๙๐ รูปแบบที่สมบูรณ์ของการตอบสนองปัจจยั การพฒั นาและความตอ้ งการในการพฒั นาคือ จุดสมดุล ของ ความตอ้ งการและการตอบสนองท่ีถูกเชื่อมตอ่ เนื่องกนั ไปจนเป็ นกราฟเส้นตรงเส้นเดียวกนั ดงั น้นั รูปแบบ นวตั กรรมการส่ือสารแนวพุทธเพื่อการพฒั นาเกษตรกรสู่เศรษฐกิจพอเพียง จึงประกอบไปดว้ ย ๕ ทฤษฎี หลกั ๑๕หลกั ธรรมกากบั และวดั ผลดว้ ย ๑๕ ดชั นี ซ่ึงรูปแบบนวตั กรรมในงานวิจยั คร้ังน้ียงั สามารถปรับ ใชใ้ นประเทศที่แตกต่าง ท้งั เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดลอ้ มและวฒั นธรรม เพราะสังเคราะห์จากหลกั ของ ธรรมชาติคือ หลกั ธรรม ๙๗) ฉลอง พนั ธ์จันทร์ (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เรื่อง การจัดการการท่องเทย่ี วเชิงวปิ ัสสนากรรมฐาน ในพืน้ ทอ่ี สี านตอนกลาง กรณจี ังหวดั ขอนแก่นและ จังหวดั มหาสารคาม ๙ วตั ถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาแนวคิด การปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน การประเมินศกั ยภาพการจดั การและกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวิปัสสนา กรรมฐานในพ้ืนที่อีสานตอนกลาง กรณีของจงั หวดั ขอนแก่นและจงั หวดั มหาสารคามเป็ นการศึกษาแบบ ผสมผสานท้งั เชิงปริมาณและคุณภาพ การวิจยั เชิงปริมาณใชแ้ บบสอบถามจากกลุ่มตวั อยา่ ง จานวน ๔๐๐ คน และวเิ คราะห์ขอ้ มูลดว้ ยสถิติพรรณนา ไดแ้ ก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย และคา่ เบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิจยั เชิงคุณภาพ โดยใชแ้ บบสัมภาษณ์เชิงลึกร่วมกบั การสังเกตแบบมีส่วนรวม จานวน ๓๐ คน และนาขอ้ มูล ท้งั สองส่วนมาวเิ คราะห์เน้ือหาและขอ้ มูลดว้ ยสถิติเชิงพรรณนา ผลการวจิ ยั พบวา่ ในพ้นื ที่อีสานตอนกลาง มีแนวคิดการปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน ๔ ประเภท คือ ๑) พุทโธ ๒) ยุบ-พอง ๓) เคลื่อนไหว และ ๔)โก เอนกา้ สาหรับศกั ยภาพการจดั การของพ้ืนท่ีมีความโดดเด่นดา้ นหลกั สูตรท้งั สาหรับชาวไทยและหลกั สูตร นานาชาติ มีปฏิทินการปฏิบตั ิธรรมท่ีหลากหลายต้งั แต่ ๓ ถึง ๓๐ วนั และมีรูปแบบการปฏิบตั ิที่ชัดเจน ส่วนกิจกรรมการท่องเที่ยวซ่ึงเป็นที่นิยมมากท่ีสุด คือ การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน การไหวพ้ ระและสวด มนตโ์ ดยนกั ทอ่ งเท่ียวส่วนมากใชร้ ะยะเวลา ๑-๓ วนั ๙๘) ฉลอง พันธ์จันทร์(๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาวิจยั เร่ือง รูปแบบการท่องเท่ียวเชิงวิปัสสนากรรมฐาน ของนักท่องเที่ยวในพื้นที่อีสานตอนกลาง กรณจี ังหวดั ขอนแก่นและจังหวดั มหาสารคาม๙ วตั ถุประสงค์ เพือ่ ๑)หลกั การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน ๒)รูปแบบการทอ่ งเที่ยวเชิงวปิ ัสสนากรรมฐานของนกั ท่องเท่ียว แบบไปเชา้ -กลบั เยน็ และส่วนที่ท่องเที่ยวมีถึงธรรม พฒั นาสถานท่ีใหม้ ีความพร้อมใชง้ านดาเนินและ ๓) การจดั การท่องเที่ยวเชิงวิปัสสนากรรมฐานสาหรับนกั ท่องเท่ียวในพ้ืนท่ีอีสานตอนกลาง กรณีจงั หวดั ขอนแก่นและจงั หวดั มหาสารคาม เป็ นการศึกษาแบบผสมผสานท้งั เชิงปริมาณและคุณภาพ การวิจยั เชิง ปริมาณใช้แบบสอบถามจากกลุ่มตวั อยา่ ง จานวน ๔๐๐ คน ดว้ ยการสุ่มตวั อย่างอย่างง่ายและวิเคราะห์ ขอ้ มูลดว้ ยสถิติพรรณนา ไดแ้ ก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวจิ ยั เชิงคุณภาพ โดยใช้ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกและการสังเกตแบบมีส่วนรวมกบั ผมู้ ีส่วนเกี่ยวขอ้ ง จานวน ๓๐ คน นาขอ้ มูลท้งั สอง ๙ ฉลอง พนั ธจ์ นั ทร์. การจดั การการท่องเท่ียวเชิงวปิ ัสส๗นากรรมฐาน ในพ้นื ท่ีอีสานตอนกลาง กรณีจงั หวดั ขอนแก่นและ จงั หวดั มหาสารคาม. ว.วเิ ทศศึกษา . ๘(๑) : ๑๒๕-๑๔๖. ๙ ฉลอง พนั ธ์จนั ทร์. ๒๕๖๑ . รูปแบบการท่องเท่ียวเช๘ิงวปิ ัสสนากรรมฐานของนกั ท่องเที่ยวในพ้นื ที่อีสาน ตอนกลาง กรณีจงั หวดั ขอนแก่นและจงั หวดั มหาสารคาม . ว.ภาษา ศาสนา และวฒั นธรรม . ๗(๑) : ๒๔๓-๒๖๗.
๙๑ ส่วนมาวิเคราะห์เน้ือหาและขอ้ มูลดว้ ยสถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจยั พบว่า ในพ้ืนท่ีอีสานตอนกลาง มี หลกั การปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานท่ีสาคญั ๔ ประเภท คือ ๑) ยุบพอง ๒)พุทโธ ๓)เคลื่อนไหว ๔)โก เอนกา้ นกั ท่องเทียวส่วนมากใชร้ ูปแบบการทอ่ งเที่ยวแบบไปเชา้ -กลบั เยน็ คิดเป็ นร้อยละ ๖๐.๐๐ ส่วนการ จดั การท่องเที่ยวเชิงวิปัสสนากรรมฐานในพ้ืนท่ีจงั หวดั ขอนแก่น มีค่าเฉลี่ยโดยรวมในระดบั มากเท่ากบั ๔.๓๒ และค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานท่ี ๐.๖๙๑ และพ้ืนที่จงั หวดั มหาสารคาม มีค่าเฉลี่ยโดยรวมในระดบั มาก เท่ากบั ๔.๐๙ คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐานที่ ๐.๗๗๔ จากการทบทวนวรรณกรรมจากบทความวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง จานวน ๙๘ บทความวจิ ยั ประมวลสาระ จากบทความวิจยั จาแนกประเด็นการศึกษา โดยจดั หมวดหมู่ของบทความวิจยั ดงั ต่อไปน้ี ๑) ฐานกาย ประเด็นสาระดงั น้ี ๑.๑)ฐานกายสู่การปฏิบตั ิฐานเพ่ือพฒั นาคุณภาพชีวิต ๑.๒) ฐานกายกบั การพฒั นา คุณภาพชีวติ ของผสู้ ูงอายุ ๑.๓) ความสมั พนั ธ์ฐานกายกบั การรักษาโรค ๒) ฐานเวทนา ประเดน็ สาระดงั น้ี ๒.๑)ความสุขจากเวทนา ๒.๒)ความทุกขจ์ ากเวทนา ๒.๓)รูปแบบการเขา้ ถึงเวทนา ๓)ฐานจิต ประเด็น สาระดงั น้ี ๓.๑)แนวทางการพฒั นาฐานจิตนาทาง ๓.๒)จิตปัญญาศึกษา ๓.๓)ฐานจิตกบั พุทธจิตวิทยา ๓.๔)ฐานจิตกบั ความฉลาดทางธรรม ๓.๕)ฐานจิตกบั ผูส้ ูงอายุ ๓.๖)ฐานจิตกบั การละคร๔) ฐานธรรม ประเด็นสาระดงั น้ี ๔.๑)ลกั ษณะความหมายฐานธรรม ๔.๒)การนาโยนิโสมนสิการเพื่อฝึ กสติสาหรับ เยาวชน ๔.๓)การพฒั นาปัญญาจากสถานที่ปฏิบตั ิธรรม ๔.๔)ฐานธรรมเพื่อการพฒั นาคุณภาพชีวิต ๔.๕) ฐานธรรมบูรณาการกบั การพฒั นาการท่องเท่ียวและหลกั เศรษฐกิจพอเพียง โดยนาเสนอการอภิปรายผล การรวบรวมต่อไปน้ี สรุปวา่ จากการทบทวนงานวรรณกรรมที่เกี่ยวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นงานวิจยั ท่ีมีลกั ษณะ ความเป็ นนามธรรมสูง การสร้างระเบียบวิธีการวจิ ยั เพ่ือคน้ หาบนฐานงานวิชาการมีความยากที่จะอธิบาย ความไดเ้ น่ืองจากมีความหลากหลาย เนื่องจากเป็ นการนาเรื่องสติไปบูรณาการกบั งานวิจยั ท่ีเป็ นศาสตร์ ตามความสนใจของผูศ้ ึกษาวิจยั เอง งานด้านเฉพาะกรณีเร่ืองมหาสติปัฏฐาน จึงเกี่ยวขอ้ งไปมาเพียง บางส่วนซ่ึงไม่เป็ นท้งั หมด ความยากของงานวิจยั เชิงนามธรรมคือการอธิบาย และความยากของผวู้ ิจยั คือ การไม่ไดเ้ กี่ยวขอ้ งไปทุกศาสตร์ เป็ นความทา้ ทายการเข้าถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ แล้วหลาย บทความเพียงเป็นการยนื ยนั ถึงประโยชน์สูงสุดของคาสอนพระพุทธเจา้ ถือเป็นความจริงสูงสุดประมาณค่า มิได้ ดงั จะเป็นหลายบทความวจิ ยั ที่ไดท้ บทวนมาแลว้ ขา้ งตน้ ดงั น้นั งานวจิ ยั เร่ืองน้ี จึงใชพ้ ระสูตรในพระไตรปิ ฎกเป็นแกนหลกั เพ่ือทาการศึกษา วเิ คราะห์และ สังเคราะห์ เหมือนท่ีว่า เม่ือมีความจาเป็ นตอ้ งทาความเขา้ ใจตอ้ งอาศยั แนวคิดทฤษฎี แต่เม่ือถึงฝ่ังบรรลุ ธรรมแลว้ ตอ้ งทิ้งแนวคิดทฤษฎีให้หมด คือ ตอ้ งทิ้งเรือท่ีอาศยั มา เรือ คือ พระสูตรมหาสติปัฏฐาน ๔ ถา้ เอาไปดว้ ยมนั ก็จะหนกั ที่จะถือไปทาไม ดงั น้นั เรากาลงั พายเรือลาน้ี เมื่อจะขา้ มฝ่ังกระแสแห่งความทุกข์ เรือลาน้ีจึงมีความจาเป็ นที่จะช่วยเราให้ถึงฝ่ังและขา้ มฝ่ังไปได้ เพ่ือหนทางไปสู่ทางพน้ ทุกข์ ไปสู่พระ นิพพาน
๙๒ กรอบแนวคดิ ของการวจิ ัย อธิบายท่ีมาเพ่ือสร้างกรอบแนวคิดการศึกษาวจิ ยั (Conceptual Framework) เป็นการผสมผสานจาก จากงานวทิ ยานิพนธ์ ปี ๒๕๕๙ เรื่อง “การสังเคราะห์วทิ ยานิพนธ์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ระหวา่ งปี ๒๕๔๐-๒๕๕๕” และ ปี ๒๕๖๑ โครงการวิจยั เรื่อง “การสังเคราะห์วรรณกรรมเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔” พบว่า การเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากหนงั สือวรรณกรรมหรือวทิ ยานิพนธ์ เป็นขอ้ สรุปภาพรวมมาจาก ๔ หรือแนวประเด็นสรุปผลการวิจยั แตล่ ะสาระที่มาของปัญญา ดงั ต่อไปน้ี ตารางท่ี ๒.๑ การวเิ คราะห์ปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ท่ีมาจากแหล่งขอ้ มูลจาแนกตามลกั ษณะ การจัดประเภทลกั ษณะปัญญา อธิบายความหมาย ข้อสรุปผลงานรูปแบบการ เข้าถงึ ปัญญา แหล่งประเภทปัญญา สร้าง Mind mapping รูปแบบปัญญาจาก ตาราตา่ ง ๆ และเกี่ยวกบั ความหมายปัญญาท่ีมา Model เพอ่ื เขียนเป็นบทสรุป พระไตรปิ ฎก หรือ หนงั สือเกี่ยวกบั มหาสติ จากงานประเภท สร้าง Mind mapping ปัฏฐาน เป็นวชิ าการ อา้ งพระไตรปิ ฎก วชิ าการ Model เพือ่ เขียนเป็นบทสรุป คมั ภีร์ ตารา เป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร อา้ งอิงคา สร้าง Mind mapping บาลีเพือ่ อธิบายความ เน้ือหาสาระ Model เพื่อเขียนเป็ นบทสรุ ป รูปแบบปัญญาจากแนวคาสอนครูบาอาจารย์ ความหมายปัญญาท่ีมา สร้าง Mind mapping จาก เนน้ แนวทางการปฏิบตั ิและเชื่อมโยง จากประเภทแนวคิด Model เพอื่ เขียนเป็นบทสรุป แนวคิด หลกั การ และวธิ ีการคาสอน คาสอน สอน ครูบาอาจารยอ์ ธิบายเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ครูบาอาจารย์ รูปแบบปัญญาจาก การตกผลึกความคิดที่ได้ ความหมายปัญญาที่มา คน้ คิดเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ตามแนวทาง จากการแนวคิดผเู้ ขา้ ใจ ความรู้ความเขา้ ใจเรื่องมหาสติปัฏฐาน หรือ เองจากการตกผลึก ผ้บู รรยายธรรมทม่ี คี วามรู้ความเข้าใจเร่ือง ความรู้ สร้างข้ึนเอง มหาสติปัฏฐาน ๔ รูปแบบปัญญาจากแนวบูรณาการศาสตร์ ความหมายจากปัญญา สมยั ใหม่ นาหลกั การเรื่องมหาสติปัฏฐาน มาจาก การนาศาสตร์ ไปบูรณาการกบั ศาสตร์สมยั ใหม่ หรือนาไป ไปบูรณาการ ประยกุ ตใ์ ช้ ประยกุ ตใ์ ชไ้ ดข้ า้ ม ศาสตร์
๙๓ กรอบแนวคดิ เรื่อง รูปแบบการเข้าถงึ ปัญญาเร่ืองมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ ลกั ษณะปัญญา รูปแบบปัญญา รูปแบบปัญญาจาก ตาราต่าง ๆ และเกี่ยวกบั พระไตรปิ ฎก ปัญญา เรื่องมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ รูปแบบปัญญาจากแนวคาสอนครูบาอาจารย์ ระดับสุตมยปัญญา รูปแบบปัญญาจากการตกผลึกความคิดที่ไดค้ น้ คิด ระดับจินตามยปัญญา รูปแบบปัญญาจากแนวบูรณาการศาสตร์สมยั ใหม่ ระดบั ภาวนามยปัญญา สมมติฐานการวจิ ัย งานวจิ ยั ประเภทคุณภาพสร้างความเป็นขอ้ สมมติฐานในเชิงปริมาณายากเนื่องจากไมส่ ามารถแทน ค่าดว้ ยตวั แปรต่าง ๆ ได้ แลว้ นาไปทดสอบสมมติฐานท่ีไดต้ ้งั ไว้ แต่สาหรับงานวิจยั เร่ืองน้ี ผูศ้ ึกษามีแนว ทางการสร้างสมมติฐานที่มากจากขอ้ ความนามธรรมระดบั หน่ึง แลว้ ไปทาการทดสอบด้วยตวั เองของ งานวจิ ยั และอาศยั งานวิจยั บุคคลอ่ืน ๆ อาศยั ขอ้ ความต้งั ไวใ้ นใจ ทาการทดสอบโดยอาศยั หลกั การเขา้ ถึง โดยผศู้ ึกษาวจิ ยั มีขอ้ สมมุติฐานงานวจิ ยั ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑) แนวทางการปฏิบตั ิตามสติปัฏฐาน ๔ ฐานซ่ึงท้งั ๔ ฐานอาจไม่มีกฎเกณฑก์ ่อนหลงั จะกาหนด อิริยาบถอยา่ งเดียว หรือกาหนดเฝ้าจิตความคิดอยา่ งเดียว จะพิจารณาธรรมอยา่ งเดียว ควรไดพ้ ฒั นาสติให้ สามารถรู้ตวั ทว่ั พร้อม ให้รู้ทุกอยา่ งท้งั กายเวทนาจิตธรรม กาหนดใหร้ ู้หลายๆอยา่ งพฒั นาให้มากๆรู้แบบ ทว่ั ถึงกายเวทนาจิตธรรม ในพระไตรปิ ฎกพระพุทธเจา้ ตรัสไวอ้ ยา่ งกวา้ งๆ เป็นทฤษฏี ไมแ่ ตกตา่ งจากอรรถ กถา มีองค์ ๓ ไดแ้ ก่ (๑) อาตาปี ความเพียร (๒)สติมา ความมีสติระลึกเสมอ (๓) สัมปชาโน ความรู้ตวั ทว่ั พร้อม การปฏิบตั ิจะเป็ นอย่างตามข้นั ตอนก็ได้ จะปฏิบตั ิอย่างไม่มีข้ันตอนก็ได้ แล้วให้หาจุดกลาง เชื่อมโยงใหพ้ บวา่ ตนเองมีความเหมาะสมอยา่ งไรหรือจึงทาใหส้ ภาวธรรมมีความกา้ วหนา้ ๒) การศึกษาปริยตั ิอยา่ งเดียวจะทาให้เกิดความสงสยั ในคาสอน เป็นเหตุใหเ้ ขา้ ไม่ถึงธรรมได้ ตอ้ ง ปฏิบตั ิควบคู่กนั ไป หรือ การทาความเขา้ ใจเรื่องสติปัฏฐานอยู่ตรงฐาน ๔ ฐาน อาจตอ้ งมีหลกั เกณฑ์ ก่อนหลงั ซ่ึงอาจทาใหเ้ ขา้ ถึงการบรรลุธรรมไดโ้ ดยง่ายตามลาดบั เพื่อใหข้ ้นั ตอนมีผลแต่ละตอนการเขา้ ถึง เป็ นไปตามลาดบั เพ่ือความเขา้ ใจการฝึ กฝนโดยการวดั ความกา้ วหนา้ หนทางบรรลุธรรมจาตอ้ งมีนิยามการ เรียกช่ือใหเ้ ขา้ ใจตรงกนั
๙๔ ๓) รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐานเป็ นเรื่องไม่มีอะไรถูกและอะไรผิด งานวิจยั เป็ น เร่ืองวิชาการ ทางสมมติบญั ญตั ิไปทางปัญญาความเขา้ ใจทางโลกวชิ าการ ส่วนแนวทางปฏิบตั ิอาจเป็ นอีก เรื่องราวเป็ นคาอธิบายอีกรูปแบบ ดงั คาถามที่ว่า ทาไมครูบาอาจารยส์ อนปฏิบตั ิภาวนาชื่อเสียงเป็ นท่ี ยอมรับในการปฏิบตั ิกรรมฐานในสมยั ก่อนก็ไม่ได้มีการศึกษางานวิทยานิพนธ์ หรืองานวิชาการแต่ สามารถอธิบายการปฏิบตั ิดว้ ยการเรียนรู้ดว้ ยจากการฝึ กปฏิบตั ิดว้ ยประสบการณ์เป็ นท่ีเขา้ ใจไดง้ ่ายเขา้ ถึง ไดง้ ่ายกวา่ การการยึดติดนิยามความหมายหรือเชิงอรรถหรือติดรูปแบบการปฏิบตั ิจนกลายเป็ นการยึดมน่ั ถือมน่ั ไปเป็นอุปสรรคการเขา้ ถึง ๔)มหาสติปัฏฐาน ๔ ไป ดงั น้นั ผศู้ ึกษาแนะนาหลกั การสายกลาง คือ ศึกษาทางตาราหนงั สือเขา้ ใจ ปริยตั ิแลว้ ไม่ติดให้ปล่อยว่าง และศึกษาแนวทางไม่ยึดติดปริยตั ิตามพระไตรปิ ฎก หรือคาสอนครูบา อาจารยใ์ หถ้ ูกกบั จริตตนและวดั ผลความกา้ วหนา้ ทางการบรรลุธรรมตามหลกั ปริยตั ิแลว้ ปล่อยวา่ ง หาทาง สายกลางเป็นหนทางเขา้ สู่การปฏิบตั ิมหาสติปัฏฐาน ๔ หาทางสายกลางระหวา่ งแนวคิดทฤษฎี ปริยตั ิ และ มุง่ สู่ทางปฏิบตั ิ ผลปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จะเกิดข้ึน ๕) กรณีศึกษาแนวคิดสอนของครูบาอาจารยเ์ นน้ สายการปฏิบตั ิวิปัสสนาภาวนาไดร้ ับการยกยอ่ ง การปฏิบตั ิเป็นสายสานกั ปฏิบตั ิธรรมในประเทศไทย ถอดหลกั คาสอนจากน้าเสียงคาสอนทา่ นเพื่อนาไปสู่ ความเขา้ ใจอยา่ งแจ่มแจง้ การขยายความคาสอนโดยครูบาอาจารย์ การอธิบายความของสติปัฏฐาน ๔ ขอ้ คน้ พบวา่ กายเวทนาจิตธรรม อธิบายเร่ืองเช่ืองโยงไปโดยอาศยั แกนหลกั อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ไมว่ า่ จะอธิบาย แกนหลกั จากกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน วา่ ฐานกายจะเป็ นฐานดีที่สุด ตนเห็นไดช้ ดั เป็ นรูปกายหยาบแลว้ ถอนนามธรรมไปเรื่อย ๆ เป็ นเวทนาเป็ นจิตเป็ นธรรม จากฐานกายแลว้ เช่ือมโยงไปหลกั เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน และจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ได้เช่นกนั ไม่ว่าจะเร่ิมตน้ อย่างไรตามความคิดเห็นผูศ้ ึกษา เสนอแนะวา่ ก็อยูก่ บั จริตหรือตวั ผปู้ ฏิบตั ิ แลว้ วนั หน่ึงคนเรามีจริตไดห้ ลายหลายท้งั ความโลภ ความโกรธ ความหลง บางคร้ังก็ไมแ่ น่ชดั วา่ มีกิเลสอยา่ งไรตวั ใด สาคญั คือสร้างดว้ ยความเพยี รและความตอ่ เนื่องอยา่ ง ไม่ ยอ่ ทอ้ จะนาสติไปปัก บนฐานใด เพื่อใหส้ ติมีความต่อเนื่องจนกิเลสไม่อาจเขา้ ไปได้ ก็ถือวา่ เป็ นการ เจริญสติปัฏฐานไดเ้ ช่นกนั แนวคิดครูบาอาจารยห์ รือสานกั ปฏิบตั ิเป็ นกรอบแนวทาง โดยไม่มีการยึดติด สายปฏิบตั ิหรือรูปแบบการปฏิบตั ิหรือวา่ ยดึ มน่ั ถือมนั่ วา่ สายครูบาอาจารยใ์ ดจะดีกวา่ กนั หรือคมั ภีร์ใด ๖) เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ข้ึนกบั วา่ เราจะศึกษาเอาอะไรเป็นจุดแก่นหลกั หรือจุดยนื ที่มองออกไป ณ ขณะเส้ียวของเวลาน้นั ปักไว้ กาย เวทนา จิต ธรรม แลว้ ขยายความเขา้ ใจจบั สติใหท้ นั ถา้ จุดเนน้ ต่างกนั ความหมายไม่เหมือนกนั ข้นั ตอนต่างกนั แต่แทจ้ ริงเรื่องกายเวทนาจิตธรรม แยกส่วนกนั ไม่ไดเ้ ป็ นเร่ือง เดียวกนั เพียงแต่ผสมผสานกนั อยา่ งไรข้ึนกบั มุมมองอยา่ งไรให้เขา้ ใจท้งั หมด การเขา้ ใจทฤษฎีเรื่องมหาสติ ปัฏฐาน ทาให้ผูป้ ฏิบตั ิเขา้ ถึงการบรรลุธรรมไดด้ ีตอ้ งอยู่บนฐานความไม่ยดึ มนั่ ถือมนั่ ส่ิงใดในโลก ดงั คา กล่าวในพระไตรปิ ฎก
๙๕ บทท่ี ๓ ระเบยี บวธิ ีการวจิ ยั จากงานวิจยั เร่ือง รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นระเบียบวธิ ีวิจยั เชิงคุณภาพ ลกั ษณะเป็ นการผสมผสานทุกอย่างในงานวิจยั เรื่องรูปแบบการเข้าถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เนื่องจากเป็ นลกั ษณะงานวิจยั ที่มีนามธรรมสูง นาไปสู่การถอดการอธิบายความเป็ นรูปธรรม ดว้ ยการ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และนาไปสร้างรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ดงั น้นั ผูศ้ ึกษาวจิ ยั จึง กาหนดแนวทางการศึกษาไวห้ ลายหลายแนวทาง นาเสนอเป็นข้นั ตอนระเบียบวธิ ีวจิ ยั ดงั ต่อไปน้ี ตารางที่ ๓.๑ วธิ ีการศึกษาตามวตั ถุประสงคง์ านวจิ ยั จาแนกตามการวเิ คราะห์และการสร้างรูปแบบ วธิ ีการศึกษา รูปแบบการเข้าถงึ ปัญญาเร่ืองมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ วเิ คราะห์ ศึกษาเกบ็ จากการ ศึกษา ศึกษาจาก สร้างรูปแบบ รูปแบบการเขา้ ถึง ขอ้ มูลวจิ ยั สมั ภาษณ์ รูปแบบ การปฏิบตั ิ (Model) (Model) แบบสอบถาม สนทนา เฉพาะ ธรรมดว้ ย สรุป ธรรม กรณีศึกษา ตวั เอง ศึกษา ฐานกายานุปัสสนา Mก๑ ๒ ๓ ๔ Model ๑ กรณีศึกษา การปฏิบตั ิ M ฐานกาย สติปัฏฐาน n Model ๒ ๑ สมาธิ ฐานเวทนานุปัสสนา Mว๑ ๒ ๓ ๔ Model ๓ กรณีศึกษา ภาวนา M ฐานเวทนา สติปัฏฐาน n Model ๔ ๒ ตาม ฐานจิตตานุปัสสนา Mจ๑ ๒ ๓ ๔ ………… กรณีศึกษา รูปแบบ M ฐานจิต สติปัฏฐาน n Model (n) ๓ ของผู้ ฐานธรรมานุปัสสนา Mธ๑ ๒ ๓ ๔ ศึกษาวจิ ยั M ฐานธรรม สติปัฏฐาน n ผลเป้าหมาย ผลวจิ ัย การวเิ คราะห์ การปฏบิ ตั ิ การตก รายงาน ภาพรวม การสารวจ เพื่อสร้าง ผสาน ผลกึ ผลการวจิ ัยฉบับ ความคดิ เหน็ รูปแบบ เชิงลกึ รูปแบบ สมบูรณ์ จากตารางที่ ๓.๑ แสดงการอธิบายระเบียบวิธีการวจิ ยั เรื่องรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติ ปัฏฐาน ๔ เป็นการสร้างรูปแบบท่ีมาจากการวิเคราะห์รูปแบบของประชากรและกลุ่มตวั อยา่ งงานวจิ ยั โดย อาศยั เคร่ืองมือวจิ ยั เพื่อการเกบ็ ขอ้ มูลงานวจิ ยั โดยผลการศึกษาตามผใู้ หข้ อ้ มูล สรุปเป็นประเดน็ และนาไป เสนอเป็นบทความวจิ ยั แต่ละประเดน็ เป็นส่วน ๆ ต่อไป
๙๖ ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง ประชากรและกลุ่มตวั อย่างงานวิจยั จาแนกดงั ต่อไปน้ี ๑) รายช่ือผลงานวิทยานิพนธ์ ปี ๒๕๕๙ เร่ือง “การสังเคราะห์วิทยานิพนธ์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ระหวา่ งปี ๒๕๔๐–๒๕๕๕ ” ผูเ้ ป็ นเจา้ ของผลงานวิทยานิพนธ์ ๒) รายชื่อผลงานวิจยั ปี ๒๕๖๑ เร่ือง “การสังเคราะห์วรรณกรรมเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔” เป็ นผสู้ ร้างงานวรรณกรรมท่ีมีเผยแพร่ตามทอ้ งตลาด หนงั สือวรรณกรรมทว่ั ไป ๓) รายชื่อพระวิปัสสนาจารยท์ วั่ ประเทศ ตามหนงั สือสานักปฏิบตั ิธรรม ประจาจงั หวดั และพระวปิ ัสสนาจารย์ ๔) ผเู้ ชี่ยวชาญนาเรื่องมหาสติปัฏฐานจากสานกั ปฏิบตั ิธรรมพ้ืนที่ โดยทาการรวบรวมรายชื่อท้งั หมดจดั ประเภทตามกลุ่มตวั อยา่ งและประชากรเพื่อทาการศึกษา ตารางท่ี ๓.๒ แสดงแหล่งขอ้ มูลเพ่อื กาหนดวธิ ีการสร้างเครื่องมืองานวจิ ยั แตล่ ะประเภท แหล่งข้อมูล วธิ ีการกาหนดประเด็นคาถาม ๑) งานวทิ ยานิพนธ์ สกดั หลกั การเพ่อื กาหนด ประเด็นคาถามทว่ั ไป คาถามเฉพาะ เกี่ยวกบั งานหนงั สือ ประเดน็ คาถาม เจา้ ของผลงาน วรรณกรรมปัจจุบนั ๒) ผใู้ หส้ มั ภาษณ์ จาแนกตามกลุ่ม คาถามเฉพาะเจาะจง ทว่ั ไป ผเู้ ชี่ยวชาญ ดา้ น -พระวปิ ัสสนาจารย์ เหมาะสมกบั ขอ้ มูล -บงั เอิญสุ่มโดยเลือก วปิ ัสสนากรรมฐาน -สานกั ปฏิบตั ิวปิ ัสสนา -ต้งั ใจเลือก กรรมฐาน เฉพาะเจาะจง ๓) การอบรมเชิง -การเขา้ ถึงโดยการร่วม กรณีศึกษา ๑)ใหค้ วามรู้เป็น ปฏิบตั ิการ สังเกตการณ์ หรือเป็นส่วน -หลกั การบูรณาการ ประโยชน์ต่อ หน่ึงของกระบวนการโดย แบบวทิ ยาศาสตร์ ประชาชนทว่ั ไป ลกั ษณะการอบรม สุขภาพ SKT ๒)ศึกษารูปแบบการ -การทดลองเป็นส่วนหน่ึง -หลกั NLP จดั การความรู้ที่เป็ น ท้งั เป็นผสู้ ังเกตการณ์และ -การปฏิบตั ิธรรมตาม ทางธุรกิจไดเ้ พอื่ สร้าง เป็นผเู้ ขา้ ร่วมกระบวนการ แนวทางทา่ นโกเอ็นกา้ หลกั สูตรอบรม ๔) การฝึกปฏิบตั ิ -ประเด็นคาถามต้งั จาก -การอธิบายภายในการ การทดสอบขอ้ ความ ดว้ ยตวั เอง สมมติฐาน และทดสอบ สื่อสารดว้ ยตวั เอง ที่ไดส้ ร้างข้ึนไว้ สมมติฐาน -การฝึกปฏิบตั ิตาม อธิบายในรูปแบบ -คาถามที่ต้งั ไว้ รูปแบบเฉพาะกรณี ตวั เอง
๙๗ เครื่องมือในการวจิ ัย ผศู้ ึกษาวจิ ยั สร้างเคร่ืองมือการวจิ ยั ที่มีความหลายหลาย เพอ่ื ใหเ้ ป็นแนวทางวธิ ีการวจิ ยั ตามรูปแบบ ท่ีเหมาะสมตามสถานการณ์ที่เป็นจริง ปรับเปลี่ยนใหเ้ หมาะสมกบั ประเด็นงานวจิ ยั สร้างสรรคร์ ะเบียบวธิ ี วิจยั ทางพระพุทธศาสนาให้มีความหลากหลาย การวางแผนการดาเนินงานวิจยั เป็ นงานวิจยั นามธรรม ระดบั สูง โดยสรุปการสร้างเครื่องมือในการวจิ ยั จาแนกเป็ นประเภทดงั ต่อไปน้ี (๑) แบบสอบถามทวั่ ไป (๒) แบบสัมภาษณ์ (๓) แบบศึกษาเฉพาะกรณีศึกษา (๔)การฝึ กปฏิบัติการศึกษาด้วยตนเอง ดัง รายละเอียดต่อไปน้ี ประเภท ๑) การศึกษาโดยแบบสอบถาม โดยอธิบายไดด้ งั น้ี ๑) ผู้วจิ ัยสร้างเคร่ืองมือจากข้อสรุปงานวจิ ัยปี ๒๕๕๙ และ ปี ๒๕๖๑ สร้างเป็ นแบบสอบถามเป็ น แนวทางการต้งั คาถามเพ่ือทาการศึกษาวิจยั คน้ หารูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ มาจาก การวิเคราะห์และการสร้างรูปแบบนาเสนอเป็ นขอ้ สรุปงานวจิ ยั โดยสร้างเป็ นเครื่องมือเพื่อทาการสารวจ ในเบ้ืองตน้ โดยสรุปประเด็นคาถาม จาแนกเป็ นคาถามงานวิจยั เพ่ือนาไปสู่การสารวจเป็ นเบ้ืองต้น ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑) ด้านคาถามทวั่ ไป : รูปแบบทว่ั ไป ไดแ้ ก่ ขอ้ ๑) พระสูตรเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ มีความสาคญั ต่อการฝึ กปฏิบตั ิสมาธิภาวนา ขอ้ ๒) การเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นปัญญาระดบั ภาวนามย ปัญญา ควรฝึกเขา้ ถึงดว้ ย วธิ ีการปฏิบตั ิมากกวา่ แนวคิดทฤษฎี หรือปริยตั ิ ตารา คมั ภีร์ พระไตรปิ ฎก ขอ้ ๓) นิยามความหมายปัญญา ท่ีเกิดจากระดบั ปัญญาภาวนามยปัญญา มีวธิ ีการเขา้ ถึงอยา่ งไร และมีลกั ษณะของ ปัญญา สาหรับเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นอยา่ งไร ขอ้ ๔) ฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต ฐานธรรม วธิ ีการ เขา้ ถึงปัญญาอยา่ งไร และฐานใดมีความสาคญั กวา่ กนั ๒) ด้านกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน : รูปแบบฐานกาย ไดแ้ ก่ ขอ้ ๕) กายเป็นท่ีต้งั ของความรู้สึก เป็น ท่ีปฏิบตั ิธรรม เป็ นที่ประชุมแห่งความจริง เพ่งกายตามรู้กาย วธิ ีการนาลมหายใจเอาสติมาต้งั ไว้ ทาความ รู้ตวั ฝึ กอิริยาบถใหญ่ ยอ่ ย และเคลื่อนไหว เป็ นอุปกรณ์กรรมฐานสร้างความรู้สึกตวั สรุปวา่ กายเป็ นฐาน หยาบดีท่ีสุด สาหรับปฏิบตั ิการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ขอ้ ๖) หลกั การเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ สาระสาคญั ปฏิบตั ิเน้นภาวนาบริกรรม “พุทโธ” ถา้ ไม่มีคาบริกรรมไม่ได้ เมื่อปฏิบตั ิจิตสงบต้งั มนั่ แลว้ ยกข้ึนพิจารณาองค์ธรรม คาบริกรรมจะหายไปเอง ดงั น้ัน ตอ้ งฝึ กโดยอาศยั คาบริกรรม “พุทโธ” เป็ น เบ้ืองตน้ ขอ้ ๗) เจริญอานาปานสติกาหนดลมหายใจ ทาใหเ้ กิดสติเกิดปัญญา จิตปี ติปราโมทยท์ ุกลมหายใจ เขา้ ออก เป็ นการฝึ กจิตตามกายใหส้ มาธิเป็ นฐานกาหนดจิต พิจารณากายอิริยาบถยืนเดินนงั่ นอน ใหจ้ ิตใส่ ใจในอิริยาบถ ขอ้ ๘) วิธีการปฏิบตั ิลกั ษณะ ๑)วิธีการเจริญสมาธิแบบธรรมชาติ หรื อ๒)ตามแบบแผน เทคนิควธิ ีเพ่ือเป็ นอุบายให้เกิดสมาธิ เดินจงกรม กาหนดลมหายใจ ใชค้ าภาวนา กาหนดลมหายใจพร้อม “พุทโธ”ใชป้ ัญญาปฏิบตั ิธรรม จิตมีสมาธิ คือ เป็ นผูด้ ู ผูร้ ู้ ผูร้ ู้สึกตวั จิตเป็ นกาลงั พฒั นาอริยสัจ หยงั่ รู้ใน ฌาณ เห็นไตรลกั ษณ์
๙๘ ๓) ด้านเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน : รูปแบบฐานเวทนา ไดแ้ ก่ ขอ้ ๙) เน้นอารมณ์ปัจจุบนั ทา ความรู้สึกตวั ผสั สะกระทบอายตนะภายในภายนอก มีสติตามรู้เวทนา เวทนาอาศยั รูปเกิด ปรุงแต่งเวทนาท่ี ไหนกาหนดท่ีน้นั ใหร้ ู้ทุกขท์ ่ีต้งั ไว้ กาหนดอาการนามลกั ษณะตา่ ง ๆ สุข ทุกข์ อุเบกขา ตอ้ งวางเป็นกลางให้ มีสัมปชัญญะควบคุม สติกาหนดชัดจะเห็นอารมณ์ชัด สรุปว่า ฐานเวทนาเป็ นจุดศูนยก์ ลางเชื่อมโยง ระหวา่ งฐานกาย ฐานจิต และฐานธรรม ๔) ด้านจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน : รูปแบบฐานจิต ไดแ้ ก่ ขอ้ ๑๐) การฝึกภาวะจิตใหส้ งบ เพง่ จิต ให้น่ิง ดูจิต ต้งั จิต พฒั นาจิต ยกจิตข้ึนสู่วิปัสสนาให้จิตเห็นไตรลกั ษณ์ นาธรรมมาพิจารณาสร้างปัญญา ญาณ ยกระดบั จิตไปสู่ภาวะจิตด้งั เดิมที่ไม่ปรุงแต่ง ขอ้ ๑๑) วธิ ีการดูลมหายใจใหถ้ ูกวธิ ีโดยฝึ กจิต มีสติอยู่ กบั กาย ความรู้สึก จิต ปรากฎการณ์ นาฌานสู่ญาณใชจ้ ิตตามดู สู่จิตวา่ ง อาศยั ฐานกาย เวทนา จิต และธรรม และสร้างการรู้ตวั พิจารณารูปนาม วางจิตเป็ นอุเบกขา ต่อทุกสภาวธรรม ปรากฏการณ์ท่ีเขา้ มากระทบ เขา้ ใจรู้จกั ส่ิงท่ีเกิดข้ึนตามความเป็นจริงกฎของไตรลกั ษณ์ ขอ้ ๑๒) ความบริสุทธ์ิแห่งจิต จิตเดิมแทไ้ ม่ปรุง แต่ง สติกาหนดจิตตามรู้จิต ที่ต้งั แห่งการทางานจิตคือกรรมฐาน จิตตภาวนาเคร่ืองมือพฒั นาจิตให้สูง ฝึ กฝนจิตให้จิตต้งั มนั่ จิตมองเห็นดว้ ยตาใจ ตื่นตระหนกั รู้ สร้างดวงจิตด้วยปัญญา สรุปว่า จิตเป็ นการ เขา้ ถึงปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญา ขอ้ ๑๓) การพฒั นาจิตบริสุทธ์ิ สะอาด ใชโ้ ดยเครื่องมือคือมหาสติปัฏ ฐาน ๔ พจิ ารณากาย เวทนา จิต ธรรม นาไปสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางจิต เป้าหมายการฝึกจิตบริสุทธ์ิ คือเจริญสมาธิวปิ ัสสนา โดยสร้างพ้ืนฐานสติ คือ ใชก้ าหนดลมหายใจต้งั จิตพิจารณาทุกส่ิงตามความเป็ น จริงให้รู้ถึงความไม่เท่ียงตามกฎไตรลกั ษณ์ ขอ้ ๑๔) การผูกสติอยู่บนฐานจิต สร้างสติบนกายดว้ ยความ รู้สึกตวั ชดั เจน สติตามรู้ทนั จิต ฝึ กจิตปฏิบตั ิจิตใหม้ ีความสงบ ใหจ้ ิตเท่าทนั ความคิดอารมณ์ โดยสติและ ความรู้สึกตวั ดึงจิตอยูก่ บั ปัจจุบนั จิตปรุงแต่งอารมณ์จากอายตนะ ฝึ กฝนจนเกิดความน่ิงของจิต หลกั การ ฝึ กจิตคือการปฏิบตั ิธรรม ดูการเปลี่ยนแปลงจิต การสร้างสติและความรู้สึกตวั ให้รู้ทนั ความคิด และการ เคลื่อนไหวของจิต รู้เห็นอาการของจิต ขอ้ ๑๕) การฝึ กรู้ทนั ความคิด วิธีการฝึ กเจริญสติสัมปชญั ญะ ๑) วธิ ีการแบบสมถะกรรมฐาน คือ การเพง่ จิต อบรมจิต จิตแน่วแน่ ใหฝ้ ึกจิตใหพ้ จิ ารณาขอ้ ธรรม ๒) วธิ ีการ แบบวปิ ัสสนากรรมฐาน คือ การอบรมจิตข้ึนสู่อบรมปัญญา ฝึกต้งั สติดูจิต จิตต้งั มน่ั เกิดปัญญา ฝึกฝนสร้าง ปัญญา สติทาใหค้ ุณภาพจิตตระหนกั รู้ความจริง เพียรสอนจิตดว้ ยปัญญา ๕) ด้านธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน : รูปแบบฐานธรรม ไดแ้ ก่ ขอ้ ๑๖) ความเห็นแจง้ ทางปัญญา มรรค ๘ อริยสัจ ๔ คือทางดบั ทุกข์ สัมมาทิฐิเป็ นประธานไดป้ ัญญารู้ตามความเป็ นจริง วปิ ัสสนาญาณ คือ ความเห็นแจง้ ในรูปนาม เครื่องพิจารณาแจ่มแจง้ รู้เขา้ ใจในเหตุปัจจยั ท้งั ปวง เขา้ ใจสภาวะธรรมตามความ เป็ นจริง พิจารณาไตรลกั ษณ์ สรุปวา่ ฐานธรรมควรให้สัมมาทิฐิเป็ นตวั นาทาง ขอ้ ๑๗) สมาธิสร้างเกิด พลงั อานาจเหนือ ความรู้สึกตวั กูของกู วา่ งจากตวั ตน ใชก้ ารเรียนรู้โดยวธิ ีการปฏิบตั ิเขา้ ถึงความเป็ นจริง จุดเร่ิมตน้ การภาวนาอยู่ท่ีใจนาจิตไปสู่การปฏิบตั ิ สร้างความสงบภายใน เห็นอยา่ งลึกซ้ึง สรุปวา่ ปัญญา ของฐานธรรมของเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ คือ ปัญญาการเขา้ ถึงความจริงไตรลกั ษณ์ ขอ้ ๑๘) ตวั วดั ผล คือ ตวั รู้ ตวั ละ ตวั ปัญญา มีสติตามทนั ทุกความคิดของจิต ที่รู้เท่าทนั ความเป็ นจริง อยู่กบั ปัจจุบนั ปัญญาเกิด เหนือจิต เหนือกาย เหนือประสาทการรับรู้ เห็นดว้ ยตนเอง
๙๙ สรุปเคร่ืองมือประเภท ๑) แบบสอบถาม เพื่อสารวจความคิดเห็นท่ีมีต่อเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ โดยจดั ทาสร้างแบบสอบถาม กลุ่มประชากรและตวั อย่าง หมายถึง ๑)เจา้ ของผลงานวิทยานิพนธ์ ๒) ผเู้ ขียนวรรณกรรม ๓)พระวปิ ัสสนาจารยท์ ว่ั ไป ๔)สานกั ปฏิบตั ิธรรมประจาจงั หวดั ลกั ษณะผใู้ หข้ อ้ มูล จากการตอบแบบถาม โดยผศู้ ึกษาไดจ้ ดั ส่งเอกสารไปทางจดหมายไปรษณียจ์ านวน ๑๐๐ ชุดแบบสอบถาม ไดร้ ับกลบั คืน จานวน ๔๐ ชุดแบบสอบถาม คิดเป็ นร้อยละ ๔๐ โดยกาหนดหมายเลขรหัส ๑ ถึง ๔๐ จึง เป็ นการจาแนกประเภทกลุ่มตวั อย่างเพื่อทาการสารวจความคิดเห็นท่ีมีต่อเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ใน เบ้ืองตน้ โดยเครื่องมือท่ีใชใ้ นการวิจยั ผูว้ ิจยั สร้างเคร่ืองมือจากขอ้ สรุปงานวิจยั ปี ๒๕๕๙ และ ปี ๒๕๖๑ โดยการต้งั คาถาม จานวน ๑๘ ขอ้ ขอ้ คาถามเป็ นเสมือนสมมติฐานงานวิจยั แบ่งเป็ น คาถามทว่ั ไป ๔ ขอ้ ฐานกาย ๔ ขอ้ ฐานเวทนา ๑ ขอ้ ฐานจิต ๖ ขอ้ ฐานธรรม ๓ ขอ้ เป็ นการเก็บขอ้ มูลวิจยั แบบเขียนตอบ คาถามจากแบบสอบถามกลับคืนมายงั ผูศ้ ึกษาวิจัย จาแนกการให้ความคิดเห็นเป็ นการเขียนตอบ แบบสอบถามลกั ษณะ ๑)ขอ้ โตแ้ ยง้ ๒)ขอ้ ความเห็นดว้ ย ๓)ขอ้ มูลเพ่ิมเติมหรืออ่ืน ๆ ประการใด แลว้ ผู้ ศึกษาวิเคราะห์จาแนกตามขอ้ มูลสรุปเป็ นผลการศึกษา ได้แก่ ๑)เห็นดว้ ยกับข้อความ ๒)เห็นด้วยแต่ เพิ่มเติมความคิดเห็น ๓)ไม่เห็นดว้ ยกบั ขอ้ ความ ประเภท ๒) การศึกษาโดยการสัมภาษณ์ ลงพ้ืนที่เกบ็ ขอ้ มูลงานวจิ ยั ภาคสนาม ตามแบบสอบถาม ท่ีไดร้ ับกลบั คืนมา และ แบบเฉพาะเจาะจง เพ่ืออาศยั พ้ืนท่ีเก็บขอ้ มูลเพ่ิมเติมตามลกั ษณะ ตามเส้นทางลง พ้นื ท่ีเกบ็ ขอ้ มูลวจิ ยั จริง การสร้างแบบสัมภาษณ์ เป็ นเฉพาะรายกรณี จาก ๑)ผูต้ อบแบบสอบถามทวั่ ไป ๒)ผูต้ อบเป็ น เจา้ ของผลงานเขียนและงานวิทยานิพนธ์ ๓)เป็ นผมู้ ีประสบการณ์ดา้ นการสอนและการปฏิบตั ิธรรม เพื่อ หาความสมั พนั ธ์เรื่องรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ โดยแตล่ ะกรณีไมม่ ีความเหมือนกนั เพ่ือคน้ หาลกั ษณะเฉพาะรูปแบบงาน จึงทาให้เคร่ืองมือการใชส้ ัมภาษณ์เป็นลกั ษณะแบบมีโครงสร้างและ ไม่มีโครงสร้าง หมายถึง ประเด็นตามพระสูตรเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ และประเด็นตามผลการสารวจที่ คน้ พบ และขณะสถานการณ์สนทนาผใู้ หข้ อ้ มูลโดยเป็นประเดน็ ที่มีความสนใจเพ่มิ เติม ประเภท ๓) การศึกษารูปแบบเฉพาะกรณีศึกษา จาแนกกรณีศึกษา ๑) สมาธิบาบดั แบบรักษาโรค ได้ดว้ ยตนเองเพ่ือสุขภาพ กรณีศึกษา ๒) เทคนิค NLP (Neuro-Linguistic Programming) กรณีศึกษา ๓) แนวทางปฏิบตั ิท่านโกเอ็นก้า การสร้างแบบการศึกษาเฉพาะกรณี เป็ นการสร้างเครื่องมือเก็บขอ้ มูล งานวิจยั เพ่ือหาปรากฎการณ์การใช้เร่ืองสติปัฏฐาน ๔ ไปบูรณาการกบั ศาสตร์สมยั ใหม่ สร้างเป็ นองค์ ความรู้ของแกนหลกั ตามแนวทางท่ีนาไปสู่การปฏิบตั ิเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ โดยลกั ษณะผศู้ ึกษาวิจยั เขา้ รับการฝึกอบรมดว้ ยตนเอง แลว้ นาไปสู่การเขียนสรุปขอ้ คน้ พบ โดยผวู้ จิ ยั ใชต้ วั เองเป็นเคร่ืองมือวจิ ยั ประเภท ๔)การศึกษาจากการปฏบิ ตั ิธรรมด้วยตนเอง เป็นการปฏิบตั ิสมาธิภาวนาตามรูปแบบของ ผศู้ ึกษาวจิ ยั เอง การเรียนรู้ความหมาย ฌาน ญาณ และปัญญา ดว้ ยตนเอง และพยายามแปลความเป็ นลาย ลกั ษณ์อกั ษรในงานวิจยั งานวิชาการ เรียกว่า วิเคราะห์รูปแบบให้ไดก้ าหนดให้ได้ ๑๐๐ รูปแบบ เพ่ือจึง
๑๐๐ นาไปสู่การสร้างรูปแบบ ๑-๑๐๐ เป็นขอ้ สรุปจากงานวจิ ยั เร่ืองรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ โดยผูว้ ิจยั นาผลงานวิจยั บางส่วนท่ีไดไ้ ปนาเสนองานประชุมวิชาการเพ่ือนาไปสู่การตกผลึกทาความ เขา้ ใจด้วยตนเองและเพ่ือปรับปรุงแก้ไขต่อไปในขณะดาเนินงานวิจยั ตลอดจนวางแผนการเผยแพร่ ผลงานวจิ ยั ตอ่ ไป ตารางที่ ๓.๓ แสดงขอ้ สรุปจากเคร่ืองมือท้งั ๓ ประเภทเพ่ือสร้างประเดน็ ลกั ษณะการต้งั คาถาม ในการเก็บขอ้ มูลวิจยั ภาพรวม ประเดน็ อธิบายความ ๑) การต้งั คาถามจากพระสูตร เป็นหลกั การ เป็ นแนวคิด ทฤษฎี เป็นแก่นเร่ืองศึกษาสาระ เพื่อการ ตีความหมาย และเสริมไปตามสายการปฏิบตั ิครูบาอาจารย์ ๒) หาคาสาคญั (Keywords) ความหมายบาลี บางคาที่มกั ใชช้ ้าๆกนั การอธิบายความหมายคา การอธิบายลกั ษณะ เขา้ ใจความหมาย ๓) คาถามต้งั ตามแต่ละประเด็น ความสมั พนั ธ์คาถามและความหมายในพระสูตร ขา้ มประเดน็ นา เปรียบเทียบกนั ความต่างของแต่ละประเด็นประเด็นที่มี ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งกนั แทรกขอ้ คิดคาถามของผศู้ ึกษาวิจยั ๔) สมมตฐิ านของผู้ศึกษาวจิ ัย งานวจิ ยั เรื่องก่อนวรรณกรรม จากวทิ ยานิพนธ์ จากปฏิบตั ิประสบการณ์ ในการปฏิบตั ิวปิ ัสสนา จากกรณีศึกษาเป็ นเฉพาะทาง ๕) คาตอบ ไปแสวงหาคาตอบ จาก ๑) เจา้ ของผลงานวรรณกรรม ผลงานวทิ ยานิพนธ์ ๒) พระอาจารยด์ า้ นวปิ ัสสนา /ฆราวาสสอนวปิ ัสสนา ๓) ประสบการณ์การปฏิบตั ิวปิ ัสสนาของผศู้ ึกษาเอง ๔) การฝึกปฏิบตั ิวปิ ัสสนา คุณภาพเครื่องมือวจิ ัย งานวิจยั เรื่องน้ี เป็ นการศึกษาในลกั ษณะนามธรรมสูงสุด หลายประเด็น การสร้างเคร่ืองมือและ การถอดความเพ่ืออธิบายมีความยากเป็ นอยา่ งมาก แต่ย่งิ ยากเป็ นความสนุกสาหรับงานวจิ ยั เป็ นอยา่ งมาก แต่อาจถูกสงสัยเกี่ยวกบั ประเด็นความถูกตอ้ งทางวชิ าการ งานวิจยั เรื่องรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหา สติปัฏฐาน ๔ ตอ้ งการอาศยั กายของผศู้ ึกษาเป็นเคร่ืองมือในการเกบ็ ขอ้ มูลวจิ ยั เป็นเบ้ืองตน้ เป็นการทดลอง และอาศยั การตีความตามอายตนะต่อมา และยงั อาศยั ความคิดเห็นของผูอ้ ่ืนเชิงการปฏิบตั ิ อนั มีความ หลากหลายสาหรับปรากฏการณ์ท่ีเป็ นอยใู่ นปัจจุบนั ดงั น้นั คุณภาพเคร่ืองมืองานวิจยั เรื่องน้ี จึงข้ึนอยกู่ บั ตวั ผศู้ ึกษาวจิ ยั เอง
๑๐๑ วธิ ีการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ๑) รวบรวมรายชื่อประชากรและกลุ่มตวั อยา่ งท้งั หมด จาก ๑)รายชื่อเจา้ ของผลงานวรรณกรรม ปัจจุบนั และ ๒)รายช่ือเจา้ ของผลงานวิทยานิพนธ์ ๓)รายชื่อพระวิปัสสนาจารยท์ ว่ั ไปจากสานกั ปฏิบตั ิ ธรรมประจาจังหวดั ๔) กลุ่มตวั อย่างที่มีความเช่ือมโยงกับเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ดาเนินการส่ง แบบสอบถามโดยวตั ถุประสงค์ ๑)เพื่อทาการสารวจ ๒)เพื่อแจง้ สาระวตั ถุประสงคแ์ ละเน้ือหา โดยทาง หนังสือบนั ทึกขอ้ ความโดยประสานงานเพื่อขอรับการสัมภาษณ์ ๓)ลงพ้ืนที่เก็บขอ้ มูลวิจยั ด้วยทาการ ทดสอบเครื่องมือและวธิ ีการเก็บขอ้ มูลวจิ ยั ทดสอบแลว้ นามาปรับแกไ้ ข และพฒั นาแนวทางการเกบ็ ขอ้ มูล พ้นื ท่ี ตามโครงการวจิ ยั ท่ีไดเ้ ขียนไว้ และปรับเปล่ียนกลุ่มตวั อยา่ งใหม้ ีความเหมาะสม ๒) สร้างประเด็นคาถามเพ่ือการสัมภาษณ์ตามแนวทางเฉพาะงานของแต่ละเรื่องเพ่ือค้นหา แนวทางเชิงลึกโดยการลงพ้ืนท่ีเพ่ือสัมภาษณ์ จริงแลว้ เป็นการสนทนาธรรม จากพระอาจารยห์ ลายท่านให้ ความเมตตาช้ีแนะทางธรรม (แต่ถา้ เป็ นภาษาวิชาการคือ การสัมภาษณ์คาถาม) เป็ นลกั ษณะการสนทนา ธรรมไมใ่ ช่ลกั ษณะการสัมภาษณ์เป็นคาเรียกลกั ษณะการเก็บขอ้ มูลเชิงวชิ าการ ๓) สร้างกรอบแนวคิดงานวิจยั ๑)สาระประเด็นคาถามสร้างแบบสัมภาษณ์ ๒) สร้างจาลอง รูปแบบนาไปปฏิบตั ิธรรม ๓)วางแผนการเก็บขอ้ มูลพ้ืนที่จริง ๔)โดยทาการทดสอบ(pre-test) การเก็บ ขอ้ มูล จานวน ๒ แห่ง และ ๔) ปรับแกแ้ บบสอบถาม และปรับแกว้ ิธีการเก็บขอ้ มูล ๕) ลงพ้ืนที่การเก็บ ขอ้ มูล จานวน ๓๐ รูป/คน โดยประมาณที่คาดไวจ้ ากงบประมาณและขอ้ มูล และจากประชากรและกลุ่ม ตวั อยา่ ง ๖) บนั ทึกขอ้ มูล รวบรวม เรียบเรียง จดั หมวดหมู่ ดาเนินการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ๔) ออกแบบสัมภาษณ์ที่เป็ นกรอบประเด็นเรื่องตามกรอบแนวคิด คน้ หาความเหมือนความต่าง ในรูปแบบจาลอง (Model) ไวค้ รอบคลุมประเดน็ สาคญั เทียบเคียงผลงานวจิ ยั ท้งั สองเรื่อง สรุปออกมาเป็ น ประเด็นคาถามและประเด็นท่ีต้องการศึกษา ออกแบบ และสร้างรูปแบบจาลอง Model ประเด็น ใน ลกั ษณะแผนภาพ กรอบแนวความคิดในแต่ละฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม และสรุปประเด็นต่าง ๆ เพ่ือ ดาเนินงานรูปแบบการสมั ภาษณ์ต่อไป ลงพ้นื ที่เกบ็ ขอ้ มูลจริง เจา้ ของผลงานวิทยานิพนธ์/วรรณกรรม เก็บ รวบรวมขอ้ มูล วเิ คราะห์ขอ้ มูล ถอดเทปบนั ทึก ท้งั น้ีจะตอ้ งไดร้ ับความยนิ ยอมจากผใู้ หส้ มั ภาษณ์ดว้ ย ๕) รวบรวม เรียบเรียงเอกสาร แกไ้ ข เขียนรายงานผลการวิจยั ตรวจสอบ ขอ้ มูลต่าง ๆ .จดั ทา รายงานผลการวิจยั และนาเสนอผลงานวิจยั ในงานประชุมวิชาการ นาเสนอเป็ นผลงานวิจยั รูปแบบ บทความวจิ ยั และบทความวชิ าการต่อไป การวเิ คราะห์ข้อมูล การนาเสนอขอ้ มูลใช้วิธีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และอธิบายเชิงการพรรณนาลกั ษณะ จาแนก ลกั ษณะ ทาเหมือนทาการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวขอ้ ง จากงานวิจยั ท้งั เร่ืองประเด็นการศึกษาที่พบ และ กลุ่มประชากรและตวั อย่าง นามาผสมผสานกนั เพื่อสร้างกรอบประเด็นการศึกษาสาระงาน และกาหนด กลุ่มประชากรและตวั อยา่ ง เป็ นงานวจิ ยั ที่มาจากสืบความต่อเนื่อง โครงการวิจัยเดิมของผู้ศึกษาวจิ ัย ไปสู่
๑๐๒ การสร้างและวางกรอบแนวคิดในการศึกษา และ เน่ืองจากประสบการณ์ผูว้ ิจยั ศึกษาทางวิชาการทางโลก ดว้ ยเป็ นเพียงฆราวาสจึงทาใหง้ านเป็ นไปตามแนวทางประสบการณ์ผูศ้ ึกษาวิจยั ไม่ไดเ้ รียนอภิธรรมใด มี เพียงพระสูตรเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ดุจใบไม้ในกามือเท่าน้ัน จึงอาจเป็ นขอ้ จากดั ของงานวิจยั บา้ ง พอสมควร และการทบทวนวรรณกรรมเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ บนฐานขอ้ มูล พบวา่ การนาเร่ืองประเด็น สติปัฏฐาน ๔ ไปใชบ้ ูรณาการศาสตร์สมยั ใหม่ จึงเป็ นที่เชื่อมน่ั ไดว้ า่ เรื่องสติมีความจาเป็ นและสาคญั มาก ที่สุดตอ่ โลกยคุ สมยั ต่อไป งานวจิ ยั หลายเรื่องไดบ้ ่งช้ีไวเ้ ป็ นอยา่ งดีแทบจะไมน่ ่าเช่ือวา่ สามารถนาเร่ืองสติ ไปต่อยอดบูรณาการกบั เร่ืองประเด็นอื่น ๆ ไดเ้ กือบทุกแง่ทุกมุม ข้ึนอยวู่ า่ เราใชม้ ุมอะไรในการมองเรื่อง มหาสติปัฏฐาน ๔ และนาไปใชใ้ หเ้ ป็นประโยชน์อยา่ งไรต่อไป การนาเสนอข้อมูล จาแนกตาม ๒ ขอ้ วตั ถุประสงคโ์ ครงการวจิ ยั เป็ นลกั ษณะการวเิ คราะห์และนาไปสร้างรูปแบบ โดยขอ้ จากดั การสร้างรูปแบบ เร่ือง มหาสติปัฏฐาน ๔ ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. การท่องพระสูตรใหค้ ล่องและข้ึนใจ การเขา้ ใจความหมายของพระสูตรเร่ือง มหาสติปัฏฐาน ๔ นิยามความหมายและการแปลพระสูตร จากคาสาคญั (Keywords) คาท่ีมกั ใชซ้ ้า ๆ กนั ส่ือความหมาย ขอ้ พบวา่ การแปลพระสูตรเน้ือหาความหมาย ใหค้ วามแตกต่างกนั ออกไป แสดงวา่ การตีความหมายในพระ สูตรไม่เหมือนกนั ทาอยา่ งไรจึงทอ่ งได้ เมื่อมีหลายหนา้ อยา่ งคาใชเ้ วลาประมาณชว่ั โมง ในการทอ่ งแลว้ ก็ ยาวดว้ ย ความเหนือตวั อกั ษรโดยไม่มีตวั อกั ษร ๒. การปฏิบตั ิธรรมเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ การเขา้ ถึงเรื่องปัญญาดว้ ยภาวนาเป็ นเร่ืองยากมาก แล้วแต่บุคคลไม่เหมือนกนั สะสมบารมีมาไม่เหมือนกนั ประสบการณ์ปฏิบตั ิการเจอครูบาอาจารยก์ ็ แตกต่างกนั ความรอบรู้ทางปริยตั ิไม่เท่ากนั คือ เรียนภาวนา แนวคิดทฤษฎีมาไม่เท่ากนั ประสบการณ์ ตีความหมายต่อความเขา้ ใจเพื่อนาไปสู่การปฏิบตั ิต่างกนั ๓. การเลือกฟังธรรมใหม้ ีความตรงกบั ฐานสติของตวั เอง ไม่วา่ ดา้ นใด ความเฉลียวฉลาดในการ เลือกหนทางการปฏิบตั ิให้เขา้ ใจเป็ นของตนเอง รับการพฒั นาถูกตอ้ งเจริญตามความหมาย และหนทาง เร่ือง มหาสติปัฏฐาน ผูป้ ฏิบตั ิจึงมีความสาคญั ในการเลือกวธิ ีการปฏิบตั ิที่เกิดจาก การตกผลึกปัญญาของ ตวั เอง ๔.เมื่อสร้างรูปแบบเป็ นของตนเองแลว้ จึงเป็ นรูปแบบของตนเองเท่าน้นั ไม่มีอะไรเป็นรูปแบบอีก ต่อไป พฒั นาต่อไปสร้างเป็ นรูปแบบ (Model) ตามหลกั การท่ีสามารถอ้างอิง ทางวิชาการอย่างเป็ น ตรรกศาสตร์ อธิบายความให้ได้ สร้างจาก “ระดบั ภาวนามยปัญญา” จึงเกิดผลแทจ้ ริง ตามหลกั การเรื่อง มหาสติปัฏฐาน ๔ ๕. เรื่องธรรมคาสอนพระพทุ ธองค์ เป็นเร่ืองแตกต่างกนั ในแก่บุคคลบางคน อธิบายได้ ไมส่ ามารถ อธิบายได้ เนื่องจากเป็ นนามธรรมใน สูงเกินไปไม่สามารถตอบไดด้ ว้ ยภาษา ตอ้ งอาศยั คิดเป็ นตวั สื่อสาร ใหเ้ ขา้ ใจ
๑๐๓ การตคี วามข้อมูล เป็ นการผสมผสานการตีความหมายต่อส่ิงท่ีอยูภ่ ายนอก และส่ิงที่อยภู่ ายในมาเชื่อมโยงกนั ความ คิดเห็นจากกลุ่มตวั อยา่ งเป็ นขอ้ ความท่ีปรากฏอยภู่ ายนอก ส่วนความเขา้ ใจของผูศ้ ึกษาวิจยั เองเป็ นส่ิงที่อยู่ ภายใน ดงั ภายในคือความคิดเห็นของผูศ้ ึกษาเอง ภายนอกคือความรู้ความเขา้ ใจส่ิงที่เป็ นปรากฎการณ์ เดียวกนั ความหมายจะเชื่อมโยงกนั ได้ดีต้องมีจุดเช่ือมโยง สิ่งน้ันคือภาษาธรรมที่ตอ้ งแปรเป็ นภาษา วิชาการในลกั ษณะงานวิจยั ขอ้ มูลไม่สาคญั เท่ากบั การเล่าเร่ืองในงานวิจยั งานวิจยั ที่นามธรรมสูง การ ตีความเพ่ือแปรความหมาย ๑) ตอ้ งรู้เน้ือหาสาระ แมน่ ยา ส่ิงที่ศึกษาโดยเขา้ ใจลกั ษณะและประเภท ๒) การ เขา้ ถึงตอ้ งเกิดจากการปฏิบตั ิจากการฝึกสมาธิภาวนาต่อเนื่อง พากเพียรตอ่ ไป ดงั น้นั ผศู้ ึกษาวจิ ยั จึงตอ้ งมีวธิ ีการเล่าเรื่องราวอาจจะไม่เป็ นไปตามลกั ษณะงานวชิ าการบา้ ง แต่เพื่อ ความเขา้ ถึงจึงตอ้ งใชส้ ่วนประกอบหลากหลายในการตีความ แตเ่ นน้ โดยเฉพาะ คือ การสร้างรูปแบบเรื่อง มหาสติปัฏฐาน ๔ ท่ีเป็นส่วนตนเองเพ่ือการนาเสนอผา่ นงานวจิ ยั ถือวา่ เป็นงานวชิ าการ การใหค้ วามหมาย ตอ้ งอาศยั ประสบการณ์จากปัญญาเดิมของผูศ้ ึกษาเองท้งั จากการปฏิบตั ิภาวนาและประสบการณ์ทางการ ปฏิบตั ิต่าง ๆ ของปัญญาโดยอาศยั การสะสม ความต่อเน่ือง การพฒั นาองคค์ วามรู้ให้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อเช่ือมโยงต่อไปกบั แต่ละศาสตร์ เพื่อนาไปสู่การตีความ ขอ้ สรุป จากการจดั ประเด็น จดั กลุ่ม ทาความ เขา้ ใจ สูงสุด คือ การอยเู่ หนือสมมติบญั ญตั ิท้งั หลาย ใหเ้ ขา้ ถึงดว้ ยความเขา้ ใจ ถอดรูปนาม มาสู่การส่ือสาร ภายในตนเอง ฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต ฐานธรรม เพื่อนาไปสู่การสร้างรูปแบบใหบ้ ุคคลอื่นเขา้ ใจ จาก สมมติบญั ญตั ิ อีกที
