Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตรการพัฒนาศักยภาพด้านการสอนสําหรับพยาบาลพี่เลี้ยง

เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตรการพัฒนาศักยภาพด้านการสอนสําหรับพยาบาลพี่เลี้ยง

Description: เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตรการพัฒนาศักยภาพด้านการสอนสําหรับพยาบาลพี่เลี้ยง วันที่ 30 พฤษภาคม - 4 มิถุนายน 2564

Search

Read the Text Version

ทฤษฎกี ารเรยี นรขู ้ องเลวนิ นาไปใชใ้ นการเรยี นการสอน 1.ผสู ้ อนใชว้ ธิ กี ลมุ่ สมั พันธก์ บั ผเู ้ รยี นจะไดเ้ กดิ การเรยี นรู ้ ดว้ ยความเขา้ ใจ 2.ผสู ้ อนมงุ่ เนน้ การสอนแบบใหผ้ เู ้ รยี นเป็ นศนู ยก์ ลาง 3.ผสู ้ อนใหผ้ เู ้ รยี นตงั้ เป้าหมายในชวี ติ เป้าหมายในแตล่ ะ วชิ า แตล่ ะบทเรยี น 4.ผสู ้ อนใชว้ ธิ กี ารจงู ใจเพอ่ื กระตนุ ้ ใหผ้ เู ้ รยี นตอบสนองตอ่ บทเรยี น 5.ผสู ้ อนฝึกใหผ้ เู ้ รยี นรจู ้ ักแกป้ ัญหาในตวั อยา่ งทง่ี า่ ยและ เพม่ิ ความยากขนึ้ ตามลาดบั

ทฤษฎกี ารเรยี นรขู ้ องทอลแมน นาไปใชใ้ นการเรยี นการสอน 1.ผสู ้ อนจัดการเรยี นการสอนใหผ้ เู ้ รยี นไดม้ สี ว่ นรว่ มในการคดิ เปิดโอกาสใหพ้ ดู และแสดงความคดิ เห็น 2.ผสู ้ อนจดั แบง่ ผเู ้ รยี นเป็ นกลมุ่ เล็กมอบงานหรอื กจิ กรรมให ้ ทกุ กลมุ่ ใหส้ มาชกิ ทกุ คนมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมการเรยี น เพอ่ื สง่ เสรมิ การคดิ เป็ น ทาเป็ น และแกป้ ัญหาเป็ น 3.ผสู ้ อนใหผ้ เู ้ รยี นอภปิ รายในชนั้ เรยี น หรอื ใชก้ จิ กรรมกลมุ่ สมั พันธ์ เพอื่ ใหผ้ เู ้ รยี นมปี ฏสิ มั พันธก์ บั ผกู ้ บั เพอ่ื น เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจ บทเรยี นยงิ่ ขนึ้

การจดั การเรยี นรู้ 1. ผเู ้ รยี นแตล่ ะคนเป็ นมนุษย์ 2. ใหค้ วามเมตตาจรงิ ใจตอ่ ผเู ้ รยี นทกุ คน 3. ชว่ ยใหผ้ เู ้ รยี นเกดิ ความรักและภมู ใิ จในตนเอง รจู ้ ักปรับตวั ไดท้ กุ ทที่ กุ เวลา 4. จัดใหผ้ เู ้ รยี นแตล่ ะคนไดม้ โี อกาสเลอื กเรยี นตามความถนัด และความสนใจของตนเอง 5. จัดบทเรยี นใหส้ นุก จงู ใจใหต้ ดิ ตาม และเรา้ ใจใหผ้ เู ้ รยี น อยากคน้ หาความรเู ้ พมิ่ เตมิ 6 จัดใหผ้ เู ้ รยี นเรยี นรใู ้ นสงิ่ ทส่ี ามารถนาไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั

การเลอื กรปู แบบการเรยี นรู้ ผเู้ รยี น นาความรคู้ วามเขา้ ใจ ไปใชไ้ ด้ มเี จตคตทิ ด่ี ถี กู ตอ้ ง เกดิ ทกั ษะ -การแสวงหาความรู ้ -การแกป้ ัญหา -การแสดงออกทางสงั คม นาความรู้ เจตคติ และทกั ษะไปใช้

การนาหลกั การเรยี นรไู้ ปใชใ้ นการเรยี นการสอน 1.การนามาใชป้ รบั พฤตกิ รรม เชน่ • การขเ้ี กยี จทางาน ไมส่ ง่ งาน • การมาเรยี นสาย เขา้ หอ้ งเรยี นสาย • การขาดเรยี นบอ่ ย ใหพ้ ฤตกิ รรมทไี่ มพ่ งึ ปรารถนามาเป็ นพฤตกิ รรมทพ่ี งึ ปรารถนา ขอ้ ควรระวงั !! อยา่ ใชซ้ า้ และอยา่ ใชว้ ธิ กี ารเดยี วตลอด เพราะจะทาใหเ้ กดิ ความจาเจ

การนาหลกั การเรยี นรไู้ ปใชใ้ นการเรยี นการสอน 2.ทฤษฎกี ารวางเงอื่ นไขดว้ ยการกระทา - การเสรมิ แรงเป็ นครัง้ คราว เมอื่ ตอ้ งการใหผ้ เู ้ รยี นเกดิ การเรยี นรตู ้ อ่ ไปเรอ่ื ยๆ วธิ นี เ้ี หมาะกบั การใชก้ บั เด็กโต - ใชบ้ ทเรยี นสาเร็จรปู โดยมจี ดุ ประสงคใ์ หผ้ เู ้ รยี นไดร้ ับ การเสรมิ แรงทนั ทที แี่ สดงพฤตกิ รรมทถ่ี กู ตอ้ ง

นาหลกั การเรยี นรไู้ ปใชใ้ นการเรยี นการสอน • 3.ทฤษฎกี ารเชอื่ มโยงของธอรน์ ไดค์ การนากฎแหง่ ความพรอ้ มมาใชก้ อ่ นทจี่ ะมกี ารเรยี นการ สอนเกดิ ขนึ้ ตอ้ งสารวจดกู อ่ นวา่ -ผเู ้ รยี นมคี วามพรอ้ มทจ่ี ะเรยี นทงั้ ทางรา่ งกายและจติ ใจ หรอื ยงั -ถา้ ยังไมพ่ รอ้ ม ตอ้ งเตรยี มความพรอ้ มดว้ ยการนาเขา้ สู่ บทเรยี นกอ่ นแลว้ จงึ จะเรมิ่ สอน

ทกั ษะผสู้ อนเพอ่ื ผเู้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 • ยดึ หลกั สอนนอ้ ยเรยี นมาก • ไมส่ อนลงรายละเอยี ดใหเ้ รยี นรเู ้ อง • เนน้ ลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ โดยการลงมอื ทา หนา้ ทคี่ รคู อื สรา้ งนสิ ยั รักเรยี นซงึ่ สาคญั กวา่ การรเู ้ นอ้ื หาวชิ า ชยพล ศรวี ลั ลภ. http://chayaphon2087.blogspot.com/2014/09/21.html.2559.

การปฏริ ปู กระบวนการเรยี นรู้ การเรยี นแบบเดมิ ครู บอก จา ผเู้ รยี น ความรจู้ าก ทค่ี รบู อก

การเรยี นแบบใหม:่ การเรยี นเพอื่ สรา้ ง องคค์ วามรใู้ หม่ ความอยากรู้ ผเู้ รยี น นาไปสู่ การสรา้ งความรู้ อยากเห็น ใหมด่ ว้ ยตนเอง ความรแู้ ละ ประสบการณเ์ ดมิ กจิ กรรมการเรยี น การสอน

บทบาทของครใู นศตวรรษที่ 21 เป็ นผอู้ านวยความสะดวก Facilitator เป็ นผแู้ นะแนวทาง เป็ นผรู้ ว่ มเรยี นร/ู้ รว่ มศกึ ษา Guide/Coach Co-learner/Co-investigator

บทบาทของครผู สู้ อน ลกั ษณะการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ครสู มยั ใหม่ ครสู มยั เกา่ สอนผเู ้ รยี นโดยวธิ บี รู ณาการ สอนแยกเนอื้ หาวชิ า เนอ้ื หาวชิ า แสดงบทบาทในฐานะผแู้ นะนา มบี ทบาทในฐานะตวั แทนของ (Guide) ประสบการณท์ างการ เนอื้ หาวชิ า(Knowledge) ศกึ ษา ละเลย เฉยเมยตอ่ บทบาทผเู ้ รยี น กระตอื รอื รน้ ในบทบาท ความรสู ้ กึ ของผเู ้ รยี น

บทบาทของครผู สู้ อน ลกั ษณะการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ครสู มยั ใหม่ ครสู มยั เกา่ ใหผ้ เู ้ รยี นมสี ว่ นรว่ มในการวาง ผเู ้ รยี นไมม่ สี ว่ นรว่ มแมแ้ ตจ่ ะพดู แผนการเรยี นการสอน เกยี่ วกบั การเรยี นการสอน ใชเ้ ทคนคิ การคน้ พบดว้ ยตนเอง ใชเ้ ทคนคิ การเรยี นโดยใชก้ ารจา ของผเู ้ รยี นเป็ นกจิ กรรมหลกั เป็ นหลกั เสรมิ แรงหรอื ใหร้ างวลั มากกวา่ มงุ่ เนน้ การใหร้ างวลั ภายนอก เชน่ การลงโทษ โดยใชแ้ รงจงู ใจภายใน ใหเ้ กรด แรงจงู ใจภายนอก

แนวคดิ รว่ มสมยั ในการจดั การเรยี นการสอนภาคปฏบิ ตั ิ

แนวคดิ สาคญั ทคี่ วรรู้ - ความรเู ้ กยี่ วกบั โลก - ความรดู ้ า้ นการเงนิ เศรษฐศาสตร์ ธรุ กจิ และการเป็ นผปู ้ ระกอบการ - ความรดู ้ า้ นการเป็ นพลเมอื งทดี่ ี - ความรดู ้ า้ นสขุ ภาพ - ความรดู ้ า้ นสงิ่ แวดลอ้ ม

ความหมายการประกอบ วชิ าชพี การพยาบาล การปฏบิ ตั หิ นา้ ทกี่ ารพยาบาลตอ่ บคุ คล ครอบครวั และชมุ ชน ❖สอน แนะนา ใหค้ าปรกึ ษาและแกป้ ัญหาสขุ ภาพอนามยั ❖กระทาตอ่ รา่ งกายและจติ ใจของมนุษย์ รวมทงั้ จัดสภาพแวดลอ้ ม เพอ่ื แกป้ ัญหาความเจ็บป่ วยและฟื้นฟสู ขุ ภาพ ❖กระทาตามวธิ กี ารรักษาโรคเบอื้ งตน้ และการใหภ้ มู คิ มุ ้ กนั โรค ❖การชว่ ยเหลอื แพทยใ์ นการรักษาโรค อาศยั หลกั วทิ ยาศาสตรแ์ ละศลิ ปะทางการพยาบาล ในการ ประเมนิ ภาวะสขุ ภาพ วนิ จิ ฉยั ปญั หา วางแผน ปฏบิ ตั ิ และ ประเมนิ ผล (สภาการพยาบาล, 2553; สภาการพยาบาล, 2554; แสงทอง ธรี ะทองคา, 2556)

การจดั การเรยี นการสอนหลกั สตู ร พยาบาลศาสตรบณั ฑติ • ประกอบดว้ ยการศกึ ษา ภาคทฤษฎแี ละภาคปฏบิ ตั ิ เพอื่ ให ้ บณั ฑติ พยาบาลมคี วามรู ้ (knowledge) และมที ักษะ (skill) การเรยี นการสอนภาคปฏบิ ตั ถิ อื เป็ นหวั ใจสาคญั ของการศกึ ษา • เกณฑก์ ารรับรองสถาบนั การศกึ ษาการพยาบาลเกยี่ วกบั อตั ราสว่ นของอาจารย์ พยาบาลตอ่ นักศกึ ษาในการสอน ภาคปฏบิ ตั แิ ตล่ ะรายวชิ า ไมเ่ กนิ 1 : 8 (สภาการพยาบาล, 2550)

๑๓.๕ การมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมการพัฒนาบคุ ลากรหรอื พัฒนาวชิ าชพี ตาม๑๒.๒ใหค้ ดิ หน่วยคะแนน ดงั นี้ • ๑๓.๕.๑๐พยาบาลพเี่ ลยี้ งสาหรับนักศกึ ษาพยาบาลในหลกั สตู ร ตา่ งๆใหค้ ดิ หน่วยคะแนนตามภาคการศกึ ษา • ในระบบการศกึ ษาไตรภาค (๑๒สปั ดาห)์ ๑ ภาคการศกึ ษาคดิ เป็ น ๔ หน่วยคะแนน • ในระบบการศกึ ษาทวภิ าค (๑๕สปั ดาห)์ ๑ ภาคการศกึ ษาคดิ เป็ น ๕ หน่วยคะแนน (ประกาศสภาการพยาบาล, ๒๕๕๖)

การเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21 คอื การเรยี นรู้ 3R x 7C 3R คอื Reading (อา่ นออก), (W)Riting (เขยี นได)้ และ (A)Rithmetics (คดิ เลขเป็ น) 7C คอื •1.Critical thinking & problem solving (ทกั ษะดา้ นการ คดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ และทักษะในการแกป้ ัญหา) •2.Creativity & innovation (ทกั ษะดา้ นการสรา้ งสรรค์ และนวตั กรรม) ชยพล ศรวี ลั ลภ. http://chayaphon2087.blogspot.com/2014/09/21.html.2559.

(ตอ่ ) • 3.Cross-cultural understanding (ทกั ษะดา้ นความเขา้ ใจ ตา่ งวฒั นธรรม ตา่ งกระบวนทศั น)์ • 4.Collaboration, teamwork & leadership (ทักษะดา้ น ความรว่ มมอื การทางานเป็ นทมี และภาวะผนู ้ า) • 5.Communications, information & media literacy (ทกั ษะดา้ นการสอ่ื สาร สารสนเทศ และรเู ้ ทา่ ทนั สอื่ ) • 6.Computing & ICT literacy (ทักษะดา้ นคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สาร) • 7.Career & learning skills (ทกั ษะอาชพี และทกั ษะการ เรยี นร)ู ้

ดา้ นปจั จยั นาเขา้ การสอนภาคปฏบิ ตั ิ ดา้ นผลลพั ธ์ (In put) (Out put) ดา้ นกระบวนการ (Process) 1.อาจารยผ์ สู ้ อน 1.มกี ารเตรยี มพรอ้ มของแหลง่ ฝึก/ 1.ควรประเมนิ ผลสมั ฤทธิ์ 2.ผเู ้ รยี น/นักศกึ ษา นศ./ผสู ้ อน ใหค้ รบทกุ ดา้ น 3.แหลง่ ฝึก 2.มกี ารสอนโดยใชว้ ดิ ทิ ศั น/์ 2.ประเมนิ เนน้ การชว่ ย 4.หลกั สตู ร YouTube วพิ ากยแ์ ละอภปิ ราย นศ.ใหม้ กี ารพัฒนาและ 3.มี E-learningทบทวนบทเรยี น เรยี นรู ้ -authentic 4.คมู่ อื ฝึกปฏบิ ตั สิ อดคลอ้ งกบั 3.ผสู ้ อนทกุ ฝ่ ายที่ -check list ประสบการณ์ เกย่ี วขอ้ งมสี ว่ นชว่ ย 5.สอนสาธติ และสาธติ ยอ้ นกลบั พัฒนานศ. พรอ้ มประเมนิ ใหร้ ขู ้ อ้ ผดิ พลาด 6.มกี ารวัดผลหลากหลายทงั้ ความรแู ้ ละปฏบิ ตั ิ

การจดั การเรยี นการสอนภาคปฏบิ ตั ิ 1.การใหผ้ ลสะทอ้ นกลบั ขอ้ ด:ี ชว่ ยใหผ้ เู ้ รยี นทราบจดุ เดน่ จดุ ดอ้ ยของตนเองและชว่ ยให ้ มกี ารพัฒนาจดุ ดอ้ ยใหด้ ขี นึ้ อยา่ งเหมาะสมถกู ตอ้ ง หลกั การ: เนน้ อภปิ รายพฤตกิ รรมการกระทา ไมต่ าหนิ ตอ่ วา่ ใชค้ าพดู ชดั เจน ตรงประเด็น ในเวลาทเ่ี หมาะสม อ.ชชั วาล วงศส์ าล,ี มหาวทิ ยาลัยครสิ เตยี น สไลดป์ ระกอบการบรรยายแนวคดิ รว่ มสมยั การจัดการเรยี นการสอนทางพยาบาลศาสตร์

1.การใหผ้ ลสะทอ้ นกลบั วธิ ปี ฏบิ ตั :ิ ใหผ้ เู ้ รยี นไดพ้ ดู และรับฟังอยา่ งตัง้ ใจใหผ้ เู ้ รยี น สะทอ้ นพฤตกิ รรมใหม้ ากทสี่ ดุ กระตนุ ้ ใหผ้ เู ้ รยี นกลา้ ทจ่ี ะ ประเมนิ ตนเอง การใหผ้ ลสะทอ้ นกลับตอ้ งอยบู่ นความ จรงิ ใจ ซอื่ ตรง และหว่ งใย ควรเป็ นสงิ่ ทผ่ี สู ้ อนพบเห็นจรงิ จากผเู ้ รยี น เปิดใจรับฟัง ขอ้ โตแ้ ยง้ เหตผุ ลและความรสู ้ กึ หยดุ การใหผ้ ลสะทอ้ น หากผเู ้ รยี นไมพ่ รอ้ มทจ่ี ะฟัง

การจดั การเรยี นการสอนภาคปฏบิ ตั ิ 2. การเรยี นรรู้ ว่ มกนั ระหวา่ งผสู้ อนและผเู้ รยี น ขอ้ ด:ี ชว่ ยใหผ้ เู ้ รยี นลดความประหมา่ กระตนุ ้ ใหเ้ กดิ ทัศนคติ ทด่ี จี ากตวั แบบในการเรยี นรู ้ หลกั การ: ใชส้ ง่ิ อานวยความสะดวกทม่ี ใี นสภาพการจรงิ ผสู ้ อนควรเตรยี มผปู ้ ่ วยกอ่ นและลงมอื ศกึ ษาผปู ้ ่ วยรว่ มกบั ผเู ้ รยี น

การจดั การเรยี นการสอนภาคปฏบิ ตั ิ 3.การจดั การเรยี นการสอนแบบกลมุ่ ยอ่ ยในคลนิ กิ ขอ้ ด:ี ผเู ้ รยี นไดป้ ระสบการณ์ทหี่ ลากหลายและทวั่ ถงึ ใน เวลาอนั สนั้ มกี ารสรปุ ความคดิ รวบยอดสกู่ ลมุ่ อนื่ หลกั การ: 1.ตอ้ งกาหนดวตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรแู ้ ละ หนา้ ทที่ ต่ี อ้ งกระทาอยา่ งชดั เจน 2.ตอ้ งมคี วามกระตอื รอื รน้ ทจ่ี ะเรยี น พรอ้ มใหค้ วามร่วมมอื กนั ในกลมุ่ 3.ตอ้ งมกี ารสะทอ้ นกลบั ผลการเรยี นรู ้

3.การจดั การเรยี นการสอนแบบกลมุ่ ยอ่ ยในคลนิ กิ วธิ ปี ฏบิ ตั :ิ สรา้ งสมั พันธภาพ ละลายพฤตกิ รรม ชแี้ จง วตั ถปุ ระสงค์ มอบหมายหนา้ ที่ กาหนดบทบาท เตรยี ม สถานที่ เรมิ่ การสอนตามรปู แบบเทคนคิ การสอนแบบ กลมุ่ วธิ ตี า่ งๆทเี่ หมาะสม กระตนุ ้ ใหผ้ เู ้ รยี นอภปิ รายรว่ ม สะทอ้ นกลบั โดยเชอื่ มโยงสถานการณก์ ารเรยี นรู ้ สรปุ การสอน มอบหมายใหส้ ง่ ผังความคดิ รายกลมุ่

ลกั ษณะการจดั กจิ กรรม ทเี่ นน้ ผเู้ รยี นเป็ นสาคญั 1. Active Learning เป็ นกจิ กรรมทผี่ เู ้ รยี นเป็ น ผกู ้ ระทาหรอื ปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตนเอง ดว้ ยความ กระตอื รอื รน้ เชน่ ไดค้ ดิ คน้ ควา้ ทดลองรายงาน ทาโครงการ สมั ภาษณ์ แกป้ ัญหา ฯลฯ ไดใ้ ช ้ ประสาทสมั ผัสตา่ งๆ ผสู ้ อนทาหนา้ ที่ เตรยี มการจัด บรรยากาศการเรยี นรู ้ จัดสอ่ื สงิ่ เรา้ เสรมิ แรงให ้ คาปรกึ ษาและสรปุ สาระการเรยี นรรู ้ ว่ มกนั

(ตอ่ ) 2. Construct เป็ นกจิ กรรมทผ่ี เู ้ รยี นไดค้ น้ พบ สาระสาคญั หรอื องคก์ ารความรใู ้ หมด่ ว้ ยตนเอง จากการ ไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ ทดลอง แลกเปลย่ี นเรยี นรแู ้ ละลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ ทาใหผ้ เู ้ รยี นรักการอา่ น รักการศกึ ษาคน้ ควา้ เกดิ ทกั ษะในการแสวงหาความรู ้ เห็นความสาคญั ของ การเรยี นรู ้ ซง่ึ นาไปสกู่ ารเป็ นบคุ คลแหง่ การเรยี นรู ้ (Learning Man) ทพ่ี งึ ประสงค์

(ตอ่ ) 3. Resource เป็ นกจิ กรรมทผ่ี เู ้ รยี นไดเ้ รยี นรจู ้ าก แหลง่ เรยี นรตู ้ า่ งๆทห่ี ลากหลายทงั้ บคุ คลและ เครอื่ งมอื ทงั้ ในหอ้ งเรยี นและนอกหอ้ งเรยี น ผเู ้ รยี น ไดส้ มั ผัสและสมั พันธก์ บั สงิ่ แวดลอ้ มทงั้ ทเี่ ป็ นมนุษย์ (เชน่ ชมุ ชน ครอบครัว องคก์ รตา่ งๆ) ธรรมชาตแิ ละ เทคโนโลยี ตามหลกั การทวี่ า่ \"การเรยี นรเู ้ กดิ ขนึ้ ได ้ ทกุ ทที่ กุ เวลาและทกุ สถานการณ์\"

(ตอ่ ) • 4. Thinking เป็ นกจิ กรรมใหผ้ เู ้ รยี นไดฝ้ ึกวธิ คี ดิ ใน หลายลกั ษณะ เชน่ คดิ หลากหลาย คดิ ละเอยี ด คดิ ชดั เจน คดิ ลกึ ซง้ึ คดิ อยา่ งมเี หตผุ ล เป็ นตน้ การฝึกคดิ ในลกั ษณะตา่ งๆ จะทาใหผ้ เู ้ รยี นเป็ นคนคดิ เป็ น แกป้ ัญหาเป็ น มเี หตผุ ลในการคดิ มคี วามสามารถใน การคดิ วเิ คราะห์ สามารถแสดงความคดิ เห็นไดอ้ ยา่ ง ชดั เจนและมเี หตผุ ลอนั เป็ นประโยชนต์ อ่ การดารง ชวี ติ ประจาวนั (ทศิ นา แขมมณี และคณะ, 2543)

(ตอ่ ) 5. Happiness ผเู ้ รยี นไดเ้ รยี นอยา่ งมคี วามสขุ จากการท่ี ไดเ้ รยี นในสงิ่ ทต่ี นสนใจ สาระการเรยี นรู ้ ชวนใหส้ นใจใฝ่ คน้ ควา้ ศกึ ษาทา้ ทาย ใหไ้ ดแ้ สดงความสามารถและใช ้ ศกั ยภาพของตนอยา่ งเต็มทแี่ ละมปี ฏสิ มั พันธร์ ะหวา่ ง ผเู ้ รยี นกบั ผสู ้ อนและระหวา่ งผเู ้ รยี นกบั ผเู ้ รยี น มกี าร ชว่ ยเหลอื ซงึ่ กนั และกนั มกี จิ กรรมรว่ มกนั ทาใหผ้ เู ้ รยี น รสู ้ กึ มคี วามสขุ และสนุกกบั การเรยี น

• 6. Participation ผเู ้ รยี นมสี ว่ นรว่ มในการวางแผน กาหนดงาน วางเป้าหมายรว่ มกนั และมโี อกาสเลอื ก ทางานหรอื ศกึ ษาคน้ ควา้ ในเรอื่ งทตี่ รงกบั ความถนัด ความสามารถ ความสนใจของตนเอง ทาใหผ้ เู ้ รยี น เรยี นดว้ ยความกระตอื รอื รน้ มองเห็นคณุ คา่ ของสงิ่ ท่ี เรยี นและสามารถประยกุ ตค์ วามรนู ้ าไปใชป้ ระโยชนใ์ น ชวี ติ จรงิ

7. Individualization ผสู ้ อนใหค้ วามสาคญั แกผ่ เู ้ รยี น ในความเป็ นเอกกตั บคุ คล ผสู ้ อนยอมรับในความสามารถ ความคดิ เห็น ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลของผเู ้ รยี น มงุ่ ใหผ้ เู ้ รยี นไดพ้ ัฒนาตนเองใหเ้ ต็มศกั ยภาพมากกวา่ เปรยี บเทยี บแขง่ ขนั ระหวา่ งกนั โดยมคี วามเชอ่ื มน่ั ผเู ้ รยี น ทกุ คนมคี วามสามารถในการเรยี นรไู ้ ด ้ และมวี ธิ กี ารเรยี นรู ้ ทแ่ี ตกตา่ งกนั http://www.sut.ac.th/tedu/news/Activity.html

8. Good Habit เป็ นกจิ กรรมทผี่ เู ้ รยี นไดพ้ ัฒนา คณุ ลกั ษณะนสิ ยั ทดี่ งี าม เชน่ ความรับผดิ ชอบ ความ มเี มตตากรณุ า ความมนี ้าใจ ความขยัน ความมี ระเบยี บวนิ ัย ความเสยี สละ และ ลกั ษณะนสิ ยั ในการ ทางานอยา่ งเป็ นกระบวนการ การทางานรว่ มกบั ผอู ้ นื่ การยอมรับผอู ้ น่ื เป็ นตน้

ลกั ษณะสาคญั การจดั เรยี นการสอนภาคปฏบิ ตั ิ การสอนภาคปฏบิ ตั ิ การสอนในสถานการณ์จรงิ นาวธิ กี ารสอนในชนั้ เรยี น มา ประยกุ ตร์ ว่ มกบั การอภปิ ราย และการทางานกลมุ่ พฒั นาทกั ษะพสิ ยั และ จติ พสิ ยั ผเู้ รยี น ใหม้ คี วาม สนใจ มเี จตคตทิ ดี่ ตี อ่ การ ปฏบิ ตั กิ ารพยาบาล

รปู แบบการเรยี นการสอนเนน้ ความจา (Memory Model) ขนั้ ท1่ี การสงั เกต ขนั้ ท2ี่ การ ขนั้ ท3ี่ การใช้ หรอื ศกึ ษาเนอ้ื หา สรา้ งความ จนิ ตนาการ เชอื่ มโยง ขน้ั ท4่ี การฝึ ก อยา่ งตงั้ ใจ ใชเ้ ทคนคิ ตา่ งๆ

รปู แบบการเรยี นการสอนทเี่ นน้ การพฒั นาดา้ นจติ พสิ ยั (Affective Domain) รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ การพัฒนาดา้ นจติ พสิ ยั ของบลมู (Instructional Model Based on Bloom’s Affective Domain) ขน้ั ที่ 1 การรบั รคู้ า่ นยิ ม ผสู ้ อนจัดประสบการณห์ รอื สถานการณท์ ช่ี ว่ ยใหผ้ เู ้ รยี นไดร้ ับรู ้ คา่ นยิ ม ควรพยายามกระตนุ ้ ใหผ้ เู ้ รยี นเกดิ พฤตกิ รรมดงั น้ี 1) การรตู ้ วั 2) การเต็มใจรับรู ้ 3) การควบคมุ การรับรู ้ ขนั้ ที่ 2 การตอบสนองตอ่ คา่ นยิ ม ผสู ้ อนจดั สถานการณ์ใหผ้ เู ้ รยี นมโี อกาสตอบสนอง ตอ่ คา่ นยิ มในลกั ษณะใดลกั ษณะหนงึ่ ควรพยายามกระตนุ ้ ใหผ้ เู ้ รยี นเกดิ พฤตกิ รรมดงั น้ี 1) การยนิ ยอมตอบสนอง 2) การเต็มใจตอบสนอง 3) ความพงึ พอใจในการตอบสนอง

(ตอ่ ) ขนั้ ที่ 3 การเห็นคณุ คา่ ของคา่ นยิ ม ผสู ้ อนจัดประสบการณ์หรอื สถานการณ์ให ้ ลองปฏบิ ตั ติ ามคา่ นยิ ม เห็นประโยชนห์ รอื โทษ กระตนุ ้ ใหผ้ เู ้ รยี นเกดิ พฤตกิ รรมดงั น้ี 1) การยอมรบั ในคณุ คา่ 2) การชน่ื ชอบในคณุ คา่ 3) ความผกู พันในคณุ คา่ ขน้ั ท่ี 4 การจดั ระบบคา่ นยิ ม ผเู ้ รยี นเห็นคณุ คา่ ของคา่ นยิ มและเกดิ เจตคตทิ ด่ี ตี อ่ คา่ นยิ ม รับคา่ นยิ มมาใชใ้ นชวี ติ ของตน กระตนุ ้ ใหผ้ เู ้ รยี นเกดิ พฤตกิ รรมสาคญั ดงั น้ี 1) การสรา้ งมโนทัศนใ์ นคณุ คา่ 2) การจัดระบบในคณุ คา่ นัน้ ขนั้ ที่ 5 การสรา้ งลกั ษณะนสิ ยั ผสู ้ อนสง่ เสรมิ ใหผ้ เู ้ รยี นปฏบิ ตั ติ นตามคา่ นยิ มอยา่ งสมา่ เสมอ และการเสรมิ แรงเป็ นระยะจนกระทง่ั ผเู ้ รยี นสามารถปฏบิ ตั ไิ ดเ้ ป็ นนสิ ยั กระตนุ ้ ใหผ้ เู ้ รยี นเกดิ พฤตกิ รรมดงั นี้ 1) การมหี ลกั ยดึ ในการตดั สนิ ใจ 2) การปฏบิ ตั ติ ามหลกั ยดึ นัน้ จนเป็ นนสิ ยั 3) การดาเนนิ การ ในขนั้ ตอนทงั้ 5 ไมส่ ามารถทาไดใ้ นระยะเวลาอนั สนั้ ตอ้ งอาศยั เวลาโดยเฉพาะในขนั้ ที่ 4 และ 5 ตอ้ งการเวลาในการปฏบิ ตั ิ ซงึ่ แตกตา่ งกนั ไปในผเู ้ รยี นแตล่ ะคน

รปู แบบการเรยี นการสอนทเ่ี นน้ การพฒั นาดา้ นทกั ษะพสิ ยั (Psycho-Motor Domain) รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ การพัฒนาทกั ษะปฏบิ ตั ขิ องซมิ พซ์ นั (Instructional Model Based on Simpson’s Processes for psycho-Motor Skill Development) ขนั้ ที่ 1 ขนั้ การรบั รู้ ใหผ้ เู ้ รยี นรับรใู ้ นสง่ิ ทจ่ี ะทาโดยการใหผ้ เู ้ รยี นสงั เกตการทางานนัน้ อยา่ งตงั้ ใจ ขน้ั ที่ 2 ขนั้ การเตรยี มความพรอ้ ม เป็ นขนั้ การปรับตวั ใหพ้ รอ้ มเพอื่ การทางานหรอื แสดงพฤตกิ รรม โดยการปรับตวั ใหพ้ รอ้ มทจ่ี ะแสดงทักษะนัน้ และมจี ติ ใจและสภาวะ อารมณ์ทดี่ ตี อ่ การทจ่ี ะทาหรอื แสดงทักษะ ขน้ั ที่ 3 ขนั้ การสนองตอบภายใตก้ ารควบคมุ ใหโ้ อกาสแกผ่ เู ้ รยี นในการตอบสนอง ตอ่ สง่ิ ทร่ี ับรู ้ ซงึ่ อาจใชว้ ธิ กี ารใหผ้ เู ้ รยี นเลยี นแบบการกระทา การแสดงทกั ษะนัน้ หรอื อาจใชว้ ธิ กี ารใหผ้ เู ้ รยี นลองผดิ ลองถกู จนกระทง่ั สามารถตอบสนองไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง

(ตอ่ ) ขนั้ ที่ 4 ขนั้ การใหล้ งมอื กระทาจนสามารถกระทาไดเ้ อง เป็ นขนั้ ทชี่ ว่ ยใหผ้ เู ้ รยี น ประสบผลสาเร็จในการปฏบิ ตั ิ และเกดิ ความเชอ่ื ม่ันในการทาสง่ิ นัน้ ขนั้ ที่ 5 ขน้ั การกระทาอยา่ งชานาญ ชว่ ยใหผ้ เู ้ รยี นไดฝ้ ึกฝนการกระทานัน้ จนผเู ้ รยี น สามารถทาไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคลว่ ชานาญ เป็ นไปโดยอตั โนมัติ และดว้ ยความเชอ่ื มั่นใน ตนเอง ขนั้ ท่ี 6 ขน้ั การปรบั ปรงุ และประยกุ ตใ์ ช้ ชว่ ยใหผ้ เู ้ รยี นปรับปรงุ ทกั ษะหรอื การปฏบิ ตั ิ ของตนใหด้ ยี ง่ิ ขน้ึ และประยกุ ตใ์ ชท้ กั ษะทต่ี นไดร้ ับการพัฒนาในสถานการณ์ตา่ งๆ ขนั้ ท่ี 7 ขนั้ การคดิ รเิ รมิ่ เมอื่ ผเู ้ รยี นสามารถปฏบิ ตั หิ รอื กระทาสงิ่ ใดไดอ้ ยา่ งชานาญ และสามารถประยกุ ตใ์ ชใ้ นสถานการณท์ ห่ี ลากหลายแลว้ ผปู ้ ฏบิ ตั จิ ะเรม่ิ เกดิ ความคดิ ใหมใ่ นการกระทาหรอื ปรับการกระทานัน้ ใหเ้ ป็ นไปตามทตี่ นตอ้ งการ

รปู แบบการเรยี นการสอนกระบวนการคดิ แกป้ ญั หาอนาคต ตามแนวคดิ ของทอรแ์ รนซ์ (Torrance’s Future Problem Solving Instructional Model) ขน้ั ท่ี 1 การนาสภาพการณอ์ นาคตเขา้ สรู่ ะบบการคดิ ขน้ั ท่ี 2 การระดมสมองเพอ่ื คน้ หาปัญหา ขน้ั ที่ 3 การสรปุ ปัญหา และจัดลาดบั ความสาคญั ของปัญหา ขนั้ ท่ี 4 การระดมสมองหาวธิ แี กป้ ัญหา ขนั้ ที่ 5 การเลอื กวธิ กี ารแกป้ ัญหาทดี่ ที ส่ี ดุ ขนั้ ท่ี 6 การนาเสนอวธิ กี ารแกป้ ัญหาอนาคต

การสอนทเ่ี นน้ การสะทอ้ นคดิ (Reflective practice) •หมายถงึ สงิ่ ทส่ี ะทอ้ นการกระทาทผ่ี ปู ้ ฏบิ ตั สิ ามารถ มองเห็นตนเองภายใตบ้ รบิ ทจากประสบการณ์ของ ตนเองดว้ ยวธิ กี ารเผชญิ เขา้ ใจและแกไ้ ขปัญหาจาก การปฏบิ ตั งิ านของตนเอง

ประโยชนข์ องการสะทอ้ นคดิ 1.ทาใหบ้ คุ คลเป็ นอสิ ระจากการกระทาแบบเดมิ 2.สามารถคาดการณส์ งิ่ ทจี่ ะเกดิ ขนึ้ ในอนาคต 3.เกดิ ความตระหนักในคณุ คา่ ของสง่ิ นัน้ ๆ 4.เกดิ ความระมดั ระวงั ในการกระทาสงิ่ ตา่ งๆ มากขนึ้ การสะทอ้ นคดิ ในการฝึกภาคปฏบิ ตั ขิ องนักศกึ ษา พยาบาล เป็ นสงิ่ สาคญั มากเพราะนาไปสกู่ ารคดิ วเิ คราะหเ์ พอ่ื การแกไ้ ขปัญหาบนพนื้ ฐานของ สภาพการณ์จรงิ

รปู แบบการสอนโดยการสะทอ้ นคดิ (Chong, 2009) •ขน้ั ท1่ี บรรยายสถานการณป์ ัญหาในรายละเอยี ดทตี่ อ้ งการนามาศกึ ษา •ขน้ั ท2่ี การแลกเปลย่ี นประสบการณ์รว่ มกนั โดยการสะทอ้ นการคดิ จาก การสงั เกต ความรสู ้ กึ และการรับรตู ้ อ่ สถานการณท์ เี่ กดิ ขนึ้ •ขนั้ ท3่ี การประเมนิ วเิ คราะหป์ ระสบการณ์ มกี ารอา้ งองิ ทฤษฎที เ่ี กย่ี วขอ้ ง •ขนั้ ท4่ี วเิ คราะหส์ ถานการณว์ า่ สงิ่ ทเี่ กดิ ขนึ้ มกี ารอา้ งองิ และเชอ่ื มโยง หลกั การทฤษฎที เ่ี กย่ี วขอ้ ง •ขน้ั ท5ี่ สรปุ สง่ิ ทไ่ี ดเ้ รยี นรจู ้ ากสถานการณ์ •ขน้ั ท6ี่ การวางแผนเพอ่ื นาไปใชห้ ากเกดิ สถานการณซ์ า้ เป็ นการบอกแผนการพัฒนาหรอื ปรบั ปรงุ ใหด้ ขี นึ้

แบบประเมนิ พฤตกิ รรมสะทอ้ นคดิ (อรญั ญา บญุ ธรรม และคณะ, 2558) ประกอบดว้ ยขอ้ คาถามจานวน 20 ขอ้ ลกั ษณะ คาตอบเป็ นแบบมาตรประมาณคา่ 4 ระดบั 1 =ไมเ่ คยทา 2 = ทานานๆครัง้ 3 = ทาบอ่ ยๆ 4 = ทาเป็ นประจา การแปลผลคะแนน คะแนน 1.00 – 1.50 มพี ฤตกิ รรมระดบั ตา่ คะแนน 1.51 – 2.50 มพี ฤตกิ รรมระดบั ปานกลาง คะแนน 2.51 – 3.50 มพี ฤตกิ รรมระดบั สงู คะแนน 3.51 – 4.00 มพี ฤตกิ รรมระดบั สงู มาก

ตวั อยา่ งงานวจิ ยั

สรปุ การจัดกจิ กรรมการสอนภาคปฏบิ ตั ทิ ห่ี ลากหลายทเี่ นน้ ผเู ้ รยี นเป็ นสาคญั เป็ นกจิ กรรมทผ่ี เู ้ รยี นไดร้ ับประโยชนส์ งู สดุ จากการเรยี น ไดพ้ ัฒนาตนเองอยา่ งเต็มตามศกั ยภาพ ได ้ ประยกุ ตค์ วามรไู ้ ปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ติ จรงิ ไดม้ คี วามสขุ และ สนุกกบั การเรยี นรู ้ ตลอดจนมคี ณุ ลกั ษณะนสิ ยั ดตี ามทสี่ งั คม พงึ ปรารถนาเป็ นการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ สามารถ ปรับตวั ใหอ้ ยกู่ บั ผอู ้ น่ื ไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ



คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครปฐม เอกสารประกอบการอบรม เรอ่ื ง หลักสตู รและการจดั การศกึ ษาสาขาพยาบาลศาสตร์ (Curriculum and Teaching Education in Nursing Science Program) จำนวน 3 ช่ัวโมง อาจารย์ผูส้ อน ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์วรางคณา สายสทิ ธิ์ เมื่อสิน้ สดุ การอบรม ผู้เข้าอบรมสามารถ 1. อธิบายองคป์ ระกอบของหลกั สูตรและการจัดการศึกษาภาคปฏิบัตไิ ด้ 2. อธิบายคณุ สมบตั ขิ องอาจารย์พี่เล้ียงภาคปฏบิ ัตไิ ด้ 3. วางแผนการใช้รูปแบบการฝกึ ปฏิบตั กิ ารพยาบาลโดยมีส่วนร่วมของอาจารย์พเี่ ลีย้ งสำหรบั นกั ศกึ ษา พยาบาลในการฝกึ ปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลทางคลินิกได้ บทนำ บณั ฑิตสาขาพยาบาลศาสตร์ เป็นผลท่ีเกิดจากกระบวนการจัดการเรียนการสอนทเ่ี ป็นไปตามมาตรฐาน คุณวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาพยาบาลศาสตร์ ท้ังภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่เกิดขึ้นในห้องเรียน มหาวิทยาลัย และแหล่งฝึกปฏิบัติทางการพยาบาลท้ังระดบั ปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ โดยครอบคลุมทุกมิติ ของการพยาบาล ทั้งนี้ การที่จะผลิตบัณฑิตสาขาพยาบาลศาสตร์จนสำเร็จไปเป็น “พยาบาลวิชาชีพ” ท่ีมีใบ ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ชั้น 1 ได้น้ัน จำเป็นอย่างย่ิงที่ต้องอาศัยความร่วมมือจาก บุคลากรหลากหลายสาขาและสหสาขาวิชาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ท่ีมีบทบาทสำคัญในแหล่งฝึกปฏิบัติการ พยาบาลคือพยาบาลพิเศษภาคปฏิบัติ หรืออาจารย์พี่เล้ียงภาคปฏิบัติ (preceptor) ต้องมีความรู้ความเข้าใจถึง กระบวนการต้ังแต่ตอนต้นของการฝึกปฏิบัติ ระหว่างดำเนินการฝึกปฏิบัติ และการประเมินผลเม่ือส้ินสุดฝึก ปฏบิ ัติ เพ่อื ใหน้ ำไปสู่การปรบั ปรุงและการพฒั นารว่ มกนั กบั อาจารย์พยาบาลตอ่ ไป

2 เนอ้ื หา ข้อมลู ทว่ั ไปของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครปฐม ปรัชญา “สนับสนุนการเรียนรู้ เสรมิ สร้างศกั ยภาพ สรา้ งสรรค์การเปล่ียนแปลง” วิสัยทศั น์ “คณะพยาบาลศาสตร์จะเปน็ สถาบันการศึกษาพยาบาลท่ีมีมาตรฐานวชิ าชพี เป็นเลิศด้วยคณุ ภาพในระดับสากล” เอกลักษณ์ : ให้การพยาบาลด้วยมาตรฐานวิชาชพี และคุณภาพในระดับสากล อัตลกั ษณ์ : พรอ้ มเรียนรู้ มจี ิตให้บริการ พนั ธกิจ 1. ผลติ บณั ฑติ พยาบาลนักปฏบิ ัติทีม่ คี ุณภาพ ไดร้ ับการยอมรับมาตรฐานวชิ าชีพและยดึ มั่นใน จริยธรรมแหง่ วชิ าชีพ 2. สนบั สนุนการเรียนรดู า้ นงานวจิ ยั ด้านงานบริการวิชาการ สร้างสรรคน์ วัตกรรมทางการ พยาบาล รว่ มกับเครือข่ายทางการพยาบาลเพื่อสขุ ภาวะชมุ ชนอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 3. เสริมสรา้ งศกั ยภาพของบุคลากรและนักศกึ ษาให้ไดม้ าตรฐานการพยาบาลและยดึ ม่ันใน คุณธรรมจรยิ ธรรมแห่งวิชาชีพ มาตรฐานคณุ วุฒิระดบั ปริญญาตรี สาขาพยาบาลศาสตร์ ปัจจุบัน การผลิตบัณฑิตสาขาพยาบาลศาสตร์นั้น ได้องิ ตามกรอบของมาตรฐานคุณวุฒิการศึกษาระดับ ปริญญาตรี สาขาพยาบาลศาสตร์ พ.ศ.2562 หรือที่เรียกว่า “มคอ 1” เป็นฐานของการวางแผนจัดการเรียนการ สอน และการประเมินผลจนจบการศึกษา 4 ปี มีรายละเอียดท่ีสำคัญ ดังน้ี (ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ, 2560) 1. ช่อื สาขา พยาบาลศาสตร์ (Nursing Science) 2. ชอื่ ปริญญา ภาษาไทย : พยาบาลศาสตรบณั ฑติ (พย.บ.) ภาษาองั กฤษ : Bachelor of Nursing Science (B.N.S.) 3. คุณสมบตั ิผเู้ ขา้ ศกึ ษาในหลักสตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑติ สำเรจ็ การศกึ ษาไม่ตำ่ กว่ามัธยมศกึ ษาตอนปลาย (ขอ้ บงั คบั สภาการพยาบาล, 2562)จาก สถาบันการศึกษาท่ีกระทรวงศึกษาธิการให้การรับรองวิทยฐานะและมีผลการเรียนเฉลี่ยสะสม (GPA) ไม่ต่ำกว่า 2.50 หรือผู้ท่ีสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ในสาขาอื่นท่ีไม่ใช่สาขาการพยาบาล จากสถาบันการศึกษาที่ ได้รับการรับรองจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ต้องมีระดับคะแนนเฉลี่ย สะสมระดับปรญิ ญาตรไี ม่ตำ่ กว่า 2.50