ตัวอย่าง Focus charting DATE / TIME FOCUS PROGRESS NOTE SHIFT A: Assessment I: Intervention E: Evaluation 7ก.พ.55 12.15น. หลังคลอดท่ตี ้องแจ้งพยาบาลทันที เช่น วงิ เวียนศีรษะ 7-15 น. หน้ามืดมีเลือดออกทางช่องคลอดมาก มดลูกไม่เป็ น ก้อนกลมแขง็ แผลฝี เยบ็ บวมหรือปวดแผลมาก สอน วธิ ีการนวดคลึงมดลูก ให้ใส่ผ้าอนามัยเพ่อื สังเกต ปริมาณเลือด ดูแลให้กระเพาะปัสสาวะว่าง และให้ยา หดรัดตัวของมดลูกตามแผนการรักษา 12.45น. E: มดลูกหดรัดตัวกลมแขง็ ไม่มี Active bleeding per vagina ไม่มีอาการวงิ เวียนศีรษะหรือหน้ามืด Vital signs ปกติ ดดั แปลงจาก: วฒั นา นันทกสิกร. งานการพยาบาลสูตศิ าสตร์-นรีเวชวทิ ยา ฝ่ ายการพยาบาล โรงพยาบาลศริ ิราช
ตวั อย่าง Focus charting การบนั ทกึ ส่วน Nursing focus list No. Focus Goal/Outcomes Active Resolved 10 เส่ียงต่อการ ปลอดภัยจากการตกเลือดหลังคลอด 7ก.พ.55 ตกเลือด - ผา้ อนามยั ชมุ่ เลอื ดนอ้ ยกวา่ 1 แผน่ ตอ่ หลังคลอด ช่วั โมงใน 24 ช่วั โมงแรกหลังคลอด - มดลกู แขง็ และยอดมดลูกต่ากว่าระดบั สะดอื ใน 24 ชม. แรกหลังคลอด - ชพี จรและความดันโลหติ อยู่ในระดบั ปกติ (ชีพจร = 80-90 คร้งั /นาที ความ ดนั โลหติ ไมต่ ่ากวา่ 120/80 มม.ปรอท - ไมม่ ีอาการเวียนศีรษะหรือหน้ามืด ดดั แปลงจาก: วัฒนา นันทกสิกร. งานการพยาบาลสูตศิ าสตร์-นรีเวชวทิ ยา ฝ่ ายการพยาบาล โรงพยาบาลศริ ิราช
ตวั อย่าง Focus charting DATE / TIME FOCUS PROGRESS NOTE SHIFT A: Assessment I: Intervention E: Evaluation 7ก.พ.55 14.15 Transfer A: BP=142/88mmHg, P=90/min, R=20/min ไม่ปวดศีรษะ 7-15 น. น. ไม่มีตาพร่ามัวหรือจุกแน่นลนิ้ ป่ี DTR=2+ ร้อนวูบวาบ น้อยลง ไม่มีกล้ามเนือ้ แขนขาอ่อนแรง ไม่มีอาการหายใจ ลาบาก urine 100 ml./hr. มดลูกหดรัดตวั กลมแขง็ มี bleeding ชุ่มผ้าอนามัย 1 ผืน แผลฝี เยบ็ ไม่บวมเขียวคลา้ ไม่ปวดแผล พญ.กมลให้ย้ายเพ่อื ดูแลต่อตกึ พระศรีฯ I: อธิบายเหตุผลท่ีย้าย ลักษณะหอผู้ป่ วยท่ีย้าย วธิ ีขอ ความช่วยเหลือเม่ือมีอาการผดิ ปกติ ส่งข้อมูลและ ประเดน็ สาคัญให้พยาบาลตกึ ท่ีรับย้าย E: ผู้ป่ วยเข้าใจ สีหน้ายมิ้ แย้ม และให้ความร่วมมือในการ ย้าย พยาบาลรับทราบข้อมูล ดดั แปลงจาก: วัฒนา นันทกสิกร. งานการพยาบาลสูตศิ าสตร์-นรีเวชวทิ ยา ฝ่ ายการพยาบาล โรงพยาบาลศริ ิราช
ตัวอย่าง Focus charting การบนั ทกึ ส่วน Nursing focus list No. Focus Goal/Outcomes Active Resolved 11 Transfer ผู้ป่ วยมีความพร้อมในการย้ายหอ 7ก.พ.55 ผู้ป่ วยและได้รับการดูแลต่อเน่ือง - ผู้ป่ วยเข้าใจและให้ความร่วมมือใน การย้ายหอผู้ป่ วย - พยาบาลหอผู้ป่ วยท่ีรับย้าย รับทราบข้อมูลการย้ายและข้อมูล ของผู้ป่ วย ดัดแปลงจาก: วฒั นา นันทกสิกร. งานการพยาบาลสูตศิ าสตร์-นรีเวชวทิ ยา ฝ่ ายการพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช
การบนั ทกึ เฉพาะกรณี ต้องใช้ทักษะในการ ประเมนิ และบันทึกอย่าง รวดเร็ว 26/11/12 หลกั สูตรพฒั นาศกั ยภาพดา้ นการสอนสาหรับพยาบาลพ่เี ล้ียง
การบนั ทึกเฉพาะกรณี 26/11/12 หลกั สูตรพฒั นาศกั ยภาพดา้ นการสอนสาหรับพยาบาลพ่เี ล้ียง
การบนั ทึกเฉพาะกรณี 26/11/12 หลกั สูตรพฒั นาศักยภาพด้านการสอนสาหรับพยาบาลพเ่ี ลยี้ ง
การบนั ทึกเฉพาะกรณี 26/11/12 หลกั สูตรพฒั นาศกั ยภาพดา้ นการสอนสาหรับพยาบาลพ่เี ล้ียง
การบนั ทึกเฉพาะกรณี 26/11/12 หลกั สูตรพฒั นาศกั ยภาพดา้ นการสอนสาหรับพยาบาลพ่เี ล้ียง
การบนั ทึกเฉพาะกรณี 26/11/12 หลกั สูตรพฒั นาศกั ยภาพดา้ นการสอนสาหรับพยาบาลพ่เี ล้ียง
การบนั ทึกเฉพาะกรณี 26/11/12 หลกั สูตรพฒั นาศกั ยภาพดา้ นการสอนสาหรับพยาบาลพ่เี ล้ียง
การบันทกึ เฉพาะกรณี
การบันทกึ เฉพาะกรณี การบนั ทกึ ผู้ป่ วยไปรักษาต่อหน่วยงานอน่ื เขยี นสรุปภาพโดยรวมต้งั แต่แรกรับจนถงึ วนั ทผ่ี ู้ป่ วยย้าย แผนการรักษาทไ่ี ด้รับ ปัญหาสุขภาพต่างๆทย่ี งั มอี ยู่ กจิ กรรมทางการพยาบาลและการประเมนิ ผล
การบันทึกเฉพาะกรณี การบันทกึ ผู้ป่ วยไม่สมคั รใจอยู่โรงพยาบาล 1. อธิบายให้ให้ผู้ป่ วยหรือญาตเิ ข้าใจในความจาเป็ น ความสาคญั ใน การรักษา เพอ่ื เป็ นประโยชน์ต่อผู้ป่ วย 2. รายงานให้แพทย์ผู้รับผดิ ชอบและผู้บงั คบั บัญชาตามลาดบั ข้นั 3. บนั ทกึ สภาพผู้ป่ วยต้งั แต่แรกรับ จนถงึ สภาพขณะทผ่ี ู้ป่ วยไม่ สมคั รใจอยู่ การรักษาทไี่ ด้รับ บรรยายกจิ กรรมการพยาบาลท่แี สดงถงึ ความพยายามทจ่ี ะให้ผู้ป่ วยได้รับการรักษาจากโรงพยาบาล
การบนั ทึกเฉพาะกรณี การบันทกึ ผู้ป่ วยไม่สมคั รใจอยู่โรงพยาบาล(ต่อ) 4. ให้ผู้ป่ วยหรือญาตลิ งนามในใบไม่สมคั รใจอยู่ เขยี นประเมินตาม กจิ กรรมทใ่ี ห้เวลาทผ่ี ู้ป่ วยออกจากโรงพยาบาล 5. ในกรณที ผ่ี ู้ป่ วยหลบหนีออกจากโรงพยาบาล ระบุเวลาและสภาพ ผู้ป่ วยทีเ่ ห็นคร้ังสุดท้าย
การบันทกึ กรณวี กิ ฤตทิ ี่เกยี่ วกบั กฎหมาย บัน ทึ ก ค ว ร แ ส ด ง ให้ เ ห็ น ว่ า พย า บ าล ไ ม่ มี ค ว า ม บกพร่องในการปฏิบัติหน้าท่ีดงั นี้ 1. ได้ทาการประเมินอย่างถูกต้องตามหลกั การ 2. ได้ปฏบิ ัติการพยาบาลตามมาตรฐาน 3. ในกรณที เ่ี กดิ เหตุการณ์ได้มีความพยายามในการ ช่วยเหลอื อย่างสุดความสามารถ ทนั ท่วงที
จริยธรรมของการบนั ทกึ ทางการพยาบาล ไม่มีตัวตัง้ ต้น ตวั ปลายเหตุ (ไม่ได้ทา) (ไม่มีอะไรจะบนั ทกึ ) ไม่ใช่ปัญหาของการบันทกึ ศิริพร ขัมภลขิ ติ , 2553
จริยธรรมของการบันทกึ ทางการพยาบาล ก่อนเขยี นให้ถามตนเองว่าทา อะไรให้คนไข้ ปัญหาไม่ใช่อย่ทู ่ี เขียนอะไร แต่อยู่ท่ที าอะไร พว.ดร. ยุวดี เกศสัมพนั ธ์, 2557
จริยธรรมของการบนั ทกึ ทางการพยาบาล ประโยชน์ บนั ทกึ มีผลต่อเจ้าของข้อมูล โทษ ผู้บันทกึ ต้องมีจริยธรรม
จริยธรรมของการบันทกึ ทางการพยาบาล ข้อมูลท่เี ป็ นความลับและเป็ นข้อมูลท่ไี ม่มีผลต่อการรักษาไม่ต้องบนั ทกึ ข้อมูลท่ไี ม่แน่ใจว่าผู้ป่ วนยนิ ดจี ะให้บันทกึ ? ...... ขออนุญาตก่อน การเขียนรายงานผู้ป่ วยเพ่ือเผยแพร่ ห้ามใส่ช่ือผู้ป่ วย เลขท่บี ้านเขียนพอรู้ ว่าอย่ทู ่ใี ด การบันทกึ ให้ยดึ ถอื ประโยชน์ท่เี ก่ียวข้องในการให้การดแู ลรักษาผู้ป่ วย รายงานผู้ป่ วย ข้อมูลท่เี กบ็ ในคอมพวิ เตอร์ต้องเกบ็ รักษาด้วยความ ระมัดระวัง ไม่เปิ ดเผยความลับของผ้ปู ่ วย ถ้าไม่ได้รับอนุญาต
1 การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ วริ ดา อรรถเมธากุล การจัดการศึกษาในระดับวิชาชพี พยาบาลเป็นการจัดการศกึ ษาระดบั อุดมศึกษา มจี ดุ มุ่งหมายเพื่อการ พัฒนาบุคคลให้เข้าสู่วิชาชีพได้อย่างมีคุณภาพ โดยให้มีสมรรถนะท้ังในด้านความรู้ ความสามารถ ทักษะการ ปฏิบัติการพยาบาล รวมทั้งคุณธรรมและจริยธรรม สามารถให้การดูแลบุคคลทางด้านสุขภาพได้ คุณภาพของ การจัดการศึกษานอกจากจะเก่ียวข้องกับระบบบริหารจัดการของสถาบันการศึกษานั้นแล้ว ความสำคัญอยู่ท่ี การจะเกิดผลลพั ธ์คุณภาพตอ่ ผู้ทไี่ ดร้ ับการศึกษาซ่ึงขึน้ อยู่กบั กลยทุ ธ์ วิธีการจัดการเรยี นการสอนที่ทำให้ผู้เรยี น เกิดกระบวนการเรียนรู้ มีกระบวนการคิดท่ีเป็นระบบ สามารถเชื่อมโยงความรู้สู่การปฏิบัติได้อย่างครอบคลุม ครบถว้ นมากทสี่ ุด และจะต้องควบคูไ่ ปกับการมคี ุณธรรมและจรยิ ธรรมดว้ ย TQF มคี ำเต็มว่า Thai Qualification Framework หรือ กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอดุ มศกึ ษา แห่งชาติ เป็นกรอบที่แสดงคุณวุฒิการศึกษาระดับอุดมศึกษาของประเทศซ่ึงประกอบด้วยระดับคุณวุฒิ ความ เชื่อมโยงต่อเนื่องจากคุณวุฒิระดับหน่ึงไปสู่ระดับที่สูงข้ึน การแบ่งสายมาตรฐานผลการเรียนรู้ของแต่ละระดับ คุณวุฒิ ปริมาณการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับเวลาที่ต้องใช้ ลักษณะของหลักสูตรในแต่ละระดับคุณวุฒิ การเปิด โอกาสในการเทียบโอนผลการเรียนรู้จากประสบการณ์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชวี ิต รวมทั้งระบบ และกลไกที่ให้ความม่ันใจในประสิทธิผลการดำเนินงานตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ ของสถาบันอดุ มศึกษาว่าสามารถผลิตบณั ฑติ ให้บรรลุคณุ ภาพตามมาตรฐานผลการเรยี นรู้ ความสำคัญของ TQF ๑. เป็นเครื่องมือในการนำแนวนโยบายการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการวัดการศึกษาตามท่ีกำหนดใน พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติในสว่ นที่เกยี่ วกับมาตรฐานการอุดมศึกษาและการประกันคุณภาพการศึกษา สกู่ ารปฏิบัติในสถานศกึ ษาอย่างเป็นรปู ธรรม ๒. มุ่งเนน้ ที่ Learning Outcomes ซง่ึ เปน็ มาตรฐานข้ันตำ่ เพ่ือประกันคณุ ภาพบัณฑติ ๓. มุ่งประมวลกฎเกณฑ์และประกาศต่างๆที่เก่ียวกับเรื่องหลักสูตรและการจัดการเข้าไว้ด้วยกันและเช่ือมโยง ใหเ้ ปน็ เรื่องเดยี วกัน ๔. เป็นเครื่องมือการส่อื สารท่ีมีประสิทธิภาพในการสรา้ งความเขา้ ใจและความมนั่ ใจกับกลมุ่ ผู้ที่เกย่ี วข้องมีส่วน ได้ส่วนเสีย เช่น นักศึกษา ผู้ปกครอง ผู้ประกอบการ ชุมชน สังคมและสถาบันอ่ืนๆทั้งในและต่างประเทศ เกีย่ วกับคุณภาพของบณั ฑติ ทคี่ าดวา่ จะพึงมี ๕. มุ่งให้คุณวุฒิหรือปริญญาของสถาบันใดๆของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับและเทียบเคียงกันได้ใน สถาบันอุดมศึกษาที่ดีทั้งในและต่างประเทศ โดยเปิดโอกาสให้สถาบันอุดมศึกษาสามารถจัดหลักสูตรตลอดจน กระบวนการเรียนการสอนได้อย่างหลากหลายโดยมั่นใจถึงคุณภาพของบัณฑิต ซ่ึงจะมีมาตรฐานผลการเรยี นรู้ ตามท่ีมุ่งหวัง สามารถประกอบอาชพี ได้อยา่ งมีความสขุ และภาคภมู ิใจเปน็ ทพ่ี งึ พอใจของนายจ้าง ๖. ส่งเสรมิ การเรยี นรูต้ ลอดชวี ติ
2 การประเมนิ ผลการเรียนร้เู ป็นกระบวนการตัดสินคุณคา่ การเรียนรขู้ องผ้เู รยี นโดยการเปรียบเทียบ ผลการเรียนรู้ของผู้เรียนกับมาตรฐานท่ีกำหนด ผลการเรียนรทู้ ่ีเกดิ ขึ้นพิจารณาจากการทีผ่ เู้ รยี นได้เปล่ียนแปลง พฤติกรรมตามวัตถปุ ระสงค์ของการเรียนการสอนรายวิชาที่ระบไุ ว้ว่าผู้เรียนได้เรยี นรอู้ ะไร และเรียนรู้ถึงระดับ ใด สามารถผ่านตามเกณฑ์ในแต่ละวัตถปุ ระสงค์ท่ีกำหนดในรายวชิ าหรือไม่ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ด้วย วิธกี ารตัดเกรดจะต้องอาศยั ข้อมูลจากการวัดผลการเรยี นรู้ของผเู้ รยี นตามแผนการวดั ผลท่กี ำหนดไว้ลว่ งหนา้ การตัดเกรดที่ดจี ึงขน้ึ กับผลการวัดทีเ่ ช่ือถือได้ และการกำหนดเกณฑ์หรือมาตรฐานทช่ี ัดเจน 1. ความสมั พันธข์ องการสอนกับการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ การสอน (การจัดกิจกรรมการเรียนรู้) การสอบ การสังเกตการมีส่วนร่วมในการเรียน พฤติกรรมการ เรียน การฝึกปฏิบัติ การทำกิจกรรมการเรียนที่กำหนด พัฒนาการด้านต่างๆ (การวัดผล) และการตัดเกรด (การประเมินผล) เป็นกิจกรรมท่ีเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน และจะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกันอย่างเป็นระบบ การวิเคราะหค์ วามสัมพันธร์ ะหว่างกจิ กรรมดังกล่าว ผูส้ อนสามารถกระทำได้จากการตอบคำถามเบ้อื งตน้ วา่ จัด กิจกรรมเหล่านั้นไปทำไม เพื่ออะไร ทำอยา่ งไร และกำหนดความสำคัญน้ันไว้เท่าไร ผู้สอนมักจะต้ังความหวัง ไว้ก่อนสอนว่าต้องการให้ผู้เรียนรู้อะไร เกิดแนวคิดอะไร เกิดพฤติกรรมอะไร หรือทำอะไรได้บ้าง เรียกว่าเป็น จุดมุ่งหมายทางการศึกษา ซึ่งเป็นส่ิงสำคัญที่จะชี้นำให้นักการศึกษา ครู อาจารย์/ผู้สอน และผู้เรียนมองในส่ิง เดยี วกนั มุง่ ในส่ิงเดียวกัน ตาราง 1 ขั้นตอนสําคัญตามแนวคดิ พนื้ ฐานหรอื หลกั การการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ แนวคดิ พ้นื ฐาน/หลักการ ขั้นตอนสําคัญ วัดและประเมินผลไปทาํ ไม (WHY) 1. กําหนดจุดมงุ่ หมายของการวดั และประเมินผล วัดและประเมนิ ผลอะไร (WHAT) 2. วิเคราะหเ์ ป้าหมายของการเรยี นรู้ท่ีตอ้ งการให้เกิดขึ้น วัดและประเมนิ ผลอย่างไร (HOW) 3. เลอื กใชเ้ คร่ืองมอื และสรา้ งเครือ่ งมือ 3.1 ออกแบบสร้างเครอื่ งมือ 3.2 ลงมอื สร้างเครอ่ื งมอื 3.3 ทดลองใชแ้ ละตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือ 3.4 นําไปทดสอบ 3.5 ตรวจให้คะแนน ตดั สนิ ผลด้วยวธิ ใี ด (Value Judement) 4. ตัดสนิ คุณคา่ ของผลการเรียนรู้ 5. รายงานและนําผลไปใช้ในการพฒั นาและปรับปรงุ การเรียนรู้ เบนจามิน บลูมและคณะ จำแนกจุดมุ่งหมายทางการศึกษาออกเป็น 3 ด้าน คือ พุทธิปริเขต (Cognitive Domain) จิตตปริเขต (Affective Domain) และพลังทักษะปริเขต (Psycho-motor Domain) และดำเนินการเรียนการสอนเพื่อให้บรรลุจุดมุง่ หมายดงั กล่าว ด้วยการทดสอบว่าผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย หรอื ไม่โดยการทดสอบ ตรวจสอบ และการวดั
3 ตาราง 2 จุดมุง่ หมายของการศกึ ษาของ เบนจามิน บลูม และคณะ ปริเขต (Domain) พุทธิ (สมอง) 6 ข้ัน จิตต (ความร้สู กึ ) 5 ขัน้ พลงั ทักษะ (การกระทำ) 7 ข้ัน ขั้นท่ี 1. ความรู้ ความจำ ขน้ั ที่ 1. การรับ ข้ันที่ 1. การรับรู้ 2. ความเข้าใจ 2. การตอบสนอง 2. การเตรียมพรอ้ ม 3. การประยกุ ต์ 3. การให้คุณค่า 3. การตอบสนองตามตวั อย่าง 4. การวเิ คราะห์ 4. การจดั ระบบภายใน 4. การสรา้ งกลไก 5. การสังเคราะห์ 5. การสร้างเปน็ ลกั ษณะ 5. การตอบสนองที่ซบั ซ้อน 6. การประเมนิ 6. การดัดแปลงใหเ้ หมาะสม ของตน 7. การรเิ รมิ่ 1. พทุ ธพิ สิ ยั (Cognitive Domain) พฤติกรรมดา้ นพทุ ธิพสิ ัยเป็นการเรยี นรดู้ า้ นความรู้ ความคดิ ทเ่ี กี่ยวข้องกบั ความสามารถทางสมอง และสติปัญญา แบ่งออกเป็นพฤตกิ รรมทางสมองท่ีมรี ะดบั เริ่มตน้ จากง่ายแล้วเพ่ิมความซับซอ้ นขึน้ ทีละน้อย รวม 6 ระดบั ดังน้ี 1.1 ความรคู้ วามจาํ (Knowledge) เปน็ ความสามารถของผู้เรยี นในการรับรู้ จดจํา และระลึกความรู้น้ันได้ ถูกต้องตรงตามเนือ้ หาการเรยี นจากการฟังบรรยาย การอา่ นเอกสาร หรอื การไดร้ ับประสบการณแ์ ล้ว เช่น การ จาํ คําศัพท์ ลาํ ดับข้นั ตอน และหลกั การต่างๆ เป็นต้น 1.2 ความเขา้ ใจ (Comprehension) เป็นความสามารถของผเู้ รียนในการจดจาํ และสื่อสารด้วยการบอกเล่า หรือบรรยาย เพ่ือถา่ ยทอดความรูท้ ีไ่ ด้รับอย่างถูกต้องด้วยคําพดู ของตนเองประกอบดว้ ย การแปลความ การ ตีความ และการขยายความ 1.3 การประยุกต์ (Application) เป็นความสามารถของผ้เู รียนในการนําความรู้ ความเข้าใจทม่ี ีอยู่ไปใชใ้ นการ แกป้ ัญหาในสถานการณ์ใหม่ 1.4 การวเิ คราะห์ (Analysis) เป็นความสามารถของผู้เรยี นในการแยกแยะส่วนประกอบยอ่ ยของสิ่งใดสง่ิ หน่ึง สามารถเชอื่ มโยงความสมั พันธ์ระหวา่ งองคป์ ระกอบน้ันๆ ทําใหเ้ หน็ โครงสร้างนัน้ ๆอย่างชดั เจน 1.5 การสังเคราะห์ (Synthesis) เปน็ ความสามารถของผ้เู รียนในการผสมผสานรวมสว่ นประกอบยอ่ ยเข้า ด้วยกนั เปน็ องค์ประกอบใหม่ทม่ี ีความหมาย 1.6 การประเมิน (Evaluation) เปน็ ความสามารถของผูเ้ รียนในการตีคา่ หรือตดั สนิ คุณค่าของสิ่งต่างๆ ตาม เกณฑห์ รือมาตรฐานที่กาํ หนดไว้
4 2. จติ พสิ ยั (Affective Domain) พฤตกิ รรมด้านจิตพิสัยเปน็ การเรียนรู้และพัฒนาการดา้ นอารมณ์ ความรู้สึก เก่ียวกบั คา่ นยิ ม คณุ ธรรม จริยธรรม เจตคติ เปน็ ต้น จากการศึกษาวิจยั พบวา่ การเรยี นรดู้ า้ นจิตพิสยั มผี ลต่อการเรียนรดู้ ้าน พุทธิพิสัยและทักษะพิสยั ด้วย Krathwohl, Bloom, & Masia, 1964) จัดระดบั การเรียนรดู้ า้ นจติ พสิ ัยจาก ระดับตา่ งๆจนถึงระดับสูง 5 ระดบั ดังนี้ 2.1 การรบั ร้หู รือการใส่ใจต่อสิ่งเรา้ (Receiving or Attending) เป็นการรบั รู้ต่อปรากฏการณ์ตา่ งๆ รอบตัว และให้ความสนใจต่อส่ิงเรา้ ท่ีมีผลตอ่ ความรูส้ ึกของบคุ คล 2.2 การตอบสนอง (Responding) เมอ่ื บุคคลไดร้ ับการกระตนุ้ จากสงิ่ เร้าจนเกดิ ความสนใจทําให้เกิดความ ยนิ ยอมหรอื เต็มใจท่จี ะตอบสนอง ปฏิบตั ติ ามเพอื่ สรา้ งความพึงพอใจในการตอบสนองต่อสง่ิ เร้านน้ั 2.3 การเห็นคณุ คา่ (Valuing) ความพึงพอใจทเี่ กดิ จากการตอบสนองต่อสง่ิ เรา้ น้ันๆ ทําใหบ้ ุคคลเช่ือวา่ สง่ิ นน้ั มี คณุ คา่ สําหรับตน แสดงความชอบตอ่ ส่งิ น้นั มากกว่าสง่ิ อนื่ และสรา้ งความผูกพันอทุ ิศตนเพอ่ื คุณธรรม หรือ คา่ นยิ มน้ันๆ 2.4 การจัดระบบคา่ นิยม (Organization) เมื่อบุคคลเห็นคุณคา่ ของคา่ นิยมน้นั ๆ แล้วจะรวบรวมคา่ นยิ มต่างๆ ทีส่ ัมพันธก์ นั ให้อยใู่ นหมวดหมเู่ ดียวกัน อาจมีการเปรียบเทียบจดั ลาํ ดับความสําคญั พร้อมทั้งกาํ หนดแนว ทางการแสดงออกเชิงพฤติกรรมตามคา่ นยิ มนนั้ 2.5 การสร้างลกั ษณะนิสยั ตามค่านิยม (Characterization) เปน็ การท่บี ุคคลนําระบบค่านิยมทีส่ ร้างขึน้ ผสมผสานเป็นส่วนหน่งึ ของบุคลกิ และปรชั ญาการดําเนินชีวติ ค่านยิ มจะเปน็ แรงขับภายในทีก่ ระตนุ้ ให้บุคคล แสดงออกทางพฤตกิ รรมตามค่านยิ มนนั้ 3. ทักษะพสิ ัย (Psychomotor Domain) พฤตกิ รรมดา้ นทักษะพิสัยเป็นการเรยี นรู้ด้านทักษะการปฏิบัติ ซ่ึงเก่ยี วกบั การเคลือ่ นไหวกลา้ มเนอ้ื สว่ นต่างๆ ของร่างกาย การประสารงานของอวัยวะตา่ งๆ เช่น การเขยี น การอ่าน การพูด การวา่ ยนำ้ การเลน่ ฟุตบอล การวาดรูป การทํางานหตั ถกรรม การทําอาหาร การใหก้ ารพยาบาลตา่ งๆ เปน็ ต้น ซงึ่ จะเนน้ ความ คลอ่ งแคล่ว จําแนกพัฒนาการทางทักษะปฏบิ ัติเปน็ ลาํ ดบั 7 ขั้นตอน ดงั นี้ 3.1 การรบั รูข้ องประสาทและกล้ามเน้ือ (Perception) การใช้ระบบประสาททง้ั 5 ไดแ้ ก่ หู ตา ปาก ลิ้น และ ผวิ กายในการรบั รแู้ ละแปลความหมายส่ิงเรา้ ท่ีประสบ แลว้ นาํ มาสมั พันธก์ ันเพ่ือนาํ ไปปฏิบัตติ อ่ ไป 3.2 ความพรอ้ มที่จะปฏบิ ตั ิ (Set) การเตรยี มความพร้อมทางด้านสมอง อารมณ์ และร่างกายทจ่ี ะปฏบิ ตั ิ กิจกรรมนน้ั ๆ 3.3 การปฏิบตั ิตามขอ้ แนะนํา (Guided Response) การลงมอื ปฏบิ ตั กิ ารเพ่ือใหเ้ กิดการเรียนร้ดู ว้ ยการ เลยี นแบบ และการลองผิดลองถกู 3.4 การปฏิบตั จิ นเปน็ นิสัย (Mechanism) ปฏบิ ัตติ ามลําดบั ขัน้ ได้อย่างต่อเน่ืองด้วยความมั่นใจจนเกิดความ เคยชนิ ติดเป็นนสิ ัย 3.5 การปฏิบัตทิ ี่สลับซับซอ้ น (Complex Overt Response) ปฏบิ ัตกิ จิ กรรมทีส่ ลับซบั ซอ้ นขนึ้ โดยไมต่ ้องใช้
5 ความคิดมากนัก และกระทาํ ได้อย่างคล่องแคล่วชํานาญ 3.6 การปรับเปลยี่ นปฏิบตั ิการ (Adaptation) ปรับเปลย่ี นหรือพลิกแพลงปฏบิ ัติการให้เข้ากับสถานการณ์ได้ อย่างเหมาะสม 3.7 การสรา้ งปฏบิ ัตกิ ารใหม่ (Origination) การสรา้ งปฏิบัตกิ ารใหม่ขน้ึ มาด้วยตนเองโดยอาศยั การปรับปรุง ปฏิบตั ิการเก่าที่เคยทาํ มาการเรยี นรทู้ ้งั 3 ด้านตามแนวของ Bloom และคณะมีความสัมพนั ธก์ นั และสามารถ สง่ เสรมิ ซ่งึ กนั และกนั ได้ จุดประสงค์การเรยี นรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ เป็นข้อความที่ชี้บ่งสภาวะหรือผลงานท่ีต้องการให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมท่ี ตอ้ งการให้เกิดข้ึนหลังการเรียนการสอน โดยต้องมีการกำหนดจุดประสงค์ไว้ลว่ งหน้าในการออกแบบการเรียน การสอน ส่วนประกอบของจุดประสงค์การเรียนรู้ประกอบด้วยส่วนท่ีเป็นพฤติกรรมท่ีคาดหวัง เป็นข้อความท่ี บ่งถึงพฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออก วิธีการเขียนจะเขียนในรูปพฤติกรรมแฝง เป็นพฤติกรรมท่ีไม่สามารถ สังเกตเห็นได้โดยตรง เช่น ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ ความรับผิดชอบ หรือเขียนในรูป พฤติกรรมที่สงั เกตได้โดยตรงเพราะจะตรวจสอบได้ง่ายและส่วนท่ีเป็นสถานการณ์ เป็นขอ้ ความท่ีบ่งถึงสภาวะ หรือเงอื่ นไขท่ผี เู้ รยี นแสดงพฤตกิ รรมออกมา เกณฑ์การพิจารณาจุดประสงค์การเรียนรู้ การเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้เกิดจากการวิเคราะห์ หลักสูตร จากการแบ่งเน้ือหา และกำหนดเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ตามเนื้อหาหรือขอบเขตของเนื้อหา มี ข้อพจิ ารณา ดงั นี้ 1. พฤติกรรมท่ีระบุเปน็ พฤติกรรมท่สี ังเกตไดโ้ ดยตรง 2. มขี อบเขต/เนื้อหา/เง่ือนไขของการเกิดพฤตกิ รรม 3. เรียงลำดบั ตอ่ เน่ืองตามลำดับพฤติกรรม 4. ระดบั พฤติกรรมสอดคลอ้ งกับวตั ถปุ ระสงค์ หลกั สตู ร และธรรมชาตขิ องวชิ า 5. ครบตามขอบเขตเนอื้ หาในคำอธิบายรายวชิ า 2. แนวคดิ พืน้ ฐานของการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ 2.1 การวัด (Measurement) เป็นกระบวนการกำหนดตัวเลข (Assignment of numerals) ใหแ้ ก่ ส่ิงต่างๆตามกฎเกณฑ์ เพ่ือแทนคุณภาพและปริมาณของส่ิงนั้นอย่างมีกฎเกณฑ์หรือเงื่อนไขท่ีเช่ือถือได้ มีท้ัง การวัดทางกายภาพ (Physical Measurement) ซ่ึงวัดโดยตรงจากการสังเกต สามารถอธิบายได้จากรูปธรรม ที่เกิดขึ้นหรือที่พบ และมีการวัดทางจิตวิทยา (Psychological Measurement) เป็นการวัดท่ีเป็นนามธรรม วดั คณุ ลักษณะภายใน ซ่ึงตอ้ งใชว้ ิธีการวดั ทางอ้อม การวดั จะเกดิ ข้ึนได้ต้องอาศยั องค์ประกอบท่ีสำคัญ 3 ส่วน คือ
6 1. จดุ มุ่งหมายของการวัด สิ่งทมี่ ุ่งวดั ตอ้ งมีความชัดเจนว่าตอ้ งการวัดอะไร ในสถานการณเ์ ช่นไร และวัดไปทำไม 2. ควรวดั สิง่ นน้ั ดว้ ยวธิ ใี ด และเคร่อื งมือท่ใี ชว้ ัด เช่น แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบตรวจสอบ รายการ แบบสัมภาษณ์ มาตราประเมินคา่ การสงั เกตโดยตรง เป็นต้น โดยเครื่องต้องมีหนว่ ยที่ใช้ในการวดั มาตราเปรยี บเทยี บระหวา่ งหนว่ ยท่ไี ดจ้ ากการวัด 3. การแปลผลเพ่ือนำผลการวดั ไปใช้ประโยชน์ 2.2 การประเมิน (Evaluation) เป็นกระบวนการตัดสินคุณค่า (Value Judgment) ของส่ิงต่างๆ ตามเกณฑ์มาตรฐาน โดยท่ัวไปการประเมินต้องอาศัยข้อมูลจากการวัดที่เป็นปรนัย แต่บางคร้ังการประเมิน ต้องอาศัยการสังเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เพื่อตัดสินคุณค่าของส่ิงน้ัน การประเมินมีองค์ประกอบท่ี สำคญั 3 สว่ น คือ 1. ข้อมลู จากการวัด 2. การตคี วามหมาย 3. การกำหนดคุณค่าตามเกณฑ์หรือมาตรฐาน การวัดและประเมินผลสัมพันธ์กัน ข้อมูลการวัดอย่างเป็นทางการ เช่น การสอบข้อเขียน การวัดจาก ช้ินงาน การสอบภาคปฏิบัติ การสัมภาษณ์ การสังเกตและการจดบันทึกอย่างเป็นระบบ เป็นต้น และ/หรือ ข้อมูลท่ีไม่ได้มาจากการวัด เช่น การสังเกตอย่างไม่เป็นทางการ การสอบถามจากผู้อื่น หรือแหล่งข้อมูลอื่น ข้อมูลจากแหล่งดังกล่าวถูกนำไปใช้ในการประเมินด้วยการตัดสินคุณค่าผลการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยการ เปรียบเทียบกับปกติวิสัยของกลุ่มหรือเกณฑ์มาตรฐาน การประเมินการเรียนรู้มีหลายระยะ ต้ังแต่ก่อนเริ่ม เรียนรู้ เพ่ือทราบสถานะของผู้เรียน พื้นฐานของผู้เรียนก่อนการเรียน หรือเพ่ือการจัดตำแหน่ง หรือจัดกลุ่ม ผู้เรียน ประเมินระหว่างการเรียนรู้ เพื่อวินิจฉัยการเรียนรู้ พิจารณาความก้าวหน้าของผู้เรียนเพ่ือการระบุ ข้อบกพรอ่ งท่ีควรได้รับการแก้ไข และข้อดีท่ตี อ้ งได้รับการพฒั นาตามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรแู้ ต่ละเรื่อง สามารถ นำข้อมูลมาปรับวิธีการหรือกระบวนการเรียนการสอนได้ การประเมินหลังการเรียนรู้ เป็นการสรุปผลการ เรียนรู้โดยภาพรวมทั้งหมดว่าในการเรียนรายวิชานั้นๆผู้เรียนมีความสามารถในระดับใด เมื่อเทียบกับเกณฑ์ หรอื เปรียบเทยี บกบั ปกติวสิ ัยของกลมุ่ 2.3 ระบบการประเมินผลการเรียนที่มีประสิทธภิ าพ ควรมีลักษณะ ดังนี้ 2.3.1 ระบใุ ห้ชดั เจนถึงส่ิงทมี่ ุ่งประเมนิ วา่ อะไรคือผลการเรียนรูท้ ตี่ อ้ งการประเมิน ประกอบด้วย คุณลักษณะท่ีสำคัญอะไรบ้าง เพื่อทจ่ี ะเลือกใช้เครื่องมอื และวธิ ีการท่ีเหมาะสม 2.3.2 เลือกเทคนิคการวัดท่ีเหมาะสม เครื่องมือรูปแบบคำถามที่ใช้จะต้องสอดคลอ้ งกบั คุณลกั ษณะ หรอื สมรรถภาพของผู้เรียนท่ีมุ่งประเมิน ทง้ั ในแงก่ ารให้ผลท่ีถูกต้อง ความเป็นปรนัย และสะดวกต่อการ นำไปใช้ 2.3.3 ควรใช้เทคนิคการวัดหลายอย่างประกอบกนั เครื่องมือตา่ งชนดิ กันมขี ้อดี/ข้อเสยี แตกต่างกนั จงึ ควรเลอื กใช้หลายอย่างใหค้ รอบคลุมผลสัมฤทธิแ์ ละพฒั นาการดา้ นต่างๆของผู้เรียน และทำการวัดหลายๆ ครั้ง
7 2.3.4 ควบคุมความคลาดเคลือ่ นจากการวัดให้เกิดน้อยท่สี ุด การวดั คณุ ลักษณะใดกต็ ามมีความ คลาดเคลอ่ื นเกิดได้เสมอ ควรศกึ ษาถงึ แหล่งของความคลาดเคลอื่ นและพยายามขจัดให้เหลอื น้อยท่ีสดุ 2.3.5 ใชส้ ารสนเทศจากการประเมนิ สำหรับการตดั สินใจ การประเมนิ เป็นกระบวนการของการ ปรับปรงุ และการพฒั นาสู่สงิ่ ท่ีดีข้นึ การประเมนิ มิไดส้ ิน้ สุดลงตรงที่ทราบผลการประเมนิ แต่ความสำคญั อย่ทู ี่ การนำผลไปใช้ให้เกิดประโยชนต์ ่อการตัดสินใจท่ีดีทางการศกึ ษา และพฒั นาประสทิ ธิภาพของการเรียนและ การสอน 2.4 แนวทางการให้น้ำหนักความสำคญั ของการวดั ผล แผนการวัดผลหรือการสอบ ซ่ึงปรากฏอยูใ่ นแผนการจัดการเรียนการสอน ในสว่ นของการประเมินผล การเรียนจะตอ้ งมกี ารให้น้ำหนักความสำคญั ของการวัดและประเมินผลแตล่ ะคร้งั วา่ มคี วาม สำคัญเพียงไร โดยทั่วไปนิยมกำหนดเป็นร้อยละของความสำคัญในการวัดผลแต่ละคร้ัง เพ่ือประมวลผลเข้า ด้วยกันเป็นคะแนนรวมสำหรับใช้ตัดเกรด หลักในการกำหนดรายการวัดผล วิธีการวัดผล และน้ำหนัก ความสำคัญของการวัดผลแต่ละรายการ นิยมพิจารณาจากจุดมุ่งหมายในการสอน และความสำคัญของ จุดมุ่งหมายในการสอน พิจารณาได้จากเวลาที่ใช้สอน ถ้าเร่ืองไหนใช้เวลาในการสอนมากก็ให้น้ำหนักการ วดั ผลมากเช่นกนั การกำหนดคะแนนในการวดั ผล และน้ำหนักความสำคัญของการวัดผล ข้ึนกบั การให้น้ำหนัก ความสำคัญต่อจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนของผู้สอน คะแนนที่ผู้เรียนได้รับจึงควรสะท้อนภาพการ เรียนรู้ของตนตามความสำคัญของจดุ มุ่งหมายของการสอนและเวลาทีใ่ ช้สอน ในการจัดการเรียนการสอนวิชาชีพพยาบาลนั้นจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนไม่ได้อยู่ที่ผู้เรียนมี ความรู้ในสาระสำคัญของความรทู้ ่ีต้องรู้เท่าน้ัน การทำให้ผู้เรียนมีความสามารถในการปฏิบัติโดยการนำความรู้ ทไ่ี ด้รบั ไปใช้และการมคี ุณลักษณะต่างๆ ที่จะช่วยใหก้ ารปฏิบัติการพยาบาลประสบผลสำเรจ็ เปน็ จุดมุง่ หมายท่ี สำคัญของการจัดการเรียนการสอน การตรวจสอบหรือประเมินผลการเรียนจากการสอบวัดความรู้ผู้เรียน เพียงอย่างเดียว ย่อมไม่สามารถแสดงผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนได้ครอบคลุมจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนได้ ท้ังหมด จึงมีความจำเป็นที่ต้องใช้วิธีการประเมินที่หลากหลาย วิธีการประเมินผลการเรียนจากการปฏิบัติ (Performance Assessment) จึงเป็นวธิ ีการประเมินผลการเรียนการสอนท่ีเหมาะสมวธิ ีหนง่ึ 3. วธิ ีการประเมนิ ผลการเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Performance Assessment) การประเมินการปฏบิ ัติเป็นการรวบรวมข้อมูลเก่ยี วกับความสามารถและทักษะตลอดจนลักษณะนิสัย ในการเรียน ในการทำงานของผู้เรียน เพื่อนำข้อมูลท่ีรวบรวมมาใช้ในการตรวจสอบว่าผู้เรียนเกิดผลสัมฤทธิ์ ตามเป้าหมายของการเรียนการสอนท่ีกำหนดไว้หรือไม่ ยงั มีความสามารถทักษะและคุณลกั ษณะใดของผู้เรียน ที่ต้องการได้รับการปรับปรุงหรือสนับสนุนให้พัฒนาขึ้นอีก การประเมินการปฏิบัติแตกต่างจากการประเมิน ด้วยแบบสอบแบบกระดาษดินสอ ที่ผู้ได้รับการประเมินจะเขียนลงในกระดาษคำตอบ แต่การประเมินการ ปฏิบัติต้องการให้ผู้ได้รับการประเมินแสดงออกไม่ว่าจะเป็นด้วยการพูด การแสดงท่าทาง การสาธิต การ ปฏิบัติการ การแสดงบทบาทสมมติ และอ่ืนๆ ซ่ึงทำให้ผู้ประเมินสามารถใช้การสังเกตเพื่อ ตรวจสอบสิ่งที่ ผู้เรียนแสดงออกมาว่ามีความสามารถ ทักษะและคุณลักษณะตามที่กำหนดไว้ในเป้าหมายของการเรียนการ สอนหรือไมก่ ารประเมินการปฏบิ ตั ิแตกตา่ งจากการวัดภาคปฏิบัติที่นยิ มทำมาแตเ่ ดมิ ซึ่งจะแบง่ การวัดออกเป็น การวัดภาคทฤษฎีและการวัดภาคปฏิบัติ เช่น วิชาหลักการและเทคนิคการพยาบาลท่ีมกี ารตรวจสอบทักษะใน การปฏิบัติการพยาบาลตาสงๆ วิชาการพยาบาลมารดาทารก ทักษะภาคปฏิบัติในการตรวจครรภ์ การทำ
8 คลอด ฯลฯ ทักษะภาคปฏิบัติดังกล่าวเป็นการตรวจสอบเพียงหน่ึง หรือสองทักษะย่อยๆ เท่าน้ัน แต่การ ประเมินการปฏิบัติน้ันผู้ได้รับการประเมินจะได้รับสถานการณ์ท่ีต้องการให้แสดงออกท่ีซับซ้อนกว่า เพ่ือจะได้ ใช้ความสามารถ ทักษะและคุณลักษณะที่มีอยู่ร่วมกันในการแก้ไขปัญหาที่กำหนดไวใ้ นการประเมินนัน้ เช่น ใน วิชาปฏิบัติหลักการและเทคนิคการพยาบาล ผ้ปู ระเมินตอ้ งการให้ออกแบบการดแู ลผู้ป่วยรายบุคคล โดยเขียน แผนการพยาบาล ปฏิบัติการพยาบาลตามแผน จนถึงข้ันตอนการประเมินผล สถานการณ์ในการประเมินเพื่อ ตรวจสอบการปฏิบัติของผู้เรียนน้ันจะต้องเป็นสถานการณ์ท่ีทำให้ผู้เรียนได้แสดงออกด้วยความสามารถต่างๆ โดยใชค้ วามรู้ ทักษะและคณุ ลักษณะต่างๆ พร้อมๆ กัน มิใช่ความสามารถหรอื ทักษะเด่ียวๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง ซงึ่ การประเมินการปฏบิ ตั ิ มีลกั ษณะทีส่ ำคัญ ดังนี้ 1. การประเมินการปฏิบัติ สามารถใช้ประเมินท้ังกระบวนการและผลงานได้ กระบวนการหมายถึง ขน้ั ตอนในการทำงานที่แสดงด้วยกิริยาท่าทางของผู้ได้รับการประเมิน เช่น กระบวนการให้การพยาบาลผู้ป่วย รายบคุ คล ตั้งแต่การวางแผน การปฏิบตั ิการพยาบาล ด้วยความต้ังใจและความมั่นใจ ส่วนผลงานนั้นหมายถึง ผลที่ได้จากกระบวนการปฏิบัติ เช่น ความสุขสบายของผู้ป่วย การไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน ถึงแม้ว่าการ ตรวจสอบกระบวนการในการทำงานจะมีความเป็นอัตนัย มีความซับซ้อนยากท่ีจะให้คะแนนและตีความ แต่ เราก็ไม่ควรแยกการวัดกระบวนการทำงานออกจากผลงาน ทั้งน้ีเพราะกระบวนการทำงานที่ดีจะนำให้ไปสู่ ผลงานท่ีดี นอกจากนี้การวัดแต่กระบวนการทำงานโดยไม่ตรวจสอบผลงานซ่ึงแสดงความสำเร็จของ กระบวนการ ย่อมจะไม่ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของผลงานละชื่นชมต่อความสำเร็จจากกระบวนการ ทำงานท่ลี งมอื ปฏิบตั ิ ดังนน้ั การประเมนิ การปฏิบัตจิ งึ ทำให้ผู้ประเมนิ ได้ตรวจสอบความสามารถและทักษะของ ผูเ้ รียนทั้ง 2 กรณี คือ กระบวนการและผลงาน 2. การประเมินการปฏิบัติสามารถใช้ประเมินคุณลักษณะทางจิตพิสัยของผู้เรียนได้ โดยที่ผู้ประเมิน สามารถสังเกต การแสดงออก ซ่ึงพฤติกรรมทางด้านจิตพิสัยของผู้เรียนได้โดยตรง เช่นพฤติกรรมในการให้ ความเอาใจใส่และสนใจในการทำงาน การให้ความร่วมมือกับกลุ่ม การควบคุมตนเอง การติดตามแก้ไขและ พยายามในการทำงานเพ่ือให้งานสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย คุณลักษณะเหลา่ น้ีเป็นวัตถุประสงค์สำคัญสำหรับ การเรียนการสอน ท่ีสร้างเสริมและพัฒนาให้เกิดกับ ผู้เรียนเพราะเป็นคุณลักษณะที่ติดตัวผู้เรียนต่อไปในการ ทำงานในอนาคต 3. การประเมินการปฏิบัติสามารถทำให้กระบวนการประเมินเป็นสว่ นหนึ่งของกระบวนการเรยี นการ สอนอย่างแท้จริง การประเมินการปฏิบัติก็เหมือนกับกิจกรรมหนึ่งของการสอนระหว่างท่ีผู้ได้รับการประเมิน กำลังดำเนินกิจกรรมต่างๆ หากครสู ามารถสงั เกตพบข้อบกพรอ่ งทเี่ กิดขึ้นในกระบวนการทำงาน ครูสามารถให้ การแนะนำข้อบกพร่องเหล่าน้ันได้ทันท่วงที การประเมินจึงมุ่งท่ีการพัฒนาผู้เรียนตามหลักของการประเมิน แทนที่ จะเป็นการประเมินเพื่อการตัดสินคุณค่าของส่ิงท่ีประเมิน ซึ่งทำให้กระบวนการประเมินส่งเสริมต่อ ศกั ยภาพในการสอนของครูให้เพิ่มข้นึ 4. การประเมินการปฏิบัติยอมให้ผู้เรียนท่ีมีความสามารถแตกต่างกันได้มีโอกาสแสดงศักยภาพของ เขาท้ังความสามารถ ทักษะ และคุณลักษณะได้เต็มท่ีท้ังนี้เพราะการประเมินการปฏิบัติเป็นการวัดพฤติกรรม ต่างๆ ของผู้เรียนอย่างหลากหลาย มิได้วัดเพียงรูปแบบใดรูปแบบหน่ึงของพฤติกรรมเท่านั้น จึงไม่ก่อให้เกิด ความลำเอียงในการวัดเฉพาะกับกลุ่มผู้เรียนกลุ่มใดกลุ่มหน่ึงเท่านั้นนอกจากน้ีการประเมินการปฏิบัติยัง สามารถสอบพฤติกรรมท่ีมีความซับซ้อนขึ้น มากกว่าการวัดความรู้และความเข้าใจ แต่สามารถตรวจสอบ
9 พฤติกรรมท่ีผูเ้ รียนสามารถนำความรู้ไปใช้ในการแก้ไขปัญหาในสถานการณ์จรงิ การประเมินการปฏิบัตจิ ึงเป็น ทางเลือกของการประเมินอีกทางหน่ึงที่เปิดโอกาสให้ครูใช้เคร่ืองมือในการประเมิน ที่หลากหลาย นอกเหนอื จากการใช้รูปแบบกระดาษดนิ สอแบบดงั้ เดิมเท่านนั้ การประเมินผลการเรียนภาคปฏิบัติเป็นการวัดผลจากการลงมือปฏิบัติจริงของผู้เรียนเพื่อมุ่งที่จะ ตรวจสอบความสามารถของผ้เู รียนในด้านต่างๆ เชน่ การเลือกใช้เครื่องมือ การทำงานเปน็ ข้ันตอน ความ คลอ่ งแคล่วในการทำงาน ความประหยัดคา่ วัสดุ เวลา และแรงงาน และความสำเร็จของผลงาน เปน็ ต้น การวดั ผลการเรียนภาคปฏิบัติแบง่ ออกได้หลายประเภทขึ้นอยกู่ บั เกณฑ์ ที่ใช้แบ่งมดี ังนี้ 1) แบ่งตามปัจจัยทจี่ ะประเมิน แบง่ เปน็ 2 ประเภทคือ 1.1) การวัดกระบวนการ (process) การทดสอบภาคปฏิบัติในลักษณะนี้ จะแตกต่างจากการ ทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยการทดสอบภาคปฏิบัตินี้เน้นในการประยุกต์ความรู้และทักษะ ท่ีเรียน มาประยุกต์กับสถานการณ์ใหม่ ลักษณะของการทดสอบนั้นจะให้ผู้เรียนได้มีการวางแผน การเสนอโครงการ แต่ยังไม่ได้ปฏิบัติจริง ตัวอย่างงานที่ให้ทำ เช่น การวางแผนการพยาบาล การจัดทำรายงานกรณีศึกษา การ จัดทำรายงานการประชุมปรึกษาทางการพยาบาล การปฏิบัติการพยาบาลต่างๆ การทำเตียง การดูแลให้ อาหารทางสายยาง เป็นต้น การประเมินควรใช้ประเภทแยกเป็นด้านๆ (trait-analytic) โดยพิจารณา องค์ประกอบต่างๆ เชน่ การใช้ความรู้ทักษะต่างๆในการรวบรวมขอ้ มูล คน้ คว้า จัดระบบสาระสำคญั เพื่อจัดทำ รายงาน ความรู้เกี่ยวกับผลงาน ความคิดริเริม่ สร้างสรรค์ แผนการดำเนินการ กระบวนการทำงาน การทำงาน เปน็ ทีม รวมถงึ การสง่ งานตรงเวลา เป็นต้น 1.2) การวดั ผลงานหรอื ผลผลติ (product) เป็นการวดั ท่ีพิจารณาผลผลิตทีเ่ กิดขึ้นจากการทำงานผู้เรียน เชน่ สภาพแวดลอ้ มท่ไี ด้รบั การดแู ล สภาพเตียงผ้ปู ่วย สภาพผูป้ ่วยภายหลังได้รับการดูแล รวมท้งั ความ สามารถในการใช้และเลือกใช้อปุ กรณ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เชน่ การเลอื กเข็มฉดี ยา ใหฟ้ ังเสยี งปอด เสียงหัวใจแล้วตอบว่าเป็นเสยี งประเภทใด มีความผิดปกตหิ รือไม่ มีสาเหตุมาจากอะไร และให้ระบุถึงการ พยาบาลหรือการดแู ลเมื่อมีอาการ เกณฑก์ ารให้คะแนนควรเป็น 0 - 1 คอื ตอบถกู หรือปฏบิ ัติได้ ได้ 1 คะแนน แต่ถา้ ตอบผิด หรอื ปฏิบัตผิ ดิ ได้ 0 คะแนน การประเมินแต่ละครง้ั อาจจะประเมินเฉพาะกระบวนการหรอื ประเมนิ เฉพาะ ผลผลติ หรอื ประเมินทัง้ กระบวนและผลผลิตพร้อมกันกไ็ ด้ 2) แบ่งตามลักษณะสถานการณ์ แบง่ เปน็ 2 ประเภทคือ 2.1) สถานการณจ์ ำลอง (simulated setting) การทดสอบแบบนี้ เนือ่ งจากไมส่ ามารถทจี่ ะนำ ผเู้ รยี นไปทดสอบภาคปฏิบัติกับสถานการณ์จรงิ ได้ อาจจะเนอื่ งจากมีอนั ตราย มีเวลาจำกัด มีเครื่องมือหรือ อปุ กรณ์จำกัด เปน็ ต้น จำเป็นตอ้ งกำหนดสถานการณข์ ึน้ มาใหค้ ลายคลึงกับสภาพความเป็นจรงิ มากท่สี ดุ เช่น การปฏิบัติทักษะทางการพยาบาล การปฏิบัติการพยาบาลในสถานการณ์จำลอง สำหรับการประเมินการฝกึ ทกั ษะจากสถานการณ์จำลองน้ัน ควรประเมินทั้งกระบวนการ (process) และผลงาน (product) โดยประเมิน จากการเตรยี มอุปกรณ์ (ถ้าผู้สอบต้องเตรยี มมาเอง) กระบวนการทำงาน การทำงานเปน็ ทมี รวมทงั้ การใชแ้ ละ การวางและเก็บเครื่องมือได้ถูกทใี่ นขณะปฏิบัติงาน ผลงานเสรจ็ และเปน็ ไปตามที่กำหนดหรือไม่ ใช้สาหรับ
10 วัดผลการปฏบิ ตั ิงานทส่ี ง่ิ อนั ตรายต่อบุคลท่ปี ฏิบตั ิ ถา้ ผ้ปู ฏิบัตินั้นไม่มีความชำนาญหรือทักษะเพียงพอ หรือใน สภาพจริงไมส่ ามารถได้ เช่น การฉีดยา การใสส่ ายยางใหอ้ าหาร เปน็ ตน้ 2.2) สถานการณ์จริง (real setting) เป็นการให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติงานจากสภาพจริง หรือคล้ายจริง มากที่สุด เพ่ือต้องการให้ผู้เรียนได้มีทักษะในการปฏิบัติ ให้เกิดการเรียนรู้ท่ีย่ังยืน และสามารสร้างองค์ความรู้ ด้วยตนเอง สามารถพัฒนาชีวิตของตนเองได้ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยส่ิงท่ีควรเน้น คือ การได้มี โอกาสเลือกแนวทางปฏิบัติด้วยตนเอง ผู้เรียนมีการประยุกต์ความรู้มาใช้ในการปฏิบัติงาน โดยอาจจะ ประยุกต์ใช้ความรู้ตรง ๆ (use knowledge) ปรับปรุงบ้างเล็กน้อย (apply knowledge) หรือ ปรับแต่งและ พัฒนาระบบ (enhance knowledge) การประเมินการปฏิบัติงานจากสภาพจริง ควรประเมินกระบวนการ ทำงาน ผลงาน และลักษณะนิสัย ตลอดจนคุณธรรมในการปฏิบัติงาน การประเมินผลบางกิจกรรมอาจใช้ทั้ง สถานการณ์จำลองและสถานการณ์จริงก็ได้ เช่น การทดลองฉีดยาอาจให้ทดลองฉีดกับหุ่นก่อน แล้วจึงไปฝึก ปฏบิ ตั ิกับคนจรงิ เป็นตน้ 3) แบง่ ตามการเกิดสิ่งเรา้ แบง่ เป็น 2 ประเภทคือ 3.1) ใชส้ ิง่ เรา้ ท่ีเปน็ ธรรมชาติ (natural stimulus) เป็นการวดั ผลท่ีเปน็ ไปตามธรรมชาติ ผู้วดั ไมต่ อ้ งไปจัด กระทำ หรือแทรกแซง หรือสร้างสถานการณใ์ ดๆ เช่น นสิ ยั การทำงานของผ้เู รยี น บคุ ลกิ ภาพของผู้เรยี น เป็น ตน้ 3.2) ใช้สิง่ เร้าทจี่ ดั ขน้ึ (structure stimulus) เปน็ การวดั ผลทผี่ ู้วดั ตอ้ งจดั ส่ิงเรา้ หรอื สถานการณ์ขึ้นเพ่ือ ประกันวา่ พฤตกิ รรมที่กำลังประเมินจะดอ้ งปรากฏ เชน่ การรายงานอาการผู้ป่วยจากสถานการณ์ SBL การ ปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลจากการสอบ OSCE เป็นตน้ โดยวธิ นี จ้ี ะลดเวลาการสงั เกตลงเพราะไมต่ ้องรอใหเ้ กดิ ขนึ้ ตาม ธรรมชาติ 4. คุณภาพของการประเมนิ ผลการเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Performance Assessment) การประเมินผลการเรียนจากการปฏิบัติท่ีมีประสิทธิภาพข้ึนอยู่กับความเข้าใจของผู้ประเมินต่อ วตั ถปุ ระสงค์การปฏิบัติ วิธีการต่างๆ เช่น การสงั เกต การตรวจผลงาน การตรวจบันทึกรายงานต่างๆจากการ ปฏิบัติ เครอื่ งมอื ทใ่ี ช้ เช่น แบบประเมินการปฏบิ ัตติ า่ งๆ 4.1 ผู้ประเมินมคี วามรูแ้ ละเข้าใจจุดประสงค์การฝกึ ปฏบิ ัติ การออกแบบกจิ กรรม การใช้เครือ่ งมือ ประเมิน สถานบันการศึกษาจะตอ้ งมกี ารจัดประชมุ /อบรมพยาบาลพ่ีเล้ียง ประสานงานกับแหล่งฝึกเพอื่ สรา้ ง ความเข้าใจ 4.2 การฝกึ ทักษะการสงั เกต การสังเกตเป็นเคร่ืองมือท่ีสำคัญ และเหมาะสำหรับการวัดทักษะการปฏิบัติกล่าคือให้ผเู้ รยี นได้ปฏิบัติ จริงแล้วผู้สอบใช้วิธีการสังเกต และอาจใช้เคร่ืองมือประกอบการสังเกต เช่น การบันทึกข้อมูลลงในแบบ ตรวจสอบรายการ หรือมาตราส่วนประมาณคา่ การใชก้ ารสงั เกตวัดทกั ษะการปฏิบตั ิเหมาะกับกรณีต่อไปนี้ 1. ข้อมลู ที่จะสังเกตควรเป็นข้อมูลจากแหลง่ ปฐมภูมิ (primary source) ทีค่ รูผู้สอนมโี อกาสเหน็ การ ปฏิบตั จิ ริงของผ้เู รยี นอย่างใกล้ชิด
11 2. ต้องการวดั ทกั ษะกระบวนการทำงานของผู้เรียน หรอื พฤตกิ รรมการทำงานหรอื คุณลกั ษณะการ ทำงานดา้ นจิตพิสยั ของผ้เู รยี น เชน่ ความสนใจ ความมีวินยั ในตนเอง ความรับผิดชอบ ความกระตือรือรน้ เป็น ตน้ 3. สามารถสังเกตพฤตกิ รรมหรือผลงานได้ และข้อมูลท่ีสงั เกตได้ควรทำซ้ำหรือตรวจสอบกับผู้อืน่ ได้ 4. ตอ้ งสงั เกตเฉพาะเร่อื ง วางแผนการสังเกตให้เป็นระบบแน่นอน มลี ำดบั ข้นั ตอนใหผ้ เู้ รียนปฏบิ ตั ิ อย่างชัดเจน การสงั เกตเพ่อื วัดทักษะการปฏิบตั ิงานนั้นนอกจากครูเปน็ ผู้สังเกตแล้วอาจให้ผู้เรียนสงั เกตกนั เองได้ เช่น สังเกตการณ์ปฏิบัตงิ านในกล่มุ ของตนเอง หรอื สงั เกตกลุ่มเพ่ือน แต่ต้องระวังในเรอ่ื งของความคลาด เคลือ่ นอนั เนื่องมาจากอคติ และความชำนาญในการสังเกต การสังเกตทักษะการปฏบิ ตั ิงาน มี 2 วิธี 1. การสังเกตตัวพฤตกิ รรม การสงั เกตในบางคร้ังครูไม่สามารถท่ีจะบันทึกพฤติกรรมของผู้เรียนไดท้ ุก คน หรือสังเกตพฤติกรรมหลายๆ อย่างได้ ดังนั้นครูจึงต้องสุ่มตัวอย่างพฤติกรรมที่ต้องการสังเกต และ พฤติกรรมที่ต้องการสังเกตน้ันต้องเป็นตัวแทนท่ีดีของพฤติกรรมที่ต้องการวัดในจุดป ระสงค์ที่สามารถจะวัดได้ ซ่ึงควรเป็นพฤติกรรมท่ีเกยี่ วข้องกับชีวิตที่แต่ละคนมีลักษณะแตกต่างกัน การสุ่มตัวอย่างพฤติกรรมเพ่ือสังเกต นั้น แบง่ เปน็ 3 ลักษณะ คอื 1.1การสุ่มเวลา (time sampling) เป็นการสังเกตโดยกำหนดช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เพื่อบันทึกพฤติกรรม ของผู้ถูกสังเกตลงในแบบบันทึกพฤติกรรมน้ันเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน ในช่วงเวลาใด การกำหนดเวลาท่ีจะสุ่ม อาจสุ่มไดท้ ุกคร่ึงชั่วโมงในแต่ละวันหรอื แต่ละสัปดาห์ หรือแลว้ แต่กำหนดก็ได้ แต่ต้องให้นานพอทจ่ี ะให้ได้ ข้อมลู หรือพฤติกรรมทเี่ ป็นตวั แทนที่ดีและพฤติกรรมทั้งหมดได้ ดังตวั อย่าง 1.2การสุ่มเหตุการณ์ (event sampling) เป็นการสังเกตที่ใช้กับเหตุการณ์ท่ีปรากฏขึ้นของแต่ละบุคคล หรือของแต่ละกลมุ่ บุคคลซ่ึงเป็นเหตุการณท์ ่เี ป็นกรณีพิเศษบางเหตกุ ารณเ์ ท่านั้น เชน่ พฤติกรรมการมาทา งานในวันหยุดของผู้เรียน พฤติกรรมผู้เรียนถูกทาโทษ เป็นต้น ซ่ึงเหตุการณ์เหล่านี้ไม่สามารถสุ่มเวลาได้ เพราะไม่อาจทราบวา่ จะเกดิ ขน้ึ เวลาใดแตเ่ ราจะสงั เกตเมือ่ เหตกุ ารณ์เกดิ ขน้ึ แลว้ 1.3การสุม่ คุณลกั ษณะ (trait sampling) เปน็ การสงั เกตโดยสุ่มคณุ ลักษณะทีค่ ล้ายกบั ส่มุ เหตกุ ารณ์แต่จะ เปน็ พฤติกรรมทีย่ ่อยกว่า มลี ักษณะเฉพาะกว่า เช่น การแสดง ความก้าวร้าว ความมวี นิ ัย ความสนใจใน การปฏบิ ตั ิงาน เป็นต้น 2. การสังเกตที่เป็นระบบมาตรฐาน การสังเกตระบบนี้ผู้สังเกตจะกำหนดสถานการณ์ในการสังเกต ใหเ้ ป็นระบบมาตรฐานเดียวกนั นกั เรียนทุกคนท่ถี ูกสังเกตจะถูกจัดให้อยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกัน ถูกสังเกต เร่ืองเดียวกัน เวลาท่ีสังเกตเป็นเวลาเดียวกันเพ่ือควบคุมสถานการณ์ หรือตัวแปรแทรกซ้อนอ่ืนๆ ซ่ึงจะทาให้ พฤติกรรมของผู้ถูกสังเกตเปลี่ยนแปลงไป ถือวา่ เป็นการสังเกตที่เป็นระบบแบบแผนอย่างเดียวกัน สามารถนา ผลการสังเกตมาเปรียบเทียบกันได้ด้วยความม่นั ใจกว่าสังเกตโดยวิธีปกติ การสังเกตจะได้ผลดีหรือไม่ข้ึนอยู่กับ องค์ประกอบตอ่ ไปนี้ 2.1 ความต้งั ใจ (attention) การสงั เกตจะได้ผลดีหากผสู้ ังเกตมีความตั้งใจตลอดเวลาท่ีสงั เกต ไม่มี อคตหิ รือความลาเอยี ง บนั ทึกเหตกุ ารณ์ตามการรับรู้อยา่ งตรงไปตรงมา 2.2 ประสาทสัมผสั (sensation) ผสู้ ังเกตจะต้องมีสุขภาพดี มปี ระสาทสมั ผัสท้ัง 5 ทีม่ ี ประสิทธภิ าพ ไม่สังเกตขณะที่หงุดหงดิ โมโห หรอื ง่วงนอน
12 2.3 การรบั รู้ (perception) ผ้สู ังเกตจะต้องมีการรบั รูท้ ี่ถูกต้องและรวดเร็วซ่ึงการจะรับรูไ้ ด้รวดเรว็ ถูกต้องหรอื ไม่ข้ึนอยู่กบั ประสบการณแ์ ละความสามารถของผู้สงั เกต 4.3 เคร่อื งมอื และเกณฑท์ ่ีใชใ้ นการประเมิน ในการประเมินรูปแบบใหม่ ผปู้ ระเมินควรจะกำหนดเกณฑ์ในการประเมิน และผู้เรียนควรจะได้ทราบ ก่อนลงมือทำงาน เกณฑ์การประเมินนี้จะระบุคุณภาพที่ต้องการให้ผู้เรยี นกระทำ แต่ละคะแนนบน rubric จะ สอดคล้องกับตวั อย่างการตอบสนอง ดังน้ันผู้เรียนจะรชู้ ัดเจนว่าครตู ้องการอะไร และเขาจะต้องทำอะไรเพ่ือจะ ได้คะแนนน้ันมา rubrics เป็นแนวทางการให้คะแนน (scoring guideline) ท่ีเกิดจากการรวมกันระหว่าง เกณฑ์การให้คะแนน (scoring criteria) กับ มาตราประมาณค่าหรือระดับคะแนน (rating scale) ซ่ึง rubrics จะเป็นแนวทางการให้คะแนนท่ีระบุถึงความแตกต่างของผลงานหรือประสิทธิภาพ (proficiency) ของงาน (McMillan, 2001 : 221 - 222) ลักษณะของ Rubrics ทดี่ ี rubrics เปน็ ชุดคะแนนท่เี ปน็ แนวทางสำหรับการประเมินผลงานของผูเ้ รียน ลักษณะที่ดีของ rubrics มดี ังน้ี (Wiggins, 1998 : 184) 1. มคี วามเกย่ี วขอ้ งกับจดุ มุง่ หมายหรือเป้าหมายทั่วไป (general goals) กลา่ วคือ เกีย่ วข้อง กับงานท่ีทำ 2. จำแนกการปฏิบตั ไิ ด้อย่างเทยี่ งตรง (performances validly) 3. ในแต่ละ rubric จะไม่มีการรวมเกณฑ์การให้คะแนน 4. วเิ คราะห์งานได้อยา่ งละเอียด 5. ภาษาที่ใช้อธิบายคุณลักษณะงาน จำแนกคุณภาพของงานได้ถูกตอ้ ง 6. สามารถตดั สินงานได้ถกู ต้อง 7. อธิบายอย่างชัดเจนในแต่ละระดบั ของคะแนน และมีความแม่นตรงในการให้คะแนนในตัวของมัน เอง 8. ตัดสินให้คะแนนจากผลงานท่ปี ฏบิ ตั ิเท่านน้ั มากกว่ากระบวนการ รูปแบบ เนื้อหา หรือความต้งั ใจ ในการทำงาน นอกจากน้ี วกิ กนิ้ (Wiggins, 1998 : 184 - 185) ได้นำเสนอคุณลักษณะของ Rubrics วา่ ต้องมีลักษณะ ดงั น้ี 1. มีความต่อเน่อื ง (Continuous) กล่าวคือ คะแนนแตล่ ะคะแนนมีความห่างเท่ากัน เช่น คะแนน 5 กบั 4 มีความต่างเทา่ กับ คะแนน 2 กบั 1 คือ หา่ งกันเท่ากับ 1 คะแนน 2. มคี วามเป็นคู่ขนาน (Parallel) คือ คำอธิบายแตล่ ะระดับของ Rubrics จะใช้คำอธิบายใน แต่ละคำอธบิ ายทบี่ ่งบอกถงึ เกณฑก์ ารให้คะแนนในระดบั นัน้ ๆ 3. มีความเกี่ยวเนื่องกัน (Coherent) ในแตล่ ะระดับของการใหค้ ะแนน 4. นำ้ หนักการใหค้ ะแนนในแตล่ ะระดับมีความเหมาะสม (Aptly weighted) มีเหตุผล (not arbitrary) น้ำหนักของคะแนนในแต่ละระดบั สามารถอ้างอิงไปยงั ระดับอ่นื ๆ ได้ 5. มคี วามตรง (Valid) คะแนนที่ให้ในแต่ละระดับเป็นคณุ ภาพของการปฏบิ ตั ิ เป็นจดุ สะท้อนถึง คณุ ภาพของงาน ไม่ไดเ้ น้นถึงปริมาณ เป็นเกณฑ์ตามสภาพจริง (authentic criteria) 6. เชือ่ ถือได้ (Reliable) กลา่ วคือ มีความคงเสน้ คงวาในการให้คะแนน ถึงแม้ใครจะเป็นผู้ ประเมนิ ก็ตาม และ จะประเมินในชว่ งเวลาใดกต็ าม
13 การสร้าง Rubrics การสร้าง Rubrics มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะจะทำใหก้ ารประเมินครอบคลุม พรอ้ มทั้งการให้ คะแนนเกิดความยุติธรรม หลกั การสร้าง Rubrics มีดงั นี้ (Mc Millan, 2001 : 224 – 228) 1. ต้องแนใ่ จวา่ เกณฑก์ ารให้คะแนนได้เน้นประเด็นทีส่ ำคัญของงาน 2. มคี วามสอดคล้องระหวา่ งระดับคะแนนกับจุดม่งุ หมายของการประเมิน ถา้ จุดมงุ่ หมายของการ ประเมินกวา้ งและต้องใช้การตัดสินทุกๆ ส่วนของชน้ิ งาน ควรจะใชก้ ารประเมินแบบภาพรวม (holistic scale) แต่ถา้ การประเมินตอ้ งการสะท้อนกลับให้เหน็ ความแตกตา่ งของประเด็นตา่ ง ๆ ของงงาน/การปฏบิ ัติควรใช้ การประเมินแบบรายละเอียดย่อย (analytical approach) 3. ข้อความทีเ่ ปน็ เกณฑ์ให้คะแนนควรจะประเมินหรอื สงั เกตได้ 4. เกณฑ์ควรจะเขยี นโดยผู้เรียน ผปู้ กครองและผทู้ เี่ ขา้ ใจในการสร้างเกณฑ์ 5. ลักษณะของการวดั ควรชัดเจนและนยิ ามอยา่ งเฉพาะเจาะจง 6.แสดงข้นั ตอนหรือลำดบั ช้ันท่ีเหมาะสมของคะแนนในแต่ละระดบั เพื่อให้เกิดความคลาดเคล่ือนน้อย ทสี่ ุด เพื่อหลีกเลยี่ งการให้คะแนนท่ีสงู เกินไป (generosity error) ต่ำเกนิ ไป (severity error) การให้คะแนน สว่ นใหญอ่ ยตู่ รงกลาง (central tendency error) และการใหค้ ะแนนทเ่ี กิดจากความพึงพอใจเป็นการส่วนตวั ของครทู ่ีมีต่อผเู้ รียนคนนั้นๆ (halo effect) 7. ระบบของการให้คะแนนต้องมีความเปน็ ไปได้ กล่าวคือ การใหค้ ะแนนนิยมแบง่ ระดับคะแนนเปน็ 5-8 ระดับ ดงั นนั้ ในแต่ละระดบั คะแนนต้องมคี วามชดั เจน และแยกจากกันได้ ขัน้ ตอนการสรา้ ง Rubrics ข้ันตอนในการสรา้ ง Rubrics มี 12 ข้นั ตอน ดงั นี้ 1. กำหนดกจิ กรรม/งานทจี่ ะประเมิน 2. กำหนดองคป์ ระกอบของเกณฑ์การประเมิน 3. นิยามปฏบิ ัตกิ ารให้สอดคล้องกับงานนน้ั ๆ 4. กำหนดจำนวนระดับของเกณฑ์ 5. พิจารณาเกณฑ์ผา่ นและไม่ผา่ นพร้อมคำอธิบาย 6. เขยี นคำอธิบายในแต่ละระดับ 7. ตรวจสอบโดยผเู้ ชีย่ วชาญ 8. ปรบั ปรุงแก้ไขจากความคิดเห็นของผเู้ ชย่ี วชาญ 9. ทดลองใช้เกณฑ์ตรวจสอบผลงาน 10. หาคณุ ภาพของเกณฑ์ เช่น Inter rater reliability 11. ปรับปรุงเกณฑ์ท่ีไม่ไดม้ าตรฐาน 12. จัดพิมพเ์ กณฑ์การประเมินเปน็ รูปเลม่ พร้อมคู่มือการใช้ การกำหนดเกณฑก์ ารประเมิน (Designing Rubrics) การกำหนดระดบั คะแนนใน Rubrics การกำหนดระดับคะแนนใน rubrics ส่วนใหญ่จะมีต้ังแต่ 3 - 6 ระดับ ข้ึนอยู่กับลักษณะของงาน และความต้องการของครูว่าจะพิจารณางานละเอียดมากน้อยเพียงใด การให้ระดับคะแนน 3 ระดับ คือ สูง- ปานกลาง-ต่ำ เป็นการง่ายในการอธิบายคุณลักษณะ และง่ายต่อการตัดสินใจ แต่ครูบางคนชอบใช้ 4 ระดับ เพราะสัมพันธ์กับการให้ grade คือ 1, 2, 3 และ 4 จะเลือกใช้อย่างไรข้ึนอยู่กับความต้องการของครูและ
14 ผเู้ รียน ท่ีจะตกลงร่วมกนั ในการกำหนดระดับคะแนน เมอ่ื ครแู ละผู้เรียนมีความเขา้ ใจ และมีทักษะแล้วค่อยเพ่ิม เป็น 5 หรอื 6 ระดบั ได้ การเขยี น Rubrics ในการเขียน Rubrics จะเรมิ่ จากเขียนแบบการประเมนิ ภาพรวม หรือ ประเมนิ แยกเป็นด้านๆ ก็แล้วแต่ความถนดั ของครโู ดยให้ยึดตามแนวทางคณุ ลักษณะท่ดี ีของ Rubrics ดงั ทก่ี ล่าวมาแลว้ เทคนคิ การเขยี น Rubrics อาจจะเร่ิมจากด้านดที ีส่ ุด กบั ด้านทีแ่ ย่ทีส่ ุด ใหต้ รงข้ามกนั ก่อน เพ่ืองา่ ยต่อการ เขียนในระดับอ่ืน ๆ หรือ อาจจะเขยี นด้านดีทสี่ ดุ ก่อน (เขียนเหมือนกบั แบบประเมนิ ภาพรวม) แล้วระบุดา้ นลบ หรือ ดา้ นไม่ดี ในระดับคะแนนทตี่ ำ่ ลงมา หรอื อาจจะเขียนดา้ นแย่ที่สุดก่อน เปน็ ด้านลบทั้งหมด ซึง่ เปน็ คะแนนต่ำสดุ แล้วในระดบั คะแนนทีส่ งู ขน้ึ ให้เพม่ิ ด้านบวกหรอื ด้านดีไปเร่อื ย ๆ ในทีน่ ีผ้ เู้ ขียนขอเสนอแนว ทางการเขียน Rubrics ดงั น้ี 1. การเขียนแบบประเมินภาพรวม ใหอ้ ธิบายคณุ ลักษณะของงานในแตล่ ะระดับ โดย ต้องให้ครอบคลมุ คุณภาพในระดบั นั้น แต่ต้องไมใ่ ชส่ ่ิงเพ้อฟัน เกนิ ความเป็นจรงิ จนผ้เู รียน ไมส่ ามารถท่จี ะปฏบิ ตั ไิ ด้ เช่น 2. การเขยี นแบบแยกเปน็ ด้าน ๆ การใหค้ ะแนนแบบน้ีจะดีกวา่ แบบประเมินภาพรวม เพราะ มีความเป็นปรนัยในการใหค้ ะแนนมากขึ้น และในการตดั สินใหค้ ะแนน ผปู้ ระเมนิ สามารถตดั สนิ ใจได้งา่ ยข้ึน โดยเทยี บงานกับเกณฑ์การให้คะแนนในแต่ละระดบั ในแตล่ ะประเดน็ การกำหนดเกณฑ์การประเมินที่ดี ต้องเหมาะสมกับงาน และมีเหตุมีผล บอกระดับก่อนหลังของ คะแนน (chronology) ผู้เรียนสามารถประเมินด้วยตนเองได้ จากเกณฑ์ที่ครูสร้างขึ้น เกณฑ์ ในการประเมิน โดยท่วั ไปมี 2 แบบ คอื 1. การกำหนดเกณฑ์โดยภาพรวม (Holistic) โดยการอธบิ ายลกั ษณะคุณภาพของงาน โดยจะมี คำอธิบายลักษณะของงานในแตล่ ะระดับไวอ้ ย่างชดั เจน เกณฑ์การประเมนิ ในภาพรวมนเ้ี หมาะทจี่ ะใช้ในการ ประเมินทักษะการเขียน สามารถทีจ่ ะตรวจสอบความต่อเน่อื ง ความคิดสร้างสรรค์ และความสละสลวยของ ภาษาทเ่ี ขียนได้ (บญุ เรียง ขจรศลิ ป์, 2544 : 61 - 60) 2. การกำหนดเกณฑ์โดยแยกเป็นด้าน ๆ (Trait - Analytic) เป็นการให้คะแนนเป็นส่วน ๆ โดย ระบุรายละเอียดออกเป็นดา้ น ๆ และแตล่ ะด้านมีคณุ ภาพอยา่ งไร เช่น การประเมนิ การเขียน จะมแี บง่ ดูดา้ น สำนวนภาษา ความคิดสร้างสรรค์ การเขยี นถูกหลักไวยากรณ์ หรอื การประเมินทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ อาจจะ พจิ ารณาด้านความถูกต้องในการคำนวณ และ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น กลา่ วโดยสรุป การสอน (การจัดกิจกรรมการเรียนร้)ู การสอบ (การวดั ผลการเรยี นรู)้ และการตัด เกรด (การประเมนิ ผลการเรียนรู้) เป็นกิจกรรมที่เก่ียวข้องสมั พันธ์กันอยา่ งเปน็ ระบบซ่ึงจำเป็นต้องวางแผนไป ดว้ ยกันเพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้บรรลุผลตามจุดมุ่งหมาย และผู้สอนสามารถประเมินผลการเรียนรู้ ของผเู้ รยี นไดอ้ ยา่ งยุติธรรมมีความโปรง่ ใสและสามารถตรวจสอบได้ ....................................................................
แผนการสอนในคลนิ ิก เร่ือง......................................................................................................................................................................................................................... สาหรับผ้เู รียน ………………………………………………………………………… จานวน……………………………………….…………คน สถานทสี่ อน …………………………………… …………………วนั ท่ี…………………………… ต้งั แต่เวลา…………น. ถึงเวลา……………น. ผ้สู อน………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………….…………………………………………………………………………………………………………………………… มโนทศั น์หลกั /ความคดิ รวบยอด (Concept) ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. วตั ถุประสงค์ เม่ือสิ้นสุดการเรียนการสอนนักศึกษาสามารถ 1. ……………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ……………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ………………………………………………………………………………………………………………………………………
วตั ถุประสงค์ เนื้อหา กจิ กรรมการเรียน สื่อการสอน การประเมนิ ผล ผลการสอน เชิงพฤตกิ รรม บทนา การสอน ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………………… ………………… ………………… ………………… หลงั จากเรียนจบ ………………………………………………………………………… ข้นั นาเขา้ สู่บทเรียน ………………… ………………… ………………… แลว้ สามารถ…… ………………………………………………………………………… ………………………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ……………………………................................................................... ………………………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ……………………………………………………………….............. ………………………….……… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………................ ………………….……………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………................ ………….……………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………................ ….………………………….…… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………................. …………………….…………… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………................ …………….…………………… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………................. …….………………………….… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………................. ……………………….………… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………................ ………………………………… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………................. ………………………………… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………................. ………………………………… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………................. ………………………………… ………………… ………………… ………………… ………………………………… …………………………………
วตั ถุประสงค์ เนื้อหา กจิ กรรมการเรียน ส่ือการสอน การประเมนิ ผล ผลการสอน การสอน เชิงพฤติกรรม เน้ือหา……………………………………………………………… ข้นั ดาเนินการสอน ………………… ………………… ………………… หลงั จากเรียนจบ ………………… ………………… ………………… แลว้ สามารถ…… ………………………………………………………….................... ………………………….……… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………............ ………………….……………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………............ ………….……………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………............. ….………………………….…… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………............ …………………….…………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………............ …………….…………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………........... …….………………………….… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………............. ……………………….………… ………………… ………………… ………………… ………………………………………………………………............. ………………………………… ………………………………………………………………............. ………………………………… ………………………………………………………………............. ………………………………… ………………………………………………………………............. ………………………………… ………………………………………………………………............ …………………………………
วตั ถุประสงค์ เนื้อหา กจิ กรรมการเรียน ส่ือการสอน การประเมินผล ผลการสอน เชิงพฤตกิ รรม สรุป การสอน ……………… ………………… ……………………… - ควรรวบรวมแนวคิดและประโยชนจ์ ากการสอนท้งั ใน ……………… ………………… ……………………… ……………….. ข้นั สรุป ……………… ………………… ……………………… ………….…..… ปัจจุบนั และอนาคตวา่ เป็ นอยา่ งไร มิใช่การทบทวนส่ิงท่ี ……………………………… ……………… ………………… ……………………… ………….…….. สอนมาต้งั แตต่ น้ …………………………………………. ……………………………… ……………… ………………… ……………………… ………….…….. - หรือสรุปภาวะเสี่ยง หรือภาวะวกิ ฤติที่ตอ้ งการการดูแล การ ……………………………… ……………… ………………… ……………………… ………………… ระวงั การป้องกนั หรือการดูแลเป็ นพเิ ศษ ท้งั ในระยะส้นั ……………………………… ……………… ………………… ……………………… ………………… และระยะยาว……………………………………………… ……………………………… ……………… ………………… ……………………… ……..…………. ………………………………………………………………… ……………………………… ……………… ………………… ……………………… ………………………………………………………………… ……………………………… ……………… ………………… ……………………… ………………………………………………………………… ……………………………… ……………… ………………… ……………………… ………………………………………………………………… ……………………………… ……………… ………………… ……………………… ………………………………………………………………… ……………………………… ……………… ………………… ……………………… ………………………………………………………………… ……………………………… ……………… ………………… ……………………… ………………………………………………………………… ……………………………… ……………… ………………… ……………………… ………………………………………………………………… ……………………………… ……………… ………………… ……………………… ………………………………………………………………… ……………………………… ……………… ………………… ……………………… ………………………………………………………………… ……………………………… ……………… ………………… ……………………… ………………………………………………………………… ……………………………… ……………… ………………… ……………………… ………………………………………………………………… ……………………………… ………………………………
บรรณานุกรม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครปฐม แผนการสอนแบบ Nursing Clinic Teaching เรื่อง การพยาบาลเพ่อื ป้องกนั การเกิดกลา้ มเน้ือลีบโดยการออกกาลงั กายในผปู้ ่ วยท่ีไดร้ ับการผา่ ตดั ขอ้ เขา่ เทียม สาหรับ นกั ศึกษาหลกั สูตร พยาบาลศาสตรบณั ฑิต ช้นั ปี ที่ 2 จานวน 8 คน สถานทสี่ อน หอผปู้ ่ วยออร์โธปิ ดิกส์หญิง วนั ที่ 25 กุมภาพนั ธ์ 2563 ต้งั แต่เวลา 11.00 น. ถึงเวลา 11.45น. ผู้สอน มโนทศั น์หลกั /ความคดิ รวบยอด(concept) การผา่ ตดั เปล่ียนขอ้ เข่าเทียมเป็นการผา่ ตดั เพื่อรักษาผปู้ ่ วยขอ้ เข่าเส่ือมที่ผวิ ขอ้ สึกหรอไม่สามารถประสบความสาเร็จโดยวธิ ีการรักษาอ่ืนๆ โดยหลงั ผา่ ตดั ผปู้ ่ วยตอ้ งไดร้ ับการฟ้ื นฟูสมรรถภาพของกลา้ มเน้ือขาเพื่อใหผ้ ปู้ ่ วยสามารถกลบั ไปทากิจวตั รประจาวนั ใหไ้ ดม้ ากที่สุด วตั ถุประสงค์ทว่ั ไป เม่ือสิ้นสุดการเรียนการสอนนกั ศึกษาสามารถ 1. มีความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การดูแลผปู้ ่ วยหลงั ผา่ ตดั ขอ้ เข่าเทียม 2. ตระหนกั ถึงความสาคญั ในการดูแลตนเองของผปู้ ่ วยท่ีไดร้ ับการผา่ ตดั ขอ้ เข่าเทียม 3. สามารถนาความรู้เกี่ยวกบั การดุแลตนเองของผปู้ ่ วยท่ีไดร้ ับการผา่ ตดั ขอ้ เข่าเทียมไปแนะนาแก่ผปู้ ่ วยได้
วตั ถุประสงค์ เนื้อหา กจิ กรรมการเรียน ส่ือการสอน การประเมนิ ผล ผลการสอน เชิงพฤตกิ รรม บทนา การสอน สาระการเรียนรู้ -ทกั ทายผเู้ รียน 1. เพ่ือใหน้ กั ศึกษา ข้นั นา (5 นาท)ี - เขา้ สู่บทเรียนโดย รูปภาพ - สงั เกตความสน ความจาเป็นในการเรียนรู้เร่ืองการพยาบาลเพ่ือป้องกนั การเกิดกลา้ มเน้ือลีบโดยการ ถามผเู้ รียนเก่ียวกบั โปสเตอร์ภาพ ใจและความพร้อม ตระหนกั ถึงความ ออกกาลงั กายในผปู้ ่ วยท่ีไดร้ บั ผา่ ตดั ขอ้ เข่าเทียม ประสบการณ์การดูแลผปู้ ่ วยผา่ ตดั ประสบการณ์การ ผปู้ ่ วยผา่ ตดั ในการเรียนของ เปลี่ยนขอ้ เข่า โดยมีวตั ถปุ ระสงคใ์ นการสอนคร้ังน้ีเพ่ือปรับปรุงการพยาบาลเพ่ือ ดูแลผปู้ ่ วยท่ีไดร้ ับ เปลี่ยนขอ้ เข่า ผเู้ รียน จาเป็ นในการเรี ยนรู้ ป้องกนั การเกิดกลา้ มเน้ือลบี โดยการออกกาลงั กายในผปู้ ่ วยกรณีตวั อยา่ ง ที่มีปัญหา การผา่ ตดั เปลี่ยนขอ้ เทียม เร่ืองการผา่ ตดั ขอ้ เข่าเทียมใหด้ ีข้นึ เข่า เรื่องการพยาบาลเพื่อ เนื้อหา (10 นาท)ี การผา่ ตดั เปล่ียนขอ้ เข่าเทียมคือการผา่ ตดั เพอ่ื นาผิวขอ้ เข่าเดิมที่เส่ือมสภาพออก และ ป้องกนั การเกิด ทดแทนผวิ ขอ้ ใหมด่ ว้ ยขอ้ เขา่ เทียม ควรพจิ ารณาผา่ ตดั เปล่ียนขอ้ เขา่ เทียมเม่ือผปู้ ่ วย โรคขอ้ เข่าเสื่อมที่รับการรักษาดว้ ยวธิ ีการไมผ่ า่ ตดั (การใชย้ าการทากายภาพบาบดั กลา้ มเน้ือลีบโดยการ และการปรับเปลี่ยนการใชง้ านขอ้ เข่า)อยา่ งเตม็ ท่ีแลว้ ยงั ใหผ้ ลการรักษาท่ีไม่ดี โดยยงั มีลกั ษณะต่อไปน้ีอยู่ ออกกาลงั กายในผปู้ ่ วย -ยงั มีอาการปวดที่รุนแรงจนไมส่ ามารถทากิจวตั รประจาวนั พ้นื ฐานไดป้ กติ เช่น ยนื /เดินลาบาก ลกุ นงั่ ลาบาก จาเป็ นตอ้ งใช้ ที่ไดร้ ับการผา่ ตดั ขอ้ อุปกรณ์ช่วยพยงุ เดินตลอด - มีการผดิ รูปของขอ้ เขา่ เช่น เข่าโกงเขา้ ในหรือโก่งออกนอกอยา่ งมาก เขา่ เทียม 2. เพ่ือกระตุน้ ความ -โปสเตอร์ รูปภาพ สนใจและใหน้ กั ศึกษา แลกเปล่ียนเรียนรู้ ประสบการณ์เร่ืองการ พยาบาลเพื่อป้องกนั การเกิดกลา้ มเน้ือลีบ โดยการออกกาลงั กาย ในผปู้ ่ วยที่รับผา่ ตดั ขอ้ เข่าเทียม
วตั ถุประสงค์ เนื้อหา กจิ กรรมการเรียน สื่อการสอน การประเมนิ ผล ผลการสอน เชิงพฤตกิ รรม เนื้อหา (ต่อ) การสอน เวชระเบียน วธิ ีการ - ขอ้ เขา่ ยดึ พสิ ยั การเคล่ือนไหวขอ้ เขา่ ลดลงงอและเหยยี ดเข่าได้ ประวตั ิ ถามคาถามนกั ศึกษา นกั ศึกษาสามารถ ไมเ่ ตม็ ที่เหมือนเดิม ข้นั ที่ 1 ผปู้ ่ วย ถึงสาเหตุของการ - จาเป็นตอ้ งใชย้ าเพอื่ ลดอาการปวดทุกวนั หรือเกิดผลขา้ งเคียง ครูและนกั ศึกษา -ขอ้ มลู เกิดขอ้ เขา่ เสื่อม รวบรวมขอ้ มูล จากยาจนทาใหไ้ ม่สามารถใชย้ าได้ ประชุมเพ่อื ทาความ กรณีศึกษา เกณฑ์ กรณตี วั อย่าง เขา้ ใจขอ้ มลู ผปู้ ่ วย นกั ศึกษาตอบ ของผปู้ ่ วยได้ หญิงไทย อายุ 61 ปี การวนิ ิจฉยั โรค Osteoarthritis Right knee ร่วมกนั คาถามไดถ้ ูกตอ้ ง 3 อาการสาคญั ทม่ี าโรงพยาบาล -นกั ศึกษาที่ไดร้ ับ จาก 5 ขอ้ ครบถว้ นและ ปวดเขา่ ขวา 2 ปี ก่อนมารพ. แพทยน์ ดั มาผา่ ตดั มอบหมายใหศ้ ึกษา 1. อายมุ าก ประวตั กิ ารเจบ็ ป่ วยในปัจจบุ ัน กรณีศึกษานาเสนอ 2. น้าหนกั เกินมีผล ถกู ตอ้ ง ~ 8 ปี ก่อนมารพ.ปวดเข่า 2 ขา้ ง ขา้ งขวามากกวา่ ขา้ งซา้ ย ambulate ได้ ขอ้ มูลพ้นื ฐาน ใหเ้ ข่ารับน้าหนกั 2 ปี ก่อนมารพ. ปวดเขา่ ขวามากข้ึน มีเขา่ ผดิ รูป ตอ้ งการผา่ ตดั สถานการณ์/ปัญหา มากเกินไป ประวตั กิ ารเจบ็ ป่ วยในอดตี การพยาบาล 3. กรรมพนั ธุ์ มีประวตั ิเป็ นโรคความดนั โลหิต รับประทานยาและรักษาตอ่ เน่ืองที่โรงพยาบาล -สมาชิกกลมุ่ ศึกษา 4. อบุ ตั ิเหตุจากการ ราชบุรี จากเวชระเบียน เล่นกีฬาหรือการ ประวตั คิ รอบครัว (การเจบ็ ป่ วย/ปัญหา) -ซกั ถาม ทางาน ปฏิเสธมีประวตั ิเจบ็ ป่ วยในครอบครัว -ครูและนกั ศึกษา สาเหตุ อภิปรายร่วมกนั สาเหตุทพ่ี บในผ้ปู ่ วยรายนี้ ผปู้ ่ วยมีอายมุ าก และรูปร่างอว้ น 1. ปัญหาทางการ สาเหตุทพี่ บในผู้ป่ วยรายอื่นๆ โรคน้ีอาจเกิดจากกรรมพนั ธุ์ หรือขอ้ อาจไดร้ ับ พยาบาลท่ีพบใน อบุ ตั ิเหตจุ ากการเล่นกีฬา หรือจากการทางาน ผปู้ ่ วยรายน้ี 2. วตั ถปุ ระสงคก์ าร ปรับปรุงการ พยาบาลในผปู้ ่ วยท่ี ไดร้ ับการผา่ ตดั
วตั ถุประสงค์ เนื้อหา กจิ กรรมการเรียน ส่ือการสอน การประเมนิ ผล ผลการสอน เชิงพฤตกิ รรม -นกั ศึกษาสามารถ พยาธิสภาพ การสอน -chart เปรียบเทียบสาเหตุการ ผปู้ ่ วยรายน้ีเป็ นผสู้ ูงอายแุ ละมีรูปร่างอว้ นทาใหข้ อ้ เข่ารับน้าหนกั มาก และ เปล่ียนขอ้ เข่าเทียม กระดาษ เกิดโรคของผปู้ ่ วยกบั 3. การเตรียมความ ทฤษฎีได้ ทาใหก้ ระดูกอ่อนของเข่ามีการเสื่อมสภาพ ซ่ึงกระดูกอ่อนไมส่ ามารถเป็ นเบาะรองรับ พร้อมในการนา น้าหนกั มีการสูญเสีย คุณสมบตั ิของน้าหลอ่ เล้ียงเข่า เมื่อมีการเคลือ่ นไหวของขอ้ เขา่ ผปู้ ่ วยเขา้ มาร่วม -นกั ศึกษาสามารถ ก็จะเกิดการเสียดสี และเกิดการสึกหรอของกระดูกออ่ น ผวิ ของกระดูกอ่อนจะแขง็ ไม่ ศึกษา เช่น เปรียบเทียบอาการและ เรียบ เม่ือขอ้ เขา่ เคลื่อนไหวจะเกิดเสียงดงั ในขอ้ และเกิดอาการเจบ็ ปวดในผปู้ ่ วยรายน้ี ขอ้ สงั เกตท่ีตอ้ ง อาการแสดงโรคของ จะพบวา่ ขอ้ เขา่ มขี นาดใหญข่ ้นึ ซ่ึงเกิดจากขอ้ เขา่ มีการอกั เสบจึงมีการสร้างน้าขอ้ เข่า ศึกษาเพิม่ เติมขอ้ มลู ผปู้ ่ วยกบั ทฤษฎีได้ เพมิ่ ทาใหเ้ กิดการบวม ปวดขอ้ เข่าได้ และเมื่อขอ้ เข่าเสื่อมมากข้ึน กระดูกอ่อนจะมี ที่ตอ้ งการชนิด ขนาดบางลง ผิวจะขรุขระ จะมีการงอกของกระดูกข้ึนมาเรียกวา่ osteophyte คาถามท่ีจะใชก้ บั อาการและอาการแสดง ผปู้ ่ วย อาการและอาการแสดงทพี่ บในผ้ปู ่ วยรายนี้ - ผสู้ อนร่วมซกั ถาม - อาการปวด มีลกั ษณะปวดต้ือ ๆ ปวดเร้ือรัง อาการปวดจะมากข้ึนเมื่อมีการลงน้า แสดงความคิดเห็น หนกั ลงบนขอ้ เข่า ข้นั ที่ 2 - มีขอ้ เข่าบวมและผดิ รูป (swelling and deformity) ขอ้ เขา่ มีขนาดใหญ่ข้นึ ครูและนกั ศึกษา - มีเสียงดงั กรอบแกรบ (crepitus) ในขอ้ เขา่ ขณะเคล่ือนไหว ร่วมกนั สอนผปู้ ่ วย เพอื่ ปรับปรุงการ พยาบาลผปู้ ่ วย เปลี่ยนขอ้ เข่าเทียม โดย 1. ครูและนกั ศึกษา ร่วมทกั ทาย
วตั ถุประสงค์ เนื้อหา กจิ กรรมการเรียน สื่อการสอน การประเมนิ ผล ผลการสอน เชิงพฤตกิ รรม - มีการสูญเสียการเคล่ือนไหวและการทางาน เดินไม่สะดวก การสอน วธิ ีการ อาการและอาการแสดงทพี่ บในผ้ปู ่ วยรายอ่ืน ๆ ถามคาถามนกั ศึกษา ผปู้ ่ วยรายอื่นอาจมีอาการของขอ้ ฝื ด (stiffness) ซ่ึง จะมีการฝื ดของขอ้ ในช่วงเชา้ และ 2. ครูและนกั ศึกษา ถึงอาการของการ หลงั จากพกั ขอ้ นาน ๆแต่มกั ไม่เกิน 30 นาที ร่วมศึกษากรณี เกิดขอ้ เข่าเส่ือม การตรวจเพ่ือการวนิ ิจฉัย ตวั อยา่ ง เกณฑ์ การตรวจเพื่อการวนิ จิ ฉัยในผ้ปู ่ วยรายนี้ ข้นั ที่ 3 วเิ คราะห์ นกั ศึกษาตอบ - ซกั ประวตั ิและตรวจร่างกายโดยเนน้ ที่การตรวจขอ้ เขา่ ซ่ึงจะพบลกั ษณะที่สาคญั คือ และประเมินขอ้ มูล คาถามไดถ้ กู ตอ้ ง 2 ขอ้ บวมและผดิ รูป ขอ้ เข่ามขี นาดใหญ่ข้ึน มีเสียงดงั กรอบแกรบในขอ้ เข่าขณะ พฤติกรรมผปู้ ่ วย จาก 4 ขอ้ เคลื่อนไหว โดย 1. ปวดเร้ือรัง ปวด -การตรวจทางหอ้ งปฏิบตั ิการ 1. ครูและนกั ศึกษา มากเมื่อลงน้าหนกั Hct 39% ร่วมกนั อภิปราย 2. ขอ้ เขา่ บวมและ PLT COUNT 307,000/Cu.mm ขอ้ สงั เกตท่ีได้ ผดิ รูป WBC 9,880/Cu.mm เปรียบเทียบ 3. มีเสียงดงั กรอบ การตรวจเพ่ือการวนิ ิจฉัยในผู้ป่ วยรายอ่ืน ๆ ความคิดจากตารา แกรบในขอ้ เขา่ ขณะ - การถา่ ยภาพรังสี ก็จะพบวา่ ช่องวา่ งระหวา่ งกระดูกเขา่ แคบลงซ่ึงหมายถึงกระดูก และสิ่งท่ีผปู้ ่ วย เคลื่อนไหว อ่อนมีการสึกหรอ หากสึกมากก็ไมพ่ บช่องวา่ งดงั กลา่ ว ไดร้ ับจริง 4. สูญเสียการ - การเจาะเลือด เพือ่ วนิ ิจฉยั แยกโรคที่อาจจะเป็นสาเหตขุ องโรคปวดเขา่ เร้ือรัง 2. ครูและนกั ศึกษา เคล่ือนไหว เดินไม่ หาขอ้ ยตุ ิตดั สินส่ิงท่ี สะดวก เหมาะสมที่สุดมาใช้ ปฏิบตั ิจริงกบั ผปู้ ่ วย กรณีตวั อยา่ ง 3. นกั ศึกษาร่วมกนั สรุปผลการศึกษา และการปฏิบตั ิการ พยาบาลท่ีจะไปทา
1 แผนการนิเทศ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครปฐม ชื่อผู้นิเทศ ............................................................................................. สถานท่ีนิเทศ หอผปู้ ่ วย......................................โรงพยาบาล.......................... จานวนนักศึกษารับการนิเทศ ......... คน วนั เวลาทน่ี ิเทศ ………………………
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329