Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 61 รายงานผลการวิจัย

61 รายงานผลการวิจัย

Published by วิจัย แม่โจ้, 2022-06-10 04:13:33

Description: 61 รายงานผลการวิจัย

Search

Read the Text Version

๔๐ การบูรณาการ ส่วนใหญ่เนน้ เชิงรับ งบประมาณมีจากดั การดูแลไม่ทวั่ ถึง มีปัญหาครอบครัว ผสู้ ูงอายอุ ยใู่ น ภาวะพ่ึงพาสูง สภาพร่างกายเส่ือมลงตามอายุขยั เขา้ สังคมนอ้ ยลง จิตใจเปล่ียนแปลงง่าย หงุดหงิด เหงา เครียด มีความจาเส่ือม หลงลืม ขาดสมาธิ จานวนผสู้ ูงอายุที่เพ่ิมข้ึน มีฐานะยากจน ผูด้ ูแลมีจานวนลดลง มี บทบาทเชิงซ้อน เป็ นโรคเร้ือรังและมีความเครียดสูง ๒)การจดั การสุขภาพของผสู้ ูงอายุ ประกอบดว้ ย ทีม เครือข่าย มีส่วนร่วม นโยบายชัดเจน แผนครบคลุม งบประมาณเพียงพอ กิจกรรมพฒั นาสุขภาพของ ผูส้ ูงอายุ และประเมินผล ข้ึนอยู่กบั บริบทปัจเจกบุคคล อายุ กิจกรรมทางสังคม เนน้ ความมีคุณค่าในตน และภาวะสุขภาพ ผสู้ ูงอายุท่ีแข็งแรงจะพ่ึงตนเอง ส่วนผูท้ ี่อยูใ่ นภาวะพ่ึงพา ครอบครัวเป็ นกลไกสาคญั ใน การดูแล เก้ือหนุนดา้ นส่ิงของ ให้เงิน เป็ นตน้ ๓)การจดั การสุขภาพของผูส้ ูงอายุเชิงพุทธบูรณาการ เป็ น แบบองค์รวม ดุลยภาพท้งั ร่างกายและจิตใจ หลกั การสาคญั คือการพ่ึงตนเอง มีความกตญั ญู เมตตา และ เอ้ืออาทร ดาเนินชีวิตทางสายกลาง (มชั ฌิมาปฏิปทา) ไม่ประมาท ตามหลกั อริยมรรค ๘ การแกป้ ัญหาใช้ หลกั อริยสจั สี่ รูปแบบประกอบดว้ ย ๔ ขอ้ คือ (๓.๑) แผน(Plan) เป็นตาบลสุขภาวะดีวถิ ีพุทธ (๓.๒) ปฏิบตั ิ (Do) มีทศั นคติเชิงบวกต่อการดูแลผสู้ ูงอายุ พฒั นาตามหลกั ภาวนา ๔ ไดแ้ ก่ (๓.๒.๑) กายภาวนา ดูแลให้ ไดร้ ับความสุขสบายตามหลกั สัปปายะ ๗ กตญั ญูกตเวทีและทิศ ๖ (๓.๒.๒)ศีลภาวนา เชื่อเรื่องกฎแห่ง กรรม ตามหลกั บุญกิริยาวตั ถุ ๑๐ ปฏิบตั ิตามหลกั ศีล ๕ ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนช่วยเหลือ สาธารณสุขมี แนวปฏิบตั ิท่ีดี จิตอาสา เช่น ขยะฮอมบุญ คาราวานบุญ อุย้ จูงหลานเขา้ วดั งดเหลา้ งานศพ โรงเรียนผสู้ ูงอายุ เป็นตน้ ตามหลกั สงั คหวตั ถุ ๔ และฆราวาสธรรม ๔ (๓.๒.๓) จิตตภาวนา ดูแลดว้ ยหวั ใจความเป็ นมนุษย์ ตามหลกั พรหมวหิ าร ๔ กลั ยาณมิตรธรรม ๗ และอิทธิบาท ๔ (๓.๒.๔) ปัญญาภาวนา เขา้ ใจชีวติ ตามหลกั ไตรลกั ษณ์ (อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา) หมนั่ เจริญสติ อยูก่ บั ปัจจุบนั ตามแนวสติปัฏฐาน ๔ เกิดปี ติ จิตใจเบิก บานและมีความสุข (๓.๓) ตรวจสอบ (Check)ไดร้ ับการประเมินหมู่บา้ นจดั การสุขภาพ อยใู่ นระดบั ดีเย่ยี ม มีศูนยเ์ รียนรู้ นวตั กรรมสุขภาพหลากหลาย ผลการวเิ คราะห์แบบวดั คุณภาพชีวติ ผสู้ ูงอายุ พบวา่ ดา้ นจิตใจ อยู่ในระดบั ดี โดยภาพรวมอยู่ในระดบั กลาง ๆ และแบบวดั ความเครียดของผูด้ ูแล พบว่า อยู่ในระดบั สูง และ (๓.๔) ปรับปรุง (Act) มีการประชุมสญั จรทุกเดือน ดงั น้นั สุขภาพของผสู้ ูงอายุ เป็นปัจจยั หน่ึงท่ีมีผล กระทบตอ่ ความเจริญของประเทศชาติ จึงควรใชห้ ลกั พทุ ธธรรมเป็นดง่ั เขม็ ทิศช้ีทางในการจดั การสุขภาวะ ๑.๓) ความสัมพนั ธ์ฐานกาย กบั การรักษาโรค ๑๕) สุรพล ศรีบุญทรง (๒๕๔๘) ไดศ้ ึกษาวิจยั เร่ือง การศึกษาผลของสมาธิท่ีมีต่ออัตราการเต้น ของหัวใจ๑ ผลการศึกษาพบวา่ สัญญาณทางสรีรวทิ ยาอย๕า่ งเช่น อตั ราการเตน้ ของหวั ใจซ่ึงถูกควบคุมโดย ระบบประสาทอัตโนมัติน้ันบ่งบอกถึงสภาพสุขภาพของเจ้าของร่างกายได้เป็ นอย่างดีสามารถใช้ ประกอบการวินิจฉยั /พยากรณ์โรค และความเปลี่ยนแปลงทางสรีระหลายประการ ทาให้มีการศึกษาวิจยั เกี่ยวกบั เรื่องดงั กล่าวอยา่ งกวา้ งขวางในหมู่นกั วิจยั นานาชาติ มีการก่อต้งั เวบ็ ไซด์เพ่ือเป็ นศูนยก์ ลางของ การศึกษาและเผยแพร่ขอ้ มูลสัญญาณทางสรีรวทิ ยาและ โปรแกรมสาหรับการวิเคราะห์ข้ึนมาอยา่ งมากมาย ๑ สุรพล ศรีบุญทรง. ๒๕๔๘. การศึกษาผลของสมาธ๕ิท่ีมีต่ออตั ราการเตน้ ของหวั ใจ . ว.การแพทย์และ วทิ ยาศาสตร์สุขภาพ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ. ๑๒ (๓) : ๙๔-๑๐๓.

๔๑ ตวั อย่างเช่น เวบ็ ไซท์ PhysioNet (http://www.physionet.org/) ภายใตห้ น่วยงานสถาบนั สุขภาพแห่งชาติ ของสหรัฐอเมริกาเปิ ดโอกาสให้ผสู้ นใจสามารถดาวน์โหลดขอ้ มูลสัญญาณทางสรีรวทิ ยาท่ีถูกเก็บบนั ทึก ไวใ้ นเครือขา่ ยวจิ ยั ของศูนยว์ จิ ยั แห่งชาติมาทดลองศึกษาวเิ คราะห์เพื่อการเรียนรู้ หรือสร้างงานวจิ ยั ใหม่ใน ลกั ษณะงานวจิ ยั ตอ่ ยอด ในบรรดาฐานขอ้ มูลท่ีมีอยมู่ ากมายในอินเทอร์เน็ตมีหลายงานวจิ ยั มุ่งศึกษาถึงผลดี ของการทาสมาธิแบบชี่กง และแบบกลั ดาลาน่ี อนั แสดงออกดว้ ย การเปลี่ยนแปลงอตั ราการเตน้ ของหวั ใจ อยา่ งไรยงั ไม่มีงานวิจยั เก่ียวกบั ผลของการทาสมาธิแบบอานาปานสติซ่ึงเป็นรูปแบบการทาสมาธิซ่ึงไดร้ ับ ความนิยมในหมู่ชาวพุทธในประเทศไทย งานวจิ ยั น้ีจึงเป็ นการศึกษาถึงผลของสมาธิที่มีต่อการทางานของ หัวใจเตรี ยมดาเนิ นการทดลองศึกษาถึ งผลของการทาอานาปานสติที่ต่อระบบสรี รวิทยาของร่ างกาย ตลอดจนศึกษาความเป็ นไปได้ในการพัฒนาเครือข่ายข้อมูลสารสนเทศในลักษณะเปิ ดโอกาสให้ นกั วชิ าการไทยสามารถเขา้ มาดาวน์โหลดขอ้ มูลสัญญาณทางสรีรวทิ ยาไปใชศ้ ึกษาดว้ ยตนเองได้ ๑๖) ประภาส จิบสมานบุญ และอุบล สุทธิเนียม (๒๕๕๖)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เรื่อง สมาธิบําบัด SKT ๒ ต่อระดับความดันโลหิตและตัวบ่งชี้ทางเคมี๑ โดยการศึกษาคร้ังน้ีเป็ นการศึกษาวิจยั ก่ึงทดล๖องแบบไมส่ ุ่ม สองกลุ่มวดั ก่อนและหลงั การทดลอง (Nonrandomized control group design) มีวตั ถุประสงคเ์ พ่อื ศึกษาการ ใชส้ มาธิบาบดั แบบ SKT ๒ ในผูป้ ่ วยความดนั โลหิตสูงที่ควบคุมความดนั โลหิตไม่ได้ ต่อระดบั ความดนั โลหิตและตวั บ่งช้ีทางเคมี โรงพยาบาลเดิมบางนางบวช จงั หวดั สุพรรณบุรี จานวน ๔๓ คน แบ่งเป็ นกลุ่ม ทดลอง ผปู้ ่ วยความดนั โลหิตสูงที่ไดร้ ับการรักษาดว้ ยยาและไดร้ ับการฝึ กสมาธิบาบดั แบบ SKT๒ จานวน ๒๑ คน และกลุ่มควบคุมผูป้ ่ วยความดนั โลหิตสูงที่ได้รับการรักษาด้วยยา จานวน ๒๒ คน โดยกลุ่ม ทดลองจะได้รับการฝึ กสมาธิบาบดั แบบ SKT๒ นาน ๒๐ นาที และไปปฏิบตั ิที่บา้ นวนั ละ ๒ รอบ คือ ช่วงเวลาเชา้ และเยน็ ทุกวนั ผวู้ จิ ยั นดั พบกลุ่มตวั อยา่ งทุก ๔ สัปดาห์จานวน ๒ คร้ัง เพื่อวดั ความดนั โลหิต และเจาะเลือดตรวจตวั บ่งช้ีทางเคมี ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับบริการตามปกติ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Independent t-test และ Repeated measure One-way ANOVA ผลการศึกษา พบวา่ ๑.ค่าเฉล่ียความดนั ซีส โตลิคและไดแอสโตลิคของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมหลงั การทดลอง ๘ สัปดาห์ แตกต่างกนั อยา่ งมี นยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั ๐.๐๑ และค่าเฉล่ียความดนั ซีสโตลิคและไดแอสโตลิค ของกลุ่มทดลองหลงั การ ทดลอง ๔ และ ๘ สัปดาห์ ลดลงกวา่ ก่อนการทดลอง อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั ๐.๐๐๑ ๒.ไม่มี ความแตกต่างของตวั บ่งช้ีทางเคมีท้งั ๒ กลุ่ม ในก่อนและหลงั การทดลอง การศึกษาคร้ังน้ีสรุปไดว้ า่ การ ปฏิบตั ิสมาธิบาบดั SKT๒ มีผลลดระดบั ความดนั ซีสโตลิคไดแอสโตลิคได้ ซ่ึงสามารถนามาเป็ นแนว ทางเลือกหน่ึงในการดูแลผปู้ ่ วยความดนั โลหิตสูงท่ีควบคุมความดนั โลหิตไมไ่ ด้ ๑ ประภาส จิบสมานบุญ และอบุ ล สุทธิเนียม . ๒๕๕๖๖ . สมาธิบาบดั SKT ๒ ต่อระดบั ความดนั โลหิตและตวั บ่งช้ีทางเคมี. ว.วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี . ๒๙ (๒) : ๑๒๒-๑๓๓.

๔๒ ๑๗) อรวรรณ จันทร์มณี (๒๕๕๗)ได้ศึกษาวิจยั เรื่อง ผลของการฝึ กสมาธิแบบอานาปานสติ ร่วมกับการฝึ กสร้าง จินตนาการต่อระดับสมาธิของเด็กทีม่ ีความเสี่ยงสมาธิส้ัน ๑ วตั ถุประสงคเ์ พื่อศึกษา ผลของการฝึกสมาธิแบบอานาปานสติร่วมกบั การฝึกสร้างจินตนาการต่อระดบั สมาธิของเด็กที่มีความเสี่ยง สมาธิส้ัน กลุ่มตวั อยา่ ง เป็ นเด็กที่มีความเสี่ยงสมาธิส้ัน ท่ีเรียนในโรงเรียนวดั อยั ยกิ าราม ท้งั หมด ๔๐ คน เป็ นเพศชายอายรุ ะหวา่ ง ๙-๑๒ ปี หลงั จากน้นั สุ่มตวั อยา่ งแบบจบั คู่และสุ่มแบบง่ายเขา้ กลุ่มทดลองและ กลุ่มควบคุมกลุ่มละ ๒๐ คน กลุ่มทดลองได้รับการฝึ กสมาธิแบบอานาปานสติร่วมกบั การฝึ กสร้าง จินตนาการสัปดาห์ละ ๕ วนั ติดตอ่ กนั เป็ นเวลา ๑๖ สัปดาห์ ในขณะที่กลุ่มควบคุมไดร้ ับการเรียนตามปกติ พฤติกรรมและสมาธิของเด็ก ที่มีความเสี่ยงสมาธิส้ันประเมินโดยใช้แบบประเมินพฤติกรรมและสมาธิ (ฉบบั ผูป้ กครองและครู) ผลการวิจยั พบว่าระดบั พฤติกรรมและสมาธิของกลุ่มทดลองท้งั ที่ประเมินโดย ผูป้ กครองและครูลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติที่ระดบั p < .๐๐๑ ผลของ การศึกษาน้ีแสดงให้ เห็นว่า การใช้โปรแกรมการฝึ กสมาธิแบบอานาปานสติร่วมกับการฝึ กสร้าง จินตนาการสามารถช่วย ให้พฤติกรรมและสมาธิของเด็กที่มีความเสี่ยงสมาธิส้ันดีข้ึนซ่ึงสามารถใช้เป็ น ทางเลือกไดอ้ ีกแนวทางหน่ึง ๑๘) ภุชงค์ ฝูงชมเชย (๒๕๕๙)ได้ศึกษาวิจยั เร่ือง การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็ นการฟื้ นฟู สมรรถภาพร่างกายดีที่สุด๑ ผลการศึกษาพบว่า ผูป้ ่ วยหลายรายท่ีได๘ร้ ับการผ่าตดั บริเวณแนวกระดูกสัน หลงั เมื่อแพทยผ์ ูท้ ่ีทาการผ่าตดั อนุญาตใหก้ ลบั ไปฟ้ื นฟูสมรรถภาพทางร่างกายท่ีบา้ นได้ มีผปู้ ่ วยจานวน มากลืมคาแนะนาของแพทย์ และปฏิบตั ิบางท่าทางไม่ถูกตอ้ งตามท่ีแพทยห์ ้ามหรือแนะนา ผลที่ไดร้ ับคือ เกิดการวิกลรูป และ/หรือ เกิดความพิการอยา่ งถาวรของอวยั วะที่ไดร้ ับการผา่ ตดั และจะตอ้ งใชอ้ ุปกรณ์ ทางการแพทยช์ ่วยไป ตลอดชีวิต ประสบการณ์ตรงของผูเ้ ขียนจากอุบตั ิเหตุทาให้บาดเจ็บบริเวณกระดูก สันหลงั แพทยแ์ นะนาให้รักษาดว้ ยการผ่าตดั ผูเ้ ขียนบรรเทาอาการบาดเจ็บคร้ังน้นั ไดโ้ ดยไม่ตอ้ งผ่าตดั ดว้ ยการ รักษาโดยแพทยท์ างเลือก คือ “การจดั กระดูก (Chiropractic)” และช่วยฟ้ื นฟูร่างกายดว้ ยการปฏิบตั ิ “วปิ ัสสนากรรมฐาน (Meditation)” ผลท่ีไดร้ ับคือ ผเู้ ขียนมีสมรรถภาพทางร่างกายท่ีดีข้ึนเกือบเป็นปกติ ๑๙) วิชัย นภาพงศ์ และ คณะ (๒๕๕๙) ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เรื่อง ผลของการฝึ กสมาธิบําบดั แบบ SKT๒ ต่อระดับความดันโลหิตของผู้รับบริการในแผนกงาน แพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน โรงพยาบาลปัตตานี๑ การวจิ ยั ก่ึงทดลองเพื่อศึกษาผลของการฝึ กป๙ฏิบตั ิสมาธิบาบดั ต่อความดนั โลหิตใน ผูส้ ูงอายุโรคความดนั สูง และความพึงพอใจของผูร้ ับบริการท่ีมารับบริการที่งานแพทยแ์ ผนไทยและ ๑ อรวรรณ จนั ทร์มณี. ๒๕๕๗. ผลของการฝึ กสมาธิแ๗บบอานาปานสติร่วมกบั การฝึ กสร้าง จินตนาการต่อ ระดบั สมาธิของเด็กที่มีความเสี่ยงสมาธิส้นั . ว.พยาบาลตาํ รวจ. ๖ (๑) : ๕๖-๗๐. ๑ ภุชงค์ ฝูงชมเชย. ๒๕๕๙.การปฏิบัติวิปัสสนาก๘รรมฐานเป็ นการฟ้ื นฟูสมรรถภาพร่างกายดีท่ีสุด.ว. มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏลาํ ปาง. ๕(๑) : ๑๒๔-๑๓๐. ๑ วชิ ยั นภาพงศ.์ ๒๕๕๙. ผลของการฝึ กสมาธิบาบดั แ๙บบ SKT๒ ตอ่ ระดบั ความดนั โลหิตของผรู้ ับบริการใน แผนกงาน แพทยแ์ ผนไทยและการแพทยผ์ สมผสาน โรงพยาบาลปัตตานี. ว. AL-NUR บณั ฑิตวทิ ยาลยั . ๑๑( ๑) : ๔๗-๖๐.

๔๓ การแพทย์ ผสมผสาน โรงพยาบาลปัตตานี อาเภอเมือง จงั หวดั ปัตตานี ในระหวา่ งเดือนมกราคมถึงเดือน กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยคดั เลือกกลุ่มตวั อยา่ งจานวน ๓๐ คน แบ่งเป็ น กลุ่มทดลองท่ีมีการฝึ กสมาธิ แบบSKT๒ ๑๕ คนและกลุ่ม ควบคุม ๑๕ คน โดยกาหนดการคดั เลือกแบบเฉพาะเจาะจง ซ่ึงมีเคร่ืองมือ ในการวจิ ยั ประกอบดว้ ยแบบสมั ภาษณ์ ขอ้ มูลพ้ืนฐาน การฝึกอบรมและคู่มือการฝึกสมาธิแบบSKT๒ และ เครื่องมือวดั ความดนั โลหิต ทาการวดั ความดนั โลหิตของกลุ่มตวั อย่างทุกคนก่อนการทดลอง และกลุ่ม ทดลองจะไดร้ ับการอบรมและการฝึ กการทาสมาธิบาบดั แบบ SKT๒ โดยมีการอบรมและฝึ กสอนจน ผูป้ ่ วยสามารถนาไปปฏิบตั ิไดเ้ องอยา่ งถูกตอ้ งทาการวดั ความดนั โลหิต หลงั การฝึ กและตอ้ งมาทาการฝึ ก ตามท่ีวิทยากรแนะนาทุกสัปดาห์ร่วมกบั การฝึ กเองที่บา้ นทุกวนั วนั ละ ๒ คร้ัง นาน ๑๕ นาที ตลอด ๘ สัปดาห์ และทาการวิเคราะห์ขอ้ มูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบค่าที (t-test) ผลการทดลอง พบว่า ค่าความดนั ค่าความดนั ซีสโตลิคและความดนั ไดแอสโตลิค หลงั การปฏิบตั ิสมาธิ เทคนิค SKT๒ ลดลงอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ และเม่ือเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าความดนั ซีสโตลิคและ ความดนั ไดแอสโตลิคของกลุ่มตวั อยา่ งท้งั สองกลุ่มในสัปดาห์ท่ี ๘ พบวา่ กลุ่มท่ีปฏิบตั ิสมาธิ เทคนิค SKT๒ มีค่า ความดนั ซีสโตลิคและความดนั ไดแอสโตลิคนอ้ ยกวา่ กลุ่มควบคุมอยา่ งมีนยั สาคญั และเมื่อวเิ คราะห์ความ พึงพอใจของผรู้ ับบริการต่อการฝึกสมาธิบาบดั แลว้ พบวา่ ผรู้ ับบริการมีความพงึ พอใจเป็ นอยา่ งมาก ต่อการ ฝึกสมาธิบาบดั เทคนิค SKT๒ ๒๐) ชูชีพ โพชะจา (๒๕๖๐) ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่อง การเจริญสติเพื่อพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพของผู้ ท่ีเป็ นเบาหวาน ชนิดท่ี ๒ โรงพยาบาลลี้ จังหวัดลําพูน๒ วตั ถุประสงค์เพ่ือ ศึกษาผลการเจริญสติต่อ พฤติกรรมสุขภาพของผทู้ ี่เป็ นเบาหวานชนิดที่ ๒ เป็ นการศึกษาก่ึงทดลองชนิดสองกลุ่ม ทดสอบก่อนและ หลงั กลุ่มตวั อยา่ งคือ ผทู้ ่ีเป็ นโรคเบาหวานชนิดที่ ๒ ที่มารับการรักษาท่ีคลินิกเบาหวาน แผนกผปู้ ่ วยนอก โรงพยาบาลล้ี จงั หวดั ลาพูน โดยเลือกกลุ่มตวั อยา่ งตามเกณฑท์ ่ีกาหนด ๓๐ ราย จดั ใหเ้ ป็นกลุ่มทดลอง ๑๕ ราย และกลุ่มควบคุม ๑๕ ราย กลุ่มทดลองไดร้ ับกิจกรรมประกอบดว้ ย การเขา้ ร่วมฝึ กการเจริญสติ เป็ น เวลา ๓ เดือน ในขณะที่กลุ่มควบคุมไดร้ ับการพยาบาลตามปกติ การประเมิน ผลกระทาภายหลงั ไดร้ ับการ เจริญสติในสัปดาห์ที่ ๑๒ โดยใชแ้ บบสัมภาษณ์การดูแลตนเองของผูป้ ่ วยเบาหวาน ชนิดไม่พ่ึงอินซูลิน วิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมสุขภาพระหว่างกลุ่มโดยใช้สถิติการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจยั พบวา่ ๑)หลงั เขา้ ร่วมการเจริญสติ ผูท้ ่ีเป็ นเบาหวานชนิดที่ ๒ ในกลุ่มทดลองมีค่าเฉล่ียคะแนน พฤติกรรมสุขภาพ สูงกวา่ ก่อนไดร้ ับการเจริญสติอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติ (p<.๐๑) ๒)หลงั เขา้ ร่วมการ เจริญสติ ผทู้ ่ีเป็ นเบาหวานชนิดท่ี ๒ มีค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมสุขภาพสูงกวา่ กลุ่ม ท่ีไดร้ ับการพยาบาล ตามปกติอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ (p<.๐๑) ผลการวิจยั แสดงให้เห็นวา่ การเจริญสติเป็ นเครื่องมือที่ช่วยให้ ผปู้ ่ วยเบาหวานปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพ ได้ จึงควรนามาประยกุ ตใ์ ชร้ ่วมกบั การพยาบาลตามปกติเพื่อ ๒ ชูชีพ โพชะจา. ๒๕๖๐. การเจริญสติเพื่อพฒั นาพฤติกรรมสุขภาพของผทู้ ๐ี่เป็นเบาหวาน ชนิดที่ ๒ โรงพยาบาลล้ี จงั หวดั ลาพนู . ว.พยาบาลสาธารณสุข. สานกั งานปลดั กระทรวงสาธารณสุข . ๒๗(๑) : ๑๓๕-๑๔๕.

๔๔ ส่งเสริมให้ผูท้ ่ีเป็ นเบาหวานชนิดที่ ๒ มีพฤติกรรม สุขภาพท่ีเหมาะสมสามารถควบคุมระดบั น้าตาลใน เลือด ป้องกนั ภาวะแทรกซอ้ นและมีสุขภาพที่ดี ๒๑) สมจิตร เสริมทองทพิ ย์ และคณะ (๒๕๖๐) ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เร่ือง ผลของโปรแกรมการบําบัดทาง ปัญญาบนพื้นฐานของสติต่อภาวะซึมเศร้ าในผู้เป็ นเบาหวาน๒ เป็ นการวิจัยแบบก่ึงทดลองน้ีมี วตั ถุประสงค์เพ่ือศึกษา ผลของโปรแกรมการบาบดั ทางปัญญาบนพ้ืนฐานของสติ แบบกลมุ่งต่อภาวะ ซึมเศร้าของผูเ้ ป็ นเบาหวาน กลุ่มตวั อย่างเป็ นผูเ้ ป็ นเบาหวานที่มีภาวะซึมเศร้าในระดบั เล็กน้อยถึง ระดบั ปานกลาง โดยมีคุณสมบตั ิตามเกณฑ์ที่งานวิจยั กาหนดจานวน ๒๔ คน สุ่มตวั อย่างเขา้ กลุ่มทดลองและ กลุ่มควบคุม กลุ่มละ ๑๒ คน กลุ่มทดลองไดร้ ับโปรแกรม การบาบดั ทางปัญญาบนพ้ืนฐานของสติ กลุ่ม ควบคุมไดร้ ับ การพยาบาลตามปกติ ประเมินภาวะซึมเศร้าโดยใชแ้ บบวดั ภาวะความซึมเศร้าของเบค ไดค้ า่ ความเท่ียงเท่ากบั .๘๓ วิเคราะห์ขอ้ มูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน วิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวดั ซ้า และการทดสอบรายคู่ดว้ ยวิธีบอนเฟอร์โรนี ผลการวิจยั พบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยภาวะซึมเศร้าในระยะหลงั การทดลองเสร็จสิ้น และระยะติดตามผล แตกต่างจากกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .๐๐๑ และกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉล่ียภาวะ ซึมเศร้าหลงั การทดลองเสร็จสิ้นทนั ทีและระยะติดตามผล ๑ เดือน ต่ากวา่ ก่อนการทดลอง อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .๐๐๑ โปรแกรมการบาบดั ทางปัญญาบนพ้ืนฐานของสติแบบกลุ่มน้ี ช่วยลดภาวะซึมเศร้า ในผเู้ ป็ นเบาหวาน ดงั น้นั บุคลากรดา้ นสุขภาพ สามารถนาโปรแกรมฯไปประยุกตใ์ ชเ้ พ่ือลดภาวะซึมเศร้า ในผเู้ ป็นเบาหวานเพือ่ การมีสุขภาพจิตและคุณภาพชีวติ ท่ีดี ๒๒) พระครูปลัดไพรัช จนฺทสโร (กาญจนแก้ว) และคณะ (๒๕๖๑)ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง การ แก้ปัญหาโรคความเครียดด้วยพุทธปรัชญาว่าด้วยมหาสติปัฏฐาน ๔ ๒ วตั ถุประสงค์ ๑)เพื่อศึกษาสาเหตุ ของโรคความเครียดและส่งผลกระทบต่อบุคคล และสังคม ๒) เพื่อศึกษาพุทธปรัชญาวา่ ดว้ ยมหาสติปัฏ ฐาน ๔ ๓) เพือ่ ประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั การและวธิ ีการเจริญสติในพุทธปรัชญากบั การแกป้ ัญหาโรคความเครียดได้ อยา่ งมีประสิทธิภาพยงิ่ ข้ึน ๔)เพือ่ สร้างองคค์ วามรู้ใหม่และรูปแบบของการเยยี วยาโรคดว้ ยหลกั พุทธธรรม วิธีการวจิ ยั เป็ นการวิจยั เอกสาร เนน้ การวิจยั เชิงคุณภาพ ผลการวจิ ยั พบวา่ ๑. สาเหตุของความเครียดเกิด จากปัจจยั หลายประการ เช่น ปัญหาความยากจน ปัญหาในการทางาน ปัญหาครอบครัว ปัญหาเรื่องความ รัก ปัญหาเรื่องการเรียน ปัญหาการว่างงาน ปัญหาความวิตกกงั วล ปัญหาความหงุดหงิด ปัญหาตณั หา มานะ ทิฐิ ปัญหาความโกรธ ปัญหาถูกโลกธรรมครอบงา ปัญหาความล้มเหลวในชีวิต ปัญหาเหล่าน้ี ก่อใหเ้ กิดความเครียด ๒) หลกั การของพุทธปรัชญาในแง่ของการรักษาโรค คือ การดูแลท้งั ร่างกายและ ๒ สมจิตร เสริมทองทิพย์ และคณะ ๒๕๖๐ ผลของโปรแกรมการบาบดั ทาง๑ปัญญาบนพ้นื ฐานของสติต่อภาวะ ซึมเศร้าในผเู้ ป็ นเบาหวาน. ว.คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา. ๒๕(๓) : ๖๖-๗๕. ๒ พระครูปลดั ไพรัช จนฺทสโร (กาญจนแกว้ ) และคณะ. ๒๕๖๑. การแกป้ ัญห๒าโรคความเครียดดว้ ยพทุ ธปรัชญา วา่ ดว้ ยมหาสติปัฏฐาน ๔. ว.มหาจุฬานาครทรรศน์. มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตนครราชสีมา. ๕(๒) : ๓๗๗-๓๙๓.

๔๕ จิตใจอย่างสมดุล คือ การปฏิบตั ิตามทางสายกลาง ให้ความสาคญั ท้งั ร่างกายและจิตใจ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั หลกั สติปัฏฐาน ๔ ท่ีสอนวิธีปฏิบตั ิต่อกาย เรียกว่า กายานุปัสสนา ปฏิบตั ิต่ออารมณ์ ความรู้สึก เรียกว่า เวทนานุปัสสนา ปฏิบตั ิต่อจิต เรียกว่า จิตตานุปัสสนา ปฏิบตั ิต่อเรื่องท่ีเกิดข้ึนหรือต่อความจริงที่ปรากฏ เรียกวา่ ธมั มานุปัสสนา ๓) หลกั การและวธิ ีการเจริญสติในพุทธปรัชญากบั การแกป้ ัญหาโรคความเครียด ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน ทาให้ผูว้ ิจยั เขา้ ใจหลกั การของการฝึ กสติ สามารถใชไ้ ดห้ ลากหลายรูปแบบ เช่น การเดินจงกรม การกาหนดลมหายใจเขา้ ลมหายใจออก การนบั แบบตา่ ง ๆ การเจริญกรรมฐาน การเพง่ กสิณ การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน วธิ ีการเหล่าน้ีใชใ้ นการฝึ กสมาธิเจริญสติได้ ๔) องคค์ วามรู้ใหม่และ รูปแบบของการเยียวยาโรคดว้ ยหลกั พุทธธรรม ไดร้ ูปแบบท่ีนาไปสู่การเจริญมหาสติปัฏฐาน ๔ ดงั น้ี ๑) หลกั ศรัทธา ผูป้ ฏิบตั ิตอ้ งมีความเช่ือความศรัทธาต่อหลกั มหาสติปัฏฐาน ๔ วา่ สามารถบาบดั ความเครียด ได้ ๒) หลกั วิริยะ หรือ ความเพียร ตอ้ งลงมือปฏิบตั ิดว้ ยความเพียรเอาจริงเอาจงั ๓) หลกั ปัญญา คือ ความรู้รอบในเร่ืองที่กาลงั ปฏิบตั ิ เช่น ปฏิบตั ิเรื่องอานาปานสติ ตอ้ งรู้วิธีการกาหนดลมหายใจเขา้ -ลม หายใจออกตามแบบที่กาหนด เป็นตน้ ๒๓) ภัทรภรณ์ วงษกรณ์ และคณะ (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาวิจยั เร่ือง ผลของโปรแกรมกํารฝึ กสติต่อ ความเครียดในผู้ต้องขัง๒ โดยการวิจยั ก่ึงทดลอง วตั ถุประสงคเ์ พื่อศึกษาผลของโปรแกรม๓ การฝึ กสติต่อ ความเครียดในผูต้ อ้ งขงั กลุ่มตวั อย่างเป็ น ผูต้ อ้ งขงั ท่ีอยู่ในระหว่างพิจารณาคดี ท้งั ชายและหญิง มีอายุ ระหวา่ ง ๑๘-๕๙ ปี จากเรือนจาในเขตภาคตะวนั ออก โดยการสุ่มอยา่ ง ง่ายจานวน ๒ เรือนจา เป็ นกลุ่ม ทดลอง ๑ เรือนจาและกลุ่มควบคุม ๑ เรือนจา หลงั จากน้นั สุ่มผูต้ อ้ งขงั ท่ีมีคุณสมบตั ิตามเกณฑ์ท่ี กาหนด กลุ่มละ ๓๐ คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการฝึ กสติ สัปดาห์ละ ๑ คร้ังเป็ นระยะเวลา ๘ สัปดาห์ ติดต่อกนั กลุ่มควบคุมได้ รับการดูแลตามปกติ เครื่องมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั คือ ๑) แบบสอบถามขอ้ มูลส่วน บุคคล ๒) โปรแกรมการฝึกสติ ๓) แบบประเมินและ วเิ คราะห์ความเครียดดว้ ยตนเอง ซ่ึงโปรแกรมการฝึ ก สติได้ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเน้ือหาจากผูท้ รงคุณวุฒิจานวน ๓ ท่าน และแบบประเมินและ วเิ คราะห์ความเครียดดว้ ยตนเอง มีค่าความเที่ยงสัมประสิทธ์อลั ฟ่ าครอนบาคเท่ากบั .๘๑ วิเคราะห์ขอ้ มูล โดย ใชส้ ถิติเชิงพรรณนา สถิติทดสอบทีชนิดไม่เป็ นอิสระตอ่ กนั (dependent t-test) และที่เป็นอิสระต่อกนั (independent t-test) ผลการวิจยั สรุปได้ดังน้ี ๑) ค่าเฉล่ียคะแนนความเครียดของผูต้ อ้ งขงั หลังเข้าร่วม โปรแกรมการฝึ กสติ (M= ๑๔.๘๖, S.D = ๑.๙๔๒) ต่ากวา่ ก่อนการทดลอง (M = ๒๖.๖๓, SD = ๒.๔๔) อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ (t = ๒๕.๓๖ , p< .๐๐๑) ๒) ผลต่างคา่ เฉลี่ย คะแนนความเครียดของผตู้ อ้ งขงั หลงั เขา้ ร่วมโปรแกรมการฝึกสติ ( D๑ = -๑๑.๗๖๖ , SD = ๒.๕๔) มากกวา่ กลุ่มที่ไดร้ ับการดูแล ตามปกติ ( D ๒ = ๑.๙๐, SD = ๓.๓๐) อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติ (t = ๑๒.๙๖ , p < . ๐๐๑) ผลการวิจยั คร้ังน้ีสามารถ นาไปใช้เป็ นทางเลือก หน่ึงในการออกแบบกิจกรรมหรือโปรแกรมเพ่ือการดูแลความเครียดสาหรับ ผูต้ อ้ งขงั มีขอ้ เสนอแนะวา่ ควรมีการศึกษาผล ของโปรแกรมการฝึ กสติในผูต้ อ้ งขงั กลุ่มอื่นเพื่อส่งเสริมให้ ๒ ภทั รภรณ์ วงษกรณ์ และคณะ. ๒๕๖๑. ผลของโปรแกรมการฝึ กสติตอ่ ควา๓มเครียดในผตู้ อ้ งขงั . ว.พยาบาล ทหารบก . ๑๙ (ฉบบั พเิ ศษ) : ๒๖๙-๒๗๘.