๑๐๔ บทท่ี ๔ ผลการวจิ ัย วตั ถุประสงค์งานวิจยั เร่ืองรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ดงั ต่อไปน้ี ๑)เพื่อ วิเคราะห์รูปแบบการเข้าถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ (แสดงผลการศึกษา ตอนที่ ๑ ถึง ตอนท่ี ๓) ๒)เพอ่ื สร้างรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ (แสดงผลการศึกษา ตอนที่ ๔) ดงั น้นั ผลการศึกษาวจิ ยั ตามวตั ถุประสงคข์ องงานวจิ ยั แบง่ ออกเป็น ๔ ตอน ดงั ตอ่ ไปน้ี ตอนท่ี ๑ การวเิ คราะห์รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จากแบบสอบถาม ตอนที่ ๒ การวเิ คราะห์รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากแบบสัมภาษณ์ ตอนท่ี ๓ การวเิ คราะห์รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากกรณีศึกษาเฉพาะ ตอนที่ ๔ การสร้างรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ตอนที่ ๑ การวเิ คราะห์รูปแบบการเข้าถงึ ปัญญาเร่ืองมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ จากแบบสอบถาม เพ่ือวิเคราะห์รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากแบบสอบถามเพือ่ ทาการสารวจ ความคิดเห็นนาไปสู่การวเิ คราะห์รูปแบบและการสร้างรูปแบบ โดยการสร้างเคร่ืองมือเป็ นแบบสอบถาม จากกลุ่มตวั อยา่ งโดยกาหนดรหสั ผูต้ อบแบบสอบถามไวด้ า้ นหนา้ ขอ้ ความเรียบเรียงแสดงเป็ นผใู้ ห้ขอ้ มูล นาเสนอตารางการไดร้ ับกลบั คืนมาก่อนหลงั เป็นสาระคาตอบจากคาถาม ผลการศึกษา ดงั ตอ่ ไปน้ี ตารางที่ ๔.๑ รูปแบบพระสูตรมหาสติปัฏฐาน ๔ สาคญั ตอ่ การฝึกปฏิบตั ิสมาธิภาวนา (คาถามขอ้ ๑) เห็นดว้ ย อธิบายความเพ่ิมเติม ไมเ่ ห็นดว้ ย จานวน ๒๕ รูป/คน จานวน ๑๑ รูป/คน ๒ (ร้อยละ ๒๗.๕) (ร้อยละ ๖๒.๕) รูป/คน (ร้อยละ ๕.๐) ๐๓เป็นหลกั การและวธิ ีการปฏบิ ัตทิ ่ีถูกต้องเหมาะสมท่ีสุด ๐๑รูปแบบหนทางเดิน๐๔มีความสาคญั ๑๐แนะนา สามารถใหผ้ ปู้ ฏิบตั ิบรรลุ มรรค ผล นิพพานได้ พระพุทธ คือมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นทางสายเอก ให้ องคต์ รัสวา่ “เป็นเอกายมรรค”(ทางเดียวเท่าน้นั )๐๕มี พระพทุ ธเจา้ ทรงตรัสไวว้ า่ เป็นทาง พิจารณา ความสาคญั อยา่ งมาก การปฏิบตั ิสมาธิภาวนา สติปัฏฐาน สายเดียวปฏิบตั ิเพ่ือการดบั ทุกขแ์ ละ เห็น ๔ เป็นหลกั ใหญท่ ี่ครอบคลมุ ไวห้ มด ๐๘เป็นพ้ืนฐาน๐๙มี นาตนไปสู่การพน้ ทุกขไ์ ด๐้ ๖สี่ฐานเป็น ซากศพไป ความสาคญั ใชเ้ ป็นฐาน ระลึกถึงความมีสติในกาย ใน ปัจจยั ในการปฏิบตั ิเพื่อใหเ้ กิดการ ก่อนลม เวทนาที่เกิดข้ึน ในจิตที่เป็นไปและสภาวธรรมที่เกิด เพื่อ เรียนรู้อนั นาไปสู่ปัญญารู้แจง้ ๐๗ หายใจ พิจารณาเห็นธรรมท่ีเกิดข้ึน๑๒มหาสติปัฏฐาน ๔ จะใช้ พิจารณาเห็นธรรมอนั เป็นเหตุเกิด แลว้ นอ้ ม สมาธิในระดบั ขณิกเป็นหลกั ในการกาหนดภาวนา๑๔มี ธรรม อนั เป็นเหตุดบั ในกาย เวทนา เขา้ มาหา ความสาคญั ท้งั ต่อสมาธิภาวนาและวปิ ัสสนาภาวนา๑๕มหา จิต ธรรม มีความเพียร มี ตวั เองจน สติปัฏฐาน ๔ สาคญั อยา่ งมาก ๆ เพราะเป็นรูปแบบท้งั ๓ สติสมั ปชญั ญะ๑๑การฝึ กสมาธิภาวนา สามารถ ส่วน คือ ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ ๑๖มหาสติปัฏฐาน ๔ จาเป็นตอ้ งใชฐ้ านสติ สติตอ้ งต้งั มน่ั เห็น ความสาคญั ต่อการฝึ กฝนสมาธิ ภาวนา พระพทุ ธเจา้ ตรัสวา่ คอยควบคุมจิตใหส้ งบ ปราศจาก ประจกั ษ์ เป็นทางสายเดียว เพื่อดบั ทุกข์ บรรลแุ จง้ นิพพานน้นั ใน สญั ญาอารมณ์ ๑๓พระสูตรเป็นการฝึ ก ความจริง
๑๐๕ พระสูตรน้ีจึงครอบคลุมการปฏิบตั ิทุกอยา่ งทุกดา้ น (ผตู้ อบ สติที่สามารถทาใหส้ มาธิเกิดข้ึน ดว้ ย ไมเ่ ขา้ ใจคาวา่ รูปแบบ หมายถึงอะไร แต่ตอบตามคาถาม เป็นขณิกสมาธิ(สมาธิที่ต่อเน่ือง) เพื่อ ตนเอง ดา้ นบน)๑๘เห็นดว้ ย๑๙มหาสติปัฏฐาน ๔ มีความสาคญั ต่อ ใชใ้ นการเจริญวปิ ัสสนาพระพุทธเจา้ เม่ือพน้ จึง การดารงชีวติ และการทางาน ใหเ้ ป็นผูม้ ีสติ ไมใ่ หถ้ ึงซ่ึง ตรัสวา่ “ทางสายน้ี คือ สติปัฏฐาน ๔ หมดความ ความประมาทในการดาเนินชีวิตทุกลมหายใจ๒๐มหาสติปัฏ เป็นทางสายเดียว” ๑๗เป็นพระสูตรท่ีมี ยึดถือใน ฐาน ๔ เป็นแก่นธรรมเป็นหวั ใจของพระพทุ ธศาสนา การ ความชดั เจนในเน้ือหาที่สมบูรณ์ท้งั ร่างกาย ปฏิบตั ิสมถะและวปิ ัสสนา มีรวมหมวดในมหาสติปัฏฐาน หลกั การและวิธีการปฏิบตั ิ มีเป้าหมาย ๓๓ถา้ เจริญ ๔ ๒๑มีความสาคญั โดยทาใหเ้ กิดถึงสมาธิโดยการนงั่ ชดั เจนในการจดั การความทุกขข์ อง เอาแต่ ภาวนา๒๒เห็นดว้ ย๒๔เห็นดว้ ย การเจริญสติปัฏฐาน ๔ เป็น สรรพสตั วท์ ้งั หลายโดยมีมนุษยเ์ ป็นผู้ สมาธิ การฝึ กจิตใหส้ ะอาด สวา่ ง สงบ ก่อใหเ้ กิดปัญญา ได้ เหมาะสมต่อการปฏิบตั ิเพ่ือเขา้ สู่ความ ภาวนา ประโยชนท์ ้งั ฝ่ ายตน ฝ่ ายญาติ และบุคคลอ่ืน สนั ติภาพจะ หลุดพน้ (นิพพาน) อนั เป็นเป้าหมาย อยา่ งเดียว เกิดข้ึนท้งั ภายในและภายนอก ๒๕เห็นดว้ ย๒๖เป็นการศึกษา สูงสุด๒๓ความจาเป็นของสติ ชีวิต มี เจริญอยา่ ง ดา้ นปริยตั ิ๒๗มีความสาคญั อยา่ งยิ่ง การทาอะไรตอ้ งมี จุดท่ีควรใช้ “สติ” กากบั ดูแลท้งั หมด อื่น ได้ หลกั การท่ีมาอา้ งอิง ต่อการฝึ กภาวนาเป้าหมายการเดินจะ ๔ แห่ง ๒๘มีความสาคญั โดยเฉพาะ เช่นฝึ ก ไดช้ ดั เจน๓๒มีความสาคญั มากในการเรียนรู้ในทาง ปฏิบตั ิ ขณิกสมาธิ คือ สมาธิที่เป็นไปแต่ละ กสิณ ๑๐ เพ่ือเป็นแนวทางปฏิบตั ิใหถ้ ูกตอ้ งตามความเป็นจริง ๓๔ใช้ ขณะจิต รู้เท่าทนั อารมณ์ที่ปรากฏทาง ไม่ สติปัฏฐาน ๔ เป็นทางเอกมีความสาคญั ต่อการฝึ กสมถะ กาย เวทนา จิต ธรรม แต่หากปฏิบตั ิ จาเป็นตอ้ ง และวิปัสสนากรรมฐานอยา่ งย่งิ เป็นทางสู่มรรค ผล สมถะ วิปัสสนา ไปดว้ ยกนั อปุ าจาร ฝึ กตาม นิพพาน ๓๕มหาสติปัฏฐาน ๔ เปรียบเหมือนยานพาไป สมาธิ อปั ปนาสมาธิเกิดข้ึนได๒้ ๙ถือวา่ หลกั สติ จุดหมายปลายทาง คือ พระนิพพาน เป็นทางตรงไม่เล้ียวไป เป็นพ้ืนฐานและรูปแบบการปฏิบตั ิท่ี ปัฏฐาน ๔ ไหน มีความสาคญั โดยตรงต่อการฝึ กสมาธิภาวนา ๓๖เห็น สาคญั มาก ใชก้ ารเริ่มฝึ กปฏิบตั ิใหม่ ดว้ ยเป็นอยา่ งยง่ิ ถา้ ท่านใดปฏิบตั ิถกู ไดต้ ามหลกั ธรรม กาย และเก่าตอ้ งยดึ เป็นแบบไว๓้ ๐มีหลาย เวทนา จิต ธรรม จะบรรลุธรรม ๓๗ท้งั รูปแบบคือ สมถ ประการ แต่ผฝู้ ึ กจะตอ้ งต้งั ใจ ภาวนาและวิปัสสนาภาวนา ๓๘ทาใหจ้ ิตเป็นสมาธิและมีสติ นบั ต้งั แต่มองรูปรูปหยาบรูปกาย ท้งั อยตู่ ลอดเวลา ๓๙เป็นพระสูตรสาคญั ต่อการพฒั นาจิตจาก ของ เองของคนอื่น๓๑เป็นพระสูตรที่ ปุถุชนเป็นพระอริยบุคคลถึงพระอรหนั ตใ์ น พระพุทธเจา้ ทรงวางรูปแบบการ พระพทุ ธศาสนา ๔๐ถกู ตอ้ ง ปฏิบตั ิสมาธิภาวนาไวอ้ ยา่ งชดั เจน จากตารางท่ี ๔.๑ มหาสติปัฏฐาน ๔ สาคญั ต่อการฝึ กปฏิบตั ิ ผลการศึกษาพบวา่ เห็นด้วย(ร้ อยละ ๖๒.๕) “ทางสายเดียว รูปแบบครบ ๓ อยา่ ง ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ ครอบคลุมการปฏิบตั ิทุกดา้ น เป็ นท้งั สมถะและวิปัสสนา เป็ นแก่นธรรมหัวใจพระพุทธศาสนา เป้าหมายพน้ ทุกข์และแจง้ นิพพาน” เห็นด้วย ปานกลาง โดยอธิบายความเพิ่มเติม(ร้ อยละ ๒๗.๕) “รูปแบบหนทางเดินรูปแบบการปฏิบตั ิชดั เจนเน้ือหา สมบูรณ์ หลกั การและวิธีการปฏิบตั ิ เรียนรู้สู่ปัญญารู้แจง้ ๔ฐานปัจจยั การปฏิบตั ิ สติมน่ั คง”ไม่เห็นด้วย (ร้ อยละ ๕.๐) “เป็ นการใชส้ มาธิในระดบั ขณิกสมาธิเป็นหลกั พิจารณาซากศพ” และไม่แสดงความคิดเห็น (ร้อยละ ๕.๐)
๑๐๖ ตารางท่ี ๔.๒ รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญา ตอ้ งฝึ ก เขา้ ถึงดว้ ยวธิ ีการปฏิบตั ิมากกวา่ แนวคิดทฤษฎี หรือปริยตั ิ ตารา คมั ภีร์ พระไตรปิ ฎก (คาถามขอ้ ๒) เห็นดว้ ย อธิบายความเพ่ิมเติม ไม่เห็นดว้ ย จานวน ๑๔ รูป/คน จานวน ๑๐ รูป/คน จานวน ๑๓ รูป/คน (ร้อยละ ๓๕.๐) (ร้อยละ ๒๕.๐) (ร้อยละ ๓๒.๐ ) ๐๑ตอ้ งเขา้ ถึงดว้ ยวิธีการ ๐๕ท้งั ปริยตั ิ และปฏิบตั ิ ตอ้ งทา ๐๓ปริยตั ิมีความสาคญั เพราะเป็นหลกั การ ปฏิบตั ิ ๐๖การปฏิบตั ิทาให้ ควบคู่กนั ไป เพ่ือใหส้ ุตมยปัญญา เบ้ืองตน้ ที่ทาใหก้ ารปฏิบตั ิเป็นไปอยา่ งถูกตอ้ ง เกิดการรู้แจง้ รู้จริงในจิต เป็นเบ้ืองตน้ เนน้ ใหป้ ฏิบตั ิมาก ๆ และเป็นเครื่องมือสาหรับการตรวจสอบผล และพฤติของจิต ๐๗ควร คือ ปฏิบตั ิใหม้ ากกวา่ ปริยตั ิ จน การปฏิบตั ิดว้ ย ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ จึงตอ้ ง ปฏิบตั ิมากกวา่ ทฤษฎี ๐๘ ภาวนามยปัญญาเกิดข้ึน ๑๐ควรฝึ ก สมั พนั ธ์กนั และมีความสาคญั เช่นกนั ๐๔ก่อนที่ การปฏิบตั ิจะเป็นความรู้ท่ี เขา้ ถึงดว้ ยวิธีการปฏิบตั ิมากกวา่ จะปฏิบตั ิตอ้ งศึกษาใหถ้ กู หลกั แนวทางท่ี รับรู้ไดด้ ว้ ยตนเอง ๐๙การ แนวคิดทฤษฎี สมกบั คาวา่ พระพทุ ธเจา้ ทรงดาเนินไว้ (ที่เป็นพุทธวจน) ปฏิบตั ิแลว้ พิจารณาดว้ ย ภาวนามยปัญญา รู้เท่าตามความ ใหแ้ จ่มแจง้ แลว้ จึงลงมือปฏิบตั ิ จึงจะเห็นผลที่ ปัญญายอ่ มมีการรู้ชดั กวา่ เป็นจริงของสงั ขารท้งั ปวง โดย แทจ้ ริง สรุปคือ ตอ้ งศึกษาใหถ้ ูกหลกั อยา่ งแจ่ม ๑๘เห็นดว้ ย ๒๕เห็นดว้ ย เริ่มตน้ มาจากคมั ภีร์จึงสมกบั คาวา่ แจง้ แลว้ จึงเป็นผลที่เกิดข้ึนดงั หลกั ท่ีวา่ ปริยตั ิ ๒๖เห็นดว้ ย ๒๗การเขา้ ถึง ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ ท้งั สามอยา่ ง ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ ๑๒ปัญญาในระดบั ภาวนามย มหาสติปัฏฐาน ๔ สมควร น้ีแยกกบั ไม่ออก ๑๑จาเป็นท้งั สุ ปัญญา จะเขา้ ถึงไดด้ ว้ ยการฝึ กปฏิบตั ิใหเ้ กิด อยา่ งยิง่ ต่อการลงมือ ตมยปัญญา เม่ือไดย้ ินไดฟ้ ังธรรม ความรู้ย่ิงเห็นจริงในส่ิงที่ตนปฏิบตั ิ ๑๓การ ปฏิบตั ิ ไม่น้นั ไม่ถึง ตอ้ ง เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ เม่ือไดฟ้ ัง เขา้ ถึงปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญาตอ้ งเกิด ปฏิบตั ิจริง รูปแบบการ แลว้ จะเป็นการวิตกวิจารณ์นึกคิด จากการปฏิบตั ิตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ เท่าน้นั ปฏิบตั ิตอ้ งจบั ใหช้ ดั เจน ตามไปดว้ ย จึงเป็นจิตมยปัญญา การคิดตามทฤษฎีหรือปริยตั ิ ตารา คมั ภีร์ ที่สุด ๓๑ปัญญาระดบั การศึกษาจากแนวคิด ทฤษฎี หรือ พระไตรปิ ฎก ไมส่ ามารถเขา้ ถึงระดบั ภาวนามยปัญญาตอ้ งเขา้ ปริยตั ิ ตารา คมั ภีร์ พระไตรปิ ฏก ภาวนามยปัญญาได้ เหมือนการเรียนรู้ตารา ดว้ ยวิธีฝึ กปฏิบตั ิ เป็นจินตมยปัญญา และเป็น ทาอาหาร แต่ไมเ่ คยทาอาหารน้นั ยอ่ มไมร่ ู้รส พระพทุ ธเจา้ และเหลา่ อริย ภาวนามยปัญญา ๑๖ปริยตั ิ ควรรู้ ชาตฉนั ใดฉนั น้นั ๑๕การท่ีจะเขา้ ถึงปฏิเวธ สาวกไดด้ าเนินสู่ มรรค เพราะจะเขา้ ใจอยา่ งละเอียด ตอ้ งลงมือปฏิบตั ิที่เรียกวา่ ภาวนามยปัญญา ผล นิพพาน ดว้ ยหนทาง ครอบคลุมและรู้ตน้ กาเนิดที่มานา หมายความถึง ปัญญาท่ีจะเกิดข้ึนตอ้ งลงมือ สายน้ี ไดแ้ ก่ สติปัฏฐาน ทาง ส่วนดา้ นปฏิบตั ิ สาคญั ถา้ ไม่ ปฏิบตั ิ๑๗การปฏิบตั ิเป็นส่ิงท่ีตอ้ งทา มีความ ๔ ๓๒การฝึ กมากกวา่ คือ ฝึ กทาตาม จะไม่สามารถเขา้ ถึง จาเป็นอยา่ งยิ่ง ส่วนเรื่องแนวคิดทฤษฎี ทิ้ง ตอ้ งมีหลกั เขา้ ไปดูใน สภาวะที่แทจ้ ริงได้ ๒๘ควรปฏิบตั ิ ไม่ได้ เพราะเป็นตวั ช้ีนาที่ผปู้ ฏิบตั ิตอ้ งเรียนรู้ อายตนะ ๑๒ กระทบ มากกวา่ ลงมือปฏิบตั ิ สภาวธรรม ไปดว้ ย คือ ตอ้ งปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ จึงจะ สมั ผสั กนั ตอ้ งมีส่ิงท่ีระวงั ปรากฏทราบชดั ตามความเป็นจริง สมบูรณ์ ๑๙การเรียนรู้จากตารา คมั ภีร์ต่าง ๆ อารมณ์ที่จะเกิดข้ึนภายใน เป็นปัจจุบนั กาล แต่อยา่ งไร คมั ภีร์ นบั เป็นการเจริญสติปัฏฐานเช่นเดียวกนั เพราะ ใจ ของผปู้ ฏิบตั ิ คือ องค์ ในพระพุทธศาสนาไม่ควรทิ้ง ตอ้ งประกอบดว้ ยสติในกาย เช่น การนงั่ อ่าน ธรรม ๓ ประการให้ เพียงแต่ลงมือปฏิบตั ิไมเ่ อามาคละ หนงั สือ ในเวทนา การรับรู้วา่ ตนเองอา่ นอยู่
๑๐๗ พร้อม คือ อาตาปี สติมา กนั เท่าน้นั ๒๙การปฏิบตั ิตามหลกั ในจิต รู้วา่ คิดอะไรอยู่ ในธรรม คือเขา้ ใจใน สมั ปชาโน ทุกขณะจิตท่ี สติปัฏฐาน ๔ เป็นการรวมท้งั ปริยตั ิ ส่วนอา่ นวา่ อยา่ งไร ไมค่ วรแยกปฏิบตั ิหรือ สมั ผสั ๓๓เห็นดว้ ยเพราะ ปฏิบตั ิ ปฎิเวธ ไปพร้อม ๆ กนั ๓๐ ปริยตั ิ ๒๐ภาวนามยปัญญาตอ้ งเขา้ ถึงดว้ ย การปฏิบตั ิปัญญาที่เกิดจะ ตอ้ งมีท้งั ปริยตั ิ และการปฏิบตั ิ วธิ ีการปฏิบตั ิเท่าน้นั แต่ก่อนการปฏิบตั ิธรรม เป็นปัญญาแบบประจกั ษ์ เพราะตอ้ งเรียนรู้ใหเ้ ขา้ ใจแลว้ มีผปู้ ฏิบตั ิตอ้ งศึกษาทฤษฎี คือ ภาคปริยตั ิให้ นิยม คือ เห็นดว้ ยตาในไม่ นาไปฝึ กดว้ ยอานาจของศรัทธาแต่ ถูกตอ้ งเสียก่อน จึงปฏิบตั ิได้ คร้ังเมื่อเขา้ สู่ ใชจ้ ิตเอาเอง ๓๘ถกู ตอ้ ง ตอ้ งมีอาจารยส์ อนให้ ๓๔ใช่ ทฤษฎี ภาคทฤษฎีเอาไวก้ ่อนไม่นามาใชเ้ ลย ถา้ เพราะมหาสติปัฏฐาน ๔ แนวคิดต่าง ๆ รวมถึงปริยตั ิ มี นามาใชโ้ ดยการตรึกตรองไมใ่ ช่ภาวนา๒๑แนว เป็นการปฏิบตั ิมากกวา่ ท่ี พระไตรปิ ฎกเป็นตน้ มีความ ทฤษฎีโดยอาศยั ธรรม อนตั ตาเป็นตวั ยนื ท่ีมา จะอธิบายในเชิงทฤษฎี ๓๙ จาเป็น เพราะมีเขม็ ทิศ มีแนวทาง มี จากพระไตรปิ ฎก ๒๓ควรมีท้งั ปริยตั ิและ ควรฝึ กปฏิบตั ิใหเ้ ขา้ ถึง ผบู้ อกอยแู่ ลว้ แต่ต่างหากเป็นผูเ้ ดิน ปฏิบตั ิ ๒๔การศึกษาตามแนวทาง วปิ ัสสนาญาณ ภายใตก้ าร จึงตอ้ งใชว้ ิธีการลงสนามจริง พระพทุ ธศาสนา คือ ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ ตอ้ ง ควบคุมของพระวิปัสสนา เผชิญหนา้ จริง ตามที่ไดเ้ รียนรู้จาก เป็นไปตามลาดบั หากศึกษาเฉพาะปริยตั ิ ไม่ จารยผ์ มู้ ีประสบการณ์ท้งั ตารา ๓๕ก่อนปฏิบตั ิตอ้ งศึกษา นาไปปฏิบตั ิ ปัญญาแห่งมรรค ผล นิพพาน จะ ภาคปริยตั ิและภาคปฏิบตั ิ ทฤษฎีหรือปริยตั ิใหร้ ู้และเขา้ ใจ เกิดไดอ้ ยา่ งไร วฑุ ฒิ ๔ คือ ความเจริญ ภาวนา หากไมเ่ ช่นน้นั ผู้ อยา่ งถ่องแทเ้ สียก่อนแลว้ จึงนามา หมายถึง คบคนดี ฟังธรรมท่าน เขา้ ใจ นาไป เขา้ ปฏิบตั ิ มีแต่ทฤษฏี ปฏิบตั ิดว้ ยความเพียรอยา่ งต่อเน่ือง ปฏิบตั ิ ๓๖เบ้ืองตน้ ตอ้ งอาศยั ปริยตั ิ ทาไป ปริยตั ิ ตามคมั ภีร์พระ ไม่ขาดสาย จึงเกิดปัญญาที่แทจ้ ริง ปฏิบตั ิใหถ้ กู ตอ้ งตามธรรม บรรลุธรรม๔๐ตอ้ ง ไตรปิ ฏก ๓๗ถา้ จะพูดเอาผลจริง แต่ ทาตามลาดบั ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ กระบวนการ ตอ้ งอา้ งปริยตั ิ คมั ภีร์ เป็นหลกั ฐานนาทางก่อน จากตารางที่ ๔.๒ สรุปว่ารูปแบบการเข้าถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นปัญญาระดับ ภาวนามยปัญญา ต้องฝึ กเข้าถึงด้วยวิธีการปฏิบัติมากกว่าแนวคิดทฤษฎี หรือปริยตั ิ ตารา คัมภีร์ พระไตรปิ ฎก ผลการศึกษาพบวา่ เห็นด้วย (ร้อยละ ๓๕.๐) “ปฏิบตั ิแลว้ พิจารณาดว้ ยปัญญายอ่ มรู้ชดั เขา้ ถึง ดว้ ยวิธีการปฏิบตั ิ รู้แจง้ รู้จริงในจิต ฝึ กปฏิบตั ิให้เขา้ ถึงวิปัสสนาญาณ ตอ้ งฝึ กฝนเขา้ ดูอายตนะ ๑๒ มา กระทบกนั ประจกั ษ์นิยม ปฏิบตั ิเป็ นปัญญา รับรู้ได้ด้วยตนเอง” เห็นด้วยปานกลางโดยอธิบายความ เพ่ิมเติม (ร้ อยละ ๒๕.๐) “ปรัยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ แยกกนั ไม่ออก ปฏิบตั ิให้มากกวา่ ปริยตั ิภาวนามยปัญญา เกิดข้ึน สุตมยปัญญาเบ้ืองตน้ ปริยตั ิปฏิบตั ิตอ้ งควบคู่กนั ปริยตั ินาทางเขา้ ถึงสภาวะท่ีแทจ้ ริงได้” ไม่เห็น ด้วย (ร้ อยละ ๓๒.๐) “ตอ้ งทาตามลาดบั เป็ นไปตามลาดบั ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ มีความสัมพนั ธ์กนั แต่ เบ้ืองตน้ ตอ้ งอาศยั ปริยตั ิ นาไปปฏิบตั ิให้ถูกตอ้ งตาม ปัญญาภาวนามยปัญญาตอ้ งเกิดจากการปฏิบตั ิ แจ่ม แจง้ ก่อนการปฏิบตั ิ” และ ไม่แสดงความคิดเห็น (ร้อยละ ๗.๕)
๑๐๘ ตารางที่ ๔.๓ รูปแบบนิยามความหมายปัญญาที่เกิดจากระดับปัญญาภาวนามยปัญญา มีวิธีการเขา้ ถึง อยา่ งไร และมีลกั ษณะของปัญญา เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นอยา่ งไร (คาถามขอ้ ๓) เห็นดว้ ย อธิบายความเพ่ิมเติม ไม่เห็นดว้ ย จานวน ๑๗ รูป/คน จานวน ๑๔ รูป/คน จานวน ๖ รูป/คน (ร้อยละ ๔๒.๕) (ร้อยละ ๓๕.๐) (ร้อยละ ๑๕.๐) ๐๓มีวิธีการเขา้ ถึงดว้ ยการปฏิบตั ิตามสติปัฏฐาน ๐๑เขา้ ถึงโดยจิตสงบก่อนลกั ษณะเอา ๐๗ทาใหเ้ กิดการ ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ลกั ษณะของปัญญา เหตุการณ์ยกข้ึนพิจารณา๐๖มีวธิ ีการเขา้ ถึง ไมย่ ึดมน่ั ถือมน่ั คือ การกาเนิดรู้เท่าทนั กาย เวทนา จิต ธรรม ให้ จากการปฏิบตั ิสมาธิจนเกิดปัญญาซ่ึงเกิด ในอารมณ์ใด ๆ รู้เห็นตามสภาพความเป็นจริงและสามารถถอน จากภายในจิต สามารถอธิบายขอ้ สงสยั ท่ี เพื่อลดละ๑๖ ความยดึ มนั่ ถือมน่ั ได้ ๐๕ภาวนามยปัญญาจะ เกิดจากการปฏิบตั ิทุกข้นั ตอนได้ จนหาย ปัญญาระดบั เกิดข้ึนไดด้ ว้ ยความเพียรดว้ ยการปฏิบตั ิมาก ๆ สงสยั มีคาตอบที่ชดั แจง้ จากจิตใหผ้ ปู้ ฏิบตั ิ ภาวนามยปัญญา เป็นจริงในสจั จธรรม เป็นปัญญาที่เกิดข้ึนจาก รับรู้ ๐๘เป็นปัญญาท่ีเกิดข้ึนไดด้ ว้ ยการ ตอ้ งปฏิบตั ิตาม ภายใน มีลกั ษณะท่ีละเอียดลึกซ้ึง แยกแยะ พิจารณากาย เวทนาท่ีเกิดข้ึน ความเป็นไป มหาสติปัฏฐาน ๔ ถกู ผดิ ชดั เจนดว้ ยสติประกอบกนั ๑๑ดว้ ยการ ของจิต ขณะที่เกิดมีสภาวะธรรม๐๙ปัญญา และควรทาอยา่ ง พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต เกิดเพราะการพิจารณารู้เท่าทนั ความ ต่อเนื่อง ไมใ่ ช่ ธรรมในธรรม มีความเพียรเผากิเลส มี เป็นไปของกาย เวทนา ที่เกิดข้ึน จิตท่ี เพียงแต่ช่วงเขา้ สมั ปชญั ญะ มีสตินาเอาความยินดียนิ ร้ายออก เป็นไปและสภาวะธรรมชาติ เป็นการ อบรม แต่ควรทา จากจิตใจ ๑๓นิยามความหมายของปัญญา มี ปฏิบตั ิเพื่อใหเ้ กิดส่ิงเหลา่ น้ีแลว้ พิจารณา ในชีวิตประจาวนั วิธีการปฏิบตั ิ คือ การเจริญสติอยา่ งต่อเนือง ไปตามลาดบั ๑๐จะตอ้ งอาศยั สมั โพชฌงค์ อยา่ งคนปกติได้ ลกั ษณะปัญญาตามหลกั มหาสติปัฏฐาน ๔ จะ ท่ีเกิดข้ึนแลว้ เจริญบริบูรณ์ เช่น สติ ดว้ ย โดยอาจยึด เร่ิมรู้ดว้ ยปัญญาไปตามลาดบั คือ รู้กาย รู้เวทนา สมั โพชฌงค์ ธรรมวิจยั สมั โพชฌงค์ ฐานใดฐานหน่ึง รู้จิต รู้ธรรม ท้งั ภายนอกและใน ความรู้หรือ วริ ิยะสมั โพชฌงค์ ปี ติสมั โพชฌงค์ เป็นตวั นา ตาม ปัญญาท่ีเกิดข้ึน จะมีตามลกั ษณะวิปัสสนาญาณ ปัสสทั ธิสมั โพชฌงค์ สมาธิสมั โพชฌงค์ ความถนดั (จริต) หรือเรียกวา่ “วปิ ัสสนาญาณ ๑๖” ๑๘ปัญญาที่มี อเุ บกขาสมั โพชฌงค์ ท้งั หมดลว้ นเป็น ของตนก่อน แต่ สติเป็นตวั กากบั มีลกั ษณะรู้แจง้ เห็นจริงในกอง ลกั ษณะของปัญญาท้งั น้นั ๑๒มีวิธีการ แทจ้ ริงทุกฐาน รูปนาม ๒๐นิยามความหมายของปัญญาท่ีเกิด เขา้ ถึงดว้ ยการลงมือปฏิบตั ิอยา่ งจริงจงั เก่ียวเนื่อง จากการภาวนา คือ เห็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่ อยา่ งต่อเนื่องเป็นลาดบั ไป เกิดญาณหรือ เช่ือมโยงกนั เป็น รู้เห็นตามความเป็นจริง อาการเห็นตอ้ งเกิดข้ึน ปัญญาข้ึนกบั ผปู้ ฏิบตั ิท่ีเรียกวา่ ญาณ ๑๖ หน่ึงเดียวกนั การ ก่อนในภาคภาวนา และจึงเกิดภาคความรู้ตาม โดยลกั ษณะของปัญญาท่ีรู้ละเอียดรู้ลึกซ้ึง เขา้ ถึงปัญญาใน คาสงั่ สอนมีวิธีการเขา้ ถึงดว้ ยการกรรมฐาน เช่นเหรียญ ๑๐ บาท ถา้ เป็นเดก็ รู้เป็นเพียง มหาสติปัฏฐาน ๔ เท่าน้นั ลกั ษณะปัญญาคือ การเห็นไตรลกั ษณ์ เหรียญ ๑๐ บาทเท่าน้นั แต่ถา้ เป็นปัญญา คือใชส้ ติเป็น เท่าน้นั ๒๑เขา้ โดยอาศยั เวทนา จิต สมาธิ จึง ภาวนามยปัญญา จะรู้วา่ เหรียญทาดว้ ย ตวั นาในทุกฐาน ภาวนามยปัญญาได้ และเขา้ ถึงสติปัฏฐาน ๔ ได้ อะไร ผลิตจากท่ีไหน เม่ือไร รู้หมด ๑๔ เพ่ือเจริญญาณ ๒๓วธิ ีการเขา้ ถึง ๑)อาตาปี ไดแ้ ก่ การมีความ ตามรู้ตามดู กาย เวทนา จิต ธรรม ตาม ๓๒การเขา้ ถึง เพียร ๔ ๒)สติมา ไดแ้ ก่ การมีสติตลอดเวลา ๓) ความเป็นจริง เห็นความไมเ่ ที่ยง ไมแ่ ท้ ปัญญาระดบั
๑๐๙ สมั ปชาโน ไดแ้ ก่ การมีความรู้ตวั สม่าเสมอ มี ท้งั ภายในและภายนอก ๑๕“รู้เท่าทนั ความ ภาวนามยปัญญา ลกั ษณะของปัญญา ไดแ้ ก่ ความรู้แจง้ ตามความ เป็นจริง” วธิ ีการเขา้ ถึงท่ีปรากฏในอานา มีการเขา้ ถึงดว้ ย เป็นจริงของสภาวะทุกสิ่ง ๒๔ปัญญา หมายถึง ปานสติสูตร ทาใหม้ ากเจริญใหม้ ากซ่ึงอา ความจริงของ การรอบรู้ รู้แจง้ แห่งมรรค ผล นิพพาน วธิ ีการ นาปานสติ ยอ่ มยงั ใหส้ ติปัฏฐาน ๔ ให้ รูปธรรม เขา้ ถึงปัญญา คือ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ อยา่ ง สมบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ ยอ่ มทาให้ นามธรรม วา่ เป็น ต่อเน่ือง สารวมกาย วาจา เฝ้าระวงั จิต รู้เท่าทนั โพชฌงค์ ๗สมบูรณ์ ทาใหม้ ากเจริญให้ สิ่งที่เกิดข้ึนต้งั อยู่ จิต ใหส้ ะอาดสวา่ ง สงบ ลกั ษณะปัญญา คือ มี มาก โพชฌงค์ ๗ ยอ่ มทาใหธ้ รรมสอง แลว้ ดบั ไป ไม่ สติรู้เท่าทนั รูปนาม มีมรรค ผล นิพพาน เป็นที่ อยา่ งใหส้ มบูรณ์ คือ วิชชา วิมตุ ติ ๑๗การ อุปทานถือมนั่ ใน หมาย ๒๕ “ปัญญา”ในความหมาย สติปัฏฐาน ๔ เขา้ ถึงระดบั ปัญญาตอ้ งลงมือปฏิบตั ิสมถะ ส่ิงน้นั วา่ จะอยู่ มี ๒ ความหมาย ๑)ความหมายของวธิ ีการ “การ และวปิ ัสสนาจะใชส้ มถะหรือวิปัสสนานา ตลอดไปไม่มีโลภ พิจารณาตามความเป็นจริงตามไตรลกั ษณ์ ถือวา่ แลว้ แต่ การเขา้ สู่สานกั ปฏิบตั ิในรูปแบบ ไมโ่ กรธ ไม่มี เป็นวิธีการท่ีถูกตอ้ ง หรือเป็น“ปัญญา” ๒) และการปฏิบตั ิในชีวติ ประจาวนั ควรไป หลง เมื่อจิตระงบั ความหมายของ “ผล” ของการปฏิบตั ิ เม่ือ ดว้ ยกนั การทาความเขา้ ใจความเป็นไป อารมณ์ต่าง ๆ๓๕ พิจารณาตามขอ้ ๑ ๒๖เขา้ ถึงไดด้ ว้ ยการภาวนา ของรูปและนาม จากการเฝ้าสงั เกตอยา่ ง ตอ้ งเห็นตาม (กาหนด) ลกั ษณะเป็นปัญญาญาณ ๒๗การ อดทน เห็นธรรมชาติที่ผนั แปร มีทุกข์ มี ความเป็นจริงวา่ เขา้ ถึงปัญญาทางภาวนา คือ การรู้เท่าทนั สภาพท่ีไม่ใช่ของ ไมอ่ ยใู่ นอานาจที่ ร่างกายเป็นเพียง ปัจจุบนั ตวั เอง แกไ้ ขตวั เองได้ รู้เท่าทนั ปัจจุบนั ตอ้ งการได้ ๑๙ปัญญา เห็นวา่ ทุกส่ิงทุก ธาตุดิน น้า ลม ขณะน้นั ๆ ตามความเป็นจริงใหไ้ ด้ ๒๘ปัญญา อยา่ งตกอยใู่ ตก้ ฎไตรลกั ษณ์สามารถเขา้ ถึง ไฟ เป็นของไม่ หมายถึง ความรู้ ไดแ้ ก่ รู้โดยประการต่าง ๆ ไดด้ ว้ ยตนเองเท่าน้นั เม่ือคลายความเห็น งามมีความเสื่อม พิเศษวา่ รู้จกั รู้แจง้ ลกั ษณะของปัญญาในมหา ผดิ วา่ งาม วา่ สุข วา่ เที่ยง วา่ มีตวั ตน ซ่ึงรู้ เป็นธรรมดา เห็น สติปัฏฐาน ๔ คือ ปัญญาท่ีประกอบดว้ ยจิตท่ี เห็นไดด้ ว้ ยปัญญาญาณของตน สติปัฏ วา่ การติดอยขู่ อ้ ง เป็นกศุ ล และมีการตรัสรู้สภาวธรรมเป็น ฐาน ๔ เป็นทางหน่ึงท่ีทาใหเ้ กิดปัญญา กบั เวทนา ลกั ษณะ ๒๙มี ๒ ระดบั คือ ๑)กาย การรู้จกั กาย ที่วา่ น้นั ได้ ๓๐การเขา้ ถึงตอ้ งฝึ กฝนกนั นาน ท้งั หลายเป็นการ โดยไตรลกั ษณ์ ๒)จิต การรู้จกั จิตโดยไตร กวา่ เขา้ ใจ เมื่อเขา้ ถึงจะแยกสดั ส่วน สร้างภาพสร้าง ลกั ษณ์ เป็นปัญญาท่ีทาใหห้ มดขอ้ สงสยั รูป ร่างกายได้ อารมณ์จะนิ่ง ๓๓ปัญญาท่ีเกิด ชาติ ปิ ดก้นั ทาง นาม (กายจิต) ๓๑ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่ จากภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจาก นิพพาน เป็นวา่ เกิดสาเร็จจากการภาวนา เม่ือบุคคลการเจริญ การปฏิบตั ิจนจิตไดส้ มาธิ วิธีการเขา้ ถึง จิตมีการเกิดดบั ภาวนาอยยู่ อ่ มไดป้ ัญญา คือ ความรู้ความเขา้ ใจ ตอ้ งปฏิบตั ิจนจิตไดส้ มาธิอยา่ งเดียว ตลอดเวลา เห็นวา่ ตามความเป็นจริงของนามธรรมรูปธรรม ใน (สมาธิ ภิกขเว สมาหิโต ยถาภตงั ปชานติ) สิ่งใดส่ิงหน่ึง บางแห่งวา่ เป็นปัญญาของผเู้ ขา้ สมาบตั ิ สาหรับ ส่วนปัญญาในมหาสติปัฏฐาน เป็นปัญญา เกิดข้ึนเป็น เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ตอ้ งมีสติตามดู กาย เพ่ือความรู้แจง้ ในไตรลกั ษณ์ ๓๖ตอ้ งเจริญ ธรรมดา ส่ิงน้นั เวทนา จิต ธรรม ๓๔นิยามความหมายของ สติพิจารณาภายใน กาย นอก จนเกิด ท้งั หมดตอ้ งดบั ปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญาน้นั เป็นปัญญาที่รู้ สมาธิ เกิดปัญญาญาณ ญาณหยงั่ รู้ทว่ั ถึง ไปเป็นธรรมดา แจง้ กฎไตรลกั ษณ์ รูปนาม ขนั ธ์ ๕ เป็นของ ธรรม จึงบรรลุธรรม ๓๘วิธีการเขา้ ถึง คือ ๓๙สามารถเกิด ธรรมดาจนเกิดญาณหยงั่ รู้ในอนิจจงั ปัญญา นาปัญหามาวเิ คราะห์ มีลกั ษณะเป็นการ วิปัสสนาญาณ
