๑๔๐ ตอนท่ี ๒ การวเิ คราะห์รูปแบบการเข้าถงึ ปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จากการสัมภาษณ์ เพ่ือวิเคราะห์รูปแบบการเข้าถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จากประเด็นการสัมภาษณ์จาก ลักษณะเครื่ องมือท่ีใช้ คือ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง โดยลักษณะ ๑) แบบสอบถามที่ไดส้ ร้างข้ึนจากการเก็บขอ้ มูลแบบสารวจเบ้ืองต้น ๒) แบบสัมภาษณ์ตามประเด็นข้อ สมมติฐาน และเป็ นผลการศึกษาที่ไดจ้ ากการสารวจ ๓) ประเด็นความรู้ความเขา้ ใจกาหนดความสนใจ ขณะสัมภาษณ์ และเป็นความรู้ความสนใจเฉพาะตวั ผใู้ หข้ อ้ มูล สาหรับขอบเขตลกั ษณะเชิงพ้ืนท่ีการเก็บขอ้ มูลวิจยั ๑) ผูใ้ ห้ขอ้ มูลการสารวจจากแบบสอบถาม ๒) ศูนยป์ ฏิบตั ิธรรมในพ้ืนท่ีลงเก็บขอ้ มูล ๓) หนงั สือวรรณกรรมที่ไดศ้ ึกษาทาความเขา้ ใจ ๔) โดยบงั เอิญ เฉพาะตวั สรุปจานวนผูใ้ ห้ขอ้ มูลโดยการสัมภาษณ์จานวน ๒๗ รูป/คน โดยลกั ษณะกลุ่มตวั อยา่ งแบบ บงั เอิญและแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อใหไ้ ดข้ อ้ มูลในการลงพ้ืนที่ผสมผสานกนั เพ่ือให้ไดผ้ ลการศึกษาตาม วตั ถุประสงคโ์ ครงการวิจยั สาหรับการนาเสนอรายงานผลการศึกษาให้ครบตามประเด็นวตั ถุประสงค์ ต่อไปน้ี ตารางท่ี ๔.๒๐ แสดงลกั ษณะจาแนกตามประเภท / รายชื่อผใู้ หข้ อ้ มูลตามพ้ืนท่ี ประเภท รหสั กลุ่มตวั อย่าง/รายชื่อผู้ให้ข้อมูล พืน้ ท่ี หนังสือวรรณกรรม ๙ ๙พระครูโสภิตปุญญาคม (บุญหา สิกขาสโภ) ลาพนู ทว่ั ไป (หนงั สือ “ธรรมะ ๑๔ ๑๔พระครูสมุห์ณรงค์ โฆสิตธฺมโม (แฉ่งอุทิศ) นครสวรรค์ ภาคปฏิบตั ิ” ๑๓ ๑๓พระสุธรรมมุนี (สมบูรณ์ ปัญญาวฺโธ) พษิ ณุโลก มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลง ๒๒ พระครูภาวนาโพธิคุณ (สมชาย กนฺตสีโล) ขอนแก่น กรณราชวทิ ยาลยั ) หนังสือวรรณกรรม ๒๗ ๒๗พระมหายทุ ธนา นรเชฎโฐ (ศิริวรรณ) พระนครศรีอยธุ ยา ปัจจุบนั (หนงั สือ “การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานตาม แนวของหลวงป่ ูมนั่ ภูริทตฺโต” ) หนังสือวรรณกรรม ๒ ๒พระครูสังฆรักษไ์ ชยา สิริธมั โม ลาปาง ๓ ๓พระอาจารยช์ ายแดน สีลสุทโธ ลาปาง สายหลวงป่ มู ั่น ๒๑ พระครูสิทธิจิตติมงคล (จิตติพงษ์ ฉนฺทโก) ขอนแก่น (หนงั สือ “พุทโธ ผรู้ ู้ ผู้ ๒๓ ๒๓พระอาจารยห์ ลอ นาถกโร สกลนคร ตื่น ผเู้ บิกบาน” ) ๒๔ ๒๔ไม่ระบุนาม สกลนคร ๒๕ ๒๕พระครูพชั รปัญญาพสิ ุทธ์ิ สกลนคร เจ้าของงานวทิ ยานิพนธ์ ๗ ๗พระศรศกั ด์ิ สงฺวโร (แสงธง) แพร่ ๘ ๘พระทนงศกั ด์ิ ปภาโต (ปิ ยะสุข) ระยอง ๑๕ ๑๕พระครูสุวรรณวิจิตร (สมจิตต์ คุม้ สมบตั ิ) สุพรรณบุรี
๑๔๑ ตารางที่ ๔.๒๐ (ตอ่ ) ประเภท รหัส กลุ่มตวั อย่าง/รายช่ือผ้ใู ห้ข้อมูล พืน้ ที่ สานักศูนย์ปฏิบัตธิ รรม/ ๔ ๔พระสมุห์สมชาย จีรปฺญฺโญ (แสงสิน) อุตรดิตถ์ พระวปิ ัสสนาจารย์ ๖ ๖พระสันติสุข สันตจิตโต อุตรดิตถ์ เชิงพ้นื ที่ ๑๒ ๑๒พระราชวสิ ุทธิญาณ (ฤทธิรงค์ ญาณวโร) เชียงใหม่ ๑๘ ๑๘พระอธิการทองแบน ปนาโท สุพรรณบุรี ๑๙ ๑๙พระภาวนาธรรมาภิรัช เชียงใหม่ ๒๐ ๒๐พระยทุ ธนา อริโย ขอนแก่น พระอาจารย์ทว่ั ไป ๑ ๑พระครูประทุมธรรมรักษ์ แพร่ ๕ ๕พระมหาเทวประภาส วชิรญาณเมธี และคณะ อุตรดิตถ์ ๑๐ ๑๐พระอธิการบุญส่ง โสภณจิตฺโต ลาพูน ๑๖ ๑๖พระครูใบฎีกาสุรเวช ปภสฺสโร สุพรรณบุรี ๑๑ ๑๑พระมหาอดิสรณ์ อคฺควฒุ โฒ ลาปาง ๑๗ ๑๗พระครูสมุห์สุพจน์ พทุ ฺธธมฺโม และคณะ อุตรดิตถ์ อาจารย์มหาวทิ ยาลยั ๒๖ ๒๖ไมร่ ะบุนาม พิษณุโลก จากตารางท่ี ๔.๒๐ แสดงประเภทจาแนกลกั ษณะในการให้ขอ้ มูลโดยการสมั ภาษณ์ จานวน ๒๗ รูป/คน สรุปไดว้ ่า ๑)หนังสือวรรณกรรมท่ัวไป (ธรรมะภาคปฏิบตั ิ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั ) จานวน ๔ รูป/คน ๒) หนังสือวรรณกรรมปัจจุบัน จานวน ๑ รูป/คน ๓) หนังสือวรรณกรรม สายหลวงป่ มู น่ั (จากหนงั สือ “พทุ โธ ผรู้ ู้ ผตู้ ื่น ผเู้ บิกบาน”) จานวน ๖ รูป/คน ๔) เจ้าของงานวทิ ยานิพนธ์ จานวน ๓ รูป/คน ๕) สานักศูนย์ปฏิบัตธิ รรม/ พระวปิ ัสสนาจารย์ จานวน ๖ รูป/คน ๖) พระอาจารย์ทวั่ ไป เชิงพ้ืนที่ จานวน ๖ รูป/คน ๗) อาจารย์มหาวทิ ยาลยั จานวน ๑ คน ผลการศึกษาวจิ ยั ดงั ต่อไปน้ี รูปแบบ ๑) การปฏบิ ตั ินาทาง แสวงหาครูบาอาจารย์ เรียนรู้ ฝึ กฝนเพยี รต่อเนื่อง พระครูประทุมธรรมรักษ์ วดั วดั ปทุมธรรมานุสิฐตาราม อาเภอหนองม่วงไข่จงั หวดั แพร่ สัมภาษณ์ เม่ือวนั ท่ี ๒๘ เมษายน ๒๕๖๑ และ วนั ท่ี ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๑) (เป็ นการทดสอบเคร่ื องมือการสัมภาษณ์)
๑๔๒ ๑.๑) หลกั การต้องให้ปฏิบัติมาก่อนปริยตั ิ การรับรู้ปัญญาต้องจากการปฏิบัติ แนวคิดทฤษฎเี รียนรู้ ภายหลงั ได้ เสริมสร้างความเขา้ ใจการเจริญวปิ ัสสนาไดอ้ ยา่ งดียงิ่ ปัญญาเกิดข้ึนไดเ้ องเม่ือการปฏิบตั ิไดผ้ ล การแยกรูปนาม ในร่างกายได้ เพื่อให้มีสติ แยก รูป นาม เพราะเป็ นวปิ ัสสนา การสอนวธิ ีการวปิ ัสสนาเป็ น การดูพองยบุ เหมือนการเกิดแลว้ ดบั ไป หรือการพองยบุ ข้ึนมาอะไรที่ทาใหเ้ กิดพองเป็ นนามรูปหรือจิต จึง แสดงวา่ สอนใหเ้ ห็นไตรลกั ษณ์ คือ การเกิดข้ึนต้งั อยดู่ บั ไป ๑.๒) ญาณ หมายถึง สภาวะการเกดิ การดับแต่ละญาณใหก้ ารเกิดการดบั ปฏิบตั ิต้องได้สภาวธรรม ก่อน สภาวธรรม คือญาณที่เกิด แลว้ แต่ว่าอยู่ในญาณแบบไหนความเขา้ ใจทวั่ ไปญาณคือส่ิงท่ี ไต่ระดบั หรือสิ่งที่มีอยู่แลว้ เป็ นญาณอีกรูปอย่างหน่ึงแต่ความเป็ นจริงญาณท่ีเป็ นสภาวธรรม เป็ นญาณ เกิด-ดับ สูงข้ึนให้ถึงโลกุตรธรรมเพื่อหลุดพน้ ถา้ เป็ นสมาบตั ิใกล้ถึง พระโสดาบนั แลว้ เพราะเกิดจากการฝึ กที่ ร่างกายแข็ง สมาบตั ิเขา้ ถึงไดต้ ลอดไม่เหมือนนิโรธ นิโรธคือดบั นิโรธไต่จากฌานเขา้ สู่ญาณ สติปัฏฐาน ๔ เทยี บเท่ากบั ญาณไหน ฌานไหนแต่สมถะกาลงั นิ่งสงบแต่ไม่เขา้ ถึงปัญญา การเกิดสภาวธรรม คือ การ นิ่ง จิตนิ่งไมฟ่ ุ้ง การนง่ั อยนู่ ิ่ง ๆกบั ที่ ภาวนาอยกู่ บั ที่อธิษฐาน ๑.๓) การกาหนดยุบหนอ ว่า ขณะกินว่า“กินหนอ เค้ียวหนอ เห็นหนอ” หรือกาหนดลมหายใจ พองหนอ ยุบหนอ เพ่ือพองหนอดูการเกิดดบั เรียกว่า อานาปานสติ หมายถึง วิปัสสนา คือ การดูลม เขา้ ส้ัน-ออกส้ัน แลว้ แต่วิธีการท่ีได้ปฏิบัติของแต่ละคน แต่การดูการเกิด การดบั ยุบหนอพองหนอ เป็ นการ กาหนดเองและมีสติในขณะท่ีกาหนดรู้ พองหนอ ยบุ หนอ แลว้ แต่วธิ ีการของการปฏิบตั ิ วธิ ีการแต่ละอย่าง เป็ นวิธีไหนก็ได้ อยทู่ ี่วา่ การเกิดดบั ตอ้ งมีการกาหนดให้รู้ให้เห็นอกุศล เพ่ือสามารถดบั ทุกส่ิงอยา่ งได้ ส่วน คาบริกรรมมีผลต่อการฝึ กหายใจเข้าออก โดยมีสติคุมรู้ในส่ิงทกี่ าหนดให้ดึงตัวเองกลบั มาสู่ปัจจุบัน และถา้ อารมณ์คือเวทนาที่เขา้ มาเก่ียวขอ้ งกบั จิต การฝึ กส่วนใหญ่เป็ นเวทนาในสมาธิพยายามเอาเวทนานาก่อน เพื่อไม่เกิดอาการฟุ้งซ่าน ไม่เกิดความรู้สึกไม่พอใจ การฝึ กปฏิบตั ิสมาธิจาเป็ นในการกาหนดแต่ละชว่ั โมง เพราะร่างกายตอ้ งมีการยดื ตวั การฝึ กปฏิบตั ิของหลวงป่ ูครูบาอาจารย์ เขา้ ถึงระดบั สูงนง่ั สมาธิลึก นง่ั ได้ ไมน่ านไปแลว้ การไปฝึกปฏิบตั ิในที่ต่าง ๆ พอกลบั มาเกิดยบุ ไมพ่ องอีกตอ่ ไป ทาใหก้ ารฝึกไมเ่ พิ่มอีกท้งั ยงั ลดอีกดว้ ย เหมือนการเดินจงกรม ถา้ ไม่เคยเดินหรือเดินไดไ้ ม่นานเกิดอาการเมื่อยแลว้ คนส่วนมากชอบใน การปฏิบตั ิแบบยบุ หนอ-พองหนอ การปฏิบตั ิน้ีไม่ไดด้ ูลมแตค่ นธรรมดาน้นั คิดวา่ ดูลมออก แตค่ วามจริงคือ การดู รูป นาม ดูไตรลักษณ์ ส่วนการเดินจงกรมเอาจิตไปดู การกา้ ว ยกส้นหนอ ยา่ งหนอ กา้ วหนอ โดยมี ๒๘ จุดไขวห้ นา้ ไขวห้ ลงั แบบละเอียดทาใหแ้ ขง็ ได้ การไล่จุดของร่างกาย เหมือนกนั ไล่จุดแรกคือ ไล่ไปที่ ตากาหนดวา่ พองหนอ ยบุ หนอ ถูกหนอ แลว้ เอาความรู้สึกไปที่ตา แลว้ ทาใหม่เรื่อย ๆ จนไดส้ ติทาใหแ้ ขง็ ไดส้ มาธิแลว้ คือ จิตผูกกับร่างกาย เวลานงั่ ทาให้เกิดการปวดเม่ือยพอคลายสมาธิแลว้ อาการปวดเมื่อหาย สติ รู้ว่า กาลงั ทาอะไร เอาจิตไปไวต้ รงไหนจิต รู้อยู่ตลอดเวลา เหมือนกบั คิดถึงบา้ นโดยจิต อยู่ที่บา้ น ร่างกายอยอู่ ีกที่ ถา้ ฝึกจิตใหค้ ม เวลามีอะไรมากระทบ จิตรู้หมด ตดั พวกเจา้ กรรมนายเวร แตต่ อ้ งเดินชา้ นงั่ ชา้ โดยเวน้ ช่วงไวอ้ ยทู่ ี่ความละเอียดของจิต เหมาะกับสภาวธรรม แต่มีขอ้ ดอ้ ยคือ การฝึ กมีความละเอียด เกินไป เพราะโลกภายนอกตอ้ งใชช้ ีวติ ดว้ ยความเร่งรีบ จิตจึงกาหนดแบบเร็ว แลว้ แต่สายการฝึกปฏิบตั ิบาง
๑๔๓ สายฝึ กให้อดทน เวทนา แต่เกิดดบั เกิดข้ึนได้ พอคลายสมาธิกลายเป็ นปกติ เพราะการไม่ได้ฝึ กความ ละเอยี ด เพราะอารมณ์มีหลายอยา่ ง เวทนามี ทุกขม์ ี สุขมี แต่โลกภายนอก มีท้งั สุขกบั ทุกข์ เวทนามี ร้อน หนาวมี จึงทาใหก้ ารฝึกอยา่ งเดียวไมไ่ ดอ้ ยา่ งสติปัฏฐาน ๔ กล่าวท้งั หมด อารมณ์ร้อน อารมณ์เยน็ แต่บางท่ี ท่ีไปฝึ กปฏิบตั ิ มีท้งั จุดอ่อน จึงทามีให้เกิดอารมณ์โกรธง่ายในการปฏิบตั ิ เกิดอารมณ์รุนแรง จิตไม่ละเอยี ด เพราะจิตไมม่ ีพ้ืนฐานมาก่อน จึงทาใหเ้ กิดอารมณ์ง่าย แต่การฝึกแบบเวทนาเป็นการเห็นแบบคอ่ ย ๆ แตต่ อ้ ง ฝึกบอ่ ย ๆ ทาบอ่ ย ๆ รู้อยา่ งละเอียด แตต่ อ้ งมีการทบทวนอยู่เสมอต้องรู้สภาวะรู้ทกุ อย่าง ๑.๔) คนปกติเป็ นโสดาบันได้ ถา้ เกิดอาการหลง หลงเลย เป็ นการฝึ กยากมาก สักกายทิฏฐิ คือ ๑) ละกาย เห็นกายไม่มีตวั ตน ๒)ละความสงสัยในพระพุทธไม่มี ๓)ความถือมนั่ ในศีล สามข้อคือพระ โสดาบนั การปฏิบตั ิน้ีไม่ง่ายเลยโดยที่ไม่ยงุ่ กบั ใครเลย ส่วนการหายใจไม่ไดด้ ูที่ลมหายใจแต่ดูท่ีท้องพอง กบั ท้องยบุ เพราะทอ้ งคือรูป และลมคือนาม ทาใหท้ อ้ งพองข้ึนมาแลว้ ดบั ไป เกิดข้ึนดบั ไปๆ เพราะร่างกาย คน มีแค่สองอยา่ งคือ นามกบั รูป โดยท่ีไม่สนใจพุทโธไม่สนใจคาบริกรรมแต่ใหด้ ูท่ีจงั หวะทอ้ งพองทอ้ ง ยุบ ถา้ สมาธิน่ิง เกิดยุบ แต่ระดบั พระโสดาบนั จึงรู้ว่ายุบกบั พอง ถา้ สติรู้รู้เลยวา่ พองยุบหายไปตอนไหน กาหนดระยะเวลาถา้ ปฏิบตั ิตลอดเวลา ๒๔ ชว่ั โมง ๑.๕) การปฏิบตั ิครูบาอาจารย์ทรงฌาน ไดน้ านต้งั แต่ ๓ ถึง ๑๒ ชวั่ โมงได้ แต่เม่ืออยใู่ นฌานอาจ ทาให้ติดอยูใ่ นฌานไม่ไปไหนไปเกิดเป็ นภพภูมิพรหม วิธีการฝึ กแบบ“กสิน” ยงั คงความสาคญั เช่นการ เพ่งเทียน(กรรมฐาน ๔๐)ทาให้จิตนิ่งได้รวดเร็วแลว้ นาไปสู่การเป็ นวิปัสสนาได้อย่างอตั โนมตั ิเองง่าย สมถะยังเป็ นประโยชน์ต่อนาสู่ฌาน ผคู้ นชอบมีฤทธ์ิจึงพยายามสร้างแนวฝึ กให้แบบอยา่ งมีอิทธิฤทธ์ิเป็ น เหตุจูงใจถา้ ไมป่ ล่อยหลงแลว้ ไม่ไปสู่การพน้ ทุกข์ การกาหนดรู้ในระยะเดนิ ยกหนอ ยกส้นหนอ เพื่อฝึ กให้ เกดิ ความละเอยี ด จิตเข้าไปคุม รูปแบบ ๒) สืบทอดคาสอนครูบาอาจารยเ์ ป็ นพ้ืนฐาน “บริกรรมพุทโธ” ผสานความเป็ นไปปัจจุบนั พระครูสังฆรักษไ์ ชยา สิริธมั โม เจา้ อาวาสวดั ถ้าสบาย ลูกศิษยพ์ ระครูภาวนาทศั นวิสุทธิ (หลวงป่ ูแวน่ ธนปาโล) ลูกศิษยห์ ลวงป่ ูมน่ั ภูริทตั โต ณ วดั ถ้าพระสบาย บา้ นหนองถอ้ ย ตาบลนาครัว อาเภอแม่ทะ จงั หวดั ลาปาง สมั ภาษณ์ เมื่อวนั ท่ี ๕ สิงหาคม ๒๕๖๑ ๒.๑) แนวปฏิบตั ิดาเนินอยูใ่ นหลกั สติปัฏฐาน ๔ ไม่ต่างกนั มากแตกต่างเพียงอุปนิสัย ในสายน้ี เหมือนกนั วธิ ีการแนวทางการสอนพ้ืนฐานเป็ น “การบริกรรมพุทโธ” หายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” การสอนเดินเทา้ ขวากา้ ว“พุท” ซา้ ยกา้ ว “โธ” ทอ่ งไปเรื่อย ๆ อยทู่ ่ีการเคล่ือนไหวส่วนอิริยาบถ การดูลมคือ
๑๔๔ การน่ังอยา่ งเดียวเพราะอะไรถึงตอ้ งดูท่ี อิริยาบถนง่ั คือ นั่งไม่มีอะไรเคล่ือนไหวให้ดูจึงต้องดูลมลมเข้าออก การฟุ้งซ่าน ถา้ นง่ั อยู่แลว้ กาหนดพุทโธแล้วจิตฟุ้งออกไปกลับมากาหนดใหม่ไปมาเรื่อย ๆ พิจารณาแล้ว กลบั มาแต่ต้องมีสติรู้ตัววา่ ตนเองกาลงั ฟุ้งซ่านให้ดึงกลบั เขา้ มาใหม่แต่กาหนดธรรมดาให้เป็ นธรรมชาติ ไม่เกร็งให้รู้ว่ากาหนดอยมู่ ีลมเขา้ ออกเพราะหายใจอยูแ่ ลว้ แต่ตอ้ งมีสติในการรู้เม่ือจิตสงบละเอียดพุทโธ หายไปเองโดยอัตโนมัติลมหายใจไม่มี สติรวมอยู่เป็ นหน่ึงให้รู้ว่าหายไปจนกว่าสงบ พิจารณาเป็ นไตร ลักษณ์ คือ วิปัสสนาพิจารณาความเกดิ ดับ ทาไมหายใจเขา้ หายใจออกมีความทุกข์มีความอนิจจงั ที่ฝึ กมา เพือ่ ใหเ้ ห็นเป็นไตรลกั ษณ์ อภิญญา ๖ ไดจ้ ากการท่ีจิตสงบ ครูบาอาจารยร์ ุ่นใหม่ เรียกวา่ ขณิกสมาธิ อุปจาร สมาธิ และอปั ปนาสมาธิ คือ การนิ่งเป็นหน่ึงเดียว คือ นานถึงความอุเบกขา ๒.๒) สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวทางสายเอก อยูท่ ี่ว่าเลือกอนั ไหนมาใชเ้ ป็ นทางสายเอก ถา้ ลกั ษณะที่ไม่ใช่ทางสายเอกคือติดอยู่ในอภิญญา เพราะศาสนาพราหมณ์ทาได้ ถา้ สูงกว่าน้นั ต้องเขา้ สู่ กระแสวิปัสสนาญาณและเห็นไตรลักษณ์ เห็นกระแสแห่งธรรมความเกิดดบั ตอ้ งอาศยั ระหวา่ งสมถะและ วิปัสสนาตอ้ งทาร่วมกนั สมถะทาเพื่อให้จิตเจริญ เขา้ สู่วิปัสสนาเหมือนจิต เดินทางตอ้ งมีศาลาพกั ผ่อน พอสมควร พระพุทธเจา้ ตรัสรู้ คือ อดทน วิปัสสนาเพ่ือให้เกิดปัญญา เมื่อเกิดปัญญาแลว้ สติปัฏฐาน ๔ ปฏิบตั ิเพ่ือให้รู้ว่ากายเวทนาจิตธรรมเป็ นอย่างไร เหมาะสมกบั มนุษยป์ ฏิบตั ิไดเ้ อาท่ีวา่ ทาไดค้ วามจริงแลว้ ศีล ๕ คือมาตรฐานของการปฏิบัติธรรมละเลยไม่ได้ ศีล ๕ เป็ นของหยาบสาหรับสัตวโ์ ลกถา้ ไม่ผดิ ศีล ๕ สามารถบรรลุได้ ปฏิบตั ิสมาธิวิปัสสนาศีล ๕ ตอ้ งเป็ นพ้ืนฐานเพราะศีล ๕ ทาให้คนรู้จกั ผดิ ชอบชว่ั ดี ถา้ ปฏิบตั ิไดม้ รรค ๘ เห็นชอบก่อนจึงปฏิบตั ิในข้นั ต่อไปแต่ถา้ ไม่เห็นชอบปฏิบตั ิไม่ได้ เหตุพระสูตรสอน เร่ืองกายกับเร่ืองของธรรม เยอะกว่าเรื่องของจิตและเวทนา ปัจจุบนั กาลงั เกิดอะไรข้ึนการหายใจแค่มีสติรู้ รู้เขา้ รู้ออก คือ สติ การฝึกสติปัฏฐาน ๔ เพราะจิตเนน้ กายความพร้อมจิตรู้กาย แตจ่ ิตท่ีมีอวชิ ชา คิดวา่ กายมี แต่จริง ๆ แลว้ กายไมม่ ีอะไรเลย คิดรู้ความจริงมีแต่เพยี งวา่ รูปกบั นาม ๒.๓) การเข้าถึงเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ต้องปฏิบัติ ถา้ เคยศึกษาอ่านจากหลายท่ีท้งั ของไทยและพม่า ข้นั แรกปฏิบัติต้องรู้ลมก่อน ลมหายใจเข้าลมหายใจออก กรรมฐานอานาปานสติพระพุทธเจา้ สรรเสริญอา นาปานสติ วา่ เป็ นธรรมทท่ี าให้จิตใจสุขสงบน่ิง อานาปานสติทาไดท้ ุกท่ี หายใจเขา้ “พทุ ” หายใจออก “โธ” อานาปานสติเป็ นคาบริกรรม พอไปถึงจุดหน่ึงหายไปเองต้องรู้ปริยัติก่อน ถา้ ไม่รู้จบั ทางไม่ถูกต้องอ่าน ศึกษาให้เข้าใจ พระพุทธเจา้ สอนไวว้ า่ ไม่ให้เช่ือท้งั หมดสงสัยตอ้ งดูดว้ ยตนเองรับฟังแต่ไม่ไดป้ ฏิเสธให้ เข้าถงึ ให้รู้แจ้งด้วยตนเองให้โยนิโสมนสิการ ฟังโดยใชส้ ติไตร่ตรอง ๒.๔) สมถะและวปิ ัสสนา ทาควบคู่กนั ได้ แต่สลบั กนั ไปอยู่ทสี่ ภาวะจิตถ้าจิตสงบแล้ววปิ ัสสนา ถา้ จิตฟุ้งซ่านตอ้ งทาสมาธิในจิตให้สงบ วชิ าแห่งความรู้แจ้งมีอยู่ ๒ อย่าง คือสมถะและวปิ ัสสนา การทาให้ จิตสงบ องค์๕ คือวิตกวิจารปี ติ วิตก คือ ยกจิตใหส้ ูงสู่องค์ภาวนา วิจารณ์ คือให้มีสติอยูก่ บั องคภ์ าวนาน้ี นาน ๆ อยกู่ บั ลมหายใจอยกู่ บั กรรมฐานกาหนด ปิ ติคือมีสติอยูก่ บั สิ่งน้นั ไดน้ าน ความสุขการปฏิบตั ิยกจิต คือองคภ์ าวนา พระพุทธเจา้ จึงบอกวา่ ให้มีสติและจิตอธิษฐานส่ังงานคือทางานใดให้มีสติแต่งานตอ้ งเป็ น
๑๔๕ งานที่มีกุศล การฝึ กจิตสามารถฝึ กได้ตลอด การทางานการอ่านหนงั สือ ทากบั ขา้ ว ให้รู้สึกตัวแล้วพลงั ของ สมาธิเกดิ ขนึ้ ๒.๕) เวทนา ๓ อย่างคือสุขทุกข์และอุเบกขา การเดินไปไหนมาไหนนาน ๆ เกิดทุกขแ์ ลว้ จิตต้อง กาหนดวา่ ตอนน้ี เกิดทุกขแ์ ลว้ ทายงั ไงให้จิตต้งั มนั่ ไม่เอนเอียงไม่ให้เกินท้งั สุขและทุกขส์ ลบั กนั ไปมาไม่ นานไม่เท่ียง เร่ืองสติปัฏฐาน ๔ ไม่ใช่ว่าไปดูการเวทนา แต่อยู่พร้อมกนั อย่างเช่นแค่น่ังดูลมหายใจเขา้ หายใจออก คือกายน่ังไปเรื่อย ๆ ทุกข์เกิดความเวทนาเกิดจิต เป็ นอย่างไรจิตสงบจิตหงุดหงิด เกิดไตร ลกั ษณ์ไดเ้ กิดธรรมะสติปัฏฐานได้ บางคร้ังอาจไม่สงบอาจฟุ้งซ่าน คืออกศุ ลเวทนาเกดิ กาหนดรู้วา่ ไม่สงบ เรียกว่าสติปัฏฐาน ๔ พระพุทธเจ้ากล่าวสติปัฏฐาน ๔ ไม่รู้ความเป็ นจริ งของกายของเวทนา คือ ปรากฏการณ์วา่ อะไรเกิดข้ึนสุขหรือทุกขไ์ ม่วา่ ดาเนินในรูปแบบไหน ๒.๖) ธรรม หมายถึง กุศลและอกุศล กายเวทนาจิตธรรม อยู่ด้วยกันหมด กายรู้ลมหายใจ เดินเกิด ทุกขเวทนา เม่ือเกิดจิตเป็ นผูแ้ ต่งดูชอบหรือไม่ชอบโทสะ มีราคะจิตชอบไม่ชอบจิตฟุ้งซ่านเกิดข้ึนในจิต หมดเมื่อโทสะเกิด เกิดอกุศลแล้ว ทาให้เห็นภาพชัดเจนกายเวทนาจิตธรรม แลว้ แต่ว่า นาส่วนไหนมา พิจารณาไม่จาเป็ นต้องคิดมาก สติปัฏฐานความรู้แจ้งเห็นแจ้งแล้วจริง ๆ ถ้าทาถูกปฏิบัติถูกสภาวะจิต เป็ นไปตามเอง สตปิ ัฏฐานบริบูรณ์ คือบรรลธุ รรม ถา้ ไม่บริบูรณ์คือยงั ขาดอยู่ ตอ้ งปฏิบตั ิเร่ือยๆ ๒.๗) ปัญญาทางศาสนา ๓ ระดับ ปัญญากบั ภาวนาเกิดทาจิตให้สงบแลว้ พิจารณาความเป็ นจริง คือความเป็ นจริงของไตรลกั ษณ์ ความเป็ นจริงของรูปกบั นามวา่ เป็ นส่ิงไม่เที่ยงยอมรับส่ิงที่ไดเ้ ห็นจริง ๆ คือปัญญา อาศยั ภาวนาและสุตมยปัญญา เกิดจากการเรียนและฟังสามารถคน้ ควา้ ไดป้ ฏิบตั ิคือการภาวนา ต้องรู้ต้องเห็นชัดเจนก่อนว่าเป็ นความจริงท่ีกล่าวไว้ คือ ต้องภาวนา เห็นตามกล่าวเหมือนกบั เรียนวิชา วิทยาศาสตร์ยงั ไม่ไดท้ ดลองเลยยงั ไม่ไดพ้ ิสูจน์ ตอ้ งปฏิบัติต้องเรียนต้องฟังตอ้ งจินตมยปัญญา แลว้ เขา้ ไปสู่ภาวนาให้ได้ การศึกษาพระพุทธศาสนา คือ การไปเห็นความจริงของกฎไตรลกั ษณ์ ให้ฝึ กจิตกบั กาย เวลาฝึ กเวลาดูลมหายใจเคล่ือนไหวใหค้ วามรู้สึก สติมาลมหายใจมา คือ รู้ตัวอยู่เสมอ สัมปชาโนความรู้ตวั นงั่ อยู่ คือ รู้ลมหายใจเพิกเฉยความยินดียินร้ายเกิดข้ึน ถา้ จิตเป็ นอกุศลกุศลเกิดไม่ได้ ถา้ กุศลเกิดอกุศลไม่ เกิดแต่ถา้ อกศุ ลเกิดกุศลไมเ่ กิด เป็นเช่นน้ีฝึกต่อเน่ืองไปเร่ือย ๆ ฝึกแบบเนืองๆ ๒.๘) หลกั ธัมมานุปัสสนา คือ สัมมาทิฏฐิ ถา้ เกิดสัมมาทิฏฐิทุกอยา่ ง ตามมาหมดถูกหมดเลย ยคุ ปัจจุบนั ท่ียงั ไม่ค่อยเข้าถึงแยกไม่ออกว่าอันไหนคือกุศลหรืออกุศล ถ้าศึกษาวิธีคิดได้นาวิธีคิดของ พระพุทธเจา้ ไปใช้ เพื่อใหม้ นุษยโ์ ลกอยูด่ ว้ ยกนั อยา่ งมีความสุขไม่เบียดเบียนกนั ความบา้ วตั ถุถึงแลว้ วตั ถุ เป็ นเพียงแค่ปัจจยั สี่ไม่ใหค้ วามสรรเสริญยิง่ พฒั นายง่ิ เกิดปัญหาข้ึนมาเช่นปัญหาขยะอิเลก็ ทรอนิกส์ปัญหา เส่ือมโทรมของวฒั นธรรมอาชญากรและอาชญากรรมมากข้ึนผคู้ นโหดร้ายมากข้ึนจิตใจโหดเห้ียม ถา้ เป็ น เช่นน้นั พระพุทธเจา้ บอกวา่ อายุส้ันลง พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าจิตสงบไม่เบียดเบียนโลกอยู่ได้ยาวนาน ยืด ออกไปแต่ถา้ ช่วยกนั เบียดเบียนโลก ส้ันอายุ ส้ันโลก ส้ันเพราะเบียดเบียนพระพุทธเจา้ ตรัสหมดวา่ ทาไม ฝนแลง้ ฝนตก อีกหน่อยมีคนต้ังตัวว่าเป็ นเจ้าสานัก ผิดเพ้ียนไปแลว้ เพราะไม่ไดภ้ าวนาจริงๆจงั ๆไม่ไดท้ า ตามอยา่ งพระพุทธเจา้ ถา้ มีคนปฏิบตั ิอยมู่ รรคผลยงั อยพู่ ระอรหนั ต์ ยงั ไมข่ าดจากโลกน้ี
๑๔๖ ๒.๙) หลกั ธัมมานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน คือปัจจุบันอะไรเกิดขึน้ รู้วา่ ความโลภเกิดความหลงชอบไม่ ชอบมีอะไรเกิดข้ึน แกไ้ ขอยา่ งไรโทสะโมหะโลภหลง ใหค้ ิดรู้ตามรู้จกั ทาความเขา้ ใจและละทิง้ ไปทาใจให้ เป็นกลางไม่ยตุ ิใหร้ ู้สึกตวั กลบั มาใหไ้ ดแ้ ตส่ ่ิงที่ง่ายท่ีสุดคือกลบั มาทล่ี มหายใจของตนเองและเลยแลว้ ต้ังสติ ใหม่พุทโธ พระพุทธเจา้ ทรงสอนไวไ้ ม่ต้องคิดเยอะ ไม่มีทิฐิ ยิ่งถา้ ใครทาแบบชานาญฝึ กปฏิบัติธรรม แบบต่อเนื่องกลบั มาอานาปานสติเป็ นหลกั ธรรมชาติ ความจริงเหมือนเวลา เขา้ ถึงอะไรถา้ ส่ิงน้นั ไม่เป็ นไป ตามจริงตามธรรมชาติแลว้ ไม่ได้ สัตตานัง คือ เกิดแก่เจ็บตายการเวียนวา่ ยตายเกิด ถา้ ยงั ไม่พน้ กิเลสยงั กลบั มาเกิดอีกเกิดแก่เจ็บตายไป ตามปัญหาของกรรมตนเองไม่จบไม่สิ้น ถ้าศึกษาแค่พระสูตรเดียวไม่ เขา้ ใจ ตีความหมายของพระพุทธเจา้ ไม่แตก การศึกษาพระพุทธศาสนา วิธีการตดั สิน ถา้ ไปไดย้ นิ พูดอยา่ ง น้ีอยา่ เพิ่งคดั คา้ น เมื่อเทียบเคียงวา่ ถูกแลว้ ค่อยพูดค่อยทาตาม ตอ้ งใชพ้ ระสูตรพระไตรปิ ฎกเป็ นตวั ตดั สิน แลว้ เทียบถา้ เดินมาทางสติปัฏฐาน ๔ ถูกแลว้ ตามพระพุทธเจา้ สอน รูปแบบ ๓) ศีล สมาธิ ปัญญา เครื่องชี้นาทาง ฝึ กจิตอสิ ระ เร่งทาความเพยี ร สติตัดอารมณ์ ให้เร่งทาความ เพยี รตลอดเวลา พระอาจารย์ชายแดน สีลสุทโธ (พระครูวสิ ุทธิศีลคุณ) ลูกศิษยห์ ลวงป่ ูหลวง กตปุญโญ ลูกศิษยห์ ลวงป่ ูมนั่ ภูริทตั โต เจา้ อาวาสวดั วดั คีรีสุบรรพต (วดั สามคั คีบุญญาราม) บา้ นทุ่งสามคั คี ตาบลพระบาท อาเภอเมือง จงั หวดั ลาปาง สมั ภาษณ์เม่ือ วนั ท่ี ๕ สิงหาคม ๒๕๖๑ ๓.๑)ปัญญามี ๓ ระดบั ธรรมะปฏิบตั ิเหมือนเป็ นมหาสมุทรของธรรมเป็ นภาษาที่เขา้ ไปรู้บางสิ่ง บางอยา่ งอยู่ที่ ทะเลธรรมมหาสมุทรธรรมถึงเขา้ ถึงตรงน้นั ได้ การปฏิบตั ิถึงทะเลธรรมได้ พระไตรปิ ฎก พระพุทธเจา้ ให้ เป็ นฉนวนในการคิด ยอ่ เขา้ มาเรื่อย ๆ เหลือเพียง ศีล สมาธิ ปัญญา เป็ นเคร่ืองชี้ทาง นาให้ เขา้ ไปทายงั ไงถึงเขา้ ไปในมหาสมุทรของธรรมไดอ้ ยู่อีกมิติหน่ึงโลกคือธรรม คือนาเอาศีล สมาธิ เป็ น เครื่องชักนาและชี้ทาง ตอ้ งมีศีล ศีลไม่มีตอ้ งทาใหเ้ กิด สมาธิไม่มี ตอ้ งสร้างให้มี เมื่อมีสิ่งเหล่าน้ีแลว้ จิตใจ เข้าไปในมหาสมุทรของธรรมะ ไม่เคยลาเอียงใครสักคนเป็ นธรรมลว้ น ๆ เมื่อจิตใจมีธรรมแลว้ เขา้ กนั ได้ ง่ายอยา่ งสนิทตอ้ งปฏิบตั ิพอสมควรจึงเขา้ ไปถึงไดส้ ิทธ์ิเป็ นธรรมชาติที่ เวียนวา่ ยตายเกิดเป็ นดวงนอ้ ย ๆ ล่องลอยเป็นวฏั จกั รซ่ึงไม่มีจุดหมายปลายทาง ๓.๒)ธรรมะทพ่ี ระพุทธเจ้าบัญญตั ิไว้ ธรรมะเป็ นของสาธารณะ ไมม่ ีใครแสดงตนเป็ นเจา้ ของทุก คนเกิดข้ึนมาเจอมีสิทธ์ิที่ไขว่ควา้ เท่ากนั ทุกคนไม่มีใครแสดงเป็ นเจา้ ของ ฉะน้นั พวกเขา้ ใจผิดกนั มานาน นงั่ สมาธิพอจิตสงบพอ นึกอยสู่ กั พกั ธรรมะของพระเจา้ เป็นของสาธารณะทุกคนมีสิทธ์ิที่ไขวค่ วา้ ได้เท่ากัน หมดทุกคนไม่เลือกชาติ ช้นั วรรณะ ไม่เลือกเพศเลือกวยั ทนั สมยั อยเู่ สมอ ใชไ้ ดท้ ุกยุคทุกสมยั กลบั เขา้ มา
๑๔๗ คือพระนิพพานยงั สดๆร้อนๆอยพู่ วกหนวกเองบอดเองอยา่ ปล่อยให้ตวั เองตายไปกบั โลกหลอกลวงวนั น้ี เพราะทุกอยา่ งเป็นเหมือนสิ่งสมมุติ ๓.๓)กายเป็ นเครื่องมือจิตใจท่ีเป็นของจริง ๆ ดว้ ยความมีตณั หาอวชิ ชาอุปทานยดึ ร่างกายวา่ เป็ นตวั ของตวั พระพุทธเจา้ บอกชดั เจนวา่ ถา้ ธาตุมาประชุมรวมกนั เขา้ ดว้ ยอานาจของการสร้างคุณงามความดีของ อดีตชาติไดบ้ ุญมาเป็ นสมบตั ิมนุษย์ สมบตั ิมนุษย์ใชไ้ ดเ้ ฉพาะเมืองมนุษยท์ ่ีเดียวออกจากเมืองมนุษยต์ อ้ งทิ้ง เครื่องมืออนั น้ีสมมุติว่าตายลงไปจิตวิญญาณของออกน่ันคือตวั ของจริงๆ ศีลเป็ นพื้นฐานเพ่ือก้าวเข้าสู่ สมาธิจิตเป็ นสมาธิ เป็ นเรือนเพาะชาแห่งปัญญาธรรมถา้ จิตไม่มีสมาธิปัญญาธรรมไม่เกิดเกิดไดเ้ ฉพาะ การศึกษาเล่าเรียนไดย้ นิ ไดฟ้ ังแตไ่ ม่ใช่ของจริง ๓.๔) การฝึ กให้มีภาวนามยปัญญา ใชอ้ านาจศีลการรักษาศีลให้เป็ นศีลปกติเพราะศีลเป็นปกติแลว้ ไม่ไดร้ ักษาเป็นศีลอยตู่ ลอดพอศีลสมบูรณ์สมควร ที่ทาศีลใหส้ งบใหก้ บั จิตใจ คือการใช้การควบคุมอารมณ์ ใหเ้ ป็นหน่ึงให้มอี สิ ระจิตอสิ ระคือจิตท่ีปราศจากอารมณ์ ทุกวนั น้ีคิดอะไรไปกี่แสนเร่ืองแลว้ จิตที่เป็ นอิสระ ไม่คิดอะไรเลยถา้ ลงมือทาเม่ือไหร่คือวนั น้นั ตอ้ งความเป็ นโสดาบนั ถา้ ไม่ลงมือยงั บอดยงั หนวกพร้อมท่ี บอดหนวกตอ่ ๆไปเร่ือย ๆ ๓.๕) จิตอิสระจิตอุเบกขา เป็ นกลาง คือ ความชวั่ ความดีท้งั สองขา้ ง คือวางตวั อยูต่ รงกลาง เป็ น การภาวนาอยูแ่ ต่ไม่ไดอ้ ิสระความเป็ นอิสระตอ้ งเป็ นความรู้สึกรู้อยเู่ ฉพาะตนอนั น้ียงั มีความระมดั ระวงั อยู่ ยงั มีความคิดอยวู่ า่ เอนเอียงไปทางไหนหรือเปล่าจิตระดบั น้ีถึงเขา้ ไปเป็นสมาธิได้ ถา้ ปล่อยให้ เสพอารมณ์ อยขู่ า้ งนอกไม่มีสติเป็ นสมาธิเลยคนเกิดข้ึนมาแลว้ ตอ้ งมีความคิดเกิดข้ึนประการณ์รู้เห็นอะไรความคิดเขา้ ไปพวั พนั เก่ียวขอ้ งกบั สิ่งเหล่าน้นั อารมณ์ เร่ิมเกิดข้ึนเปล่ียนแปลงไปเรื่อย ๆ ลงต่าข้ึนสูงเรื่อย ๆ อยูอ่ ยา่ งน้ี ใครมีประสบการณ์ไหน กลายมาเป็ นสัญญาคือความจาความจายงั ไม่พอคิดระลึกถึงความจาไปเรื่อยๆ ความคิดยง่ิ แตกต่างออกไปเป็ นสังขารปรุงแต่งวา่ น่าเป็ นอยา่ งน้นั แต่ทาไมเป็ นอยา่ งน้ี อยอู่ ยา่ งน้ีแหละคิด สถานท่ีท่องเท่ียวคือ โลภ โกรธ หลง อาฆาต พยาบาท อยูอ่ ยา่ งน้ีถา้ ให้จิตอยู่นอกกายไม่มีทางท่ีจิตเป็ น สมาธิ จิตเป็ นสมาธิได้คือจิตผูกผู้เป็ นเจ้าของดึงเข้ามาที่กายไม่คิดอะไรเลยทาให้ เป็ นหน่ึงทาให้เป็ น ความรู้สึกในกายอยูต่ ลอด ถึงเป็ นสมาธิไดถ้ า้ จิตส่งกระแสออกนอกกายนิดเดียวเท่าน้นั ไม่สามารถท่ีเป็ น สมาธิไดเ้ ลยสมาธิเกิดข้ึนท่ีจิตใจไดท้ ่ีเดียวถา้ จิตขาดจากสติเป็ นธาตุรู้เฉยๆ วิพากวจิ ารณ์บาปบุญไม่ไดเ้ ลย ไม่รู้ถูกรู้ผดิ รู้ดีรู้ชว่ั สติเขา้ มาระลึกข้ึนได้ สติเป็ นตัวควบคุมจิตใจตดั อารมณ์ สติควบคุมจิตใจ ๓.๖)การระลึกมองหัวใจของตนเองได้วนั ละหมื่นคร้ัง เจริญสติกับจิตบวกกันเป็ นความรู้สึก อย่างเช่นการบริกรรมพุทโธดูลมหายใจ ฝึ กอยู่เรื่อย ๆ ดึงอยู่เรื่อย ๆ ฝึ กสม่าเสมอจิตอ่อนตัวในการเสพ อารมณ์ลงเร่ือย ๆ จนบงั คบั ไดง้ ่ายเม่ือจิตอยใู่ นกายแลว้ รู้สึกอยู่ ความรู้สึกตวั น้ี ถา้ มีอานาจมากกลายมาเป็ น สัมปชัญญะคือความรู้สึกตัว อิ่มตวั ทนั ทีไม่หิวกบั อารมณ์ใดๆ เรียกวา่ ใครปฏิบตั ิตนเขา้ ไปถึงสมาธิอย่าง เตม็ ภูมิ คือ จิตไดล้ ิ้มรสชาติของความสุขที่แทจ้ ริงไดล้ ิ้มกล่ินอายของพระนิพพานถึงจุดอิ่มตวั แลว้ ยงั ไมพ่ อ ธรรมชาติของช้ีลงขา้ งล่างพอจิตเป็ นสมาธิเต็มภูมิวา่ จุดเป็ นจุดเปลี่ยนเข็มทิศทางใจเขา้ หาธรรม ไม่รับรู้
๑๔๘ อะไรท้งั สิ้นการท่ีทาให้จิตเป็ นสมาธิต้องเป็ นวิธีตดิ อยู่กบั กาย เช่นการบริกรรมพุทโธดูลมหายใจ พิจารณา ผมขนเล็บฟันเน้ือเอน็ กระดูก เลือดน้าเหลือง น้ามูกน้าลาย มีแตส่ ่ิงท่ีทาใหจ้ ิตอยใู่ นกายท้งั น้นั ๓.๗ ศาสดาเอกของโลกเป็ นผมู้ าประกาศสอน ถา้ เป็ นคนพบทางของเดินออกไปเลย ปัจจุบันคน มาติดตาข่ายของความเป็ นสมมุติแลว้ ไม่รู้ทางออกสุดทา้ ยแลว้ เลยตายคาตาข่ายพระเจา้ ตะโกนเรียกวา่ ให้ มาทางน้ีทางน้ันทางโน้นไม่ใช่ไม่เห็นหรือว่าหลวงป่ ูมน่ั หลวงป่ ูตาบวั ไปทางน้ีคือหนทางออกบางคน อยากออกแต่ออกไม่ไดบ้ างคนไม่อยากออกบุคคลอยกู่ บั วตั ถุสิ่งของตายใหท้ าตนเองคน้ หาสิ่งสมบตั ิทรัพย์ สมบตั ิมหาศาล คือศาสนาระดบั โลกเกิดข้ึนมาเจอพอดีเจอปัญหาน้ีเท่ากบั การแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทร ของกองบุญเท่ากบั เดินวนอยใู่ นมหาวิทยาลยั ของปณิธานตอนน้ียืนดูข้นั บนั ไดของพระนิพพานแต่ไม่ได้ เดินเขา้ ไปคนที่ไม่รู้และเจ้าคือคนที่ไม่รู้และเจ้าจึงยกแขนข้ึนบนั ไดให้ข้ึนไปทางน้ีนะน่ีคือความสุขท่ี แทจ้ ริงกิเลสตณั หาเยอะไม่ไดเ้ อาอะไรนกั หนาพทุ ธเจา้ ตรัสไดน้ ่ากลวั มนุษยต์ ายจากเมืองมนุษยไ์ ปเกิดเป็ น เปรตเป็ นผีเยอะมากเพราะวา่ สร้างเหตุไม่ถูกตอ้ งผลไล่ลงนรกข้ึนสวรรค์ นอ้ ยที่สุดเขา้ สู่นิพพาน นอ้ ยที่สุด แลว้ ไม่ไดค้ ิดเลยคนท้งั หลายที่เกิดวกวนยกเวน้ อริยะกบั พระพุทธเจา้ ไม่ไดม้ ีเครื่องหมายชดั เจนเลยวา่ ตาย แล้วไปไหนแต่ถา้ ถามบอกวา่ สวรรค์แลว้ มาโลกนิพพานถา้ คาพูดออกมามีคาถามต่อไปว่าท่านสร้างเหตุ ถูกตอ้ งหรือยงั พอหรือยงั ท่ีท่านอยากไปเหตุน้ีหมายถึงศีลสมาธิปัญญาในการปฏิบตั ิตนตามหลกั พระธรรม ของพระเจา้ ๓.๘)ศีลเป็ นฐานท้ังหมด เช่น ฆราวาสเป็ นศีล ๕ อย่างต่อเนื่องศีล ๕ คือพื้นฐานของส่ิงทุกศีล สมาธิ คือ ฝังอยู่ในรูปแบบภาวนาพุทโธแล้วปัญญาตามมาเอง ถา้ จิตเขา้ ไปถึงความเป็ นสมาธิแลว้ ปัญญา ตอ้ งเกิดปัญญาเกิดน้ีไม่ใช่ นึกคิดปัญญาตวั น้ีหมุนให้ มีหนา้ ท่ีรู้หมุนไป เรียกวา่ วิปัสสนาหรือปัญญาจิต อาศัยความเป็ นสมาธิบ่มเพาะปัญญาทาให้เกิดเม่ือปัญญาทาให้เกิดแลว้ เดินทาเองตกมาตรงน้ีใช้ปัญญา มากท่ีสุดคิดมากยง่ิ รู้มากคิดมากย่งิ ไดม้ ากคิดมากการเดินทางทางจิตใจของคนที่เจริญกา้ วไกลมากแต่การที่ ทาให้จิตใจเป็ นสมาธิน้ีเกิดจากความคิดพอหมายถึงการมีสมาธิแล้วส่งเสริมความคิดเกิดรู้ธรรมะเห็นทา ความคิดตัวนีค้ ือปัญญาถอดปัญญา ปัญญาที่เป็ นสมาธิ คือปัญญาค่าตวั เอง แปรสภาพไปกบั เหตุการศึกษา การที่เห็นมาเป็ นอารมณ์ส่ิงพอใจหรือไม่พอใจจิตเหมือนกนั พอใจกบั ส่ิงท่ีเสียงเหมือนกนั แต่รับมาอยา่ ง ความชว่ั กลายเป็นบาปความดีออกไปเป็ นบุญเพราะฉะน้นั แลว้ บางคนคิดดีไม่เป็นคิดแตค่ วามชว่ั เอาบุญเอา บาปกบั บุญมาเป็ นผูจ้ ดั การหลงั การตาย ถา้ บาปมาจดั การก่อนที่ส่ังลงขา้ งล่างถา้ บุญมาจดั การก่อน สั่งข้ึน ข้างบนเป็ นอยู่อย่างน้ีไม่กลัวเหรอความรู้ท่ีพงั ทลายท่ีทาให้ตนเองได้โสดาบนั มาถึงปัจจุบนั ยงั พอท่ี ตดั สินใจไดว้ า่ ไม่เยอะความทุกขท์ ่ีท่องเที่ยวไปในทางท่ีไม่มีจุดมุ่งหมายปลายทางน้ีแลว้ พุทธเจา้ ตรัสไวว้ า่ หนา้ ท่ีท่องเที่ยวชมบรรยากาศเฉยๆสติปัจจุบนั มีหนา้ ที่มาท่องเที่ยวในเมืองมนุษยช์ าติท่องเที่ยวไปเรื่อย ๆ ท่องเท่ียวไปแต่พบชาติท่านไม่มีสิทธ์ิหยบิ อะไรไดส้ ักอยา่ งแต่ละภพแต่ละชาติท่านมีสิทธ์ิไปเที่ยวชมแลว้ เกิดในเมืองมนุษยแ์ ละกายในเมืองมนุษยห์ รือวา่ เอาไปเผาบนสวรรคเ์ กิดในเมืองเสร็จ ตายในเมืองเปรตเกิด ในเมืองผี ตายไปในเมืองผีเกิดในเมืองเทวดา ตายในเมืองและเทวดาเกิดในพระนิพพานน้ีไมม่ ีคาวา่ ตายไม่ รู้จกั คาวา่ ตายไม่มีภาษาท่ีอธิบายทาไดห้ มด ตอ้ งปฏิบตั ิในเจอเหตุการณ์ดว้ ยตนเองเพราะเยอะมากแต่เอามา เป็ นคาพูดน้ีพูดไดน้ ้อยที่สุดแล้วการเรียนรู้จกั ตวั หนังสือยงั ไม่ได้ พระไตรปิ ฎกเป็ นเพียงแค่เส้ียวหน่ึง
๑๔๙ พระพุทธเจา้ วา่ เอาอนั น้ีไปเป็ นชนวนให้ ปฏิบตั ิ ไปเห็นอีกส่วนหน่ึงที่เยอะๆแต่ ต้องปฏิบัติตรงน้นั ถา้ เกิด การขาดปฏิบตั ิเขา้ ไปไม่ไดธ้ รรมะอยอู่ ีกมิติหน่ึงอยทู่ ่ีเขา้ มาชมหรือมาเป็ นส่วนหน่ึงของบุคคลไดต้ อ้ งเขียน ผทู้ ่ีมีความสงบทางใจถึงเขา้ ไปไดเ้ ยอะมากเอามาเป็นคาพดู เพียงแตว่ า่ น้ีเป็นศึกษาเรื่องจิตชานาญเร่ืองจิตมา พอสมควรไปฟังเทศน์ที่ไหนท่านหยิบเอามหาสมุทรของทาออกมาเทศน์ให้ฟังแต่น่ี มาคานวณดูวา่ ไม่ใช่ ไปหยบิ เอาส่วนที่ทา่ นไดเ้ จอมาอธิบายใหบ้ อกน้ีไดย้ ินไดฟ้ ังไม่ไดม้ ีความหมายอะไร มีไปหยบิ เอาส่วนขา้ ง ในให้ มาฟังขา้ งนอกนิดเดียวแตส่ ่ิงที่พระเจา้ เนน้ มากท่ีสุดคือส่วนของวธิ ีเดินเข้าไปลกั ษณะอาการของจิต ต้ังแต่เริ่มต้นการทาสมาธิสมาธิแล้วเกิดขึน้ แล้วปัญญาธรรม คติธรรม เป็ นแบบไหนรู้แบบไหนสอนแบบ ไหนมาเรียบเรียงตรงน้ี กรรมหนา้ ท่ีจาแนกสัตวโ์ ลกใหเ้ ป็ นไปให้รู้ส่วนหน่ึงปัญญา เกิดข้ึนส่วนหน่ึงและ การไดย้ ินไดฟ้ ังแต่ไปใจได้หมดถ้าไปถึงจิตแล้วการปฏิบตั ิของตวั อ่อนตวั ลงอารมณ์เสียให้ ไปบุญส่ง เสบียงอาหารเขา้ เป็ นเช้ือของจิตใจบรรลุจนมองวา่ เป็ นคนไร้สติหรือคนบา้ คนท้งั หลาย ไม่สนใจท่ีดบั มา มอง มองแลว้ วา่ มนุษยเ์ ป็ นสัตวท์ ่ีฉลาดมากไม่ใช่คนโง่ความชราเทวดาสร้างไม่ไดพ้ ีสร้างไม่ไดป้ ิ ดสร้าง ไม่ไดม้ นุษยส์ ร้างไดข้ ้ึนอยา่ งสบายโดยกลายเป็ นเคร่ืองมือพรุ่งน้ีมีร่างกายอยู่ วา่ เป็ นมนุษยเ์ ฉยๆแลว้ ระดบั เดียวกบั เดรัจฉานหนา้ ท่ีอนั เดียวตอ้ งการความถูกตอ้ งการผสมพนั ธุ์ตอ้ งการอ่ิมตาอ่ิมทอ้ งหนา้ ที่อนั เดียวกนั เพียงแต่ว่ามนุษยใ์ นสติน้ีบอกว่าเป็ นมนุษยค์ ือศาสตร์อนั เดียวกนั แต่เป็ นอีกประเภทหน่ึงเขา้ ถึงธรรมแลว้ พระไตรปิ ฎกหมดความหมายไมไ่ ดม้ ีอะไรเลย ๓.๙)ภาษาใจธรรม อธิบายไม่ไดเ้ ขา้ ไปถึงธรรมะบริสุทธ์ิทากบั จิตโดยธรรมชาติมีพืน้ ฐานเป็ นศีล สมาธิปัญญา ถา้ เกิดจากความบริสุทธ์ิของใจใครเป็ นสุขจิตตรงน้นั ไปนิพพานใครพอไป จิตดวงท่องเท่ียว ในวฏั จกั ร คนอยใู่ นโลกน้ีเป็นแสนเป็ นลา้ นลา้ นคนคนสาคญั มีเพยี งคนเดียวดีชว่ั คนๆน้ีแหละผดิ ที่ชว่ั ทาดี ไดย้ ากจิตที่ดีทาชว่ั ไดย้ ากแต่สองอยา่ งน้ีถา้ เกิดเขา้ หาสนามทาดา้ นใดดา้ นหน่ึงไดเ้ ลยอยกู่ บั การฝึ กจิตเป็ น จิตเปล่ียนแบบของได้บ้าง คนเกิดข้ึนมามีรูปแบบความช่ัวต้งั แต่อยู่มีแรงผลักดันให้ทาแต่สิ่งที่ช่ัว เพราะฉะน้นั คนเกิดข้ึนมาถึงแบ่งแยกออกเป็ นกลุ่มๆความชว่ั มีระดบั ของเสมอกนั ไปกนั ไดแ้ ละความดี มี ระดบั ถา้ เสมอกนั ไปกนั ไดถ้ า้ ให้พวกน้ีไปเป็ นเพื่อนกนั นบั เป็ นเร่ืองยากมากเพราะฉะน้นั สองคนน้ีเขา้ สู่ ทางธรรม ฝึ กอนั เดียวกนั คือการฝึ กจิต เมื่อศาสนาอยากกลายเป็นของไม่ยากเลยปัจจุบนั น้ีแค่ทาตวั ให้เป็ นผู้ ปฏิบตั ิธรรมยาก ทาตวั ใหเ้ ป็นผูป้ ฏิบตั ิธรรมเตม็ ตวั แลว้ ไดค้ วามยากท้งั หลายน้ีพระพทุ ธเจา้ บญั ญตั ิมาใส่กบั ความสามารถของมนุษยเ์ หมือนกนั พระพุทธเจา้ ตรัสรู้เป็ นพระพุทธเจา้ แลว้ ทามาวางไว้และปัญญาแบบ ไหนถึงดีกบั ความสามารถของมนุษย์ รูปแบบ ๔) ฝึ กพากเพยี รจิตให้เป็ นปัจจุบันขณะสาคญั ใช้สตผิ สานกายและจิต ต้งั ใจปฏิบัติต่อเน่ือง
๑๕๐ หลวงพอ่ พระสมุห์สมชาย จีรปฺญฺโญ (แสงสิน) เจา้ สานกั ปฏิบตั ิธรรม วดั คุม้ ตะเภา ตาบลคุง้ ตะเภา อาเภอเมือง จงั หวดั อุตรดิตถ์ สัมภาษณ์ เม่ือวนั ที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๑ ๔.๑) สติอยู่ในกาย คือการมีสติอยูต่ ลอดเวลาการเคลื่อนไหว การพูดการคิดอะไรถา้ มีสติอยตู่ ลอด จะทาอะไร ไดผ้ ลสาเร็จทุกอย่าง เช่น เดินจิต รู้ว่ากาลงั เดินอยู่ เดินไปทาอะไร เดินไปท่ีไหนแลว้ จะมี สมาธิท่ีดี สมาธิคือความจาท่ีดี ไม่วา่ จะทาอะไรหรือเอาสิ่งของไวต้ รงไหน จะมีสติไม่หลงไม่ลืมหรือทา อะไรไวต้ รงไหน นึกได้อยู่ตลอด คือสมาธิ เป็ น กายคตาสติ หมายถึง สติอยู่ในกาย จะทาให้เป็ นคนที ต่ืนตวั อยตู่ ลอด จิตของ จะไม่นอนไม่นิ่งไมฟ่ ุ้งซ่านหมือนเวลาท่ีมีงานเขา้ มาเร่งด่วนจิตจะมีการพฒั นาดา้ น การคิดวเิ คราะห์แยกแยะข้ึนมาทนั ทีและงานมีประสิทธิภาพคือความไวของจิต ๔.๒)วธิ ีการฝึ กจิต แรก คือ สมาธิเป็ นตัวกาหนดจิต พทุ โธ โดยกาหนดจิตหายใจเขา้ “พุธ” หายใจ ออก “โธ” อยา่ งชา้ ๆ และรู้ตวั เอง ฝึ กไปนาน ๆ สม่าเสมอ จะทาใหจ้ ิตใจสงบ แต่ถา้ ปฏิบตั ิควบคู่กบั กายค ตาสติ จะกาหนดจิต “พุทโธ” ใช้จิตรับรู้ต่าง ๆ รวมถึงรับรู้อารมณ์และความรู้สึกข้ึนมาแทน จากสมาธิใน รูปแบบที่ทาให้เกิดประโยชน์คือ การพูด การคิด การเคลื่อนไหวรวมถึงอิริยาบถทุกอย่าง สติจะตามไป เรื่อย ๆ ตลอดเวลาจะไดผ้ ลดีตอ่ ชีวติ ทาใหไ้ ม่คิดฟุ้งซ่าน ๔.๓) จิตใจทีส่ งบ สามารถทงิ้ คาบริกรรมได้โดยอัตโนมัติ จิตกบั สติต่างกนั คือ สติตอ้ งควบคุมจิต อีกทีหน่ึง ถา้ มีจิตอยา่ งเดียวแต่ขาดสติควบคุม การที่จะทาอะไร เผลอขาดความรอบคอบ จิตคือนึกอะไร ไปถึงทนั ทีแต่สติเป็ นตวั คอยกาหนดว่าจะไปท่ีไหน ตัวสติเป็ นตัวควบคุมเป็ นความรู้สึกตัวตลอดเวลา ระลึกไดต้ ลอดเวลาการฝึกจิตใหส้ งบน้นั ไม่ยาก ตอ้ งปฏิบตั ิอยา่ งตอ่ เน่ืองค่อยเป็ นค่อยไปคอยกาหนดจะคิด จาทาอะไรจะเคล่ือนร่างกาย มีจะสติทาเหมือนกบั เล้ียงลูกจะปล่อยให้ลูกไปไหนคนเดียวไม่ไดต้ อ้ งคอย ตามไปเรื่อย ๆ ไม่ปล่อยให้ไปเองตามลาพงั เหมือนกบั สติเป็ นพีเ่ ลีย้ งของจิตคอยเดินตามแล้วควบคุมอยู่ ตลอดเวลาพอ เกิดปัญหาอะไรข้ึนสติจะเขา้ มาควบคุมจิตคอยเดือนสติอยเู่ สมอๆวา่ ส่ิงไหนควรทาไม่ควรทา และตวั จะประมวลผลวา่ ส่ิงท่ีทาอยผู่ ดิ เพราะอะไรคือสมาธิสติคุมจิตหยดุ ๔.๔) ความคิด คือ ตวั จิต มีความอยากตลอดเวลา เรียกวา่ ตณั หา คือ จิตเกิดตณั หาคิดเรื่องไปเร่ือย สามารถระงบั ได้ หากวา่ มีสติ ฝึ กจิตต่อเนื่องสม่าเสมอทุกวนั เมื่อเกิดปัญหาเขา้ มาจิตจะระลึกไดท้ นั ทีแต่ หากถา้ ไม่มีสติ จิตคิดไปเร่ือยเป่ื อยหรือที่เรียกว่า สติเตลิดไปคิดถึงคนน้นั คนน้ี ขาดสติไดจ้ ิตใจไม่น่ิง เพราะมวั ไปคิดเร่ืองของคนอื่น ๔.๕) เวทนา คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา สุขเวทนาหมายถึงความรู้สึกสุข สบาย ท้งั ร่างกายและจิตใจ ทุกขเวทนา หมายถึง ความรู้สึกทุกขไ์ ม่สบายท้งั ร่างกายและจิตใจอทุกขมสุขเวทนา
๑๕๑ หมายถึง ความรู้สึกเฉยๆจะสุข ไม่ใช่จะทุกขไ์ มเ่ ชิง หรือเรียกวา่ อุเบกขาเวทนา ความทุกขท์ างกาย คือ เดิน นาน ทุกข์ นง่ั นาน ทุกข์ นอนนาน ทุกข์ คือความไม่สบายกาย แตค่ วามทุกขท์ างใจ คือ ทาอะไรกาหนดได้ เอง จะนาเอาสติกาหนดให้ระลึกว่า คือ ของจริงของปลอมและคาว่า เวทนาในพระไตรปิ ฎกมีเนื้อหาน้อย มากที่ให้รู้แต่ในความเป็ นจริงในการใชช้ ีวิตมีเยอะกวา่ คาอธิบายในพระไตรปิ ฎกมนั แยกแยะออกมาเอง โดยแยกแยะคาพูดแยกแยะทางกายแยกแยะเวทนา และแยกแยะทางจิต แต่จิตน้นั สาคญั ท่ีสุดเพราะจิตน้นั การฝึกไม่ดีกาย ไม่เกิดผลจิตเป็นตวั นา ถา้ เวทนาเกิดข้ึนถา้ จิตอบรมดีแลว้ เช่น ถา้ นง่ั นานๆ ถา้ ทาสมาธิเป็ น จิตจะยกหนีได้ เช่น ถา้ ตอ้ งการส่ิงใดตอ้ งได้ คือจิตกาหนดจิตคือตัวรับรู้อารมณ์ทุกอย่างจิตรับรู้ตลอดเวลา กายคือตวั รับเวทน ากายเป็นตวั กลางของจิตจิตสงั่ กายกายจะสนองหรือไม่สนอง เช่น ถา้ อยากไปที่ไหนแต่ กายไม่ไปจิตไม่สามารถไปไดเ้ พราะ ร่างกายเป็ นตวั กลางของจิตแลว้ เช่นหากกายหิวจิตไม่หิว ไปไม่ได้ เหมือนกนั จิตและกายทางานไม่เหมือนกนั กายเวทนาจิต ทุกอยา่ งเกิดข้ึนพร้อมกนั แต่ ตัวรับรู้คือจิต กาย คือตวั เวทนาคือตวั จิตคือตวั อยูข่ า้ งนอกกายให้กาหนดความคิดของไปไหนได้ ถา้ ฝึ กจิตดี ๆ สามารถ แยกสุขแยกทุกขแ์ ละแยกจิตออกจากกายได้ รูปแบบ ๕) สายกาหนดยุบพอง ปฏบิ ตั ิตามรูปแบบข้ันตอน เรียนรู้ปริยตั ใิ ห้อยู่กบั ปัจจุบัน สานกั ปฏิบตั ิธรรม วดั คุม้ ตะเภา ตาบลคุง้ ตะเภา อาเภอเมือง จงั หวดั อุตรดิตถ์ ๑)หลวงพอ่ พระสมุห์สมชาย จีรปฺญฺโญ (แสงสิน) ๒)พระมหาเทวประภาส วชิรญาณ เมธี (มากคลา้ ย) ๓)พระมหาปิ ยะ ปิ ยธมฺโม (ยมิ้ ภู)่ ๔) พระครูสุจิตพฒั นพธิ าน สัมภาษณ์เมื่อวนั ท่ี ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ ๕.๑) ตามแนวสติปัฏฐาน ๔ พระพุทธเจา้ ท้งั หลายเดินตามสายทางน้ี ท่านให้พิจารณาเกี่ยวกบั สังขาร การรู้ทนั สังขาร การกาหนดจิต การเดิน การนง่ั เจ็บตรงไหนหรือปวดตรงไหนท่านให้พิจารนา สังขาร ให้รู้ตามทันปัจจุบัน รู้ตวั วา่ ปัจจุบนั กาลงั ทาอะไร หมนั่ ฝึ กปฏิบตั ิตามทนั รู้เท่าทนั ปัจจุบนั ได้ เวลา นง่ั กาหนดไปดว้ ยส่งจิตไปกาหนด ปวดตรงไหน ส่งจิตกาหนดไปที่ขา กาหนดไปเรื่อย ๆ จนกวา่ จิต ดบั ไปเอง พอจิตดบั แลว้ หมดความรู้สึกเเลว้ หายปวดไปโดยปริยาย ๕.๒) การดึงจิตออกจากร่างกาย ตอ้ งตอ้ งฝึ กถึงข้นั การสมาบตั ิ ระดบั ข้นั เรียกว่า ข้นั อรูปราคะ หมายถึงจิต น่ิงไปเฉยๆ จิตแข็งไปเฉยๆเหมือนดง่ั ท่อนไมใ้ คร ยกไปทางไหน เห็นจากการท่ีท่านไดไ้ ป ปฏิบตั ิมาคือ ปฏิบตั ินง่ั แข็งโดยมีคนโยกยา้ ยไปตรงไหน ไดท้ ่านไม่มีความรู้สึกวา่ มีคนยกยา้ ยจากที่นง่ั เดิม คือข้นั อรูปราคะ คือการหลุดพน้ จากการกาหนดแต่ยงั คงกาหนดจิตอยูเ่ ร่ือย ๆ กาหนดรู้ดว้ ยวา่ สิ่งท่ีเขา้ มา เป็นสิ่งที่ดีหรือส่ิงท่ีร้ายต้องกาหนดวา่ ส่ิงเหล่าน้นั มีความถูกตอ้ งหรือไม่ถูกตอ้ ง หากนาส่ิงท่ีผดิ ๆเขา้ มาบาง
๑๕๒ ทีนงั่ ปฏิบตั ิมีส่ิงแปลกๆสิ่งชว่ั ร้ายเกิดข้ึนมาเองในความคิดเอง ที่นงั่ อยู่ ตอ้ งคอยพิจารณาอย่าไปตามให้ กาหนดรู้ของตวั เอง ๕.๓) กาหนดจิต วา่ เห็นหนอ เห็นหนอ รู้หนอ รู้หนอ แลว้ ส่ิงท่ีกาลงั คิดข้ึนมาอยหู่ ายไปหรือหลุด ไปหากขาดสติไปตามรู้ตามส่ิงท่ีกาลงั คิดข้ึนมาเองเกิดการท่ีสติหลุด สติเตลิดและสมาธิหลุด จิตหลุด ถา้ หาก ตามความคิดท่ีเกิดข้ึนเป็ นคนคิดข้ึนมาเองเรื่อยเป่ื อย หากตามในเร่ืองที่ดีแลว้ รู้ทนั วา่ ส่ิงใดท่ีเกิดข้ึนมา สิ่งน้ัน ย่อม ดบั ไป หากกาหนดจิตไปสิ่งที่เกิดจากความคิด มนั ดบั ไปด้วยโดย ปริยาย เช่น ถ้าเหมือน ร่างกายของคน เวลา นงั่ ไปเร่ือยๆควบคุมตวั เองไดด้ ี ถา้ หาก เกิดสมาธิแขน ขา ไม่รู้สึกปวด ไม่รู้เจ็บใดๆ ท้งั สิ้น กาหนดจิตอยเู่ พียงแคป่ ลายจมูกท่ีลมหายใจ ไม่ใหม้ ีความรู้สึกใดๆ ๕.๔) ออกจากสมาธิแลว้ ร่างกายปกติไม่ปวดไม่เม่ือยแตอ่ ยา่ งใด เรียกวา่ ฌาน ๔ เช่น สมมุติคนไป ฝึ กปฏิบตั ิสมาธิระดับข้ันฌาน รู้ถึงวา่ ฌานเป็ นแบบน้ี ส่วนญาณเป็ นแบบน้ี หากไดไ้ ปฝึ กปฏิบตั ิแต่กลบั ไม่ เห็นอะไรเลย ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกบั การที่ยงั ไม่ไดฝ้ ึ กหมายความวา่ ตอ้ งเรียนรู้ให้เข้าใจ และฝึ กปฏิบัติ ควบคู่กันไปด้วยถึงรู้ซ้ึงถึงแก่นที่แท้จริงปฏิบตั ิแล้วต้องแก้อารมณ์ทุกสถานการณ์ไม่ว่าเป็ นอย่างไร เหมือนกบั ปฏิบัตไิ ปแล้วต้องมกี ารทดสอบของอารมณ์ของตวั เองกบั ครูบาอาจารย์ กาหนดเริ่มปฏิบตั ิต้งั เเต่ เชา้ ถึงตอนเยน็ พอถึงเวลาช่วงค่าตอ้ งไปทดสอบกบั ครูบาอาจารยว์ า่ มี อาการแบบคือ คิดไปเรื่องเร่ือยเป่ื อย ใจไม่น่ิง วอกแวก อยไู่ ม่เป็นสุขส่ิงเหล่าน้ีเรียกวา่ อาการคิดฟุ้งซ่าน แต่ละพ้นื ฐานแต่ละภูมิของวิปัสสนาไม่ เหมือนกนั บางภูมิเร่ิมจากอาการแปรปรวน แบบภูมิที่หน่ึง เป็ นอารมณ์แปรปวน หงุดหงิดง่าย อารมณ์ท่ี สอง เหมือนกบั ไม่ว่าใคร พูดอะไรออกมา กระทบกระเทือนจิตใจไปหมด เหมือนกบั ไม่อยากอยู่รับรู้ เร่ืองราวท่ีใครต่อใครกาลงั พูด อยากหนีใหไ้ กลจากสิ่งท่ี พูดรู้สึกวา่ ตนเองรับไมไ่ ด้ และรู้สึกไม่อยากปฏิบตั ิ ไปถึงภูมิสาม และภูมิสี่ คนเหล่าน้ีถึงกบั จิตหลุดเลย หลุดหมายถึงไม่อยากอยู่แลว้ อยากไปให้ไกลและไม่ ปฏิบตั ิต่อแลว้ และในเเต่ละภูมิไม่เหมือนกนั เหมือนกบั วา่ มีอะไรมากระทบจิตใจแลว้ ไม่อยากทาอะไรต่อ ฉะน้นั จึงให้กาหนดจิตทุกอริยาบถ เช่น การท่ีนง่ั เป็ นเวลานาน ๆ มีจุดที่ปวดเม่ือยเป็ นปกติให้กาหนดว่า สมมุติวา่ ตรงสะโพก หวั เข่า หนา้ ทอ้ ง หนา้ ขา หลงั เทา้ เวลานง่ั กาหนดไปเร่ือยๆ กบั บางคนกาหนดจิตไม่ เคยฝึกปฏิบตั ิ เม่ือเจอเหตุการณ์แบบน้ีต้องฝึ กการเคล่ือนไหวของความรู้สึกไปตามร่างกายแตไ่ ม่เคยไปตาม จุดต่างๆ เกิดจากไปฝึ กปฏิบตั ิแลว้ เคยเจอแบบน้ี ฝึ กแบบรู้สึกตัวตามลกั ษณะนั่ง เพราะวา่ ไม่ไดก้ าหนดจุด ว่าจุดน้ีอยู่ตรงน้ี แลว้ กาหนดจุดไล่ไปเร่ือย ๆ ลองเอาความรู้สึกของตวั เองเป็ นท่ีต้งั ท่ีกาหนดส่ิงน้ี คือ ความรู้สึก ไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่คิดไปเร่ืองอื่นๆเรื่อยเปื่ อยใหจ้ ิตใจอยกู่ บั ตวั เอง ให้อยู่กับปัจจุบันไม่ตอ้ งไปนึก ถึงอดีตท่ีเคยผา่ นมาและอนาคตท่ียงั ไมถ่ ึง ๕.๕) การกาหนดหนอ เป็ นการกาหนดที่ให้รู้วา่ ตรงน้ีมนั ถูกแลว้ หนอ มนั ใช่แลว้ หนอ มนั ถึงแลว้ หนอ มนั ควรแลว้ หนอ คือการส่งจิตไปกาหนดแลว้ จิตไม่ฟุ้งซ่านถา้ ปฏิบตั ิโดยละเอียดข้ึนเห็นผลชดั เจน ตอ้ งหม่นั ปฏิบัตติ ่อเนื่องเพื่อเป็ นการย้า ครูบาอาจารยบ์ อกวา่ มีในพระสูตร เพราะวา่ มีนกั เรียนพระหลายรูป สงสัยทาไมการกาหนดจิตต้องใส่คาว่า “หนอ” ลงทา้ ยดว้ ย ท่านจึงอธิบายเหตุผลว่าเป็ นเทคนิคของครูบา อาจารย์ท่ีไดม้ าต้งั แต่อดีตถึงปัจจุบนั และคาดวา่ ตอ้ งสืบต่อไปจนถึงอนาคต
