Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 61 รายงานผลการวิจัย

61 รายงานผลการวิจัย

Published by วิจัย แม่โจ้, 2022-06-10 04:13:33

Description: 61 รายงานผลการวิจัย

Search

Read the Text Version

๒๔๐ ๔.๕) ปัญญาภาวนามยปัญญา ตอ้ งเป็ นปัญญาท่ีเกิดจากประสบการณ์จริงของท่านที่จะอธิบาย ความเป็นจริงของประสบการณ์ที่พบเจอ อาจไดจ้ าก สุตมยปัญญา จากการฟัง การอา่ น เป็นความรู้ของผอู้ ื่น และจินตมยปัญญา จากการวเิ คราะห์ ความคิดผอู้ ื่นแลว้ นามาสร้างเป็ นปัญญาต่อเน่ืองเป็ นภาวนามยปัญญา เป็นการฝึกปฏิบตั ิที่เกิดจากประสบการณ์โดยตรงลงทา้ ย ๔.๖) ศีล สมาธิ ปัญญา มีความสาคญั ต่อการหลุดพน้ จากความทุกข์ มีศีลแต่ไม่มีสมาธิก็สร้าง ปัญญาใหเ้ กิดไมไ่ ด้ เกิดเป็นหนทางพน้ ทุกขไ์ ม่ได้ ตอ้ งมีครบท้งั สามอยา่ ง ๔.๗) โลกภายนอกเป็ นอย่างไร ข้ึนอยู่กบั โลกภายใน กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เห็นกายภายใน กาย เห็นกายภายนอกกาย หมายความถึง ใหเ้ นน้ การมองเขา้ มาภายในกายของเราวา่ เป็ นอยา่ งไร โดยอาศยั การฝึ กลมหายใจเขา้ ออก อย่างรู้มีสติเท่ากบั ภายใน เม่ือรู้ เมื่อฝึ กจนมีพลงั มองเขา้ ใจภายในของตนเอง โดยเฉพาะดา้ นจิตจนมีพลงั มองเห็นตามลกั ษณะธรรมานุปัสสนาสติปัฎฐานท้งั หลาย พบวา่ ภายนอกมอง เขา้ ใจไดอ้ ยา่ งไม่มีอะไรยากท่ีจะเขา้ ใจได้ เมื่อฝึ กจิตเขา้ ใจภายในกาย กายของเราเขม้ แข็งฝึ กจิตเขา้ ใจจิต ของเรา ก็เขา้ ใจผอู้ ่ืนไม่ยาก ฝึกไปมาก ๆ จะสามารถดึงพลงั งานแห่งความส่ันสะเทือนโลกภายนอกให้เป็ น ตวั ปรารถนาข้ึนอยกู่ บั จิตมีพลงั บริสุทธ์ิเช่นใด ๔.๘) ภาษาทางธรรมถึงภาษาทางโลก เม่ือภาษาทางจิตเห็นรู้แจง้ ทวั่ ภายในกาย ภายนอกกาย ภาษา ไม่อาจจาเป็ นเพียงการสื่อสารในอาศยั รูปนามเบ้ืองตน้ และกลาง แต่คือความจริงสูงสุด เร่ืองจิตเป็ นภาษา นามธรรมการส่ือสารใด ๆ ใช้ความรู้สึกทางจิตท่ีบริสุทธ์ิ เขา้ ไปดูเขา้ ไปรู้ไดโ้ ดยไม่ยากอะไร ตามเขา้ ถึง ความจริงจากจิตตานุปัสสนาสติปัฎฐาน ๔.๙) เวลาเร็วหรือชา้ ข้ึนอยกู่ บั อะไร? ข้ึนอยกู่ บั จิตท่ีเชื่อมโยงเวลากบั โลกแห่งภายในกายและโลก แห่งภายนอกกายได้ พบเจอกบั เวลาคือเมื่อมองเวลาธรรมดาของโลก เมื่อมีความทุกขเวทนา เวลาภายนอก จะผ่านไปอยา่ งเช่ืองชา้ (กาลงั มีความทุกข์) ซ่ึงตรงขา้ มกบั ความสุข ยามใดเมื่อมีความสุขเวลาจะผา่ นไป อยา่ งรวดเร็วโดยไม่มีความรู้ต่อโลกภายนอกกาหนดดว้ ยโลกภายในกายของเรา ในจิตของเราดว้ ยเวทนา ของเรา ๔.๑๐) ตากระทบรูป คิดไปปรุงแต่งไปดว้ ยความรักความชงั หากตากระทบรูป รูปกระทบตา จะ หยุดคิดไดโ้ ดยมีสติปัฏฐาน อาศยั หลกั ธรรมานุสติปัฏฐาน ใชส้ ติคิดให้ถูกตอ้ ง สร้างความคิดท่ีถูกฝึ กมา เป็ นปัจจยั ณ ขณะเวลา จะพบว่า สติกาหนดให้คิดไปอย่างสติปัฏฐานดา้ นธรรม หารูปแบบ ท่านก็ฝึ ก ควบคุมความคิดได้ ความคิดปรุงแต่ง ความคิดอกุศลกรรม ก็จะเล่นงานท่านให้เป็ นทุกข์ไม่ได้ การฝึ ก ควบคุมความคิดจึงมีความสาคญั อาศยั ปัญญาสร้างให้เกิดสร้างให้มี ตอ้ งเป็ นปัญญาท่ีถูกตอ้ งตามธรรมา นุปัสสนาสติปัฏฐาน ตอ้ งสร้างวธิ ีคิดอนั ถูกตอ้ งและฝึกคิดตามสาระและรูปแบบดว้ ยธรรมานุสติปัฏฐาน ๔ ๔.๑๑) ฝึกควบคุมความคิด ความคิดเป็นส่วนสาคญั สร้างปัญญา จะมีความคิดที่ถูกตอ้ งตอ้ งฝึ กจาก ศีลและสมาธิ เบ้ืองตน้ ไปสู่ปัญญา ปัญญาที่เป็นกศุ ลธรรม ถา้ ฝึกคิดใหเ้ ป็น โลกภายนอกแบบดีงามท้งั หลาย จะมาหาทา่ นเอง คิดดว้ ยปัญญาที่มาจากภาวนามยปัญญาไมใ่ ช่มาจากสมองคิดดว้ ยจินตมยปัญญา หรือ สุตมยปัญญา การคิดแบบภาวนาไดท้ ่านตอ้ งฝึ กภาวนาและวปิ ัสสนาเท่าน้นั แลว้ ก็เป็ นเร่ืองยากย่ิงนกั ท่ีจะ

๒๔๑ ทาไดต้ ราบใดโลกใบน้ียงั อาศยั ร่างกายครองจิต แต่จะทาไดเ้ พียงขณะเวลาผ่านไปมาชว่ั ขณะแลว้ เห็นการ เกิดดว้ ย ๔.๑๒) เส้นทางศึกษาธรรมะเป็ นเร่ืองเฉพาะตวั อาศยั ความรู้ท้งั ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบตั ิ ไม่อาจ เป็นสูญแห่งความสาเร็จเพยี งหน่ึงแต่แก่นหลกั มีเพียงหน่ึง แต่อธิบายรูปแบบและวธิ ีการแตกตา่ งกนั ออกไป ไม่เหมือนกนั เสียงทางเดินก็แตกต่างกนั ทุกคนมีตน้ ทุนในความเป็ นคนไม่เท่ากนั การฝึ กฝนตามเส้นทาง ธรรมะเป็ นหน้าที่ของเรา ผลเป็ นส่ิงที่เกิดข้ึนเอง จงศรัทธาดว้ ยปัญญา จงสร้างแรงจูงใจดว้ ยฉนั ทะ มีผล ติดตามจะเกิดข้ึนกบั ตวั ทา่ นเอง จงพากเพยี รพยายามฝึกฝนตอ่ เน่ือง ๔.๑๓) ธรรมะ คือ ความเปล่ียนแปลง ท่านตอ้ งฝึ กการยอมรับความจริงของความเปล่ียนแปลงได้ ใด ๆ ในโลกลว้ นอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา ยอมรับความจริง ยอมรับความเป็ นจริงของความเปลี่ยนแปลง ธรรมตอ้ งยอมรับความเป็ นจริง ตอ้ งฝึ กการยอมรับความจริงของจริงโดยไม่ยึดมนั่ คือมน่ั สิ่งใด ๆ ในโลก โดยฝึกจากเวทนา อาศยั การฝึกกบั ความทุกข์ ทุกขเวทนายอมรับความจริงกบั ทุกขใ์ หไ้ ด้ ๔.๑๔) วิธีการเขา้ ถึงธรรมะของพระพุทธเจา้ ท่านตอ้ งประสบดว้ ยประสบการณ์ของท่านเอง เท่าน้ัน เจริญตามแนวทางพระพุทธเจ้า เจริญตามคาสอนครูบาอาจารย์ สายพระอรหันต์ที่ประสบ ความสาเร็จธรรมะแทจ้ ริง ตอ้ งเป็ นธรรมะที่บริสุทธ์ิ การเรียนรู้ธรรมะตอ้ งเป็ นหนทางอีกยาวไกลกว่าจะ ถึง ผลของธรรมไม่ใช่หนา้ ท่ีของท่าน หนา้ ท่ีของท่านคือตอ้ งพากเพียรท่านตอ้ งปฏิบตั ิตลอดเวลา ทุกขณะ ผลจะตามมาเองหนทางอีกยาวนานและไกล เร่ิมตน้ ทีละกา้ ว ๆ ๔.๑๕) เห็นท้งั หมดของกายภายในกาย เอากระแสความรู้สึกไปสัมผสั ในกาย เวียนไปมาดูกาย ท้งั หลาย พบวา่ เป็ นเพียงความวา่ งเปล่าเกิดข้ึน ต้งั อยู่ดบั ไปตามเวลา ในแต่ละขณะก็ไม่เหมือนกนั ไม่มี อะไรเหมือนกนั เม่ือเวลาเคลื่อนผ่านไปสารวจกาย สารวจเวทนา สารวจจิต บนฐานธรรมที่วา่ ดว้ ยไตร ลกั ษณ์ อนิจจงั อนิจจงั อนิจจงั ไม่มีอะไรเป็นแก่นแทส้ กั อยา่ งบนโลกน้ี ๔.๑๖) การแยกเห็นโครงร่างของกายมีความสาคญั การมองกายภายในตามดูตามรู้ความเจ็บปวด จากกาย ทุกขเวทนาทางกาย นาไปสู่การรับรู้ทุกขเวทนาทางจิตใจ แลว้ นาไปสู่การแยกรูปนามนาไปสู่ ความหลุดพน้ จากกายและจิต ซ่ึงหมายถึงรูปนามเมื่อท่านแยกรูปออกจากนามได้ หรือแยกกายออกจากจิต ได้ ท่านจะพบวา่ ความเจ็บปวดไม่วา่ จะเกิดทุกขท์ างกายหรือทุกขท์ างใจก็ไม่สามารถทาอะไรท่านได้ หรือ ถา้ เป็นความทุกขก์ จ็ ะทุกขเ์ บาบางลงอยา่ งฉบั พลนั หากฝึกการต้งั สติ หรือการปฏิบตั ิวปิ ัสสนาภาวนาจบั จุด แยกรูปนามได้ วิธีการฝึ กใหเ้ ห็นความจริงอยา่ งต่อเน่ืองยาวนานและฝึ กฝนจะเขา้ ใจ ชานาญ ในการต้งั สติ ปัฏฐาน ๔ ตามฐาน ซ่ึงแค่สติปัฏฐานไม่สามารถแยกไดเ้ ป็ นส่วน ๆ มกั จะเกี่ยวเน่ืองกนั เสมอ เพียงแค่ท่าน จะใชฐ้ านอะไรเป็นหลกั ณ ขณะสภาวธรรมท่ีเป็นอยเู่ ช่นน้นั ๔.๑๗) ตามยึดมนั่ ถือมน่ั ของฉัน ตวั กูของกู แกไ้ ขดว้ ย ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน โดยใช้ฐาน ธรรมฝึกการคิดในหลกั ธรรมให้เป็นจริงและถูกตอ้ ง ตอ้ งอาศยั การฝึกฝนการคิดให้เป็น การฝึกควบคุมตาม คิด การฝึกคิด วธิ ีการฝึกคิดตามหลกั ธรรมเน้ือหาประเด็นตามหลกั ธรรมานุสติปัฏฐานโดยการเอาสติไปอยู่ กบั หลกั ธรรม มีความหมายเป็ นการฝึ กความคิด ฝึ กวธิ ีความคิดใหเ้ ป็ นไปตามหลกั การธรรม เป็ นฐานการ ฝึ กสติ ทาให้ผูป้ ฏิบตั ิสติปัฏฐาน ตอ้ งมีความเขา้ ใจหลกั วิธีการ เป็ นการเรียนรู้ในเชิงภาคทฤษฎีเนน้ หนกั

๒๔๒ ภาคทฤษฎี แล้วนาไปสู่การเช่ือมโยง การฝึ กฐานกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หากละเลยจะไม่ครบ องคป์ ระกอบ “มหาสติปัฏฐาน” ๔.๑๘) มหาสติปัฏฐาน ๔ คือ องคป์ ระกอบกบั ฐานท้งั ๔ ตอ้ งเรียนรู้และเขา้ ใจใหค้ รบถว้ น เป็นท้งั ทฤษฎีและภาคปฏิบตั ิ ประกอบกนั ในสภาวธรรมในขณะเวลาจาตอ้ งใชฐ้ านที่มีลว้ นเก่ียวขอ้ งในขณะหว้ ง เวลามีความตอ้ งการ มีความสาคญั ที่จะนาสติไปใชใ้ นฐานแห่งสติดา้ นใด จะละเลยไม่ได้ จะเขา้ ไปโดยใช้ ฐานเดียวไม่ได้ เพราะเพียงแค่เส้ียวเวลาสติ ผูป้ ฏิบตั ิตอ้ งเลือกนามาใช้ให้เป็ นประโยชน์และเลือกใชต้ าม ความจาเป็นใหท้ นั ช่วงเวลาในการกาหนดสติ ๔.๑๙) ความพากเพียร การเริ่มตน้ ใหม่อีกคร้ังของการฝึ กสมาธิ เน่ืองจากสติไม่ได้อยู่ติดต่อ เนื่องกนั ตลอดทุกขณะเวลา มีความฟุ้งซ่าน มีความคิดเขา้ มารบกวน จึงทาใหส้ ติขาดความต่อเนื่อง แต่ทุก คร้ังมีการฝึกสติตอ้ งมีการเริ่มตน้ ใหมอ่ ีกคร้ัง เริ่มตน้ ใหมอ่ ีกคร้ังเหมือนการเขา้ ออกสมาธิเป็นเรื่องง่าย ๔.๒๐) การควบคุมความคิด ตอ้ งฝึ กฝนใหค้ วามคิดอยูก่ บั ฐานธมั มานุปัสสนาสติปัฏฐานให้จงได้ เมื่อใดมีความคิดเป็ นอกุศลธรรมเกิดข้ึน เอาหลกั ธมั มานุปัสสนาเขา้ ไปควบคุมดูแลตดั การสาระประเด็น วิธีการจดั ต่าง ๆ ให้ถูกตอ้ งเป็ นไปตามแบบอย่างท่ีเป็ นสติปัฏฐานดา้ นธมั มานุปัสสนาสติปัฏฐาน วิธีการ ความคุมความคิดใหถ้ ูกตอ้ งจึงมีความสาคญั ไมว่ า่ ดา้ นวธิ ีการปฏิบตั ิและดา้ นวธิ ีการเป็นประเด็นสาระ ๔.๒๑) อนิจจงั คากล่าวท่ีไมไ่ ดเ้ ป็นไปตามความคิดที่เล่าเรียนหรือเป็นแนวคิดปรัชญา ตามกฎไตร ลกั ษณ์ แต่อนิจจงั ท่ีจิตมองเห็นว่า อนิจจงั ไม่เท่ียง ไม่มีอะไรเป็ นแก่นสาร ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง เกิดข้ึนต้งั อยดู่ บั ไปเป็นอยา่ ง อยา่ งน้นั เป็นอนิจจงั ที่จิตเห็นจิตรู้ ไม่ไดเ้ ป็นอนิจจงั ที่สมองรู้จากการเล่าเรียน ๔.๒๒) พลงั งานภายในคือ พลงั งานแห่งการสั่นสะเทือน คือดูจากจกั รวาลเขา้ สู่ภายในกาย คล่ืน พลงั งานภายในจะดึงดูดคล่ืนพลงั งานภายนอกเขา้ มาสู่ตวั ท่านเสมอ ท่านเป็ นคนมีความคิดบวก มีความคิด เป็ นกุศล คล่ืนพลงั งานภายในดา้ นบวก จะส่งคล่ืนพลงั งานดา้ นบวกมาหาท่านไม่วา่ ผคู้ นเป็ นกลั ยาณมิตร หรือเหตุการณ์ประสาทเจอกบั สถานการณ์ตา่ ง ๆ ๔.๒๓) สมถะวิปัสสนา เก้ือกูลกนั การไต่ระดบั ลมหายใจจากหยาบไปสู่ลมหายใจอยา่ งละเอียด ท่านตอ้ งใช้สมถะนาทาง เม่ือจิตสงบแลว้ ท่านก็ทาวิปัสสนาตามรูปนาม แยกรูปนามให้แยกออกจากกนั ฝึกฝนบอ่ ยๆ คร้ัง ทา่ นกา้ วหนา้ ทางธรรมช้นั สูงต่อไป เม่ือท่านแยกรูปนามไดแ้ ลว้ หลายๆคร้ังฝึกจนชานาญ การ แยกรูปนาม เห็นรูปแยกออกจากนาม เห็นจิตแยกออกจากกาย ท่านกาลงั ฝึกการบรรลุเป็นโสดาบนั ๔.๒๔) ทา่ นแยกรูปนามสาเร็จความเป็นตวั กูของกู ไม่เกิด เห็นทุกส่ิงเป็นไปตามกฎไตรลกั ษณ์ ไม่ มีตวั กูของกู ไม่มีอะไร มีแต่อนิจจงั รูปก็ไม่ใช่ ตวั ไม่ใช่ตน นามไม่ใช่ของท่าน แยกกนั อยูไ่ ม่มีส่ิงใดยดึ มนั่ ถือมนั่ การฝึ กฝนพากเพียรต่อเน่ือง จนชานาญจากดวงจิต จากการนงั่ สมาธิวิปัสสนา ภาวนาลดความเป็ น ตวั กูของกูได้ แต่ตอ้ งพากเพียรตอ้ งทาต่อไป แยกรูปนามโดยการฝึ กวิปัสสนา โดยใช้สติปัฏฐาน เป็ น เครื่องมือตอ่ ไป ๔.๒๕) เวลากบั สิ่งท่ีอยู่ภายใน และส่ิงท่ีเป็ นอยู่ภายนอกตอ้ งหาความสัมพนั ธ์ จุดก่ึงกลางของ ภายในและภายนอก ไม่เร่งเวลาแลว้ ไม่รอคอยเวลา เวลาแห่งความจริงภายในจะเสมือนเวลาแห่งภายนอก ไม่ตอ้ งสนใจส่ิงที่ผา่ น มาเอาเวลาปัจจุบนั แลว้ ไม่ตอ้ งเอาเวลาของในอนาคตมาเป็ นปัจจุบนั ทา่ นจึงตอ้ งดึง

๒๔๓ สติอยู่กบั ปัจจุบนั มีผลต่อการตดั สินใจ มีผลต่อสภาวะความเป็ นจริงของภายในและภายนอกโดยใช้เวลา เชื่อมโยง ๔.๒๖) ความคิด ตอ้ งฝึกคิด และหา้ มความคิดปรุงแต่ง ท่านรู้วา่ ประโยชน์คือ ท่านจะพบความจริง ท่ีเป็ นของแทจ้ ริง พบสิ่งที่เป็ นความจริงโดยเน้ือแท้ ความจริงท่ีเป็ นความจริงแทจ้ ริง ท่านเป็ นคนจริงท่าน จะพบความจริง ท่านเป็ นผูป้ รุงแต่ง ท่านจะพบคนปรุงแต่งแลว้ ส่ิงท่ีปรุงแต่งมองไม่เขา้ ถึงแก่นแห่งความ จริง ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง หากเพยี งมนุษยช์ อบปรุงแตง่ เท่าน้นั เอง ๔.๒๗) สมถะ คือ การทาให้จิตนิ่งอยนู่ าน อาการใดหรือจุดความสนใจจุดหน่ึงจุดเดียว ไดแ้ ก่ ลม หายใจเขา้ ออกผา่ นทางจมูก วปิ ัสสนา คือการดูความรู้สึกไปท้งั กาย ท้งั กายดา้ นนอกและกายดา้ นในจะเป็ น ท้งั กายลกั ษณะเป็ นอยา่ งไร วธิ ีการเชื่อมระหวา่ งสมถะกบั วปิ ัสสนา คือ การไต่ระดบั จากการนิ่ง สมถะให้ ลมหายใจหรืออาการสมาธิน่ิงเป็ นจุดเดียว จนไดถ้ ึงเวลาพอสมควรและไต่ระดบั ไปสู้วปิ ัสสนาโดยเห็นไตร ลกั ษณ์เกิดข้ึนต่อไปของสรรพส่ิง รวมท้งั ตวั ของเราเอง ไม่มีอะไรท้งั หมดเป็นเพียงอนุภาคพลงั งานเทา่ น้นั ไมม่ ีอะไรที่มน่ั หมายเอาได้ แมแ้ ตล่ มหายใจก็จะหายไปหมดตามเวลา ๔.๒๘) วธิ ีการฝึกฝนเร่ืองปัญญา ภาวนามยปัญญา ตอ้ งเห็นประจกั ษด์ ว้ ยตวั เอง ไม่อาจเอาความคิด มองเห็นหรือตริตรองเอาได้ ใชจ้ ิตเป็นผดู้ ูผูร้ ู้ จากการเห็นคร้ังหนา้ อาจไม่เหมือนอาการอีกหลายคร้ัง ๆ ทุก สภาวะ มีความแตกตา่ งกบั ไป เนื่องจาก การใชเ้ วทนาเป็นผตู้ ้งั ฐาน แลว้ โดยใชจ้ ิตเป็นผตู้ ามดูตามรู้และตาม เห็นจิตเห็นตอ้ งฝึ กให้จิตเห็น ใชค้ วามคิดเห็นไม่เป็ นเรื่องจริง เพราะเป็ นเพียงความคิดเท่าน้นั ตอ้ งใชช้ ีวิต สติปัฎฐาน ๔ กบั วิปัสสนากรรมฐาน เป็ นเร่ืองเดียวกนั อาจเป็ นที่มาหรือองค์ประกอบวิธีการแนวคิด แตกตา่ งกนั แตส่ ุดทา้ ยมุ่งสู่การสร้างจิตใหบ้ ริสุทธ์ิ เกิดข้ึนใหต้ อ้ งทน ๔.๒๙) ธรรมะตอ้ งเป็ นของง่าย เขา้ ถึงง่ายใชภ้ าวนาธรรมดาเป็ นหนทางนาไปสู่คนทางพน้ ทุกข์ เท่าน้นั ธรรมะ คือธรรมชาติอะไรที่ไม่เป็ นธรรมชาติจึงไม่ใชธ้ รรมะ ลมหายใจเป็ นสิ่งท่ีอยูต่ ามธรรมชาติ เป็นเครื่องมือนาไปสู่การปฏิบตั ิเพ่อื ความพน้ ทุกข์ ลมหายใจฝึกไดด้ ว้ ยลมหายใจ ลมหายใจเป็นธรรมชาติ ๔.๓๐) วปิ ัสสนา คือ การตามดูกายรู้ภายในภายนอก เคล่ือนไหวดว้ ยความโล่งแลว้ เขาสบาย เจริญ จิตโดยการน่ิง อิริยาบถจะหนกั ปวดจนทนไม่ไดแ้ ต่เม่ือนาไปสู่วิถีแห่งวิปัสสนา กระแสความรู้สึกทาให้ ภายในกายไหวคล่องเขาสบายไม่หนกั โปร่งโล่ง แต่ชวั่ ขณะหรือหลายชว่ั ขณะข้ึนอยูก่ บั การฝึกวา่ อยา่ งไร บา้ ง ดูกายดว้ ยความรู้สึกไปทว่ั กาย เมื่อฝึ กมาจนชานาญจะสามารถนิ่งไดน้ านกวา่ ๙ ชว่ั โมง หรือนานกว่า น้นั การเพง่ ลมหายใจก่อให้เกิดสมถะ แลว้ ไต่ระดบั ปัญญาธรรมไปสู่วปิ ัสสนาไดต้ ่อมา จนคล่องเขา้ ออก ชานาญ จากสมถะเป็นวปิ ัสสนา จากวปิ ัสสนาเป็นสมถะ ๔.๓๑) ปัญญา สาคญั สาหรับการทาวิปัสสนา คือ ความเรียนรู้จากประสบการณ์จริงมากกวา่ การ อ่าน การฟัง การเจริญวิปัสสนา ทา่ นตอ้ งทาเองลงมือปฎิบตั ิเอง ท่านจึงรู้วา่ วปิ ัสสนาเป็นอยา่ งไร วธิ ีการทา เป็นตามวธิ ีการของครูบาอาจารย์ มีหลายรูปแบบแต่เนน้ หนกั ความแตกต่างกนั ไป ๔.๓๒) การใช้ความคิดมกั ถูกเชื่อมโยงไปสู่การปรุงแต่ง เม่ือใช้ความคิดเมื่อใด ความคิดจะมี หลากหลาย อดีต อนาคต ภาพท่ีคิดคาดหวงั หรือภาพในอดีต เป็นจริงบา้ งไม่เป็ นจริงบา้ ง ทาใหเ้ กิดการปรุง แต่งนาไปสู่ความไม่สมจริง ภาพปรากฏการณ์ไม่ไดช้ ดั สิ่งท่ีปรารถนามกั ไม่ไดเ้ ป็ นไปตามส่ิงที่หวงั ส่ิงท่ี

๒๔๔ คิดก็ไม่ไดส้ มหวงั การใชค้ วามคิดมกั ถูกประเมินคา่ ของสรรพสิ่ง การใหค้ า่ การตดั สินใจ นาไปสู่ความชอบ ความชงั ต่อสิ่งที่มากระทบต่าง ๆ อยา่ งใชเ้ ชาวป์ ัญญาทางโลก ต่อกระแสกิเลสเขา้ มาสู่กระบวนการตดั สิน ไปสู่การกระทา ธรรมานุปัสสนาสติปัฎฐาน วธิ ีการฝึ กช่วยใหก้ ารควบคุมความคิดถูกตอ้ งตามหลกั สติเป็น อยา่ งดี เรามกั คิดว่าคนอื่น คิดอย่างไรกบั เรา โดยไม่สนใจวา่ เราสร้างภาพหลอกลวงภายในตวั เองวา่ เป็ น อยา่ งไร ใหค้ นอ่ืนมองวา่ เป็ นเช่นใด จะสร้างได้ เหมือนจริงหรือบริสุทธ์ิแทจ้ ริง เม่ือใดจิตใตส้ านึกสังขาร ปรากฏตวั สิ่งน้ีมกั แสดงออกมาจากการตดั สินของท่าน ไม่วา่ เราสิ่งใดความปรากฏเจอ ๔.๓๓) เมตตาเป็นหลกั การสาคญั ตอ่ การฝึกสติปัฎฐาน วปิ ัสสนากรรมฐาน โดยเราตอ้ งเรียนรู้การ เมตตาต่อตวั เอง แลว้ เรียนรู้หลกั การเมตตาต่อผูอ้ ื่นเมตตาต่ออนุภาคเซลล์ในกายภายในกายและเรียนรู้ เมตตาต่ออนุภาคเซลล์ของผูอ้ ่ืน ๆ วา่ เป็ นลกั ษณะอยา่ งไร การคิดดา้ นบวก ไม่กินส่ิงไม่เป็ นประโยชน์ต่อ ร่างกาย และ การละเมิดศีล ๕ อนั นาความไม่สบายกาย ไม่สบายใจมาสู่ตวั เราเอง หลกั การเราคือ ความ เมตตาต่อตวั เราเองภายในตวั เราเองวา่ เป็ นลกั ษณะภายในกายอยา่ งไร เหมือนกบั การมีความรักเม่ือเรารัก ตวั เองเป็น เรายอ่ มรักผอู้ ่ืนเป็น รักเมตตาตอ่ ทุกอนุเซลลอ์ ยา่ งเมตตา ไมไ่ ดร้ ักอยา่ งอยา่ งประกอบกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ กบั ตวั เราเอง เมื่อโลกภายในของเราเป็ นอยา่ งไร โลกภายนอกของเราเป็ นเช่นน้นั เม่ือท่าน เป็นบุคคลอยา่ งไร บุคคลภายในโลกที่ทา่ นประสบเจอกจ็ ะเป็นไปอยา่ งบุคคลเช่นน้นั เราสร้างโลกภายนอก ไดจ้ ากโลกภายใน เราสร้างเหตุการณ์ภายนอกของจกั รวาลได้ จากเหตุภายในของพลงั งานจิต ๔.๓๔) เหตุการณ์ใดท่านกลวั การเกิดข้ึนมา ท่านมกั จะประสบพบเจอการพอเจออะไรต่าง ๆ กลวั สิ่งใดมกั จะเจอส่ิงน้นั ไม่ชอบสถานการณ์ใดมกั จะพบเจอสถานการณ์น้นั ท่านตอ้ งเขา้ ใจธรรมชาติในทุก สรรพสิ่งว่าอะไรเป็ นอะไร ส่ิงใดเป็ นอยา่ งไร กลวั เหตุการณ์ใดมกั พบเจอเหตุการณ์ยิ่งไม่อยากเห็นอะไร ทา่ นมกั จะเห็นสิ่งน้นั ยงิ่ มีความปรารถนาส่ิงใดก็ใคร่อยากในสิ่งน้นั วนั แลว้ วนั เล่าไมอ่ าจเจอ การวางจิตให้ เป็ นอุเบกขาจะทาให้ท่านมีจิตเป็ นดวงจิตเป็ นกลางบริสุทธ์ิจริง แลว้ เร่งการสร้างความเพียรตามส่ิงท่ีท่าน ปรารถนา ความหวงั ปรารถนาจะส่งผลให้ท่านพบเจอ เพียรพากเพียร พยายามกระทา กรรมดงั ผลการ กระทา การฝึ กจิตที่เขม้ แข็ง มีความเพียร มีความอดทน ต่อทุกส่ิงทุกอยา่ งไม่อาจสร้างอกุศลกรรมกบั ท่าน ได้ จงทากรรมดีมีความเพียรแลว้ ผลท่ีดีจะตามมาเกิดข้ึนกบั ตวั ท่านเอง ๔.๓๕) อะไรท่ีไม่ชอบ ไม่อยากเจอ มกั ไดเ้ จอไดป้ ระสบพบเสมอ แต่เมื่อทุกอยา่ งลงตวั ของทุก อยา่ งจะผา่ นไป ซ่ึงถา้ ของคนเราก็เช่นกนั ไม่มีอะไรเหมือนเดิม ลกั ษณะหน่ึง ทุก ๆ ส่ิงจะเปล่ียนไป เกิดดบั เกิดดบั มีอะไรสม่าเสมอตลอดเวลา เพียงแต่ถา้ เราจิตนิ่ง เรามองเห็นการเกิดดบั ไดอ้ ยา่ งชดั เจน จิตละเอียดก็ เห็นไดช้ ดั เจน จิตเป็นอุเบกขา เห็นไดช้ ดั เจนวธิ ีการฝึกจิตให้เป็นอุเบกขา อยรู่ ะหวา่ งนามธรรม กบั รูปธรรม และกบั ก่ึงกลาง และระดบั รูปนามที่จิตเราเขา้ ถึงได้ ไมเ่ ป็นเรื่องเขา้ ถึงห่างไกลความเป็ นจริง หากพากเพียร ปฏิบตั ิ ทุกขณะสภาวการณ์ไม่มีความชอบ ไมม่ ีความเกลียดชงั ไมม่ ีความยนิ ดียนิ ร้าย

๒๔๕ ตอนที่ ๔ การสร้างรูปแบบการเข้าถงึ ปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ วตั ถุประสงคง์ านวจิ ยั ขอ้ ๒ คือ เพื่อสร้างรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ น การวิเคราะห์ สังเคราะห์ จากการเก็บรวบรวมขอ้ มูล นาไปสู่การสร้างรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญา จาแนกแต่ ละฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม โดยใหค้ วามหมายแตด่ ว้ ยตวั อกั ษรเพื่อทาความเขา้ ใจง่าย ดงั ต่อไปน้ี M หมายถึง Model รูปแบบเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ K มาจากคาวา่ Kāyānupassanā ฐานกายนุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง ฐานกาย V มาจากคาวา่ Vedanānupassanā ฐานเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง ฐานเวทนา C มาจากคาวา่ Cittānupassanā ฐานจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง ฐานจิต D มาจากคาวา่ Dhammānupassanā ฐานธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง ฐานธรรม ตอนท่ี ๔.๑ การสร้างรูปแบบการเข้าถึงปัญญาเร่ืองมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ จากข้อมูลผลการศึกษาวิจัยโดยวิธีการสารวจตามประเด็นคาถาม จานวน ๑๘ ข้อ และการ สัมภาษณ์ ผูใ้ หข้ อ้ มูลจากการลงพ้ืนที่ จานวน ๒๗ รูป/คน จึงนามาสร้างเป็ นรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ือง มหาสติปัฏฐาน ๔ ไดผ้ ลการศึกษา ดงั ต่อไปน้ี ตารางท่ี ๔.๒๓ แสดงการสร้างรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ K๑)ฐานกายเป็ นที่ต้ังความรู้สึก เห็นกายหยาบชานาญ พิจารณากายละเอียด ดูลมหายใจเคล่ือนไหว ฐานกายเป็น พ้ืนฐานนาไปสู่การพิจารณาเวทนา จิต ธรรม สารวมกาย สติกากบั ทุกอิริยาบถ อยา่ งเป็นธรรมชาติ เห็นการเกิดดบั ปัญญาจากไตรลกั ษณ์ .“เม่อื เดนิ กร็ ู้ชัดว่า เราเดนิ เมอื่ ยืน กร็ ู้ชัดว่า เรายนื เมือ่ น่งั กร็ ู้ชัดว่า เรานงั่ .. เมอื่ ดารงอย่โู ดย อาการใด ๆ กร็ ู้ชัดกายทดี่ ารงอย่โู ดยอาการนนั้ ” K๒)คาบริกรรมพุทโธ ยุบหนอ พองหนอ หรือไม่มีคา บริกรรมได้ ดูสภาวธรรมปรากฏว่ามีความชดั และตรง จริงอย่างไร อย่างไรปฏิบตั ิไดท้ ้งั น้ัน ข้ึนอยู่กบั ผูป้ ฏิบตั ิ เลือก หมายถึง เทคนิคคาสอนของครูบาอาจารยส์ อนการ ฝึ กปฏิบตั ิ อานาปานสติไม่มีคาบริกรรม รู้ลมหายใจใช้ สติกาหนดอารมณ์ เพื่อให้จิตสงบ “น่ังคู้บัลลังค์ ตั้งกาย ตรง ดารงสติไว้เฉพาะหน้า มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจ ออก..” “สาเหนียกว่า เราตามรู้กองลมท้ังปวง หายใจเข้า .. หายใจออก”

๒๔๖ K๓)เจริญอานาปานสติ กาหนดลมหายใจ เกิดปัญญา อบุ ายวธิ ีการฝึ กจติ ตดิ กาย เกดิ สติ จิตต้งั มนั่ พิจารณาความ จริงตามอารมณ์ หมายถึง อานาปานสติ เป็ นแนวทางดี ที่สุดท้งั ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบตั ิ ลมหายใจเขา้ ออกสติ แนบแน่นจิตต้ังมน่ั เป็ นสมาธิ หายใจให้รู้ชัดกายสงบ อารมณ์เกิดข้ึนตามความเป็นจริง“หายใจเข้าออก กร็ ู้ชัดว่า หายใจเข้าออก” “สาเหนียกว่า เรากาหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า. หายใจออก.สาเหนียกว่า เราระงับกายสังขาร หายใจเข้าหายใจออก..พจิ ารณาเห็นกายในกายนอกกาย” K๔)วธิ ีปฏิบัติฝึ กตามแบบแผนเทคนิควิธี กาหนดสมถะ เป็นบาทฐานวิปัสสนาตอ้ งสารวมอินทรีย์ สาคญั อยคู่ าวา่ “สติ” สติเป็ นพลัง อยู่กบั ปัจจุบนั ทุกอิริยาบถ หมายถึง การฝึ กฝนปฏิบตั ิใชว้ ิธีการหลากหลายการฝึ กอย่างเป็ น ข้นั ตอน ตอ้ งเป็นตามลาดบั ข้นั ตอน สมาธิทาใหเ้ กิดสติ รู้ ชดั คลายความยึดมน่ั สุดทา้ ยรวมอยเู่ ร่ือง มหาสติปัฏฐาน ๔ “พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุเกิด (แห่งลมหายใจ)ใน กายอยู่ พจิ ารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุดบั (แห่งลมหายใจ)ใน กายอย่”ู V๑) กาหนดฐานเวทนาเช่ือมโยงอายตนะปฏิบัติวางสติ รู้เท่าทันอารมณ์ ผัสสะกระทบเวทนา การเนน้ อารมณ์ ปัจจุบนั ทาความรู้สึกตวั ผสั สะกระทบอายตนะภายใน ภายนอกมีสติตามรู้เวทนา อาศยั รูปเกิดปรุงแต่งเวทนาที่ ไหนกาหนดท่ีน้ันให้รู้ทุกข์ท่ีต้ังไว้ กาหนดอาการนาม ลักษณะต่าง ๆ สุข ทุกข์ อุเบกขา วางเป็ นกลางให้มี สัมปชัญญะควบคุม สติกาหนดชัดจะเห็นอารมณ์ชัด “พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาท้ังหลายอยู่ ..เมื่อเสวยสุข เวทนา ก็รู้ชัด..ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา มีอามิส ไม่ มีอามิส ..มีสติปรากฏอยู่เฉพาะหน้าว่า เวทนามีอยู่ เพ่ือ อาศัยเจริญญาณ เจริญสติ..”

๒๔๗ C๑)ฝึ กฝนภาวะจิตให้สงบยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาเห็นไตร ลักษณ์ วิธีการฝึ กจิตชานาญในสมถกรรมฐาน อาการเกิด ดบั จิต สติกาหนดรู้ จิตเห็นจิต ฝึ กจิตใหม้ ีสติระลึกรู้ จิตมี ความละเอียดตอ้ งอาศยั ความใส่ใจ ตามรู้เท่าทนั ฝึ กดูจิต ใหด้ ูอารมณ์กระทบยกจิต“พจิ ารณาเห็นจติ ในจติ ว่า จติ มี ราคะ จติ มีโทสะ จติ มีโมหะ จติ หดหู่ จิตฟุ้งซ่าน จิตเป็ น มหัคคตะ จติ มจี ติ อน่ื ยง่ิ กว่า จติ เป็ นสมาธิ จติ หลดุ พ้นฯ” C๒) วิธีการใชจ้ ิตดูลมหายใจ นาฌานสู่ญาณ ใชจ้ ิตสร้าง ความรู้สึกตัว จิตน่ิงสงบสะอาด วางจิตเป็ นอุเบกขา ปรากฏารณ์ท่ีเป็นจริง อาตาปี สมั ปชาโน สติมา มีสติรู้ตวั กากบั กายเวทนาจิตธรรม มีบริกรรมภาวนาให้จิตเกาะ เกี่ยวเบ้ืองตน้ อุเบกขาต่อสภาวธรรม พิจารณาใหเ้ ห็นตาม ความเป็นจริง “พจิ ารณาเห็นจติ ในจติ ภายในอยู่ พจิ ารณา เห็นจิตในจิตภายนอกอยู่ ฯ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุ ดบั ..เหตุดบั ในจติ อย่”ู C๓) ความบริสุทธ์ิแห่งจิต สติกาหนดจิต จิตมองเห็น ด้วยตาใจ สร้างจิตด้วยปัญญา ไปสู่ภาวนามยปัญญา จิต บริสุทธ์ิอาศยั การฝึ กกรรมฐาน ตาใจ คือ ตาปัญญา ตวั รู้ ภายใน ปัญญาพิจารณาอารมณ์ต่าง ๆ สร้างจิตดว้ ยปัญญา จิตเห็นตามความเป็ นจริงปัจจุบนั จิตเป็ นผูร้ ู้ ขนั ธ์ ๕ จิต มองลกั ษณะตามความเป็นจริง รู้เท่าทนั “มีสติปรากฏอยู่ เฉพาะหน้าว่า จิตมีอยู่ ก็เพียงอาศัยเจริญญาณ เจริญสติ เท่าน้ัน ไม่อาศัย ตัณหาและทิฏฐิ อย่แู ละไม่ยึดมั่นถือม่ัน อะไร ๆ ในโลก พจิ ารณาเห็นจติ ในจติ ” C๔) พัฒนาจิตบริสุทธ์ิเป็ นเครื่องมือ เป้าหมายฝึ กจิตให้ บริสุทธ์ิ คือ เจริญสมาธิ วิปัสสนา สร้างพ้ืนฐานสติ การ ใช้เคร่ืองมือสติปัฏฐาน ๔ ให้ครบ ต่อเน่ือง สม่าเสมอ วิปัสสนาปัญญาเห็นตามความเป็ นจริ งส่ิ งท้ังหลาย ตามแต่อุปนิสัยผูป้ ฏิบตั ิ กาหนดลมหายใจจนไม่มีลม หายใจ จิตเป็ นฐานแห่งปัญญาโดยธรรมชาติ นาจิตออก จากทุกข์ “พจิ ารณาเห็นจติ ในจติ อย่”ู

๒๔๘ C๕) การผูกสตอิ ยู่บนฐานจิต สร้างสตบิ นกายด้วยความ รู้สึกตัวชัดเจนดึงจิตอยู่กับปัจจุบันฝึ กจิตคือการปฏิบัติ ธรรมสร้างสติและความรู้สึก รู้เท่าทนั การเคล่ือนไหว ของจิต รู้เห็นอาการของจิต จิตเป็นแสดงออกของอารมณ์ จิตฝึ กอยปู่ ระจา เห็นอายตนะเกิด จิตรู้เท่าทนั สติตามรู้จิต ตามสถาวธรรมจิตยกข้ึนสู่วิปัสสนา ผูกจิตดว้ ยสติไว้ รู้เท่าทันรูปนาม สติตอ้ งมีทุกฐาน“มีสติปรากฏเฉพาะ หน้าว่า จติ มอี ยู่เพยี งอาศัยเจริญญาณ เจริญสตเิ ท่าน้ัน” C๖) ฝึ กรู้ทนั ความคิด ฝึ กเจริญสติสมั ปชญั ญะ วธิ ีสมถะ กรรมฐาน เป็นการเพ่งจิต อบรมจิต สมถะผูกจิตไวก้ บั อารมณ์ เป้าหมายคือจิตสงบ วิปัสสนากรรมฐาน ฝึ กจิต ใหเ้ ห็นปัญญาเห็นแจง้ ความจริง คือ ไตรลกั ษณ์ ฝึ กจิต พิจารณาขอ้ ธรรมไดป้ ัญญา ฝึ กรู้เท่าทนั ความคิด สมถะ วปิ ัสสนาแยกกนั ไมไ่ ดเ้ พียงแต่วา่ ขณะน้นั อะไรเด่นกวา่ กนั สมถะไดฌ้ านวิปัสสนาไดญ้ าณ D๑) พระสูตรเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ สาคญั ต่อการฝึ ก ปฏิบตั ิเป็ นท้งั สมถะวิปัสสนา รูปแบบการปฏิบตั ิชดั เจน เน้ือหาสมบูรณ์ เป็ นธรรมหัวใจแห่งพระพุทธศาสนา เรียนรู้รูปแบบครบ ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ และปฏิเวธ เป้าหมาย พน้ ทุกข์และแจง้ พระนิพพาน เป็ นทางเดียวทาให้แจ้ง พระนพิ พาน ทางนคี้ ือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ D๒) การเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นปัญญา ระดับภาวนามยปัญญา ตอ้ งปฏิบตั ิดว้ ยการฝึ กฝนปฏิบตั ิ จึงเขา้ ถึงสภาวธรรมที่แทจ้ ริง ตอ้ งทาตามลาดบั ข้นั ตอน ฝึ กปฏิบัติเข้าถึงวิปัสสนาญาณต้องฝึ กฝนดูอายตนะ กระทบ ประจกั ษน์ ิยม ปฏิบตั ิเป็นปัญญารับรู้ดว้ ยตนเอง “มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกได้” “ธรรมมีอยู่ ก็เพียงเพื่ออาศัยเจริญ ญาณ เจริญสติเท่านั้น ไม่อาศัยตัณหา ทิฏฐิอยู่ และไม่ยึด มัน่ ถอื มน่ั อะไร ๆ ในโลก”

๒๔๙ D๓) เขา้ ใจนิยามความหมายลกั ษณะการเกิดปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญา รู้แจง้ ในไตรลกั ษณ์ รูปนาม ขันธ์ ๕ ลกั ษณะปัญญาเห็นไตรลกั ษณ์ สตินาความยินดียินร้าย ออกจากจิต รู้เท่าทนั ปัญญาเกิดภายใน มีความละเอียด ลึกซ้ึงเกิดญาณหยง่ั รู้ ปัญญาญาณ ๑๖ เป็ นไปตามลาดบั กาย เวทนา จิต ธรรม ทุกฐานเชื่อมโยง ทาตามจริต “พิจารณาเห็นกายในกาย พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา พจิ ารณาเห็นจติ ในจติ พจิ ารณาเห็นธรรมในธรรม” D๔)สติปัฏฐาน ๔ สาคัญทุกฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม พจิ ารณาปัญญารู้เท่าทันเกาะกนั เป็นลูกโซ่ ปัญญาเป็นตวั รู้จบั ใหแ้ น่นสติอยู่บนฐานกายเวทนาจิตธรรม วิธีการใช้ สติรับรู้ตลอดแรกปฏิบัติต้องผ่านฐานกายหยาบรู้รับ ชัดเจนสัมผัสไปกายละเอียด จิตสงบต้ังสติกาหนด พิจารณา“ตง้ั กายตรง ดารงสตเิ ฉพาะหน้า มสี ติหายใจเข้า มีสติหายใจออก” “สาเหนียกว่า เรากาหนดรู้กองลมท้ัง ปวง หายใจเข้า” D๕) เห็นแจ้งทางปัญญาด้วย อริยสัจ ๔ มรรค ๘ ฐาน ธรรมโดยสั มมาทิฏฐิ เป็ นประธานตัวนา ให้เ ห็ น สภาวธรรมตอ้ งมีวิปัสสนาไดป้ ัญญารู้ตามความเป็ นจริง พิจารณาไตรลกั ษณ์ นาสู่ความรู้แจง้ การพิจารณาฐาน ธรรมโดยใช้คัมภีร์ ตารา ความศรัทธามีความสาคัญ “สัมมาทิฏฐิ เป็ นอย่างไร คือ ความรู้ในทุกข์(ความทุกข์) ความรู้ในสมุทัย(เหตุเกิดทุกข์) ความรู้ในทุกขนิโรธ (ความดับทุกข์) ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อ ปฏิบัตใิ ห้ถงึ ความดบั ทุกข์) D๖) สมาธิสร้างเกิดพลงั อานาจ พฒั นาปัญญา เขา้ ใจใน ไตรลกั ษณ์ดว้ ยตนเอง ปัญญาฐานธรรมคือความเขา้ ใจ ไตรลกั ษณ์ ปัญญารอบรู้ตกผลึกกาหนดตามความเป็ น จริงปัญญาเห็นรูปนามเขา้ ถึงความเป็ นจริง “พิจารณา เห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย คือ อุปาทานขันธ์ ๕ อยู่ ว่า.. รูป.. เวทนา.. สัญญา.. สังขาร..วิญญาณ.. เป็ นอย่างน้ี ความเกดิ ..เป็ นอย่างน้ี ความดบั แห่ง ... เป็ นอย่างน้ี”

๒๕๐ D๗) การวดั ผล คือ ตวั รู้ ตัวปัญญา คือ วิปัสสนาญาณ หยงั่ รู้ดว้ ยตนเอง ลงมือปฏิบตั ิเขา้ ถึงธรรมตามความเป็น จริง “อานิสงส์แห่งการเจริญสตปิ ัฏฐาน ๔ ประการ..ทาง น้ีเป็ นทางเดียวเพ่ือความบริสุทธ์ิของเหล่าสัตว์ เพื่อ ล่วงโสกะและปริเทวะ เพ่ือดับทุกข์และโทมนัส เพื่อ บรรลญุ ายธรรม เพ่อื ทานิพพานให้แจ้ง ทางนี้คือ สติปัฏ ฐาน ๔ ประการ..” M๑ ปฏิบัตินาทาง ปัญญาตามมาเอง แสวงหาครูบา อาจารย์ เรียนรู้ฝึ กฝน พากเพยี รต่อเน่ือง K๑= คาบริกรรมมีผลต่อลมหายใจเขา้ ออก ละเอียด มี สติคุม กาหนดลมหายใจ เท่ากบั ยบุ หนอพองหนอ V๑= เวทนาเป็นอารมณ์ C๑= เอาจิตเขา้ ไปดูตามร่างกาย ไดส้ ภาวธรรม D๑= ปฏิบตั ิมาก่อนปริยตั ิ การรับรู้ปัญญาเกิดเองเมื่อการ ปฏิบตั ิไดผ้ ล วิธีปฏิบตั ิดูเกิดดบั เห็นไตรลกั ษณ์ M๒ สื บทอดคาสอนครู บาอาจารย์ เป็ นพื้นฐาน “บริกรรมพุทโธ” ผสานความเป็ นปัจจุบนั K๒=อิริยาบถนง่ั ไม่มีอะไรเคล่ือนไหว ดูเพียงลมหายใจ เขา้ ออก สติรู้ฟุ้งซ่านดึงกลบั มาอาศัยคาบริกรรม“พุท โธ” เป็นธรรมชาติ สมาธิเป็นหน่ึง V๒=วางอุเบกขา จิตสงบ เป็นปัญญาภาวนา C๒= ฝึ กจิตทาไดต้ ลอดเวลา จิตต้งั มน่ั D๒=กระแสธรรมอาศยั วิปัสสนา สมถะ ร่วมกนั ควบคู่ กนั สลบั กนั พิจารณาไตรลกั ษณ์ รูปนามไม่เท่ียง M๓ ศีล สมาธิ ปัญญา ฝึ กสร้างสติตัดอารมณ์ เร่งทาความ เพยี ร ต่อเนื่อง ตลอดเวลา K๓=ศีลสมาธิปัญญาเป็ นพ้ืนฐาน ฝังรูปแบบภาวนา “พุท โธ”แลว้ ปัญญาตามมาเอง V๓=วธิ ีการเดินเขา้ ไปลกั ษณะอาการของจิต C๓=สติ ตวั ควบคุมจิต ตดั อารมณ์ จิตอิสระ จิตอุเบกขา เป็น กลางความดีและความชว่ั ฝึ กจิตทาตวั เป็ นผปู้ ฏิบตั ิธรรมเตม็ ตวั จิตภาวนา D๓=จิตมีสมาธิปัญญาถอดปัญญา ธรรมเกิดสติสมาธิรู้ธรรม เห็นความคิดภาษาธรรมบริ สุทธ์ิเข้าถึงกากับจิตโดย ธรรมชาติ

๒๕๑ M๔ ฝึ กจิตเป็ นปัจจุบันขณะ สติผสานกายจิต ต้ังใจ ปฏบิ ตั ทิ ุกขณะจติ อย่างต่อเน่ือง K๔=สติตามรู้ทุกอิริยาบถตลอดเวลา สติอย่ใู นกาย พุท โธ หายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” จิตสงบทิ้งคา บริกรรมโดยอตั โนมตั ิ V๔=กาย คือตวั รับเวทนา C๔=จิตส่ังกาย กายเป็ นตวั กลางของจิตรับรู้ ตวั ผูร้ ู้ คือ จิต จิตรับรู้ทุกอยา่ ง จิตกาหนดจิต คือ ตวั รู้อารมณ์ ฝึ กจิต แยกสุขทุกข์ แยกจิตออกจากกาย D๔=ความคิดคือตวั จิต อยากตลอดเวลาระงบั ไดต้ อ้ งมี สติ ฝึ กจิตสม่าเสมอต่อเน่ืองสมาธิรูปแบบต่างๆเป็ น ประโยชน์ M๕ ปฏบิ ตั ติ ามรูปแบบข้ันตอนเรียนรู้ทฤษฎี ปฏิบตั อิ ยู่ กบั ปัจจบุ ันกาหนดบริกรรมสายพองหนอยุบหนอ K๕=อาการพองยบุ ตรงความจริงเกิดข้ึนกาหนดตรง ลม หายใจ อยกู่ บั ปัจจุบนั กาหนดรู้ V๕=กาหนดความรู้สึก เคล่ือนไหวความรู้สึกไปตาม ส่วนร่างกาย ฝึ กแบบรู้สึกตวั ตามลกั ษณะ C๕=กาหนดจิต ตน้ จิต สติตามทนั จิตน่ิงกาหนดละเอียด ต้งั จิต การเขา้ ถึงธรรมใชจ้ ิตเห็น D๕=ปฏิบัติธรรมตรงธรรม ต้องเรียนรู้ให้เขา้ ใจ ฝึ ก ปฏิบตั ิควบคู่ไป เขา้ ถึงแก่นแท้ เอาพระไตรปิ ฎกสาคญั แกนพฒั นาทุกอยา่ ง ทาต่อเน่ืองไป M๖ พุทธานุสติ ระลกึ ถงึ พระพุทธเจ้า สมถะนา K๖=ฝึ กสติอยู่ที่กาย ลมหายใจเขา้ ออกตามธรรมชาติ สร้างกรรมฐานท่อง “พุทโธ” V๖=อารมณ์เกิดข้ึน แลว้ ดบั ไปอยู่อยา่ งน้นั มีอาการเกิด ดบั เร็วมากรู้ความเขา้ ใจสัมผสั ดว้ ยตนเองประสบการณ์ โดยตรง C๖=คาบริกรรมเหนี่ยวนาจิตใหจ้ ิตสงบสวา่ ง ภาวนาอยู่ ที่จิต ดูจิตตนเอง D๖=สร้างความคิดด้วยจิตศรัทธานาทาง อดทน พากเพียร สร้างปัญญา ต้งั เป้าหมายไวก้ ่อน ตอ้ งอาศยั ความอยากความฝันใหถ้ ึง ตอ้ งมีหลกั การ

๒๕๒ M๗ เรียนรู้พระพุทธศาสนา สะสมบุญบารมี จิตอาสา ประโยชน์สาธารณะ K๗=เร่ิมตน้ จากฐานกาย ง่ายสุด พละ ๕ ศรัทธา ปัญญา วิริยะ สมาธิ สติ รักษาศีล ๕ เป็นพ้ืนฐาน V๗=เอาอารมณ์จบั เวทนา C๗=รู้จิตตลอดเวลา สิ่งที่พิจารณาไปแลว้ สามารถรู้ สภาวะจิตของตวั เอง D๗=จริต ๖ สมั พนั ธ์กบั การปฏิบตั ิกรรมฐาน ๔๐ สมถะ คือ อารมณ์ของกรรมฐาน จริตไม่สาคัญเท่ากับชอบ รูปแบบการปฏิบตั ิแบบไหน M๘ ดูขันธ์ ๕ ฝึ กแยกรูปนาม สู่ไตรลักษณ์ เทียบเคียง ทฤษฏีและปฏบิ ตั ิ K๘=เห็นเคลื่อนไหวไปทุกคร้ัง ปัญญากาหนด ขนั ธ์ 5 V๘=กาหนดไปตามความรู้สึก ใชส้ มถะดการอารมณ์ C๘=เอาจิตไปกาหนดรู้อารมณ์ ตัวประสบการณ์จิต กาหนดต่อเน่ืองจิตทางานเองอตั โมนตั ิ D๘=ลึกซ้ึงไตรลกั ษณ์ ๑)ฝึ กอานาปานสติ ๒)กาหนด พุทโธ ๓)กาหนดพองยุบ ๔)แยกกายออก ปฏิบตั ิธรรม ข้ึนอยู่กบั ตวั เอง ควรฝึ กในรูปแบบก่อนแลว้ เป็นไปโดย อตั โนมตั ิ มอบกายถวายชีวิตเต็มร้อย คือศรัทธาสูงสุด ทาเตม็ ร้อยไดก้ ลบั มาเตม็ ร้อย M๙ กาย เวทนา จติ ธรรม เช่ือมโยงนามรูป ขนั ธ์ ๕ ภาวนาพองยุบ กาหนดอนิจจงั ทุกขัง อนัตตา K๙=กาหนดเรียกสติมาก่อน ถา้ รู้ตวั เกิดปัญญา V๙=สติคือตวั ระลึกรู้ สัมปชัญญะ คือ ตัวปัญญา การ รู้ตวั คือ ตวั ปัญญา บรรลธุ รรมได้ C๙=จิตน่ิงถอดจิตเมื่อถึงฌาน ๔ เนน้ จิตบริสุทธ์ ปัจจุบนั ดว้ ยจิตเรารับรู้ตวั จิต มีสติตามจิตไมม่ ีความหวน่ั ไหว ไม่ มีกิเลสครอบงา ภาวนาจติ พจิ ารณาปัญญา D๙=สติปัฏฐาน ๔ อย่างต้องฝึ กไปพร้อมกนั รูปนาม ต้องอาศัยและไปด้วยกัน วิปัสสนาคือการเห็นไตร ลักษณ์ รูปนามมาจากขันธ์ ๕ ญาณตัวรู้ปัญญา ต้อง พิจารณาเห็นรูปนามตามสภาวธรรม

๒๕๓ M๑๐ ความเป็ นธรรมชาตธิ รรมหลกั คาสอน K๑๐=พิจารณาร่างกายเป็ น ธาตุ ๔ ขนั ธ์ ๕ ศีล ๕ เป็ น พ้ืนฐานสมาธิ สมาธิปฏิบตั ิอย่างได้ นงั่ นอน ยืนทุกอิริ บาบถ V๑๐=มีอายตนะควบคุมความเป็ นใหญ่จากการปรุ งแต่ง กาหนดปัจจุบนั เอาสุขทุกขม์ าพิจารณา C๑๐=อุเบกขา คือ วางเฉย “ตถาตา” เป็ นเช่นน้ันเอง ประสบการณ์ทางจิต เอาจิตไปไวต้ รงกาหนดไหลเวียน ไปเป็นจุดเหมือนใชก้ าลงั ภายใน กาหนดจุดต่าง ๆ D๑๐=ไม่ทาบาปท้งั ปวง ทากศุ ลใหถ้ ึงพร้อม ชาระจิตตน ศีล สมาธิ ปัญญา คือธรรมชาติ ส่ิงไหนเป็นธรรมชาติสิ่ง น้นั เป็นธรรมะ กฎแห่งไตรลกั ษณ์เป็นธรรมชาติ M๑๑ ปริยตั ิ เปรียบเหมือนเข็มทิศ คือ ต้องศึกษาธรรม ปริยัติก่อน ปฏิบัติต้องเดินสุดท้ายอาศัยความคุ้นเคย พอปฏบิ ตั ถิ งึ ทีส่ ุดแล้ว K๑๑=ครูบาอาจารยส์ อนอยา่ งไรทาตามหลกั การปฏิบตั ิ เหมือนกนั แต่รูปแบบต่างกนั V๑๑=วา่ งเปล่า ปลอ่ ยวางแลว้ บรรลุธรรม C๑๑=ไมต่ อ้ งบริกรรมแต่ทาจิตใหส้ งบ เป็นสมาธิ D๑๑=จุดเข้าถึงปัญญาคือ ต้ังสติไว้ สุดท้ายอาศัย ความคุน้ เคยปฏิบตั ิ ปริยตั ิปฏิบตั ิไปดว้ ยกนั แลว้ ปริยตั ิ หายไปเอง ปฏิบัติแลว้ ไม่ยึดติดคาสอนสุดทา้ ยทิ้งคา สอน การปฏิบตั ิทุกวิธีอยทู่ ่ีผปู้ ฏิบตั ิไม่ไดอ้ ยทู่ ี่ผสู้ อน M๑๒ ทุกอย่างอยู่ที่“พุทโธ”สะสมไว้เหตุถึงปัญญา ตามมา K๑๒=รักษาศีล ๕ สาคญั ตอ้ งให้มน่ั คงฝึ กอิริยาบถตาม รูปแบบอาจารย์ ระลึก“พุทโธ”ตลอดเวลา บริกรรมไป ทุกอิริยาบถ วิธีกายคตานุสติเขา้ ใจร่างกายไมเ่ ที่ยง V๑๒=เร่ิมบริกรรมพทุ โธ พลงั งานสมาธิเกิด C๑๒=พ้ืนฐานสมาธิคือดึงจิตสงบ บริกรรมไปเร่ือยๆ จิตจดั การตวั เอง ทาจิตสงบ D๑๒=ศีลสมาธิปัญญา ปัจจยั หลุดพน้ ใชห้ ลกั ธรรมเพ่ือ ยกจิตออกจากกาย ภาวนามยปัญญา พิจารณาบ่อยอาศยั ความต่อเน่ือง ไต่ระดบั ต้องสะสมเป็ นปัจจยั

๒๕๔ M๑๓ ปริยตั กิ บั ปฏิบัตติ ้องคู่กัน ให้ความสาคัญกบั อานา ปานสติ K๑๓=ฐานกายคือใชส้ ติกาหนดธรรมทุกลมหายใจเขา้ ออก พิจารณากายหยาบ มีสติกากบั ความรู้สึกตวั ยกสติ ข้ึนสู่อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา V๑๓= อารมณ์เป็ นหน่ึงไม่หวนั่ ไหว ไม่ทุกข์ ไม่สุข ระบบประมวลผลความรู้สึกชอบไม่ชอบ C๑๓=ใหจ้ ิตอยกู่ บั คาบริกรรมทาจิตสงบเป็นอบุ ายจิตอยู่ กบั ปัจจุบนั มีสติไปรับรู้อารมณ์ รู้จิต จิตรู้รู้สึก D๑๓=อานาปี สัมปชาโน สติมา ความเพียร ตอ้ งเรียนรู้ ปริยตั ิก่อน ต้องผ่านครูบาอาจารย์ ตารา คัมภีร์ โดย ปฏิบตั ิธรรมสมควรแก่ธรรม M๑๔ สติ คือ การฝึ กรู้ เอาไปรู้อาการเวทนา สภาวธรรม ทเี่ ป็ นจริง ปัญญาเข้าถึงวปิ ัสสนา เรื่องรูปนาม K๑๔=ยบุ หนอพองหนอ ซา้ ยยา่ งหนอขวายา่ งหนอ “พทุ โธ”กายสงบ กายจิตสมั ผสั ไดใ้ นตวั เรา รูปคือรูปร่างกบั นาม สิ่งรู้สึกและสมั ผสั ได้ V๑๔=สภาวธรรมตามความเป็ นจริง เอาสติไปรู้อาการ เวทนา สภาวธรรม คือ ส่ิงท่ีเป็ นจริงตามที่เป็ น สภาวะ อาการตามธรรมชาติ C๑๔= กรรมฐาน คือ อุบายทาจิตให้สงบ ตีความหมาย เป็นหลกั การ จิตเป็นกศุ ลและอกศุ ล ธรรมชาติเกิดดบั D๑๔=ปัญญาตามหลกั ธรรมคือ ธรรมชาติตามความเป็น จริง รูปนามรู้ไตรลกั ษณ์ สติบ่อเกิดปัญญาปัจจุบนั M๑๕ กรรมฐานกบั สตปิ ัฏฐาน ๔ เป็ นเรื่องเดยี วกนั การ เข้าถงึ ธรรม K๑๕=มีสติคือ การกาหนดส่ิงท่ีเกิด ดบั อยตู่ ลอดเวลา V๑๕=เวทนาคือความรู้สึกกระทบรูป กลิ่น เสียง เกิด วิญญาณ รู้สึกผสั สะกระทบอารมณ์ ควบคุมอารมณ์ C๑๕=จิตโลภ โกรธ หลง สติรู้เท่าทนั จิตดว้ ยการกาหนด ส่ิงท่ีเกิดข้ึนเป็ นเกิดดบั เจริญสติกาหนดรู้ทนั ดว้ ยการ กาหนดรู้ D๑๕=กรรมฐาน คือ สติปัฏฐาน ๔ ต้งั ใจ ต่อเนื่อง เขา้ ถึง มหาสติปัฏฐาน สติรับรู้อยตู่ ลอดเวลา

๒๕๕ M๑๖ การเรียนรู้การปฏิบัติ ยกระดับความรู้ต่อเนื่อง มี เป้าหมาย ทุ่มเท K๑๖=เห็ นกายในกาย พิ จารณากายหยาบเห็ น จินตนาการ บริกรรมพุทโธไม่เห็นพุทโธ สายยุบพอง หนอ เป็นตวั เกาะ V๑๖=ความรู้สึก นึกคิด มีผลต่อนาม ไม่มีความยินดียิน ร้าย เลือกใชต้ ามสภาวธรรม C๑๖=บริกรรมเครื่องมือเกาะเก่ียวจิต จิตเป็นกลางขณะ พิจารณา จิตไมโ่ อนเอียง จิตเดียวพิจารณา D๑๖=กระบวนการเขา้ ถึงเป้าหมาย อาตาปี สัมปชาโน สติมา เรียนรู้พระสูตร สมถะวิปัสสนา กฎไตรลกั ษณ์ อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา ธรรมตอ้ งปฏิบตั ิไดจ้ ริง M๑๗ คาบริกรรมไม่มี มีสติหายใจเข้าออก จิตไปรับรู้ ลมหายใจ K๑๗=มหาสติฯ ไม่มีคาบริกรรม มีลมหายใจเขา้ ออกมี สติ อานาปานสติ เรียนรู้ ขนั ธ์ ๕ โดยละเอียด V๑๗=เวทนาเห็นเกิดดบั เห็นความไม่เที่ยง C๑๗=ตอ้ งเริ่มจิตไปดู มีคาบริกรรมไม่ทาให้จิตเป็ น หน่ึง เอาจิตไปรับรู้ลมหายใจทาให้จิตเป็ นหน่ึงอยู่ใน อารมณ์เดียว กบั ลมหายใจเขา้ ออก D๑๗=อนิจจาเห็นความไม่เท่ียงของลมหายใจ กระแส เป็นโสดาบนั ศรัทธามน่ั คงในพุทธศาสนา เห็นการเกิด ดบั ตามอริยสจั ๔ M๑๘ ปฏบิ ตั แิ บบไม่มคี าบริกรรม ให้ไปรู้ “มโน” K๑๘= หากตอ้ งฝึ กกา้ วหนา้ ตอ้ งไม่มีคาบริกรรมแต่แรก ฝึ กใหอ้ ยกู่ บั ปัจจุบนั โดยใชส้ ติ V๑๘= อุเบกขา ไมม่ ีตวั ตน ออกจากสงั ขาร C๑๘=มโนคือจิต กระทบจิต มโนสัมผสั ตอ้ งฝึ กบ่อย ๆ มโนวิญญาณฝึ กไปรับรู้อารมณ์ สติท่ีต้ังฐานรู้ทัน “มโน” ปรุงแต่งจิต พฒั นาจิตมีสติจิตภาวนาจิตรู้ทุกข์ D๑๘= ทุกขเ์ กิดจากรูปนามเป็นปัจจยั เกิด กายเวทนาจิต ธรรม ทาหน้าที่รวมกนั พร้อมกัน รู้อภิธรรมเหมือนรู้ แผน่ ท่ี ตอ้ งมีพ้ืนท่ีปฏิบตั ิ

๒๕๖ M๑๙ ปัญญาวิปัสสนา คือ ปัญญาเข้าถึงได้จากการ ปฏบิ ตั แิ ละประสบการณ์ตรง K๑๙=ฝึ กฐานกาย กราบ เดิน นง่ั ง่ายสาหรับคนฝึ กใหม่ ศีลต่างกนั สมาธิ ต่างกนั V๑๙= ประสบการณ์ตรง ฝึ กอารมณ์ สะสมอุปนิสยั C๑๙= จิตสมั พนั ธก์ บั อารมณ์ สภาพจิต ตวั รู้บ่มเพาะ D๑๙=ปัญญาวิปัสสนาเขา้ ถึงโดยการปฏิบตั ิ รู้แจง้ ในรูป นามตามความเป็ นจริง กายใจเขา้ ถึงไตรลกั ษณ์ ปัญญา อย่กู บั ฐานศีลและการดาเนินชีวิต ปัญญาในองคค์ วามรู้ อริยสจั ๔ M๒๐ ตามสายครูบาอาจารย์สตปิ ัฏฐานเอาปัจจุบัน K๒๐=เทคนิคหลวงพ่อจรัญฯ เอาปัจจุบนั เกิดท่ีกายใจ อะไรกแ็ ลว้ แต่ บริกรรมยุบหนอพองหนอ แลว้ บริกรรม หายไปเอง กาหนดอย่างต่อเนื่องจนกว่าไม่กาหนด อา นาปานสติเป็นสมถะและวปิ ัสสนา V๒๐=เห็นเกิดดบั ถอนรูปนาม ละสกั กายะทิฏฐิ C๒๐=จิตมนั่ คง เห็นยอมรับความจริง สติน่ิงพิจารณา กาลงั สติมากสะสม D๒๐=เข้าถึงปัญญาต้องมีปริ ยัติปฏิบัติ ควบคู่กัน วิปัสสนากรรมฐาน มีสติสมาธิ ปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ปฏิบตั ิต่อเนื่อง มสี ตพิ จิ ารณาไตรลกั ษณ์ M๒๑ สืบถอดคาสอนครูบาอาจารย์ ลมหายใจภาวนา พุทโธ K๒๑=แนวทางหลวงป่ ูมนั่ หลกั บริกรรมพุทโธ เป็ น พ้ืนฐานทุกอยา่ ง V๒๑=สมถะนงั่ พิจารณา วปิ ัสสนาภาวนาเห็นธรรม C๒๑=ทาจิตสงบภายใน มองเห็นความจริง พ้ืนฐานทุก อยา่ ง จิตมนั่ คง ความสามารถทางจิต D๒๑=ยึดพระไตรปิ ฎกเป็นสาคญั องคโ์ พธิปักขิยธรรม วิปัสสนาคือพิจารณาความเป็นจริง การปฏิบตั ิไม่ตอ้ งมี ครูบาอาจารยข์ ้ึนอยกู่ บั ตวั ครูอาจารยเ์ ป็นเพียงผชู้ ้ีนาทาง เอาชีวิต แลกธรรมะเพ่ือความหลดุ พน้

๒๕๗ M๒๒ สติเป็ นความจาเป็ น ทุกสถานการณ์ ตัวไหน เด่นชัดเอาตวั น้ันมากาหนดปัจจบุ ัน K๒๒=สติจาเป็ นฝึ กพฒั นา อิริยาบถในชีวิตประจาวนั เนน้ ธรรมชาติ แบบปกติ มีสติดูแลอิริยาบถ ดึงสติ เจริญ อานาปานสติใหม้ ากสติปัฏฐาน ๔ สมบูรณ์ V๒๒=อเุ บกขา เป็นกลาง C๒๒= ฌาน ๔ จิตเป็นหน่ึงเดียวกบั อารมณ์ ที่ปรากฏ D๒๒=สมั มาทิฐิ สมั มาสติ นา วิธีการศึกษาธรรม ตารา ครูบาอาจารย์ ตามกระบวนการ ประมวลธรรม เห็น ธรรม ฝึ กฝนตน ตรงตามจริตเพื่อปัญญา มองเห็นความ จริงธรรมทุกระบบ M๒๓ สติสาคัญท่ีระลึกได้ ปัญญาสิ่งรู้ทุกสิ่ง ธรรมะ เป็ นส่ิงละเอยี ด จะเข้าถึงธรรมจติ ต้องไม่หยาบ K๒๓=กายเป็ นฐานท่ีจิตต้ัง เรี ยกว่า กายหยาบ เมื่อ พิจารณากายหยาบชานาญแลว้ จึงพิจารณากายละเอียด สะสมการพิจารณา กายในกาย V๒๓=อาศยั สติเป็นส่ิงระลึกได้ สติรับรู้ตลอดเวลา C๒๓=จิตมีพลงั ยดึ ติดกบั พุทโธ เป็นหน่ึง การทาจิตเห็น สมาธิ จิตประคองอยสู่ ติรู้ทนั จิต ทาจิตใหส้ งบตอ้ งอาศยั พลงั สติพลงั ปัญญาทาอยา่ งต่อเนื่อง D๒๓=สติเป็ นส่ิงท่ีระลึกรู้ได้ปัญญาเป็ นส่ิงท่ีรู้ทุกสิ่ง ภาวนามยปัญญารู้เท่าทนั ความเป็นจริงสงั ขารท้งั ปวง M๒๔ เทคนิคการฝึ ก คือ การปฏิบัติ เป็ นกิจวัตร ประจาวนั ทุก ๆ วนั K๒๔=ฝึ กสติ ยืนเดินนง่ั นอน ศีลมีความสาคญั ต่อสติ สมาธิ ฝึ กปฏิบัติเป็ นกิจวัตรประจาทุก ๆ วัน ทา เหมือนเดิมเวลาเดิม V๒๔=ประสบการเกบ็ ไว้ C๒๔= จิตสงบสะสมความคิดต่าง ๆ เก็บไว้ มาฝึ กให้ สงบ ฝึ กสมาธิฝึ กนิสยั ตอ้ งฝึ กใหส้ งบจากความคิดไมด่ ี D๒๔=ปัญญาคือความรอบรู้ สิ่งท่ีเกิดข้ึน ปัญญาใน สงั ขารปรุงแต่งข้ึนมา ถา้ รู้เกิดปัญญา ปัญญาตอ้ งสะสม ไปเร่ือย ๆ วธิ ีการฝึ กตามครูบาอาจารย์

๒๕๘ M๒๕ มีสตติ ลอดเวลา ต้องภาวนาพุทโธ ฝึ กฝนประจา เป็ นมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ สตสิ มาธิปัญญา K๒๕=กายเป็ นที่ต้งั ลมหายใจเป็ นส่วนหน่ึงของกาย กายเป็นอสุภะ ส่ิงปฏิกูล ส่ิงน่ารังเกียจ รูปเวทนาสงั ขาร วิญญาณ ติดอยใู่ นร่างกายตอ้ งอาศยั ขนั ธ์ ๕ V๒๕=กายพฒั นาเป็นเวทนา เป็นความรู้สึกจิต ผรู้ ู้ เป็น กลาง เป็นธรรม กลาง ๆ C๒๕=ปัญญาชาระจิตให้บริ สุทธ์ิ ต้องอาศัยสมถะ วิปัสสนาเป็นปัญญา สติ สมาธิ ปัญญา ตอ้ งอาศยั ปัญญา ภาวนาจิต กาหนดจิต D๒๕= สติ สมาธิ ปัญญา ตอ้ งอาศยั ตวั ปัญญา M๒๖ ธรรมพื้นฐาน การมสี ติ ฝึ กสติ ฝึ กความรู้สึกตวั K๒๖=เขา้ สู่กายทิพย์ เขา้ สู่ภวงั ค์ เขา้ ฌานอภิญญา ๖ สู่ ตวั รู้ มีสติเขา้ ไปในฌาน ฌานเห็นรูปปัจจยั เกิดรูป นาม V๒๖= ธาตุ ๔ สติไปจับ รู้สึกว่า กาลงั นึกคิด ใจคือ ความรู้สึก ไม่มีภาพ ไมม่ ีเสียง นึกอาการ ในอดีตอนาคต ไดต้ ลอด C๒๖=ใจ ความรู้สึก มีพลงั จิตมาก จิตไม่มีความรู้สึก นึกคิดพลงั จิตเขา้ ฌาน กายทิพยค์ ือจิตท่ีแทจ้ ริงที่อยจู่ ิต D๒๖= สมาธิทาให้มีพลงั จิตออกมา ตอ้ งฝึ กทาบ่อย ๆ ขนั ธ์ ๕ รูปนาม ที่ต้งั สติ มหาสติฯ ตอ้ งรู้วิปัสสนาภูมิ ๖ ความคิดคือ การให้ยินเสี ยงตัวเองพูดมีสติอยู่กับ ความคิด ความคิดเห็นภาพเป็นเสียงจิต M๒๗ การปฏิบัตติ ้องอาศัยความรู้ปริยตั ิที่ถูกต้อง และ เป็ นไปตามข้นั ตอน K๒๗= กายท่ีต้งั ธรรมท้งั หลายปรากฏ ศีล สมาธิ กาย เป็นท่ีต้งั ธรรม รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ V๒๗=คาบริกรรมเป็นอุบายเม่ือจิตมนั่ คงแลว้ ปล่อย แต่ ถา้ ไมม่ ีคาบริกรรม จะหลง ความรู้สึกตวั C๒๗= ภาวนามยปัญญาผลจากจิตมน่ั คง คาบริกรรมทา ใหจ้ ิตนิ่งยึดเหน่ียว จิตต้งั มน่ั แลว้ ทิ้งคาบริกรรม D๒๗= การปฏิบตั ิตอ้ งอาศยั ปริยตั ิที่ถูกตอ้ ง สมั พนั ธ์กนั เป็นกระบวนการ มองเห็นตามความเป็นจริง การปฏิบตั ิ ตอ้ งรู้เท่าทนั เขา้ ใจ ฌาน ญาณ บาเพญ็ ศีล สมาธิ ปัญญา ผปู้ ฏิบตั ิเลือกปฏิบตั ิตามองคธ์ รรมท่ีปรากฎชั

๒๕๙

๒๕๙ ๔.๒ สรุปรูปแบบการเข้าถึงปัญญาเร่ืองมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ นำผลกำรศึกษำจำกกำรเก็บขอ้ มูล ท้งั หมดจำกงำนวิจยั นำมำวิเครำะห์ สังเครำะห์ ประมวลผล กำรศึกษำ แสดงควำมสัมพนั ธ์เร่ืองมหำสติปัฏฐำน ๔ จำกรูปแบบ (Model) นำไปสู่จำแนกเป็ นฐำนกำย (K) เวทนำ (V) จิต (C) ธรรม (D) ผลกำรศึกษำ ดงั ต่อไปน้ี ตารางท่ี ๔.๒๔ รูปแบบการเข้าถงึ ปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน จาแนกเป็ นกาย เวทนา จิต ธรรม M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จติ (C) ธรรม (D) ๑ ปฏิบตั ินำทำง คำบริกรรมมีผลต่อลม เวทนำเป็น เอำจิตเขำ้ ไปดูตำม ปฏิบตั ิมำก่อนปริยตั ิ ปัญญำตำมมำ หำยใจเขำ้ ออก ละเอียด อำรมณ์ ร่ำงกำย จิตผูกกำย กำรรับรู้ปัญญำเกิดเอง แสวงหำครูบำ มีสติคุม กำหนดลม เห็นรูปนำม ได้ เม่ือกำรปฏิบตั ิไดผ้ ล วิธี อำจำรย์ เรียนรู้ หำยใจ เท่ำกบั ยบุ หนอ สภำวธรรม แยกรูป ปฏิบตั ิดูเกิดดบั เห็นไตร ฝึ กฝน พองหนอ ทำใหเ้ กิด นำม ลกั ษณ์ สภำวธรรมเทียบ พำกเพียร สภำวธรรม ญำณ ต่อเน่ือง ๒ สืบทอดคำสอน เนน้ อำนำปำนสติ วำงอเุ บกขำ ฝึ กจิตทำได้ กระแสธรรมอำศยั ครูบำอำจำรย์ อิริยำบถนงั่ ไมม่ ีอะไร จิตสงบ เป็น ตลอดเวลำ ใหจ้ ิต วปิ ัสสนำ สมถะ ร่วมกนั เป็นพ้ืนฐำน เคลื่อนไหว ดูเพียงลม ปัญญำ ต้งั มนั่ พลงั สมำธิ ควบคู่กนั สลบั กนั “บริกรรมพุท หำยใจเขำ้ ออก สติรู้ ภำวนำ อำศยั คำบริกรรม พิจำรณำไตรลกั ษณ์ รูป โธ”ผสำนควำม ฟ้งุ ซ่ำนดึงกลบั มำ “พทุ โธ” นำมไม่เที่ยง กระแส เป็นปัจจุบนั อำศยั คำบริกรรม “พุท ธรรมตอ้ งอำศยั โธ”เป็ นธรรมชำติ วิปัสสนำ สมำธิเป็ นหน่ึง ๓ ศีล สมำธิ ฝังรูปแบบภำวนำ วิธีกำรเดิน สติตวั ควบคุมจิต ธรรมเกิดเม่ือจิตมีสมำธิ ปัญญำ ฝึ กสร้ำง “พทุ โธ”แลว้ ปัญญำ เขำ้ ไป ตดั อำรมณ์ ไม่มี ปัญญำถอดปัญญำ สติ สติตดั อำรมณ์ ตำมมำเอง ลกั ษณะ อำรมณ์ จิตอิสระ สมำธิรู้ธรรมเห็น ฝังรูปแบบ สร้ำงสติตดั อำรมณ์ อำกำร จิตอุเบกขำ เป็น ควำมคิด ภำษำธรรม ภำวนำ “พุทโธ” ของจิต กลำงควำมดีชว่ั ฝึ ก บริสุทธ์ิเขำ้ ถึงกำกบั จิต เร่งทำเพียร จิตทำตวั เป็นผู้ โดยธรรมชำติ ปัญญำจิต ต่อเนื่อง ปฏิบตั ิธรรมภำวนำ อำศยั สมำธิเบ้ืองตน้ ตลอดเวลำ

๒๖๐ ตารางที่ ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จติ (C) ธรรม (D) ๔ ฝึ กจิตเป็น สติตำมรู้ทุกอิริยำบถ กำย คือ จิตส่งั กำย กำยเป็น ควำมคิดคือตวั จิต อยำก ปัจจุบนั ขณะ ตลอดเวลำ สติอยใู่ น ตวั รับเวทนำ ตวั กลำงของจิต ตลอดเวลำระงบั ไดต้ อ้ ง สติผสำนกำยจิต กำย พุทโธ หำยใจเขำ้ ฝึ กอเุ บกขำ รับรู้ ตวั ผรู้ ู้ คือ จิต มี สติ ฝึ กจิตสม่ำเสมอ ต้งั ใจปฏิบตั ิทุก “พทุ ” หำยใจออก “โธ” จิตกำหนด จิตรับรู้ทุกอยำ่ ง จิต ต่อเนื่องสมำธิรูปแบบ ขณะจิต อยำ่ ง จิตสงบทิ้งคำบริกรรม ตวั รับรู้ กำหนดจิต คือ ตวั รู้ ต่ำง ๆ เป็นประโยชน์ ต่อเน่ือง โดยอตั โนมตั ิ สติอยใู่ น อำรมณ์ ฝึ กจิตแยก กำย อิริยำบถ สุขทุกขแ์ ยกจิต ตลอดเวลำ ออกจำกกำย ๕ กำรปฏิบตั ิตอ้ ง อำกำรพองยุบตรง กำหนด กำหนดจิต ตน้ จิต ปฏิบตั ิธรรมตรงธรรม ตำมรูปแบบ ควำมจริงเกิดข้ึน ควำมรู้สึก สติตำมทนั จิตน่ิง ตอ้ งเรียนรู้ใหเ้ ขำ้ ใจ ฝึ ก ข้นั ตอน ให้ กำหนดตรง ลมหำยใจ เคลื่อนไหว กำหนดละเอียด ต้งั ปฏิบตั ิควบคู่ไป เขำ้ ถึง เรียนรู้แนว อยกู่ บั ปัจจุบนั กำหนด ไปตำมส่วน จิต กำรเขำ้ ถึงธรรม แก่นแท้ เอำ ทฤษฎี ปฏิบตั ิ รู้ กำหนดบริกรรมสำย ร่ำงกำย ใชจ้ ิตเห็น จิตทำให้ พระไตรปิ ฎกสำคญั แกน ใหอ้ ยกู่ บั พองหนอยบุ หนอ ฝึ กแบบ เขำ้ ถึงปัญญำ พฒั นำทุกอยำ่ ง ต่อเนื่อง ปัจจุบนั กำหนดจิตอยกู่ บั ลม รู้สึกตวั ตำม ไป หำยใจ ลกั ษณะ ๖ พุทธำนุสติ ฝึ กสติอยทู่ ี่กำย ลม อำรมณ์ คำบริกรรม สร้ำงควำมคิดดว้ ยจิต ระลึกถึง หำยใจเขำ้ ออกตำม เกิดข้ึนดบั ไป เหน่ียวนำใหจ้ ิต ศรัทธำนำทำง อดทน พระพุทธเจำ้ ธรรมชำติ สร้ำง เร็วมำก รู้ สงบสวำ่ ง ภำวนำ พำกเพียร สร้ำงปัญญำ สมถะนำ กรรมฐำนท่อง เขำ้ ใจสัมผสั อยทู่ ี่จิต ดูจิตตนเอง ต้งั เป้ำหมำยไวก้ ่อน ตอ้ ง “พุทโธ” ประสบ สร้ำงจิตศรัทธำได้ อำศยั ควำมอยำกควำม กำรณ์ ปัญญำควำมคิด ฝันใหถ้ ึง ตอ้ งมีหลกั กำร ๗ เรียนรู้พระพุทธ เริ่มตน้ จำกฐำนกำย ง่ำย เอำอำรมณ์ รู้จิตตลอดเวลำ ส่ิง จริต ๖ สมั พนั ธ์กบั กำร ศำสนำ จิตอำสำ สุด พละ ๕ ศรัทธำ จบั เวทนำ ท่ีพิจำรณำไปแลว้ ปฏิบตั ิกรรมฐำน ๔๐ ประโยชน์ ปัญญำ วิริยะ สมำธิ สติ สำมำรถรู้สภำวะ สมถะ คือ อำรมณ์ของ สำธำรณะ รักษำศีล ๕ เป็น จิตของตวั เอง กรรมฐำน จริตไม่สำคญั พ้ืนฐำน เท่ำกบั ชอบรูปแบบกำร ปฏิบตั ิแบบไหน

๒๖๑ ตารางที่ ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ๘ ดูขนั ธ์ ๕ ฝึ ก เห็นเคล่ือนไหวไปทุก กำหนดไป เอำจิตไปกำหนดรู้ ลึกซ้ึงไตรลกั ษณ์ แยกรูปนำม สู่ คร้ัง ปัญญำกำหนด ตำม อำรมณ์ ตวั ปฏิบตั ิธรรมข้ึนอยกู่ บั ไตรลกั ษณ์ ขนั ธ์ ๕ อำนำปำนสติ ควำมรู้สึก ใช้ ประสบกำรณ์จิต ตวั เอง ควรฝึ กใน เทียบเคียง สำคญั สมถะดู กำหนดต่อเนื่องจิต รูปแบบก่อนแลว้ เป็นไป ทฤษฏีและ อำรมณ์ ทำงำนเอง โดยอตั โนมตั ิ มอบกำย ปฏิบตั ิ อตั โมนตั ิ ถวำยชีวิตเต็มร้อย ๙ กำย เวทนำ จิต กำหนดเรียกสติมำ เวทนำ คือ จิตน่ิงถอดจิตเม่ือ สติปัฏฐำน ๔ อยำ่ งตอ้ ง ธรรม เช่ือมโยง ก่อน ถำ้ รู้ตวั เกิดปัญญำ ควำมรู้สึก ถึงฌำน ๔ เนน้ ฝึ กไปพร้อมกนั รูปนำม นำมรูป ขนั ธ์ สติคือตวั ระลึกรู้ ควำมคิด จิตบริสุทธ์ ตอ้ งอำศยั และไปดว้ ยกนั ภำวนำพองยุบ สมั ปชญั ญะ คือ ตวั เป็นจิตเขำ้ ปัจจุบนั ดว้ ยจิตเรำ วปิ ัสสนำคือกำรเห็น กำหนดอนิจจงั ปัญญำ กำรรู้ตวั คือ ตวั ไปเสวย รับรู้ตวั จิต มีสติ ไตรลกั ษณ์ รูปนำมมำ ทุกขงั อนตั ตำ ปัญญำ บรรลุธรรมได้ อำรมณ์ ตำมจิตไม่มีควำม จำกขนั ธ์ ๕ ญำณตวั รู้ ภำวนำจิต หวนั่ ไหว ไม่มี ปัญญำ ตอ้ งพิจำรณำ พิจำรณำปัญญำ กิเลสครอบงำ เห็นรูปนำมตำม สภำวธรรม ๑๐ ควำมเป็น พิจำรณำร่ำงกำย เป็น อำยตนะ อเุ บกขำ คือ วำงเฉย กำรไม่ทำบำปท้งั ปวง ธรรมชำติ ธำตุ ๔ ขนั ธ์ ๕ ศีล ๕ ควบคุมกำร “ตถำตำ” เป็นเช่น ทำกศุ ลใหถ้ ึงพร้อม กำร ธรรมหลกั คำ เป็นพ้ืนฐำนสมำธิ เอำ ปรุงแต่ง น้นั เอง ชำระจิตของตน ศีล สอน จิตไปไวต้ รงกำหนด กำหนด ประสบกำรณ์ทำง สมำธิ ปัญญำ คือ ไหลเวียนไป กำหนด ปัจจุบนั เอำ จิต เอำจิตไปไว้ ธรรมชำติ กฎแห่งไตร จุดต่ำง ๆ เป็นปัจจุบนั สุขทุกขม์ ำ ตรงกำหนดกำย ลกั ษณ์ ร่ำงกำยกำหนด พิจำรณำ ๑๑ ปริยตั ิ เปรียบ ครูบำอำจำรยส์ อน วำ่ งเปลำ่ ไม่ตอ้ งบริกรรมแต่ จุดเขำ้ ถึงปัญญำต้งั สติ เหมือนเข็มทิศ อยำ่ งไรทำตำม ปล่อยวำง ทำจิตใหส้ งบ เป็น อำศยั ควำมคุน้ เคยปฏิบตั ิ คือ ตอ้ งศึกษำ หลกั กำรปฏิบตั ิ แลว้ บรรลุ สมำธิ ปริยตั ิปฏิบตั ิไปดว้ ยกนั ธรรมปริยตั ิ เหมือนกนั แต่รูปแบบ ธรรม อำศยั ควำมคุน้ เคย แลว้ ปริยตั ิหำยไปเอง ก่อน ปฏิบตั ิ ต่ำงกนั พอปฏิบตั ิถึงท่ีสุด ปฏิบตั ิแลว้ ไม่ยึดติดคำ ตอ้ งเดินสุดทำ้ ย แลว้ สอนสุดทำ้ ยทิ้งคำสอน กำรปฏิบตั ิทุกวิธีอยู่ท่ีผู้ ปฏิบตั ิไมไ่ ดอ้ ยทู่ ี่ผสู้ อน

๒๖๒ ตารางท่ี ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ๑๒ ทุกอยำ่ งอยทู่ ่ี รักษำศีล ๕ สำคญั ตอ้ ง เริ่มบริกรรม พ้ืนฐำนสมำธิคือ ศีลสมำธิปัญญำ ปัจจยั “พทุ โธ” สะสม ใหม้ น่ั คงฝึ กอิริยำบถ พุทโธ ดึงจิตสงบ หลุดพน้ ใชห้ ลกั ธรรม ไวเ้ หตุถึง ตำมรูปแบบอำจำรย์ พลงั งำน บริกรรมไปเร่ือย ๆ เพื่อยกจิตออกจำกกำย ปัญญำตำมมำ ระลึก “พุทโธ ” สมำธิเกิด จิตจดั กำรตวั เอง ทำ ภำวนำมยปัญญำ ตลอดเวลำ บริกรรมไป จิตสงบ พิจำรณำบ่อยอำศยั ควำม ทุกอิริยำบถ วธิ ีกำยค ต่อเน่ือง ไต่ระดบั ตอ้ ง ตำนุสติเขำ้ ใจร่ำงกำย สะสมเป็ นปัจจยั ไมเ่ ท่ียง ๑๓ ปริยตั ิกบั ปฏิบตั ิ ฐำนกำยคือใชส้ ติ อำรมณ์เป็น ใหจ้ ิตอยู่กบั คำ อำนำปี สมั ปชำโน สติ ตอ้ งคู่กนั ให้ กำหนดธรรมทุกลม หน่ึงไม่ บริกรรมทำจิตสงบ มำ ควำมเพียร ตอ้ ง ควำมสำคญั กบั หำยใจเขำ้ ออก หวน่ั ไหว ไม่ เป็นอบุ ำยจิตอยกู่ บั เรียนรู้ปริยตั ิก่อน ตอ้ ง อำนำปำนสติ พิจำรณำกำยหยำบ มี ทุกข์ ไมส่ ุข ปัจจุบนั มีสติไป ผำ่ นครูบำอำจำรย์ ตำรำ สติกำกบั ควำมรู้สึกตวั ระบบ รับรู้อำรมณ์ รู้จิต คมั ภีร์ โดยปฏิบตั ิธรรม ยกสติข้ึนสู่อนิจจงั ทุก ประมวลผล จิตรู้รู้สึก สมควรแก่ธรรม ขงั อนตั ตำ ควำมรู้สึก ชอบไมช่ อบ ๑๔ สติ คือ กำรฝึ ก ยบุ หนอพองหนอ ซำ้ ย สภำวธรรม กรรมฐำน คือ ปัญญำตำมหลกั ธรรม รู้ เอำไปรู้ ยำ่ งหนอขวำยำ่ งหนอ ตำมควำม อบุ ำยทำจิตให้ คือ ธรรมชำติตำมควำม อำกำรเวทนำ “พุทโธ”กำยสงบ กำย เป็นจริง เอำ สงบ ตีควำมหมำย เป็นจริง รูปนำมรู้ไตร สภำวธรรมท่ี จิตสมั ผสั ไดใ้ นตวั เรำ สติไปรู้ เป็นหลกั กำร จิต ลกั ษณ์ สติบ่อเกิด เป็นจริง ปัญญำ รูปคือรูปร่ำงกบั นำม อำกำรเวทนำ เป็นกศุ ลและ ปัญญำปัจจุบนั เขำ้ ถึงวิปัสสนำ ส่ิงรู้สึกและสมั ผสั ได้ เป็นจริง อกศุ ล ธรรมชำติ เรื่องรูปนำม อำกำรตำม เกิดดบั ธรรมชำติ ๑๕ กรรมฐำนกบั มีสติคือ กำรกำหนดส่ิง ควำมรู้สึก จิตโลภ โกรธ หลง กรรมฐำน คือ สติปัฏ สติปัฏฐำน ๔ ที่เกิด ดบั อยู่ กระทบรูป สติรู้เท่ำทนั จิตดว้ ย ฐำน ๔ ต้งั ใจ ต่อเน่ือง เป็ นเร่ื อง ตลอดเวลำ กลิ่น เสียง กำรกำหนดสิ่งที่ เขำ้ ถึงมหำสติปัฏฐำน เดียวกนั กำร เกิดวิญญำณ เกิดข้ึนเป็นเกิดดบั สติรับรู้อยตู่ ลอดเวลำ เขำ้ ถึงธรรม รู้สึกผสั สะ เจริญสติกำหนด กระทบ รู้ทนั ดว้ ยกำร อำรมณ์ กำหนดรู้ ควบคุม อำรมณ์

๒๖๓ ตารางท่ี ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ๑๖ กำรเรียนรู้กำร เห็นกำยในกำย ควำมรู้สึก บริกรรมเครื่องมือ กระบวนกำรเขำ้ ถึง ปฏิบตั ิ พิจำรณำกำยหยำบเห็น นึกคิด มีผล เกำะเก่ียวจิต จิต เป้ำหมำย อำตำปี ยกระดบั ควำมรู้ จินตนำกำร บริกรรม ต่อนำม ไม่มี เป็นกลำงขณะ สมั ปชำโน สติมำ เรียนรู้ ต่อเนื่อง มี พุทโธไม่เห็นพุทโธ ควำมยินดียิน พิจำรณำ จิตไม่ พระสูตร สมถะ เป้ำหมำย ทุ่มเท สำยยบุ พอง หนอ เป็น ร้ำย เลือกใช้ โอนเอียง จิตเดียว วปิ ัสสนำ กฎไตรลกั ษณ์ ตวั เกำะ ตำม พิจำรณำ อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตำ สภำวธรรม ธรรมตอ้ งปฏิบตั ิไดจ้ ริง ๑๗ คำบริกรรมไมม่ ี มหำสติฯ ไม่มีคำ เวทนำเห็น ตอ้ งเร่ิมจิตไปดู มี อนิจจำเห็นควำมไม่ มีสติหำยใจเขำ้ บริกรรม มีลมหำยใจ เกิดดบั เห็น คำบริกรรมไมท่ ำ เที่ยงของลมหำยใจ ออก จิตไปรับรู้ เขำ้ ออกมีสติ อำนำ ควำมไม่เท่ียง ใหจ้ ิตเป็นหน่ึง เอำ กระแสเป็นโสดำบนั ลมหำยใจ กำร ปำนสติ เรียนรู้ ขนั ธ์ ๕ จิตไปรับรู้ลม ศรัทธำมน่ั คงในพุทธ เกิดดบั ตำม โดยละเอียด อยู่ใน หำยใจทำใหจ้ ิต ศำสนำ เห็นกำรเกิดดบั อริยสจั ๔ อำรมณ์เดียว กบั ลม เป็ นหน่ึง ตำมอริยสจั ๔ หำยใจเขำ้ ออก ๑๘ ปฏิบตั ิแบบไม่ หำกตอ้ งฝึ กกำ้ วหนำ้ อเุ บกขำ ไม่มี มโนคือจิต กระทบ ทุกขเ์ กิดจำกรูปนำมเป็น มีคำบริกรรม ตอ้ งไม่มีคำบริกรรม ตวั ตน ออก จิต มโนสมั ผสั ปัจจยั เกิด กำยเวทนำจิต ใหไ้ ปรู้ “มโน” แต่แรก ฝึ กใหอ้ ย่กู บั จำกสงั ขำร ตอ้ งฝึ กบ่อย ๆ มโน ธรรม ทำหนำ้ ที่รวมกนั ปัจจุบนั โดยใชส้ ติ วญิ ญำณฝึ กไปรับรู้ พร้อมกนั รู้อภิธรรม อำรมณ์ สติท่ีต้งั เหมือนรู้แผน่ ท่ี ตอ้ งมี ฐำนรู้ทนั “มโน” พ้ืนที่ปฏิบตั ิ ปรุงแต่งจิต พฒั นำ จิตมีสติจิตภำวนำ จิตรู้ทุกข์ ๑๙ ปัญญำ ฝึ กฐำนกำย กรำบ เดิน ประสบกำร จิตสัมพนั ธ์กบั ปัญญำวิปัสสนำเขำ้ ถึง วปิ ัสสนำ คือ นงั่ ง่ำยสำหรับคนฝึ ก ณ์ตรง ฝึ ก อำรมณ์ สภำพจิต โดยกำรปฏิบตั ิ รู้แจง้ ใน ปัญญำเขำ้ ถึงได้ ใหม่ ศีลต่ำงกนั สมำธิ อำรมณ์ ตวั รู้บ่มเพำะ รูปนำมตำมควำมเป็น จำกกำรปฏิบตั ิ ต่ำงกนั สะสม จริง กำยใจเขำ้ ถึงไตร และ อุปนิสยั ลกั ษณ์ ปัญญำอยู่กบั ประสบกำรณ์ ฐำนศีลและกำรดำเนิน ตรง ชีวติ ปัญญำในองค์ ควำมรู้อริยสจั ๔

๒๖๔ ตารางท่ี ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) จิตมนั่ คง เห็น ๒๐ ตำมสำยครูบำ เทคนิคหลวงพ่อจรัญฯ เห็นเกิดดบั ยอมรับควำมจริง อำนำปำนสติเป็ นสมถะ สตินิ่งพิจำรณำ และวิปัสสนำ เขำ้ ถึง อำจำรยส์ ติปัฏ เอำปัจจุบนั เกิดที่กำยใจ ถอนรูปนำม กำลงั สติมำกสะสม ปัญญำตอ้ งมีปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ควบคู่กนั ฐำนเอำปัจจุบนั อะไรกแ็ ลว้ แต่ ละสกั กำ ทำจิตสงบภำยใน วิปัสสนำกรรมฐำน มี มองเห็นควำมจริง สติสมำธิ ปัญญำรู้แจง้ บริกรรมยุบหนอพอง ยะทิฏฐิ พ้ืนฐำนทุกอยำ่ ง เห็นจริงปฏิบตั ิต่อเน่ือง จิตมน่ั คง มีสติพิจำรณำไตรลกั ษณ์ หนอ แลว้ บริกรรม ควำมสำมำรถทำง ยึดพระไตรปิ ฎกเป็น จิต สำคญั องคโ์ พธิปักขิย หำยไปเอง กำหนด ธรรม วปิ ัสสนำคือ ฌำน ๔ จิตเป็น พิจำรณำควำมเป็ นจริ ง อยำ่ งต่อเน่ืองจนกวำ่ หน่ึงเดียวกบั กำรปฏิบตั ิไมต่ อ้ งมีครู อำรมณ์ ที่ปรำกฏ บำอำจำรยข์ ้ึนอยกู่ บั ตวั ไม่กำหนด ครูอำจำรยเ์ ป็นเพียงผู้ จิตมีพลงั ยดึ ติดกบั ช้ีนำทำง เอำชีวิตเขำ้ แลก ๒๑ สืบถอดคำสอน แนวทำงหลวงป่ ูมนั่ สมถะนงั่ พทุ โธ เป็นหน่ึง สมั มำทิฐิ สมั มำสติ นำ กำรทำจิตเห็น วธิ ีกำรศึกษำธรรม ตำรำ ครูบำอำจำรย์ หลกั บริกรรม พุทโธ พิจำรณำ สมำธิ จิตประคอง ครูบำอำจำรย์ ตำม อยสู่ ติรู้ทนั จิต ทำ กระบวนกำร ประมวล ลมหำยใจ เป็นพ้ืนฐำนทุกอยำ่ ง วปิ ัสสนำ จิตใหส้ งบอำศยั ธรรม เห็นธรรม ฝึ กฝน พลงั สติพลงั ปัญญำ ตน ตรงตำมจริตเพื่อ ภำวนำ พุทโธ ภำวนำเห็น ทำอยำ่ งต่อเน่ือง ปัญญำ มองเห็นควำม จริงธรรมทุกระบบ แลกธรรมะเพ่ือ ธรรม สติเป็ นส่ิ งที่ระลึกรู้ได้ ปัญญำเป็ นสิ่งท่ีรู้ทุกสิ่ง ควำมหลุดพน้ ภำวนำมยปัญญำรู้เท่ำ ทนั ควำมเป็นจริงสงั ขำร ๒๒ สติเป็นควำม สติจำเป็นฝึ กพฒั นำ อุเบกขำ เป็น ท้งั ปวง สติละเอียดจะท ใหผ้ ปู้ ฏิบตั ิเห็นสภำวะที่ จำเป็น ทุก อิริยำบถใน กลำง เกิดข้ึนของรูปนำม ตำม ควำมเป็ นจริ ง สถำนกำรณ์ ตวั ชีวติ ประจำวนั เนน้ ไหนเด่นชดั เอำ ธรรมชำติ แบบปกติ มี ตวั น้นั มำ สติดูแลอิริยำบถ ดึงสติ กำหนดปัจจุบนั เจริญอำนำปำนสติให้ มำกสติปัฏฐำน ๔ สมบูรณ์ ๒๓ สติสำคญั ท่ี กำยเป็นฐำนที่จิตต้งั อำศยั สติเป็น ระลึกได้ ปัญญำ เรียกวำ่ กำยหยำบ เมื่อ ส่ิงระลึกได้ ส่ิงรู้ทุกส่ิง พิจำรณำกำยหยำบ สติรับรู้ ธรรมะเป็นส่ิง ชำนำญแลว้ จึงพิจำรณำ ตลอดเวลำ ละเอียด จะ กำยละเอียด สะสมกำร เขำ้ ถึงธรรมจิต พิจำรณำ กำยในกำย ตอ้ งไม่หยำบ

๒๖๕ ตารางที่ ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ๒๔ เทคนิคกำรฝึ ก ฝึ กสติ ยืนเดินนงั่ นอน ประสบ จิตสงบสะสม ปัญญำคือควำมรอบรู้ คือ กำรปฏิบตั ิ ศีลมีควำมสำคญั ต่อสติ กำรณ์ เก็บไว้ ควำมคิดต่ำง ๆ เกบ็ สิ่งท่ีเกิดข้ึน ปัญญำใน เป็นกิจวตั ร สมำธิ ฝึ กปฏิบตั ิเป็น ตวั สติเห็น ไว้ มำฝึ กใหส้ งบ สงั ขำรปรุงแต่งข้ึนมำ ถำ้ ประจำวนั ทุก ๆ กิจวตั รประจำทุก ๆ เวทนำ ฝึ กสมำธิฝึ กนิสยั รู้เกิดปัญญำ ปัญญำตอ้ ง วนั วนั ทำเหมือนเดิมเวลำ จำแนก ตอ้ งฝึ กใหส้ งบจำก สะสมไปเร่ือย ๆ วิธีกำร เดิม ควำมรู้สึก ควำมคิดไม่ดี ฝึ กตำมครูบำอำจำรย์ เสวยอำรมณ์ ๒๕ มีสติตลอดเวลำ กำยเป็นท่ีต้งั ลมหำยใจ กำยพฒั นำ ปัญญำชำระจิตให้ สติ สมำธิ ปัญญำ ตอ้ ง ตอ้ งภำวนำพุท เป็นส่วนหน่ึงของกำย เป็นเวทนำ บริสุทธ์ิ ตอ้ งอำศยั อำศยั ตวั ปัญญำ โธ ฝึ กฝน กำยเป็นอสุภะ สิ่ง เป็น สมถะ วปิ ัสสนำ ประจำเป็นมหำ ปฏิกูล สิ่งน่ำรังเกียจ ควำมรู้สึกจิต เป็นปัญญำ สติ สติปัฏฐำน ๔ รูปเวทนำสงั ขำร ผรู้ ู้ เป็นกลำง สมำธิ ปัญญำ ตอ้ ง สติสมำธิปัญญำ วญิ ญำณ ติดอยใู่ น เป็นธรรม อำศยั ปัญญำภำวนำ ร่ำงกำยอำศยั ขนั ธ์ ๕ กลำง ๆ จิต กำหนดจิต ๒๖ ธรรมพ้ืนฐำน เขำ้ สู่กำยทิพย์ เขำ้ สู่ ธำตุ ๔ สติ ใจ คือ ควำมรู้สึก สมำธิทำใหม้ ีพลงั จิต คือ กำรมีสติ ภวงั ค์ เขำ้ ฌำน ไปจบั รู้สึก มีพลงั จิตมำกข้ึน ออกมำ ตอ้ งฝึ ก ฝึ กสติ คือฝึ ก อภิญญำ ๖ สู่ตวั รู้ มีสติ วำ่ กำลงั นึก จิตไมม่ ีควำมรู้สึก ทำบ่อย ๆ ขนั ธ์ ๕ รูป ควำมรู้สึกตวั เขำ้ ไปในฌำน ฌำน คิด ใจคือ นึกคิด ใชพ้ ลงั จิต นำม ท่ีต้งั สติ มหำสติฯ เห็นรูปปัจจยั เกิดรูป ควำมรู้สึก เขำ้ ฌำน กำยทิพย์ ตอ้ งรู้วปิ ัสสนำภูมิ ๖ นำม นึกอำกำร ใน ไมม่ ีภำพ ไม่ คือจิตท่ีแทจ้ ริงที่ ควำมคิดคือ กำรใหย้ นิ อดีตอนำคตไดต้ ลอด มีเสียง อยจู่ ิต เสียงตวั เองพดู มีสติอยู่ กบั ควำมคิด ควำม คิดเห็นภำพเป็ นเสียงจิต ๒๗ กำรปฏิบตั ิตอ้ ง กำยท่ีต้งั ธรรม คำบริกรรม ภำวนำมยปัญญำ กำรปฏิบตั ิตอ้ งอำศยั อำศยั ควำมรู้ ท้งั หลำยปรำกฏกำย มี เป็นอุบำย ผลจำกจิตมน่ั คง ปริยตั ิที่ถูกตอ้ ง สมั พนั ธ์ ปริยตั ิท่ีถกู ตอ้ ง ศีล สมำธิ ข้นั ตอน เกิด เมื่อจิต คำบริกรรมทำให้ กนั เป็นกระบวนกำร และเป็นไป ปัญญำ กำยเป็นท่ีต้งั จิตน่ิงยึดเหน่ียว มองเห็นตำมควำมเป็น ตำมข้นั ตอน ธรรมท้งั หลำย รูป จิตต้งั มนั่ แลว้ ทิ้ง จริง กำรปฏิบตั ิตอ้ ง เวทนำ สญั ญำ สงั ขำร คำบริกรรม รู้เท่ำทนั เขำ้ ใจ ฌำน วิญญำณ มน่ั คงแลว้ ญำณ บำเพญ็ ศีล สมำธิ ปล่อย แต่ถำ้ ไม่มีคำ ปัญญำ เลือกปฏิบตั ิตำม บริกรรม หลง องคธ์ รรมที่ปรำกฎชดั

๒๖๖ ตารางท่ี ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ๒๘ ฐำนกำยเป็น เห็นกำยหยำบชำนำญ ฐำนกำยเป็น พิจำรณำจิตพร้อม เห็นกำรเกิดดบั ปัญญำ ที่ต้งั ควำมรู้สึก พิจำรณำกำยละเอียด ดู พ้ืนฐำน กบั ฐำนกำย จำกไตรลกั ษณ์ มีควำมสำคญั ลมหำยใจเคลื่อนไหว นำไปสู่กำร สำรวมกำย สติกำกบั พิจำรณำ ทุกอิริยำบถ อยำ่ งเป็น เวทนำ จิต ธรรมชำติ ธรรม ๒๙ คำบริกรรม จะ คำบริกรรมพุทโธ ยุบ ดูสภำวธรรม รู้ลมหำยใจใชส้ ติ อยำ่ งไรปฏิบตั ิไดท้ ้งั น้นั มีกไ็ ด้ ไม่มีคำ หนอ พองหนอ ปรำกฏวำ่ มี กำหนดอำรมณ์ ข้ึนอยกู่ บั ผูป้ ฏิบตั ิเลือก บริกรรมกไ็ ด้ หรือไมม่ ีคำบริกรรม ควำมชดั และ เพื่อใหจ้ ิตสงบ หมำยถึง เทคนิคคำสอน ข้ึนอยกู่ บั ผู้ ได้ กำรฝึ กปฏิบตั ิ อำนำ ตรงจริง ของครูบำอำจำรยส์ อน ปฏิบตั ิเลือก ปำนสติไมม่ ีคำ อยำ่ งไร วธิ ีกำรปฏิบตั ิต่ำงกนั บริกรรม ๓๐ ใหค้ วำมสำคญั เจริญอำนำปำนสติ พิจำรณำ อบุ ำยวิธีกำรฝึ กจิต ทำควำมเขำ้ ใจถึงเรื่อง กบั อำนำปำน กำหนดลมหำยใจ เกิด ควำมจริงตำม ติดกำย เกิดสติ จิต อำนำปำนสติ เป็น สติ ปัญญำ ลมหำยใจเขำ้ อำรมณ์ ต้งั มนั่ สติแนบแน่น แนวทำงดีที่สุดท้งั ออก หำยใจ ใหร้ ู้ชดั จิตต้งั มนั่ เป็นสมำธิ ภำคทฤษฎีและ กำยสงบอำรมณ์เกิดข้ึน ภำคปฏิบตั ิ ตำมควำมเป็ นจริ ง ๓๑ วธิ ีปฏิบตั ิฝึ ก ตอ้ งสำรวมอินทรีย์ กำรฝึ กฝน สติเป็นพลงั อยกู่ บั วธิ ีกำรหลำกหลำยกำร ตำมแบบแผน สำคญั อยคู่ ำวำ่ “สติ” ปฏิบตั ิใช้ ปัจจุบนั ฝึ กอยำ่ งเป็นข้นั ตอน เทคนิควธิ ี อยทู่ ุกอิริยำบถ สมำธิทำให้ ตอ้ งเป็นตำมลำดบั กำหนดสมถะ เกิดสติ รู้ชดั ข้นั ตอน สุดทำ้ ยรวมอยู่ เป็ นบำทฐำน คลำยควำม เร่ือง มหำสติปัฏฐำน ๔ วิปัสสนำ ยึดมน่ั ๓๒ กำหนดฐำน กำรเนน้ อำรมณ์ ผสั สะ ลกั ษณะต่ำง ๆ สุข อำยนะ เป็นตวั เชื่อมโยม เวทนำเชื่อมโยง ปัจจุบนั ทำควำม กระทบ ทุกข์ อุเบกขำ วำง ภำยนอกภำยใน ท่ีสำคญั อำยตนะปฏิบตั ิ รู้สึกตวั ผสั สะกระทบ เวทนำ เป็นกลำงใหม้ ี เห็นกำยในกำย เวทนำ วำงสติรู้เท่ำทนั อำยตนะอำศยั รูปเกิด ภำยใน สมั ปชญั ญะ ในเวทนำ จิตในจิต อำรมณ์ ปรุงแต่งเวทนำท่ีไหน ภำยนอกมีสติ ควบคุม สติกำหนด ธรรมในธรรม อำศยั กำหนดท่ีน้นั ใหร้ ู้ทุกข์ ตำมรู้เวทนำ ชดั จะเห็นอำรมณ์ ควำมชดั เจนเขำ้ ใจ ที่ต้งั ไว้ กำหนดอำกำร ชดั อำยตนะ นำม

๒๖๗ ตารางท่ี ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ๓๓ วิธีกำรฝึ กจิต สติกำหนดรู้ จิตเห็นจิต ฝึ กดูจิตใหด้ ู ฝึ กฝนภำวะจิตให้ ฝึ กจิตจำกกำรกระทบ ชำนำญใน ฝึ กจิตใหม้ ีสติระลึกรู้ อำรมณ์ สงบยกจิตข้ึนสู่ อำรมณ์ให้ สมถกรรมฐำน จิตมีควำมละเอียดตอ้ ง กระทบยกจิต วิปัสสนำเห็นไตร เห็นไตรลกั ษณ์ อำกำรเกิดดบั อำศยั ควำมใส่ใจ ตำม ลกั ษณ์ จิต รู้เท่ำทนั ๓๔ วธิ ีกำรใชจ้ ิตดู ใชจ้ ิตสร้ำงควำม อเุ บกขำต่อ นำฌำนสู่ญำณ จิต ปรำกฏำรณ์ที่เป็นจริง ลมหำยใจ อำตำ รู้สึกตวั สติมำ มีสติ สภำวธรรม น่ิงสงบสะอำด วำง อำตำปี สัมปชำโน กำย ปี มีควำมเพียร รู้ตวั กำกบั กำย พิจำรณำให้ จิตเป็นอุเบกขำ มี เวทนำจิตธรรม เผำกิเลส เห็นตำม บริกรรมภำวนำให้ สมั ปชำโน คือ มีปัญญำ ควำมเป็นจริง จิตเกำะเก่ียว หยงั่ เห็นโดยมีควำม เบ้ืองตน้ รู้สึกตวั ทุกอิริยำบถ ๓๕ ควำมบริสุทธ์ิ ขนั ธ์ ๕ จิตมอง ปัญญำ จิตบริสุทธ์ิสติ สร้ำงจิตดว้ ยปัญญำ แห่งจิต อำศยั ลกั ษณะตำมควำมเป็น พิจำรณำ กำหนดจิต จิต ไปสู่ภำวนำมยปัญญำ กำรฝึ ก จริง รู้เท่ำทนั อำรมณ์ต่ำง ๆ มองเห็นดว้ ยตำใจ สร้ำงจิตดว้ ยปัญญำ จิต กรรมฐำน ตำใจ คือ ตำปัญญำ เห็นตำมควำมเป็นจริง ตวั รู้ภำยใน ปัจจุบนั จิตเป็นผรู้ ู้ ๓๖ สร้ำงสติ ใช้ กำหนดลมหำยใจจน ตำมแต่ พฒั นำจิตบริสุทธ์ิ สร้ำงพ้ืนฐำนสติ กำรใช้ เครื่องมือ ไมม่ ีลมหำยใจ จิตเป็น อุปนิสยั ผู้ เป็นเคร่ืองมือ เคร่ืองมือสติปัฏฐำน ๔ สติปัฏฐำน ๔ ฐำนแห่งปัญญำโดย ปฏิบตั ิ เป้ำหมำยฝึ กจิตให้ ใหค้ รบ ต่อเนื่อง ใหค้ รบ ธรรมชำติ นำจิตออก บริสุทธ์ิ คือ เจริญ สม่ำเสมอ ต่อเน่ือง จำกทุกข์ สมำธิ วิปัสสนำ วิปัสสนำ ปัญญำเห็น สม่ำเสมอ ตำมควำมเป็ นจริ งส่ิ ง ท้งั หลำย ๓๗ กำรฝึ กจิต เป็น กำรผกู สติอยบู่ นฐำน จิตฝึ กอยู่ ดึงจิตอยกู่ บั รู้เท่ำทนั รูปนำม สติตอ้ ง กำรปฏิบตั ิ จิตดว้ ยกำรสร้ำงสติบน ประจำ เห็น ปัจจุบนั รู้เท่ำทนั มีทุกฐำน กำหดนระลึกรู้ ธรรมสร้ำงสติ กำยดว้ ยควำมรู้สึกตวั อำยตนะเกิด กำรเคล่ือนไหว ในรูปนำม และควำมรู้สึก ชดั เจน จิตเป็น จิตรู้เท่ำทนั ของจิต รู้เห็น แสดงออกของอำรมณ์ สติตำมรู้จิต อำกำรของจิต จิตยกข้ึนสู่วิปัสสนำ ตำม ผกู จิตดว้ ยสติไว้ สภำวธรรม

๒๖๘ ตารางที่ ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ๓๘ ฝึ กรู้ทนั สมถะวปิ ัสสนำแยกกนั ฝึ กรู้เท่ำทนั วธิ ีสมถะกรรมฐำน วิปัสสนำกรรมฐำน ควำมคิด ฝึ ก ไมไ่ ดเ้ พียงแต่วำ่ ควำมคิด เป็นกำรเพง่ จิต ฝึ กจิตใหเ้ ห็นปัญญำเห็น เจริญ ขณะน้นั อะไรเด่นกวำ่ พฒั นำ อบรมจิต สมถะผูก แจง้ ควำมจริง คือ ไตร สติสมั ปชญั ญะ กนั ใหส้ ร้ำงสติ สมั ปชญั ญะ จิตไวก้ บั อำรมณ์ ลกั ษณ์ ฝึ กจิตพิจำรณำ เป้ำหมำยคือจิต ขอ้ ธรรม ไดป้ ัญญำ สงบ ฌำนวิปัสสนำไดญ้ ำณ ๓๙ เป้ำหมำยพน้ เรียนรู้รูปแบบครบ เรียนรู้ เรียนรู้รูปแบบครบ พระสูตรเร่ืองมหำสติ ทุกข์ เป็นทำง ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ และ รูปแบบครบ ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ และ ปัฏฐำน ๔ สำคญั ต่อกำร เดียวทำใหแ้ จง้ ปฏิเวธ ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ ฝึ กปฏิบตั ิเป็นท้งั สมถะ พระนิพพำน และปฏิเวธ วปิ ัสสนำ รูปแบบกำร ทำงน้ีคือ สติ ปฏิบตั ิชดั เจนเน้ือหำ ปัฏฐำน ๔ สมบูรณ์ เป็นธรรมหวั ใจ ประกำร แห่งพระพุทธศำสนำ ๔๐ มหำสติปัฏฐำน จึงเขำ้ ถึงสภำวธรรมท่ี ญำณตอ้ ง ประจกั ษน์ ิยม กำรเขำ้ ถึงปัญญำเร่ือง ๔ เป็นปัญญำ แทจ้ ริง ตอ้ งทำ ฝึ กฝนดู ปฏิบตั ิเป็นปัญญำ มหำสติปัฏฐำน ๔ เป็น ระดบั ภำวนำมย ตำมลำดบั ข้นั ตอน อำยตนะ รับรู้ดว้ ยตนเอง ปัญญำระดบั ภำวนำมย ปัญญำ ตอ้ ง ฝึ กปฏิบตั ิเขำ้ ถึง กระทบ ปัญญำ ตอ้ งปฏิบตั ิดว้ ย ปฏิบตั ิ วิปัสสนำ กำรฝึ กฝนปฏิบตั ิ ๔๑ เขำ้ ใจนิยำม กำย เวทนำ จิต ธรรม สตินำควำม ปัญญำเกิด เขำ้ ใจนิยำมควำมหมำย ควำมหมำย ทุกฐำนเชื่อมโยง ทำ ยินดียนิ ร้ำย ภำยใน มีควำม ลกั ษณะกำรเกิดปัญญำ ลกั ษณะ ตำมจริต ออกจำกจิต ละเอียดลึกซ้ึงเกิด ระดบั ภำวนำมยปัญญำ รู้ เกิดปัญญำ รู้เท่ำทนั ญำณหยงั่ รู้ ปัญญำ แจง้ ในไตรลกั ษณ์ รูป ระดบั ภำวนำมย ญำณ ๑๖ เป็นไป นำม ขนั ธ์ ๕ ลกั ษณะ ปัญญำ ตำมลำดบั ปัญญำเห็นไตรลกั ษณ์ ๔๒ พิจำรณำปัญญำ วธิ ีกำรใชส้ ติรับรู้ สติอยบู่ น จิตสงบต้งั สติ สติปัฏฐำน ๔ สำคญั ทุก รู้เท่ำทนั เกำะ ตลอดแรกปฏิบตั ิตอ้ ง ฐำนกำย กำหนดพิจำรณำ ฐำน กำย เวทนำ จิต กนั เป็นลูกโซ่ ผำ่ นฐำนกำยหยำบรู้รับ เวทนำจิต ปัญญำเป็นตวั รู้จบั ธรรมพิจำรณำปัญญำ ชดั เจนสัมผสั ไปกำย ธรรม ใหแ้ น่น รู้เท่ำทนั เกำะกนั เป็น ละเอียด ลูกโซ่

๒๖๙ ตารางท่ี ๔.๒๔ (ต่อ) กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) M รูปแบบ พละ ๕ ธรรมเป็นกำลงั โดยใหเ้ ห็น ตำมควำมเป็ นจริ ง เห็นแจง้ ทำงปัญญำดว้ ย ๔๓ สมั มำทิฏฐิเป็น ใหเ้ กิดควำมเขม้ แขง็ สภำวธรรม พิจำรณำไตร อริยสจั ๔ มรรค ๘ ฐำน ประธำนตวั นำ ควำมมนั่ คง ตำมควำม ตอ้ งมี ลกั ษณ์ ธรรมไดป้ ัญญำ นำสู่ เห็นแจง้ ทำง เป็นจริง พิจำรณำไตร วปิ ัสสนำ ควำมรู้แจง้ กำรพิจำรณำ ปัญญำดว้ ย ลกั ษณ์ สมำธิสร้ำงเกิดพลงั ฐำนธรรมโดยใชค้ มั ภีร์ อริยสจั ๔ เขำ้ ใจดว้ ย อำนำจ ตำรำ ควำมศรัทธำมี มรรค ๘ ปัญญำรอบรู้ตกผลึก ตนเอง ควำมสำคญั กำหนดตำมควำมเป็ น หยง่ั รู้ดว้ ยตนเอง พฒั นำปัญญำ เขำ้ ใจใน ๔๔ พฒั นำปัญญำ จริงปัญญำเห็นรูปนำม หยงั่ รู้ดว้ ย ประสบกำรณ์ทำง ไตรลกั ษณ์ดว้ ยตนเอง เขำ้ ใจในไตร เขำ้ ถึงควำมเป็นจริง ตนเอง จิต ปัญญำฐำนธรรมคือ ลกั ษณ์ดว้ ย ลงมือปฏิบตั ิเขำ้ ถึง ประสำน จิตประสำนกำย ควำมเขำ้ ใจไตรลกั ษณ์ ตนเอง ธรรมตำมควำมเป็ น ระบบอำรมณ์ ตวั เซลลข์ ำ้ งในได้ กำรวดั ผล คือ ตวั รู้ ตวั จริง ออกกำลงั กำย ปัญญำ คือ วปิ ัสสนำ ๔๕ ตวั รู้ ตวั ปัญญำ ปฏิบตั ิสมำธิเพื่อสร้ำง อำยตนะ ๖ โครงของกลำ้ มเน้ือ ญำณ หยง่ั รู้ดว้ ยตนเอง คือ วปิ ัสสนำ เสริมสุขภำพกำย กำยประสำน ไดอ้ อกกำลงั กำย กระบวนควำมรู้เป็ นทำง ญำณ เทคนิคลมหำยใจ จิต ปฏิบตั ิ เพ่ือใชใ้ นกำร วทิ ยำศำสตร์ กำรผสำน หำยใจเขำ้ กล้นั ลม ตำมอิริยำบถ ป้องกนั ศำสตร์ เพ่ือกำรคน้ พบ ๔๖ ควบคุมกำรฝึ ก หำยใจไวก้ ลไกกำร เป็นนวตั กรรม ประสำทสมั ผสั กล้นั ลมหำยใจเพื่อเวลำ จิตประสำนกำย ท้งั ๖ ไดแ้ ก่ ตำ เรำกล้นั ลมหำยใจจะมี ถ่ำยทอดนวตั กรรมผำ่ น หู จมูก ลิ้น กำร กำรเปล่ียนสำรเคมี เทคนิควธิ ีกำร สมั ผสั และกำร กำหนดควำมรู้สึกไป เคลื่อนไหว ยงั อวยั วะต่ำง ๆ ของ ร่ำงกำย เช่น หนำ้ ผำก ๔๗ ฝึ กตำม ขมบั แกม้ ตำ คำง คิ้ว อำนำปำนสติ แขน หนำ้ อก หนำ้ ทอ้ ง วปิ ัสสนำ และทวั่ ท้งั ตวั กรรมฐำน และ องคค์ วำมรู้ท่ี เป็นกำรฝึ กกำร เคล่ือนไหว

๒๗๐ ตารางที่ ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ๔๘ สะสมองค์ ประสำนสมั ผสั ตำม กำหนด จิตประสำนกำย กำรใชร้ ะยะเวลำ ในกำร ควำมรู้ในแต่ละ อำยตนะ ๖ ควำมสำเร็จ ควำมรู้สึกไป กระแสควำมรู้สึก ฝึ กฝนเป็นประจำ และ เทคนิค มีกำร เกิดท่ีกำย ตำมอวยั วะ เวยี นไปดูกำย ตอ้ งสะสม ผสมผสำน ลองผดิ ลองถูก ต่ำง ๆ รูปแบบ เครื่องมือ ๔๙ รูปแบบ เทคนิคกำรหำยใจ กำร ควำมรู้สึก จิตประสำนกำย อำศยั ควำมศรัทธำควำม แตกต่ำงตำม เคล่ือนไหว และกำร อเุ บกขำ เช่ือ มน่ั และควำม สภำพกำย ตำม หำยใจผสำนกำร สำคญั พำกเพียร ต่อเนื่อง และ จริต ข้ึนอยกู่ บั ผู้ เคลื่อนไหว สะสม ปฏิบตั ิ ๕๐ สร้ำง ฝึ กพดู คุยกบั จิตใต้ สร้ำงปัญญำ สร้ำงควำมเขม้ แขง็ รักและเมตตำต่อสรรพ กระบวนกำร สำนึก อำศยั ภำษำจิต จำกประสบ ทำงจิต ส่ิง ส่ือสำรกบั และภำษำธรรม กำรณ์ จริง ตวั เอง ๕๑ ฝึ กพดู คุยกบั จิต สร้ำงกระบวนกำร ใชอ้ ำรมณ์ที่ สร้ำงควำมเขม้ แขง็ สร้ำงปัญญำจำก ใตส้ ำนึก พูด สื่อสำรตนเอง โดยกำร เขม้ ขน้ นำ ของจิต สร้ำงพลงั ประสบกำรณ์ ควำม ในส่ิงที่ตอ้ งกำร ใชว้ ธิ ีกำรคุยกบั จิตใต้ ทำงจิตใต้ จิต ชำนำญและกำรฝึ กฝน สำนึกอยำ่ งเป็น สำนึก กระบวนกำร ๕๒ สร้ำงควำม ลมหำยใจเป็นขอ้ วิธีกำร ชำระจิตใหบ้ ริสุทธ์ิ กำรมองดูสรรพส่ิง ละเอียดของลม ต่อเช่ือมกำยกบั ควบคุม ดึงพลงั จิตที่ดีเขำ้ ต่ำง ๆ ตำมควำมเป็นจริง หำยใจ จกั รวำล อำรมณ์ มำเอง กฎไตรลกั ษณ์ ๕๓ สร้ำงควำม ควำมรู้สึกตวั อำศยั ลม ตดั สินใจดว้ ย ต้งั จิตไวแ้ ต่ละฐำน ธรรมะเป็นของสำกล รู้สึกตวั ให้ หำยใจเขำ้ ออก ควำม ควำมเป็น ชดั เจน กำรฝึ ก รู้สึกตวั กลำง สติ ๕๔ กำรไม่ใชค้ ำ ฐำนลมหำยใจควำม นำเวทนำเป็น ไมค่ ิดปรุงแต่งจิต กฎไตรลกั ษณ์ บริกรรม รู้สึกตวั กลบั มำ สติ เคร่ืองมือกำร คลื่นจิตแห่งควำมดี ตอ้ งอำศยั กำรเรียนรู้ เทคนิคเป็น ตำมดูลมหำยใจเขำ้ ฝึ กฝน งำม ทุกกำรเรียนรู้ รูปแบบเฉพำะ ออก สติอยกู่ บั ลม ตน หำยใจ

๒๗๑ ตารางที่ ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ๕๕ กำรฝึ กฝน สำรวจร่ำงกำยเป็นธำตุ ใชค้ วำมรู้สึก จิตเป็นกลำงจบั ต้งั สติไวแ้ ต่ละฐำน แจ่ม วิธีกำรจดั กำร ๔ ร่ำงกำยมีเชลลห์ ลำย สำรวจฐำน ควำมรู้สึกเป็น แจง้ ปัญญำ แนวทำง เฝ้ำดูควำมจริง รวมตวั กนั กำยแสดง กำย เอำควำม อเุ บกขำ ควบคุม ไตรสิกขำ ศีล สมำธิ ระดบั หยำบ ส่ิงท่ีอยใู่ นจิตออกมำ รู้สึกตวั ไปจบั ควำมคิด อนิจจงั ปัญญำ รู้แจง้ ธรรม (สมมติสจั จะ) พลงั งำนแห่งควำม เวทนำ เป็นแบบจิตเห็นจิต ปัจจุบนั สนั่ สะเทือน ๕๖ ฝึ กกำรแยกกำย รูปเป็นกอ้ นกำย เอำควำมรู้สึก นำม คือ จิต สมมติสัจจะไปสู่ ออกจำกจิต กำร อนิจจงั รับรู้ไม่มีอะไร ไปจบั ฐำน จิตอำศยั รูปอยู่ ปรมตั ถสจั จะ แยกรูป ปฏิบตั ิโดยมี ไมเ่ ปลี่ยนแปลง ตดั กำย อยเู่ หนือ ภำษำจิตเชื่อมโยง นำม ฝึ กสติชดั เจน กำร เวทนำเป็น ยอ่ ย แยกสลำย เจำะลึก เวทนำและ เวลำภำยนอก รู้จกั แยกรูปนำม เครื่องช่วย เขำ้ ไปกำยหยำบไปสู่ หลุดพน้ พิจำรณำรูปนำมปรำกฏ กำยละเอียด ควำมทุกขไ์ ด้ ตำมลำดบั วิปัสสนำ ๑๖ ๕๗ สร้ำงสติ อิริยำบถมีควำมสำคญั ทุกขเวทนำ จิตอำศยั รูปอยู่ จิต ควำมพำกเพียรในธรรม ฝึ กสติปัฏฐำน ต่อควำมกำ้ วหนำ้ ทำง เอำควำมรู้สึก เขำ้ สู่กำยในกำย อำศยั กำรฝึ กฝน ใช้ สติ แปลวำ่ ธรรม ทำฌำนให้ ไปจบั หยดุ อนุมำนควำมรู้ที่เกิดจำก ระลึกรู้ เกิดข้ึนและเขำ้ ถึง กำรปรุงแต่ง ประสบกำรณ์ เพียงเฝ้ำดูเกิด สภำวธรรม ดบั เวทนำ ๕๘ เรียนรู้วิธีกำร ฝึ กฐำนกำยใหม้ ีควำม เวทนำคือ เห็นจิตในจิต จิต อำศยั กำรฝึ กฝน สร้ำง ฝึ กควบคุม เขม้ แข็ง ใหล้ มหำยใจ ควำมพอใจ ชำระลำ้ งกิเลส ควำมซื่อสตั ย์ รักษำ ควำมคิด มีควำมละเอียด และไมพ่ อใจ ควำมเศร้ำหมอง สจั จะควำมต้งั ใจ ๕๙ ฝึ กเห็นจิตในจิต กำยจิตอยู่กบั ปัจจุบนั ฝึ กรับรู้ ควำมแหลมคมของ ปัญญำภำวนำมยปัญญำ ตำมควำมเป็น อบรมปัญญำใหเ้ กิด ควำมรู้สึก จิต อยกู่ บั กำรต้งั เป็นประสบกำรณ์จริง จริง โดย ควำมหยง่ั รู้ เห็นแจง้ เวทนำให้ สติ สภำวธรรมเป็ น ละเอียด ปัจจุบนั ๖๐ เรียนรู้กำรฝึ ก เอำสติมำอยกู่ บั เอำอำรมณ์มำ จิตเป็นกลำงเป็น ฐำนตำมสภำวธรรม ควบคุม ปัจจุบนั เวลำ ปัญญำ กำหนด อุเบกขำ ไมเ่ พ่งจิต ปัจจุบนั เส้นทำงธรรม ควำมคิดอำศยั หยง่ั รู้ กระแสคลื่นเกิด อำรมณ์เป็น อนิจจงั ทุกขงั เป็นเรื่องเฉพำะตวั ตำม ธรรม ตำม ดบั อยตู่ ลอดเวลำ กลำง เฝ้ำดู อนตั ตำ ไม่มีอะไร แบบพระวิปัสสนำจำรย์ ธรรมชำติ ตระหนกั รู้เวทนำเกิด เพียงรู้ไดแ้ ต่ ใหย้ ดึ มนั่ ถือมนั่ ดบั ท่ีร่ำงกำยตน เขำ้ ใจ เฉย ๆ

๒๗๒ ตารางท่ี ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ๖๑ กำหนดวธิ ี รู้ตำมกำยละเอียดถึงลม อำยตนะ นำทำงกำรฝึ กฝน กำหนดรู้เท่ำทนั กำย อำนำปำนสติ หำยใจเขำ้ ออก กำหนด กระทบ นำ ทำใหจ้ ิตสงบ จิต เวทนำจิตธรรม รู้เห็น ปรำกฏควำม ลมหำยใจ ๑๖ ระยะ สติจบั ลม สงบ ยกสติข้ึน ตำมควำมเป็นจริง สติ จริงต่อร่ำงกำย พิจำรณำ หำยใจส้ัน หำยใจเขำ้ พิจำรณำกำย จิต ปัฏฐำน ๔ ทำใหค้ รบ และจิตใจ คือ ยำว สติกำกบั กำย ออก สัญญำ ธรรม นำจิตออก และสม่ำเสมอ ดูลม ลมหำยใจเขำ้ กำหนดลมหำยใจฝึ กดู ประเมินค่ำ จำกทุกข์ ให้ หำยใจเขำ้ สติไปกำหนด ออกเฝ้ำสังเกต ตำมควำมเป็นจริง ทนั ที สิ่งดี กำหนดรู้ ยกพิจำรณำไตรลกั ษณ์ ควำมจริงของ สงั ขำร คือ กำรปรุง เลวดว้ ยกำร สภำวธรรมปัจจุบนั ใชห้ ลกั กำรอำนำปำน ขนั ธ์ ๕ แต่งตอบโต้ ทำงำน มี ประเมินค่ำ อยจู่ ดจ่อสมถะ สติเป็นฐำน สำคญั อำยตนะ ๖ กำรปรุงแต่งควำมทุกข์ สญั ญำเกิด เวทนำ ๖๒ เวทนำปรำกฏที่ สำรวจ ตรวจสอบ ปฏิกิริยำ ดูใหเ้ ป็นจริงตำม สญั ญำทำใหร้ ู้แจง้ ในใจ กำยรับรู้ที่จิต ประจกั ษ์ ควำมเป็นจริง โตต้ อบทำให้ สภำวธรรม ตอ้ งดู แจง้ หลกั ธรรม ใหส้ งั เกตเวทนำ ภำยในกำย โดยตรง เกิดทุกข์ ฝึ ก สภำพจิตตำมควำม ยอมรับเวทนำที่เกิดข้ึน เด่นชดั บริเวณ เห็นกองสงั ขำร เป็น ปัจจุบนั เป็นจริง รู้เท่ำทนั เชื่อมโยง กำยเวทนำ จิต ใดกำหนด เพียงธรรม ไมใ่ ช่เรำเขำ อำรมณ์ จิตสงบยก ธรรม เสวยเวทนำจิตเขำ้ บริเวณน้นั ตำม กำรมีสติรู้ทนั อำรมณ์ อุเบกขำต่อ เหตุกำรณ์ข้ึน ไปรับรู้ เกิดกำรปล่อย รู้เท่ำทนั เนน้ อำรมณ์ปัจจุบนั สภำวธรรม พิจำรณำ วำงอยำ่ งมีปัญญำ โดยมีศีล ๕ เป็น อำยตนะ พ้ืนฐำน ภำยในนอก ๖๓ เวทนำอำศยั รูป เวทนำ ควำมรู้สึกทำง เวทนำอำศยั ปัญญำพิจำรณำ พิจำรณำใหเ้ ห็นจริงตำม นำม เวทนำเป็น กำย เกิดข้ึน ทำ ท้งั รูปนำม อำรมณ์ต่ำง ๆ สภำวะ แต่ละคนเร่ิมตน้ ตวั เชื่อมอยำ่ ง ปฏิกิริยำปรุงแต่งควำม เกิด มีสติ ภำยในจิต จิตมี ต่ำงกนั พอถึงเวทนำจิต เป็นรูปธรรม พอใจไมพ่ อใจ ตอ้ งวำง กำหนดรู้ พฤติกรรม เกิดดบั ธรรม ตอ้ งเห็นสภำวะ ประสบกำรณ์ อุเบกขำต่อเวทนำ วำงอเุ บกขำ อยตู่ ลอดเวลำ นำ เหมือนกนั หมด เฝ้ำ เกิดดบั ทำง วิธีกำรเขำ้ ถึง คือ ตอ้ ง ถำ้ ไม่มี จิตพิจำรณำกำย สงั เกตปรำกฎกำรณ์ที่ เวทนำ รับรู้ตลอดเวลำ เวทนำ เวทนำไม่มี เวทนำ จิต ธรรม เกิดข้ึน โดยไม่มี (ควำมรู้สึกทำง เกิดตอ้ งมีสติไปรู้เห็น สมั ปชญั ญะ ปฏิกิริยำใด ๆ พฒั นำ กำย) เช่ือมโยง ทนั สังเกตดูเวทนำเกิด ไม่มีปัญญำ สติสมั ปชญั ญะ เป็น รูปนำม บริเวณน้นั วำงอเุ บกขำ ไม่มี ปัญญำช่วยใหเ้ กิด วปิ ัสสนำ อุเบกขำ

๒๗๓ ตารางท่ี ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ๖๔ กำหนด ฝึ กฐำนเวทนำตอ้ ง ผสั สะ ฝึ กดูจิตใหด้ ู ตอ้ งปฏิบตั ิตอ้ งเท่ำกนั พิจำรณำเวทนำ อำศยั ฐำนกำย คือ กระทบ อำรมณ์ที่กระทบ ในทุกอำรมณ์ท่ีเกิดข้ึน ในเวทนำ ผสั สะ อำยตนะ ผสั สะ อำรมณ์ จิต ฝึ กจิตใหส้ ติได้ ใส่ใจทุกอำกำร อำยตนะ สภำวะจริง กระทบกำหนดรู้เวทนำ เวทนำจึงมีจิต ทนั ตวั ปรุงแต่งนึก เป็นตวั เช่ือมโยง อำกำรท่ีปรำกฎ วญิ ญำณ คิด ดูอำรมณ์ ๖๕ เบ้ืองตน้ ปฏิบตั ิ เร่ิมตน้ กำยเห็นดว้ ยตำ มีสติพิจำรณำ กำยเช่ือมโยงจิต ตวั ธรรมเป็นแนวทำง ฐำนกำย ตอ้ ง เน้ือ ต้งั สติกำหนดฐำน กำยใหส้ งบ รู้กำยรู้จิต ฐำนกำย เดียวกบั พระไตรปิ ฎก ผำ่ นฐำนกำย กำย กำยเป็นรูปธรรม เป็นพ้ืนฐำน ต้งั จิต พิจำรณำกำย ทุกฐำนมีควำมสำคญั ส่งไปฐำน ปฏิบตั ิไดเ้ ขำ้ ถึงไดง้ ่ำย มีสติรู้เท่ำทนั หยำบไปสู่กำย ใหเ้ ริ่มปฏิบตั ิจำกฐำน เวทนำ จิต ฐำนกำยหยำบ รับรู้ได้ เวทนำ ละเอียด จิตส่วน กำย ธรรมชำติเกิดจำก ธรรม ง่ำย รู้สึกเวทนำได้ กำย วญิ ญำณรับรู้วำ่ มี กำรสำรวมอินทรีย์ รับรู้อำรมณ์เกิด อะไรเกิดข้ึน ๖๖ ฐำนกำยเป็นรูป ฐำนกำยหยำบ ชดั เจน อเุ บกขำรู้ถึง ฐำนกำยหยำบสุด กำยเป็นฐำนแรกสุด มีอำนำปำนสติ สมั ผสั ได้ มีรูป สัมผสั กระแสควำม เจริญสติ ใหจ้ ิต มองเห็นไดง้ ่ำยเป็น ๑๖ หยำบไปถึง ได้ เบ้ืองตน้ กำหนด สน่ั สะเทือน สงบ พ้ืนฐำน กำยหยำบใหญ่ ละเอียด กำยมี ลมหำยใจ จนไม่มีลม เป็นคล่ืน สติสมั ปชญั ญะ กำหนดสติง่ำย รู้เห็น สติพิจำรณำ หำยใจ พฒั นำอเุ บกขำ ภำยใต้ ตำมรู้ทุกอิริยำบถ ตำมควำมเป็นจริง กำร อำกำร กำย ไมว่ ำ่ เวทนำชนิดใด ควำมรู้สึก สติส่วนรู้ของจิต ทำควำมเขำ้ ใจ เวทนำ จิต ปฏิบตั ิเพ่ือพฒั นำสติ เจบ็ ปวดเฝ้ำดู ฝึ กจิตใหล้ ะเอียด กระบวนกำรอำยตนะ ธรรม และสมั ปชญั ญะ เฉย ๆ มำกท่ีสุด ภำยในท่ีอยใู่ นร่ำงกำย ๖๗ วิปัสสนำญำณ วปิ ัสสนำญำณ ปัญญำ ฐำนสติต้งั มน่ั เกิดญำณหยงั่ รู้ เอำ ตวั รู้ คือ ตวั ปัญญำ เป็นภำวนำมย เห็นตำมควำมเป็นจริง สติกำกบั ฌำนเป็นบำทฐำน ญำณ ๑๖ อำศยั ปัญญำ ของสิ่งท้งั หลำย กำร ควำมรู้สึกตวั เจริญวปิ ัสสนำ จิต สมั โพชฌงค์ เกิดปัญญำ วิปัสสนำนำสู่ ปฏิบตั ิรูปนำมเป็น มีมำก พฒั นำ เป็นสมำธิอยใู่ น ตำมเป็นจริง ถำ้ ไมม่ ี จุดหมำย อำรมณ์ เฝ้ำสงั เกต อุเบกขำ ฌำน วปิ ัสสนำ ก็ไม่มีสติปัฏ สงั โยชน์ ขจดั ออกไป ฐำน ๖๘ สติเป็นพลงั สติกำหนดลมหำยใจ อำยตนะ คือ สมถะผกู จิตไวก้ บั สติกำหนดพิจำรณำเห็น กำลงั พฒั นำสติ เขำ้ ถึงจิตได้ รับรู้ ทวำรรับรู้ อำรมณ์ ฐำนจิต จิต สมถะสร้ำงจิตน่ิง มำ สติเป็นใหญ่ อำรมณ์ปัจจุบนั ควำมรู้สึกมี ละเอียด ใส่ใจให้ เป็นสมำธิเกิดพลงั กำร ปกครองกำยจิต วิเนยฺย โลเก อภิชฌำ ตำ หู จมูก มำก เห็นกำรเกิด เฝ้ำสงั เกตสิ่งที่เกิดข้ึนใน เป้ำหมำยคือ จิต โทมนสฺส ขจดั ควำม ลิ้น กำย ใจ ดบั ของจิตเร็ว ส่งที่ใจกำลงั นึกคิดอยู่ สงบ ยนิ ดียนิ ร้ำยต่อโลกของ ทวำรท้งั ๖ ปัญญำเกิด จิตเขำ้ ขณะน้นั อยำ่ งต่อเน่ือง รูปนำม อยใู่ นร่ำงกำย ไปเป็นผรู้ ู้เกิดดบั

๒๗๔ ตารางที่ ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ๖๙ ฝึ กรู้ทนั สติกำหนดรู้ จิตเห็นจิต ควำมรู้และ จิตฝึ กอยูป่ ระจำ สมำธิอบรมปัญญำ ยก ควำมคิด เอำ ฌำนเป็นบำทฐำนกำร เขำ้ ใจเวทนำ อำยตนะเกิดจิต จิตสู่วปิ ัสสนำ เห็นไตร ฐำนสติอำศยั เจริญวปิ ัสสนำ จงมีสติ ดว้ ย รู้เท่ำทนั ดี ผกู จิต ลกั ษณ์ ไดส้ มำธิพลงั เวทนำ พร้อมสมั ปชญั ญะ ไม่ สมั ปชญั ญะ ดว้ ยสติ รู้แจง้ หนุนพฒั นำปัญญำเห็น ควำมรู้สึกเกิด วำ่ กระทำใด ๆ ทำงกำย โดยตลอด อำกำรของจิต มีสติ ไตรลกั ษณ์ มี ดบั ของเวทนำ สงั เกตดูควำมจริงที่ จนอยเู่ หนือ ตำมรู้ที่จิต เห็น ประสบกำรณ์โดยตรง เป็นเพ่ือหลุดพน้ จำก เวทนำได้ อำกำรจิต กบั จิต จิตไม่ใช่กำรใช้ ควำมยึดมน่ั ถือมน่ั สุดทำ้ ยรวมอยจู่ ิต จิตนำกำร ๗๐ ฐำนจิตคือ สมั ปชญั ญะ กำรใช้ เวทนำ สญั ญำ เป็นควำม ตำใจ คือ ตำปัญญำ ตวั รู้ ธรรมชำติ ดู ปัญญำสังเกต กำร ควำมรู้สึก กำหนดหมำย วิตก ภำยใน พฒั นำจิตให้ ตำมธรรมชำติ เกิดข้ึน ต้งั อยู่ ดบั ไป ทำงกำย จิต ควำมตรึกในส่ิง บริสุทธ์ิตอ้ งอำศยั มหำ ของจิต จิตเป็น จิตเป็นผรู้ ู้ รูป เวทนำ กำหนดรู้เหตุ ที่มำกระทบ จิตใต้ สติปัฏฐำน เห็นกฎไตร ฐำนแห่งปัญญำ สญั ญำ สังขำร ฝึ ก สมถกร สำนึก ดูชำระ จำก ลกั ษณ์ตำมอริยสจั เป็น โดยธรรมชำติ วญิ ญำณ เจริญสติรู้เท่ำ รมฐำน อยำ่ ง กิเลส ต่ำง ๆ จิตจะ แก่นธรรมหวั ใจ ทนั กำยท่ีเคล่ือนไหว ใดอยำ่ งหน่ึง บริสุทธ์ิตอ้ งอำศยั พระพทุ ธศำสนำ ให้ จิตนึกคิด จิตน่ิง กำรฝึ กกรรมฐำน ควำมสำคญั กบั สญั ญำ ๗๑ สร้ำงจิตดว้ ย จิตเห็นควำมเป็นจริง ปล่อยวำงจิต ฝึ กจิตรู้เท่ำทนั จิต จิตเป็นตวั เขำ้ ถึงปัญญำ ปัญญำ ฝึ กจิต จิตปัจจุบนั ขณะ ใช้ จำกกำรยึด น่ิง สะอำด สงบ ระดบั ภำวนำมยปัญญำ ใหเ้ ห็นปัญญำ สมั ปชญั ญะเป็นตวั มน่ั ถือมน่ั พิจำรณำวำงจิต มองเห็นลกั ษณะจิตตำม ควำมเป็นจริง เช่ือมโยง โลกท้งั หมด วำงอุเบกขำ อเุ บกขำธรรมชำติ ควำมเป็นจริง รู้เท่ำทนั คือไตรลกั ษณ์ อยใู่ นร่ำงกำยของเรำ ไปกบั เวทนำ จิตเป็นที่แสดงออก ควำมเป็นจริง เกิด เอง กำรเกิด ดบั เฝ้ำดูเวทนำ ของอำรมณ์ ฝึ กจิต วิปัสสนำญำณ หนทำงไปสู่กำรดบั ไป ธรรมช่วย มีควำมอ่อนโยน ของโลกกอ็ ยภู่ ำยใน ใหห้ ลุดพน้ ละเอียดอ่อน ๗๒ ฝึ กจิตพิจำรณำ ใชส้ มำธิระดบั เวทนำเป็น จิตสงบเต็มท่ี จิตจะ ปัญญำรอบรู้ตกผลึกตำม ขอ้ ธรรมได้ ขณิกสมำธิเป็นหลกั เพียง ถอนออกมำโดย ควำมเป็นจริง เป้ำหมำย ปัญญำ ใชส้ มถะเป็นบำทฐำน ควำมรู้สึกไม่ อตั โนมตั ิ ดูจิตเพ่ือ พน้ ทุกข์ รู้แจง้ นิพพำน วปิ ัสสนำ ควำมสงบ สญั ญำ ไม่ รู้ทนั ควำมคิด มี ฝึ กปฏิบตั ิเขำ้ ถึง กำยสงบใจเป็นสภำวะ กำหนด กำลงั สติ ควำม วปิ ัสสนำญำณ ท่ีสงบอยำ่ งลึกซ้ึง เกิด ประเมินค่ำ ละเอียดของจิต ดบั ตลอดเวลำ ใหส้ ติต้งั มนั่ รู้ทนั จิตท่ีมำ รับรู้เวทนำ กระทบอำยตนะ

๒๗๕ ตารางท่ี ๔.๒๔ (ต่อ) กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) M รูปแบบ ตอ้ งฝึ กฝนเฝ้ำดู รับรู้ไดด้ ว้ ย จิตเป็นสมำธิอยใู่ น ประจกั ษน์ ิยมกำรปฏิบตั ิ ๗๓ ฝึ กจิตเป็น อำยตนะ ๑๒ มำ ตนเอง จิตไม่ ฌำน อำรมณ์ เป็นปัญญำ เขำ้ ถึงธรรม ปัจจุบนั ใชจ้ ิต กระทบกนั กำหนดกำร ดีไมช่ ว่ั กรรมฐำน ยกระดบั ตำมควำมเป็นจริง กำย กำหนดรู้ รับรู้อำกำรต่ำง ๆ ที่ อำรมณ์ท่ีมำ จิตข้ึนสู่วปิ ัสสนำ เวทนำจิตธรรมเป็ นเรื่ อง สภำวธรรมตำม ปรำกฏ กำจดั ควำมยึด กระทบจิต พิจำรณำไตร เดียวกนั ควำมศรัทธำต่อ ธรรมชำติ มน่ั ถือมนั่ เวทนำเกิด ลกั ษณ์ หลกั มหำสติปัฏฐำน ๔ เจริญใหม้ ำก ๗๔ พิจำรณำ พิจำรณำปฏิกูลร่ำงกำย อำตำปี ผกู จิตไวก้ บั ธรรมวิจยั เลือกเฟ้น ซำกศพ ตวั เรำ ต้งั ใจกำหนดฐำนกำย สมั ปชำโน อำรมณ์กรรมฐำน ธรรม ตอ้ งสังเกตดู และ เองจะตอ้ งตก อยำ่ งต่อเน่ือง กำยเป็น สติมำ เวทนำ ๔๐ แนวโยนิโส รู้ชดั ระดบั เชำวนป์ ัญญำ อยใู่ นสภำพ ฐำนปฏิบตั ิไดง้ ่ำย ไปดู กำหนดเฝ้ำดู มนสิกำร กบั กำร ร่ำงกำยถูกแยกออกเป็ น เดียวกนั น้ี ใน กำรชำแหละศพท่ี เวทนำวำงจิต เรียนรู้อยำ่ งมี ธำตุ ๔ สำรวจขอบเขต ท่ีสุด เห็นควำม โรงพยำบำล หลกั อเุ บกขำ วิจำรณญำณ ของควำมทุกข์ อยเู่ หนือ ดบั สสำยแห่ง นวสีวถิกำ วำ่ เห็น สงั ขำรกำร วญิ ญำณ คือ กำร ควำมทุกขเ์ ป็นกำรหยง่ั รู้ สงั ขำร ซำกศพจะไดค้ ิดวำ่ ส่ิง ปรุงแต่ง รับรู้ที่ทวำร หรือ ในอริยสจั เดียวกนั น้ี ยอ่ มเกิดกบั ท้งั หลำยมี อำยตนะ ภำยใน ๗๕ สมั มำทิฏฐิตอ้ ง ร่ำงกำยของตน สำเหตุจำก ก่อนกระทบถึง ฐำนธรรมสำคญั ท่ีสุด เห็นควำมจริง โครงสร้ำงร่ำงกำยเป็ น ควำมรู้สึก สมั ผสั อำยตนะ พิจำรณำกำยเวทนำจิต ใหไ้ ด้ ต้งั สติให้ เพียงกอ้ นกลุ่มเกิดดบั ทำงกำย ภำยนอก ธรรม ฐำนธรรมปัญญำ ฝึ กสมั มำทิฏฐิ ปัญญำเห็นรูปนำม ประเมิน สมั มำทิฏฐิตวั นำ เห็นกำรเกิดดบั เพียงแค่ เป็นตวั นำกำร ขนั ธ์ ๕ คือ กำรรวมตวั สญั ญำ เห็นสภำวธรรม รู้ รู้อะไรน้นั ไม่สำคญั ปฏิบตั ิ ของสิ่งต่ำง ๆ แต่ละคน ควำมรู้สึก สร้ำงแรงจูงใจให้ ใครคือผรู้ ู้กไ็ มส่ ำคญั มี พำกเพียรทำง ควำมจริง ได้ เวทนำเปล่ียน จิตมีกำลงั ใจ แต่เพียงควำมเขำ้ ใจ ธรรม ประสบกำรณ์กบั กำร สุข สภำวะควำมเป็ น เท่ำน้นั เกิดข้ึนต้งั อยดู่ บั ไป ทุกขเวทนำ จริงสูงสุด โดย ของขนั ธ์ ๕ บุคคลเป็น ปรมตั ถ์ ที่ประชุมของขนั ธ์ ๕

๒๗๖ ตารางที่ ๔.๒๔ (ต่อ) กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ฝึ กสติสนำมพฒั นำ รู้แจง้ ในทุกข์ สมั มำทิฏฐิตอ้ งมี สมั มำทิฏฐินำไปสู่ M รูปแบบ ปัญญำ กำรใช้ เจริญสติ วิปัสสนำ ใช้ มรรค ๘ ตวั นำเห็นชอบ ๗๖ ธรรมเกิดจำก สมั มำสติประยุกตใ์ ช้ สมั โพชฌงค์ สติสมั ปชญั ญะไป ควำมถูกตอ้ ง ควำมเป็น ในชีวิตประจำวนั สติต้งั มนั่ อยู่ กำหนด จิต กำย จริงในอริยสจั ๔ มี ขนั ธ์ ๕ ฐำน ร่ำงกำยเป็ นเพียง กบั ควำมจริง เวทนำ ธรรม กำร ปัญญำใชช้ ีวติ ประจำวนั ธรรมเป็ น ร่ำงกำยเพียงเฝ้ำดูไป ขนั ธ์ ๕ ปฏิบตั ิวิปัสสนำ ตำมจริง รักษำศีล เจริญ พ้ืนฐำนตอ้ งนำ ดว้ ยปัญญำที่รู้ชดั เขำ้ ใจ บรรลรุ ูปนำม กรรมฐำนเพื่อให้ สมำธิ เจริญมรรค ๘ นำ จำกสมั มำทิฏฐิ กำรเกิดดบั ไดต้ ระหนกั ไมย่ ดึ จิตต้งั มนั่ แน่วแน่ สงั เกตกำยเพียง หลกั ขนั ธ์ ๕ วำ่ ตวั ตน กำย สติต้งั มนั่ ญำณหยง่ั รู้ไดด้ ว้ ย สงั โยชนค์ ือ ตวั ปัญญำ เป็นปัจจตั ตงั หมดควำมยึด ตนเอง ควำมรู้เกิดจำก ตวั วดั ผล กำรคิดเอำตรรกะ พฒั นำปัญญำจำก ตอ้ ง ติดในโลกแห่ง กำรประจกั ษค์ วำมจริง เขำ้ ใจ เหตุผลบรรลุธรรม ปฏิบตั ิเองกำรอำ่ นพระ รูปนำม ดว้ ยตนเอง วปิ ัสสนำ ประจกั ษ์ ไม่ได้ จิตจดจ่ออยู่ สูตรทำใหไ้ ม่เขำ้ ใจอยำ่ ง ๗๗ ตวั วดั ผล คือ กรรมฐำน หลกั ภำวนำ สภำวะดว้ ย ในสภำวปัจจุบนั แทจ้ ริง วปิ ัสสนำญำณ ๔ เป็นเคร่ืองช้ีวดั และ ตนเอง เป็น จิตตวิสุทธิ ปัจจตั ตงั วธิ ีปฏิบตั ิ สญั ญำเป็น พิจำรณำเห็นธรรมเห็น เวทิตพั โพ คือ รู้ ดูสงั ขำรเป็นอยำ่ งไร อยำ่ งไร วิญญำณเป็ น เหตุเกิด พิจำรณำเห็น เฉพำะตน ตอ้ ง ควำมเกิดดบั แห่ง ควำมเกิดดบั อยำ่ งไร ควำมเกิด ธรรม เป็นเหตุดบั ใน ประสบดว้ ย สงั ขำร รูปควำมเกิด แห่งสญั ญำ ดบั แห่งวิญญำณ ธรรม ปัญญำเขำ้ ใจควำม ตนเอง ดบั รูปเป็นอยำ่ งไร เวทนำเป็ น วิถีจิตเกิดดบั เป็นจริงชีวติ ปลอ่ ยวำง ๗๘ สติ คือ ควำม กำหนดรู้ธรรมชำติของ อยำ่ งไรควำม ตลอดเวลำ ตำมควำมเป็ นจริ ง ระลึกรู้ ควำม ชีวิต คือ ขนั ธ์ ๕ เกิดดบั แห่ง สืบเน่ืองกนั มีกำร ปัญญำพิจำรณำ รู้ตวั กบั ส่ิง พิจำรณำเห็นอปุ ทำน เวทนำ รับรู้อำรมณ์ ธรรมขนั ธ์ ๕ ปัจจุบนั ต้งั สติ ขนั ธ์ ๕ เวทนำทำให้ ตลอดเวลำ อริยสจั ๔ พิจำรณำ ปรำกฏอยู่ ฝึ กอำนำปำนสติ ประจกั ษใ์ น ประสบกบั อำรมณ์ ธรรม อยำ่ งไร ควำมเกิด เฉพำะหนำ้ กำหนดลมหำยใจเขำ้ อนิจจงั คือ อนั ไมเ่ ป็นท่ีรัก แก่ ตำย เป็นทุกข์ ปัญญำ เจริญสติ ออกตรงปลำยจมูก กำรเกิดข้ึน พลดั พรำกจำก บนพ้ืนฐำนของสติ ใช้ เหนือริมฝี ปำก มีสติรู้ และดบั ไป อำรมณ์อนั เป็นท่ี ควำมคิดตรึกตรองทำ ๗๙ รู้ทนั ธรรม ชดั ลมหำยใจ ทำควำม อยำ่ งชดั เจน รักโศก เศร้ำ คร่ำ ควำมเขำ้ ใจ ไม่ทำให้ ควำมเป็ นจริ ง รู้สึกตวั เสมอ ครวญ ทุกขใ์ จ หยงั่ เห็นธรรม หรือ วำ่ ทุกข์ สมุทยั กำหนดเพง่ จิต หลุดพน้ กิเลสได้ นิโรธ มรรค ภำยในตวั เอง และนอ้ มนำ ควำมคิด อำตำ ปี สมั ปชำโน สติมำ

๒๗๗ ตารางที่ ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ๘๐ สำรวจอินทรีย์ อำนำปำนสติไม่มีคำ มีควำมรู้สึก สมดุลร่ำงกำยกบั สร้ำงตวั ช้ีวดั เพ่ือ ๕ สภำวธรรม บริกรรม สุขดว้ ยลม จิตเป็น วิเครำะห์ อินทรีย์ ๕ มี กำหนดรู้วิธี อำนำปำนสติร่วมฝึ ก หำยใจ สมำธิ กระบวนกำร ควำมสมดุลอินทรีย์ ๕ กำหนดลม สร้ำงจินตนำกำร ดำรง เป็นข้นั ตอน เก้ือหนุน ปรับ ฝึ กสติต่อเนื่อง ปรับ หำยใจเขำ้ ออก สติต้งั สติกำหนดลม สำคญั ยง่ิ ต่อ สมำธิสมดุลวริ ิยะ อินทรียใ์ หส้ มดุลในกำร ตำมแบบท่ี หำยใจ กำรมีสติรู้ตวั กำรปฏิบตั ิ ปรับปัญญำสมดุล ปฏิบตั ิวิปัสสนำ กำหนด ตลอด กบั ศรัทธำ กรรมฐำน ๘๑ ฝึ กสำรวม รู้อำกำรตำมธำตุ ๔ ฝึ กหดั อดทน กำหนดตำแหน่ง มีสติเห็นขนั ธ์ ๕ เป็น อินทรีย์ เพ่ือ ปรำกฏชดั ในขณะจิต เวทนำ จง จุดต่ำง ๆ ของ ปัจจุบนั ธรรมในใจ เจริญสติทุก ปัจจุบนั มีสติในกำร สงั เกตควำม ร่ำงกำย โดยใชจ้ ิต อิริยำบถมีควำมส่วน อิริยำบถ ฝึ กรู้ บริโภคอำหำร ขนั ธ์ ๕ จริงจำก กำหนดไปยงั จุด ช่วยใหเ้ พิ่มสติ ปรับ สติสมั ปชญั ญะ เป็นรูปขนั ธใ์ นส่วน เวทนำในกำย ต่ำง ๆ รักษำ อิริยำบถใหเ้ หมำะสม กำหนดรู้กำร ร่ำงกำย เพื่อพิจำรณำ อเุ บกขำในจิตไว้ ญำณ ตวั ช้ีวดั เพ่ือควำม เคลื่อนไหว เห็นเวทนำ เป็นอินทรีย์ ๕ ๘๒ ตอ้ งไม่ขำด กำหนดใหม้ ีสติระลึกรู้ บำเพญ็ เผำ กำหนดรู้ เจริญสติ ฝึ กสติแบบเคล่ือนไหว สมั ปชญั ญะ แม้ ชดั ตลอดเวลำ ฝึ กสติ กิเลสและมี แบบเคล่ือนไหวทำ ทำใหร้ ู้เวทนำ กำย จิต ลกั ษณะจิตเดียว กำกบั ควบคุม สมั ปชญั ญะ ใหอ้ ยกู่ บั ปัจจุบนั ธรรม อิริยำบถ ยืนเดิน มีสติรู้ กำรเกิด ควำมรู้สึก ยืนเดินนง่ั อยตู่ ลอดเวลำ ฝึ กสติตำมรู้กำร นง่ั เป็นกำรปฏิบตั ิ ดบั ของเวทนำ นอน สติอยกู่ บั ปัจจุบนั คือ ผรู้ ู้เวทนำ เคล่ือนไหวกำย เพ่ือใหเ้ กิดปัญญำ ทุกขณะ ขณะ ตระหนกั รู้ตนเอง ท้งั ปวง และจิต พฒั นำสติทำใหม้ ี เห็นสภำวะตำมควำม บุคลิกภำพท่ีมนั่ คง เป็นจริงอำศยั อิริยำบถ นำไปสู่ควำมพน้ ทุกข์ หยดุ ควำมคิด ๘๓ รู้ทนั อำรมณ์ ใชเ้ วทนำจำกร่ำงกำย เบี่ยงเบน วญิ ญำณขนั ธ์ คือ ทุกขท์ ำงใจ มีวิธีคิดเพ่ือ คือ สิ่งที่เขำ้ มำ ใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อ ควำมสนใจ จิตใจ นำจิตไป บรรเทำทุกข์ คือ วธิ ีคิด กระทบกบั ชีวิต กำรมีสติตำมรู้ เมื่อเกิด พิจำรณำ เม่ือพลดั พรำกจำกสิ่งที่ บุคคล ผำ่ น ควำมเจบ็ ปวดท่ีเกิดข้ึน ทุกขเวทนำ สภำวธรรมจนเกิด รัก วิธีคิดเม่ือประสบกบั อำยตนะ ตำ ดว้ ยควำมอดทน แลว้ ปล่อย รู้แจง้ เห็นจริง สิ่งไม่เป็นที่รัก วิธีคิด จมูก ลิ้น กำย ใจ วำง เม่ือไม่ไดส้ ่ิงที่ปรำรถนำ โดยรู้จกั และ เขำ้ ใจอำรมณ์

๒๗๘ ตารางที่ ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ๘๔ กำรสื่อสำรเพ่ือ จดั กำรส่ือสำรตนเอง ควำมมงั่ คง สงั ขำรขนั ธ์ คือ กำรประจกั ษค์ วำมจริง บริหำรจดั กำร เพ่ือบริหำรจดั กำร ทำงอำรมณ์ กำรปรุงแต่ง แทส้ ติปัฏฐำน คือ สติที่ อำรมณ์ อำรมณ์ ประสบกำรณ์ จนเกิดปัญญำ ควำมคิด รู้เท่ำทนั ประกอบดว้ ยปัญญำ โดยตรง พูดคุย ผปู้ ฏิบตั ิสร้ำงแรง เขำ้ ใจธรรม วิ ควำมคิดตนเอง อยู่ เป็น ควำมคิด กบั ตนเองดว้ ย บนั ดำลใจ คอยเตือน เนยฺย โลเก เหนือควำม ประกอบดว้ ยปัญญำคือ ควำมเมตตำ ตวั เองเสมอ จงพฒั นำ อภิชฌำ โท โศกเศร้ำ คร่ำ หนทำงแห่งกำรพน้ ทุกข์ ปัญญำ ควำมรู้แจง้ อยู่ มนสฺส ครวญ ควำมรอบรู้เรื่องท่ีกำลงั กบั ควำมจริงเกิดดบั ปฏิบตั ิ ๘๕ กำรระลึกรู้ใน รู้จกั ใชส้ ติ ใชป้ ัญญำ กำหนด กำรทำงำนของจิต กำลงั ใจจำกภำยในคือ อำรมณ์ที่ อนั เกิดจำกกำรปฏิบตั ิ เวทนำจะเห็น และอำรมณ์ โยนิโสมนสิกำร ควำม เป็นไปในสติ กำรปฏิบตั ิกรรมฐำน อำกำรเวทนำ ควำมรู้สึก จิตใจ สงบทำงจิตภำยใต้ กำร ปัฏฐำน ตอ้ งมี คือ กำรฝึ กจิต ดว้ ย ต่ำง ๆ ปรุง ผอ่ งในสะอำด สอนประยกุ ตใ์ ชส้ ติใน สมั ปชญั ญะทุก สมั ปชญั ญะ จิตสงบ แต่ง สวำ่ งสงบ ชำระจิต ชีวิตประจำวนั ขณะข้นั ตอน และเกิดปัญญำ ตลอดเวลำ ใหบ้ ริสุทธ์ิอยำ่ ง แทจ้ ริง ๘๖ สติ มี จิตมีอิทธิพลต่อวตั ถุ ปฏิบตั ิต่อ จิตส่วนที่รับรู้ จงต้งั สติมนั่ คงอยดู่ ว้ ย ควำมสำคญั ให้ ขนำดใหญ่ กระเพื่อม เรื่องที่เกิดข้ึน เรียกวำ่ วิญญำณ ปัญญำ กระบวนกำร มีสติดว้ ยกำรฝึ ก ของอำวกำศโดยรอบที่ ดว้ ยควำม จิตคือสำรที่เป็น ฝึ กอบรมจิตเจริญ จิตภำวนำ จิตอยู่ เฝ้ำสงั เกตส่ิงที่ เป็นจริงท่ี นำมธรรม คือ วปิ ัสสนำ โดยสมถะเป็น พิจำรณำ สติ เกิดข้ึน ในกำยอยทู่ ุก ปรำกฎ มีสติ ควำมคิด สมำธิ บำท จิตภำวนำสัมพนั ธ์ เฝ้ำดูควำมจริงที่ ขณะต่อเนื่อง จิต รู้เวทนำไม่ แปลวำ่ ควำมมนั่ คง ทำงบวกกบั สติ เป็นกลำง เจริญ วิญญำณโดยตวั เอง ปรุงแต่งตอบ ของจิต สติมีอยู่ สติอยำ่ ง บริสุทธ์ิ แต่สังขำรปรุง โต้ เวทนำ ตอ้ งรู้ชดั วำ่ สติมีอยู่ ต่อเนื่อง อยู่ แต่ง สัญญำประเมินค่ำ ในจิตใจ ตลอดทุก ๆ ตลอดเวลำ ขณะ ๘๗ ฝึ กกสินเป็น กำรใชม้ นโนยทิ ธิ คือ กำรเกิดข้ึน สติยบั ย้งั ไม่ใหจ้ ิต เตรียมจิตใหอ้ ยใู่ นสภำพ กรรมฐำน ฝึ ก กำรมีฤทธ์ิทำงใจ คือ ตำมเหตุ ปรุงแต่งดว้ ย พร้อมทำปัญญำพิจำรณำ จิตใหถ้ ึงฌำน กำรรู้เห็น สมั ผสั ตำม ปัจจุบนั รู้ อกศุ ลกรรม คลำยควำมยึดมน่ั ถือมน่ั ไดเ้ ร็ว ควำมเป็นจริง แจง้ รู้สุภำวะจิตกำลงั ใหเ้ กิดปัญญำเห็นแจง้ วปิ ัสสนำ สมถกรรมฐำนเป็น ธรรมชำติ อยใู่ นภำวะกศุ ล ควำมควำมเป็นจริง ของ กรรมฐำนเป็น บำทฐำนมโนยิทธิโดย ชีวติ อกศุ ล รูปนำม โดยพิจำรณำ เหตุเกิดปัญญำ ใชอ้ ำรมณ์สมถะ กำยเวทนำจิตธรรม

๒๗๙ ตารางที่ ๔.๒๔ (ต่อ) กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) M รูปแบบ ตำมรู้สภำวธรรมที่ กำหนดทวำร ภวงั คจิต เกิดดบั ปัญญำภำวนำเขำ้ ใจชีวติ ๘๘ ฝึ กจิตใหเ้ กิด ปรำกฏ จิตปัจจุบนั ๖ เป็นกลำง วธิ ีแห่งกำรเรียนรู้ ตำมหลกั ไตรสิกขำ อภิญญำ ผนู้ ำ ตำมรู้เวทนำ พฒั นำตำ ตำม กำรใคร่ครวญ ลกั ษณะอนิจจงั ทุกขงั จิตวิญญำณ มี ทิพยส์ ำมำรถมองเห็น ธรรมชำติ เฝ้ำ ควำมเป็นจริง ทำ อนตั ตำ จะคิดไดเ้ มื่อ ควำมกำ้ วหนำ้ ส่ิงท่ีอยใู่ นร่ำงกำย สงั เกต กำร ใหเ้ กิดพลงั งำน เห็นดว้ ยตนเอง กำร สูงจะรับรู้ อนั มีหนงั หุม้ อยู่ กระทบ ควำมสั่นสะเทือน เกิดข้ึนของรูป ดบั ไป ควำมรู้สึกของ โดยรอบไดท้ ุกส่วนทุก อำยตนะ สญั ญำประเมินค่ำ ของรู้ ประจกั ษก์ บั ผอู้ ื่น กระแส เซลล์ ภำยนอกใน ปรำกฎกำรณ์ท้งั หมด ควำม จิตมีพลงั ควบคุม ดว้ ยตนเอง สน่ั สะเทือน เจริญจิตภำวนำ มีสุข เช่ือมโยง กำย จิต ทำงำน คลื่นท่ีเกิดจำกจิตสร้ำง ๘๙ สร้ำงกำรเรียนรู้ ภำวะแบบองคร์ วม สรรพส่ิงให้ แบบอำศยั ซ่ึงกนั สอดแทรก คล่ืนท่ีอยใู่ น กำร ดูแลร่ำงกำยและจิตใจ มำกข้ึน มี และกนั เกิด อนุภำคได้ ปรำกกฎ เปล่ียนแปลง ใหส้ มดุลสอดคลอ้ งสติ สมั ปชญั ญะ วปิ ัสสนำญำณ กำรณ์ทำใหอ้ วกำศเกิด ภำยใน ระดบั ปัฏฐำน ๔ คิดนอ้ ม ทุกขณะ ปัญญำดว้ ย คล่ืนท่ีมีควำมถ่ี อุปทำน ฝังลึก มำถึงตวั เรำเอง ตอ้ งเกิด พยำยำมรู้ วิปัสสนำจนถึง คือ ควำมยึดมน่ั ถือมนั่ ดบั กบั ร่ำงกำย เหมือน เวทนำไม่วำ่ รำกเหงำ้ ของกิเลส อุปทำนขนั ธ์ ๕ คือ ๙๐ อำนำปำนสติ คนอื่น ๆ คลำยควำม ทำกิจกรรม ควำมยึดมน่ั ถือมนั่ กบั เขำ้ ออกฌำน ยึดมน่ั ถือมนั่ ใด ตระหนกั ภำวะจิตเขำ้ ถึง ขนั ธ์ ๕ ท่ีต้งั แห่ง ชำนำญเป็ น รู้กำรเกิดดบั ฌำน ทำฌำนให้ อุปทำน กำลงั เจริญ กำหนดพิจำรณำกำย เวทนำ คลอ่ งตอ้ งกำหนด วิปัสสนำ เวทนำ จิต ธรรม ครบ กำหนดตำม รูปนำม ฌำนอนั ฌำนหรือสมำธิอนั แน่ว ๔ ดำ้ น กำหนดรูปนำม อำกำรท่ีจิต วสิ ยั ของโลก ยงั แน่เป็นโลกิยฌำน นำรูป เพื่อใหเ้ ห็นไตรลกั ษณ์ เสวยอำรมณ์ เวียนวำ่ ยตำยเกิดอยู่ นำมมำปฏิบตั ิ วปิ ัสสนำ ตำมควำมเป็ นจริ ง ใหส้ ติไปรู้ ในโลกต่ำง ๆ เป็ นอำรมณ์เจริ ญสติใน ควำมรู้สึกทำงกำย อำรมณ์อยำ่ ง กำย เวทนำ จิต ธรรม (เวทนำ) กำรกำหนด ต่อเน่ือง เกิดควำมหยงั่ เห็น หมำย (สญั ญำ) กำร ปัญญำญำณ ปัญญำเห็น ปรุงแต่งตอบโต้ จริง ทำใหก้ ิเลสถูกขจดั (สงั ขำร) ควำมรู้ ออกไปเรื่อย ๆ จนข้นั มี อำรมณ์ (วิญญำณ) แต่ควำมสงบภำยใน

๒๘๐ ตารางที่ ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ๙๑ อำนำปำนสติ ทำตอ้ งมีสติอยกู่ บั ลม อำศยั ควำม ใชว้ ิปัสสนำญำณ ครอบคลุมสติปัฏฐำน เป็นเคร่ืองมือ หำยใจตลอดเวลำ เดิน รู้สึกตวั ท่ีกำย ๑๖ เป็นกรอบกำร สูตร เจริญสมถะนำหนำ้ รวบรวมสติ ให้ ยนื นง่ั นอน อื่น ๆ (เวทนำ) เป็น ตรวจสอบ กำหนดรูปนำมโดยกำร จ่อดจ่อแน่วแน่ ตอ้ งมีสมั ปชญั ญะ สื่อ กำหนด ควำมกำ้ วหนำ้ ทำง บริกรรม สมถะช่วยฝึ ก ถึงสมำธิ ข้นั ลึก ตลอดเวลำ เฝ้ำดูลม ปัจจุบนั จิต วิปัสสนำ ลึกลง สติหนกั แน่น ไมว่ ำ่ ฐำน มำก ๆ ฌำน ๑- หำยใจเขำ้ ออก อำรมณ์ ตำม ไปถึงท่ีสุด ของจิต กำย เวทนำ จิต ธรรม ๔ ธรรมชำติ ฝึ กควำม รู้เวทนำ และรำกเหงำ้ กิเลส เม่ือปฏิบตั ิกำ้ วหนำ้ ไป มนั่ คงของสติ ควำม ถกู ถอนออกไป เรื่อย ๆ ท้งั ๔ ส่วนมำ รู้สึกตวั อยกู่ บั กำร ขจดั กิเลสในส่วนที่ รวมเขำ้ ดว้ ยกนั เอง เคล่ือนไหวอิริยำบถ ลึกท่ีสุดของจิตใจ สำรวมกำรพูด ปฏิบตั ิ จิตไมป่ รุงต่ำงไม่ ใหม้ ำ สงั เกตลมหำยใจ วำ่ รำคะ โทสะ เขำ้ ออกดว้ ยควำมีสติ โมหะ เม่ือปฏิบตั ิ ไมบ่ งั คบั ลมหำยใจ สมำธิส่วนลึก ๙๒ กรรมฐำนมีผล สงั เกตควำมเป็นจริง ฝึ กสติให้ จิตมีวิญญำณขนั ธ์ สติเป็นหวั ใจ ต่อกำรทำงำน ของร่ำงกำย ของ เขม้ ขน้ พิจำรณำกำหนด พระพทุ ธศำสนำ ของอวยั วะ ควำมรู้สึก ท่ีเกิดข้ึนใน เพื่อใหห้ ยดุ อำกำรต่ำง ๆ ของ กรรมฐำนเป็นหวั ใจ ต่ำง ๆ ของ ร่ำงกำย วำ่ ร่ำงกำยเป็น ควำมรู้สึก จิต สิ่งท้งั หลำย พระพทุ ธศำสนำ สติรู้ ร่ำงกำย กลุ่มกอ้ นแน่นทึบ ทุกอยำ่ ง กำร ภำยในจิต อำรมณ์ กำรเกิดดบั ของเวทนำรู้ ประกอบอนุภำค สวนมนต์ ทุกชนิดเกิดข้ึนใน อนิจจงั ตลอดเวลำ ปรมำณู กลำปะ เกิดข้ึน ตอ้ งมีสติรู้ จิต ลว้ นปรำกฎ แลว้ ดบั ไป รักษำ เวทนำ พร้อม ออกมำเป็น เวทนำ ควำมรู้สึก (เวทนำ)ที่ ท้งั รู้ อนิจจงั หรือ ควำมรู้สึกทำง เกิดข้ึน ณ ร่ำงกำย ตำม ทุกขงั กำย ควำมเป็นจริงท่ีเกิดข้ึน อนตั ตำ แต่ละขณะ ชดั เจน ๙๓ ฝึ กทำจิตเป็นผู้ ร่ำงกำยไม่เคลื่อนไหว สมำธิมำกพอ สิ่งท่ีจิตนึกคิด คือ ปัญญินทรีย์ คือ ปัญญำ ดูเท่ำน้นั ต้งั สติ ใด ๆ มีลมหำยใจ กำหนด อำรมณ์ทำงใจ ในกำรรู้ตำมควำมเป็น ใหต้ รงสภำวะ เท่ำน้นั เคลื่อนไหว เขำ้ เวทนำ เวทนำ (ธรรม) หยดุ จริงของอำรมณ์ ปัจจุบนั ออกเรียกวำ่ กำยสงั ขำร หำยไปเอง ควำมคิดคือสติอยู่ กรรมฐำน ระงบั เป็นฝึ กตนเป็นผู้ ดว้ ยสมำธิ กบั ปัจจุบนั จิตปรุง ดูวำงเฉย ปล่อยวำง แต่งสังขำรดว้ ย ควำมชอบไม่ชอบ

๒๘๑ ตารางท่ี ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ๙๔ สอบทำน ปฏิบตั ิธรรมเพื่อพฒั นำ เวทนำ ชำระจิตส่วนลึก หำควำมรู้ปริยตั ิใหเ้ ขำ้ ใจ ระหวำ่ งปริยตั ิ สติพิจำรณำกำย อดทน ประจกั ษ์ ตอ้ งเฝ้ำดูสงั เกตดู ก่อนปฏิบตั ิ แลว้ ใหว้ ำง และปฏิบตั ิ ต่อเวทนำ กำหนด ควำมจริงจำก ควำมจริงท่ีเกิดข้นั ปริยตั ิเพรำะเป็น เช่ือมโยง อำรมณ์ชดั สุดของ ควำมรู้สึก กำยและใจ กำย อุปสรรคต่อกำรปฏิบตั ิ รูปแบบกำร ทวำร ๖ ตลอดเวลำทำ ทำงกำย อยำ่ งเดียวไม่อำจ ศึกษำ กำรจดั กำรควำมรู้ ปฏิบตั ิเป็น ต่อเน่ือง กระแสแห่ง ไมใ่ ช่ รับรู้เวทนำได้ ตอ้ ง ของครูบำอำจำรย์ แนวทำง ควำมส่ันสะเทือน จินตนำกำร อำศยั จิตเป็นตวั เดียวกนั ไหลเวียนในร่ำงกำย คิดเอำเอง รับรู้ จิตรับรู้ ควำมรู้สึกท่ีเกิดข้ึน ท่ีร่ำงกำย ๙๕ กำหนดพฒั นำ สงั เกตดูลมหำยใจไป ธรรม กำรเฝ้ำดูควำมไม่ กำรปฏิบตั ิ เป็นควำม สภำวธรรม คือ เร่ือย ๆ เฝ้ำดู จิตจะ ท้งั หลำยมี บริสุทธ์ิกิเลส หลุดพน้ ควำมรู้แจง้ เห็น กำหนดสติปัฏ สงบเป็นไปตำม เวทนำเป็น ต่ำง ๆ อยโู่ ดยกฎ จริง ธรรมประจกั ษด์ ว้ ย ฐำน รู้ชดั ควำม ธรรมชำติ ควำมจริงรูป ศูนยร์ วม สิ่ง ธรรมชำติ ทนั ทีที่ ควำมจริงของส่ิงท่ีอยู่ จริงจำกทวำร นำมกำลงั ปรำกฏใน ท้งั หลำยท่ีใจ รู้ตวั ขอใหน้ ำจิต ภำยในใจ กฎธรรมชำติ กำรรับรู้ โครงสร้ำงร่ำงกำย นึกคิดจะไหล กลบั มำจดจ่ออยทู่ ี่ กฎรูปนำม ประจกั ษ์ อำรมณ์วิปัสสนำ คือ รวมไปกบั ลมหำยใจใหม่ ควำมจริงในระดบั สภำวะรู้แจง้ ในอำรมณ์ เวทนำ ยอมรับควำมจริงวำ่ เชำวน์ปัญญำ ตอ้ ง ควำมรู้สึก จิตล่องลอยไป ให้ สำรวจจำกส่ิงท่ีประสบ ทำงกำย เริ่มตน้ ใหม่ ดว้ ยตนเองเป็นอยำ่ งไร ๙๖ สภำวธรรมเป็น อำตำปี บำเพญ็ เพียร รู้แจง้ ใน ขนั ธ์ ๕ ปัญญำรู้ใน อนิจจงั ทุก สญั ญำขนั ธ์ อยำ่ งแรงกลำ้ ดว้ ยสติ ธรรมชำติท่ี ประกอบดว้ ยตวั เรำ ขงั อนตั ตำ เป็นควำมรู้ และสังขำรขนั ธ์ สติจะสมบูรณ์ เม่ือ เป็นของจริง รูปขนั ธ์(รูป) นำม จำกประจกั ษด์ ว้ ยตนเอง ตำมสภำวธรรม ปัญญำเขำ้ ร่วม เวทนำ พิจำรณำ ขนั ธ์ ไดแ้ ก่ ประสบกำรณ์ควำมจริง เป็นควำมรู้สึกทำงกำย อำรมณ์ ท่ี วญิ ญำณขนั ธ์(กำร แท้ ดว้ ยตนเองแลว้ เป็นเพียงกระแส เกิดข้ึน รับรู้) สญั ญำขนั ธ์ บรรลุธรรมได้ สนั่ สะเทือนท่ีเกิดดบั อเุ บกขำกบั (กำหนดหมำย) อยำ่ งรวดเร็วทว่ั ร่ำงกำย ควำมชอบ เวทนำขนั ธ์ ควำมชงั เมื่อ (ควำมรู้สึก) สงั ขำร ประสบ ขนั ธ์ (กำรปรุงแต่ง) เวทนำ

๒๘๒ ตารางที่ ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ๙๗ ฝึ กหดั ควบคุม ใชค้ วำมคิดพิจำรณำดู ตำมรู้เวทนำ จิตประจกั ษค์ วำม วปิ ัสสนำสติอยกู่ บั กำร จิต ฝึ กสมำธิให้ ร่ำงกำย ประกอบไป ตลอดทวั่ ร่ำง จริงภำยในจิต เกิดดบั อยู่กบั อนิจจงั ถูกตอ้ ง พฒั นำ ดว้ ยอะไรบำ้ ง ธำตุ เวทนำมี ควำมสุขเป็น ทุกเวลำ ปัญญำแทงทะลุ สมำธิทำจิตให้ มนสิกำร สงั เกตภำยใน ควำมสำคญั อนิจจงั เกิดข้ึนแลว้ ควำมจริงท่ีสมมติกนั อยกู่ บั ควำมจริง โครงสร้ำงในร่ำงกำย ย่ิง เป็น ดบั ไป เป็นเพียง ข้ีนมำ เขำ้ สู่ควำมจริงแท้ ที่ปรำกฏต่อ ตน ศีรษะไปถึงเทำ้ ควำมรู้สึก กระแสคลื่นเลก็ ๆ ตวั เอง เม่ือหำยใจออกคร้ัง ทำงกำย ฟองอำกำศเกิดข้ึน หน่ึง จำกเทำ้ ไปยงั แลว้ ดบั ไป ศีรษะหำยใจเขำ้ คร้ัง หน่ึง ติดตำมร่ำงกำย ตลอดทุกส่วน ๙๘ ลมหำยใจคือ สำรวจร่ำงกำย สำรวจ ทุกเส้นทำง ลกั ษณะจิตเดียว เร่ิมกำย เวทนำ จิต ธรรม ธรรมชำติของ ควำมรู้สึกของร่ำงกำย กำรปฏิบตั ิ คือ ผรู้ ู้เวทนำทุก เขำ้ สู่จุดหมำยคือ พระ ส่ิงมีชีวิต ท่ีตอ้ ง (เวทนำ) ไปพร้อม ๆ ธรรมรวมอยู่ ชนิด มีควำมเขำ้ ใจ นิพพำน ประจกั ษด์ ว้ ย กนั กำรเฝ้ำดูควำมจริง ท่ีเวทนำ เวทนำอยำ่ ง สำรวจสำเหตุแห่งควำม ตนเอง กำยในกำย ควำมรู้ชดั กำจดั ควำม ครบถว้ นยอ่ มำ ยดึ มนั่ ท้งั หลำย ๑)รูปคือ สงั เกตประจกั ษค์ วำม ยนิ ดียินร้ำย บรรลุธรรม ร่ำงกำย ๒)จิตคือนำม จริง จิตใจของเรำ ๙๙ อำนำปำนสติ สงั เกตเห็นควำมจริงท่ี สติปัฏฐำน ๔ จิตเป็นอุเบกขำต่อ กฎธรรมชำติเป็นสำกล คือ กำรเฝ้ำ เกิดข้ึนภำยในร่ำงกำย ตอ้ งมีเวทนำ ควำมรู้สึก หรือ ประจกั ษ์ เขำ้ ใจ ดว้ ย สงั เกตดูควำม เห็นควำมจริงดบั ไป เป็นรำกฐำน เวทนำทุกชนิดที่ได้ ตนเอง คำสอนตอ้ ง จริง จำก ลม ดว้ ย สำรวจรูป(กำย) ถำ้ ไม่มี พบ ไดร้ ับกำรพิสูจนไ์ ดด้ ว้ ย หำยใจ คือ สติ จะรู้สึกถึงเวทนำ เป็น ควำมรู้สึก ตนเอง ประจกั ษร์ ู้แจง้ ควำมรู้สึกทำงกำยดว้ ย ทำงกำย เห็นจริง เฝ้ำสังเกต กำย (เวทนำ) เวทนำ จิต ธรรม ตอ้ งไป เกิดข้ึน ควำม พร้อมดว้ ย “อำตำปี ยนิ ดียนิ ร้ำย สมั ปชำโน สติมำ” จะไมเ่ กิดข้ึน

๒๘๓ ตารางที่ ๔.๒๔ (ต่อ) M รูปแบบ กาย (K) เวทนา (V) จิต (C) ธรรม (D) ๑๐๐ วปิ ัสสนำคือสติ สติคือควำมระลึกรู้ สติ เวทนำเมื่อ สิ่งท่ีใจนึกคิดเป็น สร้ำงแรงบนั ดำลใจใน ปัฏฐำน ปัฏฐำน คือ กำร สำรวจจิต ธรรม ส่ิงท่ีอยู่ใน กำรปฏิบตั ิอยำ่ งจริงจงั ควำมหมำย ประจกั ษก์ บั ควำมจริง และสิ่งที่จิต จิต กำรสำรวจ ภำวนำมยปัญญำ เป็น เหมือนกนั ทุกชนิด เก่ียวกบั จิต นึกคิด คือ จิตใจตอ้ งใช้ ธรรม ปัญญำที่เกิดจำกกำร (นำม) และกำย (รูป) อำรมณ์ทำง จิต ตอ้ งไปดว้ ยกนั ประจกั ษก์ บั ควำมจริง ภำยในร่ำงกำย มีควำม ใจ หรือธรรม ดว้ ยตวั เอง ท่ำนได้ เขำ้ ใจที่ถูกตอ้ งดว้ ย ประจกั ษค์ วำมจริงดว้ ย ปัญญำ ตนเอง ซ้ำแลว้ ซ้ำเล่ำ เป็นกำรพฒั นำปัญญำ จำกประสบกำรณ์ โดยตรง จำกตำรำงท่ี ๔.๒๔ แสดงรูปแบบกำรเขำ้ ถึงปัญญำเร่ืองมหำสติปัฏฐำน ๔ จำนวน ๑๐๐ รูปแบบ จำแนกเป็ น กำย เวทนำ จิต ธรรม นำไปสู่กำรสร้ำงบทสรุปฐำนแต่ละฐำน เพ่ือนำไปปฏิบตั ิตำมแนวทำงสติปัฏฐำน จำกกำรเก็บ ขอ้ มูลต้งั แต่ แบบสอบถำมเพ่ือทำกำรสำรวจ จำนวน ๔๐ รูป/คน แบบสมั ภำษณ์ที่ไดข้ อ้ มูล จำนวน ๒๗ รูป/คน และ เป็นกรณีศึกษำ ๓ กรณีกรณีศึกษำ หลกั กำรบูรณำกำรแบบวิทยำศำสตร์ สุขภำพ SKT หลกั NLP กำรปฏิบตั ิธรรม ตำมแนวทำงท่ำนโกเอ็นกำ้ จำกบทสรุป แลว้ นำมำเรียบเรียง ประมวลผล วิเครำะห์ และสังเครำะห์ จะพบว่ำ เป็ น รูปแบบกำรเขำ้ ถึงปัญญำเร่ืองมหำสติปัฏฐำน ๔ โดยขอ้ มูลจำกตำรำง ไปเขียนเป็นรูปแบบ ๑-๑๐๐ และบทสรุปแต่ ละฐำนกำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำน (กำย) ฐำนเวทนำนุปัสสนำสติปัฏฐำน (เวทนำ) ฐำนจิตตำนุปัสสนำสติปัฏฐำน (จิต) และฐำนธรรมำนุปัสสนำสติปัฏฐำน (ธรรม) ดงั นำเสนอในบทที่ ๕ ต่อไป

๒๘๔ บทที่ ๕ สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ สรุปผลการวจิ ัย จากการศึกษาเน้ือหาสาระพระสูตรเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เน้ือหามากและละเอียดมาก ลึกซ้ึง มาก ส่วนงานศึกษาไดม้ าซ่ึงปัญญาในระดบั (๑)ปัญญาสุตมยปัญญา ที่เกิดจากศึกษาเล่าเรียน การฟัง การอ่าน (๒)ปัญญาจิตตามยปัญญา ที่เกิดจากการคิดคน้ การตรึกตรอง เท่าน้นั แทจ้ ริงเรื่องสาระมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นการศึกษาปัญญาระดบั (๓)ปัญญาภาวนามยปัญญา ท่ีเกิดจากการอบรมจิตการเจริญภาวนา ตอ้ งมีการ ปฏิบตั ิจึงจะอธิบายการสร้างปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญาอย่างแจ่มแจง้ ตอ้ งมีการปฏิบตั ิต่อเนื่อง จาก ผลการวจิ ยั ทาใหผ้ ศู้ ึกษาวจิ ยั พบวา่ ปัญญาการเขา้ ถึงเรื่องมหาสติปัฏฐาน ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑) ปัญญาจริงแท้ ลกั ษณะรูปแบบเป็ นปัญญาเกิดจากการปฏิบตั ิบาเพ็ญ การฝึ กฝนสะสมความ ชานาญประสบการณ์การปฏิบตั ิแบบสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เป็ นปัญญานาไปสู่การพน้ ทุกข์ แทจ้ ริง สติท่ีต้งั มน่ั อยใู่ นปัญญาท่ีเขา้ ใจความจริงตามธรรมชาติอนั แทจ้ ริง เขา้ ใจความเป็ นจริงทุกขณะจิตเกิด ดบั เห็นไดต้ ามทนั เห็นไตรลกั ษณ์ตลอดเวลา คือ ภาวนามยปัญญา เป็ นปัญญาจากพระสูตรเรื่องสติปัฏฐาน ๔ แทจ้ ริง ความจริงแทจ้ ากการไดป้ ระจกั ษด์ ว้ ยตนเอง เห็นตามลกั ษณะความไม่เที่ยง อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา พบ ความจริงสูงสุดไมม่ ีการเกิดดบั เป็ นความจริงเหนือประสาทสัมผสั การประจกั ษค์ วามจริงแท้ คือ นิพพานเป็ น ความจริงนิรันดร์เหนือขอบเขตจกั รวาล ๒)ปัญญาเกือบเป็ นจริง ลกั ษณะรูปแบบ เป็นการฝึกฝนปฏิบตั ิควบคู่ไปกบั การเรียนรู้แนวคิด ทฤษฎี ไปดว้ ยกนั อย่างควบคู่ ปรับสภาพการเรียนรู้การเขา้ ถึงปัญญาไปพร้อมกนั ดว้ ย เล่าสู่บุคคลอื่นไดบ้ างส่วน ความเป็ นจริง แต่ยงั ไม่เป็ นปัญญาแทจ้ ริง การอธิบายขยายความในพระสูตรนาแนวคิด ทฤษฎี และปฏิบตั ิมา ผสมผสานเพ่ือเกิดประโยชน์ แหล่งท่ีมาของรูปแบบปัญญาจากตกผลึกความคิดท่ีไดค้ น้ คิด เป็ นผบู้ รรยาย ธรรมที่มีความรู้ความเขา้ ใจเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จากแนวบูรณาการศาสตร์การนาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ไปบูรณาการกบั ศาสตร์สมยั ใหม่ หรือนาไปประยกุ ตใ์ ช้ และแนวคาสอนครูบาอาจารย์ เนน้ แนวทางการ ปฏิบตั ิและเชื่อมโยง แนวคิด หลกั การ และวธิ ีการคาสอน คาสอนครูบาอาจารยอ์ ธิบายเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ปัญญาสุตมยปัญญา ท่ีเกิดจากศึกษาเล่าเรียน ปัญญาจิตตามยปัญญา ท่ีเกิดจากการคิดคน้ การตรึกตรอง เท่าน้นั หากเพ่ิมปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญา โดยการใชป้ ฏิบตั ินาทาง ความจริงสมมติ เรียกวา่ บญั ญตั ิ ปิ ดกล้นั การเขา้ ถึงความจริงแท้ ๓) ปัญญาที่คาดว่าจะเป็ นจริง ลกั ษณะรูปแบบเป็ นความคิดเห็นไม่ใช่เป็ นปัญญาแทจ้ ริง เป็ นเพียง ความคิดเห็นท่ีเกิดจากการคิดพิจารณาท่ีเรียกวา่ จินตมยปัญญา หรือ สุตมยปัญญา หมายถึง ปัญญาเกิดจาก การสดบั ฟัง จากการเล่าเรียน และรวบรวมการตกผลึกเพ่ือไปสู่ปัญญาแห่งความจริงแทต้ ามเร่ืองมหาสติปัฏ ฐาน ๔ เป็นไปตามแนวทางที่คิดวา่ ควรจะเป็ น แหล่งท่ีมาของ รูปแบบปัญญาจากเอสารตาราต่าง ๆ หนงั สือ

๒๘๕ ต่าง ๆ พระไตรปิ ฎก หรือ หนงั สือเกี่ยวกบั มหาสติปัฏฐาน อา้ งพระไตรปิ ฎก คมั ภีร์ ตารา เป็ นลายลกั ษณ์ อกั ษร อา้ งอิงคาบาลีเพื่ออธิบายความ เน้ือหาสาระ ลกั ษณะปัญญาสุตมยปัญญา ที่เกิดจากศึกษาเล่าเรียน และปัญญาจิตตามยปัญญา ที่เกิดจากการคิดคน้ การตรึกตรอง เท่าน้นั การอนุมาน ตรรกะ เป็ นความจริงที่ เกิดจากการคาดการณ์ เอาเอง ไม่ใชค้ วามจริงแท้ จะหลุดพน้ จากความทุกขไ์ ดด้ ว้ ยการปฏิบตั ิเทา่ น้นั ไมใ่ ช้ การพูดอภิปราย เป็นเชิงปรัชญา ดงั น้ัน ปัญญาเป็ นสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา มาจากการตกผลึกความคิดคน้ อาจไม่มีปัญญา ภาวนามยปัญญา ได้เพียงปัญญาที่เป็ นระดับเชาวปัญญา ดังน้ัน ปริยตั ิเป็ นแนวคิด ทฤษฎี ความรู้ใน ระดบั เชาวปัญญาเก่ียวกบั คาสอนธรรมเท่าน้นั ท่ีสืบเนื่องจากสุตมยปัญญาและจินตมยปัญญา เฉพาะการ เขา้ ถึงปัญญาเน่ืองจากการนาไปประยุกตใ์ ช้ มหาสติปัฏฐาน ๔ เมื่อปฏิบตั ิไปถึงท่ีสุดแลว้ เขา้ ไปลึก ๆ จะ รวมเขา้ ดว้ ยกนั ปฏิบตั ิซ้าแลว้ ซ้าเล่า ส่วนหนทางเดินตอ้ งเดินทางดว้ ยตนเอง ตอ้ งประสบความจริงภายใน ตนเองด้วยตนเอง ซ่ึงถา้ ไม่มีการปฏิบตั ิแล้วไม่มีทางเขา้ ใจคาสอนที่แทจ้ ริงที่นาไปสู่ทางหลุดพน้ ทาง นิพพาน หากแต่ประโยชน์ปริยตั ิ หรือ แนวคิด ทฤษฎี จะทาให้มน่ั ใจการปฏิบตั ิว่าเป็ นแนวทางวิธีการ ปฏิบตั ิท่ีถูกตอ้ งอยา่ งพระพุทธองคต์ อ้ งการใหป้ ฏิบตั ิท่ีสอน การเขา้ ใจในธรรมผปู้ ฏิบตั ิ จึงสร้างแรงบนั ดาล ใจ ศรัทธา สู่การปฏิบตั ิอยา่ งมอบกายถวายชีวติ ต่อไป ใหป้ ระจกั ษค์ วามจริงดว้ ยตนเอง ๕.๑) บทสรุปรูปแบบการเข้าถงึ ปัญญาฐานกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน (ฐานกาย) ฐานกายเป็ นท่ีต้งั ของความรู้สึก ปฏิบตั ิธรรมที่ประชุมแห่งความจริง ฝึ กพิจารณาฐานกายเป็ น พ้ืนฐานนาสู่เวทนา จิต ธรรม โดยสติ ดูลมหายใจเคล่ือนไหว อิริยาบถเคล่ือนไหว กาหนดจดจ่อต่อเน่ือง เห็นการเกิดดบั เขา้ ถึงปัญญา หลกั การปฏิบตั ิเนน้ ภาวนาบริกรรม ปฏิบตั ิจิตสงบต้งั มนั่ แลว้ ยกข้ึนพิจารณา องคธ์ รรม คาบริกรรมจะหายไปเอง ระลึกรู้ลมหายใจเขา้ ออกใชว้ ิธีการอื่นแทนคาบริกรรมไดเ้ หมือน โดย ใชส้ ติกาหนดอารมณ์ เพ่ือใหจ้ ิตสงบ การเจริญอานาปานสติ กาหนดลมหายใจ ทาใหจ้ ิตสงบ จิตต้งั มนั่ เป็ น สมาธิ สติแข็งแรง จบั ลมหายใจเขา้ ออกจนสติแนบแน่น อานาปานสติดีท่ีสุด ฐานกายหมวดลมหายใจรู้ชดั ทาใหก้ ายสงบ มีสติระลึกรู้ชดั เหมาะสมกบั ชีวติ ประจาวนั พจิ ารณาใหเ้ กิดปัญญาได้ รู้อารมณ์ท่ีเกิดข้ึนตาม ความเป็นจริง วธิ ีการปฏิบตั ิลกั ษณะ ๑)วธิ ีสมาธิแบบธรรมชาติ ๒)วธิ ีแบบแผนเทคนิควิธีเพื่อเป็นอุบายให้ เกิดสมาธิ เดินจงกรม กาหนดลมหายใจ ใชค้ าภาวนากาหนดลมหายใจพร้อม“พุทโธ” รูปแบบเร่ิมตน้ ตอ้ งมี คาบริกรรม จิต คือ เป็ นผูด้ ู ผูร้ ู้ ผูร้ ู้สึกตวั จิตเป็ นกาลงั พฒั นาอริยสัจ หยงั่ รู้ในฌาน เห็นไตรลกั ษณ์ มีสติ ระลึกรู้ “พุทโธ”เป็ นสมถะ แบบธรรมชาติ แบบเทคนิค ไดส้ มาธิเหมือนกนั พิจารณาร่างกาย เป็ น ธาตุ ๔ ขนั ธ์ ๕ ศีล ๕ เป็นพ้นื ฐานสมาธิ กาหนดเรียกสติมา คือตวั ระลึกรู้ สมั ปชญั ญะ คือ ตวั ปัญญา การรู้ตวั คือ ตวั ปัญญา บรรลุธรรมได้ เห็นเคล่ือนไหวไปทุกคร้ัง ปัญญากาหนดขนั ธ์ ๕ สร้างพละ ๕ (ศรัทธา ปัญญา วิริยะ สมาธิ สติ) อานาปานสติสาคญั ควรฝึ กฝนเน้นอานาปานสติ กาหนดจิตอยู่กบั ลมหายใจ ฝึ กสติอยู่ที่กาย ลม หายใจเขา้ ออกตามธรรมชาติ โดยเฉพาะอิริยาบถนง่ั ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวดูเพียงลมหายใจเขา้ ออก ถา้ สติรู้ ฟุ้งซ่านดึงกลบั มาอาศยั คาบริกรรม“พุท โธ”เป็นธรรมชาติจดั เป็ นสมาธิ เคร่ืองมือใชฝ้ ึกสติ คือ“คาบริกรรม”มี ผลต่อลมหายใจเขา้ ออกอย่างละเอียด มีสติคุมกาหนดลมหายใจ การกาหนด “ยุบหนอพองหนอ” ทาให้เกิด

๒๘๖ สภาวธรรม แนวฝึกกรรมฐานท่อง“พุทโธ”หายใจเขา้ “พทุ ”หายใจออก“โธ” รูปแบบภาวนา“พุทโธ”แลว้ ปัญญา ตามมาเอง หรือ แนวกาหนดอาการโดยบริกรรม “พองหนอยบุ หนอ” พองยบุ ตรงความจริงเกิดข้ึนกาหนด ตรง ลมหายใจอยกู่ บั ปัจจุบนั กาหนดรู้ ฝึกสติอยใู่ นกาย ตามรู้ทุกอิริยาบถตลอดเวลา เม่ือจิตสงบทิ้งคาบริกรรมโดย อตั โนมตั ิ สร้างสติตดั อารมณ์ ความหลากหลายแนวทางปฏิบตั ิ ท้งั หลกั การและรายละเอียดปลีกยอ่ ย แสดง ให้เห็นวา่ รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ฐานกาย ตอ้ งกลบั อาศยั หลกั จากพระไตรปิ ฎก ตามสาระพระสูตรเป็ นหลกั การพิจารณา และเทียบเคียง แนวทางการปฏิบตั ิ ส่วนการขยายความเพ่ือสร้าง รูปแบบเทคนิคการปฏิบตั ิเป็นรายละเอียดเติมเขา้ มาเป็ นเทคนิควธิ ีการของครูบาอาจารย์ หรือตามสายสานกั ปฏิบตั ิธรรมแลว้ สร้างรูปแบบ ความหลากหลายรูปแบบสู่แก่นแทเ้ รื่องมหาสติปัฏฐาน เดียวกนั การรู้ตามกายละเอียดถึงลมหายใจเขา้ ออก กาหนดลมหายใจ ๑๖ ระยะพิจารณา หายใจส้ันยาว สติ กากบั กาย กาหนดลมหายใจฝึ กดูตามความเป็ นจริง สังขาร คือ การปรุงแต่งตอบโต้ ทางาน มีการปรุงแต่ง ความทุกข์ การสารวจ ตรวจสอบ ประจกั ษ์ ความเป็ นจริงภายในกาย โดยตรงเห็นกองสังขาร เป็ นเพียง ธรรม ไม่ใช่เราเขา การมีสติรู้ทนั อารมณ์เน้นอารมณ์ปัจจุบัน โดยมีศีล ๕ เป็ นพ้ืนฐาน ฐานเวทนา ความรู้สึกทางกาย เกิดข้ึน ทาปฏิกิริยาปรุงแต่งความพอใจไมพ่ อใจ ตอ้ งวางอุเบกขาต่อเวทนา วธิ ีการเขา้ ถึง คือ ตอ้ งรับรู้ตลอดเวลา เวทนาเกิดตอ้ งมีสติไปรู้เห็นทนั สังเกตดูเวทนาเกิดบริเวณน้นั วางอุเบกขา การฝึ ก ฐานเวทนาตอ้ งอาศยั ฐานกาย คือ ผสั สะ อายตนะ ผสั สะกระทบกาหนดรู้เวทนา เริ่มตน้ กายเห็นดว้ ยตาเน้ือ ต้งั สติกาหนดฐานกาย กายเป็ นรูปธรรมปฏิบตั ิไดเ้ ขา้ ถึงไดง้ ่าย ฐานกายหยาบ รับรู้ไดง้ ่าย รู้สึกเวทนาได้ กายรับรู้อารมณ์เกิด ฐานกายหยาบ ชดั เจน สัมผสั ได้ มีรูป สัมผสั ได้ เบ้ืองตน้ กาหนดลมหายใจ จนไมม่ ีลม หายใจ พฒั นาอุเบกขา ไม่ว่าเวทนาชนิดใด ปฏิบตั ิเพื่อพฒั นาสติและสัมปชญั ญะ การทาวิปัสสนาญาณ ปัญญาเห็นตามความเป็ นจริงของสิ่งท้งั หลาย การปฏิบตั ิรูปนามเป็ นอารมณ์ เฝ้าสังเกต สังโยชน์ ขจดั ออกไป สติกาหนดลมหายใจเขา้ ถึงจิตได้ รับรู้อารมณ์ปัจจุบนั วิเนยฺย โลเก อภิชฌา โทมนสฺส ขจดั ความ ยนิ ดียนิ ร้ายต่อโลกของรูปนาม สติกาหนดรู้ จิตเห็นจิต ฌานเป็นบาทฐานการเจริญวปิ ัสสนา จงมีสติพร้อม สัมปชัญญะ ไม่ว่ากระทาใด ๆ ทางกายสังเกตดูความจริงท่ีเป็ นเพ่ือหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือม่ัน สัมปชญั ญะ การใชป้ ัญญาสังเกต การเกิดข้ึน ต้งั อยู่ ดบั ไป จิตเป็ นผูร้ ู้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เจริญสติรู้เท่าทนั กายที่เคล่ือนไหว จิตนึกคิด จิตเห็นความเป็ นจริงจิตปัจจุบนั ขณะ ใชส้ ัมปชญั ญะเป็ นตวั เชื่อมโยง โลกท้งั หมดอยูใ่ นร่างกายของเราเอง การเกิด ดบั หนทางไปสู่การดบั ของโลกก็อยูภ่ ายใน ใช้ สมาธิระดบั ขณิกสมาธิเป็ นหลกั ใช้สมถะเป็ นบาทฐานวิปัสสนา ความสงบกายสงบใจเป็ นสภาวะที่สงบ อยา่ งลึกซ้ึง เกิดดบั ตลอดเวลา ตอ้ งฝึกฝนเฝ้าดูอายตนะ ๑๒ มากระทบกนั กาหนดการรับรู้อาการตา่ ง ๆ ท่ี ปรากฏ กาจดั ความยึดมนั่ ถือมนั่ พิจารณาปฏิกูลร่างกาย ต้งั ใจกาหนดฐานกายอยา่ งต่อเนื่อง กายเป็ นฐาน ปฏิบตั ิไดง้ ่าย ไปดูการชาแหละศพท่ีโรงพยาบาล หลกั นวสีวถิกา วา่ เห็นซากศพจะไดค้ ิดวา่ ส่ิงเดียวกนั น้ี ยอ่ มเกิดกบั ร่างกายของตน โครงสร้างร่างกายเป็นเพยี งกอ้ นกลุ่มเกิดดบั ปัญญาเห็นรูปนาม ขนั ธ์ ๕ คือ การ รวมตวั ของส่ิงตา่ ง ๆ แตล่ ะคนความจริง ไดป้ ระสบการณ์กบั การเกิดข้ึนต้งั อยดู่ บั ไป ของขนั ธ์ ๕ บุคคลเป็น ท่ีประชุมของขนั ธ์ ๕ ฝึกสติสนามพฒั นาปัญญา การใชส้ ัมมาสติประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวนั ร่างกายเป็ น เพียงร่างกายเพียงเฝ้าดูไปดว้ ยปัญญาที่รู้ชดั เขา้ ใจการเกิดดบั ญาณหยง่ั รู้ไดด้ ว้ ยตนเอง ความรู้เกิดจากการ

๒๘๗ ประจกั ษค์ วามจริงดว้ ยตนเอง วปิ ัสสนากรรมฐาน หลกั ภาวนา ๔ เป็ นเคร่ืองช้ีวดั และวิธีปฏิบตั ิ ดูสังขาร เป็ นอยา่ งไรความเกิดดบั แห่งสังขาร รูปความเกิดดบั รูปเป็ นอยา่ งไร กาหนดรู้ธรรมชาติของชีวติ คือ ขนั ธ์ ๕ พิจารณาเห็นอุปทาน ขนั ธ์ ๕ ฝึ กอานาปานสติ กาหนดลมหายใจเขา้ ออกตรงปลายจมูก เหนือริมฝี ปาก มีสติรู้ชัดลมหายใจ ทาความรู้สึกตวั เสมอ อานาปานสติไม่มีคาบริกรรม อานาปานสติร่วมฝึ กสร้าง จินตนาการ ดารงสติต้งั สติกาหนดลมหายใจ การมีสติรู้ตวั ตลอด รู้อาการตามธาตุ ๔ ปรากฏชดั ในขณะจิต ปัจจุบนั มีสติในการบริโภคอาหาร ขนั ธ์ ๕ เป็ นรูปขันธ์ในส่วนร่างกาย กาหนดให้มีสติระลึกรู้ชัด ตลอดเวลา ฝึ กสติกากบั ควบคุมความรู้สึก ยืนเดินนงั่ นอน สติอยูก่ บั ปัจจุบนั ขณะ ตระหนกั รู้ตนเอง เห็น สภาวะตามความเป็นจริงอาศยั อิริยาบถ ใชเ้ วทนาจากร่างกาย ใหเ้ กิดประโยชน์ต่อชีวติ การมีสติตามรู้ความ เจ็บปวดที่เกิดข้ึนดว้ ยความอดทน จดั การส่ือสารตนเองเพื่อบริหารจดั การอารมณ์ ประสบการณ์ผูป้ ฏิบตั ิ สร้างแรงบนั ดาลใจ คอยเตือนตวั เองเสมอ จงพฒั นาปัญญา ความรู้แจง้ อยกู่ บั ความจริงเกิดดบั รู้จกั ใชส้ ติ ใช้ ปัญญา อนั เกิดจากการปฏิบตั ิ การปฏิบตั ิกรรมฐาน คือ การฝึ กจิต ดว้ ยสัมปชญั ญะ จิตสงบและเกิดปัญญา จิตมีอิทธิพลต่อวตั ถุขนาดใหญ่ กระเพ่ือมของอาวกาศโดยรอบที่จิตอยู่ เฝ้าสังเกตสิ่งที่เกิดข้ึน ในกายอยทู่ ุก ขณะต่อเนื่อง จิตวิญญาณโดยตวั เองบริสุทธ์ิ แต่สังขารปรุงแต่ง สัญญาประเมินค่าตลอดเวลา การใชม้ น โนยทิ ธิ คือ การมีฤทธ์ิทางใจ คือ การรู้เห็น สัมผสั ตามความเป็นจริง สมถกรรมฐานเป็ นบาทฐานมโนยทิ ธิ โดยใชอ้ ารมณ์สมถะ ตามรู้สภาวธรรมท่ีปรากฏ จิตปัจจุบนั ตามรู้เวทนา พฒั นาตาทิพยส์ ามารถมองเห็นส่ิง ท่ีอยูใ่ นร่างกาย อนั มีหนงั หุม้ อยโู่ ดยรอบไดท้ ุกส่วนทุกเซลล์ เจริญจิตภาวนา มีสุขภาวะแบบองคร์ วม ดูแล ร่างกายและจิตใจให้สมดุลสอดคลอ้ งสติปัฏฐาน ๔ คิดนอ้ มมาถึงตวั เราเอง ตอ้ งเกิดดบั กบั ร่างกาย เหมือน คนอื่น ๆ คลายความยดึ มน่ั ถือมนั่ กาหนดพจิ ารณากายเวทนา จิต ธรรม ครบ ๔ ดา้ น กาหนดรูปนามเพ่ือให้ เห็นไตรลกั ษณ์ตามความเป็ นจริง ความรู้สึกทางกาย (เวทนา) การกาหนดหมาย (สญั ญา) การปรุงแตง่ ตอบ โต้ (สังขาร) ความรู้อารมณ์ (วิญญาณ) ทาตอ้ งมีสติอยู่กบั ลมหายใจตลอดเวลา เดิน ยืน นงั่ นอน อื่น ๆ ตอ้ งมีสัมปชญั ญะตลอดเวลา เฝ้าดูลมหายใจเขา้ ออกธรรมชาติ ฝึ กความมน่ั คงของสติ ความรู้สึกตวั อยู่กบั การเคล่ือนไหวอิริยาบถ สารวมการพูด ปฏิบตั ิให้มา สังเกตลมหายใจเขา้ ออกดว้ ยความีสติ ไม่บงั คบั ลม หายใจ สังเกตความเป็ นจริงของร่างกาย ของ ความรู้สึก ที่เกิดข้ึนในร่างกาย วา่ ร่างกายเป็ นกลุ่มกอ้ นแน่น ทึบ ประกอบอนุภาคปรมาณู กลาปะ เกิดข้ึนแลว้ ดบั ไป รักษาความรู้สึก (เวทนา)ที่เกิดข้ึน ณ ร่างกาย ตาม ความเป็ นจริงที่เกิดข้ึนแต่ละขณะ ร่างกายไม่เคล่ือนไหวใด ๆ มีลมหายใจเท่าน้นั เคลื่อนไหว เขา้ ออก เรียกว่า กายสังขารระงบั เป็ นฝึ กตนเป็ นผูด้ ูวางเฉย ปล่อยวาง ปฏิบตั ิธรรมเพ่ือพฒั นาสติพิจารณากาย อดทนต่อเวทนา กาหนดอารมณ์ชดั สุดของทวาร ๖ ตลอดเวลาทาต่อเนื่อง กระแสแห่งความสั่นสะเทือน ไหลเวียนในร่างกาย สังเกตดูลมหายใจไปเรื่อย ๆ เฝ้าดู จิตจะสงบเป็ นไปตามธรรมชาติ ความจริงรูปนาม กาลงั ปรากฏในโครงสร้างร่างกาย อารมณ์วปิ ัสสนา คือ สภาวะรู้แจง้ ในอารมณ์ อาตาปี บาเพญ็ เพียร อยา่ ง แรงกล้า ด้วยสติ สติจะสมบูรณ์ เมื่อปัญญาเข้าร่วม เวทนาเป็ นความรู้สึกทางกาย เป็ นเพียงกระแส สั่นสะเทือนท่ีเกิดดบั อยา่ งรวดเร็วทว่ั ร่างกาย ใชค้ วามคิดพจิ ารณาดูร่างกาย ประกอบไปดว้ ยอะไรบา้ ง ธาตุ มนสิการ สังเกตภายในโครงสร้างในร่างกายตน ศีรษะไปถึงเทา้ เม่ือหายใจออกคร้ังหน่ึง จากเทา้ ไปยงั ศีรษะหายใจเขา้ คร้ังหน่ึง ติดตามร่างกายตลอดทุกส่วน สารวจร่างกาย สารวจความรู้สึกของร่างกาย

๒๘๘ (เวทนา) ไปพร้อม ๆ กนั การเฝ้าดูความจริงกายในกาย ความรู้ชดั สังเกตประจกั ษค์ วามจริง สังเกตเห็น ความจริงท่ีเกิดข้ึนภายในร่างกายเห็นความจริงดบั ไปดว้ ย สารวจรูป(กาย) จะรู้สึกถึงเวทนา เป็ นความรู้สึก ทางกายดว้ ย สติคือความระลึกรู้ สติปัฏฐาน คือ การประจกั ษก์ บั ความจริงทุกชนิด เกี่ยวกบั จิต (นาม) และ กาย (รูป)ภายในร่างกาย มีความเขา้ ใจที่ถูกตอ้ งดว้ ยปัญญา ๕.๒ บทสรุปรูปแบบการเข้าถงึ ปัญญาด้านเวทนานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน (ฐานเวทนา) ความหมายเวทนา คือ ความรู้สึก ความคิด เป็ นจิตเขา้ ไปเสวยอารมณ์ เวทนาเป็ นอารมณ์ กาย คือ ตวั รับเวทนา อายตนะควบคุมการปรุงแต่ง ใหก้ าหนดปัจจุบนั เอาสุขทุกขม์ าพิจารณา กาหนดไปตามความรู้สึก ใชส้ มถะดูอารมณ์แลว้ เอาอารมณ์จบั เวทนา รู้อารมณ์เกิดข้ึนแลว้ ดบั ไปเร็วมากรู้เขา้ ใจเวทนาจากการสัมผสั ประสบการณ์ กาหนดความรู้สึกเคล่ือนไหวไปตามส่วนร่างกายเป็ นการฝึ กแบบรู้สึกตวั ตามลกั ษณะ ฝึ ก อุเบกขาโดยจิตกาหนดตวั รับรู้เวทนา วิธีการเดินเขา้ ไปลกั ษณะอาการเวทนาของจิต วางอุเบกขา จิตสงบเป็ น ปัญญาภาวนา ตอ้ งเขา้ ใจความหมายและลกั ษณะเวทนาจากพระไตรปิ ฎก จากแหล่งความหมายเวทนาท่ี ปรากฏในพระไตรปิ ฎกตอ้ งปฏิบตั ิตามหลกั องค์ธรรมมหาสติปัฏฐาน ๔ คือ อาตาปี สัมปชาโน สติมา เจริญหลักธรรมสนับสนุนฐานเวทนา ๑)ฐานกาย ตอ้ งมีศรัทธาและฉันทะ ๒)ฐานจิต ต้องมีสติต้งั มน่ั พิจารณาสัญญาขนั ธ์ ๓)ฐานธรรม พิจารณาอาการสภาวธรรม ต้องเช่ือมโยงหลักพระไตรปิ ฎก และ เทียบเคียง เป็ นภาคทฤษฎีสู่การปฏิบตั ิ รูปแบบ ๒ วิธีการปฏิบตั ิตามคาสอนครูบาอาจารย์ พบวา่ พิจารณา เวทนา ความรู้สึกขณะปฏิบตั ิ กาหนด“หนอ”ดูสภาวะจิตเสวยอารมณ์ วางจิตใหถ้ ูกตอ้ ง เพ่ือเฝ้าดู ดูเฉย ๆ วางอุเบกขาขณะตามเวทนาต่าง ๆ ตามความรู้สึกเวทนา กาหนดเวทนา รูปแบบ ๓)ขยายความจากผศู้ ึกษา พบ เวทนาเป็ นความรู้สึกเมื่ออารมณ์มากระทบจิต ขนั ธ์ ๕ มีความสาคญั คือ การใชส้ ติเขา้ ไปรู้เห็นเวทนา ท้งั หลาย อารมณ์กระทบจิตเวทนาเกิดข้ึนทนั ที เขา้ ใจรูปนาม กาหนดสภาวธรรมท่ีเกิดข้ึนจาก รูป คือ กาย นาม คือ เวทนา จิต ธรรม รูปแบบฝึกฝนหลกั ธรรมตามธรรมชาติ พฤติกรรม จิตใจ และปัญญา การยอมรับ ความทุกข์ เขา้ ใจ รูปแบบความสุขเป็นเวทนาเสวยอารมณ์จากอายตนะ การสร้างรูปแบบ ๑)วธิ ีคิดแบบใช้ เหตุผล ๒)วธิ ีคิดแบบถูกตามจริง ๓)วธิ ีคิดบวก รูปแบบขนั ธ์ ๕ ใชส้ ญั ญาขนั ธ์เป็นธรรมารมณ์ คือ อารมณ์ ที่กระทบใจแลว้ เกิดเวทนา ธรรมารมณ์ คือ อารมณ์ท่ีกระทบใจ ทาใหเ้ กิดเวทนา เขา้ ใจธรรมชาติเวทนาอยู่ ใตก้ ฎไตรลกั ษณ์ ใช้เวทนาเป็ นหนทางไปสู่อาริยะบุคคลได้ เสวยอารมณ์ความรู้สึกรูปแบบ๑)บริหาร จดั การอารมณ์ดว้ ยการส่ือสารกบั ตนเอง ๒)ควบคุมยบั ย้งั อารมณ์ได้ โดยวธิ ีคิด๑)หลกั กรรม ๒)หลกั ไตร ลกั ษณ์ การจดั การความทุกขท์ ี่เกิดจากความเจบ็ ปวด ๑)เตรียมตวั ๒)จดั การความเจบ็ ปวดดว้ ยสติ เบี่ยงเบน ความสนใจกบั ทุกขเวทนา ๓)ปล่อยวาง กาหนดเวทนาเนน้ อารมณ์ปัจจุบนั การใชส้ ติไปรู้เห็นเวทนา ให้ จิตยอมรับ ใชส้ ติเช่ือมโยงกายเวทนาจิตธรรม ตอ้ งเห็นเวทนาจึงเห็นสภาวธรรม ลกั ษณะอาการ ทุกขเวทนา สุขเวทนา อุเบกขาเวทนาเชื่อมโยง ฐานเวทนาเช่ือมเป็ นรูปธรรม เวทนาปรากฏท่ีกายไปรับรู้ท่ีจิต ไตร ลกั ษณ์จึงปรากฏ เสวยเวทนาจิตไปรับรู้ปล่อยวางอยา่ งมีปัญญา การสังเกตเวทนาตามหรือเวทนาเด่นชดั ก็ ได้ ๒)เพ่มิ เติม ดงั ต่อไปน้ี ผสั สะกระทบจิต ผสั สะกระทบอาตนะภายในภายนอก อายตนะเป็นตวั เชื่อมโยง เป็ นจุดเชื่อม เวทนากาหนดรู้ ฐานเวทนาอาศยั ฐานกายเกิด สภาวธรรมเกิดชดั เป็ นไปตามธรรม ๓)ไม่เห็น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook