรา้ งความพรอ้ มเพรยี ง ในหนงั สอื เลม่ นใี้ ชช้ อื่ หวั ขอ้ นว้ี า่ Solving common problems ซง่ึ มี ๓ ปญั หาคอื การเขา้ ชนั้ เรยี นตรงเวลา นกั เรยี นเงยี บสงบ และเลกิ เรยี นตรงเวลา โดยใชพ้ ธิ กี รรม ง่ายๆ ใช้เวลาไม่ถึงนาที ท่ีต่อไปนักเรียนจะท�ำจนเป็นนิสัยและช่วยสร้างสภาพ ช้ันเรียนทท่ี กุ คนตรงตอ่ เวลา มีวนิ ัยในการเรยี น และมีพลัง • 260 •
พธิ กี รรมประจำ� ชนั้ มหี ลกั การ ๕ ขอ้ สำ� หรบั สรา้ งวฒั นธรรมการเปน็ พวกเดยี วกนั ได้แก่ (๑) แก้ปัญหาห้องเรียนขาดวินัยได้ชงัด (๒) นักเรียนทุกคนร่วมกันปฏิบัติ อย่างตั้งใจ (๓) ท�ำได้ง่าย (๔) คาดเดาได้ และ (๕) จบลงด้วยอารมณ์ช่ืนมื่น โดยครูแต่ละคนอาจคิดพิธีกรรมประจ�ำช้ันของตนในลักษณะจ�ำเพาะ และตรงตาม หลกั การ ๕ ข้อขา้ งต้น ดังตวั อย่าง ตอ้ นรบั กลบั สชู่ น้ั เรยี น อาจใชช้ ว่ งเรม่ิ ชน้ั เรยี นในตอนเชา้ หรอื เมอ่ื มาพบกนั หลงั วนั หยดุ ของสปั ดาห์ หรอื เมอื่ เปดิ เทอมใหม่ หรอื เมอื่ เรมิ่ ชน้ิ งานใหม่ โดยครพู ดู วา่ “นักเรียนที่เข้านั่งโต๊ะตรงเวลายกมือข้ึน และตะโกนว่า ‘พร้อม’ แล้วหันไปยัง เพื่อนขา้ งๆ และรอ้ งว่า ‘ยนิ ดตี อ้ นรับ’” ฉลองการจบคาบเรียน หลักการคือ จบคาบเรียนด้วยการฉลองทุกครั้ง นกั เรยี นยนื ขน้ึ และแชรข์ อ้ เรยี นรสู้ ำ� คญั กบั เพอื่ นขา้ งๆ แลว้ กางมอื ทง้ั สองขา้ งออกไป จนสดุ แลว้ ตบมอื อยา่ งแรงพร้อมกับตะโกน ‘เยี่ยม’ เรยี กความสนใจ โดยใช้นกหวีด บอกนักเรียนว่า “นกั เรยี นทกุ คน เมอ่ื ครู จะสอนเรื่องส�ำคัญ ครูต้องการรู้ว่านักเรียนทุกคนพร้อมหรือไม่ ครูจะเป่านกหวีด ใหท้ กุ คนร้องว่า ‘ทกุ คนพรอ้ ม’ เรามาลองกนั เลยเดยี๋ วนี”้ ครูต้องสังเกตว่านักเรียนคุ้นกับพิธีกรรมท่ีใช้แล้วหรือยัง (มักใช้เวลา ๓ - ๕ สปั ดาห)์ เมื่อนักเรยี นคุน้ จนท�ำเป็นนิสยั ครูต้องเปล่ยี นพิธีกรรม เพ่อื ไม่ให้นักเรียน รสู้ กึ เบอื่ หรอื จำ� เจ พลงั ของพธิ กี รรมเกดิ จากทกุ คนทำ� พรอ้ มกนั ทำ� ทกุ โอกาสตามที่ ตกลงกนั นกั เรยี นทกุ คนแสดงพฤตกิ รรมเดยี วกนั กลา่ วคำ� เดยี วกนั สนั้ ๆ อยา่ งมพี ลงั เปน็ การสรา้ งความกลมเกลยี วกนั ในชนั้ เรยี นดว้ ยวธิ กี ารงา่ ยๆ แตไ่ ดผ้ ลชะงดั วธิ งี า่ ยๆ เช่นน้ี แม้ในนักเรียนช้ันโต เช่น ม.๖ ก็ใช้ได้ผล ผมขอเพ่ิมเติมว่า ผมเคยเห็น มูลนิธิข้าวขวัญใช้กับผู้ใหญ่ (รวมท้ังผู้สูงอายุ) ที่มาเข้าโรงเรียนชาวนา (ปรบมือ ๒ ครั้ง หยดุ หนง่ึ วนิ าที ปรบมอื ๗ ครั้ง กลา่ วคำ� วา่ ‘เย่ียม’ พรอ้ มกบั ยกหวั แม่มอื ท้งั สองข้าง โดยไม่ต้องเปล่ียนเลยตลอด ๒ ปี) • 261 •
ใหน้ กั เรยี นสอนซ่งึ กนั และกนั กิจกรรมนี้เป็นการใช้ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ หลังจาก นักเรียนเรียนสาระวิชาแล้ว ใหน้ ักเรียนจับคูก่ ับบัดดีค้ นเดิมหรือจับค่ใู หมก่ ็ได้ แล้ว ท�ำกิจกรรมสร้างความรู้สึกอยากเรียน (buy-in) ตามท่ีระบุในบันทึกท่ี ๒๑ แล้ว ด�ำเนนิ กิจกรรมตอ่ ไปน้ี ช่วยกันท�ำความเข้าใจสาระวิชาให้ชัดเจนย่ิงข้ึน ใช้ส�ำหรับการเรียนสาระ ตอนท่ีเข้าใจยาก ครูตั้งค�ำถามว่า “ให้นักเรียนบอกสาระเรื่องน้ันโดยใช้ค�ำพูดตาม ความเขา้ ใจของตวั นกั เรยี นเอง” “เมอื่ กลา่ วเชน่ นน้ั แลว้ นกั เรยี นเกดิ ขอ้ สงสยั อะไรบา้ ง” “เธอจะอธบิ ายประเดน็ นน้ั แกน่ กั เรียนทย่ี งั ไม่ได้เรยี นอย่างไร” สอนวธิ ีการ ให้นกั เรยี นคนหน่งึ ในคูบ่ ัดด้ี ทำ� หน้าท่ีสอนเพอื่ น เชน่ สอนวธิ ี ท�ำส่งิ ใดส่งิ หนึ่ง วิธีใช้เคร่อื งมอื หรือเคร่ืองใช้ เปน็ ต้น โตว้ าที เปน็ การโตก้ นั ภายในคบู่ ดั ดี้ โดยครกู ำ� หนดเรอ่ื งใหแ้ ตล่ ะคโู่ ต้ แลว้ ให้ เวลาคดิ และบนั ทกึ ประเดน็ ๑ นาที แลว้ พดู แถลงคำ� สนบั สนนุ หรอื โตแ้ ยง้ พรอ้ มขอ้ มลู หลกั ฐาน อีกคนหน่ึงอาจแถลงสนับสนุนหรือโตแ้ ยง้ เพื่อนกไ็ ด้ แลว้ อาจสลับข้าง แสดงบท ใหน้ กั เรยี นคนหนงึ่ ในคบู่ ดั ดแ้ี สดงเปน็ ตวั บคุ คลสำ� คญั หรอื มชี อื่ เสยี ง และกลา่ วแถลงนโยบาย เพอ่ื นคบู่ ด๊ั ดท้ี ำ� หนา้ ทผ่ี ฟู้ งั หรอื ผสู้ อ่ื ขา่ วชา่ งสงสยั ตง้ั คำ� ถาม ๓ ข้อ สร้างข้อสอบ ให้นักเรียนท้ังคู่ใช้เวลา ๙ นาที ช่วยกันออกข้อสอบ ๓ ข้อ หลังหมดเวลา บอกให้ท้ังคู่ตัดข้อสอบข้อท่ีง่ายท่ีสุดออก เหลือคู่ละ ๒ ข้อ แล้วให้ ทงั้ คเู่ ดนิ ไปหาเพอ่ื นอกี คหู่ นง่ึ กลายเปน็ กลมุ่ ๔ คน ใหส้ อบและเฉลยซง่ึ กนั และกนั อาจกำ� หนดใหม้ ีบคุ คลท่สี ามทำ� หนา้ ทกี่ รรมการสำ� หรับแต่ละกลมุ่ กจิ กรรมเหลา่ นมี้ กี ารเคลอื่ นไหวรา่ งกายแฝงอยดู่ ว้ ย ชว่ ยเพมิ่ การไหลเวยี นเลอื ด และเพิ่มสารเคมีช่วยการเรยี นรใู้ นสมอง ได้แก่ โดปามนี และนอรอ์ ะดรนี าลนิ • 262 •
เฉลิมฉลองชยั ชนะเล็กๆ ของท้ังชัน้ เป็นการใช้ความพยายามช่วยกันท�ำให้บรรลุ “เป้าหมายรายทาง” ที่กล่าวถึง ในบนั ทกึ ที่ ๕ ตง้ั เปา้ หมายสงู ลว่ิ เพอ่ื สรา้ งความกลมเกลยี วกนั ในชนั้ เรยี น โดยเรม่ิ ตน้ ที่เป้าหมายปลายทางสูงลิ่ว และมีเป้าหมายรายทาง (milestones/ micro goals) เป็นระยะๆ เม่ือใกล้ถึงก�ำหนดวันที่ระบุเป้าหมายรายทางไว้ ครูพูดถึงเป้าหมาย รายทางนั้น โยงสู่เป้าหมายปลายทางท่ีมีคุณค่าสูงล่ิวต่อนักเรียน และช้ีให้เห็นว่า เกอื บจะบรรลเุ ปา้ หมายรายทางทกี่ ำ� หนดไวแ้ ลว้ เพอ่ื กระตนุ้ นกั เรยี นทอี่ าจยงั ลา้ หลงั ให้เร่งท�ำงานหรือเรียนรู้ เปน็ การสร้างความมีชวี ิตชวี าในช้ันเรยี น เม่ือนักเรียนร่วมกันบรรลุเป้าหมายรายทาง ครูต้องจัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง เพื่อใช้เป็นตัวสร้างความม่ันใจแก่นักเรียนว่า พวกตนท�ำได้หากใช้ความพยายาม การเฉลมิ ฉลองทำ� ไดห้ ลากหลายแบบโดยควรใหเ้ ปน็ กจิ กรรมทมี ใหแ้ ตล่ ะทมี ใชเ้ วลา ปรกึ ษากนั ๑๕ วนิ าที แล้วแต่ละทีมดำ� เนินกจิ กรรมให้ทงั้ ชั้นร่วมกนั เฉลมิ ฉลอง หรอื อาจจดั เปน็ พธิ กี รรมมาตรฐานของชนั้ เชน่ ใหป้ รบมอื เปน็ จงั หวะ ตามดว้ ย เสยี งตะโกนว่า ‘ส�ำเร็จ’ เปลยี่ นวาทกรรม เปลี่ยนพฤตกิ รรม ชุดความคดิ สร้างความเอาใจใสข่ องนกั เรียนน้ี เป็น “เสียงในหัว” ของครูทบ่ี อก วา่ เมอ่ื ครเู อาใจใสน่ กั เรยี นทกุ คน ทกุ วนั การเรยี นรทู้ ท่ี รงคณุ คา่ จะเกดิ ขน้ึ โดยครมู ี เครอ่ื งมอื สรา้ งความเอาใจใสต่ อ่ การเรยี นของนกั เรยี นตามทรี่ ะบใุ นบนั ทกึ ท่ี ๑๙ - ๒๒ และใช้เคร่อื งมือเหลา่ นั้นบรู ณาการในการเรียนรูป้ ระจ�ำวัน วาทกรรมในสมองของครจู ะเปลยี่ นจาก “ฉนั มเี รอื่ งตอ้ งสอนมากและฉนั รวู้ า่ วธิ สี อน ที่ดีที่สุดคือการบรรยาย เร่ือง student engagement เป็นเรื่องเหลวไหล” ไปเป็น “ฉันจะ engage กับเป้าหมายทีท่ รงคณุ ค่ากับศษิ ย์ทุกคน ทุกวัน ทกุ ๙ นาทหี รอื ส้นั กว่านนั้ ” • 263 •