๑๑๐ ระดบั น้ีจะเขา้ ถึงไดต้ อ้ งมีการพิจารณา กาย คิดทางออก คือ การดบั ทุกข์ มหาสติปัฏ ต้งั แต่ข้นั ท่ี ๑ นาม เวทนา จิต ธรรม ตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ ๓๗ ฐาน ๔ คือ รูปแบบเดียวกนั คือ คิดหาทาง รูปปริจเฉทญาณ ปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญา คือ ตวั วปิ ัสสนา ออก คือ การดบั ทุกข์ ๔๐ไร้กระบวนการ กรรมฐาน ตอ้ งรู้จกั วปิ ัสสนาภูมิ ๖ มีขนั ธ์ ๕ ไร้รูปแบบ ข้ึนอยู่ เป็นตน้ ตวั ลกั ษณะคือ การเขา้ ถึงไตรลกั ษณ์ กบั ตวั บุคคลผู้ ปฏิบตั ิ จากตารางท่ี ๔.๓ สรุปวา่ รูปแบบนิยามความหมายปัญญาที่เกิดจากระดบั ปัญญาภาวนามยปัญญา ลกั ษณะ ผลการศึกษาพบวา่ เห็นด้วย (ร้ อยละ ๔๒.๕) “ปัญญาภาวนามยปัญญา รู้แจง้ กฎไตรลกั ษณ์ รูป นาม ขนั ธ์ ๕ ลกั ษณะปัญญา คือ การเห็นไตรลกั ษณ์ ปัญญาเกิดภายในมีความละเอียดลึกซ้ึง เกิดญาณหยง่ั รู้ ปัญญาท่ีเกิดเป็นลกั ษณะ วปิ ัสสนาญาณ ๑๖ วธิ ีการเขา้ ถึง อาตาปี สติมา สมั ปชาโน สตินาความยนิ ดียนิ ร้าย ออกจากจิตใจ รู้เท่าทนั กายเวทนาจิตธรรม เจริญสติอยา่ งต่อเน่ือง เรียนรู้ดว้ ยปัญญาตามลาดบั ” เห็นด้วย ปานกลาง โดยอธิบายความเพิ่มเติม (ร้อยละ ๓๕.๐) “ปัญญาเห็นสิ่งที่ตกอยใู่ นกฎไตรลกั ษณ์ รู้เทา่ ทนั ความ เป็ นไปรู้ตามกายเวทนาจิตธรรม ภาวนามยปัญญาปฏิบตั ิจิตไดส้ มาธิ จิตสงบ ปัญญาเกิดจากภายในจิตชดั แจง้ จากจิตของผูป้ ฏิบตั ิ อาศยั สัมโพชฌงค์ ญาณ ๑๖”ไม่เห็นด้วย (ร้ อยละ ๑๕.๐) “ทุกฐานเกี่ยวเนื่องกนั เช่ือมโยงเป็นหน่ึงเดียว ยดึ ฐานในฐานหน่ึงเป็นตวั นาตามจริต ทาต่อเน่ืองในชีวติ ประจาวนั อยา่ งคนปกติ ไร้ ระบบไร้รูปแบบอยทู่ ี่ตวั ผปู้ ฏิบตั ิ” และไม่แสดงความคิดเห็น (ร้อยละ ๗.๕) ตารางท่ี ๔.๔ รูปแบบฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต ฐานธรรม วิธีการเขา้ ถึงปัญญาอย่างไร และฐานใดมี ความสาคญั กวา่ กนั (คาถามขอ้ ๔) เห็นดว้ ย อธิบายความเพ่ิมเติม ไม่เห็นดว้ ย จานวน ๑๔ รูป/คน จานวน ๑๗ รูป/คน จานวน ๗ รูป/ (ร้อยละ ๓๕.๐) (ร้อยละ ๔๒.๕) คน (ร้อยละ ๑๗.๘) ๐๓การเขา้ ถึงไดด้ ว้ ยการเจริญสมถะและวปิ ัสสนา ๐๑แต่ละฐานคือ เห็นเรื่องท่ียกข้ึนพิจารณา ๐๗ฐานจิต อยา่ งต่อเนื่อง ฐานกายมีความสาคญั เพราะ เวทนา แลว้ ถึงจะเกิดปัญญา ไม่มีฐานใดสาคญั กวา่ สาคญั กวา่ จิต จิต ธรรม เกิดข้ึน ต้งั อยแู่ ละดบั ไปภายในกายของ กนั แลว้ แต่จริตคน ๐๔สติอยกู่ บั ปัจจุบนั วา่ คือธรรรมชาติ ฐานกายจึงเป็นพ้ืนฐาน ของ เวทนา จิต ธรรม ๐๘ ขณะน้ีจิตเป็นอยา่ งไร ทุกฐานมีความสาคญั รับรู้อารมณ์ การเกิดความรู้แจง้ จากการปฏิบตั ิตามหลกั สติปัฏ เท่ากนั หมด (สุข ทุกข์ กศุ ลและอกศุ ล) ๐๕ ๐๙เขา้ ถึงโดย ฐาน ๔ ญาณกายมีความสาคญั ท่ีสุด เพราะถา้ กาย เอาปัญญาเป็นตวั รู้ เขา้ ไปจบั แน่นกบั ฐาน การพิจารณา ไม่สงบ เวทนาไมเ่ กิด และส่ิงต่าง ๆ ไมเ่ กิดตาม ๑๒ กาย เวทนา จิต ธรรม เมื่อตวั รู้จบั ไดด้ ีเขา้ ใจ รู้เท่าทนั สิ่งที่ วิธีการเขา้ ถึงอนั ดบั แรก ตอ้ งต้งั สติกาหนดไวท้ ี่ ไดม้ ากข้ึน ตวั รู้(ปัญญา)จะเขา้ ถึงไดช้ ดั เจน เกิดตามฐาน ฐานกายก่อน ต่อแต่น้นั ถา้ อะไรเกิดข้ึนมา เอาสติ เอง ทุกฐานมีความสาคญั ๆพอๆกนั ๐๖ทุก น้นั ๆ ในขณะ ไปกาหนดรู้ฐานที่เกิดข้ึนมาก สมมติวา่ เวทนา ฐานมีความสาคญั แต่ฐานกายเป็นฐานที่ จิตน้นั มี
๑๑๑ เกิดข้ึน หยดุ กาหนดท่ีฐานกายก่อน เอาสติไป หยาบสามารถสมั ผสั ไดช้ ดั เจน เพราะมีรูป ความสาคญั กาหนดเวทนาที่เกิดข้ึนมา ถา้ ฐานจิต ฐานธรรม หรือสิ่งที่ทาใหส้ มั ผสั ได้ เม่ือแรกปฏิบตั ิ เกี่ยวเนื่องกนั เกิดข้ึน เอาสติไปกาหนดรู้ทนั ที และจึงมากาหนด จาเป็นตอ้ งผา่ นฐานกายก่อน จึงส่งต่อไปยงั ถา้ กายไม่สงบ ที่ฐานกายดงั เดิม สรุปฐานท่ีสาคญั คือฐานกาย ๑๓ ฐานเวทนาและจิตและธรรม ๑๐ท้งั ๔ ฐาน เวทนา ไมเ่ กิด ทุกฐานมีความสาคญั เหมือนกนั หมดข้ึนอยกู่ บั มีความสาคญั เช่นเดียวกนั กายเวทนาจิต จิตไมเ่ ห็น อปุ นิสยั เรียกวา่ บารมี หรือ ความถนดั ของแต่ละ ธรรม ยอ่ มเกาะกนั เป็นลูกโซ่ เมื่อธรรมท้งั สภาวธรรมไม่ บุคคลท่ีเจริญสติ แต่ปัจจุบนั ใหค้ วามสาคญั ที่ฐาน ๔ สมบูรณ์แลว้ เรียกวา่ ปัญญา เห็นตาม เกิด ๑๑ฐาน กายเพราะฐานกายเป็นสิ่งท่ีหยาบใหญ่ สามารถ ความเป็นจริงท้งั หลาย ทุกอยา่ งความจริง กายพิจารณา กาหนดสติระลึกรู้ไดง้ ่าย มีวิธีการเขา้ ถึงปัญญาได้ บอกอยชู่ ดั เจนแต่อวชิ าปิ ดบงั เอาไวไ้ ม่เห็น กาหนดลม ทุกฐาน คือ เห็นพระไตรลกั ษณ์ หรือความ ความจริงพากนั หลง ๑๔มีความสาคญั เท่า ๆ หายใจเขา้ ออก เปลี่ยนแปลง ความทนอยสู่ ภาพเดิมไมไ่ ด้ และการ กนั ๑๕สติปัฏฐาน ๔ เกิดข้ึนไดพ้ ร้อมกนั อิริยาบถ ไมส่ ามารถบงั คบั บญั ชาตามใจตนปรารถนาได้ เพียงแต่จริตของบุคคลจะกาหนดฐานใด สมั ปชญั ญะ ทุก ๆ ฐาน แต่สุดทา้ ยจะไปรวมอยทู่ ่ีฐาน จิต ๑๗ ชดั เจนเท่าน้นั เอง เพราะสาคญั ท้งั หมดท้งั พิจารณากาย ฐานกาย หยาบเป็นของรู้เห็นไดง้ ่าย จึงนามาใชใ้ น ๔ ฐาน ต่าง เป็นเหตุปัจจยั ซ่ึงกนั ๑๖ทุกฐาน เป็นของ การเดินนง่ั กายละเอียด อาการเคลื่อนไหว สงั เกต มีความสาคญั เท่ากนั เป็นเน้ือเดียวกนั ปฏิกลู ไดว้ า่ มีการเกิดข้ึนต้งั อยแู่ ละดบั ไปตลอดเวลา เชื่อมโยงกนั ถึงกนั และกนั อยา่ งสืบเนื่องกนั พิจารณาเห็น ฐานเวทนาสามารถสงั เกตการท่ีปรากฏหนกั เบา แต่ละฐานธรรมจะเนน้ ครอบคลุมเป็นพี่ เป็นธาตุ เป็น แปรเปลี่ยนไมค่ งท่ี ฐานจิตปรากฎตามอายตนะ ใหญใ่ นทุกฐาน เช่น ธมั มานุปัสสนา หมวด ป่ าชา้ ๒๓ ของตนเป็นกศุ ลอกศุ ลเป็นอดีตอนาคต ฐานธรรม นิวรณ์ เช่ือมโยงกบั จิตตานุปัสสนา (ที.ม. วิธีการเขา้ ถึง ใหข้ อ้ สรุปในความเป็นไตรลกั ษณ์แต่ละฐานมี ๑๐/๓๘๑-๓๘๒/๓๑๔-๓๑๖) ธมั มานุปัสส ปัญญา สุ จิ ปุ ความสาคญั ของตน แต่ฐานธรรมจะสาคญั โดย นาหมวดขนั ธเ์ ช่ือมกนั กายานุปัสสนา ธมั ลิ ไดแ้ ก่ การ การมองฐานอื่นอยา่ งตามความจริงโดยใชห้ ลกั มานุปัสสนาหมวดอายตนะ เช่ือมกบั เวทนา สดบั รับฟัง ไตรลกั ษณ์ ๒๐ฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต ฐาน นุปัสสนาและในขอ้ ธรรมอื่นๆ เนน้ ที่วา่ การมีจิต ธรรม มีวิธีการเขา้ ถึงปัญญาดว้ ยการปฏิบตั ิ กายมีอยู่ เวทนามีอยู่ จิตมีอยู่ ธรรมมีอยู่ ตระหนกั นึก กรรมฐานเท่าน้นั ในเบ้ืองตน้ ควรเร่ิมปฏิบตั ิดว้ ย เพื่อการเจริญญาณ เจริญสติ ความยึดมนั่ ถือ ถึงคิดดว้ ย ฐานกายก่อน เนื่องจากการปฏิบตั ิง่าย เรียนรู้ง่าย มน่ั ๑๘มีสติกาหนดรู้เท่าทนั ทุกอาการ เห็น เหตุผล การ เหมาะกบั คนทุกช้นั ทุกเพศ ทุกวยั ท้งั ๔ ฐาน มี ความเกิดดบั ทุกฐานมีความสาคญั เท่ากนั ๑๙ สอบถามใน ความสาคญั เท่ากนั เพราะเมื่อถึงระดบั หน่ึงจะรู้ได้ ทุกฐานมีความสาคญั เสมอกนั และ ขอ้ ขอ้ งใจ วา่ ปฏิบตั ิฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม ท่ีมีอยใู่ นฐาน เช่ือมโยงกนั เป็นวงจรเพราะกายเป็นที่ต้งั ความท่ีฝึ ก กายแลว้ ๒๑เขา้ โดยอาศยั กาย เวทนา จิต ธรรม แห่งเวทนา จิตเกิดข้ึนเพราะเหตุแห่งเวทนา ศึกษา ลิ ไดแ้ ก่ รวมคือ ทุกข์ อนนั ตา เรียกวา่ ปัญญาได้ ๒๒ปัญญา ธรรมเป็นผลมาจากจิต โดยมีสติเป็น การเขียน ๒๙ เขา้ ถึง ซ่ึงฐานกายเป็นฐานท่ีหยาบ ดงั น้นั จึง เหมือนกระแสหล่อเล้ียงวงจรน้ีไว้ ๒๕ ปัญญาเป็น สาคญั กวา่ ในการเร่ิมตน้ การปฏิบตั ิ ๒๔ฐานกายเป็น วธิ ีการเขา้ ถึงท้งั ฐานกาย เวทนา จิต ธรรม การปฏิบตั ิ คือ ฐานที่หยาบสุด การเจริญสติท่ีกาย จึงเป็นเหตุให้ ดว้ ยการพิจารณาตามสภาวะท่ีเป็นไตร เห็นไตร จิตสงบ และเกิดปัญญา วิธีการเขา้ ถึงปัญญา ลกั ษณ์ (ตามที่เป็นจริง) ถือวา่ เป็นวธิ ีการ ลกั ษณ์ ผู้
๑๑๒ จะตอ้ งศึกษาท้งั ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ มีสติอยกู่ บั ของ “ปัญญา” และผลของ “ปัญญา” ฐาน ปฏิบตั ิมี อารมณ์ปัจจุบนั จดจ่อ ต่อเนื่องใน กาย เวทนา จิต ธรรมที่สาคญั ท่ีสุดเพราะพิจารณากาย ปัญญาเห็นใน ธรรม สภาวธรรมชดั ที่ไหนใหก้ าหนดท่ีนนั่ ทุก เวทนา จิต จะไมเ่ นน้ การปฏิบตั ิ ทุก ๆ ฐาน ฐานมีการเกิดข้ึน ต้งั อยู่ ดบั ไปของมนั เอง ๒๘ฐาน “วิปัสสนา” และ ถา้ ไมพ่ ิจารณาตามฐาน เกิดข้ึน ต้งั อยู่ กาย กาหนดกายทุกส่วนท้งั หยาบและละเอียดเป็น ธรรม เพราะพิจารณาตามไตรลกั ษณ์ ของ ดบั ไป ตน้ กระทง่ั ลมหายใจน้นั วา่ กาย ฐานเวทนา ท้งั ๔ ฐาน ถือวา่ พิจารณาสภาวธรรม ๒๖ เหมือนกนั กาหนดสุขทุกข์ และเฉย ๆ ทุกขณะท่ีปรากฏชดั ทุกฐานมีความสาคญั เท่ากนั วิธีการโดย เสมอกนั ทุก ฐานจิต กาหนดจิตตามที่ปรากฏ และฐานธรรม กาหนด (ปฏิบตั ิภาวนา) ๒๗เนน้ วา่ สาคญั ฐานน้ี ๓๘ กาหนดวา่ ธรรมดีไม่ไดท้ ี่ปรากฏ ทุกฐานสาคญั ทุกฐาน ฐานกาย กบั จิตสาคญั สุด เพราะ วิธีการเขา้ ถึง ที่สุดแลว้ แต่บุคคลจริตคนหรือระดบั การปฏิบตั ิ การจะมีปัญญารู้เท่าทนั ไดน้ ้นั ตอ้ งศึกษา คือ รับรู้อยู่ ๓๑ฐานกาย คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีสติตาม ควบคู่กนั ไป แลว้ ตอ้ งมีบทสรุปใหก้ บั ตลอดเวลา ทุก พิจารณาดูอาการกาย เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ตวั เองถา้ รู้เท่าทนั ๓๐ฐานกายใหพ้ ิจารณา ฐานมี มีสติตามพิจารณาดูเวทนา ทุกข์ สุข อเุ บกขา จิตตา การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ฐานเวทนาดู ความสาคญั นุปัสสนาสติปัฏฐาน มีสติตามพิจารณาดูจิต ดว้ ย ความรู้สึกร้อนเยน็ ฐานจิตนิ่งสงบอยใู่ น เท่า ๆ กนั และ การไมเ่ ขา้ ไปยึดมน่ั ถือมนั่ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏ อารมณ์เดียว ฐานของความอนั เกิดจากจิต ควรปฏิบตั ิไป ฐาน มีสติตามพิจารณาดูสภาวธรรมที่เกิดกบั จิต สงบน่ิง ๓๓ทุกฐานมีวิธีการเขา้ ถึงปัญญา พร้อมกนั ๓๒ฐานกายพิจารณากายของตนและผอู้ ื่นวา่ จิรัง เหมือนกนั คือ เอาแต่ละฐานมากาหนดจน ยง่ั ยนื ยอ่ มเปลี่ยนแปลงเสมอ ฐานเวทนาเม่ือสุข จิตเป็นสมาธิ แลว้ ปัญญาจะเกิดเอง ฐานใด เมื่อทุกข์ เม่ือเฉยเกิดข้ึนใหร้ ู้วา่ เป็นธรรมดาเม่ือเกิด ที่มีความหยาบ จะกาหนดสมาธิไดง้ ่าย แลว้ ตอ้ งดบั ฐานจิตตอ้ งมีคุณธรรมเขา้ คุม้ ครอง ดงั น้นั ฐานกายจึงมีความสาคญั ในการทา จิตเมื่อจิตรู้อารมณ์ ฐานธรรมเกิดท้งั บุญและบาป สมาธิ ๓๔วธิ ีการเขา้ ถึงปัญญาโดยการ ตอ้ งมีธรรมเป็นผเู้ ลือกเฟ้น จึงจะเกิดปัญญา ฐาน พิจารณาดว้ ยสติ สมั ปชญั ญะ และความ ธรรมมีความสาคญั กวา่ ทุกฐาน ๓๕ท้งั ๔ ฐานตอ้ ง เพียร จนขจดั อภิชาและโทมนสั ลงได้ ใชจ้ ิตท่ีเป็นสมาธิเฝ้าดู แลว้ จะเห็นความเกิด เรียกวา่ พิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาใน ปรากฏ ความดบั ปรากฏ ฐานกายสาคญั ที่สุด เวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมอยเู่ นือง ๆ เพราะเป็นจุดเริ่มตน้ ท่ีทาใหเ้ ห็น เวทนา จิต ธรรม ท้งั ๔ ฐาน มีความสาคญั หมด เพราะเป็น ๓๗ฐานกายเป็นส่วนรูป มีอานาปานสติ ๑๖ ลาดบั องคป์ ระกอบของกนั และกนั ๓๖มี ต้งั แต่หยาบไปจนละเอียด ฐานเวทนาในการรับรู้ ความสาคญั หมดทุกฐาน เพราะนกั ปฏิบตั ิ อารมณ์ ๒-๑๐๘ ฐานจิต ๑๖ เป็นภาวะละกิเลส ธรรมมีจริตต่าง ๆ กนั ตอ้ งปฏิบตั ิถกู ตอ้ ง หยาบตวั อนุสยั จนถึงหลุดพน้ กองกิเลส ฐาน ตามความเป็นจริง ๔๐แต่ละฐานมี ธรรมเป็นกลุ่มเป็นหมวดสถาวะธรรมมีขนั ธ์ ๕ ความสาคญั เท่าเทียมกนั ไม่มีฐานใดโดด เป็นตน้ ๓๙ทุกฐานมีความสาคญั ท้งั หมด แต่การ เด่นกวา่ กนั ปฏิบตั ิจะเร่ิมฐานแรก คือ ฐานกาย จากตารางที่ ๔.๔ สรุปว่า รูปแบบฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต ฐานธรรม วิธีการเขา้ ถึงปัญญา อยา่ งไร และฐานใดมีความสาคญั กวา่ กนั ผลการศึกษาพบวา่ เห็นด้วย(ร้ อยละ ๓๕.๐) “มีสติพิจารณากาย
๑๑๓ ฐานกายเป็ นพ้ืนฐาน กายตอ้ งสงบ ฐานกายหยาบสุดและใหญ่กาหนดสติง่าย ต้งั สติกาหนดไวท้ ่ีฐานกาย รู้ แจง้ ทุกฐานมีความสาคญั เท่ากนั แต่เริ่มตอ้ งปฏิบตั ิตอ้ งเริ่มฐานกายเบ้ืองตน้ ปฏิบตั ิ มีสติตามพิจารณากาย เวทนาจิตธรรม ฐานกายเป็ นรูปมีอานาปานสติ ๑๖ หยาบไปละเอียด เจริญสติใหจ้ ิตสงบสุดทา้ ยรวมอยูท่ ี่ ฐานจิต” เห็นด้วยปานกลางโดยอธิบายความเพิ่มเติม(ร้ อยละ ๔๒.๕) “ปัญญาเป็นตวั รู้จบั ใหแ้ น่น จิตอยกู่ บั ฐานกายเวทนา สติเกิดข้ึนไดพ้ ร้อมกนั ข้ึนอยกู่ บั ผปู้ ฏิบตั ิกาหนดฐานใดชดั เจนเทา่ น้นั สาคญั ทุกฐานปัญญา รู้เท่าทนั กายเวทนาจิตธรรมเกาะกนั เป็ นลูกโซ่ ทุกฐานสาคญั เสมอกนั แต่ละฐานเกิดข้ึนแลว้ พิจารณาดว้ ย ปัญญา ไม่มีฐานใดสาคญั ไปกวา่ กนั อยทู่ ี่จริต ฐานกายหยาบชดั เจนสัมผสั ได้ แรกปฏิบตั ิตอ้ งผา่ นฐานกาย” ไม่เห็นด้วย (ร้ อยละ ๑๗.๘) “วธิ ีการเขา้ ถึงคือการรับรู้อยตู่ ลอดเวลา ฐานจิตคือธรรมชาติ ฐานธรรมสาคญั ที่สุดเพราะไปพจิ ารณากายเวทนาจิตธรรม” และไม่แสดงความคิดเห็น (ร้อยละ ๕.๐) ด้านกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน : ฐานกาย ตารางที่ ๔.๕ รูปแบบกายเป็ นท่ีต้งั ของความรู้สึกเป็ นท่ีปฏิบตั ิธรรมที่ประชุมแห่งความจริง เพง่ กายวิธีการ นาลมหายใจเอาสติมาต้งั ไว้ ทาความรู้ตวั ฝึกอิริยาบถใหญ่ยอ่ ย และเคลื่อนไหว เป็นอุปกรณ์กรรมฐานสร้าง ความรู้สึกตวั สรุปกายเป็นฐานหยาบดีท่ีสุดสาหรับปฏิบตั ิการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน (คาถามขอ้ ๕) เห็นดว้ ย อธิบายความเพ่ิมเติม ไม่เห็นดว้ ย จานวน ๑๔ รูป/คน (ร้อยละ ๓๕.๐) จานวน ๑๑ รูป/คน (ร้อยละ ๒๗.๕) จานวน ๗ รูป/คน (ร้อยละ ๑๗.๕) ๐๑เป็นฐานแรกสุดท่ีควรหดั พิจารณา๐๕ ๐๗การพิจารณากายเป็นพิจารณาปฏิกลู ร่างกาย ๑๖ถูกตอ้ งวา่ กายเป็น กายเป็นตวั ที่มองเห็นไดง้ ่ายกวา่ ในส่วนต่าง ๆ ๐๘ถา้ กายไมส่ งบ เวทนา จิต ของหยาบที่สุดสาหรับ เวทนา จิต ธรรม เริ่มตน้ ปฏิบตั ิจึงยดึ ธรรม จะไมเ่ กิดตาม ๑๐กายเป็นฐานที่จิตต้งั การเขา้ ถึงสติปัฏฐาน กายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นพ้ืนฐาน เรียกวา่ กายหยาบ เมื่อพิจารณากายหยาบจน เพราะสามารถรับรู้ได้ แต่เมื่อทามากข้ึนแลว้ จะไปสู่เวทนาจิต ชานาญแลว้ ค่อยพิจารณากายละเอียดพิจารณา อยา่ งสามญั ธรรมดา ธรรม ตามจริตของตน๑๒ใชก้ ายเป็น กายในกาย๑๙กายานุปัสสนาสติปัฏฐานมีหลาย ชาวโลกแต่ไมไ่ ด้ ฐานท่ีเป็นรูปธรรมที่ปฏิบตั ิสามารถ รูปแบบข้ึนอยูก่ บั จริตอุปนิสยั ผปู้ ฏิบตั ิวา่ มีสติดี หมายความวา่ จริตผู้ ปฏิบตั ิเขา้ ถึงไดง้ ่าย๑๓ฐานกายเป็น คือ สามารถกาหนดสติไดด้ ีดว้ ยวิธีใด อานา ปฏิบตั ิทุกคนจะตอ้ ง อปุ กรณ์ที่ดีสุดในการเจริญสติเป็นสิ่ง ปานะ อิริยาบถ สมั ปชญั ญะ ธาตุมนสิการ เร่ิมท่ีฐานกายก่อน ท่ีหยาบรับรู้ไดห้ รือมีสติไดง้ ่าย ปฏิกลู มนสิการ นวสีถิกา หรือวธิ ีอ่ืนใด แต่ เท่าน้นั ความถนดั ของ พระองคจ์ ึงทางแนะนาใหเ้ จริญสติท่ี ขอใหร้ ู้ชดั มีสติกากบั อยู่ท่ีกายไดเ้ รียนอยอู่ า่ น แต่ละคนอยา่ งเริ่มท่ี กายเป็นลาดบั แรกเรียกวา่ กายาคตาสติ หนงั สืออยู่ ทางานอยู่ เดินทางอยรู่ ู้ชดั ดว้ ยสติ ฐานเวทนาหรือฐานจิต ๑๕ฐานกายเป็นสนามฝึ กสติพฒั นา วา่ กายทาอะไรอยู่ ไมไ่ ดม้ ีความจาเป็นวา่ นาได๒้ ๑ทุกขงั อนตั ตา ปัญญาท่ีไมต่ อ้ งเตรียมอะไรมากจะอยู่ จะตอ้ งฝึ กปฏิบตั ิตามแบบแผนเทคนิค หรือ กาย จิต ๒๕ท้งั หมดเป็น ท่ีไหนสามารถปฏิบตั ิไดท้ ุกทีทุกเวลา ธรรมชาติอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง เท่าน้นั เหมือนท่ี วิธีสมถะไมใ่ ช่ กายน่ิงใหด้ ูลมเคลื่อนไหวส่วนไหนดู พระพทุ ธเจา้ ปรารถเหตุที่ชาวนิคมแคว้ นกรุ ุวา่ วิปัสสนาสติปัฏฐาน คา
๑๑๔ อาการเคลื่อนไหวน้นั ๑๗กายเป็นฐาน ชาวเมืองน้ีสนใจสติปัฏฐานท้งั ในเวลาวา่ งหรือ วา่ “เพ่ง”มกั ใชก้ บั สมถะ หยาบท่ีดีในแง่สะดวกในการพิจารณา ทาการงาน๒๐พระองคท์ รงแยกไวเ้ พื่อใหเ้ กิด คาวา่ “พิจารณา”มกั ใช้ กาหนดเป็นพ้ืนฐานของการปฏิบตั ิ ความกวา้ งขวางข้ึนเพ่ือใหเ้ หมาะสมกบั บุคคล กบั วิปัสสนา๒๗ตามการ เวทนา ดีในแง่เช่ือมโยงจิตในอดีต ที่นิสยั แตกต่างกนั ปัญญาที่แตกต่างกนั สรุปวา่ ปฏิบตั ิจริง ๆ ตอ้ ง ปัจจุบนั ได้ ฐานธรรมสาคญั ในแง่การ ฐานกายเป็นฐานที่ปฏิบตั ิไดง้ ่ายที่สุด๒๘กาย ควบคู่กนั ไปตอ้ งมี สรุปที่เขา้ ถึงธรรมในความเป็นไตร เป็นฐานท่ีดีท่ีสุดเบ้ืองตน้ ท่ามกลางแต่วา่ ความพร้อมท้งั กายและ ลกั ษณ์๑๘เห็นดว้ ย๒๒เบ้ืองตน้ เป็ น ปลายทางบางคร้ังอยกู่ บั นามธรรมโดยมาก ใจ ถา้ กายพร้อมใจไม่ เช่นน้นั ๒๓การฝึ กปฏิบตั ิตามมหาสติ เป็นเร่ืองฐานจิต ฐานธรรมเพราะเป็นธรรม พร้อมจะลาบากต่อการ ปัฏฐาน ๔ ใหเ้ ร่ิมกายไปก่อนเพราะ ละเอียดในเบ้ืองปลาย๓๐ใช่แต่ตอ้ งมีความเพียร ปฏิบตั ิจะบอกวา่ เพง่ เห็นดว้ ยตาเน้ือไดง้ ่ายข้นั ต่อไปจึง ค่อยทาค่อยเป็นไปตามกิเลสของ ไม่ไดเ้ พราะ กายจะกดเกรงไปตอ้ งรู้ ละเอียดข้ึนไปเร่ือย ๆ๒๔ฐานกายเป็น มนั ละเอียดออ่ น๓๑กายเป็นฐานหยาบท่ีสุดใน ควบคู่กนั ๒๙ฐานกาย ฐานหยาบที่สุด เจริญสติปัฏฐาน ๔ ส่ิง การปฏิบตั ิเขา้ ถึงปัญญา และกายยงั เป็นหลกั เป็นฐานท่ีเห็น ธาตุเกิด สาคญั คือ การใส่ใจในการกาหนด หรืออารมณ์หลกั ฐานอื่น อารมณ์อื่นท่ีเกิด ดบั ยงั ไมเ่ ห็นกิเลสยงั อยา่ งต่อเน่ืองเมื่อสติสมบูรณ์เห็นการ ภายหลงั จึงเป็นฐานรอง หรืออารมณ์รอง๓๒ ออกจากทุกขไ์ ม่ได้ แต่ เกิดดบั ของรูปนามเป็นวิธีแห่งมรรค ตอ้ งมีสติสัมปชญั ญะตามรู้ทุกอิริยาบถใหญ่ เขา้ ใจในไตรลกั ษณ์๓๙ ผล นิพพาน๓๓เห็นดว้ ยเพราะการ นอ้ ยอยา่ งต่อเนื่องใหเ้ ห็นชดั วา่ เป็นธรรมดา ไม่เรียกวา่ กายเป็นฐาน ปฏิบตั ิแลว้ สมาธิเกิดง่ายกวา่ ฐานอ่ืนๆ ยอ่ มเป็นทุกข์ เพราะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น หยาบ เรียกวา่ เป็นมลู ๓๕ฐานกายเป็นท่ีฝึ กจิตใหเ้ ป็นสมาธิได้ อนตั ตา แลว้ จะทาใหเ้ กิดเป็นปัญญา๓๔ถา้ พดู ถึง กรรมฐาน เป็นฐาน ดีท่ีสุดระงบั จิตฟุ้งซ่านไดอ้ ยา่ งดี การดูกายกบั ดูจิตการดูกายพิจารณากายน้นั ง่าย เบ้ืองตน้ ของการเจริญ เพราะจิตจะไดไ้ มต่ อ้ งออกไปนอกกาย กวา่ เม่ือเรียนรู้จากง่ายไปหายากทาใหค้ ่อยเกิด มหาสติปัฏฐาน๔๐กาย โดยเฉพาะเจริญอานาปานสติ๓๖ใช่ฐาน ความเขา้ ใจถึงที่สุดไดเ้ องตามกระบวนการ เวทนา จิต ธรรม มี กายเป็นฐานที่หยาบ รู้เห็นความเป็น ธรรมชาติ๓๗อาตาปี มีความเพียรสติมา มีความรู้ ความเสมอภาคกนั จริง สามารถบรรลธุ รรมได๓้ ๘ฐานกาย ระลึกได้ สมั ปชาโน ความรู้ตวั ทวั่ พร้อม คูบ้ งั หยาบละเอียดมีความ เป็นฐานหยาบ จริงแต่สามารถเขา้ ถึง ลงั คท์ าตวั ใหต้ รงดารงสติ เท่ากนั เสมอกนั ตาม ปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ดีท่ีสุด สภาพ จากตารางที่ ๔.๕ รูปแบบกายเป็นท่ีต้งั ของความรู้สึกเป็นท่ีปฏิบตั ิธรรมเพง่ กายวธิ ีการนาลมหายใจ เอาสติมาต้งั ไว้ ทาความรู้ตวั ฝึ กอิริยาบถใหญ่ย่อย และเคลื่อนไหว สรุปว่า กายเป็ นฐานหยาบดีที่สุด สาหรับปฏิบตั ิการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ผลการศึกษาพบว่า เห็นด้วย(ร้ อยละ ๓๕.๐) “ฝึ ก พิจารณาฐานกายเป็ นพ้ืนฐานนาสู่เวทนา จิต ธรรม โดยสติ ดูลมหายใจเคล่ือนไหว อิริยาบถเคล่ือนไหว ส่วนไหนดูส่วนน้นั กาหนดจดจ่อต่อเนื่อง เห็นการเกิดดบั เขา้ ถึงปัญญาสู่ไตรลกั ษณ์ ” เห็นด้วยปานกลาง โดยอธิบายความเพ่ิมเติม (ร้อยละ ๔๕.๐) “พจิ ารณากายหยาบจนชานาญแลว้ พจิ ารณากายละเอียดต่อ มีสติ กากบั อยูท่ ่ีกาย ทุกอิริยาบถเป็ นธรรมชาติ สัมปชญั ญะตามรู้ สร้างความเพียร ความต่อเนื่อง ท้งั ในเวลาวา่ ง และชีวติ ประจาวนั ” ไม่เห็นด้วย (ร้อยละ ๑๕.๐) “อยคู่ วามถนดั ของแตล่ ะบุคคล กายเวทนาจิตธรรม มีความ เสมอภาคกนั ” และไม่แสดงความคิดเห็น (ร้อยละ ๕.๐)
๑๑๕ ตารางที่ ๔.๖ รูปแบบหลกั การสาระสาคญั ปฏิบตั ิเนน้ ภาวนาบริกรรม“พุทโธ” ถา้ ไม่มีคาบริกรรมไม่ได้ เม่ือปฏิบตั ิจิตสงบต้งั มน่ั แล้วยกข้ึนพิจารณาองค์ธรรม คาบริกรรมจะหายไปเอง ตอ้ งฝึ กโดยอาศยั คา บริกรรม “พุทโธ” เป็นเบ้ืองตน้ (คาถามขอ้ ๖) เห็นดว้ ย อธิบายความเพิ่มเติม ไม่เห็นดว้ ย จานวน ๘ รูป/คน จานวน ๑๑ รูป/คน จานวน ๑๔ รูป/คน (ร้อยละ ๒๐.๐ ) (ร้อยละ ๒๗.๕ ) (ร้อยละ ๓๕.๐) ๐๑สมาธิอบรมปัญญา ๐๓ไมจ่ าเป็นตอ้ งบริกรรมวา่ “พทุ โธ” ๐๔พระพทุ ธเจา้ ทรงสรรเสริญอานาปานสติ ตอ้ งมีคาบริกรรมจิต อาจใชค้ าอ่ืนได้ เช่น ยบุ หนอพองหนอ (สามารถท่ีจะทาใหเ้ กิดฌานไดท้ ุกฌาน) ฉะน้นั ถึงจะสงบจนถึงฐาน หรือคาอ่ืน ๆ ตามท่ีเม่ือบริกรรมแลว้ จึงจะมีหรือไม่มีคาบริกรรมไดข้ อเพียงมีสติอยู่ ถึงจะออกใชป้ ัญญา จิตสงบต้งั มนั่ ๑๒ไมเ่ ก่ียวกนั เลย “พุท กบั กาย รู้ลมหายใจเขา้ ออก วา่ ส้นั หรือยาว พิจารณาได๐้ ๗ควรมีคา โธ”เป็นสมถกรรมฐานในอนุสติ ๑๐ เท่าน้นั ๐๕ไมจ่ าเป็นตอ้ งบริกรรมใชค้ าอื่น ได้ ท่ี บริกรรมเพื่อใหเ้ กิด ขอ้ พุทธานุสติ การระลึกรู้ถึงคุณ เป็นธรรมะแมแ้ ต่ไม่มีคาบริกรรม แต่ใชก้ าร สมาธิ๑๐จะตอ้ งอาศยั พระพุทธเจา้ บริกรรมวา่ “พุทโธ”๑๓คา ระลึกรู้ลมหายใจเขา้ -ออกจบั ลมหายใจโดยไม่ บริกรรมพทุ โธก่อน บริกรรมเป็นแบบไหนไดแ้ ต่การ ตอ้ งมีคาบริกรรมใดเลย ๐๖การใชค้ าบริกรรม เม่ือจิตระเอียดแลว้ พทุ บริกรรมที่ถูกตอ้ งกบั สภาวธรรมท่ีเป็น ไม่ใช่แนวทางเดียวแต่เป็นอบุ ายท่ีดี แต่หากวา่ มี โธหายไป จากน้นั อยู่ ปรมตั ถ์ คือ ความจริงของส่ิงท่ีกาลงั วธิ ีอ่ืนท่ีสามารถทาใหจ้ ิตสงบได้ เช่น ไม่ กบั ตวั ผรู้ ู้ คือ ปัญญา เกิดข้ึนจะทาใหจ้ ิตรวมเร็วกวา่ เกิด พิจารณาลมแต่ใชจ้ ิตพิจารณาความสงบเม่ือมี น้นั เอง สมกบั คาวา่ ปัญญาไดง้ ่ายกวา่ คาบริกรรมเป็นสิ่ง ความคิดใด ๆ เขา้ มาใหต้ ดั ออก สามารถเขา้ สู่ ผรู้ ู้ ผตู้ ่ืน ผเู้ บิกบาน ๑๖ คอยเตือนจิตใหท้ าหนา้ ท่ีกาหนดสติ๑๕ ความสงบไดเ้ หมือนกนั ๐๘การบริกรรมไมใ่ ช่ ตอ้ งทาความเขา้ ใจวา่ แยกความหมายคาวา่ “บริกรรม”และ หลกั ของสติปัฏฐาน ๔ เพราะสติปัฏฐาน ๔ ตอ้ ง การพิจารณาลมหายใจ ภาวนาคนละความหมายบริกรรมคือ พิจารณาร่างกาย เวทนาที่เกิดข้ึน จิตท่ีเป็นไป เป็นเพียงส่วนหน่ึงใน การเตรียมความพร้อมส่วนภาวนา ทา ขณะที่เกิดสภาวธรรม ไมใ่ ช่คาภาวนา๐๙ไม่เห็น กายานุปัสสนาสติปัฏ ใหเ้ กิดทาใหม้ ีข้ึนจะใชค้ าภาวนาแบบ ดว้ ยเพราะในข้นั ตอนสติปัฏฐาน ๔ เนน้ ให้ ฐานท่ีมีท้งั หมด ๖ ใดไดเ้ พราะเป็นแค่เทคนิค “ตอ้ งมี พิจารณาความเป็นไปของกาย ไม่ใช่คาภาวนา๑๗ หมวดและการดูลม สติสมั ปชญั ญะ”เป็นหลกั สาคญั ๒๑กาย ไม่จาเป็นมีหลายวิธีที่ใชไ้ ด้ พุทโธเป็นพุทธานุ หายใจพร้อมกบั รู้กาย จิตรู้จิต ธรรมรู้ธรรม โดยอาศยั สติใหถ้ ึงความสงบ ยงั มีอานาปานสติ หรือ บริกรรม“พทุ โธ” เป็น ภาวนาจึงเขา้ ถึงได๒้ ๓มหาสติปัฏฐาน วธิ ีการสมถะท่ีทาใหจ้ ิตสงบ หากจะบริกรรม ความชาญฉลาดของ ๔ ไม่มีภาวนาบริกรรม“พุทโธ”มีแต่ พทุ โธควรคู่ไปกบั อานาปาสนติเพราะอานาปาน ครูบาอาจารยท์ ี่จะ วปิ ัสสนาจารย์ บางท่าน ทาคาวา่ “พทุ สติมี ๑๖ ข้นั พฒั นาเป็นวปิ ัสสนาไดง้ ่าย สอนใหง้ ่ายข้ึนเป็น โธ” มาบริกรรม พุทโธ เป็นพระนาม บริกรรมพุทโธตอ้ งมกีกระบวนการยกจิตสู่ ตวั นาเพื่อใหไ้ ดม้ ีสติ พระพทุ ธเจา้ มหาสติปัฏฐาน ๔ หมวด วปิ ัสสนา๒๒พุทโธไมถ่ ือวา่ เบ้ืองตน้ ทุก ในการพิจารณาระลึก อนุสติ ๑๐ ใหร้ ะลึกถึงคุณพระพทุ ธเจา้ กรรมฐานสติปัฏฐานเขา้ ไดท้ ้งั หมด๒๔ฐานกาย รู้ลมหายใจส้นั ยาวอีก ๒๕คาวา่ “บริกรรม”คือวธิ ีการสมถะ ๒๗ คือ การมีสติอยทู่ ่ีลมหายใจเขา้ ออก อยา่ ง ต่อไป(ใหเ้ ห็นตาม การฝึ กปฏิบตั ิธรรมน้นั เบ้ืองตน้ ตอ้ งมี ต่อเน่ือง ไมจ่ าเป็นตอ้ งใชค้ าบริกรรม“พุทโธ” ความเป็นจริง)ในสติ วธิ ีการพูดและบริกรรมเพ่ือใหม้ ีจุดยดึ จะใชค้ าบริกรรมไม่ผดิ เพราะเป็นเพียงอารมณ์
๑๑๖ ปัฏฐาน ๔ หมวดลม จิตแต่ถึงจุดหน่ึงตอ้ งทิ้งแต่จะท้งั บญั ญตั ิเม่ือปฏิบตั ิไปอารมณ์ปรมตั ถจ์ ะมาแทน หายใจไม่มีคา อยา่ งไรตอ้ งมีหลกั ยดึ แลว้ ถึงจะไปถึง ๒๖ภาวนา“พุทโธ” ม่มีความเกี่ยวขอ้ งกบั กาย บริกรรม๑๘ถา้ บริกรรม จุดสูงสุดของวิปัสสนาภาวนา๒๘สติอยู่ เวทนา จิต ธรรม๓๑หลกั การเร่ืองมหาสติปัฏฐาน “พุทโธ”เป็นการเจริญ กบั ฐานท้งั ๔ ฐานใดฐานหน่ึงที่ชดั เจน ๔ สาระสาคญั เนน้ การใชส้ ติ กาหนดอารมณ์ที่ สมถะแบบพุทธานุสติ หากตอ้ งใชบ้ ริกรรมนิยมพอง-ยบุ จะ เรียกวา่ วิปัสสนาภูมิ คือ ขนั ธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ๓๐จนจิตสงบ๓๔จิตไม่ ถูกกบั อาการท่ีสุดชานาญแลว้ ใช้ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสจั ๔ ปฏิจจสมุป อยทู่ ่ีจึงตอ้ งหาคา มนสิการ คือทาไวใ้ นใจกบั อาการเป็น บาท ๑๒ โดยยอ่ คือ รูปนาม ๓๓ไมจ่ ริงเสมอไป บริกรรมมาเพื่อจะได้ ส่วนมาก บริการรมจะหลดุ ไปเอง๒๙ เพราะบริกรรมภาวนาจะวา่ อะไรไดแ้ ลว้ แต่จริต เกาะเกี่ยวอยกู่ บั จิต ดุจ เทคนิคองคบ์ ริกรรมมีมากแลว้ แต่ละ ของแต่ละท่าน เพราะเมื่อจิตต้งั มนั่ เป็นสมาธิ คนเล้ียงโคนาโคไป เลือกใช้ พุทโธ สมั มาอะระหงั พอง แลว้ คาบริกรรมจะหายไป ๓๕พระศาสดาไม่เคย ผกู ไวก้ บั หลกั เพ่ือโค หนอยบุ หนอ สวดมนต์ ๓๒ภาวนา พุท สอนใหใ้ ชค้ าบริกรรมใด ๆ คาสอนพระองค์ จะไดไ้ ม่ไปไหน คา โธ หรือ อารมณ์อ่ืนๆ ได้ จะพองหนอ ถูกตอ้ ง ตรงจริง ใหผ้ ลเร็ว๓๗ภาวนาบริกรรมไม่ บริกรรมจึงมี หรืออานาปานสติได้ เพ่ือใหจ้ ิตสงบจึง เนน้ วา่ อะไร มหาสติปัฏฐาน กาหนดลมหายใจ ความสาคญั ใน ยกสติข้ึนไปพิจารณาในกาย จิต ธรรม ๑๖ ระยะ พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา เบ้ืองตน้ ๓๖ใช่เบ้ืองตน้ เมื่ออายตนะ ๑๒ มากระทบกนั ๓๘การ จิตในจิต ธรรมในธรรม เท่าน้นั ๓๙มหาสติปัฏ ตอ้ งอาศยั คาบริกรรม ระลึกรู้ลมหายใจ ไม่จาเป็นตอ้ งใชค้ า ฐาน ๔ ไมม่ ีคาบริกรรมวา่ พทุ โธ ความจริงไม่ ไปก่อนจนกวา่ จิตจะ วา่ พทุ โธ คาไทยไดแ้ ต่มีวตั ถปุ ระสงค์ ตอ้ งมีคาบริกรรมวา่ พทุ โธ แต่มีคาประเภท กาย ละเอียดสงบลมหายใจ เพ่ือระลึกรู้อยตู่ ลอดเวลา เวทนา จิต ธรรม๔๐ไมเ่ สมอไปการบริกรรมใน แต่ละอยา่ งลว้ นมีจุดหมายเดียวกนั จากตารางท่ี ๔.๖ รูปแบบหลกั การสาระสาคญั ปฏิบตั ิเนน้ ภาวนาบริกรรม“พุทโธ” ปฏิบตั ิจิตสงบ ต้งั มนั่ แลว้ ยกข้ึนพิจารณาองคธ์ รรมคาบริกรรมจะหายไปเองตอ้ งฝึ กโดยอาศยั คาบริกรรม “พุทโธ”เป็ น เบ้ืองตน้ ผลการศึกษาพบวา่ เห็นด้วย(ร้ อยละ ๓๕.๐)“บริกรรมเป็ นเบ้ืองตน้ เป็ นสมถะช่วยใหจ้ ิตสงบเกิด สมาธิ ตอ้ งอาศยั คาบริกรรม “พุทโธ” เม่ือจิตละเอียด“พุทโธ”หายไป แลว้ อยูก่ บั ผรู้ ู้คือปัญญา ดูลมหายใจ พร้อมคาบริกรรมพุทโธเป็ นเทคนิคสอนของครูบาอาจารย์” เห็นด้วยปานกลางโดยอธิบายความเพิ่มเติม (ร้ อยละ ๔๕.๐)“คาบริกรรมใชค้ าอื่นได้ ยบุ หนอ-พองหนอ เพ่ือให้จิตสงบต้งั มน่ั บริกรรมอะไรก็ไดต้ อ้ งดู ว่าถูกกบั สภาวธรรมตามความเป็ นจริง สติเกิด จิตรวมเกิดปัญญา การบริกรรมเพื่อให้จิตมีท่ียึดแต่พอถึง เวลาจิตสงบ ทิง้ คาบริกรรม” ไม่เห็นด้วย(ร้อยละ ๑๕.๐) “อานาปานสติไม่มีคาบริกรรม รู้ลมหายใจ ระลึกรู้ ลมหายใจเขา้ ออกใชว้ ธิ ีการอ่ืนแทนคาบริกรรมไดเ้ หมือนใชส้ ติกาหนดอารมณ์ เพ่ือให้จิตสงบ คาบริกรรม ไม่ใชห้ ลกั การเร่ืองสติปัฏฐาน ๔” และ ไม่แสดงความคิดเห็น(ร้อยละ ๕.๐)
๑๑๗ ตารางท่ี ๔.๗ รูปแบบการเจริญอานาปานสติกาหนดลมหายใจทาให้เกิดสติเกิดปัญญา จิตปี ติปราโมทยท์ ุก ลมหายใจเขา้ ออกเป็ นการฝึ กจิตตามกายให้สมาธิเป็ นฐานกาหนดจิต พิจารณากายอิริยาบถยนื เดินนง่ั นอน ใหจ้ ิตใส่ใจในอิริยาบถ (ขอ้ ๗) เห็นดว้ ย อธิบายความเพ่ิมเติม ไม่เห็นดว้ ย จานวน ๑๙ รูป/คน จานวน ๘ รูป/คน ๓ รูป/คน (ร้อยละ ๔๗.๕) (ร้อยละ ๒๐.๐) (ร้อยละ ๒๕.๐) ๐๑อานาปานสติทาใหจ้ ิตสงบถึงฐานไดท้ าใหส้ ติแขง็ แรงข้ึน ๐๔ไม่จาเป็นตอ้ งเกิดปี ติปราโมชย์ ๐๘จิตที่ปี ติ แลว้ ควรไปพิจารณาอิริยาบถได้ ๐๕อานาปานสติเป็นการฝึ ก ข้ึนทุกคร้ังแต่ใหร้ ู้ลมหายใจท่ีมี ทุกลม สติใหจ้ บั กบั ลมหายใจเขา้ ออกจนสติจบั แน่นไม่หลดุ หรือหลง ปรากกฎ ณ ปัจจุบนั ขณะวา่ อะไร หายใจอาจ ไปทางอ่ืน จิตจึงต้งั มน่ั เป็นสมาธิ เกิดปี ติ สุข ข้ึนมาได้ ๑๐อานา เกิดข้ึน๐๙เร่ืองจิตปี ติปราโมชยท์ ุก ทาใหห้ ลง ปานสติกาหนดลมหายใจเขา้ ออกเป็นบทกรรมฐานท่ีมี ลมหายใจเขา้ ออกเพราะจะทาให้ ยดึ ติดใน ความสาคญั ของกรรมฐานหลายอยา่ งพร้อมกบั ถกู จริตนิสยั จิตยดึ ติดไม่เขา้ ถึงเวทนาท่ีเกิด ซ่ึง อารมณ์ทา คนทว่ั ไป๑๒การเจริญอานาปานสติกาหนดลมหายใจเขา้ ออก จะนาไปถึงสภาวธรรมท่ีเกิดข้ึน ใหข้ าด เป็นหมวดหน่ึงกาย กายเจริญอานาปาสติมี ๑๖ ข้นั อานาปาสติ ภายหลงั ๑๗อานาปานสติเป็นการ ปัญญา มี ๘ ข้นั ๑๓การเจริญอานาปานสติเป็นการมีสติอยกู่ บั ลม ตามรู้กายละเอียดถึงลมหายใจเขา้ พิจารณา หายใจ เพื่อพฒั นาสมาธิของจิตใหอ้ ยกู่ บั ลมหายใจ เม่ือ ออก ช่วงแรกจิตต่ืนรู้เขา้ ถึงปี ติซ่ึง สภาวธรรม สามารถอยไู่ ดจ้ ิตจะเกิด ปี ติปราโมชย์ เป็นสมาธิ จึงมาเจริญ สร้างข้ึนมาไดด้ ว้ ยสมาธิหรือ ท่ีเกิดข้ึน สติในอิริยาบถ ยนื เดินนงั่ นอน๑๕ขบวนการฝึ กเหมือนท่ีช้ีแนะ จินตนาการท่านพุทธทาสใหอ้ าบ ๒๕ผวู้ ิจยั มุ่ง ในขอ้ ๓) อดีตผา่ นมาแลว้ ไมต่ อ้ งคิดถึง อนาคตยงั ไม่มาไม่ ปี ติและพิจารณาความไมเ่ ท่ียงของ หมายตาม ตอ้ งคานึง กาหนดรู้ปัจจุบนั ท่ีนี่เดี๋ยวน้ี๑๖กายานุปัสสนาสติปัฏ มนั ๒๑กาหนดวา่ เกิดหนอ จิตหนอ ขอ้ ความ ฐานหมวดลมหายใจ รู้ชดั ลมหายใจเขา้ ออก ส้นั ยาว กายจึง กายหนอ เมื่อกาหนดแลว้ ใหว้ า่ เกิด ขา้ งตน้ เป็น สงบ มีสติระลึกรู้ชดั ในอิริยาบถ แลว้ เจริญในฐานเวทนา ฐาน และดบั ดว้ ยใหไ้ ด้ ๒๓การกาหนด วปิ ัสสนา จิตต่อไป คาวา่ จิตปี ตีปราโมชยท์ ุกลมหายใจน้นั มีท้งั ฐานกาย “ธรรม”ทุกลมหายใจเขา้ ออก โดย กรรมฐาน- เวทนา จิต ธรรม ในคราวเดียวกนั ๑๘เห็นดว้ ย ๒๖เป็นการฝึ กให้ ใช้ “สติ” ๒๔การเจริญอานาปานสติ สมถะ ถา้ เกิดสมาธิ ๓๐จงพิจารณาไปตามลาดบั ๓๑เจริญอานาปานสติ กาหนดลมหายใจดว้ ยความต้งั ใจ เป็นสมถะ กาหนดลมหายใจ เป็นสมาธิได้ ๓ ระดบั คือ ขณิกสมาธิ จดจ่อ ต่อเนื่อง กระทงั่ จิตสงบ เบา (สมาธิ) อปุ จารสมาธิ และอปั ปนาสมาธิแห่งจิต ไดร้ ะดบั ฌาน- กาย เบาใจ ขณะเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นวธิ ีการ สมาบตั ิการยกจิตยา้ ยจิตมาพิจารณาอิริยาบถ ๔ ยนื เดิน นง่ั ยืน เดิน นงั่ นอน หรือการ ที่ถูกตอ้ ง นอน ใหเ้ กิดไตรลกั ษณ์๓๒ตอ้ งทาอยา่ งต่อเนื่อง ๓๓ถูกตอ้ ง เคลื่อนไหวเห็นการเกิดดบั ของรูป ถา้ จะ เพราะการเจริญอานาปาสติ เป็นการเจริญภาวนาไดท้ ุกที่ และ นาม เกิดปัญญาตามความจริง๒๗ หมายถึง สมาธิท่ีเกิด ถึงระดบั อปั ปนาสมาธิ ๓๔ปี ติปราโมชย์ เกิดข้ึนได้ การเจริญสติหรือวา่ อานาปานสติ วิปัสสนา ทุกตอนท่ี ใส่ใจกาหนดลมหายใจ อิริยาบถ และเกิดปัญญา ตามรูปแบบไหน ตามมี “พทุ โธ” เป็นวธิ ีการ ข้ึนตามลาดบั เม่ือไดพ้ ิจารณาหมวดกายแลว้ จึงเกิดปัญญา คือ เป็นที่พ่ึงองคเ์ ดียวกนั การเขา้ ถึงจะ ท่ีไมถ่ ูกตอ้ ง การเขา้ ถึงความระงบั แห่งกายสงั ขาร๓๕การท่ีจิตตามรู้อิริยาบถ ต่างกนั โดยอบุ ายวิธีการเท่าน้นั ๒๙ผปู้ ฏิบตั ิ
๑๑๘ ต่าง ๆ และรวมถึงลมหายใจเขา้ -ออก เป็นการปิ ดก้นั กอง ตามแต่จริตแต่ละท่าน๒๘กาหนดอา ตอ้ งเท่าทนั อกศุ ลทุกกอง และไดส้ มาธิที่นาไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ นาปานสติ ส่วนมากสติกากบั มีสติ ในทุก ๆ เป็นอยา่ งดี ๓๖ยนื เดินนงั่ นอน ไดต้ ามความเหมาะสม ตาม และมีสมาธิแต่ไม่ค่อยเกิดปัญญา อารมณ์ที่ ธรรมสมควรแก่ธรรม ๓๗รูปแบบกายานุปัสสนา ๖ อยา่ ง อา จิตมีปราโมชย์ มีปี ติ ควรกาหนด เกิดข้ึน ใส่ นาปานสติ อิริยาบถ สมั ปชญั ญะ ปฏิกลู ธาตุ นวสิวถิกะ๓๘ ธรรม คือ ปี ติ อนั เป็นหมวดธรรม ใจทุก เห็นดว้ ย๓๙หายใจเขา้ ออกใหเ้ จริญสติ กาหนดรู้ กาย เวทนา จิต ในฐาน ๔ อรหนั ตห์ ลายรูปทาได้ อาการดว้ ย ธรรม ดว้ ยอารมณ์ที่เกิดข้ึนตามความเป็นจริง๔๐ถูกตอ้ ง ขณะปี ติเกิดข้ึนกาหนดอยา่ งน้ี สติปัญญา จากตารางท่ี ๔.๗ รูปแบบการเจริญอานาปานสติเกิดสติเกิดปัญญา จิตปี ติปราโมทยท์ ุกลมหายใจ เขา้ ออกเป็นการฝึกจิตตามกายใหส้ มาธิเป็ นฐานกาหนดจิต พจิ ารณากายอิริยาบถยนื เดินนงั่ นอนให้จิตใส่ใจ ในอิริยาบถ ผลการศึกษาพบวา่ เห็นด้วย(ร้ อยละ ๔๗.๕)“อานาปานสติทาให้จิตสงบ สติแข็งแรง จบั ลม หายใจเขา้ ออกจนสติแนบแน่น จิตต้งั มนั่ เป็นสมาธิ อานาปานสติดีท่ีสุด ฐานกายหมวดลมหายใจรู้ชดั ทาให้ กายสงบ มีสติระลึกรู้ชดั เหมาะสมกบั ชีวติ ประจาวนั พจิ ารณาใหเ้ กิดปัญญาได้ รู้อารมณ์ท่ีเกิดข้ึนตามความ เป็ นจริง” เห็นด้วยปานกลางโดยอธิบายความเพ่ิมเติม(ร้ อยละ ๒๐.๐) “ไม่จาเป็ นตอ้ งปี ติปราโมชยท์ ุกลม หายใจเขา้ ออก ปี ติมีความไมเ่ ที่ยงเขา้ ถึงธรรม การเขา้ ถึงเป็นอุบายวธิ ีการเท่าน้นั พจิ ารณาตามจริง” ไม่เห็น ด้วย(ร้ อยละ ๗.๕) “จิตปี ติหลงยึดในอารมณ์ทาให้ขาดปัญญา พิจารณาสภาวธรรม” และไม่แสดงความ คิดเห็น(ร้อยละ ๒๕.๐) ตารางท่ี ๔.๘ รูปแบบวิธีการปฏิบตั ิลกั ษณะ ๑)วิธีการเจริญสมาธิแบบธรรมชาติ หรือ ๒)ตามแบบแผน เทคนิควิธีเพ่ือเป็ นอุบายใหเ้ กิดสมาธิ เดินจงกรม กาหนดลมหายใจใชค้ าภาวนาพร้อม“พุทโธ” ใชป้ ัญญา ปฏิบตั ิธรรม จิตมีสมาธิคือ เป็ นผดู้ ู ผรู้ ู้ ผรู้ ู้สึกตวั จิตเป็ นกาลงั พฒั นาอริยสัจ หยงั่ รู้ในฌาน เห็นไตรลกั ษณ์ (คาถามขอ้ ๘) เห็นดว้ ย อธิบายความเพิ่มเติม ไม่เห็นดว้ ย จานวน ๑๒ รูป/คน(ร้อยละ ๓๐.๐) จานวน ๑๒ รูป/คน (ร้อยละ ๓๐.๐) จานวน ๖ รูป/คน(ร้อยละ ๑๕.๐) ๐๑จะใชช้ ีวติ ตามปกติหรือทาใน ๐๕ตอ้ งใหเ้ ป็นไปตามลาดบั ช้นั คือ ๑๖ในทางพระพทุ ธศาสนาเจริญ รูปแบบถูกตอ้ งตอ้ งมีคาบริกรรม เริ่มตน้ ตามแบบแผนวิธี เปล่ียนอิริยาบถ สมาธิเพ่ือใหเ้ กิดสติ รู้ชดั แลว้ ดว้ ยตลอดแลว้ จึงเร่ิมข้นั ตอนต่อไป แลว้ ทาต่อเนื่องไปเร่ือย ๆ เขา้ สู่ คลายความยดึ มน่ั ถือมนั่ ในคาถาม ๐๔ใช่ท้งั สองแบบเพราะ ตอ้ ง วิปัสสนาเจริญปัญญาใหม้ ากข้ึนจนเห็น ขอ้ ๘ น้ีไมเ่ ขา้ ใจวา่ ตอ้ งการอะไร ดารงชีวิตประจาวนั พระพทุ ธเจา้ ในอริยสจั ๐๗วธิ ีการเจริญสมาธิแบบ ๑๗การปฏิบตั ิไม่วา่ จะเป็นแบบใด ตรัสวา่ จิตอธิษฐานการงานขอเพียง ธรรมชาติเกิดจากการสารวมอินทรีย๑์ ๐ ตอ้ งมีกาลงั สมาธิ ตอ้ งมีการ มีสติระลึกรู้ ๑๘เห็นดว้ ย๒๔การเจริญ จิตเป็นสมาธิเป็นปัญญาจิตเป็นกาลงั ปฏิบตั ิตอ้ งใชค้ วามเพียร สติปัฏฐาน ๔ มีวิธีการปฏิบตั ิ ๒ พฒั นาอริยสจั หยง่ั รู้ในฌานเห็นไตร ประกอบดว้ ยสติสมั ปชญั ญะจะ ลกั ษณะ ๑)วธิ ีการเจริญสติใน ลกั ษณ์เกิดความเบ่ือหน่าย จิตวา่ งจาก คิดเอาตรรกะเหตุผลแลว้ บรรลุ ชีวิตประจาวนั แบบหยาบ ๆ ตาม ทุกสิ่งทุกอยา่ งในโลก ไมย่ ึดมน่ั ถือมนั่ ธรรมเป็นไปไมไ่ ด้ วิธีการนามา ธรรมชาติของบุคคล ๒)วิธีการ ๑๑ควรใชท้ ้งั สองวิธีเพื่อจะได้ ใชไ้ ดห้ ลายวธิ ีแต่ตอ้ งไปรวมกนั ท่ี
๑๑๙ เจริญสติตามแบบแผน เทคนิคที่ เปรียบเทียบวา่ วธิ ีไหนท่ีไดผ้ ล ๑๒ตอ้ ง สติปัฏฐาน ๔ ละกิเลสได๒้ ๓จิต อาจารยแ์ ต่ละสานกั กาหนดข้ึน ๒๕ เรียกวา่ สติเป็นพลงั เป็นกาลงั พฒั นา ไม่ไดเ้ ป็นกาลงั พฒั นาอริยสจั แต่ ขอ้ ความขา้ งตน้ เป็นท้งั สมถะและ อริยสจั ๑๓วธิ ีการปฏิบตั ิตอ้ งมีลกั ษณะ จิตเป็นการกาหนดรู้ ทุกข์ จิต วิปัสสนา โดยใชส้ มถะเป็นฐาน เป็นแบบแผนเทคนิควิธีตามแบบ ๒ แต่ กาหนด ละ เหตุใหเ้ กิดทุกขจ์ ิต ของการภาวนาหรือวิปัสสนา ๒๖๑) เวลาปฏิบตั ิตอ้ งเป็นการปฏิบตั ิแบบ กาหนดกระทาใหแ้ จง้ สภาวะจิต เป็นสมถะ ๒) “พทุ โธ”เป็นสมถะ ธรรมชาติ ไม่ใช่บงั คบั เพง่ ฝื น กด ข่ม กาหนดใหเ้ จริญตามอริยมรรคมี ๒๘แบบธรรมชาติและแบบมี ๑๕อยกู่ บั ปัจจุบนั บริหารอิริยาบถท้งั ๔ องค์ ๘ ประการ๒๗มีหลากลายครู เทคนิคเป็นสมาธิไดเ้ ช่นกนั ใหเ้ ท่า ๆ กนั ใชห้ ลกั พละ ๕ คือ ศรัทธา บาอาจารยแ์ ต่ลงรู้ตวั กบั หลงตวั กาหนดพุทโธ จนไดฌ้ าน กาล คู่กบั ปัญญา วิริยะคู่กบั สมาธิ ส่วนสติมี จะละได้ วางได้ หรือจะหลงทาง ต่อมากาหนดธรรมในองคฌ์ าน มากเท่าไรย่งิ ดี “สติมี ปัญญาเกิด สติ ก่อน ข้ึนอยู่กบั ความละเอียดของ เห็นไตรลกั ษณ์ได้ ในเมื่อองค์ เตลิดเกิดปัญหา”๒๑เม่ือกาหนดแลว้ ตอ้ ง จิต การเขา้ ใจในหลกั การชดั เจน ธรรมแต่ละฌานหมดสิ้นไป ๓๓วธิ ี ทาใหร้ ู้วา่ เกิดดบั และกาหนดลมหายใจ เดินถกู ทางพอ ๓๕วิธีการปฏิบตั ิ ปฏิบตั ิท้งั สองใชไ้ ดเ้ หมือนกนั แต่ที่ โดยสติเป็นเคร่ืองกาหนดจิตใหเ้ ขา้ ถึง ทาตามที่พระพุทธเจา้ สอนไวด้ ี ทาตามแบบแผนสมาธิจะเกิดข้ึน จิตได๒้ ๙จะโดยธรรมชาติหรือเทคนิค ท่ีสุดแลว้ ไมต่ อ้ งดดั แปลงอะไร เร็วกวา่ และสามารถพฒั นาไปได้ หากวา่ รวมลงท่ีจิตเห็นไตรลกั ษณ์ ท้งั น้นั ไมเ่ ช่นน้นั จะไปไมถ่ ึงฝั่ง อยา่ งรวดเร็ว สมาธิแบบธรรมชาติ ชดั เจนในอริยสจั ถือวา่ นาออกจากทุกข์ ๓๗ตามหลกั สติปัฏฐาน ไม่มีคา อาจจะหลงทางกลายเป็นมิจฉา ได๓้ ๐เดินหรือนง่ั ไดแ้ ลว้ แต่ผปู้ ฏิบตั ิ๓๑ บริกรรมวา่ อยา่ งไร ข้นั กายเพียงดู สมาธิได้ ๓๖ถูกตอ้ งตามธรรม๓๘ วธิ ีปฏิบตั ิลกั ษณะท้งั ๒ วธิ ี เป็นอุบาย ลมหายใจกาหนดรู้อิริยาบถใหญ่ เห็นดว้ ย๓๙เวลาหายใจเขา้ ภาวนาวา่ วธิ ีใหเ้ กิดสมาธิระดบั ฌาน ถา้ จะพฒั นา กาหนดรู้อิริบาบถยอ่ ย พิจารณา “พทุ ”เวลาหายใจออก ภาวนาว่า ต่อยอดจะตอ้ งยกจิตพิจารณาไตรลกั ษณ์ ฐานปฏิกลู ผม ขน เลบ็ ฟัน หนงั “โธ”จนไดฌ้ าน เอาฌานเป็นบาท เขา้ สู่การทาความเขา้ ใจอริยสจั ๓๒ทาได้ และพิจารณาซากศพ ฐานวปิ ัสสนาจนผปู้ ฏิบตั ิเห็นไตร ทุกอิริยาบถท้งั ๔ เวทนาเกิดไดท้ ุกท่ี ลกั ษณ์๔๐ถูกตอ้ ง ตารางที่ ๔.๘ รูปแบบวธิ ีการปฏิบตั ิลกั ษณะ ๑)วธิ ีการเจริญสมาธิแบบธรรมชาติ หรือ ๒)ตามแบบ แผนเทคนิควิธีเพื่อเป็ นอุบายให้เกิดสมาธิ เดินจงกรม กาหนดลมหายใจใช้คาภาวนาพร้อม“พุทโธ” ใช้ ปัญญาปฏิบตั ิธรรม เห็นไตรลกั ษณ์ ผลการศึกษาพบวา่ เห็นด้วย(ร้ อยละ ๓๐.๐) “รูปแบบเริ่มตน้ ตอ้ งมีคา บริกรรมมีสติระลึกรู้ เป็ นสมถะเป็ นบาทฐานวปิ ัสสนา“พุทโธ”เป็ นสมถะ แบบธรรมชาติ แบบเทคนิค ได้ สมาธิเหมือนกนั กาหนดพทุ โธ ไดฌ้ านเห็นไตรลกั ษณ์ ฌานเป็นบาทฐานวปิ ัสสนา” เห็นด้วยปานกลางโดย อธิบายความเพ่ิมเติม(ร้ อยละ ๓๐.๐)“ตอ้ งเป็ นตามลาดบั ข้นั ตอน หรือวธิ ีแบบธรรมชาติตอ้ งสารวมอินทรีย์ หยงั่ รู้ในฌานเห็นไตรลกั ษณ์ สติเป็ นพลงั กาลงั อยู่กบั ปัจจุบนั ทุกอิริยาบถ” ไม่เห็นด้วย (ร้ อยละ ๑๕.๐) “สมาธิทาให้เกิดสติ รู้ชดั คลายความยดึ มน่ั ถือมนั่ วธิ ีการใชห้ ลายวธิ ีการ แต่สุดทา้ ยรวมอยูท่ ่ีเรื่องมหาสติ ปัฏฐาน ๔ เหมือนกนั ” และไม่แสดงความคิดเห็น (ร้อยละ ๒๕.๐)
๑๒๐ ด้านเวทนานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน : ฐานเวทนา ตารางท่ี ๔.๙ รูปแบบการเนน้ อารมณ์ปัจจุบนั ทาความรู้สึกตวั ผสั สะกระทบอายตนะภายในภายนอก มี สติตามรู้เวทนา เวทนาอาศยั รูปเกิด ปรุงแตง่ เวทนาที่ไหนกาหนดที่น้นั ใหร้ ู้ทุกขท์ ่ีต้งั ไว้ กาหนดอาการนาม ลกั ษณะต่าง ๆ สุข ทุกข์ อุเบกขา ตอ้ งวางเป็ นกลางให้มีสัมปชญั ญะควบคุม สติกาหนดชดั จะเห็นอารมณ์ ชดั สรุปวา่ ฐานเวทนาเป็นจุดศูนยก์ ลางเชื่อมโยงระหวา่ งฐานกาย ฐานจิต และฐานธรรม (ขอ้ ๙) ขอ้ ความเห็นดว้ ย อธิบายความเพ่ิมเติม ขอ้ ความไม่เห็นดว้ ย จานวน ๑๒ รูป/คน จานวน ๑๓ รูป/คน จานวน ๗ รูป/คน (ร้อยละ ๓๐.๐) (ร้อยละ ๓๒.๕) (ร้อยละ ๑๗.๕) ๐๕เวทนาที่เกิดข้ึนตอ้ งมีสติเขา้ ไป ๐๔ขณะผสั สะเกิดข้ึนกระทบจิตตอ้ งละความเพลิน ๐๑ทุกฐานเท่ากนั หมด รู้เห็นจนเขา้ ใจแจ่มแจง้ วา่ เป็นอยู่ ในอารมณ์ก่อนจึงจะไปกาหนดรู้เวทนาได้ ๐๗ ตามจริตเริ่มพิจารณาฐาน อยา่ งน้ีแลว้ ทาใจเป็นกลาง ผสั สะคือกระทบอารมณ์เวทนาจึงมีจิตวญิ ญาณ ไหนแลว้ จะพิจารณาฐาน ยอมรับสภาพเวทนาที่เกิดข้ึนเมื่อ เกิดข้ึนมีเวทนาเป็นความรู้สึกร่วม๑๒ฐานเวทนา อื่นต่อไป ๑๔ไม่เห็นดว้ ย ยอมรับอดทนไดส้ ติจะไป เป็นจุดศูนยก์ ลางเช่ือมต่อฐานอ่ืนที่ไม่ไดเ้ พราะ กบั คาวา่ จุดศูนยก์ ลาง เช่ือมโยงกบั กายจิตและธรรม ๐๘ ก่อนเกิดฐานเวทนาตอ้ งอาศยั ฐานกายคือผสั สะ เพราะฐานท้งั ๔ มี ถา้ ไม่เห็นเวทนาสภาวธรรมไม่ ตามอายตนะภายในภายนอกตอ้ งมีสติกาหนดรู้ที่ ความสาคญั เสมอกนั ๑๕ดู เกิดข้ึน๑๐สติที่ฝึ กฝนอบรมดีแลว้ เป็นปัจจุบนั ขณะ มีผสั สะกระทบกนั ระหวา่ งอาย ลมเห็นจิต ดูจิตเห็น ยอ่ มรู้ลกั ษณะอาการต่างๆ สุข ตะภายในและอายตนะภายนอก ๑๖ยงั ไมส่ ามารถ ธรรม เห็นธรรมอื่นวา่ ไม่ ทุกขเวทนา อเุ บกขาเวทนายอ่ ม สรุปไดถ้ า้ ตวั เชื่อมโยงน่าจะเป็นสติสมั ปชญั ญะ ๒๑ เห็นอะไรเลย กาย เวทนา เชื่อมโยงระหวา่ งฐานกาย ฐาน กายใหว้ า่ กาย จิตใหร้ ู้วา่ จิต ธรรมใหร้ ู้วา่ ธรรม โดย จิต ธรรม สกั แต่วา่ เป็น จิต ฐานธรรม ตาม อาศยั ท้งั สามแลว้ เกิดทุกข์ อนตั ตาได้ ๒๓เวทนา เหตุปัจจยั เก้ือหนุนซ้ากนั กาลงั สติปัญญาท้งั หมดเกิดจาก ตอ้ งอาศยั ท้งั รูปนามเกิดมีสติกาหนดรู้เวทนา และกนั วา่ อาศยั กนั การปฏิบตั ิธรรมท้งั สิ้น ๑๓ฐาน กาหนด ๒ อยา่ ง ๑)ปี ติ ๒)สุข ๒๔ฐานเวทนา คือ เกิดข้ึนชว่ั ขณะ ต้งั อยู่ เวทนาเป็นศูนยก์ ารเชื่อมโยง การมีสติรู้เท่าทนั อารมณ์แห่งความสุข ทุกข์ เฉย ชวั่ ขณะและดบั สลายไป ระหวา่ งท้งั ๔ ฐานชดั ที่สุด ๑๗ เม่ือต้งั ใจในการกาหนดฐานกายอยา่ งต่อเนื่อง ฐาน ๑๙ทุกฐานเชื่อมโยงกนั เวทนาเป็นตวั เชื่อมอยา่ งเป็น เวทนาจะปรากฏชดั เม่ือต้งั ใจในการกาหนดฐาน เป็นวงจรโดยมีสติเป็น รูปธรรม เวทนาปรากฏท่ีกาย เวทนา อาการเกิดดบั สุขทุกขจ์ ะละเอียดเบาบาง จุดศูนยก์ ลาง ๒๕ไมม่ ี รับรู้ที่จิต ไตรลกั ษณ์ปรากฏ การ มากข้ึน จากอาการทุกขม์ ากจะนอ้ ยลง สุขที่หยาบ ฐานใดเป็นศูนยก์ ลาง ทุก สงั เกตเวทนาทาได้ ๒ แนวทาง จะมีสุขละเอียดข้ึน ๒๗การปฏิบตั ิทุกคร้ังตอ้ ง ฐานมีความเช่ือมโยงกนั ๑)ดูเวทนาไปตามลาดบั โดย เช่ือมต่อกนั รู้เท่าทนั แลว้ ตอ้ งวางตรงที่รู้ทนั แลว้ ตดั เป็นวงกลม ๒๙ฐานกาย กาหนดบริเวณท่ีสงั เกตดูเวทนา อาศยั ความเพียรใหม้ าก ๆ๒๘ฐานท้งั ๔ กาหนด ในแต่ละคนอาจเริ่มตน้ บริเวณน้นั วางอุเบกขาบริเวณ ฐานฐานหน่ึงเชื่อมโยงกนั ไดถ้ า้ เกิดสภาวธรรมแต่ ต่างกนั พอถึง เวทนา จิต อ่ืน ๒)ดูเวทนาท่ีเด่นชดั เวทนา ละขณะๆกาหนดพองยบุ แลว้ ไดส้ มาธิมีสมาธิจะ ธรรม ๓ ฐานน้ี ตอ้ งเห็น เด่นชดั ท่ีใดกาหนดที่น้นั ๑๘เห็น รู้สึกกายเบาความสบายเกิดข้ึนเป็นสุขเวทนา จิต สภาวะเหมือนกนั หมด ดว้ ย๓๐ถกู ตอ้ ง๓๓เห็นดว้ ยการ ปลอดโปร่งอาจมีปี ติต่อมากาหนดในปี ติอนั เป็น เจบ็ เหมือนกนั ทว่ั โลก
๑๒๑ กาหนดเวทนาตอ้ งเนน้ อารมณ์ ฐานธรรมต่อมา ๓๑อายตนะภายในภายนอกมา คิดกนั ทุกคน สิ่งฝังจิตมี ปัจจุบนั ๓๔ใช่การพิจารณาเวทนา กระทบกนั เกิดเวทนา ความรู้สึก ทุกข์ สุข เฉยๆ ทุกคน ๓ ฐานน้ี จะเป็น เป็นเพราะมีกายจึงเกิดการเสวย เรียกวา่ อายตนะ คือ เชื่อมโยง ถือวา่ เป็นจุดเชื่อม สภาวะเหมือนกนั ทุก เวทนา สุข ทุกข์ อุเบกขา จิตเขา้ หรือศูนยก์ ลางได๓้ ๒ตอ้ งมีสติสมั ปชญั ญะ ความ สานกั ๓๕ฐานเวทนาเป็น ไปรับรู้แลว้ เกิดการปล่อยวาง เพียรเขา้ ไปเป็นท่ีต้งั เมื่อสภาวธรรมเกิดท่ีจิตจิตไม่ นาม ฐานกายเป็นรูป ถา้ อยา่ งมีปัญญา รู้เท่าทนั ตามหลกั เป็นทางกิเลส เม่ือความปรุงแต่งเกิดข้ึนแลว้ จะเกิด จิตตามรู้เวทนาเท่ากบั เอา อริยสจั ๔ ๓๘เห็นดว้ ย ๓๙ กาหนด ปัญญา ๓๖เป็นไปตามธรรม๓๗รูปแบบเวทนา จิตออกนอกกาย เป็นการ เวทนาหายไปฐานเวทนาจึงจะ นุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ กาหนดพิจารณาเห็น สร้างภพข้ึนมา การเกิด เชื่อมโยงระหวา่ ง ฐานกาย ฐาน เวทนาในเวทนา มีสุขเวทนา(เวทนาปรุงแต่งไมไ่ ด้ จะมีตามมา จิต และฐานธรรม ๔๐ถกู ตอ้ ง เพราะเป็นสภาวะจริงเพียงกาหนดรู้ตามอาการ ปรากฏ) จากตารางที่ ๔.๙ รูปแบบฐานเวทนาเป็ นจุดศูนยก์ ลางเช่ือมโยงระหว่างฐานกาย ฐานจิต ฐาน ธรรม ผลการศึกษาพบว่า เห็นด้วย(ร้ อยละ ๓๐.๐) “เสวยเวทนาจิตเขา้ ไปรับรู้เกิดการปล่อยวางอย่างมี ปัญญา การสังเกตดูเวทนา เกิดบริเวณน้นั วางอุเบกขาบริเวณอ่ืน สังเกตเวทนาเด่นชดั บริเวณใดกาหนด บริเวณน้นั สติรู้ลกั ษณะอาการต่างๆ เวทนาท่ีเกิดตอ้ งมีสติไปรู้เห็น เวทนาเป็ นตวั เชื่อมอยา่ งเป็ นรูปธรรม เวทนาปรากฏที่กายรับรู้ท่ีจิต เวทนาเนน้ อารมณ์ปัจจุบนั ยอมรับเวทนาท่ีเกิดใชส้ ติเชื่อมโยง กายจิตเวทนา ธรรม” เห็นด้วยปานกลาง โดยอธิบายความเพิ่มเติม (ร้ อยละ ๓๒.๕) ว่า “กาหนดฐานเชื่อมโยงกัน อายตนะคือเชื่อมโยงเป็ นจุดเชื่อม การปฏิบตั ิทุกคร้ังตอ้ งเช่ือมโยงกนั รู้เท่าทนั และวาง การมีสติรู้เท่าทนั อารมณ์ ผสั สะกระทบอารมณ์เวทนา จึงมีจิตวิญญาณ ผสั สะกระทบจิตกาหนดเวทนา เวทนาอาศยั ท้งั รูป นามเกิดมีสติกาหนดรู้ กาหนดพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาสภาวะจริงอาการปรากฏ ให้ต้งั ใจกาหนดฐาน กายต่อเนื่อง ไม่เห็นด้วย (ร้อยละ ๑๗.๕) “สติสัมปชญั ญะเป็ นตวั เชื่อม ทุกฐานเช่ือมโยงกนั เป็ นวงจร กาย เวทนาจิตธรรมเก้ือหนุนกนั ฐานเวทนาตอ้ งอาศยั ฐานกาย คือ ผสั สะและอายตนะ มีสติเป็นศูนยก์ ลาง แตล่ ะ คนเร่ิมตน้ ต่างกนั พอถึงเวทนาจิตธรรม เห็นสภาวธรรมเหมือนกนั ไม่แสดงความคิดเห็น (ร้อยละ ๒๐.๐) สรุปในภาพรวมว่า รูปแบบการเข้าถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ด้านเวทนา [๑] การเน้น อารมณ์ปัจจุบนั ทาความรู้สึกตวั [๒] ผสั สะกระทบอายตนะภายในภายนอกมีสติตามรู้เวทนา [๓] เวทนา อาศยั รูปเกิดปรุงแต่งเวทนาที่ไหนกาหนดท่ีน้นั ให้รู้ทุกขท์ ่ีต้งั ไว้ [๔] กาหนดอาการนามลกั ษณะต่าง ๆ สุข ทุกข์ อุเบกขา [๕] วางเป็ นกลางให้มีสัมปชญั ญะควบคุม [๖] สติกาหนดชดั จะเห็นอารมณ์ชดั [๗] สรุปวา่ ฐานเวทนาเป็นจุดศูนยก์ ลางเชื่อมโยงระหวา่ งฐานกาย ฐานจิต และฐานธรรม
๑๒๒ ด้านจิตตานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน : ฐานจิต ตารางท่ี ๔.๑๐ รูปแบบการฝึ กภาวะจิตให้สงบ เพ่งจิตให้น่ิงดูจิตต้งั จิตพฒั นาจิตยกจิตข้ึนสู่วิปัสสนาให้จิต เห็นไตรลกั ษณ์นาธรรมมาพิจารณาสร้างปัญญาญาณยกระดบั จิตไปสู่ภาวะจิตด้งั เดิมที่ไม่ปรุงแต่ง (คาถาม ขอ้ ๑๐) เห็นดว้ ย อธิบายความเพิ่มเติม ไม่เห็นดว้ ย จานวน ๑๒ รูป/คน จานวน ๕ รูป/คน จานวน ๑๔ รูป/คน (ร้อยละ ๑๒.๕) (ร้อยละ ๓๕.๐) (ร้อยละ ๓๐.๐) ๑๕ธรรมชาติของจิตซดั ส่าย จะ ๐๑ก่อนไปถึงท่ียกมาทีแรกตอ้ งใหจ้ ิตสงบ สงบนิ่งตอ้ งมีสติกาหนดรู้ จริง ๆ ก่อน ไม่ใช่คิดวา่ สงบหรือ ๐๕การฝึ กจิตคือใหส้ ติระลึกไดท้ นั ตลอดเวลา โดยภาวะของจิต สอบถามสญั ชาตญาณได้ ๐๓ไมเ่ ห็นดว้ ย ตวั ปรุงแต่งตวั นึกคิด คิดชวั่ ระลึก (ด้งั เดิม) ภาษาอภิธรรม คือ ๑) การตามดูจิตน้นั คือ การดูสภาพของจิตท่ี ได้ แลว้ รีบหยดุ ตดั คิดดีที่เห็นเป็น การรับรู้อารมณ์ตามธรรมชาติ เป็นจริง รู้เท่าทนั สภาวะของจิต จิตสงบ กศุ ลธรรม พฒั นาต่อ จนเหลือแต่ ๒)เป็นเหตุใหเ้ จตสิกรับรู้ หรือไมส่ งบรู้เท่าทนั ตามความเป็นจริง๐๘ กศุ ลจิตเท่าน้นั ๑๐การฝึ กจิตชานาญ อารมณ์ไดค้ ลา้ ย ๆ ผนู้ า ๓) ยกจิตไปสู่สภาวธรรมเดิม คือ การตดั ไม่ ช่าชองแลว้ ที่เรียกวา่ สมถกรรม รังสรรคส์ รรพสิ่งใหว้ จิ ิตร ใชก้ ารพิจารณา ๑๓ไมเ่ ห็นดว้ ย เพราะวา่ ฐาน จากน้นั ยกจิตกา้ วสู่วปิ ัสสนา พิสดารได้ ๑๖การทาจิตใหส้ งบ การฝึ กภาวนาจิต ตอ้ งเป็นการมีสติ กบั กรรมฐานใหเ้ ห็นไตรลกั ษณ์ เพื่อใหร้ ู้ตามสภาวะความเป็น กาหนดรู้ ตามความเป็นจริงของจิตไม่ แลว้ ประจกั ษท์ ุกอยา่ ง ปัญญาญาณ จริงโดยมีสติเป็นตวั นาจิตตา สามารถบงั คบั ใหจ้ ิตนิ่ง หรือจะยกจิตข้ึน เกิดข้ึนจะไปปรุงแต่งอะไรอีก ๑๒ นุปัสสนาสติปัฏฐาน (การ สู่วปิ ัสสนาตามใจปรารถนาได้ พระพุทธ การจะยกจิตข้ึนสู่วิปัสสนาใหจ้ ิต พิจารณาจิต) วา่ จิตมีราคะ รู้ชดั องคส์ อนใหต้ ามมีสติรู้จิตตามความเป็น เห็นไตรลกั ษณน้นั ผปู้ ฏิบตั ิจะตอ้ ง วา่ จิตมีราคะ จิตปราศจากราคะ จริง เช่น จิตมีราคะ รู้ชดั วา่ จิตมีราคะ ๐๔ ฝึ กสมถกรรมฐาน ๔๐ ประการ รู้ชดั วา่ จิตปราศจากราคะ จิตมี การทาจิตใหส้ งบตอ้ งมีสติระลึกรู้(แค่ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงก่อน เมื่อจิตน่ิง อื่นๆ รู้ชดั จิตไมม่ ีอื่น ๆ รู้ชดั ๑๙ รู้สึก)วา่ ลมหายใจเขา้ หรือออกยาวหรือ เป็นสมาธิแลว้ จึงค่อยยกจิตข้ึนสู่ ในการพิจารณาจิตตานุปัสสนา ส้นั (หา้ มจอ้ งจิต)ใหจ้ ิตเกิดความสงบ ไม่ วปิ ัสสนา ๑๘เห็นดว้ ย๒๑เรียกวา่ สติปัฏฐาน ตามความเขา้ ใจ ตอ้ งห่วงวา่ จะยกข้ึนสู่วปิ ัสสนาได้ ทุกขขงั อนตั ตา เกิดและดบั ๒๓การ ส่วนตวั จริง ๆ คือการพิจารณา อยา่ งไร ถา้ กลวั จิตติดสมถะ ประโยคน้ี มีสติกาหนดรู้ “จิตเห็นจิต” วา่ จิตมี จิตที่เป็นปัจจุบนั วา่ จิตอยใู่ น พระพุทธเจา้ ไม่เคยสอนไม่มีในพทุ ธวจน ราคะ โทสะ หลดุ พน้ จากกิเลส สภาวะใด เช่น มีกิเลสหรือไม่มี พระพุทธเจา้ ทรงตรัสโดยสรุปไดว้ า่ ใคร หรือยงั ไมป่ รุงแต่ง คือเปล้ืองจิต กิเลส หดหู่หรือฟุ้งซ่าน จิตมีจิต สามารถทาฌานไดใ้ หท้ าเลยเป็นสุขที่ไม่ ออกจากอารมณ์ ๒๔ฐานจิตเป็นฐาน อื่นหรือไมม่ ีจิตอ่ืน เป็นสมาธิ ตอ้ งกลวั เพราะถา้ จิตสงบเต็มที่แลว้ จิตจะ ท่ีละเอียดจะตอ้ งใส่ใจใหม้ ากใน หรือไม่เป็นสมาธิ หลดุ พน้ ถอนออกมาเองโดยอตั โนมตั ิ เม่ือถอน การกาหนดจิต อาการเกิด-ดบั ของ หรือไม่หลดุ พน้ โดยไม่ แลว้ จะสามารถยกจิตข้ึนสู่วปิ ัสสนาได้ จิตเร็วมาก ตอ้ งมีความเพียรในการ พิจารณาสติบงั คบั จิต หรือ เลย ๑๔ไมเ่ ห็นดว้ ยกบั คาวา่ “เพง่ ” และ รู้เท่าทนั จิต เมื่อรู้เท่าทนั จิตอยา่ ง แสวงหาความบริ สุทธ์ ิหรื อ ฐานจิตควรเป็นการตามรู้ ตามดู ตามที่ ต่อเนื่อง จะเกิดปัญญาญาณข้ึนมา ลาดบั ๒๘เมื่อทาจิตสงบ (สมาธิ)
๑๒๓ ยกระดบั จิตข้ึนสู่วปิ ัสสนา ควร ภาวะเดิมแทข้ องจิต แต่อยา่ งใด มนั กาลงั เป็น มีอะไรเกิดข้ึนกบั จิต ๑๗การ กาหนดในฐานท้งั ๔ ฐานใดฐาน ท้งั น้ีเพื่อใหเ้ ห็นความเกิดข้ึน พิจารณาความเป็นไตรลกั ษณ์นาไปสู่ หน่ึง ฐานใดปรากฏชดั กาหนดฐาน และความเสื่อมไปของจิตที่ ความเบื่อหน่าย คลายความยึดติด เม่ือไม่ น้นั เป็นการยกระดบั จิตข้ึนสู่ ทางานอยู่ ดงั น้นั ทาใหเ้ ห็น ยดึ ไมต่ า้ น จิตกลบั สู่สภาวะเดิมท่ีไม่ปรุง วปิ ัสสนาแลว้ เพราะกาหนดใน ความจริงของจิตท่ีซดั ส่ายไปมา แต่ง รู้แลว้ วางดบั ๒๒ไมเ่ ห็นดว้ ย๒๗การ หลกั สติปัฏฐาน ๔ในเบ้ืองปลาย ไม่อยนู่ ่ิงไม่เป็นของจริง เท่ียง ปฏิบตั ิแบบเพ่งจิตใหน้ ิ่งหรืออะไร ตาม ๓๑การฝึ กจิตใหส้ งบ คือ สมาธิ แลว้ แท้ เหมือนใชส้ ติตรวจดูของ อาศยั แบบ แต่ถึงจุดหน่ึงตอ้ งวางใหห้ มด ยกจิตข้ึนสู่วิปัสสนา พิจารณาไตร เล่นหรือตวั ลิงท่ีกระโดดไป ๒๙การประคบั ประคองจิตเท่าน้นั ท่ีจะนา ลกั ษณ์เกิดความรู้ความเขา้ ใจ ตาม กระโดดมาในกรง เม่ือเห็นดงั น้ี ใหอ้ อกจากทุกขแ์ ละเห็นกิเลส ๆ อยตู่ รง ความเป็นจริง คือ อริยสจั เป็น แลว้ จึงจะคลายความยึดมนั่ ใน น้ี จิตจะออกจากกิเลส เห็นกิเลสตอ้ งดูจิต ปัญญาญาณ ๓๖ถูกตอ้ งตามธรรม จิตน้นั ๓๓การฝึ กดูจิตใหด้ ู พฒั นาจิตจึงออกจากทุกข์ ๓๐การปลอ่ ย ๓๗รูปแบบจิตตานุปัสสนาสติปัฏ อารมณ์ท่ีมากระทบจิต ดูใหร้ ู้ว่า วาง ๓๒ใช่ตามน้นั ๓๕จิตเป็นเพียงผเู้ ขา้ ไป ฐาน คือ สติกาหนดพิจารณาเห็น ขณะน้ีจิตเป็นอยา่ งไร ข่นุ มวั รู้เกิดข้ึนแลว้ ดบั ไปแค่น้นั การปรุงแต่ง จิตในจิต ๑๖ คือ เป็นราคจิต จิตมี หรือแจ่มใส ดูไปจนจิตสงบต้งั คือ สงั ขาร การเห็นชดั ไตรลกั ษณ์คือ ราคะ(เพง่ เป็นวธิ ีการสมถะ จิต มน่ั จึงยกข้ึนสู่วิปัสสนา ปัญญา ๔๐ไมถ่ ูกตอ้ ง เมื่อถึงเวลาจิตจะ ระดบั น้ีไม่เพง่ แต่การเห็นพิจารณา พิจารณาใหเ้ ห็นเป็นไตรลกั ษณ์ รับรู้ดว้ ยตวั ของเขาเอง ดว้ ยปัญญาญาณ ลาดบั จิตหยาบ จิตละเอียด จิต ๓๙เจริญสติปัฏฐานจนถึง เขาเองโดยไม่ตอ้ งเพ่งดูแต่ประการใด จิต ปุถุชน กบั จิตอริยะบุคคล) ๓๘เห็น วิปัสสนาญาณท่ี ๔ อทุ ยพั พย จะทางานเองโดยอตั โนมตั ิ ดว้ ย ญาณ (ญาณท่ี ๔) จากตารางท่ี ๔.๑๐ สรุปรูปแบบการฝึ กภาวะจิตให้สงบยกจิตข้ึนสู่วิปัสสนาเห็นไตรลกั ษณ์ ผล การศึกษาพบวา่ เห็นด้วย (ร้ อยละ ๓๐.๐) “ฝึ กจิต คือ ให้สติระลึกไดท้ นั ตวั ปรุงแต่งนึกคิด ฐานจิตละเอียด มากเอาใจใส่ใหม้ าก อาการเกิดดบั ของจิต สติกาหนดรู้”จิตเห็นจิต” สติกาหนดพิจารณาจิต จิตชานาญเป็ น สมถกรรมฐาน กรรมฐาน ๔๐ ประการอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ใหจ้ ิตนิ่งยกจิตสู่วปิ ัสสนา รู้เท่าทนั จิตตอ่ เน่ือง จิต เห็นไตรลกั ษณ์” เห็นด้วยปานกลางโดยอธิบายความเพ่ิมเติม (ร้ อยละ ๑๒.๕) “ทาจิตให้สงบรู้ตามสภาวะ ตามความเป็ นจริงตอ้ งมีสตินา ไม่พิจารณาสติบงั คบั จิต จิตสงบน่ิงตอ้ งมีสติกาหนดรู้ตลอดเวลา ฝึ กดูจิตให้ ดูอารมณ์ที่กระทบจิต จิตสงบต้งั มนั่ ยกข้ึนวิปัสสนาพิจารณาไตรลกั ษณ์” ไม่เห็นด้วย(ร้ อยละ ๓๕.๐) “จิต สงบเต็มท่ีจิตจะถอดออกมาโดยอตั โนมตั ิ จิตผูร้ ู้เขา้ ไปรู้การเกิดดบั เท่าน้นั ตอ้ งดูตามสภาพจิตตามความ เป็นจริงรู้เทา่ ทนั ไม่ใชค้ าวา่ เพง่ แต่เป็นการตามรู้” และไม่แสดงความคิดเห็น (ร้อยละ ๒๒.๕) ตารางท่ี ๔.๑๑ รูปแบบวธิ ีการดูลมหายใจให้ถูกวิธีโดยฝึ กจิต มีสติอยกู่ บั กาย ความรู้สึก จิต ปรากฎการณ์ นาฌานสู่ญาณใชจ้ ิตตามดู สู่จิตวา่ ง อาศยั ฐานกาย เวทนา จิต ธรรม และสร้างการรู้ตวั พจิ ารณารูปนาม วาง จิตเป็ นอุเบกขาต่อทุกสภาวธรรม ปรากฏการณ์ที่เขา้ มากระทบ เขา้ ใจรู้จกั สิ่งที่เกิดข้ึนตามความเป็ นจริงกฎ ของไตรลกั ษณ์ (คาถามขอ้ ๑๑)
๑๒๔ เห็นดว้ ย อธิบายความเพิ่มเติม ไมเ่ ห็นดว้ ย จานวน ๑๔ รูป/คน จานวน ๘ รูป/คน จานวน ๔ รูป/คน (ร้อยละ ๓๕.๐) (ร้อยละ ๒๐.๐) (ร้อยละ ๑๐.๐) ๐๑การพิจารณาลมหายใจ พิจารณากาย ๑๒อาศยั กาย เวทนา จิต ธรรม ฝึกการ ๑๐กายเวทนาจิตธรรม ความรู้สึก ปรากฎการณ์ ตอ้ งมีสติอยู่ มีสติและการรู้ตวั จะมีบริกรรม เป็นฐานของปัญญารู้เท่า ตลอดเวลา๐๕การดูลมหายใจคือการเขา้ สติไป ภาวนา เพ่ือใหจ้ ิตมีการเกาะเกี่ยว ทนั ทุกอยา่ ง เป็นอุเบกขา กาหนดลมหายใจเขา้ ออก หายใจแรง เบารู้ เป็นเบ้ืองตน้ จนเห็นอาการเกิดดบั ต่อทุกสภาวธรรมคือ หายใจส้นั ยาว รู้ เมื่อรู้ไดล้ ะเอียดแลว้ จึงยกเขา้ ของ รูปนาม ๑๔รู้ลมตรงจุดกระทบ ความเป็นจริงส่ิงท้งั ปวง สู่การพิจารณาธรรม (ไตรลกั ษณ์) ๑๓เห็นดว้ ย แต่ไม่ใช่ใส่ใจจุดกระทบ๑๕ตอ้ ง แลว้ ปล่อยวางไม่ใช่เขา การฝึ กจิตใหม้ ีสติระลึกรู้อยู่กบั สภาพธรรมท้งั ประกอบดว้ ยองค์ ๓ ในสติปัฏฐาน ไมใ่ ช่ ธาตุ ๔ ขนั ธ์ ๕ ปวง ตามความเป็นจริง จิตจะวิวฒั นห์ รือ คือ อาตาปี สมั ปชาโน สติมา วิเนย อาศยั เพียงชว่ั คราว๑๖การ พฒั นาจิตเองใหเ้ ป็นผรู้ ู้ ผตู้ ื่น ผเู้ บิกบาน รู้จกั รูป โลเก อภิชฌา โทมนสั สงั ตวั สติคือ ทาใหจ้ ิตตามดู นาม พิจารณาวางจิตเป็นอเุ บกขาเองตาม ตวั ปัญญา เมื่อฝึ กฝนพฒั นาสติเตม็ ที่ ปรากฏการณ์ ฌานไม่ ธรรมชาติ ๑๘เห็นดว้ ย ๒๓ตามหลกั ท่ีกลา่ วมาน้ี สติคือตวั ปัญญา เม่ือปัญญาเกิด น่าจะเป็นจิตตานุปัสสนา จะเกี่ยวกบั การฝึ กจิต โดยใชส้ ติ หรือลมหายใจ ความจริงยอ่ มปรากฏ ๑๗ถูกแลว้ ดู สติปัฏฐาน ดูแค่จิต เขา้ หายใจออก ตามหลกั ของอานาปานสติ คือ ลมหายใจถกู วธิ ีแลว้ ขอใหส้ งั เกตทา เท่าน้นั แลว้ ใหต้ ระหนกั การใชส้ ติกาหนดลมหายใจ ๒๔การฝึ กจิต ความเขา้ ใจวิธีการในอานาปานสติที่ วา่ “จิตมีอย”ู่ เพียงเพื่อ บางคร้ังตอ้ งอาศยั ฐานกาย เพราะกายเป็นท่ีอยู่ มีพระสูตร ๑๖ ขอ้ ๔ ขอ้ แรกคือ การ อาศยั เจริญญาณ เจริญสติ ของจิต วธิ ีการฝึ กจิตตอ้ งพยายามรู้เท่าทนั จิต พิจารณากาย ๑๒ ขอ้ ต่อมาให้ เท่าน้นั ไมอ่ าศยั (ตณั หา พยายามฝึ กจิตใหน้ ิ่ง สะอาด สวา่ ง สงบ ของ พิจารณาเวทนา จิต ธรรม ทุกลม หรือทิฏฐิ จึงอยไู่ ม่ยดึ มน่ั จิตที่ยงั พฒั นาสู่ปัญญา ๒๘การดาเนินลกั ษณะน้ี หายใจไมไ่ ดห้ มายถึง ดูเวทนาพร้อม ถือมนั่ อะไรๆ ในโลก(ที. ลงสู่การปฏิบตั ิในสติปัฏฐาน ๔ ในมหาสติปัฏ กบั ดูลมหายใจ แต่ใหด้ ูเวทนา จิต ม.๑๐/๓๘๑/๓๑๔-๓๑๕) ฐานสูตร ๒๙อานาปานสติท่ีฝึ กดีจะทาใหส้ ติ ธรรมทุกขณะจิต ๒๑มีสติอยอู่ าศยั ๒๕การใชค้ าขอ้ ความอาจ ปัฏฐาน ๔ สมบูรณ์ สติปัฏฐานที่ฝึ กดีจะทาให้ กาย จิต ธรรม โดยการกาหนดสภาว ไม่ถกู ตอ้ ง “ดูลมหายใจ โพชฌงค์ ๗ สมบูรณ์ จะทาใหถ้ ึงวชิ ชา วมิ ุตติ ท้งั หลาย ๒๗ท่ีสุดเขา้ ใจ และเขา้ ถึง มีสติ พิจารณารูปนาม ตวั สุดทา้ ยโพชฌงค์ ๗ คือ อเุ บกขา ๓๑เป็น จุดเดียวกนั ลงเอยท่ีเดียวกนั หมด ๓๐ วางจิต เขา้ ใจ รู้จกั ” ลาดบั ข้นั ตอนเจริญสมถกรรมฐานจนถึงสมาธิ จะตอ้ งทาบ่อย ๆ ๓๕จิตเขา้ ไปรู้กาย หมายถึงวิธีวปิ ัสสนา ฌาน แลว้ ใชว้ ธิ ียกจิตข้ึนสู่วิปัสสนากรรมฐาน เวทนา จิต ธรรม นามรูป ใหล้ ะทิ้ง “ความรู้สึก สร้างการ ตามดูกาย เวทนา จิต และตามใหค้ วามเห็นกฎ ความเป็นตวั ตนไปเสียหมด เพราะ รู้ตวั ” ไมแ่ น่ใจถูกหรือ ของไตรลกั ษณ์ ตามอริยสจั ๓๒ใช่ตามน้นั ๓๓ ท้งั หมดเป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติ เป็นวธิ ีการสมถะ ๓๔ใช่ เห็นดว้ ยเพราะถา้ เจริญดูลมหายใจจนจิตเป็น พิจารณาใหเ้ ป็นของวา่ งเปลา่ ตวั ตน แต่ตอ้ งพิจารณาใหเ้ ห็น สมาธิ การที่จิตนอ้ มไปสู่วปิ ัสสนา ทาตามวิธีที่ จะไมม่ ี การเกิดจะไม่มี๓๙ดูลมหายใจ จริงตามสภาวะน้นั ๆ กล่าวมา๓๖ในการปฏิบตั ิธรรมตามรูปแบบ จนจิตไดอ้ ุปจารสมาธิ อปั ปนาสมาธิ ดว้ ยจึงจะเขา้ ใจไตร ถูกตอ้ ง ๓๘เห็นดว้ ย๔๐ ตอ้ งไมใ่ ช่การคิดนึกเอง โดยเอาฌานเป็นบาทฐานต่อการ ลกั ษณ์ สลดั คืนอยา่ ง วา่ เป็นเช่นน้นั เป็นเช่นน้ี ตามภูมิปัญญาตนเอง เจริญวิปัสสนากรรมฐาน แทจ้ ริง
๑๒๕ จากตารางท่ี ๔.๑๑ สรุปรูปแบบวธิ ีการดูลมหายใจใหถ้ ูกวธิ ีโดยฝึ กจิต มีสติอยกู่ บั กาย ความรู้สึก จิต ปรากฎการณ์ นาฌานสู่ญาณใช้จิตตามสร้างการรู้ตวั วางจิตเป็ นอุเบกขาปรากฏการณ์ท่ีเป็ นจริง ผล การศึกษาพบวา่ เห็นด้วย(ร้อยละ ๒๗.๕) “ฝึกจิตตอ้ งอาศยั ฐานกาย ตอ้ งรู้เท่าทนั จิตนิ่งสะอาดสงบ พจิ ารณา การวางจิตอุเบกขาตามธรรมชาติ ดูลมหายใจเขา้ ออก เอาสติไปกาหนดยกพิจารณาไตรลกั ษณ์ เป็ นไป ตามลาดบั ข้นั ตอนสมถกรรมฐาน เห็นไตรลกั ษณ์ตามอริยสจั ” เห็นด้วยปานกลางโดยอธิบายความเพิ่มเติม (ร้อยละ ๓๐.๐) “อาตาปี สัมปชาโน สติมา มีสติและรู้ตวั มีสติกากบั อาศยั กายเวทนาจิตธรรม อานาปานสติ ตวั สติคือตวั ปัญญา เอาฌานเป็ นบาทฐานวปิ ัสสนา มีบริกรรมภาวนาใหจ้ ิตเกาะเก่ียวเบ้ืองตน้ ” ไม่เห็นด้วย (ร้อยละ ๑๗.๕) “อุเบกขาต่อสภาวธรรม กาย เวทนา จิต ธรรม พจิ ารณาใหเ้ ห็นความจริงตามสภาวะ” และ ไม่แสดงความคิดเห็น (ร้อยละ ๒๕.๐) ตารางที่ ๔.๑๒ รูปแบบความบริสุทธ์ิแห่งจิต จิตเดิมแทไ้ ม่ปรุงแต่งสติกาหนดจิตตามรู้จิต ที่ต้งั แห่งการ ทางานจิตคือกรรมฐาน จิตตภาวนาเครื่องมือพฒั นาจิตใหส้ ูงฝึกฝนจิตใหจ้ ิตต้งั มน่ั จิตมองเห็นดว้ ยตาใจ ต่ืน ตระหนกั รู้ สร้างดวงจิตดว้ ยปัญญา สรุปวา่ จิตเป็นการเขา้ ถึงปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญา (คาถามขอ้ ๑๒) เห็นดว้ ย อธิบายความเพ่ิมเติม ไม่เห็นดว้ ย จานวน ๑๑ รูป/คน จานวน ๑๒ รูป/คน จานวน ๗ รูป/คน (ร้อยละ ๒๗.๕) (ร้อยละ ๓๐.๐) (ร้อยละ ๑๗.๕) ๐๑จิตจะเป็นตวั เขา้ ถึงปัญญา ๐๔เห็นดว้ ยแต่ประโยคท่ีวา่ “สรา้ งดวงจิตดว้ ย ๐๗ปัญญาเกิดจาก การ ระดบั ภาวนามายปัญญา แต่จิต ปัญญา” เป็นลกั ษณะประโยคที่ไม่ชดั เจน สมควร คิดพิจารณาในอารมณ์ ตอ้ งมีหนทางเดิน และฝึ กถูกทาง จะใหค้ าวา่ ทาอยา่ งไรจิตจึงจะเกิดปัญญา ๐๖การ ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนภายใน ๐๓ตาใจหมายถึงตาปัญญา ๐๕เมื่อ เห็นจิตวา่ มีแต่ความบริสุทธ์ิ วา่ งเปลา่ ปราศจาก จิต ๑๖ทุกฐาน กาย จิตไดร้ ับการฝึ กฝน ชาระกิเลส การปรุงแต่ง ความรู้แจง้ ในจิตว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็น เวทนา จิต ธรรม เนน้ ทิ้งใหห้ มดไปไดเ้ หลือแต่ความ ตวั ตน พอจะยดึ ถือไดน้ าไปสู่การปล่อยวางของจิต การเขา้ ถึงปัญญาระดบั บริสุทธ์ิ ผอ่ งใส ของจิตแลว้ ตวั รู้ จาการยึดมนั่ ถือมนั่ เป็นการเขา้ ถึงปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญาได้ ภายใน จะเกิดข้ึน ทาต่อเน่ืองไป ภาวนามยปัญญา ๑๒การที่จิตเขา้ ถึงปัญญาระดบั ท้งั น้นั แต่ตอ้ งรู้เห็น เรื่อย ๆ ตวั ภาวนามยปัญญาจะ ภาวนามยปัญญาได้ ผปู้ ฏิบตั ิตอ้ งฝึ กปฏิบตั ิอยา่ งข สภาวะตามความเป็นจริง เกิดข้ึนตาม ๑๓เมื่อมีสติกาหนด มกั ขะเมน้ ใชค้ วามที่เป็นตบะธรรมเครื่องเผากิเลส ของจิตปัจจุบนั วา่ จิต ตามรู้จิต จะมองเห็นจิตตาม ใหเ้ ร่าร้อน ไม่ยอ่ ทอ้ ต่ออุปสรรคต่าง ๆ จนเกิด เป็นเช่นไร ไมใ่ หจ้ ิตตอ้ ง ลกั ษณะต่าง ๆ ตามความเป็นจริง สติปัญญาที่เรียกวา่ วิปัสสนาญาณ จึงจะเป็น อยากไปเห็นอยากไปดู ดว้ ยตาใน ต่ืนตระหนกั รู้เกิด ภาวนามยปัญญา ๑๕เจริญใหม้ ากทาใหม้ ากสติปัฏ คือ การส่งจิตออกนอก ปัญญา เพราะจิตต้งั มนั่ มีสมาธิ ฐาน ๔ คือ ความหมาย การเขา้ ถึงปัญญา เรียกวา่ แต่ถา้ ระลึกรู้ไดว้ า่ จิต ดงั พระพทุ ธองคต์ รัสวา่ “เมื่อจิต ภาวนามยปัญญา ๑๗จิตเขา้ ถึงปัญญาดว้ ยภาวนามย อยากไปเห็นไปดู คือ ยงั มีสมาธิแลว้ ยอ่ มรู้ชดั ตามความ ปัญญาถึงพฒั นาจิตถึงข้นั อริยะไดเ้ พียงแต่พฒั นา อยใู่ นจิตตานุปัสสนาสติ เป็นจริง” ดงั น้นั จิตเขา้ ถึงปัญญา เป็นอริยะข้นั ใด โสดาบนั สกทาคามี อนาคามี ปัฏฐาน ฐานจิตอยู่ ๒๑ใช้ ระดบั ภาวนามยปัญญา ๑๘เห็น หรือ อรหนั ต๒์ ๓โดยมีสติเป็นตวั กากบั ๒๔ความ โดยอาศยั การกาหนด
๑๒๖ ดว้ ย ๒๗ถกู ตามน้นั เห็นดว้ ยกบั บริสุทธ์ิของจิตเป็นเหตุใหเ้ กิดปัญญา เพราะอาศยั ทุกขขงั อนตั ตา เป็น อุบายการปฏิบตั ิ ๓๑จิตจะ การเจริญสติอยา่ งต่อเน่ืองในการรู้เท่าทนั จิต ความ เคร่ืองกาหนด ของการ บริสุทธ์ิไดต้ อ้ งอาศยั การฝึ ก คือ สงบองคข์ องฌานจะปรากฏละเอียดช้นั ข้ึน กิเลส ภาวนาจิตโดยสมาธิ ๒๕ ใชก้ รรมฐาน ฝึ กหรือพฒั นา พระ ยอ่ มเบาบาง ปัญญาแห่งมรรค ผล นิพพาน ปรากฏ เป็นวธิ ีการสมถะ ๓๗จิต บาลีวา่ “จิตตงั ทนตงั สุขาวหงั ” ชดั ข้ึน๒๘จิตเป็นฐานหน่ึงแห่งการเขา้ ถึงภาวนามย เดิมแทเ้ ป็นสานวนพุทธ หมายถึง จิตท่ีไดร้ ับการฝึ กฝนจะ ปัญญาไดจ้ นถึงในท่ีสุดอยา่ งพระพทุ ธพจน์มี ศาสนามหายาน ๓๘จิตไม่ เป็นจิตท่ีบริสุทธ์ิ มีความสุข และ ใจความวา่ จิตหลุดพน้ แลว้ พึงรู้วา่ “จิตหลดุ พน้ จาเป็นตอ้ งเขา้ ถึงปัญญา เกิดปัญญาท้งั ระดบั โลกียะ และ แลว้ ” หรือใจความวา่ “เธอพึงรักษาจิตอยา่ งเดียว” แต่การรับรู้และคิด โลกตุ ระ ๓๒ใช่ตามน้นั ๓๓เห็น ๒๙คาวา่ วิปัสสนา แปลวา่ ความสวา่ งใจ คาวา่ วเิ คราะหไ์ ด้ แกไ้ ขปัญหา ดว้ ย ๓๔เม่ือไดพ้ ิจารณาจิตอยา่ ง วิปัสสนา เป็นชื่อของปัญญาที่สวา่ งจิตใจ เม่ือใจ ได้ ถือวา่ เป็นปัญญา รู้เท่าทนั แลว้ ตามความเป็นจริง สวา่ งอะไร ถกู มองเห็นหมด ๓๐ใช่แต่ตอ้ งฝึ กดุจ ระดบั ภาวนามยปัญญา อนั เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา พระอาจารยบ์ างรูปที่ท่านกาหนดการถอดจิตของ ๔๐เป็นส่วนหน่ึงเช่นกนั กมั มฏั ฐานจะสามารถละความ ท่าน ๓๕จิตเดิมหรือจิตปัจจุบนั ไมม่ ีการปรุงแต่ง แต่อยา่ มุ่งหวงั วา่ ตอ้ งเป็น ถือวา่ เป็นจิต จิตเขาลงได้ เป็น จิตทาหนา้ ที่เป็นผรู้ ู้อยา่ งเดียวท่ีตอ้ งของจิต คือ รูป จิตเสมอไป สติปัฏฐาน เหตุใหเ้ ขา้ ถึงปัญญา๓๖ถูกตอ้ ง เวทนา สญั ญา สงั ขาร (จิต คือ วิญญาณ) ๓๙ ๔ ตอ้ งมีลกั ษณะ ๔ ตามธรรม เบ้ืองตน้ ผปู้ ฏิบตั ิกาหนดอารมณ์ คือรูปนามเป็น ประการเก้ือกลู กนั อารมณ์ปรมตั ถโ์ ดยละอารมณ์เป็นบญั ญตั ิ ๔๐ วิธี ปัญญาจึงเกิดข้ึนได้ จากตารางท่ี ๔.๑๒ สรุปรูปแบบความบริสุทธ์ิแห่งจิต สติกาหนดจิตตามรู้จิต จิตมองเห็นดว้ ยตา ใจ สร้างดวงจิตด้วยปัญญา เขา้ ถึงปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญา ผลการศึกษาพบว่า เห็นด้วย (ร้ อยละ ๒๗.๕) “จิตเป็ นตวั เขา้ ถึงปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญา จิตจะบริสุทธ์ิตอ้ งอาศยั การฝึ กกรรมฐาน ตาใจคือ ตาปัญญา ตวั รู้ภายใน จิตมองลกั ษณะตามความเป็ นจริง จิตรู้เท่าทนั ความเป็ นจริง” เห็นด้วยปานกลางโดย อธิบายความเพ่ิมเติม (ร้ อยละ ๓๐.๐) “สร้างจิตดว้ ยปัญญา จิตเป็ นผูร้ ู้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยปล่อยวางจิตจากการยดึ มนั่ ถือมน่ั สติกากบั เจริญใหม้ ากซ่ึงสติปัฏฐาน ๔ วปิ ัสสนาญาณเป็ นภาวนามย ปัญญา” ไม่เห็นด้วย (ร้ อยละ ๑๗.๕) “จิตเห็นตามความเป็ นจริง จิตปัจจุบนั ปัญญาพิจารณาอารมณ์ต่างๆ ภายในจิต” และไม่แสดงความคิดเห็น (ร้อยละ ๒๕.๐) ตารางท่ี ๔.๑๓ รูปแบบการพฒั นาจิตบริสุทธ์ิสะอาด ใช้เคร่ืองมือ คือ มหาสติปัฏฐาน ๔ พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม นาไปสู่กระบวนการเปล่ียนแปลงทางจิต เป้าหมายการฝึ กจิตบริสุทธ์ิ คือ เจริญสมาธิ วปิ ัสสนาโดยสร้างพ้ืนฐานสติ คือ ใชก้ าหนดลมหายใจต้งั จิตพิจารณาทุกสิ่งตามความเป็ นจริงให้รู้ถึงความ ไมเ่ ท่ียงตามกฎไตรลกั ษณ์ (คาถามขอ้ ๑๓)
๑๒๗ เห็นดว้ ย อธิบายความเพิ่มเติม ไม่เห็นดว้ ย จานวน ๑๑ รูป/คน จานวน ๑๐ รูป/คน จานวน ๖ รูป/คน (ร้อยละ ๒๗.๕) (ร้อยละ ๒๕.๐) (ร้อยละ ๑๕.๐) ๐๕มหาสติปัฏฐาน๔ ทาใหค้ รบและ ๐๑จิตจะบริสุทธ์ิสะอาดข้ึน จิตจะเปล่ียนแปลง ๑๒การใชส้ ติกาหนดลม ต่อเน่ือง อยา่ งไม่ทอ้ เจริญต่อเน่ือง จิตไดส้ มั ผสั จิตจะเปล่ียนแปลงแลว้ มี หายใจ ไมใ่ ช่ต้งั จิต สม่าเสมอ ทุกกระบวนการจะ สติสมั ปชญั ญะที่สุดในเบ้ืองตน้ กลาง ปลาย ๐๔ พิจารณาทุกส่ิงทุกอยา่ ง พฒั นาเองโดยลาดบั จนเขา้ ถึงไตร มีสติ ระลึกรู้ไมเ่ ฉพาะลมหายใจ แต่ใหร้ ู้ ไมไ่ ด้ ตอ้ งใหพ้ ิจารณา ลกั ษณ์ได้ ๑๗ถูกตอ้ งแลว้ สติปัฏ อิริยาบถ ๔ อิริบาบถยอ่ ย การเคล่ือนไหวและ ลมหายใจเขา้ ออก เป็น ฐาน ๔ เป็นวิธีการหลกั การให้ ความรู้สึกนึกคิด ๑๐มหาสติปัฏฐาน ๔ เป็น อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา ๑๖ เขา้ ถึงกฎไตรลกั ษณ์ หากไม่มีสติ เคร่ืองมือทนั สมยั อยา่ งสาคญั พระบูรพาจารย์ ฝึ กดูตามความเป็นจริง ปัฏฐาน ๔ ไมส่ ามารถเขา้ ถึงไตร เจา้ ท้งั หลายสมยั ก่อนลว้ นแต่นาเอาอาวธุ เหลา่ น้ี ในปัจจุบนั ไมต่ อ้ งอยาก ลกั ษณ์ไดเ้ ลย ๑๘เห็นดว้ ย ๒๔การ แหละประหตั ประหารกิเลสใหส้ ิ้นซาก ๑๓การ ใหจ้ ิตบริสุทธ์ิหรือสงบ พฒั นาจิตใหบ้ ริสุทธ์ิ จะตอ้ งใช้ พฒั นาจิตใหส้ ะอาด บริสุทธ์ิ ตอ้ งใชก้ าย เวทนา แลว้ จิตจะเป็นฐานแห่ง เครื่องมือ คือ มหาสติปัฏฐาน ๔ ใน จิต ธรรม เป็นอุปกรณ์ในการเจริญสติใหเ้ กิด ปัญญาโดยธรรมชาติ ๒๓ การพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม สมาธิและปัญญา คือ วิปัสสนาปัญญา เห็น การกาหนดลมหายใจ โดยการใส่ใจในการกาหนด ความเป็นจริงของสิ่งท้งั หลายตามกฎไตรลกั ษณ์ อยา่ งเดียวอาจจะไม่ อารมณ์ปัจจุบนั อยา่ งต่อเน่ือง วิ ๑๕พฒั นาตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ จากปุถุชนเป็น เหมาะกบั บุคคลบางกลุ่ม สุทธิ ๗ จะปรากฏ ๓๑จิตท่ีพฒั นา กลั ยาณชน ปัญญาชน อริยบุคคล ไปตามลาดบั เพราะพระพุทธองคต์ รัส จนบริสุทธ์ิสะอาดเปรียบไดก้ บั ในพระสูตรสติปัฏฐาน ๔ พระพทุ ธเจา้ ตรัสไว้ วา่ ปุณ จ ปร ภิกขุ น้ี กระจกเงาที่ขดั สะอาดดีแลว้ จะ ชดั เจนแจ่มแจง้ ดี ๒๑กาหนดวา่ นง่ั หนอ นงั่ กาย แปลวา่ ยงั มีอีกวิธีหน่ึง... เห็นเงาตวั เองชดั เจนข้ึน จิตเมื่อ ใหต้ รง ดารงสติใหม้ นั่ ต้งั กายเปลา่ ๆ และนง่ั ๒๕“กาหนด” มกั ใชก้ บั พฒั นาแลว้ จะเห็น สพั เพ สงั ขารา สมาธิกาหนดจิตเร่ือย ๆ ๒๗สติกบั กาย จิตควบคู่ สมถะ “พิจารณา”ใชก้ บั อนิจจา ทุกขา อนิจจงั ไมเ่ ท่ียง เป็น กนั ไปจึงเขา้ ถึงดว้ ยธรรมะ สาระ ครูอาจารย์ ที่ วิปัสสนา ๒๙เพ่ือนาจิต ทุกข์ ไม่มีตวั ตน ๓๒ใช่ตามน้นั ๓๔ ส่งอารมณ์สาคญั จะไม่ใหห้ ลงทาง ๒๘ท่ามกลาง ออกจากทุกขเ์ ท่าน้นั ๓๓ ใช่ ๓๕เม่ือเกิดปัญญาเห็นพระไตร ตามหลกั แลว้ อยใู่ นส่วนของการอยกู่ บั ไตร ถา้ กล่าวเป็นองคร์ วม ลกั ษณ์แลว้ ตอ้ งนอ้ มไปเพื่อ การละ ลกั ษณ์เป็นอารมณ์ต่อเน่ืองปลายมีนิพพานเป็น ถูกตอ้ ง แต่ถา้ กลา่ วเป็น การปลอ่ ยวาง การสละท้งั หมด จึง อารมณ์เท่าน้นั จนเขา้ ถึงมรรคฌาน ผลญาณ เฉพาะพิจารณาแต่จิต จึงสะอาด บริสุทธ์ิ หาสิ่งเสียดแทง นิพพาน ตามอุปนิสยั ของผปู้ ฏิบตั ิท่ีจะเขา้ ถึงได้ อยา่ งเดียว เป็นการกล่าว ๓๖ถูกตอ้ งตามธรรม ๓๘เห็นดว้ ย ๓๐กาหนด ยนื เดิน นง่ั นอน กิน ดื่ม ทา พดู คิด ที่ไมถ่ ูกตอ้ ง เพราะถา้ ดู ๓๙ การเจริญสติปัฏฐานเพื่อใหร้ ู้ถึง ๔๐ในเบ้ืองตน้ ตอ้ งอาศยั ลมหายใจ พอชานาญจะ จิต ตอ้ งดูอารมณ์ท่ีมา ความไม่เที่ยง ตามกฎไตรลกั ษณ์ ไม่มีลมหายใจ จะเห็นชดั วา่ แต่ละส่วนจะมี กระทบจิตอยา่ งเดียว คือ ความสาคญั หนา้ ท่ีต่างกนั
๑๒๘ ตารางที่ ๔.๑๓ สรุปรูปแบบการพฒั นาจิตบริสุทธ์ิสะอาด เครื่องมือ คือ มหาสติปัฏฐาน ๔ เป้าหมายการฝึ กจิตบริสุทธ์ิ คือ เจริญสมาธิวิปัสสนาโดยสร้างพ้ืนฐานสติ ผลการศึกษาพบว่า เห็นด้วย (ร้ อยละ ๒๗.๕) “ใชเ้ คร่ืองมือสติปัฏฐาน ๔ ทาใหค้ รบ ต่อเน่ือง สม่าเสมอ พฒั นาจิตให้บริสุทธ์ิ” เห็นด้วย ปานกลางโดยอธิบายความเพิ่มเติม (ร้ อยละ ๒๕.๐)“วิปัสสนาปัญญาเห็นตามความเป็ นจริง ของส่ิง ท้งั หลาย ตามอุปนิสัยผูป้ ฏิบตั ิเขา้ ถึง เบ้ืองตน้ กาหนดลมหายใจจนไม่มีลมหายใจ” ไม่เห็นด้วย (ร้ อยละ ๑๕.๐) “จิตเป็ นฐานแห่งปัญญาโดยธรรมชาติ กาหนดลมหายใจฝึ กดูตามความเป็ นจริง นาจิตออกจาก ทุกข”์ และไม่แสดงความคิดเห็น (ร้อยละ ๓๒.๕) ตารางท่ี ๔.๑๔ รูปแบบการผกู สติอยบู่ นฐานจิต สร้างสติบนกายดว้ ยความรู้สึกตวั ชดั เจนสติตามรู้ทนั จิตฝึ ก จิตปฏิบตั ิจิตใหม้ ีความสงบให้จิตเท่าทนั ความคิดอารมณ์โดยสติและความรู้สึกตวั ดึงจิตอยูก่ บั ปัจจุบนั จิต ปรุงแต่งอารมณ์จากอายตนะ ฝึ กฝนจนเกิดความน่ิงของจิต หลกั การฝึ กจิต คือ การปฏิบตั ิธรรม ดูการ เปลี่ยนแปลงจิต การสร้างสติและความรู้สึกตวั ใหร้ ู้ทนั ความคิด และการเคล่ือนไหวของจิตรู้เห็นอาการของ จิต(คาถามขอ้ ๑๔) เห็นดว้ ย อธิบายความเพ่ิมเติม ไม่เห็นดว้ ย จานวน ๑๔ รูป/คน จานวน ๗ รูป/คน จานวน ๗ รูป/คน (ร้อยละ ๓๕.๐) (ร้อยละ ๑๗.๕) (ร้อยละ ๑๗.๕) ๐๕ถา้ จิตไดร้ ับการฝึ กอยปู่ ระจา ๐๑เม่ือสติแขง็ แรงเขม้ แขง็ แลว้ ผปู้ ฏิบตั ิจะรู้ ๑๔น่าจะใชค้ าวา่ อายตนะเกิด ผสั สะเกิด จิตจะรู้เท่าทนั ชดั เองเหมือนท่ีกล่าวมา ถา้ สติไมเ่ ขม้ แขง็ “ประคบั ประคอง” แทน ไดด้ ี แลว้ เอาจิตมาดูปัจจุบนั เพ่ือท่ีจะ แลว้ อยา่ หวงั วา่ รู้จริง เป็น “ไดแ้ ค่คิดรู้”๐๓ ขอ้ ความวา่ “ตวั ดึงจิตอยู่ ละกิเลสที่เกิดข้ึนมา ๑๐สติปัญญาเป็นพี่ หลกั การฝึ กจิต คือ ดูตามธรรมชาติของจิต กบั ปัจจุบนั ”๑๖สติตอ้ งมี เล้ียงของจิตอยา่ งสาคญั เม่ือฝึ กจนจิตมี ตามดูธรรมชาติของจิตตามความเป็นจริง ทุกฐาน ๒๕การใชค้ า ความแก่กลา้ แลว้ สามารถยกจิตข้ึนสู่ ข่มจิตในสมยั ที่ควรข่ม ยกจิตในสมยั ที่ควร (Wording) การผกู สติ วปิ ัสสนาไดเ้ ป็นอยา่ งดี ธรรมเหลา่ น้ี ยก ประคบั ประคองจิตในสมยั ที่ควร สติจะผกู ไมไ่ ดส้ ร้างสติ เป็นเสน้ ทางของการฝึ กจิตท้งั สิ้น ๑๒ ประคบั ประคองจิต ปล่อยจิตในสมยั ที่ควร สติจะสร้างไม่ได้ ปฏิบตั ิ เป็นการฝึ กปฏิบตั ิกรรมฐานที่เป็น ปล่อย๑๕การฝึ กจิตใหเ้ ป็นปัจจุบนั จิต คืออะไร ใหจ้ ิตเท่า วิปัสสนากรรมฐาน คือ กรรมฐานที่ทา เคลื่อนไหวร่างกายดุจผปู้ ่ วยท่ีกาลงั ทา ทนั กบั ความคิดอารมณ์ ใหเ้ กิดสติปัญญา รู้เท่าทนั อารมณ์ กายภาพบาบดั มีตาดีทาใหเ้ หมือนคนตา หมายถึง รู้เท่าทนั เป็น ปัจจุบนั ทุกขณะจิต ตามดู รู้เห็น ตาม บอด เหมือนตวั อยา่ งในเชิงสญั ลกั ษณ์ คือ เรื่องของสติ เพราะจิต ความเป็นจริงของสภาวธรรมที่เกิดข้ึน ปิ ดหูซา้ ย-ขวา ปิ ดตาสองขา้ ง ปิ ดปากเสีย เป็นการแสดงออกของ ๑๓การฝึ กจิตใหร้ ู้เท่าทนั จิตตอ้ งอาศยั บา้ ง แลว้ นง่ั ภาวนา ๑๗ความคิดเป็นจุดเริ่ม อารมณ์ อารมณ์เป็น ฐานกาย ดว้ ยการมีสติ รู้สึกตวั ชดั เจน ของกิเลส มีความโลภ ความโกรธ ความ เจตสิก จิตจะปรากฏเม่ือ เป็นลาดบั แรกจากน้นั เมื่อจิตหลดุ ไป หลง เป็นส่ิงที่เกิดในจิตการฝึ กเป็นวิธีการที่ มีการแสดงของเจตสิก จากฐานกายใหม้ ีสติตามรู้ที่จิต จนกวา่ ดี เป็นประสบการณ์ตรงท่ีเขา้ ไปเห็นจิตที่มี ตวั จิตจริง ๆ ไม่มี ๒๗ จิตจะสงบลงหรือกลบั มารู้สึกตวั ที่ฐาน ธรรมชาติไม่น่ิง ฝึ กจนจิตคุน้ เคยสงบลง ตอ้ งฝึ กตวั รู้ จะเป็น
๑๒๙ กาย มีสติรู้บ่อย ๆ จิตจะเกิดความ ปัญญาจะปรากฎไดเ้ พราะจิตสงบมีสมาธิ รูปแบบไหน ตามเขา้ ถึง ชานาญ สามารถตามรู้จิตที่เคล่ือนไหว รู้เท่าทนั ความจริง๒๓การผกู จิตดว้ ยสติ ไดท้ ้งั น้นั ๓๕สติเป็น เปล่ียนแปลง เห็นอาการของจิตได้ ๑๘ เพราะจิตมีปกติดิ้นรน กลดั แกว่ง ตอ้ งผไู้ ว้ เหมือนแขกยามที่ตอ้ ง เห็นดว้ ย ๒๑เม่ือพิจารณาแลว้ กาหนดให้ ดว้ ยสติ เปรียบเหมือนคนเล้ียงโค ตอ้ งผกู โค คอยตามรู้จิตคอยควบคุม รู้วา่ เกิดหรือดบั เรียกวา่ ทุกขขงั ไวด้ ว้ ยเชือก ฉะน้นั ผกู ไวก้ บั อารมณ์ ใหจ้ ิตอยใู่ นอารมณ์เดียว อนตั ตา อนิจจงั ๒๙ถกู ตอ้ งแลว้ ๓๐ตอ้ ง กรรมฐาน ๔๐ อยา่ ง๒๔เห็นดว้ ย การฝึ กจิต ไมใ่ หห้ ลดุ จากสมาธิ ๓๙ มีสติอยอู่ ิริยาบถ ๓๑การกาหนดสติ โดยการเห็นจิตในจิตของตวั มนั เองได้ หรือ การกาหนดสมั ปชญั ญะ ตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จะฝึ กจิตในฐานกาย เวทนาได้ เพราะการ บรรพใหต้ ่อเน่ืองมี จิต ธรรม ใหเ้ ป็นปัจจุบนั ขณะ กาหนดสติปัฏฐาน ๔ มนั ถึงกนั หมด กิจกรรมที่ส่งเสริมการ ปัจจุบนั อารมณ์ อยา่ งจดจ่อต่อเน่ือง แมก้ ระทงั่ การกาหนดอายตนะภายนอกมา เจริญสติไดส้ มั ปชญั ญะ ภาวนามยปัญญาจะเกิดตาม ๓๒ตอ้ งฝึ ก กระทบอายตนะภายใน ตอ้ งใหร้ ู้เท่าทนั ของ มากข้ึน คือ ฝึ กหดั การ ใน ๔ อิริยาบถ ใหม้ ีสติ สมั ปชญั ญะ รูปนาม๒๘การฝึ กจิตอยกู่ บั การปฏิบตั ิสมถะ เจริญสติกิจกรรมต่าง ๆ ความเพียร เวลานงั่ ยนื เดิน นอน และวิปัสสนา รู้แจง้ อาการของจิตไดต้ าม ๔๐บางคร้ังหาใช่เป็น เคล่ือนไหวไปมา ทุกประการใน สมควร จิตสงบรู้จิตสงบ จิตหลุดพน้ รู้จิต ตามท่ีเขา้ ใจเสมอไปใน ชีวติ ประจาวนั ๓๓เห็นดว้ ย ๓๔ใช่ ๓๖ หลุดพน้ แลว้ เป็นไปตามหลกั การปฏิบตั ิ สิ่งที่กล่าว ถูกตอ้ งตามธรรม ๓๘เห็นดว้ ย ธรรม ในพระพทุ ธศาสนา ตารางที่ ๔.๑๔ รูปแบบการผูกสติอยบู่ นฐานจิตสร้างสติบนกายดว้ ยความรู้สึกตวั ชดั เจนดึงจิตอยู่ กบั ปัจจุบนั หลกั การฝึ กจิตคือการปฏิบตั ิธรรมสร้างสติและความรู้สึกตวั ให้รู้ทนั ความคิดการเคล่ือนไหว ของจิต รู้เห็นอาการของจิต ผลการศึกษาพบวา่ เห็นด้วย (ร้ อยละ ๓๕.๐) “จิตฝึ กอยปู่ ระจาอายตนะเกิด จิต รู้เท่าทนั ดี ให้มีสติตามรู้ท่ีจิต เห็นอาการจิต ปัจจุบนั อารมณ์ ความเป็ นจริงตามสภาวธรรมยกจิตข้ึนสู่ วปิ ัสสนา” เห็นด้วยปานกลางโดยอธิบายความเพ่ิมเติม(ร้ อยละ ๑๗.๕) “ดูตามธรรมชาติของจิต สติเขม้ แขง็ ฝึ กจิตให้เป็ นปัจจุบนั รู้แจง้ อาการของจิต ผกู จิตดว้ ยสติ ไวก้ บั อารมณ์กรรมฐาน รู้เท่ากนั รูปนาม” ไม่เห็น ด้วย (ร้ อยละ ๑๗.๕) “สติตอ้ งมีทุกฐาน เจริญสติสัมปชญั ญะ จิตเป็ นการแสดงออกของอารมณ์”ไม่แสดง ความคิดเห็น (ร้อยละ ๓๐.๐) ตารางที่ ๔.๑๕ รูปแบบการฝึ กรู้ทนั ความคิด วธิ ีการฝึกเจริญสติสมั ปชญั ญะ ๑)วธิ ีการแบบสมถะกรรมฐาน คือ การเพ่งจิต อบรมจิต จิตแน่วแน่ ให้ฝึ กจิตให้พิจารณาขอ้ ธรรม ๒) วธิ ีการแบบวิปัสสนากรรมฐาน คือ การอบรมจิตข้ึนสู่อบรมปัญญา ฝึ กต้งั สติดูจิต จิตต้งั มน่ั เกิดปัญญา ฝึ กฝนสร้างปัญญา สติทาใหค้ ุณภาพจิต ตระหนกั รู้ความจริง เพียรสอนจิตดว้ ยปัญญา (คาถามขอ้ ๑๕) เห็นดว้ ย อธิบายความเพ่ิมเติม ไม่เห็นดว้ ย จานวน ๙ รูป/คน จานวน ๑๓ รูป/คน จานวน ๖ รูป/คน (ร้อยละ ๒๒.๕) (ร้อยละ ๓๒.๕) (ร้อยละ ๑๕.๐ ) ๐๑ผลจากการฝึ กจิตพิจารณา ๐๕เจริญสมถะเพื่อสร้างจิตใหน้ ่ิงเป็นสมาธิเกิดพลงั แลว้ ๑๐จิต สติ ปัญญา เม่ือ ขอ้ ธรรม ไดป้ ัญญา ถา้ เจริญ ยกข้ึนสู่วปิ ัสสนา เพื่อสร้างปัญญาใหม้ ากข้ึน ท้งั สองตอ้ ง ทางานร่วมกนั สามคั คี
๑๓๐ สมถะ วิปัสสนาอยเู่ นือง ๆ ควบคู่กนั ไป คือ สมาธิไปอบรมปัญญา แลว้ ปัญญาจะไป กนั ดีแลว้ ยอ่ มนาพาให้ จะมีสติ รู้ทนั ความคิดอยา่ ง อบรมสมาธิต่อเนื่องกนั ไป ๐๗ภาวนาจนเห็นความคิดที่ จิตข้ึนสู่ความหลดุ พน้ แน่นอน ๐๔วิชาท่ีจะเกิด เกิดข้ึนดว้ ยกาลงั สมั มาสติต้งั มนั่ ๑๒ลกั ษณะ ๑)วธิ ีการแบบ อยา่ งแน่นอน ท้งั ๓ ความรู้แจง้ มี ๒ อยา่ ง คือ สมถกรรมฐาน คือ การฝึ กจิตใหส้ งบต้งั มนั่ เป็นสมาธิไม่ อยา่ งถา้ ขาดอยา่ งใด สมถะกรรมฐาน และ หวนั่ ไหวจนเขา้ สู่ฌานจิต จะไม่พิจารณาขอ้ ธรรม ๒) อยา่ งหน่ึงแลว้ ไม่ วปิ ัสสนากรรม ประโยชน์ วิธีการแบบวิปัสสนากรรมฐาน คือ การฝึ กจิตใหเ้ กิด สามารถไปถึงจุดหมาย ของสมถะคือทาใหจ้ ิตเจริญ สติปัญญาโดยเอาสติกากบั จิตใหอ้ ยกู่ บั อารมณ์ปัจจุบนั ไม่ ปลายทางได้ คือ พระ จิตเจริญแลว้ จะทาใหล้ ะ ปรุงแต่งวา่ ชอบไมช่ อบ ๑๓การฝึ กรู้ทนั ความคิดตอ้ งใช้ นิพพาน ๑๙ไมค่ วรแบ่ง ราคะได้ วิปัสสนาเมื่อทา วธิ ีการแบบวิปัสสนากรรมฐาน ตามอยา่ งที่พระพุทธเจา้ วิธีการหรือรูปแบบ แลว้ จะทาใหเ้ กิดปัญญา ตรัสไวว้ า่ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน วา่ จิตมีราคะ โทสะ การปฏิบตั ิวา่ เป็น เจริญ ปัญญาเจริญแลว้ ละ โมหะ หรือไมม่ ี ตอ้ งมีสติระลึกรู้๑๕ผลของการฝึ กสมถะ สมถะหรือวิปัสสนา อวิชชาได๒้ ๙ถกู ตอ้ งแลว้ ๓๑ คือ ฌาน ผลของการฝึ กวิปัสสนา คือ ญาณ จะฝึ กใน เพราะจะทาให้ เป็นหลกั ฐานตามคาสอน รูปแบบใดก่อน ได้ หรือฝึ กไปพร้อม ๆกนั ท้งั น้ีข้ึนอยู่ พิจารณาจิตจริง ๆ ของพระพุทธศาสนาอยแู่ ลว้ กบั อินทรียข์ องแต่ละบุคคล ๑๖สมถะและวปิ ัสสนาไม่ ไม่ได้ ใหต้ ามรู้ไปดว้ ย คือ สมถกรรมฐาน คือ การ สามารถแยกออกจากกนั เป็นช่วง ๆ ได้ ตอ้ งมีท้งั สมถะ สติเหมือนส่องคบไฟที่ ฝึ กจิตใหเ้ กิดสมาธิ ๓ ระดบั และวิปัสสนาไปดว้ ยกนั เพียงแต่วา่ ณ ขณะน้นั มีอะไร มืดตรวจดูเท่าน้นั ๒๑ คือ ๑)ขณิกสมาธิ ๒) เป็นตวั เด่นกวา่ กนั สมถะนาวิปัสสนา หรือวปิ ัสสนานา ทุกขขงั อนิจจา อปุ จารสมาธิ ๓)อปั ปนา สมถะ หรือท้งั วิปัสสนาและสมถะเท่า ๆ กนั ตามจริต อนตั ตา เกิดข้ึน ต้งั อยู่ สมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน นิสยั สถานการณ์ แต่แยกกนั เลยไม่ได้ ๑๗แลว้ แต่วา่ จะใช้ และดบั ไป เม่ือเขา้ ถึง คือ การฝึ กจิตจนเกิดปัญญา วิธีใดวิธีการแรกเป็นวิธีการที่เรียกวา่ สมถะนาวิปัสสนา แลว้ จะมีสมาธิได้ ๒๒ เห็นแจง้ ตามความเป็นจริง ประการท่ี ๒ เป็นวปิ ัสสนานาต่ืนรู้ทุก ๆ ความคิดอารมณ์ ไมเ่ ห็นดว้ ย ๒๔การฝึ ก คือ ไตรลกั ษณ์ ๓๓เห็นดว้ ย ท้งั สองวิธีมีวธิ ีท่ีใหร้ ู้ทนั ความคิด นอ้ มไปใหเ้ ห็นไตร รู้เท่าทนั ความคิดเป็น ตามที่กล่าวมาเพราะสมถะ ลกั ษณ์๑๘สมถะ ผกู จิตไวก้ บั อารมณ์เป้าหมายคือ จิตสงบ สภาวะท่ีเกิดจากการ คือดูจิตจนเป็นสมาธิ ส่วน วิปัสสนา ดูอารมณ์ที่จิตเป้าหมายคือ รู้แจง้ รู้เท่าทนั ความ กาหนดจิตในปัจจุบนั การเจริญวปิ ัสสนา คือ เมื่อ จริง ๒๓วิธีแบบสมถะกรรมฐาน ใหพ้ ิจารณาขอ้ ธรรม ไม่วา่ จะใชช้ ีวติ ในปกติ จิตต้งั มน่ั แลว้ นอ้ มจิตข้ึน เรียกวา่ อารมณ์กรรมฐาน ๔๐ อยา่ ง เช่น กสิณ ๑๐ อสุภะ หรือเขา้ คอร์สอบรมท้งั พิจารณาไปไตรลกั ษณ์ ๓๔ ๑๐ อนุสติ ๑๐ เป็นตน้ วธิ ีแบบวปิ ัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐานและ ใช่ ๓๕การฝึ กสมถภาวนา พิจารณาดว้ ยขอ้ ธรรม (อบรมจิต) ตามวปิ ัสสนาภูมิ มี วปิ ัสสนา จิตจะถูก เพื่อใหจ้ ิตเป็นสมาธิอยใู่ น ขนั ธ์ ๕ ๒๕ผวู้ จิ ยั เขา้ ใจถกู ตอ้ ง อาจมีปัญหาในการใชค้ า พฒั นาข้ึนตามลาดบั อารมณ์เดียว จนเขา้ ถึงรูป ซ่ึงเกิดกากวมระหวา่ งสมาธิกบั วิปัสสนา ๒๖๑)เห็นดว้ ย ในการกาหนดอยา่ ง ฌานท้งั ๔ ระดบั ส่วน (ยกเวน้ การฝึ กจิตพิจารณาขอ้ ธรรม) ๒)ปัญญาที่เกิดจาก ต่อเน่ืองเห็นการเกิด วปิ ัสสนาภาวนา คือ การ การปฏิบตั ิวปิ ัสสนาไมใ่ ช่การนึกคิดเอาเอง ๒๘แบบ ดบั ของจิตดว้ ยไมย่ ดึ พิจารณาขอ้ ธรรมจนเห็น สมถะจิตเป็นสมาธิ ปัญญาอาจเกิดข้ึนระดบั หน่ึง มน่ั ๒๗รู้เท่าทนั แจง้ ในธรรมน้นั จะเกิด (อภิญญา ๕) แบบวิปัสสนา จิตเป็นสมาธิ ปัญญาเกิดข้ึน ปัจจุบนั วางอดีต ปัญญาข้ึนมาเอง ๓๖เจริญ ไปสูงกวา่ น้นั สิ้นกิเลสในที่สุด๓๙ ๑)การสวดมนตร์ทา อนาคตรู้ที่ปัจจุบนั จะ
๑๓๑ ดว้ ยสติ เจริญดว้ ยสมาธิ วตั ร การเจริญเมตตาภาวนา การเทศน์ การฟังธรรม เป็น แกไ้ ดด้ ว้ ย การปฏิบตั ิ เจริญดว้ ยปัญญา ๓๘เห็นดว้ ย การฝึ กรู้เท่าทนั จิตตามแนวสมถกรรมฐาน ๒)การสอน เองเห็นเอง การเจริญอานาปานสติไดเ้ บ้ืองตน้ ๔๐แต่ละถึงระดบั น้ี ปัจจุบนั คงยากยงิ่ เพราะตอ้ งอาศยั การจดจ่อต่อเน่ือง แมแ้ ต่กลางวนั กลางคืน จากตารางที่ ๔.๑๕ รูปแบบการฝึ กรู้ทนั ความคิด วิธีการฝึ กเจริญสติสัมปชัญญะ ๑)วิธีการแบบ สมถะกรรมฐาน คือ การเพง่ จิต อบรมจิต จิตแน่วแน่ ใหฝ้ ึกจิตใหพ้ จิ ารณาขอ้ ธรรม ๒)วธิ ีการแบบวปิ ัสสนา กรรมฐาน คือ การอบรมจิตข้ึนสู่อบรมปัญญา ฝึ กต้งั สติดูจิต จิตต้งั มน่ั เกิดปัญญา ผลการศึกษาพบวา่ เห็น ด้วย (ร้อยละ ๒๒.๕) “ฝึกจิตพจิ ารณาขอ้ ธรรมไดป้ ัญญา ฝึกจิตใหเ้ ห็นปัญญาเห็นแจง้ ความเป็นจริง คือไตร ลกั ษณ์ เจริญสมถกรรมฐาน วปิ ัสสนากรรมฐานต่อเน่ือง สมถกรรมฐานดูจิตเป็ นสมาธิอยใู่ นอารมณ์เดียว” เห็นด้วยปานกลาง โดยอธิบายความเพ่ิมเติม(ร้อยละ ๓๒.๕)“สมถะกรรมฐาน สร้างจิตใหน้ ่ิงเป็นสมาธิและ เกิดพลงั สมถะผกู จิตไวก้ บั อารมณ์เป้าหมายคือจิตสงบ สมถะไดฌ้ านวปิ ัสสนาไดญ้ าณ สมถะและวปิ ัสสนา แยกกนั ไมไ่ ด้ เพยี งแต่ขณะน้นั มีอะไรเด่นกวา่ กนั ฝึกรู้เท่าทนั ความคิด สมาธิอบรมปัญญา”ไม่เห็นด้วย(ร้ อย ละ ๑๕.๐) “เขา้ คอร์สอบรมท้งั วปิ ัสสนาและสมถกรรมฐาน” และไม่แสดงความคิดเห็น (ร้อยละ ๓๐.๐) ด้านธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน : ฐานธรรม ตารางที่ ๔.๑๖ รูปแบบความเห็นแจง้ ทางปัญญา มรรค ๘ อริยสัจ ๔ คือทางดบั ทุกข์ สัมมาทิฐิเป็นประธาน ไดป้ ัญญารู้ตามความเป็นจริง วปิ ัสสนาญาณ คือ ความเห็นแจง้ ในรูปนาม เคร่ืองพิจารณาแจม่ แจง้ รู้เขา้ ใจใน เหตุปัจจยั ท้งั ปวง เขา้ ใจสภาวะธรรมตามความเป็ นจริง พิจารณาไตรลกั ษณ์ สรุปว่า ฐานธรรมควรให้ สัมมาทิฐิเป็นตวั นาทาง (คาถามขอ้ ๑๖) เห็นดว้ ย อธิบายความเพิ่มเติม ไม่เห็นดว้ ย จานวน ๑๔ รูป/คน จานวน ๘ รูป/คน จานวน ๖ รูป/คน (ร้อยละ ๓๕.๐) (ร้อยละ ๒๐.๐) (ร้อยละ ๑๕.๐) ๐๕สมั มาทิฏฐิ เห็นชอบดว้ ยปัญญา รู้แจง้ ตาม ๐๓ฐานของธรรมคือปัญญาพิจารณา ๐๑ศาสนา ศรัทธาสาคญั อริยสจั เห็นดงั น้ีแลว้ สจั จธรรมทุกอยา่ งจะไป เห็นความเกิดความดบั ของธรรม จริง ๆ ตอ้ งมีศรัทธาก่อน ตามกระบวนการเขา้ ใจสภาวะตามเป็นจริงได้ ท้งั หลายตามความเป็นจริง ไมย่ ึด ถึงจะไปได้ ยึดแก่น ดีที่สุด ๑๒สมั มาทิฏฐิจะเป็นบ่อเกิดแห่งการ มนั่ ถือมน่ั วา่ เป็นตวั อิสระหลดุ พน้ ศาสนาถูกตอ้ ง ทิฐิท่ี กระทาที่เป็นฝ่ ายกศุ ลท้งั หลายท้งั ปวง ๑๓เห็น จากกิเลสตรงตามความเป็นจริง ถูกตอ้ ง พอมีหนทาง ดว้ ยวา่ สมั มาทิฏิตอ้ งเป็นตวั นาทาง คือ เห็น ปัญญารู้เห็นการเกิดดบั ของธรรม สมั ผสั ได้๑๕ถา้ แง่ทฤษฎี สภาวธรรมท้งั หลาย ตามความเป็นจริง เห็น ท้งั หลาย ๑๐คนท่ีถึงจุดหมาย ถกู ตอ้ งตราบใดที่พทุ ธ ทุกขสจั จะเห็นเหตุเกิดทุกข์ เห็นความดบั ทุกข์ ปลายทางได้ สมั มาทิฏฐิ เป็น บริษทั ๔ เดินตามมรรคมี เห็นหนทางที่นาไปสู่ความดบั ทุกข์ ๑๔ทุกฐาน พ้ืนฐานอยา่ งสาคญั โดยเร่ิมตน้ ถา้ องค์ ๘ โลกน้ีจกั ไม่วา่ ง ตอ้ งมีสัมมาทิฐิเป็นตวั นาทาง ๑๘เห็นดว้ ย๑๙ ขาดธรรมขอ้ น้ีแลว้ ไปไหนไม่ได้ มี จากพระอรหนั ต์ ในส่วน การพิจารณาในฐานธรรมมีตวั อยา่ งในคมั ภีร์ แต่จบกบั จม เรียกวา่ มิจฉาทิฏฐิ ๑๖ ของการปฏิบตั ิพระสูตร
๑๓๒ เช่น ขนั ธ์ ๕ อายตนะ ๖ นิวรณ์ ๕ โพชฌงค์ ๗ ฐานธรรมนุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ สติปัฏฐาน เจริญสติ อริยสจั ๔ อนั เป็นธรรมที่มีอยใู่ นมนุษย์ (การพิจารณาธรรม) หมวดนิวรณ์ พฒั นาปัญญาตอ้ งเป็นไป ท้งั หลาย เช่น นิวรณ์ ๕ สติรู้ชดั วา่ กาลงั คิด หมวดขนั ธ์ หมวดอายตนะ หมวด ในฐาน กาย เวทนา จิต กามฉนั ทะใหร้ ู้วา่ กามฉนั ทะมีอยู่ หรือไมม่ ีอยู่ โพชฌงค์ หมวดสจั จะ(อริยสจั ๔ ธรรม ๓๓ไม่จาเป็นการ หรือท่ียงั จะเกิดข้ึนรู้ที่เกิดข้ึนแลว้ รู้วา่ ละได้ ทุกข์ สมทุ ยั นิโรธ มรรคซ่ึงมี พิจารณาเห็นธรรมใน แลว้ เท่าน้นั ไมม่ ีการปรุงแต่งปัญญาใด ๆ อริยมรรคมีองค์ ๘) ไมใ่ ช่ฐาน ธรรม คือ การดูธรรมรมณ์ มากกวา่ น้นั ไปอีก สติปัฏฐาน คือ ฐานที่ต้งั ธรรม แต่ทุกฐานตอ้ งมีสมั มาทิฏฐิ ที่มากระทบจิต ท้งั ฝ่ ายดี ของสติมี ๔ คือ ฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต เป็นตวั นา ๑๗ใหส้ มั มาทิฏฐิถูกตอ้ ง และชว่ั แต่ถา้ จะพิจารณา ฐานธรรม ที่เป็นทางเสน้ หน่ึงท่ีทาใหเ้ กิด ถา้ ไมม่ ีวปิ ัสสนา ไม่กา้ วหนา้ ไม่ ลงในไตรลกั ษณ์ ตอ้ งต้งั ปัญญาที่วา่ น้นั ได้ คือ เห็นไตรลกั ษณ์ วา่ สิ่ง อาจพฒั นาจิต ๒๐การเรียน สติใหส้ มั มาทิฏฐิเป็น น้นั เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไมม่ ีตวั ตน ๒๔เห็นดว้ ย พระพทุ ธศาสนาใหถ้ ูกตอ้ ง ตอ้ ง ตวั นาทาง ๓๘ไม่จาเป็น ฐานธรรมมีสมั มาทิฏฐิเป็นตวั นาเห็นชอบเห็น เป็นไปตามหลกั ธรรม ๓ ประการ เสมอไป บางคร้ัง ถกู ตอ้ ง ความเป็นจริงในอริยสจั ๔ เห็นทุกข์ คือ ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ สมั มาทิฐิ มิจฉาทิฏฐิ เป็นตวั นาทาง เหตุใหเ้ กิดทุกข์ ความดบั ทุกข์ ทางแห่งความ มาจากภาคปริยตั ิซ่ึงตอ้ งเรียนเขา้ ใจ ไปสู่มรรค ๘ เสมอไป ๓๙ ดบั ทุกข์ มรรค คือ องค์ ๘ ตามลาดบั เม่ือ ก่อน จึงนาไปสู่ภาคปฏิบตั ิ เม่ือ ส่งเสริมใหม้ ีการปฏิบตั ิ ปรากฏตามมรรคมีองค์ ๘ อยา่ งต้งั ใจ และ ศึกษาไปตามลาดบั ถูกตอ้ งแลว้ วิปัสสนากรรมฐานตาม ต่อเน่ือง มรรค ๔ ผล ๔ ยอ่ มเกิดข้ึนอยา่ ง ปฏิเวธ คือ ผลสมั ฤทธ์ิจึงจะเกิด ๒๑ แนวทางสติปัฏฐาน มีการ แน่นอน ๒๗ควบคู่กนั ไปแต่เบ้ืองตน้ ตอ้ งมี โดยอาศยั ธรรมโดยการเจริญใหเ้ ขา้ กาหนด “พองหนอ ยบุ ศรัทธา ๒๘การมีสมั มาทิฐิเป็นตวั นาการปฏิบตั ิ จิต หรืออนิจจาได้ และสมั มาทิฐิ หนอ” อนั เป็นกรรมฐาน เป็นการปฏิบตั ิไม่ผดิ ทาง ๒๙ตวั สมั มาทิฐิ คือใหเ้ ห็นแต่ความจริงใหไ้ ด้ ๒๓ หลกั ภายใตก้ ารควบคุม ข้ึนตน้ ทุกคร้ังไป ๓๐ถา้ ขาดสมั มาทิฐิ ไมม่ ี สมั มาทิฐิ สงเคราะหล์ งไตรสิกขา วิปัสสนาจารยจ์ ะทาให้ อะไรเลย ๓๔ใช่ ฐานธรรมเป็นการพิจารณาที่รู้ ไดแ้ ก่ ปัญญา๓๑การจะเห็นแจง้ เห็นแจง้ ทางปัญญา ๔๐ สภาวธรรมตามความเป็นจริงของส่ิงท้งั ปวงท่ี ปัญญาไดน้ ้นั ตอ้ งเดินทางสาย ไมใ่ ช่ธรรมแต่ทางเดียว รู้แลว้ ทาใหจ้ ิตหลดุ พน้ จากทุกขไ์ ด้ จึงตอ้ งมี กลาง คือ อริยมรรค ๘ ประการ มี การกาหนดในแต่ละคร้ัง สมั มาทิฏฐิ เป็นตวั นาไปสู่การรู้แจง้ ทุกข์ ๓๕ สมั มาทิฐิเป็นเบ้ืองตน้ ต่อจากน้นั มรรค ๘ อริยสจั ๔ ยอ่ ม ในมหาสติปัฏฐาน ๔ ตอ้ งปฏิบตั ิดว้ ย จะเห็นชอบความจริง ๔ ประการ ปรากฏทุกคร้ังท่ีกาหนด อริยมรรคมีองค์ ๘ ทุกขอ้ ผลท่ีมุ่งหมายจึง คือ อริยสจั สาเร็จ ๓๖ถูกตอ้ งตามธรรม จากตารางที่ ๔.๑๖ สรุปรูปแบบความเห็นแจ้งทางปัญญา มรรค ๘ อริยสัจ ๔ สัมมาทิฐิเป็ น ประธานไดป้ ัญญารู้ตามความเป็นจริง พจิ ารณาไตรลกั ษณ์ สรุปวา่ ฐานธรรมควรใหส้ ัมมาทิฐิเป็นตวั นาทาง ผลการศึกษาพบวา่ เห็นด้วย (ร้ อยละ ๓๕.๐) “การพิจารณาฐานธรรมมีอยูใ่ นตาราและคมั ภีร์สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบดว้ ยปัญญารู้แจง้ อริยสัจ เป็นตวั นาใหเ้ ห็นสภาวธรรม สมั มาทิฏฐิตวั นาการปฏิบตั ิ ตวั นาไปสู่การรู้ แจง้ ทุกข์ ตวั นาเห็นชอบ ถูกตอ้ ง ความเป็ นจริงในอริยสัจ ๔” เห็นด้วยปานกลางโดยอธิบายความเพิ่มเติม (ร้ อยละ ๒๐.๐) “ ฐานธรรมคือ ปัญญาพิจารณา เห็นเกิดดบั เป็ นฐานธรรมโดยสัมมาทิฏฐิเป็ นตวั นา การ
๑๓๓ เรียนพุทธศาสนาเป็ นไปตามหลกั ธรรม ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ สัมมาทิฏฐิตอ้ งมีวิปัสสนา ตอ้ งเห็นจริงให้ ได”้ ไม่เห็นด้วย (ร้ อยละ ๑๕.๐) “ศรัทธาสาคญั ต้งั สติให้สัมมาทิฏฐิตวั นา นาไปสู่มรรค ๘ได้ กรรมฐาน หลกั ภายใตก้ ารควบคุมวปิ ัสสนาจารย”์ และไม่แสดงความคิดเห็น (ร้อยละ ๓๐.๐) ตารางที่ ๔.๑๗ รูปแบบสมาธิสร้างเกิดพลงั อานาจเหนือ ความรู้สึกตวั กูของกู วา่ งจากตวั ตนใชก้ ารเรียนรู้ โดยวิธีการปฏิบตั ิเขา้ ถึงความเป็ นจริง จุดเร่ิมตน้ การภาวนาอยู่ที่ใจนาจิตไปสู่การปฏิบตั ิ สร้างความสงบ ภายในเห็นอยา่ งลึกซ้ึง สรุปวา่ ปัญญาของฐานธรรมของเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ คือ ปัญญาการเขา้ ถึงความ จริงไตรลกั ษณ์ (คาถามขอ้ ๑๗) เห็นดว้ ย อธิบายความเพ่ิมเติม ไม่เห็นดว้ ย จานวน ๙ รูป/คน จานวน ๑๑ รูป/คน จานวน ๘ รูป/คน (ร้อยละ ๒๒.๕) (ร้อยละ ๒๗.๕) (ร้อยละ ๒๐.๐) ๑๒เป็นปัญญาท่ีเรียกวา่ ภาวนามยปัญญา ๐๑จุดเร่ิมตน้ ของการภาวนา คือ การ ๐๓ไม่เห็นดว้ ย เพราะหลกั การธรร เกิดจากรู้ย่งิ เห็นจริงท่ีตนเองปฏิบตั ิน้นั เริ่มปฏิบตั ิแลว้ ถึงพิจารณาทุกอยา่ ง มานุปัสสนาและสติปัฏฐานขอ้ ๑๓เห็นดว้ ยวา่ ปัญญาฐานธรรมเร่ือง ใหอ้ ยใู่ นกฎไตรลกั ษณ์เป็น๐๕เมื่อ อ่ืน ๆ คือ มีความเพียร มี มหาสติปัฏฐาน ๔ คือ การเขา้ ถึงความ ไดส้ มาธิแลว้ พลงั จะไปหนุนให้ สติสมั ปชญั ญะและสามารถกาจดั จริงคือไตรลกั ษณ์ เสริมวา่ ฐานกาย พฒั นาปัญญาสมาธิกบั ปัญญา อภิชฌา(ความพอใจ-ยินดี และ ฐานเวทนา ฐานจิต เป็นปัญญาชนิด พฒั นาควบคู่กนั ไป จะรู้แจง้ เห็น โทมนสั -ความไมพ่ อใจ ในโลก เดียวกนั ๑๗ถกู ตอ้ งแลว้ ปัญญาเขา้ ถึง จริงในไตรลกั ษณ์ ทาลายตวั กขู อง ได)้ ๑๕พรหมจรรยเ์ พ่ือทาท่ีสุด ไตรลกั ษณ์ เพื่อพฒั นาจิตต่อไปสู่ความ กใู หห้ มดไป ๐๗เห็นความไมเ่ ที่ยง แห่งทุกขใ์ หส้ ิ้นไป การที่สร้าง เบื่อหน่ายคลายความยึดติด คลาย เห็นอนิจจาดว้ ยปัญญาเขา้ ถึงไตร สมาธิหรือฝึ กสมาธิทาใหเ้ กิดพลงั กาหนดั ละความถือตวั ตนกา้ วพน้ ไป ลกั ษณ์ ๑๐คาวา่ ไตรลกั ษณ์ คือ อานาจเหนือความรู้สึกตวั กขู องกู ได้ ๑๘เห็นดว้ ย ๒๐ปัญญาของฐาน กาย ความเป็นอนิจจงั ความเป็นทุกขงั วา่ งไมน่ ่าจะใช่ย่งิ สร้างอตั ตาตวั กู เวทนา จิต ธรรม คือปัญญาการเห็น ความเป็นอนตั ตา ความไม่ใช่ตวั ของกชู ดั ยดึ มน่ั คือ มน่ั หนกั พระไตรลกั ษณ์ จริงอยทู่ ่ีแก่นพระ ตวั เขานน่ั เอง ธาตุ ๔ ขนั ธ์ ๕ กวา่ เดิมเสียอีก มีแต่วปิ ัสสนาหรือ ธรรม คือ การเห็นอนตั ตา แต่เม่ือ รวมตวั เรียกวา่ มนุษย์ และสตั วท์ ้งั ญาณปัญญาเท่าน้นั ที่ทาลายตวั กู ปฏิบตั ิตามอยา่ งถูกตอ้ งไดเ้ ห็นอนิจจงั ปวง เมื่อถึงเวลาแตกสลายต่างคน ของกู ๒๑เขา้ โดยการอาศยั ทุกข์ ไดช้ ื่อวา่ เห็นไตรลกั ษณ์แลว้ ผปู้ ฏิบตั ิมี ต่างไป ๑๖ความเป็นจริงอยกู่ บั แต่ คือ ความดบั ทุกข์ อนิจจาความไม่ ปัญญามากเห็นอนตั ตา ไดช้ ่ือวา่ เห็น ไม่ระเอียดออ่ นพอท่ีจะเห็นสมาธิ เท่ียง อนตั ตาคือความเห็นจริง ๒๓ ไตรลกั ษณ์เช่นกนั ๒๔ปัญญาของฐาน ไม่ไดส้ ร้างพลงั อานาจเหนือความ ปัญญาท่ีกาหนดเห็นแจง้ ชดั ในรูป ธรรมเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็น รู้สึกตวั กขู องกู แต่สมาธินาใหเ้ กิด นาม หรือ ขนั ธ์ ๕ ๒๕สมาธิเกิด ปัญญาที่รู้รอบตกผลึกจากการกาหนด สติ สติทาใหเ้ กิดปัญญา เห็นความ พลงั เป็นสมถะ รู้เท่าทนั เป็น กาย เวทนา จิต ธรรม เห็นตามความ เป็นจริงท่ีมองขา้ มและคลายความ วปิ ัสสนา ปัญหาคือการใชค้ า เป็นจริง ในการเกิดดบั ของรูปนาม ทุก ยึดมนั่ ถือมน่ั ในทุกฐานตอนทา้ ยจะ ขอ้ ความ ๓๘สมาธิไมไ่ ดส้ ร้างพลงั ขณะมีความไมเ่ ที่ยงทนไดย้ าก ไมอ่ ยู่ กลา่ ววา่ การมีอยขู่ อง กาย เวทนา อานาจ เหนือความรู้สึกแต่เป็น ในอานาจ ปัญญาที่ตอ้ งพฒั นาไดเ้ ตม็ ท่ี จิต ธรรม เพ่ืออาศยั เจริญญาณ คือ พลงั อานาจใหม้ ีความสุข ๓๙
๑๓๔ แลว้ จะละตวั กขู องกไู ด้ ๓๑ปัญญาของ ปัญญา เจริญสติ ละความยดึ มน่ั ถือ วิปัสสนาญาณที่ ๙ นามรูป สติปัฏฐาน ๔ คือ ปัญญาการเขา้ ถึง มน่ั อะไรๆในโลก๒๗รู้สึกตวั แลว้ ไม่ ปริจเฉทญาณ ใหผ้ ปู้ ฏิบตั ิไดร้ ู้ว่า ความจริง คือ ไตรลกั ษณ์ ไม่ยึดมนั่ ถือ มีตวั กู หายไปเอง๒๘ปัญญาการ อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม รูป มน่ั ตวั ตน บุคคล เขา คือ ไม่มีมมงั การ เขา้ ถึงไตรลกั ษณ์ยงั ไม่พอ ตอ้ ง นามเกิดจากปัจจยั อะไร เป็นเหตุ อหงั การ ต่อไป ๓๓เห็นดว้ ยตามท่ีกลา่ ว เขา้ ถึงโสดาปัตติมรรคจิต จึงจะลด ปัจจยั จะทาใหผ้ เู้ ขา้ อบรมเขา้ ใจ มา ๓๔ใช่ ปัญญาที่จะเขา้ ถึงความจริง ตวั กขู องกไู ด้ (สกั กายทิฐิ)ละตวั น้ี ถกู ตอ้ ง อยเู่ หนือความเป็นตวั ตน ตามไตรลกั ษณ์จึงตอ้ งใชธ้ รรมานุปัสส พระโสดาบนั ได้ ๒๙ไตรลกั ษณ์คือ ๔๐คาวา่ ความรู้สึกตวั กขู องกู มิได้ นาสติปัฏฐาน เพราะเป็นวปิ ัสสนา การเห็นอนตั ตา ๓๐ขอใหฝ้ ึ ก ทา เกิดจากสมาธิ เกิดจากการเพิก กรรมฐานโดยแท้ โดยมีกายเวทนาจิต บ่อย ๆ จะเขา้ ใจเอง ๓๕ผใู้ ดเห็นส่ิง ถอนในความรู้สึกของบุคคลท่ี ธรรมเป็นองคป์ ระกอบ ท้งั หลายมีความไม่เท่ียงเป็นทุกข์ ปฏิบตั ิ เกิดตวั ปัญญาของตนเอง ไม่ใชต้ วั ตนซื่อวา่ ผนู้ ้นั เห็นธรรม โดยการละจากความยดึ มน่ั ถือมน่ั ในธรรม ๓๖รู้เห็นตามความเป็นจริง อยจู่ บพรหมจรรย์ จากตารางที่ ๔.๑๗ รูปแบบสมาธิสร้างเกิดพลงั อานาจเหนือความรู้สึกตวั กูของกู ปัญญาของฐาน ธรรมของเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ คือ ปัญญาการเขา้ ถึงความจริงไตรลกั ษณ์ ผลการศึกษาพบว่า เห็นด้วย (ร้ อยละ ๒๒.๕) “ปัญญาฐานธรรมคือการเขา้ ถึงความเป็ นจริง ไตรลกั ษณ์ ภาวนามยปัญญาเกิดจากรู้เห็น จริง ดว้ ยตนเองปฏิบตั ิ ปัญญารอบรู้จากการตกผลึกการกาหนดตามความเป็ นจริง เป็ นตามความเป็ นจริง การเกิดดบั รูปนาม” เห็นด้วยปานกลางโดยอธิบายความเพ่ิมเติม(ร้ อยละ ๑๗.๕)“ปัญญาเขา้ ถึงไตรลกั ษณ์ ไดส้ มาธิพลงั หนุนพฒั นาปัญญา เห็นไตรลกั ษณ์ให้ฝึ กฝนเขา้ ใจเอง” ไม่เห็นด้วย(ร้ อยละ ๒๐.๐) “ปัญญา กาหนดเห็นรูปนาม ขนั ธ์ ๕ เขา้ ถึงปัญญาโดยอาศยั ทุกข์ สมาธิทาให้เกิดพลงั อานาจ ยงั มีขอ้ อ่ืนอีกตาม หลกั การ” และไม่แสดงความคิดเห็น (ร้อยละ ๓๐.๐) ตารางที่ ๔.๑๘ รูปแบบตวั วดั ผล คือ ตวั รู้ ตวั ละ ตวั ปัญญา มีสติตามทนั ทุกความคิดของจิตที่รู้เท่าทนั ความ เป็นจริงอยกู่ บั ปัจจุบนั ปัญญาเกิดเหนือจิต เหนือกาย เหนือประสาทการรับรู้ เห็นดว้ ยตนเอง(คาถามขอ้ ๑๘) เห็นดว้ ย อธิบายความเพ่ิมเติม ไมเ่ ห็นดว้ ย จานวน ๙ รูป/คน จานวน ๑๑ รูป/คน จานวน ๘ รูป/คน (ร้อยละ ๒๒.๕) (ร้อยละ ๑๗.๕) (ร้อยละ ๒๐.๐) ๑๒ผลของการปฏิบตั ิเรียกวา่ ประธานคือความ ๐๕เม่ือตวั รู้เกิดโดยสมั มาทิฏิแลว้ จะเกิด ๐๑นามธรรมจะ เพียร ๔ อยา่ งคือ สงั วรประธาน ประหาร การละในส่ิงที่ควรละ เกิดการกระทาใน หาตวั ช้ีวดั จริงๆ ประธาน ภาวนาประธาน อนุรักขณาประธาน ส่ิงท่ีควรกระทา โดยมีปัญญาเป็นตวั แทบไม่มี ตวั ผู้ ๑๓ตวั วดั ผลคือ ตวั รู้ ตวั ละ ตวั ปัญญา ความเท่า ควบคุมแลว้ ความเป็นปัจจตั ตงั จะเกิดข้ึน ปฏิบตั ิรู้เองเห็น ทนั ความเป็นจริง รู้ชดั ไดด้ ว้ ยตนเอง เห็นไดด้ ว้ ย ๐๖ปัญญารู้เท่าทนั จิตและทุกความคิดของ เอง เป็นปัจจตั ตงั ตนเอง สนั ทิฐิโก ปัจจตั ตงั เวทิตพั โพ วญิ ญูหิติ จิตตามความหมายเป็นจริง ๐๗จิตผอ่ งใส ดง่ั คาสอน๒๗ตอ้ ง ๑๖ตวั รู้คือสติ ตวั ละคือปัญญา สติปัญญาเกิดท่ี โดยธรรมชาติ ๑๐ปัญญาเกิดเหนือจิตเหนือ รู้ไดด้ ว้ ยตนเอง กาย เวทนา จิต ธรรม ทุกขณะ จนละความยดึ กาย เหนือการรับรู้ทุกอยา่ ง รู้อดีต รู้ ใครหยบิ จบั ให้
๑๓๕ มน่ั ถือมน่ั (ทุกขย์ งั มีอยู่ แต่ไม่ทุกข์ เช่นมีความ ปัจจุบนั รู้อนาคต รู้แลว้ ไมย่ ึด รู้แลว้ ไม่ถือ ไมไ่ ด้ นอกจาก เจบ็ ป่ วยเป็นทุกข์ แต่ไม่ทุกขใ์ จ) ตวั วดั ผล น่าจะ รู้แลว้ ปล่อยวางนน่ั แล คือ พระนิพพาน ๑๕ การลงมือปฏิบตั ิ เป็นสภาวะความวา่ ง หมายถึง การวางความยดึ ใชห้ ลกั สังโยชน์ ๑๐ เป็นตวั วดั ผลของการ เองเท่าน้นั ๔๐ มนั่ ถือมนั่ ไดช้ วั่ คราว ชว่ั ขณะ จนถึงละวางความ ปฏิบตั ิ เรียกอีกอยา่ งวา่ แวน่ ส่องใจ หรือ การที่สามารถจะ ยึดมนั่ ถือมนั่ ไดอ้ ยา่ งถาวร ๑๘ปัญญาระดบั สูงจะ ธรรมส่องใจ ๒๐เมื่อมีปัญญาเห็นดว้ ย ไปวดั ผล บุคคล ทาใหจ้ ิตใตส้ านึกที่สะสมกิเลสถกู ควบคุม กิเลส ภาวนามยปัญญา จะเป็นเช่นน้นั เหมือน ผใู้ ดไดว้ า่ เป็น ต่าง ๆ จะถกู ชาระจนหมดไปจากจิตใตส้ านึก บุคคล ๒ คน คนหน่ึงเคยเดินทางไปวดั เช่นน้ี เพราะมี ดว้ ยจิตที่เป็นกลาง ๑๘เห็นดว้ ย ๒๓สู่ความเป็น พระแกว้ แต่อีกคนหน่ึง่ไม่เคยไป เขา จะ เพียงตวั บุคคล อริยมรรค ผล มีโสดาบนั สกทาคามี อนาคามี เขา้ ใจในทศั นะของเขา ๒๑ถึงโดยอาศยั ลม น้นั จะสามารถ และพระอรหนั ต์ ๒๔ตวั วดั ผล คือ ภาวนา ๔ ๑) หายใจเขา้ ออก โดยเกิดจากสภาวธรรมที่ วดั ผล ตวั เอาเอง ต้งั ตนไวช้ อบเสมอ ๒)สารวมกายวาจาอยทู่ ุก เกิดส่ิงปรุงแต่งได้ ๒๘ปัญญาการเขา้ ถึงไตร ได้ หรือ ผเู้ ขา้ ถึง เม่ือ ๓)จิตรู้ตื่นเบิกบานทุกขณะจิต ๔)ปัญญารู้ ลกั ษณ์ยงั ไม่พอ ตอ้ งเขา้ ถึงโสดาปัตติ ธรรม คือ ความ รอบแห่ง มรรค ผล นิพพาน คือ ความดบั ทุกข์ มรรคจิต จึงจะลดตวั กขู องกไู ด้ จริงเท่าน้นั จึง ไมม่ ีเหลือ ๒๙จะบริสุทธ์ิตอ้ งอาศยั ปัญญา ๓๓ (สกั กายทิฐิ) ละตวั น้ี ที่พระโสดาบนั ได้ ๓๐ สามารถวดั ผลซ่ึง ถูกตอ้ งเห็นดว้ ยเพราะตวั รู้ ตวั ละ ตวั ปัญญา คือ ใหพ้ ยายามฝึ กเรียนรู้ ทาอยา่ งไร ได้ แต่ กนั ได้ แต่พดู สติ ๓๔ใช่ ตวั รู้ คือ รู้ทุกข์ ตวั ละ เมื่อรู้ถึงทุกขถ์ ึง อยา่ ใหห้ ลงทาง ตอ้ งมีครูอาจารยท์ ่ีเขา้ ใจ ไมไ่ ดบ้ อกไมไ่ ด้ โทษแลว้ น้ีเป็นตวั ปัญญา ท่ีเรียกวา่ ญาณทสั สน วิปัสสนาจริง ๆ ๓๑ตวั วดั ผลคือ วิปัสสนา วสิ ุทธิ เป็นเหตุใหถ้ ึงมรรค ผล นิพพาน๓๗ ญาณ เช่น โสฬสญาณ ๓๕ตวั วดั ผลคือ จะ ปัญญาเกิดเหนือจิตไมน่ ่าจะใช่ เช่น จิตหลดุ พน้ เกิดญาณหยง่ั รู้ดว้ ยตวั เองวา่ ละไดแ้ ค่ไหน หรือจิตเป็นอริยะ สูงสุดแลว้ ปัญญาตอ้ งรู้ ๓ เกิดปัญญามากแค่ไหน ๓๖ปัจจตั ตงั รู้ได้ ระดบั ๓๘เห็นดว้ ย ๓๙วิปัสสนาญาณ ข้นั ที่ ๔ ดว้ ยตนจริง ๆ อทุ ยพั พยญาณ เป็นการเจริญในวปิ ัสสนาญาณ ข้นั ตอนต่าง ๆ ถือวา่ เป็นดว้ ยเหมือนกนั จากตารางท่ี ๔.๑๘ รูปแบบตวั วดั ผล คือ ตวั รู้ ตวั ละ ตวั ปัญญา ปัญญาเกิดเหนือจิต เหนือกาย เหนือประสาทการรับรู้ ผลการศึกษาพบวา่ เห็นด้วย (ร้ อยละ ๒๒.๕) “ตวั วดั ผลคือ ตวั รู้ ตวั ละ ตวั ปัญญา เห็นไดด้ ว้ ยตนเองเป็นปัจจตั ตงั จิตใตส้ านึกถูกชาระดว้ ยกิเลสตา่ ง ๆ ความบริสุทธ์ิอาศยั ปัญญา ความวา่ งคือ ตวั วดั ผล” เห็นด้วยปานกลางโดยอธิบายความเพิ่มเติม (ร้ อยละ ๑๗.๕) “ตวั วดั ผลคือ วปิ ัสสนาญาณ ญาณ หยงั่ รู้ไดด้ ว้ ยตนเอง ตวั ปัญญารู้เป็ นปัจจงั ตงั หลกั สังโยชน์ ๑๐ คือ ตวั วดั ผล” ไม่เห็นด้วย (ร้ อยละ ๒๐.๐) “ตวั รู้ไดด้ ว้ ยตนเอง ลงมือปฏิบตั ิเอง เขา้ ถึงธรรมคือเขา้ ถึงความเป็ นจริง นามธรรมวดั ผลยาก กล่าวถึงและ บอกไมไ่ ด”้ และไม่แสดงความคิดเห็น (ร้อยละ ๓๐.๐)
๑๓๖ ตารางท่ี ๔.๑๙ สรุปผลการศึกษาจากการสารวจความคิดเห็นท่ีมีต่อเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ระดบั ความคิดเห็น ขอ้ ความประเด็นศึกษา เห็นดว้ ย เพมิ่ เติม ไมเ่ ห็น ไมม่ ี ดว้ ย ความ คิดเห็น คาถามทว่ั ไป : ความสาคัญ ๑) รูปแบบพระสูตรเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ มีความสาคญั ต่อ ๒๕ ๑๑ ๒ ๒ การฝึกปฏิบตั ิสมาธิภาวนา (n = ๓๘) (๖๒.๕) (๒๗.๕) (๕.๐) (๕.๐) ๒) รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็น ๑๔ ๑๐ ๑๓ ๓ ปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญา ควรฝึกเขา้ ถึงดว้ ยวธิ ีการ (๓๕.๐) (๒๕.๐) (๓๒.๐) (๗.๕) ปฏิบตั ิมากกวา่ แนวคิดทฤษฎี หรือปริยตั ิ ตารา คมั ภีร์ พระไตรปิ ฎก (n =๓๗) ๓) รูปแบบนิยามความหมายปัญญา ท่ีเกิดจากระดบั ปัญญา ๑๗ ๑๔ ๖ ๓ ภาวนามยปัญญา มีวธิ ีการเขา้ ถึงอยา่ งไร มีลกั ษณะของ (๔๒.๕) (๓๕.๐) (๑๕.๐) (๗.๕) ปัญญา สาหรับเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นอยา่ งไร ( n = ๓๗) ๔) รูปแบบ ฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต ฐานธรรม วธิ ีการ ๑๔ ๑๗ ๗ ๒ เขา้ ถึงปัญญาอยา่ งไรฐานใดมีความสาคญั กวา่ กนั ( n = ๓๘) (๓๕.๐) (๔๒.๕) (๑๗.๘) (๕.๐) ด้านกายานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน : ฐานกาย ๕) รูปแบบกายเป็นที่ต้งั ของความรู้สึก เป็นที่ปฏิบตั ิธรรม ๑๔ ๑๑ ๗ ๘ เป็นท่ีประชุมแห่งความจริง เพง่ กายตามรู้กาย วธิ ีการนาลม (๓๕.๐) (๒๗.๕) (๑๗.๕) (๒๐.๐) หายใจเอาสติมาต้งั ไว้ ทาความรู้ตวั ฝึกอิริยาบถใหญ่ ยอ่ ย และเคลื่อนไหว เป็ นอุปกรณ์กรรมฐานสร้างความรู้สึกตวั สรุปวา่ กายเป็นฐานหยาบดีที่สุด สาหรับปฏิบตั ิการเขา้ ถึง ปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ( n = ๓๒) ๖) รูปแบบหลกั การเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ สาระสาคญั ๘ ๑๒ ๑๕ ๕ ปฏิบตั ิเนน้ ภาวนาบริกรรม “พุทโธ” ถา้ ไม่มีคาบริกรรม (๒๐.๐) (๓๐.๐) (๓๗.๕) (๑๒.๕ ไมไ่ ด้ เม่ือปฏิบตั ิจิตสงบต้งั มน่ั แลว้ ยกข้ึนพจิ ารณาองคธ์ รรม ) คาบริกรรมจะหายไปเอง ดงั น้นั ตอ้ งฝึกโดยอาศยั คา บริกรรม “พุทโธ” เป็ นเบ้ืองตน้ ( n = ๓๕)
๑๓๗ ตารางที่ ๔.๑๙ (ต่อ) เห็นดว้ ย ระดบั ความคิดเห็น ไม่มีความ ขอ้ ความประเด็นศึกษา เพม่ิ เติม ไม่เห็น คิดเห็น ดว้ ย ๗) รูปแบบเจริญอานาปานสติกาหนดลมหายใจ ทาใหเ้ กิด ๑๙ ๘ ๓ ๑๐ สติเกิดปัญญา จิตปี ติปราโมทยท์ ุกลมหายใจเขา้ ออก เป็นการ (๔๗.๕) (๒๐.๐) (๗.๕) (๒๕.๐) ฝึกจิตตามกายใหส้ มาธิเป็นฐานกาหนดจิต พิจารณากาย อิริยาบถยนื เดินนงั่ นอนให้จิตใส่ใจในอิริยาบถ (n = ๓๐ ) ๑๒ ๑๒ ๖ ๑๐ ๘) รูปแบบวธิ ีการปฏิบตั ิลกั ษณะ ๑)วธิ ีการเจริญสมาธิแบบ (๓๐.๐) (๓๐.๐) (๑๕.๐) (๒๕.๐) ธรรมชาติ หรือ ๒)ตามแบบแผนเทคนิควธิ ีเพ่ือเป็ นอุบายให้ เกิดสมาธิ เดินจงกรม กาหนดลมหายใจ ใชค้ าภาวนา ๑๒ ๑๓ ๗ ๘ กาหนดลมหายใจพร้อม “พุทโธ”ใชป้ ัญญาปฏิบตั ิธรรม จิตมี (๓๐.๐) (๓๒.๕) (๑๗.๕) (๒๐.๐) สมาธิ คือ เป็นผดู้ ู ผรู้ ู้ ผรู้ ู้สึกตวั จิตเป็ นกาลงั พฒั นาอริยสจั หยง่ั รู้ในฌาน เห็นไตรลกั ษณ์ ( n = ๓๐) ๑๒ ๕ ๑๔ ๙ (๓๐.๐) (๑๒.๕) (๓๕.๐) (๒๒.๕) ด้านเวทนานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน : ฐานเวทนา ๙) รูปแบบเนน้ อารมณ์ปัจจุบนั ทาความรู้สึกตวั ผสั สะ กระทบอายตนะภายในภายนอก มีสติตามรู้เวทนา เวทนา อาศยั รูปเกิด ปรุงแตง่ เวทนาท่ีไหนกาหนดที่น้นั ใหร้ ู้ทุกข์ ที่ต้งั ไว้ กาหนดอาการนามลกั ษณะต่าง ๆ สุข ทุกข์ อุเบกขา ตอ้ งวางเป็นกลางใหม้ ีสมั ปชญั ญะควบคุม สติกาหนดชดั จะ เห็นอารมณ์ชดั สรุปวา่ ฐานเวทนาเป็นจุดศูนยก์ ลาง เชื่อมโยงระหวา่ งฐานกาย ฐานจิต และฐานธรรม ( n = ๓๒) ด้านจิตตานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน : ฐานจิต ๑๐) รูปแบบการฝึกภาวะจิตใหส้ งบ เพง่ จิตใหน้ ่ิง ดูจิต ต้งั จิต พฒั นาจิต ยกจิตข้ึนสู่วปิ ัสสนาใหจ้ ิตเห็นไตรลกั ษณ์ นา ธรรมมาพิจารณาสร้างปัญญาญาณ ยกระดบั จิตไปสู่ภาวะจิต ด้งั เดิมท่ีไม่ปรุงแต่ง ( n = ๓๑)
๑๓๘ ตารางที่ ๔.๑๙ (ตอ่ ) เห็นดว้ ย ระดบั ความคิดเห็น ไม่มีความ ขอ้ ความประเด็นศึกษา เพม่ิ เติม ไม่เห็น คิดเห็น ดว้ ย ๑๑) รูปแบบวธิ ีการดูลมหายใจใหถ้ ูกวธิ ีโดยฝึกจิต มีสติอยู่ ๑๔ ๘ ๔ ๑๔ กบั กาย ความรู้สึก จิต ปรากฎการณ์ นาฌานสู่ญาณใชจ้ ิต (๓๕.๐) (๒๐.๐) (๑๐.๐) (๓๕.๐) ตามดู สู่จิตวา่ ง อาศยั ฐานกาย เวทนา จิต และธรรม และ สร้างการรู้ตวั พิจารณารูปนาม วางจิตเป็ นอุเบกขา ต่อทุก ๑๒ ๗ ๑๐ สภาวธรรม ปรากฏการณ์ท่ีเขา้ มากระทบ เขา้ ใจรู้จกั สิ่งท่ี (๓๐.๐) (๑๗.๕) (๒๕.๐) เกิดข้ึนตามความเป็นจริงกฎของไตรลกั ษณ์ ( n = ๒๖ ) ๑๒) รูปแบบความบริสุทธ์ิแห่งจิต จิตเดิมแทไ้ มป่ รุงแต่ง สติ ๑๑ ๑๐ ๖ ๑๓ กาหนดจิตตามรู้จิต ท่ีต้งั แห่งการทางานจิตคือกรรมฐาน (๒๗.๕) (๒๕.๐) (๑๕.๐) (๓๒.๕) จิตตภาวนาเคร่ืองมือพฒั นาจิตใหส้ ูงฝึกฝนจิตให้จิตต้งั มนั่ จิตมองเห็นดว้ ยตาใจ ต่ืนตระหนกั รู้ สร้างดวงจิตดว้ ยปัญญา ๗ ๗ ๑๒ สรุปวา่ จิตเป็นการเขา้ ถึงปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญา ( n = (๑๗.๕) (๑๗.๕) (๓๐.๐) ๓๐) ๑๓) รูปแบบการพฒั นาจิตบริสุทธ์ิ สะอาด ใชโ้ ดยเครื่องมือ ๑๑ คือมหาสติปัฏฐาน ๔ พจิ ารณากาย เวทนา จิต ธรรม นาไปสู่ (๒๗.๕) กระบวนการเปล่ียนแปลงทางจิต เป้าหมายการฝึกจิต บริสุทธ์ิ คือเจริญสมาธิวปิ ัสสนา โดยสร้างพ้นื ฐานสติ คือ ใช้ กาหนดลมหายใจต้งั จิตพิจารณาทุกส่ิงตามความเป็นจริงใหร้ ู้ ถึงความไม่เที่ยงตามกฎไตรลกั ษณ์ ( n = ๒๗ ) ๑๔) รูปแบบการผกู สติอยบู่ นฐานจิต สร้างสติบนกายดว้ ย ๑๔ ความรู้สึกตวั ชดั เจน สติตามรู้ทนั จิต ฝึกจิตปฏิบตั ิจิตใหม้ ี (๓๕.๐) ความสงบ ใหจ้ ิตเท่าทนั ความคิดอารมณ์ โดยสติและความ รู้สึกตวั ดึงจิตอยกู่ บั ปัจจุบนั จิตปรุงแตง่ อารมณ์จากอายตนะ ฝึกฝนจนเกิดความนิ่งของจิต หลกั การฝึกจิตคือการปฏิบตั ิ ธรรม ดูการเปลี่ยนแปลงจิต การสร้างสติและความรู้สึกตวั ใหร้ ู้ทนั ความคิด และการเคล่ือนไหวของจิต รู้เห็นอาการ ของจิต ( n = ๒๘ )
๑๓๙ ตารางที่ ๔.๑๙ (ต่อ) เห็นดว้ ย ระดบั ความคิดเห็น ไมม่ ี เพ่ิมเติม ไม่เห็น ความ ขอ้ ความประเดน็ ศึกษา ๙ คิดเห็น (๒๒.๕) ดว้ ย ๑๕) รูปแบบการฝึกรู้ทนั ความคิด วธิ ีการฝึกเจริญ ๑๒ สติสัมปชญั ญะ ๑)วธิ ีการแบบสมถะกรรมฐาน คือ การเพง่ ๑๔ ๑๓ ๖ (๓๐.๐) จิต อบรมจิต จิตแน่วแน่ ให้ฝึกจิตใหพ้ ิจารณาขอ้ ธรรม ๒) (๓๕.๐) (๓๒.๕) (๑๕.๐) วธิ ีการแบบวปิ ัสสนากรรมฐาน คือ การอบรมจิตข้ึนสู่อบรม ๑๒ ปัญญา ฝึกต้งั สติดูจิต จิตต้งั มนั่ เกิดปัญญา ฝึกฝนสร้างปัญญา ๘๖ (๓๐.๐) สติทาใหค้ ุณภาพจิตตระหนกั รู้ความจริง เพยี รสอนจิตดว้ ย (๒๐.๐) (๑๕.๐) ปัญญา ( n =๒๘ ) ด้านธรรมานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน : ฐานธรรม ๑๖) รูปแบบความเห็นแจง้ ทางปัญญา มรรค ๘ อริยสจั ๔ คือทางดบั ทุกข์ สัมมาทิฐิเป็ นประธานไดป้ ัญญารู้ตามความ เป็นจริง วปิ ัสสนาญาณ คือ ความเห็นแจง้ ในรูปนาม เครื่อง พจิ ารณาแจ่มแจง้ รู้เขา้ ใจในเหตุปัจจยั ท้งั ปวง เขา้ ใจ สภาวะธรรมตามความเป็นจริง พจิ ารณาไตรลกั ษณ์ สรุปวา่ ฐานธรรมควรใหส้ มั มาทิฐิเป็ นตวั นาทาง ( n = ๒๘) ๑๗) รูปแบบสมาธิสร้างเกิดพลงั อานาจเหนือ ความรู้สึกตวั กู ๙ ๑๑ ๘ ๑๒ ของกู วา่ งจากตวั ตนใชก้ ารเรียนรู้โดยวธิ ีการปฏิบตั ิเขา้ ถึง (๒๒.๕) (๒๗.๕) (๒๐.๐) (๓๐.๐) ความเป็นจริงจุดเร่ิมตน้ การภาวนาอยทู่ ี่ใจนาจิตไปสู่การ ปฏิบตั ิสร้างความสงบภายใน เห็นอยา่ งลึกซ้ึง สรุปวา่ ปัญญา ๑๓ ๑๒ ๓ ๑๒ ของฐานธรรมของเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ คือ ปัญญาการ (๓๒.๕) (๓๐.๐) (๗.๕) (๓๐.๐) เขา้ ถึงความจริงไตรลกั ษณ์ (n = ๒๘ ) ๑๘) รูปแบบตวั วดั ผล คือ ตวั รู้ ตวั ละ ตวั ปัญญา มีสติตามทนั ทุกความคิดของจิต ที่รู้เทา่ ทนั ความเป็นจริง อยกู่ บั ปัจจุบนั ปัญญาเกิดเหนือจิต เหนือกาย เหนือประสาทการรับรู้ เห็น ดว้ ยตนเอง (n =๒๘)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358