กรณีที่ 1 เมื่อ m > n am an = am = am-n an am กรณที ี่ 2 เมอ่ื m = n am an = an = a0 ซง่ึ a0 = 1 กรณที ่ี 3 เม่ือ m < n am an = am = am-n ซง่ึ a-m = 1 an am จากนั้นให้นกั เรยี นศึกษาการหาผลหารของ am an เมอื่ a แทนจานวนใด ๆ ท่ีไมเ่ ทา่ กับศนู ย์ และ m, n แทนจานวนเต็มบวก ทง้ั 3 กรณี ในหนังสือเรยี น หนา้ 119-120 4. ครถู ามคาถาม ดังน้ี เลขช้ีกาลงั ของผลหารและเลขชีก้ าลงั ของตวั ตั้งและตัวหารมคี วามสัมพนั ธ์กันอย่างไร (แนวตอบ เลขช้กี าลังของผลหาร เทา่ กับ ผลลบของเลขชกี้ าลงั ของตวั ตงั้ กบั ตัวหาร) จากนน้ั ครสู รุปดงั ในกรอบ “สมบัติ 5” ในเล่มแบบฝึกทักษะเล่มท่ี 3 กำหนดให้ a แทนจำนวนใด ๆ ทไี่ มเ่ ท่ำกับศนู ย์ และ m, n แทนจำนวนเต็มบวก am = am-n an 5. ครยู กตวั อยา่ งที่ 7 ในเล่มแบบฝึกทักษะเล่มท่ี 3 บนกระดาน แสดงการหาผลหารของจานวนในรูป เลขยกกาลัง แลว้ ให้นักเรยี นทา “แบบฝึกทักษะที่ 3.3” ในเล่มแบบฝกึ ทักษะเลม่ ท่ี 3 จากน้นั ครูและ นกั เรยี นร่วมกนั เฉลยคาตอบ “แบบฝึกทักษะที่ 3.3” 74 6. ครูยกตวั อยา่ งการหาผลหารของเลขยกกาลัง 24 ในแบบฝึกทักษะเลม่ ท่ี 3 บนกระดาน พร้อมกบั ถาม คาถาม ดังน้ี 74 เขียนในรูปการคูณของฐานเปน็ จานวนซา้ ๆ กนั ได้อย่างไร (แนวตอบ 7 7 7 7) 24 เขยี นในรูปการคูณของฐานเปน็ จานวนซา้ ๆ กนั ได้อยา่ งไร (แนวตอบ 2 2 2 2) 74 24 เขยี นในรูปการคูณของฐานเปน็ จานวนซา้ ๆ กันได้อยา่ งไร (แนวตอบ 7 7 7 7 ) 2 2 2 2 จากนั้นครอู ธิบายวา่ ถ้าจบั กลุ่มการหารใหมเ่ ปน็ 7 จะได้ 4 กลมุ่ ดงั นี้ 2 74 7 7 7 7 24 = 2 2 2 2 74 เขียนในรปู เลขยกกาลังได้อย่างไร 24 (แนวตอบ 7 4 ) 2
7. ครใู หน้ กั เรยี นศึกษาตวั อย่างการหาผลหารของเลขยกกาลงั ขอ้ 2) และ 3) ในแบบฝกึ ทักษะเลม่ ท่ี 3 จากน้ันครูสรปุ ดังในกรอบ “สมบตั ิ 6” กำหนดให้ a, b แทนจำนวนใด ๆ ท่ี b 0 และ m, n แทนจำนวนเต็มบวก am = a m bm b ชว่ั โมงท่ี 2 1. ครูยกตัวอย่างท่ี 8 ในแบบฝึกทักษะเลม่ ที่ 3 บนกระดาน แสดงการหาผลหารของจานวนในรูป เลขยกกาลัง แลว้ ใหน้ ักเรียนทา “แบบฝึกทักษะ” จากนั้นครแู ละนักเรยี นร่วมกนั เฉลยคาตอบ “แบบฝึก ทกั ษะ” 2. ครทู บทวนสมบตั ิ 5 และสมบัติ 6 โดยการถาม - ตอบ 129 8 2. ครูยกตวั อย่างการหาผลหารของเลขยกกาลงั 137 ในแบบฝึกทักษะเลม่ ท่ี 3 บนกระดาน แล้ว อธบิ ายว่าเราจะนาสมบัติ 2 และสมบัติ 6 มาชว่ ยในการหาผลหาร จากนั้นครเู ขียนแสดงวธิ ีทาอยา่ ง ละเอยี ดบนกระดาน และเนน้ ย้านักเรียนวา่ ข้นั ตอนใดใชส้ มบตั ิใด 3. ครูให้นกั เรียนศึกษาตัวอย่างการหาผลหารของเลขยกกาลงั ข้อ 2) และ 3) ในแบบฝึกทักษะเล่มที่ 3 จากนัน้ ครูสรุปดังในกรอบ “สมบัติ 7” ในแบบฝกึ ทักษะเล่มท่ี 3 กำหนดให้ a, b แทนจำนวนใด ๆ ท่ี b 0 และ m, n, k แทนจำนวนเตม็ บวก am k = am k an an k 4. ครใู ห้นกั เรียนจัดกลุ่ม กลมุ่ ละ 4 คน คละความสามารถทางคณติ ศาสตร์ แลว้ ทากจิ กรรม ดงั น้ี - รว่ มกันศกึ ษาและทากิจกรรมคณติ ศาสตร์ ในแบบฝึกทักษะเลม่ ท่ี 3 โดยเขียนคาตอบลงในสมุดของ ตนเอง - จากน้ันให้นกั เรยี นแลกเปลีย่ นความรู้ภายในกลุ่มของตนเอง และสนทนาซกั ถามเก่ียวกับวิธีการคดิ หา คาตอบ จนเปน็ ทเ่ี ขา้ ใจรว่ มกัน 7.3 ขั้นสะท้อนความรู้ (Reflection of knowledge) : R 1. ใหต้ วั แทนกลุ่มมานาเสนอคาตอบหน้าชนั้ เรียน โดยเพอ่ื นกลมุ่ ทเี่ หลือคอยตรวจสอบความถูกต้อง 2. นักเรยี นทุกคนรว่ มกนั วิเคราะห์ เปรียบเทียบคาตอบจากทุกกลมุ่ แล้วสรปุ เปน็ คาตอบของตวั เองโดย ครูใหค้ วามชว่ ยเหลอื แนะนาและอธบิ ายเพิม่ เตมิ เพ่ือความสมบรู ณ์ของเนื้อหา 7.4 ขนั้ สรา้ งความรู้ (Ceration of Knowledge) : C 1. ให้นักเรียนทัง้ ชั้นช่วยกนั สรปุ ความรู้เรอ่ื ง การหารเลขยกกาลงั เมื่อเลขชี้กาลังเป็นจานวนเตม็ บวก จากแบบฝึกทักษะ โดยครูถามคาถามเพื่อสรุปความรู้รวบยอดของนักเรียน ดังนี้ ถ้ากาหนดให้ a, b แทนจานวนใด ๆ ท่ี b 0 และ m, n, k แทนจานวนเตม็ บวก แลว้ am an โดยท่ี a 0 มีค่าเทา่ กับเทา่ ไร (แนวตอบ เท่ากบั am - n ) เมื่อ m = n แลว้ am an มีคา่ เทา่ กับเท่าไร
(แนวตอบ เท่ากบั 1) เมื่อ m < n แล้ว am an มคี ่าเท่ากับเท่าไร 1 (แนวตอบ เทา่ กบั am หรอื a-m ) am มีค่าเท่ากบั เท่าไร bm (แนวตอบ เท่ากบั a m ) b am k an มีค่าเทา่ กบั เท่าไร am k (แนวตอบ เท่ากบั an k ) 7.5 ข้นั ประเมนิ ผล (Evaluation) : E 1. ใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบย่อยหลังเรยี น เรือ่ ง การหารเลขยกกาลงั เม่ือเลขช้กี าลังเปน็ จานวนเตม็ บวก 2. ให้นักเรยี นแต่ละกลุม่ แลกเปลย่ี นกันตรวจ โดยดเู ฉลยในภาคผนวก 3. เมอื่ ตรวจเสรจ็ แล้วรวบรวมคะแนนแล้วส่งคืนเจ้าของ 4. ครบู ันทกึ คะแนนแบบฝึกหัดเปน็ รายกลุ่ม สว่ นแบบทดสอบย่อยเป็นรายบคุ คล 8. สอ่ื และแหล่งเรียนรู้ 8.1 สอื่ การเรียนรู้ 8.1.1. หนงั สือเรยี นรายวชิ าพืน้ ฐาน คณติ ศาสตร์ ม.1 เลม่ 1 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 เลขยกกาลงั 8.1.2. แบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ ม.1 เลม่ 3 เรื่อง การหารเลขยกกาลงั เมื่อเลขช้ีกาลงั เปน็ จานวนเต็มบวก 8.2 แหล่งการเรยี นรู้ 8.2.1. หอ้ งเรยี น 8.2.2. ห้องสมดุ 8.2.3. อินเทอรเ์ น็ต 9. การวัดและประเมนิ ผล วธิ กี ารวัด เครอื่ งมอื ทีใ่ ช้วัด เกณฑก์ ารวัด ส่ิงที่ต้องการวดั 1.หาผลหารของเลขยกกาลงั เมอ่ื ตรวจใบงาน/แบบฝึกหัด แบบประเมนิ ผลงาน ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 60 เลขชกี้ าลังเป็นจานวนเต็มบวกได้ (K) ใบงาน/แบบฝึกหัด ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 แบบประเมนิ ผลงาน 2.เขยี นอธบิ ายขั้นตอนวธิ กี ารหา ผลงานกลุ่ม/รายบคุ คล กล่มุ /รายบคุ คล อยู่ในระดบั ดีขึ้นไป ผลหารของเลขยกกาลัง เมื่อเลขชี้ สงั เกตพฤตกิ รรมกลมุ่ กาลงั เปน็ จานวนเต็มบวกได้ (P) แบบสงั เกตพฤติกรรม 3. รบั ผดิ ชอบต่อหนา้ ที่ท่ีได้รับ การทางานกลุ่ม มอบหมาย (A)
แบบประเมนิ การนาเสนอผลงาน คาช้แี จง : ให้ผสู้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ลงในชอ่ งท่ี ตรงกับระดับคะแนน ลาดบั ที่ รายการประเมิน ระดบั คะแนน 1 32 1 เนื้อหาละเอยี ดชดั เจน 2 ความถกู ตอ้ งของเนอื้ หา 3 ภาษาทีใ่ ช้เขา้ ใจง่าย 4 ประโยชน์ทไ่ี ดจ้ ากการนาเสนอ 5 วธิ กี ารนาเสนอผลงาน รวม ลงชอ่ื ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมินสมบรู ณ์ชดั เจน ให้ 2 คะแนน ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ เปน็ สว่ นใหญ่ ให้ 1 คะแนน ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมินบางส่วน เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ากว่า 8 ปรับปรงุ
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล คาชแี้ จง : ให้ผสู้ อนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด ลงในช่องทีต่ รงกบั ระดบั คะแนน ลาดับท่ี รายการประเมิน ระดบั คะแนน 1 32 1 การแสดงความคดิ เห็น 2 การยอมรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของผอู้ ืน่ 3 การทางานตามหน้าที่ทีไ่ ด้รับมอบหมาย 4 ความมีนา้ ใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผปู้ ระเมิน ............../.................../................ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ให้ 3 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 2 คะแนน ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครง้ั ให้ 1 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ตา่ กว่า 8 ปรบั ปรุง
แบบประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ คาชแ้ี จง : ใหผ้ ู้สอนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องท่ี ตรงกับระดบั คะแนน คณุ ลักษณะ รายการประเมิน ระดบั คะแนน อันพงึ ประสงค์ด้าน 321 1. รักชาติ ศาสน์ 1.1 ยนื ตรงเคารพธงชาติ และร้องเพลงชาติได้ กษัตรยิ ์ 1.2 เขา้ รว่ มกิจกรรมทส่ี ร้างความสามคั คี ปรองดอง และเป็นประโยชนต์ ่อ โรงเรยี น 1.3 เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาทตี่ นนับถือ ปฏิบตั ติ ามหลักศาสนา 1.4 เขา้ รว่ มกจิ กรรมท่เี กย่ี วกับสถาบันพระมหากษัตริยต์ ามท่โี รงเรียนจัดขึ้น 2. ซื่อสัตย์ สุจริต 2.1 ใหข้ อ้ มูลทีถ่ กู ตอ้ ง และเป็นจริง 2.2 ปฏบิ ัตใิ นสิ่งทถ่ี ูกตอ้ ง 3. มีวนิ ัย รบั ผิดชอบ 3.1 ปฏบิ ตั ิตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคบั ของครอบครัว มี ความตรงต่อเวลาในการปฏบิ ัติกจิ กรรมตา่ ง ๆ ในชวี ติ ประจาวัน 4. ใฝ่เรยี นรู้ 4.1 ร้จู กั ใช้เวลาว่างให้เปน็ ประโยชน์ และนาไปปฏบิ ัติได้ 4.2 รจู้ ักจดั สรรเวลาใหเ้ หมาะสม 4.3 เชอ่ื ฟงั คาสง่ั สอนของบิดา - มารดา โดยไมโ่ ตแ้ ยง้ 4.4 ตั้งใจเรียน 5. อยูอ่ ย่างพอเพียง 5.1 ใช้ทรัพยส์ นิ และสง่ิ ของของโรงเรยี นอยา่ งประหยดั 5.2 ใชอ้ ปุ กรณ์การเรยี นอยา่ งประหยัดและรู้คณุ คา่ 5.3 ใช้จ่ายอยา่ งประหยัดและมีการเกบ็ ออมเงนิ 6. ม่งุ ม่นั ในการ 6.1 มีความตงั้ ใจและพยายามในการทางานทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย ทางาน 6.2 มีความอดทนและไม่ทอ้ แทต้ ่ออปุ สรรคเพ่ือให้งานสาเร็จ 7. รกั ความเป็นไทย 7.1 มีจิตสานึกในการอนรุ ักษ์วฒั นธรรมและภูมปิ ญั ญาไทย 7.2 เหน็ คณุ ค่าและปฏบิ ัติตนตามวัฒนธรรมไทย 8. มีจติ สาธารณะ 8.1 รจู้ ักช่วยพ่อแม่ ผปู้ กครอง และครทู างาน 8.2 รจู้ ักการดูแลรกั ษาทรัพย์สมบตั ิและสงิ่ แวดล้อมของห้องเรียนและ โรงเรยี น ลงชื่อ...................................................ผปู้ ระเมนิ (นางสาวกรรณิกา ลิกัลตา) ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน พฤติกรรมท่ปี ฏิบัตชิ ัดเจนและสมา่ เสมอ ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมท่ปี ฏิบตั ิชัดเจนและบ่อยครัง้ ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมท่ปี ฏบิ ัติบางครงั้ ให้ 1 คะแนน
10. บันทกึ ผลการจดั การเรยี นรู้ ผลการจัดการเรยี นรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปญั หา/อุปสรรค …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ……………………………………………. (นางสาวกรรณิกา ลกิ ัลตา) ตาแหน่ง ครู ความคิดเหน็ หวั หน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...………………………………………………………………………………………………………………………………........... ลงชอ่ื ……………………………………………. (นายคมสนั มณศี รี) หวั หน้ากล่มุ สาระการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์ ความคดิ เห็นรองผู้อานวยการกลุ่มบริหารวชิ าการ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...……………………………………………………………………………………………………………………….................... ลงชอื่ ……………………………………………. (นายไพฑูรย์ มณีจนั ทร์) รองผอู้ านวยการกลุ่มบรหิ ารวชิ าการ ความคดิ เหน็ ผู้อานวยการ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...……………………………………………………………………………………………………………………….................... ลงชอ่ื ……………………………………………. (นางสาวพรณภทั ร์ พงษ์วรชั ญพ์ ร) ผู้อานวยการโรงเรียนเทพสถติ วทิ ยา วนั ท.ี่ ...........เดอื น........................พ.ศ................
แบบฝึกหัดที่ 3.3 เรอ่ื ง การหารเลขยกกาลัง เมื่อเลขชก้ี าลงั เป็นจานวนเตม็ บวก คาชแ้ี จง : ให้นักเรียนตอบคาถามแต่ละขอ้ ต่อไปน้ีจงเขยี นผลคณู ของจานวนตอ่ ไปนี้ในรูปเลขยกกาลงั 1. จงเขยี นผลหารของจานวนตอ่ ไปนี้ในรปู เลขยกกาลงั และมเี ลขชี้กาลงั เปน็ บวก 93 1) 9 = ............................................... 2) 7-8 = ............................................... 72 3) 62 = ............................................... 112 4) 43 = ............................................... 46 5) 57 = ............................................... 57 6) 22 5 = ............................................... 37 2. จงทาให้อยูใ่ นรูปอยา่ งง่าย 102 4 153 = ............................................................................................ = ............................................................................................ = ............................................................................................ = ............................................................................................ = ............................................................................................ = ............................................................................................
เฉลยแบบฝึกหดั ที่ 3.3 เรือ่ ง การหารเลขยกกาลัง เมื่อเลขช้กี าลงั เป็นจานวนเต็มบวก คาชแี้ จง : ใหน้ กั เรยี นตอบคาถามแตล่ ะข้อต่อไปน้ีจงเขยี นผลคูณของจานวนต่อไปน้ีในรปู เลขยกกาลงั 1. จงเขยี นผลหารของจานวนตอ่ ไปน้ีในรูปเลขยกกาลงั และมเี ลขชก้ี าลังเปน็ บวก 93 1) 9 = ...............9..2.............................. 2) 7-8 = ............................................... 72 3) 62 = ............................................... 112 4) 43 = ............................................... 46 5) 57 = ...............1................................ 57 6) 22 5 = ............................................... 37 2. จงทาให้อย่ใู นรปู อยา่ งงา่ ย 102 4 153 = ............................................................................................ = ............................................................................................ = ............................................................................................ = ............................................................................................ = ............................................................................................
แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 21 รายวชิ าคณติ ศาสตร์พ้ืนฐาน รหสั วิชา ค21101 ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์ ภาคเรียนท่ี 1 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 ชอื่ หน่วย เลขยกกาลัง เวลารวม 10 ชั่วโมง เร่อื ง การเขียนจานวนในรูปสญั กรณ์วิทยาศาสตร์ เวลา 1 ช่วั โมง ครูผสู้ อน นางสาวกรรณกิ า ลกิ ัลตา 1. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวช้วี ดั ค 1.1 ม.1/2 เข้าใจและใช้สมบัติของเลขยกกาลังที่มีเลขชี้กาลังเป็นจานวนเต็มบวกในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ และปญั หาในชีวิตจรงิ 2. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด การเขียนจานวนที่มีค่ามาก ๆ หรือทศนิยมท่ีมีค่าน้อยๆ บางครั้งอาจไม่สะดวกในการนาจานวนเหล่านั้นไปใช้ ในการคานวณ ดงั น้นั เพอื่ สะดวกในการคานวณ เราจะเขียนจานวนในรูปสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ คือ จานวนที่เขียนอยู่ ในรปู A 10n เม่ือ 1 A < 10 และ n เปน็ จานวนเต็ม 3. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 3.1 เขียนจานวนทม่ี ีค่ามาก ๆ หรือทศนยิ มที่มีคา่ นอ้ ย ๆ ในรปู สญั กรณ์วทิ ยาศาสตรไ์ ด้ (K) 3.2 ใช้ความรู้ ทักษะ และกระบวนการทางคณิตศาสตรใ์ นการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม (P) 3.3 รบั ผดิ ชอบต่อหนา้ ท่ีท่ีได้รับมอบหมาย (A) 4. สาระการเรยี นรู้ การเขยี นจานวนในรูปสัญกรณว์ ทิ ยาศาสตร์ 5. สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น 5.1. ความสามารถในการส่อื สาร 5.2. ความสามารถในการคดิ - การใหเ้ หตุผล การสรปุ ความรู้ การปฏบิ ตั ิ 5.3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 6. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 6.1. มีวินยั 6.2. ใฝเ่ รียนรู้ 6.3. มุง่ ม่นั ในการทางาน 7. การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ช่ัวโมงที่ 1 7.1 ขั้นจงู ใจเพื่อเตรียมความพร้อม (Motivation) : M 1. ครูและนกั เรยี นสนทนาและซักถามเกี่ยวกบั สมบตั กิ ารคณู เลขยกกาลงั ท่ีมีเลขช้ีกาลังเป็นบวกที่เรียนมาแล้ว เป็นการทบทวน 2. ครูทบทวนสมบัติการคูณเลขยกกาลังท่ีมีเลขช้ีกาลังเป็นบวก โดยการยกตัวอย่างประกอบให้นักเรียน ชว่ ยกนั ตอบคาถาม
3. ทบทวนการเขียนจานวน 10, 100, 1,000, ... ใหอ้ ย่ใู นรปู เลขยกกาลงั ท่มี ฐี านเป็น 10 7.2 ขั้นปฏิบตั ิ (Action) : A 1. ครใู หน้ กั เรยี นศึกษาเร่ือง การเขียนจานวนในรูปสญั กรณว์ ทิ ยาศาสตร์ ในแบบฝึกทกั ษะเล่มท่ี 4 จากนน้ั ครเู ขียนรูปท่ัวไปของจานวนในรปู สญั กรณ์วิทยาศาสตรบ์ นกระดาน ดังนี้ A 10n เม่อื 1 A < 10 และ n เป็นจำนวนเตม็ 2. ครูเขยี นจานวนตอ่ ไปนีบ้ นกระดานแล้วถามนักเรียนวา่ จานวนในแต่ละข้อต่อไปน้ีอยู่ในรูปสญั กรณ์ วิทยาศาสตรห์ รอื ไม่ ถ้าไม่อยใู่ นรูปสญั กรณว์ ิทยาศาสตร์ จงให้เหตุผลว่าเพราะอะไร ตัวอย่างจานวน 2) 91.3 106 3) 0.18 10-5 1) 2.34 108 5) 2.9 101.5 6) 7.05841 10-2 4) 7.04 10-11 คาตอบ 1) อยู่ในรปู สญั กรณ์วทิ ยำศำสตร์ 2) ไม่อยู่ในรปู สัญกรณ์วิทยำศำสตร์ เพรำะ 91.3 ไมส่ อดคลอ้ งกบั เง่ือนไข 1 A < 10 3) ไม่อยู่ในรูปสัญกรณว์ ทิ ยำศำสตร์ เพรำะ 0.18 ไมส่ อดคลอ้ งกบั เง่อื นไข 1 A < 10 4) อยู่ในรปู สญั กรณว์ ทิ ยำศำสตร์ 5) ไมอ่ ยู่ในรปู สญั กรณ์วทิ ยำศำสตร์ เพรำะ 101.5 ไมส่ อดคล้องกับเง่อื นไขทวี่ ่ำเลขชก้ี ำลังต้อง เปน็ จำนวนเตม็ 6) อยใู่ นรปู สัญกรณว์ ิทยำศำสตร์ 3. ครใู หน้ ักเรียนสังเกตจานวนหลกั ของจานวนเต็มและเลขชกี้ าลังของฐาน 10 จากตวั อยา่ งในแบบฝกึ ทกั ษะเล่มท่ี 4 4. ครูเขยี น 1,250 = 1.25 103 บนกระดาน จากนน้ั อธบิ ายวา่ “จาก 1,250 เป็นจานวนเต็มที่มี 4 หลัก และมี 3 เปน็ เลขชก้ี าลงั ของฐาน 10 ซง่ึ มีค่านอ้ ยกวา่ จานวนหลกั ของจานวนเต็มอยู่ 1 ค่า” 5. ครเู ขียน 30,523 = 3.0523 104 บนกระดาน จากนนั้ อธิบายวา่ “จาก 30,523 เปน็ จานวนเตม็ ที่มี 5 หลกั และมี 4 เปน็ เลขช้ีกาลังของฐาน 10 ซงึ่ มีค่านอ้ ยกวา่ จานวนหลักของจานวนเต็มอยู่ 1 คา่ ” 6. ครูเขยี น 25,034.27 = 2.503427 104 บนกระดาน จากน้ันอธิบายวา่ “จาก 25,034.27 เป็นทศนยิ ม มีจานวนเตม็ อยู่ 5 หลกั และมี 4 เปน็ เลขช้ีกาลงั ของฐาน 10 ซ่งึ มคี ่าน้อยกว่าจานวนหลักของจานวนเตม็ อยู่ 1 คา่ ” แล้วถามนกั เรียนว่า “จานวนหลกั ของจานวนเตม็ และเลขชก้ี าลงั ของฐาน 10 มคี วามสมั พันธ์ กันอยา่ งไร” (แนวตอบ เลขชีก้ าลังของฐาน 10 จะเปน็ จานวนเต็มบวก ที่มคี ่าน้อยกวา่ จานวนหลักของสว่ นทีเ่ ปน็ จานวนเตม็ อยู่ 1 คา่ ) 7. ครอู ธิบายเพิ่มเตมิ วา่ “นอกจากความสมั พันธข์ องจานวนหลักของจานวนเตม็ และเลขชี้กาลังของฐาน 10 แล้ว นกั เรยี นจะเหน็ ว่า การเขียนจานวนทง้ั สามตวั อย่างข้างตน้ ให้อยูใ่ นรูปสัญกรณว์ ิทยาศาสตร์ ใช้ หลักการอีกหลกั การหนงึ่ นน่ั คอื เม่ือเล่ือนจุดทศนิยมไปทางซา้ ย ตอ้ งคณู ดว้ ย 10 ที่มเี ลขช้ีกาลังเปน็
จานวนเต็มบวกตามจานวนคร้งั ในการเล่ือนจุดทศนิยมนัน้ ” จากนน้ั ให้นกั เรยี นสังเกตสงิ่ ที่ครูอธิบาย เพ่มิ เติมจากตวั อยา่ งขา้ งต้น 8. ครยู กตวั อย่างที่ 10 ข้อ 1) จากแบบฝึกทักษะเลม่ ท่ี 4 บนกระดาน แสดงวธิ ที าอยา่ งละเอียดทง้ั 2 วิธี (วธิ ีใช้ความรู้เร่อื งสมบัติการคูณของเลขยกกาลัง และวิธีใช้ความสมั พันธร์ ะหวา่ งจานวนหลักของสว่ นที่ เปน็ จานวนเตม็ กบั เลขชี้กาลงั ของฐาน 10) จากน้นั ใหน้ ักเรียนศกึ ษาตัวอยา่ งที่ 10 ข้อ 2)-4) แล้วให้ นักเรยี นทา “แบบฝกึ ทักษะท่ี 3.4 ” ในแบบฝกึ ทักษะเล่มที่ 4 2. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันเฉลยคาตอบ “แบบฝึกทักษะท่ี 3.4” 3. ครกู ล่าวว่า “ในทางกลับกันเราสามารถเขียนจานวนในรปู สัญกรณว์ ิทยาศาสตร์ใหอ้ ยู่ในรูปจานวนเต็ม หรือทศนยิ มทมี่ ีคา่ มาก ๆ ได้” จากนั้นครยู กตัวอยา่ งท่ี 11 ข้อ 1) ในแบบฝกึ ทักษะเลม่ ที่ 4 บนกระดาน พรอ้ มทงั้ แสดงวิธที าอย่างละเอยี ด 4. ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั เฉลยคาตอบแบบฝึกทกั ษะ 3.3 ข้อ 1 (ข้อย่อยท่ี 1)-3)), ข้อ 2 (ข้อยอ่ ยที่ 1)-2) และ 3)) และ ข้อ 4 (ขอ้ ย่อยที่ 1)) 2. ครูใหน้ ักเรยี นสังเกตจานวนของศูนย์หลังจุดทศนิยมและเลขช้กี าลังของฐาน 10 จากตวั อยา่ งใน แบบ ฝึกทกั ษะเล่มท่ี 4 3. ครเู ขยี น 0.15 = 1.5 10-1 บนกระดาน จากนั้นอธิบายว่า “จาก 0.15 เปน็ ทศนยิ มที่ไม่มี 0 หลังจดุ ทศนิยม จงึ ไดว้ ่ามี -1 เป็นเลขชกี้ าลงั ของฐาน 10 ซ่งึ มคี า่ สัมบูรณม์ ากกว่าจานวนของศูนย์หลงั จุดทศนิยม อยู่ 1 คา่ ” 4. ครเู ขียน 0.0247 = 2.47 10-2 บนกระดาน จากนนั้ อธบิ ายวา่ “จาก 0.0247 เป็นทศนิยมที่มี 0 หลัง จุดทศนยิ ม 1 ตวั จงึ ได้ว่ามี -2 เปน็ เลขช้ีกาลังของฐาน 10 ซึ่งมีค่าสมั บรู ณม์ ากกวา่ จานวนของศูนยห์ ลัง จุดทศนิยมอยู่ 1 คา่ ” 5. ครเู ขยี น 0.000451 = 4.51 10-4 บนกระดาน จากนัน้ อธิบายวา่ “จาก 0.000451 เป็นทศนิยมท่ีมี 0 หลังจุดทศนยิ ม 3 ตัว จงึ ได้วา่ มี -4 เปน็ เลขชี้กาลังของฐาน 10 ซงึ่ มีค่าสมั บูรณ์มากกวา่ จานวนของศูนย์ หลงั จดุ ทศนิยมอยู่ 1 ค่า” แลว้ ถามนกั เรยี นวา่ “จานวนของศูนย์หลังจดุ ทศนิยมและเลขชก้ี าลงั ของ ฐาน 10 มคี วามสัมพนั ธ์กนั อย่างไร” (แนวตอบ เลขช้กี าลังของฐาน 10 จะเป็นจานวนเตม็ ลบ ท่มี ีคา่ สัมบูรณม์ ากกวา่ จานวนของศนู ยห์ ลังจดุ ทศนยิ มอยู่ 1 คา่ ) 6. ครอู ธบิ ายเพ่ิมเตมิ วา่ “นอกจากความสัมพันธ์ของจานวนของศนู ยห์ ลงั จดุ ทศนยิ มกับเลขชกี้ าลงั ของฐาน 10 แลว้ นักเรยี นจะเหน็ ว่า การเขียนจานวนทงั้ สามตัวอย่างขา้ งตน้ ให้อยู่ในรปู สญั กรณ์วทิ ยาศาสตร์ ใช้ หลกั การอีกหลกั การหน่งึ น่ันคือ เม่ือเล่ือนจดุ ทศนิยมไปทางขวา ต้องคณู ด้วย 10 ท่ีมเี ลขชกี้ าลังเปน็ จานวนเต็มลบตามจานวนคร้ังในการเลอ่ื นจุดทศนิยมน้นั ” จากนัน้ ให้นักเรยี นสงั เกตส่ิงที่ครอู ธิบาย เพม่ิ เติมจากตัวอย่างข้างต้น 7. ครใู หน้ ักเรียนทาแบบฝึกทกั ษะ เร่ือง การเขียนจานวนในรูปสญั กรณ์วทิ ยาศาสตร์ ให้นักเรียนทา จากน้ัน ครูและนักเรยี นร่วมกันเฉลยคาตอบใบงานท่ี 3.4 7.3 ขั้นสะทอ้ นความรู้ (Reflection of knowledge) : R 1. ให้ตัวแทนกลมุ่ มานาเสนอคาตอบหน้าชั้นเรียน โดยเพ่อื นกลมุ่ ท่ีเหลือคอยตรวจสอบความถูกต้อง 2. นักเรยี นทกุ คนร่วมกนั วเิ คราะห์ เปรยี บเทยี บคาตอบจากทุกกลุ่มแล้วสรุปเป็นคาตอบของตัวเองโดย ครใู หค้ วามชว่ ยเหลอื แนะนาและอธิบายเพิม่ เติมเพ่ือความสมบรู ณข์ องเนื้อหา
7.4 ขน้ั สรา้ งความรู้ (Ceration of Knowledge) : C 1. ใหน้ กั เรียนท้งั ช้ันช่วยกันสรปุ ความรู้เร่อื ง การเขียนจานวนในรปู สัญกรณ์วิทยาศาสตร์ จากแบบฝึก ทักษะ โดยครถู ามคาถามเพอื่ สรุปความรูร้ วบยอดของนักเรียน ดังนี้ ครูถามคาถามเพ่ือสรปุ ความรู้รวบยอดของนักเรยี น ดงั น้ี จานวนในรปู สญั กรณว์ ิทยาศาสตร์ คือ (แนวตอบ จานวนท่เี ขียนอยูใ่ นรูป A 10n เมื่อ 1 A < 10 และ n เป็นจานวนเต็ม) การเขยี นจานวนทม่ี ีค่ามาก ๆ ในรูปสัญกรณว์ ิทยาศาสตร์ เป็นอยา่ งไร (แนวตอบ เลขชี้กาลังของฐาน 10 จะเปน็ จานวนเตม็ บวก ท่ีมคี ่าน้อยกวา่ จานวนหลักของส่วนทเี่ ปน็ จานวนเตม็ อยู่ 1 คา่ ) การเขียนจานวนทีม่ ีค่าน้อย ๆ ในรปู สญั กรณ์วทิ ยาศาสตร์ เป็นอยา่ งไร (แนวตอบ เลขช้ีกาลังของฐาน 10 จะเปน็ จานวนเต็มลบ ท่มี ีค่าสัมบรู ณม์ ากกว่าจานวนของศนู ยห์ ลงั จุด ทศนยิ มอยู่ 1 คา่ ) 7.5 ขนั้ ประเมนิ ผล (Evaluation) : E 1. ใหน้ ักเรียนทาแบบทดสอบย่อยหลงั เรียน เรื่อง การเขยี นจานวนในรูปสญั กรณ์วิทยาศาสตร์ 2. ให้นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มแลกเปล่ียนกันตรวจ โดยดเู ฉลยในภาคผนวก 3. เมื่อตรวจเสร็จแลว้ รวบรวมคะแนนแล้วส่งคืนเจ้าของ 4. ครูบันทกึ คะแนนแบบฝึกหัดเปน็ รายกลมุ่ สว่ นแบบทดสอบย่อยเปน็ รายบคุ คล 8. สื่อและแหล่งเรยี นรู้ 8.1 สอื่ การเรยี นรู้ 8.1.1. หนงั สอื เรียนรายวิชาพน้ื ฐาน คณิตศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 เลขยกกาลัง 8.1.2. แบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ ม.1 เล่ม 4 เรื่อง การเขยี นจานวนในรูปสญั กรณ์วิทยาศาสตร์ 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 8.2.1. ห้องเรยี น 8.2.2. หอ้ งสมดุ 8.2.3. อินเทอร์เน็ต 9. การวัดและประเมนิ ผล วธิ กี ารวัด เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้วัด เกณฑก์ ารวัด สิง่ ที่ต้องการวัด 1.เขยี นจานวนทีม่ ีคา่ มาก ๆ หรือ ตรวจใบงาน/แบบฝกึ หัด แบบประเมนิ ผลงาน ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 ทศนยิ มที่มคี ่าน้อย ๆ ในรูปสัญกรณ์ ใบงาน/แบบฝกึ หดั ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 วทิ ยาศาสตรไ์ ด้ (K) อยู่ในระดบั ดีข้นึ ไป 2.ใช้ความรู้ ทกั ษะ และกระบวนการ ผลงานกลมุ่ /รายบุคคล แบบประเมินผลงาน กลุ่ม/รายบุคคล ทางคณิตศาสตรใ์ นการแกป้ ัญหาได้ แบบสงั เกตพฤติกรรม อยา่ งเหมาะสม (P) การทางานกลุ่ม 3. รับผดิ ชอบต่อหน้าท่ีที่ได้รับ สงั เกตพฤตกิ รรมกลมุ่ มอบหมาย (A)
แบบประเมนิ การนาเสนอผลงาน คาช้แี จง : ให้ผสู้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ลงในชอ่ งท่ี ตรงกับระดับคะแนน ลาดบั ที่ รายการประเมิน ระดบั คะแนน 1 32 1 เนื้อหาละเอยี ดชดั เจน 2 ความถกู ตอ้ งของเนอื้ หา 3 ภาษาทีใ่ ช้เขา้ ใจง่าย 4 ประโยชน์ทไ่ี ดจ้ ากการนาเสนอ 5 วธิ กี ารนาเสนอผลงาน รวม ลงชอ่ื ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมินสมบรู ณ์ชดั เจน ให้ 2 คะแนน ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ เปน็ สว่ นใหญ่ ให้ 1 คะแนน ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมินบางส่วน เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ากว่า 8 ปรับปรงุ
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล คาชแี้ จง : ให้ผสู้ อนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด ลงในช่องทีต่ รงกบั ระดบั คะแนน ลาดับท่ี รายการประเมิน ระดบั คะแนน 1 32 1 การแสดงความคดิ เห็น 2 การยอมรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของผอู้ ืน่ 3 การทางานตามหน้าที่ทีไ่ ด้รับมอบหมาย 4 ความมีนา้ ใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผปู้ ระเมิน ............../.................../................ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ให้ 3 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 2 คะแนน ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครง้ั ให้ 1 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ตา่ กว่า 8 ปรบั ปรุง
แบบประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ คาชแ้ี จง : ใหผ้ ู้สอนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องท่ี ตรงกับระดบั คะแนน คณุ ลักษณะ รายการประเมิน ระดบั คะแนน อันพงึ ประสงค์ด้าน 321 1. รักชาติ ศาสน์ 1.1 ยนื ตรงเคารพธงชาติ และร้องเพลงชาติได้ กษัตรยิ ์ 1.2 เขา้ รว่ มกิจกรรมทส่ี ร้างความสามคั คี ปรองดอง และเป็นประโยชนต์ ่อ โรงเรยี น 1.3 เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาทตี่ นนับถือ ปฏิบตั ติ ามหลักศาสนา 1.4 เขา้ รว่ มกจิ กรรมท่เี กย่ี วกับสถาบันพระมหากษัตริยต์ ามท่โี รงเรียนจัดขึ้น 2. ซื่อสัตย์ สุจริต 2.1 ใหข้ อ้ มูลทีถ่ กู ตอ้ ง และเป็นจริง 2.2 ปฏบิ ัตใิ นสิ่งทถ่ี ูกตอ้ ง 3. มีวนิ ัย รบั ผิดชอบ 3.1 ปฏบิ ตั ิตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคบั ของครอบครัว มี ความตรงต่อเวลาในการปฏบิ ัติกจิ กรรมตา่ ง ๆ ในชวี ติ ประจาวัน 4. ใฝ่เรยี นรู้ 4.1 ร้จู กั ใช้เวลาว่างให้เปน็ ประโยชน์ และนาไปปฏบิ ัติได้ 4.2 รจู้ ักจดั สรรเวลาใหเ้ หมาะสม 4.3 เชอ่ื ฟงั คาสง่ั สอนของบิดา - มารดา โดยไมโ่ ตแ้ ยง้ 4.4 ตั้งใจเรียน 5. อยูอ่ ย่างพอเพียง 5.1 ใช้ทรัพยส์ นิ และสง่ิ ของของโรงเรยี นอยา่ งประหยดั 5.2 ใชอ้ ปุ กรณ์การเรยี นอยา่ งประหยัดและรู้คณุ คา่ 5.3 ใช้จ่ายอยา่ งประหยัดและมีการเกบ็ ออมเงนิ 6. ม่งุ ม่นั ในการ 6.1 มีความตงั้ ใจและพยายามในการทางานทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย ทางาน 6.2 มีความอดทนและไม่ทอ้ แทต้ ่ออปุ สรรคเพ่ือให้งานสาเร็จ 7. รกั ความเป็นไทย 7.1 มีจิตสานึกในการอนรุ ักษ์วฒั นธรรมและภูมปิ ญั ญาไทย 7.2 เหน็ คณุ ค่าและปฏบิ ัติตนตามวัฒนธรรมไทย 8. มีจติ สาธารณะ 8.1 รจู้ ักช่วยพ่อแม่ ผปู้ กครอง และครทู างาน 8.2 รจู้ ักการดูแลรกั ษาทรัพย์สมบตั ิและสงิ่ แวดล้อมของห้องเรียนและ โรงเรยี น ลงชื่อ...................................................ผปู้ ระเมนิ (นางสาวกรรณิกา ลิกัลตา) ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน พฤติกรรมท่ปี ฏิบัตชิ ัดเจนและสมา่ เสมอ ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมท่ปี ฏิบตั ิชัดเจนและบ่อยครัง้ ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมท่ปี ฏบิ ัติบางครงั้ ให้ 1 คะแนน
10. บันทกึ ผลการจดั การเรยี นรู้ ผลการจัดการเรยี นรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปญั หา/อุปสรรค …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ……………………………………………. (นางสาวกรรณิกา ลกิ ัลตา) ตาแหน่ง ครู ความคิดเหน็ หวั หน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...………………………………………………………………………………………………………………………………........... ลงชอ่ื ……………………………………………. (นายคมสนั มณศี รี) หวั หน้ากล่มุ สาระการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์ ความคดิ เห็นรองผู้อานวยการกลุ่มบริหารวชิ าการ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...……………………………………………………………………………………………………………………….................... ลงชอื่ ……………………………………………. (นายไพฑูรย์ มณีจนั ทร์) รองผอู้ านวยการกลุ่มบรหิ ารวชิ าการ ความคดิ เหน็ ผู้อานวยการ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...……………………………………………………………………………………………………………………….................... ลงชอ่ื ……………………………………………. (นางสาวพรณภทั ร์ พงษ์วรชั ญพ์ ร) ผู้อานวยการโรงเรียนเทพสถติ วทิ ยา วนั ท.ี่ ...........เดอื น........................พ.ศ................
แบบฝกึ หัดท่ี 3.4 เรื่อง การเขยี นจานวนในรูปสัญกรณ์วทิ ยาศาสตร์ คาชแ้ี จง : ให้นักเรยี นตอบคาถามแตล่ ะขอ้ ต่อไปนี้ 1. จงเขยี นจานวนต่อไปน้ใี นรูปสัญกรณว์ ทิ ยาศาสตร์ 1) 1,023,000 = ............................................... 2) 48,000,000 = ............................................... 3) 0.00193 = ............................................... 4) 0.0000001 = ............................................... 5) 999,000,000 = ............................................... 2. จงเขยี นจานวนที่อยใู่ นรูปสญั กรณ์วทิ ยาศาสตรต์ ่อไปนใี้ นรปู ของจานวนเต็มหรอื ทศนิยม 1) 4.62 104 = ............................................... 2) 1.47 10-2 = ............................................... 3) 3.99 10-6 = ............................................... 4) 6.9 105 = ............................................... 5) 5.182 10-1 = ............................................... 3. จงเขียนจานวนต่อไปน้ใี นรูปสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ 1) 1.5 102 = ............................................... 5 106 2) 1.28 103 = ............................................... 6.4 10-4
เฉลยแบบฝกึ หัดที่ 3.4 เรือ่ ง การเขยี นจานวนในรปู สัญกรณ์วิทยาศาสตร์ คาชีแ้ จง : ใหน้ ักเรียนตอบคาถามแตล่ ะข้อต่อไปน้ี 1. จงเขยี นจานวนต่อไปนี้ในรูปสัญกรณ์วทิ ยาศาสตร์ 1) 1,023,000 = ...........1....0..2..3........1..0..6................. 2) 48,000,000 = ...........4....8........1..0..7..................... 3) 0.00193 = ...........1....9..3........1..0..-.3.................. 4) 0.0000001 = ...........1........1..0..-.7....................... 5) 999,000,000 = ...........9....9..9........1..0..8................... 2. จงเขยี นจานวนท่ีอย่ใู นรูปสัญกรณ์วิทยาศาสตรต์ ่อไปน้ีในรูปของจานวนเต็มหรือทศนิยม 1) 4.62 104 = ...........4..6..,.2..0..0........................... 2) 1.47 10-2 = ...........0....0..1..4..7........................... 3) 3.99 10-6 = ...........0....0..0..0..0..0..3..9..9................... 4) 6.9 105 = ...........6..9..0..,.0..0..0......................... 5) 5.182 10-1 = ...........0...5..1..8..2........................... 3. จงเขยี นจานวนต่อไปน้ใี นรปู สญั กรณ์วทิ ยาศาสตร์ 1) 1.5 102 = ........3........1..0..-.5.......................... 5 106 = ........2........1..0..6........................... 2) 1.28 103 6.4 10-4
แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 22 รายวชิ าคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค21101 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ ภาคเรยี นที่ 1 หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3 ชอื่ หน่วย เลขยกกาลัง เวลารวม 10 ชัว่ โมง เรื่อง การนาความร้เู ก่ยี วกับเลขยกกาลังไปใช้ในชวี ติ จริง เวลา 3 ชั่วโมง ครผู ู้สอน นางสาวกรรณิกา ลกิ ลั ตา 1. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตวั ชวี้ ดั ค 1.1 ม.1/2 เข้าใจและใช้สมบัติของเลขยกกาลังที่มีเลขชี้กาลังเป็นจานวนเต็มบวกในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ และปัญหาในชีวติ จริง 2. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด ในชวี ิตประจาวันเราไดพ้ บเห็นเหตกุ ารณ์หรอื สถานการณ์ทเี่ ก่ียวข้องกับจานวนที่อยู่ในรูปเลขยกกาลังอยู่เสมอ เช่น การคิดอัตราดอกเบี้ยทบต้น ความเร็วของการเคลื่อนท่ีของยานพาหนะ เป็นต้น ดังนั้นเพ่ือความรวดเร็วในการ คานวณเราจงึ ตอ้ งอาศัยสมบัตขิ องเลขยกกาลังและการเขยี นจานวนในรปู สัญกรณว์ ทิ ยาศาสตรม์ าช่วย 3. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 3.1 เขา้ ใจการนาความรูเ้ กี่ยวกบั เลขยกกาลงั ไปใชแ้ กป้ ัญหาคณิตศาสตร์และปญั หาในชวี ติ จรงิ (K) 3.2 เขียนอธิบายข้ันตอนวธิ ีการแก้ปญั หาทางคณติ ศาสตร์เก่ียวกับเลขยกกาลังได้ (P) 3.3 รับผิดชอบต่อหน้าท่ีที่ได้รับมอบหมาย (A) 4. สาระการเรียนรู้ การนาความรเู้ กย่ี วกับเลขยกกาลงั ไปใช้ในการแก้ปัญหา 4. สาระการเรยี นรู้ การเขยี นจานวนในรปู สญั กรณว์ ิทยาศาสตร์ 5. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน 5.1. ความสามารถในการสือ่ สาร 5.2. ความสามารถในการคดิ - การใหเ้ หตผุ ล การสรปุ ความรู้ การปฏบิ ัติ 5.3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ 6. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ 6.1. มีวนิ ัย 6.2. ใฝเ่ รียนรู้ 6.3. ม่งุ มนั่ ในการทางาน
7. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ชัว่ โมงท่ี 1 7.1 ขน้ั จูงใจเพ่อื เตรยี มความพร้อม (Motivation) : M 1. ครูทบทวนสมบัตกิ ารแจกแจงดงั นี้ ให้ a, b และ c แทนจานวนใดๆ จะไดว้ า่ 1. a (b + c) = (a b) + (a c) 2. a (b – c) = (a b) – (a c) 3. (a + b) c = (a c) + (b c) 4. (a – b) c = (a c) – (b c) 2. ก่อนที่ครูจะอธบิ ายการหาดอกเบี้ยเงินฝาก ครูควรให้ความร้แู ก่นักเรียน ดงั นี้ - เงินตน้ คือ เงนิ ที่เรานาไปฝากสถาบันการเงนิ หรือเงินที่เราก้จู ากสถาบนั การเงิน - ดอกเบีย้ คือ เงินท่ีสถาบันการเงินต้องจา่ ยให้แกเ่ จ้าของเงินทนี่ าฝาก หรอื เงนิ ท่ผี ูก้ ูต้ ้องจา่ ยให้กบั ผ้ใู ห้กู้ - อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก คือ ผลตอบแทนท่ีสถาบันการเงนิ จ่ายให้กับผฝู้ ากเงนิ - เงนิ รวม คือ เงนิ ตน้ รวมกบั ดอกเบี้ย 3. ครูยกตวั อยา่ งการหาเงินเก็บในแต่ละปขี องวารุณี ในแบบฝึกทกั ษะเล่มท่ี 5 โดยครอู ธิบายขั้นตอนการหา ดอกเบ้ยี ในแต่ละปีอย่างละเอียด และเน้นย้าวา่ เมือ่ สิ้นปีที่ 1 เงนิ ต้นและดอกเบย้ี ทไี่ ดจ้ ากส้ินปีที่ 1 จะเป็นเงินต้นใน ปที ่ี 2 และเมื่อส้นิ ปีท่ี 2 เงนิ ตน้ และดอกเบยี้ ท่ีไดจ้ ากส้ินปที ่ี 2 จะเปน็ เงนิ ต้นในปีที่ 3 เปน็ เช่นนี้ไปเร่ือย ๆ เราเรียก การคิดดอกเบ้ยี เชน่ น้ีวา่ “การคดิ ดอกเบีย้ ทบต้น” 4.ครสู นทนากับนักเรียนจนได้ข้อสรุปสตู รดอกเบย้ี ทบต้น ดังนี้ r t A = P 1 100 เมอ่ื A แทน เงินรวมเม่อื สน้ิ ปที ่ี t P แทน เงนิ ตน้ r แทน อตั ราดอกเบ้ียต่อปี t แทน ระยะเวลาเปน็ ปี ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า “การหาจานวนเงินเก็บในแต่ละปีของวารุณี เป็นหน่ึงในตัวอย่างของการนา เลขยกกาลังมาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหา” 7.2 ขน้ั ปฏบิ ัติ (Action) : A 1. ให้นกั เรียนคานวณหาจานวนเงนิ เก็บในแตล่ ะปขี องวารณุ ี โดยใช้สูตรดอกเบี้ยทบต้น แล้วตรวจสอบ คาตอบจากตัวอย่างในแบบฝึกทกั ษะเล่มท่ี 5 2. ครูยกตัวอย่างท่ี 14 ในแบบฝึกทกั ษะเลม่ ที่ 5 พรอ้ มแสดงวิธีทาอย่างละเอียดบนกระดาน แล้วให้ นกั เรียนทา “แบบฝึกทักษะ” จากนัน้ ครูและนกั เรยี นร่วมกันเฉลยคาตอบ 3. ครูยกตวั อย่างท่ี 15 ในแบบฝึกทกั ษะเล่มท่ี 5 พร้อมแสดงวธิ ที าอย่างละเอียดบนกระดาน จากน้นั ให้ นกั เรยี นจบั คศู่ ึกษาตวั อย่างท่ี 16 แล้วแลกเปลย่ี นความรู้กบั คู่ของตนเอง 4. ให้นกั เรียนแต่ละคนทา “แบบฝึกทกั ษะ” ในแบบฝึกทักษะเลม่ ท่ี 5 แลว้ ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันเฉลย คาตอบ
ชว่ั โมงท่ี 2 1. ครทู บทวนสมบัติของการคูณและการหารเลขยกกาลัง เมื่อเลขชี้กาลังเปน็ จานวนเตม็ บวก และสูตร ดอกเบี้ยทบต้น 2. ให้นกั เรียนทาแบบฝกึ ทักษะ 3.4 ข้อ 5-7 จากนั้นครูและนักเรยี นร่วมกนั เฉลยคาตอบ 3. ครูใหน้ กั เรียนจัดกลุ่ม กลมุ่ ละ 4 คน คละความสามารถทางคณิตศาสตร์ แล้วทากจิ กรรม ดังนี้ - ใหแ้ ตล่ ะกลุ่มศกึ ษาสถานการณจ์ าก “คณิตศาสตรใ์ นชวี ติ จรงิ ” ในแบบฝึกทกั ษะเลม่ ท่ี 5 - จากนน้ั ให้นักเรียนแต่ละคนวิเคราะหว์ า่ มวี ิธีการแก้ปัญหาจาก “คณิตศาสตร์ในชวี ิตจริง” อย่างไร แลว้ แลกเปลย่ี นคาตอบกนั ภายในกลมุ่ สนทนาซักถามจนเปน็ ที่เข้าใจรว่ มกัน 7.3 ขน้ั สะท้อนความรู้ (Reflection of knowledge) : R 1. ใหต้ วั แทนกล่มุ มานาเสนอคาตอบหนา้ ชั้นเรยี น โดยเพอ่ื นกลมุ่ ทเ่ี หลือคอยตรวจสอบความถกู ต้อง 2. นักเรียนทกุ คนรว่ มกันวิเคราะห์ เปรยี บเทียบคาตอบจากทกุ กล่มุ แลว้ สรุปเป็นคาตอบของตวั เองโดย ครูให้ความชว่ ยเหลือแนะนาและอธบิ ายเพ่ิมเติมเพื่อความสมบูรณ์ของเน้ือหา 7.4 ขนั้ สร้างความรู้ (Ceration of Knowledge) : C 1. ใหน้ กั เรียนทง้ั ชนั้ ชว่ ยกนั สรปุ ความรู้เรอื่ ง การเขยี นจานวนในรูปสัญกรณ์วทิ ยาศาสตร์ จากแบบฝึก ทกั ษะ โดยครูถามคาถามเพ่อื สรปุ ความรรู้ วบยอดของนักเรียน ดังน้ี “a ยกกาลงั n” มคี วามหมายอยา่ งไร (แนวตอบ an = a a a … a ) n ตัว ถ้ากาหนดให้ a, b แทนจานวนใด ๆ ที่ b 0 และ m, n, k แทนจานวนเต็มบวกใด ๆ แลว้ am an มคี า่ เทา่ กบั เท่าไร (แนวตอบ เท่ากบั am+n ) (am)n มคี ่าเท่ากบั เท่าไร (แนวตอบ เทา่ กับ am × n ) am bm มคี ่าเทา่ กบั เทา่ ไร (แนวตอบ เท่ากบั (a b)m ) (am bn)k มคี ่าเทา่ กบั เท่าไร (แนวตอบ เทา่ กับ am × k bn × k ) am an โดยท่ี a 0 มคี า่ เท่ากับเทา่ ไร (แนวตอบ เทา่ กบั am - n ) เม่ือ m = n แล้ว am an มคี า่ เทา่ กบั เท่าไร (แนวตอบ เทา่ กับ 1) 1 เมอ่ื m < n แล้ว am an มีค่าเท่ากับเท่าไร (แนวตอบ เทา่ กับ am หรอื a-m ) am มีค่าเท่ากบั เทา่ ไร (แนวตอบ เทา่ กับ a m ) bm b am k an มคี ่าเทา่ กบั เท่าไร (แนวตอบ เทา่ กับ am k ) an k จานวนในรปู สญั กรณ์วทิ ยาศาสตร์ คอื (แนวตอบ จานวนท่ีเขยี นอยูใ่ นรปู A 10n เมือ่ 1 A < 10 และ n เปน็ จานวนเตม็ ) การเขยี นจานวนทีม่ ีคา่ มาก ๆ ในรปู สญั กรณ์วิทยาศาสตร์ เป็นอยา่ งไร (แนวตอบ เลขช้ีกาลงั ของฐาน 10 จะเป็นจานวนเตม็ บวก ที่มีคา่ นอ้ ยกว่าจานวนหลกั ของสว่ นทเ่ี ป็น จานวนเตม็ อยู่ 1 ค่า) การเขยี นจานวนท่มี ีค่าน้อย ๆ ในรูปสญั กรณว์ ิทยาศาสตร์ เป็นอย่างไร
(แนวตอบ เลขช้ีกาลงั ของฐาน 10 จะเปน็ จานวนเต็มลบ ทม่ี ีคา่ สมั บรู ณม์ ากกวา่ จานวนของศูนย์หลัง จดุ ทศนิยมอยู่ 1 คา่ ) ชวั่ โมงท่ี 3 7.5 ข้นั ประเมนิ ผล (Evaluation) : E ให้นกั เรยี นทาแบบทดสอบหลังเรียน หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 เลขยกกาลัง เวลา 1 ชั่วโมง 8. ส่อื และแหลง่ เรยี นรู้ 8.1 ส่อื การเรียนรู้ 8.1.1. หนงั สอื เรียนรายวชิ าพ้นื ฐาน คณติ ศาสตร์ ม.1 เลม่ 1 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 เลขยกกาลงั 8.1.2. แบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ ม.1 เล่ม 5 เร่ือง การนาความรู้เกย่ี วกบั เลขยกกาลังไปใช้ในชวี ติ จรงิ 8.2 แหลง่ การเรยี นรู้ 8.2.1. ห้องเรียน 8.2.2. หอ้ งสมุด 8.2.3. อนิ เทอรเ์ น็ต 9. การวัดและประเมนิ ผล วธิ ีการวดั เครื่องมือทใี่ ช้วดั เกณฑ์การวัด สงิ่ ที่ต้องการวดั 1.เขา้ ใจการนาความรูเ้ กยี่ วกบั เลขยก ตรวจใบงาน/แบบฝึกหดั แบบประเมินผลงาน ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 ใบงาน/แบบฝกึ หัด ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 60 กาลงั ไปใชแ้ ก้ปญั หาคณติ ศาสตร์และ อยู่ในระดับดีข้นึ ไป แบบประเมินผลงาน ปัญหาในชวี ติ จรงิ (K) กลมุ่ /รายบุคคล 2.เขยี นอธิบายข้ันตอนวิธีการ ผลงานกล่มุ /รายบคุ คล แบบสงั เกตพฤติกรรม การทางานกลุ่ม แกป้ ญั หาทางคณติ ศาสตร์เกีย่ วกบั เลขยกกาลงั ได้ (P) 3. รบั ผิดชอบต่อหนา้ ทที่ ี่ได้รบั สังเกตพฤตกิ รรมกลุ่ม มอบหมาย (A)
แบบประเมนิ การนาเสนอผลงาน คาช้แี จง : ให้ผสู้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ลงในชอ่ งท่ี ตรงกับระดับคะแนน ลาดบั ที่ รายการประเมิน ระดบั คะแนน 1 32 1 เนื้อหาละเอยี ดชดั เจน 2 ความถกู ตอ้ งของเนอื้ หา 3 ภาษาทีใ่ ช้เขา้ ใจง่าย 4 ประโยชน์ทไ่ี ดจ้ ากการนาเสนอ 5 วธิ กี ารนาเสนอผลงาน รวม ลงชอ่ื ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมินสมบรู ณ์ชดั เจน ให้ 2 คะแนน ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ เปน็ สว่ นใหญ่ ให้ 1 คะแนน ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมินบางส่วน เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ากว่า 8 ปรับปรงุ
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล คาชแี้ จง : ให้ผสู้ อนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ลงในช่องทีต่ รงกบั ระดบั คะแนน ลาดับท่ี รายการประเมิน ระดับคะแนน 1 32 1 การแสดงความคดิ เห็น 2 การยอมรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของผอู้ ืน่ 3 การทางานตามหน้าที่ทีไ่ ด้รับมอบหมาย 4 ความมีนา้ ใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ให้ 3 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 2 คะแนน ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครง้ั ให้ 1 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ตา่ กว่า 8 ปรบั ปรุง
แบบประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ คาชแ้ี จง : ให้ผสู้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องท่ี ตรงกับระดบั คะแนน คณุ ลักษณะ รายการประเมิน ระดบั คะแนน อันพงึ ประสงคด์ ้าน 321 1. รักชาติ ศาสน์ 1.1 ยนื ตรงเคารพธงชาติ และรอ้ งเพลงชาติได้ กษัตริย์ 1.2 เข้ารว่ มกจิ กรรมทส่ี ร้างความสามคั คี ปรองดอง และเป็นประโยชนต์ ่อ โรงเรยี น 1.3 เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาทตี่ นนับถือ ปฏิบตั ติ ามหลักศาสนา 1.4 เข้าร่วมกิจกรรมทเี่ กย่ี วกับสถาบนั พระมหากษัตริยต์ ามท่โี รงเรียนจัดขึ้น 2. ซื่อสัตย์ สุจรติ 2.1 ใหข้ อ้ มูลทีถ่ กู ตอ้ ง และเป็นจริง 2.2 ปฏบิ ัตใิ นสิ่งทถ่ี ูกต้อง 3. มีวนิ ยั รบั ผดิ ชอบ 3.1 ปฏบิ ตั ิตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ข้อบังคบั ของครอบครัว มี ความตรงต่อเวลาในการปฏบิ ัติกจิ กรรมตา่ ง ๆ ในชวี ติ ประจาวัน 4. ใฝ่เรยี นรู้ 4.1 ร้จู กั ใช้เวลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์ และนาไปปฏบิ ัติได้ 4.2 รจู้ ักจดั สรรเวลาใหเ้ หมาะสม 4.3 เชอ่ื ฟงั คาสง่ั สอนของบิดา - มารดา โดยไมโ่ ตแ้ ยง้ 4.4 ตั้งใจเรียน 5. อยูอ่ ยา่ งพอเพยี ง 5.1 ใช้ทรัพยส์ นิ และสง่ิ ของของโรงเรยี นอยา่ งประหยดั 5.2 ใชอ้ ปุ กรณ์การเรยี นอยา่ งประหยดั และรู้คณุ คา่ 5.3 ใช้จ่ายอยา่ งประหยัดและมีการเกบ็ ออมเงนิ 6. ม่งุ ม่นั ในการ 6.1 มีความตงั้ ใจและพยายามในการทางานทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย ทางาน 6.2 มีความอดทนและไม่ทอ้ แทต้ ่ออปุ สรรคเพ่ือให้งานสาเร็จ 7. รกั ความเป็นไทย 7.1 มีจิตสานึกในการอนรุ ักษ์วฒั นธรรมและภูมปิ ญั ญาไทย 7.2 เหน็ คณุ ค่าและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทย 8. มีจติ สาธารณะ 8.1 รจู้ ักช่วยพ่อแม่ ผปู้ กครอง และครูทางาน 8.2 รจู้ ักการดูแลรักษาทรัพย์สมบตั แิ ละสิ่งแวดล้อมของห้องเรียนและ โรงเรยี น ลงชื่อ...................................................ผปู้ ระเมนิ (นางสาวกรรณิกา ลิกัลตา) ............../.................../................ เกณฑ์การใหค้ ะแนน พฤติกรรมท่ปี ฏิบัตชิ ัดเจนและสมา่ เสมอ ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมท่ปี ฏิบตั ิชัดเจนและบ่อยครัง้ ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมท่ปี ฏบิ ัติบางครงั้ ให้ 1 คะแนน
10. บันทกึ ผลการจดั การเรยี นรู้ ผลการจัดการเรยี นรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปญั หา/อุปสรรค …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ……………………………………………. (นางสาวกรรณิกา ลกิ ัลตา) ตาแหน่ง ครู ความคิดเหน็ หวั หน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...………………………………………………………………………………………………………………………………........... ลงชอ่ื ……………………………………………. (นายคมสนั มณศี รี) หวั หน้ากล่มุ สาระการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์ ความคดิ เห็นรองผู้อานวยการกลุ่มบริหารวชิ าการ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...……………………………………………………………………………………………………………………….................... ลงชอื่ ……………………………………………. (นายไพฑูรย์ มณีจนั ทร์) รองผอู้ านวยการกลุ่มบรหิ ารวชิ าการ ความคดิ เหน็ ผู้อานวยการ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...……………………………………………………………………………………………………………………….................... ลงชอ่ื ……………………………………………. (นางสาวพรณภทั ร์ พงษ์วรชั ญพ์ ร) ผู้อานวยการโรงเรียนเทพสถติ วทิ ยา วนั ท.ี่ ...........เดอื น........................พ.ศ................
แบบฝกึ หดั ท่ี 3.5 เรื่อง การนาความรูเ้ กี่ยวกบั เลขยกกาลงั ไปใช้ในชีวติ จรงิ คาชแี้ จง : ใหน้ ักเรียนแสดงวิธที า 1. เวลา 1 ไมโครวินาที เทา่ กับ 10-6 วนิ าที จงหาว่า 30 ไมโครวินาที เท่ากบั ก่วี นิ าที วิธที า 2. ถ้า 1 อังสตรอม เท่ากับ 10-10 เมตร และ 1 นาโนเมตร เทา่ กบั 10-9 เมตร จงหาวา่ 2.1 อังสตรอม เท่ากบั กนี่ าโนเมตร วิธีทา
เฉลยแบบฝกึ หัดท่ี 3.5 เร่ือง การนาความรูเ้ กีย่ วกบั เลขยกกาลังไปใชใ้ นชีวติ จริง คาชแี้ จง : ใหน้ ักเรยี นแสดงวิธที า 1. เวลา 1 ไมโครวินาที เท่ากับ 10-6 วนิ าที จงหาว่า 30 ไมโครวินาที เทา่ กบั ก่ีวินาที วิธีทา เวลา 1 ไมโครวนิ าที เท่ากับ 10-6 วินาที เวลา 30 ไมโครวนิ าที เท่ากบั 30 10-6 = 3 10 10-6 วินาที = 3 10-5 วินาที ดังน้นั เวลา 30 ไมโครวินาที เทา่ กับ 3 10-5 วนิ าที 2. ถ้า 1 องั สตรอม เทา่ กบั 10-10 เมตร และ 1 นาโนเมตร เท่ากบั 10-9 เมตร จงหาวา่ 2.1 อังสตรอม เท่ากับก่ีนาโนเมตร วิธีทา 1 องั สตรอม เท่ากบั 10-10 เมตร 2.1 อังสตรอม เทา่ กับ 2.1 10-10 เมตร แต่ 1 นาโนเมตร เทา่ กบั 10-9 เมตร หรอื 10-9 เมตร เท่ากับ 1 นาโนเมตร จึงได้ว่า 2.1 10-10 เมตร เทา่ กบั นาโนเมตร = 2.1 10(-10)-(-9) นาโนเมตร = 2.1 10-1 นาโนเมตร = 0.21 นาโนเมตร ดงั นั้น 2.1 องั สตรอม เทา่ กับ 0.21 นาโนเมตร
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 23 รายวิชาคณิตศาสตรพ์ ้นื ฐาน รหัสวิชา ค21101 ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 1 กลุม่ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ ภาคเรียนที่ 1 หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 4 ชอ่ื หน่วย มติ สิ ัมพนั ธ์ของรปู เรขาคณิต เวลารวม 6 ชั่วโมง เรื่อง หนา้ ตดั ของรปู เรขาคณิตสามมติ ิ เวลา 2 ชวั่ โมง ครผู ูส้ อน นางสาวกรรณิกา ลิกัลตา 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ / ตัวชี้วัด ค 2.2 ม.1/2 เขา้ ใจและใชค้ วามรูท้ างเรขาคณิตในการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างรูปเรขาคณิตสองมิติและ รูปเรขาคณิตสามมิติ 2. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด หน้าตัดของรูปเรขาคณิตสามมิติจะเป็นรูปเรขาคณิตสองมิติ ซึ่งจะได้รูปใดขึ้นอยู่กับชนิดของรูปเรขาคณิต สามมิติและแนวในการตัดรูปเรขาคณิตสามมิติน้ัน 3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 3.1 หาภาพหน้าตัดของรูปเรขาคณิตสามมิติท่กี าหนดให้ได้ (K) 3.2 นาความรคู้ ณิตศาสตร์ไปประยุกตใ์ ช้ในชีวิตประจาวันได้ (P) 3.3 รบั ผิดชอบต่อหน้าที่ท่ไี ด้รับมอบหมาย (A) 4. สาระการเรียนรู้ หนา้ ตัดของรปู เรขาคณิตสามมติ ิ 5. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น 5.1. ความสามารถในการสื่อสาร 5.2. ความสามารถในการคิด - การใหเ้ หตผุ ล การสรุปความรู้ การปฏบิ ัติ 5.3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต 6. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 6.1. มวี ินัย 6.2. ใฝ่เรียนรู้ 6.3. มงุ่ มั่นในการทางาน 7. กจิ กรรมการเรียนรู้ ช่วั โมงท่ี 1 7.1 ขั้นนาเขา้ สู่บทเรียน นกั เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 4 มิติสมั พันธ์ของรูปเรขาคณิต 1. ครกู ล่าวทกั ทายกับนักเรียน แล้วแจ้งผลการเรียนรใู้ ห้นักเรียนทราบ 2. ครกู ระตุ้นความสนใจของนักเรยี น โดยให้นักเรียนดภู าพหน้าหน่วย จากน้ันครถู ามคาถามในหนังสือเรียน หน้า 140 แลว้ ให้นักเรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็น หมายเหตุ* ครูและนักเรียนรว่ มกันเฉลยคาถามในหนงั สือเรียน หนา้ 140 หลังเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 4
3. ให้นักเรียนศึกษา “ควรรู้กอ่ นเรียน” ในหนังสือเรียน หนา้ 141 เร่อื งชนิดของรปู เรขาคณิตสองมิตแิ ละ รูปเรขาคณิตสามมิติ จากน้ันครูถามคาถาม ดังน้ี รูปเรขาคณิตสองมิติมีลกั ษณะอยา่ งไร (แนวตอบ รูปเรขาคณิตสองมิติ เป็นรปู เรขาคณิตท่ีมีความกว้างและความยาว สามารถมองได้เพียง 2 ด้านเทา่ น้ัน) รปู เรขาคณิตสามมิติมลี ักษณะอยา่ งไร (แนวตอบ รูปเรขาคณิตสามมิติ เป็นรูปเรขาคณิตท่ีมีความกวา้ ง ความยาวและความสงู (หรอื ความหนา) ซงึ่ สามารถมองได้ 3 ด้าน) 4. ใหน้ ักเรียนช่วยกันยกตัวอย่างรปู เรขาคณิตสองมิติและรปู เรขาคณิตสามมิติ พร้อมทัง้ ชว่ ยกนั บอก ลกั ษณะให้ครูวาดรูปแสดงบนกระดาน (แนวตอบ รปู เรขาคณิตสองมิติ เช่น รปู สามเหลี่ยม รูปส่ีเหล่ียม วงกลม วงรีฯ รูปเรขาคณิตสามมิติ เช่น ทรงส่ีเหลี่ยมมุมฉาก ทรงกระบอก ทรงกลมฯ) 7.2 ขั้นสอน 1. ครูกลา่ วถงึ หน้าตัดของผลไม้ชนิดตา่ ง ๆ ตามในหนงั สือเรียน หน้า 142 ท่ีแม่คา้ และพ่อค้าขายผลไมแ้ บบ รถเข็นห่ันผลไม้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วถามคาถาม ดังน้ี นักเรยี นเคยเห็นหน้าตัดของผลไม้เป็นรปู อะไรบา้ ง (แนวตอบ รปู สามเหลี่ยม รปู ส่เี หลี่ยม วงกลมฯ) ถา้ พอ่ คา้ ห่ันแตงโมตามแนวต้ังฉากกับพ้ืนราบ นักเรียนคิดว่าจะได้หนา้ ตัดเป็นรูปอะไร (แนวตอบ วงกลม) ถ้าพ่อคา้ หั่นแตงโมตามแนวขนานกบั พื้นราบ นักเรียนคิดว่าจะได้หน้าตัดเป็นรูปอะไร (แนวตอบ วงรี) จากนั้นครกู ล่าวว่า “หน้าตัดของผลไม้แตล่ ะชนิดจะเป็นรปู เรขาคณิตสองมิติทม่ี ีลักษณะแตกต่างกันไป โดยข้ึนอย่กู บั แนวในการตัดและชนิดของผลไม้น้ัน ๆ ซ่งึ ในที่นเี้ ราจะพูดถงึ หนา้ ตัดจากการตัด 2 แนว คือ แนวตง้ั ฉากกับพ้นื ราบ และแนวขนานกบั พน้ื ราบเทา่ นั้น” 2. ครนู าผลไม้ 2 ชนิด ได้แก่ มะนาวและแก้วมังกร มาแสดงใหน้ ักเรียนดู แล้วถามคาถาม ดงั น้ี ถ้าตัดผลมะนาวในแนวตั้งฉากกบั พ้ืนราบและแนวขนานกับพ้ืนราบ จะได้หนา้ ตัดคลา้ ยรปู เรขาคณิต สองมิติชนิดใด (ครูเปดิ โอกาสให้นักเรียนจินตนาการแล้วร่วมกันแสดงความคิดเห็น โดยท่ีครูยงั ไม่เฉลยคาตอบ) ถ้าตัดผลแก้วมังกรในแนวต้งั ฉากกับพ้ืนราบและแนวขนานกับพ้ืนราบ จะไดห้ นา้ ตัดคล้ายรูปเรขาคณิต สองมิติชนิดใด (ครูเปดิ โอกาสให้นักเรียนจินตนาการแล้วร่วมกันแสดงความคิดเห็น โดยท่ีครูยังไม่เฉลยคาตอบ) 3. ครูนาผลไมท้ ั้ง 2 ชนิด มาตัดใหน้ กั เรียนดูทั้ง 2 แนว คือ แนวตง้ั ฉากกบั พ้ืนราบและแนวขนานกบั พื้นราบ แล้วถามคาถามเดิมกบั นักเรียน ดงั น้ี ถา้ ตัดผลมะนาวในแนวต้ังฉากกบั พืน้ ราบและแนวขนานกบั พื้นราบ จะได้หน้าตัดคลา้ ยรูปเรขาคณิต สองมิติชนิดใด (แนวตอบ ไมว่ ่าจะตัดในแนวต้งั ฉากกบั พนื้ ราบหรือแนวขนานกบั พน้ื ราบจะได้หนา้ ตัดเป็นวงกลม) ถ้าตัดผลแก้วมงั กรในแนวตั้งฉากกับพ้ืนราบและแนวขนานกับพ้นื ราบ จะไดห้ น้าตัดคล้ายรปู เรขาคณิต สองมิติชนิดใด
(แนวตอบ ถ้าตัดในแนวตง้ั ฉากกับพ้ืนราบจะไดห้ นา้ ตัดทมี่ ีลักษณะคลา้ ยวงกลม แตถ่ า้ ตัดในแนวขนาน กับพื้นราบจะไดห้ น้าตัดท่ีมีลักษณะคล้ายวงรี) จากนั้นให้นักเรียนอ่านสรปุ การตัดผลมะนาวและผลแก้วมังกร ในแนวต้ังฉากกบั พื้นราบและแนวขนาน กับพนื้ ราบในหนงั สอื เรียน หน้า 142-143 4. ครใู ห้นักเรียนชว่ ยกันยกตัวอย่างผลไมห้ รอื สิ่งของมา 10 ตัวอย่าง โดยครูเขียนตัวอยา่ งท่ีนักเรียนบอกบน กระดาน จากนั้นให้นักเรียนช่วยกันลองใช้จินตนาการในการตัดผลไมห้ รอื สง่ิ ของชนิดนั้น โดยครคู อย ตรวจสอบความถูกต้อง 5. ครูสรุปให้นักเรียนฟังว่า “การตัดรูปเรขาคณิตสามมิติตามแนวต่าง ๆ อาจไดห้ น้าตัดทเ่ี หมอื นกัน หรือ หน้าตัดท่ีตา่ งกันก็ได้” พรอ้ มท้ังยกตัวอย่างผลไม้หรือสง่ิ ของที่นกั เรียนช่วยกันยกตัวอยา่ งทีม่ หี นา้ ตัด เหมือนกันและมีหน้าตัดตา่ งกันอย่างละ 1 ตัวอยา่ ง 6. ครใู ห้นกั เรียนจัดกลุ่ม กล่มุ ละ 4 คน คละความสามารถทางคณิตศาสตร์ แล้วทากิจกรรม ดงั นี้ - ใหน้ ักเรียนแต่ละกลุม่ ป้ันทรงกลมและทรงกระบอกจากดินน้ามัน อย่างละ 1 ชิน้ แล้วนารูปเรขาคณิต สามมิติท้ังสองมาตัดตามแนวตั้งฉากกับพน้ื ราบและแนวขนานกบั พ้ืนราบ - แต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะหว์ ่า หนา้ ตัดที่ไดเ้ ป็นรปู เรขาคณิตสองมิติชนิดใด จากนั้นวาดรปู เรขาคณิต สามมิติ และหนา้ ตัดของรปู เรขาคณิตสามมิติแตล่ ะชนิดลงในสมุดของตนเอง ดังน้ี ตดั ตามแนวตัง้ ฉากกับพนื้ ราบ ทรง ตัดตามแนวขนานกบั พื้นราบ ตัดตามแนวตั้งฉากกบั พ้ืนราบ ทรงกระบอก ตดั ตามแนวขนานกบั พ้นื ราบ - เมอื่ เสร็จแล้วให้นาส่งครู โดยครูคอยตรวจสอบความถูกต้อง
จากน้ันให้นักเรียนอา่ นสรปุ การตัดทรงกลมและทรงกระบอก ในแนวตง้ั ฉากกบั พ้นื ราบและแนวขนานกับ พน้ื ราบในหนังสือเรยี น หน้า 144-145 7. ครูใหน้ ักเรียนทา Exercise 4.1 ขอ้ 1 ในแบบฝกึ หดั คณติ ศาสตร์ จากนัน้ ครแู ละนักเรียนร่วมกนั เฉลย คาตอบ 8. ให้นกั เรียนทาแบบฝึกทักษะ 4.1 ขอ้ 1 ในหนงั สอื เรียน หน้า 148 เปน็ การบ้าน ชั่วโมงที่ 2 9. ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันเฉลยคาตอบแบบฝึกทักษะ 4.1 ขอ้ 1 10.ครูกล่าวทบทวนการตดั รปู เรขาคณิตสามมิตติ ามแนวการตัดต่าง ๆ ว่าจะได้รปู หนา้ ตัดเปน็ รูปเรขาคณิต สองมติ ิท่ีมี 2 ลกั ษณะ คือ 1) ภาพหน้าตัดที่ไดจ้ ะเป็นรปู เรขาคณิตสองมติ ิชนดิ เดยี วกนั 2) ภาพหนา้ ตดั ท่ีได้จะเป็นรปู เรขาคณิตสองมิตติ า่ งชนิดกัน 11.ครใู ห้นักเรียนศึกษาการเลื่อยท่อนไมใ้ นหนงั สือเรยี น หนา้ 146 แลว้ ตอบคาถาม “Thinking Time” 12.ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันเฉลยคาตอบ “Thinking Time” 13.ให้นักเรียนทา Exercise 4.1 ขอ้ 2-3 ในแบบฝกึ หดั คณิตศาสตร์ แล้วครูและนักเรยี นร่วมกนั เฉลยคาตอบ 14.ครใู หน้ ักเรยี นแบ่งกล่มุ 4 กลุม่ เทา่ ๆ กัน แลว้ ทากิจกรรม ดังนี้ - ให้นกั เรยี นแตล่ ะกล่มุ ช่วยกนั ทากจิ กรรมคณิตศาสตร์ ในหนังสอื เรยี น หนา้ 147 โดยเขยี นลงในสมดุ ของตนเอง - จากนั้นครูสุม่ ตวั แทนนักเรียนกลมุ่ ละ 1 คน (4 กลุ่ม) มานาเสนอผลงานพร้อมทง้ั บอกหน้าตดั ที่ได้ ดงั น้ี ตัวแทนคนท่ี 1 นาเสนอผลงานที่ตัดในแนวต้งั ฉากกบั พ้ืนราบพร้อมทงั้ บอกหน้าตัดทไ่ี ด้ ตวั แทนคนที่ 2 นาเสนอผลงานทตี่ ัดในแนวขนานกบั พน้ื ราบพรอ้ มทง้ั บอกหนา้ ตัดที่ได้ ตัวแทนคนที่ 3 นาเสนอผลงานที่ตดั ในแนวเสน้ ทแยงมมุ พร้อมทงั้ บอกหนา้ ตดั ท่ีได้ ตัวแทนคนท่ี 4 นาเสนอผลงานท่ตี ัดมมุ ของโอเอซสิ พร้อมทั้งบอกหนา้ ตดั ท่ีได้ 15.ให้นักเรยี นทาแบบฝกึ ทักษะ 4.1 ขอ้ 2-3 เป็นการบ้าน 7.3 ขั้นสรุป ครูถามคาถามเพื่อสรุปความรู้รวบยอดของนกั เรยี น ดังน้ี นักเรยี นได้เรยี นรูห้ นา้ ตดั ท่เี กิดจากการตดั 2 แนว ไดแ้ กอ่ ะไรบ้าง (แนวตอบ แนวตงั้ ฉากกบั พืน้ ราบ และแนวขนานกบั พ้นื ราบ) การตัดรปู เรขาคณติ สามมิติตามแนวการตัดต่าง ๆ จะไดร้ ปู หน้าตดั เป็นรูปเรขาคณติ สองมติ ิทม่ี ี 2 ลกั ษณะ คอื อะไรบ้าง (แนวตอบ ภาพหนา้ ตัดที่ไดจ้ ะเปน็ รปู เรขาคณิตสองมติ ิชนดิ เดียวกัน และภาพหน้าตัดทไ่ี ด้จะเปน็ รปู เรขาคณติ สองมิตติ า่ งชนดิ กัน)
8. สื่อและแหลง่ เรยี นรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 8.1.1. หนงั สอื เรียนรายวชิ าพ้ืนฐาน คณติ ศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 4 มติ สิ มั พนั ธ์ของรูป เรขาคณิต 8.1.2 แบบฝึกหดั คณิตศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 มิติสัมพันธ์ของรูปเรขาคณิต 8.1.3. มะนาวและแกว้ มงั กร 8.1.4 ดินนา้ มนั 8.1.5 โอเอซสิ 8.2 แหล่งการเรยี นรู้ 8.2.1. หอ้ งเรยี น 8.2.2. ห้องสมุด 8.2.3. อนิ เทอรเ์ นต็ 9. การวดั และประเมนิ ผล สง่ิ ทีต่ ้องการวัด วธิ ีการวดั เครือ่ งมือทีใ่ ช้วัด เกณฑก์ ารวัด 1.หาภาพหนา้ ตดั ของรปู เรขาคณิต ตรวจใบงาน/แบบฝึกหดั แบบประเมนิ ผลงาน ผา่ นเกณฑร์ ้อยละ 60 สามมติ ทิ ี่กาหนดให้ได้ (K) ผลงานกลมุ่ /รายบคุ คล ใบงาน/แบบฝกึ หดั ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 60 2.นาความร้คู ณติ ศาสตรไ์ ป แบบประเมนิ ผลงาน ประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ ประจาวนั ได้ (P) กล่มุ /รายบุคคล 3. รบั ผดิ ชอบต่อหนา้ ท่ีท่ีไดร้ ับ สงั เกตพฤติกรรมกลุ่ม แบบสังเกตพฤติกรรม อยใู่ นระดบั ดขี น้ึ ไป มอบหมาย (A) การทางานกล่มุ
แบบประเมนิ การนาเสนอผลงาน คาช้แี จง : ให้ผสู้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ลงในชอ่ งท่ี ตรงกับระดับคะแนน ลาดบั ที่ รายการประเมิน ระดบั คะแนน 1 32 1 เนื้อหาละเอยี ดชดั เจน 2 ความถกู ตอ้ งของเนอื้ หา 3 ภาษาทีใ่ ช้เขา้ ใจง่าย 4 ประโยชน์ทไ่ี ดจ้ ากการนาเสนอ 5 วธิ กี ารนาเสนอผลงาน รวม ลงชอ่ื ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมินสมบรู ณ์ชดั เจน ให้ 2 คะแนน ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ เปน็ สว่ นใหญ่ ให้ 1 คะแนน ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมินบางส่วน เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ากว่า 8 ปรับปรงุ
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล คาชแี้ จง : ให้ผสู้ อนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด ลงในช่องทีต่ รงกบั ระดบั คะแนน ลาดับท่ี รายการประเมิน ระดบั คะแนน 1 32 1 การแสดงความคดิ เห็น 2 การยอมรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของผอู้ ืน่ 3 การทางานตามหน้าที่ทีไ่ ด้รับมอบหมาย 4 ความมีนา้ ใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผปู้ ระเมิน ............../.................../................ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ให้ 3 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 2 คะแนน ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครง้ั ให้ 1 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ตา่ กว่า 8 ปรบั ปรุง
แบบประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ คาชแ้ี จง : ใหผ้ ู้สอนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องท่ี ตรงกับระดบั คะแนน คณุ ลักษณะ รายการประเมิน ระดบั คะแนน อันพงึ ประสงค์ด้าน 321 1. รักชาติ ศาสน์ 1.1 ยนื ตรงเคารพธงชาติ และร้องเพลงชาติได้ กษัตรยิ ์ 1.2 เขา้ รว่ มกิจกรรมทส่ี ร้างความสามคั คี ปรองดอง และเป็นประโยชนต์ ่อ โรงเรยี น 1.3 เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาทตี่ นนับถือ ปฏิบตั ติ ามหลักศาสนา 1.4 เขา้ รว่ มกจิ กรรมท่เี กย่ี วกับสถาบันพระมหากษัตริยต์ ามท่โี รงเรียนจัดขึ้น 2. ซื่อสัตย์ สุจริต 2.1 ใหข้ อ้ มูลทีถ่ กู ตอ้ ง และเป็นจริง 2.2 ปฏบิ ัตใิ นสิ่งทถ่ี ูกตอ้ ง 3. มีวนิ ัย รบั ผิดชอบ 3.1 ปฏบิ ตั ิตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคบั ของครอบครัว มี ความตรงต่อเวลาในการปฏบิ ัติกจิ กรรมตา่ ง ๆ ในชวี ติ ประจาวัน 4. ใฝ่เรยี นรู้ 4.1 ร้จู กั ใช้เวลาว่างให้เปน็ ประโยชน์ และนาไปปฏบิ ัติได้ 4.2 รจู้ ักจดั สรรเวลาใหเ้ หมาะสม 4.3 เชอ่ื ฟงั คาสง่ั สอนของบิดา - มารดา โดยไมโ่ ตแ้ ยง้ 4.4 ตั้งใจเรียน 5. อยูอ่ ย่างพอเพียง 5.1 ใช้ทรัพยส์ นิ และสง่ิ ของของโรงเรยี นอยา่ งประหยดั 5.2 ใชอ้ ปุ กรณ์การเรยี นอยา่ งประหยัดและรู้คณุ คา่ 5.3 ใช้จ่ายอยา่ งประหยัดและมีการเกบ็ ออมเงนิ 6. ม่งุ ม่นั ในการ 6.1 มีความตงั้ ใจและพยายามในการทางานทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย ทางาน 6.2 มีความอดทนและไม่ทอ้ แทต้ ่ออปุ สรรคเพ่ือให้งานสาเร็จ 7. รกั ความเป็นไทย 7.1 มีจิตสานึกในการอนรุ ักษ์วฒั นธรรมและภูมปิ ญั ญาไทย 7.2 เหน็ คณุ ค่าและปฏบิ ัติตนตามวัฒนธรรมไทย 8. มีจติ สาธารณะ 8.1 รจู้ ักช่วยพ่อแม่ ผปู้ กครอง และครทู างาน 8.2 รจู้ ักการดูแลรกั ษาทรัพย์สมบตั ิและสงิ่ แวดล้อมของห้องเรียนและ โรงเรยี น ลงชื่อ...................................................ผปู้ ระเมนิ (นางสาวกรรณิกา ลิกัลตา) ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน พฤติกรรมท่ปี ฏิบัตชิ ัดเจนและสมา่ เสมอ ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมท่ปี ฏิบตั ิชัดเจนและบ่อยครัง้ ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมท่ปี ฏบิ ัติบางครงั้ ให้ 1 คะแนน
10. บันทกึ ผลการจดั การเรยี นรู้ ผลการจัดการเรยี นรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปญั หา/อุปสรรค …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ……………………………………………. (นางสาวกรรณิกา ลกิ ัลตา) ตาแหน่ง ครู ความคิดเหน็ หวั หน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...………………………………………………………………………………………………………………………………........... ลงชอ่ื ……………………………………………. (นายคมสนั มณศี รี) หวั หน้ากล่มุ สาระการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์ ความคดิ เห็นรองผู้อานวยการกลุ่มบริหารวชิ าการ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...……………………………………………………………………………………………………………………….................... ลงชอื่ ……………………………………………. (นายไพฑูรย์ มณีจนั ทร์) รองผอู้ านวยการกลุ่มบรหิ ารวชิ าการ ความคดิ เหน็ ผู้อานวยการ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...……………………………………………………………………………………………………………………….................... ลงชอ่ื ……………………………………………. (นางสาวพรณภทั ร์ พงษ์วรชั ญพ์ ร) ผู้อานวยการโรงเรียนเทพสถติ วทิ ยา วนั ท.ี่ ...........เดอื น........................พ.ศ................
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 24 รายวิชาคณติ ศาสตร์พนื้ ฐาน รหสั วิชา ค21101 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 กล่มุ สาระการเรียนร้คู ณติ ศาสตร์ ภาคเรียนที่ 1 หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 4 ชอื่ หน่วย มิตสิ ัมพันธ์ของรูปเรขาคณติ เวลารวม 20 ชั่วโมง เรอ่ื ง ภาพสองมติ ิทีไ่ ดจ้ ากการมองรปู เรขาคณิตสามมติ ิ เวลา 2 ชวั่ โมง ครูผสู้ อน นางสาวกรรณิกา ลกิ ัลตา 1. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตวั ช้วี ดั ค 2.2 ม.1/2 เข้าใจและใช้ความรทู้ างเรขาคณติ ในการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างรูปเรขาคณิตสองมิติและ รปู เรขาคณติ สามมิติ 2. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด การมองวตั ถหุ รือรปู เรขาคณิตสามมติ ติ ่าง ๆ อาจจะเห็นภาพเป็นรปู เรขาคณติ สองมติ ทิ ี่เหมือนกันหรือแตกต่าง กนั ซึง่ ข้นึ อยู่กบั แนวในการมอง การมองรปู เรขาคณิตสามมิติจากด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบนจะต้องมองให้แต่ละ ด้านตามแนวสายตาตัง้ ฉากกบั ด้านทีม่ องเสมอ 3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 3.1 อธบิ ายภาพสองมิตทิ ่เี กดิ จากการมองดา้ นหน้า ดา้ นขา้ ง และดา้ นบนของรูปเรขาคณิตสามมิตไิ ด้ (K) 3.2 เขียนภาพสองมิตทิ ี่เกิดจากการมองดา้ นหน้า ดา้ นขา้ ง และดา้ นบนของรูปเรขาคณติ สามมติ ิได้ (P) 3.3 เชอื่ มโยงภาพสองมิตกิ ับรูปเรขาคณิตสามมติ ิได้ (P) 3.4 รบั ผิดชอบตอ่ หน้าท่ีทไี่ ด้รับมอบหมาย (A) 4. สาระการเรียนรู้ ภาพท่ีได้จากการมองด้านหน้า ด้านขา้ ง ด้านบนของรูปเรขาคณิตสามมิตทิ ่ปี ระกอบขึ้นจากลกู บาศก์ 5. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียน 5.1. ความสามารถในการส่ือสาร 5.2. ความสามารถในการคิด - การให้เหตผุ ล การสรปุ ความรู้ การปฏบิ ัติ 5.3. ความสามารถในการแก้ปญั หา 5.4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ 6. คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ 6.1. มีวินยั 6.2. ใฝเ่ รียนรู้ 6.3. มงุ่ ม่ันในการทางาน 7. กิจกรรมการเรยี นรู้ ชั่วโมงที่ 1 7.1 ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน 1. ครทู บทวนความรเู้ รื่อง ความสัมพันธร์ ะหวา่ งรูปเรขาคณติ สองมิติและสามมิติ โดยยกตวั อย่าง รูปเรขาคณิตสามมติ ิ แล้วถามนกั เรียนว่าแตล่ ะรปู ประกอบดว้ ยรปู เรขาคณติ สองมิติชนิดใดบ้าง
ตัวอยา่ งรปู เรขาคณติ สามมิติ 2) 1) 4) 3) รปู เรขาคณิตสองมิติ 1) ประกอบดว้ ยรูปสี่เหลี่ยมจัตรุ สั 6 รูป 2) ประกอบด้วยรปู ส่ีเหลย่ี มผืนผ้า 1 รปู และวงกลม 2 รปู 3) ประกอบดว้ ยรปู หา้ เหล่ยี ม 1 รูป และรูปสามเหลี่ยม 5 รูป 4) ประกอบด้วยรูปหกเหล่ียม 2 รปู และรูปส่เี หลยี่ ม 6 รปู 2. ครทู บทวนความร้เู รื่องหนา้ ตัดของรูปเรขาคณิตสามมติ ิ ดังน้ี การตดั รปู เรขาคณติ สามมิตติ ามแนวการ ตดั ต่าง ๆ ทกี่ ลา่ วถึงมหี น้าตัดจากการตดั 2 แนว คอื แนวต้ังฉากกบั พ้นื ราบและแนวขนานกับพื้นราบ จะ ไดภ้ าพหน้าตดั เป็นรปู เรขาคณิตสองมิติทม่ี ี 2 ลักษณะ คือ 1) ภาพหน้าตัดที่ไดจ้ ะเปน็ รปู เรขาคณิตสองมิติชนิดเดยี วกัน เชน่ การตดั มะนาวตามแนวตงั้ ฉากกบั พ้ืนราบและตามแนวขนานกบั พื้นราบ จะไดภ้ าพหนา้ ตัดเป็นวงกลม 2) ภาพหนา้ ตัดท่ีได้จะเป็นรูปเรขาคณติ สองมิติตา่ งชนิดกนั เช่น การตัดทรงกระบอกตามแนวต้งั ฉาก กบั พื้นราบและตามแนวขนานกับพ้ืนราบ จะไดภ้ าพหนา้ ตัดเปน็ รปู สเ่ี หล่ยี มมมุ ฉากและวงกลม ตามลาดับ 7.2 ขั้นสอน 1. ครกู ลา่ ววา่ “ในชีวิตประจาวนั เรามกั พบสิง่ ของท่เี ป็นรูปทรงหรือรปู เรขาคณิตสามมิติอยูเ่ สมอ ซ่งึ รปู เรขาคณิตสามมติ ิเหลา่ น้ี เมื่อมองจากทางด้านใดดา้ นหนง่ึ โดยให้แนวสายตาตง้ั ฉากกับด้านทมี่ อง เราจะ เหน็ เป็นรปู เรขาคณติ สองมติ ิ ซึง่ การมองรปู เรขาคณิตสามมิติ สามารถกาหนดมุมมองได้ 3 แบบ คือ - การมองด้านหนา้ (front view) เปน็ การมองวตั ถุในดา้ นท่ีอย่ใู กลผ้ ้มู องมากทีส่ ุด - การมองดา้ นขา้ ง (side view) เปน็ การมองวตั ถทุ างดา้ นซ้ายหรือทางด้านขวาของผู้มอง - การมองด้านบน (top view) เป็นการมองวัตถทุ ี่อย่ตู ่ากวา่ ผู้มอง หรอื เป็นการมองจากทส่ี ูงลงมา 2. ครหู ยิบแกว้ นา้ (ทรงกระบอก) ข้ึนมา แลว้ ถามคาถาม ดงั น้ี (ครชู ้ีแสดงการมองทางดา้ นหน้า) เมือ่ มองแก้วน้าทางดา้ นหน้า จะเห็นเปน็ รูปอะไร (แนวตอบ รปู สี่เหลยี่ มผืนผา้ ) (ครูชแี้ สดงการมองทางดา้ นข้าง) เมื่อมองแก้วน้าทางด้านข้าง จะเหน็ เป็นรปู อะไร (แนวตอบ รปู ส่เี หล่ยี มผืนผ้า) (ครชู แ้ี สดงการมองทางดา้ นบน) เมือ่ มองแกว้ น้าทางดา้ นบน จะเห็นเปน็ รปู อะไร (แนวตอบ วงกลม) 3. ครูวาดรปู ให้นักเรียนดูบนกระดาน ดังนี้
ภาพท่ีเกดิ จากการมองแกว้ นา้ ทางดา้ นหนา้ คอื รูปแกว้ นา้ ภาพทีเ่ กิดจากการมองแก้วน้าทางดา้ นขา้ ง คือ ภาพทเี่ กดิ จากการมองแกว้ นา้ ทางด้านบน คือ 4. ใหน้ ักเรียนศึกษาตวั อยา่ งการมองรูปเรขาคณิตสามมิติในหนงั สือเรียน หนา้ 151-152 จากนน้ั ครบู อก นักเรยี นว่า - ภาพท่ีได้จากการมองทางด้านหน้า เรียกว่า ภาพด้านหน้า - ภาพท่ีได้จากการมองทางด้านขา้ ง เรยี กวา่ ภาพดา้ นข้าง - ภาพที่ได้จากการมองทางด้านบน เรยี กว่า ภาพด้านบน 5. ครอู ธิบายเพิ่มเติมว่า “การเขียนภาพเพื่อแสดงลักษณะของรูปเรขาคณิตสามมิติ นิยมเขียนภาพของรูป เรขาคณติ สามมติ ินั้นกบั ภาพอีก 3 ภาพ ทีไ่ ดจ้ ากการมองด้านหนา้ ด้านข้าง และดา้ นบนไวด้ ว้ ยกนั ” 6. ใหน้ ักเรยี นทา “Thinking Time” โดยยกตัวอยา่ งพร้อมท้ังวาดรูปประกอบ (รูปเรขาคณติ สามมิติ และ ภาพดา้ นหน้า ภาพด้านข้าง และภาพด้านบน) 7. ให้นักเรยี นทา Exercise 4.2 ข้อ 1 ในแบบฝึกหดั คณิตศาสตร์ เป็นการบา้ น ชั่วโมงที่ 2 8. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั เฉลยคาตอบ Exercise 4.2 ขอ้ 1 9. ครทู บทวนการมองรูปเรขาคณติ สามมติ ดิ ้านหน้า ดา้ นข้าง และดา้ นบน โดยการถาม - ตอบ 10. ครูเตรียมอปุ กรณ์ตามตวั อย่างท่ี 1 ในหนงั สอื เรยี น หนา้ 153 ประมาณ 10 ช้ิน วาดรูปเรขาคณิตสาม มติ ิบนกระดาน แลว้ ส่งอุปกรณ์ให้นักเรียนแบ่งกันเพอ่ื มองภาพดา้ นหนา้ ด้านขา้ ง และด้านบน จากน้นั ให้ นกั เรยี นแตล่ ะคนวาดรปู เรขาคณิตสามมติ ิ ภาพด้านหน้า ภาพดา้ นข้าง และภาพด้านบนลงในสมุด โดย ครคู อยตรวจสอบความถูกต้อง 11. ครใู หน้ ักเรียนตรวจสอบว่ารูปทต่ี นเองได้จากการมองทง้ั สามดา้ นเหมือนกบั ตวั อย่างที่ 1 หรือไม่ จาก หนงั สอื เรียน หนา้ 153 12. ครูให้นักเรยี นศึกษาตวั อย่างที่ 2 ในหนงั สือเรียน หน้า 154 แล้วแลกเปลี่ยนความรกู้ บั เพอื่ นดา้ นข้าง 13. ใหน้ กั เรยี นทา “ลองทาดู” ในหนงั สอื เรยี น หน้า 155 แล้วครแู ละนกั เรียนร่วมกันเฉลยคาตอบ 14. ใหน้ กั เรียนทาแบบฝึกทักษะ 4.2 ขอ้ 1 จากน้นั ครูและนกั เรยี นรว่ มกันเฉลยคาตอบ 15. ครใู หน้ กั เรียนทาแบบฝกึ ทักษะ 4.2 ขอ้ 2-4 และ Exercise 4.2 ขอ้ 2-3 ในแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ 16. ครูใหน้ กั เรียนจัดกลมุ่ กลุ่มละ 4 คน คละความสามารถทางคณิตศาสตร์ แลว้ ทากจิ กรรม ดงั น้ี - ครวู าดภาพดา้ นหนา้ ภาพด้านขา้ ง และภาพดา้ นบนของรูปเรขาคณิตสามมติ ิชนิดใดก็ได้บนกระดาน โดย ครวู าด 3-4 ชนดิ - แต่ละกลมุ่ ร่วมกันวิเคราะห์ว่า ภาพทเี่ กดิ จากการมองดา้ นต่าง ๆ เปน็ การมองรูปเรขาคณิตสามมิติชนดิ ใด แลว้ วาดรูปเรขาคณิตสามมติ ิชนิดนนั้ ลงในสมุดของตนเอง - ใหต้ ัวแทนกลุ่มมานาเสนอคาตอบหน้าชัน้ เรยี น โดยเพือ่ นกลุ่มท่ีเหลือคอยตรวจสอบความถูกต้อง
หมายเหตุ* การวาดรปู เรขาคณิตสามมิติเมือ่ กาหนดภาพด้านหน้า ภาพด้านขา้ ง และภาพด้านบนให้ ไม่ได้ กล่าวไวใ้ นหนังสอื เรียน แต่ครูอาจจัดกิจกรรมนเี้ พอื่ ใหน้ ักเรียนไดเ้ ขา้ ใจและใช้ความรทู้ างเรขาคณิตในการ วเิ คราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างรูปเรขาคณติ สองมิตแิ ละรูปเรขาคณิตสามมติ ิมากขนึ้ 7.3 ขนั้ สรุป ครูถามคาถามเพ่ือสรุปความรู้รวบยอดของนกั เรยี น ดังน้ี การมองรูปเรขาคณิตสามมติ ิ สามารถกาหนดมุมมองได้ 3 แบบ คอื อะไรบ้าง (แนวตอบ การมองด้านหนา้ ดา้ นข้าง และดา้ นบน) การมองด้านหนา้ (front view) เป็นการมองวัตถุในดา้ น (แนวตอบ ดา้ นท่ีอยู่ใกล้ผู้มองมากทส่ี ดุ ) การมองด้านขา้ ง (side view) เปน็ การมองวตั ถุในด้าน (แนวตอบ ด้านซ้ายหรอื ดา้ นขวาของผ้มู อง) การมองดา้ นบน (top view) เป็นการมองวตั ถุอย่างไร (แนวตอบ วตั ถุท่ีอยู่ต่ากว่าผมู้ อง หรือเปน็ การมองจากท่สี ูงลงมา) 8. สื่อและแหลง่ เรยี นรู้ 8.1 สือ่ การเรียนรู้ 8.1.1. หนังสอื เรยี นรายวิชาพน้ื ฐาน คณิตศาสตร์ ม.1 เลม่ 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 มติ สิ ัมพนั ธ์ของรปู เรขาคณิต 8.2.2 แบบฝกึ หัดคณิตศาสตร์ ม.1 เลม่ 1 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 4 มิตสิ ัมพนั ธ์ของรูปเรขาคณติ 8.3 แหล่งการเรยี นรู้ 8.2.1. ห้องเรยี น 8.2.2. ห้องสมดุ 8.2.3. อินเทอรเ์ น็ต 9. การวัดและประเมินผล สิง่ ท่ตี ้องการวัด วธิ กี ารวดั เครอื่ งมือท่ใี ช้วัด เกณฑ์การวดั 1.อธิบายภาพสองมิติที่เกิดจากการมองดา้ นหน้า ตรวจใบงาน/ แบบประเมินผลงาน ผา่ นเกณฑ์ร้อย ละ 60 ดา้ นข้าง และดา้ นบนของรูปเรขาคณติ สามมติ ิได้ (K) แบบฝกึ หดั ใบงาน/แบบฝกึ หัด 2.เขยี นภาพสองมติ ิทีเ่ กดิ จากการมองด้านหน้า ด้านขา้ ง ผลงานกล่มุ / แบบประเมินผลงานกลุม่ / ผา่ นเกณฑ์ร้อย และดา้ นบนของรปู เรขาคณิตสามมติ ิได้ (P) รายบคุ คล รายบุคคล ละ 60 3.เชื่อมโยงภาพสองมติ กิ บั รูปเรขาคณติ สามมติ ิได้ (P) ผลงานกลมุ่ / แบบประเมินผลงานกลุ่ม/ ผ่านเกณฑ์ร้อย รายบุคคล รายบุคคล ละ 60 4. รบั ผิดชอบตอ่ หนา้ ที่ท่ีได้รบั มอบหมาย (A) สังเกต แบบสังเกตพฤติกรรมการ อย่ใู นระดบั ดีขน้ึ พฤติกรรม กลมุ่ ทางานกลมุ่ ไป
แบบประเมนิ การนาเสนอผลงาน คาช้แี จง : ให้ผสู้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ลงในชอ่ งท่ี ตรงกับระดับคะแนน ลาดบั ที่ รายการประเมิน ระดบั คะแนน 1 32 1 เนื้อหาละเอยี ดชดั เจน 2 ความถกู ตอ้ งของเนอื้ หา 3 ภาษาทีใ่ ช้เขา้ ใจง่าย 4 ประโยชน์ทไ่ี ดจ้ ากการนาเสนอ 5 วธิ กี ารนาเสนอผลงาน รวม ลงชอ่ื ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมินสมบรู ณ์ชดั เจน ให้ 2 คะแนน ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ เปน็ สว่ นใหญ่ ให้ 1 คะแนน ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมินบางส่วน เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ากว่า 8 ปรับปรงุ
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล คาชแี้ จง : ให้ผสู้ อนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ลงในช่องทีต่ รงกบั ระดบั คะแนน ลาดับท่ี รายการประเมิน ระดับคะแนน 1 32 1 การแสดงความคดิ เห็น 2 การยอมรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของผอู้ ืน่ 3 การทางานตามหน้าที่ทีไ่ ด้รับมอบหมาย 4 ความมีนา้ ใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ให้ 3 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 2 คะแนน ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครง้ั ให้ 1 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ตา่ กว่า 8 ปรบั ปรุง
แบบประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ คาชแ้ี จง : ให้ผสู้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องท่ี ตรงกับระดบั คะแนน คณุ ลักษณะ รายการประเมิน ระดบั คะแนน อันพงึ ประสงคด์ ้าน 321 1. รักชาติ ศาสน์ 1.1 ยนื ตรงเคารพธงชาติ และรอ้ งเพลงชาติได้ กษัตริย์ 1.2 เข้ารว่ มกจิ กรรมทส่ี ร้างความสามคั คี ปรองดอง และเป็นประโยชนต์ ่อ โรงเรยี น 1.3 เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาทตี่ นนับถือ ปฏิบตั ติ ามหลักศาสนา 1.4 เข้าร่วมกิจกรรมทเี่ กย่ี วกับสถาบนั พระมหากษัตริยต์ ามท่โี รงเรียนจัดขึ้น 2. ซื่อสัตย์ สุจรติ 2.1 ใหข้ อ้ มูลทีถ่ กู ตอ้ ง และเป็นจริง 2.2 ปฏบิ ัตใิ นสิ่งทถ่ี ูกต้อง 3. มีวนิ ยั รบั ผดิ ชอบ 3.1 ปฏบิ ตั ิตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ข้อบังคบั ของครอบครัว มี ความตรงต่อเวลาในการปฏบิ ัติกจิ กรรมตา่ ง ๆ ในชวี ติ ประจาวัน 4. ใฝ่เรยี นรู้ 4.1 ร้จู กั ใช้เวลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์ และนาไปปฏบิ ัติได้ 4.2 รจู้ ักจดั สรรเวลาใหเ้ หมาะสม 4.3 เชอ่ื ฟงั คาสง่ั สอนของบิดา - มารดา โดยไมโ่ ตแ้ ยง้ 4.4 ตั้งใจเรียน 5. อยูอ่ ยา่ งพอเพยี ง 5.1 ใช้ทรัพยส์ นิ และสง่ิ ของของโรงเรยี นอยา่ งประหยดั 5.2 ใชอ้ ปุ กรณ์การเรยี นอยา่ งประหยดั และรู้คณุ คา่ 5.3 ใช้จ่ายอยา่ งประหยัดและมีการเกบ็ ออมเงนิ 6. ม่งุ ม่นั ในการ 6.1 มีความตงั้ ใจและพยายามในการทางานทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย ทางาน 6.2 มีความอดทนและไม่ทอ้ แทต้ ่ออปุ สรรคเพ่ือให้งานสาเร็จ 7. รกั ความเป็นไทย 7.1 มีจิตสานึกในการอนรุ ักษ์วฒั นธรรมและภูมปิ ญั ญาไทย 7.2 เหน็ คณุ ค่าและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทย 8. มีจติ สาธารณะ 8.1 รจู้ ักช่วยพ่อแม่ ผปู้ กครอง และครูทางาน 8.2 รจู้ ักการดูแลรักษาทรัพย์สมบตั แิ ละสิ่งแวดล้อมของห้องเรียนและ โรงเรยี น ลงชื่อ...................................................ผปู้ ระเมนิ (นางสาวกรรณิกา ลิกัลตา) ............../.................../................ เกณฑ์การใหค้ ะแนน พฤติกรรมท่ปี ฏิบัตชิ ัดเจนและสมา่ เสมอ ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมท่ปี ฏิบตั ิชัดเจนและบ่อยครัง้ ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมท่ปี ฏบิ ัติบางครงั้ ให้ 1 คะแนน
10. บันทกึ ผลการจดั การเรยี นรู้ ผลการจัดการเรยี นรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปญั หา/อุปสรรค …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ……………………………………………. (นางสาวกรรณิกา ลกิ ัลตา) ตาแหน่ง ครู ความคิดเหน็ หวั หน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...………………………………………………………………………………………………………………………………........... ลงชอ่ื ……………………………………………. (นายคมสนั มณศี รี) หวั หน้ากล่มุ สาระการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์ ความคดิ เห็นรองผู้อานวยการกลุ่มบริหารวชิ าการ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...……………………………………………………………………………………………………………………….................... ลงชอื่ ……………………………………………. (นายไพฑูรย์ มณีจนั ทร์) รองผอู้ านวยการกลุ่มบรหิ ารวชิ าการ ความคดิ เหน็ ผู้อานวยการ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……...……………………………………………………………………………………………………………………….................... ลงชอ่ื ……………………………………………. (นางสาวพรณภทั ร์ พงษ์วรชั ญพ์ ร) ผู้อานวยการโรงเรียนเทพสถติ วทิ ยา วนั ท.ี่ ...........เดอื น........................พ.ศ................
แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 25 รายวิชาคณติ ศาสตร์พ้นื ฐาน รหัสวชิ า ค21101 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนร้คู ณติ ศาสตร์ ภาคเรยี นที่ 1 หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 4 ช่อื หน่วย มิตสิ ัมพนั ธ์ของรูปเรขาคณิต เวลารวม 20 ช่ัวโมง เรื่อง รูปเรขาคณิตสามมิตทิ ่ีประกอบข้นึ จากลกู บาศก์ เวลา 2 ชวั่ โมง ครูผู้สอน นางสาวกรรณิกา ลิกลั ตา 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ / ตัวช้วี ดั ค 2.2 ม.1/2 เข้าใจและใชค้ วามรู้ทางเรขาคณติ ในการวเิ คราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างรูปเรขาคณิตสองมิติและ รูปเรขาคณิตสามมติ ิ 2. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด การเขยี นรปู เรขาคณิตสองมติ เิ พ่อื แสดงรปู เรขาคณติ สามมติ ิที่ประกอบขน้ึ จากลูกบาศก์ เราจะเขียนเป็นตาราง รูปส่ีเหล่ียมจัตุรัสท่ีปรากฏในด้านท่ีมอง และเพื่อให้ทราบจานวนลูกบาศก์ท่ีมองไม่เห็นในด้านท่ีมองจึงเขียนตัวเลข แสดงจานวนลกู บาศกก์ ากบั ไวใ้ นตาราง ซึ่งจะตอ้ งเขียนตามลาดับท่ขี องแถวและลาดับท่ีของช้นั 3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 3.1 อธิบายภาพสองมติ ิของรูปเรขาคณิตสามมติ ิทป่ี ระกอบขึน้ จากลูกบาศก์ได้ (K) 3.2 เขียนภาพสองมิตขิ องรปู เรขาคณิตสามมติ ิท่ปี ระกอบขึ้นจากลกู บาศกไ์ ด้ (P) 3.3 เช่ือมโยงภาพสองมติ กิ ับรูปเรขาคณิตสามมิติได้ (P) 3.4 รบั ผิดชอบต่อหน้าที่ทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย (A) 4. สาระการเรยี นรู้ ภาพทไ่ี ดจ้ ากการมองดา้ นหน้า ดา้ นข้าง ดา้ นบนของรปู เรขาคณติ สามมติ ิท่ปี ระกอบขน้ึ จากลูกบาศก์ 5. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน 5.1. ความสามารถในการสือ่ สาร 5.2. ความสามารถในการคิด - การให้เหตุผล การสรุปความรู้ การปฏบิ ัติ 5.3. ความสามารถในการแก้ปญั หา 5.4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ 6. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ 6.1. มวี นิ ยั 6.2. ใฝเ่ รยี นรู้ 6.3. มงุ่ มัน่ ในการทางาน 7. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ชั่วโมงท่ี 1 7.1 ขั้นนาเขา้ สู่บทเรยี น ครูทบทวนความร้เู ร่ืองภาพสองมิติที่เกิดจากการมองดา้ นหนา้ ด้านข้าง และด้านบนของรปู เรขาคณติ สองมิติ โดยยกตวั อยา่ งแก้วกระดาษท่ีเป็นรปู กรวย แล้วถามคาถาม ดังน้ี (ครชู ีท้ ่ีแกว้ กระดาษดา้ นหน้า) ภาพท่ีไดจ้ ากการมองด้านหน้าเป็นรูปอะไร (แนวตอบ รปู สามเหลีย่ ม)
(ครูช้ที แ่ี กว้ กระดาษดา้ นข้าง) ภาพทีไ่ ด้จากการมองด้านขา้ งเปน็ รปู อะไร (แนวตอบ รูปสามเหลย่ี ม) (ครชู ้ีทแ่ี ก้วกระดาษดา้ นบน) ภาพทไ่ี ดจ้ ากการมองดา้ นขา้ งเป็นรูปอะไร (แนวตอบ วงกลม) 7.2 ขัน้ สอน 1. ครใู หน้ ักเรยี นศึกษาเนื้อหาในหนังสอื เรียน หนา้ 158 เกี่ยวกับลูกรบู กิ แล้วบอกว่า “ลกู รบู ิกเป็นตวั อย่าง หนึ่งของรูปเรขาคณิตสามมิติทปี่ ระกอบขนึ้ จากลูกบาศก์” 2. ให้นกั เรียนแบ่งกล่มุ กลุม่ ละ 4-5 คน แล้วทากจิ กรรม ดงั นี้ - ครูวาดรปู เรขาคณติ สามมติ ดิ งั รูปในหนังสือเรยี น หนา้ 159 บนกระดาน - ครแู จกลกู บาศก์ให้กลุ่มละ 10 ลูก แล้วให้แต่ละกลุ่มช่วยกันเรียงลูกบาศก์ให้เป็นรูปเรขาคณิตสามมิติ ตามแบบทีค่ รูวาด - นักเรียนแต่ละคนวิเคราะห์ว่า ภาพที่ได้จากการมองด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบนของรูปเรขาคณิต สามมิตินเ้ี ป็นรปู อะไร - แลกเปล่ียนคาตอบกนั ภายในกล่มุ สนทนาซกั ถามจนเป็นท่ีเขา้ ใจร่วมกนั - วาดภาพด้านหนา้ ภาพด้านข้าง และภาพด้านบนลงในสมุดของตนเอง 3. ครกู ลา่ วถึงการมองภาพดา้ นหน้า ดา้ นขา้ ง และด้านบนของรูปเรขาคณิตสามมิติท่ปี ระกอบข้นึ จาก ลูกบาศก์วา่ “การเขียนรูปเรขาคณิตสองมิติ เพื่อแสดงรปู เรขาคณติ สามมิติทป่ี ระกอบขน้ึ จากลกู บาศก์ เราจะเขียนเปน็ ตารางรูปส่ีเหลยี่ มจตั รุ ัสทปี่ รากฏในด้านที่มอง และเพื่อให้ทราบจานวนลูกบาศกท์ ี่เรามอง ไม่เหน็ ในดา้ นทีม่ อง จงึ เขียนตัวเลขแสดงจานวนลูกบาศก์กากับไว้ในตาราง ซึง่ จะต้องเขยี นตามลาดบั ท่ี ของแถวและลาดบั ท่ขี องช้ัน” 4. ครูนาลกู บาศก์มาต่อกนั ดังรปู ในหนังสือเรียน หน้า 160 แล้วให้นกั เรยี นส่งตวั แทนมา 3 คน ออกมาวาด ภาพดา้ นหน้า ดา้ นขา้ ง และด้านบนของรปู เรขาคณติ สามมิตทิ ี่ครปู ระกอบข้ึน บนกระดาน 5. ครใู หน้ กั เรยี นพจิ ารณารปู เรขาคณติ สามมิตทิ ี่ครูประกอบขึ้น แล้วถามคาถาม ดังน้ี (ครชู ้ีแนวในการมอง) เม่อื มองจากด้านหนา้ ของช้ันทหี่ นงึ่ แถวที่ 1, แถวท่ี 2, แถวที่ 3 และแถวที่ 4 มี ลกู บาศก์กี่ลูก ตามลาดับ (แนวตอบ 2 ลกู , 2 ลูก, 2 ลูก และ 1 ลกู ตามลาดับ) จากนัน้ ครเู ขยี นหมายเลขแสดงจานวนลูกบาศก์ท่ไี ด้จากการมองดา้ นหน้าลงบนภาพดา้ นหน้า (ท่ตี ัวแทน นักเรียนออกมาวาดไว)้ (ครูช้ีแนวในการมอง) เมือ่ มองจากด้านหน้าของชน้ั ทีส่ อง แถวท่ี 1 และแถวท่ี 2 มีลกู บาศกก์ ่ีลูก ตามลาดบั (แนวตอบ 2 ลกู และ 1 ลกู ตามลาดับ) จากน้นั ครูเขียนหมายเลขแสดงจานวนลกู บาศก์ที่ได้จากการมองด้านหน้าลงบนภาพดา้ นหนา้ (ที่ตวั แทน นักเรยี นออกมาวาดไว้) (ครชู แ้ี นวในการมอง) เมื่อมองจากดา้ นขา้ งของชนั้ ท่ีหน่งึ แถวที่ 1 และแถวท่ี 2 มลี ูกบาศก์กีล่ ูก ตามลาดับ (แนวตอบ 3 ลกู และ 4 ลูก ตามลาดบั ) จากน้ันครูเขียนหมายเลขแสดงจานวนลูกบาศก์ทไ่ี ดจ้ ากการมองด้านขา้ งลงบนภาพด้านข้าง (ทต่ี วั แทน นกั เรยี นออกมาวาดไว)้ (ครชู แ้ี นวในการมอง) เมื่อมองจากด้านขา้ งของชัน้ ที่สอง แถวท่ี 1 และแถวท่ี 2 มลี ูกบาศก์ก่ีลกู ตามลาดับ
(แนวตอบ 1 ลกู และ 2 ลูก ตามลาดับ) จากนั้นครูเขยี นหมายเลขแสดงจานวนลกู บาศก์ทไ่ี ดจ้ ากการมองด้านข้างลงบนภาพดา้ นข้าง (ทต่ี ัวแทน นกั เรียนออกมาวาดไว)้ (ครชู ้แี นวในการมอง) เมอื่ มองจากด้านบนมลี ูกบาศกก์ ลี่ ูก ตามลาดบั (แนวตอบ ครดู ูการเขียนแสดงจานวนลกู บาศกเ์ มื่อมองจากดา้ นบนในหนงั สอื เรยี น หนา้ 152) จากนน้ั ครูให้นักเรยี นตรวจสอบภาพที่ไดจ้ ากการมองด้านหนา้ ดา้ นขา้ ง และดา้ นบนจากหนังสอื เรยี น หนา้ 162 6. ครใู ห้ข้อสงั เกตกับนักเรยี นว่า “ไมว่ า่ ภาพท่ีไดจ้ ากการมองในด้านใด ผลรวมของจานวนลูกบาศกท์ ่ีเกิด จากการมองในแต่ละด้านจะมีค่าเท่ากนั ” จากนนั้ ให้นกั เรยี นลองตรวจสอบผลบวกของจานวนลูกบาศก์ท่ี เกิดจากการมองในแตล่ ะดา้ น 7. ครยู กตัวอย่างท่ี 3 ในหนังสือเรียน หน้า 162-163 บนกระดาน แล้วใชก้ ารถาม - ตอบกับนกั เรียนเพื่อ เขียนตวั เลขแสดงจานวนลูกบาศกท์ เี่ รียงกันใดด้านที่มองกากับไว้ในตาราง 8. ครูยกตวั อย่างท่ี 4 ในหนงั สือเรียน หน้า 163 บนกระดาน แล้วใช้การถาม - ตอบกบั นักเรียนเพื่อเขียน ตัวเลขแสดงจานวนลกู บาศก์ที่เรยี งกันใดดา้ นท่มี องกากับไวใ้ นตาราง 9. ใหน้ กั เรยี นทา “ลองทาดู” ในหนงั สือเรียน หนา้ 164 และ Exercise 4.3 ขอ้ 1 ในแบบฝึกหัด คณิตศาสตร์ เป็นการบา้ น ชั่วโมงท่ี 2 10.ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันเฉลยคาตอบ “ลองทาดู” ในหนังสือเรยี น หนา้ 164 และ Exercise 4.3 ข้อ 1 11.ใหน้ ักเรยี นจบั คศู่ ึกษาตัวอยา่ งท่ี 5 และตวั อยา่ งท่ี 6 ในหนังสือเรยี น หนา้ 164-165 แล้วแลกเปล่ยี น ความรกู้ บั คู่ของตนเอง 12.ให้นักเรยี นแตล่ ะคนทา “ลองทาด”ู ในหนงั สือเรียน หน้า 165-166 จากน้นั ครแู ละนักเรียนร่วมกันเฉลย คาตอบ 13.ครสู แกน QR Code เร่ือง รปู เรขาคณิตสามมติ ิทปี่ ระกอบข้ึนจากลกู บาศก์ ให้นกั เรยี นดู 14.ใหน้ ักเรียนจบั คู่กนั วิเคราะห์ “H.O.T.S. คาถามท้าทายการคิดขน้ั สูง” ในหนงั สือเรียน หน้า 166 และ สนทนาซักถามเกีย่ วกับวิธกี ารคิดหาคาตอบจนเปน็ ทเี่ ข้าใจร่วมกนั แลว้ ตอบคาถามจากการวเิ คราะห์ลง ในสมดุ ของตนเอง 15.ครูและนักเรยี นร่วมกันสรุปว่า จะดงึ ลูกบาศก์ออกมาได้มากทีส่ ุดจานวนก่ีลูกแลว้ ทาใหภ้ าพท่ไี ดจ้ ากการ มองด้านหนา้ ด้านขา้ ง และด้านบน ยงั เป็นรปู ส่ีเหล่ียมจัตุรสั ทมี่ คี วามยาวด้านละ 3 เซนติเมตร 16.ครูใหน้ ักเรยี นจัดกลมุ่ กลุ่มละ 4 คน คละความสามารถทางคณติ ศาสตร์ แลว้ ทากจิ กรรม ดงั นี้ - รว่ มกนั ศกึ ษากิจกรรมคณติ ศาสตร์ ในหนังสือเรยี น หนา้ 167 - ครูแจกลกู บาศก์ให้กลมุ่ ละ 20 ลูก แล้วใหแ้ ต่ละกลมุ่ ชว่ ยกนั เรียงลูกบาศกใ์ หเ้ ปน็ รปู เรขาคณติ สามมติ ิ ตามจินตนาการขอ้ 1 และรว่ มกนั ตอบคาถามข้อ 3 โดยเขยี นคาตอบลงในสมุดของตนเอง - จากน้นั ให้นกั เรยี นแลกเปลยี่ นความรภู้ ายในกลมุ่ ของตนเอง และสนทนาซักถามเกย่ี วกบั วิธกี ารคดิ คาตอบ จนเป็นทีเ่ ข้าใจรว่ มกัน - ใหต้ วั แทนกลุ่มมานาเสนอรูปเรขาคณติ สามมติ ิท่สี ร้างและภาพท่ีไดจ้ ากการมองดา้ นหนา้ ด้านขา้ ง และดา้ นบน พร้อมทงั้ ตารางท่ีเขยี นตวั เลขแสดงจานวนลกู บาศกท์ ีเ่ รียงกนั ในด้านท่มี องแต่ละดา้ น หน้าชัน้ เรียน โดยเพื่อนกล่มุ ท่ีเหลือคอยตรวจสอบความถูกต้อง 17.ใหน้ กั เรียนทาแบบฝึกทักษะ 4.3 ขอ้ 1-2 จากนนั้ ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั เฉลยคาตอบ
18.ครใู ห้นกั เรียนทาแบบฝึกทักษะ 4.3 ข้อ 3-4 เปน็ การบ้าน 19.ให้นกั เรยี นวิเคราะห์ปญั หาจากสถานการณ์ของ “คณิตศาสตรใ์ นชวี ติ จริง” ในหนังสือเรยี น หนา้ 170 จากนัน้ ครแู ละนกั เรยี นอภิปรายคาตอบร่วมกนั 7.3 ข้นั สรปุ 1. ให้นักเรียนอ่านและศึกษา “สรปุ แนวคิดหลัก” ในหนงั สือเรียน หน้า 171-172 แล้วเขยี นผังมโนทศั น์ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 4 มติ สิ มั พันธ์ของรปู เรขาคณติ ลงในกระดาษ A4 2. ครูถามคาถามเพ่ือสรุปความรู้รวบยอดของนกั เรียน ดังนี้ นกั เรยี นได้เรยี นรู้หนา้ ตัดที่เกิดจากการตัด 2 แนว ได้แกอ่ ะไรบา้ ง (แนวตอบ แนวตั้งฉากกับพ้ืนราบ และแนวขนานกับพน้ื ราบ) การมองรูปเรขาคณิตสามมติ ิ สามารถกาหนดมมุ มองได้ 3 แบบ คืออะไรบา้ ง (แนวตอบ การมองด้านหน้า ดา้ นข้าง และดา้ นบน) การเขียนรปู เรขาคณิตสองมิติเพอื่ แสดงรปู เรขาคณติ สามมิติทป่ี ระกอบขนึ้ จากลูกบาศก์ เขยี นได้ อยา่ งไร (แนวตอบ เขยี นเปน็ ตารางรปู ส่ีเหลย่ี มจัตุรัสท่ีปรากฏในดา้ นทมี่ อง และเขยี นตวั เลขแสดงจานวน ลกู บาศก์กากบั ไว้ในตาราง) 3. ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั วเิ คราะห์แนวทางการแก้ปญั หาแบบฝึกทกั ษะประจาหน่วยการเรียนรทู้ ่ี 4 แล้วให้ นกั เรียนทาแบบฝึกทกั ษะประจาหนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 4 เปน็ การบา้ น 4. ให้นักเรียนทาแบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 มติ สิ ัมพันธ์ของรปู เรขาคณิต 8. สอื่ และแหลง่ เรยี นรู้ 8.1 สอ่ื การเรียนรู้ 8.1.1. หนังสือเรยี นรายวชิ าพืน้ ฐาน คณติ ศาสตร์ ม.1 เลม่ 1 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 4 มติ สิ ัมพันธข์ องรปู เรขาคณิต 8.3.2 แบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ ม.1 เลม่ 1 หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 4 มิตสิ ัมพนั ธ์ของรูปเรขาคณติ 8.1.3. มะนาวและแกว้ มงั กร 8.1.4 ดนิ น้ามัน 8.1.5 โอเอซิส 8.4 แหลง่ การเรยี นรู้ 8.2.1. หอ้ งเรยี น 8.2.2. หอ้ งสมุด 8.2.3. อนิ เทอรเ์ น็ต
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351