ใครค่ รวญสะทอ้ นคิด และตัดสนิ ใจ ผมตคี วามวา่ เครอ่ื งมอื ตา่ งๆ เพอื่ สรา้ งความสนใจเรยี นใหแ้ กศ่ ษิ ยต์ ามในบนั ทกึ ท่ี ๑๙ - ๒๒ น้ี คอื เคร่ืองมือชว่ ยให้ครูยดึ กุมการจัดการชน้ั เรียนใหม้ ีระเบยี บ มีพลงั โดยทพ่ี ลงั นจี้ ะขบั เคลอื่ นตวั เองดว้ ยพลงั ของนกั เรยี นทงั้ ชนั้ ชว่ ยลดความยากลำ� บาก ในการท�ำงานของครู ผมเชื่อว่าการด�ำเนินการนี้จะต้องใช้ความพยายามมากในปี สองปแี รกของชวี ติ การเปน็ ครู แตห่ ลงั จากนน้ั เครอ่ื งมอื เหลา่ นจ้ี ะชว่ ยเบาแรงครู และ ท่สี �ำคญั ย่งิ กวา่ นน้ั ช่วยให้ครบู รรลเุ ปา้ หมาย “ครเู พ่อื ศิษย์” ที่มีผลงานดีเดน่ • 264 •
๗ภาค ชุดความคิดเพ่ือความส�ำเร็จของนักเรียน (graduation mindset) บทที่ ๒๓ เพื่อศษิ ยเ์ รยี นจบ บทท่ี ๒๔ หนนุ ด้วยศิลปศกึ ษาและพลศึกษา บทท่ี ๒๕ เตรยี มเข้ามหาวิทยาลยั หรอื เขา้ สอู่ าชีพ บทที่ ๒๖ บทส่งทา้ ย
๒๓ เพ่ือศษิ ยเ์ รียนจบ บนั ทกึ น้เี ปน็ บนั ทึกแรก ใน ๓ บนั ทกึ ภายใตช้ ุดความคิดเพ่ือความสำ� เรจ็ ของ นกั เรียน (graduation mindset) ตคี วามจาก Part Seven : Why the Graduation Mindset? สาระหลักของบันทึกนี้คือ ชุดความคิดมุ่งม่ันด�ำเนินการเพ่ือความส�ำเร็จของ นกั เรยี น ท�ำใหโ้ รงเรียนของเด็กยากจนพฒั นาเปน็ โรงเรียนคณุ ภาพสูงได้ เป้าหมายส�ำคัญคือ นักเรียนทุกคนต้ังแต่ช้ันอนุบาลถึงเกรด ๑๒ (ส�ำหรับท่ี สหรฐั อเมรกิ า สว่ นของไทยนา่ จะถงึ ม.๓ เพราะการศกึ ษาภาคบงั คบั ของเราถงึ ม.๓) เรยี นสำ� เรจ็ ทกุ คน ทสี่ หรฐั อเมรกิ าการเรยี นจบเกรด ๑๒ อยา่ งประสบความสำ� เรจ็ หมายความว่า จบแล้วมีงานท�ำหรือเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ หรือกล่าวใหม่ว่า เปา้ หมายคอื นกั เรยี นทกุ คนเรยี นจบการศกึ ษาภาคบงั คบั แลว้ มงี านทำ� หรอื เรยี นตอ่ ไม่มีนักเรียนท่ีหลุดจากระบบการศึกษากลางคัน ในขณะนี้ประเทศไทยมีเด็กออก จากการศกึ ษาภาคบงั คบั กลางคนั ประมาณรอ้ ยละ ๒๐ หากเราประสบความสำ� เรจ็ ตามเปา้ หมายในบนั ทกึ นี้เดก็ ไทยตอ้ งเรยี นจบ ม.๓ ทกุ คน “ครูเพ่ือศิษย์” ทุกคนต้องมีปณิธานมุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายน้ี โดยเช่ือมั่นว่าสมอง เปลีย่ นแปลงได้ และมีวิธกี ารเปลยี่ นสมองของศิษย์ขาดแคลนให้เรยี นสำ� เร็จได้ ในชวี ติ จรงิ ครทู ส่ี อนในโรงเรยี นทน่ี กั เรยี นสว่ นใหญเ่ ปน็ เดก็ ขาดแคลน มกั จะอยู่ ในท่ามกลางสังคมของผู้คนท่ีดูหมิ่นดูแคลนความสามารถของเด็กขาดแคลน และคนในวงการศึกษาก็มักจะเอาแต่บ่นหรือกล่าวอ้างในความไม่พร้อม หรือความ • 268 •
ขาดแคลนของโรงเรยี น ผเู้ ขยี นหนงั สอื เลม่ นแ้ี นะนำ� วา่ ครทู ม่ี อี ดุ มการณ์ “สอนเขม้ เพื่อศิษย์ขาดแคลน” ต้องฝ่าด่านอปุ สรรคเชิงกระบวนทศั นข์ องสังคมโดยรอบให้ได้ โดยครูไม่สนใจเสียงบ่นหรือบรรยากาศท้อแท้ที่อยู่โดยรอบ มุ่งท�ำงานเพื่อความ สำ� เรจ็ ในการเรียนของศษิ ย์ใหจ้ งได้ หลกั ฐานเชิงประจักษ์ ในสหรฐั อเมรกิ ามหี ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษว์ า่ มโี รงเรยี นในเขตยากจนเปน็ รอ้ ยหรอื อาจถึงเรือนพันโรงเรียน ที่ติดเกณฑ์เป็นโรงเรียนท่ีมีผลด�ำเนินการดีเด่น (high performing schools) โดยท่ีโรงเรียนเหล่านี้ด�ำเนินการแตกต่างจากโรงเรียนอื่นๆ ความแตกตา่ งนไ้ี มไ่ ดอ้ ยทู่ ศ่ี ษิ ยแ์ ตอ่ ยทู่ คี่ รู ทม่ี งุ่ มน่ั ดำ� เนนิ การเพอ่ื การเรยี นรขู้ องศษิ ย์ อย่างไม่ลดละทอ้ ถอย ตัวอย่างกิจกรรมที่โรงเรียนในเขตยากจน แต่มีผลด�ำเนินการดีเด่น ท�ำเพื่อ ช่วยยกระดบั ผลลัพธก์ ารเรียนรู้ของนกั เรียน ไดแ้ ก่ ใหน้ กั เรียนชัน้ สูงกว่าชว่ ยให้คำ� แนะนำ� (mentoring) แกน่ ักเรียนชนั้ ตำ�่ กว่า รว่ มมอื กบั มหาวทิ ยาลยั ในพนื้ ทใ่ี นการจดั หาตวิ เตอรช์ ว่ ยตวิ การบา้ น ๑ ชวั่ โมง หลังเลิกเรยี น โดยไมเ่ สียเงิน มีโปรแกรมพลศึกษาและศิลปศึกษาท่ีเข้มแข็ง เพ่ือพัฒนาทักษะชีวิต วินัย ในตน และการท�ำงานเป็นทมี มโี ปรแกรมการท�ำงานระหวา่ งเรยี น เชน่ ทำ� งานในโรงอาหารเปน็ ส่วนหนง่ึ ของโปรแกรมศิลปะการปรุงอาหาร เรียนทักษะการท�ำธุรกิจโดยท�ำงานในร้านค้า ของนกั เรยี น เรียนซ่อมและบำ� รุงรกั ษาเครอื่ งปรบั อากาศ เป็นตน้ มีกิจกรรมหลังเวลาเรียนให้นักเรียนได้พูดคุยซักถามนักธุรกิจในท้องถิ่น หรือผู้นำ� ชุมชน หรอื นกั แนะแนว มคี ณะกรรมการชว่ ยใหค้ ำ� แนะนำ� การเตรยี มตวั หาทนุ เรยี นตอ่ ชน้ั มธั ยมปลาย และการเตรยี มตวั เรยี นชนั้ ม.ปลาย • 269 •
โครงสรา้ งส�ำคัญ ๕ ประการ สำ� หรบั โรงเรียนคุณภาพสูง ๑. มวี ฒั นธรรม “คาดหวงั สงู สนบั สนนุ เตม็ ท”ี่ (high expectation, high support) ๒. มีสภาพแวดลอ้ มท่ปี ลอดภัย และมวี ินยั เชิงบวก ๓. มผี นู้ ำ� ดา้ นการเรยี นการสอนทเี่ ขม้ แขง็ ๔. มคี รูทีท่ �ำงานหนกั เอาจรงิ เอาจงั และมีความสามารถ ๕. มหี ลกั สตู รทม่ี งุ่ ผลสมั ฤทธทิ์ างวชิ าการ เนน้ ทที่ กั ษะพน้ื ฐานดา้ นคณติ ศาสตรแ์ ละ ภาษา มาตรการหลกั ๕ ประการ ส�ำหรบั โรงเรยี นคณุ ภาพสงู ๑. มเี วลาเรยี นคณุ ภาพสูง ทไี่ ม่ถกู รบกวนจากงานธุรการหรอื งานบรหิ าร ๒. มีการประเมินสม�่ำเสมอ เพื่อตรวจสอบผลการเรียน และน�ำไปสู่การปรับปรุง การเรยี นการสอน ๓. พอ่ แมเ่ ปน็ ผู้รว่ มเรียนรู้ ๔. มีการพัฒนาครเู พอื่ ผลลพั ธ์การเรียนร้ทู ่ดี ขี องนกั เรียน ๕. มคี วามรว่ มมอื ทแ่ี ขง็ แรงระหวา่ งครดู ว้ ยกนั และระหวา่ งครกู บั เจา้ หนา้ ทใี่ นโรงเรยี น โดยผมขอเพ่ิมเตมิ วา่ ผูบ้ ริหารโรงเรยี นและเขตพ้นื ทีต่ อ้ งมีสว่ นร่วมดว้ ย ครเู พอ่ื ศษิ ยต์ อ้ งมชี ดุ ความคดิ ทเี่ ขม้ แขง็ วา่ ศษิ ยข์ าดแคลนของตนสามารถเรยี น จนจบชั้น ม.ปลาย และจบการศึกษาออกไปมงี านทำ� หรือเรียนต่อได้ โดยตัวครเู อง ทุ่มเทเตม็ ท่ีเพอื่ ช่วยใหศ้ ิษยบ์ รรลเุ ป้าหมายดงั กลา่ ว • 270 •
๒๔ หนนุ ด้วยศิลปศึกษาและพลศึกษา บันทึกนเ้ี ป็นบันทกึ ท่ี ๒ ใน ๓ บันทกึ ภายใตช้ ดุ ความคิดเพ่อื ความส�ำเร็จของ นักเรยี น (graduation mindset) ตคี วามจาก Chapter 19 : Support Alternative Solutions สาระหลกั ของบนั ทกึ นคี้ อื เพอ่ื ความสำ� เรจ็ ในชวี ติ การเรยี นของนกั เรยี น ครตู อ้ ง จัดให้นักเรียนได้เล่นสลับกันไปด้วย เพ่ือใช้การเล่นกระตุ้นการเจริญงอกงามของ สมอง กระตุ้นให้การไหลเวียนเลือดแรงขึ้น และเพื่อสร้างสภาพสมองพร้อมเรียน ทม่ี สี ารเคมเี พอื่ การเรยี นรหู้ ลง่ั ออกมา การเลน่ ในทนี่ กี้ ลา่ วถงึ ๒ อยา่ ง คอื เลน่ กฬี า หรือการเคลอ่ื นไหวรา่ งกาย กับการเล่นด้านศลิ ปะ หนุนด้วยศิลปศึกษา มีหลักฐานจากผลงานวิจัยมากมายที่ยืนยันว่า การให้เวลานักเรียนฝึกซ้อม กจิ กรรมดา้ นศลิ ปะ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ดนตรี ทำ� ใหผ้ ลการเรยี นดขี น้ึ มผี ลการศกึ ษา รวมขอ้ มลู จากงานวจิ ยั ขนาดใหญ่ ๔ ชน้ิ ในนกั เรยี นยากจน ทศ่ี กึ ษาเปรยี บเทยี บผล ระยะยาวของการทำ� งานศลิ ปะทม่ี ตี อ่ ตอ่ นกั เรยี นยากจน ในโรงเรยี นทจ่ี ดั เวลาเรยี น ดา้ นศลิ ปะมากในกลมุ่ ๒๐% บน กบั นกั เรยี นยากจนทโ่ี รงเรยี นจดั เวลาเรยี นศลิ ปะ นอ้ ยในกลมุ่ ๒๐% ลา่ ง พบวา่ นกั เรยี นในโรงเรยี นกลมุ่ แรกมโี อกาสเรยี นจบชน้ั มธั ยม สงู กวา่ อตั ราไดร้ บั อนปุ รญิ ญาและปรญิ ญาสงู กวา่ ตอนเรยี นในชน้ั ม.ปลาย นกั เรยี น กลมุ่ ดงั กล่าว ไดค้ ะแนนเรยี งความ คณติ ศาสตร์ และวทิ ยาศาสตร์ สูงกว่า รวมทั้ง • 271 •
เข้าร่วมกิจกรรมนอกหลักสูตรมากกว่า อ่านหนังสือพิมพ์มากกว่า เข้าร่วมบริหาร องค์กรนักศึกษามากกว่า และท�ำกิจกรรมอาสาสมัครในชุมชนมากกว่า นักวิจัย ในโครงการนี้ถึงกับสรุปว่า นักเรียนจากครอบครัวยากจนที่โรงเรียนจัดกิจกรรม ศลิ ปศกึ ษาจรงิ จงั มโี อกาสประสบความสำ� เรจ็ ในชวี ติ เทา่ เทยี มกบั นกั เรยี นโดยทวั่ ไป ในประเทศ ตคี วามใหมไ่ ดว้ า่ การไดเ้ รยี นศลิ ปศกึ ษาจรงิ จงั ในโรงเรยี น ชว่ ยแกข้ อ้ เสยี เปรยี บ ในการเรยี นของนกั เรยี นขาดแคลนได้ เขาบอกวา่ กจิ กรรมศลิ ปะชว่ ยฟน้ื “ระบบการ ท�ำงานดา้ นวิชาการ” (academic operating system) ให้กลับคนื มา ศิลปะช่วยฟน้ื ระบบการท�ำงานด้านวชิ าการอยา่ งไร ค�ำวา่ “ศลิ ปะ” ในท่นี ้หี มายถงึ ๔ กล่มุ ใหญ่ของศิลปะ ได้แก่ (๑) ศลิ ปะดนตรี (เลน่ เครอื่ งดนตรชี น้ิ ใดชนิ้ หนง่ึ หรอื หลายชนิ้ ) (๒) ศลิ ปะการแสดง (ละคร รอ้ งเพลง ประสานเสยี ง รำ� เตน้ และแสดงตลก) (๓) หตั ถศลิ ป์ (เยบ็ ปกั ถกั รอ้ ย แกะสลกั ) (๔) ทศั นศิลป์ (วาดภาพ ระบายสี และศิลปะดจิ ิทลั ) สมองมีส่วนท่ีเป็น “ระบบการท�ำงานด้านวิชาการ” (academic operating system) ทม่ี ีการพฒั นาตรงต�ำแหน่งท่ีจ�ำเพาะ และเปลีย่ นแปลงถาวร จากการฝึก ปฏบิ ัติศิลปะเป็นเวลานาน เมอื่ ใหน้ กั เรยี นปฏบิ ตั ศิ ลิ ปะครงั้ ละ ๓๐ - ๙๐ นาที สปั ดาหล์ ะ ๓ - ๕ วนั กอ่ ผลดี ดงั ต่อไปนี้ ๑. ความมานะพยายาม : แรงจงู ใจ และความสามารถยงั ยงั้ ชง่ั ใจ (defer gratification) ๒. ทักษะการจดั การผสั สะ (processing skills) : ทางหู ตา และสมั ผสั ๓. ทักษะการเอาใจใส่ (attentional skills) : สนใจ พุ่งความสนใจ (focus) และ ละความสนใจไดต้ ามที่ตอ้ งการ ๔. ความจำ� : ความจำ� ระยะส้ัน และความจำ� ใชง้ าน ๕. ทักษะจดั ล�ำดับ : รขู้ ั้นตอนของกระบวนการ • 272 •
นอกจากนน้ั ศลิ ปะชว่ ยหนนุ ชดุ ความคดิ เพอ่ื ความสำ� เรจ็ ในการเรยี นของนกั เรยี น มผี ลงานวจิ ยั บอกวา่ โรงเรยี นทมี่ กี ารฝกึ ซอ้ มดนตรี นกั เรยี นมาเรยี นในสดั สว่ นสงู กวา่ โรงเรียนที่ไม่มีการฝึกซ้อมดนตรี (ร้อยละ ๙๓.๓ เทียบกับ ๘๔.๙) และมีอัตรา เรียนจบสงู กว่า (ร้อยละ ๙๐.๒ เทยี บกับ ๗๒.๙) โรงเรียนทโ่ี ปรแกรมดนตรีได้รบั การประเมินคุณภาพว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเย่ียม(excellent) หรือดีมาก (very good) อตั ราเรยี นจบยิ่งสงู (ร้อยละ ๙๐.๙) มกี ารวจิ ยั ศกึ ษานกั เรยี นชน้ั มธั ยมในสหรฐั เมรกิ าจำ� นวน ๒๕,๐๐๐ คน เปน็ เวลา ๔ ปี พบความสัมพันธ์ที่มีนัยส�ำคัญระหว่างการเรียนศิลปะกับผลการเรียนและ เม่ือติดตามไปศึกษานักเรียนกลุ่มเดียวกันเม่ืออายุ ๒๕ ปี ผลยิ่งน่าประทับใจ คือ นกั เรยี นกลมุ่ ทม่ี าจากครอบครวั รายไดน้ อ้ ย ทเ่ี รยี นศลิ ปะ มโี อกาสเขา้ มหาวทิ ยาลยั สูงกว่า ได้เกรดดีกว่า มีโอกาสเรียนสูงกว่าปริญญาตรีมากกว่า โอกาสได้งานท�ำ สูงกว่า ร่วมกจิ กรรมจิตอาสา และลงคะแนนเสียงเลือกต้ังสงู กว่า วธิ ีใชศ้ ลิ ปะในหอ้ งเรยี น ดีที่สุดคือมีครูศิลปะให้ครูศิลปะสอนนักเรียนคร้ังละ ๑๕ - ๓๐ นาที ๓ วัน ตอ่ สปั ดาห์ สำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมและมธั ยม แตห่ ากไมม่ คี รศู ลิ ปะครปู ระจำ� ชน้ั ก็สามารถสอนเองได้โดยเรยี นรูว้ ธิ เี อาเอง หนังสือเล่มน้ลี งรายละเอียดของการสอนศิลปะดนตรี และศิลปะการแสดง การเรยี นศิลปะดนตรี ดที สี่ ดุ คอื มคี รดู นตรแี ตห่ ากไมม่ คี รดู นตรี นกั เรยี นอาจเรยี นเองจากแอปพลเิ คชนั ในไอแพด เขาแนะน�ำแอปพลิเคชนั ช่อื Tiny Piano, Nota, Musical Touch, Pro Keys, และ Twelve Tones นอกจากนนั้ ยงั มวี ดี ทิ ศั นใ์ นยทู ปู สอนดนตรี การแนะนำ� ของครจู ะทำ� ให้เด็กจำ� นวนหนึ่งคล่งั ไคล้ในดนตรี การฝึกดนตรีเป็นการฝึกประสานการท�ำงานของหลายส่วนในร่างกาย การฝึก ประสานกจิ กรรมทางสมองชว่ ยการพฒั นาสมองในเชงิ โครงสรา้ ง (ทำ� ใหไ้ อควิ สงู ขนึ้ ) และช่วยฝึกการรับรู้ซ่ึงมีผลสืบเนื่องไปยังทักษะด้านภาษา (การจ�ำค�ำศัพท์ ทักษะ การอ่าน) และด้านมิติสัมพันธ์ (spatial relations) นอกจากน้ันยังมีผลงานวิจัย บอกว่า ช่วยเพมิ่ ความสามารถด้านการแกป้ ญั หาอยา่ งสร้างสรรค์ เรขาคณติ และ ระบบจำ� นวน • 273 •
ท่ีน่าแปลกใจคือ ดนตรีช่วยพัฒนาการด้านอารมณ์ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืน เนื่องจากการฝึกดนตรีช่วยให้ไวต่อการรับรู้ด้านอารมณ์จากถ้อยค�ำ และช่วยให้มี ความภูมิใจในตนเอง รวมทั้งช่วยเพิ่มบุคลิกท่ีดีด้านความร่วมมือ แรงจูงใจ ความ รบั ผดิ ชอบ และการรเิ รมิ่ ผลดเี หลา่ นเี้ กดิ ขน้ึ ในเดก็ จากทกุ วฒั นธรรม และไมเ่ กยี่ วกบั พนั ธกุ รรม หรอื เศรษฐฐานะ แตจ่ ะไดผ้ ลมากหากเรม่ิ ตงั้ แตเ่ ดก็ อายนุ อ้ ย ฝกึ บอ่ ยๆ และฝึกต่อเน่อื ง การฝึกศลิ ปะการแสดง ทำ� โดยให้นกั เรยี นแสดงบทสมมติ (role play) เพือ่ สะท้อนสาระทีเ่ รียน อาจใช้ ในวิชาวิทยาศาสตร์ (เพื่อแสดงผลการทดลอง แสดงปฏิกิริยาเคมี หรือผลลัพธ์ ดา้ นระบบนเิ วศ) คณติ ศาสตร์ (แสดงสตู ร สมการ หรอื วธิ จี ำ� สตู ร) ภาษา (เพอ่ื เลา่ เรอ่ื ง อธบิ ายเรอ่ื งที่ไปค้นคว้ามา) ศิลปะการแสดงจะช่วยฝึกทักษะหลายด้านที่น�ำไปใช้ประโยชน์ด้านอ่ืนได้ เช่น ในศลิ ปะการแสดงมสี ว่ นของการเคลอ่ื นไหวซง่ึ จะสง่ ผลดตี อ่ การเรยี นรใู้ นหลายกลไก ทกั ษะการเคลอื่ นไหว (motor skills) มผี ลยกระดบั ทกั ษะทางวชิ าการ (academic skills) ในหลากหลายมิติ ดงั แสดงในรูปขา้ งล่าง การอ่าน คณิตศาสตร์ ภาษาเขยี นหรือพูด ความรทู้ ่ัวไป คิดเชิงนามธรรม คิดแบบอปุ นัย คดิ เชอ่ื มโยง คดิ แบบนริ นัย สงั เคราะหล์ ำ� ดบั จัดระบบ ทกั ษะถอ้ ยคำ� ความจำ� และเหตผุ ล จัดล�ำดับ วเิ คราะห์ สายตา แยกแยะแบบแผน ส่ิงท่เี หน็ ทกั ษะศูนย์กลาง ประสานตา-เท้า ประสานกาย-พื้นที่ ประสานมอื -ตา มอื -เทา้ การทรงตวั ระหวา่ งเคลอ่ื นไหว การรับรู้ทางกาย การทรงตวั ขาเดยี ว สองขา ทกั ษะการเคลอื่ นไหว และสลบั ขา • 274 •
การฝกึ ดา้ นศลิ ปะการแสดงจงึ เปน็ กลไกสรา้ งเครอื ขา่ ยใยประสาทในสมอง และ เอ้ือประโยชนต์ อ่ การเรียนรู้ โดยท่ีเราไม่ร้ตู ัว หนงั สอื เลา่ เรอ่ื งราวของครเู รฟ เอสควทิ (Rafe Esquith) แหง่ โรงเรยี นโฮบารต์ ที่ ตงั้ อยใู่ นใจกลางนครลอสแอนเจลสิ มลรฐั แคลฟิ อรเ์ นยี ทใ่ี ชก้ ารเลน่ ละครเชก็ สเปยี ร์ กระตนุ้ พฒั นาการสมองของเดก็ นกั เรยี น ป.๕ ทร่ี อ้ ยละ ๗๐ มาจากครอบครวั ยากจน จนเกิดผลมหัศจรรย์ คือค่าเฉล่ียของนักเรียนในโรงเรียนน้ีท่ีเรียนจนจบ ม.ปลาย เทา่ กบั รอ้ ยละ ๓๒ เทา่ นน้ั แตน่ กั เรยี นทเี่ คยผา่ นชน้ั ของครเู รฟอตั รานเ้ี ทา่ กบั ๑๐๐ คอื นกั เรยี นทกุ คนเรยี นจบ ม.ปลาย ทา่ นทสี่ นใจดเู รอื่ งราวการเลน่ ละครเชก็ สเปยี ร์ ของศิษย์ครูเรฟได้ในยูทูปด้วยค�ำค้นว่า Hobart Shakespeareans เป็นหลักฐาน วา่ ครทู ี่ “สอนเข้ม เพือ่ ศษิ ยข์ าดแคลน” เป็นผมู้ คี ณุ ปู การเปลยี่ นชีวติ ศิษย์ไดจ้ ริงๆ ผมขอเพ่ิมเติมเร่ืองราวของครูเรฟ เอสควิธว่า ท่านเขียนหนังสือเล่าเร่ืองราว การทำ� งานเปน็ “ครเู พอื่ ศษิ ย”์ ของทา่ นหลายเลม่ มาก สองเลม่ ไดร้ บั การแปลเปน็ ไทย คอื ครนู อกกรอบกบั หอ้ งเรยี นนอกแบบ กบั ครแู ทแ้ พไ้ มเ่ ปน็ ตวั ทา่ นเคยมาเมอื งไทย ถึง ๒ คร้ัง เพ่ือมาเปิดตัวหนังสือแปลทั้งสองเล่ม และผมเคยเขียนบล็อกเล่าไว้ที่ https://www.gotoknow.org/posts/467265 และ https://www.gotoknow.org/ posts/615888 หนนุ ด้วยพลศึกษา คุณค่าของกิจกรรมทางกาย (physical activity) ต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของ นักเรียน ได้รับการยืนยันคร้ังแล้วครั้งเล่าจากผลงานวิจัยสารพัดแบบในนักเรียน เป็นล้านๆ คน เหตุผลคือ กิจกรรมทางกายสร้างสมองที่พร้อมเรียน จากการหลั่ง สารเคมีเพ่ือการเรียนรู้ ได้แก่ โดปามีนท่ีช่วยเพิ่มความพยายาม การมองโลกแง่ดี มคี วามหวงั และความจำ� ใชง้ าน (working memory) และนอรอ์ ะดรนี าลนี ชว่ ยเพม่ิ การพุ่งเปา้ ความสนใจและความจำ� ระยะยาว (long-term memory) มผี ลงานวจิ ยั พสิ จู นว์ า่ กจิ กรรมทางกายชว่ ยลดปญั หาความประพฤตขิ องนกั เรยี น ช่วยเพ่มิ ความม่ันใจตนเอง เพ่มิ executive functions และลดความเครยี ด เคลด็ ลับคอื กจิ กรรมทางกายทนั ทกี อ่ นเรยี น ช่วยเพ่มิ ผลลพั ธ์การเรียนรู้ดีกวา่ กิจกรรมทางกายกอ่ นเรียน ๒ - ๓ ช่ัวโมง • 275 •
กจิ กรรมเคลอ่ื นไหวรา่ งกายสร้างเซลล์สมอง เป็นธรรมชาตขิ องสมอง ที่จะมีการสร้างเซลลส์ มองขึ้นใหม่ ตวั ปดิ ก้นั ส�ำคัญคอื ความเครียดเรื้อรัง และภาวะทุพโภชนาการซึ่งนักเรียนขาดแคลนต้องเผชิญ และ นำ� ไปสภู่ าวะซมึ เศรา้ (depression) มผี ลงานวจิ ยั บอกวา่ รอ้ ยละ ๓๐ ของนกั เรยี น ยากจนในสหรฐั อเมรกิ า มคี วามเครยี ด และภาวะซมึ เศรา้ และมผี ลงานวจิ ยั บอกวา่ การออกก�ำลงั กล้ามเน้อื มัดใหญ่ ชว่ ยป้องกันและบ�ำบดั โรคซมึ เศร้า มีผลงานวิจัยในแม่ท่ียากจน ไร้บ้าน และเป็นโรคซึมเศร้า โดยให้เข้าโปรแกรม บ�ำบัดโดยการเต้นร�ำคร้ังละ ๓๐ นาที สัปดาห์ละ ๒ ครั้ง ได้ผลดี คืออาการ ซึมเศร้าลดลง โดยเขาบอกว่าผลจากการออกก�ำลังได้มากกว่าการไปเต้นแอโรบิก เมอื่ แมส่ ุขภาพดขี ึน้ กจ็ ะดูแลลูกได้ดีขน้ึ ผมขอเพิ่มเติมจากประสบการณ์ส่วนตัวว่า การออกก�ำลังแบบแอโรบิก (เช่น วงิ่ เหยาะ) วนั ละ ๓๐ นาที ชว่ ยสรา้ งสขุ ภาพในสารพดั ดา้ น รวมทงั้ ดา้ นการมสี มอง แจม่ ใส พร้อมเรยี นรู้ และผลน้เี กิดขึน้ ในวนั น้นั และในระยะยาวตลอดชีวิต เซลลป์ ระสาททงี่ อกใหมช่ ว่ ยเพมิ่ อารมณด์ ี ความจำ� การจดั การนำ้� หนกั ตวั และ การเรยี นรู้ มผี ลงานวจิ ยั ยนื ยนั วา่ การออกกำ� ลงั กายกลา้ มเนอื้ มดั ใหญ่ ชว่ ยกระตนุ้ การสรา้ งเซลล์ประสาท นอกจากน้ันยังมีผลงานวิจัยบอกว่า ความแข็งแรงของร่างกาย มีความสัมพันธ์ กบั ผลการเรยี นในนกั เรียนทกุ ระดบั วิธีใชก้ จิ กรรมการเคลือ่ นไหวในหอ้ งเรยี น หลักการง่ายๆ คือ ใช้กิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกาย (physical activities) กับ กจิ กรรมระหวา่ งชั้นเรยี น (classroom activities) เขาแนะนำ� กจิ กรรมเคลอื่ นไหวรา่ งกายวนั ละครง้ั ครงั้ ละ ๒๐ - ๓๐ นาที สำ� หรบั ช้ันอนุบาลถึง ป.๕ โดยถือเป็นการพักออกก�ำลังกาย นอกจากน้ันโรงเรียนต้องมี สนามเด็กเล่นและสนามกีฬาให้เด็กได้ออกก�ำลังกายในช่วงหยุดพักเที่ยง และช่วง ก่อนเข้าเรียนและหลังเลิกเรียน สิ่งท่ีเขาห้ามคือ ห้ามลงโทษเด็กโดยการกักตัวไว้ • 276 •
ในหอ้ งระหวา่ งพกั เพราะจะเปน็ การปดิ กนั้ โอกาสวงิ่ เลน่ ออกกำ� ลงั กาย ซงึ่ เปน็ ผลรา้ ย ตอ่ การเรยี น เขาแนะนำ� ใหล้ งโทษเดก็ โดยวธิ อี นื่ เชน่ ใหเ้ ขา้ ควิ กนิ อาหารเปน็ คนสดุ ทา้ ย ถูกตดั สทิ ธพิ เิ ศษบางอย่าง เปน็ ตน้ กิจกรรมในห้องเรยี นทำ� งา่ ยๆ โดยใหน้ กั เรยี นไดเ้ คลือ่ นไหว ๑ - ๒ นาที ทกุ ๆ ๑๐ - ๒๐ นาทขี องเวลาเรยี น เพอื่ เผาผลาญพลงั งาน และเพม่ิ พลงั การเรยี นรู้ มคี รู ชน้ั อนบุ าล - ป.๕ คนหนงึ่ หวั ใส รเิ รมิ่ พานกั เรยี นออกไป “เดนิ เตมิ พลงั ” (power walk) ที่ทุง่ หญ้าขา้ งโรงเรยี น ๑๐ นาที เพ่ือกอ่ ความคกึ คัก และท�ำกันทง้ั โรงเรยี น เขาแนะน�ำให้จัดนักเรียนเป็น “ทีมเพ่ิมพลัง” (energizer team) หรือ “ทีม ครูฝึก” (personal trainer) ทีมละ ๔ คนในชั้น อนุบาล - ป.๕ และทีม ๕ คน ในชน้ั โตกว่านั้น โดยครจู ะส่งสญั ญาณให้เริ่มท�ำงานทุกๆ ๑๕ - ๒๕ นาที กิจกรรม เพิม่ พลังนีใ้ ช้เวลาครัง้ ละ ๑ - ๒ นาทเี ทา่ น้นั โดยมีกิจกรรมตอ่ ไปนี้ ใหน้ กั เรยี นวงิ่ อยกู่ บั ทเี่ ปน็ เวลานาน ๑ นาที เมอ่ื เรมิ่ จะสงั เกตเหน็ วา่ นกั เรยี น ตืน่ เต้น จะยิ่งสนุกหากมกี ารแข่งขันกันเล่นๆ หรอื ร่วมมอื กัน บูรณาการการเคลื่อนไหวเข้ากับสาระการเรียนรู้ โดยเขาแนะน�ำวิธีการใน เวบ็ ไซต์ action - based learning ซงึ่ มหี ลายเวบ็ ไซต์ เชน่ https://www.youthfit.com https://www.abllab.com และ https://insidetheclassroomoutsidethebox.wordpress.com จัดกิจกรรมที่ท�ำรว่ มกันท้ังชน้ั เชน่ ใหน้ ักเรียนคนหน่งึ สอนจังหวะเต้นรำ� ให้นักเรียนคนหนึ่ง อาสาสมัครท�ำหน้าท่ีผู้น�ำ เดิน หรือเต้น ให้คนอื่นๆ ท�ำตาม เป็นเวลา ๔๕ วนิ าที จัดนักเรียนเป็นทีมเพื่อเล่นกีฬาสมมติ ให้ทีมหนึ่งยืนข้ึนและร่วมกันเลือก กฬี าทชี่ อบ คนหนง่ึ แสดงทา่ ทางของกฬี านนั้ โดยลกู ทมี ทำ� ตาม เปน็ เวลา ๓๐ วนิ าที แลว้ เปล่ียนทีม ไม่ว่าในระดับเด็กเล็กหรือเด็กโต ต่างก็ต้องการและชอบการเคลื่อนไหวท้ังส้ิน ตามธรรมชาติ เพ่อื กระตนุ้ การเจรญิ เตบิ โตของสมอง •277•
เรื่องเล่าจากหอ้ งเรยี น ค่ายวันเดก็ ปี ๖๑ คุณครู ๗ คนจากโรงเรยี นเพลนิ พัฒนา น�ำโดยคุณครญู า - มนสั นนั ท์ จนุ่ บญุ ไดช้ วนกนั ไปจดั กจิ กรรมวนั เดก็ ใหก้ บั เดก็ ๆ ๑๑๕ คน ทโ่ี รงเรยี น บ้านพลาญชัย ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ระหว่างวันท่ี ๑๓ - ๑๔ มกราคม ๒๕๖๑ การจดั คา่ ยในครงั้ นมี้ ที ม่ี าจากการที่ คณุ ครปู า - ปาจารยี ์ เพมิ่ เพยี ร ได้มีโอกาสมาร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “กลวิธีการสร้างแรงบันดาลใจให้ ผเู้ รยี นสนกุ กบั การเรยี นรภู้ าษาไทย” ทโ่ี รงเรยี นเพลนิ พฒั นาเมอื่ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๐ (ดูรายละเอียดเพ่ิมเติมได้ที่ ศาสตร์และศิลป์ของการสอน http://goo.gl/dG4y4J บทท่ี ๘) ครูปาอยากให้เด็กๆ ท่ีโรงเรียนได้มีโอกาสทดลองท�ำกิจกรรมคล้ายๆ กับท่ีโรงเรียนเพลินพัฒนาบ้าง ความร่วมมือกันระหว่างคณะครูท้ัง ๒ โรงเรียนจึง ได้เรมิ่ ตน้ ข้นึ ครปู าเลา่ ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ใหฟ้ งั วา่ เดก็ สว่ นใหญข่ าดพอ่ แม่ เรยี นอยชู่ นั้ ป.๔ - ม.๓ ใช้ชีวิตอยู่กับตายาย และไม่ค่อยสนใจวัฒนธรรมท้องถ่ิน การเรียนรู้ท่ีโรงเรียน ไมค่ อ่ ยมกี จิ กรรมอะไรใหท้ ำ� มากนกั คณะครอู าสาจงึ ตง้ั ใจอยา่ งเตม็ ทที่ จี่ ะทำ� ใหเ้ ดก็ ทกุ คนไดร้ บั ประสบการณท์ ม่ี คี ณุ คา่ ทจี่ ะตดิ ตวั เขาไปตลอดชวี ติ โดยเรม่ิ จากการศกึ ษา ว่าในอ�ำเภอช่องเม็กท่ีโรงเรียนต้ังอยู่มีภูมิปัญญาท้องถ่ินอะไร และมีคุณครูท่านใด ทส่ี นใจในภูมิปัญญาท้องถ่นิ เรื่องใดบ้าง ค่ายอาสาครั้งนี้นอกจากจะมีกิจกรรมสันทนาการและบายศรีสู่ขวัญซึ่งเป็น เอกลักษณ์ประจ�ำของชาวค่ายแล้ว จึงมีการเตรียมฐานการเรียนรู้เอาไว้ให้เด็กๆ โรงเรยี นบา้ นพลาญชยั ไดม้ โี อกาสสมั ผสั กบั การเรยี นรใู้ นรปู แบบทผี่ เู้ รยี นเปน็ ผสู้ รา้ ง ความรู้เอง และในขณะเดียวกันก็ได้พบกับภูมิปัญญาท้องถ่ินของตนในแง่มุมใหม่ ไดแ้ ก่ ฐานดนตรอี สี าน ทม่ี กี ารเปดิ ใจใหต้ น่ื ขนึ้ ดว้ ยเสยี งแคนของคณุ ครบู า้ นพลาญชยั ไปพรอ้ มกบั การรำ� เซง้ิ ของคณุ ครจู ากโรงเรยี นเพลนิ พฒั นา และการไดพ้ บกบั ความดี ความงามของภมู ปิ ญั ญาอสี านทหี่ มอลำ� เลอ่ื งชอื่ บานเยน็ รากแกน่ ไดบ้ อกเลา่ กลา่ ว เอาไว้จากคลิปวีดทิ ัศนด์ ว้ ย • 278 •
• 279 •
ฐานวทิ ยค์ ณติ มโี จทยใ์ หเ้ ดก็ ๆ ในกลมุ่ วางแผนกนั วา่ จะตอ้ งใชข้ า้ วเหนยี วเทา่ ไร ใช้ไข่ และเกลือ เท่าไร โดยใหห้ ยิบไดค้ รั้งเดยี ว และตอ้ งคิดเผ่อื ให้เพื่อนๆ กลมุ่ อ่ืน ไดท้ ดลองทำ� ดว้ ย และขา้ วเหนยี วทเี่ ตรยี มไวน้ มี้ ปี รมิ าณทพี่ อเหมาะ หากวางแผนได้ ถูกต้อง ทกุ คนจะได้กิน เมื่อได้พบกับโจทย์ท้าทายเชน่ น้ี และกิจกรรมการทำ� ข้าวจ่ี กเ็ ปน็ อาหารทเ่ี ดก็ ๆ คนุ้ เคย แตเ่ มอื่ ใหโ้ จทยแ์ บบนี้ เดก็ ๆ สนใจและชว่ ยเหลอื กนั ดมี าก ลองน�ำข้าวสารเหนียว เกลือ มาลองช่ังดู และส่งตัวแทนไปหยิบ เสร็จแล้วทุกคน มาปั้นและท�ำข้าวจี่ ท่ีลุ้นคือไข่ท่ีหยิบมาจะพอชุบให้ทุกคนไหม สุดท้ายทุกคนได้ อ่มิ อรอ่ ยกบั ข้าวจ่ีฝีมือตัวเอง และยังร่วมแลกเปลีย่ นส่ิงที่ได้เรียนร้ใู นความธรรมดา ทไ่ี ม่ธรรมดาอีกด้วย • 280 •
ฐานลายไทย เริ่มจากเปิดคลิปวีดิทัศน์ให้ชม เพื่อสร้างความภาคภูมิใจและ รักความเป็นไทย จากการได้เห็นภาพชาวต่างชาติมาหัดเรียนเขียนภาษาไทย มาเรียนมวยไทย เรยี นโขน เรียนท�ำอาหารไทยด้วยความสนใจและต้ังใจทจ่ี ะรกั ษา วฒั นธรรมไทยเอาไว้ แลว้ จงึ แลกเปลยี่ นความรสู้ กึ รว่ มกนั จากนนั้ ครถู ามเดก็ ๆ วา่ เคย เห็นลายไทยที่ไหนบ้าง แล้วจึงพามารู้จักชื่อลายต่างๆ ตอนที่ท�ำกิจกรรมครูชวนให้ นกั เรยี นดตู วั อยา่ งภาพทค่ี รวู าดขนึ้ เอง เพอื่ ใชเ้ ปน็ สอื่ ในหอ้ งเรยี นของนกั เรยี นชนั้ ๒ ของโรงเรยี นเพลนิ พฒั นาดว้ ย สอ่ื ทคี่ รนู ำ� ไปดว้ ยมที ง้ั ลายกระจงั ฟนั สาม ลายกระจงั ฟนั หา้ ลายกระจังตาออ้ ย ลายเถาเลอ้ื ย ลายเถาขด ลายเถาไขว้ ลายกระจงั ใบเทศ ลายกนกเปลว ลายประจ�ำยาม ลายลายบัว และลายน้�ำ ซ่ึงก็คือทุกลายที่สอนให้ กับนักเรียนชั้น ๒ ที่โรงเรียนเพลินพัฒนาน่ันเอง นอกจากนี้ครูยังได้น�ำตัวอย่าง ผลงานของนกั เรยี นชนั้ ๒ ไปใหด้ ดู ว้ ยวา่ นอ้ งๆ ตง้ั ใจทำ� งานกนั อยา่ งสดุ ฝมี อื แคไ่ หน พวกเขาดจู ะท่งึ กับผลงานของนอ้ งมาก ตวั อยา่ งสอ่ื การเรยี นรลู้ ายดอกบวั และลายนำ้� ของ คณุ ครตู อ้ ง - นฤตยา ถาวรพรหม ที่กลายมาเปน็ แรงบันดาลใจในการวาดลายไทยให้กบั เดก็ ๆ อกี หลายตอ่ หลายคน • 281 •
เมอ่ื ทกุ คนวาดรปู เรยี บรอ้ ยแลว้ กช็ ว่ ยกนั นำ� ภาพทวี่ าดไวไ้ ปทำ� เปน็ ปกสมดุ บนั ทกึ ทำ� มอื ทท่ี ำ� ขน้ึ จากการนำ� กระดาษใชแ้ ลว้ หนา้ เดยี ว ๒๐ แผน่ โดยครบู อกวธิ กี ารทำ� แล้วให้พวกเขาช่วยกันท�ำจนส�ำเร็จ ในฐานนี้มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งท่ีคุณครูสังเกตว่า เขามกั ไมค่ อ่ ยตง้ั ใจเขา้ รว่ มกจิ กรรม และชอบไปปนี ตน้ ไม้ จนตกมาบาดเจบ็ แตเ่ มอ่ื เขามาทำ� กจิ กรรมวาดลายไทย ดเู ขาตง้ั ใจและชอบมาก เขาวาดแลว้ เอามาใหค้ รดู แู ลว้ ดูอีก ในตอนท้ายกิจกรรมครูจึงขอถ่ายรูปผลงานของเด็กๆ โรงเรียนบ้านพลาญชัย เพอ่ื นำ� กลบั มาใหน้ อ้ งๆ ที่เพลินพัฒนาดูบ้าง • 282 •
ฐานภาษาองั กฤษ เปน็ เรอ่ื งการนำ� คำ� ศพั ทใ์ นชวี ติ ประจำ� วนั และเรอ่ื งทศิ ทางมาพาเดก็ ๆ ได้เรียนรู้ โดยให้คนอ่านค�ำศัพท์บอกให้เพ่ือนอีกคนที่ปิดตาอยู่ เดินไปให้ถึงที่หมาย เด็กๆ สนุกและรูส้ ึกว่าถึงแมจ้ ะเปน็ ภาษาองั กฤษทีไ่ ม่คุน้ เคย แต่กย็ งั สนใจท่จี ะเรียนรู้ ฐานการคิด ช่วงแรกฝึกสมองสองซีกโดยการมองผ่านกระจก ชวนคิดกระจกมีไว้ ใช้อะไรเด็กๆ ทุกกลุ่มจะตอบเหมือนกันว่าไว้ส่อง และบอกว่าวันนี้เราจะน�ำกระจกมาใช้ ฝกึ สมองเดก็ ๆ ตนื่ เตน้ และอยากลองทำ� พอดกี ระจกทเ่ี ตรยี มมารา้ วใชไ้ มไ่ ด้ ๑ อนั เลยเปน็ โอกาสให้ครูได้ฝึกเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) จากปัญหาท่ีเกิดข้ึนจริง ด้วยการ ขอคนทเ่ี ต็มใจเสียสละทำ� กิจกรรมหลังจากท่ีเพอ่ื นคนอ่นื ๆ ใช้สื่อเสร็จแล้ว • 283 •
ช่วงที่สองเป็นการย้ายก้านไม้ขีดเพื่อให้ภาพเปล่ียนด้าน ฐานน้ีอายุไม่ส�ำคัญ เพราะความสามารถในการคิดของเด็กๆ แตกต่างกันไป ในช่วงแลกเปลี่ยนเด็กๆ บอกวา่ จะลองกลบั ไปเลน่ กบั กระจก และก้านไมข้ ีดที่บ้านตัวเองกันต่อ ความสุข ความม่ันใจที่เกิดจากการได้พบคุณค่าของการเรียนรู้ฉายชัดอยู่ใน แววตาทุกคู่ ประกายตาเหล่านเ้ี องทที่ ำ� ใหว้ ันทีด่ ที ่ีสดุ ของโรงเรียนเริม่ ต้นขนึ้ ชว่ งคำ�่ เปน็ พธิ บี ายศรสี ขู่ วญั ดว้ ยการผกู ขอ้ มอื จากทมี อาสาและทมี คณุ ครู รวมทง้ั ผู้ใหญ่ของชุมชนท่ีทางโรงเรียนเชิญมาร่วมพิธี เม่ือผูกข้อมือเสร็จทีมอาสาพูดถึง การเดินทางมาเพ่ือมอบประสบการณ์ดีให้กับเด็กทุกคนท่ีน่ีว่า เพราะเด็กทุกคน มีคณุ คา่ มีความสำ� คัญ พวกเราจงึ เดินทางมาหา พร้อมกับรอ้ งเพลงเด็กดง่ั ดวงดาว ใหก้ บั พวกเขา กจิ กรรมวนั แรกสนิ้ สดุ ลงตอนประมาณสองทมุ่ กวา่ หลงั จากทส่ี ง่ เดก็ ๆ เข้านอนแล้ว ทีมอาสาและทีมคุณครูบ้านพลาญชัยจึงได้มาร่วมกันสรุปกิจกรรม และประเมนิ ผลการจัดกจิ กรรมในวนั แรกด้วยกนั วันที่สอง เด็กๆ ต่ืนตอนตีห้ากว่ามาท�ำกิจกรรมสมาธิแสงสว่าง และโรงเรียน บา้ นพลาญชยั ตน่ื ตอ่ ดว้ ยโยคะยามเชา้ และกายบรหิ าร กจิ กรรมในวนั นเี้ ปน็ การฝกึ เรือ่ งของการเหน็ คุณคา่ ในตวั เอง ผ่านการเลน่ ตาข่ายไฟฟา้ แม่นำ�้ พิษ และการพับ หวั ใจเพอ่ื บอกเลา่ ความฝนั ของตวั เอง ตอนปดิ คา่ ยครญู าเลา่ เรอ่ื งราวของแรงบนั ดาลใจ ของทีมอาสาว่า ทุกคนได้รับแบบอย่าง และแรงบันดาลใจท่ีดีงามมาจากในหลวง รัชกาลท่ี ๙ จึงอยากจะขอส่งต่อพลังความต้ังใจในการท�ำความดีเพ่ือผู้อื่นเอาไว้ให้ กบั เด็กๆ และเพ่ือนครทู ่ีน่ดี ้วย เพื่อใหพ้ ลังของการสง่ ต่อความดีนีย้ งั คงอยูต่ ลอดไป • 284 •