๑๕๓ ๕.๖) ต้นจิต เวลาฝึ กปฏิบตั ิหาตน้ จิต ตอ้ งฝึ กสติให้สติตามทนั การฝึ กในระยะแรกอาจไม่ทนั ตอ้ ง ฝึ กไปเรื่อยๆจนจิตเริ่มน่ิง ถา้ กาหนดอย่างละเอียดแมแ้ ต่การกินขา้ วสามารถต้งั จิตได้ โดยกาหนดจิต กิน หนอ กินหนอ ยกหนอ ยกหนอ ตกั หนอแลว้ ในการปฏิบตั ิธรรมตรงธรรมสาคญั มากๆคือกลั ยาณมิตร กลั ยาณมิตรคือ ครู อาจารย์ พระพุทธเจา้ คือหลกั ธรรมท่สี ่ังสอน ถา้ สงสัยถามกลั ยาณมิตรหากกลั ยาณมิตร ช้ีนาไปผดิ ทางมนั ผิดท้งั หมด กลั ยาณมิตรไม่ใช่แมแ้ ต่คนแต่ยงั เป็ นสถานท่ี ส่ิงแวดลอ้ ม ทาให้เข้าถึงปัญญา และสมาธิได้และอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างถา้ ทุกอย่างมนั เอ้ืออานวยแต่บางคนไม่มีส่ิงอานวยที่ดีแต่ สามารถปฏิบตั ิเขา้ ถึงธรรมได้ เช่น การท่ีไปปฏิบตั ิธรรมในป่ าเขา้ ถ้าแลว้ เสือมากินพระกินถึงขาทา่ น ตอ้ ง กาหนดจิตอยา่ งเดียว เวทนาตามมาหากกาหนดครบไดถ้ ึงเป็ นอรหนั ต์ สัพพยะ ไม่รู้สึกปวด ไม่รู้สึกเจบ็ ไม่ ตอ้ งไปบงั คบั หากฝึ กจิตจนชานาญจิต พจิ ารณาวา่ หากเจอเหตุการณ์แบบน้ี ทาอยา่ งไรอาการแบบน้ีจดั การ ไดอ้ ย่างไร จิตทาให้เข้าถึงปัญญาได้ ไม่จาเป็ นตอ้ งเป็ นรูปแบบท่ีสมบูรณ์ไม่จาเป็ นตอ้ งห่มขาวนุ่งขาวแต่ เพยี งวา่ การมาทาอยา่ งน้นั เพื่ออะไร เช่น อยใู่ นชีวติ ประจาวนั ตอ้ งทามาหากินต่ืนเชา้ มาตอ้ งทางานทาอาหาร คงไม่มีเวลามากาหนดมาก แต่หากมาอยใู่ นสถานท่ีที่เอ้ืออานวยทุกอยา่ ง มีนกั ปฏิบตั ิ มีครูบาอาจารยส์ อน มีสถานที่ฝึก มีหอ้ งพกั มีขา้ ว มีน้า และอาหาร แคต่ ้งั ใจปฏิบตั ิอยา่ งเดียวมนั เอ้ือ ฉะน้นั คณะสงฆจ์ ึงอยากให้ มีคนปฏิบตั ิธรรมเพ่อื ประโยชน์ การสวดมนต์ ถือวา่ เป็นสมถะทาให้ น่ิงอยกู่ บั เสียงท่ีเปล่ง การไปเขา้ สานกั ปฏิบตั ิธรรม ตอ้ งคอ่ ยๆเป็น ค่อยๆไป ๕.๗) ควรเร่ิมฝึ กจากเวลานอ้ ยไปก่อน เร่ิมจาก ๑๐นาที ๑๕ นาที แลว้ จึงค่อยๆเพิ่มเวลาในการนงั่ สมาธิไปเร่ือยๆ เป็ นชว่ั โมงๆ ถา้ หกั โหม เกิดการต่อตา้ น หากนงั่ สมาธิ ๑ชวั่ โมง ปล่อยแลว้ นง่ั ต่อไปอีกสกั ๑๐-๑๕ นาที เพ่ิมเวลาข้ึนไปที่ละ ๕ นาที เวลา นงั่ นานๆสามารถรู้เวลาตอนน้ีไดว้ า่ กี่นาทีแลว้ ตอนน้ีได้ ๑ ช่วั โมง แลว้ กระตุน้ ตวั เองข้ึนมาทนั ที จิตรู้ตัวเอง เวลาปฏิบตั ิทาให้ใจไม่ฟุ้งซ่าน จิตไม่ปรุงแต่งอยู่กบั อารมณ์เดียว เช่น เหมือนกรณีที่เด็ก ๑๓ คนติดถา้ เด็กได้ใช้สมาธิทาให้คิดวา่ ผา่ นไปเพียงไม่กี่วนั สมาธิ สามารถอธิบายบางอยา่ งบนโลกของคนท่ีศรัทธาได้ ตาราวสิ ุทธิมรรคของพระพทุ ธโฆษาจารย์ สายปฏิบตั ิ ๕ สายไดแ้ ก่ ๑) พุทโธ ๒)อานาปานสติ ๓)ยุบหนอ พองหนอ ๔)รูปนาม ๕)สัมมาอรหนั ต์ สายปฏิบตั ิ ท้งั ๕ สาย แต่ละสายไม่เหมือนกนั บางคนชอบแบบสมถะอยกู่ บั สายสมถะ กาหนดพุทธโธๆ อยทู่ ่ีอาจารย์ ทา่ นใชอ้ ุบายวธิ ีของท่านปฏิบตั ิได้ ทุกอยา่ งเป็นอุบายท้งั หมดและท่านนาเอามาสอนช้ีแนะ หากนาแบบอ่ืน มาสอนทา่ นสอนไมไ่ ด้ แก่นแท้ของการปฏบิ ตั ิสุดท้าย ต้องขึน้ ยดึ พระไตรปิ ฎกในการตดั สิน เหมือนสติปัฏ ฐานตอ้ งยึดในพระไตรปิ ฎกวิธีการปฏิบตั ิอาจมาการแต่งข้ึนมาใหม่ ท่านบอกพระไตรปิ ฎกเป็ นอุบายแต่ สุดทา้ ยตอ้ งกลบั ไปดูวา่ ตรงกบั พระสูตรหรือไม่ อยา่ งอานาปานสติอย่ใู นพระไตรปิ ฎก ๕.๘) พระพทุ ธเจา้ ทรงเทศนส์ อนคนแต่ละคนในโลกน้ีไม่เทา่ กนั มีสูงมีต่าสอนบทเดียวแลว้ ใชก้ บั ทุกคนไมไ่ ด้ ตอ้ งมีหลายระดบั บางคนอาจชอบแนวน้ีบางคนอาจชอบแบบสติปัฏฐาน หรือไม่ ตอ้ งกลบั ไป สมถะก่อน บางคนไปถึงพมา่ เขา้ สานกั ใหญไ่ ปปฏิบตั ิ สานกั เป็นเวลาสามถึงสี่เดือน กลบั มายงั จิตใจฟุ้งซ่าน อยเู่ หมือนเดิม เลยตอ้ งเริ่มตน้ จากการสมถะก่อนอาจเป็นเพราะขาดองคธ์ รรมบางอยา่ งอยู่ พละ๕ อาจยงั ไม่ สมบูรณ์ตอ้ งปรับใหส้ มดุลกนั เป็นคนวติ กจริตคิดเร่ืองโนน้ เรื่องน้ีทาใหก้ าหนดไมท่ นั และทาใหฟ้ ุ้งซ่านอยู่ เรื่อย การเข้าถึงธรรมะไม่ใช่แค่การคิดเอา แต่ต้องใช้ใจเห็นจิตเห็น
๑๕๔ ๕.๙) ใช้พระไตรปิ ฎกเป็ นหลักในการพิจารณา สายสติปัฏฐานยุบหนอ พองหนอ มาจากพม่าแต่ พม่าไม่ไดเ้ ป็ นคนคิดพม่าเอามาจากวสิ ุทธิมรรคสืบทอดมาจากพระพุทธเจา้ การตรัสรู้คือตวั เดียวกนั ครูบา อาจารยส์ มยั ก่อนไมไ่ ดเ้ รียนปริยตั ิแต่ท่านปฏิบตั ิแลว้ ทา่ น นามาสอนลูกศิษยป์ ริยตั ิใชส้ าหรับตดั สินกาหนด กาย อย่างเกิดเหตุการณ์พระธรรมกาย ทาไมรบกนั แทบตายคณะสงฆ์ไม่ยอมลงให้ ไม่กล้าไปทาร้าย เพราะวา่ คนในโลกน้ี ตอ้ งมองตามพระพุทธเจา้ บอกวา่ คนหน่ึงคนยอ่ มมีจุดดี จุดเสีย เลือกแค่ส่วนดี ไม่ใช่ ส่วนไหนท่ีเป็ นจุดเสีย บอกเตือนให้ปรับปรุงแกไ้ ข ศาสนาพุทธคือศาสนาท่ีพฒั นาแห่งการแกไ้ ข ไม่ใช่ ศาสนาแห่งการทาร้ายกนั เพราะฉะน้นั หากใครหลงผิด ตอ้ งช่วยตอ้ งเตือนจึงเกิดคาถามวา่ ทาไมคณะสงฆ์ ไม่ชดั เจนกบั สายน้นั ไม่ชดั เจนกบั สายน้ี คืออยา่ งนอ้ ยผูท้ ่ีปฏิบตั ิธรรม ไดส้ มถะในระดบั หน่ึง ซ่ึงถา้ เกิดทา ต่อเน่ืองไปไวแต่ถา้ ไปทาลายคนท่ี เริ่มทาต้งั แต่เบ้ืองตน้ เสียประโยชน์ สุดทา้ ยแลว้ มีหนงั สือถึง ๑๐๐ เล่ม หนงั สือ ๑,๐๐๐ เล่ม หรือมากมายเพียงใดตอ้ งเอาพระไตรปิ ฎกเป็ นหลักเป็ นแกนในการพฒั นาทุกอยา่ งซ่ึง จากการพิจารณามาหลายสาย สายสติปัฏฐานตรงท่ีสุดแลว้ ไม่วา่ เป็ นวธิ ีการ การเขา้ ถึง คือหลกั ธรรมที่ครู บาอาจารยส์ อนถอดมาจากพระไตรปิ ฎกไม่ไดค้ ิดเอง แลว้ การสอนวปิ ัสสนาเป็ นแบบพระไตรปิ ฎกซ่ึงสาย อื่นน้นั ไม่สามารถทาได้ ปัจจุบนั น้ี คณะสงฆ์ นาสายมหาสีเป็ นหลกั เพราะว่าตรงกบั พระไตรปิ ฎก การ กาหนดยบุ หนอพองหนอเป็ นบญั ญตั ิแต่สุดทา้ ยอาการปรมตั ิตรงกนั อาจ กาหนดดว้ ยอะไรตา่ งๆ แต่สุดทา้ ย แลว้ ปรมตั ิตรงกนั อาการพองอาการยุบตรงกนั ต่อใหก้ าหนดอยา่ งไร ตรงกนั ตามความเป็ นจริงทีเ่ กิดขึ้น นงั่ พองยบุ พองยุบ จนเกิดอาการเป็ นทุกขค์ ือ บางทีมนั พองๆไม่ยุบ ตอ้ งรู้ระดบั สัดส่วนในความเป็ นจริง ส่ิงท่ีเกิดข้ึนแลว้ เห็นจริง โดยการที่มียุบแลว้ ตอ้ งมีพอง กาหนดโดย ยุบหนอ พองหนอ การฝึ กวิปัสสนา เพื่อให้เห็นความเป็ นจริง แต่พละ๕ ถือเป็ นส่ิงสาคญั ในทางปฏิบตั ิในชีวิตประจาวนั ตอ้ งปล่อยว่างใชส้ ติ อยา่ ไปคิดใชส้ ติกาหนดใหช้ ดั ๆ ไมต่ อ้ งกาหนดกวา้ ง คิดถึงงานกาหนดวา่ งานหนอ งานหนอ บางทีกาหนด กวา้ งไปไมเ่ ฉพาะเจาะจงสุดทา้ ย ความคิดเป็นไตรลกั ษณ์ กาหนดปัจจุบันก่อนอยู่กบั ปัจจุบันกาหนดรู้ รูปแบบ ๖ สมถะนาแบบพทุ ธานุสติ ระลกึ ถึงพระพุทธเจ้า ศูนยป์ ฏิบตั ิธรรมพระนิพพาน ๒๐๓ ตาบลท่าเสา อาเภอเมือง จงั หวดั อุตรดิตถ์ พระสันติสุข สันตจิตโต สนทนาธรรม วนั ท่ี ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ ๖.๑) พระพุทธเจา้ สอนหลกั สติ ความรู้ความสามารถมีสติรู้อยู่ที่กาย แต่ต่างกันแค่คาบริกรรม แลว้ แต่พ้ืนฐานของแต่ละท่ีไม่จาเป็ นตอ้ งทาเหมือนกนั คาบริกรรมเป็ นเพยี งแค่จิตเหนี่ยวนาทาให้จิตสงบ และสวา่ ง การภาวนาอยทู่ ี่ใจ การประพฤติปฏิบตั ิมีรากฐานประพฤติปฏิบตั ิมานาน ไมจ่ าเป็นตอ้ งเปล่ียนให้
๑๕๕ เหมือนท่ีอื่น หากเปลี่ยนการประพฤติปฏิบตั ิตอ้ งเร่ิมใหม่ท้งั หมดแกไ้ ขทุกอย่าง ด้งั น้นั ไม่ควรไปเปล่ียน การประพฤติปฏิบตั ิติท่ีไหน เหมือนกนั ให้มองที่อื่นเป็ นการไปหาประสบการณ์เพิ่มเติมความรู้แต่ต้องมี หลักการ หากไม่มีหลกั การไม่เป็ นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ จากศูนยป์ ฏิบตั ิตามพระพุทธธรรมการสร้าง พระพุทธรู ป ๕๐๐ องค์ สร้างเป็ นพุทธสถานเป็ นศูนย์ปฏิบัติธรรมและมูลนิธิเป็ นประโยชน์ต่อ พระพทุ ธศาสนาทางโลกและทางธรรมทางโลกรักษากายส่วนทางธรรมน้นั รักษาใจ ทาประโยชน์ตามกาลงั ศรัทธาและความสามารถสร้างเป็ นกรรมฐาน เหมือนท่องพุทโธ ไม่สามารถเห็นพุทโธ ความสวยงามสร้าง บรรทดั ฐานอยทู่ ี่ความพอใจของผสู้ ร้างถา้ ชอบบอกวา่ สวย ในทางกลบั กนั ถา้ ไม่ชอบบอกวา่ ไม่สวย สติปัฏ ฐาน ๔ คือ จิตที่ระลึกถึงในส่ิงที่สร้าง “พุทโธ” บ่อยๆเป็ นส่ิงท่ียดึ ต้งั ในขณะที่สร้างจิตของบอกให้สร้าง เช่น อาตมาทาพระพุทธรูป การสร้างข้ึนมาให้เสร็จในหน่ึงองค์ตอ้ งใช้เวลาพอสมควร คงไม่มีใครที่นงั่ หลบั ตาแลว้ “พุทโธ” ไปเรื่อย ๆ ขณะที่ทาไมไ่ ดค้ นเดียวตอ้ งเชิญชวนผทู้ ่ีมีจิตศรัทธามีจิตคลา้ ยกนั ประพฤติ ปฏิบตั ิร่วมกนั ในลกั ษณะท่ีสร้างพระใน ๑ องค์ ตอ้ งอาศยั ความศรัทธา ชอบใจอยากที่ทา มีจิตศรัทธาเป็ น ทต่ี ้งั รวมถึงต้องอาศัยความอดทนและเพยี รพยายาม ๖.๒) นาหลกั การเจริญปัญญามาใช้ในชีวิตประจาวันได้ผลประสบความสาเร็จตอ้ งมีศรัทธาใน งานก่อนไม่ใช่วา่ ไม่ทาอะไรเลยแลว้ งานสาเร็จไดอ้ ยา่ งไร ตอ้ งมีจิตใจจดจ่ออยกู่ บั งานทาพระพทุ ธเจา้ ไม่ได้ อยใู่ นพระพุทธรูปแต่นี่ คือ สัญญาลกั ษณ์ทน่ี ึกถึงพระพุทธเจ้า พระพทุ ธเจา้ ไมเ่ คยสอนใหส้ ร้างพระพทุ ธรูป ในความเป็นลูกไม่ใช่แค่ทารูปถ่ายของพอ่ ข้ึนมาแต่ต้องการสัญญาลกั ษณ์หรือตวั แทนคาสอนของพอ่ ไม่ได้ สร้างให้คนมาหลงเช่ือไม่ไดส้ ร้างให้คนมานบั ถือ แต่สร้างเพ่ือสัจธรรมในส่ิงที่ท่านสอนมีความศกั ด์ิสิทธ์ิ หรือพระธรรมคาสอนถา้ มีเหตุผลทาอะไรข้ึนมาสักอยา่ งและสามารถอธิบายเหตุผลน้นั ได้ จบเพียงแค่น้นั แต่หากไม่มีเหตุผลไม่สามารถให้คาตอบได้ไม่รู้จกั ท่ีมาที่ไปได้ อนิจจงั เป็ นสิ่งไม่เท่ียงแท้ พระพุทธรูป สร้างมา ๓ ปี ๑๐ ปี ยงั เกิดความเส่ือมสลาย แมแ้ ต่ส่ิงที่คิดว่าศักด์ิสิทธ์ิยังไม่เท่ียงแท้ ดงั น้นั ตอ้ งมองด้วย ปัญญา สร้างความคิดด้วยปัญญา ดว้ ยไม่พ่ึงส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ คนตอ้ งมีความฝันมีแรงผลกั ดันมีแรงขับเคลื่อน แต่มาอยใู่ นความฝันอยา่ งเดียวไมไ่ ดต้ อ้ งอยกู่ บั ความเป็นจริงแต่ยงั คงอาศยั ความฝันและลงมือทาจนงานที่มี อยู่อย่างสาเร็จการเขา้ ถึงปัญหาในส่ิงท่ีสร้างอยูท่ ี่มีผูน้ าในการสร้างคือพระสงฆ์ซ่ึงมีความรู้ความเขา้ ใจ ขนาดไหนถึงได้ไปช้ีแนะ สร้างความเข้าใจได้คนอ่ืนไม่สามารถเข้าใจด้วยตวั เองได้เพราะไม่เคยมี ประสบการณ์ในเร่ือง ดงั น้นั ต้องมีครูบาอาจารย์มานาทางชี้แนะเพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ ไม่ใช่บอกใหม้ า ทาแต่ไม่สร้างความรู้ ความเขา้ ใจก่อน เช่น อยา่ งที่ครูสอนนกั เรียนอยใู่ นหอ้ งเรียน ๔๐ คน ครูท่ีดีตอ้ งสอน นักเรียนด้วยความรัก ความเมตตาอยากให้นักเรียนมีปัญญาและความรู้มากที่สุด แต่ศกั ยภาพความรู้ ความสามารถของแต่ละคนต่างกันท่ีได้รับความรู้ แต่ครู ท่ีดีต้องสอนนักเรี ยนอย่างเต็มท่ีให้สุ ด ความสามารถของครูตอ้ งช้ีแนะจนกว่านกั เรียนเขา้ ใจอย่างเท่ียงแท้ แต่ตอ้ งเขา้ ใจสัจธรรมอย่างหน่ึงว่า เป็ นไปไม่ไดท้ ี่ช้ีแนะทุกคนให้เขา้ ใจในการประพฤติปฏิบตั ิตนไดท้ ้งั หมด คนต่างมีวาสนาและบารมีที่ส่ัง สมมาแตกต่างกนั เป็ นบวั สี่เหล่า เพราะถา้ เขา้ ใจแลว้ ในการช้ีแนะบอกต่อน้นั ยอ่ มเป็นเร่ืองง่ายแต่หากถา้ ตวั ผูน้ าไม่เขา้ ใจเวลา ช้ีแนะหรืออธิบายใครย่อมเป็ นเร่ืองยากอธิบายให้ใครฟังไม่เขา้ ใจความหมาย เพราะ
๑๕๖ ขนาดตนเองยังไม่เข้าใจแล้วไปอธิบายคนอื่นให้เข้าใจได้อย่างไร เหมือนกบั ทากบั ขา้ วเป็ น สามารถพลิก แพงได้ เช่นวนั น้ีทาแกงเขียวหวานแต่ไปหาซ้ือกะทิไม่ได้ แต่มีนมสดอยูท่ ่ีบา้ นยงั ไงวนั น้ี ตอ้ งไดก้ ินแกง เขียวหวานแน่นอนเพราะนมสดแทนกะทิไดแ้ ต่ถา้ คนไม่เขา้ ใจ เพราะถูกสอนมาดว้ ยมาตามตาราถา้ ไม่มี กะทิ วนั น้นั คงไม่ไดก้ ินแกงเขียวหวานอยา่ งแน่นอน จริงๆแลว้ มีอะไรท่ีสามารถชดเชยกนั ได้ สามารถ พลิกแพงได้ แตท่ ุกวนั น่ีเวลาสอนประพฤติปฏิบตั ิคอ่ ยๆหลบั ตาต้งั ตวั ตรงดารงสติใหม้ นั่ และมีแนวความคิด มีปัญญาสอนนอกเหนือจากตาราท่ีเก็บกลายเป็นผิดแปลกประหลาดไปเลย กรรมฐานของพระพุทธเจา้ เป็ น ส่ิงท่ีมนั่ คงหลกั ๆคือคมั ภีร์มีหลากหลายวิธีแมก้ ระทง่ั การเพง่ กสิณ เพ่งสีต่างๆ ยงั สร้างภาพเป็ นสีๆไดเ้ ป็ น กสิณเป็ นพุทธานุสติ พิจารณาเป็ นกรรมฐาน สร้างเป็ นกรรมฐานไม่ไดส้ ร้างเพ่ืออวดบารมีแต่สร้างด้วยจิต ศรัทธาได้ปัญญาจากสิ่งท่ีสร้างไมใ่ ช่แค่ไดแ้ คว่ ตั ถุไดถ้ ึงจิตวญิ ญาณเป็ นเพียงแค่เศษหินดินทรายเหลา้ น้ีเป็ น ตวั กาหนดจุดเริ่มตน้ ที่ทาให้ รู้จกั คุณงามความดีเหมือนเขา้ วดั ไปกราบพระพุทธรูปหรือไปกราบโบสถ์ ลองยอ้ นกลบั ไปในสมยั ก่อนคือสัญญาลกั ษณ์เม่ืออยหู่ นา้ พระพุทธรูปตอ้ งนึกถึงเรื่องศีลธรรมและคุณงาม ความดี ใครคงไม่คิดว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพุทธรูปแลว้ อยากกินเหล้าต่อหน้าพระพุทธรูปเพราะฉะน้ัน สัญญาลกั ษณ์สามารถตอบแทนคาพูดหรือประโยคในของคุณงามความดีไดช้ ดั เจนไม่ตอ้ งยดึ ติดวตั ถุ เช่น การที่กราบไหวต้ น้ ศรีมหาโพธ์ิเป็ นเพียงขอ้ มูลการสืบคน้ ขอ้ มูลในอดีตในประวตั ิศาสตร์ท่ีตอ้ งหาเพิ่มเติม แรงศรัทธาท่ีทาพระพุทธรูป ๕๐๐ รูปมาจากการปฏิบตั ิดว้ ยความไม่รู้ไม่เขา้ ใจ เวลาปฏิบตั ิไปเหมือนเป็ น เด็กในวนั แรกที่ตอ้ งไปโรงเรียนหดั เขียน ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก ไม่รู้จกั ว่าอนาคตเป็ นอะไรตอ้ งมีการเริ่มตน้ ฝึกอ่านเขียน พ้ืนฐานในการปฏิบตั ินง่ั สมาธิ เดินจงกรม และพฒั นาไปเร่ือยๆเกิดปัญญาเกิดความรู้เกิดความ เขา้ ใจมากข้ึนตามกาลเวลาท่ีปฏิบตั ิ คนที่มีปัญญาเห็นสัจธรรมเห็นศักยภาพความสามารถสะสมเคยเล่า เรียนเคยศึกษาและความรู้ความสามารถที่มีอยู่ แสดงออกเป็ นสัญลกั ษณ์อยา่ งไรเมื่อสอนใครช้ีแนะอะไร สอนเเค่นามธรรมความเชื่อไม่ไดต้ อ้ งมีรูปธรรมและนามธรรมควบคู่กนั ไปฉะน้นั เริ่มตน้ มาจากจุดไหน โดนผลกั มาจากจุดไหนนาเอาวิธีการท่ีถูกฝึ กสอนจากตวั เองและถ่ายทอดให้คนอ่ืนมาฝึ กแบบถึงเป็ นผล ไม่ใช่บอกเหตุผลวา่ ทาเเลว้ เป็นอยา่ งน้นั อยา่ งน้ีแต่ยงั ไม่ไดบ้ อกให้ทาอะไรเลยไม่ได้ ดงั น้นั ต้องเริ่มทาถงึ มี เกดิ ความรู้ความเข้าใจแบบน้ีตอ้ งสัมผสั ด้วยตัวเองประสบการณ์โดยตรงไม่ได้นามาจากตารา หากไมม่ ีการ ฝึกฝนไมป่ ระสบผลสาเร็จเรียกวา่ ความก้าวหน้าทางความคดิ ไม่ใช่ทางปัญญา ๖.๓) ความหมายปัญญาพระพุทธศาสนาท่านสอน คือ เร่ืองที่ต้องยอมรับความเป็ นจริงได้ หากมี สังขารอยู่ คือ ความคิดความรู้มีทุกขม์ ีสุขบา้ ง คนทุกคนเกิดมาย่อมมีเป้าหมายหากไม่มีเป้าหมายเหมือน พายเรืออยใู่ นอ่างเหมือนเรียนหนงั สือมาแลว้ ไม่มีเป้าหมายวา่ จบมาทาอะไรโอกาสที่ประสบความสาเร็จมี นอ้ ย เช่น คุณเรียนหตั ถกรรมแตไ่ ปเป็นนกั บินไมไ่ ดเ้ พราะไม่สอดคลอ้ งกบั เป้าหมายดงั น้นั ตอ้ งต้งั เป้าหมาย ในชีวิตและทาให้สอดคล้องกบั สิ่งท่ีทาอยู่ นิพพานคือสถานที่ที่ไม่ตอ้ งทางานไม่มีทุกข์เลยสบายท่ีสุด ก่อนท่ีไปนิพพานตอ้ งรู้ก่อนนิพพานคืออยูท่ ี่ไหนหากคุณเป็ นนกั กระโดดไกลและในสนามมีความยาว ๑๐ เมตร มองไปที่ ๑๐ เมตรหรือ ๒ เมตร หากมองไป ๒ เมตร ไปไม่ถึง ๑๐ เมตรสกั ทีต้องต้ังเป้าหมายไว้ก่อน ต้องอาศัยความอยากความฝันและไปให้ถึงและสิ่งใดท่ี ทาแลว้ ไม่เป็ นทุกขท์ าไปแต่ตอ้ งนึกถึงประโยชน์ ดว้ ยตอ้ งต้งั เป้าหมายว่า ทาเพื่ออะไรทาแลว้ ไดอ้ ะไร ทาแลว้ ไม่เกิดทุกขแ์ ค่น้ีชีวิตเป็ นสุขโดยไม่มีใครมา
๑๕๗ บงั คบั ให้ทา ความทุกข์ไม่ไดห้ ายไปไหนแต่ความทุกขค์ ือความชอบใจและไม่ชอบใจแต่เขา้ ใจ เช่น หาก ปวดฉ่ีแต่ไม่ไปเขา้ หอ้ งน้าเกิดทุกข์ แต่เขา้ ใจมีสภาวะความรู้สึกตามบญั ญตั ิศึกษามีทุกอยา่ ง แต่ถา้ ไม่เขา้ ใจ ทุกขใ์ จฟุ้งซ่านแต่พระอรหนั ท่านเขา้ ใจไม่เอามาเป็ นอารมณ์ไม่เอามาเป็ นปัญหาไม่ให้ ขอ้ งอยใู่ นใจให้ผ่าน ไปอยา่ งน้นั เอง เหมือนลมหายใจท่ีมีหายใจเขา้ และออก แค่น้นั แหละความสุขความทุกขข์ องไม่ใช่หายใจ เขา้ แลว้ กล้นั อยอู่ ยา่ งน้นั ต้องหายใจออกตามธรรมชาติอารมณ์เกิดขึน้ แล้วดับไปอย่อู ย่างน้ัน มีการเกิดดบั ๆ เร็วมาก ซ้าๆอยูอ่ ยา่ งน้นั ทุกวนั น้ี เอาจิตของเป็ นท่ีต้งั เพราะสิ่งท่ีชอบอาจไม่ใช่ตรงตามความเป็ นจริงโดย ปกติชอบอะไร ตามสิ่งๆน้นั เป็ นส่ิงที่ผิดแต่ ชอบถา้ ชอบตอ้ งถูกแต่ถา้ สิ่งน้นั เป็ นสิ่งท่ีผิดแต่ชอบบอกวา่ สิ่ง น้นั ถูกแต่ถา้ สิ่งน้นั ถูกแต่ไม่ชอบบอกวา่ สิ่งน้นั ผิดทนั ทีเพราะฉะน้นั ทุกวนั น้ี เอาใจเป็ นท่ีต้งั เสมอ ถา้ ชอบ ทารูปแบบไหนท้งั ๆสิ่งน้นั ผิดถูกและใช่ในความคิด ทุกวนั น้ีทุกคนเอาบรรทดั ฐานตวั เองเป็ นท่ีต้งั ในการ ตดั สินธรรมลงมือประพฤติปฏิบตั ิมาก ๆ เอาทฤษฎีอยา่ งเดียวถามอยา่ งเดียวไม่ไดจ้ ึงละความชอบในส่ิงที่ ผดิ ได้ ควรว่างจิตเป็ นกลางไม่วพิ ากษ์วิจารณ์ ผิดถูกเป็ นเรื่องของชีวิต ไม่ไดข้ ้ึนอยกู่ บั คนสมยั น้ีการพยกั หนา้ ใช่วา่ เขา้ ใจคนท่ียิม้ ให้ใช่วา่ รักคุณ ฉะน้นั อยา่ มองคนที่ภายนอกเพราะเป็ นตวั ช้ีวดั ตวั บุคคลไม่ได้ รู้ถึง ใจคนไดย้ งั ไงไม่ใช่เรื่องที่คน้ หาวา่ รู้ใจไดอ้ ยา่ งไรมาดูใจตัวเองน้ีสาคญั ที่สุด เป็ นธรรมชาติ มาดูตวั เรียนรู้ ธรรมชาติที่มีอยู่ รอบๆ ตวั ไดท้ ายงั ไงเขา้ ใจตรงน้ีไดอ้ ยกู่ บั คนอื่นได้ เปล่ียนแปลงไม่ได้ ไม่ตอ้ งเปล่ียนแต่ ทายงั ไงใหอ้ ยูไ่ ด้ เช่น พระอาทิตยห์ นา้ ท่ีใหแ้ สงสวา่ งและส่งความร้อนมาแลว้ ไปคิดทาลายพระอาทิตยเ์ พ่ือ อะไรแมค่ า้ ที่ขายปลาแหง้ เน้ือเเหง้ เชิดชูพระอาทิตยเ์ พราะส่องแสงใหค้ วามร้อนทาใหเ้ น้ือของปลาแห้งเป็ น การทามาหากินของ ส่วนคนที่ทางานในออฟฟิ ตไม่ชอบแสงแดดเพราะทาใหร้ ้อนแต่ละเหตุผลของทุกคน ต่างกนั ไป นาเอาเหตุผลของตนเองมาตดั สินใจในบรรทดั ฐานจองคนอ่ืนไม่ได้ ยอ่ มมีหนา้ ท่ีอยอู่ ยา่ งน้นั ใจ ของต่างหากท่ีสร้ างบรรทัดฐานในแต่ละอย่างแค่เรียนรู้และยอมรับต้องเร่ิมค้นหาชีวิตของตนเอง ต้งั เป้าหมายใหด้ ีแลว้ ทาตามเป้าหมายใหด้ ีแลว้ ทาตามเป้าหมายน้นั ใหส้ าเร็จ รูปแบบ ๗ เรียนรู้ทางวชิ าการพระพทุ ธศาสนา สะสมบุญบารมี จิตอาสาประโยชน์สาธารณะ พระศรศกั ด์ิ สงฺวโร (แสงธง) วดั วงั ธง อาเภอเมือง จงั หวดั แพร่ เจา้ ของผลงานวทิ ยานิพนธ์ ปี ๒๕๕๕ พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาพระพทุ ธศาสนา มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั เรื่อง “ การวเิ คราะห์จริต ๖ กบั การปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา” สัมภาษณ์เมื่อวนั ที่ ๑๖ กนั ยายน ๒๕๖๑ ๗.๑) ความสัมพนั ธ์จริต ๖ต่อการปฏิบัติกรรมฐาน ๔๐ แนวทางสมถกรรมฐาน คือ อารมณ์ กรรมฐาน เรื่องกสิณ พิจารณาอสุภะ ใช้มรณานุสติ พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ การเพ่งสิ่งต่างๆ ลว้ นสัมพนั ธ์กบั จริต ๖ ท้งั หมด จริต คือ ลกั ษณะนิสัยชอบในรูปรสกลิ่น เสียง นิสัยบุคลิก เป็ นคนท่ีจิตใจ
๑๕๘ ประณีตระเอียดอ่อนจิตเกาะอยูใ่ นจิตสัมผสั หมายถึง ชอบรักสวยรักงาม รักรูปลกั ษณ์ตวั เอง พระอาจารย์ พระครูภาวนาวิรัตน์กล่าวว่า จริตของคนเผยมาสุดๆ ต่อเม่ือได้ลงมือปฏิบัติเสียก่อน บางคร้ังวดั ไดจ้ าก พฤติกรรมคนท่ีปฏิบตั ิธรรมและวิปัสสนามองอยู่ในอีกรูปแบบหน่ึง คือวิปัสสนาไม่ไดอ้ ยู่กบั บุคคลใด บุคคลหน่ึงตลอดพอคนน้นั เขา้ มาปฏิบตั ิธรรมดูก่อนและท่านไดท้ ดสอบอารมณ์ของตนเองเพราะแต่ละ บริบทของแต่ละคนไม่เหมือนกนั กล่าววา่ ดว้ ยบริบทของบุคคลหน่ึงบริบทที่ไม่เหมือนกนั ยงิ่ สมยั ปัจจุบนั น้ีสังคมบริบทที่เปลี่ยนไปไม่ยนื ยนั ไดว้ า่ บุคคลน้ีเป็ นราคะจริต โทสจริต โมหะจริต และแมแ้ ต่ศรัทธาจริต เพราะ กลมกลืนเหมือนกนั ไปหมดเพราะแต่ละคนที่มาปฏิบตั ิธรรม ปัญหาที่ไม่เหมือนกนั บางคนเขา้ มา เพราะปัญหาชีวิต ครอบครัว ความรัก หนา้ ที่การงานลม้ เหลว เพื่อนร่วมงาน จึงเกิดความเครียดมาปฏิบตั ิ ธรรมเพ่ือให้จิตใจสงบนิ่งข้ึน แตข้ อ้ สรุปคือ เขา้ ไปศึกษาจริตเท่าน้นั ในความจริงทางพระพุทธศาสนาได้ ระบุไวว้ า่ ตวั จริตตอ้ งปฏิบตั ิธรรมตามลาข้นั ตอนแต่หากเขา้ ปฏิบตั ิในสานกั ปฏิบตั ิธรรมแลว้ ปฏิบตั ิธรรม ตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ ดงั น้ันพระวิปัสสนาจารย์จึงมองเห็นว่าความจริงแล้วความจริตมาจากไหนไม่ สาคัญ สาคัญทวี่ ่าตอนปฏบิ ัติว่าชอบรูปแบบการปฏบิ ัติแบบไหน เช่น บางคนท้งั สติปัฏฐาน ท้งั การเดิน การ นงั่ เวลาท่ี ปฏิบตั ิสติปัฏฐาน ๔ แบง่ ตามลาดบั ข้นั ตอน โดยข้นั ตอนละ ๑๕ นาที พอปฏิบตั ิครบ ค่อยๆเพิ่ม เวลาในการปฏิบตั ิทีละ ๕-๑๐ นาที โดยเพ่ิมข้ึนไปเร่ือยๆ ตามอารมณ์ของแต่ละคนเวลาทดสอบอารมณ์ เหมือนวา่ ถามคนปฏิบตั ิวา่ ปฏิบตั ิแบบการเดินและปฏิบตั ิแบบการนง่ั แบบไหนปฏิบตั ิไดด้ ีกวา่ กนั หากบาง คนคิดวา่ การนงั่ สบายกวา่ นนั่ หมายถึง สามารถนง่ั ไดน้ านและทาสมาธิไดน้ านในเวลาปฏิบตั ิธรรมและทา สมาธิ อาการเขา้ มาสอดแทรกในบางคร้ัง เช่นการตกใจ แต่สามารถเขา้ ทาสมาธิไดเ้ หมือนเดิม ส่วนในกรณี ของ การเดิน ผทู้ ี่ชอบในเรื่องของการเดินไดด้ ีเวลาเดินตามข้นั ตอนแต่หากนงั่ ทาสมาธิเกิดอาการไม่นิ่ง จิต ไม่อยูก่ บั ตวั คิดฟุ้งซ่านไปเร่ืองเร่ือยเปื่ อยคือรูปแบบของการปฏิบัติธรรม อีกกรณี คือ ชอบรูปแบบในการ นง่ั ไดจ้ ริงแต่สภาวะอารมณ์บางอยา่ งท่ีเกิดข้ึน เช่น การลืมตาไม่ข้ึนแต่ยงั คงรู้สึกตวั วา่ ตนเองกาลงั ทาอะไร อยแู่ ตไ่ ม่สามารถลืมตาข้ึนมาไดเ้ น่ืองจากบุคคลเหล่น้ีไดท้ าสมาธินานเหมือนกบั ไปติดอยใู่ นสมาธิอะไร วธิ ี แกอ้ าจติดนง่ั มากเกินไปพอไดน้ งั่ ปฏิบตั ิธรรมแลว้ นง่ั เพลินไปเรื่อยๆพอรู้อารมณ์ตวั เองแลว้ ตอ้ งเรียกสติ กลบั มาใหม่พยายามเหมือนคนท่ีหลบั แลว้ อาการเหมือนอาการกดทบั ทาใหล้ ุกไม่ข้ึนไม่สมารถขยบั ร่างกาย ไดต้ อ้ งกลบั มาต้งั สติใหม่และพยายามลืมตาข้ึนหรือแกไ้ ขวิธีแบบเวลานง่ั ให้ลืมตาก่อนและต่อไป ค่อย เขา้ สมาธิไปเรื่อยๆจริตมาแต่พอมาเจอกบั การปฏิบตั ิธรรมเขา้ ไปอาจปรับตวั กบั รูปแบบปฏิบตั ิยงั ไมไ่ ดร้ ะบุ วา่ เป็นฐานกาย เพราะส่วนใหญ่ต้องเร่ิมต้นด้วยฐานกายก่อน คือ การผอ่ นลมหายใจ การเดิน ตอ้ งพจิ ารณา ๗.๒) การปฏิบตั ิธรรมไม่ไดห้ มายความวา่ เลือกจริต ๖ แกไ้ ขไดท้ ุกอยา่ ง แต่คน้ พบ คือ เรื่องของ การปฏิบตั ิธรรมบุญบาปเขา้ มาเกี่ยวขอ้ งคืออาจินากรรม คือ กรรมเป็ นปกติทาซ้าๆทุกวนั ๆคนชวั่ ทากรรม ชวั่ อยูต่ ลอดเวลา ฆ่าสัตว์ อบายมุขเป็ นประจาคือเป็ นตวั กรรมท่ียงั อยพู่ อทาเป็ นประจาเพิ่มข้ึนเร่ือยๆจิตไม่ สามารถเขา้ ถึงไดค้ ือ วธิ ีการการปฏิบตั ิธรรมของบางคนเห็นว่าไม่วา่ เกิดปัญหาอะไรข้ึน ไปปฏิบตั ิธรรม แต่การท่ีเขา้ ไปปฏิบตั ิธรรมตอ้ งการปรับตวั เสียก่อน การปฏิบตั ิธรรมตอ้ งใหเ้ ขา้ ข้นั กรรมฐาน การรับศีล เพราะความจริงแลว้ ผูท้ ่ีปฏิบตั ิธรรมไดด้ ีตอ้ งเป็ นคนที่ศีลบริบูรณ์พอรับศีลแลว้ คือ ตอ้ งอยูใ่ นศีลที่รับมา และสามารถปฏิบตั ิตามศีลน้นั ได้หรือไม่ท่ีทาให้ตวั เองบริสุทธ์ิท้งั กายใจ คือเหมือนว่าการเตรียมความ