๔๖ ผตู้ อ้ งขงั มีสุขภาพจิตที่ดีลดความเครียดขณะอยใู่ นเรือนจาและควรมีการ ติดตามผลของโปรแกรมในระยะ ยาวต่อไป ๒๔) อมรรัตน์ แก้วโพนเพ็ก (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาวิจยั เร่ือง ผลของการออกกําลังกายร่วมกับสมาธิ บําบัดในผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้านที่เป็ นโรคเบาหวาน ชนิดทไี่ ม่พ่ึงอินซูลินตําบลวังสวาบ จังหวัดขอนแก่น๒ โดยการวิจยั ก่ึงทดลองน้ีมีวตั ถุประสงค์ ๑) ศึกษาลกั ษณะส่วนบุคคลของผูส้ ูงอายุกลุ่มติดบา้ นท่ีป่ วยดว้ ย โรคเบาหวานชนิดท่ีไม่พ่ึงอินซูลินในตาบลวงั สวาบ ๒) เปรียบเทียบระดบั น้าตาลในเลือดก่อนและหลงั การออกกาลงั กายร่วมกับสมาธิบาบดั ของผูส้ ูงอายุกลุ่มติดบา้ นท่ีป่ วยด้วยโรคเบาหวานชนิดท่ีไม่พ่ึง อินซูลินในตาบลวงั สวาบ ๓) ศึกษาผลของการออกกาลงั กายร่วมกบั สมาธิบาบดั ของผสู้ ูงอายกุ ลุ่มติดบา้ นท่ี ป่ วยดว้ ยโรคเบาหวานชนิดท่ีไมพ่ ่ึงอินซูลินในตาบลวงั สวาบ กลุ่มตวั อยา่ ง คือ ผสู้ ูงอายทุ ี่อยใู่ นกลุ่มติดบา้ น จานวน ๓๐ คนท่ีมีคุณสมบตั ิดงั น้ี เป็ นผูป้ ่ วยโรคเบาหวานชนิดที่ไม่พ่ึงอินซูลิน สามารถเขา้ ร่วมการวิจยั เป็ นเวลา ๘ สัปดาห์ มีระดบั น้าตาลเลือดมากกวา่ ๑๓๐ มิลลิกรัม/เดซิลิตร ติดต่อกนั ๓ คร้ัง เคร่ืองมือท่ีใช้ ในการวิจยั เป็ นแบบบนั ทึกพฤติกรรม ท่ีมีค่าความเท่ียงเท่ากบั ๐.๙๑ คู่มือฝึ กปฏิบตั ิการออกกาลังกาย ร่วมกบั สมาธิบาบดั แบบประเมินการรับประทานอาหาร เครื่องมือที่ใชค้ ือเครื่องตรวจวดั ระดบั น้าตาลใน เลือดซ่ึงไดร้ ับการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือทุกคร้ัง และแบบประเมินความสามารถในการปฏิบตั ิกิจวตั ร ประจาวนั (BADL) จากกรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข คู่มือวิธีการปฏิบตั ิการออกกาลงั กายร่วมกบั สมาธิบาบดั ดว้ ยเทคนิค SKT ๓ ที่พฒั นาเทคนิคโดยสมพร กนั ทรดุษฏี-เตรียมชัยศรี (๒๐๐๙) ภาควิชาการ พยาบาลสาธารณสุข มหาวิทยาลยั มหิดล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล ไดแ้ ก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐานและสถิติทดสอบที ผลการวจิ ยั พบวา่ ๑) ประชากรที่ศึกษาในคร้ังน้ีส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงและไม่ เคยออกกาลงั กายร่วมกบั สมาธิบาบดั ร้อยละ ๑๐๐ ๒) หลงั การเขา้ ร่วมกิจกรรมระดบั น้าตาลในเลือดของ กลุ่มตวั อยา่ งมีค่าเฉลี่ยเท่ากบั ๙๕ ( = ๙๕, SD = ๑๒.๘๙) ซ่ึงต่ากวา่ ก่อนเขา้ ร่วมกิจกรรมอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .๐๕ และ ๓) พบว่าหลงั การเขา้ ร่วมกิจกรรม มีระดบั คะแนนของ BADL มีค่าเฉลี่ย เพิ่มข้ึนเท่ากับ ๑๕.๑๗ ( = ๑๕.๑๗, SD = ๑.๙๕) ซ่ึงบ่งบอกถึงความสามารถในการประกอบกิจวตั ร ประจาวนั วา่ อยรู่ ะดบั ท่ีสามารถช่วยเหลือตนเองได้ (กลุ่มติดสงั คม) ๒๕) โสภาพรรณ อินต๊ะเผือก และพงษ์ภทั ร์ รัตนสุวรรณ (๒๕๖๑) ไดศ้ ึกษาเรื่อง การปฏิบัติ สมาธิแบบอานาปานสติต่อภาวะสุขภาพของหญงิ วยั หมดประจําเดือน ๒ วตั ถุประสงคเ์ พื่อศึกษาผลของ การปฏิบตั ิสมาธิแบบอานาปานสติท่ีมีต่อภาวะสุขภาพกาย สุขภาพจิตสังคมของหญิงวยั หมดประจาเดือน โดยใชร้ ูปแบบการวจิ ยั แบบก่ึงทดลอง แบ่งเป็ นกลุ่มทดลองจานวน ๒๔ คนไดร้ ับการฝึ กปฏิบตั ิสมาธิแบบ ๒ อมรรัตน์ แกว้ โพนเพก็ . ๒๕๖๑. ผลของการออกกาลงั กายร่วมกบั สมาธิบ๔าบดั ในผสู้ ูงอายกุ ลุ่มติดบา้ นท่ีเป็ น โรคเบาหวาน ชนิดที่ไม่พ่ึงอินซูลินตาบลวงั สวาบ จังหวดั ขอนแก่น. ว.วิชาการมหาวิทยาลัยอิสเทิร์นเอเชีย ฉบับ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลย.ี ๑๒( ๒) : ๒๖๕-๒๗๒. ๒ โสภาพรรณ อินตะ๊ เผอื ก และพงษภ์ ทั ร์ รัตนสุวรรณ. ๒๕๖๑. การปฏิบตั ิส๕มาธิแบบอานาปานสติตอ่ ภาวะ สุขภาพของหญิงวยั หมดประจาเดือน. ว.พยาบาลศาสตร์และสุขภาพ. ๔๑ (๑) : ๖๖-๗๔.

๔๗ อานาปานสติร่วมกบั ผวู้ ิจยั เป็ นระยะเวลา ๑๒ สัปดาห์ และกลุ่มควบคุมจานวน ๒๕ คน ไดร้ ับคาแนะนา ตามปกติจากบุคลากรดา้ นสุขภาพ วิเคราะห์ผลการวิจยั โดยใช้สถิติเชิงพรรณา การเปรียบเทียบความ แตกต่างค่าเฉล่ียระหวา่ งกลุ่ม และภายในกลุ่ม ผลการวจิ ยั พบวา่ หลงั การทดลองกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ย ปัญหาภาวะสุขภาพกายลดลงกวา่ ก่อนการทดลอง (p < ๐.๐๐๑) และมีคะแนนเฉลี่ยปัญหาภาวะสุขภาพจิต สังคมลดลงกว่าก่อนการทดลอง (p < ๐.๐๕) ภายหลงั การทดลองมีคะแนนเฉล่ียปัญหาสุขภาพกายน้อย กวา่ กลุ่มควบคุม (p < ๐.๐๕) ๒๖)ณัฐธิดา พระสว่าง และคณะ (๒๕๖๑) ได้ศึกษาเร่ือง ผลของสมาธิบําบัด นั่งผ่อนคลาย ประสานกายประสานจิตร่วมกับการรักษาแบบเดิมต่อ ความดันโลหิตในผู้ป่ วยความดันโลหิตสูงชนิดไม่ ทราบสาเหตุในหน่วยบริการปฐมภูมิ๒ เป็ นการวจิ ยั แบบก่ึงทดลอง เพ่ือศึกษาผลของสมาธิบาบดั นงั่ ผอ่ ๖น คลาย ประสานกายประสานจิต (SKT ๑) ร่วมกบั การรักษาแบบเดิมตามแผนการรักษาของแพทยจ์ ากหน่วย บริการปฐมภูมิต่อระดบั ความดนั โลหิตในผูป้ ่ วยผูใ้ หญ่โรคความดนั โลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ กลุ่ม ตวั อย่างคือ ผูใ้ หญ่ท่ีป่ วยดว้ ยโรคความดนั โลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ ในจงั หวดั อุบลราชธานี จานวน ๘๐ ราย ซ่ึงแบ่งเป็ นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมจานวนเท่ากนั กลุ่มทดลองได้รับการฝึ กปฏิบตั ิสมาธิ บาบดั SKT ๑ วนั ละ ๒ คร้ัง คร้ังละ ๓๐ นาที ปฏิบตั ิติดต่อกนั ทุกวนั เป็ นเวลานาน ๘ สัปดาห์ร่วมกบั การ รักษาแบบเดิมตามแผนการรักษาของแพทย์ ขณะเดียวกนั กลุ่มควบคุมไดร้ ับการรักษาแบบเดิมตามแผนการ รักษาของแพทยเ์ ทา่ น้นั เครื่องมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั ไดแ้ ก่ แบบสอบถามขอ้ มูลทวั่ ไป เครื่องมือในการทดลอง สื่อการสอน ผา่ นการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยการตรวจสอบความตรงเชิงเน้ือหา โดยการหาดชั นี ความสอดคล้องระหว่างเน้ือหาของข้อความสอดคล้องกับนิยามตัวแปร (Index of item objective congruence; IOC) ได้ค่า IOC เท่ากบั ๐.๙ วิเคราะห์ขอ้ มูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และ Independent t-test ผลการวิจยั พบว่า ค่าเฉล่ียระดบั ความดันโลหิตที่ลดลงในกลุ่มทดลองต่ากว่าในกลุ่มควบคุมอย่างมี นยั สาคญั ทางสถิติ (p < .๐๑)โดยที่ค่าเฉลี่ยผลต่างของระดบั ความดนั โลหิตซิสโตลิก ในกลุ่มทดลองลดลง ๑๓.๓๐ mmHg ในกลุ่มควบคุมลดลง ๑.๐๗ mmHg และค่าเฉล่ียผลต่างของระดับความดนั โลหิตได แอสโตลิก ในกลุ่มทดลองลดลง ๑๒.๔๗ mmHg ในกลุ่มควบคุมลดลง ๐.๒๐ mmHg ผลการวจิ ยั เสนอแนะ วา่ พยาบาลควรใชส้ มาธิบาบดั นง่ั ผอ่ นคลาย ประสานกายประสานจิต (SKT ๑) ร่วมกบั การรักษาแบบเดิม ตามแผนการรักษาของแพทย์ เพ่ือส่งเสริมการควบคุมระดบั ความดนั โลหิตผูป้ ่ วยโรคความดนั โลหิตสูง ชนิดไม่ทราบสาเหตุสาคญั ๒) ด้านเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน : ฐานเวทนา ๒.๑) ความสุขจากเวทนา ๒ ณฐั ธิดา พระสวา่ ง และคณะ. ๒๕๖๑. ผลของสมาธิบาบดั นง่ั ผอ่ นคลาย ป๖ระสานกายประสานจิตร่วมกบั การ รักษาแบบเดิมต่อ ความดนั โลหิตในผปู้ ่ วยความดนั โลหิตสูงชนิดไมท่ ราบสาเหตใุ นหน่วยบริการปฐมภูมิ . ว.การพยาบาล และการดแู ลสุขภาพ สมาคมพยาบาล สาขาภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ. ๓๖ (๑) : ๓๓-๔๒.

๔๘ ๒๗) ลาํ พู กนั เสนาะ (๒๕๕๔) ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เร่ือง ความสมบูรณ์ทางใจอนั เป็ นทม่ี าแห่งความสุข๒ ผลการวจิ ยั พบวา่ คาตอบของความสุข ไม่ไดข้ ้ึนอยูท่ ่ีเรามีอะไร มากนอ้ ยแค่ไหน แต่อยูท่ ่ีเราพอใจกบั สิ่งท่ี เป็น และ สิ่งท่ีไดร้ ับเพยี งใด หลายคนเลือกที่จะหลีกเลี่ยงความทุกข์ ไม่กลา้ ยอมรับและเผชิญหนา้ แต่ต่อให้ หลีกไปท่ีใด หรือไกลแค่ไหนกไ็ ม่อาจหนีความทุกขไ์ ปได้ เพราะความทุกขอ์ ยกู่ บั เราทุกท่ีทุกเวลา เพียงแต่ เราพอใจ เขา้ ใจ ยอมรับในสภาพที่ปฎิเสธไม่ได้ เราจะพบวา่ ความสุขท่ีแทจ้ ริงกส็ ามารถอยกู่ บั เราทุกที่ได้ ๒๘) พระครูธรรมธร ครรชิต คุณวโร (๒๕๕๖)ไดก้ ล่าวถึง การพัฒนาความสุขในพุทธธรรม ๒ ไวว้ ่า การพฒั นามนุษยใ์ ห้มีความสุขคือ จุดมุ่งหมายในหลกั พระพุทธศาสนา หลกั การของพุทธธรรมคือ มนุษยจ์ ะประเสริฐและมีความสุขไดด้ ว้ ยการฝึ กฝนและพฒั นา ไม่ใช่การออ้ นวอนขอร้องการดลบนั ดาล จากส่ิงใดความสุขตามหลกั พุทธธรรมน้ันสามารถแบ่งออกไดเ้ ป็ นหลายระดบั และมีขอ้ ดี ขอ้ เสีย และ วิธีการพฒั นาแตกต่างกนั หลกั พุทธธรรมไดใ้ ห้แนวทางในการปฏิบตั ิต่อความสุขในแต่ละระดบั อย่าง ถูกต้องทาให้มนุษย์สามารถฝึ กฝนพฒั นาชีวิต จิตใจและปัญญาให้เขา้ ถึงความสุขในแต่ระดับได้ตาม ศกั ยภาพของแต่ละบุคคล การพฒั นาความสุขตามหลกั พุทธธรรมไม่ได้มุ่งเพียงแค่ให้มนุษยม์ ีความสุข เท่าน้นั แต่คานึงถึงผลกระทบที่จะเกิดข้ึนตามมาท้งั ต่อตนเอง สังคม สิ่งแวดลอ้ ม ไม่ก่อให้เกิดทุกข์หรือ ปัญหาในภายหลงั และพฒั นาสูงข้ึนไปจนเป็ นความสุขท่ีปราศจากทุกขท์ ้งั หลายโดยสิ้นเชิง หรือนิพพาน ในการพฒั นาความสุขน้ันจะพฒั นาจากความสุขในระดบั ตน้ ๆ ท่ีเป็ นช้นั หยาบ ยงั ก่อให้เกิดทุกข์ไดใ้ น ภายหลงั แต่เขา้ ถึงไดง้ ่ายสาหรับคนทวั่ ไปเป็ นฐานก่อนเมื่อคนเร่ิมมีความสุขในข้นั ตน้ แลว้ ก็จะไม่ให้หยุด ลงเพียงแค่น้นั แต่ใชค้ วามสุขในข้นั ตน้ ๆ เป็ นฐานในการพฒั นาความสุขข้นั สูงยงิ่ ข้ึนต่อไป เป็ นการพฒั นา มนุษยอ์ ย่างเป็ นองคร์ วมท้งั ในดน้ พฤติกรรม จิตใจ และปัญญาตามหลกั ธรรมที่มีอยูต่ ามธรรมชาติที่พระ สัมมาสัมพุทธเจา้ ไดท้ รงคน้ พบ ปฏิบตั ิจนไดผ้ ลและนามาส่ังสอนให้ผูอ้ ่ืนประพฤติปฏิบตั ิตามจนได้ผล มาแลว้ มากกวา่ ๒,๕๐๐ ปี ๒.๒) ความทกุ ข์จากเวทนา ๒๙) อภิชาต พรสี่ (๒๕๕๘)ได้ศึกษาวิจัยเร่ื องวิธีคิดเพ่ือบรรเทาทุกข์ตามหลักการทาง พระพุทธศาสนา๒ ผลการศึกษาพบวา่ วตั ถุประสงคง์ านวจิ ยั เพื่อศึกษาสถานการ๙ณ์ของคนมีทุกขโ์ ดยเฉพาะ ทุกข์ทางใจตามการวิเคราะห์ของพระพุทธศาสนา วิธีคิด และรูปแบบวิธีคิดเพ่ือบรรเทาทุกข์ตามหลกั พระพุทธศาสนา ผลการศึกษาวา่ สถานการณ์ของคนมีทุกขโ์ ดยเฉพาะทางใจ มี ๓ สถานการณ์ คือ ๑)พลดั พรากจากส่ิงท่ีรัก ๒)ประสบกบั ส่ิงท่ีไม่รัก ๓)ไม่ไดส้ ่ิงที่ปรารถนา สาเหตุของความทุกข์ ๒ สาเหตุ คือ ๑) ๒ ลาพู กนั เสนาะ. ๒๕๕๖. ความสมบูรณ์ทางใจอนั เป็ นที่มาแห่งความสุข. ว๗. อเิ ลก็ ทรอนิกส์ (Veridian E- Journal) บณั ฑิตศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร. ๔ ( ๑ ) : ๑๙๒-๒๐๓. ๒ พระครูธรรมธร ครรชิต คุณวโร. ๒๕๕๖ . การพฒั นาความสุขในพทุ ธธรร๘ม. ว.ศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร. ๑๕ (๑ ) : ๙๑-๙๙. ๒ อภิชาต พรส่ี. ๒๕๕๘. วิธีคิดเพ่ือบรรเทาทุกขต์ ามหลกั การทางพระพุทธศ๙าสนา. ว.พุทธศาสน์ศึกษา จุฬาลง กรณราชวทิ ยาลยั . ๒๒(๒) : ๔๙-๗๒.

๔๙ สาเหตุจากภายนอกท่ีมากระตุน้ ทาให้ทุกข์ ๒) สาเหตุจากภายในจิตใจเป็ นความเชื่อและความตอ้ งการ ภายในจิตใจซ่ึงสวนทางกบั ความเป็ นจริง คือ เพราะตณั หาทาให้คิดไม่มีเหตุผล และอวิชชาทาให้ไม่เขา้ ใจความเป็ นธรรมดาของโลก ความคิดที่ประกอบดว้ ยปัญญาเป็ นหนทางดบั ทุกข์ ส่วนรูปแบบวิธีคิดเพื่อ บรรเทาทุกขม์ ี ๓ รูปแบบ คือ ๑)วธิ ีคิดเม่ือพลดั พรากจากสิ่งท่ีรัก ๒)วธิ ีคิดเมื่อประสบกบั ส่ิงท่ีไม่รัก ๓)วิธี คิดเมื่อไม่ไดส้ ิ่งที่ปรารถนา วธิ ีคิดท้งั ๓ ใชบ้ รรเทาความเครียด ความโกรธ ความวติ กกงั วล การคิดแต่ละ รูปแบบยงั ประกอบดว้ ยความคิดท่ีใชเ้ หตุผล ความคิดถูกตอ้ งตามจริง ความคิดบวก มีความเพียร และมีสติ ๓๐) พระมหาวนัส กตสาโร(ทมิ น่ิม) (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เร่ือง รูปแบบการจัดการความทุกข์ทเ่ี กิด จากความปวดตามแนวพระพุทธศาสนา๓ เป็ นงานวิจยั เชิงคุณภาพท่ีศึกษาจากเอกสารและสัมภ๐าษณ์ บุคลากรทางการแพทยแ์ ละผูม้ ีประสบการณ์ในการเผชิญความปวด วตั ถุประสงคเ์ พื่อ ๑)ศึกษาทรรศนะ เร่ืองความทุกข์ที่เกิดจากความปวดในคมั ภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ๒)ศึกษาวิธีการจดั การความทุกขท์ ี่ เกิดจากความปวดตามแนวพระพุทธศาสนา ๓)วิเคราะห์รูปแบบการจดั การความทุกขท์ ่ีเกิดจากความปวด ตามแนวพระพุทธศาสนา รูปแบบการจดั การความทุกข์ท่ีเกิดจากความปวดตามแนวพระพุทธศาสนา แบ่งเป็ น ๓ ระดบั ได้แก่ ๑) ข้นั เตรียมตวั คือ การศึกษาและปฏิบตั ิธรรม ดว้ ยการเรียนรู้ทาความเขา้ ใจ ธรรมชาติของชีวิตในชีวิตประจาวนั ๒) ข้นั จดั การกบั ความปวด ทาไดด้ ว้ ยการมีสติ ตามดูตามรู้ความ เจบ็ ปวดที่เกิดข้ึน การใชค้ วามอดทน หรือดว้ ยการเบ่ียงเบนความสนใจจากทุกขเวทนาไปอยูก่ บั สิ่งอ่ืน เช่น การสวดมนต์ การแผเ่ มตตา ๓) ข้นั ปล่อยวาง คือ การนาพุทธวิธีต่าง ๆ ที่ไดจ้ ากการศึกษามาปฏิบตั ิอยา่ ง ถูกตอ้ ง เพอ่ื จดั การกบั ความปวดท้งั ทางกายและทางจิตใจ จนสามารถปล่อยวางความปวดได้ ๒.๓) รูปแบบการเข้าถึงเวทนา ๓๑) ทัศนีย์ เจนวิถีสุข (๒๕๕๗)ได้กล่าวถึงเร่ืองการสื่อสารเพ่ือบริหารจัดการอารมณ์ตาม แนวทางพระพทุ ธศาสนา๓ ไวว้ า่ ตามแนวทางพระพุทธศาสนา อารมณ์ คือ สิ่งเร้าที่เขา้๑มากระทบกบั บุคคล ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ซ่ึงสามารถบริหารจดั การไดด้ ว้ ยการส่ือสารจากการสื่อสารกบั ตนเอง และการ สื่อสารกับผูอ้ ่ืน ประโยชน์ท่ีเกิดข้ึนจากการสื่อสารเพื่อบริหารจัดการอารมณ์ตามแนวทาง พระพุทธศาสนาน้นั จะก่อให้เกิดประโยชน์ท้งั ต่อตนเอง และผูอ้ ื่น คือ ประโยชน์ต่อตนเองน้นั ทาให้เกิด การควบคุมตนเองและยกระดบั จิตใจ ส่วนประโยชน์ต่อผูอ้ ื่นปรากฏในลกั ษณะของปฏิสัมพนั ธ์ทางบวกที่ มีต่อกนั และการอยรู่ ่วมกนั ในสังคมอยา่ งปกติสุข โดยมีแนวทางการสื่อสารเพื่อบริหาร จดั การอารมณ์ท่ี ผสานท้งั ในส่วนของวิธีคิดและวิธีปฏิบตั ิเขา้ ดว้ ยกนั ซ่ึงปรากฏอยู่ท้งั ในการสื่อสารกบั ตนเองและการ สื่อสารกบั บุคคลอ่ืน โดยวิธีคิด อาศยั หลกั การเรื่องหลกั กรรมและหลกั ไตรลกั ษณ์ ส่วน วธิ ีปฏิบตั ิท่ีสาคญั ไดแ้ ก่ การสารวมอินทรีย์ การเจริญสติ และสัมมปั ปธานหรือการเพยี ร ๔ ประการ ๓ พระมหาวนสั กตสาโร(ทิมน่ิม). ๒๕๖๑. รูปแบบการจดั การความท๐ุกขท์ ่ีเกิดจากความปวดตามแนว พระพทุ ธศาสนา. ว.สันตศิ ึกษาปริทรรศน์. ๖ (ฉบบั พิเศษ) : ๓๑๐-๓๒๑. ๓ ทศั นีย์ เจนวถิ ีสุข. ๒๕๕๗. การสื่อสารเพ่ือบริหารจดั การอารมณ์ต๑ามแนวทางพระพทุ ธศาสนา. ว.ครุศาสตร์ ปริทรรศน์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๑ (๑) : ๑๔-๒๖.

๕๐ ๓๒) พระครูสมุห์เดือน ปุญฺญจาโร และกรรมาธิการ จิตตะมาก (๒๕๖๐)ใหแ้ นวคิดเรื่อง สัญญา ขันธ์ : หนึ่งในความสําคัญของการศึกษาและการพฒั นาชีวิต ๓ วา่ สัญญาขนั ธ์เป็นส่วนประกอบที่สาคญั ๑ ใน ๕ ของชีวิตคน ซ่ึงตามหลกั พระพุทธศาสนา เรียกวา่ ขนั ธ์ ๕ คือ รูปขนั ธ์ หมายถึงส่วนท่ีเป็ นร่างกาย ท้งั หมด เวทนาขนั ธ์ เป็นส่วนความรู้สึกท่ีเกิดจากการสมั ผสั สัญญาขนั ธ์ เป็นส่วนที่เก่ียวกบั ความจา สังขาร ขนั ธ์ เป็นส่วนของการปรุงแต่ง คือการคิด และวญิ ญาณขนั ธ์ เป็นส่วนของจิตใจ สัญญาขนั ธ์หรือความจาน้ี มีประโยชน์มากท้งั ในการดารงชีวิต เป็ นประสบการณ์ชีวติ สาหรับการพฒั นาและป้องกนั การผดิ พลาดซ้า อีก เป็ นประโยชน์ต่อการเรียน เป็ นเหมือนคลงั เก็บรักษาความรู้เอาไวส้ าหรับเป็นฐานของความคิด ส่วนท่ี เป็นโทษก็มีคือมีส่วนในการทาร้ายตนเอง ซ้าเติมตนเองได้ แต่ก็พอมีทางแกไ้ ขและป้องกนั ได้ ๓๓) จินดา เฮงสมบูรณ์ (๒๕๖๑) ได้กล่าวถึงเรื่อง เวทนากับชีวิต๓ โดยวตั ถุประสงค์เพ่ือให้ ตระหนกั ถึงความสาคญั ของเวทนาและรู้จกั ใชเ้ วทนาให้เป็ นประโยชน์ต่อชีวิต เวทนาเกิดจากผสั สะและ จาแนกไดถ้ ึง ๑๐๘ ชนิด แต่ที่นิยมกล่าวถึงมี ๓ ชนิดไดแ้ ก่สุขเวทนา ทุกขเวทนาและอุเบกขาเวทนา เวทนา มีธรรมชาติท่ีอยภู่ ายใตก้ ฎของไตรลกั ษณ์ท้งั ๓ ประการเช่นเดียวกบั ขนั ธ์ ๕ ท้งั เป็นหวั เล้ียวหวั ต่อที่จะแยก ความรู้จากกระบวนการรับรู้วา่ เป็ นความรู้ท่ีบริสุทธ์ิ ซ่ึงปราศจากตณั หา มานะและทิฏฐิ อนั เป็ นกระบวน ธรรมแบบววิ ฏั หรือเป็นความรู้ที่ไมบ่ ริสุทธ์ิ คือ เจือดว้ ยตณั หา มานะและทิฏฐิ อนั เป็นกระบวนธรรมแบบ สังสารวฏั ในกระบวนธรรมแบบวิวฏั น้นั เวทนาเป็ นเพียงองค์ประกอบย่อย ๆ อย่างหน่ึงที่ช่วยให้เกิด ความรู้ท่ีถูกตอ้ งสมบูรณ์ สามารถนาไปสู่วชิ ชาและวมิ ุติ ส่วนในกระบวนธรรมแบบสังสารวฏั เวทนาเป็ น ปัจจยั สาคญั ท่ีครอบงาความเป็ นไปของกระบวนธรรมท้งั หมด นาไปสู่การเวียนวา่ ยตายเกิด และทุกขไ์ ม่ รู้จกั จบสิ้น กล่าวไดว้ า่ ชีวิตจะเป็นอยา่ งไรก็เพราะเวทนาและเพอื่ เวทนา จึงนบั วา่ เวทนามีความสาคญั ย่ิงต่อ ชีวิต เพราะถ้าเกิดเวทนาแล้วปฏิบตั ิตนไม่ถูกตอ้ งก็จะเกิดความรู้ที่ไม่บริสุทธ์ิเป็ นกระบวนธรรมแบบ สังสารวฏั ตอ้ งวนเวยี นอยูก่ บั กองทุกข์ แต่ถา้ ปฏิบตั ิตนถูกตอ้ งก็จะเกิดความรู้ท่ีบริสุทธ์ิเป็ นกระบวนธรรม แบบววิ ฏั อนั จะเป็นประโยชนต์ ่อชีวติ อยา่ งยง่ิ และยงั สามารถทาใหถ้ ึงท่ีสุดแห่งทุกขไ์ ด้ ๓)ด้านจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน : ฐานจิต ๓.๑) แนวทางการพฒั นา รูปแบบฐานจิตนําทาง ๓๔) พระวรศักด์ิ จนฺทโชโต (โมกขสุทธิวงค์) (๒๕๕๔) ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เร่ือง การศึกษาจริต ๖ กบั การ รับรู้ความตาย : กรณศี ึกษาผู้ปฏิบัติวปิ ัสสนากรรมฐาน วดั ระฆงั โฆสิตาราม๓ วตั ถุประสงคเ์ พื่อ ๑)ศึกษา ๓ พระครูสมหุ ์เดือน ปุญฺญจาโร และ กรรมาธิการ จิตตะมาก. สญั ญา๒ขนั ธ์ : หน่ึงในความสาคญั ของการศึกษา และการพฒั นาชีวติ . ว.ครุศาสตร์ปริทรรศน์ฯ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๔(๑) : ๓๓-๔๔. ๓ จินดา เฮงสมบูรณ์. ๒๕๖๑ . เวทนากบั ชีวติ . ว. พทุ ธปัญญาปริทร๓รศน์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั . ๓ (๑) : ๔๕-๕๔. ๓ พระวรศกั ด์ิ จนฺทโชโต (โมกขสุทธิวงค)์ . ๒๕๕๔. การศึกษาจริต ๖๔ กบั การรับรู้ความตาย : กรณีศึกษาผู้ ปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน วดั ระฆงั โฆสิตาราม. ว.พฤตกิ รรมศาสตร์เพื่อการพฒั นา . ๓ (๑ ) : ๑๒๐-๑๓๓.

๕๑ ระดบั พฤติกรรมจริต ๖ และระดบั การรับรู้ความตาย ๒)ศึกษาเปรียบเทียบการรับรู้ความตาย จาแนกตาม ลกั ษณะขอ้ มูลทวั่ ไป ๓)ศึกษาเปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งจริต ๖ กบั การรับรู้ความตาย กลุ่มตวั อยา่ ง ท่ีใช้ในการวิจยั คร้ังน้ี ได้แก่ ผูป้ ฏิบตั ิธรรมวิปัสสนากรรมฐานวดั ระฆงั โฆสิตาราม กรุงเทพมหานคร จานวน ๒๐๑ คน เครื่องมือที่ใชใ้ นการวิจยั ไดแ้ ก่ แบบสอบถาม จริต ๖ และการรับรู้ความตาย สมมติฐาน ในงานวิจยั มี ๑๐ ขอ้ สถิติที่ใชใ้ นการทดสอบสมมติฐาน ไดแ้ ก่ Independent Samples t-test, F-test (One- way ANOVA) และเปรียบเทียบความแตกต่างเป็ นรายคู่ด้วยวิธี Fisher’s Least-Significant Difference (LSD) ผลการวิจยั พบวา่ ๑)ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลทวั่ ไป กลุ่มตวั อยา่ งส่วนใหญ่มีอายุระหวา่ ง ๒๐-๓๐ ปี และเป็ นเพศหญิง มีระดบั การศึกษาปริญญาตรี สถานภาพโสด ส่วนใหญ่ยงั เป็ นนกั ศึกษา มีรายไดเ้ ฉล่ียต่อ เดือนสูงกวา่ ๑๕,๐๐๑ บาท และต่ากวา่ ๖,๐๐๐ บาท ส่วนใหญ่มาฝึกปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานมากกวา่ หน่ึง เดือนต่อคร้ัง และมีระยะเวลาฝึ กปฏิบตั ิธรรมมาน้อยกว่า ๓ เดือน ๒)ผลการวิเคราะห์ระดบั พฤติกรรม ลกั ษณะจริต ๖ กลุ่มตวั อยา่ งโดยภาพรวมมีความเป็นพทุ ธิจริต และสัทธาจริตอยใู่ นระดบั มาก โมหจริต ราค จริต วติ กจริต และโทสจริตอยใู่ นระดบั ปานกลาง ๓)ผลการวเิ คราะห์ระดบั การรับรู้ความตาย กลุ่มตวั อยา่ ง มีการรับรู้ความตายโดยเฉล่ียอยู่ในระดบั ปานกลาง และเมื่อพิจารณาแยกเป็ นดา้ นต่าง ๆ พบว่า การรับรู้ ความตายดา้ นทุกขงั มากท่ีสุด อยใู่ นระดบั มาก การรับรู้ความตายดา้ นอนิจจงั อยใู่ นระดบั ปานกลาง และการ รับรู้ความตายดา้ นอนตั ตานอ้ ยท่ีสุด ตามลาดบั ๔) ผลการวเิ คราะห์เปรียบเทียบการรับรู้ความตาย จาแนก ตามลกั ษณะขอ้ มูลทว่ั ไป ขอ้ มูลทวั่ ไปดา้ นเพศต่างกนั มีการรับรู้ความตายไม่แตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .๐๕ ส่วนขอ้ มูลทว่ั ไปดา้ นอายุ ระดบั การศึกษา อาชีพ รายได้ ความถ่ีและระยะเวลาในการ ฝึกปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน มีการรับรู้ความตายแตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .๐๕ ๕) ผล การวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งจริต ๖ กบั การรับรู้ความตาย ผลท่ีไดจ้ ากการวิจยั พบว่า การรับรู้ความตาย (ไตรลักษณ์) ท้งั สามด้าน คือ ด้านอนิจจงั ด้านทุกขงั และด้านอนัตตา ว่าผูป้ ฏิบตั ิ วปิ ัสสนากรรมฐานที่เป็ นสัทธาจริตและพุทธิจริต รับรู้ความตายแตกต่างกบั โทสจริต โมหจริต วิตกจริต มี ความแตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .๐๕ ๓๕) พระชุมพล ฐิตธมฺโม (แกว้ นวน) (๒๕๕๙) ไดศ้ ึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง วธิ ีการพัฒนาจิตตาม แนวกสิณในพระพุทธศาสนาเถรวาท ๓ วตั ถุประสงค์ ๑)เพ่ือศึกษากสิณ ๑๐ ที่ปรากฏในพระพุท๕ธศาสนา เถรวาท ๒)เพ่ือศึกษาถึงวธิ ีการฝึ กกสิณ ๑๐ ในพระพุทธศาสนาเถรวาท และ ๓)เพื่อศึกษาวธิ ีการพฒั นาจิต ตามแนวกสิณ ๑๐ ที่ปรากฏในพระพุทธศาสนาเถรวาท เป็ นการวิจยั เชิงคุณภาพโดยวิธีการศึกษาคน้ ควา้ ขอ้ มูลจากคมั ภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท อนั ไดแ้ ก่ พระไตรปิ ฎก อรรถกถาฎีกา และคมั ภีร์อื่น ๆ รวมท้งั เอกสารที่เกี่ยวขอ้ งจากการศึกษาพบว่ากสิณ ๑๐ เป็ นกรรมฐานชนิดหน่ึงในพระพุทธศาสนาเถรวาท จาก บรรดากรรมฐานท้งั หมด ๔๐ วธิ ี ที่พระพุทธองคไ์ ดท้ รงวางหลกั วธิ ีการปฏิบตั ิเพ่ือเป็ นวิธีการฝึ กอบรมจิต สาหรับพุทธสาวก เป็ นกรรมฐานที่มีประสิทธิภาพมาก ทรงพลงั ทาให้จิตเกิดสมาธิไดเ้ ร็วมีอานิสงส์ และ ๓ พระชุมพล ฐิตธมฺโม (แกว้ นวน) . ๒๕๕๙. วธิ ีการพฒั นาจิตตามแน๕วกสิณในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท. ว. มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏพบิ ูลสงคราม ๑๖(๒) : ๒๔๑-๒๕๐.

๕๒ อานุภาพมากซ่ึงวธิ ีการฝึ กจิตตามแนวทางแห่งกสิณน้นั จุดมุ่งหมายกเ็ พ่ือทาฌานใหเ้ กิดข้ึนอีกท้งั ยงั ใชเ้ ป็น บาทฐานในการฝึ กจิตเพ่ือทาอภิญญาให้เกิดข้ึนไดด้ ีอีกดว้ ย นอกจากน้ี กสิณยงั เป็ นกรรมฐานที่สามารถฝึก จิตให้ถึงฌานไดเ้ ร็วกวา่ กรรมฐานอ่ืน ๆ ท้งั น้ีก็ดว้ ยเพราะวา่ การเพ่งกสิณน้นั อุคคหนิมิตและอุปจารสมาธิ เกิดข้ึนไดง้ ่าย เม่ืออุคคหนิมิตและอุปจารสมาธิเกิดง่าย การได้ฌานน้นั ก็เร็วท้งั ยงั สามารถพฒั นาจิตให้ สูงข้ึนไดถ้ ึงระดบั ฌานสมาบตั ิ ๘ และในกรณีที่ได้ บรรลุธรรมถึงข้นั พระอนาคามีหรือพระอรหนั ต์ดว้ ย แลว้ สามารถที่จะเขา้ นิโรธสมาบตั ิไดซ้ ่ึงเป็นอานิสงส์ ขอ้ หน่ึงอนั เกิดจากการฝึ กจิตตามแนวทางแห่งกสิณ ในพระพุทธศาสนาเถรวาท และใช้ฌานน้ันเป็ นบาทฐานในการเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อไป เพื่อ จุดมุ่งหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา คือ นิพพานวิธีการพฒั นาจิตตามแนวกสิณในพระพุทธศาสนา เถรวาทน้นั ก็คือ เป็นกระบวนการฝึกอบรมจิต เพือ่ พฒั นาศกั ยภาพของผฝู้ ึกปฏิบตั ิท้งั ในดา้ นกาย วาจา และ ใจ เพอื่ ความบริสุทธ์ิแห่งจิตเป็ นการวางรากฐานทางจิตใหม้ ีศกั ยภาพ พร้อมเหมาะที่จะนาไปใชท้ างานทาง ปัญญา กล่าวคือ เป็ นการเจริญวิปัสสนาภาวนาโดยมีสมถะเป็ นบาท หรือ เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ “สมถยานิ กะ” ซ่ึงเป็ นแบบวิธีในทางพระพุทธศาสนาเถรวาท สาหรับใช้เป็ นแนวทางในการฝึ กปฏิบตั ิพฒั นาจิต เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ถึงซ่ึงมรรค ผล นิพพาน รูปแบบหน่ึง น้นั เอง ๓๖) พระมหาประธาน ปริชาโณ (๒๕๕๙) ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เรื่อง การศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดเรื่อง จิตกับกาย ในพุทธปรัชญาเถรวาทกับปรัชญาของเรเน เดส์การ์ตส์๓ วตั ถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาแนวคิด เรื่องจิตกบั กายในพุทธปรัชญาเถรวาท ๒) เพ่ือศึกษาแนวคิดเรื่องจิตกบั กายในปรัชญาของเดส์การ์ตส์ และ ๓) เพ่ือเปรียบเทียบแนวคิดเรื่องจิตกบั กายในพุทธปรัชญาเถรวาทกบั ปรัชญาของเดส์การ์ตส์เป็ นการวิจยั เชิงเอกสาร โดยการเก็บขอ้ มูลจากเอกสารปฐมภูมิและเอกสารทุติยภูมิ แลว้ นามาวเิ คราะห์ดว้ ยวธิ ีพรรณนา ผลการวจิ ยั พบวา่ จิตกบั กายในทศั นะพทุ ธปรัชญา จิตคือสิ่งที่เป็ นนามธรรม กายคือส่วนท่ีเป็นรูปธรรม สิ่ง ท้งั สองมีอยใู่ นฐานะท่ีเป็นองคป์ ระกอบไม่มีตวั ไม่มีตนเปล่ียนแปลงไปตามกฎไตรลกั ษณ์เป็นกระบวนการ ของนามรูปจะอาศยั ซ่ึงกนั และกนั ในการเกิดข้ึนต้งั อยแู่ ละดบั ไปตามหลกั ปฏิจจสมุปบาท จึงปรากฏใหเ้ ห็น เหมือนมีอยู่จริง เม่ือใดกระบวนการนามรูปหยดุ ลง นามรูปก็ว่างเปล่าจากตวั ตน จิตกบั กายในทศั นะเดส์ การ์ตส์ จิตคือสารท่ีเป็นนามธรรมไดแ้ ก่ความคิดหรือจิตสาร กายคือวตั ถุสารเป็นสารท่ีเป็นรูปธรรม สารจิต เป็ นสิ่งไม่กินที่ ไม่มีน้าหนกั และไม่สามารถแบ่งแยกได้ ในขณะท่ีวตั ถุสาร (กาย) เป็ นสิ่งที่กินที่ มีน้าหนกั และแยกยอ่ ยได้ และไม่มีสามญั สานึก เดส์การ์ตส์เชื่อวา่ จิตกบั กายต่างก็เป็ นสิ่งที่มาจากการสร้างของพระ เจา้ เปรียบเทียบจิตในพุทธปรัชญากบั จิตของเดส์การ์ตส์ส่วนท่ีเหมือนกนั คือจิตเป็ นส่ิงที่เป็ นนามธรรม ไม่กินที่ ไม่มีน้าหนกั ธรรมชาติของจิตคือการรับรู้ มีความคิด เป็ นธาตุท่ีรู้คิดและเป็ นส่ิงท่ีมีมาแต่กาเนิด ส่วนท่ีแตกต่างของจิต เดส์การ์ตส์ เห็นว่าจิตเป็ นสารท่ีอิสระ เป็ นอตั ตา เป็ นสิ่งท่ีไม่เปล่ียนแปลงและไม่ ข้ึนอยกู่ บั กาย กายกบั จิตจะเป็นอิสระต่อกนั แตจ่ ิตในพุทธปรัชญาเป็ นอนตั ตา ไมม่ ีตวั ตนเกิดข้ึน ต้งั อยแู่ ละ ดบั ไปตามเหตุปัจจยั ตามหลกั ปฏิจจสมุปปบาท เปรียบเทียบกายในพุทธปรัชญากบั กายของเดส์การ์ตส์ ๓ พระมหาประธาน ปริชาโณ. ๒๕๕๙. การศึกษาเปรียบเทียบแนวคิด๖เรื่องจิตกบั กาย ในพทุ ธปรัชญาเถรวาท กบั ปรัชญาของเรเน เดส์การ์ตส์. ว.ธรรมนิทรรศน์ ๑๖(๓) : ๓๙-๔๖.

๕๓ ๘ ส่วนท่ีเหมือนกนั ของกายคือเป็ นสิ่งที่เป็ นรูปธรรม (สสาร) กินท่ี และมีน้าหนกั ส่วนที่แตกตา่ งกนั คือพทุ ธ ปรัชญาเห็นวา่ กายมีอยเู่ พราะอาศยั เคร่ืองปรุงแต่งจึงสามารถดารงอยไู่ ด้ ถา้ ปราศจากเครื่องปรุงแต่งแลว้ จะ ไม่เหลืออะไรเลยคือเป็ นอนตั ตา ส่วนกายในทศั นะของเดส์การ์ตส์ คือเป็ นอิสระจากสิ่งต่างๆ เป็ นสิ่งที่มี ตวั ตนคือเป็นอตั ตาและถูกสร้างโดยพระเจา้ ๓๗) ธรรมศักด์ิ กาญจนบูรณ์ (๒๕๖๐)ศึกษาเรื่อง โลกุตตรจิตในพุทธปรัชญาเถรวาท๓ ไดก้ ล่าว วา่ โลกุตตรจิต และเร่ืองวิถีจิต เกิดข้ึนกบั อริยบุคคลท้งั ๔ โดยมีระดบั ของการทาลายกิเลสที่แตกต่างกนั ออกไป โลกุตตรจิตของพระอริยบุคคลท้งั กิริยาจิตของพระอรหนั ตย์ งั มีลกั ษณะเหมือนจิตคนทว่ั ไปคือ มี การเกิดดบั สืบเน่ืองกนั อยูต่ ลอดเวลา มีการรับอารมณ์อยตู่ ลอด ดงั น้นั ไม่วา่ จะเป็ นบุคคลในระดบั ไหน การ ทางานของจิตท่ีเกิดดบั สืบเน่ืองกบั การรับอารมณ์กย็ งั คงอยู่ แต่จะต่างกนั ตรงที่ ระดบั ของพระอริยบุคคลจะ มีเครื่องมือในการกลน่ั กรองอารมณ์ท่ีรับรู้ รู้จกั ใชส้ ติ ใชป้ ัญญาอนั เป็ นผลมาจากการปฏิบตั ิซ่ึงเครื่องมือน้ี จะช่วยเราให้ต่อสู้รับมือกบั อกุศลจิตในตวั เรา และส่ิงเร้าทางลบภายนอกที่มากข้ึนในสังคมปัจจุบนั ไดเ้ ป็น อยา่ งดี ๓๘) ชนาธิป ศรีโท (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาเรื่อง การปฏิบตั ิจิตภาวนาโดยใช้สติเป็ นฐานตามแนวเทศนา ของพระโสภณวิสุทธิคุณ (หลวงป่ ูบุญเพง็ กปฺปโก) ๓ ผลการศึกษาพบวา่ การปฏิบตั ิพระพุทธศาสนาน้นั ตามท่ีไดท้ ราบกนั อยูแ่ ลว้ วา่ เม่ือกล่าวโดยยอ่ ก็ปฏิบตั ิในไตรสิกขา อนั ไดแ้ ก่ สีลสิกขา จิตตสิกขาคือสมาธิ และปัญญาสิกขา เพื่อผลคือวิมุติความหลุดพน้ ฉะน้นั การปฏิบตั ิอบรมจิต ซ่ึงเรียกตามภาษาบาลีว่าจิตต ภาวนา หมายถึงการอบรมในจิตตสิกขา และปัญญาสิกขา หรือสมาธิคือปัญญาน้นั เอง หรือเรียกอีกอยา่ ง หน่ึงวา่ สมถะวปิ ัสสนา สติ คือ ความระลึกได้ สัมปชญั ญะ ก็คือความรู้ตวั สติมนั อยตู่ รงไหนล่ะและอะไร เป็ นสติ และสติมนั อยทู่ ่ีไหน ท่ีต้งั ของสติมนั อยตู่ รงไหนและมนั งอกออกจากไหน ก็สติมนั ก็งอกออกจาก ใจ และมนั ก็อยทู่ ี่หวั ใจเป็นตน้ ของสติสมั ปชญั ญะก็ออกจากหวั ใจ มนั ก็อยใู่ นใจ มนั ไม่ไดไ้ ปอยนู่ อกจากใจ สติก็ดี สัมปชญั ญะก็ดี ปัญญาก็ดี แลว้ เราจะเอาสติท่ีเราวา่ พากนั ไปฝึ กสตินนั่ น่ะ แลว้ จะเอาสติไปใช้เวลา ไหน เอาสัมปชญั ญะไปใชเ้ วลาไหน ถา้ เราไม่ใช่ในเวลาที่เรานงั่ ภาวนา สติมนั กง็ อกออกจากจิต จิตมนั มีสติ สัมปชญั ญะมนั ก็งอกออกจากจิต ก็จิตมนั มีสติสัมปชญั ญะ รวมความไดแ้ ลว้ คือ ตวั ของเรา มนั มีอยู่ในตวั เราเอง มนั ไมใ่ ช่ของที่อยนู่ อก ก็เอาสติของตวั เองอนั ที่มนั เกิดข้ึนจากหวั ใจตวั เอง กเ็ อามาระงบั หวั ใจตวั เอง สัมปชญั ญะก็ออกจากหวั ใจตวั เอง ก็เอามนั มารู้หวั ใจตวั เอง ก็หมายความวา่ ของที่อยใู่ นตวั เอง แลว้ ก็เอามา ใชใ้ หม้ นั เป็นประโยชน์กบั ตวั เอง น้นั ล่ะเรียกวา่ “พระธรรม” ๓ ธรรมศกั ด์ิ กาญจนบูรณ์.๒๕๖๐. โลกตุ ตรจิตในพทุ ธปรัชญาเถรวา๗ท. ว.พุทธศาสน์ศึกษา ศูนยพ์ ทุ ธศาสน์ ศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ๒๔(๒) : ๓๗-๕๔. ๓ ชนาธิป ศรีโท. ๒๕๖๑. การปฏิบตั ิจิตภาวนาโดยใชส้ ติเป็ นฐานตา๘มแนวเทศนาของพระโสภณวสิ ุทธิคุณ (หลวงป่ บู ุญเพง็ กปฺปโก). ว.แสงอสี าน มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอีสาน. ๑๕ (๑): ๘๙-๑๐๐.

๕๔ ๓๙) พระเทพสิทธิมุนี และคณะ (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่อง วเิ คราะห์หลกั จิตนิยามในฐานะมโน สํานึกทางศีลธรรมสากล๓ วตั ถุประสงคเ์ พื่อศึกษาหลกั จิตนิยามในพระพุทธศาสนา เ๙ถรวาท หลกั ศีลธรรม สากลและขอ้ จากดั ของศีลธรรมในปัจจุบนั และเพื่อวิเคราะห์จิตนิยามใน ฐานะมโนสานึกทางศีลธรรม สากล งานวิจยั น้ีเป็ นการวิจยั เชิงเอกสารโดยมีวิธีดาเนินการวิจยั ศึกษาขอ้ มูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง ผลการวจิ ยั พบวา่ จิตนิยามคือกฎหรือตวั กาหนดของจิตซ่ึงมี ธรรมชาติเกิดดบั ตลอดเวลา และเป็ นไปตาม ปัจจยั ปรุงแต่งจิต แบ่งเป็ น ๓ คือ กุศลจิต อกุศลจิต และอพั ยากตจิต ทาหน้าท่ีปรุงจิตให้แสดงพฤติกรรม ออกมาภายนอกตามตวั ปรุงแต่งจิต หลกั ศีลธรรมทว่ั ไปยงั ติดอยู่ในกรอบของการคิดแบบมีตวั ตน แต่จิต ยามใช้สติสัมปชญั ญะกาหนดรู้ สภาวะของจิตที่กาลงั ดาเนินไปอยู่ทุกขณะจนสามารถจาแนกรู้ตนว่า สภาวะของจิตกาลงั อยู่ใน ภาวะกุศลหรืออกุศล ซ่ึงจะสร้างความปกติของกายภาพดว้ ยกุศล เพราะสติจะ ยบั ย้งั ไม่ให้จิตถูก ปรุงแต่งดว้ ยอกุศล ยงั เปิ ดให้มีการพฒั นาพฤติกรรม และยงั ใช้เป็ นเกณฑ์ตดั สินการ กระทา ซ่ึง สามารถแกไ้ ขขอ้ จากดั และความบกพร่องของศีลธรรมทวั่ ไปได้ ๔๐) จําเนียร แสงสิน และ วีรชาติ น่ิมอนงค์ (๒๕๕๖) ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่อง แนวคิดเร่ือง “จิตว่าง” ของพระพุทธทาสภิกขุ: ศึกษาวิเคราะห์ ๔ วตั ถุประสงคว์ ิเคราะห์แนวคิดเร่ือง “จิตวา่ ง” ในทรรศนะ๐ของ พระพุทธทาส และในคมั ภีร์ศาสนาพุทธเถรวาท และวเิ คราะห์ “จิตวา่ ง” ของพระพุทธทาส และ “สุญญตา” ในคมั ภีร์ศาสนาพุทธเถรวาท รวมท้งั ศึกษามุมมองของนักวิชาการบนแนวคิดเรื่อง “จิตว่าง” และการ ประยกุ ตใ์ ช้ “จิตวา่ ง” ในสังคมไทย คาวา่ “จิตวา่ ง” เป็นคาไทยใชเ้ ฉพาะพระพทุ ธทาส ประยกุ ตม์ าจากคาวา่ “สุญญตา” ในคาสอนศาสนาพุทธด้งั เดิมที่พบในพระไตรปิ ฎก มีการถกเถียงกนั มากวา่ การตีความของพระ พุทธทาสถูกตอ้ งตามคาสอนของพระพุทธเจา้ หรือไม่ นกั วิเคราะห์และนกั วชิ าการบางคนยกยอ่ งพระพทุ ธ ทาสวา่ เป็ นผเู้ ฉลียวฉลาดสามารถนา “สุญญตา” ซ่ึงเป็ นคาสอนลึกซ้ึง มาเป็ นส่ิงที่ชาวพุทธสามารถปฏิบตั ิ ได้ ฝ่ ายตรงกนั ขา้ มวิจารณ์ว่า พระพุทธทาสเป็ นพระภิกษุผูท้ าลายพระพุทธศาสนาให้เส่ือม สรุปวา่ การ ตีความเร่ือง “จิตวา่ ง” ของพระพุทธทาส มีความสอดคลอ้ งกบั คาว่า “สุญญตา” ในพระไตรปิ ฎก ซ่ึงเป็ น ตารามีเชื่อถือไดใ้ นศาสนาพุทธเถรวาท ท้งั คูข่ อง “จิตวา่ ง” และ “สุญญตา” ครอบคลุมแนวคิดของความจริง คือ สภาวะท้งั หมดเป็ นความว่างจากตวั ตน และส่ิงท่ีเน่ืองดว้ ยตน เน่ืองจากแนวคิดเรื่อง “จิตว่าง” ใชส้ ื่อ โดยภาษาคน (ตรงขา้ มกบั ภาษาธรรม) ที่เขา้ ถึงไดง้ ่ายในการปฏิบตั ิทางดา้ นจิตใจของชาวพุทธ ซ่ึงสามารถ ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั ของคนสมยั ใหมใ่ นสงั คมไทยปัจจุบนั ๔๑) สามารถ สุ ขุประการ๔ (๒๕๖๑)ได้ศึกษาวิจัยเรื่ อง อิทธิพลของจิตท่ีมีต่ อ๑วัตถุใน พระพุทธศาสนาเถรวาท ผลการศึกษาพบวา่ จิตมีพฤติกรรมเกิดและดบั อยูต่ ลอดเวลา ประมาณแสนโกฏิ ๓ พระเทพสิทธิมนุ ี และคณะ . ๒๕๖๑. วเิ คราะหห์ ลกั จิตนิยามในฐา๙นะมโนสานึกทางศีลธรรมสากล. ว. บณั ฑติ ศึกษาปริทรรศน์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๑๔( ๒) : ๒๙-๔๒. ๔ จาเนียร แสงสิน และ วรี ชาติ น่ิมอนงค.์ ๒๕๕๖. แนวคดิ เรื่อง “จิตว๐า่ ง” ของพระพทุ ธทาสภิกข:ุ ศึกษา วเิ คราะห์. ว.วจิ ยั (ฉบบั บัณฑิตวทิ ยาลยั ) คณะมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์. มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น.๑ (๑) : ๑-๑๓. ๔ สามารถ สุขปุ ระการ. ๒๕๖๑. อิทธิพลของจิตท่ีมีต่อวตั ถุในพระพทุ ๑ธศาสนาเถรวาท. ว. พุทธศาสน์ศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ๒๕(๒) : ๒๙-๔๘.

๕๕ ๒ ขณะชว่ั ลดั นิ้วมือเดียว จึงเกิดการกระเพื่อมของอวกาศโดยรอบที่จิตอยู่ ปรากฏการณ์น้ีมีผลทาให้อวกาศ เกิดคล่ืนท่ีมีความถี่ เพราะอวกาศน้นั เปรียบเหมือนผนื ผา้ ใบตามทฤษฎีกาลอวกาศ (Time-Space) สามารถ โคง้ งอไหวตวั ได้ ในการทดลองช่องคู่เปิ ด (Double slit) วตั ถุในระดบั อนุภาคท่ีมีคุณสมบตั ิเป็ นไดท้ ้งั คล่ืน และอนุภาค (Duality State) จะเปลี่ยนไปเป็ นคล่ืนทนั ทีท่ีผา่ นช่องคู่ แต่ถา้ หากวา่ มีเพ่งมองอนุภาคน้นั จะ ไมเ่ ปล่ียนไปเป็นคล่ืน ทรงสภาพเป็นอนุภาคตามเดิม แสดงวา่ คลื่นที่เกิดจากจิตสร้างข้ึนสามารถสอดแทรก คล่ืนที่มีอยใู่ นอนุภาคได้ จิตจึงมีอิทธิพลตอ่ วตั ถุขนาดใหญไ่ ดเ้ พราะวตั ถุท้งั หลายประกอบมาจากอนุภาค ๓.๒) รูปแบบจิตปัญญาศึกษา ๔๒) สนิท สัตโยภาส และ ณัฐธยาน์ สมาเกตุ๔ (๒๕๕๖)ไดศ้ ึกษาวิจยั เร่ือง การใช้กระบวนวชิ า จิตตปัญญาศึกษา (CONTEMPLATIVE STUDIES)หมวดวิชาศึกษาท่ัวไปพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม อันพงึ ประสงค์แก่นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ วตั ถุประสงคเ์ พ่ือ ๑) ศึกษาผลการจดั การเรียนรู้ของวิชาจิตตปัญญาศึกษาพฒั นาคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมอนั พึง ประสงค์ ๖ ตวั บง่ ช้ี ของสานกั งานรับรองมาตรฐานและการประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.) ๒) เพอ่ื ศึกษา ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวชิ าจิตตปัญญาศึกษาของนกั ศึกษา ๓) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนกั ศึกษาท่ี มีต่อกระบวนการเรียนการสอนวิชาจิตตปัญญาศึกษา กลุ่มตวั อย่างได้แก่ นักศึกษาระดบั ปริญญาตรี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงใหม่ ที่ลงทะเบียนเรียนวิชา GHUM ๑๑๐๑ จิตตปัญญาศึกษา ภาคการศึกษาที่ ๑/ ๒๕๕๔ กบั ผูว้ ิจยั จานวน ๒๔๙ คน เคร่ืองมือที่ใช้ดาเนินการวิจยั ประกอบดว้ ย รายละเอียดของรายวิชา จิตตปัญญาศึกษา (มคอ.๓) แบบสอบถามเพ่ือประเมินระดบั คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมอนั พงึ ประสงค์ ของนักศึกษาระดบั ปริญญาตรี แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาจิตตปัญญาศึกษา กิจกรรม AAR : After Action Review ของกระบวนวชิ าจิตตปัญญาศึกษาและแบบประเมินการสอนของอาจารย์ ทาง เวบ็ ไซต์ของสานกั ส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชียงใหม่ ดาเนินการเก็บขอ้ มูล โดยใหน้ กั ศึกษากลุ่มตวั อยา่ งตอบแบบสอบถามเพือ่ ประเมินคุณธรรมจริยธรรม และคา่ นิยมอนั พงึ ประสงค์ ในชั่วโมงแรกของการเรียนวิชาจิตตปัญญาศึกษา จากน้ันจึงดาเนินการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน รายวิชาจิตตปัญญาศึกษา ตามรายละเอียดของวชิ าจิตตปัญญาศึกษา (มคอ.๓) ให้กบั นกั ศึกษากลุ่มตวั อยา่ ง เป็ นเวลา ๑ ภาคการศึกษา แลว้ ทากิจกรรม AAR : After Action Review ในชวั่ โมงสุดทา้ ยของการเรียน จากน้นั จึงให้นกั ศึกษากลุ่มตวั อยา่ งตอบแบบสอบถามเพ่ือประเมินคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมอนั พึง ประสงค์อีกคร้ัง เมื่อถึงช่วงเวลาสอบปลายภาคการศึกษา นกั ศึกษากลุ่มตวั อย่างทาแบบทดสอบวดั ผล สัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาจิตตปัญญาศึกษา และประเมินการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนรายวิชาจิตต ปัญญาศึกษาในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลยั ตามลาดับ ผูว้ ิจยั ได้นาขอ้ มูลท้งั หมดมาวิเคราะห์เพื่อตอบ ๔ จาเนียร แสงสิน และ วรี ชาติ นิ่มอนงค.์ ๒๕๕๖. การใชก้ ระบวนว๒ชิ าจิตตปัญญาศึกษา (CONTEMPLATIVE STUDIES) หมวดวชิ าศึกษาทว่ั ไปพฒั นาคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม อนั พึงประสงคแ์ ก่นกั ศึกษาระดบั ปริญญาตรี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงใหม่. ว.พฆิ เนศวร์สาร. ๙ ( ๑) : ๑-๙.

๕๖ วตั ถุประสงค์ของงานวิจยั โดยใชส้ ถิติพ้ืนฐานร้อยละ (%) ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.) สถิติ ทดสอบ t-test และการวเิ คราะห์เน้ือหา (Content Analysis) ผลการวจิ ยั พบวา่ นกั ศึกษากลุ่มตวั อยา่ งมีระดบั คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมอนั พึงประสงคห์ ลงั เรียนรายวชิ าจิตตปัญญาศึกษาสูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมี นยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .๐๑ และมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าจิตตปัญญาศึกษาอยใู่ นระดบั A มากท่ีสุด คิดเป็นร้อยละ ๓๕.๓๔ รองลงมาเป็นระดบั B+ คิดเป็นร้อยละ ๒๕.๗๐ และนกั ศึกษาไดร้ ะดบั D นอ้ ยท่ีสุด คิดเป็ นร้อยละ ๐.๔๐ รวมท้งั มีความพึงพอใจในกระบวนการเรียนการสอนรายวชิ าจิตตปัญญาศึกษาอยใู่ น ระดบั มากที่สุด ( = ๔.๗๒) ๔๓) สมสิทธ์ิ อัสดรนิธี และ สุปรียส์ กาญจนพิศศาล ๔ (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาวิจยั เร่ือง การบ่มเพาะ ผู้นําการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ของชุมชนแอโก๋-แสนคําลือ ด้วยกระบวนการเรียนรู้สู่การเปล่ียนแปลงแนว จิตตปัญญาศึกษางานวิจยั เพ่ือศึกษาการเปล่ียนแปลงศกั ยภาพภายในและศกั ยภาพภายนอกของผูน้ าการ เปล่ียนแปลงรุ่ นใหม่ของชุ มชนแอโก๋ -แสนคาลือท่ีผ่านกระบวนการเรี ยนรู้สู่ การเปลี่ยนแปลงแนวจิตต ปัญญาศึกษา เป็ นการวิจยั เชิงทดลองคลา้ ยธรรมชาติ โดยเนน้ ความสาคญั อยูท่ ่ีการจดั กระบวนการเรียนรู้สู่ การเปลี่ยนแปลงแนวจิตตปัญญาศึกษาให้แก่ชาวบา้ น กลุ่มหน่ึงท่ีสมคั รใจและทาการคดั เลือกมาเป็ น ผเู้ ขา้ ร่วมวจิ ยั อยา่ งเฉพาะเจาะจง ผลการวจิ ยั พบวา่ กลุ่มผนู้ ารุ่นใหม่เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในตนดา้ นการ ส่ือสารความรู้สึกออกมาอย่างซื่อตรง ความกล้าแสดงออกต่อหน้าสาธารณชน การมีสติ การเริ่มเห็น ความสาคญั และแสดงออกในลกั ษณะของการเอาใจเขา มาใส่ใจเรา รวมถึงเกิดแรงบนั ดาลใจในการเป็ น ผนู้ าาท่ีดีและการมีสัมพนั ธภาพ ในทางท่ีดีข้ึนกบั บุคคลใกลช้ ิด ส่วนผลสัมฤทธ์ิภายนอกน้นั ถึงแมก้ ลุ่มผนู้ า จะสามารถพฒั นาทกั ษะเร่ืองการนาเสนอผลงาน การทาบญั ชีครัวเรือนและการเขียนโครงการไดเ้ ป็ นอยา่ ง ดี ผวู้ ิจยั ยงั ไม่พบมุมมองร่วมท่ีสามารถเชื่อมโยงพลงั ของกลุ่มในการขบั เคล่ือนงานเชิงระบบในภาพรวม ผูว้ ิจยั พบว่า ผูน้ ารุ่นใหม่กลุ่มน้ีควรไดเ้ รียนรู้และพฒั นายกระดบั ศกั ยภาพทางมิติดา้ นในเพิ่มเติมผ่านการ ฝึ กฝนทกั ษะการสื่อสารแนวสุนทรียสนทนา และฝึ กฝนเจริญสติภาวนา รวมถึงการเรียนรู้เพื่อฟ้ื นฟูภูมิ ปัญญาด้งั เดิมและการฝึกฝนทกั ษะการเป็นกระบวนการ ๓.๓ ) ฐานจิตกบั แนวพุทธจิตวทิ ยา ๔๔) พระครูปลดั มารุต วรมงฺคโล (๒๕๖๑) ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เร่ือง การศึกษาวเิ คราะห์พทุ ธจิตวทิ ยาใน พระไตรปิ ฎก ๔ ศึกษาวิเคราะห์พุทธจิตวิทยาในพระไตรปิ ฎก วตั ถุประสง๔ค์ (๑)เพื่อศึกษาถึงประวตั ิและ พฒั นาการของจิตวิทยาในตะวนั ตก และแนวคิด เรื่องพุทธจิตวทิ ยาในคมั ภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท (๒) เพ่ือศึกษาวเิ คราะห์แนวคิดเรื่องพุทธจิตวทิ ยาใน คมั ภีร์พระพทุ ธศาสนาเถรวาทกบั การประยกุ ตใ์ ชก้ บั สังคม ๔ สมสิทธ์ิ อสั ดรนิธี และ สุปรียส์ กาญจนพิศศาล . ๒๕๖๑. การบ๓ ่มเพาะผูน้ าการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ของ ชุมชนแอโก๋-แสนคาลือ ดว้ ยกระบวนการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงแนวจิตตปัญญาศึกษา . ว.วชิ าการคณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา. ๒๖ (๕๒) : ๙๘-๑๑๘. ๔ พระครูปลดั มารุต วรมงฺคโล. ๒๕๖๑. การศึกษาวเิ คราะห์พทุ ธจิตว๔ทิ ยาในพระไตรปิ ฎก. ว.สันตศิ ึกษา ปริทรรศน์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๖ (ฉบบั พเิ ศษ) : ๒๕-๓๔ .

๕๗ ผลการวิจยั พบวา่ ๑) แนวคิดเรื่องพุทธจิตวทิ ยาเป็ นเร่ืองท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั จิตและกระบวนการทางานของจิตที่ พระพุทธศาสนาถือวา่ จิตน้นั มีพลงั ในการควบคุมกาย แต่ถึงอยา่ งน้นั จิตก็ไม่ไดเ้ ป็ นเอกเทศจากกายเพราะ จิต กบั กายจะตอ้ งทางานแบบอิงอาศยั ซ่ึงกนั และกนั ในแง่อภิธรรมจิตมนุษยห์ รือสัตวม์ ีความละเอียดอ่อน สามารถจาแนกประเภทไดอ้ ยา่ งหลากหลาย เม่ือนาแนวคิดเร่ืองพุทธจิตวิทยามาวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ กบั แนวคิดเร่ืองจิตวทิ ยาตะวนั ตกจะพบวา่ จิตวทิ ยาตะวนั ตกศึกษาจิตและกระบวนการทางานของจิตในแง่ ของ พฤติกรรมภายนอกดว้ ยการพิสูจน์ทดลองโดยหลกั วิทยาศาสตร์ แต่พุทธจิตวิทยาน้นั ศึกษาจิตและ กระบวนการทางานของจิตในแง่ของการปฏิบตั ิเพ่ือฝึ กฝนจิตด้วยการปฏิบตั ิธรรมท้งั ในดา้ นสมถะและ วิปัสสนากรรมฐานโดยมุ่งทาให้จิตมีศกั ยภาพที่จะสามารถเอาชนะหรือควบคุมกิเลสได้ ๒) วิเคราะห์ แนวคิดเรื่องพุทธจิตวทิ ยาในพระไตรปิ ฎก พบวา่ แนวคิดเร่ืองจิตในทางพระพุทธ ศาสนาน้นั สามารถท่ีจะ นาไปปรับประยุกตใ์ ชใ้ หเ้ กิดประโยชน์กบั ชีวติ และสังคมไดห้ ลายประการท้งั ในเร่ือง ของการเรียนรู้ การ เรียนการสอน การพฒั นาตนเองและการแกไ้ ขปัญหาเรื่องทุกขด์ ว้ ยการใหค้ าปรึกษาเชิง พทุ ธ ซ่ึงเป็นวธิ ีการ ท่ีพระพุทธองคท์ รงนาไปใชไ้ ดผ้ ลมาแลว้ ๔๕) สุเมธ บุญมะยา และพระมหาอดิเดช สติวโร (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เร่ืองจิตวทิ ยาเชิงพุทธเพื่อ พัฒนาการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์๔ วตั ถุประสงคเ์ พื่อศึกษาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการพฒั นาก๕ารเรียนรู้เชิง สร้างสรรคต์ ามหลกั จิตวทิ ยา และตามแนวพทุ ธธรรมใชก้ ระบวนการวจิ ยั เชิงคุณภาพ ในแบบผสานวธิ ี โดย ศึกษาในเชิงเอกสาร จากขอ้ มูลช้นั ปฐมภูมิ ได้แก่ พระไตรปิ ฎก ฉบบั มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั และแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้ทางจิตวิทยา เก็บรวบรวมจากการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนา กลุ่ม ใชว้ ิธีเลือกกลุ่มตวั อยา่ งแบบเจาะจงจากผเู้ ช่ียวชาญการเรียนรู้เชิงพทุ ธและดา้ นจิตวทิ ยาเคร่ืองมือที่ใช้ ในการวิจยั คือแบบสัมภาษณ์เชิงลึกและแบบการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ผลการวจิ ยั ดว้ ยแนวคิด ทฤษฎีการ เรียนรู้ทางด้านจิตวิทยาและแนวคิดตามหลกั พุทธธรรม ผลการวิจยั พบว่า ความสัมพนั ธ์ระหว่างการ พฒั นาการเรียนรู้เชิงสร้างสรรคต์ ามหลกั จิตวทิ ยาและตามแนวพุทธธรรมน้นั นามาบูรณาการเป็นเครื่องมือ เพื่อพฒั นาบุคคลให้มีอิสระในการรู้ คิด เขา้ ใจท่ีจะแสดงพฤติกรรมในการพัฒนาการเรียนรู้ของตนเอง สามารถสร้างปฏิสัมพนั ธ์ที่ดีกบั บุคคลอ่ืนเกิดการตระหนกั รู้ เชื่อมน่ั และภาคภูมิใจในตนเอง มีแรงจูงใจใฝ่ สัมฤทธ์ิสูงพร้อมท่ีจะพฒั นาตนเองท้งั ดา้ นกาย ศีล จิตใจและปัญญามีพฤติกรรมการเรียนรู้ครบสมบูรณ์ ตามหลกั ไตรสิกขา เขา้ ใจถึงสิ่งเร้าท่ีมากระทบอย่างรู้เท่าทนั บนฐานของการมีเจตคติและแรงจูงใจใน ทางบวก สามารถพฒั นาพฤติกรรมตนเองใหส้ อดคลอ้ งกบั ความจริงของชีวิตอนั เป็ นปฏิสัมพนั ธ์เชื่อมโยง กนั ตามหลกั ปฏิจจสมุปบาพร้อมท้งั ยอมรับผลแห่งการเรียนรู้ดว้ ยสติสัมปชญั ญะซ่ึงเป็ นกระบวนการท่ี พฒั นาตวั บุคคลได้อย่างสร้างสรรค์ นามาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิด ประสิทธิผลสูงสุดตามหลกั อริยสัจ ๔ ๔ สุเมธ บุญมะยา และพระมหาอดิเดช สติวโร . ๒๕๖๑. จิตวทิ ยาเชิง๕พทุ ธเพือ่ พฒั นาการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค.์ ว.สารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บา้ นสมเดจ็ เจา้ พระยา . ๑๗ (๑) : ๑๗๗-๑๘๗.

๕๘ ๖ ๓.๔) ฐานจิตกบั ความฉลาดทางอารมณ์ ๔๖) สุดารัตน์ รัตนเพชร และคณะ (๒๕๕๙) ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เร่ือง ความสัมพนั ธ์ระหว่างความฉลาด ทางจิตวญิ ญาณ สติ และความสุขตามแนวทางพุทธศาสนา๔ มุ่งหาความสมั พนั ธ์เชิงทฤษฏีระหวา่ ง ความ ฉลาดทางจิตวิญญาณ สติ และความสุขตาม แนวทางพุทธศาสนาใชว้ ิธีการศึกษาท่ีมีการวิเคราะห์ตวั แปร คนั่ กลาง(Mediator)และตวั แปรปรับเปล่ียน (Moderator) เพอื่ เพ่ิมประสิทธิภาพในการอธิบายความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งตวั แปรท้งั สามใหส้ มบูรณ์ย่ิงข้ึน กลุ่ม ตวั อยา่ งวจิ ยั เป็ นพยาบาลวชิ าชีพที่ปฏิบตั ิงานในโรงพยาบาล รัฐบาลแห่งหน่ึง จานวน ๓๕๐ คนโดยวธิ ีการคดั เลือกแบบแบง่ ช้นั เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลโดยใชแ้ บบสอบถาม และใชส้ ถิติสัมประสิทธ์สหสัมพนั ธ์ของเพยี ร์สันเพ่ือ วเิ คราะห์หาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความฉลาดทางจิต วิญญาณ สติ และความสุขตามแนวทางพุทธศาสนา ใช้การ วิเคราะห์ตวั แปรคน่ั กลางตามแนวคิดของบา รอนและเคนน่ี (Baron; & Kenny. ๑๙๘๖) ร่วมกบั ทดสอบอิทธิพล ทางออ้ มของตวั แปรคน่ั กลางด้วยวิธี Bootstrap และใช้สถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณเชิงช้ันเพ่ือตรวจสอบการ เป็ นตวั แปรปรับเปล่ียน ผลการวิจยั พบว่า ความฉลาดทางจิตวิญญาณมีความสัมพนั ธ์ทางบวกกบั สติ และท้งั ความ ฉลาดทางจิต วญิ ญาณและสติต่างมีความสมั พนั ธ์ทางบวกกบั ความสุขตามแนวทางพุทธศาสนาเช่นกนั นอกจากน้นั สติ ยงั เป็ นตวั แปรคนั่ กลางบางส่วนและเป็ นตวั แปรปรับเปล่ียนของความสัมพนั ธ์ระหวา่ งความฉลาดทางจิต วิญญาณ กับความสุขตามแนวทางพุทธศาสนา เช่นเดียวกบั ความฉลาดทางจิตวิญญาณท่ีเป็ นตัวแปร คน่ั กลางบางส่วนและเป็ นตวั แปรปรับเปลี่ยนของความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสติกบั ความสุขตามแนวทางพุทธ ศาสนา ๔๗) ไกรฤกษ์ ศิลาคม และหสั ดิน แกว้ วิชิต (๒๕๖๐)ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่องผลของการเจริญสติแบบ เคล่ือนไหวต่อสุขภาพจิตและความฉลาดทางอารมณ์ ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ๔ การ วิจยั คร้ังน้ีมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือเปรียบเทียบผลของการเจริญสติแบบเคล่ือนไหวท่ีมีต่อสุขภาพจิตและความ ฉลาดทางอารมณ์ระหวา่ งนกั ศึกษาที่มีปัญหาสุขภาพจิตกบั นกั ศึกษาท่ีไม่มีปัญหาสุขภาพจิต กลุ่มตวั อยา่ งที่ ใช้ ไดแ้ ก่ นกั ศึกษาระดบั ปริญญาตรี ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวชิ าจริยธรรมกบั ชีวิต สานกั วิชาศึกษาทว่ั ไป มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุดรธานี จานวน ๓๐ คน ไดจ้ ากการอาสาสมคั รเขา้ ร่วมโครงการ แบง่ ออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มนกั ศึกษาท่ีไม่มีปัญหาสุขภาพจิต จานวน ๒๒ คน และกลุ่มนกั ศึกษาที่มีปัญหาสุขภาพจิต จานวน ๘ คน ซ่ึงไดจ้ ากการคดั กรองโดยแบบสอบถามสุขภาพทวั่ ไป (General Health Questionnaire) เคร่ืองมือท่ี ใช้เป็ นแบบประเมินแบบมาตราส่วนประมาณค่า ๔ ระดับ ประกอบด้วย ดชั นีความสุขคนไทยฉบับ สมบูรณ์ มีค่าความเช่ือมนั่ เท่ากบั ๐.๘๙ แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ มีค่าความเชื่อมน่ั เท่ากบั ๐.๘๓ และแบบสอบถามสุขภาพทวั่ ไป มีค่าความเชื่อมนั่ เท่ากบั ๐.๗๘ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉล่ีย ส่วน ๔ สุดารัตน์ รัตนเพชร และคณะ. ๒๕๕๙. ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความ๖ฉลาดทางจิตวญิ ญาณ สติ และความสุข ตามแนวทางพทุ ธศาสนา .ว.พฤตกิ รรมศาสตร์เพ่ือการพฒั นา มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ. ๘(๑) : ๗๙-๑๐๑. ๔ ไกรฤกษ์ ศิลาคม และหสั ดิน แกว้ วชิ ิต. ๒๕๖๐. ผลของการเจริญสต๗ิแบบเคล่ือนไหวตอ่ สุขภาพจิตและความ ฉลาดทางอารมณ์ ของนกั ศึกษามหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุดรธานี. ว.มหาวทิ ยาลยั นครพนม. ๗ (๑) : ๑๖-๒๔.

๕๙ เบ่ียงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที ผลการวิจยั พบว่านกั ศึกษาที่ไม่มีปัญหาสุขภาพจิตมีดชั นีความสุข และความฉลาดทางอารมณ์สูงข้ึนหลงั ไดร้ ับการฝึ กเจริญสติอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .๐๑ ขณะที่ พบแนวโนม้ คะแนนที่สูงข้ึนของดชั นีความสุข และความฉลาดทางอารมณ์และแนวโนม้ ท่ีลดลงของปัญหา สุขภาพจิตแต่ไม่พบความแตกต่างระหวา่ งก่อนและหลงั การฝึ กเจริญสติแบบเคล่ือนไหวในนกั ศึกษาที่มี ปัญหาสุขภาพจิต เม่ือเปรียบเทียบระหวา่ งกลุ่ม พบวา่ หลงั ไดร้ ับการฝึกเจริญสติแบบเคลื่อนไหว นกั ศึกษา ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพจิตมีความฉลาดทางอารมณ์สูงกวา่ นกั ศึกษาที่มีปัญหาสุขภาพจิตอยา่ งมีนยั สาคญั ทาง สถิติที่ระดบั .๐๕ แต่ไมพ่ บความแตกต่างในดา้ นองคป์ ระกอบทางสุขภาพจิต ๔๘) โย่ง ศรีเวียน และคณะ๔ (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาเร่ือง การพัฒนาแบบประเมินเจตสิกปั๘จจัยเชิง ทํานายบุคลิกภาพของผู้ปฏิบัติธรรม ผลการศึกษาพบวา่ วตั ถุประสงค์เพ่ือวิจยั การสร้างเครื่องมือในการ วิเคราะห์บุคลิกภาพและพฒั นาแบบประเมินเจตสิกปัจจยั เชิงทานาย บุคลิกภาพของผูป้ ฏิบตั ิธรรม เป็ น การศึกษาขอ้ มูลเจตสิกปัจจยั ที่พฒั นาเป็ นจริ ตอนั สามารถจดั เป็ นกลุ่มแบบเจาะจงไดบ้ ุคลิกภาพ ๖ หมวด โดยการวจิ ยั แบบผสานวธิ ี (Mixed Methods Research) ท่ีเป็ นการวจิ ยั เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ซ่ึงมีการ ประเมินบุคลิกภาพเฉพาะบุคคลในการสังเคราะห์หามาตรวดั เพ่ือทานายบุคลิกภาพตามหลกั ของสถิติเชิง พรรณนา (Descriptive Statistics) และเชิงอนุมาน (Inferential Statistics)ผลการวิจัยมีปัจจัยที่เป็ น องคป์ ระกอบกบั ความรู้ดา้ นขอ้ มูล ดงั น้ี ๑)การศึกษาลกั ษณะเจตสิกปัจจยั ท่ีเป็ นกลุ่มโลภเจตสิก กลุ่มโท สเจตสิก กลุ่มโมหเจตสิก กลุ่มศรัทธาเจตสิก ปัญญาเจตสิกและวติ กเจตสิก ๒)การศึกษาขบวนการพฒั นา ของอกุศลจิตและกุศลเป็ นจริตสู่บุคลิกภาพ ๓)การสร้างแบบประเมินเจตสิกปัจจยั เชิงทานายบุคลิกภาพ ของผูป้ ฏิบตั ิธรรม เม่ือสังเคราะห์องคค์ วามรู้เกี่ยวกบั บุคลิกภาพประกอบดว้ ยจิตท่ีเป็ นนามธรรมซ่ึงถูก เจตสิกท้งั หลายปรุงแต่งอยูเ่ สมอ จนสามารถจาแนกเป็นบุคลิกภาพต่าง ๆ ไดว้ า่ โดยยอ่ ๖ หมวด เช่น บุคลิก ท่ีหนกั ไปทางโลภ บุคลิกท่ีหนกั ไปทางโทสะ บุคลิกที่หนกั ไปทางหลง บุคลิกที่หนกั ไปทางปัญญา บุคลิก ที่หนกั ไปทางศรัทธา บุคลิกที่หนกั ไปทางวิตกโดยมีการเกิดอากปั กิริยาหมุนเวียนสับเปลี่ยนกนั ไปตาม สภาพการแสดงออกมาของบุคคลท่ีมีหลากหลายรูปแบบเป็ นบุคลิกภาพน้ัน ๆ แล้ว นาขอ้ มูลที่ได้มา กาหนดอารมณ์ให้แก่ผปู้ ฏิบตั ิธรรมไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งตรงกบั บุคลิกภาพ จะเป็ นการส่งเสริมให้ผปู้ ฏิบตั ิธรรม บรรลุวตั ถุประสงค์ไดต้ ามความปรารถนาของตน สรุปการพฒั นาแบบประเมินเจตสิกปัจจยั เชิงทานาย บุคลิกภาพของผปู้ ฏิบตั ิธรรมฉบบั น้ี สามารถจดั เขา้ ในระดบั แบบวดั ที่มีมาตรวดั อยูเ่ กณฑม์ าตรฐาน ท่ีผา่ น การทดสอบตลอดมาตามลาดบั ด้วยความเที่ยง ความตรง ความน่าเช่ือถือ จึงสามารถนาไปใช้ประเมิน เจตสิกปัจจยั เชิงทานายบุคลิกภาพของผปู้ ฏิบตั ิธรรมได้ ๓.๕) ฐานจิตกบั ผ้สู ูงอายุ ๔ โยง่ ศรีเวยี น และคณะ. ๒๕๖๑. การพฒั นาแบบประเมินเจตสิกปัจจ๘ยั เชิงทานายบคุ ลิกภาพของผปู้ ฏิบตั ิธรรม. ว.สันตศิ ึกษาปริทรรศน์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๖ (ฉบบั พิเศษ) : ๓๖๑-๓๗๑.

๖๐ ๔๙) พัสมณฑ์ คุ้มทวีพ และ ประกอบ ผูว้ ิบูลยส์ ุข (๒๕๕๖)ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่อง เทปเสียงสู่จิตใต้ สํานึกเพื่อลดอาการนอนไม่หลบั ของผู้สูงอายุ การวจิ ัยเชิงทดลองแบบสุ่มชนิดมีกลุ่มควบคุม ๔ การวจิ ยั เชิง ทดลองแบบสุ่มชนิดมีกลุ่มควบคุมการศึกษาเป็ นการวจิ ยั เชิงทดลองแบบสุ่มชนิดมีกลุ่มควบคุมแบบปกปิ ด สองทาง วตั ถุประสงคเ์ พือ่ ทดลองใชเ้ ทปเสียงสู่ จิตใตส้ านึกการลดอาการนอนไมห่ ลบั ของผสู้ ูงอายซุ ่ึงไม่มี ขอ้ บกพร่องในการไดย้ ิน ไม่เจ็บป่ วยดว้ ยโรคคทางกายตามแบบวดั ของบีลอก และโรคจิตตาม DSM IV โดยมีจิตแพทยเ์ ป็นผคู้ ดั กรองและเตม็ ใจเขา้ ร่วมการวจิ ยั แบ่งแบบสุ่มเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่ม ละ ๓๐คน ใหก้ ลุ่มตวั อยา่ งฟังเทปเสียงในช่วงที่ลม้ ตวั ลงนอนทุกคืนต่อเนื่องกนั ๒ สัปดาห์ และตรวจสอบ ดว้ ยการสลบั กลุ่ม ต่อไปอีก ๒ สัปดาห์ วิเคราะห์ขอ้ มูลโดยใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูป ผลการวจิ ยั พบวา่ ก่อนการทดลองไมพ่ บความแตกต่างของคา่ เฉล่ียคุณภาพการนอนหลบั (วดั ดว้ ย VSH Sleep Scale) ระหวา่ งกลุ่มทดลอง (๑๑๒.๕๐ + ๑๓.๗๔) และกลุ่มควบคุม (๑๑๕.๖๐ + ๑๒.๕๙) หลงั การทดสอบฟัง เทปเสียง ๒ คร้ัง กลุ่มทดลอง(๑๓๐.๔๐ + ๘.๑๑), (๑๒๑.๘๓ + ๑๑.๔๔) มีค่าเฉล่ียคุณภาพการนอนหลบั สูงข้ึนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ p<.๐๕ คณะผูว้ ิจยั เสนอแนะวา่ ควรใช้เทปเสียงสู่จิตใตส้ านึกเพ่ือช่วย ส่งเสริมการนอนหลบั ใหแ้ ก่ ผสู้ ูงอายทุ ่ีมีปัญหานอนไมห่ ลบั ๓.๖) ฐานจิตกบั การละคร ๕๐) ชลลดา ทองทวี (๒๕๕๗) ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่อง ละคร: เครื่องมือเพื่อการเรียนรู้เปลี่ยนแปลง ภายใน แนวจิตตปัญญาศึกษา๕ มุ่งสารวจและวิเคราะห์ กลไกและองคป์ ระกอบของละคร๐ในการ สร้าง การเรียนรู้เปล่ียนแปลงภายในแก่ผชู้ ม ในแนวทางของจิตตปัญญาศึกษา คือ การ บ่มเพาะการละวางอตั ตา ตวั ตน สู่การขยายจิต ให้เห็นการเชื่อมโยงของสรรพสิ่งมากข้ึน ท้งั น้ี ละครเป็ นเคร่ืองมือที่ทรงพลงั ในการ สร้างการเรียนรู้เปลี่ยนแปลงภายใน ในระดบั ฝังลึก คือการเปล่ียนแปลงโลกทศั น์และกระบวนทศั น์ เนื่องจากละครช่วย ให้ผูช้ มไดส้ ัมผสั เรียนรู้สารจากละคร โดยเขา้ ไปมีประสบการณ์ตรงร่วมกบั ตวั ละคร ผา่ นสถานการณ์จาลองในละคร จึงเป็ นการเรียนรู้ในระดบั ฝังลึก ที่ทาให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงไดใ้ นระดบั ของความเช่ือและแบบจาลองความคิดแก่ผชู้ มได้ ดงั ปรากฏ การนาเอาละครไปใชเ้ พ่ือขดั เกลาจิตใจของผูด้ ู ในสังคมยคุ ต่าง ๆ ตลอดมา ๕๑) ธนัชพร กิตติก้อง ๕ (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่อง การขยายประสบการณ์ภายในข๑องตัวละคร ด้วยวิธีปฏิบัติภาวนาทางพระพุทธศาสนากรณีศึกษา ตัวละคร นาก จาก Land & Skin: The Ballad of ๔ พสั มณฑ์ คุม้ ทวพี และ ประกอบ ผวู้ บิ ูลยส์ ุข. ๒๕๕๖. เทปเสียง๙สู่จิตใตส้ านึกเพือ่ ลดอาการนอนไมห่ ลบั ของผสู้ ูงอายุ การวจิ ยั เชิงทดลองแบบสุ่มชนิดมีกลุ่มควบคุม . ว.พยาบาลทหารบก. ๑๔(๓) : ๕๙-๖๖. ๕ ชลลดา ทองทว.ี ๒๕๕๗. ละคร: เคร่ืองมือเพือ่ การเรียนรู้เปล่ียนแปล๐งภายใน แนวจิตตปัญญาศึกษา . ว.ศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. ๖ (๑) : ๑๑๒-๑๒๙. ๕ ธนัชพร กิตติก้อง. ๒๕๖๑. การขยายประสบการณ์ภายในขอ๑ งตัวละครด้วยวิธีปฏิบัติภาวนาทาง พระพุทธศาสนากรณี ศึกษา ตัวละคร นาก จาก Land & Skin: The Ballad of Nak Phra Khanong .ว.วิจิตรศิลป์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ . ๙(๑) : ๓๔๕-๓๙๒.

๖๑ Nak Phra Khanongผู้วิจัยทาการศึกษาและสร้างสรรค์ตัวละครโดยใช้หลักปฏิบัติภาวนาทาง พระพุทธศาสนา (Meditation-based Approach) กรณีศึกษาตวั ละครนากจากผลงานศิลปะการแสดง Land & Skin: The Ballad of Nak Phra Khanong โดยต้งั สมมุติฐานวา่ การศึกษาลกั ษณะประสบการณ์ภายในของ ตวั ละคร (Character’s Inner Experience) สามารถขยายและเขา้ ใจดว้ ยวธิ ีปฏิบตั ิภาวนาทางพระพทุ ธศาสนา ภายใตก้ รอบแนวคิดดา้ นจิตและเบญจขนั ธ์จะทาใหน้ กั แสดงสามารถเขา้ ใจและสร้างสรรคป์ ระสบการณ์ ของตวั ละครในระดบั ท่ีลึกข้ึน ส่งผลต่อการแสดงที่ละเอียดและเพ่ิมเทคนิควิธีการและทิศทางสร้างสรรค์ ใหมๆ่ เชิงปรากฏการณ์ของการแสดงบนเวที การวจิ ยั สร้างสรรคน์ ้ีเป็นวจิ ยั แบบปฏิบตั ิการ หรือ ปฏิบตั ิวจิ ยั (Practice as Research) บนั ทึกและสังเคราะห์องคค์ วามรู้ผา่ นประสบการณ์ตรงของผวู้ ิจยั ในฐานะนกั แสดง จากกระบวนการสร้างสรรคผ์ ลงานซ่ึงเป็ นวิธีวิจยั เร่ิมต้งั แต่การตีความและพฒั นาบทร่วมกบั ผกู้ ากบั การ คน้ หาและการสร้างสรรค์ตวั ละคร การเลือกและกาหนดวิธีการแสดงและการซ้อมการแสดง จนถึงการ แสดงผลงาน วิเคราะห์ผลผ่านการพฒั นากรอบแนวคิดพร้อม ๆ กับการปฏิบตั ิแบบ Meditation-based Approach แบ่งการอภิปรายผล ๒ ส่วน คือ การตีความสภาวะจิตของตวั ละครนากจากบท และผลงาน สร้างสรรค์ของนักแสดงบนเวที ไดบ้ ทสรุปที่ว่า หลกั ปฏิบตั ิภาวนาทางพระพุทธศาสนา เมื่อใช้ในการ ทางานเพื่อขยายประสบการณ์ภายในของตวั ละคร มีความละเอียดและซบั ซอ้ น เป็นเทคนิควธิ ีการที่ช่วยให้ นักแสดงเพ่ิมพูนทกั ษะการวิเคราะห์เปรียบเทียบประสบการณ์ของตวั ละครในข้นั การทางานของจิต นอกเหนือจากอารมณ์และความรู้สึก นกั แสดงสามารถสร้างและขยายประสบการณ์ของตวั ละครให้สอด ประสานกบั สภาวะหรือประสบการณ์ของตนเองได้ ทาใหน้ กั แสดงอยกู่ บั การแสดงบนเวทีไดอ้ ยา่ งมน่ั คง และมีพลงั เผชิญหนา้ กบั การแสดงในฐานะปรากฏการณ์ได้ ๕๒) ณรัฐวรรณ ถริ ะวราวสิ ิฐ และ นราพงษ์ จรัสศรี๕ (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เรื่อง การสร้างสรรค์ นาฏยศิลป์ ตามแนวคิดสัมมาทิฏฐิ ผลการศึกษาพบวา่ งานวจิ ยั เป็ นการผสมผสานเชิงสร้างสรรคแ์ ละการ วิจยั เชิงคุณภาพ วตั ถุประสงค์ ๑)ศึกษาหารูปแบบผลงานการแสดง ๒)หาแนวคิดท่ีใชใ้ นการสร้างสรรค์ ผลงาน ผลการวจิ ยั พบวา่ ๑)รูปแบบท่ีใชใ้ นการสร้างสรรคผ์ ลงาน พฒั นามาจากองคป์ ระกอบของการแสดง นาฏศิลป์ ท้งั ๘ ประการ ไดแ้ ก่ บทการแสดง ดนตรีประกอบการแสดง สีลาทางนาฏศิลป์ นกั แสดง เคร่ือง แต่งกาย อุปกรณ์ประกอบการแสดง พ้ืนที่ท่ีใชใ้ นการแสดง และการออกแบบแสง ๒)แนวคิดท่ีใชใ้ นการ สร้างสรรค์ผลงาน ๗ ประการ ไดแ้ ก่ คาสอนทางพระพุทธศาสนา เร่ืองสัมมาทิฏฐิ สัญลกั ษณ์และการ สื่อสารในการแสดงนาฏศิลป์ ความเรียบง่ายตามแนวคิดนาฏศิลป์ หลงั สมยั ใหม่ ความคิดสร้างสรรคใ์ นงาน นาฏศิลป์ ทฤษฎีทางดา้ นนาฏศิลป์ -ดุริยางศิลป์ -ทศั นศิลป์ การสะทอ้ นภาพทางสังคมโดยใชน้ าฏศิลป์ และ การแสดงที่สร้างสรรคเ์ พ่ือเยาวชน ซ่ึงท้งั หมดน้ีเป็ นการผสานองคค์ วามรู้จากคาสอนทางพระพุทธศาสนา เรื่องสมั มาทิฏฐิ ศิลปกรรมศาสตร์ และสงั คมศาสตร์เขา้ ไวด้ ว้ ยกนั การวจิ ยั คร้ังน้ีถือเป็ นการนาเอาความคิด คาสอนทางพระพทุ ธศาสนามาเผยแพร่ในรูปแบบใหม่ โดยผา่ นผลงานการแสดงทางนาฏศิลป์ ๕ ณรัฐวรรณ ถิระวราวสิ ิฐ และ นราพงษ์ จรัสศรี. ๒๕๖๑. การสร้างนา๒ฏยศิลป์ ตามแนวคิดสมั มาทิฏฐิ . ว.พุทธ ศาสน์ศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ๒๕(๑) : ๓๓-๔๗.

๖๒ ๔) ด้านธรรมนุปัสสนาสติปัฏฐาน : ฐานธรรม ๔.๑) ลกั ษณะรูปแบบความหมายฐานธรรม ๕๓) พระสุภีร์ สุดสงวน (๒๕๕๑)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เรื่อง วเิ คราะห์วิธีการปรับอนิ ทรีย์ให้สมดุลในการ ปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน ตามแนวสติปัฏฐาน ๔๕ วตั ถุประสงค์ ๑)ศึกษากระบวนการปรับความสมดุลย์ ๓ ของอินทรีย์ ๕ ในการปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ที่ปรากฏในคมั ภีร์พระไตรปิ ฎก ๒) วเิ คราะห์วิธีในการปรับความสมดุลอินทรีย์ ๕ ของพระวิปัสสนาจารยช์ าวไทยระดบั เจา้ สานกั ในปัจจุบนั เก็บรวบรวมขอ้ มูลโดยการศึกษาเอกสารพระไตรปิ ฎก การสัมภาษณ์พระวิปัสสนาจารยร์ ะดบั เจา้ สานัก จานวน ๕ ท่าน และสังเกตอย่างมีส่วนร่วม วิเคราะห์ขอ้ มูลโดยการวิเคราะห์เน้ือหา ผลการศึกษาพบว่า อินทรีย์ ๕ เป็ นส่ิงที่สาคญั ต่อโยคีนกั ปฏิบตั ิธรรมที่จะตอ้ งนากระบวนการปรับความสมดุลของอินทรียไ์ ป ใชใ้ นการปฏิบตั ิธรรม ตามหลกั สติปัฏฐาน เพ่ือความเจริญกา้ วหนา้ ในการปฏิบตั ิ จากการศึกษาการปรับ อินทรียแ์ บ่ง ๒ ตอน คือ ๑)เอกสารท่ีปรากฏในพระไตรปิ ฎก พบวา่ กระบวนการปรับสมดุลของอินทรีย์ ๕ ในการปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ดงั น้ี ปรับใหศ้ รัทธามีความสมดุลกบั ปัญญา สมาธิ มีความสมดุลกบั วริ ิยะและการมีสติระลึกรู้ตวั อยตู่ ลอดเวลา กล่าววา่ ใหก้ าหนดรู้สภาวธรรมปัจจุบนั โดย การจดจ่ออยกู่ บั สภาวธรรมปัจจุบนั แต่ละขณะอยา่ งต่อเน่ืองโดยมีกระบวนการกาหนดรู้ตามอิริยาบถใหญ่ คือ อิริยาบถยนื อิริยาบถเดิน อิริยาบถนง่ั อิริยาบถนอน และอิริยาบถยอ่ ยต่าง ๆ ๒) เทคนิคการปรับความ สมดุลของอินทรีย์ ในทศั นะของพระวิปัสสนาจารยใ์ นประเทศไทย พบวา่ ทุกรูปไดน้ าเอาหลกั อินทรีย์ ๕ แนะนาแก่ผูป้ ฏิบตั ิ โดยเน้นตวั ธรรมะซ่ึงก็เป็ นไปในแนวทางเดียวกนั กบั พระไตรปิ ฎกแต่ต่างกนั ไปใน รายละเอียด ข้นั ตอนและวิธีการปรับอินทรียข์ ้ึนอยูก่ บั โยคีผปู้ ฏิบตั ิเป็ นประการสาคญั อาจมีความแตกต่าง กนั ของแต่ละบุคคล ส่วนอิริยาบถ ท้งั ๔ คือ เดิน ยนื นง่ั นอน เป็นปัจจยั ภายนอก แตอ่ ิริยาบถมีส่วนช่วยใน การเพิ่มสติใหม้ ากยงิ่ ข้ึน การปรับอิริยาบถใหเ้ หมาะสม มีความสมดุลกนั อาจทาใหก้ ารฝึกสติอยา่ งต่อเนื่อง มีพลงั เกิดประสิทธิภาพ นาผปู้ ฏิบตั ิใหเ้ ขา้ ถึงเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาได้ ๕๔) พระพงศกรฐ์ ตวํโส (เรืองศิลป์ ประเสริฐ) (๒๕๕๔)ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่องศึกษาวิเคราะห์การ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานโดยการใช้ สัมมาสติของพระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทฺธิ)๕ วตั ถุประสงค์ ๑)ศึกษาปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน ๒)ศึกษาการปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานโดยการใช้ สัมมาสติของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) ๓)วิเคราะห์คุณค่าในการปฏิบตั ิกรรมฐานโดย การใชส้ มั มาสติของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) เป็นงานวจิ ยั คุณภาพแบบวจิ ยั เอกสารท่ีใช้ การศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลจากพระไตรปิ ฎก อรรถกถาเอกสารงานวิจยั อื่น ๆ ที่เก่ียวข้องแล้วเสนอ ๕ พระสุภีร์ สุดสงวน. ๒๕๕๑. วเิ คราะห์วธิ ีการปรับอินทรียใ์ หส้ มดุลใน๓ การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน ตาม แนวสติปัฏฐาน ๔. วทิ ยานพิ นธ์ศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาพทุ ธศาสนศึกษา มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่. ๕ พระพงศกรฐ์ ตวโส (เรืองศิลป์ ประเสริฐ) . ๒๕๕๔. ศึกษาวเิ คราะห์ก๔ารปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานโดยการใช้ สมั มาสติของพระธรรมธีรราชมหามนุ ี (โชดก ญาณสิทฺธิ) . วทิ ยานพิ นธ์ศาสนศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาพทุ ธศาสนศ์ ึกษา มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั .

๖๓ ผลงานวิจยั เป็ นแบบพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า การปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน คือ การฝึ กจิตด้วย สติสัมปชญั ญะทาให้จิตสงบและเกิดปัญญา ในปัจจุบนั ประเทศไทยมีสานกั ปฏิบตั ิกรรมฐานหลายแห่งท่ีมี รูปแบบในการปฏิบตั ิแตกต่างกนั แต่มีจุดหมายเดียวกนั คือ การพฒั นาปัญญาจากการปฏิบตั ิวิปัสสนา กรรมฐานซ่ึงจะทาให้เกิดความสงบสุขแก่ตนเองและสังคม พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) เป็ นพระเถระท่ีเผยแผ่วิปัสสนากรรมฐานตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ ท่ีมีการประยุกต์หลกั การหายใจและ อิริยาบถต่าง ๆ มาเป็ นวิธีการปฏิบตั ิที่มีคาบริกรรมว่า หนอ ตามเสมอ ที่วดั มหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ิ ประเทศไทย ต้งั แตป่ ี พ.ศ. ๒๔๙๖ มีการสอนภาคทฤษฎีและภาคปฏิบตั ิ การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานโดย การใชส้ ัมมาสติ มีคุณค่าต่อการนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวนั การพฒั นาคุณภาพชีวิต การแกป้ ัญหา ทางสังคมท่ีมีสาเหตุมาจากปัจจยั ภายใน คือ อุปทานในขนั ธ์ ๕ มีคุณค่าในการน้อมนาสู่โลกุตรธรรม ตามลาดบั จนถึงการบรรลุมรรคผนิพพาน ๕๕) พระมหาบุญเลิศ ธมมทสสี/โอฐสู (๒๕๕๖)ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่องการสร้างตัวชี้วัดเพ่ือวเิ คราะห์ อินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบกับญาณ ๑๖ ในผู้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน๕ วตั ถุประสงค์ ๑)เพื่อวิเคราะห์ ความหมายและความสาคญั ของอินทรีย์ ๕ และญาณ ๑๖ ๒)เพ่ือศึกษาวเิ คราะห์เปรียบเทียบระหวา่ ง ญาณ ๑๖ กบั อินทรีย์ ๕ ๓)เพือ่ สร้างตวั ช้ีวดั ของความเป็ นอินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบระดบั ญาณ ๑๖ วธิ ีการวจิ ยั เป็ น การศึกษาดา้ นเอกสารและภาคสนาม โดยวิเคราะห์เน้ือหาเรื่องอินทรีย์ ๕ และญาณ ๑๖ ภายใตร้ ูปแบบการ เจริญสติปัฏฐาน ๔ หรือวปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน แลว้ นามาสร้างเป็ นแบบประเมินอินทรีย์ ๕ ก่อนและหลงั การ ปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน และกลุ่มตวั อยา่ งในการศึกษาประกอบดว้ ยนิสิตปริญญาโทและปริญญาเอก ที่ สมคั รเขา้ ปฏิบตั ิโครงการปฏิบตั ิวปิ ัสสนากมั มฏั ฐานของบณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั ปี การศึกษา ๒๕๕๕ ซ่ึงจดั ข้ึนที่มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั อาเภอวงั นอ้ ย จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา ระหวา่ งวนั ที่ ๒๕ พฤษภาคม-๑๔ ธนั วาคม จานวน ๒๐๐ รูป/คน โดยใชแ้ บบประเมิน อินทรีย์ ๕ ซ่ึงสร้างข้ึนจากการศึกษาดา้ นเอกสาร ผลการศึกษาวิจยั พบวา่ แนวคิดเร่ืองอินทรีย์ ๕ คือ ความ เป็ นใหญ่หรืออานาจหรือหนา้ ท่ี ของตน และมีความสาคญั ๕ ประการ คือ ๑) สัทธินทรีย์ มีความเป็ นใหญ่ ในความเชื่อมนั่ เลื่อมใส ๒) วริ ินทรีย์ มีความเป็ นใหญ่ในความเพียรที่ไม่ยอ่ ทอ้ ๓) สตินทรีย์ มีความเป็ น ใหญ่ในการยงั จิตใหร้ ู้เทา่ ทนั ๔) สมาธินทรีย์ ความเป็นใหญ่ในการต้งั มนั่ ๕) ปัญญินทรีย์ มีความเป็นใหญ่ ในการหยง่ั รู้ สภาวธรรมตามความเป็ นจริง และอินทรียท์ ้งั ๕ เป็ นหลกั สาหรับการปฏิบตั ิธรรม และเป็ น หลกั ธรรมที่เป็ นเครื่องวดั ความพร้อมและบ่งช้ีวดั ความก้าวหน้าของผูป้ ฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน และ แนวคิดเร่ืองญาณ ๑๖ คือ ผลของการเจริญวิปัสสนากมั มฏั ฐานที่มีการปรับอินทรียท์ ้งั ๕ ให้สมดุลกนั ญาณ ๑๖ ยอ่ มเกิดข้ึนตามลาดบั มีนามรูปปริจเฉทญาณ เป็นตน้ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งญาณ ๑๖ กบั อินทรีย์ ๕ คือ เมื่อสทั ธากบั ปัญญา วริ ิยะกบั สมาธิ และสติของผปู้ ฏิบตั ิท่ีเป็นวปิ ัสสนายานิกะ หรือ ผทู้ ่ีเป็นสมถยา ๕ พระมหาบุญเลิศ ธมมทสสี/โอฐสู . ๒๕๕๖. การสร้างตวั ช้ีวดั เพ่ือว๕ิเคราะห์อินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบกบั ญาณ ๑๖ ในผูป้ ฏิบัติวิปัสสนากมั มฏั ฐาน. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา .บนั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั .

๖๔ นิกะเสมอกนั ยอ่ มเกิดปัญญาที่เรียกวา่ ญาณ ๑๖ การสร้างตวั ช้ีวดั เพื่อความเป็นอินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบญาณ ๑๖ โดยไดน้ าแนวคิดมาจากการเปรียบเทียบวิสุทธิ ๗ กบั ญาณ ๑๖ ในการสร้างตวั ช้ีวดั คร้ังน้ี ใช้ความ สมดุลของอินทรีย์ ๕ ไปเปรียบเทียบกบั รูปแบบการปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน คือ แบบท่ี ๑ เปรียบเทียบ กบั สัทธินทรียค์ ู่กบั ปริญญินทรียใ์ นรูปแบบของการปฏิบตั ิวิสสนากรรมาฐาน คือ การเดินจงกรม การนงั่ สมาธิ การกาหนดทางทวาร ๖ และอิริยาบถย่อย แบบท่ี ๒ วิรินทรียค์ ู่กบั สมาธินทรียใ์ นรูปแบบการเดิน จงกรม แบบที่ ๓ มีสติทรียเ์ ป็ นตวั กลางในการเช่ือมโยงท้งั ๒ คู่ใหส้ มดุลกนั ในรูปแบบท่ีกาหนดทวาร ๖ และอิริยาบถย่อย และแบบท่ี ๔ เปรียบเทียบสมาธินทรียค์ ู่กบั วิริยินทรียใ์ นรูปแบบของการนงั่ สมาธิ จาก การประเมินอินทรีย์ ๕ ก่อนและหลงั การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานพบวา่ ค่าเฉลี่ยของระดบั คะแนนเพมิ่ ข้ึน อยา่ งเห็นไดช้ ดั หลงั จากการฝึ กอบรมวปิ ัสสนากรรมฐาน อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ (p< ๐.๕) ยกเวน้ การมี ความรู้ความเขา้ ใจในการกาหนดทวาร ๖ และอิริยาบถยอ่ ย อยูใ่ นระดบั ปานกลาง ตวั ช้ีวดั เพื่อความเป็ น อินทรีย์ ๕ เปรียบเทียบญาณ ๑๖ แบบท่ี ๑ เพ่ิมข้ึนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ ส่วนแบบท่ี ๒ แบบท่ี ๓ และ แบบท่ี ๔ อยใู่ นระดบั ปานกลาง สาหรับตวั ช้ีวดั ที่สร้างข้ึนจากการประเมินอินทรีย์ ๕ มีประโยชน์ในการ อธิบายระดบั ของอินทรีย์ ๕ ดว้ ยการเกิดข้ึนของญาณท่ีง่ายชัดเจนเป็ นรูปธรรม นอกจากน้ี ตวั ช้ีวดั ยงั สามารถใช้เป็ นเคร่ืองมือในการประเมินผลผูป้ ฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานหรือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ใน สถานท่ีอื่น ๆ และใชเ้ ป็นแนวทางในการสร้างเคร่ืองมือสาหรับการประเมินผลธรรมหมวดอ่ืน ๆ ไดด้ ว้ ย ๕๖) พระราชสิทธิมุนี (วิ.) (๒๕๕๗) ศึกษาวิจยั เรื่องศึกษาวิเคราะห์รูปแบบและวิธีการสอบ อารมณ์ตามแนวสติปัฏฐาน ๔๕ ศึกษารูปแบบและวธิ ีการสอบอารมณ์ตามแนวทางการปฏ๖ิบตั ิสติปัฏฐาน ๔ ในหลกั คาสอนของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทและสถาบนั วิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลยั และสร้างรูปแบบ โครงสร้างการปฏิบตั ิสติปัฏฐานและการสอบอารมณ์เพ่ือเป็ นบรรทดั ฐานการสอนเบ้ืองตน้ ในการดาเนินงานวิจยั เป็ นการวิจยั เชิงเอกสาร คือ การรวบรวมขอ้ มูล สืบคน้ จาก คมั ภีร์พระพุทธศาสนา พระไตรปิ ฎกและหนังสือตาราท่ีเก่ียวขอ้ ง วิเคราะห์ขอ้ มูลโดยการตีความสร้าง ขอ้ สรุปแบบอุปนยั และมีลกั ษณะเป็ นวิจยั คุณภาพ คือ มีการเก็บรวบรวมขอ้ มูลจากการสังเกตและการ สัมภาษณ์เชิงลึก โดยกาหนดประชากรเป้าหมายแบบกลุ่มตวั อย่างเจาะจง คือ พระวิปัสสนาจารย์ผูม้ ี ประสบการณ์การสอนต้งั แต่ ๑๐ ปี ข้ึนไป ผลการศึกษาพบวา่ วเิ คราะห์ปรากฏวา่ รูปแบบการสอนวปิ ัสสนา กรรมฐานตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ของสถาบนั วปิ ัสสนาธุระ มีเน้ือหาและโครงสร้างหลกั การสอนท่ีตรง กบั พระไตรปิ ฎก และดาเนินการสอบอารมณ์ ประกอบดว้ ย ภาคอุทเทส ภาคนิเทส และภาคอนิสงส์ ในทาง เทคนิคการสอน ปฏิบตั ิน้นั รายละเอียดแตกต่างกนั ไปบา้ ง เพื่อใหเ้ หมาะสมกบั คุณลกั ษณะของผูส้ อน และ ผเู้ รียนในปัจจุบนั ประยกุ ตจ์ ากวธิ ีการกาหนดลมหายใจเขา้ ออก เป็นการกาหนดรู้อาการพองยบุ ที่หนา้ ทอ้ ง พระวปิ ัสสนาจารยห์ รือผสู้ อบอารมณ์ จะใชก้ ารสังเกต สัมภาษณ์โยคีผปู้ ฏิบตั ิตามโครงสร้างสติปัฏฐาน ๔ โดยเนน้ การตามในส่วนหวั ขอ้ วปิ ัสสนาลว้ น คือ อิริบาบถบรรพะ สัมปชญั ญบรรพะ ธาตุมนสิการบรรพะ ๕ พระราชสิทธิมุนี (ว.ิ ). ๒๕๕๗. ศึกษาวเิ คราะห์รูปแบบและวธิ ีการสอ๖บอารมณ์ตามแนวสตปิ ัฏฐาน ๔. รายงานผลการวจิ ยั . คณะพทุ ธศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระนครศรีอยธุ ยา.

๖๕ และใชก้ ารอนุมานจากองคค์ วามรู้ท่ีเกิดจากประสบการณ์สภาวธรรมจริงของผปู้ ฏิบตั ิโดยวดั ผลการปฏิบตั ิ ดว้ ยโสฬสญาณ ซ่ึงมีระบุอยใู่ นปัญญาญาณ ๗๓ ประเภทในพระไตรปิ ฎก จากการศึกษาน้นั ยงั พบขอ้ มูล จากตวั อย่างการวิจยั ว่า ผูป้ ฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ของสถาบนั วิปัสสนาธุระ สามารถเจริญวิปัสสนาญาณข้ึนไดต้ ามลาดบั ซ่ึงตรงกบั อานิสงคข์ องสติปัฏฐานสูตร ดงั พระพุทธพจน์ที่วา่ “ภิกษุท้งั หลาย ทางน้ีเป็ นทางสายเดียวเพื่อความบริสุทธ์ิของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงโสกะและปริเทวะ เพื่อดบั ทุกขแ์ ละโทมนสั เพ่ือบรรลุญายธรรม เพ่ือทาใหแ้ จง้ นิพพานทางน้ี คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ (ม.นู.(ไทย) ๑๒/๑-๑๐/๑๐๑) ทา้ ยสุดน้ี ประโยชน์ที่ไดร้ ับจากการศึกษายงั สามารถสร้างองคค์ วามรู้เพื่อเป็ นแบบอย่าง โมเดลโครงสร้างการปฏิบตั ิสติปัฏฐาน ๔ และการสอบอารมณ์ในเบ้ืองตน้ และรองรับการปรับประยกุ ตใ์ ช้ เป็ นคู่มือการเรียนการสอนและการวิจยั ต่อยอดองค์ความรู้ท่ีมีอยู่เดิม รวมถึงเผบแพร่ต่อหน่วยงานที่ เก่ียวขอ้ งท้งั ในประเทศและตา่ งประเทศ ๕๗) เสถียร ทง่ั ทองมะดัน และคณะ (๒๕๕๘)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เร่ือง สมถกมั มัฏฐานในฐานะเป็ นบาท ฐานของมโนมยิทธิ๕ วตั ถุประสงค์เพ่ือ ๑)เพ่ือศึกษาสมถกมั มฏั ฐานในพระพุท๗ธศาสนา ๒)เพื่อศึกษา มโนมยิทธิในพระพุทธศาสนา ๓)เพื่อวเิ คราะห์สมถกมั มฏั ฐานในฐานะเป็ นบาทฐานของมโนมยิทธิ เป็ น การวจิ ยั แบบคุณภาพโดยใช้วธิ ีวิจยั เชิงพรรณนา ผลการศึกษาวิจยั พบวา่ สมถกมั มฏั ฐานในพระไตรปิ ฎก เป็นวธิ ีการปฏิบตั ิกรรมฐานในพระพุทธศาสนา แบ่งเป็น ๔ วธิ ี คือ ๑) วธิ ีปฏิบตั ิสมถะนาหนา้ วปิ ัสสนา ๒) วธิ ีปฏิบตั ิวิปัสสนานาหนา้ สมถะ ๓)วิธีปฏิบตั ิสมถะและวปิ ัสสนาควบคู่กนั ไป และ ๔)วิธีปฏิบตั ิเมื่อจิตถูก ชกั ใหไ้ ขวเ้ ขวเพราะธรรมุธจั จ์ ซ่ึงผปู้ ฏิบตั ิอาจจะเลือกเอาวธิ ีการท่ีเหมาะสมกบั ตนในใชป้ ฏิบตั ิตามสมควร ในคมั ภีร์วิสุทธิมรรค กล่าวถึง สมถกรรมฐานเป็ นการปฏิบตั ิไวต้ ้งั แต่กิจเบ้ืองตน้ ก่อนเจริญพระกมั มฏั ฐาน การชาระศีลใหบ้ ริสุทธ์ิ ต้งั มน่ั อยใู่ นศีลท่ีบริสุทธ์ิดีแลว้ การตดั ปริโพธ อนั เป็นเครื่องกงั วล ๑๐ ประการ ใน คมั ภีร์วิมุตติมรรคจะเป็ นไปในแนวทางเดียวกนั กบั คมั ภีร์วิสุทธิมรรคทุกประการ ในคมั ภีร์อภิธัมมตั ถ สังคหะ ใหก้ าหนดดูจิตเป็นท่ีต้งั ในการเกิดกบั อยใู่ นกระแสของภวงั ค์ เรียกวา่ ภวงั คจิตอยา่ งหน่ึง เกิดดบั ใน วิถีแห่งการรับรู้โลกภายนอกทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และในคัมภีร์อภิธัมมาวตารเป็ นการเจริญ กมั มฏั ฐานโดยใช้กสิณเป็ นฐานเพ่ือให้เกิดฌาน จากน้นั พิจารณาอรูปฌานไปอภิญญา และสู่วิปัสสนาไป ตามลาดบั เพ่ือความสิ้นไปแห่งกิเลสคือการบรรลุถึงพระนิพพาน เนื่องจากมโนยทิ ธิ คือ การมีฤทธ์ิทางใจ คือ การรู้เห็น สัมผสั ตามความเป็ นจริงดว้ ยการใชใ้ จ เป็ นกาลงั ในการเพง่ จิตไปภายในตวั ของตนเอง เป็ น ผลการอบรมฌาน จนถึงความชานาญคล่องแคล่ว การวเิ คราะห์สมถกมั มัฏฐานในฐานะเป็ นบาทฐานของ มโนยิทธิ ไดแ้ ก่ ๑)สมถกมั มฏั ฐานในฐานะบาทฐานของมโนยทิ ธิ เป็ นการใชอ้ ารมณ์ของสมถกมั มฏั ฐาน เพอื่ เป็นบาทฐานมโนมยทิ ธิ คือ เมื่อฝึกปฏิบตั ิ โดยการใชอ้ ารมณ์ของสมถกมั มฏั ฐานอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ๒) องคฌ์ านในฐานะเป็นอารมณ์ของมโนมยทิ ธิ เป็นการทาฌานใหเ้ กิดข้ึนหรือเขา้ ฌาน เพื่อใชก้ าลงั สมาธิของ ฌานน้นั เตรียมจิตให้อยู่ในสภาพพร้อมดีท่ีสุดสาหรับใชเ้ ป็ นที่ทาการของปัญญาที่จะคิดพิจารณาให้เห็น ๕ เสถียร ทงั่ ทองมะดนั และคณะ. ๒๕๕๘. สมถกมั มฏั ฐานในฐานะเป็ น๗บาทฐานของมโนมยทิ ธิ. รายงาน ผลการวจิ ยั มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตนครราชสีมา.

๖๖ ความเป็ นจริงต่อไป ๓) กสินในฐานะเป็ นบาทฐานมโนมยิทธิ เป็ นการฝึ กการเพ่งกสิณวธิ ีทากรรมฐานที่ เหมาะสมกบั คนทุกคนและทุกจริตคือ ทุกคนสามารถเพ่งได้ แต่ก็มีคนบางประเภทเพ่งกสิณแลว้ ไม่เกิดผล ไม่เกิดนิมิตไม่สามารถทาฌานให้เกิดข้ึน ๔) จริตกบั กมั มฏั ฐานในฐานะเป็ นบาทฐานมโนมยิทธิ ในทาง การปฏิบตั ิสมถกรรรมฐาน ๔๐ ชนิด เหมาะกบั บุคคลแตล่ ะจริตแตกตา่ งกนั ไป และ ๕)สมถกมั มฏั ฐานจาก กสิณ ๑๐ ในฐานะเป็ นบาทฐานมโนมยทิ ธิ เม่ือฝึ กกสิณจนสามารถละนิวรณ์ใหห้ มดไปไดแ้ ลว้ ผลจากการ ฝึกน้ียอ่ มทาใหฌ้ านเกิดข้ึนเป็นลาดบั ตอ่ ไป ๕๘) ศุกร์ใจ เจริญสุข และคณะ๕ (๒๕๕๘)ไดศ้ ึกษาวิจยั เร่ืองความหมายและปัจจัยบ่มเพาะส๘ติ จากประสบการณ์ของสตรีไทยทปี่ ฏิบัติธรรม เป็นการวจิ ยั เชิงคุณภาพ วตั ถุประสงคเ์ พ่อื บรรยายความหมาย และปัจจยั บ่มเพาะสติ จากประสบการณ์ของสตรีไทยที่ปฏิบตั ิธรรม คดั เลือกผใู้ หข้ อ้ มูลแบบเฉพาะเจาะจง ประกอบดว้ ยสตรีผปู้ ฏิบตั ิธรรม ๒ กลุ่ม ไดแ้ ก่ สตรีผูบ้ วชในพุทธศาสนา จานวน ๖ คน และสตรีผปู้ ฏิบตั ิ ธรรมโดยไม่ไดบ้ วช จานวน ๗ คนเก็บรวบรวมขอ้ มูลโดยใชก้ ารสัมภาษณ์แบบเจาะลึก เคร่ืองมือที่ใชใ้ น การเก็บรวบรวมขอ้ มูล คือ แบบสอบถามขอ้ มูลทวั่ ไป และแนวคาถามในการสัมภาษณ์แบบก่ึงโครงสร้าง ซ่ึงผูว้ ิจยั สร้างข้ึน และวิเคราะห์ขอ้ มูลโดยใช้การวิเคราะห์เน้ือหา ผลการศึกษาพบว่า สตรีไทยท่ีปฏิบตั ิ ธรรมบรรยายประสบการณ์ใน ๒ ประเด็นหลกั คือ ความหมาย และปัจจยั บ่มเพาะสติ โดยความหมายของ สติมี ๔ ประเด็นยอ่ ย คือ ๑) การอยกู่ บั ปัจจุบนั ขณะ ๒) ตระหนกั รู้ตนเอง ๓) ใคร่ครวญตามความเป็ นจริง และ ๔) เป็ นกลาง เป็ นธรรมชาติ ในส่วนของปัจจยั บ่มเพาะสติ มี ๒ ประเด็นย่อย คือ ๑) ปัจจยั ภายใน บุคคล ซ่ึงมี ๔ หวั ขอ้ ไดแ้ ก่ (๑) การมีศรัทธาและฉนั ทะ (๒) การมีศีล (๓) ความพร้อมของร่างกาย และ (๔) การหมนั่ ฝึ กฝน และ ๒) ปัจจยั ภายนอกบุคคล ซ่ึงมี ๒ หวั ขอ้ ไดแ้ ก่ ๑) การอยใู่ นสถานท่ีสงบ ๒) การท่ีได้ เรียนรู้หรือมีการศึกษา การศึกษาน้ีทาใหเ้ ขา้ ใจความหมายของสติและทราบปัจจยั บม่ เพาะสติ ของสตรีไทย ที่ปฏิบตั ิธรรม ซ่ึงสามารถนามาเป็ นแนวทางในการส่งเสริมสุขภาพจิตและพฒั นาโปรแกรมการบาบดั ท้งั ทางกายและทางจิตโดยใชส้ ติเป็นฐาน ตลอดจนพฒั นาเครื่องมือประเมินการมีสติในบริบทของไทย ๕๙) พระมหาวิชัย ยติชโย(ฤทธ์ิวิรุฬห์) (๒๕๕๙)ไดศ้ ึกษาวิจยั เร่ือง แบบการสอบอารมณ์การ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแนวพองยุบ๕ ผลการศึกษาพบว่า แบบสอบอารมณ์ในการปฏิบตั ิวิปัสส๙นา กรรมฐานแนวพองยุบ ในรูปแบบ ๒RC Model:Double RC Model ประกอบด้วย ๑)แบบการส่งอารมณ์ การปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานแนวพองยุบ (R๑) ๒)แบบบนั ทึกการสอบอารมณ์การปฏิบตั ิวิปัสสนา กรรมฐานแบบพองยุบ (R๒) ๓.เกณฑ์การจาแนกสภาวธรรมและสภาวญาณในการปฏิบตั ิวิปัสสนา กรรมฐาน ๑๑ ญาณ (C๑) ๔.แนวทางการใหค้ าปรึกษาการปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานบูรณาการมชั ฌิมนิกาย ๕ ศุกร์ใจ เจริญสุข และคณะ. ๒๕๕๘. ความหมายและปัจจยั บ่มเพาะ๘สติ จากประสบการณ์ของสตรีไทย ท่ี ปฏิบตั ิธรรม. ว.พยาบาลกระทรวงสาธารณสุข . ๒๕(๓) : ๑๗๐-๑๘๓ ๕ พระมหาวชิ ยั ยติชโย (ฤทธ์ิวริ ุฬห์) . แบบการสอบอารมณ์การปฏิบตั ิว๙ปิ ัสสนากรรมฐานแนวพองยบุ . ว.พุทธ ศาสน์ศึกษา จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๒๓ (๒) : ๕๑-๘๔.

๖๗ กบั ทางจิตวิทยา (C๒) โดยทาการสัมภาษณ์แบบเชิงลึก ผูท้ รงคุณวุฒิ ๕ ท่าน และประชากรท่ีศึกษา คือ พระวปิ ัสสนาจารยใ์ นโครงการปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน ๓ โครงการ มีระยะเวลา ๔๕ , ๓๐ และ ๑๐ วนั ๖๐) บุณชญา วิวิธขจร (๒๕๕๙)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เรื่อง การปฏิบัติและการสอบอารมณ์กรรมฐานตาม หลักพระพุทธศาสนา ในประเทศเมียนมาร์๖ วตั ถุประสงค์เพื่อศึกษาการปฏิบตั ิและการสอ๐บอารมณ์ กรรมฐานในคมั ภีร์พุทธศาสนาเถรวาท เพ่อื ศึกษาการปฏิบตั ิและแนวทางสอบอารมณ์ ๓ สานกั ในประเทศ เมียนมาร์ เพื่อศึกษาวเิ คราะห์ความสอดคลอ้ งการปฏิบตั ิและแนวทางการสอบอารมณ์กรรมฐานในคมั ภีร์ พระพุทธศาสนากบั สานกั ปฏิบตั ิธรรมในประเทศเมียนมาร์ ผลการศึกษาพบว่า ๑)การปฏิบตั ิและแนว ทางการสอบอารมณ์ในคมั ภีร์พุทธศาสนาเถรวาท เป็ นไปตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ เร่ิมจากสมถกรรมฐาน ตามแนวสมถยานิก และวิปัสสนากรรมฐานตามแนววิปัสสนายานิก ๒)การปฏิบตั ิและการสอบอารมณ์ กรรมฐานของพระโสภณมหาเถระ(มหาสีสยาดอ) เป็นการปฏิบตั ิวปิ ัสสนาภาวนาตามแนวทางวปิ ัสสนายา นิก การปฏิบตั ิและการสอบอารมณ์กรรมฐานของท่านโกเอ็นกา้ เป็ นการปฏิบตั ิวิปัสสนาภาวนามตาม แนวทางสมถยานิก เป็ นอานาปานสติไม่มีคาบริกรรม รับรู้ลกั ษณะของธาตุและเจริญสติปัฏฐาน ๔ ส่วน การปฏิบตั ิและการสอบอารมณ์กรรมฐานของศูนยป์ ฏิบตั ิธรรมนานาชาติพะอ๊อก ตอยะ เป็ นการปฏิบตั ิ วิปัสสนาตามแนวทางสมถยานิก เป็ นอานาปานสติท่ีมีคาบริกรรมและปฏิบตั ิสมถภาวนาอีกหลายหมวด และเจริญสติปัฏฐาน ๔ ๓)ความสอดคลอ้ งการปฏิบตั ิและแนวทางการสอบอารมณ์กรรมฐานตามหลกั พระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศเมียนมาร์ พบวา่ ท้งั ๓ สานกั เป็นแนวทางที่สอดคลอ้ งกบั พระไตรปิ ฎก เพราะการปฏิบตั ิและการสอบอารมณ์กรรมฐานของพระโสภณมหาเถระ(มหาสีสยาดอ) เป็ นการกาหนด ธาตุกรรมฐาน ส่วนการปฏิบตั ิและการสอบอารมณ์กรรมฐานโกเอน็ กา้ และการสอบอารมณ์กรรมฐานของ ศูนยป์ ฏิบตั ิธรรมนานาชาติพะออ๊ ก ตอยะ เป็นการเจริญอานาปานสติและการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ๖๑) พระราชปริยตั ิกวี (๒๕๖๐)ใหแ้ นวคิดเรื่อง กรรมฐานในพระพุทธศาสนา: บทเรียนจากมหา สติปัฏฐานสูตรและความนิยมในสังคมไทย๖ กรรมฐานในพระพุทธศาสนาเป็ นวิธีการฝึ กฝน๑จิตใจให้มี สมาธิ และจิตท่ีมีสมาธิย่อมประกอบด้วยคุณภาพ สุขภาพ และสมรรถภาพ ซ่ึงจะส่งผลให้บุคคลมี ประสิทธิภาพสูงทางานทุกอยา่ งประสบความสาเร็จ กรรมฐานในพระพุทธศาสนา ๒ อยา่ งคือสมถกรรม ฐานและวิปัสสนากรรมฐาน กรรมฐานท้งั ๒ อย่างน้ีมีเป้าหมายเดียวกนั คือให้จิตมีสมาธิ และเพ่ือทา นิพพานใหแ้ จง้ สติปัฏฐาน ๔ คือการพิจารณากายในกาย การพิจารณาเวทนาในเวทนา การพิจารณาจิตใน จิต และการพิจารณาธรรมในธรรม เป็ นวิธีปฏิบตั ิที่ไดร้ ับความนิยมท้งั ในอดีตและปัจจุบนั แม่บทแห่งวิธี ปฏิบตั ิกรรมฐานคือไตรสิกขา ถือเป็ นหลกั การใหญ่ พระพุทธเจา้ ทรงแสดงการประยุกตห์ ลกั การใหญ่น้ี ไปสู่ภาคปฏิบตั ิที่ชดั เจนมากในมหาสติปัฏฐานสูตรและในพระสูตรย่อยคืออานาปานสติสูตร มีการสืบ ๖ บุณชญา ววิ ิธขจร. ๒๕๕๙. การปฏบิ ัตแิ ละการสอบอาร๐มณ์กรรมฐานตามหลกั พระพทุ ธศาสนา ในประเทศ เมยี นมาร์. รายงานผลการวจิ ยั . มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตบาฬีศึกษาพทุ ธโฆส . ๖ พระราชปริยตั ิกวี . ๒๕๖๐. กรรมฐานในพระพทุ ธศาสน๑า: บทเรียนจากมหาสติปัฏฐานสูตรและความนิยมใน สงั คมไทย . ว.มหาจฬุ าวชิ าการ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๔ (๒) : ๑-๒๐

๖๘ ทอดวธิ ีการน้ีจากสมยั พุทธกาลมาจนถึงปัจจุบนั ในหลายชาติท่ีนบั ถือพระพทุ ธศาสนา เช่น ลงั กา พม่า ไทย การประยกุ ตส์ ติปัฏฐานเพอ่ื การปฏิบตั ิในสานกั ตา่ ง ๆ มีความแตกตา่ งหลากหลาย วธิ ีปฏิบตั ิคือกาหนดใหผ้ ู้ ปฏิบตั ิเดิน ยนื นงั่ เป็นหลกั และใหม้ ีสติระลึกรู้ชดั ตลอดเวลา นี่คือกายานุปัสสนา ขณะท่ีเดิน ยนื นง่ั อยูน่ ้นั ถา้ รู้สึกปวดเม่ือยก็ให้กาหนดรู้ชดั น่ีคือเวทนานุปัสสนา ส่วนอิริยาบถนอนน้นั ให้ปฏิบตั ิตอนท่ีจะเขา้ นอน ถา้ จิตคิดฟุ้งซ่านก็ให้กาหนดรู้ชดั น่ีคือจิตตานุปัสสนา ในขณะเดียวกนั เม่ือจิตน่ิงไดท้ ี่แลว้ ก็ให้ตรวจสอบ กิเลสคือนิวรณ์ ตรวจสอบขนั ธ์ อายตนะ โพชฌงค์ และอริยสัจ คือธมั มานุปัสสนา การปฏิบตั ิท่ีมีความ หลากหลายเหล่าน้ี เพื่อกาหนดรู้ธรรมชาติของชีวิตคือขนั ธ์ ๕ (นามรูปหรือรูปนาม)ว่า “มีความเกิดข้ึน ต้งั อยู่ ดบั ไปเป็ นธรรมดา และเกิดข้ึน ต้งั อยู่ ดบั ไปตามเหตุปัจจยั ” เม่ือรู้แจง้ ธรรมชาติของชีวิตแลว้ ก็จะ คลายความยดึ มนั่ ถือมน่ั ได้ กรรมฐานแบบน้ีมีผลมาก มีอานิสงส์มาก เป็ นที่ประจกั ษ์ ผผู้ า่ นการปฏิบตั ิต่าง ยอมรับวา่ จิตใจมีคุณภาพ สุขภาพ และสมรรถภาพ จึงเป็นท่ีนิยมปฏิบตั ิทวั่ โลก ๖๒) พระสมพร กิตฺติโสภโณ (โพธ์ิสุวรรณ) และ นนั ทนา อริยสัจจะธรรม (๒๕๖๐) ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เร่ือง วิปัสสนากัมมัฏฐาน : ความหมายและแนวปฏิบัติ๖ พบว่า การปฏิบตั ิวิปัสสนา คือ การพิจารณา ๒ หัวขอ้ ธรรมให้เข้าใจชีวิตตามความเป็ นจริงท่ีปรากฏชัดในชีวิตที่เกิดจากดารงชีวิตในแต่ละเรื่อง เม่ือ พิจารณาไดอ้ ยา่ งน้ีหลกั พุทธศาสนาเรียกวา่ เกิดปัญญาความรู้แจง้ ซ่ึงถือเป็ นหวั ใจท่ีแทจ้ ริงของการปฏิบตั ิ ธรรม การปฏิบตั ิวปิ ัสสนามีหลากหลายรูปแบบและแนวทางโดยมีการแนะนาไวใ้ นกรรมฐาน ๔๐หมายถึง ความเหมาะสมในแต่ละบุคคลที่มีอุปนิสัยแตกต่างกนั กบั หลกั ธรรมแต่ละหัวขอ้ ที่สามารถแก้ไขข้อเสีย โดยเฉพาะไดเ้ ช่นคนอารมณ์ร้อนควรใชเ้ มตตาเป็นอารมณ์ในการปฏิบตั ิคนปกติทว่ั ไปควรใชม้ รณสติ หรือ การระลึกถึงความตายเป็ นอารมณ์ในการปฏิบตั ิ เพื่อคงไวใ้ นความไม่ประมาทเป็ นตน้ ดงั น้ัน หลกั การ ปฏิบตั ิวิปัสสนาสมาธิแบบง่าย คือการรู้จกั นาหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนามาเรียนรู้ให้เขา้ ใจตามให้ ถูกตอ้ งตามจริตของตนเพียงเทา่ น้ีทุกคร้ังถือวา่ เป็นการพฒั นาตนเองไดเ้ ป็ นอยา่ งดี ๖๓) พระเรืองเดช โชติธมฺโม (เสียงเพราะ) และคณะ (๒๕๖๐)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เรื่อง วเิ คราะห์หลกั ไตร ลกั ษณ์ในเชิงสุนทรียศาสตร์ ๖ วตั ถุประสงค์ ๑) เพ่อื ศึกษาหลกั ไตรลกั ษณ์ในพร๓ะพุทธศาสนา เถรวาท ๒). เพ่ือศึกษาทฤษฎีทางสุนทรียศาสตร์ ๓) เพื่อวเิ คราะห์หลกั ของไตรลกั ษณ์ในเชิงสุนทรียศาสตร์ การวจิ ยั คร้ัง น้ีเป็ นการวิจยั เชิงคุณภาพ ด้วยการศึกษาขอ้ มูลจากพระไตรปิ ฎก เอกสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา เอกสารวิชาการทางสุนทรี ยศาสตร์ และงานวิจยั ที่เก่ียวข้อง แล้วนาเสนอผลการวิจยั ด้วยวิธีพรรณนา วิเคราะห์ ผลการวิจยั พบว่า แนวคิดหลกั ไตรลกั ษณ์ มีความสัมพนั ธ์กบั ส่ิงต่าง ๆ ในการดารงชีวิตของ มนุษย์ โดยมุ่งเนน้ ดา้ นอารมณ์ ความรู้สึก ความจริง ความดี และความงาม ตามรูปแบบของพุทธปรัชญา หรืออาจกล่าวไดว้ า่ เป็ นประสบการณ์ทางความงาม สาระสาคญั ของสุนทรียศาสตร์มี ๒ นยั ยะ คือนยั ยะท่ี ๖ พระสมพร กิตฺติโสภโณ (โพธ์ิสุวรรณ) และ นันทน๒ า อริยสัจจะธรรม. ๒๕๖๐.วิปัสสนากัมมัฏฐาน : ความหมายและแนวปฏิบตั ิ. ว.ครุศาสตร์ปริทรรศน์. ๔(๑) : ๑๑๗-๑๒๖. ๖ พระเรืองเดช โชติธมฺโม (เสียงเพราะ) และคณะ. ๒๕๖๓๐. วเิ คราะห์หลกั ไตรลกั ษณ์ในเชิงสุนทรียศาสตร์. ว. ภาษา ศาสนา และวฒั นธรรม ๖(๑) : ๑๑๘-๑๓๐.

๖๙ เกี่ยวขอ้ งหรือเกี่ยวเน่ืองกบั สังคมทวั่ ไป ซ่ึงเป็ นท่ีเขา้ ใจกนั ตามสภาพสังคม โดยมีลกั ษณะความสัมพนั ธ์ เช่น ศิลปะอย่างใดอย่างหน่ึง จะได้รับการตีค่าว่า สวยงามหรือไม่น้ันตอ้ งประกอบไปด้วยว่า ศิลปะได้ ส่งเสริมหรือมีวตั ถุประสงค์เพ่ือสิ่งใด และส่งเสริมให้ผูร้ ับรู้หรือเสพศิลปะเข้าถึงความจริงหรือไม่ แนวคิดหลกั ไตรลกั ษณ์ในเชิงสุนทรียศาสตร์ วา่ ดว้ ยความงามตามหลกั พระพุทธศาสนา ตอ้ งเกิดจากการ ฝึ กและปฏิบตั ิความงามที่เกิดจากศีลเป็ นความงามเบ้ืองตน้ ความงามท่ีเกิดจากสมาธิ เป็ นความงามใน ระดบั กลาง และความงามที่เกิดจากปัญญาเป็ นความงามในระดบั สูง ซ่ึงประกอบไปดว้ ยการอนุเคราะห์ ประโยชน์ ความเก้ือกลู และความสุข ส่วนความหลุดพน้ เป็นความงามอยา่ งสมบูรณ์แบบเป็นนิตยน์ ิรันดร์ ๖๔) บุณชญา ววิ ิธขจร (๒๕๖๐) ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่อง การพฒั นาหลกั การสอนวิปัสสนาภาวนาของ สํานักปฏิบัติธรรมต้นแบบ ตามแนวสติปัฏฐานสูตร๖ วตั ถุประสงค์เพ่ือศึกษา ๑)หลกั การสอน๔ วิปัสสนา ภาวนาตามแนวสติปัฏฐานสูตร ในคมั ภีร์พุทธศาสนาเถรวาท ๒)หลกั การสอนวปิ ัสสนาภาวนาของสานกั ปฏิบตั ิธรรมตน้ แบบ ตามแนวสติปัฏฐานสูตร ๓)การพฒั นาการสอนวิปัสสนาภาวนาของสานกั วิปัสสนา กรรมฐานวดั พระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร จงั หวดั เชียงใหม่ การวิจยั คร้ังน้ีเป็ นการวิจยั เชิงคุณภาพ ใช้ วิธีการรวบรวมขอ้ มูล โดยศึกษาหลกั ธรรมท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน จากคมั ภีร์พุทธ ศาสนาเถรวาท บทความและผลงานการวิจยั รวมถึงคู่มือการปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานของสานกั ปฏิบตั ิ ธรรมตน้ แบบ นาขอ้ มูลท่ีไดม้ าทาการวิเคราะห์และเขียนสรุปเชิงพรรณนา ผลการวิจยั พบว่า การปฏิบตั ิ วปิ ัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานสูตร คือการปฏิบตั ิใหเ้ กิดปัญญาเห็นแจง้ ตามความเป็ นจริงของรูป นาม โดยการพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม การพิจารณาอยา่ งน้ีทาให้เกิดวิปัสสนาญาณ หลกั การสอน ปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานวดั พระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร น้นั ก็เป็ นไปตามหลกั สติปัฏฐานสูตร มีการ กาหนดเพื่อใหม้ ีสติรู้ทนั ปัจจุบนั ธรรมอยา่ งจดจอ่ ต่อเน่ือง มีการพฒั นารูปแบบการสอนเพือ่ ใหเ้ หมาะสมต่อ การปฏิบตั ิ คือเรื่องของการกําหนดตามตําแหน่งของร่างกาย ๒๘ จุด โดยใช้จิตกําหนดไปที่จุดต่าง ๆ ใน ร่างกาย เป็นการปรับอินทรียอ์ ีกวธิ ีหน่ึง จะเพ่มิ กาลงั ขณิกสมาธิใหแ้ ขง็ แรง ป้องกนั การเขา้ สมาธิลึก และมี การปฏิบตั ิท่ีเขม้ ขน้ มีการอธิษฐานในธรรมะวเิ ศษ การอธิษฐานการเกิดดบั และการ อธิษฐานเขา้ ผลสมาบตั ิ เพื่อจะไดพ้ บสภาวธรรมของตนเอง จนทาให้มีความกา้ วหน้าในการปฏิบตั ิ และพบวา่ เป็ นหนทางแห่ง ความดบั ทุกข์ จนบรรลุเป้าหมาย คือมรรค ผล นิพพาน ตามบารมีที่สงั่ สมมาของตนเอง ๖๕) รุ่งทพิ ย์ เลิศนิทศั น์ (๒๕๖๐) ไดศ้ ึกษาวิจยั เร่ือง การเปรียบเทียบรูปแบบ และวิถีการปฏิบัติ ภาวนาของ พุทธศาสนิกชนในกรุงเทพฯ ๖ วตั ถุประสงคเ์ พื่อเปรียบเทียบรูปแบบและวถิ ีการ๕ปฏิบตั ิ ภาวนา ของพุทธศาสนิกชนในกรุงเทพมหานครจากวิถีการปฏิบตั ิภาวนาท้งั ๕ สายปฏิบตั ิ การวิจยั คร้ังน้ีใช้ ระเบียบวิธีวิจยั เชิงปริมาณ เก็บขอ้ มูลโดยใช้แบบสอบถาม จานวน ๔๐๐ คน ใช้วิธีสุ่มตวั อย่างโดยการ ๖ บุณชญา ววิ ธิ ขจร. ๒๕๖๐. การพฒั นาหลกั การสอนวปิ ั๔สสนาภาวนาของสานกั ปฏิบตั ิธรรมตน้ แบบ ตามแนว สติปัฏฐานสูตร. ว.สันตศิ ึกษาปริทรรศน์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๕ (๓) : ๑๓๓-๑๔๓. ๖ รุ่งทิพย์ เลิศนิทศั น.์ ๒๔๖๐. การเปรียบเทียบรูปแบบ แ๕ละวถิ ีการปฏิบตั ิภาวนาของ พทุ ธศาสนิกชนใน กรุงเทพฯ . ว.วจิ ยั สังคม สถาบนั วจิ ยั จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๔๐ (๒) : ๑๓๓-๑๕๔.

๗๐ กาหนดสัดส่วน ผลการศึกษาพบวา่ พุทธศาสนิกชนจากวิถีการปฏิบตั ิภาวนาท้งั ๕ สายปฏิบตั ิ ไดแ้ ก่ ๑) พุทธศาสนาตามประเพณี ๒) สายปฏิบตั ิกรรมฐานแนวสติปัฏฐานส่ี ๓) สายปฏิบตั ิวิชาธรรมกาย ๔) ขบวนการพุทธใหม่ ๕) สายปฏิบตั ิธรรมตามหลกั อานาปานสติ มีรูปแบบ และวิธีการปฏิบตั ิภาวนาที่ แตกต่างกนั พบว่า พุทธศาสนิกชน จากสายปฏิบตั ิธรรมตามหลกั อานาปานสติมีการปฏิบตั ิภาวนามาก ท่ีสุด แตกตา่ งจากสายปฏิบตั ิแบบพุทธศาสนาตามประเพณี ที่มีการปฏิบตั ิภาวนานอ้ ยที่สุด ส่วนอีก ๓ สาย ปฏิบตั ิมีการปฏิบตั ิท่ีคลา้ ยกนั โดยส่วนมากพทุ ธศาสนิกชน มีการปฏิบตั ิภาวนาเพยี งแค่ ไหวพ้ ระ สวดมนต์ และนั่งสมาธิเพียงเท่าน้นั และ นบั ว่าเป็ นส่วนน้อยมากท่ีปฏิบตั ิ สะทอ้ นให้เห็นว่าพุทธศาสนิกชนใน กรุงเทพมหานครส่วนใหญ่ไม่ไดเ้ ห็นความสาคญั ของการปฏิบตั ิภาวนาเท่ากบั การทาทานหรือรักษาศีล และความแตกต่างระหวา่ งวิถีการปฏิบตั ิภาวนาท้งั ๕ สายปฏิบตั ิ ทาใหร้ ูปแบบและการปฏิบตั ิภาวนาของ พุทธศาสนิกชนใน กรุงเทพมหานครมีความแตกต่างกนั ๖๖) พระมหาซิต ฐานชิโต (๒๕๖๑) ไดศ้ ึกษาเรื่อง การปฏบิ ัติและการสอบอารมณ์กรรมฐานตาม หลกั พระพทุ ธศาสนาเถรวาท ในประเทศไทย๖ โดยนาเสนอบทความเป็ นส่วนหน่ึงของงานวจิ ยั ๖เรื่อง “การ ปฏิบตั ิและการสอบอารมณ์กรรมฐานตามหลกั พระพุทธศาสนาเถรวาทในประเทศไทย” วตั ถุประสงค์ ๓ ประการ คือ ๑) เพ่ือศึกษาการปฏิบตั ิและการสอบอารมณ์กรรมฐานในคมั ภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ๒) เพ่ือศึกษาการปฏิบตั ิการสอบอารมณ์กรรมฐาน ๕ สานกั ในประเทศไทย ๓)เพ่ือเสนอรูปแบบการปฏิบตั ิ และการสอบอารมณ์กรรมฐานท่ีเหมาะสมกับประเทศไทย ผลการวิจยั พบว่า การปฏิบตั ิและการสอบ อารมณ์กรรมฐานในประเทศไทย ๕ สานกั คือ ๑)สานกั กรรมฐานแบบพองยุบ ตามแนวพระธรรมธีรราช มหามุนี มีความสอดคลอ้ งกบั พระไตรปิ ฎกใชส้ ติปัฏฐาน ๔ มีการกาหนด ยุบหนอพองหนอ เป็ นอารมณ์ หลกั ๒)แบบพุทโธตามแนวหลวงป่ ูมน่ั ภูริทตฺโต ใชก้ ายคตาสติมีการกาหนดพุทโธ เป็ นอารมณ์หลกั ๓) แบบสัมมา อะระหัง ตามแนวพระมงคลเทพมุนี ใชส้ ติปัฏฐาน ๔ มีการกาหนดสัมมา อรหังเป็ นอารมณ์ หลกั ๔)แบบเคล่ือนไหวตามแนวหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ใชก้ ายานุปัสสนาสติปัฏฐานมีการเคลื่อนไหว ร่างกาย ๕ จงั หวะเป็ นอารมณ์หลกั ๕)แบบอานาปานสติตามแนวพุทธทาสภิกขุ ใช้อานาปานสติเป็ น อารมณ์หลกั มีการปฏิบตั ิและการสอบอารมณ์กรรมฐานตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต และ ธรรม เพราะเป็ นการปฏิบตั ิท่ีถูกตอ้ งตามพระไตรปิ ฎก และมีความเหมาะสมกบั ผูป้ ฏิบตั ิกรรมฐานสืบ ต่อมาจนถึงปัจจุบนั น้ี ๔.๒) การนําโยนิโสมนสิการ เพ่ือการฝึ กสติสําหรับเยาวชน ๖ พระมหาซิต ฐานชิโต. (๒๕๖๑). การปฏิบตั ิและการสอ๖บอารมณ์กรรมฐานตามหลกั พระพทุ ธศาสนาเถรวาท ในประเทศไทย. ว.สันตศิ ึกษาปริทรรศน์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๖(๓) : ๑๒๐๑-๑๒๑๑.