๒๕ เตรียมเข้ามหาวทิ ยาลยั หรือเขา้ สอู่ าชีพ บันทึกนี้เป็นบันทึกสุดท้ายใน ๓ บันทึก ภายใต้ชุดความคิดเพื่อความส�ำเร็จ ของนกั เรยี น (graduation mindset) ตีความจาก Chapter 20 : Prepare for College or Careers สาระหลักของบันทึกนี้คือ มีนักเรียนจ�ำนวนหนึ่งที่เรียนไม่เก่งแต่จะเรียนดีขึ้น ทนั ตา หากครจู ดั การเรยี นรแู้ บบใหม่ ทใี่ หน้ กั เรยี นฝกึ ปฏบิ ตั โิ ดยใชม้ อื ทำ� กจิ กรรม ทางกาย หรือออกไปเรียนนอกห้อง นักเรียนเหล่าน้ีจะเรียนได้ดีหากมีกิจกรรม ฝึกวิชาชีพ เรียนนอกห้อง เรียนโดยท�ำโครงงาน ทัศนศึกษา เรียนโดยฝึกปฏิบัติ และเรียนรับใชช้ ุมชน (service learning) การให้นักเรียนระดับประถมท�ำกิจกรรมเหล่านี้ใกล้ๆ โรงเรียน แค่ได้ออกไป ทัศนศึกษาใกล้ๆ เด็กก็ตื่นเต้นแล้ว แต่จะให้ได้เรียนรู้มากกว่าต้องให้นักเรียนท�ำ โครงงานเล็กๆ จากกิจกรรมนอกห้องเรียนด้วย และแม้ท�ำโครงงานเล็กๆ นอก ห้องเรยี นแต่อยใู่ นบรเิ วณโรงเรยี นก็ชว่ ยสรา้ งความตน่ื ตัวในการเรยี นไดม้ าก ครพู งึ ตระหนกั วา่ นกั เรยี นเบอ่ื เมอ่ื อยใู่ นหอ้ งเรยี น หรอื ตอ้ งนง่ั นง่ิ ๆ เปน็ เวลานาน และมีนักเรียนจ�ำนวนหนึ่งท่ีเบ่ือง่ายกว่าคนอ่ืนๆ ครูพึงเอาใจศิษย์มาใส่ใจตัวเอง โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ใจที่นกึ ถงึ อนาคตของตัวเอง เขาแนะน�ำรายการค�ำถามต่อไปน้ี • 285 •
คำ� ถามเก่ยี วกับความพรอ้ มเข้าเรียนมหาวทิ ยาลัย นักเรียนมีทักษะชีวิตไปเผชิญชีวิตในมหาวิทยาลัยหรือไม่ นักเรียนมีทักษะการ เรียนรู้วิชาต่างๆ หรือไม่ นักเรียนมีที่ปรึกษาท่ีตนใกล้ชิดเอาไว้ปรึกษายามจ�ำเป็น หรอื ไม่ หากนกั เรยี นไมไ่ ดร้ บั ทนุ การศกึ ษา จะทำ� อยา่ งไร ในบรบิ ทของสหรฐั อเมรกิ า เขาบอกให้นักเรียนรู้ว่ามีมหาวิทยาลัยที่เรียนออนไลน์ฟรี ชื่อ The University of the People (https://www.uopeople.edu/) แต่หากต้องการสอบเพื่อรับปริญญา มีค่าใชจ้ า่ ยราวๆ ๔,๐๐๐ เหรยี ญสหรัฐ คำ� ถามเกี่ยวกับความพรอ้ มเขา้ สูอ่ าชีพ นักเรียนที่เรียนจบออกไปมีเอกสารสรุปข้อมูลส่วนตัวและประวัติการเรียน ประสบการณ์ที่ส�ำคัญ (resume) ส�ำหรับเป็นหลักฐานรับรองสมรรถนะในการ ทำ� งานหรอื ไม่ นกั เรยี นทกุ คนมที กั ษะเขา้ รบั การสมั ภาษณเ์ ขา้ งาน โดยผา่ นการฝกึ และไดร้ บั feedback หรอื ไม่ นกั เรยี นแตล่ ะคนมงี านทตี่ อบรบั แลว้ หรอื อยใู่ นรายชอ่ื รอเรยี กเขา้ ทำ� งานหรือไม่ นักเรียนแตล่ ะคนมที ่ีปรึกษายามต้องการหรือไม่ หนงั สอื แนะนำ� เวบ็ ไซตช์ ว่ ยแนะนำ� การสมคั รเขา้ เรยี นมหาวทิ ยาลยั ทค่ี รคู วรเขา้ ไป ทำ� ความเขา้ ใจพรอ้ มกบั นกั เรยี น เพอ่ื ชว่ ยทำ� ความเขา้ ใจ ในสหรฐั อเมรกิ ามวี ทิ ยาลยั ชมุ ชน (community college) ทส่ี อนวชิ าชพี ทคี่ รคู วรแนะนำ� ใหน้ กั เรยี นรจู้ กั ซงึ่ จะ ตรงกบั คำ� แนะนำ� ของครชู น้ั มธั ยมตน้ ของไทยทแี่ นะนำ� ใหน้ กั เรยี นพจิ ารณาเขา้ เรยี น วิทยาลัยอาชีวะ หลังเรียนจบ ม.๓ ซ่ึงจะเป็นเส้นทางสู่การเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ในภายหลังได้ ตัวอย่างต่อจากนี้เป็นตัวอย่างท่ีโรงเรียนคุณภาพสูง ในการด�ำเนินการช่วย นกั เรยี นเขา้ สมู่ หาวทิ ยาลยั หรอื เขา้ ส่อู าชีพอยา่ งไดผ้ ลดี กลยทุ ธเตรียมนกั เรยี นเข้ามหาวิทยาลัยและสอู่ าชีพ ต่อไปน้ีเป็นวิธีการท่ีโรงเรียนคุณภาพสูงในสหรัฐอเมริกาใช้ท้ังโรงเรียนระดับ ประถมและระดับมธั ยม • 286 •
ใหม้ โี อกาสไดไ้ ปเหน็ หรอื มปี ระสบการณ์ เชน่ ใหน้ กั เรยี นชน้ั ป.๕ จบั คู่ รว่ มกนั ไปเยยี่ มมหาวทิ ยาลยั หรอื สถาบนั อาชวี ศกึ ษาใกลๆ้ และศกึ ษาขอ้ มลู เชน่ คา่ เลา่ เรยี น ทนุ ชว่ ยเหลอื การศกึ ษา สาขาทสี่ อน ตำ� แหนง่ ทต่ี ง้ั อายขุ องนกั ศกึ ษา เปน็ ตน้ นำ� มา ทำ� โปสเตอร์ สำ� หรบั นำ� เสนอตอ่ นกั เรยี นชนั้ ป.๒ ซง่ึ ผมคดิ วา่ ในกรณขี องบรบิ ทไทย สามารถดำ� เนนิ การไดใ้ นหลายรปู แบบ เชน่ ใหน้ กั เรยี นแยกยา้ ยกนั ไปศกึ ษาสถาบนั ทีอ่ ยู่ไมไ่ กลจากโรงเรียนนัก ทีมละ ๑ สถาบัน หากจะซำ�้ สถาบันก็ใหซ้ ้�ำไดส้ ถาบนั ละไม่เกนิ ๓ ทีม นำ� มาจดั ทำ� โปสเตอรเ์ สนอตอ่ เพอื่ นๆ ในช้นั หรือในโรงเรยี น หนงั สอื เอย่ ถงึ การใหน้ กั เรยี นชน้ั ป.๔ จบั คกู่ บั เพอ่ื นเพอื่ ศกึ ษาอาชพี ทตี่ อ้ งการวฒุ ิ ม.๓ เช่น ชา่ งหลอ่ ชา่ งไฟ ชา่ งกอ่ สร้าง พนกั งานทำ� ความสะอาดภายในเคร่อื งบนิ เปน็ ต้น เช่ือมโยงพฤติกรรมเข้ากับผลต่อตนเอง ช่วยให้นักเรียนท�ำกิจกรรมและ เช่ือมผลลัพธ์ของงานสู่เป้าหมายในชีวิต “เวลาที่เธอใช้ท�ำการบ้านจะมีความหมาย ตอ่ อนาคตของเธอ มันจะชว่ ยให้เธอเข้าเรียนในมหาวทิ ยาลยั ได้” เชอื่ มโยงสาระวชิ าเขา้ กบั อนาคตการงาน เชน่ ในนกั เรยี นชน้ั มธั ยมเมอ่ื เรยี น วิชาใด ครูเอ่ยถึงหน้าท่ีการงานที่ใช้ความรู้และทักษะของวิชานั้นๆ หาทางให้คน ในอาชีพนน้ั ๆ มาแชรป์ ระสบการณก์ บั นักเรยี น ใช้ถ้อยค�ำท่ีให้ความหวัง เช่น ไม่ใช้ค�ำว่า “ถ้าเธอเรียนจบ” แต่ใช้ค�ำว่า “เม่ือเธอเรยี นจบ” ไม่ใชค้ �ำว่า “ถ้าเธอเข้าเรยี นมหาวทิ ยาลัย” แตใ่ ช้ค�ำวา่ “เม่ือเธอ เขา้ เรียนมหาวทิ ยาลยั ” จัดการเรียนเสรมิ แกน่ กั เรียนชั้นมธั ยม ดงั ตวั อย่าง - จัดติวเตอร์จากมหาวิทยาลัยท่ีอยู่ใกล้ๆ มาสอนทุกวันหลังชั้นเรียน เปน็ เวลา ๔๕ นาที (โดยไมม่ คี า่ ใชจ้ า่ ย) เพอ่ื ชว่ ยใหน้ กั เรยี นทำ� การบา้ น ถกู หมด - มีครทู ปี่ รึกษาทที่ ำ� งานเขม้ แขง็ ใหแ้ ก่นักเรยี นใหม่ทกุ คน - กรณที พ่ี อ่ แมเ่ ดก็ เปน็ คนตา่ งชาตทิ อี่ พยพเขา้ เมอื ง โรงเรยี นจดั บรกิ ารแปล ภาษาให้ - หาทนุ เป็นค่าเดนิ ทางแกเ่ ด็กยากจน • 287 •
- สง่ เสริมใหน้ ักเรียนเข้าเรียนชัน้ เข้มข้น (honor class) ทางอินเทอร์เน็ต (www.avid.org) เพ่อื กระตนุ้ แรงบันดาลใจ - นักเรียนต้ังแต่ชั้น ม.๑ เป็นต้นไป ทุกคนต้องเข้าร่วมนิทรรศการของ โรงเรยี นและร่วมสัปดาห์วิทยาศาสตร์ของโรงเรยี น - จัดการประชุมปฏิบัติการเรื่อง “เมื่อลูกเข้ามหาวิทยาลัย” ให้แก่พ่อแม่ ผปู้ กครอง เพ่ือให้พ่อแม่ผู้ปกครองส่งเสริมลูกให้ประสบความส�ำเร็จใน การเรียน หนงั สอื ยกตวั อยา่ งโรงเรยี นทน่ี กั เรยี นทกุ คนเปน็ เดก็ ยากจน แตร่ อ้ ยละ ๙๐ ของ นักเรียนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย (หรือวิทยาลัยชุมชน) กิจกรรมตัวอย่างข้างต้น เป็นกจิ กรรมในบริบทของอเมรกิ า โรงเรียนไทยตอ้ งปรับให้เขา้ กับบริบทของเรา กลยุทธหนนุ สอู่ าชีพและอาชีวศกึ ษา โรงเรียนต้องไม่มุ่งให้นักเรียนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย (หรือวิทยาลัยอาชีวะ) เพียงอย่างเดียว ต้องด�ำเนินการเตรียมนักเรียนเข้าสู่อาชีพไปพร้อมๆ กันด้วย ตวั อยา่ งของอาชพี ทค่ี วรใหน้ กั เรยี นได้ฝึก ได้แก่ การลงรหัสคอมพิวเตอร์ และพัฒนาซอฟต์แวร์ ชา่ งอตุ สาหกรรม (ช่างเชือ่ ม ชา่ งกอ่ สรา้ ง ช่างประปา) ช่างบรกิ ารวทิ ยุ โทรทศั น์ ชา่ งเทคโนโลยกี ารสอื่ สาร ช่างระบบขอ้ มลู นกั วิทยาศาสตร์การอาหาร พอ่ ครวั นกั การตลาด นักธุรกิจ นักการเกษตร เทคนคิ และธรุ กจิ การเลย้ี งสัตว์ กจิ การดา้ นการทอ่ งเทีย่ ว และอตุ สาหกรรมบรกิ าร กิจการรักษาความปลอดภัย และบังคับใชก้ ฎหมาย ตวั อยา่ งขา้ งบนเปน็ บรบิ ทอเมรกิ า โรงเรยี นไทยพงึ ปรบั ตามบรบิ ทไทย และทอ้ งถนิ่ ท่ีโรงเรยี นตง้ั อยู่ • 288 •
เขาแนะนำ� ใหโ้ รงเรยี นจดั ใหม้ โี ปรแกรมการสอนทกั ษะอาชพี อยา่ งเปน็ กจิ ลกั ษณะ ไม่ใช่แค่เป็นกิจกรรมให้นักเรียนเลือกเรียนนอกเวลาเรียน หรือเป็นวิชาเลือก กิจกรรมนี้จ�ำเป็นมากส�ำหรับโรงเรียนในเขตยากจน กิจกรรมเหล่าน้ีจะช่วยลด พฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของเด็กวัยรุ่นลงอย่างมากมาย และท�ำให้เด็กอยากมา โรงเรียน เขาแนะน�ำโมเดลการด�ำเนินการของโรงเรียนแห่งหนึ่งในรัฐแมสซาชูเซตส์ ท่ีด�ำเนินการได้ผลดีมีชื่อเสียงมาก โดยร้อยละ ๙๖ ของนักเรียนสามารถผ่านการ สอบชน้ั ม.ปลาย ทีเ่ ข้มงวดของรัฐ โดยโมเดลดังกลา่ วมอี งคป์ ระกอบ ๓ สว่ น คือ ๑. ตดิ ตอ่ กระทรวงศกึ ษาธกิ ารของรฐั เพอื่ ปรกึ ษาวา่ มลี ทู่ างผสมผสานการศกึ ษา เพื่ออาชีพ และการศกึ ษาเชิงเทคนคิ เขา้ กบั กิจกรรมในโรงเรยี นอยา่ งไรบ้าง ๒. เริ่มชา้ ๆ เพ่ิมปีละ ๑ โปรแกรม ๓. จดั มินโิ ปรแกรมทีใ่ ชเ้ วลาน้อยกว่า ดงั ตวั อย่าง - นกั เรยี นคน้ ควา้ และดำ� เนนิ การฝกึ ซอ้ ม กรณเี กดิ เพลงิ ไหม้ จบั ตวั ประกนั น้�ำท่วมหรือมีการรังแกกนั - นักเรยี นพัฒนาความสัมพันธก์ บั ธุรกจิ ในทอ้ งถิ่นเพ่ือการฝึกงาน - นกั เรยี นพฒั นาการดงู านภายในโรงเรยี นเพอ่ื เรยี นรจู้ ากเจา้ หนา้ ที่ เรยี นรู้ เรอื่ งต้นไม้ และการออกแบบสถาปัตยกรรม - นกั เรยี นจดั ทวั รส์ ถานประกอบการในทอ้ งถนิ่ ในชว่ งทม่ี กี ารเรยี นนอ้ ย เชน่ วันหยดุ หรือในสัปดาห์ทไ่ี ม่มีการสอบ - นกั เรยี นจดั กจิ กรรมรว่ มกบั องคก์ ารลกู เสอื เนตรนารี หรอื กจิ กรรมเดนิ ปา่ ในท้องถิ่น เขาแนะน�ำว่าอย่าพยายามผลักดันนักเรียนทุกคนไปสู่เส้นทางเข้ามหาวิทยาลัย ส�ำหรับนักเรียนที่ไม่พร้อม หรือไม่อยากเข้ามหาวิทยาลัย เขาแนะน�ำแหล่งความรู้ สำ� หรับเดก็ เหล่านนั้ คือ • 289 •
หนงั สอื Better than College : How to Build a Successful Life Without a Four-Year Degree เขียนโดย Blake Boles หนงั สอื 40 Alternatives to College เขยี นโดย James Altucher TED และ TEDx Talk แนะน�ำอาชีพ ค้นในกลุ่ม education หน้าท่ีของครูคือ ให้ศิษย์ได้เห็นลู่ทางอาชีพที่หลากหลาย ส�ำหรับเลือกตาม ที่ตนชอบและเหมาะต่อตนเองโดยครูไทยพึงปรับค�ำแนะน�ำเหล่าน้ีให้เหมาะต่อ บริบทไทย และบริบททอ้ งถิ่นของศษิ ย์ เปลยี่ นวาทกรรม เปลีย่ นพฤตกิ รรม ครูต้องตดั สินใจว่าจะสมาทานชดุ ความคิด “ฉนั ได้พยายามคิดบวกแล้ว แต่เดก็ เหล่านี้มาจากสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด ฉันไม่คิดว่าเขาจะประสบความส�ำเร็จ ในชวี ติ ” หรอื “ฉนั เอาใจใสเ่ รอ่ื งสำ� คญั ทจี่ ะชว่ ยใหศ้ ษิ ยเ์ ขา้ มหาวทิ ยาลยั ไดห้ รอื พรอ้ ม ท�ำงาน” • 290 •
๒๖ บทสง่ ท้าย บันทึกน้เี ป็นบนั ทึกสดุ ท้ายของบนั ทกึ ชุดสอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลน ตีความจาก Epilogue และจากการใคร่ครวญสะทอ้ นคิดของผมเอง สาระหลกั ของบนั ทึกนค้ี อื เพ่ือบรรลเุ ปา้ หมายของการทำ� หน้าท่คี รทู ่ี “สอนเขม้ เพอื่ ศษิ ยข์ าดแคลน” ครตู อ้ งสรา้ งระบบ “ตวั ชว่ ย” ใหแ้ กต่ นเองเพอื่ ใหส้ ามารถดำ� รง ความมกี ำ� ลงั ใจ มสี ตอิ ยกู่ บั ความมงุ่ มน่ั “ครเู พอื่ ศษิ ย”์ ไมพ่ า่ ยแพต้ อ่ แรงเฉอ่ื ย และ แรงเฉ จากสภาพแวดลอ้ ม สภาพสงั คม และสภาพในโรงเรยี นทไี่ ปในทางตรงกนั ขา้ ม หนงั สอื บอกวา่ ในสหรฐั อเมรกิ าครทู ไ่ี ดช้ อื่ วา่ มผี ลงานยอดเยยี่ ม (สอนแลว้ ศษิ ยไ์ ด้ ผลลพั ธก์ ารเรยี นรเู้ ทา่ กบั เรยี น ๒ ปใี นเวลาเรยี นปเี ดยี ว) ประสบความสำ� เรจ็ เพราะสอน นักเรียนขาดแคลนนี่เอง และโรงเรียนที่มีผลงานดีเด่นก็บรรลุได้จากกระบวนทัศน์ “ไม่แก้ตัว” แต่มุ่งม่ันด�ำเนินการให้ศิษย์ประสบความส�ำเร็จในการเรียนเพ่ือออกไป ประกอบอาชีพหรือไปเรียนต่อ นักเรียนจะมีความมานะพยายามและท�ำงานหนัก เพราะรวู้ า่ ตนจะประสบความสำ� เรจ็ โดยมคี รแู ละคนอนื่ ๆ คอยชว่ ยหนนุ อยา่ งไมล่ ดละ การสอนเป็นเร่ืองง่าย แต่การสอนให้ได้ผลดีเป็นเร่ืองยาก เป็นเร่ืองที่เรียกร้อง ความพยายาม ใจท่ีมุ่งม่ัน และเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงตนเองท่ีน�ำไปสู่ชีวิต ทมี่ คี วามหมายยงิ่ คอื การทำ� หนา้ ทค่ี รไู มใ่ ชแ่ คเ่ ปน็ การทำ� งานตามปกติ แตเ่ ปน็ เสน้ ทาง สชู่ ีวิตท่ีมคี ณุ คา่ สงู ย่งิ • 291 •
คุณค่าและศักด์ิศรีความเป็นครู มากับโอกาสสร้างการเปล่ียนแปลงให้แก่ศิษย์ ในดา้ นเจตคติ ศกั ยภาพในการเรยี น ความมานะพยายามและพฤตกิ รรมในหอ้ งเรยี น ซึง่ เปน็ ความทา้ ทายต่อครู แต่หนังสอื เลม่ นีบ้ อกว่าท�ำใหส้ �ำเร็จได้ พร้อมกับแนะนำ� วิธีการที่หลากหลายภายใต้ “ชุดความคิดท้ัง ๗” ที่เป็นวิธีการง่ายๆ แต่ได้ผลดียิ่ง และไม่ใช่มีเพียงวิธีการในหนังสือเล่มนี้เท่านั้น ครูยังสามารถคิดวิธีการข้ึนเองให้ เหมาะสมตอ่ บรบิ ทของนกั เรยี นได้ดว้ ย แตก่ ารอา่ นหนงั สอื หรอื บนั ทกึ ชดุ “สอนเขม้ เพอ่ื ศษิ ยข์ าดแคลน” นี้ ไมส่ ามารถ ช่วยให้บรรลุผลได้ จะให้เกิดผล ครูต้องลงมือท�ำและเรียนรู้ต่อเนื่อง โดยท่ีครูมี ทางเลอื กวา่ จะทำ� หรอื ไมท่ ำ� กไ็ ด้ ผมขอยนื ยนั วา่ ครทู เี่ ลอื กทำ� และทำ� อยา่ งเอาจรงิ เอาจงั ไม่ท้อถอย ท�ำแล้วใคร่ครวญสะท้อนคิด เพ่ือท�ำความเข้าใจและหาทางท�ำให้ได้ผล ดยี ง่ิ ขน้ึ ทำ� แลว้ ปรกึ ษาหารอื ครหู รอื ผมู้ ปี ระสบการณแ์ ละความสำ� เรจ็ มากอ่ น รวมทงั้ ชกั ชวนเพอ่ื นครรู นุ่ ราวใกลเ้ คยี งกนั ตงั้ เปน็ กลมุ่ ปฏบิ ตั กิ ารและเรยี นรู้ ผลลพั ธไ์ มม่ ที าง เป็นอื่น นอกจากประสบความส�ำเร็จในการเป็นครูที่ผลงานคุณภาพสูง และได้มี ความสุขใจจากการได้เห็นความส�ำเร็จของศิษย์คนแล้วคนเล่า ท่ีได้เปลี่ยนแปลง ชวี ติ ของนกั เรยี นจากครอบครวั ยากจนขาดแคลน เปน็ นกั เรยี นทปี่ ระสบความสำ� เรจ็ ในการเรยี นและในชีวติ ย่ิงไปกว่าน้ันตัวครูเองจะเกิดการเปล่ียนแปลง (transformation) จากการฝึก เปลยี่ นชดุ ความคดิ ทงั้ ๗ กลายเปน็ “มนษุ ยพ์ นั ธบ์ุ วก” ทม่ี ชี ดุ ความคดิ แหง่ ความหวงั แห่งการลงมือปฏิบัติ และแห่งการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ือง ชีวิตของ ครตู วั เลก็ ๆ จะกลายเปน็ ชวี ติ ทยี่ ง่ิ ใหญ่ ทบ่ี รรลเุ ปา้ หมายทท่ี า้ ทายในการเปน็ ครขู อง ตนเองได้ ครูท่ีเดินตามเส้นทางน้ีจะเป็นบุคคลที่ “ลิขิตชีวิตตนเอง” ได้ ไม่ใช่รอ หรอื ยอมใหค้ นอน่ื หรอื ระบบการศกึ ษามาลขิ ติ หรอื บงการ โดยมเี คลด็ ลบั คอื “ทมุ่ เท เตม็ ท”ี่ ไมม่ ขี อ้ ลงั เลสงสยั ในการทำ� งานหนกั และทำ� อยา่ งมหี ลกั วชิ า (ตามในหนงั สอื เล่มนี้) หวั ใจสำ� คญั คอื การเปน็ ครู ไมไ่ ดเ้ ปน็ “กรรม” หรอื ผถู้ กู กระทำ� ครตู อ้ งเลอื กเปน็ “ประธาน” (ผู้กระทำ� ) และเปน็ “กริยา” (การลงมือท�ำ) โดยทีก่ ารกระทำ� เร่มิ จาก การตงั้ เปา้ ทท่ี า้ ทาย การวางแผนยทุ ธศาสตร์ ลงมอื ทำ� เกบ็ ขอ้ มลู ผลของการกระทำ� • 292 •
น�ำมาสะท้อนคิด ใช้เป็น feedback ส�ำหรับปรับปรุงทั้งที่วิธีการและที่เป้าหมาย ทเ่ี รยี กวา่ double - loop learning เทา่ กบั ชวี ติ ครเู ปน็ ชวี ติ ทเ่ี รยี นรอู้ ยตู่ ลอดเวลา และ การเรยี นรทู้ ย่ี ง่ิ ใหญท่ สี่ ดุ คอื “การเรยี นรสู้ กู่ ารเปลยี่ นแปลงตนเอง” (transformative learning) ผา่ นเปา้ หมายชวี ติ ทย่ี ง่ิ ใหญค่ อื สรา้ งการเรยี นรสู้ กู่ ารเปลย่ี นแปลงตนเอง ให้แกศ่ ิษยท์ ุกคน เพื่อการน้ี เขาแนะน�ำชุดคำ� ถาม ๕ ขอ้ ใหค้ รูตอบ ดังตอ่ ไปน้ี เม่ือคุณเป็นนักเรียน ครูคนไหนบ้างท่ีท�ำให้คุณท�ำงานหนัก ครูคนไหนบ้าง ท่ีสร้างแรงจูงใจให้คุณตั้งใจเรียน และท�ำการบ้านครบ ครูเหล่านี้มีคุณสมบัติท่ีดี อะไรบ้าง คณุ จะทำ� ในท�ำนองเดยี วกนั ได้อย่างไร เม่ือคุณได้รับรู้เร่ืองราวของครูที่มีผลงานเด่น คุณรู้สึกอย่างไร คุณรู้สึกทึ่ง และมแี รงบันดาลใจ หรือรสู้ ึกวา่ ถูกคุกคาม และไมส่ นใจความสำ� เร็จน้นั เมอื่ คดิ ถงึ วิชาชพี ครู คณุ รู้สกึ วา่ ตนเองต้องลกุ ขึน้ ทำ� อะไรบางอยา่ งใหส้ ำ� เรจ็ คุณรู้สึกว่าครูต้องร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลงในการท�ำหน้าท่ีครูตั้งแต่บัดนี้ ใชห่ รือไม่ เม่ือเห็นผลคะแนนสอบของศิษย์ คุณคิดว่าเป็นคะแนนสูงสุดที่นักเรียนจะ ท�ำไดห้ รอื ไม่ คณุ คดิ หรือไมว่ า่ ครสู ามารถชว่ ยยกระดับศกั ยภาพในการเรียนรูข้ อง ศษิ ย์ให้สงู ขน้ึ ได้ เพ่อื ใหค้ ะแนนสอบสูงข้ึนไปอีก คณุ พร้อมจะท�ำงานนไ้ี หม เมื่อคุณพบว่าศิษย์จ�ำนวนหน่ึงมีท่าทีเฉ่ือยชา ไม่สนใจเรียน คุณจะพูดกับ นักเรียนกลุ่มน้ีว่าอย่างไร คุณเชื่อไหมว่า ความมานะพยายามเป็นส่ิงที่สอนได้ พฒั นาได้ และครชู ว่ ยได้ เขาแนะน�ำให้ตรวจสอบชุดความคิดสองชุดข้างล่าง และตอบตนเองว่าชุดไหน เป็นของตน (ผมปรับปรุงให้เขา้ กบั บริบทไทย) • 293 •
“ปญั หาทงั้ หลายของนกั เรยี น ไมไ่ ดเ้ กดิ จากความผดิ ของครู ครเู ปน็ เสมอื นเบยี้ ปัญหาอยู่ที่ตัวนักเรียนและพ่อแม่ไม่เอาใจใส่ ดังน้ันทุกคนจึงเครียดและนักเรียนก็ ออกไปจากระบบโรงเรยี น” “ฉนั มโี อกาสทจี่ ะเลอื ก ฉนั เลอื กทจ่ี ะจดั การสมองของฉนั ฉนั เตอื นสตติ นเอง ทุกวันว่าฉนั สามารถสรา้ งความส�ำเร็จในชีวิตให้แก่ศิษย์ได้ทุกคน” เม่ือครูเรียนรู้และปรับตัว นักเรียนจะซึมซับพลังนี้ไปโดยไม่รู้ตัว และข่าวดีคือ เมอ่ื ครพู ฒั นาวธิ ที ำ� งานตามในหนงั สอื เลม่ นไี้ ประยะหนง่ึ (ผมตคี วามวา่ สองสามป)ี ครูจะกลายเป็นครูที่มีผลงานสูง มีผลการวิจัยบอกว่า ครูท่ีมีผลงานสูงท�ำงานน้อย ชวั่ โมงตอ่ สปั ดาหก์ วา่ ครทู ม่ี ผี ลงานตำ่� ซง่ึ ผมตคี วามวา่ เปน็ ผลของการทำ� งานอยา่ งมี หลักวิชา และอย่างเปน็ ระบบ ไม่มั่ว เขาแนะน�ำให้สร้างระบบเตือนสติตนเองทุกวัน ให้ด�ำเนินการสู่เป้าหมายเพ่ือ ผลส�ำเร็จในการเรียนรู้สู่อาชีพและสู่การเรียนต่อของศิษย์ โดยตอบค�ำถาม ๗ ข้อ ตอ่ ไปนท้ี กุ วนั โดยตดิ คำ� ถามเหลา่ นไ้ี วท้ โี่ ตะ๊ ครู เปา้ หมายคอื เพอื่ ใหใ้ จตนเองมคี วาม มน่ั คงมงุ่ มน่ั ตอ่ เปา้ หมาย ไมว่ อกแวกแกวง่ ไกวไปตามปจั จยั ลบสารพดั ดา้ นทโี่ รงเรยี น และในระบบการศกึ ษาทีล่ ม้ เหลว ๑. ฉนั ไดท้ �ำดที ี่สุดแลว้ หรอื ยงั ในการสร้างปฏสิ มั พนั ธส์ ว่ นตวั กับศิษยท์ ุกคน ๒. ฉันได้ท�ำดีท่ีสุดแล้วหรือยัง ในการพัฒนาตัวเองและตัวศิษย์ ด้วยเป้าหมายท่ี ท้าทาย และด้วยความมุมานะด้วยอิทธิบาท ๔ ๓. วนั นฉี้ นั ไดท้ ำ� ดที ส่ี ดุ แลว้ หรอื ยงั ในการสรา้ งบรรยากาศมองโลกแงด่ มี คี วามหวงั และบรรยากาศกตัญญรู ู้คุณ ๔. ฉันไดท้ �ำดีทส่ี ุดแลว้ หรอื ยัง ในการสร้างหอ้ งเรียนท่มี ีบรรยากาศเรียนเขม้ ๕. ฉันได้ท�ำดีที่สุดแล้วหรือยัง ในการช่วยให้นักเรียนสามารถจัดระบบการเรียน และทำ� งานเสรจ็ ๖. ฉันได้ท�ำดีที่สุดแล้วหรือยัง ในการท�ำให้การเรียนการสอนมีความหมายต่อ ท้ังนกั เรียน และต่อตวั ฉนั เอง ๗. ฉนั ได้ท�ำดที ่ีสดุ แล้วหรอื ยัง ในการพุ่งเปา้ ไปทค่ี วามส�ำเร็จในการเรยี นของศิษย์ • 294 •
คำ� แนะนำ� สดุ ทา้ ยในหนงั สอื คอื จงเปลย่ี นแปลงตวั เองบอ่ ยๆ และเปลยี่ นอยา่ งมี เปา้ หมายท่ีทรงคณุ คา่ ผมตคี วามวา่ สาระสำ� คญั ทส่ี ดุ ในบนั ทกึ ชดุ ”สอนเขม้ เพอื่ ศษิ ยข์ าดแคลน” คอื ศิษย์จากครอบครัวยากจนและขาดแคลนมาโรงเรยี นดว้ ยสมองที่ไม่เตม็ ร้อย แตค่ รู สามารถใชว้ ธิ กี ารตา่ งๆ ทผ่ี มใชค้ ำ� วา่ “สอนเขม้ ” (ตามในรายละเอยี ดในบนั ทกึ ชดุ น)้ี ใหส้ มองของศษิ ยเ์ หลา่ นแี้ ปรสภาพเปน็ เตม็ รอ้ ยหรอื เกอื บเตม็ รอ้ ยได้ นำ� ไปสผู่ ลลพั ธ์ การเรยี นร้ทู ่ดี ี นักเรยี นทุกคนประสบความสำ� เรจ็ ในการเรยี น โดยปัจจัยส�ำคัญท่ีสุดคือ ชุดความคิดที่ซ่อนหรือฝังอยู่ในสมองครู ต้องเป็น ชุดความคิดเชิงบวกหรือเอื้อหรือสู้ ไม่เป็นชุดความคิดเชิงลบหรือปิดก้ันหรือถอย ชดุ ความตดิ เหล่าน้ี (๗ ชดุ ) เปน็ เสมอื น “ถ้อยคำ� เงยี บ” ทปี่ ระดษิ ฐานอย่ใู นสมอง ครู แมค้ รไู มพ่ ดู ออกมามนั กส็ ามารถสอ่ื สารไปยงั ศษิ ยไ์ ดผ้ า่ นอวจั นภาษา และสรา้ ง เปน็ ชดุ ความคดิ ในนกั เรยี นโดยไมร่ ตู้ วั คอื ครกู ไ็ มร่ ตู้ วั ศษิ ยก์ ไ็ มร่ ตู้ วั วา่ ตนเองไดส้ รา้ ง ขวากหนามปิดกั้นความส�ำเร็จในชีวิตของตนเอง ทั้งความส�ำเร็จของนักเรียน และ ความสำ� เร็จของครู จากชุดความคิดน�ำไปสู่ชุดการกระท�ำ หรือเทคนิคการสร้างพลังสมอง สร้าง สภาพพร้อมเรียน ท่ีผมคิดว่ามีระบุไว้อย่างละเอียดลึกซึ้งมาก ทั้งในเชิงทฤษฎีและ เชิงวิธปี ฏบิ ตั ิ ท่ีส�ำคญั คอื วธิ ปี ฏบิ ัตเิ ป็นวิธีงา่ ยๆ แต่ให้ผลดยี งิ่ จาก “สอนเขม้ ” สู่ “เรยี นเขม้ ” ทง้ั ศษิ ยแ์ ละครู สคู่ วามสำ� เรจ็ ยงิ่ ใหญใ่ นชวี ติ ของ ศิษย์และของครู วิจารณ์ พานิช ๑๙ พ.ค.๖๒ • 295 •
ภาคผนวก
ถ้าจะให้คนรุ่นต่อไปมีคุณธรรม จริยธรรมดี การศึกษาต้องใช้แนวทางว่าต้องให้เด็กได้ฝึกท้ัง ในส่วนท่ีเป็น cognitive คือในส่วนวิชาการ และ non - cognitive development คือ ส่วนของ การสรา้ งลกั ษณะนสิ ยั ไปพรอ้ มกนั ทงั้ สองสง่ิ นตี้ อ้ งอยดู่ ว้ ยกนั บรู ณาการไปดว้ ยกนั การศกึ ษาตอ้ งเปน็ การพฒั นาพหุปัญญา และน่ีคือหลักใหญ่ในเรื่องของการศกึ ษา ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช การพฒั นาคณุ ธรรมในศตวรรษที่ ๒๑ การต์ นู พระมหาชนก ฉบบั เตม็ • 298 •
สอนความดใี นโรงเรยี น ปลกู ความเปน็ ไทยลงในหวั ใจเดก็ การเรยี นรจู้ ากหอ้ งเรยี นภมู ปิ ญั ญาภาษาไทย • 299 •
สรา้ งสนุ ทรยี ภาพในใจ ใหก้ ารเปลย่ี นแปลงแสดงความจรงิ ในดวงใจนริ นั ดร์ • 300 •
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304