๑๕๙ พร้อมที่นาไปสู่ รูปแบบท่ีบริสุทธ์ิกวา่ โดยส่วนมากแลว้ ส่วนของกายง่ายกวา่ ส่วนอ่ืนๆ แต่หลายคน คิดวา่ เร่ิมตน้ เพราะสติปัฏฐาน ๔ เป็ นท้ังสมถะและวิปัสสนาอยู่ในตัวรวมอานาปนสติเหมือนหลวงพ่อองค์พระ พุทธธาตุแบง่ เป็นข้นั เป็นตอนไม่ไดจ้ ากการพิจารนาฐานกาย แต่เพียงแค่ส่วนใหญ่เวลามาเริ่มแลว้ ง่ายทส่ี ุด คือ การพิจารนาฐานกาย เช่น การนง่ั เวลานง่ั นานๆ รู้สึกเจ็บปวดส่วนการเดิน เกิดเวทนาจับเอาอารมณ์ เวทนา คือเวทนานุปาสถานาสติปัฏฐาน เป็ นตวั จบั ความเจ็บความปวดของร่างกายแต่ส่วนมากคนที่เกิด อาการปวด สังเกตไดจ้ ากการเดิน การนงั่ ไม่รู้สึกตวั เองเพราะอารมณ์หงุดหงิดเพราะเกิดปวดทนตวั เองไม่ ไหว คือตอ้ งกลับมาต้ังลมหายใจของตัวเองคือกลบั เข้ามาในฐานกายอีกคร้ังใชฐ้ านแรกเป็ นฐาน เช่น เวลา เกิดปัญหาคือตอ้ งประยกุ ตน์ ามาใช้ อยา่ งตวั เองทาผิดหรือปัญหารู้สึกตวั เองวา่ เริ่มโกรธเริ่มโมโหพยายาม กลับเข้ามาในอานาปานสติซ่ึงส่วนได้เยอะเหมือนเวลาเป็ นความดันข้ึนเกิดจากความเครียดนามา ประยุกตใ์ ชไ้ ด้ อานาปานาสติ คาบริกรรมคือลกั ษณะของการปฏิบตั ิ บริกรรมแบบยุบหนอพองหนอ แบบ การนบั เลขเป็ นรูปแบบ การยุบหนอ พองหนอ เป็ นรูปแบบแบบสติปัฏฐาน ๔ให้สังเกตพอง คือยุบหนอ พองหนอมาจดั คนกาลงั เริ่มฝึ กสมาธิใหม่คือเวลาเอามือไวห้ นา้ ทอ้ งพอหายใจเขา้ ทอ้ งพองและหายใจออก ทอ้ ง ยบุ แตห่ ากถา้ ใครหายใจออกแลว้ ทอ้ งพองแสดงวา่ หายใจผดิ ข้นั ตอน และปัญหาเร่ืองดา้ นสุขภาพเป็ น การฝื นธรรมชาติ เขา้ มาปฏิบตั ิธรรมเหมือนว่าหายใจปกติดีแต่หลงั จากท่ีได้เขา้ มาฝึ กปฏิบตั ิเหมือนฝื น ธรรมชาติเพราะไม่รู้จกั การปฏิบตั คิ ือสติกาหนดพองยุบเท่าน้ัน คือเวลาหายใจออกแลว้ ทอ้ งพองใหร้ ู้วา่ ทอ้ ง พองออกมา แต่อานาปานสติใช้วิธีการสังเกตที่ลมหายใจวา่ เวลาหายใจเขา้ ลมเขา้ ไป เวลาหายใจออกลม ออกมา แต่อานาปานสติได้ปฏิบตั ิครบ ๑๖ ข้นั เหมือนหลวงพ่อพุทธทาสเป็ นสติปัฏฐาน ๔ แต่เปล่ียน รูปแบบการปฏิบตั ิของการเขา้ ถึงรวมอยูใ่ นสมถะแต่อานาปานสติอยูห่ ลายข้นั เพราะการเข้าถึงกรรมฐาน สูงสุดคืออานาปานสติ สามารถทาให้เกดิ สมาธิ ๗.๓) สมาธิ ๓ อย่าง ๑)ขณิกสมาธิ หมายถึง สมาธิชว่ั ครู่ชวั่ ขณะหน่ึง เป็ นสมาธิข้นั ตน้ ที่บุคคล ทว่ั ไปใชป้ ฏิบตั ิหนา้ ที่ในการทางาน ๒)อุปจารสมาธิ หมายถึง สมาธิที่ต้งั ไดน้ านใกลท้ ่ีได้ ฌาน เกิดนิมิต ๓)อปั ปนาสมาธิ หมายถึง สมาธิแน่วแน่ถึงฌาน เป็นการทาสมาธิข้นั สูงสุดเม่ือสามารถเขา้ สู่อปั ปานาสมาธิ สามารถเขา้ สู่สติไดร้ ู้เรื่องของการเจ็บปวดและแบ่งเป็ นข้นั อยู่ ๑๖ ข้นั สรุป คือ สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน เป็ นท้งั สมถะและวปิ ัสสนา คือ สมถะวิปัสสนาแยกออกจากกนั ไม่ไดใ้ นความเป็ นจริง หากเขา้ สู่วิปัสสนา ตอ้ งสมถะก่อน คือ เป็ นการยกใจใหอ้ ยูใ่ นระดบั หน่ึงเหมือนกบั พระพุทธเจา้ ที่ท่านไดไ้ ปแสวงหาคร้ังแรก ผา่ นสมถะมาหมดแลว้ และพบวา่ สมถะไม่ทาสู่ส่ิงหลุดพน้ คือยงั ความทุกขอ์ ยคู่ วามรู้สึกส่ิงท่ีตอ้ งเก่ียวขอ้ ง ในโลกธรรมอยู่ คือฌานสมาบตั ิ ๘ เขา้ ใจวา่ ตวั เองบรรลุอรหนั ต์ กรรมฐาน ๗.๔) สตปิ ัฏฐาน ๔ คือ ฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต ฐานธรรม พระพทุ ธเจา้ ประสงค์ คือ ธรรมมา นุสติ ฐานเป็ นธรรมข้นั สูงสุดคือ การรู้สติปัฏฐาน ๔ ต้องเกดิ จากการปฏิบัติเสียก่อนถึงเข้าใจในไดแ้ ต่คน บรรลุในสมยั พุทธกาลบรรลุดว้ ยบุญญาธิการบรรลุดว้ ยเหตุปัจจยั บุคคลศีลท่ีบริสุทธ์ิเเต่ในเรื่องของการ ปฏิบตั ิธรรม หมายถึง ส่ิงท่ีเกดิ การพจิ ารณาแล้วรู้สภาวะจิตตัวเอง เช่น การท่ีจิตของ ฟุ้งซ่าน รู้วา่ จิตของ ฟุ้งซ่าน หากจิตของไม่ฟุ้งซ่าน รู้ว่าจิตอกุศล หากจิตสบาย รู้จิตอยู่ตลอด ในการปฏิบตั ิธรรมวิปัสสนา
๑๖๐ กรรมฐาน ส่ิงเรียกวา่ อุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม คืออุปกิเลส ๑๐ อยา่ งเกิดข้ึนไม่สามารถบรรลุไดอ้ ย่าง ง่าย การพัฒนาธรรมมานุสติปัฏฐานต้องเป็ นไปตามข้ันตอน น่ังวิปัสสนาถึงต้องพระวิปัสสนาครูบา อาจารยอ์ ยดู่ ว้ ยเพื่อคอยดูแล ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็ นไปตามข้นั ตอนพระวปิ ัสสนาจารยก์ ากบั ดูแล เพ่ือไม่ใหห้ ลงตวั เองเกินไปไมใ่ หค้ ิดไปเอง ปัจจุบนั ทาไมสถานท่ีวปิ ัสสนาเพิม่ มากข้ึน คนธรรมดาสามารถ นาหลกั ธรรมไปสอนได้ ไม่จาเป็ นตอ้ งเป็ นพระแต่เกิดจากการปฏิบตั ิมาไปถึงบางสิ่งบางอย่างอาจคิดว่า บรรลุจริงๆแลว้ หลงตวั เองความสุขทาสิ่งเหล่าน้นั แลว้ นาไปเผยแพร่ต่อ เมื่อสิ่งท่ีไดม้ าศรัทธามากจนลน้ เหลือ ความสุขในส่ิงท่ีทาและ อยากใหค้ นอื่นไดด้ ว้ ย อาจเป็นอุปสรรคไม่ให้ข้ึนไปลาดบั อ่ืนไดไ้ ม่ติดอยทู่ ี่ เดิมแต่ตอ้ งข้ึนข้นั ไปเรื่อยๆธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ ต้องก้าวข้ามตัวของอุปกเิ ลส ๑๐ ให้ได้ ไปจนถึง จุดสูงสุดไม่สามารถตอบว่าใครเป็ นอรหันต์ คนน้ีเป็ นโสดาบนั แมแ้ ต่ข้นั แรกคือเกิดมาอีกกี่ชาติไม่ สามารถหลุดมาเป็ นสามญั ชนคนธรรมดาไดไ้ ด้ เกิดมาอีกก่ีคร้ังเป็ นโสดาบนั ซ่ึงรู้ไดไ้ ม่สามารถบอกไดว้ า่ หลวงป่ ูแหวน หลวงป่ ูมน่ั ไดแ้ ลว้ ข้นั ใดข้นั หน่ึงไม่สามารถบอก ใครมายืนยนั ได้ เพราะเรื่องของอิทธิฤทธ์ิ ปาฏิหาริยถ์ า้ เป็ นพระสายปฏิบตั ิไม่บอกว่าเหาะเหินเดินอากาศไดว้ ่า หายตวั ได้ ทุกสิ่งทุกอย่าง เหตุผล ท้งั น้นั ดงั น้นั เร่ืองวิธีการปฏิบตั ิบางคนท่ีเคร่งไป ไปไม่ถึง ดงั น้นั พละ ๕ ต้องเท่ากัน ศรัทธาเท่ากับปัญญา วริ ิยะเท่ากบั สมาธิ ศูนย์กลางต้องควบคุมคือสติ สติเป็ นตวั กลางเปรียบเหมือนการที่ ขบั รถสี่ลอ้ ตวั ถงั คือ สติ ถา้ สมมติวา่ ยางลอ้ แตกขา้ งหน่ึง ไปไหนไม่ไดแ้ ละอาจเกิดอุบตั ิเหตุเสียหลกั ได้ การปรับอินทรียแ์ ลว้ ลกั ษณะจริตคนออกมาทาให้รู้วา่ ตอ้ งควรปฏิบตั ิแบบไหน เม่ือสานกั ปฏิบตั ิธรรมสอนเรื่องสติปัฏฐานต้อง เอาจริตปรับให้ให้เข้ากับสติปัฏฐาน โดยวิธีการคือไม่ต้องไปอ่านทฤษฎีแต่ว่าทุกคนต้องปฏิบัติตาม คาแนะนาของวิปัสสนาจารย์ วา่ ตอ้ งค่อยๆทาไปแบบน้นั แบบน้ีเพิ่มๆข้ึน เป็ นตอนๆไป เกิดการพฒั นาใน เรื่องของการปฏิบตั ิ ข้ึนอยกู่ บั บุญเก่าตวั เองสะสม มากนอ้ ยทาใหไ้ ปถึงจุดน้นั ได้ และกรรมใหม่ท่ีตนเอง เริ่มทามากนอ้ ยแค่ไหนที่ทาให้ร่างกายบริสุทธ์ิ แต่พระพุทธศาสนา “ใหช้ า้ งพบั หูใหง้ ูแลบลิ้น” สมาธิถือวา่ เป็ นอานิสงส์เกิดข้ึนเพราะทุกคนสามารถปฏิบตั ิได้ คือไม่ใช่เรื่องยาก ถา้ ปฏิบตั ิสมาธิหรือการเจริญสติให้ เป็ นอาจิณกรรม คือ ทาทกุ วนั เปลี่ยนแปลงจริตคนได้ เม่ือเจริญสติสมาธิทาใหเ้ ป็นอาจิณกรรม ๗.๕) ปัญญาระดับภาวนามยปัญญาเกดิ จากการปฏิบัติ ตอ้ งบรรลุไม่ใช่ตอ้ งใชห้ ลกั ปฏิบตั ิเท่าน้นั ในขณะเดียวกนั สามารถทาใหค้ นรักษาศีลห้าได้ เพราะศีลห้าเป็ นข้ันพืน้ ฐาน ไตรลกั ษณ์ในระดับโลกิยะกับ ระดับโลกุตระในสังคมปัจจุบนั ศึกษาอยูส่ องมิติในมิติหน่ึง คือ โลกิยะ มิติหน่ึง คือโลกุตระ มิติโลกุตระ เป็ นมิติภาพฝันจิตนาการว่าอยู่แลว้ รู้ทุกอย่างรู้วา่ อยใู่ ห้สวยงามแต่ไปถึงไดอ้ ย่างไร โลกิยะเพราะทุกวนั น้ี ตอ้ งอยูใ่ นสังคมท่ีตอ้ งเจออยกู่ บั กิเลสแลว้ อยูไ่ ดอ้ ยา่ งไรระหวา่ งกิเลสและปัญญาให้อยใู่ นสภาพของโลกน้ี อย่างสมดุลก่อนเพ่ือรักษาระดบั จิตใจเพราะคนไม่ได้เกิดและตายคร้ังเดียว ยงั ไม่บรรลุเพื่อให้ทุกคน มองเห็นว่าคนตายไปแลว้ ไปเกิดบุญค่อยๆเป็ นปัจจยั นาให้ไปทุกภพทุกชาติ การส่ังสมบุญได้เกิดมาใน พระพุทธศาสนา เชื่อในพ้ืนฐานชาวพุทธตอ้ งศรัทธาในพระพุทธศาสนา ต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน มองสติปัฏฐานส่ีเมื่อปฏิบตั ิแลว้ ถึงโลกุตระและสติปัฏฐานสี่ ระดับไหนนามาประยุกต์ใช้ในชีวติ เพ่ือใหเ้ กิด ประโยชน์ ระดับโลกยิ ะปัญญา หมายถึง ปัญญาเจือดว้ ยกิเลส ปัจจุบนั น้ีพระสงฆ์ตอ้ งอยูใ่ นระดบั โลกิยะ
๑๖๑ ปัญญา เพราะตอ้ งอยู่กบั สังคมโซเซียล อยา่ ไปคาดหวงั กบั พระสงฆม์ ากเกินไปเม่ือเป็ นพุทธบริษทั ส่ีอยู่ ร่วมกนั คือทุกคน ตอ้ งเขา้ มาช่วยเหลือหลกั พุทธธรรมของพระพุทธเจา้ คือหลกั หิริโอติปปะ(ไม่เกรงกลวั ต่อ บาป) รูปแบบ ๘ ขนั ธ์ ๕ แยกรูปนาม สู่ไตรลกั ษณ์ เทยี บเคียงปริยตั แิ ละปฏบิ ตั ิ พระทนงศกั ด์ิ ปภาโต (ปิ ยะสุข) เจา้ ของงานวทิ ยานิพนธ์ “ศึกษารูปนามตามปรากฏในไตรลกั ษณ์ใน การปฏิบัตวิ ปิ ัสสนาภาวนา” พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวปิ ัสสนาภาวนา มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ณ วดั ทา่ เรือ จงั หวดั ระยอง สัมภาษณ์วนั ท่ี ๙ กนั ยายน ๒๕๖๑ ๘.๑) รูปนามปรากฏในไตรลกั ษณ์ของวิปัสสนา สายปฏิบตั ิดงั น้ี ๑)รูปขนั ธ์ มีหนา้ ท่ี แตกสลายไป ๒)เวทนาขนั ธ์ มีหนา้ ที่ สวยอารมณ์ ๓)สญั ญาขนั ธ์ มีหนา้ ท่ี จาอารมณ์ ๔)สังขารขนั ธ์ มีหนา้ ท่ี ปรุงแต่ง อารมณ์หรือจิตใจ ๕)วิญญาณขนั ธ์ มีหนา้ ท่ี รู้อารมณ์ ครูบาอาจารยแ์ ต่ละท่านถนดั และไดไ้ ปแยกแต่ละ สายใหแ้ ตกตา่ งกนั แต่สุดทา้ ยมีจุดมุง่ หมายเดียวกนั ไม่วา่ เนน้ ไปในทางอานาปานสติใช้เพยี งอารมณ์สงบนิ่ง เพื่อดับเวทนาตวั แรกและเกิดปรากฏการณ์ แต่รูปนามย่ิงยากกว่าอานาปานสติเพราะต้องใช้กาลังสูงกว่าอา นาปานสติเป็ นหลายเท่า ส่วนใหญ่ผูป้ ฏิบตั ิสุข สงบ ร่ืนเริง สดชื่น จึงถอนจากสมาธิไม่ค่อยไดเ้ ห็นสิ่งดีๆ ต่อไปเพราะคิดวา่ ตนเองไดส้ ิ่งดี ๆ มาแลว้ แต่เป็ นเพียงข้นั พ้ืนฐานแต่หากถา้ อดทนทาสมาธิอีกนิดสภาวะ เหล่าน้ีทาให้จิตใจนิ่งสงบน่ิงในชว่ั ขณะแลว้ พาไปดูส่ิงต่างๆ ภาพนิมิตท้งั หลายมาปรากฏให้เห็นเกิดข้ึน แลว้ ดบั ไปปรากฏอยูช่ ัดเจนสภาวะโดยรวม ปัญหาปรากฏการณ์ข้ึนเร่ือยๆ ปรากฏข้ึนอยู่และดบั ไปจน ปัญหากระจา่ งแจ่มแจง้ เม่ือไหร่พร้อมปัญหาพร้อมประกอบดว้ ย พละ ๕ คือ ๑) ศรัทธาพละ ความเชื่อกาลงั การควบคุมความสงสัยความวิตก ๒)วริ ิยะพละความเพยี รกาลงั การควบคุมความเกียจคร้าน ๓)สมาธิพละ ความต้งั ใจมนั่ กาลงั ควบคุมการวอกแวก ฟุ้งซ่าน ๔) ปัญญาพละ ความรอบรู้กาลังการควบคุม ๕)สติพละ ความระลึกได้กาลงั ควบคุมความประมาทความงมงาย เวลาพละพร้อมเต็ม ทาใหเ้ ขา้ ใจตวั เองทุกอยา่ งท้งั เห็นเรียก แบบน้ีเอง แต่สิ่ง เข้าใจไปบอกคนอ่ืนเขา้ ใจแบบคงไม่ไดผ้ ู้รู้ได้รู้ได้เพราะตนไม่ใช่วา่ เหมือนกนั ระดบั แตล่ ะระดบั แตกตา่ งกนั ไปข้ึนอยกู่ บั ตวั บุคคล เช่น มีกรรมอดีตมาอยา่ งไรปัจจุบนั กรรมอนาคตกรรม อดีตกาล ภาวะโลก เกิดข้ึนอยูก่ บั จริตมีองค์ประกอบหลายอยา่ งและระหว่าง ปฏิบตั ิธรรมขอปฏิบตั ิคือ แบบปฏิบัติแบบประเภทมอบกายถวายชีวิต เช่น รู้สึกอยากไดร้ ู้สึกอยากมี รู้สึกอยากเป็ น และรู้สึกอยาก ปฏิบตั ิ แค่ความรู้สึกมาแค่ชาติหน่ึงภพภูมิหน่ึงมีโอกาสไดพ้ บพระพุทธศาสนาปรารถนาส่ิงดีๆเขา้ มาใน
๑๖๒ ชีวิตในภพน้ีและภพหน้า ไม่ปรารถนาอีกถ้าไม่ปรารถนาสิ่งหน่ึงถึงเวลาไป ปฏิบัติสะสมไปเร่ือยการ กาหนด ตอ้ งกาหนด “หนอ” ๘.๒) สติกาหนดคือผลกาไรไม่ตอ้ งไปรับรู้ถึงอดีตผา่ นมาและอนาคตยงั ไม่ถึงวา่ เป็ นอยา่ งไร ใน ตวั ของอาตมาทุกสัปดาห์ทดสอบอารมณ์อยู่ ๒ คร้ัง แต่หากถา้ เจอกบั สถานการณ์พิเศษ หมายถึงอาจเกิด ในสภาวะ กาลงั ปฏิบตั ิอยูไ่ ด้ เพราะว่าปฏิบัติอย่างต่อเน่ืองสติจิตทางานโดยอัตโนมัติอยู่ในระดบั วา่ ไม่ จาเป็นตอ้ งกาหนดและถึงเวลาทางานเองแค่ตามดูไมต่ อ้ งมีบริกรรมหรืออะไรเห็นอากปั กิริยาไม่วา่ ทาอะไร หรือเคลื่อน ไป ไหน แมแ้ ต่นอนลงไปอาจเกิดในขณะหลบั หรือต่ืนข้ึนมาทาให้เหมือนหลบั ไม่ไดต้ อ้ งลุก พอลุกข้ึนมาร่างกายอ่อนแอและจิตกาหนดให้เอนหนอเอนและพอตวั ถึงพ้ืนตวั ดีข้ึนมาอีกไม่ให้นอนเป็ น แบบน้ี กาหนดแมแ้ ต่ขณะกินน้าจิตทางานเองคือยกหนอมาหนอ น้าไหลลงเขา้ ปากไปอยา่ งช้า ๆ ดว้ ยจิต ทางานโดยอตั โนมตั ิ และไมม่ ีอารมณ์กาหนดวา่ พอใจหรือไม่พอใจเป็ นไปโดยอตั โนมตั ิของธรรมชาติหรือ แม้แต่ไม่พอใจทาการหลุดอารมณ์ไม่พอใจเพราะปัญญาเข้ามาแทนจิต พุ่งออกไปไม่วา่ ดว้ ยอารมณ์โกรธ โทสะ ความคุน้ เคยเร่งใหเ้ ห็นถึงโทษก่อนพอจิตเพ่งเหน็ โทษปัญญาตดั ไปเองโดยธรรมชาติ กวา่ ไดถ้ ึงข้นั น้ี ต้องขยันกาหนด บางทีหว้ งแห่งความรักความโกรธ ความโลภความหลง เปรียบดงั สมมุติตกลงไปในสระ น้าจมถึงกน้ สระ ลงไปเร่ือยๆจนกระทง่ั ไม่มีจมแลว้ ต้องฝึ กปฏิบัติบ่อยๆให้ข้ึนมาจากโคลน บางคร้ังอาจ ไหลลึกลงไปตามธรรมชาติจึงตอ้ งขยนั กาหนดให้พุ่งข้ึนมาจากสระน้าพอข้ึนมาไดร้ ุ่งโรจน์อุปมาวา่ ควร จากสระน้า ๘.๓) จิตสาคญั สุดอานาปานสติหากฝึ กบ่อยๆเป็ นไปอัตโนมัติ รูปนามแยกชดั เจนจิตใจเห็นกายใน กายนอกร่างกาย คือ ๑) ลกั ษณะรูป ดิน นา้ ลม ไฟ ๒)ลกั ษณะนาม อารมณ์ ความรู้สึก ปรากฏขึน้ ในใจ-สุข เวทนา-ทกุ ขเวทนา-อทุกข์สุขเวทนา ศาสตร์ความจาในสัญญาคือจิตใต้สานึก รู้ทุกคร้ังเหมือนยอ้ นอดีตชาติ แลว้ ได้ แตเ่ ป็นภาษา เรียกวา่ ระลึกชาติ แต่ในทางภาษาจิตวทิ ยา unconscious คือจิตใตส้ านึก ไมค่ ่อยไดใ้ ช้ ไม่รู้วา่ โผล่มาตอนไหนสามารถฝึกจิตใตส้ านึกไดใ้ นลกั ษณะการสะกดจิตบา้ งการใชใ้ ห้เป็นประโยชน์บา้ ง เอามาประยกุ ตใ์ ชก้ ารฝึ กสัญญาในพระพุทธศาสนาควรทาอย่างไรตอ้ งฝึ กวิธีการของหลวงพ่อวิริยงั ค์เป็ น จิตตานุภาพอยา่ งแรกคือ ฝึ กจิตให้เกดิ อานาจขัดเกลาข่มกเิ ลส ๘.๔) หลักการศึกษาไตรลักษณ์เป็ นเร่ืองอย่างลึกซึ้ง อาตมาไดป้ ฏิบตั ิมาก่อนหลงั จากปฏิบตั ิจบ มาแลว้ อาตมาไม่รู้ทาอะไรตอนปฏิบตั ิคลา้ ยๆกบั ไฟตาบอดอนั ดบั แรกฝึ กอานาปานสติ ฝึ กปฏิบตั ิพุทโธ ก่อนแลว้ รู้สึกวา่ ร่างกายแยกออกเป็ นร่างๆ แตต่ อ้ งใชค้ วามพยายาม ถา้ ทาไดท้ ้งั หมดทาใหห้ ายใจคล่องตอ้ ง เปล่ียนอารมณ์ให้ได้ต่ืนตวั รับรู้อยู่ตลอดเวลาพอน่ังสมาธิ พยายามพอถึงเวลาจิตกาหนดเองคิดของ กาหนดพองหนอยุบหนอ จัดการอารมณ์เป็ นสมถะวิปัสสนาเลย ฝึ กถึงข้นั จิตสงบหมดแล้วรู้สึกว่าลม หายใจหมดแลว้ สิ้นแลว้ รู้สึกวา่ ลมหายใจ เขา้ มาเขา้ ตามรูจมูกของร่างกายแผซ่ ่านไปทางร่างกายจึงคิดวา่ คืออะไรแลว้ คิดว่าอาการแบบน้ี ถูกหรือผิด เพราะไม่มีครูบาอาจารย์สอนและปฏิบัติเลยสังขารคือปัจจัย เป็ นตัวปรุงแต่งให้ดีให้ชวั่ แลว้ แต่ข้ึนอยกู่ บั ตวั ปรุงแต่งให้ปรากฏข้ึนไม่เป็ นรูปเป็ นร่าง เป็ นตวั ปัจจยั ทา ใหเ้ กิดการปรุงแต่ง เวลา เหตุการณ์แบบ ถ้าไปเรียนวิปัสสนาไม่ให้รับรู้แม้แต่การอ่านหนังสือยงั ไมใ่ ห้อ่าน
๑๖๓ ยงั ไมใ่ หอ้ า่ นเหตุผล เพราะวา่ เพอ่ื ไมใ่ หเ้ อาจิตไปนง่ั ปรุงแตง่ เพราะขณะ จิตน่ิงสงบจิตไปอุปมาคือญาณข้นั ๑ ให้ปฏิบตั ิเหมือนสายตาบอดดีกวา่ โดยกาหนดอย่างเดียวตายคือตายเป็ นคือเป็ นเพราะไม่ไดม้ ีเป้าหมาย อะไรมีจุดหมายอะไร มีสติหากมีอาการอารมณ์เบาใหก้ าหนดเบาๆไม่อารมณ์ไม่มีตวั บญั ญตั ิแลว้ เป็ นตวั อารมณ์ของความรู้สึกมีอารมณ์รู้สึกอยา่ งไรกาหนดไปตามความรู้สึกพอแลว้ เสียงหนอ มีอะไรมาใหม่ แลว้ แตจ่ ิตไปกาหนดรู้ อธิบายยากเพราะอย่นู อกตารา ๘.๕) การเจริญสมาธิการเดินจงกรมการยืนความสมบูรณ์ของธรรมชาติทุกคนต้องมีกาหนด เหยยี บลงไปกาหนดลงไป เอาฝ่ าเทา้ หรือเอาส้นเทา้ จุดใหน้ ้าหนกั ปลายเทา้ มีความสมดุลกนั มีความละเอียด ลึกซ้ึง ไม่ว่าการนงั่ ควรดูว่าทิ้งน้าหนกั ไปกน้ ดา้ นซ้ายหรือดา้ นขวายงั ไม่ตอ้ งรีบกาหนด ทฤษฎี เรียกว่า กาหนดยุบหนอพองหนอ เป็ นตวั บริกรรม แต่ถา้ หลกั จริงๆต้องเกบ็ รายละเอียดตัวเอง เรียกว่า กายานุปัสส นาไปรับรู้ของอาการของร่างกาย เกิดเวทนาข้ึนมาเอง เกดิ สภาพให้มีความสมดุลในร่างกายของทุกคน ตอ้ ง มีฐานมนั่ คงก่อน เพราะเร่ืองฐานมนั่ คงสมาธิเป็ นตวั เบาบาง สมาธิรักษาไวเ้ พียงแค่ลมหายใจ พอถึงเวลา หายใจน่ิงสงบเซลล์ร่างกายยงั ทางานปกติไม่ไดใ้ ชพ้ ลงั งานเยอะ ร่างกายยงั ปกติไม่ผอมโทรม ร่างกายยงั เป็ นปกติ แต่ มีความรู้สึกหิวน้า เพราะน้าของร่างกายมนุษยข์ าดไม่ได้ กาหนดสติเคล่ือนไปหยิบน้าน้ายงั เป็นเครื่องหล่อหลอมร่างกายทางานต่อแลว้ สามารถทาไดฝ้ ึ กให้ถูกต้องเป็ นประโยชน์มากเหมือนอานาปาน สติเป็ นประโยชน์สูง สุดเลยถึงข้นั วา่ อยากได้ อยากเป็นเป็นได้ ๘.๖) การฝึ กปฏิบัติต้องหาถูกจริต พุทโธเป็ นอารมณ์ละเอียดลึกซ้ึง ยบุ หนอพองหนอ การหายใจ เขา้ ลึกย่งิ กวา่ อะไร และการหายใจออกลึกย่ิงกวา่ ยุบลงเพราะละเอียด พุทโธ มีความหมายผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิก บาน “รู้” คือ รู้อยู่ตลอด ต่ืนตวั มีสติสัมปชญั ญะอยูต่ ลอด ส่วนคนไม่รู้และเผลอหลบั ไปเป็ นช่องให้ความ อกศุ ลผา่ นเขา้ มาได้ ส่วนของพระอรหนั ตไ์ มม่ ีช่องใหอ้ กุศลเขา้ มาไดเ้ ลย“ต่ืน”การต่ืนอยูต่ ลอดรู้ตวั อยตู่ ลอด มสี ติสัมปชัญญะ เหมือนกบั อาตาปี สัมปชาโน สะติมา คือ ตอ้ งรู้ตลอดต่ืนตวั อยตู่ ลอด คาวา่ “ต่ืน” หมายถึง การมีสติ ตัวแรกเป็ นตัวสัมปชัญญะ คือผูร้ ู้ รู้ตวั ตลอดคือตื่นตวั อยู่ตลอด“เบิกบาน” คือชนะทุกสิ่งไม่มี อะไรครอบงาไม่วา่ ทาอะไร ตามธรรมชาติหากเห็นทุกข์กาหนดดู การรู้ทุกข์เห็นว่าทุกข์รูปแบบไหนและ ทุกข์ค่อยๆหายไปแบบไหนเป็ นธรรมะให้เห็น เพ่ือความเคยชินย่งิ เจอทุกขเ์ ท่าไหร่ยงิ่ กาหนดเขา้ ทุกขใ์ หไ้ ด้ การเกดิ ทุกขเวทนา เมื่อจิตทุกขเ์ กิดสกดั ก้นั อาการปวดเป็นแคป่ วดกายเท่าจิตกบั กายกลายเป็นเบิกบาน ไม่มี อาการปวดใดๆ เกิดการแยกรูปนามอย่างชัดเจน แยกอาการเวทนาของรูป อยู่กบั รูปแต่จิตเพยี งแค่ประคอง เห็นเป็ นอาการปวดแต่ไม่ไดน้ อ้ มถึงอาการปวดมีอาการปวดแต่ไม่ไดเ้ ขา้ มาถึงจิต จิตไม่ต้องทาหน้า ปรุง แต่งในตัวสังขารไม่ไดป้ รุงแต่งให้เจ็บให้ปวด การปวดแค่เฉพาะกายถึงข้นั ตอ้ งมีการฝึ กฝนมาอย่างมาก ไม่ใช่แค่คิดเอาเอง เวลาปวดรู้สึกปวดจริงๆดูตนเองเป็ นทุกขม์ ากตอ้ งฝึ กจนเกิดความเคยชิน ทุกข์หนอ สุข หนอ รู้หนอ เสียงหนอ เอารูปแบบไปฝึ กให้มั่นคงในรูปแบบ ฝึ กไปนานๆเห็นทุกข์สุขและนาไปสู่โลก ประจาวนั ท้งั หลายอยบู่ นโลกใบน้ี รู้สึกว่าจิตไมแ่ สดงอาการเป็นปฏิปักษเ์ ป็นอาการ มีคอยเตือนใจอยตู่ ลอด วา่ ส่ิงน้ีคือสิ่งไมด่ ีแต่เพียงแค่อยใู่ หไ้ ด้ ไปเจอโลกแบบฆราวาสมีกิเลส เจอปรากฏการณ์ต่างๆสามารถอยู่ได้
๑๖๔ คน เคยฝึกแบบน้ีรู้ไดเ้ ลยวา่ อะไรเกิดข้ึน แลว้ รู้อยอู่ ยา่ งหน่ึงวา่ เขา้ ไดห้ รือไม่ได้ จิตเตือนใจเองเรียกวา่ การรู้ เหตุการณ์ล่วงหน้า ๘.๗)จิตคือพลังงานคล้ายคล่ืนความถ่ี ถา้ ข้ึนในความถี่เหมือนคนในท้งั ประเทศ โจรอยูก่ ลุ่มของ โจร เพราะวา่ จิตมีจิตแบบคล่ืนความถี่ของโจรสมั ผสั กนั ไดแ้ ต่หากไปเขา้ ในกลุ่มอีกรับรู้ไดโ้ ดยอตั โนมตั ิชง่ั น้าหนกั ระดบั เกรดของจิตทางานเลยวา่ กลุ่มน้ีใหก้ ารรู้จกั ประเมินการประเมินตนเอง มารู้จกั อยู่ สัมผสั ได้ เหมือนจิตบอกตวั เองถา้ ฝึ กจิตตวั ให้เขา้ ใจไม่ไดม้ ีในตาราเกิดข้ึนจากตวั เองจากประสบการณ์ของตัวเอง โดยเฉพาะบางทีรู้ตวั เองการทานายรู้จิตมีตาทิพย์ มีหูทิพย์ บางทีนงั่ อยไู่ ดย้ นิ เสียงเป็ นเพยี งเสียงลมเขา้ มาแต่ เรื่องวิปัสสนา ทาให้ตดั เสียงออกไปได้ แต่ไดย้ ินวา่ มีเสียงคุยกนั ไกลๆแมแ้ ต่คนคุยกนั ไกลๆไดย้ ินเรียก สถานการณ์แบบน้ีวา่ คลื่นความถ่ขี องหู พระอรหนั ตห์ ลายท่านอาจฝึกถึงข้นั สูงสุดแลว้ แต่ถา้ ฝึกถึงข้นั น้ีได้ ไดย้ ินความถี่เสียงพอฝึ กในรูปเสียงดบั ไป จิต คือพลังงาน พยายามฝึ กจิตเบ้ืองตน้ คือ การเดิน การนอน การนง่ั การฝึ กจิตแบบมอบกายถวายชีวิต คือ เป็ นศรัทธาแบบสูงสุด ทาเตม็ ร้อยไดก้ ลบั มาเต็มร้อย ถา้ ไม่ ยอมมอบกายถวายชีวติ ไม่ไดอ้ ะไรกลบั มาเลยคือเรื่องจริง ๘.๘) วปิ ัสสนารักษาโรคมะเร็งได้จริงเพราะมะเร็งกลวั ความร่าเริง ทาใหจ้ ิตใจสงบ มีความรู้ความ ต่ืนและความเบิกบานอยตู่ ลอดมีพทุ ธอยตู่ ลอดมะเร็งจึงกลวั เกิดข้ึนกบั คนมีจิตออ่ นๆคือชีวติ วติ กกงั วลแลว้ นามาซ่ึงโรคแทรกซ้อนหลายอยา่ ง เช่น โรคภูมิแพ้ โรคซึมเศร้า เพราะร่างกายทนต่อสภาพไม่ไหวตอ้ ง แตกดบั สลายไปตามเวลาแต่เมื่อถา้ เจริญวิปัสสนาถึงแมป้ วดแสนทรมานเท่าไหร่กาหนดรู้เองแยกให้เห็น ถึงส่ิง ปวดคือรู้อยูก่ ายว่าอยูย่ งั ไงรู้อยูแ่ ลว้ ว่าตอ้ งตายไปเจริญวิปัสสนามองสุขเวทนาว่าปวดเหล่าน้ีลงได้ แสดงวา่ สามารถแยกกายแยกนามไดอ้ ยา่ งชดั เจนแยกวา่ ส่วนกาลงั เจ็บปวดอยู่เป็ นเพยี งส่วนของกายไม่รับรู้ ไม่จาเป็ นต้องนามาปรุงแต่งเป็ นทุกขเวทนาแยกให้เห็นชดั เจนถึงแมแ้ ต่ประสบการณ์คร้ังหน่ีง เช่นตอน อาตมาคิดวา่ การปฏิบตั ิแบบหยาบๆคือปฏิบตั ิกรรมฐานวปิ ัสสนาตอ้ งกาหนดอยา่ งชา้ ๆยิ่งใชย้ ่ิงเห็นของดี อาตมาเรียกวา่ การปฏิบตั ิแบบหยาบๆ พอถึงเวลา ๓ ทุม่ กลบั พกั แลว้ กาหนดเดินไปเดินอยา่ งเร็ว กาหนดจิต นอนหนอ นอนหนอ แลว้ รู้สึกวา่ มีคนนึงกาลงั ตามมาแลว้ ตามมาถึงหอ้ งอาตมารู้สึกเลยวา่ มีคนพยายามมุด จากใตฝ้ ่ าเทา้ ของอาตมาข้ึนมาตรงอกอาตมา เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นน้ีในวนั ต่อๆไปอาตมาไม่กลวั เหตุการณ์ ต่างๆเลยอาตมากาหนดตนเองอยตู่ ลอดวา่ หากเจออะไรกาหนดจิตว่ารู้หนอ รู้หนอ จนกระทง่ั ไม่ไหวจริงๆ จึงไป กาหนดจิตแบบช้าๆ ทาทุกอย่างให้ช้าลงไปหมด ขยบั เขย้ือนกายอะไรช้าไปหมดเพราะไม่รู้ว่าคือ อะไรตอนหลงั มาพอปฏิบตั ิเสร็จ คือสภาวะรูปนาม รูปนาม แยกเห็นชัดเจนเลยว่าคือรูปแบบ ตวั อยา่ งเช่น หากเป็นสิ่งของอะไรมองสิ่งแตใ่ ห้ใจหยบิ มาแลว้ แต่กายยงั เอือ้ มอยู่ คือจิตถึงแต่กายยงั ไม่ถึงคือการกาหนด ได้อย่างชัดเจน ๘.๙) ต้นจิต อาศยั พ้ืนฐานฝึ กลมหายใจแบบกาหนดทุกอย่างแบบช้าๆไม่วา่ เคลื่อนร่างกายอยูใ่ น หลกั ของอานาปานสติ สมถะฝึ กปฏิบตั ิไปกนั เร็วเพราะมีพ้ืนฐานฝึ กสมาธิอยู่แลว้ เพราะวา่ คนทว่ั ไปจึงถือ ศาสนาใชส้ มาธิอยใู่ นระดบั สมาธิอยใู่ นปัจจุบนั ในการหากินในการขบั รถขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อาศยั จิต น่ิงสงบเช่นว่าขบั รถไปชัว่ ขณะหน่ึงมีอาการน่ิงเฉยไม่ขยบั นิ่งจดจ่อแต่บางทีจิตใจวอกแวกบา้ งไปข้ึน
๑๖๕ วปิ ัสสนาพวกน้ีสามารถไปถึงระดบั สมาธิไดห้ มดเลยบางทียกสู่วปิ ัสสนา ๓ ระดบั คือ ขณกิ สมาธิ คือ สมาธิ ชว่ั ครู่ ชวั่ ขณะหน่ึงเป็ นสมาธิข้นั ตน้ บุคคลทว่ั ไปใชใ้ นการปฏิบตั ิหนา้ ในการงานประจาวนั อุปจารสมาธิ คือ สมาธิ ต้งั ไดน้ านใกลไ้ ดฌ้ าน เกิดนิมิตต่าง ๆ เช่น เห็นแสงสวา่ งอยูร่ ะยะหน่ึง อปั ปนาสมาธิ คือ สมาธิ แน่วแน่ถึงฌาน เป็ นการทาสมาธิข้นั สูงสุดถอนจากความนิ่งสงบสู่ความรู้สึกอยา่ งเช่นไม่ไดร้ ับรู้สู่อารมณ์ ภายนอกพยายามเริ่มสัมผสั จากหูเช่นตามปกติเสียงโดยธรรมชาติคือ ตอ้ งตื่นตวั เองคือลม มากระทบรับรู้ วา่ อารมณ์คนเห็นอาการธรรมะเป็ นลมมากระทบผิวความปรากฏการณ์อารมณ์ต่างๆคือไตรลักษณ์ท้งั หมด เลย ลมมากระทบหูกาหนดวา่ ถูกหนอถูกหนอ ความเป็ นไปปรากฏอีก สติปัฏฐานมาบงั คบั กาย เวทนา จิต ธรรม มรรค ๘ มาท้งั หมดทีเดียวไม่ไดม้ าทีละตวั เมื่อยกหนอยกหนอเห็นอาการเคลื่อน สติเหมือนเห็น อาการของรูปกาย เวทนาเหมือนแห่งการเสวยอารมณ์ ยกไป หนกั เบา แข็งอ่อน จิตไปรับรู้ถึงการเคลื่อน หยดุ ลงสภาวะเห็นเป็นธรรมเคลื่อนไป ๘.๑๐)ศีล สมาธิ ปัญญา คือสติจิตจดจ่อ ตัวสมาธิเห็นความเคลื่อนไป คือ ปัญญาทุกคร้ัง กาหนด “พุท” กาหนดออก “โธ” เป็ นมรรค ๘ ทุกคร้ังหายใจออก มรรค หายใจเขา้ มรรค ถ้าหากกาหนดช้า ๆ เห็น อาการชัดเจนยงิ่ ปฏิบตั ิช้าย่ิงดี เพือ่ ใหเ้ ห็นแลว้ ซ่ึงอาการปรากฏข้ึนโดยชดั เจนอาการเรียกวา่ ไตรลกั ษณ์ มา ปรากฏให้เห็นในรูปนาม จึงพยายามฝึ กจิตแบบช้าๆ ค่อยเป็ นค่อยไปแต่สภาวะชา้ ๆเป็ นบางจงั หวะเม่ือถึง เวลาเกิดความเคยชินรู้ตวั เองวา่ สภาวะควรทาอยา่ งไร ทาเช่นไรควรทาเร็วทาชา้ เช่นคนทว่ั ไปไปประกอบ อาชีพแลว้ แต่มีวิธีกาหนดแต่พอเวลาวา่ งจิตใจทางานเองโดยวา่ ดว้ ยอตั โนมตั ิวา่ ตอ้ งทาชา้ ๆ เคลื่อนไหวทา อะไรตอ้ งทาชา้ ๆ ต้องฝึ กอยู่ในรูปแบบก่อนแล้วเป็ นอตั โนมตั ิ แต่ถา้ คนไม่เคยฝึกตวั เองไม่เขา้ ใจถา้ ไมไ่ ดม้ า สัมผสั ไปศึกษาธรรมะหรือเป็ นลูกศิษยข์ องพระพุทธเจา้ ไปต้งั ความปรารถนาวา่ ตอ้ งมีฤทธ์ิถึงเจริญแบบ สมถะเพ่ือใหน้ ่ิงสงบเพราะการปรารถนาข้ึนอยกู่ บั บุญกศุ ลถา้ สัง่ สมผลบุญกุศลไวป้ รากฏเองขอให้มีสติรู้มี ความเป็ นอย่ขู องปัจจุบนั ๘.๑๑)วญิ ญาณขันธ์ เป็ นท้งั รูปท้งั นามเป็ นตวั รับรู้สื่อท้งั รูปนามเพราะนามเกิดจากเกิดสมั ผสั ตาจึง เกิดเป็น จกั ขวุ ญิ ญาณเวทนา วญิ ญาณขนั ธ์คือวญิ ญาณเป็นส่ือจกั ขวุ ญิ ญาณก่อนเป็ นผสั สะมีเพง่ มองไปก่อน ไปสัมผสั ตา ตอ้ งผา่ นวิญญาณเม่ือไปเกิดการกระทบดบั รูปเพื่อเกิดความรู้สึกเป็ นเวทนาข้ึนมาตอ้ งมีอาการ มีระเบียบข้นั ตอนมองไปเห็นเป็นข้นั ตอนเหมือนกบั อายตะ ๖ ตา หู จมูก ปาก อาการกระทาวญิ ญาณเกิดข้ึน วญิ ญาณออกจากร่างกายเรียกวา่ วิญญาณละสังขาร วญิ ญาณขันธ์ไมใ่ ช่คนตายแลว้ ไปยตุ ิแต่เป็ นวญิ ญาณตวั คือจกั ขวุ ญิ ญาณ โสตวญิ ญาณ เช่นวญิ ญาณสมมุติวา่ เห็นผีภาพวญิ ญาณเป็ นเพยี งสังขารชนิดหน่ึง มองวา่ คือ ตวั สะสสารวิญญาณแบบน้ีไม่มีส่วนเป็ นร่างไม่สามารถสัมผสั ได้เป็ นอากาศเกิดข้ึนจากธาตุอากาศมา รวมตวั เรียกวา่ อุณหภูมิเรียกวา่ วญิ ญาณเรียกวา่ ผแี ต่บางทีไม่ไดเ้ จอเป็นรูปอาจเจอดว้ ยการสัมผสั ไม่เจอเป็น ลูกรักคนคือพลงั งาน เหมาะสมและบางคนมีความถี่นเจอแลว้ แต่กบั บางคนไม่เจอแบบรูปร่างแต่กลบั เจอ ดว้ ยความรู้สึกเช่นมานง่ั รู้สึกแปลกๆอยูๆ่ ขนลุก เป็ นสัญญาณเตือนจึงตอ้ งบอกเจา้ ไปเป็ นเจา้ กรรมนายเวร เกิดและยงั ไม่เกิดยงั ไม่เกิดเพราะไม่มีบุญวาสนาส่งให้ไปเกิดบุญจากแพไ้ ปใหบ้ อกความรู้สึกให้คนอื่นฟัง คงไม่เช่ือถา้ ไม่ไดม้ าเจอกบั ตนเองคือความสัมผสั จากจิตมีความรู้สึกเช่นน้ีแต่ละคนไม่เหมือนกนั บางคน เห็นเป็ นรู ปร่าง
๑๖๖ ๘.๑๒)การบรรลุธรรมปรากฏของรูปนามคือตัวบรรลุธรรมขณะหนอ ยกหนอ มาหนอ ถึงหนอ ถูกหนอ เขา้ หนอ ออกหนอ ขณะเค้ียวอาหารปรากฏอยแู่ ลว้ เพยี งแต่เอาปัญญาเข้าไปดูจนกระทงั่ อยากกลืน หนอ แลว้ สัมผสั ถึงกอ้ นขา้ วไหลลงสู่คอแลว้ รู้สึก ค่อยไหลลงไปความสัมผสั ภายในร่างกายเห็นชดั วา่ ขา้ ว ลูกกลมกลมค่อยๆไหลลงไปสู่กระเพาะ ถึงหนอถึงหนอแลว้ มาเร่ิมกนั ใหม่วา่ อยากกินหนออยากกินหนอ ถา้ เป็ นอารมณ์กินสภาวะตอ้ งมีแน่นอนสาหรับผูป้ ฏิบตั ิคือตอ้ งเจออย่างน้อยตอ้ งเจอเป็ นสภาวะคือบรรลุ ธรรมตอนปรากฏข้ึนเป็ นโดยรวมของไตรลกั ษณ์ให้เห็นเป็ นอนิจจงั เป็ นทุกคร้ังเพราะวา่ เป็ นการดารงอยู่ ได้ไม่นานอาจทุกข์บา้ งไม่ทุกข์บา้ งแลว้ กระจายลงไปเห็นด้วยปรากฏการณ์ใหม่ตรงน้ีถึงไปมีการทา ซ้าๆซากๆให้เห็นอยตู่ ลอดชดั เจนในขณะมีโอกาสบรรลุธรรมได้ ข้ึนอยูก่ บั ปัญญาของตนดว้ ยเขา้ ไปเห็น รูปแบบการเข้าถงึ ปัญญาคือปัญญามีอยู่ในตัวของทกุ คนตอ้ งมีความพร้อมพละ ๕ ปัญญาเกดิ ถึงตวั ไดต้ อ้ งมี องคป์ ระกอบเบ้ืองตน้ ศรัทธาวิริยะสมาธิสติเพื่อใหพ้ ละ ๕ พร้อมกนั ปัญญาเกิดศรัทธาวริ ิยะความเพียรสติ สมาธิเห็นชดั ในปัญญาแบบกระบวนการคือปัญญา เห็นตัวปัญญาชัดเจนคือปัญญาอยูภ่ ายในตวั ทุกคนมี หมดเลยแต่ข้ึนอยูก่ บั ความละเอียดลึกซ้ึงของแต่ละคน ภาวนามยปัญญาไดจ้ ากญาณข้นั ๓-๔ ไปเกิดข้ึน ดว้ ยตวั ปัญญาแทจ้ ริงตอ้ งเกิดจากญาณข้นั ๓ ข้ึนไปคือเห็นความเกิดความดับชดั เจน ญาณข้นั ๒ ปรากฏ แลว้ ไม่ชดั ไดม้ า ๒ ข้นั แลว้ เกิดข้ึนอย่างชดั เจนเคยรู้ชดั เจนแลว้ วา่ อารมณ์คือรูป อารมณ์คือนาม เร่ิมเห็น การเกิดข้ึน๒ ตวั ทุกอนิจจงั เร่ิมปรากฏให้เห็นชดั เจนแลว้ ย่งิ ไปเขา้ ญาณ ๓ ข้นั เขา้ ไปอีกสู่ญาณข้นั ๔พวก วิปัสสนูกิเลสเขา้ มาแทรกส่วนใหญ่ไปติดอยูต่ รงญาณสามเขา้ สู่ ๔ กระบวนการเรียงบรรลุคือตวั ปัญญาถา้ หากมีบุญจริงไปเองแต่ตอ้ งอาศยั ความเพยี รพละ ๕ พอให้ตวั ปัญญาสมบูรณ์แบบได้ สุตมยปัญญา จินตมย ปัญญา ภาวนาแยกกนั ไม่ไดเ้ กิดจากศรัทธา เกิดจากการคน้ หาดว้ ยตวั เอง เหน็ จากน่ังสมาธินานๆจนปรากฏ เหน็ ตวั ปัญญาแลว้ ปัญญาไม่ใช่วา่ เห็นเหมือนกนั ทุกคน เห็นไดเ้ ฉพาะบางคน ๘.๑๓) พระโปฐิละเรียนเพยี งใบลานเปล่าคือไม่บรรลุธรรมเพราะท่านเก่งท้งั เร่ืองตาราคมั ภีร์บอก ลูกศิษยล์ ูกหาจนไปสาเร็จเป็นพระอรหนั ตม์ าหลายคนแสดงวา่ ปัญญาเกิดจาก จิตตะเพราะท่านบอกทางลูก ศิษยอ์ ยา่ งถูกตอ้ งใหล้ ูกศิษยไ์ ปทาอะไรต่าง ๆ เช่นกรรมฐานคือท่านเป็นคนบอกแต่ท่านไม่เคยลงมือปฏิบัติ ด้วยตัวท่านเอง ฌานข้นั ๑ มีวติ กวจิ าร ความสุขของผปู้ ฏิบตั ิ สุขกายไมต่ อ้ งมีจีวรสวยงามไมจ่ าเป็นตอ้ งกิน อาหารอิ่มหนาสาราญและมีความสุขในขณะไดน้ ง่ั สมาธิไดท้ าจิตใหส้ งบแค่น้ีมีความสุขแลว้ เป็ นเพียงสุข คนละส่วนสุขกายสุขใจเหมือนกนั ยงั ไม่ใช่ปัญญา คือพระโปฐิละแปลวา่ ใบลานเปล่า บอกธรรมคนอื่น ดา้ นบญั ญตั ิอยา่ งเดียว แต่ตนไม่เคยลงมือปฏิบตั ิเลยตวั ปัญญา ยงั มีมิจฉาอยูต่ วั หน่ึงมาสอดแทรกข้ึนมาเป็น วา่ ลูกศิษยล์ ูกรรลุอรหนั ตม์ ากมายแลว้ บอกบญั ญตั ิทาสาเร็จมาหลายคนแลว้ คงไม่ชา้ ไม่นานตอ้ งสาเร็จพระ อรหนั ตด์ ว้ ยวา่ ไปในเชิงอุปมาตนเองวา่ เก่งถึงขนาด ผา่ นมานานกวา่ ๓๐ ปี พระโปฐิละไม่ไดเ้ ป็นแบบพระ รูปอ่ืนท่านคิดวา่ น่าไปเรียนกรรมฐานถึงเวลาลูกศิษยเ์ ป็นผสู้ อนกรรมฐานบรรลุเป็ นพระอรหนั ตแ์ ลว้ ไปขอ เรียนลูกศิษยเ์ ห็นวา่ เป็ นพระอาจารยเ์ ป็ นลูกศิษยพ์ ระโปฐิละจึงไม่กลา้ สอนครูบาอาจารยต์ นเองจึงบอกให้ ไปเรียนกบั พระรูปอ่ืน ไม่มีใครกลา้ สอนพระโปฐิละจนกระทง่ั พบกบั เณรรูปหน่ึงวา่ ช่วยสอนกรรมฐานให้ ขา้ เถิดไปลุยน้าลุยไฟ ขอให้พ่อเณรบอกมาเลย ยอมทาตวั เป็ นลูกศิษยข์ องเณรใช้ไปทาอะไรทาหมด เป็ น การลดมานะของพระโปฐิละคือจุดแขง็ สุด ความถือตวั มานะความหยง่ิ คิดวา่ ตอนเป็นครูบาอาจารยส์ อนจน
๑๖๗ ลูกศิษยบ์ รรลุพระธรรมพอถึงเวลามาหาเณรวา่ พระโปฐิละตวั เงินตวั ทอง แต่ตวั เงินตวั ทองวิง่ ลงรู แลว้ ดูมี ท้งั หมด ๖ รู พระโพธิระฐานะเป็ นครูบาอาจารยม์ ีความรู้ความแตกฉานรู้เลยวา่ ตอ้ งทายงั ไงตนจึงกลบั ไป ปิ ดตา ปิ ดหู ปิ ดจมูก ปิ ดปาก แลว้ เปิ ดใจไวร้ ับรู้กาหนดการรับรู้สภาวะของธรรมปรากฏแลว้ พระโปฐิละ เป็นพระอรหนั ต์ ๘.๑๔) คนปฏิบัติธรรมขึ้นอยู่กับตัวเองไม่จาเป็ นตอ้ งไปนุ่งขาวห่มขาว ทางานปฏิบตั ิธรรม ไป ทางานสิการปฏิบตั ิธรรมไม่ได้ขึน้ อยู่กบั เสื้อผ้าพระพทุ ธศาสนาแนวทางปฏิบตั ิทุกลมหายใจกาหนดเองได้ หมด มาฟังปฏิบตั ิ อยากมาปฏิบตั ิ ว่าอ่านหนังสือไม่เป็ นโยมท่องหนังสือไม่ได้อาตมาเลยถามว่าโยม หายใจเป็ นไหมหากหายใจเป็ นมาใหเ้ อาลมหายใจมาอยา่ งเดียวในการปฏิบตั ินง่ั กรรมฐานแต่หากถา้ จิตใจ โยมไม่พร้อมโยมยงั ไม่ตอ้ งมาเพราะถา้ โยมมานงั่ กรรมฐานโยมไม่ไดอ้ ะไรกลบั ไปการสวดมนต์คือการ น้อมจิตให้เป็ นศรัทธาแลว้ หากท่านสวดมนตไ์ ม่ไดแ้ ค่ฟังฟังแลว้ นอ้ มจิตเขา้ หาพระพทุ ธเจา้ ธรรมะสอนให้ รู้วา่ อะไร เกิดข้ึนแลว้ ลว้ นดีหมดเป็นธรรมดาๆดีเป็นธรรมดาๆ โอวาทพระพทุ ธเจา้ พระองคย์ กข้นั อนั ไหน เป็นอนั ดบั แรกคือสอนเร่ืองชวั่ ก่อนแลว้ สอนเรื่องประพฤติดีตามหลงั มาคุมประพฤติดีมีความพร้อมแลว้ จิต สงบ ชาระจิตใหห้ มดแค่พอไมต่ อ้ งไปศึกษาพระไตรปิ ฎก ไมต่ อ้ งไปศึกษาถึง ๔๕ เล่มแค่ ๓ อยา่ ง ไดห้ มด จดบางทียงั คิดวา่ พระอรหนั ตบ์ างองคไ์ ม่รู้รูปนามแต่บรรลุในแนวของท่านเอง ไม่จาเป็ นตอ้ งรู้แต่แตกฉาน ดา้ นพระปริยตั ิไม่ตอ้ งรู้ว่าคือรูปไม่ตอ้ งรู้วา่ คือนามความเขา้ ถึงมฤคธรรมรู้อยา่ งเดียวคือทุกลมหายใจ มี ความสุข ไม่จาเป็ นต้องรู้บญั ญตั ิอะไรมีความสุขทุกลมหายใจจนกระทงั่ ไม่ยึดส่ิงเป็ นปัจจยั ภายนอก เหมือนกบั ครูบาอาจารยส์ มยั ก่อนท่านไม่จาเป็ นตอ้ งเรียนปริยตั ิ หลวงป่ ูม่ันท่านสอนลูกศิษยป์ ัจจุบนั จน เต็มบา้ นเต็มเมืองเพราะท่านไปพบทางของทา่ นเองคน้ พบช่องจนกระทงั่ เล้ียวกลบั มามองท่านอาจารยข์ อง ตนเช่นหลวงป่ ูเสาร์ท่านมอบกายถวายชีวติ ธรรมะง่ายลึกซ้ึงยง่ิ กวา่ พวกเรียนมาแคห่ ายใจให้เป็นจงั หวะให้ เสมอกนั หายใจเขา้ กาหนดพุท หายใจออกกาหนดโธ ทุกลมหายใจ เสมอกนั เม่ือเขา้ ยาวใหห้ ายออกใจยาว ทาให้เสมอกันหากหายใจส้ันบ้างยาวบ้างไม่เกิดสมาธิต้องให้เข้าเสมอกันออกเสมอกันคือตัวสมาธิ สามารถทาให้จิตเป็ นสงบการหายใจเป็ นของเฉพาะคนๆสติสมาธิเหมือนกนั ข้ึนอยกู่ บั ตวั เองพุทธเจา้ คือผู้ ปฏิบตั ิธรรมผรู้ ู้ธรรมยอ่ มไดเ้ ฉพาะกบั ตนเอง รูปแบบ ๙ การปฏบิ ตั คิ รบ ๔ อย่างกายเวทนาจิตธรรม ฝึ กไปพร้อมกนั เช่ือมโยงนามรูป ขนั ธ์ ๕ พองยุบ กาหนดอนิจจัง ทุกขขัง อนัตตา อาศัยกนั จิตพจิ ารณา ปัญญาภาวนามยปัญญา
๑๖๘ พระครูโสภิตปุญญาคม(บุญหา สิกขาสโภ) เจา้ อาวาสวดั ชา้ งรอง จงั หวดั ลาพนู สอนหนงั สือมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตลาพูน เขียนหนงั สือ “ธรรมภาคปฏิบตั ิ ๒ เร่ือง วิปัสสนา กรรมฐานภาคปฏิบตั ิ” สมั ภาษณ์เม่ือวนั ที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๑ ๙.๑) สอนหลกั สูตรเก่ียวกบั การปฏิบตั ิสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐานการฝึ กปฏิบตั ิสติปัฏฐาน เป็ นหลกั ของการปฏิบตั ิเนน้ ในธรรมท้งั ๔ อยา่ ง คือ กาย เวทนา จิต ธรรม หลกั การปฏิบตั ิเนน้ กาย จิตไป รับรู้แลว้ สมมุติวา่ มีอริยบถท้งั ๔ ยนื เดิน นงั่ นอน มีอริยบถยอ่ ย เวลาเคล่ือนไหวอิริยาบถต่างๆให้ มีสติ ในการเคลื่อนไหวต่าง ๆ และถา้ เกิดเวทนา เจบ็ ปวด หรือวา่ รู้สึกสบายต่าง ๆ ให้มีสติ อดีตอนาคตปัจจุบนั ดว้ ยจิตของการรับรู้ตลอด รู้จิตของตัวเองทุก ๆ สภาวะ ให้รู้วา่ จิตของตวั เองเป็ นอยา่ งไร จิตผ่องใส จิตมี ราคะ จิตมีโทสะ จิตไม่มีราคะ หรือ เป็ นจิตท่ีบริสุทธ์ิเป็ นจิตท่ีไมม่ ีความหวน่ั ไหวเป็ นจิตท่ีมีสมาธิถึงแมว้ า่ มีสมาธิหรือไม่มีสมาธิ ตามถา้ มีสติรู้ตามจิตของตวั เองตลอดกิเลส ไม่สามารถครอบงาจิตของ ถา้ เมื่อไหร่ ขาดสติกิเลส เขา้ มาครอบงาจิตใจ ได้ เป้าหมายของสติปัฏฐาน เขา้ ไป ๔ อยา่ งคือกายเวทนาจิตธรรมต้อง ฝึ กไปพร้อมกัน เลือกปฏิบตั ิอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงไม่ได้ ตอ้ งอาศยั กายเพราะถา้ ไม่อาศยั กาย ฝึ กดา้ นจิตอย่าง เดียวไม่ไดต้ อ้ งอาศยั นามหรือวา่ รูปกบั กายรูปกบั ใจรูปกบั นามตอ้ งไปดว้ ยกนั อาศยั กนั ถา้ ไปไดด้ ว้ ยญาณ ของวปิ ัสสนาญาณกาหนดทกุ ข์กาหนดรู้ ๙.๒) ความหมายสมถะ คือการทาใจให้สงบ มีองค์กาหนดอยู่ ๔๐ประการ ปฏิบตั ิดา้ นสมถะได้ การสร้างเร่ืองสมาธิมีความสงบมีความสุขมีสติรู้ทนั ทุกอยา่ งที่เขา้ มาสู่กายของ ตาหูจมูกลิ้นกายใจต้องมี สตริ ู้วปิ ัสสนาคือข้นั ท้ี่เลยจากสมถะไปเหมือนคน ถา้ ปฏิบตั ิทุกคนปฏิบตั ิแบบวปิ ัสสนากรรมฐานเลยแต่คน ที่ไม่เคยปฏิบตั ิอาศยั ศีลภาวนาเลยบางคร้ังเป็ นไปไดย้ ากคนๆน้นั ตอ้ งมีความหมน่ั เพียรพยายามกาหนด อยา่ งแรงกลา้ วิปัสสนาคือการเห็นไตรลกั ษณ์ ถา้ ปฏิบตั ิในดา้ นวปิ ัสสนาอยา่ งเดียวถา้ สาเร็จพระอรหันต์ แลว้ ไดว้ ปิ ัสสนาคือกรรมฐานที่ทาใจใหเ้ กิดสติเกิดปัญญา ๙.๓) สติปัฏฐานในสายของวิปัสสนา บางคร้ังปฏิบตั ิลืมไปบา้ งเกิดตวั รู้ตัวกาหนดตัวปัญญาถา้ สุ ตมยปัญญาคือปัญญาเกิดจากการฟัง เมื่อฟังแลว้ จิตพิจารณาปัญญาเกิดความคิด ภาวนามยปัญญาเกดิ จาก การทาให้มีให้เป็ นขึน้ จิต นงั่ สมาธิไปแลว้ เกิดตวั รู้เองเหมือนกบั รับประทานอาหารอาหารน้นั อร่อยถา้ ไป บอกคนอ่ืนว่าอาหารน้ันอร่อยไม่รู้แต่เม่ือเขาได้รับประทานอาหารน้ันแล้วเขาไดร้ ับรู้ถึงรสชาติอาหาร น้นั เองเช่นดงั เช่นการวิปัสสนาถา้ ภาวนามยปัญญาเกิดตวั รู้ดว้ ยตวั เองแลว้ ปรัชญาต่างรู้ไดเ้ ฉพาะตวั เองถ้า คนปฏิบัติด้วยกนั รู้วา่ ปฏิบตั ิอยา่ งน้นั ไดแ้ บบน้ี รู้ตัวเองสติคือตัวระลึกรู้ สัมปชญั ญะ ปัญญาคือตวั ปัญญา การที่ รู้ตวั คือตวั ปัญญา บรรลุธรรมได้ ถ้าหม่นั ฝึ กวปิ ัสสนาค่อย ๆ ฝึ กมีสติมีปัญญา ไม่ตกอย่ใู นอานาจของ ทางโลก ทาให้พ้นทุกข์ คือ ตอ้ งรู้วา่ ทุกขม์ ีหมดสุขมีน้อยแต่ตอ้ งรู้วา่ ทุกขอ์ ยูต่ ลอดแต่ไม่ใหเ้ ขา้ ไปยึดติดว่า
๑๖๙ ตวั ทุกขแ์ ต่ถา้ ปฏิบตั ิไป ทุกขเ์ กิดข้ึนตลอดเวลา ปฏิบตั ิ เกิดความเจบ็ ความปวดเพราะมีความอยากตรงน้นั ให้ รู้วา่ มีทุกขใ์ หอ้ ดทนถา้ กาหนดรู้วา่ เจบ็ หนอเจบ็ หนอปวดหนอปวดหนอบางทีความเจบ็ ความปวดน้นั ค่อยๆ คลายไปแต่ถา้ ไปกาหนดอยตู่ ลอดเป็ นทุกขอ์ ยอู่ ยา่ งน้นั แค่ยอมรับเขา้ ไปสู่ผา่ นทาทางวา่ มีอยแู่ ลว้ ดบั ไปแต่ ถา้ กาหนดรู้แบบกองโจรคือการกาหนดรู้แค่ ๓ คร้ังรู้แล้วปล่อยไปกาหนดแค่ ๓ คร้ังจนความเจ็บปวดน้นั หายไป ถา้ หูไดย้ นิ กาหนดไดย้ นิ หนอไดย้ ินหนอถา้ ตาเห็นกาหนดเห็น เห็นหนอคือการเรียกสติมาก่อนถ้า รู้ตัวเกิดปัญญาถา้ ร้อนหนาวเยน็ มากระทบกายจิตรู้หนาวหนาวๆร้อนหนอร้อนหนอไปเรื่อย ๆ จนหายไป บางคนร้อนมากระทบกระวนกระวายเรียกหาพดั ลม เหมือนกบั จิตปรุงแต่งคือรู้อยู่แลว้ แลว้ เติมเขา้ ไปอีก หลุดเอาสติไม่อยู่เพราะเคยชินกบั ความสบายไม่อยากมีทุกข์แต่ถา้ ทาจิตให้กาหนดรู้นี่เป็ นเรื่องธรรมดา สามารถอยไู่ ด้ ๙.๔) ธมั มานุสสติ ธรรมเกิดปัจจยั ที่ตอ้ งรู้สานึกกาหนดรู้อกศุ ลคือ นิวรณ์ ๕ กามฉันทะความพอใจ ติดใจ หลงใหลใฝ่ ฝันในกามโลกีย์ท้งั ปวงดุจคนหลับอยู่ พยาบาท ความไม่พอใจ ความไม่ได้สมดัง ปรารถนาในโลกียะสมบตั ิท้งั ปวง ดุจคนถูกทรมานอยู่ ถนี มทิ ธะ ความข้ีเกียจ ทอ้ แท้ ออ่ นแอ หมดอาลยั ไร้ กาลงั ท้งั กายใจ ไม่ฮึกเหิม อุทธัจจกุกกุจะ ความคิดซัดส่ายตลอดเวลา ไม่สงบน่ิงอยู่ในความคิดใดๆ วจิ ิกจิ ฉา ความไมแ่ น่ใจ ลงั เลใจ สงสัย กงั วล กลา้ ๆ กลวั ๆ ไม่เตม็ ที่ ไม่มนั่ ใจ รู้วา่ อยกู่ บั ความพอใจในกาม ฉนั ทะข้ึนมาการกาหนดสติขาดไป ต้องมีสติรู้กาหนด ชอบใจหนอชอบใจหนอ แต่ถา้ เกิดความไม่ชอบใจ เกิดใจท่ีพยาบาลแตถ่ า้ เกิดอาการหนาวหาวนอน กาหนดจิตง่วงหนอง่วงหนอ ๙.๕) ความคิดเป็นไตรลกั ษณ์ ความจริงแลว้ ในความคิดถา้ ความคิดลบไปเป็นเร่ืองเรื่องเป็นอนิจจงั เป็นทุกขข์ งั และเป็ นอนตั ตาไปในตวั เองทุกอยา่ งท่ีเป็ นอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตาเห็นถือวา่ ตาเป็ นรูปคือเห็นคร้ัง หน่ึงคือเกิดข้ึนแลว้ ตอ้ งอยแู่ ลว้ ดบั ไปคือ อนิจจังและทุกคร้ังข้ึนมาคือมาทนอยใู่ นสภาพเดิมไม่ได้ หมายถึง ความเจ็บปวดแต่คือการทนอยูใ่ นสภาพเดิมไม่ไดเ้ ป็ นทุกขงั แลว้ บงั คบั ไม่ไดเ้ ป็ นอนตั ตาหรืออาการต่างๆ เหมือนที่ เป็ นอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตาเกิดข้ึนแลว้ ผา่ นไปคาพูดท่ีเอามาพูด เป็ นรูปกับนามส่ิงท่ีเอามาพูดเป็ น นามเสียงกบั ประสาทรับรู้ เป็นรูปคือจิตท่ีเกิดข้ึนมาเพยี งครู่เดียวแลว้ ดบั ไปเป็ นลกั ษณะของอนิจจงั ต้งั อยูใ่ น นานไมไ่ ด้ เป็นทุกขข์ งั บงั คบั ไมไ่ ดเ้ ป็นอนตั ตาถา้ ปฏิบตั ิไปละเอียดลึกซ้ึงไปในตวั เองเห็นวา่ การเกิดอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา เห็นคนเกิดคนแก่เห็นเด็กเห็นหนุ่มสาวเห็นคนตายหรือเกิดแก่เจ็บตาย มีอยทู่ ุกขณะรูปนาม เป็นอนิจจงั ท่ีไหนท่ีเห็นอนิจจงั ไมเ่ พยี งที่ไหนเป็นทุกขต์ รงน้นั เป็ นอนตั ตา ๙.๖) เวทนาคือความรู้สึกความคดิ เป็ นจิตเข้าไปเสวยอารมณ์เกิดข้ึนกบั กายเจบ็ ปวดเกิดข้ึนง่ายบาง คนเขา้ ใจวา่ การเจ็บกายปวดกายความเจบ็ ปวดเกิดข้ึนที่กายจริงแต่วา่ จิตต่างหากท่ีเจบ็ ที่ปวดถา้ กายไม่เจ็บ ไม่ปวดจิตไม่ไปเสวยการเจบ็ ปวด รูปนามมาจากขันธ์ ๕ มีรูปเวทนาสัญญาสังขารวญิ ญาณ ๕ อยา่ งคือรูป คือไดแ้ ก่ร่างกายต่าง ๆ ต้งั แต่หัวถึงเทา้ เสียงต่างๆส่ิงที่เห็นทางตาหรือไดย้ นิ ทางหูรสท้งั สิ้นกลิ่นทางจมูก รวมกบั ประสาทเป็ นรูปและตวั ท่ีเขา้ ไปรู้ในส่ิงเหล่าน้นั คือนามเหมือนเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณอยา่ งน้ี เป็ นนามเกิดจากการปฏิบัติแบบยุบหนอพองหนอเหมือนสมมุติกาหนดขวายา่ งหนอเป็ นรูปส่ิงที่ไปรับรู้ ขวายา่ งหนอคือนาม เวทนาเกิดคือการเอาเวทนาเขา้ ไปจากวา่ เกิดสังขารความนึกคิดคือกา้ วเทา้ ขวาออกจิต ดีหรือไม่ดี วญิ ญาณคือตัวรู้รู้สึก ในการปฏิบตั ิหรือการบริกรรมยุบหนอพองหนออาการยุบพองเป็ นรูปตัว
๑๗๐ ที่เข้าไปรู้อาการคือนาม เกิดพร้อมกนั ท้งั ๕ อยา่ ง ไม่มีแยกรูปกบั นามคือกายกบั จิตแต่ถา้ ปฏิบตั ิแลว้ เขา้ ใจ เร่ืองขนั ธ์ ๕ แยกไดว้ า่ อะไร คือเวทนาสัญญาสังขารและวญิ ญาณ ๙.๗) สติปัฏฐาน ๔ บางคนปฏิบตั ิอาจเขา้ ถึงฌานถา้ จิตน่ิงแลว้ ถอดจิตออกมาเพ่ือเข้าถึงฌาน ๔ แลว้ มาพจิ ารณา เป็นอปั ปนาสมาธิ สมาธิแนบแน่นแตว่ ปิ ัสสนา เอาสมาธิแค่ขณิกสมาธิและไปสู่วปิ ัสสนา สมาธิชวั่ ขณะหรือถา้ สูงกว่าน้นั ไป เป็ นอุปจาระตอ้ งอดทนขยนั บางทีจิตคนทาคร้ังเดียวไม่เป็ นผลตลอด เป็ นไปไม่ได้ ฟุ้งซ่านแลว้ กลบั มาแต่ฟุ้งไปอีกตอ้ งกา้ วผ่าน มีอดทนจิตเกิดความเบ่ือหน่ายจิตตอ้ งมีความ อดทนหรือมีตบะมีสมาธิ สัมปชาโนคือตอ้ งมีตบะมีความเพียรเป็นตวั กาหนด ความเพยี รความอดทนแลว้ มี สติสัมปชญั ญะแต่บางคร้ังถา้ สติกาหนดจิตไมท่ นฟุ้งซ่านไปเองตามธรรมชาติเพราะวา่ จิตเป็ นใหญ่จิตเป็ น ประธานจิตเป็ นทุกส่ิงอย่างจิตดีแลว้ การกระทาออกมาทางกายทางวาจาทางใจดีไปดว้ ยแต่ถา้ จิตไม่ดีการ กระทาที่ออกมาทางกายทางวาจาและทางใจไมด่ ีไปดว้ ยทุกสิ่งทุกอยา่ งสาเร็จมาแต่ใจสาเร็จมาแตจ่ ิต ๙.๗) จิตอุเบกขาตอ้ งอาศยั ญาณตัวรู้ปัญญาต้องพิจารณาเห็นรูปนามสภาวะธรรมตนเองเกิดไม่ เหมือนกนั ข้ึนอยูก่ บั ลกั ษณะนิสัยของคนแต่ละคนไดส้ ั่งสมมาฝึ กมาไม่เหมือนกนั เปรียบเทียบเหมือนใน ตาราเป็ นไปไม่ไดต้ อ้ งข้ึนอยูก่ บั ตวั ของผูป้ ฏิบตั ิเอง รู้ตวั เองกาหนดแยกรูปแยกนามได้ รู้ว่าอะไรเป็ นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยของตวั รูปนามขณะปฏิบตั ิมีนิมิตเกิดข้ึน ตอ้ งเกิดจากการพิจารณาของผปู้ ฏิบตั ิเอง รูปแบบ ๑๐) การไม่ทาบาปท้งั ปวง การทากุศลให้ถึงพร้อม การชาระจิตของตน ธรรมเป็ นเร่ืองธรรมชาติ พระอธิการบุญส่ง โสภณจิตฺโต เจา้ อาวาสวดั เสาหิน เลขท่ี ๒๕๑ หมู่ ๔ บา้ นขวั แคร่ ต.ศรี บวั บาน อ.เมือง จ.ลาพูนสมั ภาษณ์เมื่อ วนั ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๑“โคช้ เอก หรือ นายเอกพล จนั ทะวงษ”์ บวชเป็น สามเณรวดั เสาหินก่อนลาสิกขา” ๑๐.๑) สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม มีหลายลกั ษณะพิจารณาหลกั สติปัฏฐาน องคแ์ ห่งการ ปฏิบตั ิแนวทางของพระพุทธเจา้ ปฏิบตั ิให้พิจารณาหลกั สติปัฏฐาน ๔การเจริญรอยตามพระพุทธองคม์ ี การศึกษาอีกหลายอยา่ ง การปฏิบตั ิข้นั ตน้ ต้องไปเรียนปริยตั ิ คือ การศึกษาให้พอรู้แนวทางแล้วปฏิบัติ ตอ้ ง นามาปฏิบตั ิใหร้ ู้ไดด้ ว้ ยตนเอง จากการศึกษาหลกั การปฏิบตั ิตามหลกั ธรรมคาสอน “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วญิ ญูห”ิ เป็ นส่ิง ผ้รู ู้กร็ ู้ได้เฉพาะตนจากการปฏบิ ตั เิ อง นามาปฏิบตั ิและผลของการปฏิบตั ิบางทีนงั่ สมาธิจิต ไม่นิ่งแต่หากถา้ จิตนิ่ง หากไม่ไดก้ าหนดจิตอะไรเลยไม่เห็นส่ิงต่างๆในนิมิตเรียกวา่ ปฏิเวธ ทาจิตใจให้ สะอาดนาเอาหลกั ธรรมคาสอนของพระองค์สัมมาสัมพุทธเจา้ เรียกว่าโอวาทปาติโมกข์ เอามาเป็ นหลกั แนวทางในการปฏิบตั ิให้ดีเสียก่อน หากทาอะไรแล้วแต่ต้องมีการเตรียมตวั ให้พร้อมก่อน เหมือน พระพุทธเจา้ กล่าวคาถาโอวาทปาติโมกข์วา่ “สัพพะปาปัสสะ อะกะระณงั ”การไม่ทาบาปท้ังปวง “กุสะลัส สูปะสัมปะทา” การทากุศลให้ถึงพร้อม “สะจิตตะปะริ โยทะปะนัง”การชาระจิตของตนก่อนนงั่ แนวทาง
๑๗๑ ปฏิบตั ิตอ้ งพร้อมกาย ใจ วาจา สถาน ปฏิบตั ิ เรียกวา่ สายอาจารยแ์ ตล่ ะสานกั มีการปฏิบตั ิ แตกต่างกนั บาง ทีเป็ นแนว สัมมาอะระหงั การปฏิบตั ิโดยหายใจเขา้ ออก กาหนดลมหายใจ คาวา่ หนอ พองหนอ ยุบหนอ ให้รู้ขณะจิตทุกเมื่อการกาหนดอ การใชช้ ีวิตประจาวนั คือควบคุมความประมาทการขาดสติสัมปชญั ญะ ตอ้ งกาหนดให้รู้ลมหายใจเขา้ ลมหายใจออก รู้อากปั กิริยา ขณะกาลงั ทาอะไรอยู่ พิจารณาวา่ ต้งั แต่เกิดมาถึง ปัจจุบนั และสุดทา้ ยไปจนถึงวยั ชรา อริยสจั ๔ เกิด แก่ เจบ็ ตาย ลว้ นเป็นทุกขท์ ้งั สิ้นจึงตอ้ งพิจารณาในฐาน ธรรม ๑๐.๒) แนวสติปัฏฐาน พิจารณาในร่างกาย มีอะไรบ้าง สุดทา้ ยแล้วเหลือแค่ผงกระดูกเกือบ ช่ือเสียงเรียงนามในกายน้ีมีอะไรบา้ ง ทาให้ยืนตวั นัง่ นอนเองอยู่ได้ ธาตุท้งั ๔ ได้แก่ ดิน ปฐวีธาตุ น้า อาโปธาตุ ลม วาโยธาตุ ไฟ เตโชธาตุ ขนั ธ์ท้งั ๕ รูป ส่วนผสมของธาตุท้งั ๔ เวทนา ความรู้สึก สัญญา จา สิ่ง ไดร้ ับรู้และรู้สึก สังขาร คิดปรุงแต่ง วิญญาณ รู้สิ่งๆต้องรู้ทฤษฎีก่อนศึกษาปฏิบัติตามแนวทางไดอ้ ยา่ ง รวดเร็ว เช่น พิจารณาการนง่ั สมาธิเจริญภาวนา แลว้ ตอ้ งไปทดสอบกรรมฐานกบั ครูบาอาจารย์ เหมือนมีครู ไปไหนมาไหน สามารถอา้ งอิงเอาได้ หากมีสมาธิทาให้เกิดวิปัสสนาญาณ ว่า ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น เรียกวา่ ขณิกสมาธิ เช่น ทาสมาธิมาตลอดแตไ่ ม่สามารถพน้ ทุกขไ์ ดม้ าจากสาเหตุตกอยใู่ นโลกธรรม ๘ สุด ความสุขคือความทุกข์ สุดของความทุกข์ คือความสุข ความสุขกบั ความทุกข์ มีคู่กนั ท้งั ๔ คู่ คือมีสุขตอ้ งมี ทุกข์ มีลาภตอ้ งมีเสื่อมลาภ มียศตอ้ งมีเสื่อมยศมีสรรเสริญตอ้ งมีนินทา ปัจจุบนั ชอบความสะดวกสบาย เรียกวา่ อิฏฐารมณ์ เป็ นอารมณ์ปรารถนาแต่สิ่งไม่ชอบ เป็ นอารมณ์ไม่ปรารถนา เช่น การเส่ือมลาภ การ เส่ือมยศ การถูกกล่าววา่ ร้ายนินทา อนั ก่อให้เกิดความทุกข์ ท้งั หมดน้ีลว้ นอยใู่ นเวทนาท้งั สิ้น ความรู้สึกไม่ อยากเป็ นแบบน้ีลว้ นเป็ นกรรมท้งั หลายในภาวตณั หาตกอยู่ในโลกธรรม มีความสุขลืมทุกขไ์ ป แต่หาก ความทุกข์ของความสุข คือ ความทุกข์ แนวสติปัฏฐาน ๔ ต้องพิจารณาในรูปตวั เช่นนง่ั แลว้ มีความสุข ขณะชวั่ หน่ึง เพราะรู้สึกสบายผอ่ นคลายไม่ปวดไม่เม่ือยแต่พอนงั่ ไปสักพกั เกิดอาการเหน็บชา ปวดไปท้งั แขนท้งั ขาเปลี่ยนอิริยาบถจากสุขอยูเ่ ป็ นความทุกขท์ ุกขม์ าถึงพิจารณากาหนดจิตว่า ปวดหนอ ปวดหนอ แลว้ กลบั มาเป็ นอิริยาบถเดิมจากสุขกายเป็ นทุกขเ์ พราะทุกขห์ มดกลบั กลายเป็ นสุขสืบต่อเนื่องมา เป็ นบท เบ้ืองตน้ เกิดมาแลว้ แก่เลย อเุ บกขา คือการวางเฉย ไม่ตอ้ งติดตามพอ่ พุทธทาสวา่ “ตถาตา” เป็นเช่นเองตอ้ ง ติดตามตอ้ งรู้เหตุตอ้ งรู้ผลเกิดข้ึนแลว้ แปรปรวนสุดทา้ ยดบั สลายไปเป็นเหตุอยใู่ นโลกธรรม ๑๐.๓)พิจารณาขันธ์ท้ัง ๕ ต้องมีอายตนะ ๖ ควบคุมให้ดีให้ได้ อายตนะขา้ งใน ๖ ขา้ งนอก ๖ เช่นกันอายตนะข้างใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะข้างนอก รูป เสียง กิน รส โผฏฐัพพายตนะ ธรรมารมณ์การปรุงแต่งข้ึนมาเกิดความสุขทุกข์ เกิดเป็ นอิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ มีตาใช่ว่าสักแต่ตา อายตนะปรุงแต่งในตา ภายนอก คือ รูป ถ้าตาไปมองเห็นรูปใจ เป็ นอิฏฐารมณ์ ถ้าหากไม่ชอบเป็ น อนิฏฐารมณ์ เหมือนกนั เวลาไดย้ ินเสียงเพลงอะไรชอบแต่ถา้ หากฟังเพลงไม่เพราะไม่ชอบ ตอ้ งระวงั คือ ความเป็ นใหญ่ ตา หู จมูก เป็ นใหญ่ เกิดจากการปรุงแต่ง สุขเวทนา ทุกขเวทนา เรียกวา่ อุเบกขาไม่ใช่เฉย หมดแต่ตอ้ งติดตามตอ้ งรู้ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค ตอ้ งยอมธรรม พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ตรัสไวว้ า่ อายตนะ ๖ ธาตุ ๔ ขนั ธ์ท้งั ๕ รูปกายเหลือแค่รูปธรรมนามธรรม สุดทา้ ยสุดอธิบายท้งั หลาย คือ โอวาทปาติโมกข์ สติสัมปชญั ญะใช้ มีสติระลึกไดส้ ัมปชัญญะคือรู้ตวั วา่ ขณะน้ีเป็ นอะไร รู้ต่ืน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
๑๗๒ ธรรมะขอ้ เดียวไมส่ ามารถเขา้ ใจตอ้ งโยงเข้าไปได้ต้องใช้หลายอย่างองค์ประกอบท้งั โพชฌงค์ ๗ ศึกษาต้อง โยงธรรม ๑๐.๔) จิตบริสุทธ์ิ ตอ้ งอยูใ่ นอารมณ์หลายๆอยา่ งเบ้ืองตน้ ปฏิบตั ิทุกสิ่งทุกอย่างติดตามคือจิตแลว้ สถาน เป็ นตวั กาหนดไปนง่ั สมาธิเจริญภาวนา คือ สุขสุดของสุข คือทุกขส์ ุดของทุกข์ คือสุข โยงไปโยง มาแต่ติด ยงั ปรุงแต่งติดอย่างมากฟุ้งซ่าน พยายามจามกั ลืม พยายามลืมกลบั จา เป็ นสัญญาณนงั่ สมาธิ หลบั ตาเพื่อให้ไม่มองเห็นสิ่งรอบขา้ ง เพียงแต่ไดย้ ินเสียงแลว้ ไปกาหนดดว้ ย เพราะจิตนิ่งลมหายใจแผว่ ลงๆ ให้จิตติดตามไป เปลี่ยนความผิดพลาดให้เป็ นสิ่งดี เกิดข้ึนเองสักพกั แปรปรวนหายไปถ้าผิดไป กาหนดตวั นิ่งอยู่แบบน้ี แปลวา่ ไดย้ นิ ไดเ้ ห็นกาหนดเห็นหนอ เสียงหนอ จมูก ไดก้ ลิ่น กาหนดวา่ ไดก้ ล่ิน หนอ อะไรเกิดข้ึนให้ กาหนดตามสติปัฏฐาน ๔ พิจารณาลมหายใจเขา้ ลมหายใจออก โดยกาหนดวา่ ยบุ หนอ พองหนอ คืออาการปัจจุบนั กาหนดติดตามตลอด สมมติหายใจออกแลว้ ไม่หายใจเขา้ ตายหายใจเขา้ แลว้ ไม่หายใจออก ตายการนงั่ สมาธิได้ นง่ั นอนยนื ได้ กาหนดใหล้ มหายใจแผว่ จิตไปกาหนดไหนเป็นจุดๆ เช่น ฐานกาย หวั เข่าไหล่ข้ึนมา เดินจงกรม ยกหนอ ยา่ งหนอ ลงหนอ ถูกหนอ เหยยี บหนอ คือรูปแบบการ สอนใหใ้ ชส้ มาธิอยใู่ นวธิ ีการละเอียดข้ึน ไม่ใช่ลมหายใจแบบธรรมดา แผว่ เบาและหนกั แน่นเหมือนมีพลงั อยขู่ า้ งใน การน่ังสมาธิกาหนดได้หลายวธิ ี เช่น พุทโธ สัมมา อะระหงั ยบุ หนอ พองหนอ การสอนไดท้ ้งั แลว้ แต่ครูบาอาจารยข์ องใครเพราะจริตตา่ งกนั จึงมีทางเลือกให้ การกาหนดคือสมมุติขนึ้ มาใชเ้ ป็ นฐานใน การกาหนดนง่ั นิ่งๆไม่รู้ เอาอะไรกาหนดคาทุกอย่างเป็ นตัวกาหนดวันเป็ นคามงคลให้ไดก้ าหนดเป็ น ตวั กาหนดลมหายใจเขา้ ลมหายใจออกไดข้ ้ึนอยูก่ บั จริตของแต่ละคนชอบแบบไหน เรียกให้สติกลบั มาได้ ลมหายใจไดห้ ากรู้ตวั ทอ้ งพอง ทอ้ งยบุ ทุกอยา่ ง ต้องกาหนดและทุกอย่างต้องมีเป้าหมายไปถึงมีหลายอยา่ ง ในการเจริญธรรม เจริญภาวนา ข้นั แรกเป็นสมถกรรมฐาน คือพจิ ารณาต่อไปเป็ นข้นั ระดบั วปิ ัสสนาญาณ ไปตามข้นั เช่น ทาอะไรใหเ้ ป็ นผลสาเร็จ กินขา้ วไปบอกให้คนอื่นอิ่ม เป็ นไปไม่ไดเ้ หมือน ทาบุญไดค้ วาม อ่ิมโดยบุญโดยกุศลมากนอ้ ยไม่สาคัญภายใน รู้ด้วยตัวเอง คนอื่นไม่สามารถรับรู้ได้ ถึงเป็ นพระสงฆ์ พระ อริยะ รู้ของทา่ นเอง เคร่ืองวดั ในการพน้ ทุกขค์ ือ รู้ดว้ ยตนเองเป็นแนวทางใหค้ นอื่นไดแ้ ตต่ อ้ งทาดว้ ยตนเอง รู้หลกั ปฏิบตั ิ มาทาดว้ ยตนเอง ถา้ เป็นพระสงฆไ์ ปบอกไปพูดแตไ่ มล่ งมือปฏิบตั ิ ไมส่ าเร็จตอ้ งรู้ดว้ ยตนเอง ถา้ คนมีบุญกุศลหนา้ ตาเย็นๆแจ่มใสหวั คิ้วไม่ขมดั ท้งั ภายในท้งั ภายนอก สังเกตไดค้ นทาบุญผิวหนังไม่ หยอ่ นยานผวิ พรรณขาวสดใสบริสุทธ์ิ จึงเอาตวั เป็นเครื่องวดั และผอู้ ่ืนสามารถรับรู้ได้ ตวั เอง บอกใหต้ วั เอง ปฏิบตั ิ “ปัจจัตตังเวทติ ัพโพ” คือรู้ไดด้ ว้ ยตนเองออกมาตามทฤษฎี ๑๐.๕)จิตใต้สานึก คือ สั่งจิตสานึกจิตสานึกคือสมองเวลาไปเรียนรู้เหมือนกดไวค้ ือคาสอนของ พระพุทธเจา้ ถา้ นาไปปฏิบตั ิไดผ้ ลแทจ้ ริง เรียกว่าปฏิเวธ เกิดเป็ นของแถมนง่ั ไปเหมือนตวั เบาบางที กิด นิมิต ขนลุก เป็ นขณิกสมาธิชวั่ ขณะ แต่ไม่ไปหลงยุดติดตอ้ งโยงหลกั ธรรม เรื่องอภิญญา ๖ไปศึกษาแสดง อภินิหาร มีทิพย์ หูทิพย์ ฝึ กปฏิบตั ิบ่อยๆอาจไดอ้ ภิญญาณมาเหมือนสะกดจิตคนทายใจคนสามารถทายใจ ใหบ้ ุคคลเป็ นศาสตร์ ดูโหงวเฮง้ ใบหนา้ มือ คนปฏิบตั ิมาและสาเร็จดว้ ย คือโลกียะญาณ ไม่ตอ้ งยดึ ติดมาก หากยดึ ติด เจเตปริยญาณ หากสาเร็จตวั น้ีสามารถทายใจคนอื่นได้ บุพกรรม การฆา่ ตวั ตาย เกิดการเวยี นวา่ ย ตายเกิดพอถึงช่วงเวลาฆ่าตวั ตายเหมือนเดิมเพราะเป็ นเหมือนการฆ่าสัตวต์ ดั ชีวิตกว่าเกิดมาเป็ นมนุษยน์ ้ี
๑๗๓ แสนยากลาบากประสบการณ์ทางจิตคนสามัญธรรมดาวธิ ีการอกี แบบ ครูบาอาจารย์อกี แบบ วธิ ีการต่างกนั แลว้ แตป่ ระสบการณ์ชีวติ เจอใชส้ ติปัฏฐาน ๔ ไปใชป้ ระโยชน์ส่วนมากไดเ้ ป็นประโยชน์กบั ตวั เองมากกวา่ ไดแ้ ต่ถา้ เป็ นการเผยแพร่ และครูบาอาจารยส์ ายสามญั สายวิปัสสนารูปแบบหน่ึงตอ้ งมีการปฏิบัติ ปฏิยัติ ปฏิเวธ ต้องโยงอาศัยหลักธรรมแต่การปฏิบตั ิเป็ นพระกรรมฐาน พระวิปัสสนา สอนให้คนไปแนวทางดี เหมือนกนั อยู่เป็ นคู่กนั การปฏิบตั ิไม่เหมือนกนั บางคนปฏิบตั ิอยู่ในป่ า บางคนปฏิบตั ิอยู่ในร่ม บางคน ปฏิบตั ิอยใู่ นหอ้ งแอร์ ต้องมีแนวทางทฤษฎปี ฏบิ ัติเป็ นของคู่กนั ถา้ ขดั แยง้ กนั บรรลยั การปฏิบตั ิหากไมผ่ า่ น สมถกรรมฐานมาก่อนหลักธรรมคาสอนดีควรมาช้ีแจงแนะนา เผยแพร่ อนั ไม่ดี ก็บไวก้ บั ตวั ไม่ตอ้ ง เผยแพร่ ไม่วา่ เป็ นตาราเป็ นความรู้ เป็ นความสามารถ ข้ึนอยกู่ บั ข้ึนอยกู่ บั ใบบุญทามาการปฏิบัตติ ้องอยู่ให้ ได้ทุกสถานการณ์ไม่ว่าจริตชอบหรือไม่ชอบ ตามตอ้ งอยูใ่ นสังคมอยใู่ นโลกน้ีใหก้ ลมกลืนกนั ไดใ้ ห้ทาตวั เป็ นบวั ไม่ช้าน้าไม่ขุ่นเป็ นคนสุขกายสุขใจแลว้ เอาใจใส่ใจเหมือนทาให้คิดดี พูดดีทาดี อยู่ในสถานที่ดี ไปสู่ส่ิงดีและ สร้างบุญไม่คิดร้าย ส่งเสริมใหไ้ ดค้ ิดดี พูดดี ไปสู่ในทางดี ๑๐.๕) ศีล ๕ คือ พ้ืนฐานสมาธิหลกั ใหญ่ๆคือการไม่ทาบาปท้งั ปวงเป็ นลกั ษณะการเก้ือกูลสิ่ง อนุเคราะห์เป็ นองค์ประกอบโยงเขา้ ไปและอยู่ในโลกน้ี ปัญญาทางพระพุทธศาสนา ๓ ระดบั คือสุตมย ปัญญา เกิดจากการฟัง จิตมยปัญญา เกิดจากการคิดติดตาม ภาวนามยปัญญา เกดิ การแจ้งเหน็ ปัญหาเหมือน หวั ใจนกั ปราชญ์ สุ จิ ปุ ริ ฟัง คิด อ่าน เขียน ธรรมอธิบายไดค้ รอบคลุมทวั่ จกั รวาล ธรรมมีมาอยนู่ านแต่ไม่ มีใครมาคน้ ควา้ ไม่สามารถกลนั่ อธิบาย การคน้ ควา้ วิจยั จากหลายทางเกิดความลงั เลเพราะแต่ละให้ข้อมูล ต่างกันไป เกิดนิวรณ์ ๕ ต้องลองตอ้ งพิจารณาเพราะเป็ นสัจธรรมสิ่งแน่นอนในทางวิทยาศาสตร์ไม่ สามารถพิสูจน์เร่ืองน้ีไดเ้ รียกวา่ พหูสูต อภิญญา นาไปใชก้ บั วิทยาศาสตร์ไดแ้ ต่พระพุทธองคท์ ่านตรัสไว้ วา่ ไม่ใช่ทางหลุดพน้ สมถะเป็ นเบ้ืองตน้ หากปฏิบตั ิข้นั น้ีได้ สามารถปฏิบตั ิข้ึนไปไดเ้ ร่ือยๆจนถึงข้นั สูงสุด ข้นั ปรมตั ถ์ คือพึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวยั วะ พึงสละอวยั วะเพื่อรักษาชีวิต พ่ึงสละชีวิตสละอวยั วะเพ่ือ รักษาธรรมะสมาธิในชีวติ ประจาวันคือ การทาบุญ ถา้ ไม่ไปอะไรมากแค่นงั่ สมาธิให้จิตสงบเพราะจิตสงบ นึกถึงบุญกุศลวนั น้ีไดท้ าอะไรบา้ ง และวนั น้ีไดไ้ ปทาร้ายอะไรบา้ งแค่น้ีไดแ้ ลว้ เอาอกศุ ลกรรมง่ายๆวนั น้ีนั่ง ภาวนารักษาศีลแล้ว มาเจริญภาวนานั่งสมาธิสักครู่นึกถึงบุญทาไว้ไดเ้ ป็ นสะพานใหไ้ ปเกิดในภพภูมิหนา้ แลว้ แต่บุญนากรรมมีเพราะศาสนาเช่ือในเร่ืองกิเลส นึกถึงภาวนาวนั น้ีไดใ้ ห้ทาน ไดท้ าบุญ ไดบ้ ริจาคสละ ทรัพยส์ มบตั ิของตนเองใหผ้ อู้ ่ืนและผูอ้ ื่นมีความสุข เป็ นสิ่งดีๆ นึกถึงสิ่งศกั ด์ิถึงภาวนาบุญบารมีทุกสิ่งทุก อยา่ งควรน้ีดว้ ยกายไมไ่ ดท้ าร้ายเบียดเบียนใคร วาจาไมไ่ ดไ้ ปใส่ร้ายใคร แคค่ ิดผดิ แลว้ เกิดความอิจฉาริษยา เขา้ อยู่ในภาวะมโนกรรม เหมือนคุยกบั ตวั เองว่า วนั น้ีทาดีให้ตวั เองแล้ว แล้วตวั เองให้รางวลั ชีวิต สิ่ง กระทาผิดวนั น้ียงั ไม่ตอ้ งไปนึกถึงพรุ่งน้ีให้อยูก่ บั ปัจจุบนั ว่าวนั น้ี ทาดีคิดดีแลว้ ส่งผลไปในอนาคต เอา ง่ายๆใหอ้ ยกู่ บั ปัจจุบนั คิดดี ทาดี พูดดี คบเพ่ือนดี ไปสู่สถานท่ีดีสิ่งดีนาพาไปอยู่ จิตไม่เศร้าหมองสบายใจ แลว้ ไม่ตอ้ งไปคิดมากไปฟุ้งซ่านเปล่าๆ มีความลงั เล มีความสงสัย บุญเกิดจากใจ เหมือนข้ึนสะพานโคง้ แลว้ ยืนตรงกลางแลว้ มองขา้ งหลงั เปรียบเหมือนอดีต ผา่ นมาแลว้ ไดท้ าบุญทาบาปมาส่วนตรงยนื เหมือน ปัจจุบนั ถอยหลงั กลบั ไปแกไ้ ขไม่ได้ ทางขา้ งหนา้ เหมือนทางอนาคต ยงั ไปไม่ถึงเรียกทางสายเอก ให้สร้าง เหตุปัจจุบันให้ได้เสียก่อน เช่น ถามตวั เองวนั น้ีทาดีหรือยงั ไม่ตอ้ งไปมองคนอ่ืนสนใจคนอื่น ย่ิงสนใจคน
๑๗๔ อ่ืนส่ิงไดก้ ลบั มากระทบต่อตวั เป็นไปตามปฏิกิริยาถา้ อยกู่ บั ปัจจุบนั ไม่อะไรกบั ใคร กาย วาจา ใจ กายกรรม มโนกรรม วจีกรรม การแผ่เมตตาเป็ นกุศโลบาย เหมือนเป็ นการอภยั ซ่ึงกนั และกนั เป็ นการยกโทษไม่วา่ ล่วงเกินดว้ ยกายวาจา ใจ ทุกส่ิงทุกอยา่ งต้งั แต่โอปาติกะ เทพเทวาให้สตั วท์ ้งั หลาย แลว้ แผ่เมตตาใหต้ นเอง ใหท้ านอะไรไดด้ ี เหมือนความคิดไม่รู้แผเ่ มตตาให้ตนเอง ให้สรรพสัตวท์ ้งั หลายทุกอยา่ งเป็ นสรรพสัตว์ ท้งั สิ้น หากสร้างบุญกุศลไวเ้ ยอะตายแลว้ ไปเกิดเป็ นเทพบุตรเทวดา ตายแลว้ เป็ นลูกของคนอ่ืน ตายแลว้ เป็ นสัตวเ์ ดรัจฉาน ตอ้ งแผ่เมตตาให้มารับเอาส่วนบุญ เหมือนเป็ นพลังงานแผ่ไปให้พลังบุญกุศล ทาได้ เหมือนแผเ่ มตตา เหมือนกินขา้ วแลว้ มีหมามานงั่ มองแบ่งให้คาหน่ึง เหมือนแผเ่ มตตานิดเดียวหมาตวั รู้จกั บุญคุณเป็ นการใหท้ านแค่น้ีไดบ้ ุญแลว้ ในตวั ของคนมีเทวดาประจาตวั มีท้งั ตวั ดีและตวั ไมด่ ี เหมือนความดี ความชว่ั แลว้ แต่วา่ เลือกเองไปทางไหนมากกวา่ กนั ดีอยู่ ทาตวั ชว่ั อยู่ ตวั ทา ในร่างกายมีทางคิดดีและคิด ไม่ดีอยากเห็นความโลภของคนน้ีตอ้ งเอาของใหอ้ ยากเห็นความเป็ นใหญ่ตอ้ งมอบความเป็ นใหญ่ให้ครูบา อาจารยแ์ ตล่ ะสายแตกต่างกนั แต่มีสิ่งเดียวเหมือนกนั คือ เนน้ ในการปฏิบตั ิเอาสายแต่ละสายมาเปรียบเทียบ ต้องพิจารณาใจต้องทาตัวเป็ นกลางไม่มีสิ่งอันใดยึดไปเป็ นส่ิงตายตัว เอาตวั น้ีมาเป็ นอนั ดบั ๑ อนั ดบั ๒จง เขา้ ใจในลกั ษณะแลว้ มาเปรียบเทียบ ๑๐.๖) อุเบกขา การวางเฉยบางคร้ังวางเฉยอยา่ งเดียวผดิ เช่น เหมือนคนกาลงั จมน้าขาดลมหายใจ แต่น่ิงเฉย ผิดไม่เขา้ หาจิตไม่เกิดความเมตตาสงสารตอ้ งพิจารณาวา่ ตอ้ งติดตามอนั ดีไม่ดีควรน่ิงเฉย เพ่ือได้ ไม่ทุกข์ แต่สุดทา้ ยการวางเฉยมากเกินไปไม่ดี อยตู่ วั รู้ตวั ส่ิงเป็ นมงคลเป็ นกุศลเอาเป็ นตวั กาหนดไม่ตอ้ ง ไปยึดติดกบั เอาจริตชอบธรรมะให้ง่ายๆไม่ตอ้ งไปคิดอะไรให้มาก ๓ ขอ้ ให้ได้เป็ นพ้ืนฐานง่ายๆถา้ ไป อธิบายใหค้ นอ่ืนฟังบางคนไมเ่ ขา้ ใจเพราะ ไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิ จงทาทุกอยา่ งใหอ้ ยเู่ ป็นปัจจุบนั ธรรมะ มีศีล สมาธิ ปัญญา คือธรรมชาติ ส่ิงไหนเป็ นธรรมชาติลว้ นเป็ นธรรมะท้งั สิ้นอยา่ ไปฝื นธรรมชาติไม่ตอ้ งไปปรุงแต่ง หากไปปรุงแต่งเกิดความทุกขข์ ้ึนมาอีกให้อยอู่ ยา่ งธรรมชาติไดม้ ากส่ิงใดเกิดข้ึนต้งั อยทู่ า่ มกลางแปรปรวน ส่ิงดบั สลายตอ้ งพิจารณาให้ไดม้ าจากไหนกลบั ไปเดิมชีวิตเกิดมามีเวลาน้อย ควรทาบุญทากุศล อยูต่ วั อยู่ จริต สมมุติจริตชอบแบบน้ี ปฏิบตั ิแบบน้ีจริตชอบ อนั อื่นไม่ตอ้ งไปสนหากสนใจอนั อื่นจิตใจไม่สงบ จิตใจวอกแวกไปเรื่อยเป่ื อย ส่ิงครูบาอาจารยส์ อนเป็ นส่ิงดีท้งั หมด ถ้าเอาการปฏิบัติมาผสมผสานกับ ธรรมชาติทุกคนมีธรรมชาติเป็ นกฎแห่งไตรลกั ษณ์พิจารณาไม่มีอะไรเท่ียงแทอ้ ะไร เกิดข้ึนดบั สลายไป เป็ นธาตุแล้วกลบั สู่เดิมอีกถา้ เป็ นอยู่กบั โลกปัจจุบนั คิดว่าให้อยู่กบั ส่ิงปัจจุบนั เขา้ ไปกลมกลืนกบั คนใน สังคมใหไ้ ดอ้ ยูว่ ธิ ีคิดหากคิดแลว้ สบายใจเกิดการปล่อยวาง ร่างกายคนมีท้งั ดีท้งั ชวั่ ฟังอยใู่ นตวั ทางไหนอยู่ ตวั กาหนดไม่ใช่ไปตามกระแสน้าแม่น้าเปรียบเสมือนความชว่ั ไหลลงสู่ต่าไม่มีอะไร ศีลกล่ินดอกไมก้ ลิ่น อะไรช่างหอมได้ ถา้ งามความดีคือศีลไดป้ ฏิบตั ิธรรมมีความเมตตามีอะไรหลายอยา่ งไม่ตอ้ งอวดตอ้ งอา้ ง รักษาศีลคุณงามความดี หอมยอ้ นกลบั กุศลกบั อกุศล อยู่ในตวั ตอ้ งมีสติเขา้ มาสัมปชญั ญะรู้ตวั ตลอดทา ความดีตอ้ งเปิ ดเผยไม่ตอ้ งอาย ทาบุญบาทสองบาทถือวา่ ทาบุญทาดว้ ยใจ ปัญญา ศีล สมาธิ คือความรอบรู้ นาทุกส่ิงฟังคิดปฏิบตั ิทุกอยา่ ง ๑๐.๗) สมาธิปฏบิ ตั อิ ย่างไร นั่งสมาธิ นอนสมาธิ ยืนสมาธิ สมาธิทาได้ทกุ อริ ิยาบถ การนงั่ สมาธิลืม ตาไดห้ รือไม่ลืมตาไดถ้ า้ ไม่หลบั ตา เพง่ มองสิ่งรอบขา้ งทาใหไ้ ม่มีสมาธิทาใหเ้ กิดความอยากรู้อยากเห็น แต่
๑๗๕ หากถา้ หลบั ตามีสมาธิถึงหลบั ตาแต่หูรับรู้ส่ิงต่าง ๆ จิตเริ่มนิ่งลมหายใจแผ่วลง มีสมาธิ การไหวบ้ ูชาส่ิง เคารพไหวม้ ีหลายระดบั ไหวบ้ ิดามารดา ไหวค้ รูบาอาจารย์ ไหวพ้ ระพุทธรูป เป็ นตน้ การกราบแบบ เบญจางคประดิษฐ์ส่วนประกอบคือขอ้ ศอก หัวเข่า หนา้ ผาก กราบแบบอษั ฎางค์ประดิษฐ์การกราบแบบ โยคีพิสดารกราบแบบสติปัฏฐานใจเยน็ ตอ้ งกาหนด ๓ คร้ัง ช้าละเอยี ด เหมือนเดินจงกรมเดินจงกรมข้นั ๖ ละเอียดให้เป็ นไปตามธรรมชาติไม่ตอ้ งฝื น การกาหนดความรู้สึกหากน่ังสมาธิ เช่นพ่อแม่ พุทโธ หนอ สัมมาอะระหัง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การกาหนดปัจจุบันแค่ลมหายใจเป็ นปัจจุบนั ให้ดี มีการ หายใจเขา้ หายใจออกพยายามรู้ลมหายใจเขา้ ไป ลมหายใจออกมา กาหนดบริกรรมเหตุจิตฟุ้งซ่านอนั เนื่องมาจากไมม่ ีหลกั กาหนดแค่ลมหายใจเขา้ ลมหายใจออกไม่รู้จิตถา้ กาหนดอยสู่ ิ่งเดียวลมหายใจ กาหนด ถา้ เริ่มแผว่ ๆไปเหมือนกาลงั ภายในเหมือนมีทุกคนในตวั แตใ่ ชใ้ หถ้ ูก เวลากาหนดบงั คบั ไดห้ รือเปล่า เอาจิต ไปไว้ตรงกาหนดไหลเวียนไปเป็ นจุดจุดเหมือนกาลงั ภายในเพียงพอ สามารถบงั คบั ขา้ งนอกไดเ้ ป็นศาสตร์ อยา่ งหน่ึงโดยการเพ่งคือการใชก้ าลงั ภายใน เกิดอาการตกใจมากๆไม่รู้ตวั สามารถทาอะไรโดยไม่คาดคิด ได้ ในการนงั่ สมาธิแรกๆมีอาการปวด แต่พอนง่ั สมาธิในพกั หลงั ๆเร่ิมกาหนด สามารถนงั่ สมาธิไดเ้ ป็ น เวลานานๆคลา้ ยๆกบั เลือดลมไหลไปกาหนดเองสามารถกาหนดไดเ้ คยทาบ่อยๆเลือดหมุนเวียน เหตุเป็ น เหน็บชาและนง่ั ไดไ้ ม่นาน เพราะเลือดไม่ไปเล้ียงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายหากกาหนดจุดต่างๆสามารถนงั่ ไดน้ านข้ึน ๑๐.๘) สติมา อาตาปิ สัมปันโน นามาปฏิบตั ิอะไรดี จริตถา้ ดีเอาตวั เป็ นตวั กาหนดดีกว่าฟังครูบา อาจารยแ์ ต่ละสานกั ไม่เหมือนกนั แต่ละสานักให้ขอ้ คิดเห็น สรุป คือ กฎแห่งไตรลักษณ์เป็ นธรรมชาติ ธรรมดาคือ รูปธรรม กาหนดเอาทาใจให้ผอ่ งแผว่ ไม่ตอ้ งไปเอาอะไรหวงั อะไร ไม่ตอ้ งคิดอยากไดอ้ ยากมี สิ่งใดของนอกกาย เห็นเป็นเพียงแค่รูปธรรม คิดยนิ ดี ยนิ ร้ายดว้ ยแค่หากได้ พลอยยนิ ดีดว้ ย ถา้ หากไม่ไดใ้ ห้ รู้สึกเฉยๆ แค่ อะไรไดต้ อ้ งได้ แลว้ สิ่งไม่ไดฝ้ ันเอายงั ไงไม่ได้ วา่ สู้พรสวรรค์ พรแสวงของตวั เองไดอ้ ยา่ งไร ตอ้ งมีความขยนั หมน่ั เพียรฝึกอดทนให้ ธรรมะของพระเจา้ เป็ นกองกลางแลว้ แต่บุคคล คิด สอนคนใหเ้ ป็ น คนดีถา้ ใหค้ น สอนคนน้ีไมเ่ หมือนกนั เปรียบเสมือนนิ้วมือของคนยงั ไมเ่ ทา่ กนั เปรียบดง่ั บวั ๔ เหล่า ใหค้ ิด วา่ ลกั ษณะแบบน้ีเป็นของวทิ ยาทานของธรรมชาติ ใครรับไดม้ ีหลายทางแมแ้ ตโ่ ลกในปัจจุบนั ทุกวนั น้ีกลวั อะไรมากระทบกระเทือน มีการอดั คลิป การถ่ายรูป ทาอะไรไหนแล้วแต่ตอ้ งมีความสารวม สถาบนั พระภิกษุสงฆค์ ือปรึกษาทางใจแต่สมยั ปัจจุบนั กลายเป็ นวา่ สถาบนั พระภิกษุสงฆถ์ ูกโจมตีถูกทาลาย ไม่มี นโยบายเชิงรุก คาสอนพระพุทธเจา้ เป็ นพ่ึง เหตุคนไม่เขา้ วดั มีดงั น้ี ๑)เพราะความประมาท คือ อายนุ อ้ ยอยู่ วดั เป็ นของคนแก่ ๒) ตดั ห่วงไม่ขาด คือ เล้ียงลูกไม่พอ ยงั ตอ้ งมาเล้ียงหลานเล้ียงเหลนอีก ๓) ฉลาดเกิน พระเทศน์คือ สามญั ชนรู้หมดทุกอยา่ ง รู้เร่ืองบาปบุญกุศล สวรรค์ นรก ๔) เศรษฐกิจไมอ่ านวยคือ ทาทาน นอ้ ย อายทาทานมากไปเสียดา ๕) สังขารไม่ช่วย คือ ป่ วยบา้ งไม่สบายบา้ งถึงวยั แก่ชราเดินมาวดั ไม่ได้ ลูกหลานไม่มาส่ง ๖) พระบอกหวยไม่ถูก คือ บางคร้ังพระพูดอะไร ตีเป็ นเลขหมด พอซ้ือแลว้ ไม่ถูกไม่เขา้ วดั หมดเลย ๗)วดั ไม่ปลูกศรัทธา คือ วดั หรือพระสงฆไ์ ม่มีความนบั ถือจากสามญั ชน สรุปบุญเกิดจากการ ช่วยเหลือใฝ่ หาเอคอยอนุโมทนาบุญไปดว้ ยหากเห็นคนอื่นไดด้ ี พลอยยินดีไปบุญเกิดช่วยเหลือมีความ
๑๗๖ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หากประคองสติตลอดเวลาไม่เกิดความประมาทเกิดความพลาดพล้งั ทาทุก อยา่ งใหอ้ ยปู่ ัจจุบนั ขณะในการดารงชีวติ ๑๐.๙) เจา้ อาวาสวดั เสาหิน เปิ ดใจถึง “โคช้ เอก-เอกพล จนั ทะวงษ์” ผมู้ ีส่วนสาคญั ทาใหท้ ีมหมูป่ า ท้งั ๑๓ คนรอดชีวติ มาจนกระทง่ั ทีมช่วยเหลือสามารถคน้ พบทุกคนไดภ้ ายในถ้าอนั มืดมิดไม่รู้วนั เวลาไม่รู้ วา่ ความช่วยเหลือมาถึงเม่ือไหร่ ดว้ ยการนง่ั สมาธิทาตวั น่ิงๆไดต้ ดั ความรู้สึกหิวกระหายลงไดบ้ า้ ง กระทง่ั ทุกชีวติ สามารถรอดพน้ สภาวะวกิ ฤติมาไดใ้ นโดยคาแนะนาดงั กล่าว เป็นผลจากการบวชเรียนและดารงตน อยูใ่ นผา้ เหลือง ณ วดั เสาหิน ต.ศรีบวั บาน อ.เมืองลาพูน จ.ลาพูน เป็ นเวลานานถึง ๘ ปี หน่ึงในผถู้ ูกจบั ตา มองมาก สุดจากปฏิบตั ิการติดตามช่วยเหลือรวม ๑๓ ชีวติ ติดอยูภ่ ายในถ้าหลวง เขตวนอุทยานถ้าหลวง- ขนุ น้านางนอน อ.แมส่ าย จ.เชียงราย รูปแบบ ๑๑) ปริยตั เิ ปรียบเหมือนเขม็ ทศิ คือต้องศึกษาธรรมะก่อน ปฏบิ ัตคิ ือต้องลงมือเดนิ สุดท้ายอาศัย ความคุ้นเคยพอปฏบิ ตั ถิ ึงทสี่ ุดแล้ว พระมหาอดิสรณ์ อคฺควฒุ โฒ วดั พระเจดียซ์ าว ๒๖๘ หมู่ ๑๒ ต.ตน้ ธงชยั อาเภอเมือง จงั หวดั ลาปาง สัมภาษณ์เมื่อ วนั ท่ี ๗ ตุลาคม ๒๕๖๑ ๑๑.๑) การปฏิบตั ิ แตกต่างกนั แค่รูปแบบ แต่โดยหลกั การแลว้ จะเหมือนกนั เหมือนทางเหนือจะ นิยม การบริกรรมสายพองยบุ การกิน การเดิน การนงั่ การนอน การเดินจงกรมเป็ นหลกั เป็ นจงั หวะท่ีอยา่ ไปจนถึงที่ละเอียดหรือการปฏิบตั ิ มาจากครูบาอาจารยเ์ ป็ นหลกั เช่นครูบาอาจารยส์ อนอยา่ งไรจะทาตามท่ี สอนแตถ่ า้ เป็นตามหลกั ไดย้ ดึ ติด หมายความวา่ มนั ยดึ ติดเกินไปตอ้ งดูแต่ละบุคคลวา่ คนส่วนน้ีจะบริกรรม อยา่ งไรบางคร้ัง ไมต่ อ้ งบริกรรมแคท่ าจิตให้เป็ นสมาธิมคี วามสงบได้ขึน้ อยู่แต่ละบุคคล ๑๑.๒) ปริยตั เิ ปรียบเหมือนเข็มทิศคือต้องศึกษาธรรมะก่อนปฏิบตั ิ คือต้องลงมือเดินสุดท้ายอาศัย ความคุ้นเคยพอปฏิบัติถึงท่ีสุดแล้ว สภาวะมีความคุน้ เคยชินกบั อยา่ งไหน เลือกปฏิบตั ิอยา่ งน้นั เหมือนไป คุน้ เคยกบั สภาวะธรรมะแลว้ เรา จะไปหาจุดท่ีเขา้ ถึงปัญญา เร่ืองการต้งั สติยงั ไงแลว้ แต่คนจะไม่เหมือนกนั พระพุทธพระเจา้ สอนไม่ใหท้ ิ้งปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ พอไดป้ ฏิบตั ิไปแลว้ ไม่ควรจะยดึ ปริยตั ิ เกินไปตอ้ งลง มือปฏิบัติด้วย แล้วปริยตั ิมันจะหายไปเอง เพราะในปริยตั ิคือการปฏิบัติไปในตัวน่ันเอง แต่ไม่ได้ หมายความวา่ ใหท้ ิง้ คาสอนเม่ือเรารู้แลว้ บางที ไมจ่ าเป็นตอ้ งไปศึกษาหรือคน้ ควา้ มนั อยใู่ นใจเราหมดเลยวา่ อนั ไหนควรอยตู่ รงไหน
๑๗๗ ๑๑.๓) การบรรลุธรรมตอ้ งทิ้งปริยตั ิเหลือแต่ปฏิบตั ิจริงกบั ผลของมนั คือปฏิเวธแต่มีความจาเป็ น อยา่ งยงิ่ เหมือนทาอะไรใหม่ๆไม่เป็น ตอ้ งอาศยั ครูบาอาจารยแ์ ต่พอทาเป็ นแลว้ แทบไม่ตอ้ งอาศยั เลย แต่ ยงั ทิ้งไม่ได้ก่อนท่ีจะบรรลุธรรมเป็ นอริยบุคคลท้งั โสดาบนั ข้ึนไปมนั ตอ้ งระวงั สิ่งเหล่าน้ีแมเ้ ราเคยใช้มา ตามแต่เรา ตอ้ งทิ้ง หลวงพอ่ พุทธทาส กล่าวคาหน่ึงวา่ ถา้ จะปฏิบตั ิให้ถึงมรรคผลตอ้ งทิ้ง ท้งั หมด พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะคนท่ีจะบรรลธุ รรมต้องปล่อยวาง ณ ตอนน้ีแต่ถา้ บรรลุแลว้ ตอ้ งกลบั มาระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คาสอนของพระพุทธเจา้ มีไวป้ ฏิบตั ิแต่ปฏิบัติแล้วไม่ให้ยึดติดคาสอน พระพุทธเจา้ สอนวา่ เป็นอนิจจงั ท้งั หลายธรรมะพ้ืนฐานทว่ั ไปแมร้ ู้แลว้ ดบั ไปไดไ้ ม่ใช่วา่ รู้อยอู่ ยา่ งน้นั ตลอด ยกเวน้ ถ้าจะเป็ นธรรมที่คงท่ีเหลือท้งั อตั ราคือพระนิพพานแม้แต่คาสอนของพระพุทธเจา้ ยงั ไม่เท่ียง พระองค์ ไมไ่ ดย้ ตุ ิใหร้ ู้เพอ่ื ที่จะปล่อยวธิ ีดบั ทุกขไ์ ดส้ ามารถทาได้ทุกวธิ ีมันขึน้ อย่กู บั ผ้ปู ฏิบตั ิไม่ได้ขนึ้ อยู่กบั ผู้สอน วธิ ีสอนจะเป็นพองยบุ พทุ โธ สัมมาอะระหงั หรือจะเป็นมากกวา่ น้ี ไดจ้ ุดสาคญั ไมใ่ ช่วธิ ีสอนมนั อยู่ ที่ผปู้ ฏิบตั ิเอง รูปแบบ ๑๒) “พทุ โธ” ทุกท่ีทุกเวลา และทุกอยา่ งอยทู่ ่ีพุทโธ สะสมไว้ เหตุถึงปัญญาตามมา พระราชวสิ ุทธิญาณ(ฤทธิรงค์ ญาณวโร) เจา้ อาวาสวดั ป่ าดาราภิรมย์ วดั ป่ าดาราภิรมย์ จงั หวดั เชียงใหม่ สัมภาษณ์เมื่อวนั ท่ี ๖ ตุลาคม ๒๕๖๑ ๑๒.๑) นาแนวทางการปฏิบตั ิตามแนวทางหลวงป่ ูมั่นมาใชเ้ ป็ นแนวทางในการฝึกเรื่องมหาสติปัฏ ฐาน ๔ ไม่ว่าจะทาอะไรให้ระลึกถึงคาวา่ “พุทโธ” อยูต่ ลอดเวลา การนาหลกั สติปัฏฐาน ๔ ไปใช้ปฏิบัติ ใชไ้ ดต้ ามจริตของคน สายหลวงป่ ูมนั่ สอนว่า ไม่ว่าขณะทากิจอะไรให้ระลึกถึงคาวา่ “พุทโธ” มาใชเ้ ป็ น แนวทาง การฝึ กตามอิริยาบถต่าง ๆ เป็ นไปตามรูปแบบครูบาอาจารย์ สายหลวงป่ ูมน่ั โดยการสร้าง พลงั งานจิต ให้ไปศึกษาตามแนวทางหลวงพ่อวิริยงั ค์ เป็ นศิษยห์ ลวงป่ ูมนั่ โดยเฉพาะเร่ืองการฝึ กพลงั งาน จิตใหม้ ีความเขม้ แขง็ ใหไ้ ปศึกษาเกี่ยวกบั เรื่องจิตตามแนวทางหลวงพอ่ วิริยงั ค์ เพื่อให้เขา้ ใจมากยิง่ ข้ึนเรื่อง มหาสติปัฏฐาน ๔ ตามแนวทางหลวงป่ ูมน่ั เร่ืองการฝึกสมาธิ ๑๒.๒)ปฏิบตั ิสายพทุ ธะกรรมฐาน สายพระอาจารยม์ นั่ จะต่างจากสายวดั มหาธาตุ พระอาจารยม์ นั่ ตอ้ งมีสมาธิเป็ นพ้ืนฐานจิตสงบแล้วจึงเจริญวิปัสสนา ในสายของหลวงป่ ูมน่ั จะต้องมีศีลสมาธิปัญญา เรียกวา่ หลกั ของไตรสิกขา ศีล ๕ บริสุทธ์ิและเป็ นเหตุทาให้เกิดสมาธิสมาธิ ถ้าจิตสงบจะเป็ นเหตุให้เกิด ปัญญา ปัญญาจะเป็ นเหตุทาให้เกิดวมิ ุต คือการหลุดพน้ ถา้ ศีลไม่ดีสมาธิ ไม่เกิดสมาธิไม่เกิดปัญญายากท่ี จะเกิดข้ึนชดั เจนปัญญาไม่มีทางหลุดพน้ ศีลเป็นเหตุทาใหเ้ กิดสมาธิสมาธิทาใหเ้ กิดปัญญาปัญญาทาใหเ้ กิด
๑๗๘ ความหลุดพน้ เพราะฉะน้นั สายพระอาจารยม์ นั่ จะเริ่มตน้ ดว้ ยการรักษาศีลจะใหส้ มาธิดีศีล ๕ ตอ้ งคงมน่ั ถา้ ไมม่ ีศีล ๕ สมาธิเกิดยากใจวอกแวกจะฟุ้งซ่านเอาไม่อยศู่ ีลทาใหก้ ายเบาจิตเบา ๑๒.๓)สมาธิมีวิธีปฏิบตั ิ ๔๐ กอง สายหลวงป่ ูมน่ั นิยมพุทธานุสติ คือการบริกรรมพุทโธ การ บริกรรมพุทโธ แบบหายใจเขา้ “พุทธ” หายใจออก “โธ” หรือบริกรรมไป ทุกอริ ิยาบถยืนเดินนั่งนอน จะ ทาอะไรบริกรรมอยู่อย่างน้ัน กวาดวดั ลา้ งจาน ไม่ให้จิตหลุดพน้ ออกจากคาบริกรรม เมื่อเขา้ ห้องน้าทา ธุระส่วนตวั เพ่ือให้จิตสงบเม่ือเร่ิมทาจิตจะฟุ้งซ่านบา้ งเพราะวา่ “พุทโธ” เหมือนกรงเช่นลูกหมาท่ีวงิ่ ไปวิง่ มาอยใู่ นกรงเหมือนคนที่ยงั ไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิสมาธิเพราะเอาไปใส่กรงคือ เร่ิมสมาธิลงคือพุทโธ จะวง่ิ หาท่ีออก ลงใหไ้ ดถ้ า้ เจา้ ของหมาสงสารไม่ขงั กรงแลว้ สมาธิจะไม่เกิดแต่ถา้ เจา้ ของหมาปล่อยไม่สนใจจะเห่าจะร้อง เด๋ียวจะนิ่งไปเอง ใจคนเหมือนกนั เพราะฉะน้นั ถึงวา่ บริกรรมพุทโธ ๗ วนั ๗ เดือน ๗ ปี คือจะสงบเหมือน ใจคน ถา้ ไม่มีสมาธิจะเหมือนหมอ้ วา่ ง บริกรรมพุทโธ คือการเอาพุทโธไปใส่ในหมอ้ ใส่ไป ถา้ ขยายหมอ้ จะเตม็ เร็วแต่ถา้ ไม่ขยนั ไม่เต็มสักที สมาธิเกิดยากเกิดบา้ งไม่เกิดบา้ งเหมือนกบั ขณกิ สมาธิ อุปจารสมาธิ และอปั ปนาสมาธิ จะไดน้ อ้ ยเพราะวา่ ไม่เตม็ แตถ่ า้ เตม็ เม่ือไหร่จะเกิดง่าย ต้องฝึ กปฏิบตั อิ ย่างต่อเน่ืองและ เป็ นเวลาท่ีเคยทาอยู่เสมอ จิตจะมาตรงเวลาพอถึงเวลา จะสงบเองเหมือนอยา่ ง เช่น ถา้ ไม่ไดบ้ วชเป็ นพระ ลูกไปออกกาลังกายไปเข้าฟิ ตเนส บริกรรมพุทโธได้ แม้แต่เวลาวิ่งบริกรรมได้ การเดินจงกรมไม่ จาเป็ นต้องเดินช้า ถ้าวนั ไหนจิตฟุ้งซ่านเดินเร็วๆไดต้ อ้ งเอาจิตใหอ้ ยูจ่ นกวา่ จะนิ่งและถา้ จิตนิ่งแลว้ เดินชา้ ๆ ไดเ้ พราะวา่ เอาตามสภาพจิตควบคุมไม่ให้ไปที่อื่นให้เริ่มบริกรรมพุทโธพลังเกิดขึ้นแลว้ พลงั ของสมาธิ สมาธิเกิดสติปัญญาจะมาคาบริกรรมยงั ไม่เป็ นสมาธิแต่ถา้ เป็ นสมาธิจะหยุดอตั โนมตั ิ อยู่ในสภาพสั่งสม ความสงบน้นั ไวเ้ หมือนกบั ชาร์จแบตเตอร่ีไวใ้ นใจคาบริกรรมจะหายไปเป็นสภาวะหน่ึง ๑๒.๔) กาย เวทนา จิต ธรรม กายพิจารณาเวทนา พิจารณาความเจ็บปวด อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา วา่ กายความไม่เท่ียงแท้ คือหวั ใจของ เศร้าหมองหรือผอ่ งใสธรรมะพิจารณาเร่ือยๆเปรียบเสมือนน้าท่ีขุ่นแลว้ ตกตะกอนจะชดั เจนข้ึนจะเป็ นมากกวา่ ท่ีไปอ่านของผูอ้ ่ืนมา สมถะ การบริกรรมพุทโธไปเรื่อยๆ พอน่ิง ปัญญาจะเกดิ ว่าสิ่งท่เี กิดข้ึนมา คืออะไรแลว้ จะตอ้ งจดั การอยา่ งไร ท่ีข่นุ เพราะวา่ กาลงั ของสติยงั ไมเ่ ต็มยงั หวน่ั ไหวอยกู่ บั ส่ิงเหล่าน้นั เป็ นธรรมดาเจอสภาวะน้นั จะทาใหร้ ู้เช่นเวลานกั มวยโดนคู่ต่อสู้ต่อยพ่อโดน คร้ังแรกคร้ังที่สองจะเร่ิมรู้แลว้ ทุกวนั น้ีคนยึดติดกบั ร่างกายปิ ดร่างกายติดร่างกายของคนอ่ืน วิธีกายคตา นุสสติ คือ ความเข้าใจในเร่ืองร่างกาย ว่าเป็ นของไม่เท่ียงทาอยา่ งไรถึงจะละไดใ้ ห้เห็นเป็ นแค่ธาตุ ๔ ธาตุ คือดินน้าลมไฟทาอย่างไร ถึงจะถึงธาตุน้นั ตอ้ งเพียรพยายามทาความเห็นชัดให้เกิดข้ึนเวลาท่ียงั ไม่เห็น เพราะปัญญายงั ไมเ่ ตม็ ๑๒.๕) ปัญญา ๓ ระดับ ๑)การอ่านการฟังคือไม่ใช่ของเราออกจากน้ีไปลืม ๒)จินตนามยปัญญา คือ การฝึกทาความเขา้ ใจ ทาการบา้ นนามาคิดพจิ ารณาใหช้ ดั เจนเรียกวา่ ไตร่ตรองอนั ท่ี ๓)ภาวนามยปัญญา แปลวา่ ทาให้เกิดข้ึนทาให้มีข้ึนทาอยา่ งไรใหใ้ จน้นั ยอมรับความเป็ นจริงเพราะฉะน้นั ต้องพจิ ารณาบ่อย ๆ ตอ้ งอาศยั ความต่อเนื่องพฒั นาไป เหมือนตอนอยูอ่ นุบาลประถมมธั ยม ตอ้ งเรียนรู้การท่ีคนจะรู้คือเขาได้ ส่ังสมท่ีสวดทุกวนั น้ีคือสั่งสมกายน้ีแลตอนท่ีสวดเหมือนนกแกว้ นกขุนทองคือสุตมยปัญญาสุดทา้ ยถา้ จิต
๑๗๙ สงบข้ึนมาท่ีสั่งสมมาระเบิดออกมาไดฟ้ ังเทศน์การอ่านแมแ้ ต่การพิจารณาคือการส่ังสมท่ีจะเป็ นปัจจยั ให้ ตรัสรู้ในวนั ขา้ งหนา้ และวนั หน่ึงพอถึงเวลา เรียกวา่ บารมีเตม็ ตอ้ งเรียนรู้ไปเร่ือย ๆ ๑๒.๖) พุทโธเป็ นสื่อ เหมือนสัมมาอะระหงั เหมือน ยุบหนอพองหนอ เป็ นคาบริกรรมที่ใช้เป็ นสื่อ แต่หลวงป่ ูใชค้ าวา่ “พุทโธ” เป็ นพระนามพระพุทธเจา้ ถา้ ใครถึง “พุทโธ” คือ ผรู้ ู้ ผตู้ ่ืน ผเู้ บิกบาน ใหเ้ ป็ น พุทธะ เป็ นผูร้ ู้ผูต้ ื่นผูเ้ บิกบาน บางทีใช้คาบริกรรมอื่น เจตนา คือให้ใจน่ิงดึงจิตให้ลง เพราะ จิตลงไปที เดียวกนั หมดเวลาบริกรรม “พุทโธ” ไปเจออะไรเห็นอะไรจะไดย้ ินอะไร บางคนไปไม่ถึง เพราะคิดว่า ตวั เองบรรลุแลว้ ไปเห็นภาพเก่าๆไดย้ นิ เสียงเขา้ ทรงต่าง ๆไปไม่ถึง เหมือนกบั จะไปเชียงใหม่ไปแวะท่ีต่าง ๆไปไม่ถึงสักที หลวงพ่อท่าน ไม่ไดส้ อนใหถ้ ึงนิพพาน ท่านสอนให้คนมีพลังจิตให้จิตสงบก่อนพอถึงจุด น้ันจะไปเอง ดว้ ยมีความรู้สึกเจบ็ ปวดเพราะยดึ วา่ คือของเช่นเม่ือนง่ั ภาวนาแลว้ มีอาการเจบ็ ปวดตามเน้ือตวั แขง้ ขาควรทาอยา่ งไรเขาบอกวา่ ให้ตดั แขง้ ตดั ขาทิ้งเสียคือการพิจารณาใหไ้ มม่ ีแขง้ ใหไ้ ม่มีขาหรือใหค้ ิดเสีย วา่ แขง้ ขาน้นั ไมใ่ ช่ของเราใช้หลกั ธรรมคดิ เพ่ือยกจิตให้ออกจากกาย ทุกวนั น้ีเจบ็ เพราะเอามารวมกนั เอากาย กบั เวทนามารวมกนั จึงทาใหเ้ กิดทุกขเ์ กิดปวดตอ้ งใชห้ ลกั ธรรมมาคิดเพื่อใหไ้ กลกบั เวทนาน้นั แยกออกจาก กนั ใหเ้ กิดเป็นการปฏิบตั ิที่สมบูรณ์ รูปแบบ ๑๓) ปริยตั ิกบั ปฏิบัตติ ้องไปคู่กนั แนวทางอานาปานสติมคี วามลาคัญ พระสุธรรมมุนี (สมบูรณ์ ปัญญาวฺโธ) รองคณะจงั หวดั พษิ ณุโลก /รองเจา้ อาวาสวดั พระ ศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวหิ าร สอนหนงั สือวทิ ยาลยั สงฆพ์ ุทธชินราช มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ๒๑๗ หมู่ ๖ ตาบลบึงพระ อาเภอเมือง จงั หวดั พิษณุโลก เขียนหนงั สือ “ธรรมภาคปฏิบตั ิ ๖” สมั ภาษณ์ เม่ือวนั ท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๖๒ ๑๓.๑) การปฏิบตั ิของมหาจุฬาฯ ใช้สติปัฏฐาน ๔ เป็ นแนวปฏิบัติและมีกายานุปัสสนาสติ มาจาก วดั มหาธาตุ ฯ การระลึกนึกถึงถา้ เปรียบสติพระพุทธเจา้ ตรัสหรืออุปมาเหมือนกบั รอยเทา้ ชา้ งและรอยเทา้ สัตวเ์ ลก็ ๆ ลงในรอยเทา้ ชา้ งหมด สตสิ าคญั ในการประพฤติปฏบิ ัติ สติสาคญั ในการจะทาจะพูดจะคิด โลภ โกรธหลงต่าง ๆ ออกมาจากสติสามารถระลึกไดไ้ ม่หลงไมล่ ืมหลกั คาสอนของพระพุทธเจา้ ๘๔,๐๐๐ พระ ธรรมขนั ธ์ พระไตรปิ ฎก ๓ สรุปจากเรียนมายอ่ คือมรรคมีองค์ ๘ ยอ่ เป็ น ๓ คือไตรสิกขายอ่ มาท่ีสุด คือสติ สติปัฏฐาน ๔ กล่าวในวิสุทธิมรรค สมาธิ สติ ปัญญา อานาปานสติ พระพุทธเจา้ ตรัสไวใ้ นสติปัฏฐาน ๔ ฐานกาย คือ ใชส้ ติกาหนดธรรมอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงทุกลมหายใจเขา้ ออกเป็ น การกาหนดลมหายใจ คือ ยก
๑๘๐ สติขึน้ สู่อนิจจังทุกขังอนัตตาใหร้ ะลึกวา่ หมดจากกิเลส สงบดีแลว้ พจิ ารณาในกายการ วา่ หยาบ เห็นอยูไ่ ม่ ควรยดึ ถือการปฏิบตั ิสติสาคญั ที่สุดสติปัฏฐาน ๔ หลกั ขอ้ ธรรมท่ีจะประพฤติปฏิบตั ิ อาตาปี คือ ความเพียร สติสัมปชัญญะ สาคญั ท่ีสุดเป็ นหลกั ธรรมคุม้ ครองโลกตอ้ งมีสติ คือ สติขณะทาตอ้ งมี สัมปชัญญะอาตาปี สติมาสมั ปชาโน ๑๓.๒) ปริยัติกับปฏิบัติต้องไปคู่กัน ตอ้ งเรียนก่อน ต้องปริยัติก่อนแต่ในปฏิบตั ิ คือสุขวิปัสสโก ปฏิบตั ิ คือ วิปัสสนานิกะ ต้องศึกษาผ่านครูบาอาจารย์ คือ ปริยัติคือสั่งสอนมาก่อน คมั ภีร์ คือชานาญมา จากการสังคายนามาจากพระพุทธเจา้ ถ่ายทอดมา ส่วนหน่ึงมาเล่าเรียนจดบันทึกจากประสบการณ์หนังสือ คัมภีร์คือครูบาอาจารย์ ทุกคนเกิดมาตอ้ งเรียนเรียกวา่ ปริยตั ิการศึกษาเล่าเรียนจาก คมั ภีร์จากตาราจากครู บาอาจารย์ได้ยินได้ฟังจาได้บอกได้กล่าว ได้แม่นยา ถา้ ปฏิบตั ิ คือปฏิบตั ิจริง ๆ ยกจิตข้ึนสู่อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา ถึงเรียกวา่ ปฏิบตั ิ ครูเหมือนกลั ยาณมิตรท่ีดีในพระไตรปิ ฎก ไม่มีพุธโธแต่พระพุทธคุณมากมาย กรรมฐานเยอะ บริสุทธิคุณ ปัญญาคุณ อยา่ งท่ีอนุสติการหายใจเขา้ พทุ โธ อานาปานสติมีหลายอยา่ ง ปริยตั ิ กบั ปฏิบตั ิ เม่ือรู้ตอ้ งมาปฏิบตั ิพระพุทธเจา้ ตรัสปฏิบตั ิมากท่ีสุด ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ใครปฏิบตั ิ ข้นั ใดสมควรแก่ตนหรือไม่กรรมฐาน บางคนสอนยงั ไม่ถูกจริต มกั ติดสักายะทิฐิ ๑๓.๓) การเห็นด้วยตาเนื้อ คือ เห็นดว้ ยดวงตามนุษย์ หลับเห็นตาใน เรียก นิมิต ปฏิบตั ิเกิดหลาย อยา่ งตามท่ีสอบอารมณ์ อา่ นหนงั สือร่างกายนอนอยทู่ าใหร้ ู้วา่ อะไรไม่เท่ียง สัญญาขันธ์ความจาได้หรือไม่ รู้คือเมื่อจิตสงบจะเกิด ปิ ติ สุข วิตกวิจาร อภิญญา ๖ หมายถึงคุณสมบัติพิเศษของพระอริยบุคคลซ่ึงเป็ น เหตุใหม้ ีอิทธิฤทธ์ิต่าง ๆ ๖ อยา่ ง คือ อิทธิวธิ ิ แสดงฤทธ์ิได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดาดินได้ ทิพพโสต มีหู ทิพย์ เจโตปริยญาณ กาหนดรู้ใจผูอ้ ่ืนได้ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ ทิพพจกั ขุ มีตาทิพย์ อาส วกั ขยญาณ รู้การทาอาสวะให้สิ้นไป คือ การหมดกิเลสอย่างพระพุทธเจา้ พระอริยสาวกเหล่าน้ันแมแ้ ต่ พระองค์ปฏิบตั ิไดแ้ ค่อภิญญา แต่จิตสงบไดม้ รรคไดผ้ ล คาบริกรรมหรือภาวนาให้นาอย่างใดอย่างหน่ึง พุทโธ ธมั โม สังโฆ เรียกวา่ นามาบริกรรมให้จิตมาอยูท่ ่ีคาบริกรรม สมถกรรมฐาน ๔๐ เอามาบริกรรมได้ เช่นกนั ให้จิตอยู่ตรงน้ี พุทโธเพื่อให้จิตสงบเป็ นอุบายชักจูงจิตให้อยู่กับอารมณ์ปัจจุบันน้ี เป็ นแค่อุบาย พระพทุ ธเจา้ ตรัสยงั มีอื่นๆ อีกหลายอยา่ งใหเ้ หมาะกบั อารมณ์ ถา้ จิตเขา้ ถึงพุทโธจะหายไป ๑๓.๔) คาวา่ “หนอ” เพ่ือดงึ สติส่วนหนึ่งให้เกดิ เช่น อนิจจา สงั ขาร ท้งั หลายไมเ่ ที่ยงหนอ เกิดข้ึน แลว้ ดบั ไป แต่ถา้ รู้ไดร้ ู้แลว้ “หนอ” คาเสริมคาช่ืนชม “พุทโธ”เป็ นคาบริกรรมท่ีนิยมในประเทศไทยตารา เรียนวา่ อยา่ งน้นั เป็นอุบายอยา่ งหน่ึงเช่นเดียวกนั พุทธคุณ กล่าววา่ พทุ โธ ทอ่ งง่าย ใครจาไดจ้ ูงสติเป็นการ หายใจเขา้ ออก “พุทโธ” หรือจะเดินจะทาอะไรให้มีสติกากับไว้ กบั คาบริกรรมดว้ ยภาวนา แปลวา่ ทาให้มี ให้เป็ นให้เจริญ ปรารถนาใหจ้ ิตสงบไม่ใหร้ ักโลภโกรธหลง อานาปานสติ มีหลายอยา่ งเรียกเขา้ ดูวง่ิ ตามลม เขา้ ดูลมเหมือนกบั เดินพระพทุ ธเจา้ ตรัสไว้ ๖ ระยะ ไม่มีคจั ฉนั โตวา่ คจั ฉามิติประชามาเท่าน้นั ในคัมภีร์ วิสุทธิมรรคแยกไว้ พระพุทธเจา้ ตรัสวา่ บาเพญ็ ต้องติดต่อ ตอ้ งติดต่อทาอย่างต่อเนื่อง เป็ นวธิ ีการทาให้จิต ละเอยี ด รู้อาการนงั่ รู้อาการนงั่ อยหู่ รือยนื ต้งั กายตรงดารงสติมั่น โส สะโตวะ อสั สะสะติ. สะโต ปัสสะสะ ติ เป็ นผมู้ ีสติอยหู่ ายใจออกมีสติอยูห่ ายใจเขา้ แบบอานาปานสติ คือสติ กาหนดลมหายใจเข้าออก โสสะโต
๑๘๑ วา การหายใจออก โสสะโตวา ลมหายใจ คือกายเองเพราะลมเล้ียงตวั อยู่ท้งั ตวั มีลมเลือดเดินอยู่ลม ๖ ประการ คือ อธิบายเร่ืองของลม ๖ กอง คือ ๑)ลมอุทธงั คมาวาตา คือ ลมพดั ข้ึนเบ้ืองบนจากเหนือสะดือ ถึง ศีรษะ ๒) ลมอโธคมาวาตาคือลมพดั ลงเบ้ืองล่างต้งั แต่ใตส้ ะดือ ถึงปลายเทา้ ลมท้งั สองน้ีเมื่อระคนกนั คือ ลมอโธคมาวาตา พดั ยอ้ นข้ึนไประคนกบั ลมอุทธงั คมาวาตา หรือลมอุทธงั คมาวาตากลบั พดั ลงมาหาอโธค มาวาตา จึงเป็ นเหตุให้โลหิตถูกพดั เป็ นฟองและร้อนดงั ไฟ กาลงั ท่ีโลหิตแปรไป เกิดแต่อาการ ๓๒ ของ ร่างกาย ส่วนลมในทิศเบ้ืองต่า คือ ลมอมั พฤกษ์และลมอมั พาตเกิดแต่ปลายเทา้ ถึงเบ้ืองบน ลมท้งั สองน้ี เป็นท่ีต้งั แห่งฐานลมท้งั หลาย เม่ือระคนกนั หวาดหวนั่ ไปทว่ั เพราะไปกระทบกบั ลมหทยั วาตะ คือน้าเล้ียง หวั ใจให้บุคคลถึงแก่ชีวิตเมื่อลมระคนกนั ให้กาลงั โลหิตแปรไป อาการที่ปรากฎจึงเป็ นอาการทางระบบ ประสาท ใหจ้ ุกแน่นชกั มือกา เทา้ งอ ดิ้นไป ให้ลิ้นกระดา้ งคางแขง็ ขากรรไกรแขง็ เจรจาไม่ได้ บา้ งสิ้นสติ หรือลมน้นั มีกาลงั ขบั โลหิตให้คง่ั เป็ นวงเป็ นสีตามร่างกาย ๓)กุจฉิสยาวาตา คือ ลมพดั ในทอ้ งนอกลาไส้ ๔) โกฏฐาสยาวาตา คือ ลมพดั ในลาไส้ ลมในกระเพาะ ๕)องั คมงั คานุสารีวาตา คือ ลมพดั ทว่ั ร่างกาย ๖) อสั สาสะปัสสาสะวาตา คือ ลมหายใจเขา้ ออก ๑๓.๕) กายเวทนาจิตธรรม สติปัฏฐาน ๔ ควบคุมในร่างกายจิตนามเห็นนามจิตรู้จิตจิตรู้ ความรู้สึก คือสุขทุกขเ์ วทนา รูปนาม การรู้ชนะรับรู้อารมณ์ต้องมีสติกาหนดรู้เวทนา คือ ความรู้สึกตอ้ งมี ความพอใจความไม่พอใจและความเฉยๆ คือ ไดส้ มาบตั ิ ๔ คือปฐมฌาน สมาบตั ิ แปลวา่ การเข้าถึงฌาน การบรรลุฌาน ธรรมท่พี งึ เข้าถึงฌาน สมาบตั ิทวั่ ไป หมายถึงท้งั ฌานและการเขา้ ฌาน กล่าววา่ เขา้ สมาบตั ิ คือ เข้าฌาน สมาบตั ิ ๘ ไดแ้ ก่ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ เรียกวา่ รูปสมาบตั ิ อรูป สมาบตั ิ เรียกวา่ ฌานสมาบตั ิ สมาบตั ิ คือ นิโรธสมาบตั ิ ละเอียดสุขมุ กวา่ อรูปฌาน สมาบัติ ๘ (คุณวเิ ศษเป็นที่อนั บุคคลเขา้ ถึง หรือ ธรรม วิเศษที่ควรเขา้ ถึง การบรรลุข้นั สูง ไดแ้ ก่ ฌาน ๘ คือ รูปฌาน ๔ และ อรูปฌาน ๔ ความหมาย รูปฌาน 4 ไดแ้ ก่ ปฐมฌาน (ฌานท่ี ๑) มีองค์ 5 คือ วติ ก วจิ าร ปี ติ สุข เอกคั คตา ทุติยฌาน (ฌานที่ ๒) มีองค์ ๓ คือ ปี ติ สุข เอกคั คตา ตติยฌาน (ฌานท่ี ๓ ) มีองค์ ๒ คือ สุข เอกคั คตา จตุตถฌาน (ฌานท่ี ๔) มีองค์ ๒ คือ อุเบกขา เอกคั คตา อรูป ๔ ฌานมีอรูปธรรมเป็ นอารมณ์ คืออรูปฌาน ภพของสัตวผ์ ูเ้ ขา้ ถึงอรูปฌาน ภพของอรูป พรหม ๑)อากาสานญั จายตนะ คือ ฌานอนั กาหนดอากาศคือช่องวา่ งหาที่สุดมิไดเ้ ป็ นอารมณ์ ๒)วญิ ญาณญั จายตนะคือ ฌานอนั กาหนดวิญญาณหาท่ีสุดมิไดเ้ ป็ นอารมณ์ ๓)อากิญจญั ญายตนะ คือ ฌานอนั กาหนด ภาวะที่ไม่มีอะไรๆ เป็ นอารมณ์ ๔) เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือ ฌานอนั เขา้ ถึงภาวะมีสญั ญาก็ไม่ใช่ ไม่ มีสญั ญากไ็ มใ่ ช่ ๑๓.๖) อารมณ์เป็ นหน่ึงคือไม่หว่ันไหวคือเวทนาไม่สุขไม่ทุกข์ เวทนาต้องรู้สภาวะจิต ทุกข์คือ สภาพกายทนไดท้ นไม่ไดส้ ิ่งท่ีกระทาอยากพระพุทธเจา้ ตรัสรู้เกิดแก่เจ็บตายการไม่อยากไดค้ วามเป็นทุกข์ สตคิ ือรู้ตวั ต้ังอยู่ดบั ไปถา้ นงั่ อยมู่ วั แต่คิดถึงเร่ืองน้นั เรื่องน้ีสติไม่อยูก่ บั ตวั มีสตกิ ากบั ทกุ อย่างความรู้สึกเป็ น ร้อยเป็ นพนั ในหน่ึงวนั ตอ้ งมีสติภาวนาพุทโธ รู้ การกาหนดลมหายใจมีหลายวิธีแต่สาคญั ท่ีสติปัฏฐาน ๔ ท้งั ยืนเดินนัง่ นอน แมแ้ ต่ใช้อารมณ์ เช่น ภาวนาพุทโธธัมโมสังโฆ ได้พุทโธมาจากอนุสติ๑๐ อย่างคือ พุทธานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจา้ (พุทธะ+อนุสสติ=พุทธานุสติ) ธมั มานุสติ การระลึกถึง พระคุณของพระธรรม สังฆานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระสงฆ์ สีลานุสสติ การระลึกถึงศีลท่ีตน
๑๘๒ รักษา จาคานุสสติ การระลึกถึงทาน ความดีที่ตนสร้างไว้ เทวตานุสสติ การระลึกถึงคุณท่ีทาให้คนเป็ น เทวดา เช่น หิริ โอตตปั ปะ และพระคุณของพ่อแม่ที่เป็ นเทวดาของบุตรธิดา เทวดาหรือบุคลท่ีเคารพนบั ถือ อุปสมานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระนิพพาน การระลึกถึงความตายที่สตั วโ์ ลกยอ่ มประสบ ๑๓.๗) อานาปานสติ การระลึกถึงลมหายใจเขา้ ออก กายคตาสติการระลึกถึงความไม่งามปฏิกูล ของอาการ ๓๒ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนงั (ปัญจตจกรรมฐาน) เวทนา แปลวา่ รับรู้ตามรู้สึกไมเ่ ที่ยงเหมือนกนั มีสุขมีทุกข์เปล่ียนแปลงไปเร่ือยๆต้องมีสติรับรู้ผูกจิตด้วยสติคือในวิสุทธิมรรคเปรียบเหมือนโค สติ เปรียบเสมือนคนเล้ียงโคครูเปรียบเสมือนจิตจิตเปรียบเสมือนเชือกคอยมดั คอถา้ ปฏิบตั ิในอานาปานสติ ตอ้ งมาอยคู่ ืออารมณ์กรรมฐานข้นั ที่ ๑ ใหร้ ู้หายใจเขา้ ออก รู้ส่วนหนทางที่เดินปล่อยโคไป เหมือนนิวรณ์ นิวรณ์ คือ เครื่องก้นั ใชห้ มายถึงธรรมท่ีเป็นเครื่องปิ ดก้นั หรือขดั ขวางไมใ่ หบ้ รรลุความดี ไมเ่ ปิ ดโอกาสให้ ทาความดี และเป็นเครื่องก้นั ความดีไวไ้ ม่ใหเ้ ขา้ ถึงจิต เป็นอุปสรรคสาคญั ท่ีทาใหผ้ ปู้ ฏิบตั ิบรรลุธรรมไม่ได้ หรือทาใหเ้ ลิกลม้ ความต้งั ใจปฏิบตั ิไปนิวรณ์ ๕ อยา่ ง คือ กามฉนั ทะ ความพอใจ ติดใจ หลงใหลใฝ่ ฝัน ใน กามโลกียท์ ้งั ปวง ดุจคนหลบั อยพู่ ยาบาท ความไม่พอใจ จากความไม่ไดส้ มดงั ปรารถนาในโลกียะสมบตั ิ ท้งั ปวงดุจคนถูกทณั ทท์ รมานอยูถ่ ีนมิทธะ ความข้ีเกียจ ทอ้ แท้ อ่อนแอ หมดอาลยั ไร้กาลงั ท้งั กายใจไม่ฮึก เหิม อุทธจั จะกุกกุจจะ ความคิดซดั ส่าย ตลอดเวลา ไม่สงบนิ่งอยใู่ นความคิดใดๆวิจิกิจฉา ความไม่แน่ใจ ลงั เลใจสงสยั กงั วล กลา้ ๆ กลวั ๆ ไม่เตม็ ที่ไม่มนั่ ใจ ๑๓.๘) สมถะกบั วปิ ัสสนา สมถะสงบระงบั โลภโกรธหลง สงบระงบั ฌาน ท่ีหยาบปฐมฌานมีวิตก วิจาร คือระงบั จากนิวรณ์ ๕ สมถะใช้ให้จิตสงบสงบระงับจากนิวรณ์ จากองค์ฌานหยาบรูปคาว่าฌาน แปลว่า เพียรเพ่งพยายามประกอบให้จิตสงบ ท่ีจะปฏิบตั ิรูปฌานไดจ้ ะตอ้ งสาเร็จสมาบตั ิ ๔ มาเสียก่อน วปิ ัสสนาพระพุทธเจา้ ยกขนั ธ์ ๕ ข้ึนมาเป็นอนั ดบั แรกรูปมี ๒๘ ดินน้าลมไฟ ขนั ธ์ ๕ ขนั ธ์แปลวา่ หมวดหมู่ แปลวา่ กอง หมวด หมู่ ในทางพทุ ธศาสนาหมายถึงร่างกายของมนุษย์ คือ แยกร่างกายออกเป็นส่วนๆ ตาม สภาพได้ ๕ ส่วน หรือ ๕ ขนั ธ์ คือรูป ไดแ้ ก่ ส่วนที่ผสมกนั ของธาตุดิน น้า ลม ไฟ เช่น ผม หนงั กระดูก โลหิต เวทนา ได้แก่ ระบบประมวลความรู้สึกวา่ ชอบหรือไม่ชอบ และเฉยๆ สัญญา ไดแ้ ก่ จาส่ิงท่ีไดร้ ับ และรู้สึกน้นั ๆสังขาร ไดแ้ ก่ ระบบคิดปรุงแต่ง แยกแยะส่ิงที่รับรู้สึกและจาได้ วิญญาณ ไดแ้ ก่ ระบบรู้ส่ิง น้นั ๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โสดาบนั คือผูแ้ รกถึงกระแสธรรม (แห่งพระนิพพาน) ถือเป็ นอริยบุคคล ระดบั แรกใน ๔ ระดบั คือ โสดาบนั สกทาคามี อนาคามี อรหนั ต์ รูปแบบ ๑๔) สติคือการฝึ กรู้ฝึ กทจ่ี ะรู้ กรรมฐานคืออุบายทาให้ใจสงบ เวทนาปรากฏเม่ือเจ็บมองไม่เห็นแต่ รู้สึกได้ เรียกว่าฐานเวทนา เอาสติไปรู้ว่าคืออาการของเวทนา สภาวะธรรมส่ิงท่ีเป็ นจริง ปัญญาในข้ัน วปิ ัสสนา เป็ นแค่รูปกบั นาม
๑๘๓ พระครูสมุห์ณรงค์ โฆสิตธฺมโม (แฉ่งอุทิศ) เจา้ อาวาสวดั เทพนิมิตโฆสิตาราม ต.ปากน้าโพ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ สอนหนงั สือ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตนครสวรรค์ เขียนหนงั สือ “ธรรมภาคปฏิบตั ิ ๕” โพธิปักขิยธรรม ๓๗ สมั ภาษณ์วนั ท่ี ๒ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๒ ๑๔.๑)ปัญญาคือเรียนเก่งพูดเก่งคิดเก่งเขา้ ใจ คือปัญญาดีรู้จกั ถามแต่ในทางทาส่ิงเหล่าน้ีคือโง่ไม่ใช่ ฉลาดเพราะคนท่ีฉลาดเขาจะมกั ไม่มีคาถามเพราะการถามแสดงว่ายังโง่อยู่ยงั ไม่รู้ในทางโลกมกั จะมองวา่ เด็กคนท่ีช่างพูดช่างถามจะดูเป็ นคนฉลาดแตท่ ี่จริงแลว้ เดก็ คนน้ีเตม็ ไปดว้ ยความไม่รู้ที่ทาทุกเรื่องเพราะไม่ รู้เลยสักเร่ืองในหลักธรรมคือปัญญาการรู้โดยท่ีเป็ นธรรมชาติเป็ นความจริงเป็ น คือรูปนามแล้วรู้ไตร ลักษณ์ มองเห็นคนเป็ นคนผูห้ ญิง เป็ นผูห้ ญิงผูช้ ายแต่ในปัญญาในข้ันวิปัสสนาจะมองเห็นคนไม่ใช่คน มองเห็นผหู้ ญิงไมใ่ ช่ผหู้ ญิงมองเห็นผชู้ ายไมใ่ ช่ผชู้ ายเป็ นเพยี งแค่รูปกบั นามแตข่ ้ึนอยกู่ บั วา่ ส่วนใหญ่คนอยู่ ในระดบั ไหนเขา้ ถึงหรือไม่ ถา้ เป็ นปัญญาในข้ันสมมุติบางคร้ังยงั ไม่รู้ว่าส่ิงน้ีคืออะไรหลายคร้ังมกั พูดวา่ คนน้ีพูดภาษาคนไม่รู้เร่ืองคือปัญญาทางโลกแค่สื่อความหมายกันรู้เร่ืองพอมนุษยส์ ่วนใหญ่มีปัญหาคือ สื่อสารกนั ไมร่ ู้เรื่องยงิ่ พดู ลึกซ้ึงยงิ่ ไม่รู้เรื่อง ๑๔.๒)สตปิ ัฏฐาน ๔ ต้งั สติในข้นั ดาเนินชีวติ ดารงชีวติ แลว้ แตก่ ารพฒั นาเหมือนกบั หน่อไมก้ อไผ่ เดิมที่เคยเป็นหน่อพอโตข้ึนเรียกวา่ ลาตน้ ไม่ได้ เรียกวา่ หน่อ แต่คืออนั เดิมแค่พฒั นาจากหน่อไปเป็นลาตน้ จากน้นั กลายเป็นขอกลายเป็นคนั เบด็ จะทาไปเป็ นอะไรไดข้ ้ึนอยกู่ บั วา่ จะพฒั นาอยา่ งไร แตต่ อนน้ีถา้ อยใู่ น แคน่ ้ีถา้ พฒั นาจะมากข้ึนสามารถนาไปสานเป็ นตระกร้า ที่มีราคาเหมือนกบั สติปัฏฐาน ถา้ ใหร้ ะลึกไดค้ นน้ี ชื่อน้ีแค่น้ีถา้ แค่น้ีไดแ้ ค่น้ีแต่ถา้ หากวา่ เอามาระลึกรู้กับการพูดกับการคิดกับการทาพฒั นา คือทาเหมือนกนั แตท่ าถูกหรือทาผดิ มีสติมีปัญญาจะทาถูกมากข้ึนสิ่งท่ีทามีค่ามากข้ึนแตถ่ า้ ไม่มีสติไม่มีค่าทาอะไรผดิ พลาด ไปเสียหมด สติปัฏฐานจาเป็ นแต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยไดพ้ ูดกนั แต่ทุกวิถีชีวิตใชไ้ ม่มีใครอยโู่ ดยปราศจากสติ ปัฏฐานการฝึ กสตคิ ือการฝึ กรู้ฝึ กทจี่ ะรู้เรียกวา่ ใส่ใจในส่ิงท่ีทาสติเกิดแต่ถา้ ไมใ่ ส่ใจในสิ่งท่ีทาในคาพูดที่พูด ในจิตท่ีคิดสติ ไมเ่ กิดดงั น้นั ถา้ จะสติมีมากเก้ือกูลสิ่งท่ีทามากข้ึนถา้ สติมีนอ้ ยสิ่งท่ีทานอ้ ยลงจึงกลายเป็ นสิ่ง ที่ลม้ เหลวในส่ิงท่ีทาแต่ถา้ มีสติมากเลือกไม่วา่ จะเป็ นเรื่องอะไรสามารถประสบความสาเร็จสติคือเป็ นบ่อ เกดิ ของปัญญาให้รู้ว่ากาลงั ทาอะไรอย่คู ือปัจจุบัน ๑๔.๓)กรรมฐานคืออุบายทาให้ใจสงบเหมือนกบั ใส่เส้ือผา้ แลว้ รู้สึกสบายใส่ปัจจุบนั การสอนตอ้ ง มีแนวเหมือนเป็ นราวเกาะเดินพยายามให้อยูใ่ นแนวเดียวกนั การสอนแต่ละสาย เช่น พองหนอยบุ หนอทาง น้ีเป็ นอุบายในการทาจิตให้สงบเป็ นผูศ้ ึกษารับรู้วา่ คืออุบายต้องตีความให้ออกจะเอามาเป็ นหลักเลยไม่ได้ คาวา่ อุบายบางคนถูกจริตแบบน้ีแต่หลักคือสติปัฏฐานแล้วแต่การเลือกปฏิบัติทถ่ี ูกจริตของตัว เหมือนทา
๑๘๔ แกงส้มจะใส่อะไรลงไปก่อนไดอ้ อกมาเป็ นแกงส้มเหมือนกนั บางคนอาจชอบทานเปร้ียวถูกจริตของคนที่ ทารสชาติเปร้ียวทุจริตรสชาติหวานทารสชาติหวานเป็ นอุบายประเด็นอยู่ท่ีว่าผู้ปฏิบัติต้องการอะไรจาก การปฏิบัติเหมือนวา่ เดินเขา้ ไปในร้านคา้ ตอ้ งการอะไรตอ้ งการสิ่งน้นั ไปทาอะไรตาหนิวา่ เขาขายของไม่ ถูกใจหรือ หรือตาหนิวา่ วางของไม่เป็ นระเบียบอยา่ งน้นั หรือตอ้ งรู้วา่ จะไปซ้ืออะไรไปเอาอะไรและการที่ เขาไมม่ ีในส่ิงที่จะซ้ือไม่ใช่วา่ จะผดิ แต่อาจจะมีในบางสิ่งท่ีคนอ่ืนตอ้ งการได้ ๑๔.๔) การสร้างสานักปฏิบัติธรรม ทุกคนมีเจตนาดีหนา้ ที่เผยแผพ่ ุทธศาสนาปฏิบตั ิตามแลว้ ไม่ สร้างความเดือดร้อนให้แก่ใครประโยชน์ส่วนตนประโยชน์ส่วนผูอ้ ่ืนประโยชน์อยา่ งยิ่งไดใ้ นที่สุดแลว้ ตอ้ งการความสงบเบ้ืองตน้ ยุบหนอพองหนอซ้ายย่างหนอขวาย่างหนอ พุทโธ เป็ นสงบเบื้องต้น คือ สงบ กายเมื่อเร่ิมภาวนาเริ่มน่ิงแค่เพียงหลับตาความสงบ เกิดสงบใจแต่ขณะน้ันสงบกายสงบวาจาใน ขณะเดียวกนั คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเขาไม่ได้รับความเดือดร้อนจากการกระทาคือเกิดประโยชน์เกิด แลว้ แต่บุญวาสนาบารมีท้งั หลาย ปัญญาทางโลกและปัญญาทางธรรมปัญญาทางโลกฉลาดในการทามาหา กินเก่งทางการโกงทุจริตคอรัปชน่ั แต่คือเก่งปัญญาทางโลก ถา้ เป็ นปัญญาที่ถูกคือความรู้จริงผูอ้ ่ืนไม่ได้ เดือดร้อนคือประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านทาอะไรรู้ในสิ่งท่ีทารู้ในสิ่งที่ผูร้ ู้ในสิ่งท่ีคิด ปัญญาทางธรรม คือการพน้ ทุกขท์ างธรรมคือการทาให้ผอู้ ื่นไม่ไดร้ ับความเดือดร้อนหรือความรู้น้นั ตวั เองตอ้ งไม่เดือดร้อน ตอ้ งเริ่มจากการเรียนรู้สติ ๑๔.๕) ข้นั ปริยตั ิถูกคิดไวอ้ ย่างน้นั เหมือนเรียนปริญญาตรีปริญญาโทและปริญญาเอกถูก เขียน ดว้ ยการสมมุติแบบน้ีเอาไวแ้ ละไดเ้ รียนรู้แบบน้ีคุณมาถึงจุดตรงน้ีการเขา้ ถึงในวันที่เรียกว่ารู้แจ้งเห็นจริง ไม่มีคาว่าปริญญาตรีโทเอกมีแต่ปัจจุบนั แต่ถา้ เป้าหมายปฏิบตั ิให้เพื่อจบปริญญาตรีโทเอกแสดงวา่ ความ อยากอยู่ตรงน้ีไม่ใช่เป้าท่ีแทจ้ ริงแต่เป็ นกระบวนการการดาเนินชีวิตในสังคมและสังคมตอ้ งการแบบน้ี สมมุติบญั ญตั ิของ สมบูรณ์ถา้ เรียนจบตวั น้ีจะเป็ นมหาบณั ฑิตนะจะเป็ น Doctorนะเพ่ือใหส้ มบูรณ์ในข้นั สมมุติ ถา้ ในข้นั ปรมตั ิจะไม่มีปริญญาตรีโทเอก ถา้ จะพัฒนาในการเจริญในทางธรรมดูได้ในกายกรรม วจีกรรมมโนกรรมกรรมกุศลบุญจิตมีอโลภะอโทสะหรือเปล่าไม่โลภไม่โกรธหรือเปล่าถา้ ไม่ค่อยโลภไม่ ค่อยโกรธแสดงว่ามีการพฒั นาความอยากใคร ๆ อยากแต่ธรรมะพระพุทธเจา้ เรื่องความอยากกบั เร่ือง ศรัทธาคนละเร่ืองกนั ศรัทธาเป็ นเหตุทาใหค้ นทาอยาก ทาใหค้ นทาแต่ศรัทธาจะเป็ นส่วนที่เป็ นกุศลแต่ถา้ ความอยากจะเป็ นในส่วนของโลภะและอยากในส่ิงท่ีไม่รู้โมหะเป็ นมูลท่ีเป็ นอกุศลไม่ใช่มูลท่ีเป็ นกุศล เพราะฉะน้นั ตอ้ งปฏิบตั ิธรรมเพ่ือธรรมทาแลว้ เป็ นอยา่ งน้นั อยา่ งน้ีรู้แลว้ รู้อยา่ งน้นั รู้อยา่ งไร เป้าหมายคือ จะต้องรู้แบบน้นั ให้ไดแ้ ต่สิ่งท่ีรู้จริง ๆ ในขณะน้ีคืออยา่ งถา้ ยงั ไม่รู้วิธีการท่ีจะทาให้อยา่ ไปพูดถึงตวั รู้น้นั ตอ้ งคอ่ ยๆเป็นค่อยๆไป รู้ปริยตั ิวนั เดียวจบนิพพานแต่ทางปฏิบตั ิแค่คาวา่ ศีลยงั ไปไมไ่ ดเ้ พราะ เป็นตามเหตุ ตามปัจจยั ถา้ ไม่ถึงท่ีจะทายงั ไงไม่เป็นแตถ่ า้ ถึงพระจะเป็นไดเ้ หตุปัจจยั เป็นเหมือนแม่ไก่ท่ีฟักไข่เมื่อแม่ไก่ ออกไข่มาลูกไก่ยงั ไม่ออกมาแต่อาศยั การกกไข่อยา่ งต่อเนื่องพอไดเ้ หตุใดปัจจยั ตวั ไกล มีอยขู่ า้ งในวา่ ใคร ใบไหนที่อยนู่ อกอกของแมไ่ ก่ไข่ใบน้นั จะไม่เป็นตวั กลายเป็ นไข่เน่าเรียกวา่ ไม่อยใู่ นเหตุใดปัจจยั จะเห็นได้ วา่ กวา่ จะมาเป็นใครในความเป็นจริงแลว้ ค่อยๆไปในทางท่ีจะเป็นฟักก่ีวนั ฟักก่ีเดือน ตอบไม่ได้
๑๘๕ ๑๔.๖) การปฏิบตั ิเหมือนกนั ถา้ ทาไม่ถึงพยายามไม่ถึงทาถูกตอ้ งทุกอยา่ งแต่ความพยายามไม่ถึง เหมือนการลบั มีดรับถูกดา้ น แลว้ แต่รับเพียงคร้ังสองคร้ัง ความพยายามไม่ถึงคมมีดมีดจะไม่คม สภาว กรรมสิ่งที่ทาอะไร คือ สภาวะกรรมสิ่งที่เป็ นจริงตาม ที่เป็ นแมแ้ ต่เวลานงั่ แลว้ รู้สึกปวด คือ สภาวะท่ี เป็นไปตามอาการนง่ั นาน เป็นธรรมชาติกินเยอะรู้สึกอ่ิมส่วนใหญจ่ ะถูกคาวา่ ตณั หาเขา้ ครอบอยบู่ อ่ ย ๆ คือ อนั ไหนดี ยากไดอ้ นั ไหนไม่ดี ตกเป็นทาสของนิวรณ์ธรรม กายกบั จิตรูปกบั นาม ส่วนท่ีเป็นนาม คือ ส่วน ท่ีรู้สึกและส่ิงที่ไม่สามารถสัมผสั ไดด้ ว้ ยมือและส่วนที่เป็นรูป คือ สิ่งท่ีไดเ้ ห็นไดส้ ัมผสั ไดใ้ นตวั จะมี ๒ ส่ิง น้ีที่เกิดข้ึนอยู่ เห็นรูปร่างคือนั่งแต่ในขณะเดียวกันเพราะเวทนาปรากฏเมื่อเจ็บมองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ เรียกว่าฐานเวทนา เอาสติไปรู้ว่า คืออาการของเวทนา ถ้าไปรู้อาการจะลดท้งั อาการปวดไม่ใช่เป็ น ความรู้สึกแต่ไปยึดเวทนามีสุขทุกขอ์ ุเบกขาในตวั มีวธิ ีอยู่ ๓ ตวั ไม่พน้ สติมีหนา้ ท่ีเขา้ ไปรับรู้ส่วนทาคือจิต เป็ นอกุศลและกุศล ชอบหรือไม่ชอบในขณะที่นงั่ สบายถา้ ชอบ เป็ นชอบคืออตั ราเหมือนสบายชอบแต่ถา้ ยดึ วา่ สบายไมใ่ ช่รู้ปล่อยเพราะ จะเป็นธรรมชาติอยา่ งน้นั เพราะทุกอยา่ งเกิดข้ึนต้งั อยแู่ ละดบั ไป สติปัฏฐาน ๔ ไมใ่ ช่สติปัฏฐาน ๑ ในเม่ือเป็นสตปิ ัฏฐาน ๔ ต้องสาคัญทุกตวั อย่าให้ความสาคญั แค่ตัวใดตัวหนึ่งเหมือน เวลามีลูก ๔ คนลูกทุกคนมีความสาคญั เท่ากนั หมดแต่ในการเล้ียงลูกดูลูกท้งั ๔ คนจะใส่ใจต่างกนั ไม่ได้ หมายความวา่ ไม่ไดด้ ูลูกคนคือแม่ไม่รักแต่ว่าลูกอีกคนยงั เล็กและช่วยเหลือตวั เองไม่ไดใ้ ห้ดูว่าสิ่งไหนท่ี สาคญั ขณะน้นั รูปแบบ ๑๕) กรรมฐานกบั สติปัฏฐานเป็ นส่วนหนึ่งของการเข้าถงึ ธรรมเป็ นเร่ืองเดยี วกนั พระครูสุวรรณวจิ ิตร (สมจิตต์ คุม้ สมบตั ิ) งานวทิ ยานิพนธ์เร่ือง “ศึกษาปฏิจจสมุปบาท กบั การบรรลุธรรมในพระพทุ ธศาสนาเถร วาท” และ“ผลสมั ฤทธ์ิจากการสอน กรรมฐานของหลวงป่ ูสงั วาล เขมโก” เจา้ อาวาสวดั สามชุก ตาบลสามชุก อาเภอสามชุก จงั หวดั สุพรรณบุรี สัมภาษณ์ ณ วนั ที่ ๔ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๒ ๑๕.๑)กรรมฐานกบั สติปัฏฐานเป็ นส่วนหน่ึงของการเข้าถึงธรรมเป็ นเรื่องเดียวกนั คล้ายกัน กรรมฐานติดต้งั แห่งการมาใชไ้ ดห้ ลายวธิ ีเช่นสติปัฏฐาน ๔ รูป นาม พุทโธ กรรมฐานกล่าวในพระไตรปิ ฎก คือ ฐานะที่ต้งั เหมือนวิธีการปฏิบตั ิธรรมะโดยรวมคือ สติปัฏฐาน ๔ มีสติในการเดิน นง่ั นอน การเขา้ ถึง ปัญญาดว้ ยสติปัฏฐานคือ ต้องรับรู้อยู่ตลอดเวลาใช้สติเจริญภาวนา สติการยนื สติการนงั่ สติการนอน สอน มีสติท้งั หมด เม่ือยืนรู้ เม่ือนงั่ รู้ เมื่อนอนรู้ รับรู้ตลอดเวลาทุกฐานมีความสาคญั เท่ากนั หมดข้ึนอยูก่ บั ความ ต้งั ใจของบุคคลหากทาอยา่ งต่อเน่ืองท่ีสาคญั ก็คือสติที่อยู่ในตวั บุคคลอยูท่ ี่กาหนดอย่างต่อเนื่องไม่ละทิ้ง สติปัฏฐาน ๔ สติทางกายคือ กาหนด การนั่ง การยืน การนอน รู้อย่ตู ลอดเวลาคือฐานกาย
๑๘๖ ๑๕.๒) ฐานเวทนาคือความรู้สึก เช่นกระทบรูป จมูกกระทบกลิ่น หูกระทบเสียง เกิดวญิ ญาณ ๓ อยา่ งรวมกนั เรียกวา่ ผัสสะ การกระทบอารมณ์เมื่อเกิดผัสสะ เป็ นปัจจยั ใหเ้ กิดแลว้ แต่วา่ ผสั สะกระทบน้นั จะเป็ นท่ีพอใจหรือไม่พอใจ อาการปรากฏข้ึน เรียกวา่ ผัสสะเป็ นปัจจัยให้เกดิ เวทนา เวทนาเรียกวา่ เกิดจาก สุขบา้ ง ทุกขบ์ า้ งหรือความรู้สึกเฉยๆดีใจเรียกวา่ โสมนสั เวทนาเสียใจเรียกวา่ โทมนสั เวทนา เป็ นทกั ษะให้ เกิดเวทนาเม่ือเกิดความรู้สึกดีใจ ถา้ หากไม่มีสติก่อนกาหนดมนั จะทาให้เกิดความไม่พอใจบา้ งพอใจบา้ ง หลงั จากน้นั เกิดความอยากไดป้ รุงแตง่ ข้ึนมา เรียกวา่ ตณั หา เพราะฉะน้นั การมีสติคือกาหนดสิ่งทเี่ กดิ ขึน้ ได้ ดบั ข้ึนไดอ้ ยตู่ ลอดเวลาสิ่งท่ีกระทบเป็นสิ่งที่ไมค่ วรจะปรุงแต่ง ๑๕.๓) ฐานจิตคือความรู้สึก มีความโลภ โกรธ หลง มีราคะ โมสะ โทสะ การเจริญสติคือ การ กาหนดรู้ว่าขนาดน้ีจะเกิดอะไรตอ้ งมีสติรู้ทนั ดว้ ยการกาหนดว่าส่ิงเหล่าน้ีเกิดข้ึนแต่หากรู้วา่ การอ่านคือ เจริญสติจิตดว้ ยการกาหนด สิ่งท่ีกา้ วหน้าทางธรรมมากท่ีสุดคือการศึกษาข้อมูลให้รู้หลักการปฏิบัติและ นามาปฏิบัติทาให้ได้รู้กว้างขวางเน้นการศึกษาจากพระสูตร สติ คือ ความรู้ตวั ความระลึกได้ การรู้เรื่อง ปฏิบตั ิ ดูอาการ ส่วนมากท่ีในปัจจุบนั ก็กาหนดสติรู้ เหตุการณ์ต้องรู้สติ ควบคุมอารมณ์ให้อย่ใู นระดบั หาก ฝึ กสมาธิมากๆกจ็ ะเข้าใจและนาไปปฏบิ ัตไิ ด้ รูปแบบท่ี ๑๖ การเรียนรู้การปฏิบตั ิ ยกระดับความรู้ต่อเน่ือง ต้องมเี ป้าหมาย และท่มุ เท พระครูใบฎีกาสุรเวช ปภสฺสโร วดั ไชนาวาส ๒๑๙ ถนนประชาธิปไตย ตาบลท่าพ่เี ล้ียง อาเภอเมือง จงั หวดั สุพรรณบุรี สัมภาษณ์เมื่อวนั ที่ ๕ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๒ ๑๖.๑) กาย เวทนา จิต ธรรม คาในพุทธพจน์พระองค์ เช่น อาตาปี สัมปชาโน สติมา คือ กระบวน ใหถ้ ึงเป้าหมาย เป็นการพจิ ารณาเห็นกายในกาย เห็นการเคลื่อนไหวของกายมีท้งั กายหยาบกายละเอียด กาย หยาบเห็นท่านง่ั ในจินตนาการหรือขณะที่กาลงั เดินเห็นเทา้ เคลื่อนไปแต่ละกา้ วต่อเน่ืองจากกายหยาบถึง กายละเอียด สัมปชัญญะ การเคล่ือนไหวในเรื่องของอิริยาบถ ยนื เดิน นงั่ นอน ขณะเดิน ยนื นงั่ นอน โดย เห็นรูปกาย คือ เห็นกายในกาย สัมปชาโน อาตาปี ความเพียร เพง่ อยู่ ประกอบดว้ ยสติสัมปชญั ญะ ๒ อยา่ ง เป็ นกาลงั สาคญั อยใู่ นความเพียร วิเนยยะ โลเก อภิชญา โทมนัส เพื่อไม่มีความยนิ ดียินร้าย คือไม่มีจิตท่ีวา่ ชอบหรือไม่ชอบ ในขณะท่ีกาลงั พิจารณากายพร้อมในขณะที่กาลงั พิจารณาอยู่ จิตจะเอียงไปมาท้งั ๒ ทาง ทาใหเ้ กิดความไม่เป็ นกลางไมเ่ ป็ นปัจจุบนั เม่ือไม่เป็ นกลางไม่เป็ นปัจจุบนั ส่ิงที่จะได้ คือ ความโลภ โกรธ หลงเขา้ มา แต่หากมีจิตไม่โนม้ เอียงจะไม่เกิดกิเลสครอบงา แสดงวา่ งานผลอยู่เหนือโลก ความหมายของ
๑๘๗ โลกคือส่ิงท่ีอยใู่ นกาย เวทนา จิต ธรรม ในหลกั ของการปฏิบตั ิการเขา้ ถึงธรรมะของพระพุทธเจา้ วปิ ัสสนา นาได้จะสมถะนาได้ วปิ ัสสนานากรรมฐานตาม สมถะนาวปิ ัสสนาตาม ใชท้ ้งั ๒ อยา่ งควบคูก่ นั ไป ใชค้ วาม ฟุ้งซ่าน เรียกวา่ วปิ ัสสนูปกเิ ลส หรือ เป็นญาณ ๓ ญาณ ๔ วปิ ัสสนาญาณเอามาพิจารณาจะเขา้ ถึงธรรมได้ ๑๖.๒) การปฏิบตั ิเป็นสมถะ ตอ้ งเขา้ ใจอะไรคือ สมถะ บริกรรมพุทโธ สมั มา อะระหงั ลมหายใจ อยูใ่ นอารมณ์ลกั ษะ ท้องพองยุบ ถือว่าเป็ นสมถะได้ แต่การเปลี่ยนอารมณ์อยตู่ ลอดเวลาเป็ นกระบวนการ เขา้ ถึงวิปัสสนา ดงั น้นั หากมีคาบริกรรม ไม่ใช่บอกวา่ เป็ นกระบวนการของสมถะหรือวิปัสสนา เพราะ ขณะดูทอ้ ง พอง ยุบ นง่ั หนอ ถูกหนอ เป็ นคาบริกรรม แต่คาบริกรรมเป็ นแค่เครื่องมือให้จิตไปเกาะ จะได้ ไม่ล่องลอยไปตอ้ งใชค้ าภาวนา ตวั อยา่ งสายของยุบหนอพองหนอ ใหม่ๆจะพูดพองหนอยุบหนอเมื่อเกิด ความชานาญ คาพวกน้ันจะหายไปเอง แต่บางคร้ังเอาคากลับมา ไม่จาเป็ นวา่ ทิ้งตอ้ งทิ้งไปเลย ยงั สามารถ กลบั มาใชไ้ ดข้ ้ึนอยูก่ บั ตวั บุคคล สมถะภาวนา คือ สัมมาอะระหงั พุทโธ นะมะพะทะ หรือลมหายใจเขา้ ออก เพราะจะอยใู่ นอารมณ์เดียว ถึงแมจ้ ะมีคาภาวนาเป็นนามธรรม ไมเ่ หมือนกบั พองยบุ นง่ั ขยบั ไปมา คา ว่า “พุทโธ”ไม่เห็นพุทโธ ไม่ใช่มีคาภาวนาอยา่ งเดียว แต่ “พุทโธ” เห็นคุณพระพุทธเจา้ พุทธานุสติ ตอ้ งมี คุณพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ ท่ีใชค้ ือ ธรรมภาวนา ซ่ึงยงั ไม่เต็มรูปแบบเหมือนการโจ่งแจง้ ในอารมณ์ เหมือนอยูแ่ บบน้นั ใหเ้ กิด ปี ติ เกิดความสุข และไม่อยากออก ถา้ วา่ งไปมากจิตไปลึกเกินไป หรือภวงั คอ์ ีก อย่างคือเผลอไปในลกั ษณะของการไม่มีสติพอ จะไม่ไดป้ ระโยชน์เหมือนคนนงั่ แลว้ มานงั่ หลบั จะไม่ได้ ประโยชน์ในการปฏิบตั ิ เพราะไมร่ ู้ตวั ไมส่ ามารถจะปฏิบตั ิและบรรยายออกมาได้ แต่ในลาดบั ของจิตจบั อยู่ อารมณ์เดียว จะพฒั นาไปสู่ปี ติ ไปสู่เรื่องความสงบถา้ เป็ นไปแบบ รูปฌาน ยงั รู้สึกตวั คือ อารมณ์ดิ่งลงไป คือพลัง ลกั ษณะลงแช่ ท่านใหย้ กจิตข้ึนไปสู่วปิ ัสสนา คือ สภาวะตอนน้ีเตม็ เป่ี ยมดว้ ยกาลงั แลว้ สามารถมี ความมนั่ คงสาเร็จในเร่ืองของ สมถะ แต่ไม่คานึงถึงอรูปฌาน เอาแค่ระดบั ฌาน ๔ อาศยั พิจารณาความไม่ เท่ียงของปัญญาไตรลักษณ์ยกจิตขึน้ มาเป็ นวิปัสสนา ซ่ึงกระบวนการง่ายกวา่ เอาวปิ ัสสนานาเพราะวา่ เอา วปิ ัสสนานาจะเหน่ือย แตป่ ัญหาสมถะคือปัจจุบนั อยกู่ บั สื่อสังคมภาวะหนา้ ที่เยอะโอกาสท่ีจิตจะไปตรงน้นั ยากไปไม่ถึง ดงั น้นั ทางวิปัสสนาเม่ือไหร่พร้อมแลว้ มาเลยคือเหมือนเอาสมาธินาเอาวิปัสสนานามาพร้อม กนั คู่กนั พร้อมเมื่อไหร่เอาดา้ นใดดา้ นหน่ึงข้ึนมาเลย คือไม่อยากใหเ้ สียเวลาอยกู่ บั สมถะจะไมส่ าเร็จสักที ๑๖.๓) การปฏิบัติวิปัสสนา คือ ให้เห็นในกฎของไตรลกั ษณ์โดยเฉพาะอนั ดบั แรก คือเกิดข้ึนได้ อยา่ งไร เรียกวา่ อนิจจงั วปิ ัสสนาญาณ คือ ให้เห็นความสาคัญของไตรลกั ษณ์ การเกดิ ต้ังอยู่และดบั ไม่ได้ หมายความถึงอะไรท่ีเขา้ ใจ นาม คือ ส่ิงได้ รู้ได้ ใจรับรู้ รูปนาม รูป คือกายอยา่ งเดียวส่วนที่เหลือ คือ นาม ในนามส่วนที่เรียกว่า จิตตานุปัสสนา ในเร่ืองของกุศลอกุศลท้งั หลายเรียกง่ายๆคือสิ่งในอดีต เรื่องใน อนาคต ความรู้สึกนึกคิด แต่ยงั ต่างกนั เวทนา คือ การรู้สึกนึกคิดที่มีผลต่ออาการเจบ็ ปวดท้งั หลายหรือไม่ เจบ็ คืออยฐู่ านของนาม ธรรมเป็นเร่ืองอนิจจงั หลกั พระพุทธศาสนาเรียกวา่ วภิ ชั ชวาท การจาแนกจากเรื่อง แค่จิตอยา่ งเดียว แยกไป 6 ชนิดที่เรียกวา่ อธิธรรม ซ่ึงเป็ นของผูม้ ีสติปัญญาท่ีแยกไปแลว้ มาศึกษาจบั หัวใจ ให้ได้ในเร่ืองปฏิบัติ คาภาวนาสมถะอยา่ งเดียวไม่สามารถท่ีจะไปวปิ ัสสนา ดงั น้นั สัมมาอะระหัง พุทโธ
๑๘๘ คาบริกรรม พองหนอ ยบุ หนอ มีคาบริกรรม แตค่ าบริกรรมในส่วนท่ีเป็ นเหมือนนามธรรม เหมือนในส่วน ที่รู้อาการเคล่ือนไหว จะทาใหอ้ ยกู่ รรมฐาน ๑๖.๔) กรรมฐานยกสู่วิปัสสนา ยากมีหลายเง่ือนไขต้องรู้ทุกการเคล่ือนไหว ทางชอบใจไม่ อยากจะเหมือนวิปัสสนา วปิ ัสสนาเปรียบเหมือนกลางวนั พร้อมทุกสิ่งทุกอยา่ งตอ้ งทางาน ตอ้ งเหนื่อยตอ้ ง สู้กบั อารมณ์ทุกอารมณ์ที่เขา้ มา แต่สมถะเหมือนกับกลางคืนตอ้ งเบาสบาย เสียงเงียบ อากาศเยน็ ตอ้ ง หลบั ตาแลว้ มีความสุขเหมือนหลบั พกั ผ่อนสบายมีกาลงั ฟ้ื นข้ึนมา วิปัสสนาให้อยู่กับลมหายใจ เพราะลม หายใจเป็ นส่ิงที่พระพุทธเจา้ ปฏิบัติลมหายใจเป็ นกรรมฐานเย็น หลบั ง่าย ผูป้ ฏิบตั ิจะทาง่ายดงั น้นั ต้องมี เทคนิคคือ หายใจเขา้ ธรรมดา หายใจออกยาวๆ พอหายใจออกยาวตอ้ งประคองลมหายใจ ทาใหต้ ื่นตวั ใน การเผลอหลบั ในขณะที่นงั่ เกิดมาจาก ๓ ปัจจยั คือ ความเพลียพกั ผอ่ นไมพ่ อ อาหารยอ่ ยยาก สติอ่อนยามใด สติอ่อน จะปฏิบตั ิไมร่ อด ๑๖.๕)วิริยะกับสมาธิให้สมบูรณ์กนั ให้น่ังกบั เดินเท่ากนั ทาให้เกิดความสมดุลในพละ ๕ ใน อินทรียข์ องปัญญากบั ศรัทธาและวิริยะกบั สมาธิ สายพองยุบส่งเสริมเรื่องสติท่ีไวต่อสถานการณ์ ทุกสาย ลว้ นแตจ่ ะใชส้ ายไหนในสถานการณ์ไหน เม่ือไปหลายท่ีตอ้ งรู้จกั การใช้ อยา่ ไปยดึ ติดเรื่องเดียว ญาณ การ ดบั ของรูปนาม จะเห็นการเกิดการดบั การบรรลุธรรมไม่ใช่ปฏิบตั ิและบรรลุธรรมอยา่ งเดียวตอ้ งฟังธรรม คุณค่าของธรรมะเยอะมาก สายพองยุบ กระบวนการต้งั แต่ตน้ จนจบ ตอ้ งฝึ กอย่างต่อเนื่องวนั จะไปผ่าน สภาวะตา่ ง ๆ สุดทา้ ย จะเขา้ ถึงการดบั ที่แทจ้ ริง สามารถตรวจสอบอารมณ์บุคคลอื่นได้ วา่ มีสภาวะอยา่ งไร หรือวา่ สาเร็จแลว้ ถา้ เบาสบายไม่ยดึ ติด การเขา้ ถึงธรรมะของพระพุทธเจา้ เป็ นอริยบุคคลตอ้ งมีกาลงั และ บารมีเพียงพอ จงเดินตามทางท่ีพระพุทธเจา้ ไดบ้ อกไวว้ า่ การมีสติที่ต่อเนื่องให้ได้ ถา้ ไม่ผา่ นการฝึ กใน รูปแบบสติสมาธิจะมาจากไหน หากมีจะสามารถยบั ย้งั ชงั่ ใจตวั เองได้ หลงั จากปฏิบตั ิไปนาน ๆ สายยบุ หนอพองหนอ คาวา่ “หนอ” คือท่ีเกาะเกี่ยว “หนอ” คาว่าหนอเป็ นคาท่นี ุ่มนวล พอดีเหมือนมีจงั หวะแลว้ ลงพอดี สังเกตที่มีนอ้ ยเพ่ือใหอ้ ารมณ์ไดด้ ีข้ึน ถา้ ไมม่ ี “หนอ” อารมณ์จะเผลอง่าย ๑๖.๖) การเข้าเรียนของพระพุทธ เจา้ ครูบาอาจารยส์ มยั ก่อนท่านไม่ได้เรียนหนังสือแต่ท่านมี ความสามารถเพราะจากหัวใจพระพุทธเจ้าจบั หัวใจข้ึนมาในพระหัตถ์แล้วพูดว่า อานนท์ใบไมใ้ นมือ เปรียบกบั ใบไมใ้ นป่ า สิ่งไหนมากกวา่ กนั คือ กฎเกณฑ์ท้ังหมดท่ีอยู่ในธรรมชาติ หรือสรรพสิ่งท้ังหมด เป็ นไดเ้ อาทุกสิ่งมาสอนไม่ใช่แต่ของธรรมชาติแต่เอาของที่สร้างข้ึนมาใชร้ ่วมกนั ดว้ ย คือ กฎเกณฑท์ ี่ตอ้ ง เรียนท้งั หมด พระไตรลกั ษณ์โดยผ่านอนิจจงั เห็นการเกิด การมองอยแู่ ละการดบั ถา้ เห็นนอ้ มจิตทุกเร่ือง จิตจะนอ้ มจิตไปเองส่วน ในเรื่องของการปฏิบตั ิ คือ ฝึ กสติ ฝึ กความอดทน ฝึ กวริ ิยะ มีความต้งั อยไู่ ม่ใหแ้ ต่ ส่ิงที่ได้ คือ ปัจจุบนั พอไปปฏิบัติทุกรูปแบบมาใช้กบั ชีวิตจริงหากใช้กับชีวิตจริงไม่ได้ แทบจะไม่มี ประโยชน์ ธรรมะหรือการปฏบิ ตั จิ ริง ๆ แล้วอยู่ทต่ี วั มากกว่าไม่ได้อย่ใู นตาราหรือครูบาอาจารย์ ๑๖.๗) สติปัฏฐาน สมบูรณ์ต้งั แต่เร่ิม กาย ภาวนา จิต ธรรม กาย มีสติอยูก่ บั กายกบั ใจถา้ ผูม้ ีสติ ก่อนจะยกมือวางมือจะตอ้ งรู้ใจ สติอยูใ่ นอารมณ์ เช่น ใจสบาย ใจขุ่นมวั กลายเป็ นทุกข์ วิชาการทาให้รู้ ทฤษฎีแม่นในการนาไปใชก้ บั ลูกศิษย์ มีผรู้ ู้ทางสายฆราวาสมากข้ึนเมื่อก่อนมีศรัทธารู้ทางวชิ าดา้ นเดียว อา นาปานสติอยกู่ บั ลมหายใจ ดูสมั ผสั ลมคิดวา่ เขา้ ใจแลว้ จริง ๆ แลว้ ไมร่ ู้เลย ลมกระทบ ยงั ไม่รู้เพราะละเอียด
๑๘๙ มากเพียงแต่จินตนาการวา่ กระทบที่สูดลมหายใจเขา้ ออกเป็ นเพียงแค่จิตมีความรู้สึกวา่ ผา่ นแต่ตวั ลงจริงๆ ยงั ไม่สามารถสัมผสั ไดธ้ รรมะเป็ นเรื่องธรรมชาติและง่าย คืออะไรง่ายๆแลว้ เขา้ ถึงสัจธรรมธรรมชาติได้ เขา้ ใจ คือส่ิงท่ีถูกแต่ถา้ หากปรุงแต่ง เขา้ ถึงยาก ธรรมชาติหาเขา้ ถึงง่ายแต่จะทาให้ไปถึงจุดไหน ถา้ หมาย คือการผลจากการครอบงาของกิเลส การปฏิบัติต้องค่อยๆเรียนรู้ยกระดับไปเร่ือย ๆ ต้องมีเวลาทุ่มเทให้กบั การปฏิบตั ิ ต้องมเี ป้าหมายในชีวติ ต้องเป็ นอริยบุคคลให้ได้ รูปแบบที่ ๑๗ ไม่มีคาบริกรรม ไม่มีคาว่า “พุทโธ” มีสติให้จิตไปรู้ลมหายใจเข้าออก การท่ีเอาจิตไปรู้ลม หายใจทาให้จิตเป็ นหน่ึงอยู่ในอารมณ์เดยี ว จิตระเอยี ด ต้องเรียนรู้เร่ืองขันธ์ ๕ พระครูสมุห์สุพจน์ พทุ ฺธธมฺโม และ คณะ สานกั ปฏิบตั ิธรรมประจาจงั หวดั สุพรรณบุรี แห่งที่ ๑ วดั พยคั ฆาราม บา้ นกระพงุ้ -หวั วงั หมู่ ๒ ตาบลศรีประจนั ต์ อาเภอศรีประจนั ต์ จงั หวดั สุพรรณบุรี สัมภาษณ์วนั ท่ี ๔ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๒ ๑๗.๑) สติปัฏฐาน ๔ มีความสัมพนั ธ์ต่อการฝึ กปฏิบตั ิ สมาธิ ภาวนา เปรียบเสมือนยานท่ีพาไป จุดมุง่ หมายปลายทาง คือ พระนิพพาน เป็นทางตรงมีความสาคญั ในการฝึกปฏิบตั ิธรรมะใชแ้ นวในการฝึ ก คือ สติปัฏฐานแตว่ ธิ ีการใชไ้ มต่ รงกบั พระพุทธเจา้ สอน คือ มหาสติปัฏฐาน๔ จะไมม่ ีคาวา่ “พทุ โธ” แตจ่ ะ มีสติหายใจเข้าหายใจออกมีสติให้จิตไปรู้ลมหายใจเข้าออก “พุทโธ” เป็ นคาบญั ญตั ิ ทีหลังซ่ึงเม่ือได้ พิจารณาดูแลว้ การที่เอาจิตไปรู้ลมหายใจทาให้จิตเป็ นหน่ึงอยใู่ นอารมณ์เดียว คือ ในอารมณ์ท่ีลมหายใจเขา้ ลมหายใจออกเม่ือจิตไปอยลู่ มหายใจเขา้ ลมหายใจออก จิตถึงจะเป็ นอารมณ์เดียวแต่ถา้ จิตมี พุธ โธ ดว้ ยลม หายใจดว้ ยจิต ไมเ่ ป็นอารมณ์เดียว ๑๗.๒) คาบริกรรมหลายแบบ แต่เวลาสอนต้องเริ่มจากเอาจิตไปดูถึงจะตรงตามพระสูตรตรงตาม พระพุทธเจ้าสอนนี่ดีสุดแล้ว คาบริกรรมบางคร้ังไม่จาเป็ นเพราะอาจารยร์ ุ่นหลงั มาสอนให้ “พุทโธ” “สัมมาอะระหงั ” หรือ “ยบุ หนอ” เป็ นคาท่ีกาหนดข้ึนมาเอง ซ่ึงพระพุทธเจา้ ท่านบอกวา่ หากคาบริกรรมดี ท่านคงตอ้ งสอนมาต้งั แต่เร่ิม แต่เพราะว่าไปแยกคาพูดพวกนี้ ทาให้จิตไม่ได้เป็ นหน่ึงทาให้ไม่ได้อยู่ใน อารมณ์เดียวตอ้ งนง่ั บริกรรม พุทโธ พุทโธ หายจึงอยูใ่ นอารมณ์เดียวเม่ือกาหนดพุทโธไปเร่ือยๆเสียเวลา มากบางคน ๕ ปี ๑๐ ปี ยงั ตดั พุทโธไม่ออก เม่ือตดั พุทโธไม่ออกแลว้ เม่ือไหร่ถึงจะเป็ นอารมณ์เดียว ในขณะที่รู้ลมหายใจเขา้ ลมหายใจออกน้นั คือสมถะ จิตไปดูลมหายใจเขา้ ลมหายใจออกรู้แต่ถา้ เห็นลม หายใจเขา้ ออกไปมากๆ เห็นการเกิดการดบั อนั น้นั เป็ นปัญญาวปิ ัสสนา สรุปคือถา้ รู้ลมหายใจเข้าออกเอง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358