๗๑ ๖๗) ศุภกาญจน์ วิชานาติ (๒๕๕๖)ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่อง การประยุกต์ใช้หลักโยนิโสมนสิการในการ แก้ปัญหา การเรียนของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา๖ วตั ถุประสงคเ์ พ่ือ ๑)ปัญหาและการแกป้ ัญหาการ๗เรียน ของนกั ศึกษาระดบั อุดมศึกษา ๒) หลกั โยนิโสมนสิการในพระพุทธศาสนา เถรวาท ๓)การประยุกต์ใช้ หลกั โยนิโสมนสิการในการ แกไ้ ขปัญหาการเรียนของนกั ศึกษาระดบั อุดมศึกษา ๔)นาเสนอแนวทางและ การสร้างองคค์ วามรู้ใหม่ เก่ียวกบั รูปแบบการประยุกตใ์ ชห้ ลกั โยนิโสมนสิการในการแกป้ ัญหาการเรียน ของนกั ศึกษาระดบั อุดมศึกษา โดยใชร้ ะเบียบวธิ ีวิจยั เชิงคุณภาพแบบเอกสาร และบูรณาการดว้ ยการวิจยั เชิงคุณภาพแบบวิจยั ภาคสนาม ผูใ้ ห้ขอ้ มูลสาคญั ได้แก่ นักศึกษามหาวิทยาลยั ราชภฏั พระนครระดบั ปริญญาตรีภาคปกติ ต้งั แต่ช้ันปี ท่ี ๑ ถึงช้ันปี ท่ี ๔ จานวน ๑๐ คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจยั คือ แบบ สัมภาษณ์เชิงลึก การวิเคราะห์ขอ้ มูลโดยการ วิเคราะห์เน้ือหา แลว้ นามาใช้ในการจดั ทารูปแบบ สาหรับ การประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั โยนิโสมนสิการในการแกป้ ัญหา การเรียนของนกั ศึกษาระดบั อุดมศึกษา ผลการวจิ ยั พบวา่ ๑)สาเหตุของปัญหาการเรียนมีท้งั หมด ๕ ด้าน ไดแ้ ก่ ๑.ดา้ นเจตคติเชิงลบในการเรียน ๒.ดา้ นการ มี สมาธิส้ันต่อการเรียน ๓.ดา้ นแรงจูงใจใฝ่ สัมฤทธ์ิต่าทางการเรียน ๔. ดา้ นความวติ กกงั วลเกี่ยวกบั การเรียน และ ๕. ดา้ นบริหารเวลาที่ไม่มีประสิทธิภาพ ๒)หลกั โยนิโสมนสิการ มีรูปแบบวธิ ีคิด ๑๐ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. วธิ ีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจยั ๒.วธิ ีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ ๓.วธิ ีคิดแบบสามญั ลกั ษณ์ ๔.วธิ ีคิดแบบ อริยสัจจ/์ คิดแบบแกป้ ัญหา ๕.วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพนั ธ์ ๖.วธิ ีคิดแบบเห็นคุณโทษ และทางออก ๗. วิธีคิดแบบรู้คุณค่าแท้ คุณค่าเทียม ๘.วิธีคิดแบบเร้าคุณธรรม ๙.วิธีคิดแบบอยู่กบั ปัจจุบนั และ ๑๐.วิธีคิด แบบวิภชั ชวาท ๓)การประยุกต์หลกั โยนิโสมนสิการในการแก้ไขปัญหาการเรียนตอ้ งใชว้ ิธีคิดที่สอดคลอ้ ง กบั ตวั ปัญหาจึงจะเกิดประสิทธิผล เช่นการประยุกต์หลกั โยนิโสมนสิการดา้ นเจตคติเชิงลบในการเรียน นกั ศึกษา ตอ้ งวางท่าทีท่ีถูกตอ้ งต่อเจตคติเชิงลบในการเรียน โดย วางกรอบวิธีคิดตามกิจในอริยสัจแลว้ ปฏิบตั ิตาม ลาดบั วธิ ีคิดโดยเริ่มต้งั แต่ วธิ ีคิดแบบวภิ ชั ชวาท วธิ ีคิดแบบสามญั ลกั ษณ์ วธิ ีคิดแบบสืบสาวเหตุ ปัจจยั วธิ ีคิด แบบรู้คุณค่าแทค้ ุณค่าเทียม วธิ ีคิดแบบเห็นคุณโทษ และทางออก และวิธีคิดแบบอรรถธรรม สัมพนั ธ์ ตาม ลาดบั เมื่อปฏิบตั ิตามข้นั ตอนดงั กล่าวแลว้ นกั ศึกษา สามารถเปล่ียนสาเหตุของปัญหาการ เรียนดา้ นเจตคติ เชิงลบในการเรียน เป็ นเจตคติเชิงบวกในการเรียนได้ อยา่ งแน่นอน ๔) องค์ความรู้ใหม่ท่ี ได้จากการวิจัย คือรูปแบบ การประยุกต์ใช้หลกั โยนิโสมนสิการในการแกป้ ัญหา การเรียนของนกั ศึกษา ระดบั อุดมศึกษา เรียกว่า FIVE BRANCHES Model กล่าวคือ การใช้หลกั โยนิโส มนสิการเป็ นบุพนิมิต ของนกั ศึกษาที่มีปัญหาการเรียนได้ เป็ นอย่างดีจึงควรนาองค์ความรู้ใหม่น้ีไปใช้เพ่ือแกป้ ัญหา การเรียน ของนกั ศึกษา และพฒั นาทกั ษะการคิดการ ตดั สินใจเม่ือเผชิญกบั ปัญหาตา่ ง ๆ ๖๘) สุภาภรณ์ น้อยทรงค์ และคณะ (๒๕๕๘) ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่อง การพัฒนาคู่มือจัดการเรียนรู้ โดยสร้างศรัทธาและฝึ กคิดแบบโยนิโสมนสิการ ร่วมกับการทําสมาธิ ที่มีต่อความอดทน การคิดวิเคราะห์ ๖ ศุภกาญจน์ วชิ านาติ. ๒๕๕๖. การประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั โยน๗ิโสมนสิการในการแกป้ ัญหา การเรียนของนกั ศึกษา ระดบั อดุ มศึกษา . ว.วชิ าการ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พระนคร ๔(๑) : ๓๔-๔๙

๗๒ และผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี ๕ ๖ มุ่งหมายเพื่อ ๑) พฒั นาคู่มือจดั การเรียนรู้โดยสร้างศรัทธาและฝึ กคิดแบบโยนิโสมนสิการร่วมกบั การทาสมาธิท่ีมีต่อความ อดทน การคิดวเิ คราะห์และผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนใหม้ ีคุณภาพตามเกณฑ์ดชั นีประสิทธิผลและค่าขนาด อิทธิพล ๒)เปรียบเทียบความอดทน การคิดวิเคราะห์และผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เมื่อไดร้ ับการสอนดว้ ย คู่มือจดั การเรียนรู้โดยสร้างศรัทธาและฝึกคิดแบบโยนิโสมนสิการ ร่วมกบั การทาสมาธิ ระหวา่ งก่อนเรียน และหลงั เรียน ๓)เพ่ือเปรียบเทียบความอดทน การคิดวิเคราะห์ และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ระหวา่ งก่อน เรียนและหลงั เรียน ของนกั เรียนที่ไดร้ ับการสอนดว้ ย คู่มือจดั การเรียนรู้โดยสร้างศรัทธาและฝึ กคิดแบบ โยนิโสมนสิการ ร่วมกบั การทาสมาธิ กบั นกั เรียนท่ีไดร้ ับการสอนดว้ ยคู่มือจดั การเรียนรู้แบบปกติ ๔)เพ่ือ เปรียบเทียบ ความอดทน การคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของนกั เรียนที่มีความฉลาดทาง อารมณ์ต่างกนั (สูง ปานกลางและ ต่า) กลุ่มตวั อยา่ งเป็ นนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ ๕ ภาคเรียนท่ี ๑ ปี การศึกษา ๒๕๕๖ โรงเรียนบา้ นบาก ๒ สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร จานวน ๒ ห้องเรียน ซ่ึงไดม้ าโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง และใช้ห้องเรียนเป็ นหน่วยเลือก แลว้ สุ่มอย่างง่ายเพ่ือ กาหนดเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมได้ หอ้ งประถมศึกษา ๕/๑ จานวน ๒๗ คน เป็นกลุ่มควบคุม และ ห้องประถมศึกษา ๕/๒ จานวน ๒๘ คน เป็ นทดลอง รวมท้ังสิ้น ๕๕ คน เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจยั ประกอบดว้ ย ๑)คู่มือจดั การเรียนรู้โดยสร้างศรัทธาและฝึ กคิดแบบโยนิโสมนสิการร่วมกบั การทาสมาธิ ประกอบดว้ ย แผนจดั การเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ๒)คู่มือการจดั การเรียนรู้สืบตามปกติ ๓)แบบวดั ความอดทน ๔)แบบสังเกตการนง่ั สมาธิ ๕)การทดสอบความอดทนทางกายดว้ ยการออกกาลงั แบบลุก-นงั่ (Sit-up)๖) แบบวดั การคิดวิเคราะห์ ๗)แบบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วชิ าวทิ ยาศาสตร์ เรื่อง มหศั จรรยส์ ิ่งมีชีวติ และ ๘) แบบวดั ความฉลาดทางอารมณ์ ของกรมสุขภาพจิต สาหรับ อายุ ๕–๑๒ ปี สถิติ ที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล ไดแ้ ก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดชั นีประสิทธิผล (Effectiveness Index : E.I.) คา่ ขนาดอิทธิพล(d)สถิติทดสอบคา่ ที (t– test for Dependent Samples, t –test for Independent Samples) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA)และวิเคราะห์ความแปรปรวน พหุคูณแบบทางเดียว (One-way MANOVA) ผลการวิจยั สรุปได้ดงั น้ี ๑)ค่าดัชนีประสิทธิผลของคู่มือ จดั การเรียนรู้โดยสร้างศรัทธาและฝึ กคิดแบบโยนิโสมนสิการร่วมกบั การทาสมาธิท่ีมีต่อความอดทน การ คิดวเิ คราะห์ และผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน มีคา่ เท่ากบั ๐.๖๑, ๐.๖๐ และ ๐.๖๖ ตามลาดบั ซ่ึงแสดงวา่ ผูเ้ รียน มีความรู้เพ่มิ ข้ึน สูงกวา่ ร้อยละ ๕๐ ค่าขนาดอิทธิพลของคู่มือจดั การเรียนรู้โดยสร้างศรัทธาและฝึ กคิดแบบ โยนิโสมนสิการร่วมกบั การทาสมาธิ ท่ีมีต่อความอดทน การคิดวเิ คราะห์ และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนมีค่า เท่ากบั ๒.๘๐, ๑.๔๕ และ ๑.๖๐ ตามลาดบั และมีขนาดอิทธิพลเท่ากบั ๒.๘๐,๑.๔๕,๑.๖๐ ตามลาดบั ๒. ความอดทน การคิดวิเคราะห์ และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนของที่ได้รับการสอนดว้ ยคู่มือ ๖ สุภาภรณ์ นอ้ ยทรงค.์ ๒๕๕๘. การพฒั นาคู่มือจดั การเร๘ียนรู้โดยสร้างศรัทธาและฝึ กคิดแบบโยนิโสมนสิการ ร่วมกบั การทาสมาธิ ท่ีมีตอ่ ความอดทน การคิดวเิ คราะห์ และผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี ๕. ว.บณั ฑิตศึกษา มหาวทิ ยาลยั ราชภัฎสกลนคร. ๑๒(๕๖) : ๗๕-๘๔.

๗๓ ๙ จดั การเรียนรู้โดยสร้างศรัทธาและฝึ กคิดแบบโยนิโสมนสิการร่วมกบั การทาสมาธิ หลงั เรียน สูงกวา่ ก่อน เรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .๐๕ ๓.ความอดทน การคิดวิเคราะห์ และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของนักเรียน ท่ีได้รับการสอนดว้ ย คู่มือจดั การเรียนรู้โดยสร้างศรัทธาและฝึ กคิดแบบโยนิโสมนสิการ ร่วมกบั การทาสมาธิ หลงั เรียนสูงกวา่ นกั เรียนท่ีไดร้ ับการสอนตามปกติ อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .๐๕ ๔)นกั เรียนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ต่างกนั (สูง ปานกลาง และต่า) เม่ือไดร้ ับการสอนดว้ ยคู่มือ จดั การเรียนรู้โดยสร้างศรัทธาและฝึ กคิดแบบโยนิโสมนสิการ ร่วมกบั การทาสมาธิ มีความอดทน การคิด วเิ คราะห์และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน มีความแตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .๐๕ ๖๙) ดรุณี ญาณวัฒนา และ สุบิน ยุระรัช (๒๕๕๙)ไดศ้ ึกษาวิจยั เร่ือง การพฒั นากระบวนการคิด ตามหลกั ธรรมโยนิโสมนสิการโดยวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ของครูผู้สอน ในสถานศึกษา สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา๖ เป็ นการวจิ ยั เชิงทดลอง วตั ถุประสงคเ์ พ่ือ ๑) ประเมินระดบั กระบวนการคิดตามหลกั ธรรมโยนิโสมนสิการโดยวธิ ีการปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานตาม แนวสติปัฏฐาน๔ ของครูผูส้ อนในสถานศึกษาสังกดั สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และ ๒) เปรียบเทียบการพฒั นากระบวนการคิดตามหลักธรรมโยนิโสมนสิการโดยวิธีการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ของครูผู้สอนในสถานศึกษาสังกัดสานักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา ซ่ึงการทดลองใชร้ ะยะเวลาในการปฏิบตั ิ ๗๒ ชว่ั โมง กลุ่มตวั อยา่ งในการทดลอง คือ ครูผสู้ อน ในสถานศึกษา สังกดั สานกั งานคณะกรรมการ การอาชีวศึกษา จานวน ๖๐ คน ไดม้ าโดยการสุ่มอยา่ งง่าย จากครูที่สมคั รเขา้ มาพฒั นากระบวนการคิดโดย วิธีปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ แบ่งเป็ นกลุ่มครูท่ีไม่มีการสอบอารมณ์ ๓๐ คน และกลุ่มครูท่ีมีการสอบอารมณ์ ๓๐ คน เคร่ืองมือที่ใชใ้ น การวจิ ยั มี ๓ ฉบบั ไดแ้ ก่ ๑) แบบประเมินการปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ๒) แบบ สอบอารมณ์ ๓) แบบทดสอบกระบวนการคิดตามหลกั ธรรมโยนิโสมนสิการ การเก็บรวบรวมข้อมูล ดาเนินการตามข้นั ตอนที่กาหนด โดยนาครูผูส้ อนที่เป็ นกลุ่มตวั อยา่ งในการทดลองท้งั หมด เขา้ รับปฏิบตั ิ วปิ ัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ณ วดั อมั พวนั อาเภอพรหมบุรี จงั หวดั สิงห์บุรี จดั กลุ่มทดลอง ท้งั ๒ กลุ่มไปปฏิบตั ิกบั วิทยากร ๒ ชุด การวิเคราะห์ขอ้ มูล ใช้สถิติเชิงบรรยาย ไดแ้ ก่ ความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานใช้ T-test ผลการวิจยั พบวา่ ๑)กระบวนการคิดตาม หลกั ธรรมโยนิโสมนสิการ ของครูผูส้ อนในสถานศึกษาสังกดั สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา หลงั การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน สูงกวา่ ก่อนการปฏิบตั ิอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั ๐.๐๕ และ ๒) ผลการเปรียบเทียบกระบวนการคิดตามหลกั ธรรมโยนิโสมนสิการ ของครูผูส้ อนระหวา่ งกลุ่มทดลองท่ีไม่ มีการสอบอารมณ์ และกลุ่มทดลองที่มีการสอบอารมณ์ ท้งั ก่อนและหลงั การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานตาม ๖ ดรุณี ญาณวฒั นา และ สุบิน ยรุ ะรัช. ๒๕๕๙. การพฒั น๙ากระบวนการคิดตามหลกั ธรรมโยนิโสมนสิการโดย วธิ ีการปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน๔ของครูผสู้ อนในสถานศึกษา สงั กดั สานกั งานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา. ว.ศรีปทุมปริทศั น์ ฉบับมนษุ ย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์. ๑๖ (๑) : ๗-๑๙

๗๔ แนวสติปัฏฐาน๔ พบว่า กลุ่มทดลองท่ีไม่มีการสอบอารมณ์ และกลุ่มทดลองที่มีการสอบอารมณ์มี กระบวนการคิดตามหลกั ธรรมโยนิโสมนสิการ ไมแ่ ตกต่างกนั ๗๐) จันจิรา ผึ้งพงษ์ ศิริ วรรณ วณิชวฒั นวรชัย (๒๕๖๐)ได้ศึกษาวิจัยเรื่ อง การพัฒนา ความสามารถในการดูอย่างมีวจิ ารณญาณด้วยการจัดการเรียนรู้ตามแนวโยนิโสมนสิการ สําหรับนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปี ที่ ๖๗ จุดประสงค์เพื่อ ๑)เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการดู ๐อย่างมีวิจารณญาณ ก่อนและหลงั การจดั การเรียนรู้ตามแนวโยนิโสมนสิการสาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี ๖ ๒)เพื่อ ศึกษาความคิดเห็นของนกั เรียนท่ีมีต่อการจดั การเรียนรู้ตามแนวโยนิโสมนสิการ กลุ่มตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการ วิจยั ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ ๖ โรงเรียนวดั ศีรษะทอง สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศึกษานครปฐม เขต ๒ จานวน ๓๐ คน ภาคเรียนที่ ๒ ปี การศึกษา ๒๕๕๘ ใชแ้ บบแผนการวิจยั แบบหน่ึงกลุ่มสอบก่อนและสอบหลงั (The One – Group Pretest - Posttest Design )เครื่องมือที่ใชใ้ นการ วจิ ยั ประกอบดว้ ย ๑)แผนการจดั การเรียนรู้ตามแนวโยนิโสมนสิการ ๒)แบบทดสอบวดั ความสามารถการ ดูอยา่ งมีวิจารณญาณ ๓)แบบสอบถามความคิดเห็นท่ีมีต่อการจดั การเรียนรู้ตามแนวโยนิโสมนสิการ สถิติ ท่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบทีแบบไม่เป็ นอิสระต่อกนั และการวเิ คราะห์เน้ือหา ผลการวจิ ยั พบวา่ ความสามารถในการดูอยา่ งมีวิจารณญาณดว้ ยการจดั การเรียนรู้ ตามแนวโยนิโสมนสิการ สาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ ๖ หลงั การจดั การเรียนรู้ สูงกวา่ ก่อนการ จดั การเรียนรู้อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .๐๑ ความคิดเห็นของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี ๖ ท่ีมีต่อ การจดั การเรียนรู้ตามแนวโยนิโสมนสิการในภาพรวมอยใู่ นระดบั เห็นดว้ ยมากท่ีสุด ๗๑) สมบูรณ์ วฒั นะ (๒๕๖๐)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เรื่อง เปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวชิ าการ ฝึ กสมาธิตามแนวพระพุทธศาสนา๗ วตั ถุประสงคเ์ พ่อื ๑) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนร๑ายวชิ าการ ฝึ กสมาธิ ตามแนวพระพุทธศาสนา ก่อนเรียนและหลงั เรียน ๒) ศึกษาขอ้ คิดเห็นและขอ้ เสนอแนะต่าง ๆ กลุ่มตวั อย่าง คือ นกั ศึกษาระดบั ปริญญาตรีช้นั ปี ที่ ๔ ท่ีเรียนรายวิชาภาคปฏิบตั ิ: การฝึ กสมาธิตาม แนว พระพุทธศาสนา ในภาคการศึกษา ๒/๒๕๕๗ จานวน ๖๖ คน เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั คือ แบบสอบถาม และแบบสมั ภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐาน ดว้ ย Paired Samples t-test ผลการวจิ ยั พบวา่ ๑) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลงั เรียนรายวชิ าการฝึ ก สมาธิตามแนว พระพุทธศาสนา มีความแตกต่างกนั อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติที่ระดบั ๐.๐๕ โดยพบวา่ ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนหลังเรี ยนสูงกว่าก่อนเรียน (t = ๑๑.๐๔๐) ๒)การศึกษาข้อคิดเห็นและ ขอ้ เสนอแนะ พบวา่ กลุ่มตวั อยา่ งส่วนใหญ่แสดงความเห็นชื่นชมวา่ มีประโยชน์ต่อการพฒั นาจิตใจให้มี ๗ จนั จิรา ผ้ึงพงษ์ ศิริวรรณ วณิชวฒั นวรชยั .๒๕๖๐. การพฒั นาความส๐ามารถในการดูอยา่ งมีวจิ ารณญาณดว้ ย การจัดการเรียนรู้ตามแนวโยนิโสมนสิการ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี ๖ . ว.ศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร. ๙(๑) : ๑๕๙-๑๗๑ . ๗ สมบูรณ์ วฒั นะ. ๒๕๖๐. เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนรายวชิ า๑การฝึ กสมาธิตามแนวพระพทุ ธศาสนา. ว.บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ.์ ๑๑(๑) : ๑๓๒-๑๔๔.

๗๕ สมาธิมากข้ึน จิตใจสงบ เขา้ ใจในมิตรภาพต่ออาจารยแ์ ละเพื่อนๆ มากยิ่งข้ึน ควรจดั การเรียนการสอน รายวิชาน้ี ต่อไปเพราะมีประโยชน์ จากการสัมภาษณ์พบว่า การสอนของอาจารยแ์ ต่ละท่านไดใ้ ห้ความรู้ และ สติปัญญาสาหรับใชด้ าเนินชีวติ ให้ดียงิ่ ข้ึน วธิ ีการฝึกสมาธิแบบอานาปานสติโดยกาหนดลมหายใจเขา้ ออกพร้อมกบั การนับเลขกากบั ไปดว้ ยทาให้รู้เท่าทนั ความคิดตนเอง รู้วิธีการจดั การกบั ความวิตกกงั วล ต่าง ๆ ท่ีจะรบกวนจิตใจในขณะฝึ กสมาธิ และความวิตกกงั วล ความเครียด ความไม่พอใจต่าง ๆ ลดลง ในช่วง ๓ วนั สุดทา้ ยของการปฏิบตั ิ หลงั การปฏิบตั ิสมาธิผ่านไป ๔ วนั มีความรู้สึกในมิตรภาพ ต่อครู อาจารย์ เพื่อนๆ มากย่ิงข้ึน และกลุ่มตวั อยา่ ง เสนอแนะวา่ ควรเพิ่มระยะเวลาฝึ กสมาธิให้ มากข้ึน และ ขยายไปสู่ช้นั ปี อื่น ๆ เช่น ปี ที่ ๑ และปี ที่ ๓ ๗๒) ลลิดา ภู่ทอง (๒๕๖๐)ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่อง ผลของการฝึ กสติของนักศึกษาสาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ๗ วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการฝึ กสติของนักศึกษา๒สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลยั แม่โจ้ กลุ่มตวั อย่าง คือนกั ศึกษาสาขาภาษาองั กฤษ มหาวิทยาลยั แม่โจ้ จงั หวดั เชียงใหม่ ท่ี ลงทะเบียนเรียนรายวิชา ภอ ๒๑๔ การแปล ๑ ในภาคเรียนท่ี ๒ ปี การศึกษา ๒๕๕๘ จานวน ๒ กลุ่ม จานวนนกั ศึกษาท้งั หมด ๗๒ คน กลุ่มตวั อยา่ งไดร้ ับการแนะนาเรื่องวิธีฝึ กสติ ๓ วธิ ี คือ การกาหนดรู้ลม หายใจ การกาหนดรู้สัมผสั และการกาหนดรู้การเคลื่อนไหว แลว้ นาไปฝึกทุกวนั เป็นเวลา ๖๖ วนั หลงั จาก น้ันกลุ่มตวั อย่างได้ตอบแบบสอบถาม ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากแบบสอบถามไดน้ ามาจดั กลุ่มสรุปวิเคราะห์หา ค่าเฉลี่ยและร้อยละ ผลการวิจยั พบว่า หลงั จากการฝึ กสติกลุ่มตวั อยา่ งส่วนใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงดา้ น อารมณ์ สังคมและการเรียนในทางท่ีดีข้ึน เช่น ใจเยน็ มากข้ึน ควบคุมอารมณ์ไดด้ ีข้ึน มีมนุษยส์ มั พนั ธ์ดีข้ึน เขา้ กบั คนอ่ืนไดด้ ี มีสมาธิและมีสติมากข้ึน ๗๓) พระพทิ กั ษ์ อริยปุตฺโต (บุญทอง) และคณะ (๒๕๖๑) ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่อง การสอนแบบโยนิโส มนสิการวชิ าพระพุทธศาสนา นักเรียนมธั ยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนวดั แม่เฉย จังหวดั อตุ รดติ ถ์๗ การวจิ ยั คร้ังน้ีเป็นการวจิ ยั เชิงทดลองแบบกลุ่มเดียวท่ีมีการทดสอบก่อน–หลงั เรียนโดยมีวตั ถุประสงคข์ องการวิจยั คือ ๑)เพื่อศึกษาการสอนแบบโยนิโสมนสิการ นกั เรียนมธั ยมศึกษาตอนตน้ โรงเรียนวดั แม่เฉย อาเภอเมือง จงั หวดั อุตรดิตถ์ ๒)เพ่ือเปรียบเทียบการสอนแบบโยนิโสมนสิการ นกั เรียนมธั ยมศึกษาตอนตน้ โรงเรียน วดั แม่เฉย อาเภอเมือง จงั หวดั อุตรดิตถ์ ก่อนเรียนและหลงั เรียนดว้ ยหน่วยการเรียนรู้เร่ืองวนั สาคญั ทาง พระพุทธศาสนา เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบทดสอบหน่วยการเรียนรู้วิชาพระพุทธศาสนา การ วิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์วิเคราะห์สถิติสาเร็จรูปในการวิเคราะห์ขอ้ มูลด้วยสถิติเชิง พรรณนา ไดแ้ ก่ ค่าเฉล่ีย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน คือ การเปรียบเทียบคะแนน ๗ ลลิดา ภู่ทอง. ผลของการฝึ กสติของนกั ศึกษาสาขาภาษาองั กฤษ มหาว๒ทิ ยาลยั แม่โจ.้ ว.วชิ าการคณะศิลป ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั แม่โจ้. ๕(๒) : ๘๕-๙๘ ๗ พระพิทกั ษ์ อริยปุตฺโต (บุญทอง) และคณะ. ๒๕๖๑. การสอนแบบโย๓นิโสมนสิการวชิ าพระพทุ ธศาสนา นกั เรียนมธั ยมศึกษาตอนตน้ โรงเรียนวดั แม่เฉย จงั หวดั อุตรดิตถ.์ ว.ครุศาสตร์ปริทรรศน์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณ ราชวทิ ยาลยั . ๕(๑) : ๑๑๕-๑๒๑.

๗๖ ทดสอบชุดการเรียนรู้ก่อนเรียนและหลงั เรียน โดยการวิเคราะห์ความความแตกต่างของกลุ่มตวั อย่าง ผลการวจิ ยั พบวา่ ๑. การสอนแบบโยนิโสมนสิการ นกั เรียนมธั ยมศึกษาตอนตน้ โรงเรียนวดั แม่เฉย อาเภอ เมืองจงั หวดั อุตรดิตถ์ ผูเ้ รียนสามารถเรียนรู้ร่วมกนั ภายในกลุ่มและระหวา่ งกลุ่มอย่างมีเหตุผล นาเสนอ ซักถาม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ตามหลกั โยนิโมนสิการได้เป็ นอย่างดี ๒.นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี ๒ มี ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยใช้แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี ๑ เร่ืองวนั มาฆบูชา แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๒ เรื่องวนั วิสาขบูชา แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๓ เร่ืองวนั อาสาฬหบูชา แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๔ เร่ืองวนั เขา้ พรรษา แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๕ เร่ืองวนั ออกพรรษา มีคะแนนหลงั เรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียน อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .๐๑ ๗๔) วิมลมาลย์ ศรีรุ่งเรือง และคณะ (๒๕๖๑) ได้ศึกษาวิจยั เรื่อง ผลของการเจริญสติต่อการ พฒั นาตนเองของนักศึกษา มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์๗ ผลการศึกษาพบวา่ ปัจจุบนั การฝึกสติสามารถ พฒั นาการเรียนรู้ของสมอง อยา่ งมีประสิทธิภาพมากท่ีสุด การวจิ ยั ก่ึงทดลองน้ีมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาผล ของการฝึ กเจริญสติต่อการพฒั นาตนเองในนกั ศึกษา มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ จานวน ๓๒๙ คนโดย ครูฝึ กจะฝึ กให้นักศึกษาเข้าถึงภาวะของสติปัจจุบันซ่ึงเป็ นความสงบทางจิตภายใน และสอนการ ประยุกต์ใชส้ ติในชีวิตประจาวนั นกั ศึกษาทาแบบประเมินสติก่อนและหลงั การฝึ กไปแลว้ ๑๒ สัปดาห์ เปรียบเทียบความแตกต่างของระดบั สติโดยใชส้ ถิติ paired-t-test หลงั เขา้ ร่วมโครงการ นกั ศึกษาทุกคนมี สติ ในอิริยาบถต่าง ๆ เพ่ิมข้ึน (p< .๐๐๑) นกั ศึกษาไดร้ ับประโยชน์ในระดบั มากท่ีสุด และสามารถนาสติ สมาธิมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการเรียนและในการทางาน ทาใหก้ ารเรียนรู้มีประสิทธิภาพดีข้ึน การฝึ กสติทาให้ นกั ศึกษามีจิตสงบ ผอ่ นคลายจากความเครียด มีการปล่อยวางอารมณ์ไดด้ ีข้ึน เทคนิคการฝึ กสติน้ีเป็ นวิธีที่ ปฏิบตั ิไดง้ ่ายและสะดวกสาหรับนกั ศึกษา เน่ืองจากเป็ นการศึกษาระยะส้ันจึงควรมีการวิจยั ในอนาคตดา้ น การประเมินผลในชีวติ จริงเก่ียวกบั ผลดีของการฝึกสติในระยะยาวในนกั ศึกษาต่อไป ๗๕) พระมาวนิ กาญฺจโน (โทแก้ว) และคณะ (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาเร่ืองการพฒั นาการจัดการเรียนรู้ ด้วยกระบวนการปฏิบัติ เร่ือง การปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานสําหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ ๖ โรงเรียนบ้านหวั บึงทุ่ง “เขตการทางนครราชสีมาสงค์เคราะห์ ๓” จังหวดั นครพนม๗ วตั ถุประสงค์ ๑) เพื่อ พฒั นาการจดั การเรียนรู้ดว้ ยกระบวนการปฏิบตั ิ เรื่องการปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน ๒)เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้ดา้ นการปฏิบตั ิก่อนเรียนและหลงั เรียน เรื่อง การปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน ซ่ึง เป็ นการวิจยั เชิงปฏิบตั ิการ (ทดลอง) กลุ่มตวั อย่างไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ ๖ จานวน ๓๕ คน โดยวธิ ีการเลือกแบบเจาะจง เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการวิจยั ไดแ้ ก่ แผนการจดั การเรียนรู้ดว้ ยกระบวนการปฏิบตั ิ ๗ วิมลมาลย์ ศรี รุ่งเรื อง และคณะ. ๒๕๖๑. ผลของการเจริ ญสต๔ิต่อการพัฒนาตนเองของนักศึกษา มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์. ว.ปาริชาต E-Journal มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ. ๓๑(๓) : ๓๔-๔๐ ๗ พระมาวนิ กาญฺจโน (โทแกว้ ) และคณะ. ๒๕๖๑. การพฒั นาการจดั กา๕รเรียนรู้ดว้ ยกระบวนการปฏิบตั ิ เรื่อง การปฏิบตั ิวปิ ัสสนา กรรมฐาน สาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี ๖ โรงเรียนบา้ นหวั บึงทุ่ง “เขตการทางนครราชสีมา สงคเ์ คราะห์ ๓” จงั หวดั นครพนม . ว.ครุศาสตร์ปริทรรศน์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๕(๑) : ๘๐-๘๘

๗๗ และแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ สถิติท่ีใช้ในการวิจยั ได้แก่ การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และการหาค่า t-test dependent samples โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติ ผลการวิจยั พบวา่ ๑) ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้จากกระบวนการตามข้นั ตอนของการจดั การเรียนรู้ดว้ ยการปฏิบตั ิเรื่อง การปฏิบตั ิ วิปัสสนากรรมฐานโดยพิจารณาจากคะแนนเฉล่ียของการทาใบงานระหว่างเรียนเท่ากบั ๔๙.๒๙ ที่มี คะแนนเต็ม ๖๐ คะแนน คิดเป็ นร้อยละ ๘๒.๑๔ และแสดงว่าคือ E๑ = ๘๒.๑๔ และค่าประสิทธิภาพ หลงั จากการจดั การเรียนรู้ดว้ ยกระบวนการปฏิบตั ิ เร่ือง การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานโดยใชแ้ บบทดสอบ วดั ผลสัมฤทธ์ิหลงั เรียน พบวา่ นกั เรียนที่ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้ดว้ ยกระบวนการปฏิบตั ิ เรื่อง การปฏิบตั ิ วปิ ัสสนากรรมฐาน ได้ผลสัมฤทธ์ิหลงั เรียนเฉลี่ยเท่ากบั ๒๔.๐๓ จากคะแนนเต็ม ๓๐ คะแนน คิดเป็ นร้อย ละ ๘๐.๑๐ แสดงวา่ E๒ = ๘๐.๑๐ ๒) นกั เรียนที่เรียนดว้ ยเร่ือง การจดั การเรียนรู้ดว้ ยกระบวนการปฏิบตั ิ เร่ือง การปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนดา้ นการปฏิบตั ิหลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียน อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .๐๕ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั สมมุติฐานท่ีต้งั ไว้ ๗๖) ชมพู โกติรัมย์ และคณะ(๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เร่ืองการวเิ คราะห์องค์ประกอบหลกั สตปิ ัฏฐาน เพื่อสร้างสุขภาวะทางปัญญาสําหรับนักศึกษาสาขาอุตสาหกรรมบริการ สถาบันอุดมศึกษาเอกชน๗ วตั ถุประสงค์ เพ่อื วเิ คราะห์องคป์ ระกอบของสุขภาวะทางปัญญาตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ ตวั แปรที่ใชใ้ นการ วิจยั คือสุขภาวะทางปัญญา ซ่ึงวดั จาก ๔ องค์ประกอบคือ ดา้ นกาย ด้านเวทนา ด้านจิต และด้านธรรม ตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการวจิ ยั น้นั คือ นกั ศึกษาสาขาอุตสาหกรรมบริการ จากสถาบนั อุดมศึกษาเอกชน ๕ แห่ง ปี การศึกษา ๒๕๖๐ จานวน ๓๔๓ คน ผวู้ ิจยั ใชว้ ิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เคร่ืองมือที่ใช้ ในการวิจยั คร้ังน้ีไดแ้ ก่แบบวดั สุขภาวะทางปัญญา ตามหลกั สติปัฏฐาน ความเชื่อมนั่ เท่ากบั .๗๙ ผลการ วเิ คราะห์องคป์ ระกอบของสุขภาวะทางปัญญาจานวนตวั แปร ๖๓ ตวั แปร ดว้ ยวิธีวิเคราะห์องคป์ ระกอบ ไดค้ า่ ไอเกน (Eigenvalues) มากกวา่ ๑.๐๐ คา่ ร้อยละของความแปรปรวนมากกวา่ .๕๐ และคา่ ร้อยละของ ความแปรปรวนสะสม สามารถอธิบายความแปรปรวนองคป์ ระกอบไดร้ ้อยละ ๔๕.๕๑๗ จานวนตวั ช้ีวดั ของสติปัฏฐานท้งั ๔ องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ กาย เวทนา จิต ธรรม ๗๗) ธนนั ตช์ ยั พฒั นะสิงห์ (๒๕๖๑) ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่อง โมเดลของความสัมพนั ธ์ในครอบครัวที่ ส่ งผลต่อสุขภาวะทางปัญญาของวัยรุ่น๗ ผลการศึกษาพบว่าโมเดลความสัมพนั ธ์เชิงสาเหตุท่ีแสด๗ง อิทธิพลของความสัมพนั ธ์ในครอบครัวท่ีส่งผลต่อสุขภาวะทางปัญญาของวยั รุ่น พบว่า อิทธิพลของ ความสัมพนั ธ์ในครอบครัวท่ีส่งผลต่อสุขภาวะทางปัญญาของวยั รุ่นมีค่าไคสแควร์เท่ากบั ๓๗.๓๘ องศา อิสระ (df) เท่ากบั ๒๕ ความน่าจะเป็ น (p) เท่ากบั .๐๕๓ ค่าดชั นีวดั ความกลมกลืน (GFI) เท่ากบั .๙๙๐ ค่า ๗ ชมพู โกติรัมย์ และคณะ. ๒๕๖๑. การวเิ คราะห์องคป์ ระกอบหลกั สติป๖ ัฏฐาน เพอื่ สร้างสุขภาวะทางปัญญา สาหรับนกั ศึกษาสาขาอุตสาหกรรมบริการ สถาบนั อุดมศึกษาเอกชน . ว.มหาจุฬาวชิ าการ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณ ราชวทิ ยาลยั . ๕ (ฉบบั พิเศษเนื่องในวนั ประสาทปริญญา) : ๒๘๒-๒๙๓ ๗ ธนนั ตช์ ยั พฒั นะสิงห์. ๒๕๖๑. โมเดลของความสมั พนั ธใ์ นครอบคร๗ัวที่ส่งผลต่อสุขภาวะทางปัญญาของ วยั รุ่น . ว.สันตศิ ึกษาปริทรรศน์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๖(ฉบบั พิเศษ) : ๔๐๖-๔๑๗

๗๘ ดชั นีวดั ความกลมกลืนที่ปรับแกแ้ ลว้ (AGFI) เท่ากบั .๙๗๐ และค่าดชั นีรากกาลงั สองเฉลี่ยของค่าความ แตกต่างโดยประมาณ (RMSEA) เทา่ กบั .๐๓๐ ความสัมพนั ธ์ในครอบครัวสามารถอธิบายความแปรปรวน ของปัจจยั จิตลกั ษณะไดร้ ้อยละ ๖๘.๐๐ ความสัมพนั ธ์ในครอบครัวและปัจจยั จิตลกั ษณะสามารถอธิบาย ความแปรปรวนของสุขภาวะทางปัญญาได้ร้อยละ ๒๙.๐๐ เมื่อพิจารณาอิทธิพลทางตรงและอิทธิพล ทางออ้ มที่ส่งผลต่อสุขภาวะทางปัญญา พบวา่ อิทธิพลทางตรงจากความสัมพนั ธ์ในครอบครัวส่งผลต่อสุข ภาวะปัญญามีคา่ อิทธิพลเทา่ กบั ๐.๕๓๐ อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .๐๑ แตไ่ มไ่ ดร้ ับอิทธิพลทางออ้ ม จากปัจจยั จิตลักษณะ นอกจากน้ัน ปัจจัยจิตลักษณะยงั ได้รับอิทธิพลทางตรงจากความสัมพันธ์ใน ครอบครัว โดยมีขนาดอิทธิพลเทา่ กบั ๐.๘๓ อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .๐๑ ๔.๓) ความสัมพนั ธ์การพฒั นาปัญญากบั สถานทีป่ ฏิบัติธรรม ๗๘) เรืองฤทธ์ิ แสนนวล (๒๕๓๓)ไดศ้ ึกษาวิจยั เร่ือง การศึกษาเชิงวิเคราะห์การปฏิบัติสมาธิของ สํานักต่าง ๆ ในประเทศไทยกับการปฏบิ ัติสมาธิในพระไตรปิ ฎก๗ ผลการศึกษาพบวา่ พระพุทธศาสนาถือ ว่า สมาธิ เป็ นข้นั ตอนอนั จาเป็ นยิ่งสาหรับการปฏิบตั ิธรรม อนั มีนิพพานเป็ นจุดมุ่งหมาย ในปัจจุบนั มี ผูส้ นใจสมาธิเป็ นจานวนมาก มีสานักปฏิบตั ิธรรมเกิดข้ึนหลายแห่งในประเทศไทย การวิจยั คร้ังน้ี มี จุดมุ่งหมายเปรียบเทียบหลกั การและวิธีการ ปฏิบตั ิสมาธิของสานกั ปฏิบตั ิธรรมบางสานกั ในประเทศไทย กบั หลกั คาสอนเร่ืองสมาธิที่ปรากฎในพระไตรปิ ฎกเพื่อหาขอ้ สรุปวา่ วิธีการปฏิบตั ิสมาธิแต่ละสานกั ที่ ปฏิบตั ิกนั อยเู่ วลาน้ีสอดคลอ้ งกบั วธิ ีการปฏิบตั ิสมาธิที่ปรากฏในพระไตรปิ ฎกหรือไมเ่ พยี งใด ในการศึกษา วิจยั ผูว้ ิจยั แบ่งออกเป็ น ๒ ข้นั ตอน คือ ๑)การเขา้ ไปสังเกตการณ์ปฏิบตั ิสมาธิของสานกั บางสานกั ไดแ้ ก่ ๑.๑)สานกั วดั ป่ าสาลวนั อ.เมือง จ.นครราชสีมา ๑.๒)สานกั วดั มหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ กรุงเทพมหานคร ๑.๓)สานกั วดั ป่ าน้า ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ๑.๔)สานกั วดั สนามใน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ๑.๕) สานกั วดั ท่าซุง อ.เมือง จ.อุทยั ธานี ๒)การศึกษาจากพระไตรปิ ฎก และเอกสารตาราต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งเพ่ือ คน้ ควา้ วิธีการปฏิบตั ิสมาธิที่เป็ นตน้ แบบของพระพุทธเจา้ อย่างแทจ้ ริง จากการศึกษาวิจยั ผูว้ ิจยั พบวา่ การ ปฏิบัติสมาธิของสานักปฏิบัติธรรมดังกล่าว ส่วนใหญ่สอดคล้องกับคาสอนเร่ืองสมาธิท่ีปรากฏใน พระไตรปิ ฎก คือ มีจุดมุ่งหมายทาให้จิตสงบเป็ นเบ้ืองต้นก่อน แล้วจึงนาจิตท่ีสงบน้ันไปพิจารณา สภาวธรรมจนเกิดความรู้แจง้ เห็นจริง ในสภาวธรรมในภายหลงั แต่ขอ้ แตกต่างอยูต่ รงที่แต่ละสานกั ใช้ สมาธิในระดบั ท่ีไม่เท่ากนั กล่าวคือ บางสานกั ใช้ระดบั สมาธิในระดบั สูง บางสานักใช้สมาธิในระดบั เบ้ืองตน้ เพื่อเป็ นบาทในการเจริญวิปัสสนาเท่าน้นั นอกจากน้นั ผวู้ ิจยั ยงั พบวา่ มีบางสานกั ไดค้ ิดคน้ วธิ ีการ ปฏิบตั ิสมาธิข้ึนมาเองที่แตกต่างจากวธิ ีท่ีทาสมาธิในพระไตรปิ ฎก แตก่ ็มีเป้าหมายตรงกนั คือ เพือ่ ความดบั ทุกข์ ๗ เรืองฤทธ์ิ แสนนวล. การศึกษาเชิงวเิ คราะห์การปฏิบตั ิสมาธิของสาน๘กั ตา่ ง ๆ ในประเทศไทยกบั การปฏิบตั ิ สมาธิในพระไตรปิ ฎก. วทิ ยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาปรัชญา มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่.

๗๙ ๗๙) พระมหาสมร อาวุธปญฺโญ (๒๕๕๘)ได้ศึกษาวิจยั เร่ือง พุทธวิธีสร้างกําลังใจแก่ผู้ปฏิบัติ ธรรมของสํานักปฏิบตั ิธรรมสายวดั ป่ าของไทย ๗ วตั ถุประสงค์ ๒ ประการ ๑) เพื่อศึกษาการสร้างกาลงั ใจ ๙ ตามนยั แห่งพระพุทธศาสนา ๒) เพ่ือวเิ คราะห์การสร้างกาลงั ใจแก่ผปู้ ฏิบตั ิธรรมในสานกั ปฏิบตั ิสายพระ ป่ าของไทย ผลการวิจยั ทางทฤษฎีและตารา พบว่า กาลงั ใจ คือ แรงกระตุน้ ที่ทาให้จิตใจมีกาลงั ทาให้ สามารถกระทาส่ิงต่าง ๆ ใหส้ าเร็จตามความมุ่งหวงั ได้ และแกไ้ ขปัญหาตา่ ง ๆ ที่เกิดข้ึนกบั ชีวติ ตามทฤษฎี ทางจิตวิทยาเรียกว่า แรงจูงใจ (Motive) ซ่ึงสามารถเกิดข้ึนไดท้ ้งั จากปัจจยั ภายนอกและภายใน มีความ สอดคลอ้ งกนั กบั กาลงั ใจในทางพระพุทธศาสนา ซ่ึงมีท่ีเกิด ๒ ส่วนคือ กาลงั ใจจากอิทธิพลภายใน ไดแ้ ก่ โยนิโสมนสิการ และกาลงั ใจจากอิทธิพลภายนอก ไดแ้ ก่ กลั ยาณมิตร มุ่งศึกษาธรรมท่ีเป็ นกาลงั ใจภายใน ไดแ้ ก่ ธรรมะในหมวดอินทรีย์ ๕ พละ ๕ ประกอบดว้ ย ศรัทธา ความเช่ือ วริ ิยะ ความเพยี ร สติ ความระลึก ได้ สมาธิ ความต้งั มนั่ แห่งใจ ปัญญา ความรู้ทวั่ โดยมีพุทธวิธีในการสร้าง ไดแ้ ก่ ๑) การยกอุทาหรณ์ ๒) การเปรียบเทียบดว้ ยขอ้ อุปมา ๓) การใช้อุปกรณ์การสอน ๔) การทาเป็ นตวั อยา่ ง ๕) แสดงปาฏิหาริย์ ส่วนกระบวนการสร้างกาลงั ใจของสานกั ปฏิบตั ิธรรมสายพระป่ าของไทยพบวา่ มีวธิ ีการ ๕ ประการคือ ๑) ปรึกษาครูบาอาจารย์ ๒) ศึกษาและสงั เกตขอ้ วตั รปฏิบตั ิของครูบาอาจารย์ ๓) ปรึกษาเพอ่ื นสหธรรมิก ๔) ปรึกษาอุบาสกอุบาสิกาผูม้ ีคุณธรรม ๕) ศึกษาจากตาราชีวประวตั ิของครูบาอาจารย์ จากการวิเคราะห์ พบวา่ ท้งั ทฤษฎีแรงจูงใจทางจิตวทิ ยา กาลงั ใจในทางพระพุทธศาสนา พทุ ธวธิ ีในการสร้างกาลงั ใจในสมยั พุทธกาล และกระบวนการสร้างกาลงั ใจของพระป่ าของไทยมีความสอดคลอ้ งกนั ๘๐) พระไพศาล พหุสุตฺโต (สุมาล)ี (๒๕๕๘)ไดศ้ ึกษาเร่ือง วธิ ีการสร้างศาสนทายาทของพระสาย ปฏิบัติ ในจังหวดั สกลนคร ๘ ผลการศึกษาพบวา่ วธิ ีการสร้างศาสนทายาทของพระสา๐ยปฏิบตั ิในจงั หวดั สกลนคร ๒ ข้นั ตอนคือ๑) ผูข้ ออุปสมบทต้องเข้ารับการฝึ กฝนเป็ นผา้ ขาวก่อนอุปสมบทจริง ๒) การ ตรวจสอบ คดั กรอง พระท่ีอุปสมบทจากสานักอื่น ก่อนรับเขา้ พานักในวดั วิธีการสร้างศาสนทายาทท่ี เป็ นอตั ลกั ษณ์ของจงั หวดั สกลนครคือ อบรมขอ้ วตั ร แต่ละสานักจะมีข้ึนตอนการอบรมและฝึ กปฏิบตั ิ ข้นั ตอนดงั กล่าว คือ การอบรมลูกศิษย์ แนะนาการเจริญจิตภาวนา สอนวปิ ัสสนากรรมฐานนนั่ เป็นภารกิจ ท่ีครูบาอาจารยต์ อ้ งใหก้ ารอบรมแนะนาดูแลใหค้ าปรึกษาลุกศิษยอ์ ยา่ งใกลช้ ิด การเขา้ มาบวชต้งั แต่เป็ นผา้ ขาวเพ่ือทดลองฝึ กการปฏิบตั ิก่อนการบวชเพ่ือเป็ นพระภิกษุ ตลอดถึงศึกษาขอ้ วตั รปฏิบตั ิต่าง ๆ เพ่ือเป็ น การฝึกหดั ความอดทน ดว้ ยวธิ ีเหล่าน้ีจึงทาใหพ้ ระสายปฏิบตั ิในจงั หวดั สกลนครมีศาสนทายาทท่ีดีสืบทอด และมีคุณภาพสามารถพร้อมเป็นผนู้ าเป็นครูเป็นอาจารยส์ ัง่ สอนลูกศิษยร์ ุ่นหลงั อยา่ งต่อเน่ืองตลอดมา ๘๑) Phramaha Rungrueang Pamakha Pisit Boonchai and Kosit Pangsoi (๒๕๕๙)ไดศ้ ึกษา เ ร่ื อ ง Meditation Centers : Developing a Model of Meditation Practice In Four places in the ๗ พระมหาสมร อาวธุ ปญฺโญ. ๒๕๕๘. พทุ ธวธิ ีสร้างกาลงั ใจแก่ผปู้ ฏิบตั ๙ิธรรมของสานกั ปฏิบตั ิธรรมสายวดั ป่ า ของไทย. ว.ปณธิ าน คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ . ๑๑(๑) : ๑๑๘-๑๒๙ ๘ พระไพศาล พหุสุตฺโต (สุมาลี). ๒๕๕๘. วธิ ีการสร้างศาสนทายาท๐ของพระสายปฏิบตั ิ ในจงั หวดั สกลนคร. ว.ปณธิ าน ภาควชิ าปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่. ๑๑(๑๖) : ๑๓๐-๑๔๖

๘๐ Northeastern Region๘ วตั ถุประสงค์เพ่ือ ๑)ประวตั ิความเป็ นมาการปฏิบตั ิกรรม๑ฐาน สานกั ปฏิบตั ิธรรม ภาคอีสาน ๒)สภาพปัจจุบันและปัญหาการปฏิบัติกรรมฐานสานักปฏิบัติกรรมฐานภาคอีสาน ๓) กระบวนการพฒั นารูปแบบการปฏิบตั ิกรรมฐานสานกั ปฏิบตั ิกรรมฐานภาคอีสาน เป็ นการวิจยั เชิงคุณภาพ โดยผูว้ ิจยั ทาการเก็บรวบรวมขอ้ มูลในเชิงลึกด้วยการสารวจ การสังเกตแบบมีส่วนร่วม และการสังเกต แบบไม่มีส่วนร่วม การสมั ภาษณ์แบบมีโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง การสนทนากลุ่ม และการเก็บขอ้ มูล ภาคสนาม โดยเลือกพ้ืนที่ทาการวิจยั แบบเจาะจง ซ่ึงเก็บขอ้ มูลจากสานักปฏิบตั ิธรรมท้งั ๔ สานกั ๑) สานกั ปฏิบตั ิธรรมศูนยป์ ฏิบตั ิธรรมสวนเวฬุวนั จงั หวดั ขอนแก่น ๒) สานกั ปฏิบตั ิธรรม วดั เอราวณั (วดั ป่ า สุคะโต) จงั หวดั ชัยภูมิ ๓) สานกั ปฏิบตั ิธรรมวดั นาหลวง(วดั อภิญญาเทสิตธรรม) จงั หวดั อุดรธานี ๔) สานกั ปฏิบตั ิธรรมวดั หนองป่ าพง จงั หวดั อุบลราชธานี ผลการวิจยั พบวา่ ๑) สานกั ปฏิบตั ิกรรมฐานภาค อีสานสร้างข้ึนมาตามความประสงคข์ องพระสงฆส์ ายปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน เพ่อื เป็นศูนยป์ ฏิบตั ิธรรม และเป็ นท่ีฝึ กวิปัสสนากรรมฐานใหเ้ ป็ นของส่วนรวม ๒) สานกั ปฏิบตั ิกรรม มีอาคารสถานท่ีบรรยากาศ ร่มร่ืน เงียบสงบ มีพระวปิ ัสสนาจารยท์ ่ีมีความรู้ และเทคนิคในการสอนปฏิบตั ิธรรม รูปแบบในการปฏิบตั ิ กรรมฐานคือ แบบยุบหนอพองหนอ แบบเคล่ือนไหว แบบภาวนาพุทโธ และแบบอานาปานสติ สภาพ โดยทว่ั ไป ในฤดูร้อนสานกั ปฏิบตั ิกรรรมมีอากาศร้อน และแหง้ แลง้ ฤดูหนาว อากาศหนาวเยน็ ฤดูฝนมียุง และแมลงชุกชุม พระวิปัสสนาจารยบ์ างรูปมีประสบการณ์ในเทคนิคการสอนไม่หลากหลาย ๓) รูปแบบ การพฒั นาการปฏิบตั ิกรรมฐานของสานกั ปฏิบตั ิธรรมในภาคอีสานควรปรับปรุงอาคารสถานท่ีให้อากาศ ถ่ายเทสะดวก จัดโครงการอบรมแก่พระวิทยากร พระวิปัสสนา ฝึ กอบรมการปฏิบัติกรรมฐานเป็ น รายบุคคล และควรปรับปรุงระยะเวลาจดั กิจกรรมใหม้ ีความเหมาะสม ๘๒) จักรพรรณ วงศ์พรพวัณ และคณะ(๒๕๕๙)ไดศ้ ึกษาวิจยั เร่ือง การพัฒนาปัญญาตามแนว พุทธจริยศาสตร์ของสํานักปฏิบตั ิธรรมวดั โพธ์ิบ้านโนนทนั ตาํ บลในเมือง อาํ เภอเมือง จังหวดั ขอนแก่น ๘ วตั ถุประสงค์ คือ ๑) เพ่ือศึกษาแนวคิดการพฒั นาปัญญาตามแนวพุทธจริยศาสตร์ ๒) เพื่อศึกษาการพฒั นา ปัญญาตามแนวพุทธจริยศาสตร์ของสานกั ปฏิบตั ิธรรมวดั โพธ์ิบา้ นโนนทนั ตาบลในเมือง อาเภอเมือง จงั หวดั ขอนแก่น และ ๓) เพื่อวิเคราะห์ผลการพฒั นาปัญญาตามแนวพุทธจริยศาสตร์ของสานักปฏิบตั ิ ธรรมวดั โพธ์ิบา้ นโนนทนั ตาบลในเมือง อาเภอเมือง จงั หวดั ขอนแก่น ผลการวิจัยพบว่า การพฒั นาปัญญา ตามแนวพุทธจริยศาสตร์จะตอ้ งปฏิบตั ิใหไ้ ปตามกระบวนการของหลกั ไตรสิกขาเพ่ือบรรลุเป้าหมายสูงสุด ของชีวติ โดยเริ่มจากหลกั ศีลสิกขา หรือกระบวนการระเบียบปฏิบตั ิ (วนิ ยั ) เพ่อื ใหเ้ กิดวาจาชอบการกระทา ชอบ และการประกอบอาชีพชอบเป็นแนวทางและกรอบท่ีกากบั การกระทาหรือการประกอบกิจกรรมตา่ ง ๆ ใหเ้ กิดความเรียบร้อยดีงาม จากน้นั กย็ กข้ึนสู่ระดบั สมาธิสิกขาหรือกระบวนการฝึ กอบรมจิต เพอ่ื ใหจ้ ิตมี ๘ Phramaha Rungrueang Pamakha Pisit Boonchai and Kosit ๑Pangsoi . ๒๕๕๙. Meditation Centers : Developing a Model of Meditation Practice In Four places in the Northeastern Region . ว.มหาวทิ ยาลยั นครพนม ๖(๒) : ๑๖-๒๔. ๘ จกั รพรรณ วงศพ์ รพวณั และคณะ. ๒๕๕๙. การพฒั นาปัญญาตาม๒แนวพทุ ธจริยศาสตร์ของสานกั ปฏิบตั ิ ธรรมวดั โพธ์ิบา้ นโนนทนั ตาบลในเมือง อาเภอเมือง จงั หวดั ขอนแก่น. ว.วชิ าการธรรมทรรศน์ . ๑๖(๓) : ๑๔๓-๑๕๔.

๘๑ การพฒั นาความสานึกให้เกิดความสมดุลระหวา่ งกายและจิตเป็ นกระบวนการเก้ือหนุนใหส้ ิ่งท่ีรับเขา้ มาใน ชีวติ ดาเนินไปดว้ ยประสิทธิภาพสูงสุด และกระบวนสุดทา้ ยคือปัญญาสิกขาหรือกระบวนการทางความรู้ เป็ นวิธีการอบรมศึกษาเพ่ือให้เกิดวิชาความรู้และปัญญาซ่ึงจะยงั ผลให้เกิดมีทศั นะความเชื่อค่านิยมท่ี ถูกตอ้ งมีความดาริตริตรองท่ีชอบถือไดว้ า่ เป็นกระบวนการพฒั นาปัญญาข้นั สูงสุดท่ีสามารถควบคุมตนเอง และสภาวะตา่ ง ๆ ที่กระทบเขา้ มาสู่ชีวติ ไดอ้ ยา่ งดีเยย่ี ม การพฒั นาปัญญาตามหลกั ไตรสิกขาท่ีเชื่องโยงกบั อริยมรรค ๘ พบวา่ ปัญญาตามแนวพุทธจริยศาสตร์เกิดข้ึนจากกระบวนการพฒั นา ๓ ระดบั ดว้ ยกนั คือ สุ ตมยปัญญา จินตามยปัญญา และ ภาวนามยปัญญา ปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญาถือวา่ เป็ นปัญญาข้นั สูงสุด เพราะเป็ นวิธีท่ีสร้างสรรค์ปัญญาข้ึนมาได้ดว้ ยตนเอง โดยผ่านกระบวนการลงมือปฏิบตั ิ จนกระทงั่ เกิด ประจกั ษแ์ จง้ แห่งเหตุของปัญหาและสามารถแกป้ ัญหาน้นั ไดเ้ สร็จสิ้นดว้ ยตนเองการท่ีจะปฏิบตั ิจนบรรลุ ถึงปัญญาข้นั สูงสุดน้ีได้ ตอ้ งอาศยั หลกั ไตรสิกขาท่ีผา่ นการเชื่อมโยงกบั หลกั อริยมรรค ๘ นน่ั คือการนาเอา หลกั อริยมรรค ๘ เป็ นแนวปฏิบตั ิให้เหลือเพียง ๓ หมวด คือ หมวดแห่งศีลสิกขา หมวดแห่งสมาธิสิกขา และหมวดแห่งปัญญาสิกขา ฉะน้นั การนาหลกั ไตรสิกขามาปฏิบตั ิอยา่ งเป็ นกระบวนการ จึงทาใหไ้ ดศ้ ึกษา หรือปฏิบตั ิตามหลกั อริยมรรค ๘ ไปดว้ ย ในทางพทุ ธจริยศาสตร์ถือวา่ เป็นการพฒั นาปัญญาแบบครบวงจร น่นั คือการปฏิบตั ิตามหลกั มชั ฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลาง โดยเบ้ืองตน้ ให้ผูป้ ฏิบตั ิมีความคิดเห็นท่ี ถูกต้องเสียก่อน แล้วค่อยเพียรสร้างปัญญาในทางโลก(โลกิยปัญญา)จากน้ันจึงค่อยพฒั นาปัญญาใน ระดบั สูงข้ึนต่อไปจนบรรลุถึงปัญญาข้นั สูงสุด (โลกุตรปัญญา)หรือ นิพพาน ผลการพฒั นาปัญญาของ สานกั ปฏิบตั ิธรรมวดั โพธ์ิบา้ นโนนทนั พบวา่ สานกั น้ีไดใ้ ชห้ ลกั สติปัฏฐาน ๔ เป็ นแนวทางในการพฒั นา ปัญญาท้งั พระภิกษุและประชาชนทวั่ ไป โดยเน้นให้พิจารณาทาความเขา้ ใจในเร่ืองของกาย เวทนา จิต ธรรม ผลของการนาหลกั สติปัฏฐาน ๔ ไปปฏิบตั ิในชีวติ ประจาวนั ทาใหร้ ู้เทา่ ทนั สภาวะของอารมณ์กบั ส่ิง ภายนอกท่ีมากระทบจิตไดด้ ีข้ึนทาให้รู้เขา้ ใจสภาวะของความเป็ นจริงในชีวิตมากข้ึน การยดึ ติดแบบโลกๆ ทวั่ ไปกล็ ดนอ้ ยลงทาใหห้ นั มาศึกษาเรียนรู้ตวั เองมากข้ึน ทาใหก้ ารใชช้ ีวติ อยใู่ นสังคมแห่งการเปล่ียนแปลง ไดด้ ีข้ึนทาให้ไม่กระวนกระวายใจรู้เท่าทนั สภาวะของจิตใจของตน โดยไม่ไหต้ กเป็ นทาสสิ่งท่ียว่ั ยวนใจ อนั จะนาไปสู่ความเส่ือมในชีวิต ทาให้รู้ว่าส่ิงไหนควรทา ส่ิงไหนไม่ควร สิ่งไหนผิด สิ่งไหนถูก รู้จกั หลีกเลี่ยงทางแห่งความเส่ือม และปฏิบตั ิตนใหอ้ ยแู่ ต่ในส่ิงที่เป็นกศุ ลธรรม ๘๓) ธารา ชยากโร และ วิรัช วิรัชนิภาวรรณ (๒๕๕๙)ไดศ้ ึกษาวิจยั เร่ือง การบริหารจัดการเพื่อ ส่งเสริมการปฏิบัติธรรมของวดั ในจังหวัดปทุมธานี ตามแนวคิดตะวันออก ๘ วตั ถุประสงคเ์ พ่ือ ๑)ปัญหา เกี่ยวกบั การบริหารจดั การเพื่อส่งเสริมการปฏิบตั ิธรรมของวดั ในจงั หวดั ปทุมธานีตามแนวคิดตะวนั ออก ๒) แนวทางการพฒั นาการบริหารจดั การเพ่ือส่งเสริมการปฏิบตั ิธรรมของวดั ในจงั หวดั ปทุมธานีตาม แนวคิดตะวนั ออก และ (๓) ตวั แบบการบริหารจดั การเพื่อส่งเสริมการปฏิบตั ิธรรมของวดั ในจงั หวดั ๘ ธารา ชยากโร และ วริ ัช วริ ัชนิภาวรรณ. ๒๕๕๙. การบริหารจดั ก๓ารเพ่ือส่งเสริมการปฏิบตั ิธรรมของวดั ใน จงั หวดั ปทุมธานี ตามแนวคิดตะวนั ออก . ว.วชิ าการมหาวทิ ยาลยั อสี เทริ ์นเอเชีย ฉบบั สงั คมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. ๖(๓) : ๑๖๒-๑๗๒

๘๒ ปทุมธานีตามแนวคิดตะวนั ออก ระเบียบวิธีวิจยั ของการศึกษาคร้ังน้ี ประกอบดว้ ยรูปแบบการวิจยั แบบ ๕ ผสม โดยใชก้ ารวจิ ยั เชิงปริมาณเป็นหลกั ซ่ึงเป็นการวจิ ยั เชิงสารวจโดยใชแ้ บบสอบถามซ่ึงผา่ นการทดสอบ เพื่อหาความเที่ยงตรงของแบบสอบถาม ได้ค่า IOC ที่ระดับ ๐.๙๔ และหาค่าความเช่ือถือได้ของ แบบสอบถาม ไดค้ ่าท่ีระดบั ๐.๙๐ กลุ่มตวั อย่าง ไดแ้ ก่ ประชาชนท่ีมาปฏิบตั ิธรรมใน ๕ วดั ของจงั หวดั ปทุมธานี รวม ๑,๑๐๑ คน สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล ไดแ้ ก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าการ ถดถอยพหุคูณ และการหาค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพนั ธ์บร็บ ของเพียร์สัน ในส่วนของการวิจยั เชิงคุณภาพ ไดม้ ีการสัมภาษณ์แนวลึกเฉพาะผูเ้ ชี่ยวชาญ หรือผูใ้ ห้ขอ้ มูลหลกั จานวน ๙ คน ผลการศึกษาพบว่า (๑) ปัญหาเกี่ยวกบั การบริหารจดั การท่ีสาคญั คือ บุคลากรของวดั บางส่วนไม่ไดส้ ่งเสริมการปฏิบตั ิธรรมดว้ ย วาจาท่ีสุภาพ และวดั ยงั ขาดตวั แบบการบริหารจดั การเพื่อส่งเสริมการปฏิบตั ิธรรม (๒) แนวทางการ พฒั นาการบริหารจดั การท่ีสาคญั คือ บุคลากรของวดั ควรส่งเสริมการปฏิบตั ิธรรมดว้ ยวาจาที่สุภาพและ ประทบั ใจตามแนวคิดตะวนั ออก (๓)ตวั แบบการบริหารจดั การเพ่ือส่งเสริมการปฏิบตั ิธรรมของวดั ใน จงั หวดั ปทุมธานีตามแนวคิดตะวนั ออกควรประกอบดว้ ย ๕ ดา้ น ๘๔) นรวฒั น์ เจริญรัชต์ภาคย์ และสุดาวรรณ สมใจ (๒๕๖๑) ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เรื่องรูปแบบการปฏิบัติ ธรรม การบริหารจัดการและลักษณะสถานปฏิบัติธรรม ที่มีผลต่อผลสัมฤทธ์ิในการเจริญวิปัสสนา กรรมฐาน ๘ วตั ถุประสงค์ เพ่ือศึกอิทธิพลของรูปแบบการปฏิบตั ิธรร๔ม การบริหารจดั การ ลกั ษณะสถาน ปฏิบตั ิธรรมท่ีส่งผลให้เกิดผลสัมฤทธ์ิในการเจริญวปิ ัสสนากรรมฐานใชว้ ิธีการวิจยั เชิงปริมาณ เก็บขอ้ มูล จากบุคคลท่ีเคยปฏิบตั ิธรรมและเขา้ มาปฏิบตั ิธรรมในหลกั สูตรต่าง ๆ ท่ียวุ พทุ ธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถมั ภ์ ต้งั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ รวม จานวน ๔๐๐ คน วเิ คราะห์ผลดว้ ยเทคนิคการ วิเคราะห์ ถดถอยพหุแบบเชิงช้นั ผลการวิจยั พบวา่ ผลสัมฤทธ์ิในการเจริญวิปัสสนากรรมฐานในภาพรวม พบวา่ รูปแบบการปฏิบตั ิธรรม ไดแ้ ก่ ความสมบูรณ์ของหลกั สูตร สถานที่ ปฏิบตั ิธรรม ไดแ้ ก่ สถานที่ และ วทิ ยากรมีผลต่อผลสมั ฤทธ์ิในการเจริญวปิ ัสสนากรรมฐาน ๘๕) จงลกั ษณ์ เผือกผวิ วงศ์ และคณะ (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เร่ือง การประยกุ ต์ใช้สตใิ นการดําเนิน ชีวติ ประจําวนั : ศึกษากรณีผู้ปฏิบัติธรรมวดั คู้บอน ๘ วตั ถุประสงค์ ๑)เพื่อศึกษาการดาเนินชีวติ ประจาวนั ของผูป้ ฏิบตั ิธรรม วดั คูบ้ อน ๒) เพ่ือศึกษาการประยุกต์ใชส้ ติในการดาเนินชีวิตประจาวนั ของผูป้ ฏิบตั ิ ธรรมวดั คูบ้ อน เป็ นงานวิจยั เชิงคุณภาพ แบบลงภาคสนามโดยการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก จาก กลุ่มผูใ้ ห้ขอ้ มูลสาคญั ประกอบกบั การสังเกตการณ์อยา่ งมีส่วนร่วม ผลการวิจยั พบวา่ ผูป้ ฏิบตั ิธรรมวดั คู้ บอนจะเป็นผทู้ ี่อยอู่ าศยั ในชุมชนบริเวณรอบวดั ซ่ึงทางวดั จะจดั ใหม้ ีการอบรมวปิ ัสสนากรรมฐานทุกเดือน ๘ นรวฒั น์ เจริญรัชตภ์ าคย์ และสุดาวรรณ สมใจ. ๒๕๖๑. รูปแบบก๔ารปฏิบตั ิธรรม การบริหารจดั การ และ ลกั ษณะสถานปฏิบตั ิธรรม ท่ีมีผลตอ่ ผลสมั ฤทธ์ิในการเจริญวปิ ัสสนากรรมฐาน. ว.วชิ าการมหาวทิ ยาลยั กรุงเทพธนบุรี. ๗ (๑) : ๑๖๘-๑๗๙ ๘ จงลกั ษณ์ เผือกผิววงศ์ และคณะ. ๒๕๖๑. การประยกุ ตใ์ ชส้ ติในก๕ารดาเนินชีวติ ประจาวนั : ศึกษากรณีผู้ ปฏิบตั ิธรรมวดั คบู้ อน . ว.สันตศิ ึกษาปริทรรศน์ ๖(๑) : ๑๔๖-๑๕๘.

