หลกั สตู รสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ระดบั ประถมศึกษา(ฉบบั ปรบั ปรุงปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๕) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐ โรงเรียนบา้ นเขาเทยี มป่า เขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศึกษากระบี่
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |ข ประกาศโรงเรยี นบ้านเขาเทียมป่า เร่ือง ให้ใช้หลกั สูตรกลมุ่ สาระวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยโี รงเรียนบา้ นเขาเทียมป่า (ฉบับปรบั ปรงุ พุทธศักราช ๒๕๖๕) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ………………………………. ตามทีโ่ รงเรยี นบ้านเขาเทียมป่า ได้ประกาศใช้หลักสูตรโรงเรียนบ้านเขาเทียมปา่ พุทธศกั ราช ๒๕๖๓ โดยเรม่ิ ใช้หลักสตู รดังกล่าวกับนกั เรยี นทุกระดบั ชนั้ ในปีการศึกษา ๒๕๖๓ เพื่อให้สอดคล้องรบั กบั นโยบายเรง่ ด่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นพัฒนาทักษะกระบวนการคดิ วิเคราะห์ มเี วลาในการทำกิจกรรมเพื่อพัฒนาความรู้ ความสามารถและทกั ษะ การปลกู ฝังคุณธรรม จรยิ ธรรม การสร้างวนิ ยั การมจี ติ สำนกึ รบั ผดิ ชอบต่อสังคม ยึดมัน่ ในสถาบนั ชาตศิ าสนา พระมหากษัตริย์ และมีความภาคภมู ิใจในความเปน็ ไทย ตลอดจนการเรยี นการสอนในวชิ าประวตั ิศาสตร์ และหนา้ ท่ีพลเมือง รวมถงึ การสอนศลี ธรรมแก่นักเรยี น โรงเรยี นบา้ นเขาเทียมป่าได้ดำเนินการจดั ทำหลักสตู รโรงเรียนบา้ นเขา เทียมปา่ พุทธศกั ราช ๒๕๖๓ สอดคล้องตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เร่ือง การบริหารจดั การเวลา เรยี น และปรับมาตรฐานและตัวช้ีวดั สอดคล้องกบั คำสั่ง สพฐ. ที่ ๑๒๓๙/๖๐ และประกาศ สพฐ.ลงวนั ที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๐ เป็นท่ีเรยี บร้อยแลว้ ทั้งนหี้ ลกั สตู รโรงเรยี นได้รบั ความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน เม่ือวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๕ จงึ ประกาศให้ใชห้ ลักสตู รโรงเรียนตง้ั แต่บัดนเี้ ปน็ ต้นไป ประกาศ ณ วันท่ี ๓๐ เดอื น เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๕ ลงชอื่ ลงชือ่ ( นายประพนั ธ์ สุขย้อย ) ( นายกีรติ แวหะยี ) ประธานคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน ผอู้ ำนวยการโรงเรียนบ้านเขาเทยี มปา่ โรงเรียนบ้านเขาเทียมปา่
คำนำ หลักสตู รสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึง ช้ัน ประถมศึกษาปีที่ ๖ เล่มนี้ ได้จัดทำขึ้นโดยยึดตามหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสต ร์และ เทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๓) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ซึ่งมีรายเอียดของหลักสูตร คือ ความนำ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โครงสร้างเวลา เรยี น คำอธบิ ายรายวชิ า โครงสรา้ งรายวิชา การจดั การเรียนรู้ ส่ือการเรียนรู้ หลักสูตรสถานศึกษานี้มีรายละเอียดและเนื้อหาสาระสำคัญเพียงพอที่สามารถจะนำไปใช้เป็น แนวทางในการจัดการเรียนการสอนโดยเร่ิมใช้หลักสูตรดงั กล่าวกับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ ๑ และ ช้ัน ประถมศึกษาปีที่ ๔ ในปีการศึกษา ๒๕๖๑ และในปีการศึกษา ๒๕๖๒ ใช้กับนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี ๑ ๒ ๔ และ ๕ ใชห้ ลกั สูตรกับนกั เรียนทุกระดับช้ันในปีการศึกษา ๒๕๖๓ ให้บรรลุเป้าหมายตามมาตรฐาน และตัวชี้วัดที่หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กำหนดไว้ และในปีการศึกษา ๒๕๖๓ ให้เปลี่ยนชื่อ กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เปน็ กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะผจู้ ัดทำ
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |ข สารบญั หน้า คำนำ ก สารบัญ สว่ นท่ี ๑ ข ส่วนท่ี ๒ ความนำ .......................................................................................... ๑ สว่ นท่ี ๓ สว่ นที่ ๔ ตัวชี้วัดชัน้ ป.ี ..................................................................................... ๑๖ ตวั ชี้วัดสาระการเรียนรแู้ กนกลางและสาระการเรยี นร้ทู ้องถิ่น......... ๒๖ โครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา....................................................... ๑๐๖ โครงสรา้ งเวลาเรียนหลักสูตรโรงเรียนบา้ นเขาเทียมป่า................. ๑๐๗ โครงสร้างหลกั สตู รชั้นปี .................................................................. ๑๑๔ โครงสร้างรายวชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี ๑........... ๑๑๕ โครงสร้างรายวิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยชี น้ั ประถมศกึ ษาปีที่ ๒........... ๑๑๗ โครงสรา้ งรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยชี น้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๓........... ๑๑๙ โครงสร้างรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยชี น้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๔........... ๑๒๑ โครงสร้างรายวิชาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๕........... ๑๒๓ โครงสร้างรายวิชาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๖........... ๑๒๕ คำอธิบายรายวชิ า............................................................................ ๑๒๗ การวัดผลและประเมนิ ผลการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๑๓๔ ภาคผนวก......................................................................................... ๑๔๙ คำสงั่ แตง่ ต้งั คณะกรรมการจดั ทำหลักสูตร.................................... ๑๕๐ เอกสารอ้างองิ ................................................................................. ๑๕๑ คณะผู้จัดทำ..................................................................................... ๑๕๒
สว่ นที่ ๑ ความนำ ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับ ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๓) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ นีไ้ ดก้ ำหนดสาระ การเรยี นรู้ออกเปน็ ๔ สาระ ไดแ้ ก่ สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระที่ ๓ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ และสาระที่ ๔ เทคโนโลยี ซึ่งองค์ประกอบของหลักสูตร ทั้งในด้านของ เนื้อหา การจัดการเรียนการสอนและการวัดและประเมินผล การเรียนรู้นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการ วางรากฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้นให้มี ความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันตั้งแต่ชั้น ประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ จนถึงช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ ๖ สำหรบั กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ กำหนดตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ที่ผู้เรียนจำเป็นต้องเรียนเป็นพื้นฐาน เพื่อให้สามารถ นำ ความรู้นี้ไปใช้ในการดำรงชีวิต หรือศึกษาต่อในวิชาชีพที่ต้องใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ โดยจัด เรียงลำดับความยากง่าย ของเนื้อหาทั้ง ๔ สาระในแต่ละระดับชั้นให้มีการเชือ่ มโยงความรู้กับกระบวนการ เรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาความคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิด สร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะที่ สำคัญทั้งทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะใน ศตวรรษที่ ๒๑ ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปัญหา อย่างเปน็ ระบบ สามารถตัดสินใจโดยใชข้ อ้ มลู หลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ สถาบันสง่ เสริม การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่มุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อผู้เรียนมากที่สุด จึงได้จัดทำตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ แกนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.๒๕๖๓) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ขึ้น เพื่อให้สถานศึกษา ครูผู้สอน ตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ได้ใช้เป็น แนวทางในการพัฒนา หนังสอื เรยี น คู่มอื ครู ส่ือประกอบการเรยี นการสอน ตลอดจนการวดั และประเมนิ ผล โดยตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๓ ) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ที่จัดทำขึ้นนี้ได้ปรับปรุง เพื่อให้มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันภายในสาระการเรียนรู้ เดียวกันและระหว่างสาระการเรียนรู้ใน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดจนการเชื่อมโยงเนื้อหาความรู้ ทางวิทยาศาสตร์กับ คณิตศาสตร์ด้วย นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลง และความ เจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่าง ๆ และทัดเทียมกับนานาชาติ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สรุปเป็น แผนภาพไดด้ งั นี้
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๒ สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ - มาตรฐาน ว ๒.๑-ว ๒.๓ สาระที่ ๑ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ สาระท่ี ๓ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ - มาตรฐาน ว ๑.๑-ว ๑.๓ วิทยาศาสตร์และ - มาตรฐาน ว ๓.๑-ว ๓.๒ เทคโนโลยี สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี - มาตรฐาน ว ๔.๑-ว ๔.๒ วิทยาศาสตรเ์ พมิ่ เติม ⚫ สาระชีววทิ ยา ⚫ สาระเคมี ⚫ สาระฟสิ กิ ส์ ⚫ สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ เปา้ หมายของการจดั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ โดยมนุษย์ใช้กระบวนการสังเกต สำรวจตรวจสอบ และการทดลองเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและนำผลมาจัดระบบ หลักการ แนวคิดและทฤษฎี ดังนั้นการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จึงมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เป็นผู้เรียนรู้และค้นพบด้วย ตนเองมากที่สุด นั่นคือให้ได้ทั้งกระบวนการและองค์ความรู้ ตั้งแต่วัยเริ่มแรกก่อนเข้าเรียน เมื่ออยู่ใน สถานศึกษาและเม่ือออกจากสถานศึกษาไปประกอบอาชีพแล้ว การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในสถานศกึ ษามเี ป้าหมายสำคัญ ดังนี้ ๑. เพื่อให้เข้าใจหลกั การ ทฤษฎที เี่ ป็นพนื้ ฐานในวิทยาศาสตร์ ๒. เพื่อให้เขา้ ใจขอบเขต ธรรมชาติและขอ้ จำกดั ของวทิ ยาศาสตร์ ๓. เพ่อื ให้มที กั ษะท่สี ำคัญในการศกึ ษาคน้ คว้าและคดิ คน้ ทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๔. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการ ทกั ษะในการสือ่ สาร และความสามารถในการตดั สินใจ
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๓ ๕. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์และ สภาพแวดล้อมในเชงิ ท่ีมอี ทิ ธิพลและผลกระทบซงึ่ กนั และกนั ๖. เพื่อนำความรู้ความเข้าใจในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อ สงั คมและการดำรงชวี ติ ๗. เพื่อให้เป็นคนมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีอยา่ งสรา้ งสรรค์ เรยี นรอู้ ะไรในวทิ ยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ที่เน้นการ เชื่อมโยง ความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้ กระบวนการในการสืบ เสาะหาความรู้และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ทุกขั้นตอน มีการทำกิจกรรม ดว้ ยการลงมือปฏบิ ัตจิ รงิ อย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชั้น โดยกำหนดสาระสำคัญ ดังนี้ ✧ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต การ ดำรงชวี ิตของมนษุ ยแ์ ละสตั วก์ ารดำรงชีวิตของพชื พนั ธุกรรม ความหลากหลายทางชวี ภาพ และวิวฒั นาการ ของสิง่ มีชวี ติ ✧ วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคลื่อนที่ พลงั งาน และคล่นื ✧ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนรเู้ กยี่ วกับ องคป์ ระกอบของเอกภพ ปฏสิ มั พันธ์ ภายใน ระบบสรุ ยิ ะ เทคโนโลยอี วกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการ เปลย่ี นแปลงลมฟ้า อากาศ และผลตอ่ ส่งิ มชี วี ติ และสง่ิ แวดล้อม ✧ เทคโนโลยี ● การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิต ใน สังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ และศาสตร์ อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรม เลอื กใช้เทคโนโลยอี ย่างเหมาะสมโดยคำนึงถงึ ผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดลอ้ ม ● วิทยาการคำนวณ เรียนรู้เกี่ยวกับการคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา เป็นขั้นตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ และ การสอ่ื สาร ในการแก้ปญั หาทีพ่ บในชวี ติ จริงได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิต กบั สิง่ มีชวี ติ และความสมั พนั ธ์ระหว่างส่งิ มีชีวติ กบั สิ่งมีชวี ิตต่าง ๆ ในระบบนเิ วศ การถ่ายทอดพลังงาน การ เปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของ ประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหา สิ่งแวดลอ้ ม รวมท้งั นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้า และออกจากเซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงาน
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๔ สัมพันธ์กนั ความสัมพนั ธ์ของโครงสร้าง และหนา้ ท่ี ของอวัยวะตา่ งๆ ของพืชทที่ ำงานสมั พันธ์กนั รวมทั้งนำ ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลตอ่ ส่ิงมีชีวิต ความหลากหลาย ทางชีวภาพ และววิ ัฒนาการของส่งิ มชี ีวิต รวมทง้ั นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ สาระท่ี ๒ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เขา้ ใจสมบตั ิของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พันธร์ ะหว่างสมบัติ ของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนีย่ วระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปลี่ยนแปลงสถานะ ของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิด ปฏกิ ิริยาเคมี มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวนั ผลของแรงทีก่ ระทำตอ่ วตั ถุ ลักษณะ การเคลือ่ นท่แี บบต่าง ๆ ของวัตถรุ วมทัง้ นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอน พลงั งาน ปฏสิ มั พนั ธ์ระหวา่ งสสารและพลังงาน พลงั งานในชีวติ ประจำวัน ธรรมชาติของ คลื่น ปรากฏการณ์ ทเี่ ก่ยี วข้องกบั เสยี ง แสง และคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทง้ั นำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ สาระที่ ๓ วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของ เอกภพ กาแล็กซีดาวฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ ที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และ การประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยีอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการ เปลี่ยนแปลง ภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้า อากาศและ ภูมอิ ากาศโลก รวมท้งั ผลตอ่ ส่งิ มชี วี ติ และส่งิ แวดล้อม สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการ เปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และ ศาสตร์อื่น ๆ เพื่อ แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้ เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชวี ติ สังคม และสง่ิ แวดล้อม มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวติ จริงอย่างเปน็ ข้นั ตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้ การทำงาน และการแก้ปัญหา ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ รู้เท่าทัน และมีจริยธรรม
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๕ วสิ ยั ทศั น์ วิสยั ทัศนโ์ รงเรยี นบา้ นเขาเทยี มป่า โรงเรยี นบา้ นเขาเทียมป่า เป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพ จัดการศึกษาให้มีคณุ ภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน การศกึ ษาชาติ พัฒนาผเู้ รยี นสู่ศตวรรษที่ ๒๑ ตามแนวทางศาสตร์พระราชา โดยการมีสว่ นร่วมของทุกภาค สว่ น พันธกจิ – (Mission) 1. พัฒนาโรงเรยี นใหม้ คี ุณภาพตามเกณฑก์ ารศกึ ษาชาติ 2. พฒั นาผู้เรยี นให้อา่ นออกเขียนได้ 3. พฒั นาผเู้ รียนให้มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นทส่ี งู ขน้ึ 4. บรหิ ารจัดการโรงเรยี นโดยใช้ระบบคณุ ภาพและหลกั ธรรมาภบิ าล 5. พัฒนาผูเ้ รียนให้มีคณุ ลักษณะของนักเรยี นในศตวรรษที่ ๒๑ 6. น้อมนำศาสตร์พระราชามาพัฒนาผูเ้ รยี นและบุคลากรทางการศึกษา ๗. พัฒนาโรงเรียนและระดมทรพั ยากรต่างๆ โดยการมสี ่วนรว่ มของทุกภาคส่วน ปรชั ญา ความรู้ คู่ คุณธรรม เป้าประสงค์ – (Goals) ๑. นักเรยี นมคี ณุ ภาพตามเกณฑม์ าตรฐานการศึกษาชาติ ๒. นักเรียนทุกคนสามารถอา่ นออกเขยี นได้ ๓. นกั เรียนร้อยละ ๘๐ มผี ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนทีส่ ูงขึ้น ๔. ประชากรวยั เรียนไดร้ ับโอกาสและไดร้ บั บรกิ ารทางการศกึ ษาอย่างมคี ุณภาพ ๕. นักเรียนทกุ คนไดร้ บั การพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวชิ าชพี และมีคณุ ลักษณะผู้เรยี นในศตวรรษท่ี ๒๑ ๖. โรงเรียนมีระบบบริหารจดั การศึกษาท่ีมีคุณภาพ ยดึ หลักธรรมมาภิบาล
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๖ หลกั การ หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านเขาเทียมปา่ มีหลักการทีส่ ำคญั ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้ันพ้ืนฐาน ดงั นี้ 1. เปน็ หลักสตู รการศึกษาเพ่ือความเปน็ เอกภาพของชาติ มจี ุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็น เป้าหมายสำหรบั พัฒนาเด็กและเยาวชนใหม้ ีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐาน ของความเป็น ไทยควบคู่กบั ความเป็นสากล 2. เปน็ หลักสูตรการศึกษาเพ่ือปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสไดร้ ับการศึกษาอยา่ งเสมอภาค และ มี คณุ ภาพ 3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้ สอดคลอ้ งกบั สภาพและความต้องการของท้องถิน่ 4. เปน็ หลกั สตู รการศกึ ษาทีม่ โี ครงสรา้ งยดื หยุน่ ทัง้ ด้านสาระการเรยี นรู้ เวลาและการจดั การเรียนรู้ 5. เป็นหลกั สตู รการศึกษาท่ีเนน้ ผู้เรียนเปน็ สำคัญ 6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบ โอนผลการเรยี นรู้ และประสบการณ์ จดุ หมาย หลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนบา้ นเขาเทยี มป่า มงุ่ พฒั นาผู้เรยี นให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุขมี ศกั ยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชพี จงึ กำหนดเปน็ จดุ หมายเพ่อื ให้เกิดกับผเู้ รยี นเม่อื จบช่วงแรก การศึกษาภาคบงั คบั ดงั นี้ 1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมทีพ่ ึงประสงค์ เห็นคุณคา่ ของตนเอง มีวินัยและปฏิบตั ิตน ตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรอื ศาสนาที่ตนนบั ถอื ยึดหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 2. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะ ชวี ติ 3. มสี ุขภาพกายและสขุ ภาพจิตทด่ี ี มีสขุ นิสยั และรกั การออกกำลงั กาย 4. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการ ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมุข 5. มีจิตสำนึกในการอนุรกั ษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดลอ้ ม มี จติ สาธารณะท่มี งุ่ ทำประโยชน์และสร้างส่ิงท่ดี ีงามในสังคม และอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมอยา่ งมีความสุข
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๗ สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านเขาเทียมป่า มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานท่ี กำหนด ซึ่งจะชว่ ยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญและคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ดังน้ี สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบา้ นเขาเทยี มปา่ มงุ่ ใหผ้ เู้ รียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพฒั นาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและ ลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลอื กใชว้ ธิ กี ารสอ่ื สาร ทมี่ ปี ระสิทธภิ าพโดยคำนึงถงึ ผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ สารสนเทศเพ่อื การตดั สนิ ใจเก่ยี วกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอปุ สรรคต่าง ๆ ที่เผชญิ ได้อยา่ งถกู ต้องเหมาะสมบนพ้นื ฐานของหลักเหตุผล คณุ ธรรมและขอ้ มลู สารสนเทศ เขา้ ใจความสมั พนั ธแ์ ละ การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและ แก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ต่อตนเอง สังคมและ สิ่งแวดลอ้ ม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ใน การดำเนินชีวติ ประจำวนั การเรยี นรู้ด้วยตนเอง การเรยี นรู้อย่างตอ่ เน่ือง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันใน สังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่าง เหมาะสม การปรับตวั ให้ทันกบั การเปลย่ี นแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยง พฤติกรรมไมพ่ งึ ประสงคท์ ี่สง่ ผลกระทบต่อตนเองและผู้อนื่ 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแกป้ ัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถกู ต้อง เหมาะสม และมคี ุณธรรม
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๘ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรยี นบา้ นเขาเทียมป่า มงุ่ พัฒนาผูเ้ รยี นให้มคี ณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ เพื่อใหส้ ามารถอยู่รว่ มกับผู้อ่ืนในสงั คมได้อย่างมีความสขุ ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดงั น้ี 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ 2. ซ่ือสตั ยส์ จุ ริต 3. มีวนิ ัย 4. ใฝ่เรียนรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมนั่ ในการทำงาน 7. รักความเปน็ ไทย 8. มีจิตสาธารณะ
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๙ ค่านยิ มหลักของคนไทย ๑๒ ประการ ๑. มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์ ๒. ซ่ือสตั ย์ เสยี สละ อดทน มอี ุดมการณ์ในส่ิงทด่ี ีงามเพือ่ สว่ นรวม ๓. กตัญญูต่อพอ่ แม่ ผปู้ กครอง ครบู าอาจารย์ ๔. ใฝ่หาความรู้ หมน่ั ศึกษาเล่าเรยี น ทัง้ ทางตรงและทางอ้อม ๕. รกั ษาวัฒนธรรมประเพณไี ทยอันงดงาม ๖. มีศีลธรรม รกั ษาความสัตย์ หวังดตี ่อผู้อน่ื เผือ่ แผ่และแบ่งปนั ๗. เขา้ ใจเรียนรู้การเป็นประชาธปิ ไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขท่ถี ูกต้อง ๘. มรี ะเบียบวนิ ัย เคารพกฎหมาย ผ้นู ้อยรู้จักการเคารพผูใ้ หญ่ ๙. มสี ติรูต้ ัว รู้คดิ รทู้ ำ รปู้ ฏบิ ัติตามพระราชดำรสั ของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ๑๐. รู้จักดำรงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยูห่ ัว รู้จักอดออมไวใ้ ช้เมอื่ ยามจำเป็น มีไว้พอกินพอใช้ ถา้ เหลอื ก็แจกจ่ายจำหนา่ ย และพรอ้ มที่จะขยาย กิจการเมอ่ื มี ความพรอ้ ม เมือ่ มีภมู ิค้มุ กนั ทีด่ ี ๑๑. มีความเข้มแข็งทั้งร่างกาย และจิตใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่ำ หรือกิเลส มีความละอาย เกรงกลัวตอ่ บาปตามหลกั ของศาสนา ๑๒. คำนงึ ถงึ ผลประโยชน์ของส่วนรวมและของชาติ มากกว่าผลประโยชนข์ องตนเอง
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๑๐ มาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา หลักสูตรแกนกลาง การศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน จงึ กำหนดให้ผ้เู รียนเรียนรู้ 8 กลุม่ สาระการเรยี นรู้ จำนวน ๓๑ สาระ ๕๕ มาตรฐาน ดังนี้ 1. ภาษาไทย 2. คณิตศาสตร์ 3. วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม 5. สุขศึกษาและพลศกึ ษา 6. ศิลปะ 7. การงานอาชพี 8. ภาษาต่างประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรม และค่านิยม ที่พึงประสงค์เมื่อจบการศึกษาขนั้ พื้นฐาน นอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสำคัญ ในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐาน การเรียนรู้จะสะทอ้ นให้ทราบวา่ ต้องการอะไร จะสอนอย่างไร และประเมนิ อย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบ เพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาโดย ใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายในและ การประเมิน คุณภาพ ภายนอก ซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่การศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบ การตรวจสอบเพ่ือ ประกันคุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสะท้อนภาพการจัดการศึกษาว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามท่ี มาตรฐานการเรยี นรกู้ ำหนดเพยี งใด
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๑๑ ตัวชี้วัด ตัวชว้ี ัดระบุส่ิงที่นักเรียนพึงรู้และปฏิบตั ิได้ รวมทงั้ คณุ ลกั ษณะของผู้เรยี นในแต่ละระดับช้ัน ซ่ึงสะท้อนถึงมาตรฐาน การเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม นำไปใช้ ในการกำหนดเนื้อหา จัดทำหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรยี น การสอน และเป็นเกณฑ์สำคญั สำหรับ การวดั ประเมนิ ผลเพื่อตรวจสอบคณุ ภาพผ้เู รยี น ตัวชี้วัดชั้นปี เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละชั้นปีในระดับการศึกษาภาคบังคับ ประถมศึกษาปีที่ 1 – มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3) หลกั สตู รได้มกี ารกำหนดรหสั กำกบั มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวชว้ี ัด เพื่อความเขา้ ใจและใหส้ อื่ สารตรงกนั ดังน้ี ว 1.1 ป. 1/2 ตัวชี้วัดชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 1 ขอ้ ที่ 2 สาระท่ี 1 มาตรฐานขอ้ ที่ 1 ป.1/2 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1.1 ว
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๑๒ สาระการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ ประกอบด้วย องคค์ วามรู้ ทกั ษะหรือกระบวนการเรยี นรู้ และคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ ซึง่ กำหนดให้ผู้เรยี นทกุ คนในระดบั การศึกษาขน้ั พื้นฐานจำเปน็ ตอ้ งเรยี นรู้ โดยแบง่ เป็น 8 กลุ่ม สาระการเรียนรู้ ดังน้ี ภาษาไทย : ความรู้ ทกั ษะ คณิตศาสตร์ : การนาความรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : การ และวฒั นธรรมการใชภ้ าษา ทกั ษะและกระบวนการทาง นาความรูแ้ ละกระบวนการทาง เพ่อื การสื่อสาร ความช่นื ชม คณิตศาสตรไ์ ปใชใ้ น วิทยาศาสตรไ์ ปใชใ้ นการศกึ ษา คน้ ควา้ การเหน็ คณุ คา่ ภมู ิปัญญาไทย และ การแกป้ ัญหา การดาเนินชีวติ หาความรู้ และแกป้ ัญหาอยา่ งเป็นระบบ ภมู ใิ จในภาษาประจาชาติ และศกึ ษาต่อ การมีเหตมุ ผี ล มี การคิดอยา่ งเป็นเหตเุ ป็นผล คิด เจตคติท่ดี ตี อ่ คณิตศาสตร์ วิเคราะห์ คิดสรา้ งสรรค์ จิตวิทยาศาสตร์ พฒั นาการคิดอยา่ งเป็นระบบ และการใชเ้ ทคโนโลยี และสรา้ งสรรค์ ภาษาตา่ งประเทศ : ความรู้ องคค์ วามรู้ ทกั ษะสาคัญ สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม : ทกั ษะ เจตคติ และวฒั นธรรม และคุณลักษณะ การอย่รู ว่ มกนั ในสงั คมไทยและสงั คมโลก การใชภ้ าษาตา่ งประเทศในการ อยา่ งสนั ตสิ ขุ การเป็นพลเมืองดี สอ่ื สาร การแสวงหาความรู้ ในหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษา ศรทั ธาในหลกั ธรรมของศาสนา การเหน็ ข้ันพนื้ ฐาน คณุ คา่ ของทรพั ยากรและสง่ิ แวดลอ้ ม และการประกอบอาชีพ ความรกั ชาติ และภมู ใิ จในความเป็น ไทย การงานอาชพี : ความรู้ ทกั ษะ ศิลปะ : ความรูแ้ ละทกั ษะใน สุขศึกษาและพลศกึ ษา : ความรู้ และเจตคตใิ นการทางาน การคิดรเิ ร่มิ จนิ ตนาการ ทกั ษะและเจตคตใิ นการสรา้ งเสรมิ การจดั การ การดารงชวี ติ สรา้ งสรรคง์ านศิลปะ สขุ ภาพพลานามยั ของตนเองและผอู้ ื่น การประกอบอาชีพ และมเี จตคติ สนุ ทรียภาพและการเหน็ การปอ้ งกนั และปฏบิ ตั ิต่อส่งิ ตา่ ง ๆ ท่มี ี ท่ดี แี ละมคี ณุ ธรรมใน คณุ คา่ ทางศลิ ปะ ผลตอ่ สขุ ภาพอยา่ งถกู วธิ ีและทกั ษะใน การทางาน การดาเนินชวี ติ
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๑๓ ความสมั พันธ์ของการพัฒนาคณุ ภาพผู้เรยี นตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน วสิ ัยทศั น์ หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผเู้ รยี นทุกคน ซงึ่ เป็นกำลงั ของชาติให้เปน็ มนษุ ย์ท่ีมีความสมดุลทั้งดา้ น ร่างกาย ความรู้ คณุ ธรรม มีจติ สำนกึ ในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดม่ันในการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตย ออันาชมพีีพแระลมะหกาากรษศตัึกรษิยาท์ตรลงอเปดน็ชปวี ิตรคะมณุโดุขยภมมา่งุ ีคพเนวาข้นมผอร้เู ูแ้รงลยี ผะนเู้ทเรปักยี็นษนสะำพรคน้ื ะัญฐดาบนับนรพกว้ืนามฐรทาศงั้ นเึกคจวตษาคมาตเขิชทอ่ืัน้ ีจ่ วำพ่าเปน้ืทน็ ุกฐตคา่อนกนสาราศมึการษถาเตรอ่ ยี นกราแู้ รลปะรพะัฒกนอบา ตนเองได้เต็มตามศกั ยภาพ จดุ หมาย 1. มคี ุณธรรม จริยธรรม และคา่ นิยมท่พี งึ ประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวนิ ยั และปฏิบตั ิตนตาม หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรอื ศาสนาที่ตนนบั ถอื ยึดหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 2. มคี วามรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการส่อื สาร การคดิ การแกป้ ญั หา การใช้เทคโนโลยแี ละมีทักษะ ชวี ิต 3. มีสุขภาพกายและสขุ ภาพจิตทด่ี ี มีสุขนสิ ยั และรกั การออกกำลังกาย 4. มีความรักชาติ มจี ติ สำนกึ ในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยดึ มนั่ ในวิถีชีวิตและการปกครองในระบอบ ประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมขุ สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ๑. ความสามารถในการส่ือสาร 1.รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ 2. ซอ่ื สตั ย์สจุ ริต ๒. ความสามารถในการคดิ ๓. ความสามารถในการแกป้ ญั หา 3. มีวินยั 4. ใฝเ่ รียนรู้ ๔. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ ๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 5.อย่อู ยา่ งพอเพยี ง 6. มุง่ มั่นในการทำงาน 7.รักความเปน็ ไทย 8. มจี ิตสาธารณะ มาตรฐานการเรียนร้แู ละตัวช้วี ดั 8 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ กิจกรรมพั นาผ้เู รียน ๑. ภาษาไทย ๒. คณติ ศาสตร์ ๓. วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 1.กจิ กรรมแนะแนว 4. สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม 5. สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา 2.กจิ กรรมนักเรียน 6. ศลิ ปะ 7. การงานอาชีพ 8. ภาษาตา่ งประเทศ 3.กจิ กรรมเพอื่ สงั คมและ สาธารณประโยชน์
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๑๔ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสงิ่ ไม่มชี ีวติ กบั สิ่งมชี ีวติ และความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งสง่ิ มชี ีวติ กบั สง่ิ มีชวี ิตตา่ ง ๆ ในระบบนิเวศการถา่ ยทอดพลังงาน การเปลย่ี นแปลงแทนท่ีใน ระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบทมี่ ตี ่อทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ สิ่งแวดลอ้ มแนวทางในการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติและการแกไ้ ขปญั หาส่ิงแวดลอ้ มรวมท้งั นำ ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๒ เขา้ ใจสมบัตขิ องสิง่ มีชีวติ หน่วยพ้นื ฐานของสิง่ มีชีวิต การลำเลียงสารเขา้ และออกจากเซลล์ ความสัมพันธข์ องโครงสรา้ ง และหนา้ ทีข่ องระบบตา่ ง ๆของสัตวแ์ ละมนุษยท์ ่ีทำงานสัมพันธก์ ัน ความสัมพนั ธ์ของโครงสร้าง และหนา้ ทข่ี องอวัยวะตา่ ง ๆ ของพืชท่ีทำงานสัมพันธก์ นั รวมท้งั นำ ความร้ไู ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำคญั ของการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมสารพนั ธุกรรม การ เปลี่ยนแปลงทางพันธกุ รรมท่ีมผี ลตอ่ สิ่งมีชีวติ ความหลากหลายทางชวี ภาพและววิ ัฒนาการของ สง่ิ มีชวี ิต รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เขา้ ใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสมบตั ขิ องสสารกบั โครงสรา้ งและ แรงยดึ เหนยี่ วระหว่างอนภุ าค หลกั และธรรมชาติของการเปล่ยี นแปลงสถานะของสสาร การเกิด สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี มาตรฐาน ว ๒.๒ เขา้ ใจธรรมชาตขิ องแรงในชวี ติ ประจำวัน ผลของแรงท่กี ระทำตอ่ วัตถุ ลักษณะการเคลอื่ นทแี่ บบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมท้ังนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปล่ยี นแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏสิ มั พนั ธ์ระหว่างสสารและ พลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาตขิ องคลืน่ ปรากฏการณ์ท่ีเก่ยี วข้องกบั เสียง แสง และ คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ รวมทัง้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ สาระท่ี ๓ วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองคป์ ระกอบ ลักษณะ กระบวนการเกดิ และวิวัฒนาการของเอกภพกาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบ สรุ ยิ ะ รวมท้งั ปฏสิ มั พนั ธ์ภายในระบบสุรยิ ะทีส่ ง่ ผลตอ่ ส่งิ มชี ีวติ และการประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยอี วกาศ มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพนั ธข์ องระบบโลก กระบวนการเปลย่ี นแปลงภายในโลก และบนผวิ โลก ธรณพี บิ ัตภิ ยั กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทง้ั ผลต่อส่ิงมีชีวิตและสงิ่ แวดล้อม
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๑๕ สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยเี พือ่ การดำรงชีวิตในสังคมท่ีมกี ารเปลย่ี นแปลงอย่างรวดเร็ว ใชค้ วามรู้ และทกั ษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตรอ์ ืน่ ๆ เพ่อื แกป้ ญั หาหรือพฒั นางานอย่างมี ความคดิ สร้างสรรคด์ ว้ ยกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม เลอื กใช้เทคโนโลยอี ยา่ งเหมาะสมโดย คำนึงถึงผลกระทบตอ่ ชวี ิต สงั คม และส่ิงแวดลอ้ ม มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใชแ้ นวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปญั หาทพ่ี บในชวี ิตจรงิ อย่างเป็น ขนั้ ตอนและเป็นระบบ ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรยี นรู้ การทำงาน และการแกป้ ัญหาได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ รู้เท่าทัน และมีจรยิ ธรรม
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๑๖ การจดั เวลาเรยี น หลักสตู รสถานศึกษาโรงเรียนบา้ นเขาเทยี มปา่ ไดก้ ำหนดกรอบโครงสร้างเวลาเรียนขน้ั ต่ำสำหรับกล่มุ สาระการ เรียนรู้ 8 กลมุ่ และกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียน ซึ่งสถานศึกษาสามารถเพม่ิ เตมิ ได้ตามความพรอ้ มและจดุ เนน้ โดยสามารถปรับให้ เหมาะสมตามบริบทของสถานศกึ ษาและสภาพของผ้เู รียน คือ - ระดบั ช้ันประถมศกึ ษา (ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 1 – ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3) ให้จัดเวลาเรยี นเป็นรายปี โดยมเี วลาเรียน วันละ ไมเ่ กนิ 6 ชัว่ โมง โครงสร้างหลักสตู รโรงเรยี นบ้านเขาเทียมป่า โครงสรา้ งเวลาเรยี นระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 1 - 6 กล่มุ สาระการเรยี นรู้/กจิ กรรม ระดบั ประถมศกึ ษา ภาษาไทย ป.1 ป.2 ป.3 ป.4 ป.5 ป.6 คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 200 200 200 160 160 160 สังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั ธนธรรม ประวตั ศิ าสตร์ 200 200 200 160 160 160 สุขศึกษาและพลศึกษา ศลิ ปะ 80 80 80 ๑๒๐ ๑๒๐ 120 การงานอาชีพ ภาษาตา่ งประเทศ 80 80 80 80 80 80 รวมเวลาเรียนพืน้ ฐาน รายวชิ าเพมิ่ เตมิ (หนา้ ทพ่ี ลเมือง) 40 40 40 40 40 40 สอนเสรมิ (ภาษาอังกฤษ) รวมเวลาเรียน (เพ่มิ เติม) 40 40 40 80 80 80 รวมกจิ กรรมพั นาผเู้ รยี น 40 40 40 80 80 80 (บรู ณาการหลกั สตู รการป้องกนั การทุจรติ ) 40 40 40 ๔๐ ๔๐ 40 รวมเวลาเรยี นทง้ั หมด ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ 80 80 80 หมายเหตุ 840 840 840 840 840 840 40 40 40 40 40 40 ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๐ ๐ ๐ 120 120 120 40 40 40 120 120 120 120 120 120 1,๐00 ช่ัวโมง 1,๐๘๐ ชัว่ โมง รวมสาระภาษาอังกฤษ ๒๐๐ ชั่วโมง
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๑๗ โครงสร้างหลักสตู รโรงเรยี นบ้านเขาเทียมปา่ โครงสร้างเวลาเรยี นระดบั ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 1 - 6 กลมุ่ สาระการเรยี นร/ู้ กจิ กรรม ระดับประถมศึกษา ป.1 ป.2 ป.3 ป.4 ป.5 ป.6 ภาษาไทย คณิตศาสตร์ 200 200 200 160 160 160 วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒธนธรรม 200 200 200 160 160 160 ประวัติศาสตร์ สุขศึกษาและพลศกึ ษา 80 80 80 ๑๒๐ ๑๒๐ 120 ศลิ ปะ การงานอาชีพ 80 80 80 80 80 80 ภาษาตา่ งประเทศ รวมเวลาเรยี นพน้ื ฐาน 40 40 40 40 40 40 รายวิชาเพิ่มเติม(หนา้ ท่พี ลเมอื ง) สอนเสริม(ภาษาอังกฤษ) 40 40 40 80 80 80 รวมเวลาเรียน (เพมิ่ เติม) รวมกิจกรรมพั นาผู้เรียน 40 40 40 80 80 80 (บรู ณาการหลกั สตู รการป้องกนั การทจุ รติ ) 40 40 40 ๔๐ ๔๐ 40 รวมเวลาเรียนท้ังหมด ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ 80 80 80 หมายเหตุ 840 840 840 840 840 840 40 40 40 40 40 40 ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๐ ๐ ๐ 120 120 120 40 40 40 120 120 120 120 120 120 1,๐00 ช่ัวโมง 1,๐๘๐ ชั่วโมง รวมสาระภาษาอังกฤษ ๒๐๐ ชัว่ โมง
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๑๘ ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 1 เวลาเรียน (ชวั่ โมง / ปี) 8๔0 รายวชิ า / กิจกรรม 200 รายวชิ าพนื้ ฐาน 200 80 ท11101 ภาษาไทย 80 ค11101 คณติ ศาสตร์ ว11101 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 40 ส11101 สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ส11102 ประวัติศาสตร์ ๔0 พ11101 สขุ ศึกษาและพลศึกษา ๔0 ศ11101 ศิลปะ 40 ง11101 การงานอาชีพ ๑๒0 อ11101 ภาษาอังกฤษ 40 รายวชิ าเพ่ิมเตมิ 40 ส112๐1 หน้าทพี่ ลเมอื ง รายวิชาสอนเสรมิ 8๐ อ๑๑๒๐๑ ภาษาองั กฤษ (เพม่ิ เติม) 8๐ กจิ กรรมพั นาผ้เู รยี น 120 กิจกรรมแนะแนว 40 กจิ กรรมนกั เรียน - ลูกเสอื / เนตรนารี / ยุวกาชาด 40 - ชมรม ชุมนมุ 30 - กจิ กรรมเพื่อสังคมและสาธารณะประโยชน์ 10 รวมเวลาเรยี นทัง้ สนิ้ 1,0๘0
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๑๙ ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 2 เวลาเรยี น (ชัว่ โมง / ปี) 8๔0 รายวิชา / กิจกรรม 200 รายวิชาพ้นื ฐาน 200 80 ท12101 ภาษาไทย 80 ค12101 คณิตศาสตร์ ว12101 วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 40 ส12101 สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ส12102 ประวตั ิศาสตร์ ๔0 พ12101 สุขศึกษาและพลศกึ ษา ๔0 ศ12101 ศิลปะ 40 ง12101 การงานอาชพี ๑๒0 อ12101 ภาษาองั กฤษ 40 รายวชิ าเพิ่มเติม 40 ส122๐๑ หน้าทีพ่ ลเมอื ง รายวชิ าสอนเสรมิ ๘๐ อ๑๒๒๐๑ ภาษาองั กฤษ (เพิม่ เตมิ ) ๘๐ กิจกรรมพั นาผู้เรียน 120 กิจกรรมแนะแนว 40 กิจกรรมนกั เรยี น - ลกู เสอื / เนตรนารี / ยุวกาชาด 40 - ชมรม ชมุ นุม 30 กจิ กรรมเพือ่ สงั คมและสาธารณะประโยชน์ 10 รวมเวลาเรยี นทง้ั สน้ิ 1,0๘0
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๒๐ ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 3 เวลาเรยี น (ชวั่ โมง / ป)ี 8๔0 รายวชิ า / กิจกรรม 200 รายวชิ าพน้ื ฐาน 200 80 ท13101 ภาษาไทย 80 ค13101 คณติ ศาสตร์ ว13101 วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 40 ส13101 สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ส13102 ประวัติศาสตร์ ๔0 พ13101 สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา ๔0 ศ13101 ศลิ ปะ 40 ง13101 การงานอาชีพ ๑๒0 อ13101 ภาษาอังกฤษ 40 รายวิชาเพ่ิมเติม 40 ส132๐๑ หนา้ ทีพ่ ลเมือง รายวชิ าสอนเสริม ๘๐ อ๑3๒๐๑ ภาษาอังกฤษ (เพ่มิ เตมิ ) ๘๐ กิจกรรมพั นาผเู้ รยี น 120 กิจกรรมแนะแนว 40 กิจกรรมนกั เรียน - ลกู เสอื / เนตรนารี / ยุวกาชาด 40 - ชมรม ชุมนมุ 30 กิจกรรมเพอ่ื สงั คมและสาธารณะประโยชน์ 10 รวมเวลาเรียนทง้ั สิ้น 1,0๘0
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๒๑ ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 4 เวลาเรียน (ชว่ั โมง / ปี) 8๔0 รายวชิ า / กิจกรรม 160 รายวชิ าพื้นฐาน 160 ๑๒0 ท14101 ภาษาไทย 80 ค14101 คณิตศาสตร์ ว14101 วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 40 ส14101 สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ส14102 ประวตั ิศาสตร์ 80 พ14101 สุขศกึ ษาและพลศึกษา 80 ศ14101 ศิลปะ ๔0 ง14101 การงานอาชพี 80 อ14101 ภาษาองั กฤษ 40 รายวชิ าเพมิ่ เตมิ ส142๐๑ หนา้ ท่ีพลเมือง 40 กจิ กรรมพั นาผเู้ รยี น 120 กิจกรรมแนะแนว 40 กิจกรรมนักเรียน - ลูกเสือ / เนตรนารี / ยวุ กาชาด 40 - ชมรม ชุมนมุ 30 -กจิ กรรมเพือ่ สงั คมและสาธารณะประโยชน์ 10 รวมเวลาเรยี นท้ังส้นิ 1,000
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๒๒ ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 รายวิชา / กิจกรรม เวลาเรียน (ชั่วโมง / ป)ี รายวิชาพืน้ ฐาน 8๔0 160 ท15101 ภาษาไทย 160 ค15101 คณิตศาสตร์ ๑๒0 ว15101 วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 80 ส15101 สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ส15102 ประวัติศาสตร์ 40 พ15101 สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา ศ15101 ศิลปะ 80 ง15101 การงานอาชีพ 80 อ15101 ภาษาอังกฤษ ๔0 80 รายวิชาเพ่ิมเติม 40 ส152๐๑ หนา้ ที่พลเมอื ง 40 กิจกรรมพั นาผู้เรียน 120 กจิ กรรมแนะแนว 40 กิจกรรมนกั เรียน - ลกู เสอื / เนตรนารี / ยวุ กาชาด 40 - ชมรม ชุมนุม 30 กิจกรรมเพอ่ื สังคมและสาธารณะประโยชน์ 10 รวมเวลาเรียนทงั้ สน้ิ 1,000
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๒๓ ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 เวลาเรียน (ชั่วโมง / ป)ี 8๔0 รายวิชา / กิจกรรม 160 รายวิชาพ้ืนฐาน 160 ๘๐ ท16101 ภาษาไทย 80 ค16101 คณติ ศาสตร์ ว16101 วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 40 ส16101 สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ส16102 ประวัติศาสตร์ 80 พ16101 สุขศึกษาและพลศึกษา 80 ศ16101 ศิลปะ ๘0 ง16101 การงานอาชพี 80 อ16101 ภาษาองั กฤษ 40 รายวชิ าเพม่ิ เตมิ ส162๐๑ หน้าท่พี ลเมือง 40 กิจกรรมพั นาผเู้ รยี น 120 กจิ กรรมแนะแนว 40 กจิ กรรมนักเรยี น - ลูกเสือ / เนตรนารี / ยวุ กาชาด 40 - ชมรม ชุมนุม 30 10 กิจกรรมเพื่อสงั คมและสาธารณะประโยชน์ 1,000 รวมเวลาเรียนทง้ั ส้นิ
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๒๔ มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชวี้ ัด คณุ ภาพผู้เรียน จบชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๓ ❖ เข้าใจลักษณะที่ปรากฏ ชนิดและสมบัติบางประการของวัสดุที่ใช้ทำวัตถุ และการเปลี่ยนแปลง ของวัสดรุ อบตวั ❖ เข้าใจการดึง การผลัก แรงแม่เหล็ก และผลของแรงที่มีต่อการเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนที่ของ วตั ถุ พลงั งานไฟฟ้า และการผลิตไฟฟ้า การเกิดเสียง แสงและการมองเห็น ❖ เข้าใจการปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว ปรากฏการณ์ขึ้นและตกของ ดวงอาทิตย์ การเกิดกลางวันกลางคืน การกำหนดทิศ ลักษณะของหิน การจำแนกชนิดดินและการใช้ ประโยชน์ ลกั ษณะและความสำคัญของอากาศ การเกิดลม ประโยชนแ์ ละโทษของลม ❖ ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจสังเกต สำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมืออย่างง่าย รวบรวมข้อมูล บันทึก และอธิบายผลการสำรวจตรวจสอบด้วย การเขยี นหรอื วาดภาพ และสอ่ื สารสิ่งทเี่ รยี นรู้ด้วยการเล่าเรือ่ ง หรอื ด้วยการแสดงทา่ ทางเพอ่ื ใหผ้ ู้อนื่ เข้าใจ ❖ แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ขั้นตอนการแก้ปัญหา มีทักษะในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการ ส่อื สารเบ้ืองต้น รักษาขอ้ มลู ส่วนตวั ❖ แสดงความกระตือรือร้น สนใจที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตามท่ี กำหนดให้หรือตามความสนใจ มสี ่วนร่วมในการแสดงความคดิ เห็น และยอมรับฟังความคดิ เหน็ ผอู้ นื่ ❖ แสดงความรับผิดชอบดว้ ยการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมัน่ รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์ จนงานลลุ ่วงเป็นผลสำเร็จ และทำงานร่วมกับผู้อืน่ อย่างมคี วามสขุ ❖ ตระหนักถึงประโยชน์ของการใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต ศึกษาหาความร้เู พ่ิมเติม ทำโครงงานหรอื ช้ินงานตามท่กี ำหนดให้หรอื ตามความสนใจ จบชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี ๖ ❖ เข้าใจโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะและการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งความสัมพันธ์ของสิ่งมชี ีวติ ในแหล่งทีอ่ ยู่ การทำหนา้ ที่ของสว่ นต่าง ๆ ของพืช และการทำงานของระบบย่อยอาหารของมนุษย์ ❖ เข้าใจสมบัติและการจำแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะและการเปลี่ยนสถานะของสสาร การละลาย การเปลี่ยนแปลงทางเคมี การเปลี่ยนแปลงทีผ่ ันกลบั ได้และผันกลบั ไม่ได้ และการแยกสารอย่าง ง่าย
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๒๕ ❖ เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลัพธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟ้าและผลของแรงต่างๆ ผลที่เกิดจากแรงกระทำต่อวัตถุ ความดัน หลักการที่มีต่อวัตถุ วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ปรากฏการณ์เบื้องต้น ของเสยี ง และแสง ❖ เข้าใจปรากฏการณ์การขึ้นและตก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ องค์ประกอบของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของดาวเคราะห์ และดาวฤกษ์ การขนึ้ และตกของกลุม่ ดาวฤกษ์ การใชแ้ ผนทีด่ าว การเกิดอุปราคา พฒั นาการและประโยชนข์ องเทคโนโลยี อวกาศ ❖ เขา้ ใจลกั ษณะของแหล่งน้ำ วฏั จกั รน้ำ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำคา้ ง น้ำคา้ งแข็ง หยาดน้ำ ฟ้า กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ประโยชน์หินและแร่ การเกิดซากดึกดำบรรพ์ การเกิดลมบก ลมทะเล มรสุม ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภัย การเกิดและผลกระทบของ ปรากฏการณ์เรอื นกระจก ❖ ค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและประเมินความนา่ เชื่อถือ ตัดสินใจเลือกข้อมูลใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารในการทำงานร่วมกัน เข้าใจสิทธิและหน้าท่ี ของตน เคารพสทิ ธิของผอู้ ืน่ ❖ ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจ คาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สอดคล้องกับคำถามหรือปัญหาที่จะสำรวจตรวจสอบ วางแผนและสำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม ในการเก็บ รวบรวมขอ้ มลู ท้งั เชิงปริมาณและคุณภาพ ❖ วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มาจากการสำรวจตรวจสอบใน รปู แบบทเี่ หมาะสม เพอ่ื ส่อื สารความรจู้ ากผลการสำรวจตรวจสอบได้อย่างมีเหตุผลและหลักฐานอา้ งองิ ❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตาม ความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลที่มีหลักฐานอ้างอิง และรับฟังความ คิดเหน็ ผอู้ นื่ ❖ แสดงความรบั ผิดชอบด้วยการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมัน่ รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์ จนงานลุลว่ งเปน็ ผลสำเรจ็ และทำงานรว่ มกบั ผูอ้ ่นื อยา่ งสร้างสรรค์ ❖ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความรู้และกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต แสดงความชืน่ ชม ยกย่อง และเคารพสิทธใิ นผลงานของผู้คิดค้นและศึกษาหา ความรเู้ พมิ่ เติม ทำโครงงานหรอื ชิ้นงานตามท่ีกำหนดใหห้ รอื ตามความสนใจ ❖ แสดงถึงความซาบซ้งึ หว่ งใย แสดงพฤติกรรมเกยี่ วกับการใช้ การดแู ลรกั ษาทรัพยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดลอ้ มอยา่ งรูค้ ุณค่า ทำไมตอ้ งเรยี นวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์มบี ทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปจั จุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตรเ์ ก่ียวข้องกับทุก คนทั้งในชีวิตประจำวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เครื่องมือเคร่ืองใช้และผลผลิตต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตและการทำงาน เหล่านี้ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๒๖ ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิด เป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มี ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประจักษ์ พยานทต่ี รวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เปน็ วัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแหง่ การเรียนรู้ (K knowledge- based society) ดงั น้นั ทกุ คนจึงจำเป็นต้องไดร้ ับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพ่ือท่ีจะมีความรู้ความเข้าใจใน ธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น สามารถนำความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ และมี คุณธรรม เรยี นรู้อะไรในวิทยาศาสตร์ กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรม์ ุ่งหวังใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ รียนรู้วิทยาศาสตร์ทีเ่ นน้ การเชื่อมโยงความรู้กับ กระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นควา้ และสร้างองค์ความรู้ โดยใชก้ ระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือ ปฏิบตั ิจรงิ อยา่ งหลากหลาย เหมาะสมกบั ระดับช้นั โดยกำหนดสาระสำคัญไว้ ๔ สาระ ดงั นี้ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต การ ดำรงชีวติ ของมนษุ ยแ์ ละสตั ว์ การดำรงชวี ิตของพืช พันธกุ รรม ความหลากหลายทางชวี ภาพและววิ ฒั นาการ ของสงิ่ มชี วี ิต วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การ เคลือ่ นท่ี พลังงาน และคลนื่ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับโลกในเอกภพ ระบบโลก และมนุษย์กับการ เปลี่ยนแปลงของโลก เทคโนโลยี การออกแบบและเทคโนโลยี เรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความ เข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะ ทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่ างมีความคิด สร้างสรรคด์ ้วยกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม เลือกใชเ้ ทคโนโลยอี ยา่ งเหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบ ต่อชวี ิต สังคม และส่งิ แวดล้อม วทิ ยาการคำนวณ เรยี นร้เู ก่ียวกับการพัฒนาผู้เรียนให้มคี วามรู้ความเข้าใจ มีทักษะ การคดิ เชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์ แกป้ ัญหาเป็นขัน้ ตอนและเป็นระบบ ประยกุ ตใ์ ช้ความรู้ด้านวิทยาการ คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรเ์ ปน็ ทักษะทางสติปญั ญา (Intellectual) ทน่ี กั วิทยาศาสตร์และผู้ที่นำ วิธีการทางวิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหา ใช้ในการศึกษาค้นคว้า สืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาต่าง ๆ ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์แบ่งออกได้เป็น ๑๓ ทักษะ ทักษะที่ ๑-๘ เป็นทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ข้ันพื้นฐาน และทกั ษะที่ ๙-๑๓ เปน็ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นสงู หรือข้นั ผสมหรือข้ัน บรู ณาการ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ทั้ง ๑๓ ทักษะ มีดังนี้
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๒๗ ๑. การสังเกต (Observing) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง รวมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือเหตุการณ์ เพื่อค้นห้าข้อมูลซึ่งเป็น รายละเอียดของสิ่งนั้น โดยไม่ใส่ความเห็นของผู้สังเกตลงไป ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตประกอบด้วยข้อมูลเชิง คุณภาพ ข้อมูลเชิงปริมาณ และข้อมูลที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตเห็นได้จากวัตถุหรือเหตุการณ์น้ัน ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะนี้ประกอบด้วยการชี้บ่งและการบรรยายสมบัติของวัตถุได้โดยการกะ ประมาณและการบรรยายการเปล่ยี นแปลงของสิ่งทสี่ ังเกตได้ ๒. การลงความเหน็ จากข้อมลู (Inferring) หมายถึง การเพ่มิ ความคิดเหน็ ให้กบั ข้อมูลที่ได้จากการ สังเกตอย่างมีเหตุผล โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์เดิมมาช่วย ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะน้ี คือ การอธิบายหรือสรุป โดยเพิ่มความคิดเห็นให้กับข้อมลู โดยใช้ความรหู้ รือประสบการณ์เดิมมาชว่ ย ๓. การจำแนกประเภท (Classifying) หมายถึง การแบ่งพวกหรือเรียงลำดับวัตถุหรือสิ่งที่มีอยู่ใน ปรากฏการณ์โดยมีเกณฑ์ และเกณฑ์ดังกล่าวอาจใช้ความเหมือน ความแตกต่าง หรอื ความสัมพันธ์อย่างใดอย่าง หนึ่งก็ได้ ความสามารถที่แสดงว่าเกิดทักษะนี้แล้ว ได้แก่ การแบ่งพวกของสิ่งต่าง ๆ จากเกณฑ์ที่ผู้อื่นกำหนดให้ ได้ นอกจากนั้นสามารถเรียงลำดับสิ่งของด้วยเกณฑ์ของตัวเองพร้อมกับบอกได้ว่าผู้อื่นแบ่งพวกของสิ่งของนั้น โดยใชอ้ ะไรเป็นเกณฑ์ ๔. การวัด (Measuring) หมายถึง การเลือกใช้เครื่องมือและการใช้เครื่องมือนั้นทำการวัดหา ปริมาณของสิ่งต่าง ๆ ออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้อย่างเหมาะสมกับส่ิงที่วัด แสดงวิธใี ชเ้ คร่ืองมืออย่างถูกต้อง พร้อมทง้ั บอกเหตผุ ลในการเลือกใช้เคร่ืองมือ รวมท้ังระบุหน่วยของตัวเลขท่ีได้จากการวดั ได้ ๕. การใช้ตัวเลข (Using Numbers) หมายถึง การนับจำนวนของวัตถุและการนำตัวเลขที่แสดง จำนวนที่นับได้มาคิดคำนวณโดยการบวก ลบ คูณ หาร หรือการหาค่าเฉลี่ย ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิด ทักษะนี้ ได้แก่ การนับจำนวนสิ่งของได้ถูกต้อง เช่น ใช้ตัวเลขแทนจำนวนการนับได้ ตัดสินได้ว่าวัตถุ ในแต่ละ กลุ่มมีจำนวนเท่ากันหรือแตกต่างกัน เปน็ ต้น การคำนวณ เชน่ บอกวธิ ีคำนวณ คิดคำนวณ และแสดงวิธีคำนวณ ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง และประการสุดท้ายคือ การหาค่าเฉล่ยี เชน่ การบอกและแสดงวธิ ีการหาค่าเฉลี่ยไดถ้ ูกต้อง ๖. การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา (Using Space/Time Relationships) สเปสของวัตถุ หมายถึง ที่ว่างที่วัตถุนั้นครองที่อยู่ ซึ่งมีรูปร่างลักษะเช่นเดียวกับวัตถุน้ัน โดยท่วั ไปแล้วสเปสของวัตถุจะมี ๓ มติ ิ คอื ความกว้าง ความยาว และความสูง ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสของวัตถุ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่าง ๓ มิติ กับ ๒ มิติ ความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งที่ของวัตถุหนึ่งกับอีกวัตถุหนึ่ง ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะการหา ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส ได้แก่ การชี้บ่งรูป ๒ มิติ และ ๓ มิติได้ สามารถวาดภาพ ๒ มิติ จากวัตถุ หรอื จากภาพ ๓ มิติ ได้ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสเปสกับเวลา ไดแ้ ก่ ความสัมพันธ์ระหว่างการเปล่ียนตำแหน่งท่ีอยู่ของ วัตถุกับเวลา หรือความสัมพันธ์ระหว่างสเปสของวัตถุที่เปลี่ยนไปกับเวลาความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิด ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา ได้แก่ การบอกตำแหน่งและทิศทางของวัตถุโดยใช้ตัวเองหรือ วตั ถุอ่ืนเป็นเกณฑ์ บอกความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งการเปล่ียนตำแหน่ง เปลีย่ นขนาด หรือปริมาณของวตั ถุกับเวลาได้ ๗. การสื่อความหมายข้อมูล (Communicating) หมายถึง การนำข้อมูลที่ได้จาการสังเกต การวัด การทดลอง และจากแหล่งอื่น ๆ มาจัดกระทำเสียใหม่โดยการหาความถี่ เรียงลำดับ จัดแยกประเภท หรือ คำนวณหาค่าใหม่ เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายได้ดีขึ้น โดยอาจเสนอในรูปของตาราง แผนภูมิ แผนภาพ ไดอะแกรม กราฟ สมการ การเขียนบรรยาย เป็นต้น ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะนี้แล้ว คือการ
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๒๘ เปลี่ยนแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปใหม่ที่เข้าใจดีขึ้น โดยจะต้องรู้จักเลือกรูปแบบที่ใช้ในการเสนอข้อมูลได้อย่าง เหมาะสม บอกเหตุผลในการเสนอข้อมูลในการเลือกแบบแสนอข้อมูลนั้น การเสนอข้อมูลอาจกระทำได้หลาย แบบดังที่กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะการเสนอข้อมูลในรูปของตาราง การบรรจุข้อมูลให้อยู่ในรูปของตารางปกติจะ ใส่ค่าของตัวแปรอิสระไว้ทางซ้ายมือของตาราง และค่าของตัวแปรตามไว้ทางขวามือของตารางโดยเขียนค่าของ ตวั แปรอิสระไว้ใหเ้ รียงลำดบั จากคา่ น้อยไปหาค่ามาก หรือจากคา่ มากไปหาค่าน้อย ๘ . ก า ร พ ย า ก ร ณ์ (Predicting) หมายถึง การคาดคะเนคำตอบล่วงหน้าก่อนการทดลอง โดยอาศัยปรากฏการณ์ที่เกิดซ้ำ หลักการ กฎ หรือ ทฤษฏีที่มีอยู่แล้วในเรื่องนั้นมาช่วยสรุป เช่น การพยากรณ์ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลข ได้แก่ ข้อมูลที่เป็น ตารางหรือกราฟ ซงึ่ ทำได้สองแบบ คือ การพยากรณ์ภายในขอบเขตของข้อมูลทมี่ ีอยู่ กบั การพยากรณ์นอกขอบ ของขอ้ มูลท่ีมีอยู่ เชน่ การพยากรณ์ผลของข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นต้น ๘. การพยากรณ์ (Predicting) หมายถึง การทำนายหรือการคาดคะเนคำตอบ โดยอาศัย ขอ้ มูลทไ่ี ด้จากการสงั เกตหรอื การทำซ้ำ ผ่านกระบวนการแปรความหายของข้อมลู จากสมั พันธ์ภายใตค้ วามรู้ ทางวิทยาศาสตร์ ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ คือ สามารถทำนายผลที่อาจจะเกิดขึ้นจากข้อมูลบน พืน้ ฐานหลกั การ กฎ หรือทฤษฎที ่ีมีอยู่ ท้ังภายในขอบเขตของข้อมลู และภายนอกขอบเขตของข้อมูลในเชิง ปรมิ าณได้ ๙. การชบี้ ่งและการควบคุมตัวแปร (Identifying and Controlling Variables) หมายถึง การชี้บ่ง ตัวแปรตน้ ตวั แปรตาม และตัวแปรที่ตอ้ งควบคุมให้คงที่ในสมมุติฐาน หนง่ึ ๆ ตัวแปรต้น หมายถึง สิ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลต่าง ๆ หรือสิ่งที่เราต้องการทดลองดูว่า เปน็ สาเหตทุ ีก่ ่อให้เกดิ ผลเช่นนน้ั จริงหรือไม่ ตัวแปรตาม หมายถึง สิ่งที่เป็นผลเนื่องมาจากตัวแปรต้น เมื่อตัวแปรต้นหรือสิ่งที่เป็นสาเหตุ เปล่ียนไป ตัวแปรตามหรือสงิ่ ท่ีเป็นผลจะแปรตามไปด้วย ตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงที่ หมายถึง สิ่งอื่น ๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้นที่จะทำให้ผลการ ทดลองคลาดเคล่ือน ถา้ หากว่าไม่มีการควบคุมให้เหมือนกัน ๑๐. การตัง้ สมมุตฐิ าน (Formulating Hypotheses) หมายถึง การคิดหาคำตอบลว่ งหน้าก่อนทำ การทดลอง โดยอาศัยการสังเกต อาศัยความรู้หรือประสบการณ์เดิมเป็นพื้นฐาน คำตอบที่คิดล่วงหน้านี้ ยังไม่ ทราบ หรอื ยงั ไมเ่ ป็นทางการ กฎหรอื ทฤษฏีมาก่อน สมมตุ ฐิ าน คอื คำตอบท่ีคิดไว้ล่วงหน้ามีกล่าวไว้เป็นข้อความ ที่บอกความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตามสมมุติฐานที่ตั้งขึ้นอาจถูกหรือผิดก็ได้ซึ่งทราบได้ภายหลัง การทดลองหาคำตอบเพื่อสนับสนุนสมมุติฐานหรือคัดค้านสมมุติฐานที่ตั้งไว้ สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการต้ัง สมมุติฐาน คือ การบอกชื่อตัวแปรต้นซึ่งอาจมีผลต่อตัวแปรตามและในการตั้งสมมุติฐานต้องทราบตัวแปรจาก ปัญหาและสภาพแวดล้อมของตัวแปรนั้น สมมุติฐานที่ตั้งขึ้นสามารถบอกให้ทราบถึงการออกแบบการทดลอง ซงึ่ ตอ้ งทราบว่าตวั แปรไหนเป็นตวั แปรตน้ ตัวแปรตาม และตวั แปรท่ีต้องควบคุมใหค้ งที่ ๑๑. การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการของตัวแปร (Defining Variables Operationally) หมายถึง การกำหนดความหมายและขอบเขตของค่าต่าง ๆ ที่อยู่ในสมมุติฐานที่ต้องการทดลองและบอกวิธีวัด ตัวแปรทเ่ี กย่ี วกบั การทดลองน้ัน ๑๒. การทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏิบัติการเพื่อหาคำตอบจาก สมมติฐานท่ตี ัง้ ไว้ ในการทดลองจะประกอบไปด้วยกิจกรรม ๓ ข้นั คือ ๑๒.๑ ออกแบบการทดลอง หมายถงึ การวางแผนการทดลองก่อนลงมือทดสอบจรงิ
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๒๙ ๑๒.๒ ปฏิบตั ิการทดลอง หมายถงึ การลงมือปฏิบัตจิ ริงและให้อุปกรณ์ได้อย่างถูกต้องและ เหมาะสม ๑๒.๓ การบนั ทกึ ผลการทดลอง หมายถงึ การจดบันทึกข้อมลู ที่ไดจ้ ากการทดลองซึ่งอาจ เป็นผลจากการสังเกต การวดั และอืน่ ๆ ไดอ้ ย่างคล่องแคลว่ และถูกต้อง การบนั ทกึ ผลการทดลอง อาจอยู่ในรูป ตารางหรือการเขียนกราฟ ซึ่งโดยทั่วไปจะแสดงค่าของตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระบนแกนนอนและค่าของตัว แปรบนแกนตั้ง โดยเฉพาะในแต่ละแกนต้องใช้สเกลที่เหมาะสม พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของค่าของตัว แปรทงั้ สองบนกราฟด้วย ๑๓.การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป (Interpreting Data and Making Conclusion) การตีความหมายข้อมูล หมายถึง การแปลความหมายหรือบรรยายลักษณะข้อมูลที่มีอยู่ การตคี วามหมายข้อมูล ในบางครง้ั อาจต้องใช้ทักษะอื่นๆ ดว้ ย เชน่ การสังเกต การคำนวณ เปน็ ตน้ และการลงข้อสรุป หมายถึง การสรุป ความสัมพันธ์ของข้อมูลทั้งหมด ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะการลงข้อสรุปคือบอกความสัมพันธ์ ของข้อมูลได้ เชน่ การอธบิ ายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรบนกราฟ ถ้ากราฟเป็นเส้นตรงกส็ ามารถอธิบายได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับตัวแปรตามขณะทีต่ ัวแปรอิสระเปล่ียนแปลงหรือถ้าลากกราฟเป็นเสน้ โค้งให้อธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรก่อนที่กราฟเส้นโค้งจะเปลี่ยนทิศทางและอธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรหลังจากที่กราฟ เสน้ โค้งเปลีย่ นทศิ ทางแลว้ จิตวิทยาศาสตร์ ลกั ษณะชี้บง่ /พฤตกิ รรม คณุ ลักษณะด้านจิตวิทยาศาสตร์ ๑.เห็นคุณคา่ ทางวิทยาศาสตร์ ๑.๑ นิยมยกย่องกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ๑.๒ นิยมยกย่องความก้าวหนา้ ทางวิทยาศาสตร์ ๒.คุณลักษณะทางวทิ ยาศาสตร์ ๑.๓ เพม่ิ พูนความร้แู ละประสบการณท์ างวทิ ยาศาสตร์ ๒.๑ ความมเี หตผุ ล ๑.๔ ตระหนักความสำคัญของวิทยาศาสตร์ ในการพัฒนาคุณภาพ ชวี ิต ๒.๒ ความอยากร้อู ยากเหน็ ๒.๑.๑ การยอมรบั ข้อสรปุ ที่มีเหตุผล ๒.๓ ความใจกว้าง ๒.๑.๒ มคี วามเชือ่ ว่าส่ิงท่ีเกดิ ข้ึนตอ้ งมีสาเหตุ ๒.๔ ความมีระเบยี บในการ ๒.๑.๓ นยิ มยกย่องบุคคลทม่ี ีความคดิ อย่างมีเหตผุ ล ทำงาน ๒.๑.๔ เห็นคุณค่าในการสืบหาความจริงก่อนที่จะยอมรับหรือ ปฏิบัติตาม ๒.๒.๑ ชอ่ื วา่ วิธกี ารทดลองค้นควา้ จะทำให้คน้ พบวธิ ีการแกป้ ัญหา ได้ ๒.๒.๒ พอใจใฝ่หาความรูท้ างวิทยาศาสตร์เพ่ิมเตมิ ๒.๒.๓ ชอบทดลองค้นควา้ ๒.๓.๑ ตระหนักถงึ ความสำคัญของความมีเหตุผลของผู้อน่ื ๒.๓.๒ ยอมรบั ฟังความคดิ เห็นและคำวิจารณ์ของผอู้ ่ืน ๒.๔.๑ ตระหนกั ถงึ การระวงั รักษาความปลอดภยั ของ ตนเองและเพ่ือนในขณะทดลองวิทยาศาสตร์ ๒.๔.๒ เหน็ คณุ ค่าของการระวังรักษาเครื่องมือท่ีใช้มใิ หแ้ ตกหัก เสียหาย ในขณะทดลองวิทยาศาสตร์
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๓๐ ๒.๕ การมีคา่ นยิ มต่อความ ๒.๕.๑ ตระหนักถึงการทำงานให้สำเร็จลุล่วงตามเปา้ หมายโดยไม่ เสยี สละ คำนงึ ถงึ ผลตอบแทน ๒.๕.๒ เต็มใจท่ีจะอทุ ิศตนเพื่อการสรา้ งผลงานทาง ๒.๖ การมคี ่านิยมต่อความ วทิ ยาศาสตร์ ซ่อื สัตย์ ๒.๖.๑ เห็นคุณค่าตอ่ การเสนอผลงานตามความเปน็ จรงิ ท่ีทดลอง ๒.๗ การมคี ่านิยมต่อการ ได้ ประหยัด ๒.๖.๒ ตำหนิบคุ คลที่นำผลงานผู้อื่นมาเสนอเป็นผลงานของตนเอง ๒.๗.๑ ยินดีทจ่ี ะรกั ษาซ่อมแซมส่ิงทีช่ ำรุดให้ใชก้ ารได้ ๒.๗.๒ เห็นคณุ คา่ ของการใชว้ ัสดุอปุ กรณ์อย่างประหยัด ๒.๗.๓ เห็นคุณค่าของวัสดุทีเ่ หลอื ใช้
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๓๑ สาระท่ี ๑ สิง่ มีชวี ิตกบั กระบวนการดำรงชีวิต มาตรฐาน ว ๑.๑ เขา้ ใจหนว่ ยพ้ืนฐานของสงิ่ มชี วี ติ ความสมั พนั ธข์ องโครงสรา้ ง และหน้าท่ีของระบบตา่ งๆ ของสิง่ มชี วี ติ ทีท่ ำงานสัมพันธก์ นั มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ส่ือสารสง่ิ ท่ีเรยี นรูแ้ ละนำความรไู้ ปใช้ในการดำรงชวี ติ ของตนเอง และดูแลส่งิ มชี ีวติ ตวั ชีว้ ัดชน้ั ปี ป. ๑ ป. ๒ ป. ๓ ป. ๔ ป. ๕ ป. ๖ ๑. ระบุช่อื พชื ๑. บรรยาย และสตั วท์ ี่อาศัย โครงสรา้ งและ อย่บู รเิ วณตา่ ง ๆ ลกั ษณะของ จากขอ้ มูลที่ สิง่ มชี ีวติ รวบรวมได้ ท่เี หมาะสมกบั การ ๒. บอก ดำรงชวี ิต ซ่งึ เป็น สภาพแวดลอ้ มที่ ผลมาจากการ เหมาะสมกับการ ปรับตัวของ ดำรงชวี ติ ของสัตว์ สิ่งมีชีวติ ในแตล่ ะ ในบริเวณทอ่ี าศยั แหล่งทอี่ ยู่ อยู่ ๒. อธิบาย ความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งสิง่ มีชีวิตกบั สง่ิ มีชีวติ และ ความสมั พันธ์ ระหว่างสง่ิ มีชวี ติ กบั ส่ิงไม่มีชีวิต เพ่ือ ประโยชน์ต่อการ ดำรงชีวิต ๓. เขียนโซ่อาหาร และระบุบทบาท หน้าท่ขี อง สิ่งมชี ีวิตทเ่ี ป็น ผูผ้ ลิตและผบู้ ริโภค ในโซอ่ าหาร ๔. ตระหนกั ใน คุณค่าของ สิง่ แวดลอ้ มที่มตี ่อ การดำรงชีวติ ของ สง่ิ มชี วี ิต โดยมสี ว่ น รว่ มในการดแู ล รกั ษาสงิ่ แวดล้อม
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๓๒ สาระท่ี ๑ วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัตขิ องสิ่งมีชีวติ หน่วยพืน้ ฐานของส่ิงมชี วี ติ การลำเลยี งสารเข้า และออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสรา้ งและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนษุ ย์ท่ที ำงานสมั พนั ธ์กนั ความสัมพนั ธ์ของโครงสรา้ ง และหนา้ ที่ของอวยั วะต่าง ๆ ของพชื ท่ที ำงานสมั พันธก์ ัน รวมท้งั นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ตวั ช้ีวัดชนั้ ปี ป. ๑ ป. ๒ ป. ๓ ป. ๔ ป. ๕ ป. ๖ ๑. ระบชุ ือ่ ๑. ระบวุ ่าพชื ๑. บรรยายสงิ่ ท่ี ๑. บรรยาย ๑. ระบสุ ารอาหาร บรรยายลักษณะ ต้องการแสงและ และบอก และบอกหน้าที่ น้ำ เพื่อการ จำเปน็ ต่อการ หน้าทข่ี องราก ประโยชน์ของ ของสว่ นตา่ ง ๆ เจริญเติบโต โดย สารอาหารแตล่ ะ ของรา่ งกาย ใช้ข้อมลู จาก ดำรงชีวิต และการ ลำต้น ใบ และ ประเภทจาก มนุษย์ สัตว์ และ หลักฐานเชงิ อาหารทีต่ นเอง พืช รวมท้งั ประจักษ์ เจริญเติบโตของ ดอกของพชื ดอก รบั ประทาน บรรยายการทำ ๒. ตระหนักถงึ ๒. บอกแนวทาง หนา้ ทร่ี ว่ มกนั ของ ความจำเป็นทพ่ี ืช มนุษย์และสัตว์ โดยใช้ขอ้ มูลที่ ในการเลือก สว่ นตา่ ง ๆ ของ ตอ้ งไดร้ ับนำ้ และ รับประทาน ร่างกายมนษุ ยใ์ น แสงเพอ่ื การ โดยใช้ขอ้ มูล รวบรวมได้ อาหาร การทำกจิ กรรม เจรญิ เตบิ โต โดย ให้ไดส้ ารอาหาร ต่าง ๆ ดูแลพืชใหไ้ ดร้ ับ ทร่ี วบรวมได้ ครบถว้ น ใน จากขอ้ มูลท่ี สง่ิ ดังกล่าวอยา่ ง สัดสว่ นท่ี รวบรวมได้ เหมาะสม ๒. ตระหนักถึง เหมาะสมกับเพศ ๒. ตระหนกั ถงึ ๓. สรา้ ง และวัย รวมท้ัง ความสำคญั ของ แบบจำลองท่ี ประโยชน์ของ ความปลอดภัยตอ่ ส่วนตา่ ง ๆ ของ บรรยายวฏั จักร สุขภาพ ร่างกายตนเอง ชีวติ ของ อาหาร นำ้ และ ๓. ตระหนกั ถึง โดยการดแู ลส่วน พืชดอก ความสำคญั ของ ต่าง ๆ อย่าง อากาศ โดยการ สารอาหาร โดย ถูกตอ้ ง ให้ การเลอื ก ปลอดภัย และ ดูแลตนเองและ รับประทาน รักษาความ อาหารทม่ี ี สะอาด สตั ว์ใหไ้ ดร้ บั ส่ิง สารอาหาร อยเู่ สมอ ครบถว้ นใน เหลา่ น้ีอยา่ ง สดั สว่ นท่ี เหมาะสมกบั เพศ เหมาะสม และวยั รวมท้งั ปลอดภัยตอ่ ๓. สรา้ ง สุขภาพ แบบจำลองที่ บรรยายวฏั จักร ชีวติ ของสัตว์ และ เปรียบเทยี บวฏั จักรชีวติ ของสตั ว์ บางชนิด ๔. ตระหนักถึง คณุ คา่ ของชวี ิต สตั ว์ โดยไม่ทำ ให้วัฏจักรชวี ติ ของ สัตวเ์ ปล่ียนแปลง
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๓๓ ตวั ชว้ี ัดชัน้ ปี ป. ๑ ป. ๒ ป. ๓ ป. ๔ ป. ๕ ป. ๖ ๔. สรา้ ง แบบจำลองระบบ ย่อยอาหาร และ บรรยายหน้าทข่ี อง อวยั วะในระบบ ยอ่ ยอาหาร รวมทงั้ อธบิ ายการยอ่ ย อาหารและการดดู ซึมสารอาหาร ๕. ตระหนักถงึ ความสำคญั ของ ระบบย่อยอาหาร โดยการบอก แนวทางในการดแู ล รกั ษาอวัยวะ ในระบบยอ่ ย อาหารใหท้ ำงาน เป็นปกติ
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๓๔ สาระที่ ๑ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว ๑.๓ เขา้ ใจกระบวนการและความสำคัญของการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมสารพนั ธุกรรม การ เปล่ยี นแปลงทางพนั ธกุ รรมที่มผี ลตอ่ สงิ่ มีชวี ิต ความหลากหลายทางชวี ภาพและวิวฒั นาการของส่งิ มีชวี ติ รวมทั้งนำความรู้ ไปใชป้ ระโยชน์ ตวั ชวี้ ัดช้นั ปี ป. ๑ ป. ๒ ป. ๓ ป. ๔ ป. ๕ ป. ๖ ๑. เปรยี บเทยี บ ๑. จำแนกสิ่งมีชวี ติ ๑. อธบิ ายลกั ษณะ ลักษณะของ โดยใชค้ วามเหมอื น ทางพนั ธกุ รรมที่มี สง่ิ มีชวี ติ และ และความแตกต่าง การถา่ ยทอดจาก สง่ิ ไมม่ ีชีวติ จาก ของลักษณะของ พอ่ แม่ส่ลู ูกของพชื ข้อมูลท่ีรวบรวมได้ สงิ่ มีชีวิตออกเป็น สตั ว์ และมนุษย์ กลุ่มพชื กลุ่มสตั ว์ ๒. แสดงความ และกลมุ่ ท่ไี ม่ใช่พชื อยากรอู้ ยากเห็น และสตั ว์ โดยการถาม ๒. จำแนกพืช คำถามเกย่ี วกับ ออกเป็นพชื ดอก ลกั ษณะที่ และพชื ไมม่ ีดอก คล้ายคลงึ กันของ โดยใชก้ ารมดี อกเปน็ ตนเองกับ เกณฑ์ โดยใชข้ อ้ มูล พ่อแม่ ท่รี วบรวมได้ ๓. จำแนกสตั ว์ ออกเป็นสัตวม์ ี กระดูกสันหลังและ สัตวไ์ มม่ กี ระดูกสัน หลงั โดยใช้การมี กระดกู สนั หลงั เปน็ เกณฑ์ โดยใช้ขอ้ มลู ท่ีรวบรวมได้ ๔. บรรยาย ลักษณะเฉพาะที่ สังเกตไดข้ องสัตว์ มกี ระดูกสนั หลงั ใน กล่มุ ปลา กลุ่มสตั ว์ สะเทินนำ้ สะเทนิ บก กลมุ่ สตั วเ์ ลือ้ ยคลาน กล่มุ นก และกลุ่ม สัตวเ์ ลย้ี งลูกด้วย น้ำนม และ ยกตัวอยา่ ง สง่ิ มชี วี ติ ในแตล่ ะ กลมุ่
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๓๕ สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พันธร์ ะหวา่ งสมบตั ขิ องสสารกับโครงสร้างและ แรงยึดเหนยี่ วระหวา่ งอนุภาค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการ เกิดปฏิกริ ยิ าเคมี ตัวชว้ี ัดชั้นปี ป. ๑ ป. ๒ ป. ๓ ป. ๔ ป. ๕ ป. ๖ ๑. อธบิ ายสมบัตทิ ่ี ๑. เปรยี บเทียบ ๑. อธบิ ายวา่ วัตถุ ๑. เปรยี บเทียบ ๑. อธิบายการ ๑. อธบิ ายและ สังเกตได้ของวัสดุ สมบตั ิการดดู ซับ ประกอบข้นึ จาก สมบตั ิทางกายภาพ เปลย่ี นสถานะ เปรยี บเทยี บการ ทใ่ี ชท้ ำวัตถุ นำ้ ของวสั ดุโดยใช้ ช้นิ สว่ นยอ่ ย ๆ ซึ่ง ด้านความแขง็ ของสสาร เมอ่ื ทำ แยกสารผสม ซ่ึงทำจากวสั ดุชนดิ หลกั ฐานเชงิ สามารถแยกออก สภาพยดื หยุ่น การ ใหส้ สารร้อนข้นึ โดยการหยบิ ออก เดยี วหรอื หลาย ประจกั ษ์ และระบุ จากกันได้และ นำความร้อน และ หรือเย็นลง โดย การรอ่ น การใช้ ชนดิ ประกอบกนั การนำสมบัติ ประกอบกันเปน็ การนำไฟฟ้าของ ใช้หลกั ฐาน แม่เหล็กดึงดูด โดยใชห้ ลักฐานเชิง การดดู ซบั นำ้ ของ วตั ถุชนิ้ ใหมไ่ ด้ โดย วสั ดุโดยใชห้ ลักฐาน เชงิ ประจักษ์ การรนิ ออก การ ประจกั ษ์ วัสดุไปประยุกต์ใช้ ใชห้ ลกั ฐานเชิง เชิงประจักษ์จาก ๒. อธิบายการ กรอง และการ ๒. ระบชุ นิดของ ในการทำวัตถุใน ประจักษ์ การทดลองและระบุ ละลายของสาร ตกตะกอน วัสดุและจัดกลุม่ ชวี ิตประจำวนั ๒. อธบิ ายการ การนำสมบัติเร่อื ง ในนำ้ โดยใช้ โดยใชห้ ลกั ฐานเชิง วัสดุ ๒. อธบิ ายสมบตั ิที่ เปลี่ยนแปลงของ ความแขง็ สภาพ หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ รวมท้ัง ตามสมบัติทส่ี ังเกต สงั เกตไดข้ องวัสดุ วัสดุเมอื่ ทำให้ ยืดหยุ่น การนำ ประจกั ษ์ ระบุวธิ ี ได้ ทเ่ี กิดจากการนำ รอ้ นข้ึนหรือทำให้ ความรอ้ น และการ ๓. วิเคราะห์การ แก้ปัญหาใน วัสดมุ าผสมกันโดย เย็นลง โดยใช้ นำไฟฟา้ ของวัสดไุ ป เปลี่ยนแปลงของ ชีวิตประจำวัน ใช้หลักฐานเชงิ หลักฐาน ใชใ้ นชีวติ ประจำวัน สารเมอ่ื เกดิ การ เกย่ี วกบั การแยก ประจักษ์ เชงิ ประจกั ษ์ ผ่านกระบวนการ เปล่ียนแปลงทาง สาร ๓. เปรยี บเทียบ ออกแบบช้ินงาน เคมี โดยใช้ สมบตั ทิ สี่ ังเกตได้ ๒. แลกเปลี่ยน หลักฐานเชงิ ของวัสดุ เพ่อื ความคดิ กบั ผูอ้ ่ืน ประจกั ษ์ นำมาทำเป็นวตั ถุ โดยการอภปิ ราย ๔. วิเคราะหแ์ ละ ในการใช้งานตาม เกี่ยวกับสมบตั ทิ าง ระบุการ วตั ถปุ ระสงค์ และ กายภาพของวัสดุ เปลีย่ นแปลงท่ผี ัน อธบิ ายการนำวัสดุ อยา่ งมเี หตผุ ลจาก กลบั ไดแ้ ละการ ท่ใี ชแ้ ลว้ กลับมาใช้ การทดลอง เปล่ยี นแปลงที่ผนั ใหมโ่ ดยใช้ ๓. เปรยี บเทยี บ กลับไมไ่ ด้ หลกั ฐานเชิง สมบตั ิของสสารท้งั ประจกั ษ์ ๓ สถานะ จาก ๔. ตระหนักถึง ข้อมลู ท่ีไดจ้ ากการ ประโยชนข์ องการ สังเกตมวล การ นำวัสดทุ ี่ใชแ้ ลว้ ตอ้ งการทีอ่ ยู่ รูปร่าง กลับมาใช้ใหม่ โดย และปรมิ าตรของ การนำวสั ดทุ ี่ใช้ สสาร แลว้ กลบั มา ๔. ใชเ้ คร่ืองมอื เพ่อื ใชใ้ หม่ วัดมวล และ ปรมิ าตร ของสสารทงั้ ๓ สถานะ
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๓๖ สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๒ เขา้ ใจธรรมชาติของแรงในชวี ิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถลุ ักษณะการเคลื่อนทีแ่ บบตา่ ง ๆ ของวัตถุ รวมท้งั นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วัดชัน้ ปี ป. ๑ ป. ๒ ป. ๓ ป. ๔ ป. ๕ ป. ๖ ๑. ระบผุ ลของแรง ๑. ระบผุ ลของแรง ๑. อธิบายวิธกี าร ๑. อธบิ ายการเกิด ท่ีมตี ่อการ โน้มถว่ งท่มี ตี ่อวัตถุ หาแรงลัพธข์ อง และผลของแรง เปลย่ี นแปลง จากหลักฐานเชงิ แรงหลายแรงใน ไฟฟา้ ซ่ึงเกิดจาก การเคล่ือนทข่ี อง ประจกั ษ์ แนวเดยี วกนั ที่ วตั ถุทผี่ ่านการขดั ถู วัตถุจากหลักฐาน ๒. ใชเ้ คร่อื งชง่ั กระทำตอ่ วตั ถใุ น โดยใช้หลักฐานเชิง เชิงประจักษ์ สปรงิ ในการวัด กรณีทีว่ ัตถุอยูน่ ิ่ง ประจกั ษ์ ๒. เปรยี บเทียบ นำ้ หนกั ของวตั ถุ จากหลกั ฐานเชงิ และยกตัวอยา่ ง ๓. บรรยายมวล ประจกั ษ์ แรงสัมผัสและ ของวัตถทุ ี่มผี ลตอ่ ๒. เขยี นแผนภาพ แรงไมส่ มั ผสั ท่มี ผี ล การเปลยี่ นแปลง แสดงแรงท่ีกระทำ ตอ่ การเคล่ือนที่ การเคล่อื นท่ีของ ตอ่ วตั ถทุ ่อี ยู่ใน ของวตั ถุ วตั ถจุ ากหลกั ฐาน แนวเดียวกนั และ โดยใช้หลกั ฐานเชงิ เชงิ ประจกั ษ์ แรงลพั ธท์ ก่ี ระทำ ประจักษ์ ต่อวตั ถุ ๓. จำแนกวตั ถุโดย ๓. ใช้เคร่ืองชัง่ ใชก้ ารดึงดดู กบั สปรงิ ในการวดั แรง แมเ่ หลก็ ทก่ี ระทำตอ่ วตั ถุ เป็นเกณฑ์จาก ๔. ระบผุ ลของแรง หลักฐานเชงิ เสยี ดทานทม่ี ีตอ่ ประจักษ์ การเปลย่ี นแปลง ๔. ระบุขัว้ แม่เหลก็ การเคล่ือนท่ีของ และพยากรณผ์ ลท่ี วัตถุจากหลักฐาน เกดิ ขึน้ ระหวา่ ง เชงิ ประจกั ษ์ ข้วั แมเ่ หล็กเม่ือ ๕. เขียนแผนภาพ นำมาเข้าใกล้กนั แสดงแรงเสียด จากหลกั ฐานเชิง ทานและแรง ประจกั ษ์ ทีอ่ ยูใ่ นแนว เดยี วกนั ทกี่ ระทำ ตอ่ วตั ถุ
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๓๗ สาระท่ี ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๓ เขา้ ใจความหมายของพลงั งาน การเปลย่ี นแปลงและการถา่ ยโอนพลังงาน ปฏสิ ัมพนั ธ์ระหวา่ งสสารและ พลงั งาน พลงั งานในชวี ติ ประจำวนั ธรรมชาติของคลนื่ ปรากฏการณท์ เ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เสียง แสง และคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้า รวมทัง้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ตัวชว้ี ัดชนั้ ปี ป. ๑ ป. ๒ ป. ๓ ป. ๔ ป. ๕ ป. ๖ ๑. บรรยายการ ๑. บรรยายแนว ๑. ยกตวั อย่างการ ๑. จำแนกวตั ถเุ ป็น ๑. อธิบายการได้ ๑. ระบุ เกิดเสยี งและทศิ การเคล่ือนทข่ี อง เปล่ยี นพลังงาน ตัวกลางโปรง่ ใส ยินเสียงผ่าน ส่วนประกอบและ ทางการเคล่ือนที่ แสงจาก หนง่ึ ไปเปน็ อีก ตวั กลางโปร่งแสง ตวั กลางจาก บรรยายหน้าท่ีของ ของเสียงจาก แหลง่ กำเนิดแสง พลงั งานหน่ึงจาก และวตั ถทุ ึบแสง หลกั ฐานเชงิ แต่ละ หลกั ฐานเชงิ และอธบิ ายการ หลักฐานเชงิ จากลกั ษณะ ประจกั ษ์ สว่ นประกอบของ ประจักษ์ มองเหน็ วัตถุ ประจกั ษ์ การมองเหน็ สงิ่ ต่าง ๒. ระบตุ วั แปร วงจรไฟฟา้ อยา่ ง จากหลกั ฐานเชงิ ๒. บรรยายการ ๆ ผา่ นวตั ถุน้ันเป็น ทดลอง และ ง่ายจาก ประจักษ์ ทำงานของเคร่ือง เกณฑ์โดยใช้ อธิบายลกั ษณะ หลักฐานเชงิ ๒. ตระหนักใน กำเนิดไฟฟา้ และ หลกั ฐานเชงิ และการเกิดเสียง ประจักษ์ คณุ คา่ ของความรู้ ระบุแหลง่ พลังงาน ประจักษ์ สงู เสียงตำ่ ๒. เขยี นแผนภาพ ของการมองเหน็ ในการผลติ ไฟฟ้า ๓. ออกแบบการ และตอ่ วงจรไฟฟา้ โดยเสนอแนะแนว จากขอ้ มลู ที่ ทดลองและอธบิ าย อยา่ งงา่ ย ทางการป้องกัน รวบรวมได้ ลกั ษณะและการ ๓. ออกแบบการ อนั ตราย ๓. ตระหนักใน เกดิ เสียงดงั เสยี ง ทดลองและ จากการมองวัตถุท่ี ประโยชน์และโทษ ค่อย ทดลองด้วยวธิ ีท่ี อย่ใู นบรเิ วณทมี่ ี ของไฟฟ้า โดย ๔. วัดระดบั เสยี ง เหมาะสมในการ แสงสว่าง นำเสนอวิธกี ารใช้ โดยใช้เครือ่ งมอื วดั อธบิ ายวธิ ีการและ ไม่เหมาะสม ไฟฟา้ อย่าง ระดับเสียง ผลของ ประหยดั และ ๕. ตระหนักใน การตอ่ เซลลไ์ ฟฟ้า ปลอดภยั คณุ คา่ ของความรู้ แบบอนุกรม เรอื่ งระดบั เสยี ง ๔. ตระหนักถงึ โดยเสนอแนะ ประโยชน์ของ แนวทางในการ ความรขู้ องการต่อ หลีกเลี่ยงและลด เซลลไ์ ฟฟ้าแบบ มลพษิ ทางเสียง อนุกรมโดยบอก ประโยชน์และการ ประยกุ ตใ์ ช้ใน ชีวติ ประจำวนั ๕. ออกแบบการ ทดลองและ ทดลองด้วยวธิ ที ่ี เหมาะสมในการ อธิบายการตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมและ แบบขนาน
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๓๘ ตวั ชีว้ ดั ชนั้ ปี ป. ๑ ป. ๒ ป. ๓ ป. ๔ ป. ๕ ป. ๖ ๖. ตระหนกั ถงึ ประโยชนข์ อง ความรูข้ องการต่อ หลอดไฟฟ้าแบบ อนกุ รมและแบบ ขนาน โดยบอก ประโยชน์ ข้อจำกดั และการ ประยกุ ต์ใช้ ใน ชีวิตประจำวนั ๗. อธบิ ายการเกดิ เงามดื เงามวั จาก หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ๘. เขียนแผนภาพ รังสขี องแสงแสดง การเกดิ เงามดื เงามวั
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๓๙ สาระท่ี ๓ วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกดิ และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแลก็ ซี ดาวฤกษ์ และ ระบบสรุ ิยะ รวมท้งั ปฏสิ มั พนั ธภ์ ายในระบบสรุ ยิ ะ ที่ส่งผลต่อสง่ิ มชี ีวิต และการประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยอี วกาศ ตวั ชี้วัดชั้นปี ป. ๑ ป. ๒ ป. ๓ ป. ๔ ป. ๕ ป. ๖ ๑. ระบดุ าวท่ี ๑. อธิบายแบบรปู ๑. อธบิ ายแบบรูป ๑. เปรยี บเทียบ ๑. สรา้ ง ปรากฏบนทอ้ งฟ้า เส้นทางการขน้ึ เสน้ ทางการขึ้น ความแตกต่างของ แบบจำลองที่ ในเวลากลางวัน และตก ของ และตก ดาวเคราะห์ อธบิ ายการเกดิ และกลางคนื จาก ดวงอาทติ ย์โดยใช้ ของดวงจนั ทร์ โดย และดาวฤกษ์จาก และ ข้อมูลทรี่ วบรวมได้ หลักฐานเชงิ ใชห้ ลักฐานเชงิ แบบจำลอง เปรยี บเทยี บ ๒. อธบิ ายสาเหตทุ ี่ ประจักษ์ ประจกั ษ์ ๒. ใชแ้ ผนทีด่ าว ปรากฏการณ์ มองไมเ่ หน็ ดาว ๒. อธบิ ายสาเหตุ ๒. สรา้ ง ระบุตำแหน่งและ สรุ ิยปุ ราคา ส่วนใหญ่ การเกดิ แบบจำลองท่ี เส้นทางการขึน้ และจันทรุปราคา ในเวลากลางวนั ปรากฏการณ์การ อธิบายแบบรูป และตกของกลมุ่ ๒. อธิบาย จากหลกั ฐานเชงิ ข้นึ การเปลย่ี นแปลง ดาวฤกษ์บน พัฒนาการของ ประจักษ์ และตกของดวง รูปรา่ งปรากฏของ ท้องฟา้ และ เทคโนโลยอี วกาศ อาทิตย์ การเกดิ ดวงจนั ทร์ และ อธบิ ายแบบรูป และ กลางวนั กลางคนื พยากรณร์ ปู รา่ ง เส้นทางการขน้ึ ยกตัวอยา่ งการนำ และการกำหนด ปรากฏของดวง และตกของกลมุ่ เทคโนโลยีอวกาศ ทิศ โดยใช้ จันทร์ ดาวฤกษบ์ น มาใชป้ ระโยชน์ใน แบบจำลอง ๓. สรา้ ง ท้องฟา้ ในรอบปี ชวี ติ ประจำวนั ๓. ตระหนักถึง แบบจำลองแสดง จากขอ้ มลู ท่ี ความสำคญั ของ องค์ประกอบของ รวบรวมได้ ดวงอาทติ ย์ โดย ระบบสรุ ิยะ และ บรรยายประโยชน์ อธิบาย ของดวงอาทติ ยต์ อ่ เปรยี บเทยี บคาบ สิง่ มีชวี ิต การโคจร ของดาวเคราะห์ ตา่ ง ๆ จาก แบบจำลอง
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๔๐ สาระที่ ๓ วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสมั พนั ธข์ องระบบโลก กระบวนการเปลยี่ นแปลงภายในโลกและบนผวิ โลก ธรณีพบิ ตั ภิ ยั กระบวนการเปลย่ี นแปลง ลมฟา้ อากาศและภมู อิ ากาศโลก รวมทง้ั ผลต่อสิ่งมชี ีวิตและสงิ่ แวดลอ้ ม ตวั ชีว้ ัดชน้ั ปี ป. ๑ ป. ๒ ป. ๓ ป. ๔ ป. ๕ ป. ๖ ๑. อธิบาย ๑. ระบุ ๑. ระบุ ๑. เปรยี บเทยี บ ๑. เปรยี บเทียบ ลักษณะ ส่วนประกอบของ สว่ นประกอบของ ปรมิ าณนำ้ ในแต่ กระบวนการเกดิ ๒. ภายนอ ดนิ และจำแนก อากาศ บรรยาย ละแหล่ง และระบุ หินอคั นี หนิ กของหิน ชนิดของดินโดยใช้ ความสำคญั ของ ปริมาณนำ้ ท่มี นุษย์ ตะกอน และหนิ จาก ลกั ษณะเนือ้ ดนิ อากาศ และ สามารถนำมาใช้ แปร และ ลักษณะ และการจบั ตวั เป็น ผลกระทบของ ประโยชนไ์ ด้ จาก อธิบายวฏั จักรหิน เฉพาะ เกณฑ์ มลพิษทางอากาศ ข้อมูลที่รวบรวมได้ จากแบบจำลอง ตวั ท่ี ๒. อธบิ ายการใช้ ต่อส่งิ มชี ีวติ จาก ๒. ตระหนักถึง ๒. บรรยายและ สงั เกตได้ ประโยชน์จากดนิ ข้อมูลทีร่ วบรวมได้ คุณคา่ ของนำ้ โดย ยกตวั อย่างการใช้ จากขอ้ มูล ๒. ตระหนกั ถงึ นำเสนอแนว ประโยชน์ของหิน ท่รี วบรวมได้ ความสำคญั ของ ทางการใช้น้ำอย่าง และแร่ใน อากาศ โดย ประหยดั และการ ชีวติ ประจำวนั จาก นำเสนอแนว อนรุ กั ษ์น้ำ ข้อมลู ทร่ี วบรวมได้ ทางการปฏบิ ัติตน ๓. สรา้ ง ๓. สรา้ ง ในการลดการเกดิ แบบจำลองที่ แบบจำลองที่ มลพิษทางอากาศ อธบิ ายการ อธิบายการเกดิ ๓. อธิบายการเกดิ หมุนเวียนของนำ้ ซากดกึ ดำบรรพ์ ลมจากหลกั ฐาน ในวฏั จกั รน้ำ และคาดคะเน เชิงประจกั ษ์ ๔. เปรยี บเทยี บ สภาพแวดล้อมใน ๔. บรรยาย กระบวนการเกดิ อดตี ของซากดกึ ดำ ประโยชน์และโทษ เมฆ หมอก นำ้ คา้ ง บรรพ์ ของลม จากขอ้ มูล และนำ้ คา้ งแขง็ ๔. เปรยี บเทยี บ ที่รวบรวมได้ จากแบบจำลอง การเกิดลมบก ลม ๕. เปรยี บเทยี บ ทะเล และมรสุม กระบวนการเกดิ รวมท้ังอธิบายผลท่ี ฝน หมิ ะ และ มตี อ่ ส่งิ มชี วี ิตและ ลูกเห็บ จากขอ้ มลู ส่งิ แวดลอ้ ม จาก ท่ีรวบรวมได้ แบบจำลอง ๕. อธบิ ายผลของ มรสมุ ตอ่ การเกิด ฤดูของประเทศ ไทย จากขอ้ มูลท่ี รวบรวมได้
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๔๑ ตัวช้ีวดั ชั้นปี ป. ๑ ป. ๒ ป. ๓ ป. ๔ ป. ๕ ป. ๖ ๖. บรรยายลกั ษณะและ ผลกระทบของน้ำทว่ ม การกดั เซาะชายฝง่ั ดิน ถล่ม แผน่ ดนิ ไหว สนึ ามิ ๗. ตระหนักถึง ผลกระทบของภยั ธรรมชาติและธรณพี บิ ตั ิ ภัย โดยนำเสนอ แนวทางในการ เฝา้ ระวงั และปฏบิ ตั ติ น ให้ปลอดภัยจากภัย ธรรมชาติและธรณีพิบตั ิ ภัยที่อาจเกดิ ในทอ้ งถน่ิ ๘. สรา้ งแบบจำลองท่ี อธบิ ายการเกิด ปรากฏการณ์เรอื น กระจก และผลของ ปรากฏการณ์เรือน กระจกต่อสิ่งมีชวี ิต ๙. ตระหนักถงึ ผลกระทบของ ปรากฏการณ์เรือน กระจก โดยนำเสนอแนว ทางการปฏบิ ตั ิตนเพื่อ ลดกจิ กรรมทีก่ อ่ ใหเ้ กดิ แก๊สเรือนกระจก
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๔๒ สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑ เขา้ ใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยเี พอื่ การดำรงชวี ติ ในสงั คมทีม่ กี ารเปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเร็ว ใช้ความรู้ และทักษะทางด้านวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตรอ์ น่ื ๆ เพ่ือแกป้ ัญหาหรอื พฒั นางานอยา่ งมคี วามคดิ สรา้ งสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม เลือกใชเ้ ทคโนโลยอี ย่างเหมาะสมโดยคำนงึ ถึงผลกระทบตอ่ ชวี ติ สงั คม และ ส่ิงแวดล้อม ตวั ชวี้ ัดชั้นปี ป. ๑ ป. ๒ ป. ๓ ป. ๔ ป. ๕ ป. ๖ ------
ห ลั ก สู ต ร ส ถ า น ศึ ก ษ า โ ร ง เ รี ย น บ้ า น เ ข า เ ที ย ม ป่ า . . . ห น ้ า |๔๓ สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคดิ เชงิ คำนวณในการแก้ปญั หาที่พบในชีวติ จรงิ อยา่ งเปน็ ขนั้ ตอนและเปน็ ระบบ ใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทำงาน และการแก้ปญั หาได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ รู้เทา่ ทัน และมี จริยธรรม ตัวช้วี ดั ชัน้ ปี ป. ๑ ป. ๒ ป. ๓ ป. ๔ ป. ๕ ป. ๖ ๑. แกป้ ญั หาอยา่ ง ๑. แสดงลำดับ ๑. แสดง ๑. ใช้เหตุผลเชิง ๑. ใช้เหตุผลเชงิ ๑. ใชเ้ หตผุ ลเชงิ ง่ายโดยใชก้ ารลอง ขั้นตอนการ อลั กอรทิ มึ ใน ตรรกะในการ ตรรกะในการ ตรรกะในการ ผิดลองถกู การ ทำงานหรือการ การทำงานหรือ แก้ปญั หา การ แก้ปญั หา การอธิบาย อธิบายและ เปรยี บเทยี บ แกป้ ญั หาอย่าง การแก้ปญั หา อธิบายการทำงาน การทำงาน การ ออกแบบวธิ ีการ ๒. แสดงลำดบั งา่ ยโดยใช้ภาพ อย่างงา่ ยโดยใช้ การคาดการณ์ คาดการณผ์ ลลพั ธ์ แกป้ ัญหาท่ีพบใน ข้ันตอนการทำงาน สัญลกั ษณ์ หรือ ภาพ สัญลกั ษณ์ ผลลัพธ์ จาก จากปัญหาอยา่ งงา่ ย ชวี ิตประจำวนั หรือการแกป้ ัญหา ขอ้ ความ หรอื ขอ้ ความ ปัญหาอยา่ งง่าย ๒. ออกแบบ และ ๒. ออกแบบและ อยา่ งงา่ ยโดยใช้ ๒. เขยี น ๒. เขยี น ๒. ออกแบบ และ เขียนโปรแกรมท่มี ีการ เขยี นโปรแกรม ภาพ สัญลกั ษณ์ โปรแกรมอยา่ ง โปรแกรมอย่าง เขียนโปรแกรม ใช้เหตผุ ลเชิงตรรกะ อย่างงา่ ย เพอ่ื หรอื ขอ้ ความ งา่ ย โดยใช้ ง่าย โดยใช้ อย่างงา่ ย โดยใช้ อย่างงา่ ย ตรวจหา แกป้ ญั หาใน ๓. เขียนโปรแกรม ซอฟตแ์ วร์ ซอฟต์แวร์ ซอฟตแ์ วร์หรือสือ่ ขอ้ ผิดพลาด ชวี ิตประจำวัน อย่างงา่ ย โดยใช้ หรอื สือ่ และ หรอื ส่อื และ และตรวจหา และแกไ้ ข ตรวจหา ซอฟตแ์ วร์ ตรวจหา ตรวจหา ข้อผิดพลาด ๓. ใชอ้ ินเทอรเ์ น็ต ขอ้ ผิดพลาดของ หรือสอ่ื ข้อผดิ พลาดของ ข้อผดิ พลาดของ และแกไ้ ข คน้ หาขอ้ มลู โปรแกรมและ ๔. ใชเ้ ทคโนโลยใี น โปรแกรม โปรแกรม ๓. ใช้อินเทอร์เน็ต ตดิ ต่อสื่อสาร แกไ้ ข การสรา้ ง จัดเก็บ ๓. ใชเ้ ทคโนโลยี ๓. ใช้ คน้ หาความรู้ และ และทำงานร่วมกนั ๓. ใช้อนิ เทอร์เนต็ เรียกใชข้ ้อมลู ตาม ในการสรา้ ง จดั อินเทอร์เนต็ ประเมนิ ประเมินความ ในการคน้ หาขอ้ มลู วตั ถุประสงค์ หมวดหมู่ คน้ หา คน้ หาความรู้ ความนา่ เชอ่ื ถอื นา่ เชอื่ ถอื อย่างมี ๕. ใช้เทคโนโลยี จดั เก็บ เรยี กใช้ ๔. รวบรวม ของขอ้ มลู ของข้อมลู ประสิทธภิ าพ สารสนเทศอย่าง ข้อมูลตาม ประมวลผล ๔. รวบรวม ๔. รวบรวม ประเมนิ ๔. ใชเ้ ทคโนโลยี ปลอดภยั ปฏิบตั ิ วัตถปุ ระสงค์ และนำเสนอ ประเมิน นำเสนอ นำเสนอข้อมลู และ สารสนเทศทำงาน ตามขอ้ ตกลงใน ๔. ใช้เทคโนโลยี ขอ้ มลู โดยใช้ ขอ้ มลู และ สารสนเทศ ตาม ร่วมกนั อยา่ ง การใช้ สารสนเทศ ซอฟต์แวร์ตาม สารสนเทศ โดยใช้ วตั ถปุ ระสงคโ์ ดยใช้ ปลอดภยั เข้าใจ คอมพวิ เตอร์ อย่างปลอดภัย วตั ถุประสงค์ ซอฟตแ์ วร์ที่ ซอฟต์แวรห์ รอื บรกิ าร สทิ ธิและหนา้ ท่ี รว่ มกนั ดูแลรกั ษา ปฏิบตั ติ าม ๕. ใชเ้ ทคโนโลยี หลากหลาย เพือ่ บนอนิ เทอร์เนต็ ที่ ของตน เคารพใน อปุ กรณ์เบื้องต้น ขอ้ ตกลงในการ สารสนเทศอยา่ ง แกป้ ญั หา หลากหลาย เพือ่ สิทธิของผอู้ ่ืน แจง้ ใชง้ านอยา่ ง ใช้คอมพวิ เตอร์ ปลอดภยั ปฏิบตั ิ ในชวี ติ ประจำวัน แกป้ ัญหา ผูเ้ ก่ยี วข้องเมือ่ พบ เหมาะสม รว่ มกัน ดูแล ตามข้อตกลงใน ๕. ใชเ้ ทคโนโลยี ในชีวิตประจำวนั ข้อมลู หรอื บุคคลที่ รักษาอปุ กรณ์ การใช้ สารสนเทศอยา่ ง ๕. ใชเ้ ทคโนโลยี ไมเ่ หมาะสม เบอ้ื งตน้ ใช้งาน อนิ เทอรเ์ น็ต ปลอดภยั เข้าใจ สารสนเทศอยา่ ง อย่างเหมาะสม สทิ ธแิ ละหนา้ ท่ี ปลอดภัย มีมารยาท ของตน เคารพใน เขา้ ใจสิทธแิ ละหนา้ ท่ี สิทธขิ องผูอ้ นื่ แจง้ ของตน เคารพในสิทธิ ผูเ้ ก่ยี วขอ้ งเมื่อพบ ของผอู้ ่นื แจ้ง ข้อมลู หรือบคุ คลท่ี ผู้เก่ียวข้องเมื่อพบ ไม่เหมาะสม ขอ้ มลู หรือบคุ คล ท่ีไม่เหมาะสม
ตัวช้วี ัดสาระการเรียนรแู้ กนกล ชั้นประถมศ สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสมั พันธร์ ระบบนเิ วศ การถา่ ยทอดพลังงาน การเปลย่ี นแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายขอ ในการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปญั หาสง่ิ แวดลอ้ มรวมทง้ั นำความรู้ไปใ รหัสตวั ช้ีวดั ตวั ชี้วัด ว ๑.๑ ป ๑/๑ ๑. ระบชุ ่อื พชื และสตั ว์ที่อาศัยอยบู่ รเิ วณตา่ ง ๆ -บริเวณต จากข้อมูลทีร่ วบรวมได้ ตน้ ไม้ สวน ว ๑.๑ ป ๑/๒ ๒. บอกสภาพแวดล้อมทเ่ี หมาะสมกับการ หลายชนิด -บริเวณท ดำรงชวี ติ ของสตั ว์ในบรเิ วณที่อาศยั อยู่ แตกต่างก บริเวณจะ ของพืชแล เช่น สระน สาหร่าย เ หอยและป เป็นแหล่ง และมด - ถ้าสภาพ อาศัยอยู่ ดำรงชีวติ ข
๒๖ ลางและสาระการเรียนรทู้ อ้ งถนิ่ ศกึ ษาปีท่ี ๑ ระหว่างส่ิงไม่มชี วี ิตกับสิง่ มชี วี ติ และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสง่ิ มีชวี ติ กับสิ่งมีชีวิตต่างๆ ใน องประชากรปญั หาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทาง ใชป้ ระโยชน์ สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระการเรยี นรทู้ อ้ งถิ่น ต่าง ๆ ในท้องถิ่น เช่น สนามหญ้า ใต้ -สำรวจ สังเกต และรวบรวมพืช และสัตว์ที่พบ นหย่อม แหลง่ นำ้ อาจพบพชื และสัตว์ บริเวณโรงเรียนวดั บางหญา้ แพรก ดอาศัยอยู่ -ตรวจสอบ และระบสุ ิ่งมชี ีวติ ทพ่ี บบริเวณ ที่แตกต่างกันอาจพบพืชและสัตว์ โรงเรียนวัดบางหญ้าแพรก กัน เพราะสภาพแวดล้อมของแต่ละ -ระบุปัญหา เสนอแนวทางในการแก้ไข และ ะมี ความเหมาะสมต่อการดำรงชีวิต อนุรักษ์สภาพแวดลอ้ ม ละสัตว์ ที่อาศัยอยู่ในแต่ละบริเวณ น้ำ มีน้ำเป็นที่อยู่ อาศัยของหอย ปลา เป็นที่หลบภัยและมี แหล่งอาหารของ ปลา บริเวณต้นมะม่วงมี ต้นมะม่วง งที่อยู่ และมีอาหารสำหรับกระรอก พแวดล้อมในบริเวณที่พืชและสัตว์ มีการเปลี่ยนแปลง จะมีผลต่อการ ของพชื และสตั ว์
สาระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๒ เขา้ ใจสมบัตขิ องสิ่งมชี วี ติ หนว่ ยพ้นื ฐานของสง่ิ มีชีวติ ก สตั วแ์ ละมนุษยท์ ่ีทางานสัมพันธก์ นั ความสมั พันธข์ องโครงสร้าง และหนา้ ท่ขี องอวยั วะต รหสั ตัวชี้วดั ตัวชี้วัด ว ๑.๒ ป ๑/๑ ๑. ระบชุ อ่ื บรรยายลกั ษณะและบอกหน้าท่ี - มนุษย์ม ของส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกายมนษุ ย์ สัตว์ และ แตกต่างก พชื รวมท้งั บรรยายการทำหน้าที่รว่ มกัน ของ เช่น ตามีห ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ในการทำ ตาเพื่อป้อ กจิ กรรมต่าง ๆ จากข้อมลู ทร่ี วบรวมได้ ฟังเสียง โด เสียง ปาก มรี มิ ฝปี าก จับ มีท่อน หน้าที่ควบ ร่างกาย เป ต่าง ๆ ขอ ทำกจิ กรร - สัตว์มีหล ลักษณะแ เหมาะสม แผ่น ส่วน สำหรบั ใช
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254