๑๙๐ บ่อยๆซึ่งปฏิบัติบ่อยๆแล้วจะยกสู่การเกิดดับแล้วจะเป็ นวิปัสสนา คือ จะตอ้ งไปดว้ ยกนั ตอ้ งฝึ กปฏิบัติ พระไตรปิ ฎกตรวจทาน ออกมาแลว้ ๑๗.๓) พระพุทธเจา้ สอนอยา่ ใหล้ ืมลมหายใจ“สัญญา” ความจาไดห้ มายรู้ของมนุษยซ์ ่ึงตรงกบั จิต ใตส้ านึกของทฤษฎีจิตวิทยา เช่นบางเรื่องการตดั สินใจไม่ได้ใช้สมองเท่าไร แต่ใช้อารมณ์มาก่อน คือ สัญญา ปลูกผลกรรมของมนุษยแ์ ต่ละคนตอ้ งเรียนรู้เร่ืองขนั ธ์ ๕ ให้ละเอียด รูป กาย เวทนา สุขเวทนา ทุกขเวทนา ไม่สุขไม่ทุกขเวทนา สัญญา ความจาได้หมายรู้เรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้ว สังขาร ความคิดเร่ือง อนาคตที่ยงั ไม่มาถึง จิตปรุงแต่ง วญิ ญาณ ผรู้ ู้จะไปรู้รูป อานาปานสติ ไม่มีคาบริกรรม คาวา่ “พุทโธ” คือ สองอารมณ์ดูลมหายใจเขา้ ออก มโนจิตวิญญาณคือเรื่องเดียวกนั ในขณะที่จิตกาลงั จะไปที่สัญญาคือตวั มโน ปิ ติคือสุข อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย คือรูป และใจคือนาม วญิ ญาณ ท่ีต้งั เขา้ ใจลึกซ้ึงจะรู้วา่ จิต อยู่ตรงไหนมองเห็นวา่ ไปอยูต่ รงไหนขณะที่นง่ั สมาธิ พิจารณาให้รู้ว่าเจ็บไปต้งั อยูท่ ี่สัญญา หรือความรู้ ของอดีตมาต้งั ขณะที่ คิดอดีตหรืออนาคตหรือทุกขห์ รือสุขกุศลหรืออกุศลหากจะเขา้ นิพพานกุศลอกุศล ตอ้ งทิ้งทุกอยา่ งดูแค่ลมหายใจอยา่ งเดียว อนิจจาเห็นตามความจริง เห็นดว้ ยจึงเกิดมาตอ้ งไม่เท่ียงเป็ นทุกข์ แค่เห็นความไม่เที่ยงเขา้ กระแสโสดาบนั การท่ีไดเ้ ห็นอนุสัญญาพระองคบ์ อกวา่ ไดเ้ ขา้ ถึงอมตะแลว้ อย่าง น้อยเข้าสู่โสดาบนั ขา้ งต้นแล้ว ๓ ระดบั คือ โสดาบัน คือ ผูบ้ รรลุโสดาปัตติผลเป็ นพระเสขะ คือพระ อริยบุคคลผูถ้ ึงกระแสแห่งนิพพาน ผถู้ ึงกระแสแห่งอริยมรรคเป็ นคร้ังแรก ละสังโยชน์ ๓ ไดโ้ ดยเด็ดขาด อนั ไดแ้ ก่ สกั กายทิฏฐิ วจิ ิกิจฉาและสีลพั พตปรามาส แบง่ ตามอานาจปัญญาบรรลุได้ ๓ ประเภท คือ เอกพี ชี คือ ผูเ้ กิดในมชั ฌิมโลกคือเทวโลกหรือมนุษยโ์ ลกอีกเพียงคร้ังเดียวและจะบรรลุอรหนั ตใ์ นชาติน้นั ๆ โก ลงั โกละ หมายถึง ผจู้ ากตระกูลไปสู่ตระกลู คือ จะตอ้ งเกิดอีกอยา่ งมาก ๒-๓ ชาติแลว้ จะบรรลุอรหนั ต์ สัต ตกั ขตั ตุปรมะ คือ ผทู้ ่ีจะเกิดอีก ๔-๗ ชาติเป็นอยา่ งมากแลว้ จะบรรลุอรหนั ต์ ๑๗.๔) สิ่งท่ีขาดไม่ไดต้ อ้ งศรัทธาอย่างมน่ั คงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ความเลื่อมใสไม่ หวน่ั ไหวพิจารณาเห็นการเกิดดบั ตามความเป็นจริง กายทิฐิได้ เห็นแลว้ เขา้ ไปสู่หลกั ธรรมะ เห็นวา่ เวทนามี การเกิดการดบั ปัญญาทางธรรม ไม่ไดป้ ัญญาจากการอ่าน แต่เป็ นปัญญาท่ีเกิดจากภาวนามยปัญญาเพราะ สูงกวา่ น้นั ขณะที่พิจารณาสติปัฏฐานหมวดธรรมเห็นการดบั เป็ นประจาขณะท่ีเห็นการดับอยู่ที่สัญญาไป เข้ากนั หมดการท่ีเอาวญิ ญาณ จิต มาต้งั อยทู่ ี่ลมหายใจเขา้ ออกมา ปิ ดก้นั มารผทู้ ี่มีใจบาป การท่ีนงั่ สมาธิจาก ลมหายใจเป็ นกรรมหนกั กรรมดีให้ผลใหญ่กรรมหนกั จะให้ผลใหญ่กวา่ กรรมอ่ืนเรียกวา่ กรรมท่ีทาใหผ้ ล ปัจจุบนั ส่ิงท่ีคิดไวห้ วงั ไวใ้ ห้ผลปัจจุบนั การเกิดดบั ลมหายใจ คือ อริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค หนทางพน้ ทุกข์ การเกิด คือสมุทยั ตวั ทาใหเ้ กิดทุกขเ์ พราะวิญญาณมาต้งั มาเกิดตรงน้ี การดบั คือนิโรธเหตุ เพราะเป็ นทุกข์ทุกข์ คือ ความทนอยู่ไม่ได้ เช่นการหายใจเขา้ อย่างเดียวอยู่ไม่ไดท้ ี่สุดตอ้ งดบั ดว้ ยการ หายใจออกมรรค ๘ การนง่ั ดูลมหายใจ คือ ศีล ครบแล้วความเพียรประโยชน์ของการฝึ กปฏิบตั ิ เป็ น ตวั ช้ีวดั คือ ๑)พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ มีความมนั่ คงหรือไม่ ๒)ศีลบริสุทธ์ิไหม คิดดี ทาดี พูดดี หาก คิดวา่ พระพุทธพระธรรมพระสงฆย์ งั ไม่ไดม้ าตรฐานแต่ยงั มีขอ้ อ่ืนมาทดแทนกนั ไดก้ ารใหท้ านใหเ้ ห็นถึง พระอรหนั ตค์ ือเคร่ืองปรุงจิต ละความตระหนี่อนั เป็ นมลทินไม่หวงั บุญหวงั ของการใหท้ ่านเป็ นเคร่ืองปรุง
๑๙๑ เเต่งจิตจิตจะมีความตระหนี่มีฝ่ ามือท่วมดว้ ยการให้ยินดีที่จะสละให้ของที่ใหไ้ ดย้ ากโดยท่ีไม่เสียดายและ ไม่หวงั ผล รูปแบบ ๑๘ การปฏบิ ตั แิ บบไม่มีบริกรรม ให้ไปรู้เท่าทนั “มโน” พระอธิการทองแบน ปนาโท เจา้ อาวาสวดั ไทรงามธรรมธราราม วดั ไทรงาม จงั หวดั สุพรรณบุรี ๑๑๖ ตาบลดอนสงั ข์ อาเภอเมือง จงั หวดั สุพรรณบุรี สมั ภาษณ์ วนั ท่ี ๗ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๒ ๑๘.๑)การปฏิบัติแบบไม่มีบริกรรม ใชแ้ ต่ภาวนาทุกอย่าง เป็ นภาวนาท้งั หมด ภาวนาช่วยให้จิต สงบความสงบหายาก จิตต้องภาวนาอยู่กบั ทกุ ข์ เพื่อให้จิตได้รู้ว่าทุกข์ เกดิ มาจากทไ่ี หนจิตยงั ไมเ่ ขา้ ใจ แลว้ ทุกข์ อยู่ในจิตขา้ งใน ถา้ จิตไม่ภาวนาทุกข์จะไม่ออกไปแต่จิต เพลิดเพลินไปตามทุกข์ มีความโลภ ความ โกรธและความหลงมโนวิญญาณ โลภ โกรธ หลง แต่มโนเป็ นธรรมที่ไม่มีตวั แต่ จิตจะมีตัวเพราะจิตมี สังขาร มีวญิ ญาณ สัญญา เวทนา นามรูปมโนจะสร้างกรรม ส่งมาใหจ้ ิต เริ่มเป็นทุกข์ มโน จะคิดก่อนท่ีจิต จะทาพอจิตทา จะออกมาทาง วญิ ญาณ สัญญา สังขาร นามรูป ๑๘.๒) นามรูป เกิดปัจจยั ให้เกิดอายตนะ เกิดเวทนา ตณั หา อยากเห็นรูป อยากไดย้ นิ เสียงลิ้มรส เรียกวา่ ความอยากจิต เพลิดเพลิน ความไม่เที่ยงของจิตจะไม่มีแลว้ ที่มาคนไทยนบั ถือศาสนาพุทธจริงแต่ ไม่ไดเ้ ขา้ ถึง ตวั มโน ความวนุ่ วายถึงเกิดข้ึนเยอะในปัจจุบนั ถา้ ไม่มีจิตอาศยั ร่างกายจะอยนู่ ิ่งไมว่ นุ่ วาย เพียง แคเ่ ป็นธาตุ ๔ ดินน้าไฟลมในตวั เกดิ การ “มโน” ปรุงแต่ง ทาใหจ้ ิตเป็นมลภาวะท่ีเป็นพษิ การปฏิบตั ิแต่ละ สานกั ฯ มุง่ ฝึกจิตเทา่ น้นั มุ่งหมายสุดทา้ ย คือไปชาระจิตขา้ งใน ไมไ่ ดไ้ ปกาจดั ที่มโน ไดแ้ ลว้ จิตจะไม่มีทุกข์ มโนอยใู่ นจิตไม่มีตวั ๑๘.๓) สติที่ต้งั ในฐานมีความสมั พนั ธ์กนั ให้ไปรู้เท่าทนั “มโน” สติปัฏฐานตอ้ งอยูท่ ี่ฐานตามน้นั จิต ตอ้ งมีสติ ฐานธรรม เป็ นทุกขเ์ หตุที่บอกวา่ น่ังกรรมฐาน คือ ฐานอยทู่ ่ีธรรม จิตอยทู่ ี่ธรรม ธรรมหมายถึง สภาวะธรรมธรรม ท่ีเป็ นทุกข์ เช่นนง่ั แลว้ ปวด ความไม่เที่ยงเกิดข้ึน ความปวดจะไม่มี เพราะวา่ จิตไม่ได้ เขา้ ไปในความปวดน้นั การพูดปวดหนอ คือ คาบริกรรมสานักอ่ืน ๆ ท่ีทาเพ่ือจะให้จิตผูกกับคาบริกรรม ก่อนและความวุ่นวายจะไม่มีพอ เลิกบริกรรมวุ่นวายอีก ในขณะท่ีบริกรรมน้นั วุ่นวายการแก้ปัญหาท่ี ถูกตอ้ ง คือ แก้ทตี่ วั “มโน” ๑๘.๔) หากต้องการฝึ กให้ก้าวหน้าไม่ต้องบริกรรมต้ังแต่แรก “มโน” เป็ นตวั ประกอบกระทบกบั จิต จะเตน้ แรงใจ เช่นกนั เหมือนกบั ความโกรธให้ รู้โดยเอาสติไปตามท่ีตอ้ งอยูท่ ี่ ผัสสะและความโกรธ ความทุกข์ จะไม่เกิดข้ึนถา้ จิต ไม่อยูต่ รงน้นั ความทุกข์ เกิดข้ึนจิต ตอ้ งมี ฉนั ทะ อริยะ จิตตะ ตอ้ งมีภาวนา
๑๙๒ พุทโธ ยุบหนอ ถา้ จิตไม่มีฉันทะทายาก “อาตาปี สัมปชาโน สติมา” วิริยะให้ความเพียรตอ้ งปฏิบตั ิให้ ตอ่ เน่ืองใหจ้ ิตครบ ๑๐ ดวง ๒๐ ดวงถึง ๑๐๐ ดวง อาทิตยท์ าถึงไม่พอใจกบั วปิ ัสสนาผทู้ ่ีทาวปิ ัสสนาให้ไป เรียนอภิธรรมก่อนถา้ หากไม่ทา จะทาผิดศีลตลอดเพราะไม่รู้จกั เร่ืองการกระทบพอกระทบที จะเกิดความ โลภที จะผดิ ศีลแลว้ ตอ้ งฝึ กการกระทบให้ได้ มโนไม่เท่ียง มโนสังขาร ๒ อยา่ งอยูค่ ู่กนั จะไม่เที่ยงกบั อยู่ ในสังขารพอมโนไม่ใหม้ ีสังขารตอ้ งไม่มีมโนเหมือนกนั กระทบอยูแ่ ต่ไม่มีทุกขถ์ า้ รู้จะเป็ นทุกขเ์ ลยถา้ เห็น จะไม่เป็นทุกขเ์ ห็นหมายความวา่ ผสั สะไมเ่ ที่ยง ศีล สมาธิ ปัญญา จะเกิดข้ึนตรง ขตั ติยะ ๑๘.๕) สติปัฏฐาน ๔ จิตอยู่ผัสสะ มีกาย เวทนา จิต ธรรม ฝึ กใหม่ๆแยกทา แต่พอปฏิบัติงานเข้า จะอย่รู วมกนั หมดทาหน้าทพี่ ร้อมกนั หมด เม่ือมีการกระทบกบั มโนแลว้ มีเวทนา จิต อยตู่ รงน้นั แลว้ จิตไม่ เที่ยงเพราะจิตไม่เท่ียง จะเป็ นธรรมไม่มีตวั ตนอยใู่ น มโนเป็ นธรรมข้นั สุดทา้ ย เขา้ ใจยากละเอียดอ่อนพอ ผสั สะจะเป็ นทุกข์เพราะว่าจิต ยงั ไม่สามารถยอมรับกรรมได้ จะเขา้ สู่สังขารเดิม ๆ ชีวิตเดิม ๆ อยู่ใน สังสารวฏั เดิม ๆ ไม่ไดอ้ อกจากวิญญาณขนั ธ์ กลบั ไปอยูท่ ่ีเดิมวนเวียนที่เดิม ถา้ สังขารไม่เท่ียงจิต จะไม่ เท่ียง การฝึ กเร่ิมต้นจิต ตอ้ งเป็นทุกข์ การนง่ั กรรมฐาน ตอ้ งอยทู่ ่ีทุกข์ ถา้ ไปอยกู่ บั ส่ิงอ่ืนอยู่ เป็นทุกข์ ทุกข์ คือ เวทนานาฝึ กไม่วา่ เวทนาตอนไหน เมื่อมีเวทนา ตอ้ งมีกาย ในเมื่อมีเวทนา ตอ้ งมีสัญญาในเม่ือมีสัญญา ตอ้ งมีภาวนา ในเม่ือมีสัญญา ตอ้ งมีสังขาร ในเม่ือมีสังขาร ตอ้ งมีสัญญา ในเมื่อมีสังขารตอ้ งมีวิญญาณใน เมื่อมีวญิ ญาณ ตอ้ งมีสังขารเพราะคาสอนองคพ์ ระมาทาทุกอยา่ ง จะไปดบั ไม่ไดเ้ พียงแต่วา่ ให้รับรู้กบั เห็น และทาตรงน้นั รู้ รู้วา่ เป็ นทุกข์ เห็น ทุกขม์ นั จะไม่มี สังขาร ไม่มีอุปทาน ทุกขม์ นั เป็ นธรรมชาติทุกข์น้นั คือ อุปทาน มีอยแู่ ลว้ เพียงแต่วา่ จิตเหล่าน้นั มีอุปทานหรือเปล่า เพราะจิต มีอุปทานพอเขา้ ไปติดอุปทาน มากข้ึนไปปรุงเพิ่ม เลยกลายเป็นมโนที่เป็นอุปทาน ๑๘.๖) อุเบกขา คือ ขณะไม่เที่ยง มีแลว้ จะเกิด แลว้ หายไป แต่ไม่ดบั เพียงแต่ไม่เที่ยงจะไม่มีตวั ตน แต่จิต สามารถไปติดไดอ้ ีกเพราะวา่ เจ็บ ยงั ไม่ไดอ้ อกจากสังขาร ถา้ จิต ออกจากสังขารหมายถึงวา่ ดบั แลว้ เจบ็ มสี ังขารเป็ นปัจจัย เกิดดบั ฝึกสมาธิเพอ่ื กาหนดรู้ คือตรงพฒั นาจิตจะใหม้ ีปัญญาเลย ไม่ไดต้ อ้ งค่อยฝึ ก ไปจนกวา่ จิตจะมีความพอใจ ปัญญาสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ๑๘.๗) อภิธรรมมีขอ้ เสียอยา่ งหน่ึง คือ พอเรียนแลว้ จิตจะมีแต่ ศีลปัญญาสติ อภิธรรมคือผูท้ ี่รู้แลว้ ไมต่ อ้ งฝึกปฏิบตั ิในธรรม เลยสอนแต่ลูกศิษยแ์ ต่ตวั เองไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิเหมือนมีแผนท่ีแตไ่ มไ่ ดม้ ีพ้นื ท่ีมีแผนท่ี คือ มีเยอะแยะไม่มีพื้นทคี่ ือไม่ได้ปฏบิ ัติ เลยทาใหศ้ าสนามีความเศร้าหมองอยตู่ ลอดอยา่ งพระภิกษุติดเพียง แค่สมมุติเท่าน้นั “มโน” เป็ นอุปทาน พอมีอุปทานยดึ ดว้ ยกลายเป็นอุปทานไม่เท่ียง มีความโลภโกรธหลง ไปเร่ือยสะสม สงั ขารวญิ ญาณ การเข้าถึงปัญญาเพยี งแคไ่ ดอ้ ธิบายภาวนาจะเป็ นอธิบดีของจิตคุม จิตฉันทะ คุมจิตตลอด ถา้ จิตไม่มีจิตฉนั ทะ การทางานทุกอยา่ งจะลม้ เหลวหมด ตอ้ งมีความพอใจ เป็ นวิริยะ จิตตะ เอาใจขนขวายงาน วมิ งั สาจะเป็นสติสัมปชญั ญะมีความพร้อมอยเู่ สมอและงานสาเร็จ ๑๘.๘) พระสูตรสติปัฏฐาน ๔ การเขา้ ถึงเกิดที่ มโนสัมผสั เพราะมโนท่ีปรุงแต่งท่ี ๑ เพราะมโนตวั น้นั เป็ นกุศลและอกุศลสลบั ไปมาตอ้ งฝึ กบอ่ ย ๆ ปัญญาภาวนา ปัญญาเอาตวั มโนวิญญาณ เขา้ ถึงใหไ้ ดพ้ อ มโนมา จะไม่เที่ยงมโน เป็นอนิจจงั จิต ไปหาอนตั ตาจะทาทีเดียวพร้อมกนั ตอ้ ง เร่ิมที่มโน มโนกบั จิตคือตัว เดียวกัน จะอยู่ขา้ งในเพราะออกมาจิตมนั จะวุ่นวายพอมากระทบกบั จิตเพราะจิตมีสังขารอยูเ่ พราะเป็ น
๑๙๓ สังขารจิต จะออกมาทางหูทางกายทางตวั ออกมาหมด พระพุทธเจ้าสอนล้างกรรมทมี่ โนหรือจิตจะทางาน ร่วมกนั มโนไมเ่ ท่ียงจิตจะไม่เท่ียงพอเที่ยงจิต จะเที่ยงมโนเป็นอะไรจิต จะเป็นเช่นน้นั ตอ้ งฝึ กไปสู่ฐานจิต ๑๘.๙ ) สติปัฏฐานสูตร จะไม่มีตวั เช่นกาย ไม่ใช่วา่ จะเป็ นกายเหนือกายหนงั แต่เป็ นเรื่องท่ี กายที่ อยู่ข้างในคือขันธ์ ๕ กายขา้ งในจะมีมโนอยู่ พอมโนเกิดข้ึนแต่กายไมไ่ ดอ้ ยตู่ รงมโนถา้ ขนั ธ์ ๕ อยตู่ รงมโน ความรู้ จะหายไป มีเกิดข้ึนหายไปวนเวียนเช่นน้ี ตานยั คือปัญญาพอปัญญาเกิดข้ึนกาย ไม่มีแลว้ กายของ จะมีอุปทานอยู่ มีทิฐิ มีมานะ อะหงั คือ สัมผสั ความทุกขท์ ้งั หลายมาจาก มโน กายกบั จิต ตอ้ งสร้างฉนั ทะ ใหไ้ ด้ ทาใหเ้ กิดสญั ญา ภาวนาไม่ทาใหเ้ กิดสัญญา ถา้ มีสญั ญาจะมีสงั ขารมีวญิ ญาณ คาสอนธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร สติปัฏฐานสูตร อตั ราลกั ขณสูตร สติปัฏฐานเร่ิมดว้ ยกายธรรม นามรู้ นามเห็น สัมปชาโน การ กระทบ ๑๘.๑๐) ปัญญาศาสนาพุทธ คือ ตอ้ งเห็นไม่เท่ียง ปัญญาชาวโลก โลภ โกรธ หลง ท่ีเกิดข้ึนจาก มโนวญิ ญาณต้องมโน ก่อนท่ีจะไปรับรู้อารมณ์น้นั ตอ้ งฝึกจิตใหไ้ ปรับรู้ที่ “มโน” ใหไ้ ดเ้ พราะจิตไม่ยอมรับ ทุกฝึ กให้อยู่กบั ปัจจุบนั โดยใช้สติ กรรมฐาน ลืมตา ดูภายในทางานการความรู้สึกกายขา้ งนอก เพียงแค่ สมมุติเทา่ น้นั หลงรูปร่างหนา้ ตาผวิ พรรณเส้ือผา้ หนา้ ผม ๑๘.๑๑) จิต มีรูปนาม เวทนา อภิธรรมไม่ให้จิตเป็ นกุศล ความผิดอยู่ที่ มโนมากระทบกับจิต จะ เกิดความรู้สึกข้ึน เพราะจิตมีนามรูปหรือว่า จะมีสังขารความคิดความรู้สึก จบท่ีผสั สะขณะที่จิตไม่สงบ วปิ ัสสนา ขณะหน่ึงถา้ ไม่ขณะหน่ึง จะเป็น ขณกิ สมาธิทุกอยา่ งจะสู้ปัญญาไม่ได้ การฝึ กสมาธิเป็ นเบื้องต้น ถ้าอย่างสูง คือปัญญา กระแสของการเปล่ียนแปลงทาให้อยู่ในกระแสใหม่ท่ีดูแลว้ กิเลสมนั เยอะข้ึนแต่ ข้ึนอยกู่ บั ผสู้ อนศาสนา ผสู้ อนสอนผดิ ทาใหล้ ูกศิษยเ์ ดินผดิ ไป ถา้ ผสู้ อนถูก ทาใหล้ ูกศิษยเ์ ดินทางถูก ๑๘.๑๒) มโนสังขาร เห็นอะไรไมด่ ีท้งั หมด มโนเป็นกุศลตลอดในการเขียนหนงั สือจะออกมาจาก มโนมากระทบกบั จิต ทางาน ต้องฝึ กมโนกบั จิตทางานร่วมกันให้ได้ เพราะถา้ จิตกบั มโนทางานร่วมกนั จะ เป็นกศุ ลท้งั หมด มโน ยงั คงเป็นอกศุ ลอยูต่ า่ งคน ต่างมีประมาณดว้ ยกนั ท้งั คู่ ตอ้ งฝึกมโนให้มีปัญญาใหจ้ ิต มีปัญญาคา ๒ อยา่ งตอ้ งคู่กนั มนั เป็ นสังขะโห กบั อสังขะโห ธรรมะบางอย่าง สังเคราะห์ไดท้ าบางอยา่ ง ขอไม่ไดข้ อกบั มโนเขา้ กนั ไดท้ ี่ ๒ อยา่ งน้ี ตอ้ งขอเขา้ กนั ไดพ้ อสงั เคราะห์เขา้ กนั ไดไ้ มเ่ ท่ียง รูปแบบ ๑๙ ปัญญาวปิ ัสสนา คือ ปัญญาทเี่ ข้าถึงได้จากการปฏิบตั ิจากประสบการณ์ตรง
๑๙๔ พระภาวนาธรรมาภิรัช เจา้ อาวาส วดั ร่าเปิ ง (ตโปทาราม) เป็นแหล่งวปิ ัสสนากรรมฐานทางภาคเหนือที่ ทาการอบรมพระกรรมฐาน ในแนวสติปัฎฐาน ๔ ปัจจุบนั มีคนไทยและต่างประเทศ สนใจมา ปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานมาก เลขท่ี ๑ หมู่ ๕ ถนนคนั คลองชลประทาน ตาบลสุเทพ อาเภอเมือง จงั หวดั เชียงใหม่ สมั ภาษณ์วนั ท่ี ๑๓ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๒ ๑๙.๑) ปัญญาวิปัสสนา คือ ปัญญาทเี่ ข้าถึงได้ด้วยการปฏิบัติ เพราะปัญญาท่ีเกิดจากเหตุ เช่น การ ฟังการอ่านแมแ้ ต่การวิเคราะห์ดว้ ยตรรกะต่าง ๆ ยงั ไม่ใช่ในท่ีสุดปัญญาท่ีเกิดจากการภาวนาการเพง่ พินิจ ใหเ้ กิดสมาธิ ยงั ไม่ใช่ปัญญาในเงื่อนไขที่จะทาใหบ้ รรลุเป้าหมายสูงสุดตามหลกั สติปัฏฐาน วา่ ทาให้แจง้ ในที่สุดซ่ึงปัญญาตวั น้ีตอ้ งทาจาก ประสบการณ์ตรง ตามหลกั ที่วา่ อาตาปี สัมปชาโน สติมา วิเนยยะ โลเก มีความเพียรมีสมั ปชญั ญะมีสติ ในสติปัฏฐานหรือสติ ตอ้ งมีองคป์ ระกอบเพราะ ธรรมะ เรียกวา่ โพธิปักขิย ธรรม จะมีผลกระทบอ่ืน ๆ คือตวั ธรรมะตวั อื่น ๆ เขา้ มาเกิดร่วมกบั สติดว้ ยและมุ่งวปิ ัสสนา คือ ตัวปัญญา ท่ีต้องมีตัวธรรมดาๆ เขา้ มาเป็ นองค์ประกอบปัญญาด้วย ฉะน้นั ปัญญาในสติปัฏฐาน เรียกว่า วิปัสสนา ปัญญาเป็ นปัญญาที่ปฏิบัติเพื่อให้รู้แจ้ง ในเรื่องของรูปนาม กายใจเพื่อให้เขา้ ถึงไตรลกั ษณ์ ความเป็ น อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา กาย เวทนา จิต ธรรม เรียกวา่ รูปนาม ตอ้ งเขา้ ใจถึงจุดน้ีเหมือน คาวา่ วชิ าความไม่รู้ ไม่ไดห้ มายความวา่ ไม่รู้อะไร เรียกวา่ อวิชชาไม่ว่าจะรู้อยา่ งอ่ืนมากมายแต่ไม่รู้เร่ืองอริยสัจ ๔ คือว่า มี อวิชชาคนเหล่าน้นั หรือสัตวเ์ หล่าน้นั มีอวิชชาและคนน้นั มีความรู้อริยสัจ ๔ แจ่มแจง้ บรรลุถึงเขา้ ถึงแมว้ า่ จะอา่ นไม่ออกเขียนไม่ไดแ้ ต่เขา มีวชิ าเพราะวชิ าในความหมายคือการรู้อริยสจั ๔ วปิ ัสสนา เหมือนกนั คือ ปัญญาเป็ นวิชาเป็ นอริยสัจ ๔ ดูรูปรู้ตามความเป็ นจริงในขณะที่เป็ นปัจจุบนั จนสามารถขจดั โมหะความ หลงรู้แจง้ ตามความเป็ นจริงในเรื่องของรูปนามไตรลกั ษณ์อริยสัจ ๔ ไดอ้ ยา่ งชดั เจนเพราะในสติปัฏฐาน ๔ อริยสัจ ๔ โพชฌงค์ ๗ ขนั ธ์ ๕ และนิวรณ์ ๕ นาหลกั ธรรมตวั ไหนไปปฏิบตั ิ ทุกมุมมองตอ้ งมีจุดรวมให้ เลือกในความเป็นจริงวา่ ทุกอย่างไม่เทยี่ ง ปัญญาในสติปัฏฐาน ๔ ปัญญาท่ีจะทาใหเ้ ขา้ ใจถึงสัจธรรมความ เป็ นจริงว่าทุกอยา่ งมนั ไม่ไดเ้ ท่ียงเป็ นอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา จนสามารถ ละความยึดติด ว่าเป็ นของเที่ยง เป็นของสุขเป็นของตนได้ ถา้ เขา้ ใจถือวา่ ปัญญาวปิ ัสสนา ๑๙.๒) วธิ ีการเข้าถึง คือ การปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ถา้ สมยั พระพุทธกาลผทู้ ่ีมีอิทธิฤทธิแกร่งกลา้ มี ปัญญาแกร่งกล้า มีวาสนาบุญบารมีสูง พระพุทธเจา้ แค่สอนคาสองคา บรรลุธรรมได้ หมายถึง ผูน้ ้ัน เตรียมพร้อมมากแลว้ ที่จะรู้เร่ืองเหตุผลรู้นามอยา่ งง่ายดาย เพราะ สะสมมาก จะเห็นไดว้ า่ รอโอกาสตามที่ ท่านได้ปรารถนาไวส้ มมุติว่าพระสารีบุตรท่านมีปัญญาพอท่ีจะเป็ นพระอรหันต์ได้แล้วต้ังแต่สมัย พระพุทธเจา้ แต่ท่านไม่ยอมที่จะบรรลุธรรม เพราะวา่ ท่านเป็ นมติเงื่อนไขเป็ นพิเศษอยากจะมีตาแหน่งน้ี
๑๙๕ อยากจะมีฐานะน้ีแต่ปัญญาทีจ่ ะบรรลุธรรมมมี ากแล้วแต่ต้องมาบาเพญ็ บารมีเพอื่ จะไดเ้ ป็ นอคั รสาวก ฐาน ปัญญาของท่านพร้อมท่ีจะบรรลุถึงธรรมที่จะเป็ นพระอรหันต์ที่จะเป็ นพระพุทธเจา้ องค์กรเพียงแต่ผิด ตาแหน่งเป้าหมายดงั น้ันคนท่ีฟังธรรมบรรลุ คือ เตรียมพร้อมมาตลอดถา้ คนที่ไม่มีวิธีที่บรรลุถึงเข้าถึง ตอ้ งบากบน่ั ใช้ความเพียรพยายามตอ้ งฝึ กฝนทุ่มเทแสดงว่าบารมีของแต่ละคนไม่เหมือนกนั บางคนอาจ เพียงแค่ ๗ วนั สามารถบรรลุไดแ้ ลว้ แต่ถา้ ชีวิตไม่ไดบ้ รรลุ ไม่ไดห้ มายความว่าจะลม้ เหลว สะสมเป็ น อุปนิสัยเผอื่ วา่ ชาติหนา้ ชาติต่อไป จะไดก้ ลบั มาอีก จะไดบ้ รรลุไดเ้ ร็วข้ึน การฝึ กปฏิบัติขึน้ อยู่กับจริตนิสัย ของแต่ละคนบางคน บอกว่ากายสาคญั เอากายข้ึนก่อนบางคนบอกว่าเวทนาสาคญั เอาไปนาข้ึนก่อน โดยทว่ั ไปคน ท่ัวไปพื้นฐานจิตเหมาะกับอารมณ์ที่มนั อยากเพราะสภาพจิตสภาพความเปล่ียนแปลงของ ชีวติ คน ยงั ไม่ไดม้ ีสติสมาธิอะไรมากมายจึงเหมาะกบั การฝึกอารมณ์ที่อยากก่อน คือถ่านกายเช่นการกราบ การเดินการนง่ั ซ่ึงเป็ นวิธีการที่ง่ายสาหรับคนท่ีฝึ กใหม่แต่ถา้ ฝึ กไปแลว้ เร่ิมจบั ไดว้ ่า ทิศทาง คือ อะไรแต่ เบ้ืองตน้ จะตอ้ งเขา้ แนวที่เหมาะสมเหมือนกบั การเรียนมหาวทิ ยาลยั อยปู่ ี ๑ ตอ้ งเรียนข้นั พ้ืนฐานเหมือนกนั หมด ๑๙.๓) ธรรมะของพระสงฆ์กบั ธรรมะของฆราวาสหลกั ธรรม คือตวั เดียวกนั แต่วธิ ีการดาเนินชีวิต คือใชศ้ ีลคนละศีล ศีลไม่เหมือนกนั คือสิ่งของชาวบา้ นเก่ียวศีล ๕ วธิ ีการดาเนินชีวิตศิลปะการดาเนินชีวติ ของชาวบา้ นแบบ เมื่อศีลต่างกันทาให้สมาธิจิตต่างกันด้วย ถ้าฐานศีลไม่ละเอียดพอสมาธิยงั ไม่มนั่ คง เหมือนกบั เป็นชาวบา้ นฐานจิตไม่มน่ั คงพอถูกกิเลสครอบงา สมาธิเกิดไดย้ าก เมื่อสตสิ มาธิเกดิ ยาก โอกาส เกดิ ปัญญายากไปดว้ ย ศีลคือฐานท่ีเป็ นวถิ ีการดาเนินชีวติ ของนกั บวชหรือผปู้ ฏิบตั ิท่ีเก็บตวั โอกาสที่จะถูก กิเลสเขา้ ครอบงาเขา้ มากระทบสัมผสั มีนอ้ ย สติสมาธิไปไดด้ ีเมื่อสติสมาธิไปไดด้ ว้ ยดีปัญญาเกิดไดข้ ้ึนอยู่ กบั ฐานศีลและวิธีการดาเนินชีวิต ไม่เหมือนกนั ความฟุ้งซ่าน ความสงบ ความน่ิง จึงเกิดไม่เหมือนกนั ฉะน้นั ตัวความรู้แตกต่างกันไป ดว้ ยเกิดไดเ้ ร็วเกิดไดช้ า้ แต่ปัญญาคือตวั เดียวกนั เพยี งแต่วา่ การบ่มเพาะไม่ เหมือนกนั เหมือนสมมุติวา่ ตน้ ไมต้ น้ น้ีมาจากหอ้ งทดลองเดียวกนั เรียงจากเน้ือเย่ือเดียวกนั มียนี โครโมโซม ที่สมดุลแตถ่ า้ ปลูกบนดอยปลูกท่ีลาหว้ ยปลูกท่ีราบท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ตา่ งกนั ตน้ ไมจ้ ะโตต่างกนั บางตน้ โตช้าบางตน้ โตเร็วเช่นเดียวกบั วา่ ถา้ อยู่ในพื้นท่ีกับบุคคลท่ีมีโอกาสท่ีเติบโตไดไ้ ว ความเจริญกา้ วหนา้ ในทางธรรมยงั มีไดม้ าก เมื่อส่ิงแวดลอ้ มเอ้ืออานวย มีแรงกระตุน้ ที่จะทาไดม้ าก ๑๙.๔) จิตทเ่ี ป็ นกศุ ลกบั อกุศล ถา้ กุศลเกิดอกศุ ลเกิดไม่ได้ เช่นเดียวกนั คือวา่ บุญกบั บาปเกดิ พร้อม กนั ไม่ได้ แต่เน่ืองจากกุศลและอกุศลเป็ นธรรมชาติ มีการเกิดดบั เมื่ออกุศลเกิดกุศล เกิดแทรกไดก้ ุศลเกิด แลว้ ถา้ เผลออกุศลเกิดข้ึนไดเ้ ช่นกนั แทรกกนั ไปแทรกกนั มาเร่ือย ๆ อิริยาบถต่าง ๆ เป็ นสิ่งอานวยให้การ เจริญสติการเจริญภาวนาเป็ นไปไดด้ ี แต่ตวั กุศลจริง ๆ อยูท่ ่ีจิตแต่อาการของกายจะช่วยไดส้ ่ิงแวดล้อมดที า ให้เป็ นกุศลได้ง่ายข้ึน ความหมาย สภาวธรรม ทุกส่ิงทุกอยา่ งเป็ นสภาวธรรมสภาวะส่ิงท่ีมีอยจู่ ริงธรรมะที่ มีอยู่จริง แต่สภาวธรรมจะเกิดข้ึนเป็ นผลของการปฏิบตั ิ เป็ นผลของกรรมหรือวิบากกรรมหรือจะเป็ น อารมณ์ธรรมดาสามญั ทว่ั ไป การท่ีจะเขา้ ใจสภาวธรรมอยา่ งแจ่มแจง้ คือ เขา้ ใจ คาวา่ อนัตตา ไม่มีตวั ตน เป็ นแค่ธรรมะชนิดหน่ึงเกิดข้ึนต้งั อยแู่ ละดบั ไปตามเหตุตามผลสภาวะท่ีแสดงถึงความเป็ นอนตั ตาเป็ นไป ตามเหตุปัจจยั
๑๙๖ รูปแบบ ๒๐ แนวสติปัฏฐาน ๔ การใช้คาบริกรรมพอถึงกาหนดทงิ้ คาบริกรรม เอาปัจจุบนั เกดิ ทก่ี ายทใ่ี จ พระยทุ ธนา อริโย ผอู้ านวยการศูนยป์ ฏิบตั ิธรรมเวฬุวนั ศูนยป์ ฏิบตั ิธรรมสวนเวฬุวนั จงั หวดั ขอนแก่น (สาขาวดั อมั พวนั จงั หวดั สิงห์บุรี) แนวสติปัฏฐาน ๔ พระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) ๖ หมู่ ๑๕ บา้ นเนินทอง ตาบลบา้ นคอ้ อาเภอเมือง จงั หวดั ขอนแก่น สมั ภาษณ์ วนั ท่ี ๒๖ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๒ ๒๐.๑) สติปัฏฐาน ๔ วิปัสสนาทาให้หมดทุกข์ อานาปนสติเป็ นสมถะกับวิปัสสนากรรมฐาน เป็ นไดท้ ้งั สองอยา่ ง อานาปานสติเป็ นวิธีการเจริญสมถะ สมถะภาวนารู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก วางไว้ ท่ีปลายจมูกแต่ถา้ เป็ นการเจริญวปิ ัสสนาโดยกายขอ้ ๑ การใชอ้ านาปานสติ ดูลมหายใจเขา้ ลมหายใจออก เหมือนกนั แตร่ ู้ลมหายใจเขา้ ลมหายใจออกรู้วา่ ลมหายใจส้ันหรือยาว สติปัฏฐาน ๔ อาตาปี สตมิ า เพยี รกลา้ มีสติสมั ปชญั ญะ เป็นเหมือนหวั ใจอยา่ งหน่ึงในการเจริญวปิ ัสสนา ๒๐.๒) วิปัสสนากบั กรรมฐานต้องไปพร้อม ๆ กนั ในขณะท่ีรู้ลมหายใจเขา้ จิตจดจ่อต้งั มนั่ สมาธิ ขณะท่ีสมาธิเกิด รับรู้วา่ ขณะน้ี รับรู้วา่ ลมหายใจกาลงั เขา้ จิตต้งั มนั่ จิตน่ิงใหเ้ อาสติเขา้ เมื่อจิตนิ่งแลว้ ค่อย เขา้ มาพิจารณาในส่ิงที่ เห็นในกายในใจ ณ ขณะน้ันจึงเป็ นสมถะและวิปัสสนาตาม สมาธินา สติตาม วปิ ัสสนา ไปดว้ ยกนั ควบคูก่ นั เช่น ยกมือข้ึนรู้วา่ มือยกข้ึน หรือ เอามือลง รู้มีท้งั สมาธิและสติสมาธิ คือ จด จ่อแลว้ รู้วา่ ตอนน้ีกาลงั เคล่ือนลงหรือยกข้ึนรู้วา่ สติได้ สัมปชัญญะ รู้ตวั คือ ควบคู่การไปดว้ ยกนั เป็ น วธิ ีการฝึ กทดี่ ี ความหมายอธิบาย คือ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ วปิ ัสสนาไปดว้ ย เพราะมีท้งั สมาธิ คือ ปัญญา เห็นความจริงท่ีปรากฏไมต่ ิดแต่สมถะอยา่ งเดียว กาลงั สติระลึกนอ้ ยไม่พอ ตวั ปัญญาท่ีไปเห็นไตรลกั ษณ์ท่ี ถูกตอ้ งแตต่ อ้ งแยกใหไ้ ด้ ฝึกสมาธิแลว้ แต่จริตคนดว้ ยสมถะเป็นพ้ืนฐานถา้ ไมต่ ิดอาศยั ความสงบตรงน้นั ท่ี ไมล่ ึกเกินไป ถา้ มีสติอยู่ ใชพ้ ิจารณาไตรลกั ษณ์เป็นวปิ ัสสนาไดอ้ ยทู่ ่ีเลือกรูปแบบไหนที่จะปฏิบตั ิดว้ ย ๒๐.๓) การเข้าถึงปัญญาทางพระพุทธศาสนา การปริยตั ิและการปฏิบตั ิตอ้ งควบคู่กนั ไป ตอ้ งมี ความรู้เพราะอาจารยไ์ ม่ไดอ้ ธิบายไดห้ มด ขาดอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง จะทาให้ชา้ ปัญญาพระพุทธศาสนา ๓ อยา่ ง ๑) สุตมยปัญญา การฟัง ไมไ่ ดค้ วามรู้แจง้ รู้จกั ฟังการอา่ น จินตามยปัญญา การคิดพิจารณาไตร่ตรอง ภาวนามยปัญญา เกิดข้ึนจากการลงมือทาหากมีการบญั ญตั ิและปฏิบตั ิไปควบคู่กนั จะเห็นผลไว การเจริญ สติปัฏฐาน ๔ เอารูปแบบของหลวงพอ่ จรัญ เทคนิค คือ เอาปัจจุบันเกดิ ท่กี ายหรือท่ีใจอะไร แลว้ แต่ไม่วา่ ทางไหนเกิดข้ึน เอาทางน้นั เป็ นปัจจุบนั การใช้คาบริกรรม พุทโธ ยุบหนอ พองหนอ พอถึงกาหนด ทิง้
๑๙๗ หมายถึงทงิ้ บริกรรม จะทงิ้ ลงเองโดยไม่ได้ต้ังใจ ตอ้ งอาศยั การกาหนดอยา่ งต่อเนื่อง คาบริกรรมจึงจะหาย ไดเ้ อง กาหนดจนกว่าจะไม่กาหนด ปัญญารู้แจ้งปัญญาเห็นความเป็ นจริง โดยอาศยั กาลงั สติและกาลงั สมาธิที่สะสมกนั มา ๒๐.๔) กาย ๑)อสั สาสะ ปัสสาสะ ลมหายใจเขา้ ออก ๒) อริยาบถ ๔ การยนื การเดิน การนง่ั มี สติระลึกรู้ ๓) อริยบทย่อยการเคล่ือนไหวดูกิจกรรม ๔) ดูท่าทางปฏิกูลของร่างกาย การนง่ั สมาธิแลว้ ท่องยาน เกิดการฟุ้ง หลวงพอ่ จรัญ บอกวา่ อยา่ ไปอ่านอยา่ งเดียวอยา่ ไปท่องเยอะหมายถึงยานไม่ตอ้ งไป สน จะกลายเป็ นวิปัสสนึก เพราะจิต รู้จิตคนเขา้ ขา้ งตวั เองถา้ เขา้ คุณสมบตั ิจริง ๆ จะตรวจสอบไดท้ ้งั ปัจจุบนั ก่อนหน้าและอนาคต หากอยากกา้ วหน้าทาง ตอ้ งไม่ยึดติด ๑)อย่าไปคิดว่าได้ญาณไหน ๒) ปฏิบตั ิกาหนดปัจจุบนั ใหไ้ ดแ้ ละตอ่ เน่ืองอยา่ มวั แต่ยดึ ติดปฏิบตั ิอยา่ งต่อเน่ือง ๒๐.๕) สติปัฏฐาน ๔ ทางสายเอกทางตรง วปิ ัสสนาการกาหนดดับ รู้เท่าทนั อารมณ์ สมถะ คือ ความสงบ ไปไดแ้ ต่มีทุกข์ สุข สงบ จิตมีอภิญญาไปติดความพอใจไม่พอใจ การบริกรรมกาหนดเป็ นตวั ช่วยใหก้ าลงั สติสมั ปชญั ญะมีกาลงั ไดง้ ่ายกาลงั เกิดข้ึนไดง้ ่าย การไปนิพพานตอ้ งอาศยั กายแต่ถา้ ผา่ นเร่ือง ของกาย รูป เป็ นเรื่องของจิตจะเกิดชดั ข้ึนพอผา่ น รู้ได้ จะเริ่มวางปมทางใจจะชดั ข้ึนเยอะ บางคนนงั่ ไม่ ค่อยปวด เป็ นเรื่องของอารมณ์ และเยอะข้ึนถอนรูปถอนมาการเกิดการดบั กบั การเห็นที่เป็ นตวั สักยะทิฐิ เขา้ ใจฝึกปฏิบตั ิใหต้ ่อเน่ืองรู้จกั เห็นไปรับความเป็นจริงอริยสจั ๔ ตามมา รูปแบบ ๒๑ สืบถอดคาสอนครูบาอาจารย์ ลมหายใจภาวนาพุทโธ พระครูสิทธิจิตติมงคล (จิตติพงษ์ ฉนฺทโก) (เจา้ อาวาสวดั ป่ าวิเวกธรรม) วดั ป่ าวเิ วกธรรม สัมภาษณ์เม่ือ วนั ที่ ๒๗ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๒ ๒๑ .๑) หลกั บริกรรมพุทโธ ของหลวงป่ ูม่ันทาให้จิตสงบภายใน คือ การภาวนาพุทโธ หายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” แต่ในทางพทุ ธศาสนาตอ้ งสมถะคือนง่ั ภาวนา และวปิ ัสสนาคือนงั่ ภาวนาเห็นธรรม อนั แทจ้ ริงของมนุษยเ์ พือ่ จะไดห้ ลุดพน้ ๒ แนวทางคือสมถะกบั วปิ ัสสนา แต่หลวงป่ ูบุญเพง็ คือเริ่มตน้ จาก สมถะ คือให้มีสติฝึ กสติให้แข็งแรง ผใู้ ดที่มีสติแขง็ แรงสามารถท่ีจะทาใหเ้ ป็ น พื้นฐานของทุกอย่างคือการ ภาวนาพทุ โธ เพื่อใช้ให้จิตสงบ เพราะจิตสงบจะมองเห็นความจริงของชีวติ และวปิ ัสสนาในการเทศนา จะ เนน้ ใหน้ าเขา้ มาภายในต้งั ดวงจิตใหม้ นั่ ให้จิตสงบ จะข้ึนลาดบั ข้ึนไปเรื่อย ๆ และจะมุ่งสู่วปิ ัสสนา คือ การ พิจารณาความจริงเห็นความจริงของชีวติ เพ่ือหลุดพน้ คือวปิ ัสสนา เพื่อให้หลุดพน้ แต่สมถะ คือ เพ่ือความ สงบ ความหลุดพน้ คือ เขา้ สู่นิพพาน
๑๙๘ ๒๑ .๒) แก่นของการปฏิบตั ิที่พระพุทธเจา้ ตรัสไว้ คือ พระธรรมและพระวินยั ยึดพระไตรปิ ฎก พระพุทธองคต์ รัสวา่ ต่อไปพระธรรมและพระวินยั เป็ นส่ิงแทนพระองคย์ ึดตามหลกั น้นั เพราะถา้ ไปยึดครู บาอาจารยม์ ากไป จะเพ้ียนออกไป ฉะน้นั ไตรปิ ฎกสาคัญ เพราะเป็ นสิ่งดงั เดิมท่ีมีมาแต่พุทธองคต์ รัสไว้ ลงมือปฏิบตั ิตอ้ งดูวา่ แตล่ ะข้นั แตล่ ะองคม์ ีการปฏิบตั ิอยา่ งไรเพื่ออะไรบางสานกั ทาเพอื่ ผลประโยชน์หลวง ป่ ูมนั่ ยดึ การภาวนาพุทโธมีการออกธุดงค์และพกั ค่าไหนนอนที่นน่ั เอาชีวิตแลกด้วยธรรมะเพื่อการหลุด พ้น ๒๑ .๓) ความรู้ทางพระพุทธศาสนา ๓ ระดบั คือ สุตมยปัญญา เกิดจากการฟังไป จินตามยปัญญา ปัญญา จินตามยปัญญาปัญญาเกิดจากการคิดการทดลองการตรึกตรอง ๓ ภาวนามยปัญญาปัญญาเกิดจาก การภาวนา การปฏิบัตไิ ม่จาเป็ นต้องมคี รูบาอาจารย์และการปฏิบัติขึน้ อยู่กบั ตัว ครูบาอาจารย์เป็ นเพยี งแค่ ผ้ชู ี้นาทางพระพุทธเจ้า เช่นกนั เป็ นผ้ชู ี้ทาง จะปฏิบตั ิตามหรือไม่ขนึ้ อย่กู บั ตวั ๒๑ .๔) สีลพั พตปรามาส หมายถึงความยึดมน่ั ถือมนั่ อยู่ในสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิหรือศีลพรตภายนอก พระพุทธศาสนา หรือความยึดมน่ั ถือมนั่ ในการบาเพ็ญเพียงกายและวาจาตามหลกั ธรรมพระพุทธศาสนา (ศีล) ของตนวา่ เป็นส่ิงที่ประเสริฐ ซ่ึงเป็นเหตุใหล้ ะเลยการปฏิบตั ิทางดา้ นจิตใจหรือการใชป้ ัญญาเพ่ือหลุด พน้ แต่ไม่ควรไปยืนให้เหมือนตรงกนั เพราะไม่มีผิดไม่มีถูกจริตของคน ต่างกนั จะใหเ้ หมือนครูบาอาจารย์ เลย ไม่ได้เส้นทางไหนเหมาะสมกบั ตวั หรือบุญบารมีท่ีสร้างท่ีสะสมไวต้ ่างกนั ส่ิงสาคญั คือจิตต้งั มนั่ มี ศรัทธาและในศรัทธา ตอ้ งมีปัญญาดว้ ยคืออินทรีย์ ๕ ถา้ มีแต่ศรัทธาอย่างเดียวจะเขา้ สู่อาการหลง แต่ใน หลกั คาสอนของพระพุทธศาสนาที่แทจ้ ริงคือสอนใหค้ นหลุดพน้ นน่ั คือนิพพานศึกษาเพื่อให้รู้วา่ แนวทาง เป็ นอยา่ งไร อนิ ทรีย์ ๕ คือ ๑)สัทธินทรีย์ คือ ความศรัทธาโพธิปักขิยธรรม ๒)วิริยนิ ทรีย์ คือ ความเพียร สัมมปั ปธาน ๔ ๓)สตินทรีย์ คือ ความระลึกได้ ในสติปัฏฐาน ๔)สมาธินทรีย์ คือ ความต้งั มน่ั ในฌาน ๔ ๕) ปัญญินทรีย์ คือ ความเขา้ ใจ ในอริยสัจ รูปแบบ ๒๒ “สติ” เป็ นความจาเป็ นในทุกสถานการณ์ การเจริญสติ คือใช้ในชีวติ ประจาวนั ต้งั แต่ลืมตาถงึ หลบั ตา ตวั ไหนเด่นชัดทสี่ ุดเอาตวั น้ันมาเป็ นตวั ปฏิบัติปัจจุบนั พระครูภาวนาโพธิคุณ (สมชาย กนฺตสีโล) ผศ.ดร., มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแก่น ผอู้ านวยการหลกั สูตรพทุ ธศาสตร ดุษฎีบณั ฑิต (ปรัชญา) สัมภาษณ์เม่ือ วนั พุธ ๒๗ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๒
๑๙๙ ๒๒.๑) มหาสติปัฏฐาน๔ คาวา่ “สติ” เป็ นความจาเป็ นในทุกสถานการณ์ ทุกกิจกรรมต้งั แต่เริ่ม พ้ืนฐานการใชช้ ีวิตประจาวนั ในทุกข์ ทุกกรณีสติเป็ นสิ่งท่ีจาเป็ นถึงข้นั สูงสุดคือ การพน้ ทุกข์ “สติ” เป็ น ลกั ษณะพิเศษของมนุษยท์ ี่ตอ้ งฝึกและพฒั นาเพราะวา่ ถา้ ไม่มีการพฒั นาจะไม่เจริญงอกงามไมม่ ีความมนั่ คง และไม่มุ่งไปสู่เป้าหมายสูงสุดได้ สติ แยกอยู่ คือ สัมมาสติ รู้ตวั ขณะที่ทา รู้ตวั น้ีอยใู่ นพ้ืนฐานของวชิ า คือ ความรู้แต่รู้ไม่จริง เช่น เห็นที่ไม่เที่ยงว่าเท่ียง เป็ นสิ่งท่ีเป็ นทุกขว์ ่าเป็ นสุข เห็นส่ิงว่าไม่ใช่ตวั ไม่ใช่ตนวา่ เป็นตวั เป็นตน เห็นสิ่งที่ไมส่ วยไดไ้ งวา่ เป็นสิ่งท่ีสวยงาม ๒๒.๒) “สติ” ในพระพุทธศาสนาเรียกวา่ สัมมาสติ ธรรม คือ ระบบปฏิบตั ิที่ถูกตอ้ ง วิวฒั นาการ ของชีวิตทุกข้นั ตอนไม่มียกเวน้ ข้นั ตอนของวิวฒั นาการของชีวิตท้งั ในวตั ถุและจิตวิญญาณ ท้งั ในส่วนท่ี เก่ียวขอ้ งกบั บุคคลและเร่ืองของสงั คม ท้งั ในเร่ืองการดบั โลกิยะ โลกุตตระ เป็ นธรรมใหญ่ในบรรดาธรรม ท้งั หลาย ความเอกภาพในทางหลากหลาย เอกภาพ คือ สติสูงสุดในพุทธศาสนา คือภาวนาท่ีตอ้ งพน้ ทุกขม์ ี ชีวิตอยา่ ง ต่ืนรู้ แต่วิธีการจะหลากหลาย จะชา้ จะเร็ว จะใกลห้ รือไกล แต่ถา้ มุ่งมน่ั ในการปฏิบตั ิที่ต่อเนื่อง การเขา้ ถึงเป้าหมายมีหลากหลายแต่จุดหมายคืออนั เดียวกนั ครูอาจารยจ์ ะรู้เยอะแตไ่ มไ่ ดส้ อนทุกเรื่องที่รู้แต่ สอนเท่าที่จาเป็นและเป็นสิ่งท่ีตอ้ งเร่งด่วน ๒๒.๓) การเขา้ ถึง การขา้ มพน้ ความทุกข์ คือ อาศยั องคป์ ระกอบเรียกว่า “สติปัฏฐาน ๔” การ พฒั นาสติแบบเป็ นรูปธรรมและนามธรรมส่วนที่เป็ นการส่วนนามธรรมคือเวทนาจิต รูปธรรมนามธรรม อยใู่ นใจเรา ส่ิงท่ีจะเป็ นตวั กระตุน้ คือหลกั การเจริญอาศยั ความแกร่งกลา้ ศรัทธา วริ ิยะสติ สมาธิ ปัญญา พร้อมท่ีจะทุ่มเทการปฏิบตั ิ กระบวนการท้งั หมดเป็ นเพียงแค่ตวั เด่นท่ีจะนาไปสู่เป้าหมายในทุกกรณี ท้งั โลกียะ โลกุตตระ แต่ตวั สติจะเกิดข้ึนตอ้ งอาศยั องคป์ ระกอบ เรียกวา่ ธรรม ตวั อ่ืนมาเป็ นในหลกั ธรรมแต่ ละขอ้ สัมมาสมาธิและสัมมาทิฏฐิ มรรค ๘ อยูใ่ นธรรมานุปัสสนา สัมมาสติ เป็ นธรรมจาปรารถนาในทุก กรณีไม่ตอ้ งไปพูดถึงในรูปแบบเป็ นเพยี งเทคนิคและวธิ ีการ ตามปรารถนาในทุกกรณีไม่มียกเวน้ ต้งั แต่เกิด จนตายต้งั แต่ลืมตาจนถึงหลบั ตาเพราะฉะน้นั ในการเจริญสติ ท่ีบอกว่าตอ้ งหลบั ตา ตอ้ งเขา้ ป่ า เป็ นเพียง เทคนิค แต่ในสติสัมปชัญญะ สติปัฎฐานจริงๆ เช่น ในอิริยาบถ หลักเดินยืนนั่งนอน มีในการใช้ ชีวติ ประจาวนั ตลอดเวลาจะเข้าสู่ อริยบถยอ่ ย คือ การนุ่ง การห่ม การกม้ การเงย การเหลียว การหนั หลงั จาเป็ นเนน้ ของธรรมชาติอยา่ ไปมองวา่ ตอ้ งเป็ นรูปแบบตอ้ งไปอยตู่ รงน้นั ตลอดเวลา เรียกวา่ ธรรม เฉพาะ อิริยาบถ แต่พระพุทธศาสนาความเป็ นธรรมสากลแล้ว เป็ นมนุษยส์ ากลและเป็ นเรื่องธรรมชาติปกติ ธรรมดาให้เรามีสติ สติดูแลทุกอิริยาบถ ใช้สติจะทาอะไรแลว้ แต่จะไม่มีความผิดพลาดบกพร่อง แมจ้ ะ ผิดพลาดบกพร่อง จะนอ้ ยท่ีสุดในเวลาท่ีอาจจะถือหางไปสามารถดึงสติกลบั มาจะทาให้ความผิดพลาด กลบั มาสู่ปกติ การเจริญสติ คือใช้ในชีวติ ประจาวนั ต้ังแต่ลืมตาถึงหลบั ตา ตัวไหนเด่นชัดทส่ี ุดเอาตัวน้ันมา เป็ นตัวปฏิบัตปิ ัจจุบัน บรรเทาเวทนาเก่าเพ่อื ไม่ใหเ้ กิดเวทนาใหม่ จะปฏิบตั ิแบบไหนไดข้ อใหไ้ ปดบั ทุกข์ ๒๒.๔) สติ คือ ความว่องไว ปัญญา คือ สิ่งที่ส่ังสมไว้ สัมปชัญญะ คือ สมาธิและความม่ันคง ปัญญาขึน้ อยู่กบั สถานการณ์ในการทางานของธรรมะ ขณะตัวไหนเด่น คือ สติเกดิ ขึน้ ได้ ต้องอาศัยสมาธิ สมาธิจะเกิดข้ึนตอ้ งอาศยั สติ สัมปชญั ญะจะดีไดต้ อ้ ง อาศยั สมาธิและสติจะไม่เกิดกบั ผทู้ ่ีไม่มีสมาธิ สมาธิ จะไม่เกิดกบั ผูไ้ ม่มีศีล ศีลและสมาธิจะไม่เกิดกบั ผูท้ ่ีไม่มีปัญญา อินทรีย์ ๕ ไดแ้ ก่ สัทธินทรีย์ คือ ความ
๒๐๐ ศรัทธา วิริยทรีย์ คือ ความเพียร สตินทรีย์ คือ ความระลึก สามธินทรีย์ คือ ความต้งั มนั่ ปัญญินทรีย์ คือ ความเขา้ ใจ อุเบกขา การไม่ไปบวกลบกบั มองท้งั สุขและทุกขค์ วามสุขที่เกิดข้ึนตอ้ งมองให้เขา้ ใจวา่ สุขมนั ไมเ่ ที่ยง อยา่ ไปเพลิดเพลินยนิ ดีมีการเกิดไดต้ อ้ งมีการรับได้ เช่นกนั ไม่ไปพอใจเพลิดเพลินในสุข ไม่ไปจม ปลกั กบั ทุกข์ ไม่พอใจเพลิดเพลินประมาทกบั สุข ใหว้ างวา่ สุข ไม่แน่ทุกข์ ไม่แน่ มนั กลายเป็ นจิตสุดทา้ ย ของการเจริญสติปัฏฐานในหมวดของกายจะไปจบที่สุข เอกขุตาอุเบกขา คือ ฌาน ๔ จิตที่เป็ นหน่ึงกบั อารมณ์ทปี่ รากฏอยู่ สุขและทกุ ข์ คือไมไ่ กลเป็นเจา้ ของท้งั ความสุขและความทุกขไ์ ม่เอาส่ิงน้นั มาเป็ นส่วน หน่ึงของตวั เราถา้ เราตอ้ งการปรารถนาส่ิงใดโดยการบวงสรวงออ้ นวอนแลว้ มนั สาเร็จโลกน้ีคงจะไม่มีคน ทุกขย์ ากลาบาก ๒๒.๕) ปัญญาพระพุทธศาสนา ๓ อยา่ ง สุตตะ จิตตะ ภาวนา ถา้ เข้าใจญาณ ๑๖ อยา่ งตอ้ งทาตาม ข้นั ตอนอยา่ งไร แต่ตอ้ งไม่เร่งรัด สังขารทุกขา คือ การปรุงแต่งเป็ นทุกขอ์ ยา่ งยงิ่ เพราะยดึ เพราะยาก ทุกข์ ยาก เพราะพลอย ทุกขน์ อ้ ย เพราะหลุด ไม่หลงอดีตไม่คิดอนาคตให้นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนในปัจจุบนั น้ี ท้งั หลกั วิปัสสนา การเจริญสติ ไม่ตอ้ งไปตามสัญญาเก่าคือวิปัสสนึก มนั เป็ นการปรุงแต่งสร้างความรู้สึก หรือสร้างภาพมายาข้ึนทาดว้ ยความอยากดว้ ยความตอ้ งการมนั เกิดข้ึนบางทีหลงสภาวะตอ้ งค่อยๆส่ังสมท่ี เรียกวา่ บารมี ให้เกิดความสมบูรณ์ตอ้ งใชเ้ วลาจนกว่าจะเก่งกลา้ แข็งแรงจนเกิดทา้ ย เรียกวา่ สัมมันตระ คือ ตอ่ จากสมั มาทิฏฐิใน อริยมรรค ๘ เป็นวธิ ีปฏิบตั ิแลว้ จะได้ สัมมาญาณะ ๒๒.๖) สัญญาณ คือความรู้ทีเ่ ห็นส่ิงท้ังหลายในความเป็ นจริง มิจฉายานะ คือ รู้ผิด วิปลาส เป็ น ความไม่เขา้ ใจความเป็นจริงของรูปนาม อานาปานสติยอ่ มทาใหม้ ีผลใหญ่อานิสงส์ใหญ่ อานาปานสติเป็น บุคคลทาใหม้ าเจริญใหม้ ากแลว้ ยอ่ มทาใหส้ ติปัฏฐาน สมบูรณ์ สติปัฏฐาน อนั บุคคลทาใหม้ ากและเจริญให้ มากแลว้ ยอ่ มทาให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ โพชฌงค์ คือ วิมุติ ทาเพื่อการตรัสรู้ อนั บุคคลทาใหม้ ากเจริญให้ มากยอ่ มทาใหเ้ กิดทา ๒ อยา่ งคือวิชา และวิมุต วชิ า วมิ ุต คือ สัมมาญาณ สมมุติที่เป็ นองคข์ องอริยมรรค ๘ คือหนทาง เป็นเหตุ ๒๒.๗) วธิ ีการศึกษาธรรมะ เริ่มจาก ๑)การศึกษาตารา จากครูบาอาจารยท์ ้งั หลาย ไม่ยตุ ิหนงั สือ เล่มใดเล่มหน่ึง ๒) การฟัง ตรงกบั จริตแลว้ บา้ งไม่ตรงกบั จริตแลว้ บา้ ง ฟังเพื่อเอาความรู้ความปัญญา ๓ การฝึ กฝน ไดก้ ระบวนการ สุตตะ จิตตะ และภาวนา พยายามรวมรวมศึกษาให้ทว่ั ๆ ประมวลให้เห็นว่า ธรรมะทุกข้อไม่มีอะไรท่ขี ัดแย้งกนั ฝึ กมองให้เห็นความสาคญั ของธรรมะ ในทุกระบบต้งั แต่วิธีการทามา หากิน ตอ้ งมีสติ แสวงหาส่ิงเหล่าน้ีไดแ้ ลว้ ตอ้ งรักษาตอ้ งรู้วา่ สิ่งเหล่าน้ีจาเป็ นต่อตวั เราอย่างไร เม่ือไหร่ ตามที่เห็นความสาคญั ของธรรมะมนั ทาใหก้ ารศึกษาหรือการปฏิบตั ิในทางไปในทางทิศทางที่ดีท้งั ระดบั รูปแบบท่ี ๒๓ สติสาคญั เป็ นส่ิงทรี่ ะลกึ ได้ปัญญาเป็ นส่ิงทร่ี ู้ทกุ สิ่ง ธรรมะเป็ นของละเอียด เข้าถึงปัญญาจิตต้องไม่หยาบ
๒๐๑ พระอาจารย์หลอ นาถกโร (วดั ถา้ อภยั ดารงธรรม) บา้ นทา่ วดั ตาบลปทุมวาปี อาเภอส่องดาว จงั หวดั สกลนคร วนั ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๒ (พระเถระศิษยส์ ายครูอาจารยพ์ ระ อาจารยม์ นั่ ภูริทตั โต จากหนงั สือ วรรณกรรมเรื่อง “พทุ โธ ผรู้ ู้ ผตู้ ่ืน ผเู้ บิก บาน” หนา้ ๒๕๓) ๒๓.๑) สติปัฏฐาน ใชอ้ ะไรได้ ใช้พุทโธ ใช้ยุบหนอพองหนอ มนั เป็ นหลกั การสาหรับยดึ ติดของ เราต่างหาก สาคญั อยูท่ ี่ สติ สติเป็ นสิ่งท่ีระลึกไดป้ ัญญาเป็ นสิ่งท่ีรู้ทุกส่ิงทุกอยา่ ง รู้อดีต รู้ปัจจุบนั รู้อนาคต จิตเป็นผทู้ างาน สติเป็นพีเ่ ล้ียงของจิต ปัญญาเป็นพ่ีเล้ียงของจิต เช่นกนั ๒๓.๒) จิตเราธรรมดาฝึกยาก จิตเป็นนามธรรมตอ้ งอาศยั สติปัญญาการปฏิบตั ิใหต้ ่อเน่ืองกนั เวลา จะทาจิตใจให้สงบต้องอาศัยพลงั สตอิ าศัยพลงั ปัญญาทาให้ต่อเน่ือง ทาใหจ้ ิตของเรามีพลงั จิตมีพลงั ยดึ ติด กบั พุทโธได้ จิตตะมีหนา้ ที่คิดปรุงแตง่ อยตู่ ลอดเวลาต้งั แตต่ น้ จิปาถะจนกวา่ เขา้ นอนจนไมส่ ามารถวา่ ตวั เอง คิดอะไรได้ มนุษย์เป็ นผูม้ ีกิเลส ดังน้ัน ต้องอาศยั สติเป็ นส่ิงท่ีระลึกได้ สติเป็ นส่ิงท่ีรับทราบรับรู้อยู่ ตลอดเวลา วา่ จิตของเราไปคิดอะไรอยูต่ รงน้นั อยา่ งไร คิดดีไหม ชว่ั ไหม เม่ือสติรับรู้ตามทนั จิต ไมก่ ลา้ คิด ในสิ่งที่ไม่ดี ให้จิตทางานอยูก่ บั พุทโธทางานให้น่ิงเป็ นสมาธิตอ้ งอาศยั สติเป็ นผูด้ ูแลจิต จิต สติ ปัญญา ทางานร่วมกนั ต่างมีพลงั นามารวมกนั สามารถนาไปสู่ความสาเร็จได้ ตอ้ งอาศยั ๓ อยา่ งน้ี ๒๓.๓) ปัญญาภาวนาปัญญา ทางศาสนาปัญญาเกิดจากภาวนา จิตเป็ นสมาธิ จิตใจ คือความสวา่ ง ไสว ในเมื่อใจมีความสวา่ งไสว เกิดปัญญาแล้วเป็ นสติสาคัญที่สุด สติเป็ นการเริ่มตน้ เพราะสติเป็ นความ มนั่ คงและประคบั ประคองจิตของเราได้ ในเม่ือจิตประคบั ประคองเราได้ จิต จะเป็ นสมาธิ ในเมื่อจิตเป็ น สมาธิ จิต จะสวา่ งไสว ในเม่ือจิตสวา่ งไสวปัญญา เกิดข้ึน ในเมื่อปัญญาเกิดข้ึน สามารถมองเห็นอะไรไดว้ า่ ถูกหรือผดิ ชวั่ หรือดีเส้นทางที่จะเดินไปขา้ งหนา้ จะรู้จกั ทางเดิน ๒๓.๔) การที่ทาใหจ้ ิตสมาธิทาไดห้ ลายอยา่ ง การเดินจงกรม การนง่ั สมาธิ หรือรวมท้งั การทางาน ในเมื่อกายเราทางานแต่จิตจะเป็ นสมาธิ ได้ จิตตะมายะปัญญาจิตเป็ นสมาธิมีความมนั่ คง แมว้ ่ากายจะ ทางานอยู่แต่วา่ จิตมนั จะทางานของมนั ต่างหาก จีบกายสามารถแยกการทางานได้ พระพุทธเจา้ มีความ มนั่ คงทางดา้ นสติและปัญญา จิตของผทู้ ่ีไดร้ ับการอบรมจะมนั่ คง แน่นหนกั ๒๓.๕) สายหลวงป่ ูมน่ั มีวธิ ีการสืบเสาะคือ เริ่มจากตวั เรา หากเขาอยากเขา้ ใจ ใหเ้ ขามาสัมผสั เอง ถึงบอก ไมเ่ ขา้ ใจอยดู่ ี ถา้ เขาไมท่ า จะไมไ่ ดล้ ิ้มรสของธรรมะทาอะไร สนใจ ตอ้ งชกั ชวนให้เขาไดย้ ินไดฟ้ ัง ธรรมะเป็ นของละเอยี ด จิตต้องไม่หยาบ ๒๓.๖) ท่านพระอาจารยบ์ อกวา่ ให้กลบั ไปดูแบบสอบถามที่ตอบไปแลว้ ดงั น้นั ผูว้ ิจยั จึงไดน้ า สาระคาตอบทา่ นมาเรียบเรียง ดงั ต่อไปน้ี ๑)แนะนาให้พจิ ารณา เห็นซากศพไปก่อนลมหายใจแล้วน้อมเข้า
๒๐๒ มาหาตัวเองจนสามารถเห็นประจกั ษค์ วามจริงดว้ ยตนเอง เม่ือพน้ จึงหมดความยดึ ถือในร่างกาย ๒)ควรฝึ ก เขา้ ถึงดว้ ยวิธีการปฏิบตั ิมากกวา่ แนวคิดทฤษฎี สมกบั คาวา่ ภาวนามยปัญญารู้เท่าตามความเป็ นจริงของ สังขารท้งั ปวง โดยเริ่มตน้ มาจากคมั ภีร์จึงสมกบั คาวา่ ปริยตั ิ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ท้งั สามอยา่ งน้ีแยกกบั ไม่ออก ๓)จะตอ้ งอาศยั สัมโพชฌงค์ ท่ีเกิดข้ึนแลว้ เจริญบริบูรณ์เช่น สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปี ติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ท้งั หมด ลว้ นเป็ นลกั ษณะของปัญญาท้งั น้นั ๔) ท้งั ๔ ฐานมีความสาคญั เช่นเดียวกนั กายเวทนาจิตธรรม ยอ่ มเกาะ กนั เป็ นลูกโซ่ เม่ือธรรมท้งั ๔ สมบูรณ์แลว้ เรียกวา่ ปัญญา เห็นตามความเป็ นจริงท้งั หลาย ทุกอยา่ งความ จริงบอกอยูช่ ดั เจนแต่ออวิชาปิ ดบงั เอาไวไ้ ม่เห็นความจริง เลยพากนั หลง ๕) กายเป็ นฐานที่จิตต้ังเรียกว่า กายหยาบ เม่ือพจิ ารณากายหยาบจนชานาญแล้ว จึงค่อยพจิ ารณากายละเอียด จึงสมกบั คาว่า พจิ ารณากาย ในกาย ๖) จะตอ้ งอาศยั บริกรรมพุทโธ เป็ นตน้ ก่อน เม่ือจิตละเอียดแลว้ พุทโธหายไป จากน้นั อยกู่ บั ตวั ผูร้ ู้ นนั่ คือ ปัญญา น้นั เอง สมกบั คาวา่ ผูร้ ู้ ผตู้ ื่น ผูเ้ บิกบาน ๗)อานาปานสติกาหนดลมหายใจเขา้ ออกน้นั เป็ น บทกรรมฐาน ที่มีความสาคญั ของกรรมฐานหลายอย่างพร้อมกบั ถูกจริตนิสัยคนทวั่ ไป ๘)จิตเป็ นสมาธิ เป็นปัญญาจิตเป็นกาลงั พฒั นาอริยสัจ หยงั่ รู้ในฌานเห็นไตรลกั ษณ์ เกิดความเบื่อหน่าย จิตวา่ งจากทุกสิ่งทุก อยา่ งในโลก ไมย่ ดึ มนั่ ถือมนั่ ๙)สติท่ีฝึกฝนอบรมดีแลว้ ยอ่ มรู้ลกั ษณะอาการต่าง ๆ สุขทุกขเวทนา อุเบกขา เวทนา ยอ่ มเช่ือมโยงระหวา่ งฐานกาย ฐานจิต ฐานธรรม ตามกาลงั สติปัญญาท้งั หมดท่ีเกิดจากการปฏิบตั ิ ธรรมท้งั สิ้น ๑๐)การฝึ กจิตชานาญช่าชองแลว้ ที่เรียกวา่ สมถกรรมฐาน จากน้นั ยกจิตกา้ วสู่วปิ ัสสนากบั กรรมฐานให้เห็นไตรลกั ษณ์ แลว้ ประจกั ษ์ทุกอยา่ ง ปัญญาญาณเกิดข้ึนจะไปปรุงแต่งอะไรอีก ๑๑)กาย เวทนาจิตธรรม เป็ นบาทฐานของปัญญารู้เท่าทนั ทุกอยา่ ง กลายเป็ นอุเบกขาต่อทุกสภาวธรรมคือความเป็น จริงสิ่งท้งั ปวงแลว้ ปล่อยวางไม่ใช่เขาไม่ใช่เรา ธาตุ ๔ ขนั ธ์ ๕ อาศยั เพียงชวั่ คราว ๑๒)มหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นเคร่ืองมือทนั สมยั อย่างสาคญั พระบูรพาจารยเ์ จา้ ท้งั หลายสมยั ก่อนลว้ นแต่นาเอาอาวุธเหล่าน้ีแหละ ประหตั ประหารกิเลสให้สิ้นซาก ๑๓) สติปัญญาเป็ นพี่เล้ียงของจิตอยา่ งสาคญั เม่ือฝึกจนจิตมีความแก่กลา้ แลว้ สามารถยกจิตข้ึนสู่วปิ ัสสนาไดเ้ ป็ นอยา่ งดี ธรรมเหล่าน้ีเป็ นเส้นทางของการฝึ กจิตท้งั สิ้น ๑๔)จิต สติ ปัญญา เมื่อทางานร่วมกนั สามคั คีกนั ดีแลว้ ยอ่ มนาพาใหจ้ ิตข้ึนสู่ความหลุดพน้ อยา่ งแน่นอน ท้งั ๓ อยา่ งถา้ ขาดอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงแลว้ ไม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้ คือ พระนิพพาน ๑๕)คนที่ถึงจุดหมาย ปลายทางได้ สัมมาทิฏฐิ เป็นพ้ืนฐานอยา่ งสาคญั โดยเร่ิมตน้ ถา้ ขาดธรรมขอ้ น้ีแลว้ ไปไหนไม่ได้ มีแต่จบกบั จม หรือเรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ ๑๖)คาวา่ ไตรลกั ษณ์ คือ ความเป็ นอนิจจงั ความเป็ นทุกขงั ความเป็ นอนตั ตา ความไม่ใช่ตวั เราตวั เขานนั่ เอง ธาตุ ๔ ขนั ธ์ ๕ รวมตวั เรียกวา่ มนุษย์ และสตั วท์ ้งั ปวง เมื่อถึงเวลาแตกสลาย ตา่ งคนตา่ งไป ๑๗) ปัญญาเกิดเหนือจิตเหนือกาย เหนือการรับรู้ทุกอยา่ ง รู้อดีต รู้ปัจจุบนั รู้อนาคต รู้แลว้ ไม่ ยดึ รู้แลว้ ไม่ถือ รู้แลว้ ปล่อยวางนนั่ แล คือ พระนิพพาน
๒๐๓ รูปแบบท่ี ๒๔ เทคนิคการฝึ ก คือการฝึ กปฏิบตั ิ ทเี่ ป็ นกจิ วตั รประจาวนั ทกุ ๆ วนั ไมร่ ะบุนาม วดั ธาตุฝ่ นุ บา้ นคาเจริญ ตาบลคอ้ ใต้ อาเภอสวา่ งดินแดน จงั หวดั สกลนคร สัมภาษณ์ เมื่อ วนั ท่ี ๒ มีนาคม ๒๕๖๒ ๒๔.๑) การฝึ กสติต้งั แต่ การยืน การเดิน การนง่ั การนอน เหมือนกบั การกวาดใบไม้ ถา้ ไม่สะอาด กวาดไปเรื่อย ๆ เหมือนกบั จิตใจเรา จะสะอาดไปดว้ ย เป็ นไปตามข้นั พ้ืนฐานเวลาเรียนตอ้ งเรียนจากช้นั ประถม และไล่ลาดบั ไปเร่ือย ๆ จนถึงจบปริญญาตรีปริญญาโทและปริญญาเอก ๒๔.๒) ศีลสาคัญต่อสติและสมาธิแต่ส่ิงทุกอยา่ งไม่ใช่แค่ศีล ๕ แต่ถา้ ไม่มีศีล ๕ เรา ไปไม่ถึง ๘ หรือ ๑๐ แลว้ ไมม่ ีศีล คือ การรักษากายวาจาใจใหเ้ รียบร้อยตามคาสั่งสอนของพระพุทธเจา้ ศีล ๕ คือ หา้ ม ฆ่าสัตว์ ห้ามลกั ทรัพย์ เป็ นขอ้ ยกเวน้ เป็ นระเบียบความต้งั ใจมน่ั และวา่ สมาธิต้งั ใจทาส่ิงต่าง ๆ ต้งั ใจกว่า ต้งั ใจถูกศาลาต้งั ใจทาความสะอาดลานวดั ๒๔.๓) สมาธิตอ้ งสร้างศรัทธา สร้างวิริยะ ความพยายาม ความอดทนท้งั ๓ ตวั น้ีเป็ นตวั แม่ทพั ชนะแลว้ ถา้ ไมม่ ีแม่ทพั จะไปสู้รบกบั พวกกิเลส ไมไ่ ดศ้ รัทธาในความดี ศรัทธาในการปฏิบตั ิของตนเองแลว้ พยายามให้เกิดข้ึนกบั จิตใจและมีความอดทนต่ออุปสรรคคือความโลภความโกรธและความหลงโลก กระทาที่มนั เกิดข้ึนถา้ มี ๓ ตวั น้ี มีแม่ทพั สามเหล่าทพั แลว้ ๒๔.๔)วธิ ีการฝึ กการฝึ กปฏิบัตติ ามครูอาจารย์ ต่ืนเชา้ มาดูท่ีนอนวา่ ดูสะอาดสะอา้ นเป็ นระเบียบ เรียบร้อยหรือเปล่า ดูการอยกู่ ารกินถูกตอ้ งเหมาะสม ที่อยูท่ ่ีอาศยั สะอาด หรือเปล่า และการรักษาความ สะอาดรักษาร่างกายใหส้ มบูรณ์ ไม่ใหเ้ กิดโรคภยั ไขเ้ จบ็ มีความสมบูรณ์ในการปฏิบตั ิการฝึกสมาธิเป็ นหลกั เพ่ือจะพกั ผอ่ นจิตใจ การเดินจงกรมนงั่ ภาวนา คือไม่ให้ คิดฟุ้งซ่าน พิจารณาทางโลกโรคพิจารณาทาง ธรรมพจิ ารณาสิ่งทเ่ี กดิ ขึน้ เพราะ จิตใจทางาน เหน่ือยเหมือนกบั ร่างกายเวลาทางานหนกั มาก ๆ เหมือนกนั พกั เพือ่ ใหจ้ ิตใจเข้มแขง็ แต่จิตใจจะสงบหรือไมส่ งบ ข้ึนอยกู่ บั ตวั เราและบุญวาสนาน้นั ดว้ ย ๒๔.๕) เทคนิคการฝึ ก คือการฝึ กปฏิบัติท่ีเป็ นกิจวตั รประจาวันทุก ๆ วัน ทาเหมือนเดิมทาเวลา เดิม จะเป็ นตวั ฝึ กสมาธิ คือการทรมานของเราดว้ ย สมมุติเราข้ีเกียจพอถึงเวลาเรา ไม่ทาขอพกั อีกสักนิด เป็ นไปตามเกรดของเราแต่ถา้ ถึงเวลาแลว้ เราทามนั ฝึ กสมาธิของเราได้ฝึ กนิสัยของเราได้ฝึ กให้สงบจาก ความคดิ ไม่ดี แปลวา่ สงบแลว้ ถา้ สงบน่ิง อีกข้นั หน่ึงจิตใจ จะสะสมความคิดตา่ ง ๆ จากชีวติ ประสบการณ์ มาเก็บไว้ในจิตใจ จนถึงช่วงท่ีฝึ กปฏิบตั ิ จะมาฝึ กทนั ทีให้สงบเลยไม่ได้ เพราะจิตใจสะสมส่ิงต่าง ๆ มา ต้งั แต่เกิดจนเติบโต เหมือนการคา้ ขายระหวา่ งทา เพื่อให้ไดก้ าไรเป็ นเงินลา้ นเปิ ดกิจการแลว้ ทาเพียงแค่ ๑ ปี ๒ ปี แลว้ ไดเ้ งินลา้ นเป็ นไปไม่ได้ การภาวนาการทาความดีเช่นกนั ต้องใช้เวลาความดียิ่งมากกวา่ วตั ถุ ภายนอกยง่ิ หายากกวา่ ตอ้ งเพิม่ ความพยายามเขา้ ไปอีก
๒๐๔ ๒๔.๖) ปัญญาจากการภาวนาปัญญา แปลว่า รอบรู้ในส่ิงท่ีเกิดขึ้น ปัญญาคือรอบรู้ในสังขาร สังขารคือสังขารปรุงแต่งขึน้ ร่างกายท่ีปรุงแต่งขนึ้ มาถ้าเรารู้ เกดิ ปัญญา ๒๔.๗)ปัญญาทางศาสนา คือ ธรรมชาติท่ีเกิดข้ึนอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา เปรียบเทียบกบั เราถา้ ยดึ ถือ มนั เป็ นทุกสิ่งท่ีเกิดข้ึนในความโลภ ความโกรธ ความหลง และท่ีเกิดข้ึนเกิดข้ึนกบั ใจ เราสกดั ก้นั ให้ไม่ เกิดยากเหมือนกบั การเก็บเงินเมื่อเราไดเ้ งินสลึงหน่ึงมาเรา ไม่ไดด้ ีใจเหมือนไดม้ าเฉยๆ เหมือนกบั ปัญญา เราไดเ้ ล็กไดน้ อ้ ย ไม่สนใจไมใ่ ส่ใจถา้ เราไดเ้ งิน ๑๐๐ บาทเรา บาทเราไดไ้ ม่ บาทเรา ไดไ้ ม่ไดเ้ กิดความปิ ติ รู้สึกเฉยๆ แต่ถา้ เราไดเ้ งินหมื่นหรือเงินแสนความภูมิใจมนั เกิดความสุขความปปี ติ เกิดเหมือนกบั ปัญญา เรา ไดท้ ุกวนั แต่ว่ามนั ได้น้อยไม่สร้างความศรัทธาความปี ติสุขให้เราตอ้ งสะสมไปเรื่อยๆ เราตอ้ งสร้าง ความปี ติความสุขในใจใหเ้ กิดกบั เราถึงจะพอใจ รูปแบบ ๒๕ มสี ติตลอดต้องภาวนาพทุ โธตลอด ฝึ กบ่อยๆจะเป็ นมหาสติ สติ สมาธิ ปัญญา พระครูพชั รปัญญาพสิ ุทธ์ิ วดั ป่ าสุทธาวาส บา้ นคาสะอาด ตาบลธาตุเชิงชุม อาเภอเมือง จงั หวดั สกลนคร สมั ภาษณ์ ณ วนั ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๒ ๒๕.๑)สมยั ท่ีหลวงป่ ูเสาร์มาพกั อยู่ที่นี่ที่พกั มุงหญา้ คาฝาผนงั มุงดว้ ยใบตองและเอาไมไ้ ผม่ าสับ เป็ นตาบ และเอาไมไ้ ผบ่ า้ นมาทาเป็ นกระโถน ถา้ พระเณรเดินไม่สารวมไม่ต้งั สติทากระทงคว่าหลวงป่ ู เสาร์บอกวา่ นนั่ ไง ไม่มีสติเดินไปมาต้องมีสติตลอดต้องภาวนาพุทโธตลอด ตอ้ งฝึ กสติจากสติธรรมดาให้ เป็ นมหาสติฯเวลาบิณฑบาตไม่ใหค้ ุยกนั ให้ภาวนากาหนดจิตไปตลอดลา้ งบาตรหรือขดั บาทไม่ให้คุยกนั กลางวนั ฉนั ทเ์ สร็จ ไม่ใหไ้ ปหาไปถามญาติโยมคนน้นั คนน้ีเพราะจะทาใหเ้ ราเสียสติทาจิตอะไรเสร็จ รีบ มาเดินจงกรมแทนที่จิตผอ่ งใส มีแต่ความเศร้าหมอง สติไม่สมบูรณ์สติไม่เป็ นมหาสติ จากสติธรรมดา ถา้ เราฝึ กบ่อย ๆ จะเป็ นมหาสติไดเ้ หมือนกบั การที่เราฝึ กเขียน กไก่เขียนคร้ังแรก ยงั ไม่สวยพอฝึ กเขียนไป เรื่อย ๆ มนั คล่องรู้จกั วิธีการเขียนเกิดทกั ษะในการเขียนเหมือนพระที่บวชคร้ังแรก ยงั ห่มจีวรไม่เป็นเพราะ อยไู่ ปเรื่อยๆ ห่มเป็นนงั่ สมาธิเป็นข้ึนอยกู่ บั การฝึก จะพฒั นาไปเรื่อยๆ สติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ทาใหอ้ ยา่ งไปดว้ ยกนั จะทาอะไรตอ้ งต้งั สติถา้ ไม่ต้งั สติมนั จะเผลอ ๒๕.๒) เทคนิคการฝึ กการใช้คาบริกรรมพุทโธ เป็ นตัวให้สติยึดมั่น ก่อนสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนาจิตธรรม กายทุกส่วนเรามาต้ังท่ีลมหายใจเป็ นส่วนหนึ่งของกาย แล้วต้ังที่ผมเล็บหนังฟัน(เกสา โลมา นขา ทนั ตา ตโจ) เป็ นส่วนหน่ึงของกาย จะต้ังไว้ตรงไหน ได้ ความหมาย กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
๒๐๕ เวทนา คือความรู้สึก จิตคือผูร้ ู้ที่เป็ นกลาง ธรรมคือธรรมะที่เป็ นธรรมชาติกลางๆ ฐานกายให้กลายเป็ น ของอสุภะส่ิงปฏิกลู สิ่งน่ารังเกียจเป็นส่ิงน่าเบ่ือหน่ายแต่เห็นดว้ ยปัญญา ฐานเวทนา เกดิ จากกายแต่จิตของ เราทม่ี าอยู่ในกายมนั รู้สึกรูปเวทนาสังขารวญิ ญาณตดิ อยู่ในร่างกายเวทนาต้องอาศัยขันธ์ ๕ ฐานจิตคือการ ใชป้ ัญญาชาระจิตให้บริสุทธ์ิตอ้ งอาศยั สมถะ สติสมาธิ ไม่ไดต้ อ้ งใชต้ วั ปัญญาลว้ น ๆ สติ สมาธิ รักษากาย วาจาแต่ตวั วปิ ัสสนาปัญญาจะรักษาใจเรา คือ ตวั ผ้รู ู้ รูปแบบ ๒๖ ธรรมพืน้ ฐานคือมีสติ การฝึ กสติคือการระลึกรู้ตัว ไม่ระบุนาม ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดา้ นจิตวทิ ยาการศึกษา สัมภาษณ์ ณ โรงแรมทอ๊ ปแลน์ พิษณุโลก เม่ือวนั ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๒ ๒๖.๑) สมาธิ การที่ทาอะไรไดใ้ ห้มีพลงั จิตออกมาที่สามารถทาได้ การที่ทอ้ แทเ้ กิดจากพลงั จิต นอ้ ยสมาธิหมายถึงตอ้ งทา การฝึ กต้องทาบ่อย ๆ ข้ีเกียจตอ้ งทา ขยนั ตอ้ งทาต่ืนมา ตอ้ งทาแลว้ จะเกิดแรงข้ึน เองวา่ เวลาทามนั เหมือนไม่ไดท้ า สมาธิมนั จะนิ่งตอนสงบแต่พอเคลื่อนไหวไม่สงบแต่ถา้ ฝึ กสมาธิแบบ เคลื่อนไหว อยไู่ ดท้ ุกอิริยาบถ ยคุ น้ีเป็นสมาธิแบบลืมตาสมาธิเคล่ือนไหวไม่ตอ้ งใชส้ ติแต่ส่วนใหญท่ ี่ฝึ กจะ ฝึ กแบบสมาธิน่ิงนั่งหลบั ตา ความหมายของสมาธิแบบเก่าๆคือหลบั ตาน่ิง น่ิงนอกเคล่ือนไหวนอกได้ สมาธิแบบลืมตา อายตนะคือตวั เช่ือมต่อตาหูจมูกลิ้นใจ เพราะมีสติตดั อยา่ งอ่ืนได้ คือตาหูจมูกลิ้นใจจาก ขา้ งนอกไหลเขา้ ขา้ งในเพราะฉะน้นั ตอ้ งคุมใหไ้ ดม้ ีจุดเขา้ ที่ใจมีการสแกนเม่ือปล่อยให้เขา้ มาแลว้ ดูสิ่งที่คิด พลงั ของสติคือตวั เช่ือม ๒๖.๒) เข้าฌาน อภิญญา ๖ จะอยูท่ ่ีกายทิพย์หลัก คือจิตต้องเข้าฌาน ๔ ช้นั ๔ จุดพลงั อานาจกาย ทิพยจ์ ะอยูท่ ่ีช้นั ๔ จุดที่จะเขา้ ไดค้ ือจุดพลงั อานาจอยรู่ ะหวา่ งหลบั กบั ต่ืนตอ้ งไดฌ้ าน ๔ กบั จุดพลงั อานาจ จะเขา้ ถึงกายทิพยไ์ ดต้ อ้ งมีท้งั ๕ ขนั ธ์ เขา้ ออกอินทรีย์ ๕ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ความสมดุล อินทรีย์ ๕ ใหพ้ อดีวติ กวจิ ารปี ติสุข เวลาเขา้ กายทิพยเ์ ขา้ แบบหลบั ทาอะไรไม่ไดแ้ ตถ่ า้ เขา้ แบบอ่ืนจะเขา้ ได้ เหมือนที่เขา้ ฌานแบบหลบั ตากบั ลืมตาเพราะฉะน้นั เวลามีสติเขา้ ฌาน คือเขา้ ไปในภวงั คถ์ า้ รู้ตวั ทาอะไรได้ แต่ถา้ หลบั ส่วนใหญ่จะเขา้ ไปสู่กายทิพย์ คือ เขา้ สู่ภวงั ค์ จาอะไรไม่ไดเ้ พราะไม่รู้ตวั ดงั น้นั วิธีการจะทา อะไรได้คือเข้าไปแบบรู้ตัวมีสติ ต้องเข้าไปฌาน อปั ปนาสมาธิ คือจะมีฌาน ๔ กบั อนุประธานเป็ นช้นั ๔ ที่ เป็ นรูปแต่ไม่เน้นรูปขา้ งใน สาหรับผูท้ ี่ไปอภิญญา ตอ้ งติดอยู่ในมิติ ติดด้วยความหลง ตัวรู้ ผู้รู้ คือตัว เดียวกัน เวลาเขา้ ฌาน บอกว่าสมมุติว่าเขา้ ฌานถึงระดบั ๒ ให้บอกจิตไปว่าใครคือผูร้ ู้เพราะจิตเหมือน กระจกสะทอ้ นการอธิษฐานจิต เหมือนกบั การต้งั ค่า ส่วน คาบริกรรมจะใช้คาไหนกไ็ ด้เพื่อเป็ นตวั ดึงรวม จบแต่คาวา่ พุทโธเป็นอานาจของพุทธานุภาพมีพลงั สูง พุทธานุสติ ๑๐ เช่น คาวา่ หนอมาจากพม่า สมั มาอะ ระหงั จากหลวงพอ่ วดั ปากน้า ท่านสังเคราะห์ข้ึนเป็ นวชิ าของท่านมโนยิทธิ ของเก่าของพอ่ ฤาษี การพุทธ
๒๐๖ ภูมิของหลวงป่ ูปาน อภิญญา อยใู่ นสายน้ี สุกขวปิ ัสสโก เตวิชโช ฉฬ ภิญโญ ปฏิสัมภิทปั ปัตโต วิชา และ อภิญโญปฏิสมั ภิทาญาณ ๒๖.๓) เป้าหมายของชีวิตคน ๓ ข้ัน อยู่รอด เจริญรุ่งเรือ งพ่ึงตนเอง เป็ นอิสระหรืออยู่รอด ปลอดภยั อยูย่ งั ไงให้รอดจากนกั ล่า ทายงั ไงให้เจริญงอก คือ แตกหน่อออกมาและทายงั ไงให้งามต้องมี ทางการแกพ้ ฒั นา คาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ดูกระแสตอ้ งใชส้ ติ 2 และช่องทาง 3 วางกลยุทธ์ 4 ประดบั โลก 5 ผุดโครงการ 6 สานสายใยทางโลกและทางธรรม ไขกุญแจถอดรหัส 8 แผเ่ มตตา ให้เป็ นประโยชน์สุข เหมือนคาของในหลวงรัชกาลที่ ๙ คาวา่ เพ่ือประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามตอ้ งเป็ นประโยชน์สุข ถา้ เป็ นประโยชน์แลว้ ทุกข์ เป็ นประโยชน์ของพวกเห็นแก่ตวั ธรรมพื้นฐานคือมีสติ ทายงั ไงให้มีสติมากข้ึน เดี๋ยวน้ีมีแต่ตวั ดึงดูดสติท้งั กินเหลา้ เท่ียว แต่ตวั ท่ีจะทาให้มีสติวธิ ีทาใหม้ ีสติเป็ นพลงั จิตถา้ มีสมาธิจะมีสติ เป็ นผลพลอยไดท้ ้งั พลงั และสติดว้ ยถา้ มีสมาธิจะมีสติเป็ นผลพลอยไดแ้ ต่สติจะเป็ นตวั จะช่วยให้ตามพน้ รู้เท่าทนั สามารถปรับเปล่ียนไดส้ ติเป็นตวั เช่ือมท้งั ขา้ งนอกและขา้ งใน ๒๖.๔) ข้ันตอน ๑๐ เทคนิคการปรับขันธ์ ๕ จุดประกาย warm up cool ปรับฐานประสานใหม่ สาธยายปัญญา ฝ่ ากระแส เจิดจรัส กลบั ข้ึนฝั่ง นิ่งสงบ พบสันติ ลักษณะขันธ์ ๕ ประกอบดว้ ย รูปกบั นาม กายกบั จิต กายวาจาใจเป็นท่ีต้งั ของสติ คือขนั ธ์ ๕ ประกอบ ธมั มงั รูปนาม กายวาจาใจ ที่ต้งั ของ สติอาจิตธรรม ขนั ธ์ ๕ รูปเวทนาสัญญาสังขารวญิ ญาณ ธาตุ ๔ ดินนา้ ลมไฟ พอมีสติกบั กายวาจาใจให้ เอาสติจบั หวั ใจได้ รู้สึกวา่ กาลงั รู้สึกนึกคิด ลึกลงไปกวา่ น้นั คือคิดดี รู้คิดไมด่ ี รู้คิดดา รู้คิดขาว รู้เทียบไดค้ ือ จิตเหมือนแมงมุมความรู้สึกนึกคิดคือใยแมงมุมเพราะฉะน้นั วนั วนั หน่ึงจิตอยทู่ ี่ตวั แมงมุมคือมนั ชกั ใยชกั ใย อยู่ดงั น้ันจิต รู้สึกนึกคิดว่าชักใยอยู่แต่จิตที่มนั ไม่ไดฝ้ ึ ก คือแมงมุมชกั ใยโดยที่ไม่รู้ตวั เองว่ากาลงั ชกั ใย เพราะจิตท่ีมีสติจะรับรู้วา่ ตนชกั ใยอยูต่ ่อไป รู้วา่ ใยดาหรือใยขาว คือ ความคิดดี ความคิดไม่ดี แลว้ สามารถ ควบคุมรถใหญด่ าชกั ใยขา่ วให้มากข้ึนต่อไปเบื่อเลิกชกั ใย สลายเป็นแมงมุมที่อิสระสังเกตวา่ แมงมุมเวลาที่ ชกั ใยมนั จะเกาะอยูท่ ่ีใยแมงมุมอิสระ คือแมงมุมท่ีเลือกชกั ใยแลว้ คือจิตไม่มีความรู้สึกนึกคิดเป็ นเจตสิทธ์ิ สมองต่ากวา่ จิตสมองต่ากวา่ ไฟฟ้าจิตสูงกวา่ ไฟฟ้าและสูงกวา่ สมองเพราะฉะน้นั ไดส้ ิทธ์ิ ไดท้ ้งั หมด ๒๖.๕) มหาสติฯ ตอ้ งรู้วิปัสสนาภูมิ ๖ ก่อนจะเริ่มศึกษามหาสติฯ ตอ้ งมีสติกาลงั สติ ผ่านระดบั ฌานตอ้ งเขา้ ฌานไดแ้ ละฝึ กไปจนเห็นรูปและเห็นเหตุปัจจยั ของการเกิดรูปกบั นาม ทากบั ลูกเป็ นปัจจยั กนั ยงั ไงพอรู้เพราะเห็น จะรู้สึกเบื่อถา้ รู้สึกเบื่อรูปกบั นามเมื่อไหร่คือเขา้ สู่กระแสมหาสติฯ แลว้ วปิ ัสสนาภูมิ ๖ ขนั ธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ต้งั สติ เหมือนกบั การ บวกลบคูณหาร ถา้ ไม่รู้บวกลบคูณหารไปทาแคลคูลสั ทาไม่ได้ ดงั น้นั วิปัสสนาภูมิ ๖ กบั สติคือตัว พืน้ ฐานของการบวกลบคูณหาร ซ่ึงมหาสติฯ คือตวั แคลคูลสั ๒๖.๖) สติปัฏฐาน ๔ หมายถึงเป็ นฐานท่ีต้งั ของสติ เรียกวา่ กายเวทนาจิตธรรมใด มีอิริยาบถ ๔ กายหยาบกายละเอียด เวทนาคือความรู้สึก จิตคือสภาวะของจิต จิตท่ีตื่นจิตที่รับติดที่มีปิ ติจิตท่ีไม่มีปิ ติ สติเรียกเจตสิกฝ่ ายบวกพระพุทธเจา้ วา่ เป็ นธรรมมีอุปการะมากใช้คุมไดห้ มดการจะทาอะไรสักอยา่ งท้งั สมถะวิปัสสนานิ่งเคล่ือนไหวท้งั ขา้ งในและขา้ งนอกตอ้ งใชส้ ติเท่าน้นั เพราะฉะน้นั ถา้ ยงั จบั สติไม่ได้ ทา อะไรยงั ไม่ไดพ้ ้นื ฐานคือการจบั สติใหไ้ ดแ้ ลว้ จากน้นั ฝึกสติเลก็ กลางใหญ่สติเป็นแก่นสาคญั
๒๐๗ ๒๖.๗) การฝึ กสติคือการระลึกรู้ตวั เป็ นการฝึ กแบบน่ิงลืมคือลืมตาสติมีการใช้คือน่ิงในนิ่งนอก เคลื่อนไหวในเคล่ือนไหวนอกหรือน่ิงเคล่ือนไหวในข้ึนใหม่นอกสติใชท้ ้งั น่ิงและเคล่ือนไหวไดน้ ่ิงเป็ น สมถะเคลื่อนไหวเป็ นวปิ ัสสนาในกบั นอก คือในคืนในตวั นอกคือนอกไตรลกั ษณ์ การภาวนาพุทโธทาให้ จิตหดส้ันลงตวั พุทโธจะเป็ นตวั กรองทาใหจ้ ิตใจไม่ฟุ้งซ่านพอจิตเล็กลงจิตนิ่งจะเกิดพลงั สมาธิ ฌาน และ ญาณ ความหมาย สมาธิคือภาวนาเม่ือภาวนา สามารถนามาทาเป็นข้นั ตอนไดเ้ รียกวา่ ชาญคือวิตกวจิ ารปี ติ สุขซ่ึงข้นั ตอน ๔ ข้นั ตอนตอ้ งใชพ้ ลงั จิตท้งั หมดสร้างพลงั จิตท่ีภาวนาเพราะฉะน้นั เวลาเขา้ ฌานตอ้ งใชพ้ ลงั กายทิพย์ คือจิตท่ีแทจ้ ริงท่ีเป็ นอยูน่ ่ีไม่ใช่คือกายดินน้าลมไฟไม่ใช่ตวั จริงตวั จริงอยูข่ า้ งในตวั จริงกบั กาย ทิพยไ์ ม่รู้จกั กนั แต่อยดู่ ว้ ยกนั กายทิพยจ์ ะอยใู่ นภวงั คจ์ ิตและอยใู่ นภาวนามีสติ จะทาใหเ้ กิดสมาธิมีสมาธิ จะ ทาใหเ้ กิดสติรูปแบบการสร้างสติคือการเอาสติไปฝึ กปรุงกบั กายวาจาใจระลึกรู้และนาตวั รู้ไปใส่กายวาจา ใจไดม้ ี 2 แบบกายหยาบคืออิริยาบถ ๔ กายละเอียด คือ ลมหายใจ ใจแตกออกเป็ น ๓ ความรู้สึก รู้สึก คือ จะไม่มีภาพไม่มีเสียงนึกอาการนึกคือสามารถในอดีตและอนาคตได้ คิดความคิด คือการท่ีไดย้ ินเสียง ตวั เองพูดอยู่ คือมีสติกบั ความคิด ความคิดจะเป็ นภาพเป็ นเสียง ความรู้สึกนึกคิดจะเกิดข้ึนตลอดรู้สึกแลว้ ไปนึกนึกแลว้ ไปคิดคิดแบบไหน ไดเ้ กิดท่ีตวั วงจรไหนจะถูกกระตุน้ ข้ึน รูปแบบท่ี ๒๗ การปฏบิ ัตติ ้องอาศัยความรู้จากปริยตั ิทีถ่ ูกต้อง ต้องเป็ นไปตามข้ันตอน วรรณกรรมเร่ือง“การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน พระมหายทุ ธนา นรเชฎโฐ (ศิริวรรณ) ตามแนวของหลวงป่ ูมน่ั ภรู ิทตฺโต” คณะพทุ ธศาสนา มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั พระมหายทุ ธนา นรเชฏฺโฐ ผเู้ ขียน ตาบลลาไทร อาเภอวงั นอ้ ย จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา สมั ภาษณ์เมื่อวนั ท่ี ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ๒๗.๑)หลกั การใหญ่การปฏบิ ัติต้องอาศัยความรู้การปฏบิ ตั ิจากปริยตั ิทถ่ี ูกต้อง รูปแบบการปฏิบตั ิ ต้องมาจากปริ ยัติเป็ นหลักการใหญ่ ความรู้และหลักการสาหรับการดาเนินชีวิตตามแนวทาง พระพุทธศาสนาตอ้ งอาศยั ความรู้ทางปริยตั ิ ปฏิบตั ิ จึงเป็ นปฏิเวธ คือ ผลที่ไดร้ ับจากการปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ เป็นตามลาดบั เม่ือไดร้ ับความรู้ที่ถูกตอ้ ง จะทาใหก้ ารปฏิบตั ิเป็นไปถูกตอ้ ง นาไปสู่ผลการปฏิบตั ิที่
๒๐๘ ถูกต้องตามมา เป็ นความสัมพนั ธ์กันอย่างเป็ นกระบวนการตามความสัมพนั ธ์ input process output feedback มีความสัมพนั ธ์กนั อยา่ งเป็นกระบวนการ ๒๗.๒) หลักการและวิธีการปฏบัติ ต้องเข้าใจความหมายของ “ฌาน” และ “ญาณ” หมายถึง อะไรดว้ ย และตอ้ งแยกใหอ้ อกตวั ฌาน และญาณ แยกออกจาก การเพง่ คือ “ฌาน” คือตวั สมาธิ การเพง่ จน จิตต้งั มนั่ เป็ นสมาธิ ภาษาบาลีเรียกวา่ เอกกตั ตารมณ์ จิตต้งั มน่ั ใน ฌาน ในระดบั ฌาน ส่วนตวั “ญาณ” คือ ตวั ปัญญา คือความรู้ เป็ นท้งั โลกียปัญญา และโลกุตรปัญญา เวลาเราไปเรียนหนงั สือหรือทางาน มนั จะ เกิดข้ึนอยา่ งควบคู่กนั เสมอ ความหมายโลกียปัญญา ถา้ เรียนรู้จาได้ สามารถถ่ายทอดเผยแพร่ เพ่ือการ ดาเนินชีวติ ที่ถูกตอ้ ง ส่วนโลกตุ รปัญญา การเรียนรู้เพื่อการดบั ทุกขจ์ ากการเวยี นวา่ ยตายเกิด มุ่งหมายการรู้ ในอริยสัจ ๔ ๒๗.๓) มหาสติปัฏฐาน ๔ คือ ความรู้ ความเข้าใจ ในปัญญามองเห็นตามความเป็ นจริง ไม่วา่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ ตามหลกั การขนั ธ์ ๕ พิจารณาให้เห็นวา่ ขนั ธ์ ๕ เป็ นของไม่เที่ยง มีความ แปรปรวนไปเป็ นธรรมดา ต้งั อยู่ ดบั ไป เป็ นธรรมดา รู้เท่าทนั รู้ตามสภาวธรรมอาการ เห็นความเป็ น อนตั ตา ความไมม่ ีตวั ตนของสรรพส่ิงท้งั หลาย ขนั ธ์ ๕ ธาตุ ๔ อินทรีย์ ๒๒ เป็นลกั ษณะวปิ ัสสนาภูมิ เป็ น การรู้แจง้ ตามองคธ์ รรมวปิ ัสสนาภูมิ แต่ท่ีหลายทา่ นเนน้ ใหร้ ู้ขนั ธ์ ๕ เน่ืองจากเขา้ ใจง่ายสรุปมาเป็นรูปนาม จาไดง้ ่าย การปฏิบตั ิไม่ตอ้ งเอาทุกอยา่ งมาปฏิบตั ิท้งั หมดเพียงแต่วา่ แยกรูปนามใหไ้ ด้ ตาเห็นรูป ถา้ แยก รูปนามได้ การปฏิบตั ิจะรู้เท่าทนั ปรากฏการณ์ที่เกิดข้ีนในจิตใจของเราเท่าน้นั เอง ดูกาย เวทนา จิต ธรรม ตามความเป็นจริง แลว้ เห็นรูปนาม ๒๗.๔) การปฏิบัติต้องเป็ นไปตามข้ันตอน สาคญั อยทู่ ี่กาย ดูกายเป็ นเบ้ืองตน้ กายเป็ นที่ประชุม รูปนาม ธรรมของพระพทุ ธเจา้ ๘๔,๐๐๐ ท้งั หมดสรุปรวมอยทู่ ี่กายกวา้ งวา หนาศอกเทา่ น้นั กายจึงเป็นที่ต้งั ธรรมท้งั หลายจึงปรากฏข้ึนที่กาย ลกั ษณะการเขา้ ถึงความจริงตอ้ งมีข้นั ตอน มีหลกั การ ถา้ ไปดูตามคมั ภีร์ ต่าง ๆ จะทาเป็ นไปตามข้นั ตอน เพียงแต่ผูป้ ฏิบตั ิเลือกปฏิบตั ิเป็ นอยา่ งไร การวา่ ยน้าขา้ มแม่น้า จะเป็ นชา้ ง มา้ กระต่าย ก็สุดแล้วแต่ผูป้ ฏิบตั ิเลือก การปฏิบตั ิมีแบบ สมถะนา วิปัสสนานา หรือท้งั สมถะวิปัสสนา ควบคู่กนั หรือ ถา้ องคธ์ รรมไหนปรากฏชดั เจนให้ปฏิบตั ิตวั น้นั ไปเลย ใหด้ ูพิจารณาวา่ ราคะ โทสะ โมหะ พิจารณาตามรู้แล้วกาหนดไป เรียกว่าให้กาหนดรู้ ว่าจิตใจมีความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตเป็ น อยา่ งไรใหก้ าหนดไป ๒๗.๕)ใหไ้ ปอา่ นคมั ภรี ์วสิ ุทธิมรรค จะไดแ้ นวทางการปฏิบตั ิครบท้งั วปิ ัสสนา ตามแนวทางหลวง ป่ ูมน่ั หลวงป่ ูชา ท่านใชค้ มั ภีร์วิสุทธิมรรคเป็ นแนวทางการปฏิบตั ิ เทคนิคการสอนของแต่ละสานกั ฯ เป็ น เทคนิคท่ีมีรูปแบบแตกต่างกนั ไป อย่างอานาปานสติ ตน้ ลม กลางลม และปลายลม การศึกษาตอ้ งอาศยั ปริยตั ิตอ้ งรู้ลึก เปรียบเทียบการกาหนดก็เป็นเทคนิค ๒๗.๖) คาบริกรรมเป็ นอุบายวธิ ี เป้าหมายคือ เพื่อให้จิตมีขอ้ ยดึ เหนี่ยวเท่าน้นั อุบายวิธีใหจ้ ิตไดม้ ี ส่ิงยึดเหน่ียว พอจิตต้งั มนั่ แลว้ ให้ทิ้งคาบริกรรมไปเลย คาบริกรรมเป็ นบญั ญตั ิ ไม่เป็ นปรมตั ถ์ บริกรรม เพ่ือใหร้ ู้ ถา้ ไม่บริกรรมแลว้ เราจะหลง แต่ถา้ ชานาญเขา้ ออกก็ไมต่ อ้ งบริกรรม เรียกวา่ วสี ไม่ตอ้ งบริกรรม การบริกรรมจึงเป็ นเพียงเบ้ืองต้น เพ่ือให้สติมีท่ีเกาะเกี่ยว แต่ถ้าเชี่ยวชาญแล้วการบริกรรมไม่ต้อง
๒๐๙ พระพุทธเจา้ กล่าวในอานาปานสติ ไม่ตอ้ งมีบริกรรม เป็ นเทคนิคลมหายใจเขา้ ออก ใหร้ ู้วา่ เขา้ ออก ส้ันยาว แต่พระวิปัสสนาจารยท์ ่านสอนเมื่อมีลมหายใจส้ันยาว จะตอ้ งมีอะไรเป็ นเครื่องยึดเหน่ียวของมนั เวลา หายใจ หายใจเขา้ “พุท” หายใจออก “โธ” ดงั น้นั จึงกาหนดหายใจ เขา้ ออกเป็ น “พุท โธ” ส่วนทางการ สอนของมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาฯ เป็นการกาหนดยบุ หนอ พองหนอ เอาไวห้ นา้ ทอ้ ง เป็นการใหค้ วามสาคญั ต่อปรากฎการณ์ท่ีเกิดข้ึนตามความเป็ นจริง เวลาลมหายใจเขา้ ทอ้ งพอง เวลาลมหายใจออกทอ้ งยบุ คือไป ใหค้ วามสาคญั ที่มนั ปรากฏข้ึนในร่างกายเมื่อเวลาหายใจเขา้ ออก หลกั การสาคญั ในพระพทุ ธศาสนา ต้อง รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร เราตอ้ งเขา้ ไปดูอานาปานสติสูตร ไปดูในมหาสติปัฏฐานสูตร ไปดูในกายคตา สติสูตร ท้งั หลายที่พระพุทธเจา้ ตรัสไว้ มหาสติปัฏฐานสูตรมีความชดั เจน เวลาปฏิบตั ิจริงแลว้ เอาข้นั ตอน ใด ๆ ก็ไดท้ ี่คิดวา่ เราถนดั สุดนาไปปฏิบตั ิเวลาเราปฏิบตั ิ ๒๗.๗) ปัญญาภาวนามยปัญญา กบั มหาสติปัฏฐาน คือ การบาเพญ็ เพ่ือให้ศีล สมาธิ ปัญญา เป็ น ไตรสิกขาเกิดข้ึนเจริญ การปฏิบตั ิองคธ์ รรมท้งั หลายตามมาเอง เกิดข้ึนเอง เกิดร่วมกนั เป็ นกระบวนการที่ ปฏิบตั ิ ปัญญาภาวนามยปัญญาเป็ นผลของจิตที่เราต้งั มน่ั ข้ึน เม่ือมีศีล มีสมาธิ เกิดเป็ นปัญญา เมื่อสมาธิต้งั มนั่ ปัญญาตามมาเอง ปัญญาเป็ นผล ปัญญาเกิดสืบเนื่องมาจาก ศีล สมาธิ ปัญญา ตามหลกั การท่ีมาปัญญา คือ ๑) เกิดจากการฟังการอ่าน การสนทนาผูร้ ู้ ๒) เกิดจากการลงมือปฏิบตั ิโดยตนเอง มีวิธีการ สุตมย ปัญญา จินตมยปัญญา จึงเป็ ฯภาวนามยปัญญา พฒั นาใหม้ ีข้ึน ส่ิงใดไม่มีทาใหม้ ี สิ่งที่มีแลว้ ให้รักษาคงไว้ มน่ั คง ทาใหเ้ จริญ ทาอยา่ งตอ่ เนื่อง ทาอยา่ งสม่าเสมอ อยา่ ใจร้อน ทาไปเร่ือย ๆ หนา้ ท่ีเราคือทาปฏิบตั ิ ส่วน ผลที่เกิดเกิดข้ึนเอง ยงิ่ อยากไดย้ งิ่ วนุ่ วาย แตเ่ มื่อปล่อยวางแลว้ จิตเขา้ สู่การปล่อยวางผลเกิดตามเอง
๒๑๐ ตอนที่ ๓ การวเิ คราะห์รูปแบบการเข้าถงึ ปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จากการศึกษาเฉพาะกรณศี ึกษา การศึกษาวิจยั เป็ นลกั ษณะกรณีศึกษาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ โดยผูศ้ ึกษาวิจยั ปรากฎการณ์ท่ีนา เน้ือหาสาระท่ีเกี่ยวกบั เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ไปใชอ้ ธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึนบนโลกปัจจุบนั ที่อาศยั กนั อยู่ เพ่ือทาความเขา้ ใจกบั ลกั ษณะปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนมา การอธิบายเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เพ่ือ ความทนั สมยั ของลกั ษณะงานท่ีอธิบายได้ เพ่อื ร่วมยคุ สมยั ในปัจจุบนั พระสูตรเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็น ความเยี่ยมยอดและความลึกซ้ึงเมื่อนาไปสู่การอธิบายความแต่ละดา้ นศาสตร์หลายศาสตร์เป็ นอยา่ งมาก เพียงแต่รูปแบบการเขา้ ถึงเป็ นไปตามองค์ความรู้และประสบการณ์ส่ังสมของแต่ละบุคคลทาให้สามารถ สร้างองคค์ วามรู้หรือนวตั กรรมที่เป็ นประโยชน์ต่อผูค้ นหลากหลายรูปแบบตามแต่ละบุคคล รูปแบบการ เขา้ ถึงปัญญาเป็นเฉพาะกรณีศึกษาดงั ตอ่ ไปน้ี กรณีศึกษา ๑) รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญา แบบสมาธิบาบดั รักษาโรคไดด้ ว้ ยตนเอง (SKT) กรณีศึกษา ๒) รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญา NLP (Neuro Linguistic Programming) กรณีศึกษา ๓) รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญา แบบแนวทางปฏิบตั ิทา่ นโกเอน็ กา้ กรณศี ึกษา ๑) รูปแบบการเข้าถงึ ปัญญาแบบสมาธิบาบัดรักษาโรคได้ด้วยตนเอง (SKT) สมาธิบาบัดแบบ SKT คืออะไร SKT ๑ คือ ตวั ย่อที่มาจากชื่อของ รองศาสตราจารย์ ดร.สมพร กนั ทรดุษฎี เตรียมชยั ศรี คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล ซ่ึงเป็ นผูพ้ ฒั นาเทคนิคน้ีข้ึนมา โดย อาจารยไ์ ดม้ ีโอกาสศึกษาเรื่องระบบประสาทของมนุษย์ ในระหวา่ งการศึกษาระดบั ปริญญาเอกจึงเขา้ ใจถึง ความเช่ือมโยงการปฏิบตั ิสมาธิกบั การทางานของระบบประสาทมากข้ึน ประกอบกบั เมื่อตอ้ งทางานวิจยั เรื่อง สมาธิเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ จึงพบวา่ แมก้ ารทาสมาธิแบบสมถะ หายใจเขา้ พุท หายใจออก โธ น้นั สามารถช่วยให้คลายเครียดไดอ้ ยา่ งดี แต่หากเราสามารถควบคุมการฝึ กประสาทสัมผัสท้ัง ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิน้ การสัมผัส และการเคลื่อนไหวดว้ ย จะทาให้การทาสมาธิน้นั มีผลต่อการทางานของระบบ ประสาทส่วนกลาง ระบบประสาทส่วนปลาย ระบบประสาทอตั โนมตั ิ ระบบอารมณ์ และพฤติกรรม ระบบภูมิตา้ นทานของร่างกาย ระบบไหลเวียนเลือด และระบบอ่ืนๆในร่างกายไดเ้ ป็ นอยา่ งดี จึงนาองค์ ความรู้เรื่องสมาธิ โยคะ ซ่ีกง การออกกาลงั กายแบบยดื เหยยี ด การปฏิบตั ิสมาธิดว้ ยเทคนิคหายใจ และการ ควบคุมประสาทสัมผสั ทางตาและหู ผสมผสานกนั จนพฒั นาเป็ นรูปแบบสมาธิบาบดั แบบใหม่ข้ึน ๗ เทคนิค หรือเรียกวา่ SKT ๑-๗ ที่ช่วยเยยี วยาผปู้ ่ วยเร้ือรังใหม้ ีสุขภาพดีข้ึน ๑กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลือก และ ภาควชิ าอาชีวอนามยั และความปลอดภยั คณะ สาธารณสุขศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล. สร้างเสริมสุขภาพด้วยสมาธิบาบัด แบบ SKT 1-7 . เอกสารแผน่ พบั
๒๑๑ แนวคิด ทฤษฎี เก่ียวกบั เรื่อง ประสาทวิทยาศาสตร์การปฏิบัติสมาธิเพ่ือการเยียวยาหรือสมาธิ บาบัด SKT๒ (อ้างอิงจาก ที่ https://www.youtube.com/watch?v=lPAPUhVqMHQ ค้นเมื่อวนั ท่ี ๑๘ เมษายน ๒๕๖๑ ) กล่าววา่ สมาธิบาบดั SKT คือ การผสมผสานความรู้ เช่น โยคะของญี่ป่ ุน และซ่ีกงของ จีนแลว้ สมาธิอยา่ ง เช่น อานาปานสติ วปิ ัสสนากรรมฐาน และองค์ความรู้ที่เป็ นการฝึ กการเคล่ือนไหวเอา มารวมและผสมผสานผลลพั ธ์และพฒั นาข้ึนมาใหม่และนาระยะเวลาและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์เขา้ มาดูแล ฉะน้นั จึงเป็ นนวตั กรรมของสมาธิที่ใชใ้ นศาสนาและสมาธิของด้งั เดิมจุดเร่ิมตน้ ท่ีเป็ นแรงบนั ดาล ใจของคน สมาธิบาบดั เรียกวา่ เป็ นส่วนท่ีสะสมมาต้งั แต่เล็กเพราะตอนเด็ก ๆ จะถือหมอนเขา้ ไปสวด มนตไ์ หวพ้ ระโดยธรรมชาติไมไ่ ดเ้ ป็นคนท่ีหลบั ง่ายและช่วงท่ีเป็ นพยาบาลกเ็ กิดความสงสัยเวลาทางานจะ ไดย้ ินเสียงคนไขร้ ้องโหยหวนของคนไขท้ ่ีเป็ นโรคมะเร็งท่ีปวดและมีการฝังแร่แลว้ มีวิธีการไหนบา้ งที่ ช่วยบรรเทาความทุกขน์ ้ีได้ จึงศึกษาจากตาราทางศาสนา คือ หนงั สือท่ีเขาแจกตามงานศพ เร่ืองอานาปาน สติ แลว้ ไดท้ าการศึกษาจากครูบาอาจารย์ แต่ก็ยงั ไม่ไดค้ วามรู้ทางวิทยาศาสตร์แต่ไปเจอความรู้ท่ีชดั เจน เมื่อเรียนปริญญาเอกเรียนเร่ืองระบบประสาท แลว้ ศึกษาจากตาราท่ีไขความรู้คือวา่ การฝึ กสมาธิกบั การ ทางานของระบบประสาทซ่ึงเป็ นเอกสารที่เอามานงั่ อ่านคน้ พบวา่ มีวิธีการลดการเจ็บป่ วยและทาให้ผ่อน คลายสมาธิบาบดั จะแตกต่างจากสมาธิโดยทวั่ ไปเราสามารถที่จะควบคุมการทางานของระบบประสาท ท้งั หมดไดพ้ ร้อม ๆ กนั ความแตกต่างของการฝึ กสมาธิดูไดจ้ ากกลไกของการฝึ กและผลลพั ธ์ของการฝึ ก โดยสมาธิโดยทวั่ ไปวดั ผลจากวิทยาศาสตร์วดั ไดไ้ ม่ชดั เจนแต่ถา้ เป็ นเรื่องของสมาธิเมื่อลงมือปฏิบตั ิทุก ข้นั ตอนสามารถท่ีจะวดั ไดโ้ ดยเคร่ืองมือทางการแพทยแ์ ละสามารถวดั การทางานของสารเคมีไดก้ ่อนที่จะ มีการพฒั นาบาบดั มาเป็ น SKT ไดม้ ีการลองผิดลองถูกโดยการใชเ้ คร่ืองมือทางวิทยาศาสตร์โดยใชต้ วั เอง เป็ นคนทดลอง มีผูป้ ่ วยหลายๆคนเขา้ มาขอความช่วยเหลือมีท้งั คนไขห้ นกั มีท้งั คนไขป้ ่ วยคนไขท้ ่ีเป็ น โรคมะเร็งแนะนาเคร่ืองมือเหล่าน้นั นาไปใชก้ บั คนไขใ้ หค้ นไขฝ้ ึกและกวา่ จะเป็น SKT๑ ฝึกหายใจคนไขท้ ่ี ติดเช้ือ HIV คนไขม้ ะเร็ง สิ่งที่เห็นคือคนไข้ HIV จะมีความดนั โลหิตสูงมีค่าน้าตาลสูงอยูด่ ว้ ยและเมื่อฝึ ก ไปพบวา่ ความดนั โลหิตลดลงได้ จึงค่อยๆสะสมองค์ความรู้ในแต่ละเทคนิค มีการลองผดิ ลองถูกเครื่องมือ วดั แตไ่ มไ่ ดเ้ ป็นอนั ตรายกบั คนไข้ โดยมีการฝึก ๒๐ ปี เตม็ ๆและพฒั นารูปแบบสมาธิบาบัด เป็ น ๗ ท่าและ ๒ อา้ งจาก https://www.youtube.com/watch?v=lPAPUhVqMHQ คน้ เมื่อวนั ที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๑.
๒๑๒ ปัจจุบนั ไดเ้ ผยแพร่ไปอยา่ งกวา้ งขวางถึง ๗๗ จงั หวดั โดยมีศูนยก์ ารเรียนรู้ นวตั กรรม SKT ต้งั แตท่ า่ ท่ี ๑-๗ จะมีระดบั ของสุขภาพบาบดั ต่างกนั สมาธิบาบดั SKT ท่าท่ี ๑ และ ๒ สาหรับผูท้ ่ียงั ไม่ป่ วยใช้สร้างเสริม สุขภาพป้องกนั รวมท้งั ลดอาการต่าง ๆ ส่วนเทคนิค SKT ท่าท่ี ๓ ๔ และ ๕ สาหรับผูป้ ่ วยที่ปรับสภาพ ร่างกายช่วยในการเปลี่ยนส่ิงที่เปล่ียนใหก้ ลบั สู่ปกติ และท่า SKT ๖ กบั ๗ สาหรับผปู้ ่ วยหนกั ฟ้ื นฟูสภาพ ร่างกาย ฉะน้นั ท้งั ๗ นวัตกรรมความแตกต่างของแต่ละเทคนิคขึน้ อยู่กับสภาพร่างกายและการเจ็บป่ วย ของผู้ทต่ี ้องการบาบดั เป็นระยะเวลากวา่ นานปี รองศาสตราจารย์ ดร.สมพร กนั ทรดุษฎี เตรียมชยั ศรี คณะ สาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล ใชค้ ิดคน้ สมาธิบาบดั SKT เพื่อบาบดั และเยียวยาผปู้ ่ วยโรคต่างๆ โดยผ่านการทดลองท้งั กบั ตวั เอง คนไข้ ใชเ้ ครื่องมือวิทยาศาสตร์ เขา้ ห้องแล็บ จนพฒั นารูปแบบสมาธิ บาบดั ออกมาได้ เทคนิค สามารถบาบดั โรคเบาหวาน ความดนั โลหิต มะเร็ง และ เอดส์ได้ ดังแสดงรายละเอยี ดเนื้อหาสาระ SKT ๑ ไม่ตอ้ งเตรียมตวั อะไรมากใส่ชุด อะไรก็ฝึ กไดเ้ ทคนิคน้ีจะช่วยเร่ืองของของเสียที่ เป็ นพิษจะดูดของเสียเขา้ ร่างกายน้อยและขบั ของ เสียท่ีเป็ นพิษออกการหายใจ ต้องผ่อนลมหายใจ ออกทางปากเบา ๆ ซ่ึงทดสอบวา่ ลมหายใจของเรา ออกมาได้หมดหรือไม่ โดยใช้นิ้วมือแตะท่ีปาก และผ่อนลมหายใจออกเบาๆยาวๆให้สุ ดและ ห า ย ใ จ เ ข้ า ก ล้ัน ล ม ห า ย ใ จ ไ ว้ ก ล ไ ก ก า ร ก ล้ั น ล ม หายใจเพ่ือเวลาเรากล้ันลมหายใจจะมีการเปลี่ยน สารเคมีบางตวั ซ่ึงคนที่ทาจะมีผลดีมากกวา่ ผลเสีย SKT ๒ ผลดีของเทคนิค คือตวั เซลล์ข้างในได้ออก กาลังกาย โครงของกล้ามเนื้อได้ออกกาลงั กายเพื่อ ใช้ในการป้องกัน เช่น คนจาพวกท่ีมีไขมนั ในเลือด สูง ความดนั โลหิตสูง หรือคนจาพวกที่อินซูลินไม่ พอ ก็สามารถเอาเทคนิคเหล่าน้ีมาใชไ้ ดใ้ นคนท่ีมี ปัญหาเรื่องกลา้ มเน้ือ เช่น ตน้ แขน คอ เทคนิคนี่จะ ช่วยใหบ้ รรเทาลงไปได้ SKT ๓ แก้ไขปัญหาสุขภาพ ในกรณีที่ผปู้ ่ วยมีอาการปวดเม่ือยเนื่องจากนงั่ ทางานเป็ นเวลานาน ๆ ๑๒ ช่วั โมงต่อวนั ไม่ค่อยลุกไปไหนและมีอากาศปวดมืออนั เน่ืองมาจากอาชีพของผูป้ ่ วยต้องน่ังหน้า
๒๑๓ คอมพิวเตอร์ตลอดและยงั ต้องจบั เมาส์ จึงทาให้มีอาการปวดหลงั และเทคนิค ๓ เหมาะกับการปวด กลา้ มเน้ือเพราะการทางานประเภทน้ีมนั จะเกี่ยวขอ้ งกบั บริเวณขอ้ ต่อจะมีพวกพงั พืดของกลา้ มเน้ือท่ีเขา้ มา ยึดเกาะแต่หากถา้ พงั พืดพวกน้ีไม่ไดเ้ คล่ือนไหวเลยส่ิงสาคญั ที่ตามมา คือระบบประสาทจะเดินไม่ไดจ้ ะ ทางานไมไ่ ดฉ้ ะน้นั อาการแบบน้ี คือ ปวด และเทคนิคพวกน้ีจะช่วยกระตุน้ เหมือนกบั เป็ นประตูปิ ดเปิ ดการ เชื่อมระหวา่ งตวั พงั พืดกบั ขอ้ ต่อเพ่ือท่ีจะใหก้ ารทางานของเส้นประสาททางานไดค้ ล่องข้ึน วิธีปฏิบตั ิคือ นง่ั เหยยี ดเทา้ ยดื หลงั ให้ตรงเอามือค่อมหวั เข่าไวเ้ วลากม้ และโนม้ ตวั เองให้หายใจลึกและเวลาเอนกลบั ให้ หายใจออกทางปากยาวๆนบั ไป ๓๐ รอบลมหายใจ สาหรับคนที่นงั่ เหยียดเทา้ ไม่ไดใ้ ห้ใชเ้ กา้ อ้ีตวั เต้ียๆนง่ั ปฏิบตั ิเวลาเราปฏิบตั ิเทคนิคน้ี จะเกิดการผสมผสาน คือ ขา้ งในไดอ้ อกกาลงั กายส่วนขา้ งนอกเป็ นเรื่องของ ขอ้ ต่อท้งั หมดไดอ้ อกกาลงั กาย หลงั ปฏิบตั ิแลว้ จะรู้สึก ผอ่ นคลายสบายตวั นอกจากจะใชไ้ ดต้ ามกลา้ มเน้ือกบั ขอ้ แลว้ ยงั สามารถนาไปปรับใชไ้ ดอ้ ีกฉะน้นั ใครท่ีฝึ ก เทคนิคน้ีเป็ นประจาสม่าเสมอผลลพั ธ์ที่ได้ คือ หลงั ไม่ ปวด ทอ้ งไม่ผกู ส่วนผทู้ ่ีมีปัญหาเร่ืองเข่า เข่าจะไม่ปวด จะไม่มีน้าในเข่า นอกจากเทคนิคน้ีจะช่วยในการผ่อน คลายแลว้ ยงั ช่วยป้องกนั ไดอ้ ีก SKT ๔ เป็ นเทคนิคเรื่องการแก้และปรับ สภาพของร่างกาย ผูท้ ่ีมีปัญหาด้านโรคพนั ธุกรรม เบาหวาน โรคไขกระดูก ควรใชเ้ ทคนิค ๔ เพื่อนาไป แกค้ วามบกพร่องของดา้ นสุขภาพท่ีเกิดข้ึนมา โดยจะ การปฏิบตั ิ คือ การเดิน การฝึ กลมหายใจโดยเริ่มจาก การยืนในท่าท่ีสบายมือสองขา้ งวางไขวห่ ลงั ขณะยก ขาสู ดลมหายใจเข้าลึ กและสู ดลม หายใ จ อ อ ก ย า ว ขณะท่ีวางเท้าลงใช้เลาในการทา ๔๕ นาที ถึง ๑ ชวั่ โมง
๒๑๔ SKT ๕ เทคนิคการแก้อาการปวดหลงั ปวดไหล่ ปวด เข่า การปฏิบตั ิ คือ ยกฝามือท้งั สองขา้ งอยเู่ หนือศีรษะ โดยสูดลมหายใจเขา้ ลึกผ่อนลมหายใจออกยาวค่อยๆ กม้ ตวั ลงอยา่ งช้า ๆ นบั เป็ นหน่ึงรอบลมหายใจทาจน ครบ ๓๐ รอบลมหายใจ จากน้ันค้างอยู่ท่ีพ้ืนอีก ๓๐ รอบลมหายใจ และยกตวั ข้ึนอีก ๓๐ ลมหายใจ หากฝึก ประจาก็จะทาใหอ้ าการบกพร่องเหล่าน้ีดีข้ึน SKT ๖ เหมาะกับคนไข้ที่อยู่ห้องไอซียู คนไข้ท่ีป่ วย หนักๆ เวลาปฏิบตั ิจะมากกวา่ เทคนิคอื่น ๆ เนื่องจาก ผูท้ ี่ปฏิบตั ิส่วนมากเป็ นคนไขท้ ่ีมีอาการป่ วยหนกั ไม่ สามารถเคล่ือนไหวตามเราไดแ้ ต่สามารถที่จะคิดตาม เราไดโ้ ดยใชเ้ ส้นประสาทสมองคู่ท่ี ๘ ฟังเรา จากน้นั กาหนดความรู้สึกไปยงั อวยั วะต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หน้าผาก ขมบั แก้ม ตา คาง คิว้ แขน หน้าอก หน้าท้อง และทวั่ ท้งั ตัว SKT ๗ เทคนิคนีแ้ ก้ปัญหาในผู้ป่ วยทีม่ ีสุขภาพหนักๆ สามารถเคล่ือนไหวไดใ้ นช่วง บนได้ หรือดา้ นล่างได้ เพราะฉะน้ันผูท้ ี่ฝึ กในเทคนิคน้ีจะใช้กับผูป้ ่ วยระยะ สุดทา้ ย มีเทคนิคอยู่ ๒ ข้นั ตอน ดงั น้ี ๑) ยกแขนข้ึนมา ในระดบั เอวหนั ฝามือเขา้ หากนั หายใจเขา้ ค่อยๆขยบั ฝ่ า มือเขา้ หากนั หายใจออกค่อยๆขยบั ฝ่ ามืออกจากกนั คือ ๑ รอบลมหายใจ ทาไป ๓๐-๔๐ รอบลมหายใจ ๒) ห า ย ใ จ เ ข้า ค่ อ ย ๆ ย ก มื อ ข้ ึ น เ ห นื อ ศี ร ษ ะ ห า ย ใ จ อ อ ก ยกระดบั แขนมาไวต้ รงท่ีเอว แบบน้ีนบั เป็ น ๑ รอบลม หายใจ ใหท้ า ๓๐-๔๐ รอบลมหายใจ ในเทคนิค SKT ไมจ้ าเป็นตอ้ งฝึกทุกเทคนิคใหเ้ ลือกในเทคนิคที่เหมาะกบั สภาพร่างกาย ใหเ้ ลือก เทคนิคที่สามารถทาไดแ้ ละฝึ กใหค้ รบเพอ่ื ที่จะไดผ้ ลตามความตอ้ งการ
๒๑๕ ดงั น้นั สืบเนื่องจากงานวจิ ยั ของผวู้ ิจยั ปี ๒๕๕๙ เร่ือง การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ โดย ทาการศึกษาหนงั สือวรรณกรรมปัจจุบนั ดว้ ย ช่ือหนงั สือ “การปฏบิ ตั ิสมาธิ เพ่ือการเยยี วยาสุขภาพ”๓ เขียน โดย รองศาสตราจารย์ ดร.สมพร กนั ทรดุษฎี เตรียมชยั ศรี คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล จึง นาไปสู่งานวจิ ยั ปี ๒๕๖๑ เรื่องรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ เห็นวา่ งานวิจยั ท่ีเกี่ยวกบั การนาเร่ืองสติ สมาธิ ไปบูรณาการกบั ศาสตร์สมยั ใหม่ โดยเป็ นการนาแนวทางวิทยาศาสตร์สุขภาพเป็ น คุณค่าต่อสังคมและเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษยเ์ ป็ นอยา่ งยงิ่ จึงนาเสนอการจดั โครงการเพ่อื ฝึกอบรมเชิง ปฏิบตั ิการนารูปแบบสมาธิไปสู่บูรณาการศาสตร์สมยั ใหม่เป็ นการรักษาบาบดั ดว้ ยสมาธิเพื่อการรักษาโรค ดว้ ยตนเอง และเพ่ือเป็ นการเก็บขอ้ มูลส่วนหน่ึงของงานโครงการวิจยั และเพ่ือเป็ นประโยชน์สร้างความรู้ เรื่องสมาธิในรูปแบบการดูแลและรักษาสุขภาพต่อชีวิตผูค้ นทว่ั ไป สืบเนื่องจากที่มาโครงการอบรมเชิง ปฏิบตั ิการเรื่อง “รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาของสมาธิบาบดั แบบSKT รักษาโรคไดด้ ว้ ยตนเอง” แสดงจาก ตารางดงั ตอ่ ไปน้ี ตารางท่ี ๔.๒๑ ผลการสังเคราะห์เรื่อง“สมาธิบาบดั แบบ SKT รักษาสารพดั โรคไดด้ ว้ ยตวั เอง” ด้าน กาย เวทนา จิต ธรรม แนว ิคด -แนวจิตประสานกาย -การควบคุมและ -สมาธิ คือ การท่ีจิต -สมาธิบาบดั แบบ SKT การปฏิบตั ิสมาธิจะเพิ่ม ฝึ กระบบประสาท ต้งั มนั่ นึกถึงสิ่งใด ปฏิบตั ิสร้างสมดุลใน ความหนาของช้นั สมั ผสั ท้งั ๖ ไดแ้ ก่ ส่ิงเดียว จิตมีความ ร่างกาย ๗ ท่าทางฝึก สมองส่วนหนา้ ตา หู จมูก ลิ้น สงบ เทคนิคหายใจ ๙ ท่า ประสาทสัมผสั หู ตา สัมผสั เน้ือสมองขา้ งใน -การเคล่ือนไหวต่อ -ฝึกสมาธิแบบ -เป็นการบงั คบั จิต -ปฏิบตั ิสมาธิดว้ ยตนเองทุก ระบบประสาท SKT ปรับการรับรู้ ใตส้ านึกใหต้ ้งั มน่ั วนั คน้ ควา้ ทดลองฝึกฝน ส่วนกลาง อตั โนมตั ิ ประสาทสมอง อยกู่ บั สิ่งใดสิ่งหน่ึง -ต้งั ใจฝึกอยา่ งต่อเน่ืองทุก หลักการ ระบบอารมณ์ -เริ่มส่วนท่ีต้งั ของ พฒั นาจิตใตส้ านึก วนั พฤติกรรม ระบบอ่ืนๆ สติ เป็นตวั กรอง บริหารจิตใตส้ านึก -ฝึกอยา่ งจดจอ่ จุดพลงั เฝ้าดู ในร่างกาย สัญญาจาก เพอ่ื ดึงเอาพลงั งาน การไหลเวยี น -สมาธิเป็นกระบวนการ อายตนะสญั ญาถูก ออกมาใช้ -ทดสอบพลงั โดยการ จดั ระบบการทางาน ส่งไปตามที่ตา่ ง ๆ ประโยชน์ สังเกต เคล่ือนไหวอยา่ งมี ประสาท สมาธิ ฝึกกากบั ลมหายใจ ๓สมพร กนั ทรดุษฎี เตรียมชยั ศรี. การปฏบิ ตั สิ มาธิ เพ่ือการเยยี วยาสุขภาพ. ภาควชิ าการพยาบาลสาธารณสุข มหาวทิ ยาลยั มหิดล. พมิ พค์ ร้ังที่ ๑๑ . สิงหาคม ๒๕๕๔. พิมพท์ ่ี บริษทั เพชรเกษมพริ้นตงิ้ กรุ๊ป จากดั . นครปฐม.
๒๑๖ -การปฏิบตั ิสมาธิดว้ ย -ที่ต้งั สญั ชาตญาณ -การฝึกจิตมีหลาย -นง่ั ผอ่ นคลายประสานกาย การหายใจ เทคนิคการ ทาใหเ้ กิดอารมณ์ วธิ ี ๑)การจดจ่อ ๒) ประสานจิต ยนื ผอ่ นคลาย หายใจ การรับรู้ลม สังขาร ที่ต้งั การเพง่ ๓)การไม่ ประสานกายประสานจิต หายใจเป็นการสร้าง อารมณ์ทาใหเ้ กิด ยดึ ติด เมื่อนาจิต นง่ั ยดื เหยยี ดผอ่ นคลาย ความรู้สึกตวั จากการ ความรู้สึกเวทนา วญิ ญาณเกิดความ ประสานกายประสานจิต วิ ีธการ หายใจ เปลี่ยนแปลงไป ตระหนกั และ กา้ วยา่ งอยา่ งไทยเยยี วยา -หายใจลึก อตั โนมตั ิ ร่างกายสงบ กายประสานจิต ยดื เหยยี ด -หายใจเพ่ือเยยี วยาพลงั -จบั จดอยกู่ บั สิ่งใด อยา่ งไทย เยยี วยากาย ส่ิงหน่ึง ประสานจิต เทคนิคสมาธิ แบบเคล่ือนไหวไทยซี่กง- เทคนิคฝึกสมาธิเยยี วยาไทย จินตภาพ โครงการอบรมเชิงปฏิบตั ิการเรื่อง “รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาของสมาธิบาบดั แบบSKT รักษาโรค ไดด้ ว้ ยตนเอง” วตั ถุประสงค์ ๑) เพื่ออบรมใหค้ วามรู้ความเขา้ ใจสู่ พระสงฆ์ สามเณร และประชาชนทวั่ ไป ใหเ้ ขา้ ใจ เร่ือง การบูรณาการระบบสมาธิบาบดั รักษาโรคดว้ ยตนเอง แนวการฝึ กสมาธิไปสู่การรักษาโรค แบบบรูณาการศาสตร์ทางวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ และการฝึกสมาธิ ๒) เพอื่ เป็นส่วนหน่ึงของการเก็บขอ้ มูล โครงการวจิ ยั เร่ือง รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ กรณีศึกษาจากหนงั สือวรรณกรรมเรื่อง “สมาธิบาบดั แบบ SKT รักษาสารพดั โรคไดด้ ว้ ยตวั เอง” ไปสู่การเก็บขอ้ มูลงานวจิ ยั (ตามบนั ทึกขอ้ ความท่ี ศธ ๐๕๒๓.๑.๙.๔/๒๒๕๒ ลงวนั ที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๑) จดั โครงการฝึ กอบรมประจาปี งบประมาณ. ๒๕๖๑ หลกั สูตร “รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาของสมาธิบาบดั แบบ SKT รักษาโรคไดด้ ว้ ยตนเอง” วิทยากร โดย รองศาสตราจารย์ ดร. สมพร กนั ทรดุษฎี เตรียมชยั ศรี ระยะเวลา ๒ วนั ระหวา่ งวนั จนั ทร์ ๑๘ ถึง วนั องั คาร ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ อาคารหอประชุมสิริราชานุสรณ์ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั วทิ ยาเขตแพร่ จงั หวดั แพร่ โดยสรุปผลการศึกษา พบวา่ ประเภทหน่วยงานโรงพยาบาล ๒๒ คน ประเภทหน่วยงานอื่น ๆ และขา้ ราชการบานาญ ๘ คน ประเภทมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ๒๖คน ประเภทมหาวิทยาลัยแม่โจ้-แพร่ เฉลิมพระ เกียรติ ๒ คน ประเภทประชาชาชนทวั่ ไป ๔๙ คน รวมท้งั หมดจานวนผูเ้ ขา้ ร่วมโครงการอบรมเชิง ปฏิบตั ิการ จานวนท้งั หมด ๑๐๗ คน ตารางท่ี ๔.๒๒ แสดงรูปภาพการจดั อบรมเชิงปฏิบตั ิการโครงการเรื่อง รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญา ของสมาธิบาบดั แบบ SKT รักษาโรคไดด้ ว้ ยตนเอง วทิ ยากรโดย : รองศาสตราจารย์ ดร. สมพร กนั ทรดุษฎี เตรียมชยั ศรี วนั ท่ี ๑๘-๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ อาคารหอประชุมสิริราชานุสรณ์ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตแพร่
๒๑๗
๒๑๘
๒๑๙
๒๒๐ ตามความคิดเห็นของผศู้ ึกษาวจิ ยั ผลการศึกษาพบวา่ ๑)ที่มาความรู้เร่ือง SKT เป็ นการผสมผสานรูปแบบหลาย ๆ เอามารวมกัน พฒั นาข้ึนเป็ น นวตั กรรมแบบใหม่ นามาทดสอบทดลองแบบกระบวนการอยา่ งเป็ นวทิ ยาศาสตร์ การสะสมองคค์ วามรู้ มาเป็ นเวลา ๒๐ ปี คน้ ควา้ วิจยั ออกแบบ แกป้ ัญหากบั โรคต่าง ๆ เป็ นองคค์ วามรู้ จึงทาให้มีความแตกต่าง จากศาสนา และสมาธิแบบเดิม โดยความคาดหวงั ผูร้ ับการถ่ายทอดองค์ความรู้นวตั กรรม พฒั นาจิต วญิ ญาณทางสงั คม โดยการตอบแทนใหก้ บั คนอื่นตอ่ ไป ใหส้ ังคมมีความสุข ๒) แนวทางเหมาะสมสาหรับผมู้ ีแนวโนม้ ปัญหาเก่ียวกบั โรคทางกาย เป็ นสาคญั เป็ นนวตั กรรมที่ เหมาะสมสาหรับวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ ป้องรักษาสุขภาพไม่ใหเ้ ป็นโรคภยั ดีกวา่ การเยยี วยาเม่ือเป็นโรค เป็น แนวทางวิทยาศาสตร์ เป็ นกระบวนการจดั ระบบการทางานประสาท เร่ิมท่ีต้งั สติเป็ นตวั กรองสัญญาจาก อายตนะ เป็นการประมวลนาหลกั การและแนวคิดดา้ นศาสนาเป็นสะพานเช่ือมวทิ ยาศาสตร์ อยา่ งสมดุลกนั สมาธิจาดีไดค้ วามรู้ สุขภาพแขง็ แรง เป็นเทคนิคกระบวนการวธิ ีการเพื่อพฒั นาไปสู่การใชส้ มาธิบาบดั เพ่ือ การรักษาโรคและการดูแลสุขภาพ เป็นหลกั การฐานกายนาทางสู่ปัญญา ๓) คาสาคญั “กายประสานจิต” และ “จิตประสานกาย” ช้นั สูง ความเชื่อมนั่ รูปแบบการฝึ กฝน ความอดทน เป้าหมายคือ การรักษาโรคเป็ นจริง และเป็ นประโยชน์ต่อสุขภาพเป็ นอยา่ งยงิ่ การสร้างความ สมดุลในร่างกาย การควบคุมระบบประสาทสัมผสั ที่ไดจ้ าก ตา หู จมูก ลิ้น สัมผสั การเคล่ือนไหว มีผลต่อ
๒๒๑ การทางานระบบส่วนกลาง การทาสมาธิ จิตประสานกาย และกายประสานจิต พบวา่ เป็ นการควบคุมและ ฝึ กระบบประสาทสัมผสั ตามอายตนะ ๖ มีผลต่อการทางานประสาน ระบบอารมณ์ และระบบอื่น ๆ ใน ร่างกาย ตามเทคนิคการหายและกระบวนการเคลื่อนไหวตามอิริยาบถ ๔) การฝึ กตอ้ งอาศยั ความศรัทธา ความเชื่อมน่ั และความเพียรอยา่ งต่อเนื่อง ตอ้ งทาการฝึ กอยา่ ง ตอ่ เนื่อง อยา่ งคล่องแคล่ว ตอ้ งปฏิบตั ิทุกวนั ฝึกฝนตอ้ งใหจ้ อจ่อจุดพลงั และเฝ้าดูการไหลเวยี น ฝึกทดสอบ พลงั โดยการสังเกตการณ์เคล่ือนไหว การหายใจและการเคล่ือนไหวตามอิริยาบถ การปฏิบตั ิสมาธิกบั ลม หายเป็นการสร้างความรู้สึกตวั การหายใจอยา่ งมีความรู้สึกตวั ๕) SKT แกไ้ ขปัญหาสุขภาพ คนท่ีมีปัญหาเก่ียวกบั โรคต่าง ๆ วธิ ีการฝึกหายใจ ตอ้ งฝึกการหายใจ ให้ถูกวิธี เอาการเคล่ือนไหว ผสมผสานกบั การหายใจ (SKT ๑) “สูดลมหายใจลึกๆ ผ่อนลมหายใจออก ทางปากยาวๆ” ซ่ึงแตกต่างจากการหายใจจากการนง่ั สมาธิตามอานาปานสติ ไม่จาเป็ นตอ้ งฝึ กทุกเทคนิค เพียงเลือกท่ีเหมาะสมสาหรับตนเอง ประกอบกระบวนท่า SKT ๑-๗ และระยะเวลาการเคลื่อนไหว และ การหายใจตามรอบระยะเวลาตอ้ งทาอยา่ งต่อเนื่องและเป็นประจา ๖) การกาหนดความรู้สึกไปยงั อวยั วะตา่ ง ๆ ของร่างกายตลอดจนร่างกาย (SKT ๖) เหมือนกบั การ ไหลเวยี น กระแสพลงั งาน ต่าง ๆ คลา้ ยกบั การสง่ั สมาธิเจริญวปิ ัสสนา เนื่องจากร่างกายไม่อาจเคล่ือนไหว ได้ แต่ใชค้ วามรู้สึกในการกาหนดไปยงั ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รูปแบบ SKT เป็ นความเยี่ยมยอดและการ ผสมผสานศาสตร์สมยั ใหม่ใหเ้ ป็ นวิทยาศาสตร์ เป็ นการทดลองวิจยั เงื่อนไข ความสาเร็จผลที่เกิดต่อกาย ข้ึนอยกู่ บั วา่ ผปู้ ฏิบตั ิ มีความศรัทธา ความต่อเนื่อง สั่งสมโดยการตอ้ งฝึกเป็นประจาทุก ๆ วนั ๗) ความสัมพนั ธ์เรื่องพระสูตรมหาสติปัฏฐาน ๔ กบั กรณีศึกษาสมาธิบาบดั รักษาโรคดว้ ยตนเอง แบบ SKT คือ ฐานกายนาทางจาก การฝึ กการหายใจคืออานาปานสติ หายใจเขา้ หายออกส้ันยาว เนน้ การ สร้างรูปแบบลมหายใจเพ่ือการรักษาและเยียวยาโรค แต่เทคนิคนวตั กรรมการหายใจเป็ น “สูดลมหายใจ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกทางปากยาวๆ” อิริยาบถ คือ การเคลื่อนไหวของกาย “กายประสานจิต” เป็ น รูปแบบเฉพาะอยา่ งเป็ นไปเพ่ือการรักษาสุขภาพ ผสานอายตนะในฐานธรรม ส่วนฐานเวทนา คือ การผู้ ปฏิบตั ิเป็ นผมู้ ีปัญหาสุขภาพดว้ ยการเจ็บป่ วยไม่สบายกายเป็ นทุกขเวทนาที่นาไปสู่ปัญญาเรียนรู้เพื่อฝึ กจิต ใหส้ ู่ฐานธรรมไดอ้ ีกข้นั ๘)โดยพ้ืนฐานความสาเร็จ คือ ตวั ผูป้ ฏิบตั ิ ตอ้ งมีความศรัทธา ความเช่ือมน่ั และปัญญา สร้าง ความรู้และความเขา้ ใจ ฐานเวทนา คือ ความเจ็บป่ วยประสบความทุกขท์ างกาย กระบวนการฝึ กฝนตาน รูปแบบ SKT จะเป็นประโยชนต์ ่อการรักษาและเยยี วยาได้ ตอ้ งทาอยา่ งต่อเนื่อง มีความพากเพียร โดยอิทธิ บาท ๔ ประกอบการปฏิบัติ รู้แต่ไม่ทาก็ลืม เวทนาจะช่วยให้ประสบการณ์ทางกายได้อย่างเข้าใจ ประสบการณ์ความเจ็บป่ วยทางกาย ทาให้นวตั กรรม SKT เป็ นประโยชน์อย่างยิ่งต่อตวั ผูป้ ฏิบตั ิตาม แนวทางไดเ้ ป็นอยา่ งยง่ิ เป็นประสบการณ์ที่เกิดข้ึนแทจ้ ริง ๙) กาหนดความรู้สึกไปยงั อวยั วะต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หนา้ ผาก ขมบั แกม้ ตา คาง คิ้ว แขน หนา้ อก หนา้ ทอ้ ง และทวั่ ท้งั ตวั คือ การเจริญวปิ ัสสนากรรมฐาน นนั่ เอง
๒๒๒ กรณีศึกษา ๒) รูปแบบการเข้าถึงปัญญาแบบเทคนิค NLP (Neuro Linguistic Programming) ผวู้ จิ ยั มีความสนใจศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึนบนโลกปัจจุบนั เพ่ือหาความหมายเชื่อมโยงเรื่องสติ ปัฏฐาน ๔ และมีความเช่ือว่าทุกสิ่งมีเน้ือแทค้ วามรู้ของจกั รวาลและสามารถเช่ือมโยงองค์ความรู้กนั ได้ เพียงแต่จะอธิบายในมุมมองอย่างไรและความกวา้ งและลึกเป็ นเท่าใด แต่สุดทา้ ยจกั รวาลที่รวมทุกอยา่ ง ขององคค์ วามรู้ท้งั หมด จึงใหค้ วามสนใจเร่ือง NLP กบั ความสัมพนั ธ์ในการอธิบายเร่ืองสติปัฏฐาน ๔ เป็น กรณีศึกษาประกอบกบั เพ่ือนนกั วชิ าการแนะนาให้ผศู้ ึกษาวจิ ยั เขา้ ไปรับการอบรมหลกั สูตรสาหรับบุคคล ทว่ั ไป เกี่ยวกบั แนวทาง NLP เพื่อคน้ หาแรงบนั ดาลใจ และจุดมุ่งหมาย ต่อไป สาหรับเก็บขอ้ มูลโดยการ เขา้ รับการอบรมหลกั สูตรเก่ียวกบั เร่ือง NLP เบ้ืองตน้ เมื่อวนั ท่ี ๖-๑๐ กนั ยายน ๒๕๖๑ ระยะเวลา ๓ วนั ณ กรุงเทพมหานคร เป็ นการอบรมเบ้ืองตน้ ในหลกั สูตรเปิ ดเพื่อให้ผูค้ นทว่ั ไปเขา้ ไปลองเรียนรู้โดยไม่มี ค่าใช้จ่าย เพ่ือถ้าคนใดชอบแนวทางจะไดล้ งทะเบียนเพื่อเรียนหลกั สูตรต่อไปโดยมีค่าใช้จ่ายเพื่อการ ลงทะเบียนตามท่ีตนสนใจ โดยผศู้ ึกษาวจิ ยั ไดส้ รุปจากการอบรมตามประเดน็ การบนั ทึกความคิดและการ ตีความตามความเขา้ ใจของผศู้ ึกษาวจิ ยั ผลการศึกษาสรุปไดว้ า่ ๑) โดยจากการคน้ หาคาว่า กระบวนการแบบ NLP ตาม Goggle ผูศ้ ึกษาจึงพบว่า ความหมาย NLP ย่อมาจากคาว่า Neuro - Linguistic Programming ความหมาย ๑) Neuroหมายถึง ระบบประสาท ระบบสมองซ่ึงตวั รับและกลน่ั กรอง ประสบการณ์การรับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตวั ผา่ นอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น สัมผสั แลว้ แปลความหมายผา่ นกระบวนการคิด โดยจิตสานึกและจิตใตส้ านึก แลว้ กระบวนการคิดน้ี จะ ไปกระตุน้ ให้ระบบประสาทหรือสมองทางาน ก่อให้เกิดการแสดงออก ทางอารมณ์และพฤติกรรม สามารถส่ือสารกบั ระบบประสาทเพ่ือให้บรรลุผลตามวตั ถุประสงคท์ ่ีต้งั ไวเ้ ฉพาะเจาะจง ๒) Linguistic หมายถึง วิธีการท่ีมนุษยใ์ ช้ภาษาเป็ นเคร่ืองมือ ในการตอบสนองเหตุการณ์ที่เกิดข้ึน เป็ นการใชภ้ าษาไป แปลความ แลว้ สื่อความไปยงั ตวั เองและบุคคลอื่น ภาษาและการสื่อสารที่ไม่ใช่ภาษาเป็ นการส่ือสารผ่าน ประสาทสัมผสั ตอ้ งทาการเขา้ รหสั จดั ลาดบั และตีความ พบวา่ ถอ้ ยคาที่คุณคิดและพูด มีผลต่อ พฤติกรรม ของคุณโดยตรง ภาษาจิตประสาท ภาษาพูด ภาษากาย ภาษาท่าทางต่าง ๆ มีผลต่อระบบประสาท NLP ภาษาตอกย้าลงทุก ๆ วนั คิดบวก ทุก ๆ วนั ชื่นชมอะไรอย่างจิตใจ สร้างแรงดึงดูดท่ีดีในชีวิต ๓) Programming หมายถึง กระบวนการปลูกฝังวธิ ีคิด วธิ ีใชภ้ าษา และการเคลื่อนไหวทางร่างกาย เพือ่ สร้าง สภาวะจิตและรูปแบบ การคิดใหม่ที่ทรงพลงั อนั จะส่งผลต่อการแสดงออกทาง ร่างกายที่ดีเลิศ เป็ นการ เปลี่ยนโครงสร้างการคิดและอารมณ์ ในรูปแบบใหม่ ที่จะก่อให้เกิดผลลพั ธ์ยอดเย่ียมในทุก ๆ ดา้ น ของ ชีวิต ไม่วา่ จะเป็ นการตดั สินใจ การแกป้ ัญหา การเรียนรู้ การประเมินค่า และเพิ่มประสิทธิภาพความจา เปรียบเสมือน การลบโปรแกรมตวั ตนคนเดิมที่ไม่มีประสิทธิภาพออกไป แล้ว ลงโปรแกรมใหม่ที่มี ประสิทธิภาพมากกวา่ เดิมลงในสมอง ดงั น้นั ทาความเขา้ ใจของกระบวนการสมอง ปรับระบบความคิด อาจจะศึกษาจากบุคคลท่ีประสบความสาเร็จในชีวิต พบว่า บุคคลที่ประสบความสาเร็จมีอะไรหลาย ๆ อย่างท่ีเหมือนกนั ถอดแบบความสาเร็จโดยคนท่ีประสบความสาเร็จโดยใช้ความรู้ด้านสนใจมีศึกษา ร่วมกนั จึงเป็นแม่แบบแห่งความสาเร็จออกมาเป็ นชุด แลว้ นาไปสู่การพฒั นาตนเองอยา่ งเป็นระบบ
๒๒๓ ๒)โดยจากการบอกเล่าผเู้ ขา้ ฝึ กหลกั สูตร NLP ที่ไปฝึ กอบรมหลายหลกั สูตร การลงทะเบียนเพ่ือ เขา้ รับการอบรม กล่าววา่ ๑)การประยกุ ตห์ ลกั การ NLP กบั การปฏิบตั ิสมาธิคลา้ ยคลึงกนั เป็นการดึงจิตใต้ สานึกออกมาโดยใช้วิธีการนาไปสู่การรีเซท (Reset) โปรแกรมใหม่ตามคาสั่งโดยเป็ นเรื่อง ๆ ไป ๒) วธิ ีการจะเขา้ ถึงจิตใตส้ านึกขณะ ๑๕ นาที ช่วงเหมือนการนอนหลบั อยเู่ พ่อื คน้ หาจิตใตส้ านึก แลว้ นาจิตใต้ สานึกออกมาใชง้ าน ๓) การควบคุมจิตใตส้ านึกให้ทางานไม่ได้ แต่เวลาเราต้งั ใจให้จิตต้งั ใจทาอะไรแลว้ ทาไม่ไดเ้ พราะจิตใตส้ านึกยงั ทางานอยู่ เมื่อจิตใตส้ านึกปรากฏตวั บางอย่างไม่มีเหตุผล จึงกระทาการ ออกมาโดยไม่มีเหตุผล จึงใหค้ วามสาคญั กบั “จิตใตส้ านึก” ๓) NLP เป็ นเหมือนการฝึ กพูดคุยกับจิตใต้สานึกของตัวเอง ให้เป็ นอย่างท่ีหลกั สูตรเขา้ รับการ อบรม เพ่ือสร้างกระบวนการสื่อสารกบั ตวั เอง โดยสร้างเหตุปัจจยั อยา่ งชาวโลก มนุษยท์ ้งั หลาย ทาไดต้ าม ปัญหาซ้า ๆ ไดแ้ ก่ ปัญหาสุขภาพกายความไม่สบายเจบ็ ป่ วย ปัญหาการเงินฐานะทางเศรษฐกิจความร่ารวย ซ่ึงคนส่วนมากมีความตอ้ งการความร่ารวย ปัญหาความสัมพนั ธ์กบั บุคคลทว่ั ไป ครอบครัว สามีภรรยา และปัญหาหนา้ ที่การงานความกา้ วหนา้ ฯลฯ ท้งั หมดใครเป็ นคนก็ตอ้ งเจอปัญหาอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง แต่จะ มากน้อยหรือความตอ้ งการแตกต่างกนั ออกไป โดยนาผูป้ ระสบความสาเร็จมาเล่าให้ฟังในการสร้าง ความสาเร็จท้งั หลาย แต่ถามวา่ มีใครสักก่ีคนสาเร็จไดต้ ลอดไป แลว้ ปัญหาอาจไม่เหมือนกนั เพียงแตเ่ วทนา วธิ ี NLP จะแกป้ ัญหาดีในระดบั หน่ึงเทา่ น้นั แต่อาจไมถ่ อดรากเหงา้ ของปัญหาไดท้ ้งั หมด ๔) ปัญญาจาก NLP คือความสาเร็จ ทาอยา่ งไรจึงประสบความสาเร็จในชีวิต โดยการใชว้ ธิ ีระบบ ประสาท วิธีการคิด วิธีการตดั สินใจ วิธีการควบคุมอารมณ์ การสื่อสารกบั ตนเองตลอดเวลา ส่ือสาร อยา่ งไร กระบวนการสื่อสารกบั ตวั เอง สื่อสารกบั จิตใตส้ านึก การพูดกบั ตวั เอง เรามีวิธีการพูดกบั ตวั เอง อยา่ งไร เพ่ือให้เราไดส้ ่ิงท่ีเราตอ้ งการ การสร้างโปรแกรม ดึงกลยทุ ธ์ความสาเร็จไปยงั ส่ิงที่ตอ้ งการ ตอ้ งมี กระบวนการและเป็ นข้นั ตอน คล้ายกับการนาฐานธรรม ผสมผสานฐานจิต ให้มีการสร้างผลท่ีเป็ น ประสิทธิภาพภายใตก้ ระบวนการต่าง ๆ นาไปสู่การสร้างแรงบนั ดาลใจในส่ิงปรารถนาใหม้ ีความเป็นจริง และมีความสุข จากการเกบ็ ขอ้ มูลโดยการจดบนั ทึก นาเสนอขอ้ มูล ดงั ตอ่ ไปน้ี -การสร้างเหตุปัจจัยแห่งความสาเร็จ เรารู้สึกอย่างไรเรารู้ได้อย่างไรเป้าหมายของชีวิตอยู่ใน ร่างกายของเราท่ีไหนสักแห่งหน่ึงเราจะรู้เม่ือเราคู่ควร ความสาเร็จไม่ไดม้ าเพราะเราตอ้ งการ แต่มาเพราะ เราคู่ควร การคู่ควรกบั เหรียญทองในโอลิมปิ ก เพราะเราคู่ควรผ่านการเตรียมตวั ผา่ นการฝึ กฝน เม่ือเรา คู่ควรส่ิงน้ันจะมา เราจะไปท่ีไหนวสิ ัยทศั น์ เป้าหมาย เราไดท้ าใหส้ าเร็จหรือยงั เราโกงตวั เองโดยการลด เป้าหมายลงมา ทาไมเราไม่ไดใ้ นสิ่งที่ตอ้ งการ เพราะเราไม่คู่ควร การคู่ควรเขาจะทาทุกอย่างทจี่ ะทาให้ได้ ส่ิงน้ัน จะทาทุกอยา่ งที่จะทาให้ไดส้ ่ิงน้นั มา เรียนรู้มากข้ึนไปดว้ ยกนั ไดด้ ีข้ึน รักทุกอย่างทท่ี า เป็ นต้นแบบ ที่ดี ฉนั ยอดเย่ยี ม สนุกสนานกบั โลกการให้อยา่ งไร้เงื่อนไข เรียนรู้มากข้ึน ไปดว้ ยกนั ไดด้ ี เป็ นตน้ แบบที่ดี สร้างสมดุล เรารู้วา่ สิ่งน้นั ดี แต่เรายงั ไม่รู้วธิ ีทาในส่ิงน้นั ให้สาเร็จ อะไรท่ีหยดุ เราอยู่นนั่ คือการตดั สินใจ แลว้ คาตอบกจ็ ะมาเอง
๒๒๔ -ชีวติ เริ่มต้นเม่ือเราตดั สินใจ เป้าหมายของชีวติ มาพร้อมกบั เราต้งั แต่เกิด ถา้ เราคู่ควรเป้าหมายก็จะ สาเร็จ เมื่อเราอพั เกรดจะไม่อยากตาย การทางาน คือ การทาเป้าหมายใหส้ าเร็จ ไมไ่ ดท้ าเพอ่ื ประสบการณ์ การทางานเป็ นโอกาสในการสร้างเร่ืองเล่าเป็ น เพราะเราส่ิงน้นั จึงเกิดข้ึนมาเราตอ้ งทาให้ดีข้ึน ถึงแมว้ ่า เจ้านายไม่ได้บอกให้เราทาน่ันเป็ นวิธีคิดของคนประสบความสาเร็จ เราจะเร่ิมต้นอย่างไร เราเป็ น ผเู้ ช่ียวชาญดา้ นความสงสัยตวั เราเอง เมื่อเราใหค้ วามสนใจ focus อะไรเราจะตดั สินใจทาส่ิงน้นั ในวนั แรก และวนั ต่อ ๆ มา เราก็จะใชช้ ีวติ เหมือนการตดั สินใจในวนั แรก ถา้ เราชาระลา้ งตวั เราเองความสงสยั ออกไป แลว้ ใส่ใจของความต้งั ใจ มนั่ ใจเขา้ ไปแทน โดยการใช้ความมีวินยั ทาในทุกวนั ความสม่าเสมอ เม่ือเรารู้ แลว้ วา่ เราอยใู่ นเส้นทาง เราจะไดร้ ับส่ิงน้นั คือ ความเข้มของความตั้งใจ เจตนาอันแรงกล้า -ความเป็ นมนุษย์เป็ นสิ่งทดี่ ีที่สุด ระบบท่ีทรงพลงั มากที่สุด เขารู้จกั เราไดอ้ ยา่ งไรนนั่ ไม่ใช่เรื่อง ของโชคแต่เป็ นกระบวนการเพราะเราคู่ควร การฝึ กฝนทาใหท้ กั ษะพฒั นาดียงิ่ ข้ึน ความเมตตา การช่วยให้ ผคู้ นไดร้ ับส่ิงที่เขาตอ้ งการเราจะไดร้ ับสิ่งท่ีเราตอ้ งการมากข้ึน การ(โคช้ ) ผชู้ ่วย การช่วยใครบางคนไปใน จุดที่เขาตอ้ งการ การช่วยแกป้ ัญหาของเขาทาให้เราแกป้ ัญหาของเราไปพร้อมกนั ถา้ ยงั ไม่ตายก็ยงั เติบโต ถา้ ยงั เติบโตก็ยงั เรียนรู้ได้ ถา้ เราไม่ใช่มนั มนั ก็สูญเสียมนั ไป ร่างกายของเรา ฉลาดที่จะดูแลรักษาตวั เอง ลูกสาวกบั พ่อยงั ไม่เจอ คนที่ใช่ พ่อถามลูกสาวเธออายุมากแลว้ เม่ือไหร่จะแต่งงานในขณะท่ีเธอตอบว่ายั งไม่เจอคนท่ีใช่ อีกครอบครัวหน่ึงแม่ถามวา่ ลูกชายเธออายมุ ากแลว้ เมื่อไหร่จะแต่งงานในขณะท่ีเขาตอบวา่ ยงั ไม่เจอคนท่ีใช่ เธอและเขาคือ คนท่ีไม่ใช่ คนท่ีฉลาดจะเก็บความสัมพนั ธ์วนั แรกไปตลอดชีวิตไปตาม กระแสเพราะเราไม่มีทิศทางของเราเอง ความสัมพนั ธ์เหมือนการสร้างบา้ นดว้ ยอิฐทีละกอ้ น -การเรียนรู้เข้าใจสิ่งภายนอก ตอ้ งเรียนรู้วา่ จะอยูก่ บั ส่ิงเหล่าน้นั อยา่ งไร สิ่งที่เราเห็นจะกลายเป็ น จริง เมื่อไรพูดในส่ิงท่ีเราต้องการทาในสิ่งท่ีเราต้องการ เราจะไม่พูดหรือทาในส่ิงท่ีเราไม่ตอ้ งการ ไม่มี ทางเลือกไม่มีคาวา่ ไม่มีทางเลือก เพราะว่าเรารู้วา่ เมื่อเราตดั สินใจทาเมื่อเราตดั สินใจไม่ทาเราก็จะไม่ทา ดงั น้นั มีทางเลือกเสมอ ดงั เร่ืองเปรียบเปรยเรื่องการเลือกเป็ นทหาร ๒ ทางเลือก ๑)เลือกเป็ นทหาร ๒)หนี ไปทางเลือก คือ ๑) คดิ think ๒)รู้สึก feel ๓)พูด talk ๔)ทา act อดีตท้งั หมดอยใู่ นร่างกายของเรา ความ เป็ นอิสรภาพจากทุกส่ิง เมื่อเราไม่มีใครตอ้ งมารับผดิ ชอบตวั เราคือช่วงเวลาของอิสรภาพ ถา้ เรายึดติดกบั ใครบางคนเขาอาจทาใหเ้ ราพงั ได้ ทางเลือก ๑)การทาส่ิงประโยชน์คืออะไร ๒)ไม่ทาสิ่งที่เป็นประโยชน์ คืออะไร ถา้ เราโทษคนอ่ืนเราจะตายก่อน จะไดแ้ กไ้ ขปัญหา -สร้างปัญญาจากปรากฏการณ์ ทุกอยา่ งท่ีเราเรียนรู้ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เราไม่ไดเ้ รียนรู้จากใคร ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เราเพียงแค่รู้อยแู่ ลว้ ใน DNA ของเราเรารู้วา่ เรารู้อะไรเราคือใคร ประสบการณ์ทม่ี ีความเข้มข้น ทางอารมณ์ ไม่มีใครลืมอะไรไดเ้ ลย ทุกส่ิงเป็ นประสบการณ์อยูใ่ นร่างกายของเรา เราเป็ นอดีตของเรา สร้างความเข้มแขง็ ของจิต จิตใจที่แขง็ แกร่ง คือความออ่ นแอเพราะนนั่ คือความไมส่ งบสุขเราตอ้ งสงบสุข มากกวา่ แข็งแกร่ง ประสบการณ์ท่ีไม่ดีเป็ นจุดเริ่มตน้ ของการเจ็บป่ วยของเรา ถา้ เรารู้สึกง่วงนนั่ แสดงวา่ เรามีประสบการณ์ท่ีไมด่ ีเยอะมาก เราตอ้ งมีเหตุผลอนั ยงิ่ ใหญ่ที่จะแกไ้ ขปัญหาของเรา -การให้คุณค่าต่อบุคคลจากการให้คุณค่าตัวเองภายใน การประเมินคุณค่าคนอ่ืนต่าเป็ นเพราะ ตวั เองมีคุณค่าต่า เราถูกทาลายดว้ ยความเช่ือของเราเองดงั น้ันเราตอ้ งเรียนรู้ในการทาลายความเชื่อน้นั
๒๒๕ มนุษยเ์ ป็ นสิ่งท่ีฉลาดแต่ชีวิตทาให้มนุษยย์ งั ไม่ฉลาด ถา้ เราใชค้ วามฉลาดของเราเราจะฉลาดมากข้ึนย่งิ ใช้ ยิง่ ไดม้ ากและมากข้ึน เราไม่รู้ทุกอยา่ งท่ีเรารู้ เรารู้ไดอ้ ยา่ งไรวา่ เรารู้ เรารู้ดว้ ยการต้งั คาถาม ถามตวั เอง เรา จะไดค้ าตอบดว้ ยตวั เราเอง คาตอบอยใู่ นคาถาม รักและเมตตาต่อสรรพส่ิง เทคนิคตอ้ งใชเ้ วลามองตวั เอง ในกระจกเพ่อื รู้จกั ตนเอง พดู คุยกบั ตนเอง ถา้ เราไมม่ องแลว้ ใครจะมองเรา มองเขาและพูดใหน้ อ้ ยลง รู้สึก ไม่ปลอดภยั แต่ดีข้ึน ในคนต่อ ๆ มา เขาเป็นของขวญั ที่ดีท่ีสุด มองเห็นความสมบูรณ์ในตวั เขาที่เราไม่เคย มองมาก่อน ถึงแมว้ า่ เรารู้ เราก็ยงั ไมร่ ู้อะไรเลย เรารู้เพียงการรับรู้ของเราเทา่ น้นั -จงตัดสินใจด้วยความเป็ นกลาง เป้าหมายสาเร็จดว้ ยการตดั สินใจและลงมือทา ประสบการณ์ เจ็บปวดเป็ นของขวญั ของเรา อาการป่ วย เกิดข้ึนจากประสบการณ์ท่ีไม่ดี ตวั เรา ฉนั คือคนที่สาคญั ที่สุด เมื่อเราดูแลตนเองได้เราจะดูแลผู้คนได้ มนุษยม์ ีหลายดา้ นถา้ เราหันดา้ นท่ีดีให้ผูค้ นผูค้ นจะหันดา้ นท่ีดี ใหก้ บั เรา ไม่มีประสบการณ์ท่ีไมด่ ีมีแต่ขอ้ สรุปท่ีไม่ดี ผคู้ นและเหตุการณ์ไมเ่ ปล่ียนแปลงเราจะใหข้ อ้ สรุป กบั ประสบการณ์ใหด้ ีไดอ้ ยา่ งไร เราจะทาอยา่ งไรใหผ้ คู้ นมีความสุข - ความเป็ นอิสระและมีระเบียบวินัย ความอิสระคือไม่มีระเบียบวินัย อิสรภาพท่ีไม่ยง่ั ยืน มี ระเบียบวินยั คืออิสรภาพอยา่ งยง่ั ยนื คุณค่าของตนเอง คือ คนท่ีสอดคลอ้ ง การทาตวั เองไดร้ ับคุณค่า ไม่ ทาให้ตวั เองผิดหวงั เป้าหมายชีวิต ชีวิตยาวนานพอที่จะทาใหถ้ ูกตอ้ งและใชช้ ีวิตอย่างถูกตอ้ ง ทาไมตอ้ ง เป็ นเราทาไมไม่เป็ นเราเราสามารถฝึ กรักในสิ่งท่ีไมช่ อบได้ แลว้ ทาอยา่ งร้อยเปอร์เซ็นต์ อยา่ ตกปลาในที่ท่ี มีคนตกปลาอยเู่ ยอะแลว้ บอกวา่ ทาไดก้ ่อนแลว้ จึงหาวธิ ีที่จะทาใหไ้ ด้ เป้าหมายชีวติ คือทาได้ดแี ล้วช่วยผู้คน คือความรับผิดชอบ เราจะทาใหผ้ คู้ นมีความสุขไดอ้ ยา่ งไร ผคู้ นมีความสุข เรามีความสุขมากข้ึนที่ที่เราอยู่ ตอนน้ีคือท่ีที่คู่ควรกบั เราแลว้ ถา้ เราอยากไปท่ีอื่นก็ทาใหต้ วั เองเปล่งประกายออกมาเราตอ้ งฝึ กฝนท่ีจะรัก อะไรบางอยา่ งและเม่ือเราคู่ควรสิ่งน้นั จะปรากฏลา้ หลงั เพราะไมไ่ ดค้ ิดใหญ่ -การฝึ กฝน ไม่มีใครเกิดแลว้ ทาไดเ้ ลย เราตอ้ งฝึกฝน ถา้ ยงั ไม่มีใครบอกเราวา่ เราบา้ แสดงวา่ ยงั ไม่มี อะไรเกิดข้ึนเลย ไม่วา่ เราอยูท่ ี่ไหนที่นนั่ .คือโอกาสในการฝึ กฝนในการเป็ นคนท่ียอดเยีย่ ม.จากที่นี่ ตอนน้ี สิ่งที่ดีท่ีสุดถดั ไป กาลงั มา ความจริง เจ็บปวด ถา้ เราเช่ือเราจะเจ็บปวด โชคชะตา การมาเจอกันของการ ฝึ กฝนและโอกาส ต้องการอะไรกฝ็ ึ กส่ิงน้ัน ร่างกายมนุษยม์ นุษยร์ ่องรอยตลอดเวลา อารมณ์ทาให้ส่ิงต่าง ๆ แตกต่างกันการควบคุมอารมณ์ทาใหเ้ ราทาสิ่งต่าง ๆ อยา่ งยอดเย่ียมส่งผลต่อคุณภาพของการลงมือทา เม่ือ เราควบคุมอารมณ์ไดเ้ ราจะมน่ั คง แลว้ จะเป็นคนสม่าเสมอ -ชีวติ เป็ นเพยี งจินตนาการ ทุกอยา่ งเกิดข้ึน ๒ คร้ัง ถา้ ไม่มีผคู้ นเราก็จะไม่ประสบความสาเร็จรู้วา่ ไปโรงเรียนเพื่ออะไรมีศกั ยภาพมากกวา่ ที่รู้เหตุผลท่ีต่ืนข้ึนมา วา่ ต่ืนข้ึนมาเพ่ือทาอะไรบา้ ง เรียนในส่ิงที่ โรงเรียนไม่ไดส้ อน ยินดีกบั ทุกท่านท่ีให้โอกาสตนเอง อนุญาตในการเรียนรู้ ความหมายใหม่ของคาว่า เกษียณ คาพูดเป็ นฉนวนของความสาเร็จ การเรียนรู้ตอ้ งนาไปเป็ นประสบการณ์ผ่านความทา้ ทาย ไม่ ต่อตา้ นแต่ตอ้ งสู้ ชีวติ อยตู่ รงไหนการเรียนรู้อยูต่ รงน้นั อดีตยงั ไม่จบและกาลงั เกิดข้ึนตอนน้ี อดีตแกไ้ ขได้ อดีตทาใหเ้ ราเป็ นตวั เราในปัจจุบนั กลบั ไปอดีตเพื่อดูวา่ เราส่ือสารในหวั ขอ้ สรุปอะไรเม่ือเราเปลี่ยนความ เช่ือชีววทิ ยาร่างกายก็เปลี่ยนเมื่อเราช่วยใครบางคน เราก็ตอ้ งช่วยตวั เราเองไปดว้ ย การเฉลิมฉลองเราไม่ได้ เฉลิมฉลองกบั ความสาเร็จของเราในอดีต ปัจจุบนั เราจึงเป็ นคนธรรมดาเราตอ้ งยอ้ นเวลากลบั ไปเฉลิม
๒๒๖ ฉลองกบั ทุก ๆ ความสาเร็จของเราความสนใจ ทุก ๆ นิสัยที่เรามีเคยมีประโยชน์กบั เราเสมอ ขอบคุณนิสัย ทุก ๆอยา่ งที่เรามี เราขอบคุณตวั เอง เราขอบคุณ ของเราเขียนนิสัยต่าง ๆ ของเราออกมาท่ีเราตอ้ งการเขียน ผลลพั ธ์ท่ีตอ้ งการเขียนเพ่ือเราจินตนาการ ในส่ิงน้นั เกิดข้ึนเร่ือย ๆ เพื่อนตวั เราเอง.เพื่อทาให้เราอยู่ใน เส้นทางเล่ือนข้ึนมาทุกส่วนของร่างกาย กล่าวคาต่าง ๆ กบั ร่างกาย การมีชีวติ ทีย่ ืนยาวทาให้ตนเองเป็นคน ทาตวั ของเราเขาให้ดีที่สุด มีสุขภาพที่แข็งแรง รู้ว่าจะไปท่ีไหน การเปลี่ยนแปลงเราไม่ไดเ้ กิดมาอยา่ ง บริสุทธ์ิ เด็กคนฝาแฝด เกิดมากต็ ่างกนั ถา้ เรามีความสุขกบั ทุก ๆ อยา่ ง ตวั เองและสภาพแวดลอ้ ม เรามีสิ่งท่ี ตอ้ งการและไม่ตอ้ งการ เมื่อเราเร่ิมทาอะไรวนั แรกทา วนั ที่ ๒ ยงั ทาหลายวนั ผา่ นไป เลิกทาคนจะไม่สูบ บุหร่ี ถา้ ฉลาดมากพอ เราเสพติดสิ่งดี ๆ เราทาคร้ังแรก เราจะทาอีกถา้ เราเสพติดสิ่งท่ีไม่ดี เมื่อเราทาคร้ังแรก เราจะทาอีก เป็นการเสพติด วธิ ีท่ีจะเปลี่ยนใหพ้ ูด ๔ คา I love you , I am sorry, forgive me , Thank You -ปัญหาความสัมพนั ธ์เม่ือเรามีความสัมพนั ธ์ทีไ่ ม่ดีกับคนอ่ืน เป็ นเพราะเรามีความสัมพันธ์กับตัว เราเอง เรามีเหล็กใน ของหางแมงป่ องในตวั เรา ความคิดคาดหวงั กบั ตนเองไม่ใช่กบั คนอ่ืน‘Expectation’ เราต้องฝึ กฝนตัวเราเองและเชื่อใจตัวเราเองให้ได้ก่อน การเตรียมพร้อมทีละข้นั ตอนเพ่ือเราก้าวเดินสู่ ความสาเร็จ ความกลวั ลูกมีความกลวั เพราะพ่อแม่มีความกลวั โลกน้ีวุ่นวายเพราะมีคนอ่ืนตดั สินผูค้ น ปัญหาความสัมพันธ์กับผู้คนเข้าไปเป็ นเขาแล้วเห็นอกเห็นใจเขา และแกป้ ัญหาความสัมพนั ธ์กบั ตนเอง ความสัมพนั ธ์กบั ผูค้ นที่จะยอดเย่ียมเป็ นเร่ืองความสัมพนั ธ์ท่ีเราจะเห็นอกเห็นใจ ไม่มีเรื่องส่วนตวั และ รับผิดชอบที่เราอนุญาต ให้เราถูกโกงเป็ นเพราะเราอยูต่ รงน้นั จึงทาให้เขาโกงเราไดส้ าเร็จ เราทาให้เรา ไดร้ ับสิ่งที่เราตอ้ งการ คือการโกงเราเราไดจ้ า่ ยเงิน ค่าบทเรียนที่เราไดร้ ับเกี่ยวกบั การโกง -เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาคือครู เรารู้เมื่อเขารู้วา่ เรากาลงั มองหาอะไร ครูอยูใ่ นทุก ๆ ท่ี คนขบั รถ แม่บา้ น คนท่ีนง่ั ขา้ งๆคนที่ทาให้ เราหงุดหงิด เรามีส่วนหน่ึงในร่างกายของเรา ขอบคุณที่ทาใหเ้ ราหงุดหงิด เขาคือครูเพื่อทาใหเ้ ขารู้วา่ เราจะตอ้ งบาบดั อะไรบา้ ง เหตุและผล เป็ นเพราะเราไม่สามารถทา ไม่ใช่ไม่ทา เราตอ้ งมีทิศทาง ความสมดุลจะไม่เกิดข้ึน ใชช้ ีวติ ต้งั เป้าหมาย แลว้ ทาเป้าหมายให้สาเร็จ ถา้ ไม่ใช่ ไม่ทน คนท่ีมีเป้าหมาย จะมีการจดั การกบั ปัญหาตา่ งๆ เม่ือไมร่ ู้วา่ จะไปที่ไหน สิ่งเล็กๆนอ้ ยๆก็จะกลายเป็นปัญหา คนท่ีทะเลาะกนั คือคนโง่ๆ ท่ีไม่รู้ว่าเป้าหมายของเขาคืออะไร ไม่มีสิ่งที่สาคญั ในชีวิต นักเรียนพร้อม อาจารย์ปรากฏ -เหตุการณ์และผู้คน ไม่เปล่ียนแปลง แต่เราเปล่ียนแปลงเป็ นข้อสรุปของเหตุการณ์และผู้คนได้ ชีวติ มีปัญหา เพราะวา่ เราคิดวา่ ปัญหาอยูภ่ ายนอกร่างกายและจิตใจของคนเรา แต่!ปัญหาอยภู่ ายในความ เช่ือ ‘Believe’ ทางานเก่ียวกบั ความเช่ือ ทาไมคนถึงเป็ นมะเร็งเรามีเซลลม์ ะเร็งในร่างกายทุกคน เราเป็ น เพียงพลงั งานเมื่อเรามองลึกลงไปในระดบั อะตอมถา้ เราส่งพลงั ดีให้ผูค้ นเขาจะไดร้ ับ ถา้ ส่งพลงั งานไม่ดี เขาก็ไดร้ ับ ความคิดถึงเขา เขาก็คิดถึงเราความเจ็บป่ วย ถา้ เราไม่เจบ็ ป่ วย เราจะใชเ้ วลาท่ีเหลือทาอะไร เม่ือ เราเจ็บป่ วย น้นั เป็ นเพราะเราตอ้ งการใครสักคนมาดูแลเรา เพราะเราไม่ทาหนา้ ที่เชียร์ลีดเดอร์ของเราเขา อะไรทเี่ กดิ ขนึ้ กบั เรา ทว่ั ร่างกายและจิตใจ เพราะวา่ เราปล่อยใหเ้ กิดข้ึน อนุญาตให้ ตวั เราตอ้ งป่ วยเราจะไม่ ถามตวั เราเองวา่ ทาไมเราจึงเจ็บป่ วย แต่!เราไม่รู้ วา่ จะถามอะไรตอ้ งฝึ กถามคาถามตวั เองเราเอง เราตอ้ ง บอกตวั เราเองวา่ เราจะแขง็ แรงตลอดชีวติ เราไม่ เพราะไม่มีอะไรท่ียงิ่ ใหญ่ที่จะทาใหช้ ีวติ เราตดั สินใจที่จะ
๒๒๗ ไม่ ป่ วยได้ การตดั สินใจโดยการต้งั คาถามและคาตอบอยู่ในคาถาม คนที่ทาให้ดีเป็ นเพราะเขาพงั ไปแลว้ เขาตอ้ งการความช่วยเหลือไม่ใช่การลงโทษเพราะจะเป็ นการปล่อยใหก้ องไฟยงั คงครุกรุ่นอยูเ่ ขาตอ้ งการ เยยี วยาบาบดั -ปัญหาเข้ามาหาเราเพราะเรายังไม่พร้อม ถ้าเราพร้อมปัญหาจะไปที่อื่น ความโกรธ คือ ความ ออ่ นแอ ความสงบสุข คือ ส่ิงที่ตอ้ งทาแทนความโกรธ เพราะคือความฉลาดของมนุษย์ โกรธเวลาโกรธจะ มีบุคลิกท่ีแตกต่างจากปกติ เปลี่ยนคนให้กลายเป็ นสัตวร์ ้ายเม่ือเขาเปลี่ยนจากมนุษยเ์ ป็ นสัตวร์ ้าย เขาก็จะ ทาร้ายเรา เพราะเราอยู่ตรงน้นั เราตอ้ งหยุดเขาที่เป็ นสัตวร์ ้าย เพ่ือเขาจะไดไ้ ม่ไปทาร้ายคนอ่ืนอีกชีวิต ยาวนานพอท่ีทาให้ถูกตอ้ งไม่มใี ครตายถ้าเราไม่ปล่อยวางเขาก็ไปไหนไม่ได้ ถ้าเราปล่อยวางเขาจะสงบสุข ประตูกจ็ ะเปิ ดรับเขา ทุกคนคือความทรงจา เราเป็นความทรงจาสาหรับเขา เขาเป็นความทรงจาสาหรับเรา ๕) สรุปจากข้อมูลเบ้ืองตน้ ดงั กล่าว ความสัมพนั ธ์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ กับ NLP (Neuro - Linguistic Programming) พบวา่ -การนาฐานจิตนาทาง และฐานธรรมประกอบ โดยฐานกายตาม และฐานเวทนาตาม การสร้างแรง บนั ดาลใจเพื่อหาเป้าหมายความสาเร็จในชีวติ ใหไ้ ด้ การนาชีวติ ไปอยา่ งมีพลงั งานขบั เคล่ือนทางบวก ฐาน จิตใตส้ านึกกบั จิตสานึก ผสมผสานกนั วธิ ีการปฏิบตั ิจากการส่ือสารกบั ตวั เองดว้ ยชุดความคิดที่ไดร้ ับการ ออกแบบมาเพ่ือสร้างความสาเร็จอาศยั แรงบนั ดาลใจเป็ นตวั ผลกั ดนั และความตอกย้าให้เขา้ ไปถึงสภาวจิต แตล่ ะช่วงขณะ -จิตระดบั จิตใตส้ านึก บางท่านบอกวา่ เป็ นคลา้ ยมโนมยิทธิ (ฤทธ์ิที่เกิดจากจิต) กระบวนการเขา้ ไปสู่จิตใตส้ านึกใหม้ ามีอิทธิพลกบั จิตสานึก โดยการใชภ้ าษาและกระบวนการเทคนิคในรูปแบบ NLP ตาม อยา่ ง การลา้ งจิตใตส้ านึกที่ไม่ดีแลว้ เปลี่ยนเป็ นจิตสานึกที่ดี เหมือนการสร้างกุศลกรรมแทนอกุศลกรรม ตอ้ งเปล่ียนดว้ ยการฝึกปฏิบตั ิสมถวปิ ัสสนา จึงจะถอดไดต้ ลอดไป -การใชค้ าพูดส่ือสารกบั ตวั เองเป็ นชุดความคิด เป็ นการสร้างฐานธรรมในรูปแบบคาหรือภาษาที่ เขา้ ใจง่ายเพ่อื การตอกย้าความเขา้ ใจการส่ือสารดว้ ยตวั เองตลอดเวลา โดยใชเ้ ป้าหมายที่ตอ้ งการสาเร็จเป็ น แรงขบั แต่ส่ิงน้นั ยงั คงปรุงแต่งจึงทาให้ปรากฎการณ์ไม่ไดเ้ ป็ นไปตามความเป็ นจริง หากแต่วา่ ฐานธรรม เป็ นการมองโลกอยา่ งเป็ นจริงดว้ ยความเขา้ ใจธรรมชาติยอมรับการเปล่ียนแปลง เป้าหมายคือหนทางเพ่ือ นาไปสู่ทางพน้ ทุกขโ์ ดยสิ้นเชิง จึงยงิ่ ใหญก่ วา่ กระบวนการแบบ NLP มากมาย -NLP เป็นเป้าหมายทางปัญญาโลกียสุข เป็นเร่ืองเห็นไดช้ ดั เจนกวา่ ปัญญาทางโลกตุ รสุข ซ่ึงหลุด พน้ จากความทุกขท์ ้งั ปวง ไม่ไดห้ ลุดพน้ จากความทุกขเ์ พียงชว่ั ขณะเดียวหรือมีความสุขเพียงแห่งหว้ งเวลา หน่ึงเท่าน้นั แต่แนวทางสติปัฏฐาน ๔ หมายถึง หนทางไปสู่การพน้ ทุกข์ ที่ยงั่ ยนื ตอ่ ไป กระบวนทาง NLP น่าสนใจท่ีวา่ ทาเป็ นหลกั สูตรทางธุรกิจไดง้ ่าย เนื่องเป็ นเร่ืองความตอ้ งการการกระแสแห่งความเกิดเป็ น มนุษย์ แต่ทางการเจริญวปิ ัสสนาสติปัฏฐาน เป็ นหนทางการไม่ตอ้ งกลบั มาเกิดการเป็ นมนุษยอ์ ีกต่อไป จึง ทาให้ดูเหมือนเป็ นเรื่องห่างไกลไป เห็นผลช้า และวดั ผลยาก ที่ว่า ใครบรรลุธรรม อย่างไร หรือใครมี ความกา้ วหน้าทางธรรมไดม้ ากเท่าใด มองไม่เป็ นรูปธรรม แต่ความทา้ ทายคือ การไดอ้ ภิญญา ๖ ก็ถือวา่ ท่ีสุดแห่งความทา้ ทายแลว้
๒๒๘ กรณศี ึกษา ๓) รูปแบบการเข้าถึงปัญญาตามแนวทางปฏบิ ัตทิ ่านโกเอ็นก้า คาแนะนาในการเข้าอบรมเก่ียวกับแนวทางปฏิบัติท่ านโกเอ็นก้ า (อ้างข้อมูล จาก http://www.thaidhamma.net/index.php?option=com_thaidhamma&Itemid=26#M012018 คน้ เมื่อวนั ท่ี 22 พฤษภาคม ๒๕๖๒) กล่าววา่ วปิ ัสสนาเป็ นวธิ ีการปฏิบตั ิกรรมฐานที่เก่าแก่ที่สุดวิธีหน่ึงของอินเดียซ่ึงได้ สาบสูญไปจากมนุษยชาติมาเป็ นเวลานาน แต่ก็ไดก้ ลบั มาคน้ พบอีกคร้ัง โดยองคส์ มเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าเมื่อกว่า ๒,๕๐๐ ปี มาแล้ว วิปัสสนา หมายถึง \"การมองดูสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็ นจริง\" อนั เป็ น กระบวนการในการทาจิตให้ บริสุทธ์ิโดยการเฝ้าดูตนเอง เราจะเร่ิมตน้ ดว้ ยการเฝ้าสังเกตดูลมหายใจตาม ธรรมชาติ เพ่ือทาให้จิตมีสมาธิ เม่ือมีสติท่ีมน่ั คง เราก็จะกา้ วไปสู่การเฝ้าสังเกตถึงการเปล่ียน แปลงตาม ธรรมชาติของกายและจิต ซ่ึงจะทาให้ได้พบกบั สัจธรรมที่เป็ นสากล คือ ได้เห็นความไม่เที่ยง(อนิจจงั ) ความทุกข์ (ทุกขงั ) และความไม่มีตวั ตน (อนตั ตา) การที่ไดร้ ู้เห็นถึงสภาพธรรมตามความเป็ นจริงเหล่าน้ี จากประสบการณ์ของท่านเองโดยตรง จึงเป็ นวธิ ีการในการชาระจิตให้บริสุทธ์ิ ธรรมะเป็ นเรื่องสากล มีไว้ สาหรับแกไ้ ขปัญหา ต่าง ๆ ท่ีเป็นสากล มิไดผ้ กู ขาดเฉพาะศาสนาใดศาสนาหน่ึงหรือลทั ธิใดลทั ธิหน่ึง ดว้ ย เหตุน้ีบุคคลทุกคนจึงสามารถจะปฏิบตั ิได้อย่างเสรี โดยไม่มีขอ้ ขดั แยง้ ในเร่ืองของเช้ือ ชาติ ช้นั วรรณะ หรือศาสนา ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเม่ือ และจะเป็นประโยชนต์ อ่ ทุก ๆ คนโดยทว่ั ถึงกนั วิปัสสนาน้ันมิใช่เป็ นพิธีกรรมที่มีพ้ืนฐานทาง ความเชื่อถืออย่างงมงาย เรื่องบนั เทิงทางปัญญา หรือปรัชญา การพกั ฟ้ื น การหยดุ พกั ผอ่ น หรือโอกาสที่จะมาสังสรรคก์ นั การหลีกหนีจากปัญหาและ ความ ยงุ่ ยากในชีวติ ประจาวนั หากแต่วปิ ัสสนาเป็ นวธิ ีการในการขจดั ความทุกข์ ศิลปะของการดาเนินชีวติ ที่จะ ทาให้คนเราอยู่ในสังคมไดอ้ ย่างมี ความสุข วิธีการทาจิตให้บริสุทธ์ิ ซ่ึงจะทาให้คนเราสามารถเผชิญกบั ความตึงเครียดและปัญหาในชีวติ ไดด้ ว้ ยความสงบและความสมดุลทางจิตใจ วปิ ัสสนากรรมฐานจึงมุ่งไป ยงั เป้าหมายทางจิตใจในระดับสูงสุด เพ่ือการหลุดพ้นโดยสิ้นเชิงและเพื่อการบรรลุธรรม มิได้มี วตั ถุประสงค์ เพ่อื การบาบดั รักษาโรคทางกาย แต่ เนื่องจากเป็ นผลพลอยไดจ้ ากการทาจิตใหบ้ ริสุทธ์ิ จึงทา ให้ความเจ็บป่ วย อนั เนื่องมาจากความเก็บกด ในจิตใจหมดไป แทจ้ ริงแล้ว วิปัสสนาสามารถท่ีจะขจดั สาเหตุท่ีทาให้ เกิดทุกข์ ๓ ประการ คือ โลภ โกรธ หลง ได้ ถา้ ไดป้ ฏิบตั ิต่อเน่ืองกนั วิปัสสนาจะระบาย ความตึงเครียดที่เกิดข้ึนในชีวิตประจาวนั และแก้ปมในใจทผ่ี ูกอยู่ เน่ืองจากนิสัยด้งั เดิมที่ชอบปรุงแต่งต่อ สถานการณ์ต่าง ๆ เช่น ปรุงแต่งไปในทางท่ีชอบหรือพอใจ (อนั ทาใหเ้ กิดโลภะ) และไม่ชอบหรือไม่พอใจ (อนั ทาใหเ้ กิดโทสะ) แมว้ า่ วปิ ัสสนาจะพฒั นา ข้ึนมาโดยที่เป็นวธิ ีการหน่ึงของสมเด็จพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ แต่การปฏิบตั ิกม็ ิไดจ้ ากดั อยแู่ ต่เฉพาะผทู้ ี่นบั ถือศาสนาพุทธเท่าน้นั จึงไม่มีปัญหาเกี่ยวกบั การเปลี่ยนแปลง ใน เร่ืองของศาสนาแต่อยา่ งใด วิธีปฏิบตั ิต้งั อยู่บนพ้ืนฐานธรรมดาสามญั ท่ีวา่ มนุษยท์ ุกคนต่างมีปัญหา เหมือนๆ กนั และวิธีการที่สามารถขจดั ปัญหาต่างๆ เหล่าน้ีได้ จะตอ้ ง เป็ นวิธีที่เป็ นสากล มีผูท้ ่ีนับถือ ศาสนาอื่นๆ เคยไดร้ ับผลจากการปฏิบตั ิวปิ ัสสนามาแลว้ โดยมิไดม้ ีความขดั แยง้ กบั ความเชื่อท่ีมีอยเู่ ดิม วินัยในการปฏิบัติ กระบวนการทาจิตใหบ้ ริสุทธ์ิโดยการสังเกตดูตนเองน้ี มิใช่เป็ นเร่ืองง่ายอยา่ ง แน่นอน เราจะตอ้ งปฏิบตั ิอยา่ งจริงจงั ผเู้ ขา้ รับการฝึกจะตอ้ งใชค้ วามพยายามของตนเองเทา่ น้นั จึงจะเขา้ ถึง
๒๒๙ การรู้แจง้ เห็นจริงด้วยตนเอง ไม่มีใครอ่ืนท่ีจะทาให้ได้ ดงั น้นั วิปัสสนากรรมฐานจึงเหมาะสาหรับผูท้ ่ีมี ความต้งั ใจอยา่ งแรงกลา้ ท่ีจะปฏิบตั ิ และมีความเคร่งครัดต่อระเบียบ เพือ่ ประโยชน์แก่ตนเอง และเป็นการ คุม้ ครองตนเองดว้ ย กฎระเบียบต่างๆ จะเป็ นส่วนที่ทาใหก้ ารปฏิบตั ิกรรมฐานสมบูรณ์ข้ึน เวลา 10 วนั น้ี นบั วา่ เป็ นระยะเวลาท่ีส้ันในการที่จะเจาะลึกเขา้ ไปถึงระดบั จิตใตส้ านึก และเรียนรู้วิธีการท่ีขจดั กิเลสที่ ตกตะกอนอยูใ่ นส่วนลึกสุด (อนุสัยกิเลส) การปฏิบตั ิให้ต่อเนื่องโดยไม่พูดจาหรือเก่ียวขอ้ งกบั ใครเป็ น เคลด็ ลบั ของความสาเร็จของวธิ ีการน้ี กฎระเบียบต่าง ๆ ที่กาหนดข้ึน ก็เพื่อรักษาการปฏิบตั ิแนวน้ีให้คงอยู่ได้ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ มิได้ ต้งั ข้ึนเพ่ือประโยชน์ของอาจารยผ์ ูส้ อน หรือเพ่ือความสะดวกในการบริหาร หรือเพื่อคดั คา้ นประเพณีคา สอน หรือความเชื่องมงายที่มีอยู่ในบางศาสนา แต่เป็ นส่ิงที่มีพ้ืนฐานมาจากประสบการณ์ของผูป้ ฏิบตั ิ กรรมฐานนบั พนั ๆ คนเป็ นเวลาหลายปี และยงั เป็ นส่ิงท่ีมีเหตุผลเป็นวิทยาศาสตร์ การรักษากฎระเบียบจะ ก่อใหเ้ กิดบรรยากาศท่ีเป็ นระเบียบอนั เหมาะสมอยา่ งยงิ่ สาหรับการปฏิบตั ิกรรมฐาน การฝ่ าฝืนกฎระเบียบ ยอ่ มจะทาให้เกิดมลภาวะ ผูเ้ ขา้ รับการฝึ กจะตอ้ งอยูใ่ หค้ รบ ๑๐ วนั และจะตอ้ งอ่านกฎระเบียบต่างๆอยา่ ง ใคร่ครวญ ผทู้ ี่คิดวา่ สามารถปฏิบตั ิตามกฎเกณฑเ์ หล่าน้ีไดเ้ ทา่ น้นั จึงควรจะสมคั รเขา้ ปฏิบตั ิ ผทู้ ่ีมิไดเ้ ตรียม ตวั ที่จะใชค้ วามพยายามในการปฏิบตั ิอย่างเต็มที่ ไม่ควรสมคั ร เพราะจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ นอกจากน้ียงั จะเป็ นการรบกวนบุคคลอื่นที่ต้งั ใจเขา้ มาปฏิบตั ิดว้ ยความเคร่งครัดอีกดว้ ย ผเู้ ขา้ รับการฝึ กจะ ไดร้ ับคาเตือนวา่ หากเลิกฝึกก่อนที่จะจบการอบรม เน่ืองจากเห็นวา่ กฎระเบียบต่าง ๆ ยากที่จะปฏิบตั ิ จะทา ใหเ้ กิดอนั ตรายแก่ตวั ผนู้ ้นั รวมท้งั จะก่อใหเ้ กิดความไม่สบายใจข้ึนมาได้ ในกรณีที่นบั วา่ ร้ายแรงท่ีสุดก็คือ เมื่อถูกเตือนหลายคร้ังแล้ว ยงั ไม่สามารถจะปฏิบตั ิตามกฎระเบียบได้ ก็จะถูกขอให้ออกไปจากการ ฝึกอบรม พืน้ ฐานในการปฏบิ ตั วิ ปิ ัสสนา คือ ศีล ศีลจะเป็ นพืน้ ฐานในการพฒั นาสมาธิ และกระบวนการทา จิตให้บริสุทธ์ิน้ันจะเกดิ ขนึ้ จากปัญญา คือการรู้แจ้งเหน็ จริง ตารางเวลา ๐๔.๐๐ น. ระฆงั ปลุก ๐๔.๓๐ -๐๖.๓๐ น. นงั่ ปฏิบตั ิในห้องปฏิบตั ิรวมหรือในที่พกั ส่วนตวั ๐๖.๓๐ - ๐๘.๐๐ น. อาหารเช้า ๐๘.๐๐ -๐๙.๐๐ น. ปฏิบตั ิร่วมกนั ในห้องปฏิบตั ิรวม ๐๙.๐๐ -๑๑.๐๐ น. ปฏิบตั ิใน หอ้ งปฏิบตั ิรวม หรือในท่ีพกั ส่วนตวั ตามที่อาจารยก์ าหนด ๑๑.๐๐ -๑๒.๐๐ น. อาหารกลางวนั ๑๒.๐๐ - ๑๓.๐๐ น. พกั ผอ่ น ๑๓.๐๐ -๑๔.๓๐ น. ปฏิบตั ิในหอ้ งปฏิบตั ิรวมหรือในท่ีพกั ส่วนตวั ๑๔.๓๐ -๑๕.๓๐ น. ปฏิบตั ิร่วมกนั ในห้องปฏิบตั ิรวม ๑๕.๓๐ -๑๗.๐๐ น. ปฏิบตั ิในห้องปฏิบตั ิรวมหรือในที่พกั ตามที่อาจารย์ กาหนด ๑๗.๐๐ -๑๘.๐๐ น. พกั ดื่มน้าปานะ ๑๘.๐๐ -๑๙.๐๐ น. ปฏิบตั ิร่วมกนั ในห้องปฏิบตั ิรวม ๑๙.๐๐ - ๒๐.๑๕ น. ฟังธรรมบรรยายในห้องปฏิบตั ิรวม ๒๐.๑๕ -๒๑.๐๐ น. ปฏิบตั ิร่วมกนั ในห้องปฏิบตั ิรวม ๒๑.๐๐ -๒๑.๓๐ น. สอบถามขอ้ สงสยั กบั อาจารยเ์ กี่ยวกบั การปฏิบตั ิธรรม ๒๑.๓๐ น. พกั ผอ่ น ดงั น้ัน ผูว้ ิจยั มีความชอบตามจริตของผูว้ ิจยั ตามแนวทางปฏิบตั ิท่านโกเอ็นก้า โดยได้ต้งั ใจไป ปฏิบตั ิหลกั สูตรวปิ ัสสนากรรมฐาน จานวน ๓ คร้ัง ใหค้ รบ เพื่อใหน้ าไปสู่การอบรมหลกั สูตรมหาสตปิ ัฏ
๒๓๐ ฐาน ๔ โดยการเขา้ อบรมไดต้ อ้ งผา่ นหลกั สูตรวิปัสสนากรรมฐานมาแลว้ อยา่ งนอ้ ย ๓ คร้ัง ตามหลกั เกณฑ์ สาหรับการเก็บขอ้ มูลวจิ ยั เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ดงั ต่อไปน้ี คร้ังที่ ๑ ระหวา่ งวนั ที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ ถึงวนั ท่ี ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ ณ ศูนยป์ ฏิบตั ิธรรม อาภา จงั หวดั พษิ ณุโลก (ระยะเวลา ๑๐ วนั ) คร้ังที่ ๒ ระหวา่ งวนั ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๑ ถึงวนั ที่ ๑๑ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๑ ณ ศูนยป์ ฏิบตั ิธรรม อาภา จงั หวดั พิษณุโลก (ระยะเวลา ๑๐ วนั ) คร้ังที่ ๓ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ถึง วนั ที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ ศูนยป์ ฏิบตั ิธรรม สีมนั ตะ จงั หวดั ลาพนู (ระยะเวลา ๑๐ วนั ) ดงั น้นั เพื่อนาไปสู่การฝึ กปฏิบตั ิหลกั สูตรเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ โดยหลกั สูตรสติปัฏฐาน ตอ้ งมี คุณสมบตั ิ ก) ตอ้ งเคยเขา้ ปฏิบตั ิหลกั สูตร ๑๐ วนั เตม็ มาแลว้ อยา่ งนอ้ ย ๓ คร้ัง ข) ปฏิบตั ิตามแนวทางน้ีมา ไม่ต่ากวา่ ๑ ปี ค) มีความพยายามที่จะปฏิบตั ิดว้ ยตนเองเชา้ -เยน็ เป็ นประจา ง) ไม่ไดไ้ ปปฏิบตั ิแนวทาง อ่ืน หลงั จากที่เขา้ ปฏิบตั ิในหลกั สูตร ๑๐ วนั คร้ังสุดทา้ ย จ) มีความพยายามท่ีรักษาศีล ๕ ในชีวติ ประจาวนั โดยการฝึกตามหลกั สูตรสติปัฏฐาน ๔ ดงั ต่อไปน้ี คร้ังที่ ๔ ระหวา่ งวนั ที่ ๗-๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๒ เขา้ รับการอบรมหลกั สูตรสติปัฏฐาน ๔ ณ ศูนย์ ปฏิบตั ิธรรมสีมนั ตะ จงั หวดั ลาพนู (ระยะเวลา ๘ วนั ) หนงั สือที่เก่ียวขอ้ งกบั แนวทางปฏิบตั ิเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เพอื่ อา่ นประกอบ ดงั ต่อไปน้ี หนงั สือ “มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ ทางสู่ความหลดุ พ้น” เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย ในหลกั สูตรสติปัฏฐาน ของทา่ นอาจารยโ์ กเอน็ กา้ โดย แพ็ททริค กิฟเวน-วิลสัน สุทธี ชโยดม แปล จดั พิมพ์โดยมูลนิธรส่งเสริมวิปัสสนากรรมฐานใน พระสงั ฆราชูปถมั ภ์ หนงั สือ “มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ แปล” จากตน้ ฉบบั คาแปลภาษาองั กฤษของสถาบนั วปิ ัสสนา วจิ ยั แห่งธรรมคีรี หนงั สือประกอบการอบรมวปิ ัสสนากรรมฐาน หลกั สูตรสติปัฏฐานสูตรของท่านอาจารยโ์ กเอน็ กา้ แปลและเรียบเรียงโดย สุทธี ชโยดม ผศู้ ึกษามีความสนใจแนวทางปฏิบตั ิตามแนวทางท่านโกเอน็ กา้ ดว้ ยการดาเนินชีวิตอยา่ งฆราวาส ธรรมด้านสติปัฏฐาน ๔ ตอ้ งเป็ นไปอย่างผูเ้ ป็ นฆราวาส ประกอบกบั ช่วงการศึกษาก่อนหน้าไปเรียนรู้
๒๓๑ แนวทางปฏิบตั ิหลาย ตามรูปแบบของสานักปฏิบตั ิธรรมหลากหลาย ยงั มีความสงสัยแนวทางปฏิบตั ิ ประกอบกบั การไดม้ าเรียนปริญญาโท สาขาพุทธศาสนาของมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั มี ความสนใจหลกั การและแนวทางการปฏิบตั ิ สาระเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ต้งั แตง่ านวทิ ยานิพนธ์ งานวจิ ยั ท่ี ไดร้ ับการสนบั สนุนงบประมาณ จึงเห็นว่า แนวทางปฏิบตั ิตามรูปแบบท่านโกเอ็นกา้ ไดป้ ระโยชน์ต่อผู้ ศึกษา เห็นการเปล่ียนแปลงมากน้อย หลายอย่างเกิดข้ึน จึงการวิเคราะห์จากการได้ไปปฏิบตั ิหลักสูตร วิปัสสนากรรมฐาน จานวน ๓ คร้ัง และหลกั สูตรเร่ืองสติปัฏฐาน ๔ จานวน ๑ คร้ัง รวมท้งั สิ้นการอบรม หลกั สูตร จานวน ๔ คร้ัง จากการจดบนั ทึกความเขา้ ใจของผศู้ ึกษาวิจยั ประสบการณ์จากการปฏิบตั ิแต่ละ หลกั สูตรดว้ ยตนเอง ที่ผา่ นมาแลว้ นามารวบรวมเรียบเรียงจดั ประเด็น จาแนกตามฐานท้งั ๔ ฐานไดผ้ ลการ ฝึกปฏิบตั ิจากประสบการณ์ของผศู้ ึกษาวจิ ยั ดว้ ยตนเองในการปฏิบตั ิ ดงั กล่าว ผลการศึกษาพบว่า ๑) ด้านกายานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน : ฐานกาย ๑.๑) การไม่ใช้คาบริกรรมในการกาหนด แต่ใชว้ ธิ ีตามรู้ลมหายใจ ฐานลมหายใจเขา้ ออกที่จมูกตาม กลบั มารู้สึกตวั อีกคร้ังเป็ นตวั รู้ รู้จากลมหายใจเขา้ ออกไม่ตอ้ งคิดหวงั ว่า หากจิตจะฟุ้งไปหลายคร้ังให้ฝึ ก เรียกจิตกลบั มาที่ลมหายใจ โดยการเร่ิมตน้ ใหม่ทุกคร้ังท่ีลมหายใจเมื่อจิตฟุ้งซ่านให้รู้สึกตวั โดยเร่ิม แลว้ เร่ิมตน้ กาหนดท่ีบานลมหายใจอีกคร้ัง ทุกคร้ัง ๑.๒) วธิ ีหลบั ตา ทาตาไม่กระทบอายตนะ เมื่อไม่กระทบจิตไม่คิดปรุงแต่งต่อไป ทาสมาธิภาวนา ไดง้ ่าย จึงควรใหห้ ลบั ตาขณะปฏิบตั ิไมล่ ืมตา ๑.๓) สติตามดูลมหายใจเขา้ ออก เอาสติกาหนดตามดูตามรู้ทุกขณะที่หายใจ เมื่อลมหายใจกระทบ รูจมูกเขา้ ไปในกาย อานาปานสติใชไ้ ดด้ ี จนมีลมหายใจตลอดเวลาต้งั แต่ยงั มีชีวติ จนถึงไม่มีชีวติ อาศยั ดว้ ย ลมหายใจ ๑.๔) ลมหายใจให้ใช้สติจดจ่อลมหายใจเข้าออกท่ีจมูกอย่างต่อเน่ืองด้วยความต้งั ใจ ต้งั ใจ กระตือรือร้นตามดูตามรู้ลมหายใจเขา้ ออกความหยาบ ความละเอียดลมหายใจหากลมหายใจหยาบทึบให้ ตามรู้เวทนาทางกาย ที่เป็ นทุกขเวทนา แลว้ ใช้เป็ นเครื่องมือในการฝึ กวิปัสสนากรรมฐาน หยาบละเอียด ของลมหายใจมกั สลบั กนั ไปมาดูลมหายใจใหท้ นั รู้ลมหายใจเป็นลกั ษณะใด หยาบหรือละเอียดตามรู้ให้ทนั กบั ลมหายใจขณะน้นั ๆ ๑.๕) ลมหายใจเป็ นขอ้ เช่ือมต่อจกั รวาลบนโลกใบน้ี ลมหายใจเป็ นสิ่งสาคญั ท่ีดึงพลงั งานของ จกั รวาลเขา้ มาไหลเวียนในกายหายใจหยาบ หายใจละเอียด ควบคุมไดโ้ ดยการฝึ กสติปัฏฐานไม่เป็ นกุศล กรรม ลมหายใจหยาบ แต่ถา้ มีสติปัฏฐาน ๔ เป็นสติปัฏฐาน คือ ลมหายใจกศุ ลเขา้ มาสู่กายภายใน ๑.๖) ลมหายใจจะเร็ว อากาศธาตุ ธาตุลมเข้าสู่ร่างกาย ตามสติกับฐานกาย อยู่กับลมหายใจ พิจารณาฐานกายอยา่ งมีสติ โดยอาศยั ลมหายใจเขา้ ออกใหร้ ู้ถึงลมหายใจความส้ันยาว ความหยาบละเอียด ของลมหายใจเป็ นฐานต้งั อยขู่ องสติของความรู้สึกตวั ที่ฝึ กปฏิบตั ิไดเ้ ร็วที่สุด และฐานใชป้ ระโยชน์ไดเ้ ร็ว ท่ีสุด ทุกคนตอ้ งมีลมหายใจ
๒๓๒ ๑.๗) ความรู้สึกตวั โดยอาศยั ลมหายใจเขา้ ออก สร้างสติอาศยั ฐานกายโดยใช้ลมหายใจเป็ น เครื่องมือในการฝึ กรู้ทนั ลมหายใจเขา้ ออกความละเอียดและความหยาบของลมหายใจ ทาให้เขา้ ใจมี สภาวธรรมของส่ิงท้งั หลาย กาหนดมีสติให้รู้ทนั อนาคตที่มากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยูบ่ นฐานกาย ใชล้ มหายใจเป็นเคร่ืองดึงสติ ๑.๘) กายทึบแน่นทรมาน เมื่อจิตรู้กบั ลมหายใจมีสติจะพบวา่ กายทึบคือทุกขเวทนาที่อยากหลีก หนีไป เดี๋ยวตอ้ งกลบั มาอีกหากเราเผชิญไดก้ ็ตอ้ งวกกลบั มาต่อสู้อีก หากไมป่ รุงแตง่ ไม่ทุกขม์ าก เป็นอาการ เกิดข้ึน ต้งั อยูแ่ ละดบั ไป วนเวยี น หากฝึ กจิตมีสติไม่ปรุงแต่งอะไรๆ ใด ๆ เราก็ไม่ทุกขม์ ากหรือมีทุกข์ แต่ สามารถรู้เท่าทนั ได้ ตามหลกั ธรรมนุปัสสนาสติปัฏฐานปล่อยวางไป ไมป่ รุงแตง่ ยอมรับความเป็นจริง ๑.๙) สติปัฏฐาน ๔ เป็ นเร่ืองเขา้ ถึงดว้ ยปัญญาภาวนาเป็ นเรื่องยากย่ิงตอ้ งอาศยั การเขา้ ใจทุกอย่าง ภายในกาย การสารวจภายในกายของท่าน ท้งั กายในกาย กายนอกกายของท่าน ท่านจะเขา้ ใจตอ้ งทนทุกข์ กบั เวทนาแลว้ นาสติใชจ้ บั ดว้ ยจิตที่เป็นอุเบกขา การรู้จกั เวทนาตอ้ งรู้จกั ดว้ ยจิตไมไ่ ดร้ ู้จากความคิดการปรุง แต่ง เวทนาที่ท่านประสบพบเจอตอ้ งเป็ นเวทนาที่เกิดจากประสบการณ์ของท่านโดยแทจ้ ริง ไม่มีการปรุง แตง่ อยา่ งใด ๑.๑๐) ผศู้ ึกษาอาจตอ้ งคิดวา่ ทาไมดว้ ยบริกรรม “พทุ โธ” ความหมายคือ ผรู้ ู้ ผูต้ ื่น ผเู้ บิกบาน สร้าง การคิดตามคิดฟุ้งซ่าน หากมีคาบริกรรมตดั ไดเ้ ป็ นอยา่ งดีท่ีอยูก่ บั ความคิดฟุ้งซ่าน เนื่องจากหากตามดูลม หายใจแล้วตามดูไม่ทนั ต้องอาศยั พุทโธ เป็ นตวั กระทาการติด เรียกคือสติ กลับคืนมาด้วยพุทโธ คา บริกรรมพุทโธ จะช่วยให้ตามรู้ลมหายใจละเอียดข้ึนจากหยาบไปสู่ความละเอียด เน่ืองจากเอาความสนใจ ไปอยูก่ บั คาบริกรรมพุทโธ ช่วยให้ลมหายใจละเอียด สนใจคาบริกรรมและคิดฟุ้งซ่าน หากประคองลม หายใจละเอียดจนไดท้ ี่แลว้ ให้ปล่อยคาบริกรรมทิ้งไป จะอยกู่ บั ลมหายใจท่ีละเอียดตามดูตามรู้จนแทบอาจ ไม่ตอ้ งหายใจ ๑.๑๑) การพิจารนาดูเม่ือเผชิญทุกขเวทนาใด ๆ เห็นวา่ ร่างกายของเรามีเพียงธาตุ ๔ ดิน น้า ลม ไฟ มาประชุมรวมกนั เท่าน้นั ไมม่ ีอะไรมากกวา่ น้ี ร่างกายท่ีเราจะยดึ มน่ั ถือมนั่ วา่ เป็นของเรา ของเราของเรา ไม่ มีอะไรใหย้ ดึ ถือไดส้ กั อยา่ งเดียว เราเขาไมแ่ ตกตา่ งกนั เท่าใด เผชิญในทุกขเ์ หมือนกนั เมื่อเผชิญเวทนา เด๋ียว ก็จะผา่ นไป เกิดข้ึนต้งั อยดู่ บั ไป วนเวยี นในสงั สารวฎั ๑.๑๒) เอาความรู้สึกไปจบั เวทนาตามส่วนของร่างกายในแต่ละร่างกายเรามีเซลลท์ ้งั หลายรวมตวั กบั การรู้จกั วางอุเบกขาด้วยใจที่เป็ นกลาง เม่ือเจอเวทนาท้งั หลาย จบั ความรู้สึกอยา่ งใจอุเบกขาไปตาม ความรู้สึกของเวทนาแลว้ ปล่อยวางเวทนา เป็นการฝึกความเมตตาต่อตวั เองอยา่ งมาก ๑.๑๓) ความน่ิมนวล อ่อนโยนของลมหายใจ แสดงความละเอียดของความเมตตาสาหรับตนเอง เมตตาต่อตนเองให้ไดจ้ ะช่วยให้การสร้างสติปัฏฐานฝึ กฐานกายเมตตาต่อทุกเซลล์มีชีวิตในร่างกายคน เขา้ ใจ กายภายในกายของเราเองส่งผลต่อความละเอียดของลมหายใจ ลมหายใจท่ีมีความละเอียดสร้างสติ เขา้ ถึงฐานจิตไดบ้ ริสุทธ์ิแลว้ นาไปสู่การฝึ กจิตให้เป็ นจิตที่บริสุทธ์ิไดง้ ่ายการสร้างความละเอียดจากลม หายใจ
๒๓๓ ๑.๑๔) ตามดูตามรู้ความรู้สึกบนฐานกาย อาศยั ลมหายใจและความรู้สึกสบายไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยใชค้ วามรู้สึกสารวจ เราไม่ทราบวา่ ลมหายใจเขา้ ใจแลว้ ไปสู่กระบวนการทางร่างกายเป็น อย่างไร? กินอาหารไปแล้วสู่การย่อยสลายอาหาร ตามพระสูตรได้กล่าวไปอย่างชดั เจน ไดอ้ ย่างไรใน ร่างกายเรา ตอ้ งอาศยั ฐานกาย ฐานกายคือใชค้ วามรู้สึกสารวจ ความรู้สึกแม่นยาจะช่วยใหเ้ ขา้ ใจสรรพเซลล์ ที่มีอยมู่ ีชีวติ รวมตวั กนั เป็นฐาน ๔กลุ่ม ที่ประกอบรวมตวั กนั มาเป็นร่างกายของเรา ๑.๑๕) การฝึ กฝนวธิ ีจดั การกายภายในกาย กายในกาย จึงมีความสาคญั เป็ นอยา่ งมากมายพลงั แห่ง ความดึงดูดเขา้ มาดว้ ยพลงั งานคล่ืนชนิดเดียวกนั กระแสพลงั งาน หมายถึง ดวงจิตที่อยูใ่ นกายของท่านจะ ด้วยกระแสพลงั งานที่ดีเขา้ มา พลงั งานแห่งความบริสุทธ์ิ พลงั งานดี ๆ ความดีท้งั หลายเขา้ มาสู่ตวั ท่าน กระแสพลงั งานภายในตวั ท่าน ส่งผลต่อคนภายนอกดึงดูดกระแสความถ่ีเป็ นกุศลและกระแสความไม่ดี เป็นอกศุ ลมาสู่ตวั ท่าน ทา่ นตอ้ งฝึกสร้างกระแสคล่ืนพลงั งานของทา่ น ภายในใหเ้ ป็นกศุ ลกรรม ๑.๑๖) วิธีการแยกกายออกจากจิต โดยวิธีการวิปัสสนากรรมฐานตามดูลมหายใจ ให้เขา้ สู่ลม หายใจที่ละเอียดมากท่ีสุด “สมถะวปิ ัสสนา” เขา้ ถึงจุดแห่งการมีลมหายใจละเอียด ปรับจากลมหายใจหยาบ ท่ีตอ้ งเผชิญเจออายตนะ ๖ ท้งั หลาย เมื่อเขา้ สู่ลมหายใจละเอียด เขา้ สู่การสารวจร่างกายภายในหรือภายนอก ดูร่างกายไปตามส่วน ๆ ไป โดยใช้ “ความรู้สึกดู” หรือ “ดูดว้ ยภายใน” หมายถึงเอาความรู้สึกดู คือ เอาจิต มาดูกายภายในหรือกายภายนอก ไปดูเป็ นเวลาจนจิตเช่ือมผสานไปกบั กายอย่างกลมกลืนเช่ือมโยง แลว้ แยกออกจากกนั เป็นรูปนาม ๒) ด้านเวทนานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน : ฐานเวทนา ๒.๑) ลมหายใจละเอียดเบาบางปลอดโปร่ง มีความสุขมองเห็นความเป็ นจริงเราฝึ กจนรู้จกั สภาวธรรมต่าง ๆ จากการดูลมหายใจเขา้ ออก เขา้ ใจ ไม่วา่ ลมหายใจจะหยาบหรือละเอียดใหฝ้ ึ กฝนตามดู ตามรู้จนชานาญ เขา้ ใจสภาวธรรมท่ีเกิดจากลมหายใจ ไมว่ า่ เป็นสุขเวทนา หรือทุกขเวทนา อทุกขสุขเวทนา กต็ าม ยอมรับไดป้ ล่อยวางกบั มนั ๒.๒) สติปัฏฐาน ๔ คือ กาหนดสติไวใ้ นฐานแต่ละฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม ฐานเวทนามีสติปัฏ ฐานจะเป็ นเคร่ืองมือฝึ กฝนที่ดีท่ีสุด นาไปสู่ฐานจิตได้อย่างดี บานกาย ฐานจิต ฐานธรรม เวทนาเป้น เคร่ืองมือเปิ ดทางนาไปสู่สติปัฏฐาน ๔ ไดอ้ ยา่ งเขา้ ใจโดยอาศยั ฐานเวทนาเปิ ดทางนาไปสู่ประสบการณ์จริง ๒.๓) รูปนาม การฝึ กสติฐานเวทนา เรามองเห็นการเป็ นรูปเป็ นนามไดง้ ่ายชัดเจน จนถึงขนาด สามารถแยกรูปนามได้ กบั สภาวธรรมของทุกขเวทนาที่เผชิญเจอ ไปจนถึงการแยกรูปนามฝึกจนสติชดั เจน จะพบวา่ ไม่มีความทรมาน ในขณะกายแน่นทึบ ความเจ็บปวด รูปนามเป็ นเพียงอาการหน่ึงเท่าน้นั หากเรา แยกรูปนามออกจากกนั ได้ ๒.๔) การรู้จกั รูปนาม อาศยั เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน รูปคือกาย เห็นกายเป็ นกอ้ นหน่ึง นามคือ จิตเห็นจิตแยกออกมาจากกายจะรู้วา่ กายไม่ใช่ของเราเป็ นเพียงธาตุดิน น้า (น้าลม) ลม ไฟ อยรู่ วมตวั กนั เท่า น้นั เอง กายไม่ใช่ตวั ไม่ใช่ตนของเรา หากแต่ส่ิงที่เป็ นของเราโดยแทค้ ือ จิต ที่ตอ้ งอาศยั ขา้ มภพขา้ มชาติ ไปสู่ภพภูมิตอ่ ไป
๒๓๔ ๒.๕) รูปนาม การแยกรูปนาม ตอ้ งใชเ้ วทนานาหาหนทางพน้ จากรุปนาม รู้จกั แยกรูปนามโดยการ ฝึ กเห็นเวทนานาทาง รูปไม่ใช่ของเรา นามไม่ใช่ของเรา นามดงั จิต จิตอาศยั รูปอยู่ แต่รูปคือธาตุมารวมตวั กนั ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตวั ไม่ใช่ตนของเรา เราไม่อาจเป็ นเจา้ ของรูปได้ เม่ือเห็นจิตแยกออกจากรูปนามได้ จะพบวา่ นามไม่เป็ นทุกข์ หากรูป(ร่างกาย) ทึบเจบ็ ปวด เพราะรูปไม่ใช่ตวั ตนของเราไม่เป็ นเจา้ ของไม่มี อะไร ผา่ นไตรลกั ษณ์เกิดข้ึนต้งั อยูด่ บั ไป นามคือจิต คนละส่วนกบั รวม จิตจะไม่ปรุงแต่งทุกขเ์ พิ่มไปอีก สร้างสะสมอนุนิสัยเพม่ิ เติมเพ่มิ ทุกข์ ๒.๖) การฝึกสติปัฏฐาน ๔ โดยใชเ้ วทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จะเห็นขอ้ ตอ่ หรือตวั แยกระหวา่ งรูป และนามไดเ้ ป็ นอย่างดี รูปแยกจากนาม เป็ นคนละส่วนกนั แลว้ เม่ือแยกไดแ้ ลว้ เราจะไม่มีทุกข์ใด ๆ เกิด ข้ึนมาอีก การฝึกปฏิบตั ิภาวนาจะเห็นการแยกรูปนามชดั เจน ฝึกตอ่ เน่ืองจะรู้ทนั ทีวา่ ใด ๆ ในโลกไม่มีของ เรา ไมม่ ีตวั กูของกู ไมใ่ ช่รู้จากการอ่านคิดแต่รู้มาจากการฝึกปฏิบตั ิภาวนา โดยใชส้ ติอยบู่ นฐานทุกขเวทนา จะเห็นรูปนาม ไม่มีอะไรใหย้ ดึ มนั่ ถือมนั่ ไมม่ ีตวั ไม่มีตน ไมม่ ีตวั กูของกูอยแู่ ตอ่ ยา่ งใด ๒.๗) กฎไตรลกั ษณ์จะเขา้ ใจโดยแทจ้ ริงตอ้ งอาศัยทุกขเวทนารับรู้ตามสภาพความจริง ไม่ไดร้ ับรู้ จากการอ่าน การฟังแต่ดว้ ยการประสบทุกขเวทนาดว้ ยตวั เองของท่านเอง เอาความรู้สึกไปจบั เวทนาตาม ส่วนของร่างกายในแต่ละร่างกายเรามีเซลลท์ ้งั หลายรวมตวั กบั การรู้จกั วางอุเบกขาดว้ ยใจท่ีเป็ นกลาง เมื่อ เจอเวทนาท้งั หลาย จบั ความรู้สึกอยา่ งใจอุเบกขา ไปตามความรู้สึกของเวทนาแลว้ ปล่อยวางเวทนา ๒.๘) อนิจจงั เป็ นสิ่งท่ีเราตอ้ งเขา้ ใจดว้ ยไตรลกั ษณ์จากเวทนา อนิจจงั ไม่มีส่ิงใดไม่เปลี่ยนแปลง ฝึ กเห็นโดยใช้เคร่ืองมือท่ีเรียกว่าเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานไปเชื่อมโยงในกฎไตรลักษณ์เห็นความ เปล่ียนแปลงเห็นตามไม่คงทน ทุกขงั เป็นอนิจจงั สรรพส่ิงเป็นอนิจจงั ไมม่ ีอะไรท้งั น้นั ๒.๙) ความเจ็บปวดท่ีเกิดจากการฝึ กเวทนาทางกาย ตอ้ งดูเช่ือมโยงไปสู่ฐานอ่ืน ๆ ต่อไปให้ ตอ่ เน่ือง เพียงอดทนตอ่ เวทนากย็ งั ไมใ่ ช่ที่สุดหากท่านจะตอ้ งมีปัญญามองโลกตามกฎไตรลกั ษณ์ โดยใชจ้ ิต ท่ีมีเวทนาจงให้ชดั ให้เขา้ ใจความเป็ นไม่ใช่สมองคิดตรึกตรองมองดูมกั จะทาให้ความจริงมองความเขา้ ใจ คลาดเคล่ือน การฝึ กมองโลกตามความเป็ นจริงและเป็ นไปตามกฎไตรลกั ษณ์ เขา้ ใจความเปลี่ยนแปลง ทา่ นจะเห็นการเกิดดบั เกิดข้ึนต้งั อยผู่ า่ นไปอยา่ งเป็นผดู้ ูไมใ่ ช่เป็นผเู้ ขา้ ไปเล่น เขา้ ไปเกี่ยวขอ้ งแต่อยา่ งใด ๒.๑๐) ความรู้สึกตวั ทวั่ พร้อมจากการสร้างสติวิธีการฝึ กสติปัฏฐานสร้างจากความรู้สึกตัวทวั่ พร้อมจากอิริยาบถจากลมหายใจและจากการฝึกดูความรู้สึกจากลมหายใจเขา้ ออก การหายใจดว้ ยสมาธิเชา้ สู่ความรู้สึกตวั ทว่ั พร้อมทาใหเ้ ขา้ ใจสร้างสติดว้ ยความคิดปรุงแต่งจากอวิชชาจากสังขารตอ้ งสร้างให้เกิด ความรู้สึกตวั ทวั่ พร้อมตลอดเวลา ๒.๑๒) การเอาความรู้สึกไปรับรู้เวทนาตามกาย เขา้ ถา้ จิตวางเป็ นอุเบกขา สติใชก้ ายเป็ นงานใน การฝึก ฐานกายจึงมีความสาคญั กายสัมพนั ธ์กบั จิตไม่อาจแยกออกจากกนั ได้ จิตอยใู่ นกาย หากกายไมม่ ีจิต วญิ ญาณครองกไ็ มใ่ ช่กาย กลายเป็นซากศพ สติปัฎฐาน ๔ จึงสาคญั ทุก ๆฐาน มีความสาคญั อยา่ งแยกกนั ไม่ ออกวา่ อะไรมาก่อนหรือมาหลงั แต่เนื่องจากการฝึก วธิ ีการปฏิบตั ิ คือใชก้ ายานุปัสสนาสติปัฎฐาน เป็นฐาน ในการตามดูตามรู้ความรู้สึกต่าง ๆ กนั กายจึงก่อให้เกิดเวทนา และเวทนาตอ้ งนาไปสู่การพฒั นาจิตให้
๒๓๕ บริสุทธ์ิ โดยใชฐ้ านเวทนา ไม่ใช่เกิดจากปัญญาจากสุตมยปัญญา หรือจิตมยปัญญา หากสติปัฎฐานเป็นฐาน การก่อใหเ้ กิด ปัญญาภาวนามยปัญญา ปัญญาท่ีเกิดจากภาวนาหรือภาวนามยภาวนา ๒.๑๓) เวทนา คือ ความพอใจและไมพ่ อใจ ทุกขเวทนากไ็ มพ่ อใจไม่อยากประสบไม่อยากเจอ สุข เวทนา คือความพอใจ เม่ือใจเป็ นอุเบกขา คือไม่ทุกข์ ไม่สุข ก็ไม่ถูกสะสมในสังขารได้ อุเบกขาจดั เป็ น ความสาคญั ต่อการฝึ กสติปัฎฐานเป็ นอยา่ งมาก ถา้ สังขารมีแต่ความโกรธ เป็ นโทสะจริง เม่ือระงบั ไม่ไดก้ ็ ถูกฝังไวด้ ้วยความโกรธมากมาย เม่ือมีเหตุปัจจยั มาพร้อมกนั ทดสอบแมจ้ ะระงบั ไม่ไดก้ ็ให้มีจิตรู้ความ โกรธตามดูตามรู้มนั จนกวา่ มนั จะหาย แลว้ ตอ้ งดูเขา้ มาเป็นลกั ษณะเวทนาภายในที่เป็นความโกรธ ๒.๑๔) อิริยาบถยอ่ มมีความสาคญั มากต่อความกา้ วหนา้ การปฎิบตั ิเพียงแต่การเนน้ ใหเ้ ห็นเวทนา ไม่จริงเน่ืองจากเคลื่อนไหวไปมาแต่การนิ่งเห็นเวทนาไดช้ ดั น่าทึบแน่น ร่างกายขดั ธรรมชาติ เมื่อตอ้ งนิ่ง อยนู่ าน ๆไป ขยบั เขย้อื น แลว้ ปัญญาเขา้ ถึงไดส้ ะดวกสบายในกฎไตรลกั ษณ์ส่ิงภายในมีความสาคญั ต่อการ ฝึ กจิตไปสู่จิตบริ สุทธ์ ๓) ด้านจิตตานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน : ฐานจิต ๓.๑) พลังจิต เร่ิมสร้างโดยการฝึ กฐานกายใหเ้ ขม้ แข็ง ฝึ กสร้างลมหายใจที่มีความละเอียดตามดู ตามรู้ความรู้สึกของเวทนาไม่ปรุงแต่งสร้างจิตให้บริสุทธ์ิ วธิ ีการฝึ กจิตให้บริสุทธ์ิคือเป้าหมาย จิตสุดทา้ ย ก่อนจากร่างกายไปจะเป็ นดวงจิตท่ีบริสุทธ์ิมากท่ีสุดเท่าที่เป็ นไปได้แลว้ สร้างไดต้ ้งั แต่วนั น้ีโดยอาศยั เคร่ืองมือคือสติปัฏฐานแลว้ การไมเ่ กิดมาอีกเป็ นหนทางแห่งความดบั ทุกขท์ ี่ดบั อภิชชาและโทมสั ใด ๆ ใน โลก ไม่มีเหลือเช่ืออีกต่อไป ๓.๒) เรียนรู้วธิ ีฝึ กควบคุมตามคิด โดยใชฐ้ านธรรมานุปัสสนาสติปัฎฐาน ถา้ สร้างวิธีการคิดให้ ถูกตอ้ งตามหลกั ธรรมจะพบวา่ ภายในกาย เมื่อมีอายตนะภายนอกมากระทบ อายตนะภายในจดั วางระบบที่ ถูกตอ้ งตามหลกั ถา้ ทาให้เกิดสติมาจึงทาให้ไม่ถูกตอ้ งคิดให้ถูกตอ้ งตามความเป็ นจริงแต่ไม่ใช่การคิดใน เชิงบวกหรือเชิงลบแต่ใหฝ้ ึกความคิดใหม้ องเหน้ ความเป็ นจริงภายโดยใชภ้ ายในท่ีถูกฝึกสติเป้นผมู้ องผรู้ ู้ ๓.๓) ความแหลมคมของจิตข้ึนอยูก่ บั ท่ีต้งั ของสติ ถา้ จิตถูกฝึ กมาดว้ ยความพากเพียร จิตมีความ คมชดั มากข้ึน การใชจ้ ิตแกป้ ัญหาโลกภายนอกเม่ือมากระทบอายตนะยอ่ มเป็ นไปคมชดั แกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ ง ถูกตอ้ งถูกจริง ๓.๔) ความฝึ กฝน ความพากเพียร ความต่อเน่ืองสาคญั ต่อการฝึ กฝนวิปัสสนากรรมฐาน สติปัฎ ฐาน ๔ ในแต่ละส่วน เป็นอยา่ งมาก ผลเป็นอยา่ งไรไมต่ อ้ งไปคิด หากแต่หนา้ ที่พากเพยี รในธรรมะเป็ นของ ท่าน พากเพียรฝึ กฝนไปคน้ หาจิตใตส้ านึก ขจดั กิเลสท้งั หลายให้จิตชาระล้างมีความบริสุทธ์ิจากกิเลส เครื่องเศร้าหมอง เส้นทางสุดทา้ ยไปยงั เร่ืองจิตบริสุทธ์ิ ศีล สมาธิ ปัญญา ๓.๕) กายในกาย จิตในกาย กายภายในเป็ นอยา่ งไรจะดึงดูดโลกภายนอกเป็นอยา่ งน้นั วิธีการฝึก เห็นจิตภายในกาย สร้างจิตภายในกายบริสุทธ์ิ ฝึ กจิตจะช่วยใหโ้ ลกภายนอกดึงดูดสิ่งที่ดึงเขา้ มาตามจิตใน กาย เห็นกายในกาย รู้เทา่ กบั ความจริงและการฝึกจิตใหบ้ ริสุทธ์ิ จิตขา้ งในเป็ นอยา่ งไร จะดึงดูดจกั รวาลของ จิตขา้ งนอกเขา้ มาหาตวั เราเป็ นอยา่ งน้นั ทาชว่ั ไม่มีใครรู้แต่จิตภายในกายเรารับรู้เสมอ อาจฝังไวใ้ นจิตใต้
๒๓๖ สานึกหลายช้นั แต่จะถูกดึงออกมาพบกบั โลกภายนอกสักวนั ที่เรียกวา่ เจา้ กรรมนายเวรมาทวงคืน วิธีพน้ จากเจา้ กรรมนายเวร คือ ฝึกจิตใหบ้ ริสุทธ์ิดว้ ยสติปัฏฐาน ๔ ๓.๖) ความจดจ่อ ความต่อเนื่อง ความยาวนาน ฐานลมตอ้ งอาศยั การฝึ กปฏิบตั ิมากมาย เน่ืองจาก จิตมกั มีความฟุ้งซ่านอยปู่ ระจาไม่มีไมต่ ิด ถา้ สติอยกู่ บั ลมหายใจ กเ็ ป็นการหยดุ ความคิดได้ หยดุ ปรุงแต่งได้ เป็ นอยา่ งดี ไม่อยกู่ บั ความคิดที่เป็ นอดีตหรือในอนาคต จะอยูก่ บั ปัจจุบนั จะทาให้มองเขา้ ถึงความจริงของ สิ่งท้งั หลายไดอ้ ยา่ งชดั เจน อยกู่ บั ปัจจุบนั กไ้ มท่ ุกขเ์ รื่องราวในอดีตไมค่ ิดถึงอนาคต สภาวธรรมเป็นปัจจุบนั ติดทุกขไ์ ด้ หากแต่ตอ้ งมีความรู้สึกตวั อยกู่ บั ลมหายใจ ไดอ้ ยา่ งต่อเน่ืองยาวนานตอ้ งอาศยั การฝึ กฝน ความ ชานาญ และความพากเพยี ร “อาตาปี สมั ปชาโน สติมา” ๓.๗) คนท้งั หลาย มีกายไม่แตกต่างกนั แต่มีจิตต่างกนั การฝึ กจึงตอ้ งอาศยั จิตเป็ นการสร้างไปสู่ จิตเดิมแทท้ ่ีไม่มีอะไรเจือปนอยกู่ บั จิตท่ีเกิดร่างคนในภพภูมิปัจจุบนั ตอ้ งฝึ กจิตให้ชาระลา้ งให้สะอาดมาก ท่ีสุด กายจะแสดงส่ิงท่ีอยภู่ ายในจิตออกมา หากเราฝึกจนเห็นตามจริงโดยแทจ้ ากจิตท่ีบริสุทธ์ิ เม่ือมองกาย นอกกาย อาจพบดวงจิตของผูค้ นแตกต่างกนั รู้ไปจนถึงวา่ คนจิตน้ีมีความประสงคส์ ิ่งใด มองชดั ดว้ ยจิตที่ ฝึกมาเป็นอยา่ งดีมองออกได้ ๓.๘) จิตท่ีฝึ กมาแลว้ มองกายในกายไดเ้ ขา้ ใจถ่องแทจ้ ะมองกายนอกกายของผูอ้ ่ืนได้อยา่ งเห็น ความเป็ นจริงโดยแทจ้ ริงไดเ้ ช่นกนั ดว้ ยจิตหรือเสียการฝึ กฝน หมายความถึง อ่านใจคนอ่ืนได้ มองใจคน อื่นออก รู้ไดว้ า่ เขาเป็ นคนลกั ษณะใดแลว้ คิดอะไรอยูไ่ ดด้ ว้ ยจิตมองเราเอง มีอาการแสดงออกมาไม่วา่ จะ อากปั กิริยาต่าง ๆ คาพูดน้าเสียงและกรกระทา สีหนา้ แววตา เป็ นลกั ษณะใด พลงั จิตจึงมีส่วนสาคญั ในการ ฝึ กให้มีพลงั มองความจริงได้ เขา้ ใจความจริงเป็ นอยา่ งโลกบนปรากฎการณ์ แลว้ พบวา่ หูทิพย์ ตาทิพย์ เป็ น เร่ืองท่ีเป็นไปได้ โดยอาศยั การฝึกฝนจิตใหม้ ีพลงั จิตเขม้ แขง็ เทา่ น้นั ๓.๙) จิตไร้สานึก เรียกวา่ อนุนิสัย ฝังแน่นในกิเลสท่าน การฝึกปฏิบตั ิภาวนาจะเป็นการเขยา่ จิตใต้ สานึกให้ปรากฎการณ์ตวั ใหเ้ ห็น แลว้ ก็ละลายออกไปดว้ ยการฝึ กปฏิบตั ิภาวนา นาไปสู่การลา้ งจิตไร้สานึก กิเลสท้งั หลาย ๓.๑๐) กายแสดงออกจากภายใน ท่านไม่ตอ้ งไปสนใจกายภายนอกของผูอ้ ่ืนเพียงแต่ให้ความ สนใจ ส่ิงท่ีอยภู่ ายในกายของทา่ น โดยเฉพาะจิตของท่าน จิตของทา่ นเป็ นอยา่ งไรบา้ ง? ในแต่ลกั ษณะเวลา ฟุ้งซ่าน คิดอกุศลกรรมหรือคิดในทางไม่ควร ท่านตอ้ งหาวิธีการฝึ กจิตให้อยู่ในเส้นทางกุศลกรรม ชาระ ลา้ งจิตอกุศลกรรมโดยวธิ ีการต่าง ๆ ลง ใหท้ ่านมีความบริสุทธ์ิในจิตของท่าน เม่ือจิตท่านบริสุทธ์ิ จิตผูอ้ ่ืน ภายนอก ท่านมองเขา้ ใจไม่ยากอะไร เขา้ ใจไม่ง่ายและเขา้ ถึงจิตผอู้ ื่นไดง้ ่าย ทรงไวใ้ นการฝึกจิตชาระลา้ งให้ บริสุทธ์ิโดยมีความบริสุทธ์ิและมีพลงั จิตเขม้ แขง็ ตอ้ งฝึกดว้ ยสติปัฏฐาน ๔ เป็นเคร่ืองมือฝึกภาวนา ๓.๑๑) จิตเป็ นนายกายเป็ นบ่าว เมื่อจิตเรามีความสุขกายเราก็จะเป็ นสุข เม่ือจิตมีความทุกข์ การ แสดงออกทางกายเป็ นไปไดไ้ ม่ยาก จิตไม่อาจปิ ดบงั ได้ เมื่อจิตภายนอกคิดอะไร หมายถึง จิตผอู้ ่ืนคิดอะไร จิตภายในของเราจะรู้ชดั วา่ จิตภายนอกของผูอ้ ื่นคิดอะไรไดโ้ ดยดูจากอาการปรากฏทางกายของผูอ้ ่ืน เรา เขา้ ใจพลงั งานดว้ ยพลงั จิตของเราเอง
๒๓๗ ๓.๑๒) รูปนาม เมื่อแยกออกจากกนั ได้ ออกจากกนั เป็ น จะทาให้รู้จกั รูป รู้จกั นาม ไม่เอานามไป เขา้ ยุ่งกบั กาย ไม่เอาจิตไปผูกพนั ไวก้ บั กาย ปล่อยกายไปตามสภาพธรรมชาติ และตามเป็ นไปมองดูกาย อยา่ งผดู้ ู ผูร้ ู้ ไม่เอาจิตไปขอ้ งเกี่ยวกบั กายแลว้ จะพบวา่ กายคนละส่วนกบั จิตท่ีเป็ นนาม โดยไม่เขา้ ไปปรุง แต่ง ไม่เขา้ ไปมีส่วนเสวยอารมณ์หรือสภาวะ แยกคนละส่วน มองให้เห็น มองใหอ้ อกจะพบวา่ ความทุกข์ เดี๋ยวเกิดข้ึน แลว้ ดบั ไป วนเวยี นไปมา ๓.๑๓) จิตใตส้ านึก ดา้ นอกุศลกรรมจะคอ่ ยส่งผลกบั ชีวติ มาก การตดั สินใจแตล่ ะอยา่ ง ทา่ นสะสม มาหลายภพชาติ จะลา้ งออกก็ดว้ ยการทาเวทนานุปัสสนา ๓.๑๔) เอาความรู้สึกของจิตไปจบั ดูเวทนา นาไปสู่ความเขา้ ใจในกฎไตรลกั ษณ์สารวจจากร่างกาย โดยใช้ความรู้สึกสารวจ รู้ปล่อยวาง ไม่ว่าจะทุกขเวทนา สุขเวทนาปล่อยวาง เฝ้าพากเพียรสังเกตตามไม่ เท่ียงของสรรพส่ิง โดยอาศยั ฐานเวทนา ๓.๑๖) การเชื่อมโยง วิปัสสนากบั สติปัฏฐานคือการนาเวทนามาใชเ้ ป็ นเคร่ืองมือในการฝึ กปฏิบตั ิ ตามดูเวทนาแลว้ เห็นเวทนาเขา้ ใจเป็ นไตรลกั ษณ์แลว้ ปล่อยวางเป็ นอนิจจงั โดยใชจ้ ิตเป็นผเู้ ห็นผดู้ ู จิตที่เป็ น จิตไร้สานึกซ่ึงไดส้ ะสม กิเลสของท่านมาหลายภพหลายชาติเป็ นผูด้ ู จิตไร้สานึกถอดรากจิตไร้สานึกให้ ออก นาไปสู่จิตหลุด จิตบริสุทธ์ิ ฝึกจิตตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ ๓.๑๗) พลงั งานแห่งความสั่นสะเทือน การสร้างคลื่นตามส่ันสะเทือนไปสู่ผูอ้ ื่น นามธรรมและ รูปธรรม การมีพลงั งานภายในกายสร้างสภาวะออกไปสู่ภายนอก ดว้ ยทา่ ทาง อากปั กิริยาและคาพูดไปดว้ ย การกระทา การฝึ กพลงั งานตามถ่ีของจิตวญิ ญาณในระดบั คล่ืนกระแสแห่งความดีงามตวั เราเองเป็นสุข ส่ง กระแสความถ่ีไปสู่ผอู้ ่ืน มีผลต่อพลงั งานจกั รวาลทวั่ ไปดึงดูดเขา้ มาหาตวั เราเอง พลงั งานดี ๆ ๓.๑๘) จิตใตส้ านึกจะทาการบนั ทึกสังขารของท่านซ้า ๆ ซาก ๆ ซ่ึงหมายถึงเจา้ กรรมนายเวรที่มี สร้างอกุศลกรรมกบั ท่านแลว้ ท่านไดต้ อบกลบั อกุศลกรรมเร่ืองการฝังอยใู่ ตส้ านึก ทาให้ท่านไม่อาจหลุด พน้ จากวบิ ากกรรมได้ หากสติไมเ่ ขม้ แขง็ พอ จิตใตส้ านึกกจ็ ะตามมาเล่นงานและทวงคืนซ้าซากอายตนะ มี ความสาคญั ต่อการฝึ กสติปัฏฐาน เป็ นเครื่องเช่ือมโยงโลกภายนอก เขา้ มาสู่โลกภายในแลว้ นาโลกภายใน ไปสร้างโลกภายนอกอายตนะ จะตอ้ งถูกนาไปฝึ กในการสร้างสติตามกระทบรูปก็ใชส้ ติสัมปชญั ญะหยุด ไว้ ใชส้ ติหยุดต่อการปรุงแต่ง หยุดสร้างความคิดปรุงแต่ง สร้างความรู้สึกปรุงแต่งต่อไป เมื่อตากระทบรูป ใหใ้ ชส้ ติหยุดไวต้ รงน้นั แลว้ ทุกอยา่ งก็ไม่เป็ นการสร้างอะไรฝังไวใ้ นจิตไร้สานึกต่อไป จงใชอ้ ายตนะให้ เป็นประโยชน์ เขา้ ใจในตวั อายตนะเขา้ ใจส่ิงท่ีมีกระทบอายตนะ หยดุ การปรุงแตง่ ดว้ ยใจเป็นกลางหรือดว้ ย จิตที่เป็นอุเบกขา วางจิตใหเ้ ป็นอุเบกขาต่อท้งั ความชอบและความชงั ท้งั หลายใหจ้ ิตเป็ นตวั ดูตวั รู้เท่าน้นั ไม่ มีการปรุงแต่งต่อไป เม่ือจิตท่านเป็ นเพียงผเู้ ฝ้าดูแลว้ ยอมรับความเป็ นไปท่ีเกิดข้ึนดว้ ยใจเป็ นกลาง ท่านจะ พบความสุขของจิตเป็นอยา่ งยงิ่ ๓.๑๙) ความคิดปรุงแต่งก่อให้เกิดความไม่บริสุทธ์ิในจิตใตส้ านึกของท่าน หากท่านความควบคุม ความคิดท้งั หลายได้ ท่านจะพบวา่ ท่านสร้างโลกภายนอกของจกั รวาลที่จะดึงดูดพลงั งานคลื่นแห่งความ เป็ นจริงใหท้ ่าน ท่านจะไม่เป็ นทุกขแ์ ต่อยา่ งใด เพราะคลื่นท้งั หลายเขา้ สู่ชีวิตของท่าน ดว้ ยความเป็ นกลาง เป้นคล่ืนพลงั งานแห่งความบริสุทธ์ิ
๒๓๘ ๓.๒๐) วธิ ีการฝึ กวางจิตใหเ้ ป็ นอุเบกขา อุเบกขาทางจิต เป็ นตวั เช่ือมโยงทุกฐานของวิธีการปฏิบตั ิ เมื่อกายกบั จิต แยกกนั ไมอ่ อก มีความสัมพนั ธ์กนั และความคิดทางจิตสานึก ก็สร้างความคิดปรุงแต่งข้ึนมา รองรับ ไม่ว่าจะเป็ นดา้ นดี ดา้ นไม่ดี ดา้ นบวกและดา้ นลบ จิตมกั ซดั ส่ายไปมา จึงทาให้ขาดสติมองเห็น ความเห็นเป็ นจริง แทไ้ ม่ชดั หากเม่ือฝึ กวางจิตให้เป็ นอุเบกขา ท่านจะมองความจริงออกว่า ทุกสิ่งลว้ น อนิจจงั ไมม่ ีอะไรเป็นแก่นสาร อนิจจงั อนิจจงั ๓.๒๑) คนจะมีคลื่นพลงั งานจิตเหมือนกบั จิตคลา้ ยๆกนั มกั อยเู่ ป็นกลุ่มกอ้ นเดียวกนั ไมไ่ ดเ้ กิดจาก การเรียนรู้จากหนงั สือหรือภาคทฤษฎี และเกิดจากจิตใตส้ านึกบริสุทธ์ิ แบบใดหรือแบบไหน ท่านตอ้ งฝึ ก จิตของทา่ นใหด้ ี แลว้ ดวงจิตอีกดวงจะมาใกลท้ า่ นเอง ไม่วา่ เป็นลูกหลาน บิดามารดา พนี่ อ้ งหรือเพื่อนสนิท คนรักท่านและคนที่ท่านรัก พลงั งานจิตที่บริสุทธ์ิจะดึงจิตที่มีพลงั งานบริสุทธ์ิเขา้ มาหาตวั ท่านเสมอ ๓.๒๒) โลกของจกั รวาลมีแรงดึงดูดเสมอ จิต คือ พลงั งานชนิดหน่ึง เมื่อจิตเป็ นลกั ษณะพลงั งาน ชนิดใด พลงั งานชนิดใกลเ้ คียงที่เหมือนกนั ยอ่ มอยากเขา้ มาอยใู่ กลเ้ ขา้ มาหาเสมอ ทา่ นเป็นคนดีจริง คนดีๆ ย่อมเขา้ มาหาท่าน พบเจอท่านเช่นกนั ไม่ว่าท่านเจอเหตุการณ์ร้าย ๆ ท่านต้องกลับเขา้ มาดูภายในว่า พลงั งานดวงจิตของท่านมีอกุศลกรรมไวอ้ ยา่ งไรบา้ ง ความโลภ ความโกรธ ความหลง มมากนอ้ ยอยา่ งใด ถา้ ไมฝ่ ังอยใู่ นสังขารหรือขนั ธ์ 5ของท่าน ทา่ นตอ้ งฝึกการใชส้ ติปัฎฐาน ๓.๒๓) จิตเป็ นนาย เสมอ เพียงแต่เราอาจไม่รู้ หากจิตเขม้ แข็งกายก็จะไม่เวทนา อกุศลกรรม วิธีการฝึ กจิตจึงมีความสาคญั เป็ นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อจะตดั สินใจกระทาการใด ๆ หรือไม่กระทาการใด ปัญญาระดบั เชาวน์ปัญญาก็เป็ นส่วนประกอบ แต่สุดทา้ ยมาหลายชีวติ ใชค้ วามรู้สึกในการตดั สินใจกระทา การใด ๆ เสมอ ความรู้สึกมาจากไหน มาจากจิตใตส้ านึก อารมณ์ชวั่ วบู ท้งั หลายมีผลตอ่ ชีวติ ๓.๒๔) วิธีการฝึ กดวงจิตเป็ นอุเบกขา ต้องใช้ฐานเวทนาฝึ ก เวลาเมื่อถูกกระทบ อายตนะ ตา หู จมูก ฯ ไม่พึงพอใจและพอใจ มนั เกิดจากการฝึ กคิดดว้ ยความเกลียดชงั ไม่พอใจ หรือ ความรักความชอบ ความพอใจ อยากไดม้ าอีกรอบ หรืออยากไดม้ าอีกหลายต่อเนื่อง เม่ือเกิดการสร้างสงั ขาร ติดตาม ตดั ทิง้ ไป หลายภพหลายชาติ เป็นการเพ่ิมอกุศลกรรม กิเลส โลภะ โทสะ โมหะ อยตู่ อ่ เน่ืองตกตะก่อนในจิต แลว้ จิต พลงั งานดวงจิตก็ขา้ มภพภูมิไปเกิดตามที่สะสมในกิเลส อนุนิสัย ไปพอเจอ ส่ิงต่าง ๆ เกิดข้ึนมากมาย ขา้ ม ภพขา้ มชาติ แลว้ แต่บุญหรือกรรมเดิมสะสมไวต้ วั ท่านเป็ นผูฝ้ ึ กฝนจิตให้มีความเป็ นอุเบกขา จิตอุเบกขา หลายคร้ังบ่อยคร้ัง ท่านจะไม่เพิ่มส่ิงสะสมอนั เศร้าหมองในจิตมากข้ึน มีแค่เอาออกและเอาออก ท่านก็จะ เดินทางไปหาจิตเดิมแท้ ไปสู่สภาวะความไม่เป็ นทุกขห์ รือจิตบริสุทธ์ิ แต่ทุกอย่างตอ้ งใช้ความพากเพียร พยายามตอ่ เนื่องยาวนาน สะสมบุญบารมีหลายๆคร้ัง โดยใชธ้ รรมะ ๓.๒๕) การฝึ กลมหายใจเขา้ ออก คือ การชาระลา้ งดวงจิตจิตไม่อาจเป็ นกุศลกรรมอยตู่ ลอดเวลา ยิ่งเกิดมาแลว้ มกั มีบวกลบเสมอ มีชอบและมีไม่ชอบ เหมือนมี “๐” และมี “๑” เป็ นเช่นน้ันเร่ือยไป หา ความเป็ นกลาง คือ หาค่าความเป็ นอุเบกขาของจิตไดแ้ ลว้ ท่านจะพบว่า เม่ือไม่มี ๐,๑ โลกจึงมีความเป็ น อุเบกขา สุขบริสุทธ์ิ จากอุเบกขา ทาให้ท่านพบนิพพานมีความสุขสงบ ตอ้ งหาจุดทุกขณะให้เจอสภาวะ กรรมเช่นอยา่ งน้ี เพยี งเส้ียววนิ านี หรือกระแสพระนิพาน ขา้ มภพขา้ มชาติดว้ ย
๒๓๙ ๓.๒๖) วธิ ีการวางจิตเป็ นอุเบกขา จากเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นกายในกายเห็นธรรมในธรรมทุก สรรพส่ิงเป็ นอยู่อย่างที่ควรจะเป็ น สร้างพลงั จิตที่เขม้ แข็ง สร้างจิตดว้ ย ฐานเวทนา เป็ นการฝึ กปฏิบตั ิที่ ใหผ้ ลเป็นอยา่ งดีมากมายวางจิตใหเ้ ป็นอุเบกขา วางจิตใหเ้ ป็นกลาง วางจิตใหอ้ ยจู่ ุดศูนยก์ ลางแห่งความเป็ น อุเบกขา เป็นการฝึกดวงจิตที่ดีงาม ฝึกจิตใหบ้ ริสุทธ์ิ โดยการวางจิตใหเ้ ป็นอุเบกขา ฝึกจิตใหเ้ ป็นอุเบกขาได้ เป็นอยา่ งดี คือการพบเจอเวทนา ๓.๒๗) การเห็น การเกิดข้ึนต้งั อยแู่ ละดบั ไป ท่านตอ้ งใช่จิตเห็น ใชจ้ ิตสารวจเขา้ ไปภายใน ไม่วา่ จะเป็ นอะไรอย่างไร เกิดข้ึนต้งั อยู่แล้วดบั ไปของสรรพสิ่งต้องใช้ จิตเป็ นผูด้ ูผูด้ ูให้ดีธรรมะเป็ นเรื่ อง ธรรมชาติ ถา้ สิ่งใดขดั ธรรมชาติ สิ่งเหล่าน้นั ไมใ่ ช่ธรมะ ธรรมะสร้างไดจ้ ากธรรมชาติใหเ้ กิดกศุ ลกรรม ๔) ฐานธรรม (ด้านธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน) ๔.๑) ความซื่อสัตย์ต่อตวั เองสาคัญ กายในกาย ภายในคือเรารู้ดว้ ยตวั เราเอง จึงเป็นที่มาของความ ซื่อสัตยต์ ่อตวั เราเอง มีความจาเป็ นและสาคญั ต่อความกา้ วหนา้ ไม่วา่ ทางธรรมหรือดว้ ยทางชีวิตภายนอก มนั คือการอธิบาย กายในกายไดเ้ ป็ นอย่างดี ความซื่อสัตยต์ ่อตวั เราเอง คิดทาอยา่ งถูกตอ้ ง การซื่อสัตยม์ ี ความเคารพภายในของเรา เป็ นการฝึ กฝนภายในแลว้ ยงั ช่วยในกายนอกกายเป็ นไดต้ ามจริงที่ปรารถนา หากเพียงมีความซ่ือสัตยต์ ่อตวั เอง ฝึ กภายในกาย สัจจะบารมีภายในกายในกายเขม้ แขง็ ภายนอกไร้ทุกข์ ตอ้ งเป็นเฉพาะตนเฉพาะตวั เป็ นของเราเอง ในการรักษาสัจจะถึงตวั เรา เมื่อโลกภายในรักษาสจั จะหรือตาม ต้งั ใจลงตวั เราได้ โลกภายนอกกายยอมเขา้ ไปตามปรารถนาโดยไม่ยากอะไร จงรักษาสัจจะคือความต้งั ใจ แสดงความพากเพียรที่เรามีไวถ้ ึงตวั เอง ๔.๒) ปัญหาภาวนามยปัญญา เส้นทางเป็ นของท่านเองเท่าน้ัน การคน้ พบเจอและอธิบายความ ย่อมข้ึนอยู่กบั ประสบการณ์ของท่านท่ีพบเจอว่าเป็ นลกั ษณะอย่างไร ไม่ตอ้ งไปดูของคนอ่ืน ท่านจะมี ประสบการณ์จากตวั ท่านเองเทา่ น้นั ๔.๓) เวลาและการเร่งเวลาไปในอนาคตมนั เป็ นทุกขเ์ พราะรอวา่ เม่ือใดจะมาถึงเสียที ยงิ่ เร่งยง่ิ ทุกข์ หากแต่วิธีการปฏิบตั ิคือไม่เร่งเวลา รอตามเวลาจริง วางใจให้เป็ นสติปัจจุบนั ผา่ นเวลาไปแลว้ ไม่ทุกขห์ รือ หวนคิดถึงเวลาในอดีตก็ทุกข์ เพราะเวลาน้นั ไดผ้ ่านไปแลว้ ไม่อาจมีอยู่จริงหรือไม่เป็ นจริงอย่างใด หวน คิดถึงก็ไมอ่ าจเป็นจริง สติปัฏฐานกบั เวลา คือ เอาสติมาอยกู่ บั เวลาปัจจุบนั ใหไ้ ดไ้ มว่ า่ โดยวธิ ีใด เอาปัจจุบนั อารมณ์มากาหนดใหไ้ ด้ ไม่อยฐู่ านใด กายเวทนา จิต ธรรม เป็นปัจจุบนั ขณะ ไมเ่ ป็นไปในอดีต ไม่คิดอะไร ในอนาคต อยกู่ บั ปัจจุบนั ขณะ เวลาท่ีเป็ นอยคู่ ือเวลาแห่งความจริงที่จะไม่ทุกขใ์ ด ๆ แลว้ จะพบวา่ ทางพน้ ทุกขอ์ ีกวธิ ีหน่ึงคือการทาเวลาของชีวติ ใหเ้ ป็นปัจจุบนั ขณะ ๔.๔) การพบสภาวธรรมเป็นเรื่องบุคคล เทคนิครูปแบบเป็นเร่ืองเฉพาะตวั บุคคลแตล่ ะคน รูปแบบ สติปัฏฐาน ๔ มีหลายรูปแบบ การฝึกฝนเขา้ ใจและนาไปใชเ้ ป็ นเรื่องของบุคคลแต่ละคน ถา้ ถูกจริตหรือถูก แนวปฏิบตั ิของท่าน การเลือกนาไปปฏิบตั ิไปใชเ้ พ่ือหาความเขา้ ใจต่อไป ธรรมะเป็ นภาษาธรรมดา ผคู้ น ทวั่ ไปเขา้ ใจและเขา้ ถึงง่ายๆ ไม่จาเป็ นตอ้ งเป็ นภาษาเชิงปรัชญาช้นั สูง เพราะธรรมะเป็ นสากลสาหรับคน ทุกคน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358