๘๓ ในช่วงเขา้ พรรษาผูป้ ฏิบตั ิธรรมจะมาพกั ที่วดั เพ่ือถือศีลอุโบสถ ผูป้ ฏิบตั ิธรรมที่มาปฏิบตั ิธรรมท่ีวดั เป็ น ประจาส่วนใหญเ่ ป็นผหู้ ญิงสูงอายุ มีการรักษาศีล ๕ และศรัทธาในพระรัตนตรัยซ่ึงก็สอดคลอ้ งกบั แนวทาง ปฏิบตั ิเก่ียวกบั สติในพุทธศาสนา การประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั สติ ในการดาเนินชีวิตประจาวนั ของผูป้ ฏิบตั ิธรรม วดั คู้บอน ประกอบด้วย ๑)การส่งเสริมพฒั นาจากศูนยป์ ฏิบตั ิ ธรรม(Meditation Center)เป็ นการปรับ อินทรียใ์ นห้องปฏิบตั ิการเสริมสร้างศรัทธาใหม้ น่ั คง สร้าง วฒั นธรรมการปฏิบตั ิท่ีมุ่งมน่ั และหมน่ั สร้าง บา้ นเพื่อพฒั นาชาติ ๒)การนาไปฝึ กฝนในชีวติ ประจาวนั (Daily Life Mindfulness Practice) คือ การฝึ กสติ ในวถิ ีชีวิตโดย การบ่มเพาะสติดว้ ยการสวดมนต์ จดั เวลาปฏิบตั ิ ระหวา่ งช่วงวนั สร้างบรรยากาศยกวดั มา บา้ น และปรับวิถีแห่งการไม่เบียดเบียน โดยสามารถแสดงเป็ น โมเดลว่า M-SEC D-ISAM Model คา สาคญั ๔.๔) การนําฐานธรรมเพื่อการพฒั นาคุณภาพชีวติ ๘๖) ศรีเรือน แก้วกงั วาล (๒๕๕๐)ไดศ้ ึกษาเรื่อง การพัฒนาบุคลิกภาพแนวพุทธ: สติปัฏฐาน ๔ และสมาธิ ๘ ผลการศึกษาพบว่า หลายทฤษฎีบุคลิกภาพแนวตะวนั ต๖กมีจุดมุ่งหมาย เพ่ือให้บุคคลมีการ พฒั นาบุคลิกภาพที่มน่ั คง เพ่ือป้องกนั และแก้ไขการเกิดโรคประสาท โรคจิต หลกั การในพุทธศาสนา ร่ารวยดว้ ยมรรควิธีเพ่ือนาไปสู่จุดมุ่งหมายดงั กล่าว ในบทความน้ีผูเ้ ขียนนาเสนอแนวคิดและวธิ ีปฏิบตั ิ ๒ เรื่อง คือ สติปัฏฐาน ๔ และสมาธิ “สติปัฏฐาน ๔” หมายถึง วธิ ีปฏิบตั ิเพื่อให้สติต้งั มน่ั ๔ แห่ง คือ ๑) กายา นุปัสสนา-การต้งั สติพิจารณากาย ๒) เวทนานุปัสสนา-การต้งั สติพิจารณาความรู้สึก ๓) จิตตานุปัสสนา- การต้งั สติพิจารณาจิต ๔) ธมั มานุปัสสนา-การต้งั สติพิจารณาสภาวธรรม ถา้ ดาเนินชีวิตโดยมีสติคุม้ ครอง ณ จุดท้งั ๔ น้ีแลว้ ก็จะทาใหช้ ีวติ มีความสุขสงบ ในการฝึ กเจริญสติท้งั ๔ แห่งน้ีธรรมหมวดอื่น ๆ ร่วมอยู่ ดว้ ย เช่น ปัญญา แมส้ ติเป็ นสิ่งที่ติดตวั มนุษยม์ าต้งั แต่เกิด แต่การพฒั นาสติจะทาให้บุคคลมีบุคลิกภาพท่ี มนั่ คง จนนาไปสู่ความพน้ ทุกขไ์ ดใ้ นระดบั ต่าง ๆ การฝึ กสติปัฏฐาน ๔ มีความสัมพนั ธ์กบั การฝึ กสมาธิ อย่างแยกกันไม่ออก “สมาธิ”แปลว่าความต้งั มัน่ ของจิต จิตท่ีเป็ นสมาธิเป็ นจิตที่มีสมรรถภาพสูงมี ประโยชน์ต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต การฝึ กสมาธิมีหลากหลายวิธี ผูฝ้ ึ กตอ้ งเลือกวิธีท่ีเหมาะสมกับ บุคลิกภาพของคนจึงจะไดผ้ ลดี อีกท้งั ควรมีครู อาจารย์ และกลั ยาณมิตรช่วยช้ีแนะการฝึกใหถ้ ูกตอ้ ง ผเู้ ขียน ไดเ้ สนอวิธีการฝึ กสติ และสมาธิอย่างง่าย ๑ วิธี คือ อานาปานสติ ขอ้ แนะนา คือ ควรนาการฝึ กสติและ สมาธิมาปฏิบตั ิในชีวติ ประจาวนั เพื่อพฒั นาบุคลิกภาพใหม้ น่ั คงและมีชีวติ ท่ีเป็นสุข ๘๗) มนตรี เพชรนาจักร ( ๒๕๕๗)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เร่ือง แนวคิดเรื่องการข้ามพ้นความเป็ นศาสนา ของพุทธทาสภิกขุ ๘ ผลการศึกษาพบว่า ปรากฏการณ์ทางศาสนาที่เกิดข้ึนใ๗นโลกคือ การที่ศาสนามี ๘ ศรีเรือน แกว้ กงั วาล. ๒๕๕๐. การพฒั นาบุคลิกภาพแนวพทุ ธ: ส๖ติปัฏฐาน ๔ และสมาธิ . ว.ศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. ๗ (๒): ๕๔-๗๗. ๘ มนตรี เพชรนาจกั ร.๒๕๕๗. แนวคิดเรื่องการขา้ มพน้ ความเป็นศ๗าสนาของพทุ ธทาสภิกขุ . ว.วจิ ยั และพฒั นา วไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปภัมภ์ . ๙(๑) : ๑๒๐-๑๒๘

๘๔ มากกว่าหน่ึงและไม่เหมือนกนั ส่งผลให้เกิดความความแตกต่างและความขดั แยง้ ทางศาสนา โดยเฉพาะ ความขดั แยง้ เก่ียวกบั ชีวติ ทางศาสนาของผูม้ ีศาสนาที่ต่างกนั พุทธทาสภิกขุ ไดเ้ สนอทางออกของปัญหาน้ี ดว้ ยแนวคิดเร่ือง “ไม่มีศาสนา” “ไม่มีศาสนา” คือภาวะของการเปลี่ยนผ่านจากความเขา้ ใจว่ามีศาสนา ไปสู่ความวา่ งจากการมีศาสนา อนั เป็นพฒั นาการทางจิตจากการยึดโยงโลกทางกายภาพ ไปสู่ความวา่ งจาก ตวั ตน อนั เป็นที่ต้งั ของความมีเป็ น พุทธทาสภิกขุ เห็นวา่ ศาสนาแทจ้ ริงคือศาสนาแห่งการกระทาเพื่อความ รอดจากทุกข์ ศาสนาท้งั หลาย ถูกปิ ดบงั ดว้ ยความไม่รู้ จึงมองไม่เห็นความจริงทางศาสนา อนั เป็นปฐมเหตุ ของสรรพสิ่ง ความปรากฏของสรรพส่ิงอนั เป็นกฎแห่งความเป็นปัจจยั แก่กนั และกนั คือ การท่ีสรรพสิ่งไม่ คงท่ี เปลี่ยนแปลง และไม่ไดอ้ ยูใ่ นฐานะตวั ตนแทจ้ ริง หากเราถอดถอนสรรพสิ่งออกจะเหลือความว่าง (สุญญตา) จากสรรพส่ิง ในภาวะแห่งวา่ ง ไม่มีความทุกข์ ภาวะเช่นน้ีมีลกั ษณะหน่ึงเดียว แผ่ปกคลุมเต็ม ท้งั หมด (ไกวลั ย)์ อนั ปัจจยั ใด ๆ เขา้ มาปรุงแต่งไม่ได้ (อสังขตะ) ท้งั หมดคืออย่างเดียวกนั คือสภาพแห่ง ความวา่ ง (สุญญตา) อนั เป็ นความจริงตามธรรมชาติ ที่ตอ้ งเป็ นอยา่ งน้นั โดยไม่เปลี่ยนแปลง ดงั น้นั การที่ เราเขา้ ใจวา่ ศาสนามีอยู่ จึงมีอยใู่ นฐานะ “ไม่มีศาสนา” เพราะวา่ งจากการมีศาสนาบนภาวะแห่งจิตวา่ ง การ “ไม่มีศาสนา” จึงบอกไม่ไดว้ า่ เป็ นอะไร เพราะไม่มีสิ่งใดจะเป็ นได้ และไม่มีการท่ีจะเป็ นส่ิงใด เพราะวา่ ง จากที่จะเป็ น จึงเป็ นอยา่ งท่ีเป็ น (ตถตา) ในภาวะ “ไม่มีศาสนา” จึงปลอดพน้ จากปัญหาศาสนาท้งั ในเชิง ทฤษฎีและชีวติ ทางศาสนา เพราะเป็นการขา้ มพน้ แลว้ จากความเป็นศาสนา ๘๘) กานต์สินี จันทร์วภิ าดิลก (๒๕๕๘)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เร่ือง ระบบการพฒั นาตนในชีวิตประจําวนั เพื่อส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายสูงสุดตามแนวพระพุทธศาสนาเถรวาท๘ เป็ นการศึกษาระบบการพฒั นา ตนในชีวิตประจาวนั เพ่ือส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายสูงสุดตามแนวทางพระพุทธศาสนาเถรวาทดว้ ยการ บูรณาการกระบวนธรรมเพื่อการพฒั นาตนเขา้ กบั ทฤษฎีระบบเพื่อให้เกิดความเขา้ ใจระบบการพฒั นาตน อนั นาไปสู่วธิ ีการปรับปรุงกระบวนการพฒั นาตนให้มีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน ผลการศึกษาพบวา่ การบูรณา กระบวนธรรมเพ่ือพฒั นาตนกบั ทฤษฎีระบบมี ๕ ข้นั ตอน คือ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ ออกแบบ ตรวจสอบ และปรับปรุง เม่ือได้โครงสร้างระบบต้นแบบแล้ว จึงนาไปใช้พฒั นารูปแบบระบบการพฒั นาตนใน ชีวติ ประจาวนั เพ่ือส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายสูงสุด มีการทดลองนาไปใชจ้ ริงกบั กลุ่มตวั อยา่ ง พบวา่ ทา ให้เกิดความเขา้ ใจหลกั และวิธีการประยุกต์ระบบพฒั นาตนรวมท้งั สามารถตรวจสอบความถูกตอ้ งและ ความกา้ วหนา้ ในการพฒั นาตนได้ ๘๙) เจริญ มณจี ักร (๒๕๖๐)ไดศ้ ึกษาเร่ือง กระบวนการถอนทฏิ ฐิเจตสิกตามแนวพระพุทธศาสนา เถรวาท๘ วา่ ทิฏฐิเจตสิกกบั มิจฉาทิฏฐิ มีความหมายถึงสภาวะเดียวก๙นั คือ ความเห็นผดิ และยดึ ถือส่ิงตา่ ง ๆ อยา่ งผดิ ๆ ดว้ ยขาดความเขา้ ใจความเป็ นจริงอยา่ งถ่องแท้ ทิฏฐิเจตสิกเป็ นบ่อเกิดแห่งความพินาศในชีวิต ๘ กานตส์ ินี จนั ทร์วภิ าดิลก. ๒๕๕๘. ระบบการพฒั นาตนในชีวติ ปร๘ะจาวนั เพ่ือส่งเสริมการบรรลเุ ป้าหมาย สูงสุดตามแนวพระพทุ ธศาสนาเถรวาท. ว.พทุ ธศาสน์ศึกษา จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๒๒(๒) : ๗๑-๗๔. ๘ เจริญ มณีจกั ร. ๒๕๖๐. กระบวนการถอนทิฏฐิเจตสิกตามแนวพร๙ะพทุ ธศาสนาเถรวาท. ว.พุทธศาสน์ศึกษา ศูนยพ์ ทุ ธศาสนศ์ ึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ๒๔(๑) : ๙-๑๙.

๘๕ มนุษยเ์ นื่องจากทิฏฐิเจตสิกทาใหม้ นุษยแ์ ละสงั คมกระทาสิ่งที่เป็ นอกุศลธรรม ทิฎฐิเจตสิกสามารถถอนได้ ดว้ ยการศึกษาอบรม การพบกลั ยาณมิตร การบาเพญ็ ทานและศีลบารมี สักกายทิฏฐิสามารถถอนดว้ ยการ พิจารณาขนั ธ์ ๕ วา่ เป็ นไตรลกั ษณ์ พระพุทธองคท์ รงจดั การกบั อนั ตคาหิกทิฏฐิดว้ ยการไมท่ รงตอบปัญหา นิยตมิจฉาทิฏฐิ ๓ สามารถถอนไดด้ ว้ ยการบาเพญ็ กุศลธรรทางกาย วาจา และใจ ทิฏฐิ ๖๒ สามารถถอน ดว้ ยการไม่ยดึ มนั่ ทางผสั สะ ๖ กระบวนการถอนเหล่าน้ีส่งผลเพียงชว่ั คราวเท่าน้นั การถอนข้นั สมถกรรม ฐานท่ีจริงก็เป็ นเพียงการข่มไวเ้ ท่าน้นั ทิฏฐิเหล่าน้ีสามารถถอนได้อยา่ งแทจ้ ริงดว้ ยการปฏิบตั ิวิปัสสนา กรรมฐานท่ีประสบผลสาเร็จในการนาสู่มรรคญาณและนิพพาน ๙๐) ณอภัย พวงมะลิ และคณะ (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่อง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยการ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานส่ี ๙ วตั ถุประสงค์ ๑)ศึกษาวิเคราะห์หลกั ธรรม๐และแนว ทางการปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานส่ีในส่วนที่เก่ียวขอ้ งกบั คุณภาพชีวิต ๒)ประเมินผล การปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานสี่ของผทู้ ี่มาปฏิบตั ิ ณ ศูนยป์ ฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานวดั ถ้าพระผาคอก อาเภอเวียงชยั จงั หวดั เชียงราย ๓)เสนอแนวทางการพฒั นาทรัพยากรมนุษยโ์ ดยการปฏิบตั ิ วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานสี่ กลุ่มตวั อยา่ งจานวน ๒๗๖ คน สุ่มมาจากประชากร ๘๘๗ คน โดยคานวณหาจากสูตร Taro Yamane ท่ีระดบั ความเชื่อมน่ั ร้อยละ ๙๕ โดยแบ่งออกเปตามเป็ น ๒ กลุ่ม กลุ่มแรกคือผูท้ ี่เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา จานวน ๒๒๑ คน และกลุ่มที่สองคือกลุ่มผมู้ ีปัญหาใน การดารงชีวิตจานวน ๕๕ คน โดยใช้วิธีการสุ่มตวั อย่างแบบเจาะจง ขอ้ มูลท่ีจาเป็ นเก็บรวบรวมโดย ใช้ แบบสอบถาม การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตแบบมีส่วนร่วม และการสนทนากลุ่ม ขอ้ มูลท่ีรวบรวม วิเคราะห์โดยใช้สถิติพรรณนาและวิเคราะห์เน้ือหา(Content analysis)ผลการศึกษาสรุปได้ดังน้ี ๑) หลกั ธรรมท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั คุณภาพชีวิตคือ สติปัฏฐานเป็ นหลกั ธรรมสาคญั ในพระพุทธศาสนาที่กล่าวไวใ้ น มหาสติปัฏฐานสูตร เป็ นพระสูตรหน่ึงท่ีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ตรัสสอน และทรงพิจารณาเห็น ความสาคญั น้ีมาแต่แรกตรัสรู้ เตือนให้มีตนเป็ นท่ีพ่ึงแห่งตนเป็ นสรณะ การปฏิบตั ิวิปัสสนาตามหลกั สติ ปัฏฐานตอ้ งใชส้ ติสัมปชญั ญะเขา้ ไปกาหนดกาย เวทนา จิต และธรรม ผูท้ ี่ปรารถนาจะบรรลุมรรคผลคือ นิพพาน ตอ้ งเร่ิมตน้ ดว้ ยสติปัฏฐาน เม่ือศึกษาถึงลกั ษณะการเกี่ยวขอ้ งกบั คุณภาพชีวติ ได้ ๓ ลกั ษณะคือ ๑) หลกั ธรรมที่เป็นเหตุก่อใหเ้ กิดความสาเร็จในการปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน ๒) หลกั ธรรมที่เกิดข้ึนในขณะ อยู่ในกระบวนการปฏิบตั ิ และ ๓) คือหลกั ธรรมที่เก่ียวขอ้ งที่ส่งผลหลงั การปฏิบตั ิ ๒) ผลการปฏิบตั ิ วปิ ัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานส่ีของผทู้ ี่มาปฏิบตั ิ ณ ศูนยป์ ฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานวดั ถ้าพระผา คอก อาเภอเวยี งชยั จงั หวดั เชียงราย หลงั การปฏิบตั ิพบวา่ ท้งั สองกลุ่มมีความเปล่ียนแปลงไปในทางท่ีดีข้ึน สุขภาพกายสุขภาพจิตดีข้ึน มีความสุขความพอใจในชีวิตตนเอง เขา้ ใจเพื่อนมนุษย์ มีสติปัญญาแกป้ ัญหา ในชีวิตไดด้ ีข้ึน เขา้ ใจยอมรับความจริงความเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนได้ นอกจากน้นั ยงั พบแนวทางไปใชไ้ ด้ ๙ ณอภยั พวงมะลิ (๒๕๖๑) การพฒั นาทรัพยากรมนุษ๐ยโ์ ดยการปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน สี่. ว.วชิ าการ Veridian E-Journal, Silpakorn University ฉบบั ภาษาไทย มนุษยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ และศิลปะ. ๑๑(๓) : ๑๕๘๘-๑๖๐๔.

๘๖ โดยเป็นแนวปฏิบตั ิเพื่อใหม้ ีสติสมั ปชญั ญะใหร้ ู้ทนั ในปัจจุบนั ในสิ่งที่เกิดหรือปรากฏในฐานท้งั ๔ คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ซ่ึงตอ้ งรู้และเขา้ ใจถึงลกั ษณะหรือคุณสมบตั ิสืบสาวไปถึงเหตุและปัจจยั ท่ีทาให้เกิด หรือปรากฏข้ึน รู้และเขา้ ใจถึงกระบวนการเกิด รู้และเขา้ ใจถึงเหตุและปัจจยั การดบั ตลอดจนทาการดบั ๓) แนวปฏิบตั ิน้ีทาให้เกิดสมาธิและปัญญา สามารถนาไปใชใ้ นการทางาน เป็ นหลกั สูตรในการจดั การศึกษา และนาไปใชใ้ นการดาเนินชีวติ ใหม้ ีความสุขเกิดการพฒั นาคุณภาพชีวติ อยา่ งยงั่ ยนื ๙๑) สุภาพรรณ กล่ินนาค (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาเร่ือง การสร้างสุขภาวะของชีวิตตามแนวโพชฌงค์ใน พระพุทธศาสนา๙ วัตถุประสงค์ ๑)เพื่อศึกษาการสร้างสุ ขภ๑าวะของชีวิตตามหลักโพชฌงค์ใน พระพุทธศาสนา ๒)เพ่อื บูรณาการการสร้างสุขภาวะของชีวติ ตามแนวโพชฌงคใ์ นพระพทุ ธศาสนา ๓)เพอื่ นาเสนอแนวทางและการสร้าง องคว์ ามรู้ใหมเ่ ก่ียวกบั รูปแบบการบรูณาการการสร้างสุขภาวะของชีวติ ตาม แนวโพชฌงค์ในพระพุทธศาสนา เป็ นการวิจยั เชิงคุณภาพแบบเอกสารสัมภาษณ์เชิงลึกผูเ้ ช่ียวชาญท่ี เกี่ยวขอ้ งการเสวนากลุ่มและวิเคราะห์ข้อมูลโดย การบรรยายเชิงพรรณนาเป็ นงานวิจยั คุณภาพโดย วเิ คราะห์ขอ้ มูลจากพระไตรปิ ฎก อรรถกถา ตาราและเอกสารที่เก่ียวขอ้ งเป็นหลกั และสัมภาษณ์เชิงลึกกบั ผทู้ รงคุณวฒุ ิดา้ นพระพุทธศาสนา จานวน ๖ คน และสนทนากลุ่ม จานวน ๑๕ คน ผลการวจิ ยั พบวา่ ๑.การ สร้างสุขภาวะของชีวติ ความหมายทวั่ ไป หมายถึง สุขกาย สุขใจ ความหมายดา้ นสาธารณสุข อธิบายวา่ สุข ภาวะเป็ นสิ่งท่ีบุคคลตอ้ งสร้างดว้ ยตนเอง ทางพุทธศาสนา หมายถึง สุขภาวะท่ีปลอดทุกข์ มีการส่งเสริม และสร้างร่างกายแข็งแรงผ่องใส จิตใจเป็ นสุข มีความเมตตา มีสติ มีสมาธิ อยู่รวมกนั ในสังคมด้วยดีมี สนั ติภาพ มีปัญญาเขา้ ถึงความจริงท้งั หมดลดละความเห็นแก่ตวั มุ่งถึงความสุขสูงสุด ๒.หลกั โพชฌงคใ์ น พระพุทธศาสนาโพชฌงค์ คือธรรมท่ีเป็ นองค์แห่งการตรัสรู้ หรือขอ้ ปฏิบตั ิเพื่อยงั วิชชาและวิมุตติให้ สมบูรณ์มี ๗ ประการ ดงั น้ี ๑)สติสัมโพชฌงค์ องคแ์ ห่งการรู้แจง้ คือ สติ ๒)ธมั มวจิ ยสัมโพชฌงค์ องคแ์ ห่ง การรู้แจง้ คือ การหยงั่ เห็นธรรม ๓)วิริยสัมโพชฌงค์ องคแ์ ห่งการรู้แจง้ คือ ความเพียร ๔)ปี ติสัมโพชฌงค์ องค์แห่งการรู้แจง้ คือ ความอ่ิมใจ ๕)ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ องคแ์ ห่งการรู้แจง้ คือ ความสงบ ๖)สมาธิสัม โพชฌงค์ องคแ์ ห่งการรู้แจง้ คือ ความต้งั มน่ั ๗)อุเบกขาสัมโพชฌงค์ องคแ์ ห่งการรู้แจง้ คือ ความวางเฉย โพชฌงคท์ ้งั ๗ น้ี เม่ือปฏิบตั ิอยา่ งถูกตอ้ งครบถว้ นจะนาไปสู่การดบั ทุกขไ์ ดใ้ นที่สุด ๓.บูรณาการการสร้าง สุขภาวะของชีวิตตามแนวโพชฌงค์ในพระพุทธศาสนาเป็ นการน้อมนาหลกั ธรรมมาปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง อย่างสม่าเสมอต่อเน่ืองจนเป็ นส่วนหน่ึงของการดาเนินชีวิตตามปกติ เร่ิมจากการภาวนา ๔ มีสติรู้วา่ เกิด ทุกขแ์ สวงหาแนวทางคลายทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ เขา้ ใจความจริงของสิ่งท่ีเกิดข้ึน ฝึกตามสติปัฏฐาน ๔ มีสติ ต้งั มน่ั จากน้นั จึงบูรณาการหลกั ธรรมโพชฌงคม์ าปฏิบตั ิ เจริญสติกาหนดรู้อาการทางกายและทางจิตอยา่ ง ถูกตรงประกอบดว้ ยโยนิโสมนสิการ การทาไวใ้ นใจโดยอุบายอนั แยบคาย เพื่อสร้างสุขภาวะของชีวติ ทาง กาย จิต สังคม ปัญญา ๔)องค์ความรู้ใหม่คือ รูปแบบการบูรณาการการสร้างสุขภาวะของชีวิตตามแนว โพชฌงคใ์ นพระพุทธศาสนา ไดแ้ ก่ “HPRCBHMODEL” ความหมาย H = Healthy and Bright หมายถึง ๙ สุภาพรรณ กล่ินนาค. ๒๕๖๑. การสร้างสุขภาวะของ๑ชีวติ ตามแนวโพชฌงคใ์ นพระพทุ ธศาสนา. ว.สถาบนั วชิ าการป้องกนั ประเทศ. ๙ (๒) : ๙๙-๑๑๐.

๘๗ ๓ กายมีความผอ่ งใส P = Pleasurable and Liberal หมายถึง จิตมีความอิ่มเอิบ สดชื่น อิสระ R = Realizing the true life and things หมายถึง ปัญญามีความเขา้ ใจชีวิต ปล่อยวางตามความเป็ นจริงมีปัญญาในการใช้ ชีวิตประจาวนั เข้าใจความจริง C = Calm and Peaceful หมายถึง สังคมมีความสงบสุข เป็ นสุข B = Bojjhangaคือ โพชฌงค์ หมายถึง ธรรมที่นามาเป็ นเคร่ืองมือกาหนดผลเกิดข้ึนจากกระบวนการบูรณาการ แนวทางปฏิบตั ิธรรมโพชฌงคก์ บั สุขภาวะดา้ นกาย จิต สงั คม ปัญญา H = Happiness life หมายถึง สุขภาวะ ของชีวติ มีความสุขของชีวติ ซ่ึงประกอบดว้ ยความสุขทางกาย ความสุขทางใจ ความสุขทางสังคม ความสุข ทางปัญญา ๙๒) บวรสรรค์ เจ่ียดํารง (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เร่ือง การเจริญสตสิ ัมโพชฌงค์ : การสื่อสารภายใน บุคคลกับการรักษาใจผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์จากตราบาป๙ ผลการศึกษาพบวา่ การเจริญสติสัมโพชฌงค๒์ เป็ นการส่ือสารภายในบุคคลท่ีมีประสิทธิภาพในการรักษาใจผตู้ ิดเช้ือเอชไอว/ี เอดส์จากวาทกรรมตราบาป เม่ือบุคคลรู้ตวั ว่าติดเช้ือแลว้ สามารถกาหนดสติไดท้ นั ท่วงทีและสามารถเจริญสติต่อไปไดต้ ามรอบของ โพชฌงคอ์ ยา่ งไม่ขาดสายจะส่งผลใหบ้ ุคคลน้นั ๆ สามารถดารงชีวติ อยูไ่ ดโ้ ดยไม่ตอ้ งเขา้ รับการรักษาดว้ ย ยาตา้ นไวรัส สาหรับการนาวธิ ีการเจริญสติสมั โพชฌงคเ์ พื่อกระตุน้ ใหผ้ ตู้ ิดเช้ือฯ รักษาใจจากวาทกรรมตรา บาปดว้ ยการสื่อสารภายในบุคคลจึงเป็นการเก้ือหนุนการรักษาดว้ ยวถิ ีแบบวทิ ยาศาสตร์การแพทยส์ มยั ใหม่ ดว้ ยยาตา้ นไวรัสใหม้ ีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน อนั จะเป็ นคุณูปการต่อตวั ผูต้ ิดเช้ือฯ โดยตรง นอกจากน้ีในทาง วิชาการนิเทศศาสตร์การศึกษาวิจยั ในประเด็นของการรักษาผูต้ ิดเช้ือฯ ดว้ ยวิธีการส่ือสารภายในบุคคล ตลอดจนการส่ือสารในระดบั อ่ืน ๆ (ระหวา่ งบุคคล ระดบั กลุ่ม ระดบั ชุมชน) ยงั มีจานวนน้อย ดงั น้นั จึง จาเป็นตอ้ งมีการศึกษาวจิ ยั ในรูปแบบของการสร้างทฤษฎีจากสนามวจิ ยั (grounded theory) เพ่อื ต่อยอดองค์ ความรู้ตอ่ ไป ๔.๕) ฐานธรรมบูรณาการกบั การพฒั นาการท่องเทยี่ ว และหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง ๙๓) ธเนศ ปานหัวไผ่ (๒๕๕๗)ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่อง การศึกษาวิเคราะห์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพุทธ: กรณศี ึกษาพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมโม)๙ วตั ถุประสงค์ ๒ ประการ คือ ๑) เพอื่ ศึกษาวิเคราะห์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพุทธ ๒) เพ่ือศึกษาวิเคราะห์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพุทธ จากพระธรรมเทศนาของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมโม) วดั อมั พวนั อาเภอพรหม บุรี จงั หวดั สิงห์บุรี โดยการศึกษาขอ้ มูลจากเอกสาร ตารา และส่ิงอื่น ๆ ของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมโม) จากน้นั นามาศึกษาวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่า หลกั ธรรมคาสั่งสอนของพระธรรมสิงหบุรา จารย์ (จรัฐ ฐิตธมโม) มีความสอดคลอ้ งกบั หลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพุทธ กล่าวคือ ความ พอประมาณสอดคลอ้ งกบั หลกั สันโดษและมชั ฌิมาปฏิปทา ความมีเหตุผลสอดคลอ้ งกบั กฎแห่งกรรมและ ๙ บวรสรรค์ เจ่ียดารง. ๒๕๖๑. การเจริญสติสมั โพชฌ๒งค์ : การสื่อสารภายในบุคคลกบั การรักษาใจผตู้ ิดเช้ือเอช ไอว/ี เอดส์จากตราบาป. ว.ร่มพฤกษ์ มหาวทิ ยาลยั เกริก. ๓๖(๑) : ๑๑๒-๑๓๓. ๙ ธเนศ ปานหวั ไผ.่ ๒๕๕๗. การศึกษาวเิ คราะห์ปรัชญ๓าเศรษฐกิจพอเพยี งตามแนวพทุ ธ: กรณีศึกษาพระธรรม สิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมโม). ว.มนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. ๒๑(๒) : ๑๙๓-๒๑๖

๘๘ โยนิโสมนสิการ การมีภูมิคุม้ กนั ท่ีดีสอดคลอ้ งกบั สติปัฏฐานสี่ เง่ือนไขความรู้สอดคลอ้ งกบั ปัญญา เงื่อนไข คุณธรรมสอดคลอ้ งกบั สัจจะ ขนั ติ และวริ ิยะ ๙๔) จุฑาภรณ์ หินซุย และ สถาพร มงคลศรีสวสั ด์ิ (๒๕๕๗)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เร่ือง แนวทางส่งเสริม การท่องเท่ียวเชิงพุทธ กรณีศึกษาวดั ประชาคมวนาราม อาํ เภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอด็ ๙ วตั ถุประสงค์ เพื่อ ๑)สภาพการดาเนินงาน ๒)ปัญหาและ อุปสรรค ๓)แนวทางขอ้ เสนอแนะ ในการส่งเสริมการ ท่องเที่ยวเชิงพุทธ ผลจากการศึกษาได้ ๑) วดั มีการปกครองภายในวดั มีองค์กรในการดูแลการปกครอง โดยเรียงจากเจา้ อาวาส รองเจา้ อาวาส เรื่อยไปตามลาดบั มีเจา้ หนา้ ท่ีของวดั ทา้ หนา้ ที่ประชาสัมพนั ธ์และ ประสานงานสาหรับผทู้ ่ีเขา้ มาติดตอ่ ปฏิบตั ิธรรม มีคณะกรรมการวดั ซ่ึงคดั เลือกจากคณะสงฆ์ จานวน ๒๐ รูป และคณะกรรมการวดั ซ่ึงเป็ น บุคลากรภายนอก คดั เลือกจากผูแ้ ทนหน่วยงานราชการและลูกศิษย์ ทา้ หนา้ ที่ติดต่อและประสานงาน การดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ มีการแยกเขตพ้ืนที่ฝ่ ายคณะสงฆ์และแม่ชีอยา่ ง ชดั เจน ๒) วดั ขาดกิจกรรมใน การดึงดูดนกั ท่องเท่ียวในวนั สาคญั ทางพุทธศาสนา เพ่ือให้สอดคลอ้ งกบั แผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว ของจงั หวดั ร้อยเอ็ด ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชน องค์กร เอกชนและหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ในการวางแผนการตดั สินใจ และการดาเนินการพฒั นาการจดั การท่องเที่ยว เชิงพุทธแบบมีส่วนร่วม อยา่ งจริงจงั และตอ่ เน่ือง ซ่ึงการเขา้ ถึงแหล่งท่องเท่ียว ดา้ นการประชาสัมพนั ธ์ การ พฒั นาดา้ นโครงสร้าง พ้ืนฐาน สิ่งอานวยความสะดวก เส้นทางคมนาคมยงั ไม่สามารถสนองต่อความ สะดวกนักท่องเท่ียวได้ ๓) ขอ้ เสนอแนะในการส่งเสริม การท่องเท่ียวเชิงพุทธ คือ สร้างเครือข่ายการ ท่องเที่ยวเชิงพทุ ธระหวา่ ง หน่วยงานภาครัฐ บา้ น วดั โรงเรียน เพื่อร่วมกนั ส่งเสริมกิจกรรมในทุกวนั สาคญั ทางพุทธศาสนา ระดม ทรัพยากร ทุกภาคส่วน เขา้ มามีส่วนร่วมในการส่งเสริมกิจกรรมดา้ นการ ๙๕) กรรณิกา คําดี (๒๕๕๘)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เร่ือง วัดและศาสนสถานในมิติของการท่องเท่ยี ว๙ เพ่ือ วิเคราะห์ความคาดหวงั ที่มีต่อการท่องเท่ียวแนวทางศาสนาของ นกั ท่องเท่ียว ชาวบา้ นในชุมชน และ พระภิกษุ ในวดั ป่ าสาลวนั จงั หวดั นครราชสีมา เป็นการวจิ ยั เชิงคุณภาพโดยการเก็บขอ้ มูลจากเอกสาร การ สังเกตแบบมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มตวั อยา่ งไดแ้ ก่ นกั ท่องเที่ยว จานวน ๑๖ คน พระ ๓ รูป คนในชุมชน ๖ คน รวม ๒๕ คน วิเคราะห์ขอ้ มูลดว้ ยวิธีการพรรณนา ตามหลกั อุปนยั วิธี ผลการวิจยั พบวา่ ๑. มุมมองของพระภิกษุที่มีต่อการท่องเท่ียวภายในวดั คือ พระภิกษุตอ้ งการให้เขา้ มาปฏิบตั ิธรรม เป็ นหลกั และ พกั ผอ่ นหยอ่ นใจเป็ นเรื่องรอง ๒. ความคาดหวงั ของพระภิกษุท่ีมีต่อนกั ท่องเท่ียวอยากให้ นกั ท่องเที่ยวมาปฏิบตั ิธรรม โดยใหป้ ฏิบตั ิตามครูบาอาจารย์ ๓. ความคาดหวงั ของพระภิกษุที่มีต่อชุมชน และชาวบา้ นอยากให้ชุมชนมีส่วนร่วมช่วยเหลือวดั อยากให้ปฏิบตั ิตามขอ้ วตั ร อยากให้มาทาบุญตาม ประเพณี อยากให้สนบั สนุนกิจกรรมของวดั มุมมองของนกั ท่องเท่ียวท่ีมีต่อการท่องเที่ยวภายในวดั มี ๒ ๙ จุฑาภรณ์ หินซุย และ สถาพร มงคลศรีสวสั ด์ิ. ๒๕๕๔๗. แนวทางส่งเสริมการท่องเท่ียวเชิงพทุ ธ กรณีศึกษาวดั ประชาคมวนาราม อาเภอศรีสมเด็จ จงั หวดั ร้อยเอด็ . ว.วชิ าการการท่องเทย่ี วไทยนานาชาต.ิ ๑๐ (๑) : ๕๐-๕๘ ๙ กรรณิกา คาดี. ๒๕๕๘. วดั และศาสนสถานในมิติขอ๕งการท่องเท่ียว. ว.ภาษา ศาสนา และวฒั นธรรม. ๔(๒) : ๑๗๕-๑๙๑.

๘๙ แนวคิด แนวคิดท่ี ๑ เห็นดว้ ย แนวคิดท่ี ๒ ไม่เห็นดว้ ยเพราะวดั ควรเป็ นท่ีประกอบศาสนกิจและศาสนพิธี ความคาดหวงั ของนักท่องเที่ยวท่ีมีต่อวดั วดั ควรเป็ นแหล่งเรียนรู้ หลกั ธรรมคาสอนของศาสนา อยาก สนทนาธรรม โดยเฉพาะเร่ืองการปฏิบตั ิ การทาสมาธิ การภาวนา ความคาดหวงั ของนกั ท่องเท่ียวท่ีมีต่อ ชุมชนและชาวบา้ น ชุมชนควรให้ความร่วมมือเมื่อสอบถามขอ้ มูลการท่องเท่ียวมุมมองของชุมชนและ ชาวบ้านเกี่ยวกบั การท่องเที่ยวภายในวดั ชุมชนเห็นด้วยกบั การท่องเท่ียวแนวพุทธและท่องเท่ียวเชิง พกั ผอ่ นหยอ่ นใจ ความคาดหวงั ของชุมชนและชาวบา้ นที่มีต่อวดั วดั ควรเป็ นศูนยก์ ลางการเรียนรู้ศาสนา ประวตั ิศาสตร์ และวฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน ของท้งั ผใู้ หญ่และเยาวชน ความคาดหวงั ของชุมชนและชาวบา้ นท่ี มีต่อนักท่องเที่ยว อยากให้นักท่องเที่ยวให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามกฎของวดั และช่วยรักษา สภาพแวดล้อม ขอ้ เสนอแนะในการวิจยั ควรเปิ ดโอกาสให้ผูน้ าและคนในชุมชนไดม้ ีส่วนร่วมในการ จดั การ ควรจดั หาสิ่งของพ้ืนบา้ นที่มีอยใู่ นชุมชนเพ่ือจดั แสดงพพิ ธิ ภณั ฑว์ ฒั นธรรมและศาสนา ควรจดั แบ่ง เขตบริเวณท่องเท่ียวและร้านคา้ ให้เป็ นระเบียบเรียบร้อย ควรมีการสร้างส่ือตา่ ง ๆในการประชาสมั พนั ธ์ให้ หลากหลายย่ิงข้ึน โดยการจดั ทาวีดีโอขอ้ มูลประวตั ิสถานที่ท่องเที่ยว คู่มือการเกี่ยวกบั ท่องเท่ียว ควรมี มคั คุเทศก์พาชมสถานที่ และอธิบายประวตั ิความเป็ นมา ประโยชน์ ความสาคญั ของสถานท่ี ควรมีห้อง สนทนาธรรม ใหพ้ ระสนทนาธรรมะดว้ ยภาษาง่ายๆ เขา้ ใจไดไ้ มย่ าก ๙๖) พรี ะพงษ์ กลนิ่ ละออ (๒๕๕๘)ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่อง รูปแบบนวตั กรรมการส่ือสารแนวพุทธ เพื่อ การพัฒนาเกษตรกรสู่เศรษฐกิจพอเพียง ๙ เป็ นการวิจยั เชิง เอกสารและเชิงปริมาณปร๖ะกอบกนั โดยเริ่ม ศึกษาผลของการพฒั นาดว้ ยแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติท้งั ๑๐ แผน เปรียบเทียบกบั ผลของ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มตัวอย่างซ่ึงผ่านกระบวนการวิธีส่ือสารแนวพุทธ กับการพฒั นา เกษตรกร ดว้ ยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ศึกษาวา่ จะมีผลสู่ความยง่ั ยนื ต่างกนั อยา่ งไร ผลการ วเิ คราะห์ พบวา่ ความตอ้ งการในการพฒั นาของเกษตรกรและการตอบสนองของปัจจยั การพฒั นาจะเกิดความสมดุล โดยผา่ นการตรวจสอบจากผลที่เกิดข้ึนต่อเศรษฐกิจ การศึกษา ศรัทธาและความเชื่อมนั่ การมีส่วนร่วมทาง สังคมและ คุณภาพชีวิตในกลุ่มตวั อยา่ ง โดยการส่ือสารแนวพุทธจะเป็ นจุดเชื่อมความสมดุลท่ีทาให้เกิด การปรับเปลี่ยน พฤติกรรมของเกษตรกรไปในทิศทางที่ทาใหเ้ กิดปัญญาและความสุขที่ยงั่ ยืน เม่ือความรู้ท่ี ถูกส่งไปใหเ้ กษตรกรปฏิบตั ิ เพอ่ื ก่อเกิดปัญญารู้แจง้ ในการพฒั นาน้นั อยภู่ ายใตก้ รอบปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงท่ีประยุกตค์ วามพอประมาณ เขา้ กบั ทฤษฎีการผลิต การตลาด และการบริโภคของเศรษฐศาสตร์ กระแสหลกั ท่ีก ากบั ด้วยพุทธเศรษฐศาสตร์และ หลกั ธรรมมชั ฌิมาปฏิปทา มรรคมีองค์ ๘ ไตรสิกขา ปฏิจจสมุปบาท สัปปุริสธรรม ๗ เบญจศีล-เบญจธรรม ส่วนความมีเหตุและผลน้นั กากบั ดว้ ยหลกั ธรรม โยนิโสมนสิการ ไตรลกั ษณ์ อริยสัจ ๔ อิทธิบาท ๔ สังคหวตั ถุ ๔ พรหมวิหาร ๔ ดว้ ยภูมิคุม้ กนั ท่ีมีสติ - อปั มาทธรรม และกลั ยาณมิตรธรรม กากบั บนฐานความรู้คู่คุณธรรมท่ีเขม้ แข็งไดด้ ว้ ย พหูสูตร อายตนะ ๖ ที่มีหิริโอตปั ปะความละอายและเกรงต่อบาป ต่อการทุจริตเป็ นจุดเริ่มตน้ และจากการสังเคราะห์พบว่า ๙ พีระพงษ์ กล่ินลออ. ๒๕๕๘. รูปแบบนวตั กรรมการส๖่ือสารแนวพทุ ธ เพ่อื การพฒั นาเกษตรกรสู่เศรษฐกิจ พอเพยี ง. ว.บริหารธุรกจิ เศรษฐศาสตร์และการส่ือสาร มหาวทิ ยาลยั นเรศวร. ๑๐(๒) : ๒๒-๓๙


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook