รายงานผลการวจิ ยั เรื่อง การสังเคราะห์วรรณกรรมเรื่องมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ The Synthesis of the Literature the on Mahāsatipaṭṭhāna IV โดย สรัญญา โชติรัตน์ มหาวทิ ยาลยั แม่โจ้ ๒๕๖๑ รหสั โครงการวจิ ยั มจ.๑-๕๙-๐๘๔
รายงานผลการวจิ ยั เร่ือง การสังเคราะห์วรรณกรรมเรื่องมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ The Synthesis of the Literature the on Mahāsatipaṭṭhāna IV ได้รับการจดั สรรงบประมาณ ประจาปี ๒๕๕๙ จานวน ๑๒๐,๑๐๐ บาท หวั หน้าโครงการ สรัญญา โชตริ ัตน์ งานวจิ ยั เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑
กติ ติกรรมประกาศ โครงการวจิ ยั เร่ือง การสงั เคราะห์วรรณกรรมเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ไดส้ าเร็จลุลวงไปได้ โดยการไดร้ ับทุนอุดหนุนการวิจยั งบประมาณแผ่นดิน จากคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ (วช.) และ สานกั วจิ ยั และส่งเสริมวชิ าการการเกษตร มหาวทิ ยาลยั แมโ่ จ้ จงั หวดั เชียงใหม่ ประจาปี งบประมาณ ๒๕๕๙ และ มหาวิทยาลยั แม่โจ-้ แพร่ เฉลิมพระเกียรติ จงั หวดั แพร่ ท่ีอนุเคราะห์เวลา สถานที่ ทางาน อนั วเิ วกสงบเพ่ือคน้ หาวธิ ีการปฏิบตั ิสมาธิตามแนวทางมหาสติปัฏฐาน ๔ จึงทาใหง้ านวิจยั เรื่องน้ีไดด้ าเนินการใหแ้ ลว้ เสร็จสิ้นสมบูรณ์ และกราบขอบพระคุณอยา่ งสูงท่ีปรึกษาโครงการวิจยั พระอาจารยพ์ ระครูสังฆรักษบ์ ุญเสริม กิตติวณโณ,ดร มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตแพร่ ขอบคุณมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตแพร่ สถาบนั แหล่งให้ ความรู้ทางพระพุทธศาสนาในรูปแบบวิชาการทาให้เกิดองค์ความรู้จนสามารถเช่ือมโยงเป็ น งานวิจยั เชิงพระพุทธศาสนา งานวิจยั เร่ืองน้ี โดยทาดว้ ยความพากเพียร พยายาม ต้งั ใจ ซ่ึงอาจจะ บกพร่องไปตามปัจจยั ต่าง ๆ บา้ ง สิ่งแวดลอ้ มต่าง ๆ ผวู้ จิ ยั ขอนอ้ มรับไวแ้ ต่เพียงผเู้ ดียว หากมีคุณค่า ความดีงามเกิดข้ึนขอมอบอุทิศแด่ ผูม้ ีบุญคุณในชีวิตท้งั หลาย ตลอดจนเจา้ กรรมนายเวรท้งั หลาย และสรรพสัตวท์ ้งั หลาย ช่วยสร้างใหเ้ กิดความดีงามในตวั เองให้ความยึดมนั่ ในคุณความดีดว้ ยความ อดทนในชีวติ เพอื่ เรียนรู้พระธรรมอนั บริสุทธ์ิจากวนั น้ีและตลอดไป สรัญญา โชติรัตน์
การสังเคราะห์วรรณกรรมเรื่องมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ The Synthesis of the Literature the on Mahāsatipaṭṭhāna IV สรัญญา โชตริ ัตน์ Saranyar Chotirat นกั วจิ ยั ชำนำญกำร งำนส่งเสริมวจิ ยั มหำวทิ ยำลยั แมโ่ จ-้ แพร่ เฉลิมพระเกียรติ อำเภอร้องกวำง จงั หวดั แพร่ Researcher Professional Level, Maejo University Phrae Campus, Rongkwang District, Phrae, Province. E-mail: [email protected] บทคดั ย่อ งำนวิจยั น้ีมีวตั ถุประสงค์ (๑) เพ่ือรวบรวมและประมวลสำระควำมรู้จำกวรรณกรรม ปัจจุบนั เรื่องมหำสติปัฏฐำน ๔ เป็ นกำรวิจยั เชิงคุณภำพเน้นกำรสำรวจเพ่ือนำไปสู่กำรวิเครำะห์ เน้ือหำสำระจำกวรรณกรรม โดยประชำกรและกลุ่มตวั อย่ำงคือ วรรณกรรมยุคปัจจุบนั เรื่อง สติปัฏฐำน ๔ ท่ีไดร้ ับกำรตีพิมพใ์ นปี พุทธศกั รำช ๒๕๔๙-๒๕๕๙ (๑๐ ปี ) จำนวน ๑๐๐ เล่ม ผล กำรศึกษำพบว่ำ จำกกำรรวบรวมหนังสือวรรณกรรมปัจจุบนั ที่เก่ียวขอ้ งเร่ืองมหำสติปัฏฐำน ๔ จำแนกประเภทตำมลกั ษณะวรรณกรรมเร่ืองมหำสติปัฏฐำน ๔ แบ่งออกเป็น ๔ ประเภทวรรณกรรม ดงั ตอ่ ไปน้ี ประเภท ๑)วรรณกรรมแนววชิ ำกำร หมำยถึง หนงั สือวชิ ำกำร แนวเขียนแบบตำรำต่ำง ๆ และเกี่ยวกบั พระไตรปิ ฎก มกั อำ้ งอิงคำบำลีเพื่ออธิบำยควำมเน้ือหำสำระ จำนวน ๑๕ เล่ม ร้อยละ ๑๕ ประเภท ๒)วรรณกรรมแนวคำสอนครูบำอำจำรย์ หมำยถึง คำสอนครูบำอำจำรยท์ ี่อธิบำย วธิ ีกำรภำคทฤษฎีและแนวปฏิบตั ิเร่ืองมหำสติปัฏฐำน ๔ จำนวน ๔๕ เล่ม ร้อยละ ๔๕ ประเภท ๓) วรรณกรรมแนวนกั เขียนคน้ คิด หมำยถึง งำนเขียนที่ผูเ้ ขียนไดค้ น้ คิดศึกษำเรื่องมหำสติปัฏฐำน ๔ จำกกำรศึกษำของผูเ้ ขียน จำนวน ๒๕ เล่ม ร้อยละ ๒๕ ประเภท ๔)วรรณกรรมแนวบูรณำกำร ศำสตร์สมยั ใหม่ หมำยถึง หนงั สือที่ผเู้ ขียนไดน้ ำหลกั กำรเรื่องมหำสติปัฏฐำนไปบูรณำกำรเขียน กบั ศำสตร์สมยั ใหม่หรือกำรนำหลักกำรมหำสติปัฏฐำน ๔ ไปประยุกต์ใช้กบั ศำสตร์สมยั ใหม่ จำนวน ๑๕ เล่ม ร้อยละ ๑๕ วตั ถุประสงค์ (๒) เพื่อวิเครำะห์เรื่องมหำสติปัฏฐำน ๔ จำกวรรณกรรมประเภทนกั เขียน คิดคน้ โดยลกั ษณะจำกวรรณกรรมแนวนกั เขียนคิดคน้ หมำยถึง งำนเขียนที่ผเู้ ขียนไดค้ น้ คิดศึกษำ เร่ืองสติปัฏฐำน ๔ โดยผ่ำนกำรประมวลองค์ควำมรู้ควำมเขำ้ ใจของตวั ผูเ้ ขียนเอง ผลกำรศึกษำ พบวำ่ (๑) ดำ้ นแนวคิด พบวำ่ สมำธิสร้ำงเกิดพลงั อำนำจเหนือควำมรู้สึกตวั กูของกูวำ่ งจำกตวั ตน ใชก้ ำรเรียนรู้โดยกำรปฏิบตั ิเขำ้ ถึงควำมเป็ นจริงแห่งวถิ ีกำรบรรลุธรรม โดยจุดเริ่มตน้ กำรภำวนำอยู่ ท่ีใจนำจิตไปสู่กำรปฏิบตั ิ สร้ำงควำมสงบภำยในโดยกำรเห็นอยำ่ งลึกซ้ึงสู่ควำมเป็ นอริยบุคคล (๒) I
ด้ำนหลกั กำร พบว่ำ กำรฝึ กภำวะจิตให้สงบ เพ่งจิตให้น่ิง ดูจิต ต้งั จิต และพฒั นำจิต ยกจิตข้ึนสู่ วิปัสสนำให้จิตเห็นไตรลกั ษณ์ นำธรรมมำพิจำรณำสร้ำงปัญญำญำณ ยกระดบั จิตไปสู่ภำวะจิต ด้งั เดิมท่ีไมป่ รุงแต่ง (๓) ดำ้ นวธิ ีกำร พบวำ่ ดูลมหำยใจใหถ้ ูกวธิ ีโดยฝึกจิต มีสติอยกู่ บั กำย ควำมรู้สึก จิต ปรำกฎกำรณ์ นำฌำนสู่ญำณใชจ้ ิตตำมดู สู่จิตวำ่ ง อำศยั ฐำนกำย เวทนำ จิต และธรรม และสร้ำง ควำมรู้ตวั พิจำรณำรูปนำม วำงใจเป็ นอุเบกขำ ต่อทุกสภำวะธรรม เขำ้ ใจรู้จกั ส่ิงท่ีเกิดข้ึนตำมควำม เป็ นจริงกฎของไตรลกั ษณ์ (๔) ดำ้ นผล พบวำ่ ตวั วดั ผล คือ ตวั รู้ ตวั ละ ตวั ปัญญำ มีสติตำมทนั ทุก ควำมคิดของจิต ที่รู้เท่ำทันควำมเป็ นจริง อยู่กับปัจจุบัน ปัญญำเกิดเหนือจิต เหนือกำย เหนือ ประสำทกำรรับรู้ เห็นดว้ ยตนเอง วตั ถุประสงค์ (๓) เพื่อวเิ ครำะห์เรื่องมหำสติปัฏฐำน ๔ จำแนกวำ่ ดว้ ยดำ้ นกำยำนุปัสสนำสติ ปัฏฐำน เวทนำนุปัสสนำสติปัฏฐำน จิตตำนุปัสสนำสติปัฏฐำน ธรรมำนุปัสสนำสติปัฏฐำน ประเภท แนวคำสอนครูบำอำจำรย์ ผลกำรศึกษำพบวำ่ ดำ้ นกำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำน พบวำ่ กำยเป็นที่ต้งั ของ ควำมรู้สึก กำยเป็ นที่ปฏิบตั ิธรรม เป็ นท่ีประชุมแห่งควำมจริง เพ่งกำยตำมรู้กำย นำลมหำยใจเอำสติ มำต้งั ไวแ้ ละทำควำมรู้ตวั ฝึ กอิริยำบถใหญ่ย่อยกำรเคลื่อนไหวเป็ นอุปกรณ์กรรมฐำนสร้ำงควำม รู้สึกตวั และควำมตระหนกั รู้อยำ่ งมีสติ ดำ้ นเวทนำนุปัสสนำสติปัฏฐำน พบวำ่ เนน้ อำรมณ์ปัจจุบนั ทำควำมรู้สึกตวั ผสั สะกระทบอำยตนะภำยในภำยนอก มีสติตำมรู้เวทนำ เวทนำอำศยั รูปเกิด ปรุง แต่งเวทนำท่ีไหนกำหนดที่น้นั ใหร้ ู้ทุกขท์ ี่ต้งั ไว้ กำหนดอำกำรนำมลกั ษณะต่ำง ๆ สุข ทุกข์ อุเบกขำ ตอ้ งวำงเป็ นกลำงใหม้ ีสัมปชญั ญะควบคุม สติกำหนดชดั จะเห็นอำรมณ์ชดั ดำ้ นจิตตำนุปัสสนำสติ ปัฏฐำน พบว่ำ ควำมบริสุทธ์ิแห่งจิต จิตเดิมแทไ้ ม่ปรุงแต่ง สติกำหนดจิตตำมรู้จิต ท่ีต้งั แห่งกำร ทำงำนจิตคือกรรมฐำน จิตตภำวนำเครื่องมือพฒั นำจิตใหส้ ูงฝึ กฝนจิตให้จิตต้งั มน่ั จิตมองเห็นดว้ ย ตำใจ ต่ืนตระหนกั รู้ สร้ำงดวงจิตด้วยปัญญำ ดำ้ นธรรมำนุปัสสนำสติปัฏฐำน พบวำ่ ควำมเห็นแจง้ ทำงปัญญำ มรรค ๘ อริยสัจ ๔ คือทำงดบั ทุกข์ สัมมำทิฐิเป็ นประธำนไดป้ ัญญำรู้ตำมควำมเป็ นจริง วิปัสสนำญำณ คือ ควำมเห็นแจง้ ในรูปนำม เคร่ืองกำหนดพิจำรณำแจ่มแจง้ รู้เขำ้ ใจในเหตุปัจจยั ท้งั ปวง เขำ้ ใจสภำวะธรรมตำมควำมเป็นจริง พจิ ำรณำไตรลกั ษณ์ อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตำ วตั ถุประสงค์ (๔) เพื่อวิเครำะห์เรื่องมหำสติปัฏฐำน ๔ จำกวรรณกรรมปัจจุบนั ประเภท แนวคำสอนครูบำอำจำรย์ ผลกำรศึกษำพบวำ่ (๑) แนวคิดเร่ืองมหำสติปัฏฐำน ๔ เป็ นกำรปฏิบตั ิ ธรรม คือ ควำมดบั ทุกขเ์ ป็ นทำงสำยเอกทำงเดียวไปสู่กำรพน้ ทุกข์ โดยเห็นส่ิงท้งั หลำยถูกตอ้ งตำม ควำมเป็ นจริง ตำมแนวทำงไตรลักษณ์ แนวทำงสร้ำงศีล สมำธิ ปัญญำ ทำงแห่งปัญญำเจริญ วิปัสสนำ รู้แจง้ ชดั เพื่อควำมหลุดพน้ (๒) หลกั กำรเรื่องมหำสติปัฏฐำน ๔ สำระสำคญั ปฏิบตั ิ แนวทำงปฏิบตั ิเนน้ กำรเจริญภำวนำบริกรรมพุทโธ เม่ือปฏิบตั ิจิตสงบต้งั มนั่ แลว้ ยกข้ึนพิจำรณำองค์ ธรรม กำรเจริญอำนำปำนสติกำหนดลมหำยใจ สร้ำงหลกั กำรตอ้ งชำนำญท้งั ปริยตั ิและปฏิบตั ิ ดว้ ย แนวทำงศีล สมำธิ ปัญญำ เจริญปัญญำเน้นอริยสัจ ๔ เป็ นหลกั กำรและมรรค ๘ เป็ นทำงแห่งควำม II
พน้ ทุกข์ ดงั น้นั หลกั กำรสติปัฏฐำน ๔ ทำใหเ้ กิดสติและเกิดปัญญำ จิต ปี ติปรำโมทยท์ ุกลมหำยใจเขำ้ ออก เป็ นกำรฝึ กจิตตำมหลกั กำรกำยคตำสติ ให้สมำธิเป็ นฐำนกำหนดจิต พิจำรณำกำยอิริยำบถยืน เดินนั่งนอน ให้จิตใส่ใจในอิริยำบถ (๓) วิธีกำรเป็ นกำรปฏิบตั ิให้บรรลุตำมหลกั กำร มีลกั ษณะ วธิ ีกำรเจริญสมำธิแบบธรรมชำติ หรือตำมแบบแผนเทคนิควิธีเพ่ือเป็ นอุบำยให้เกิดสมำธิ เช่น กำร เดินจงกรม กำหนดลมหำยใจ ใชค้ ำบริกรรม ใช้คำภำวนำ กำหนดลมหำยใจพร้อมคำบริกรรมว่ำ “พุทโธ” ใชป้ ัญญำในกำรปฏิบตั ิธรรม สร้ำงควำมรู้สึกรู้ตวั สติและสมำธิควำมต้งั มนั่ จิตมีสมำธิคือ เป็ นผูด้ ู ผูร้ ู้ ทำดว้ ยควำมรู้สึกตวั จิตเป็ นกำลงั พฒั นำอริยสัจ ๔ ใชส้ มำธิกำหนดจิตต้งั มน่ั หยงั่ รู้ใน ฌำน เห็นไตรลกั ษณ์ ควำมไม่เที่ยง วตั ถุประสงค์ (๕) เพ่ือวิเครำะห์เรื่องมหำสติปัฏฐำน ๔ วำ่ ดว้ ยดำ้ นจิตตำนุปัสสนำสติปัฏ ฐำนจำกวรรณกรรมประเภทนกั เขียนคิดคน้ ผลกำรศึกษำพบวำ่ ๑) ดำ้ นแนวคิด พบวำ่ กำรพฒั นำจิต บริสุทธ์ิ จิตสะอำด โดยใชเ้ คร่ืองมือ คือ มหำสติปัฏฐำน ๔ พิจำรณำกำย เวทนำ จิต ธรรม นำไปสู่ กระบวนกำรเปลี่ยนแปลงทำงจิต กำรฝึ กจิตบริสุทธ์ิคือกำรเจริญสมำธิวิปัสสนำ โดยสร้ำงพ้ืนฐำน สติ คือ ใช้กำหนดลมหำยใจต้งั จิตพิจำรณำ พิจำรณำทุกสิ่งตำมควำมเป็ นจริงให้รู้ถึงควำมไม่เท่ียง ตำมกฎไตรลกั ษณ์ ๒) ดำ้ นหลกั กำร พบวำ่ กำรผูกสติอยบู่ นฐำนจิต และกำรสร้ำงสติบนกำยดว้ ย ควำมรู้สึกตวั ชดั เจน สติตำมรู้ทนั จิต ฝึกจิตปฏิบตั ิจิตใหม้ ีควำมสงบ ฝึกฝนกำรรวมจิตให้เกิดควำม สงบ ให้จิตเท่ำทนั ควำมคิดและอำรมณ์ โดยสติและควำมรู้สึกตวั ดึงจิตอยกู่ บั ปัจจุบนั จิตปรุงแต่ง อำรมณ์จำกอำยตนะ ฝึ กฝนจนเกิดควำมนิ่งของจิต หลักกำรฝึ กจิตคือกำรปฏิบัติธรรม ดูกำร เปล่ียนแปลงจิต กำรสร้ำงสติและควำมรู้สึกตวั ให้รู้ทนั ควำมคิด และกำรเคล่ือนไหวของจิต รู้เห็น อำกำรของจิต ๓) ด้ำนวิธีกำร พบว่ำ กำรฝึ กรู้ทนั ควำมคิด วิธีกำรฝึ กเจริญสติ กำรใช้สติ และ สัมปชญั ญะ วธิ ีกำรแบบสมถะกรรมฐำน คือ กำรเพง่ จิต อบรมจิต จิตแน่วแน่ ใหฝ้ ึ กจิตให้พิจำรณำ ขอ้ ธรรม วิธีกำรแบบวปิ ัสสนำกรรมฐำน คือ กำรอบรมจิตข้ึนสู่อบรมปัญญำ ตอ้ งฝึ กต้งั สติดูจิต จิต ต้งั มนั่ เกิดปัญญำจำกสติและสมำธิ ฝึ กฝนกำรสร้ำงปัญญำ สติทำใหค้ ุณภำพจิตตระหนกั รู้ควำมจริง เพยี รสอนจิตดว้ ยปัญญำ คาสาคัญ : มหำสติปัฏฐำน ๔ กำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำน เวทนำนุปัสสนำสติปัฏฐำน จิตตำนุปัสสนำสติปัฏฐำน ธรรมำนุปัสสนำสติปัฏฐำน วรรณกรรม สังเครำะห์ III
Abstract The purpose of this research was to collect and codify the comprehension and understanding in Mahāsatipaṭṭhāna IV. It was the qualitative research by emphasized survey for leading content analysis from literature. The population and sample was the present literature on Mahāsatipaṭṭhāna IV which had published in the year of 2016 -2006 about 100 copies. The results of the study were found that from the collect the text present literature on Mahāsatipaṭṭhāna IV which was classified the type of the literature characteristic of Mahāsatipaṭṭhāna IV. It was classified into four types they were; 1. Type of academic literature means academic book, the various text writing and Tipiṭaka that was referred Pali word for explanation about 15 copies, 25 percentages. 2. Type of teaching word literature of teacher means teaching of the teacher that had explained both the theory and practicing of Mahāsatipaṭṭhāna IV about 45 copies, 45 percentages. 3. Type of thinker literature means writing that had studied from Mahāsatipaṭṭhāna IV about 15 copies, 25 percentages. 4. Type of modern science integration means the books that the writer had brought Mahāsatipaṭṭhāna IV to integrate with the modern science about 15 copies, 25 percentages. The purpose of this research was to analyze about the Mahasatipatthana IV concept from the author-devised literature. The characteristics of the literature was the author-devised which meant about the literature which had been researched of the Mahasatipatthana IV concept through processing the author’s knowledge and comprehension gained from studying through ten volumes of literature. The result of the research revealed that: 1) Concerning about the concept, it was found that the concentration being made could create the power superior to the feeling of ego and vacancy out of individualism. The learning procedure was led by practicing in order to access into the actuality of attain the enlightenment. The threshold point of practicing the Dhamma began at one’s heart leading one’s mind to practice. Inner peace was then engendered by having an insight into being a noble person. 2)Concerning about the principle, it was found that the practice of making one’s mind peaceful, concentrating one’s mind to be stable, pondering the mind, then settling and developing it before lifting it to Vipassana meditation could lead one to see the Trilaksana. In addition, Dhamma was then brought to ponder in order to make the intuition or wisdom. The mind would then be uplifted into its prior state which had not yet been fabricated.3)Concerning the method, it was found that one’s breath in and out should be monitored correctly by practicing the IV
mind. One should be self-subconscious with mind always attached with body and had feeling of mind. The phenomenon was that the meditative absorption was brought to insight with the mind attached. This would lead to the free mind. One should abide by the body base, Vedhana, mind and Dhamma and create the state of being self-conscious, considering the body and mind, settling the mind to equanimity for every state of Dhamma. Lastly, one should comprehend and acknowledge what occurred according to the factuality of the Trilaksana rule. 4)Concerning the results, it was found that the assessor were that one knew, one forsook, and one attained wisdom. One should be self-conscious and keep pace of every thought of the mind which kept abreast of actuality existed with the present time. Wisdom was originated above the mind and body, superior to the perceptive neuron and that could be seen by oneself. The objective of this research article was to analyse Mahāsatipaṭṭhana IV in term of Kāyānupassanāsatipaṭṭhāna, Vedanānupassanāsatipaṭṭhāna, Cittānupassanāsatipaṭṭhāna and Dhammānupassanāsatipaṭṭhāna. The research showed that on Kāyānupassanāsatipaṭṭhāna aspect was found that body was the establish of felling, the combination of truth, concentrated body, known body, brought the breath and concentrated mind and became aware, practiced the big bodily movement by digesting movement that was the instrument of Kammaṭṭhāna for the aware and realized aware good mind. On the Vedanānupassanāsatipaṭṭhāna aspect was found that it was emphasized the present emotion, be conscious of being, phassa touch inside āyatana and outside āyatana, had consciousness follow and known Vedanā, Vedanā reside in Rūpa birth, where think incorrectly Vedanā and aware that place for known the suffering, set the various characteristic name, happy, suffer, neutrality, made neutrality by making control awareness and mind clearly conduct, it will have clearly emotion. O the Cittānupassanāsatipaṭṭhāna aspect was found that the pure of mind was not think incorrectly, consciousness set mind, following mind awareness, setting of mind was Kammaṭṭhāna, Cittabhāvanā was the instrument of mind development in higher rank, practiced the permanent mind, mind saw with mind eye, awareness and created the mind with the wisdom. On Dhammānupassanāsatipaṭṭhāna aspect was found that the enlightenment of wisdom as the Middle Part and the Four Noble Truth was the way of the stopping suffering, Sammādiṭhi was the chair of wisdom and known following the truth. Vipassanāňāṇa was the enlightenment in Rupa and Namma, the instrument of knowing consideration in the all cause and factor, understood the natural condition to come true, considering the Three Characteristics ; Aniccaṃ, Dukkhaṃ and Anattā. V
The purpose of this research was to analyze about the Mahasatipatthana IV concept from the teacher-led paradigm literature. It was the qualitative research by emphasized leading content analysis from the teacher- led paradigm literature The result of the study revealed that : 1 ) Concerning about the concept of Mahasatipatthana IV as the Dharma practice, it was found that the extinguishment of suffering being purely a mere single major path leading to the extrication of suffering. One shall see all the things in a correct way under the truth and the path of Trilaksana. One shall follow the path of Silas, Samadhi and Panya which encompass into the noble path of making insight meditation, meaning that to know clearly for extrication. 2 ) Concerning the principle of Mahasatipatthana IV, the rationale lies on practicing which focuses on the path of doing the meditation with reciting Buddho. Once the mind is tranquilized and settled, then it should be brought up to ponder over the Dharma bodies. Doing the mindfulness on breathing, its principle is to be built upon being expert in both Dharma and practicing, following the path of Silas, Samadhi and Panya. To grow the wisdom, the Four Noble Truths shall be chiefly emphasized and the Noble Eightfold Path being the way to extricate out of suffering. Therefore, the principle of Mahasatipatthana IV brings forward the consciousness and wisdom. The mind is full with joy and happiness at every breath in and out. This is how to practice the mind according to the Kayagatasati, with the Samadhi being the base of fixing mind. Then one shall consider four actions of body moving, namely standing, walking, sitting and lying, with putting mind into those actions. 3 ) Concerning the methods pertaining to Mahasatipatthana IV, this is about the practice of attaining the goal under the principle. The method of doing meditation is in a natural manner or follows the traditional technique in order to be a trick for bringing out Samadhi or concentration e.g. walking meditation, practicing the breath, reciting verses or using prayer. This can be done easily by practicing the breath with reciting ‘ Buddho’ . Also, one shall exert the wisdom in practicing Dharma, building consciousness, mindfulness and Samadhi as well as an establishment. The mind is then concentrated which means one sees and knows and do things with being subconscious. The mind is empowered to develop the Four Noble Truths, using Samadhi to practice the mind to be established, discerning in contemplation, seeing in Trilaksana and uncertainty. The purpose of this research was to analyze about the Mahasatipatthana IV pertaining to the Jittanupassanasatpatthana concept from the author-devised literature. The characteristics of the literature was the author-devised which meant about the literature which had been researched of the Mahasatipatthana IV concept through processing the author’s knowledge and comprehension VI
gained from studying through fifteen volumes of literature. These literatures had been analytically studied about the details of mind in particular.The result of the research revealed that:1 )Concerning about the concept, it was found that the development of mind to be purely clean through the use of Mahasatipatthana IV in considering body, sympathy, mind and Dhamma could lead to the process of mental changing. To practice one’s mind to be purely clean is to make Vipassana meditation or concentration with building fundamental base of subconsciousness i.e. to consider each breath and ponder over everything according to the truth so as to enlighten in uncertainty under the Trilaksana rule. 2 ) Concerning about the principle, it was found that there were several ways of practicing mind. That is to say, one practiced by attaching subconsciousness with the mental base and to make subconsciousness on body with being fully self- conscious or awake. Try controling subconsciousness to keep pace of the mind, practicing the mind to be in peaceful state, practicing how to concentrate mind to be tranquil to keep its pace with thought and emotion, while subconsciousness and self-consciousness fixing the mind with the existing state at present. The mind was formulated of emotion from Ayatana, practiced hard until the mind was at a standstill. The principle of practicing mind was to practice Dhamma, observing the changes of mind, making one’s subconsciousness and self-consciousness to keep pace with thought and motion of mind, knowing and seeing actions of mind. 3 ) Concerning the method, it was found that to practice of keeping up with thought, how to make meditation, having subconsciousness and awareness and practice of intensive meditating were among methods being used to practice mind. This included concentrating one’s mind, training of mind to make it focused in pondering the Dhamma contents. The practicing method of Vipassana meditation included training of one’s mind to rise into training of one’s wisdom which needed training subconsciousness and looking at mind until the mind was fully established and then the wisdom was derived from being self-conscious and concentrated. One should practice building wisdom. Subconsciousness could make mind realized of the truth, therefore one should instill the mind through exerting wisdom. Keywords : Mahāsatipattahāna IV, Kāyānupassanāsatipaṭṭhāna, Vedanānupassanāsatipaṭṭhāna, Cittānupassanāsatipaṭṭhāna and Dhammānupassanāsatipaṭṭhāna present-day literature, Synthesis , Literature VII
ก สารบญั เรื่อง หน้า สารบัญตาราง สารบัญภาพ บทคัดย่อภาษาไทย บทคดั ย่อภาษาองั กฤษ บทที่ ๑ บทนา ๑ ความสาคญั ของปัญหา ๔ ๔ วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั ๕ ขอบเขตของการวจิ ยั ๕ ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะไดร้ ับ นิยามศพั ท์ ๖ บทท่ี ๒ การตรวจเอกสาร ๗ แนวคิดและทฤษฎี การวจิ ารณ์วรรณกรรมปัจจุบนั ๘ แนวคิดทฤษฎีระเบียบวธิ ีวิจยั เพื่อสร้างทฤษฎี ๑๔ ผลงานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง กรอบแนวคิดของการวิจยั ๑๕ บทที่ ๓ วธิ ีการวจิ ัย ๑๕ ๑๙ ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง ๒๒ เครื่องมือในการวจิ ยั ๒๕ เครื่องมือท่ีใชเ้ กบ็ รวบรวมขอ้ มูล วธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ๒๖ การวเิ คราะห์ขอ้ มูล ๕๒ บทท่ี ๔ ผลการวจิ ัย ๕๒ ตอนที่ ๔.๑ การรวบรวมและประมวลสาระความรู้จากวรรณกรรมเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ๖๘ ตอนที่ ๔.๒ การสงั เคราะห์องคค์ วามรู้จากวรรณกรรมเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ๑๑๓ ๔.๒.๑ การสงั เคราะห์ประเภท ๑) วรรณกรรมแนววชิ าการ ๑๓๘ ๔.๒.๒ การสังเคราะห์ประเภท ๒) วรรณกรรมแนวคาสอนครูบาอาจารย์ ๔.๒.๓ การสังเคราะห์ประเภท ๓) วรรณกรรมแนวนกั เขียนคิดคน้ ๔.๒.๔ การสงั เคราะห์ประเภท ๓) วรรณกรรมแนวบูรณาการกบั ศาสตร์สมยั ใหม่
สารบญั (ต่อ) ข บทท่ี ๕ สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ ๑๕๔ ตอนท่ี ๕.๑ บทสรุปจากวรรณกรรมประเภท ๑) แนววชิ าการ ๑๖๙ ตอนที่ ๕.๒ บทสรุปจากวรรณกรรมประเภท ๒) แนวคาสอนครูบาอาจารย์ ๒๑๔ ตอนที่ ๕.๓ บทสรุปประเภทวรรณกรรม ๓) แนวนกั เขียนคิดคน้ ๒๓๙ ตอนท่ี ๕.๔ บทสรุปจากวรรณกรรมประเภท ๔) แนวบูรณาการศาสตร์สมยั ใหม่ ๒๕๔ อภปิ รายผล และ ข้อเสนอแนะ ๒๕๘ ๒๕๙ ภาคผนวก ๒๖๘ บรรณนุกรม รายช่ือหนงั สือวรรณกรรมนามาสงั เคราะห์ ประวตั ิผวู้ ิจยั
ค สารบัญตาราง ตารางที่ เร่ือง หน้า ๔.๑.๑ ลกั ษณะทว่ั ไปของวรรณกรรมประเภท (๑) แนววชิ าการ จาแนกตาม ปก รหสั แบบ ๒๖ ๔.๑.๒ บนั ทึก ชื่อวรรณกรรม ผเู้ ขียน พิมพค์ ร้ังท่ี ปี พิมพ์ สานกั พิมพ์ ๓๐ ๔.๑.๓ ลกั ษณะทว่ั ไปของวรรณกรรมประเภท (๒) แนวคาสอนครูบาอาจารย์ จาแนกตาม ปก ๔๑ ๔.๑.๔ รหสั แบบบนั ทึก ชื่อวรรณกรรม ผเู้ ขียน พิมพค์ ร้ังท่ี ปี พิมพ์ สานกั พิมพ์ ๔๗ ๔.๑.๕ ลกั ษณะทว่ั ไปของวรรณกรรมประเภท (๓) แนวความคิดนกั เขียน จาแนกตาม ปก ๕๑ ๔.๒.๑ รหสั แบบบนั ทึก ช่ือหนงั สือ ผเู้ ขียน คร้ังที่พิมพ์ ปี พิมพ์ สานกั พิมพ์ ๕๓ ๔.๒.๒ ลกั ษณะทวั่ ไปของวรรณกรรมประเภท (๔) แนวบูรณาการกบั ศาสตร์สมยั ใหม่ ๕๔ ๔.๒.๓ จาแนกตาม ปก รหสั แบบบนั ทึก ช่ือหนงั สือ ผเู้ ขียน คร้ังที่พิมพ์ ปี พิมพ์ สานกั พิมพ์ ๕๕ ๔.๒.๔ สรุปการประมวลและรวบรวมวรรณกรรมเร่ือง มหาสติปัฏฐาน ๔ ๕๖ ๔.๒.๕ การสงั เคราะห์มหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๕๗ ๔.๒.๖ จากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๖” [ป.๑-๑] ๕๘ ๔.๒.๗ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๕๙ ๔.๒.๘ จากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๗”[ป.๑-๒] ๖๐ ๔.๒.๙ การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๖๑ ๔.๒.๑๐ จากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๓” [ป.๑-๓] ๖๒ ๔.๒.๑๑ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๖๓ จากวรรณกรรมเร่ือง “สมาธิ : ฐานสู่สุขภาพจิตและปัญญาหยง่ั รู้”[ป.๑-๔] การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๕” [ป.๑-๕] การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๔” [ป.๑-๖] การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๑” [ป.๑-๗] การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “วปิ ัสสนากรรมฐานตามรอยพระพทุ ธองค”์ [ป.๑-๘] การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรม เรื่อง “การปฏิบตั ิวิปัสสนากมั มฏั ฐาน ตามแนวมหาสติปัฏฐาน ๔” [ป.๑-๙] การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๒” [ป.๑-๑๐] การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จาก วรรณกรรมเร่ือง “สติปัฏฐานส่ีฐานแห่งสติและวธิ ีฝึ กสติเพื่อความพน้ ทุกข”์ [ป.๑-๑๑]
สารบัญตาราง (ต่อ) ง ตารางที่ เร่ือง หน้า ๖๔ ๔.๒.๑๒ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๖๕ จากวรรณกรรมเรื่อง “พุทธปรัชญาแห่งชีวติ ” [ป.๑-๑๒] ๖๖ ๖๗ ๔.๒.๑๓ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๖๘ จากวรรณกรรมเร่ือง “กรรมฐานและฌานสมาบตั ิตามรอยพระพุทธองค”์ [ป.๑-๑๓] ๖๙ ๗๐ ๔.๒.๑๔ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๗๑ จากวรรณกรรมเร่ือง “มหาสติปัฏฐานสูตรแปล (ฉบบั ปรังปรุง)” [ป.๑-๑๔] ๗๒ ๔.๒.๑๕ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๗๓ ๗๔ จากวรรณกรรมเร่ือง “พุทธปรัชญา ๒๕ ศตวรรษ” [ป.๑-๑๕] ๗๕ ๗๖ ๔.๒.๑๖ การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๗๗ จากวรรณกรรมเรื่อง \"พระอรหนั ตส์ อนกรรมฐาน” [ป.๒-๑] ๔.๒.๑๗ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จาก วรรณกรรมเร่ือง “การปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานตามแนว ของหลวงป่ ูมนั่ ภูริทตฺโต” [ป.๒-๒] ๔.๒.๑๘ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จาก วรรณกรรมเรื่อง “อริยสจั เพื่อความหลุดพน้ ” [ป.๒-๓] ๔.๒.๑๙ การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “คู่มือมนุษย์ ๖ ฉบบั อา่ นง่าย เขา้ ใจง่าย เรื่อง สมาธิและวิปัสสนา ตามธรรมชาติ (การทาใหร้ ู้แจง้ ตามวธิ ีธรรมชาติ)” [ป.๒-๔] ๔.๒.๒๐ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง“มนุษย.์ .เกิดมาทาไม? เลม่ ๑๖ ตอน จบพรหมจรรย์ (กิจอ่ืนท่ีพึงกระทาย่ิงไปกวา่ น้ีไมม่ ี) ” [ป.๒-๕] ๔.๒.๒๑ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “หลวงป่ ูมน่ั ” [ป.๒-๖] ๔.๒.๒๒ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “มนุษย์ เกิดมาทาไม? เลม่ ๒๐ ตอนโปรดสงั สารวฏั ”[ป.๒-๗] ๔.๒.๒๓ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “โรดแมพ็ ธรรมปฎิบตั ิทางเดินสู่โลกตุ รธรรม” [ป.๒-๘] ๔.๒.๒๔ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “คู่มือการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว” [ป.๒-๙] ๔.๒.๒๕ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “คิดแบบพระโสดาบนั ” [ป.๒-๑๐]
จ สารบญั ตาราง (ต่อ) ตารางที่ เรื่อง หน้า ๗๘ ๔.๒.๒๖ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๗๙ ๘๐ จากวรรณกรรมเร่ือง “บรรลธุ รรมตามหลกั วชิ าการ(สมาธิและวิปัสสนา ๒)” [ป.๒-๑๑] ๘๑ ๔.๒.๒๗ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๘๒ จากวรรณกรรมเร่ือง “สนั ติสุขทุกลมหายใจ:วิธีปฏิบตั ิสาหรับคนไม่มีเวลา” [ป.๒-๑๒] ๘๓ ๘๔ ๔.๒.๒๘ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๘๕ จากวรรณกรรมเรื่อง “สติเคลด็ ลบั มองดา้ นใน” [ป.๒-๑๓] ๘๖ ๘๗ ๔.๒.๒๙ การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๘๘ ๘๙ จากวรรณกรรมเรื่อง “พ้ืนฐานการทาสมาธิ” [ป.๒-๑๔] ๙๐ ๔.๒.๓๐ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๙๑ จากวรรณกรรมเรื่อง “มนุษยเ์ กิดมาทาไม? เลม่ ๑๘ ตอน จบกิจ-จบกรรมสงั สารวฏั ” [ป.๒-๑๕] ๔.๒.๓๑ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “มนุษย.์ เกิดมาทาไม ? เล่ม ๑๔ ตอน กรรมฐานลืมตา (ในชีวติ ประจาวนั )” [ป.๒-๑๖] ๔.๒.๓๒ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “สมถวิปัสสนาแห่งยคุ ปรมาณู” [ป.๒-๑๗] ๔.๒.๓๓ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “เร่ืองเก่ียวกบั การปฏิบตั ิธรรมศิลปะอนั จาเป็นสาหรับชีวิตมนุษย”์ [ป.๒-๑๘] ๔.๒.๓๔ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “เจริญกรรมฐาน ๗ วนั ไดผ้ ลแน่นอน” [ป.๒-๑๙] ๔.๒.๓๕ การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “หลวงป่ ูชาสอนกรรมฐาน” [ป.๒-๒๐] ๔.๒.๓๖ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จาก วรรณกรรมเรื่อง “วิธีฝึ กสมาธิวปิ ัสสนา ฉบบั นานาแบบอยา่ งสมบูรณ์” [ป.๒-๒๑] ๔.๒.๓๗ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “อยกู่ บั มาร” [ป.๒-๒๒] ๔.๒.๓๘ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “ปฏิบตั ิธรรมใหถ้ ูกทาง : คาถามสาหรับชาวพุทธ (สารวจตวั ก่อนปฏิบตั ิธรรม)” [ป.๒-๒๓] ๔.๒.๓๙ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “พุทโธ ผรู้ ู้ ผตู้ ่ืน ผเู้ บิกบาน” [ป.๒-๒๔]
ฉ สารบญั ตาราง (ต่อ) ตารางที่ เร่ือง หน้า ๔.๒.๔๐ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๙๒ ๙๓ จากวรรณกรรมเร่ือง “ดูจิตเพื่อรู้แจง้ : วิธีปฏิบตั ิภาวนาอยา่ งง่ายๆ ดว้ ยการดูจิตใน ๙๔ ๙๕ ชีวิตประจาวนั ” [ป.๒-๒๕] ๙๖ ๙๗ ๔.๒.๔๑ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๙๘ ๙๙ จากวรรณกรรมเรื่อง “อศั จรรยส์ มาธิพระโพธิสตั วห์ ลวงป่ ูดู่ พรหมปัญโญ” [ป.๒-๒๖] ๑๐๐ ๑๐๑ ๔.๒.๔๒ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๐๒ ๑๐๓ จากวรรณกรรมเร่ือง “พทุ ธานุสสติหวั ใจกรรมฐาน” [ป.๒-๒๗] ๑๐๔ ๑๐๕ ๔.๒.๔๓ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “กรรมฐานจากหลวงป่ ูทวดสู่หลวงป่ ูดู่” [ป.๒-๒๘] ๔.๒.๔๔ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “อบรมกรรมฐาน” [ป.๒-๒๙] ๔.๒.๔๕ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “วิปัสสนาสมาธิภาวนารักษาใจ” [ป.๒-๓๐] ๔.๒.๔๖ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “กรรมฐานแกก้ รรมพน้ ทุกขด์ ว้ ยกรรมฐาน” [ป.๒-๓๑] ๔.๒.๔๗ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “บริกรรมพทุ โธสมาธิรักษาโรคกาจดั ภยั ” [ป.๒-๓๒] ๔.๒.๔๘ การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรม เร่ือง “คู่มือมนุษยฉ์ บบั สมบูรณ์ (วชิ าท่ีวา่ ดว้ ยอะไรเป็นอะไร)” [ป.๒-๓๓] ๔.๒.๔๙ การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “อดีตกรรม ประสพการณ์..ประสพกรรม” [ป.๒-๓๔] ๔.๒.๕๐ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะจากพระไพศาล วสิ าโล” [ป.๒-๓๕] ๔.๒.๕๑ การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “อตุโล จิต คือ พุทธะ เล่ม ๒” [ป.๒-๓๖] ๔.๒.๕๒ การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะจากพระราชวฒุ าจารย์ (หลวงป่ ูดูลย์ อตุโล)” [ป.๒-๓๗] ๔.๒.๕๓ การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “สนั ติภาพทุกยา่ งกา้ ว ติช นทั ฮนั ห”์ [ป.๒-๓๘]
สารบัญตาราง (ต่อ) ช ตารางที่ เรื่อง หน้า ๔.๒.๕๔ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๐๖ ๔.๒.๕๕ จากวรรณกรรมเร่ือง “ปัจจุบนั เป็นเวลาประเสริฐสุด” [ป.๒-๓๙] ๑๐๗ ๔.๒.๕๖ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๐๘ ๔.๒.๕๗ จากวรรณกรรมเร่ือง “สงบ” [ป.๒-๔๐] ๑๐๙ ๔.๒.๕๘ การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๑๐ ๔.๒.๕๙ จากวรรณกรรมเร่ือง “สวา่ ง” [ป.๒-๔๑] ๑๑๑ ๔.๒.๖๐ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๑๒ ๔.๒.๖๑ จากวรรณกรรมเรื่อง “กรรมฐาน ๔๐ สมาธิแบบพระพุทธเจา้ ” [ป.๒-๔๒] ๑๑๓ ๔.๒.๖๒ การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๑๔ ๔.๒.๖๓ จากวรรณกรรมเร่ือง “นิพพานระหวา่ งวนั ” [ป.๒-๔๓] ๑๑๕ ๔.๒.๖๔ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๑๖ ๔.๒.๖๕ จากวรรณกรรมเรื่อง “ทางเอก” [ป.๒-๔๔] ๑๑๗ ๔.๒.๖๖ การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๑๘ ๔.๒.๖๗ จากวรรณกรรมเรื่อง “ผลของจิตภาวนาคือนิพพาน” [ป.๒-๔๕] ๑๑๙ ๔.๒.๖๘ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๒๐ จากวรรณกรรมเรื่อง “ศิลปะการปฏิบตั ิสมาธิ The art of meditation” [ป.๓-๑] การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “ไมใ่ ช่ก”ู [ป.๓-๒] การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “จะเสียอะไรถา้ ไดป้ ฏิบตั ิธรรม” [ป.๓-๓] การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “ทางสายเอก สติปัฏฐานสี่ ” [ป.๓-๔] การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การปฏิบตั ิธรรม” [ป.๓-๕] การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “ถึงโสดาบนั ในชาติน้ี ” [ป.๓-๖] การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จาก วรรณกรรมเรื่อง “ฝึ กจิต ชีวติ เปล่ียน” [ป.๓-๗] การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “จิตอยสู่ ุข”[ป.๓-๘]
ซ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ เรื่อง หน้า ๑๒๑ ๔.๒.๖๙ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๒๒ ๑๒๓ จากวรรณกรรมเร่ือง ภาวนา เร่ิมตน้ ณ กม.๐” [ป.๓-๙] ๑๒๔ ๔.๒.๗๐ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๒๕ จากวรรณกรรมเร่ือง“รู้แลว้ ละได”้ [ป.๓-๑๐] ๑๒๖ ๑๒๗ ๔.๒.๗๑ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๒๘ ๑๒๙ จากวรรณกรรมเร่ือง“หายใจใหเ้ ป็น”[ป.๓-๑๑] ๑๓๐ ๑๓๑ ๔.๒.๗๒ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๓๒ จากวรรณกรรมเรื่อง“คลายเครียดดว้ ยลมหายใจ เยียวยาความเครียดดว้ ยวถิ ีพทุ ธ” ๑๓๓ [ป.๓-๑๒] ๔.๒.๗๓ การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง“สติ กญุ แจไขชีวติ ” [ป.๓-๑๓] ๔.๒.๗๔ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกกาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง“เร่ืองสติ..ใครวา่ ยาก คาอธิบายสติและ การปฏิบตั ิธรรมดว้ ยภาษาท่ีเขา้ ใจง่าย”[ป.๓-๑๔] ๔.๒.๗๕ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “บรรลธุ รรมไดไ้ มต่ ิดรูปแบบ” [ป.๓-๑๕] ๔.๒.๗๖ การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง“ ฆราวาสบรรลธุ รรม” [ป.๓-๑๖] ๔.๒.๗๗ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง“ชีวิตไมไ่ ดม้ ีดา้ นเดียว” [ป.๓-๑๗] ๔.๒.๗๘ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง“วิธีปฏิบตั ิธรรมในชีวติ ประจาวนั อยา่ งง่ายๆ” [ป.๓-๑๘] ๔.๒.๗๙ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง“รหสั ลบั บรรลธุ รรมแบบเซน” [ป.๓-๑๙] ๔.๒.๘๐ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง“ศาสตร์แห่งภาวนาการหลอมรวมพุทธศาสนากบั ประสาทวทิ ยา” [ป.๓-๒๐] ๔.๒.๘๑ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง“อริยทรัพย์ แห่ง ผรู้ ู้แจง้ หลกั ปฏิบตั ิวา่ ดว้ ยสมั มาทิฏฐิ สมั มาภาวนา และสมั มาจริยา” [ป ๓-๒๑]
สารบัญตาราง (ต่อ) ฌ ตารางที่ เรื่อง หน้า ๔.๒.๘๒ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๓๔ ๔.๒.๘๓ จากวรรณกรรมเร่ือง “จิตดวงสุดทา้ ย” [ป.๓-๒๒] ๑๓๕ ๔.๒.๘๔ การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๓๖ ๔.๒.๘๕ จากวรรณกรรมเร่ือง “เตโชวปิ ัสสนา เปิ ดประตูนิพพาน” [ป.๓-๒๓] ๑๓๗ ๔.๒.๘๖ การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๓๘ ๔.๒.๘๗ จากวรรณกรรมเร่ือง “นิพพานไมไ่ กลเกินเอ้ือม” [ป.๓-๒๔] ๑๓๙ ๔.๒.๘๘ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๔๐ ๔.๒.๘๙ จากวรรณกรรมเร่ือง “กรรมตามสมอง” [ป.๓-๒๕] ๑๔๑ ๔.๒.๙๐ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๔๒ ๔.๒.๙๑ จากวรรณกรรมเรื่อง “ไอนส์ ไตนพ์ บ พระพุทธเจา้ เห็น” [ป ๔-๑] ๑๔๓ ๔.๒.๙๒ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๔๔ ๔.๒.๙๓ จากวรรณกรรมเร่ือง “ไอนส์ ไตนพ์ บ พระพทุ ธเจา้ เห็น II” [ป ๔-๒] ๑๔๕ ๔.๒.๙๔ การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๔๖ ๔.๒.๙๕ จากวรรณกรรมเร่ือง “ทวาร ๖ : ศาสตร์แห่งการรู้ทนั ตนเอง” [ป ๔-๓] ๑๔๗ ๔.๒.๙๖ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๔๘ จากวรรณกรรมเรื่อง“เดอะทอ็ ปซีเคร็ต” [ป ๔-๔] การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง“เดอะทอ็ ปพาวเวอร์พลงั จิตใตส้ านึกพลงั สู่ความสาเร็จ” [ป ๔-๕] การสงั เคราะหเ์ ร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง“การปฏิบตั ิสมาธิเพื่อการเยียวยาสุขภาพ” [ป ๔-๖] การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง“พทุ ธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวทิ ยาศาสตร์” [ป ๔-๗] การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง“ธรรมชาติของร่างกายและจิต” [ป ๔-๘] การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง“จิตวิทยาของความดบั ทุกข”์ [ป ๔-๙] การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง“ชีวิต พระพทุ ธศาสนา และ วิทยาศาสตร์” [ป ๔-๑๐] การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง“ความลบั ของจกั รวาลทางแห่งนิพพาน” [ป ๔-๑๑]
ญ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ เรื่อง หน้า ๔.๒.๙๗ การสงั เคราะหเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๔๙ จากวรรณกรรมเร่ือง“ธรรมชาติของสรรพส่ิง : การเขา้ ถึงความจริงท้งั หมด” [ป ๔-๑๒] ๑๕๐ ๔.๒.๙๘ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๕๑ จากวรรณกรรมเร่ือง“พระพทุ ธเจา้ พลิกใจ ไอนส์ ไตน์พลิกโลก” [ป ๔-๑๓] ๑๕๒ ๑๕๔ ๔.๒.๙๙ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๕๕ ๑๕๖ จากวรรณกรรมเรื่อง“พุทธปรัชญา : มองพุทธศาสนาดว้ ยทรรศนะทางวิทยาศาสตร์” ๑๕๗ ๑๕๘ [ป ๔-๑๔] ๑๕๙ ๑๖๐ ๔.๒.๑๐๐ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ๑๖๑ จากวรรณกรรมเร่ือง“ปัญญา” [ป ๔-๑๕] ๑๖๒ ๑๖๓ ๕.๑ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๖” [ป.๑-๑] ๑๖๔ ๕.๒ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๗ ” [ป.๑-๒] ๑๖๕ ๑๖๖ ๕.๓ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๓ ” [ป.๑-๓] ๑๖๗ ๑๖๘ ๕.๔ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “สมาธิ : ฐานสู่สุขภาพจิตและปัญญาหยงั่ รู้” [ป.๑-๔] ๑๖๙ ๕.๕ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๕ ” [ป.๑-๕] ๑๗๐ ๑๗๑ ๕.๖ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๔ ” [ป.๑-๖] ๕.๗ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๑ ” [ป.๑-๗] ๕.๘ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “วิปัสสนากรรมฐานตามรอยพระพทุ ธองค”์ [ป.๑-๘] ๕.๙ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน ตามแนวมหาสติปัฏฐาน ๔” [ป.๑-๙] ๕.๑๐ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๒” [ป.๑-๑๐] ๕.๑๑ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “สติปัฏฐานสี่ฐานแห่งสติและวิธีฝึ กสติเพื่อความพน้ ทุกข์ ” [ป.๑-๑๑] ๕.๑๒ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “พทุ ธปรัชญาแห่งชีวติ ” [ป.๑-๑๒] ๕.๑๓ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “กรรมฐานและฌานสมาบตั ิตามรอยพระพทุ ธองค”์ [ป.๑-๑๓] ๕.๑๔ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง“มหาสติปัฏฐานสูตรแปล (ฉบบั ปรังปรุง)” [ป.๑-๑๔] ๕.๑๕ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “พุทธปรัชญา ๒๕ ศตวรรษ” [ป.๑-๑๕] ๕.๑๖ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง“พระอรหนั ตส์ อนกรรมฐาน” [ป.๒-๑] ๕.๑๗ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานตามแนว ของหลวงป่ ูมนั่ ภูริทตฺโต” [ป.๒-๒] ๕.๑๘ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ อริยสจั เพ่ือความหลดุ พน้ ” [ป.๒-๓]
ฎ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ เรื่อง หน้า ๕.๑๙ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “คู่มือมนุษย์ ๖ ฉบบั อา่ นง่าย เขา้ ใจง่าย เร่ือง สมาธิและวปิ ัสสนา ตามธรรมชาติ (การทาใหร้ ู้แจง้ ตามวิธีธรรมชาติ)” [ป.๒-๔] ๑๗๒ ๕.๒๐ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง“มนุษย.์ .เกิดมาทาไม? เล่ม ๑๖ ตอน จบพรหมจรรย์ (กิจอื่นที่พึงกระทายิง่ ไปกวา่ น้ีไมม่ ี)” [ป.๒-๕] ๑๗๓ ๕.๒๑ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง“หลวงป่ ูมนั่ ” [ป.๒-๖] ๑๗๔ ๕.๒๒ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง“มนุษย์ เกิดมาทาไม? เลม่ ๒๐ ตอน โปรดสงั สารวฏั ” [ป.๒-๗] ๑๗๕ ๕.๒๒ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง“มนุษย์ เกิดมาทาไม? เลม่ ๒๐ ตอน โปรดสงั สารวฏั ” [ป.๒-๗] ๑๗๖ ๕.๒๓ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง“โรดแมพ็ ธรรมปฎิบตั ิทางเดินสู่โลกตุ รธรรม” [ป.๒-๘] ๑๗๗ ๕.๒๔ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง“คู่มือการเจริญสติแบบเคล่ือนไหว” [ป.๒-๙] ๑๗๘ ๕.๒๕ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง“คิดแบบพระโสดาบนั ” [ป.๒-๑๐] ๑๗๙ ๕.๒๖ บทสรุปจากวรรณกรรม เรื่อง “บรรลธุ รรมตามหลกั วิชาการ(สมาธิและวปิ ัสสนา๒)” [ป.๒-๑๑] ๑๘๐ ๕.๒๗ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “สนั ติสุขทุกลมหายใจ: วิธีปฏิบตั ิสาหรับคนไมม่ ีเวลา” [ป.๒-๑๒] ๑๘๑ ๕.๒๘ บทสรุปจากวรรณกรรม เรื่อง “สติเคลด็ ลบั มองดา้ นใน” [ป.๒-๑๓] ๑๘๒ ๕.๒๙ บทสรุปจากวรรณกรรม เร่ือง “พ้ืนฐานการทาสมาธิ” [ป.๒-๑๔] ๑๘๓ ๕.๓๐ บทสรุปจากวรรณกรรม เร่ือง“มนุษยเ์ กิดมาทาไม? เล่ม ๑๘ ตอน จบกิจ-จบกรรมสงั สารวฏั ” [ป.๒-๑๕] ๑๘๔ ๕.๓๑ บทสรุปจากวรรณกรรม เร่ือง “มนุษย.์ เกิดมาทาไม ? เล่ม ๑๔ ตอน กรรมฐานลืมตา (ในชีวิตประจาวนั )” [ป.๒-๑๖] ๑๘๕ ๕.๓๒ บทสรุปจากวรรณกรรม เรื่อง เร่ือง “สมถวิปัสสนาแห่งยคุ ปรมาณู” [ป.๒-๑๗] ๑๘๖ ๕.๓๓ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “เรื่องเกี่ยวกบั การปฏิบตั ิธรรมศิลปะอนั จาเป็น สาหรับชีวติ มนุษย”์ [ป.๒-๑๘] ๑๘๗ ๕.๓๔ บทสรุปจากวรรณกรรม เร่ือง “เจริญกรรมฐาน ๗ วนั ไดผ้ ลแน่นอน” [ป.๒-๑๙] ๑๘๘ ๕.๓๕ บทสรุปจากวรรณกรรม เรื่อง “สติเคลด็ ลบั มองดา้ นใน” [ป.๒-๒๐] ๑๘๙ ๕.๓๖ บทสรุปจากวรรณกรรม เรื่อง “วธิ ีฝึกสมาธิวปิ ัสสนา” [ป.๒-๒๑] ๑๙๐ ๕.๓๗ บทสรุปจากวรรณกรรม เร่ือง “อยกู่ บั มาร” [ป.๒-๒๒] ๑๙๐ ๕.๓๘ บทสรุปจากวรรณกรรม เร่ือง “ปฏิบตั ิธรรมใหถ้ ูกทาง : คาถามสาหรับชาวพุทธ (สารวจตวั ก่อนปฏิบตั ิธรรม)” [ป.๒-๒๓] ๑๙๒
ฏ สารบญั ตาราง (ต่อ) ตารางที่ เรื่อง หน้า ๕.๓๙ บทสรุปจากวรรณกรรม เร่ือง “พุทโธ ผรู้ ู้ ผตู้ ื่น ผเู้ บิกบาน” [ป.๒-๒๔] ๑๙๓ ๕.๔๐ บทสรุปจากวรรณกรรม เรื่อง “ดูจิตเพอื่ รู้แจง้ : วธิ ีปฏิบตั ิภาวนาอยา่ งง่ายๆ ดว้ ยการดูจิตในชีวติ ประจาวนั ” [ป.๒-๒๕] ๑๙๔ ๕.๔๑ บทสรุปจากวรรณกรรม เร่ือง เร่ือง “อศั จรรยส์ มาธิพระโพธิสัตวห์ ลวงป่ ูดู่ พรหมปัญโญ” [ป.๒-๒๖] ๑๙๕ ๕.๔๓ บทสรุปจากวรรณกรรม เรื่อง “กรรมฐานจากหลวงป่ ูทวดสู่หลวงป่ ูดู่” [ป.๒-๒๘] ๑๙๖ ๕.๔๔ บทสรุปจากวรรณกรรม เร่ือง “อบรมกรรมฐาน” [ป.๒-๒๙] ๑๙๗ ๕.๔๕ บทสรุปจากวรรณกรรม เรื่อง “วปิ ัสสนาสมาธิภาวนารักษาใจ” [ป.๒-๓๐] ๑๙๘ ๕.๔๖ บทสรุปจากวรรณกรรม เรื่อง “กรรมฐานแกก้ รรมพน้ ทุกขด์ ว้ ยกรรมฐาน” [ป.๒-๓๑] ๑๙๙ ๕.๔๗ บทสรุปจากวรรณกรรม เร่ือง “บริกรรมพทุ โธสมาธิรักษาโรคกาจดั ภยั ” [ป.๒-๓๒] ๒๐๐ ๕. ๔๘ บทสรุปจากวรรณกรรม เรื่อง “คูม่ ือมนุษยฉ์ บบั สมบูรณ์ (วชิ าท่ีวา่ ดว้ ยอะไรเป็นอะไร)” [ป. ๒-๓๓ ] ๒๐๑ ๕.๔๙ บทสรุปจากวรรณกรรม เร่ือง “อดีตกรรม ประสพการณ์..ประสพกรรม” [ป.๒-๓๔] ๒๐๒ ๕.๕๐ บทสรุปจากวรรณกรรม เรื่อง “ธรรมะจากพระไพศาล วสิ าโล” [ป.๒-๓๕] ๒๐๓ ๕.๕๑ บทสรุปจากวรรณกรรม เร่ือง “อตุโล จิต คือ พทุ ธะ เล่ม ๒” [ป.๒-๓๖] ๒๐๔ ๕.๕๒ บทสรุปจากวรรณกรรม เรื่อง “ธรรมะจากพระราชวฒุ าจารย์ (หลวงป่ ูดูลย์ อตุโล)” [ป.๒-๓๗] ๒๐๕ ๕.๕๓ บทสรุปจากวรรณกรรม เร่ือง “สนั ติภาพทุกยา่ งกา้ ว ติช นทั ฮนั ห์” [ป.๒-๓๘] ๒๐๖ ๕.๕๔ บทสรุปจากวรรณกรรม เรื่อง “ปัจจุบนั เป็ นเวลาประเสริฐสุด” [ป.๒-๓๙ ] ๒๐๗ ๕.๕๕ บทสรุปจากวรรณกรรม เรื่อง “สงบ” [ป.๒-๔๐] ๒๐๘ ๕.๕๖ บทสรุปจากวรรณกรรม เรื่อง “สวา่ ง” [ป.๒-๔๑] ๒๐๙ ๕.๕๗ บทสรุปจากวรรณกรรม เรื่อง “กรรมฐาน ๔๐ สมาธิแบบพระพุทธเจา้ ” [ป.๒-๔๒] ๒๑๐ ๕.๕๘ บทสรุปจากวรรณกรรม เรื่อง “นิพพานระหวา่ งวนั ” [ป.๒-๔๓] ๒๑๑ ๕.๕๙ บทสรุปจากวรรณกรรม เรื่อง “ทางเอก” [ป.๒-๔๔] ๒๑๒ ๕.๖๐ บทสรุปจากวรรณกรรม เร่ือง “ผลของจิตภาวนาคือนิพพาน” [ป.๒-๔๕] ๒๑๓ ๕.๖๑ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง“ศิลปะการปฏิบตั ิสมาธิ”[ป.๓-๑] ๒๑๔ ๕.๖๒ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ไมใ่ ช่ก”ู [ป.๓-๒] ๒๑๕ ๕.๖๓ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “จะเสียอะไรถา้ ไดป้ ฏิบตั ิธรรม” [ป.๓-๓] ๒๑๖ ๕.๖๔ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “ทางสายเอก สติปัฏฐานสี่” [ป.๓-๔] ๒๑๗
ฐ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ เร่ือง หน้า ๒๑๘ ๕.๖๕ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ความเขา้ ใจเก่ียวกบั การปฏิบตั ิธรรม” [ป.๓-๕] ๒๑๙ ๒๒๐ ๕.๖๖ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ถึงโสดาบนั ในชาติน้ี” [ป.๓-๖] ๒๒๑ ๒๒๒ ๕.๖๗ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ฝึกจิต ชีวติ เปลี่ยน” [ป.๓-๗] ๒๒๓ ๒๒๔ ๕.๖๘ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “จิตอยสู่ ุข” [ป.๓-๘] ๒๒๕ ๕.๖๙ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ภาวนา เริ่มตน้ ณ กม.๐ ” [ป.๓-๙] ๒๒๖ ๕.๗๐ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “รู้แลว้ ละได”้ [ป.๓- ๑๐] ๒๒๗ ๒๒๘ ๕.๗๑ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง“หายใจใหเ้ ป็น The Tibetan Yoga of Breath” [ป.๓-๑๑] ๒๒๙ ๒๓๐ ๕.๗๒ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “คลายเครียดดว้ ยลมหายใจ เยยี วยาความเครียดดว้ ยวถิ ี ๒๓๑ ๒๓๒ พุทธ” [ป.๓-๑๒] ๒๓๓ ๕.๗๓ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “สติ กญุ แจไขชีวิต” [ป.๓-๑๓] ๒๓๔ ๕.๗๔ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “เร่ืองสติ...ใครวา่ ยาก คาอธิบายสติและการปฏิบตั ิธรรม ๒๓๕ ๒๓๖ ดว้ ยภาษาที่เขา้ ใจง่าย” [ป.๓-๑๔] ๒๓๗ ๒๓๘ ๕.๗๕ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “บรรลุธรรมไดไ้ มต่ ิดรูปแบบ” [ป.๓-๑๕] ๒๓๙ ๒๔๐ ๕.๗๖ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ฆราวาสบรรลุธรรม” [ป.๓-๑๖] ๒๔๑ ๒๔๒ ๕.๗๗ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ชีวติ ไม่ไดม้ ีดา้ นเดียว” [ป.๓-๑๗] ๕.๗๘ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง“วธิ ีปฏิบตั ิธรรมในชีวติ ประจาวนั อยา่ งง่ายๆ”[ป.๓-๑๘] ๕.๗๙ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง“รหสั ลบั บรรลุธรรมแบบเซน” [ป.๓-๑๙] ๕.๘๐ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “ศาสตร์แห่งภาวนาการหลอมรวมพุทธศาสนา กบั ประสาทวทิ ยา” [ป.๓-๒๐] ๕.๘๑ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “อริยทรัพย์ แห่ง ผรู้ ู้แจง้ หลกั ปฏิบตั ิวา่ ดว้ ยสมั มาทิฏฐิ สมั มาภาวนา และสมั มาจริยา” [ป.๓-๒๑] ๕.๘๒ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “จิตดวงสุดทา้ ย” [ป.๓-๒๒] ๕.๘๓ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “เตโชวปิ ัสสนา เปิ ดประตูนิพพาน” [ป.๓-๒๓] ๕.๘๔ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “นิพพานไม่ไกลเกินเอ้ือม” [ป.๓-๒๔] ๕.๘๕ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “กรรมตามสมอง” [ป.๓-๒๕] ๕.๘๖ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ไอนส์ ไตน์พบ พระพุทธเจา้ เห็น” [ป.๔-๑] ๕.๘๗ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “ไอนส์ ไตน์พบ พระพทุ ธเจา้ เห็น II” [ป.๔-๒] ๕.๘๘ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “ทวาร ๖ : ศาสตร์แห่งการรู้ทนั ตนเอง” [ป.๔-๓] ๕.๘๙ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “เดอะท็อปซีเคร็ต” [ป.๔-๔]
ฑ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางท่ี เรื่อง หน้า ๕.๙๐ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “เดอะท็อปพาวเวอร์พลงั จิตใตส้ านึกพลงั สู่ความสาเร็จ” ๒๔๓ [ป.๔-๕] ๒๔๔ ๕.๙๑ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “การปฏิบตั ิสมาธิเพ่อื การเยยี วยาสุขภาพ” ๒๔๕ ๒๔๖ [ป.๔-๖] ๒๔๗ ๒๔๘ ๕.๙๒ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “พทุ ธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวทิ ยาศาสตร์” ๒๔๙ [ป.๔-๗ ] ๒๕๐ ๒๕๑ ๕.๙๓ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง เร่ือง “ธรรมชาติของร่างกายและจิต” [ป.๔-๘] ๒๕๒ ๕.๙๔ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “จิตวทิ ยาของความดบั ทุกข”์ [ป.๔-๙] ๒๕๓ ๕.๙๕ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ชีวติ พระพุทธศาสนา และ วทิ ยาศาสตร์” [ป.๔-๑๐] ๕.๙๖ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ความลบั ของจกั รวาลทางแห่งนิพพาน” [ป.๔-๑๑] ๕.๙๗ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมชาติของสรรพสิ่ง : การเขา้ ถึงความจริงท้งั หมด” [ป.๔-๑๒] ๕.๙๘ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “พระพทุ ธเจา้ พลิกใจ ไอนส์ ไตนพ์ ลิกโลก ” [ป.๔-๑๓] ๕.๙๙ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “พุทธปรัชญา : มองพทุ ธศาสนาดว้ ยทรรศนะทาง วทิ ยาศาสตร์” [ป.๔-๑๔] ๕.๑๐๐ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “ปัญญา” [ป.๔-๑๕]
ฒ สารบญั ภาพ ภาพที่ เร่ือง หน้า ๑ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๖” [ป.๑-๑] ๑๕๔ ๒ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๗” [ป.๑-๒] ๑๕๕ ๓ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๓” [ป.๑-๓] ๑๕๖ ๔ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง ๑๕๗ “สมาธิ:ฐานสู่สุขภาพจิตและปัญญาหยงั่ รู้” [ป.๑-๔] ๑๕๘ ๕ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๕ ” [ป.๑-๕] ๑๕๙ ๖ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๔ ” [ป.๑-๖] ๑๖๐ ๗ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๑ ” [ป๑-๗] ๘ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง ๑๖๑ “วปิ ัสสนากรรมฐานตามรอยพระพุทธองค”์ [ป๑-๘] ๑๖๒ ๙ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง ๑๖๓ “การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากมั มฏั ฐานตามแนวมหาสตปัฏฐาน ๔” [ป๑-๙] ๑๖๔ ๑๐ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๒” [ป๑-๑๐] ๑๖๕ ๑๑ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง ๑๖๖ “สติปัฏฐานส่ีฐานแห่งสติและวธิ ีฝึกสติเพ่ือความพน้ ทุกข”์ [ป๑-๑๑] ๑๒ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “พทุ ธปรัชญาแห่งชีวติ ” [ป.๑-๑๒] ๑๖๗ ๑๓ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง ๑๖๘ ๑๖๙ “กรรมฐานและฌานสมาบตั ิตามรอยพระพุทธองค”์ [ป.๑-๑๓] ๑๔ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง ๑๗๐ ๑๗๑ “มหาสติปัฏฐานสูตรแปล (ฉบบั ปรังปรุง)” [ป๑-๑๔] ๑๕ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “พุทธปรัชญา ๒๕ ศตวรรษ” [ป๑-๑๕] ๑๗๒ ๑๖ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “พระอรหนั ตส์ อนกรรมฐาน” [ป๒-๑] ๑๗ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง ๑๗๓ “การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานตามแนวของหลวงป่ ูมนั่ ภูริทตฺโต” [ป๒-๒] ๑๘ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “อริยสัจ เพ่อื ความหลุดพน้ ” [ป๒-๓] ๑๙ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “คู่มือมนุษย์ ๖ ฉบบั อา่ นง่าย เขา้ ใจง่าย เร่ือง สมาธิและวปิ ัสสนาตามธรรมชาติ (การทาใหร้ ู้แจง้ ตามวธิ ีธรรมชาติ)” [ป๒-๔] ๒๐ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “มนุษย.์ .เกิดมาทาไม? เล่ม ๑๖ ตอน จบ พรหมจรรย์ (กิจอื่นที่พึงกระทายง่ิ ไปกวา่ น้ีไมม่ ี)” [ป๒-๕]
ณ สารบญั ภาพ (ต่อ) ภาพที่ เรื่อง หน้า ๒๑ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “หลวงป่ ูมน่ั ” [ป๒-๖] ๑๗๔ ๒๒ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง ๑๗๕ “มนุษย์ เกิดมาทาไม? เล่ม ๒๐ ตอน โปรดสังสารวฏั ” [ป๒-๗] ๒๓ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง ๑๗๖ “โรดแมพ็ ธรรมปฎิบตั ิทางเดินสู่โลกตุ รธรรม” [ป๒-๘] ๑๗๗ ๒๔ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง ๑๗๘ “คูม่ ือการเจริญสติแบบเคล่ือนไหว” [ป๒-๙] ๑๗๙ ๒๕ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “คิดแบบพระโสดาบนั ” [ป๒-๑๐] ๒๖ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง ๑๘๐ ๑๘๑ “บรรลุธรรมตามหลกั วชิ าการ (สมาธิและวปิ ัสสนา ๒)” [ป๒-๑๑] ๑๘๒ ๒๗ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง ๑๘๓ “สันติสุขทุกลมหายใจ : วธิ ีปฏิบตั ิสาหรับคนไมม่ ีเวลา” [ป๒-๑๒] ๒๘ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “สติเคล็ดลบั มองดา้ นใน” [ป๒-๑๓] ๑๘๔ ๒๙ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “พ้ืนฐานการทาสมาธิ” [ป๒-๑๔] ๓๐ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง ๑๘๕ “มนุษยเ์ กิดมาทาไม? เล่ม ๑๘ ตอน จบกิจ-จบกรรมสงั สารวฏั ” [ป๒-๑๕] ๑๘๖ ๓๑ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง ๑๘๗ “มนุษย.์ เกิดมาทาไม ? เล่ม ๑๔ ตอน กรรมฐานลืมตา (ในชีวติ ประจาวนั )” [ป๒-๑๖] ๑๘๘ ๓๒ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง ๑๘๙ ๑๙๐ “สมถวปิ ัสสนาแห่งยคุ ปรมาณู” [ป๒-๑๗] ๓๓ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “เร่ืองเกี่ยวกบั การ ปฏิบตั ิธรรมศิลปะอนั จาเป็นสาหรับชีวิตมนุษย”์ [ป๒-๑๘] ๓๔ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “เจริญกรรมฐาน ๗ วนั ไดผ้ ลแน่นอน” [ป๒-๑๙] ๓๕ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “หลวงป่ ูชาสอนกรรมฐาน” [ป๒-๒๐] ๓๖ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “วธิ ีฝึกสมาธิวปิ ัสสนา” [ป๒-๒๑] ๓๗ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “อยกู่ บั มาร” [ป๒-๒๒]
ด สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพท่ี เร่ือง หน้า ๓๘ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “ปฏิบตั ิธรรมใหถ้ ูกทาง : คาถามสาหรับ ๑๙๑ ชาวพทุ ธ (สารวจตวั ก่อนปฏิบตั ิธรรม)” [ป๒-๒๓] ๑๙๒ ๓๙ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง ๑๙๓ “พุทโธ ผรู้ ู้ ผตู้ ่ืน ผเู้ บิกบาน” [ป๒-๒๔] ๔๐ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “ดูจิตเพ่ือรู้แจง้ : วธิ ีปฏิบตั ิภาวนาอยา่ ง ๑๙๔ ง่ายๆดว้ ยการดูจิตในชีวติ ประจาวนั ” [ป๒-๒๕] ๑๙๕ ๔๑ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง ๑๙๖ “อศั จรรยส์ มาธิพระโพธิสัตวห์ ลวงป่ ูดู่ พรหมปัญโญ” [ป๒-๒๖] ๑๙๗ ๔๒ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง ๑๙๘ “พทุ ธานุสสติหวั ใจกรรมฐาน” [ป๒-๒๗] ๑๙๙ ๔๓ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง ๒๐๐ “กรรมฐานจากหลวงป่ ูทวดสู่หลวงป่ ูดู่” [ป๒-๒๘] ๔๔ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “อบรมกรรมฐาน” [ป๒-๒๙] ๒๐๑ ๔๕ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง ๒๐๒ “วปิ ัสสนาสมาธิภาวนารักษาใจ” [ป๒-๓๐] ๒๐๓ ๔๖ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง ๒๐๔ ๒๐๕ “กรรมฐานแกก้ รรมพน้ ทุกขด์ ว้ ยกรรมฐาน” [ป๒-๓๑] ๔๗ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “บริกรรมพุทโธสมาธิรักษาโรคกาจดั ภยั ” [ป๒-๓๒] ๔๘ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “คูม่ ือมนุษยฉ์ บบั สมบูรณ์ (วิชาท่ีวา่ ดว้ ยอะไรเป็นอะไร)” [ป๒-๓๓] ๔๙ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “อดีตกรรม ประสบการณ์..ประสพกรรม” [ป๒-๓๔] ๕๐ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั วรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะจากพระไพศาล วสิ าโล” [ป๒-๓๕] ๕๑ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “อตุโล จิต คือ พทุ ธะ เล่ม ๒” [ป๒-๓๖] ๕๒ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะจากพระราชวฒุ าจารย์ (หลวงป่ ูดูลย์ อตุโล)” [ป๒-๓๗]
ต สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพท่ี เรื่อง หน้า ๕๓ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง ๒๐๖ “สันติภาพทุกยา่ งกา้ ว ติช นทั ฮนั ห์” [ป๒-๓๘] ๒๐๗ ๕๔ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง ๒๐๘ ๒๐๙ “ปัจจุบนั เป็ นเวลาประเสริฐสุด” [ป๒-๓๙] ๕๕ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “สงบ” [ป๒-๔๐] ๒๑๐ ๕๖ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “สวา่ ง” [ป๒-๔๑] ๒๑๑ ๕๗ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง ๒๑๒ “กรรมฐาน ๔๐ สมาธิแบบพระพุทธเจา้ ” [ป.๒-๔๒] ๒๑๓ ๕๘ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “นิพพานระหวา่ งวนั ” [ป๒-๔๓] ๒๑๔ ๕๙ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “ทางเอก” [ป๒-๔๔] ๒๑๕ ๖๐ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง ๒๑๖ ๒๑๗ “ผลของจิตภาวนาคือนิพพาน” [ป๒-๔๕] ๖๑ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “ศิลปะการปฏิบตั ิสมาธิ ” [ป๓-๑] ๒๑๘ ๖๒ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรม เร่ือง “ไม่ใช่กู” [ป๓-๒] ๒๑๙ ๖๓ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “จะเสียอะไรถา้ ไดป้ ฏิบตั ิธรรม” [ป๓-๓] ๒๒๐ ๖๔ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรม เร่ือง “ทางสายเอก สติปัฏฐานสี่” [ป๓-๔] ๒๒๑ ๖๕ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรม เรื่อง ๒๒๒ ๒๒๓ “ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การปฏิบตั ิธรรม” [ป๓-๕] ๖๖ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง“ถึงโสดาบนั ในชาติน้ี” [ป๓-๖] ๒๒๔ ๖๗ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรม เร่ือง“ฝึกจิต ชีวติ เปลี่ยน” [ป๓-๗] ๖๘ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรม เรื่อง “จิตอยสู่ ุข” [ป๓-๘] ๒๒๕ ๖๙ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรม เร่ือง “ภาวนา เร่ิมตน้ ณ กม.๐” [ป๓-๙] ๗๐ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง“รู้แลว้ ละได”้ [ป๓-๑๐] ๗๑ แผนที่ความคิด และคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “หายใจใหเ้ ป็น The Tibetan Yoga of Breath” [ป๓-๑๑] ๗๒ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรม เรื่อง “คลายเครียดดว้ ยลมหายใจ เยยี วยาความเครียดดว้ ยวถิ ีพทุ ธ” [ป๓-๑๒]
ถ สารบญั ภาพ (ต่อ) ภาพที่ เรื่อง หน้า ๗๓ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง“สติ กุญแจไขชีวติ ” [ป๓-๑๓] ๒๒๖ ๗๔ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “เร่ืองสติ...ใครวา่ ยาก คาอธิบายสติ ๒๒๗ และการปฏิบตั ิธรรมดว้ ยภาษาที่เขา้ ใจง่าย” [ป๓-๑๔] ๒๒๘ ๗๕ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “บรรลุธรรมไดไ้ มต่ ิดรูปแบบ” [ป๓-๑๕] ๒๒๙ ๗๖ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “ฆราวาสบรรลุธรรม” [ป๓-๑๖] ๒๓๐ ๗๗ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “ชีวติ ไมไ่ ดม้ ีดา้ นเดียว” [ป๓-๑๗] ๗๘ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง ๒๓๑ ๒๓๒ “วธิ ีปฏิบตั ิธรรมในชีวิตประจาวนั อยา่ งง่ายๆ” [ป๓-๑๘] ๗๙ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “รหสั ลบั บรรลุธรรมแบบเซน” [ป๓-๑๙] ๒๓๓ ๘๐ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง ๒๓๔ “ศาสตร์แห่งภาวนาการหลอมรวมพทุ ธศาสนากบั ประสาทวทิ ยา” [ป๓-๒๐] ๒๓๕ ๘๑ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “อริยทรัพย์ แห่ง ผรู้ ู้แจง้ หลกั ปฏิบตั ิวา่ ๒๓๖ ดว้ ยสัมมาทิฏฐิ สัมมาภาวนา และสัมมาจริยา” [ป.๓-๒๑] ๒๓๗ ๘๒ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “จิตดวงสุดทา้ ย” [ป๓-๒๒] ๒๓๘ ๘๓ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง ๒๓๙ “เตโชวปิ ัสสนา เปิ ดประตูนิพพาน” [ป๓-๒๓] ๒๔๐ ๘๔ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “นิพพานไม่ไกลเกินเอ้ือม” [ป๓-๒๔] ๘๕ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “กรรมตามสมอง” [ป๓-๒๕] ๒๔๑ ๘๖ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง ๒๔๒ “ไอน์สไตน์พบ พระพทุ ธเจา้ เห็น” [ป๔-๑] ๒๔๓ ๘๗ แผนท่ีความคิดจากวรรณกรรมเร่ือง“ไอนส์ ไตน์พบ พระพุทธเจา้ เห็น II” [ป๔-๒] ๘๘ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง ๒๔๔ “ทวาร ๖ : ศาสตร์แห่งการรู้ทนั ตนเอง” [ป๔-๓] ๘๙ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง“เดอะทอ็ ปซีเคร็ต” [ป๔-๔] ๙๐ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “เดอะทอ็ ปพาวเวอร์พลงั จิตใตส้ านึก พลงั สู่ความสาเร็จ” [ป๔-๕] ๙๑ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “การปฏิบตั ิสมาธิเพือ่ การเยยี วยา สุขภาพ” [ป๔-๖]
ท สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพท่ี เร่ือง หน้า ๙๒ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “พุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของ วทิ ยาศาสตร์” [ป๔-๗] ๒๔๕ ๙๓ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมชาติของร่างกายและจิต” [ป๔-๘] ๒๔๖ ๙๔ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “จิตวทิ ยาของความดบั ทุกข”์ [ป๔-๙] ๒๔๗ ๙๕ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “ชีวติ พระพทุ ธศาสนา และ วทิ ยาศาสตร์” [ป๔-๑๐] ๒๔๘ ๙๖ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “ความลบั ของจกั รวาลทางแห่งนิพพาน” [ป๔-๑๑] ๒๔๙ ๙๗ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมชาติของสรรพส่ิง : การเขา้ ถึง ความจริงท้งั หมด” [ป๔-๑๒] ๒๕๐ ๙๘ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “พระพุทธเจา้ พลิกใจ ไอนส์ ไตน์พลิกโลก” [ป๔-๑๓] ๒๕๑ ๙๙ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “พทุ ธปรัชญา : มองพุทธศาสนาดว้ ยทรรศนะทางวทิ ยาศาสตร์” [ป.๔-๑๔] ๒๕๒ ๑๐๐ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “ปัญญา” [ป๔-๑๕] ๒๕๓
๑ บทท่ี ๑ บทนำ ควำมสำคัญของปัญหำ ผูศ้ ึกษาวิจยั เริ่มมีความสนใจเรื่องพระพุทธศาสนาอย่างเรียนรู้ในระบบเชิงวิชาการ ในช่วงปี ๒๕๕๕ อยา่ งจริงจงั เหตุผลสาคญั คือ มีความทุกข์ ตลอดระยะเวลาการทางานราชการ ๒๐ ปี ต้งั แต่สาเร็จ การศึกษามีความอยากสร้างความเจริญให้สังคมเป็ นประโยชน์ต่อตวั เองและประโยชน์แก่ผูอ้ ื่น แต่ดว้ ย ปัจจยั แวดล้อมในระบบราชการหลายอย่างทาให้เกิดมิจฉาทิฐิ มีความผิดหวงั เสียใจ ความเศร้า ความ ลม้ เหลว ความไม่กา้ วหนา้ ในหนา้ ท่ีการงาน กว่าจะเขา้ ใจหนทางสวา่ งดว้ ยปัญญาที่เรียกว่า อริยมรรค ๘ และหนทางศาสตร์แห่งการเรียนรู้ไม่มีอะไรมีค่าและยิ่งใหญ่ไปกวา่ การไดร้ ู้เรื่องของพระธรรมคาส่ังสอน ของพระพุทธเจา้ จึงได้เล่าเรียนวิชาพระพุทธศาสนา ซ่ึงตลอดชีวิตท่ีเหลือ หรือจะอีก ๗ ชาติที่เกิดก็ไม่ สามารถเขา้ ใจไดแ้ จ่มแจง้ เร่ืองราวของการมีชีวิตเริ่มตน้ ดาเนินทางกลาง และปลายทาง ลว้ นแต่เรียกวา่ เป็ นทุกข์ ไม่ว่าส่ิงใดทุกข์ท้งั น้นั เม่ือเราเขา้ ใจทุกขลกั ษณะอยา่ งเขม้ ขน้ การเขา้ ใจเรื่องคาสอนของพระ พุทธองคจ์ ึงเป็ นเรื่องท่ีน่าตื่นเตน้ ทา้ ทายการฝึ กจิตภายใน น่าปี ติยินดี วา่ มีหนทางที่ทาให้เราพน้ ทุกข์ได้ จริง อยา่ งนอ้ ยพวกเราท้งั หลายจะมีความทุกข์น้อยลงหากเราทาตามคาสอนของพระพุทธองค์ดว้ ยความ ศรัทธาสูงสุด ดว้ ยความพากเพียร ดว้ ยความต่อเน่ือง สิ่งที่พบคือ เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นหนทางแห่ง ความพน้ ทุกข์ เป็นท้งั ปริยตั ิและปฏิบตั ิ ยงิ่ รู้ยง่ิ ศึกษายง่ิ อยากรู้อยากเขา้ ใจเพิ่มๆไปจนถึง คาวา่ โสดาบนั ได้ ในชาติน้ีหรืออีก ๗ ชาติท่ีจะถึงขา้ งหน้า ที่สุดของหนทางพน้ ทุกข์ คือ การศึกษาเขา้ ใจ เรื่อง มหาสติปัฏ ฐาน ๔ เท่าน้นั ดว้ ยท้งั ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบตั ิ ยิ่งมีความเขา้ ใจภายในเท่าใดโลกภายนอกย่อมเป็ นไป ตามโลกภายในกายจิตเวทนาธรรม ความศรัทธา การฝึกฝน ความต่อเนื่อง การเรียนรู้อยา่ งเป็ นหลกั วชิ าการ เป็นขอ้ คน้ พบสูงสุดยงิ่ กวา่ ศาสตร์ใดบนโลกน้ี พระไตรปิ ฎกภำษำไทย ฉบับมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย๑ (๒๕๓๙ : ๓๐๑) พระสุตตนั ตปิ ฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๑๐ มหาสติปัฏฐานสูตร การเจริญสติปัฏฐาน สูตรใหญ่ ขา้ พเจา้ ไดส้ ดบั มาอยา่ งน้ี สมยั หน่ึงพระผมู้ ีพระภาคประทบั อยู่ ณ นิคมของชาวกรุ ุ ช่ือกมั มาธมั มะ แควน้ กุรุ ณ ท่ีน้นั แล พระผมู้ ีพระ ภาครับสั่งเรียกภิกษุท้งั หลายมาตรัสว่า “ภิกษุท้งั หลาย” ภิกษุเหล่าน้นั ทูลรับสนองพระดารัสแลว้ พระผูม้ ี พระภาคเจา้ จึงตรัสเรื่องน้ี วา่ ดูก่อนภิกษุท้งั หลาย ทางน้ีเป็ นทางเดียว เพื่อความบริสุทธ์ิของเหล่าสัตว์ เพ่ือ ล่วงโสกะและปริเทวะ เพื่อดบั ทุกขแ์ ละโทมนสั เพื่อบรรลุญายธรรม เพ่ือทาใหแ้ จง้ พระนิพพาน ทางน้ี คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ สติปัฏฐาน ๔ ประการ อะไรบา้ ง คือ ภิกษุในธรรมวินยั น้ี ๑) พิจารณาเห็นกายใน กายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชญั ญะ มีสติ กาจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได้ ๒) พิจารณาเห็นเวทนาใน เวทนาท้งั หลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชญั ญะ มีสติ กาจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได้ ๓) พิจารณาเห็น ๑ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๓๗๒/๓๐๑
๒ จิตในจิตอยู่ มีความเพยี ร มีสมั ปชญั ญะ มีสติ กาจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได้ ๔) พิจารณาเห็นธรรมใน ธรรมท้งั หลายอยู่ มีความเพียร มีสมั ปชญั ญะ มีสติ กาจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได้ พระพรหมคุณำภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ๒ (๒๕๕๓ : ๑๔๑) ใหค้ วามหมาย สติปัฏฐาน ๔ หมายถึง ท่ีต้งั ของสติ การต้งั สติกาหนดพจิ ารณาสิ่งท้งั หลายใหร้ ู้เห็นตามความเป็นจริง คือ ตามท่ีส่ิงน้นั ๆ มนั เป็นของมนั เอง (Foundations of Mindfulness) ดงั ต่อไปน้ี ๑) กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การต้งั สติกาหนด พิจารณากายให้รู้เห็นตามเป็ นจริง ว่า เป็ นเพียงกาย ไม่ใช่สัตวบ์ ุคคลตวั ตนเราเขา (Contemplation of the Body; Mindfulness as Regards the Body) ท่านจาแนกปฏิบตั ิไวห้ ลายอย่าง คือ อานาปานสติ กาหนดลม หายใจ ๑ อิริยาบถ กาหนดรู้ทนั อิริยาบถ ๑ สัมปชญั ญะ สร้างสัมปชญั ญะในการกระทาความเคล่ือนไหวทุก อย่าง ๑ ปฏิกูลมนสิการ พิจารณาส่วนประกอบอนั ไม่สะอาดท้งั หลายที่ประชุมเขา้ เป็ นร่างกายน้ี ๑ ธาตุ มนสิการ พิจารณาเห็นร่างกายของตนโดยสักว่าเป็ นธาตุแต่ละอย่างๆ ๑ นวสีวถิกา พิจารณาซากศพใน สภาพต่างๆ อนั แปลกกนั ไปใน ๙ ระยะเวลา ให้เห็นคติธรรมดาของร่างกาย ของผูอ้ ่ืนเช่นใด ของตนก็จกั เป็ นเช่นน้นั ๑ ๒) เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การต้งั สติกาหนดพิจารณาเวทนา ให้รู้เห็นตาม เป็ นจริงว่า เป็ นแต่เพียงเวทนา ไม่ใช่สัตวบ์ ุคคลตวั ตนเราเขา (Contemplation of Feelings; Mindfulness as Regards Feelings) คือ มีสติรู้ชัดเวทนาอันเป็ นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เฉยๆ ก็ดี ท้งั ท่ีเป็ นสามิส และเป็ นนิรา มิสตามท่ีเป็นไปอยใู่ นขณะน้นั ๆ ๓) จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การต้งั สติกาหนดพิจารณาจิต ให้ รู้เห็นตามเป็ นจริงวา่ เป็ นแต่เพียงจิต ไม่ใช่สัตวบ์ ุคคลตวั ตนเราเขา (Contemplation of Mind; Mindfulness as Regards Thoughts) คือ มีสติรู้ชดั จิตของตนท่ีมีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ เศร้าหมองหรือผ่องแผว้ ฟุ้งซ่านหรือเป็ นสมาธิ ฯลฯ อย่างไรๆ ตามท่ีเป็ นไปอยู่ในขณะน้นั ๆ ๔) ธัมมา นุปัสสนา สติปัฏฐาน หมายถึง การต้งั สติกาหนดพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตามเป็ นจริงวา่ เป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่สัตวบ์ ุคคลตวั ตนเราเขา (Contemplation of Mind-objects; Mindfulness as Regards Ideas) คือ มีสติรู้ ชดั ธรรมท้งั หลาย ไดแ้ ก่ นิวรณ์ ๕ ขนั ธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โพชฌงค์ ๗ อริยสัจ ๔ วา่ คืออะไร เป็ นอยา่ งไร มี ในตนหรือไม่ เกิดข้ึน เจริญบริบูรณ์ และดบั ไปไดอ้ ยา่ งไร ตามที่เป็นจริงของมนั อยา่ งน้นั ๆ. สุชีพ ปุญญำนุภำพ๓ (๒๕๕๐ : ๓๓๖)กล่าวถึง มหาสติปัฏฐานสูตร สูตรวา่ ดว้ ยการต้งั สติอยา่ งใหญ่ พระผมู้ ีพระภาคประทบั ณ นิคม ชื่อกมั มาธมั มะ แควน้ กรุ ุ ตรัสสอนพระภิกษุท้งั หลายวา่ หนทางเป็ นท่ีไป อนั เอกเพื่อความบริสุทธ์ิของสัตว์ เพ่ือก้าวล่วงความโศก ความคร่าครวญ เพ่ือให้ความทุกข์กายทุกข์ใจ ต้งั อยู่ไม่ได้ เพ่ือบรรลุธรรมที่ถูกตอ้ ง เพ่ือทาให้แจง้ พระนิพพาน คือ การต้งั สติ ๔ อย่างไดแ้ ก่ ๑)ต้งั สติ พิจารณากายในกาย (กายส่วนยอ่ ยในกายส่วนใหญ่) ๒)ต้งั สติพิจารณาเวทนาในเวทนา(ความรู้สึกอารมณ์ ส่วนยอ่ ยในความรู้สึกอารมณ์ส่วนใหญ่) ๓)ต้งั สติกาหนดพิจารณาจิตในจิต (จิตส่วนยอ่ ยในจิตส่วนใหญ่ ๒พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต). ๒๕๕๓. พจนำนุกรมพทุ ธศำสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม. โรงพิมพเ์ พ่มิ ทรัพยก์ ารพมิ พ์ : นนทบุรี. พิมพค์ ร้งั ที่ ๑๘. หนา้ ๑๔๑. ๓สุชีพ ปุญญานุภาพ. พระไตรปิ ฏกสำหรับประชำชน. ๒๕๕๐. มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั : กรุงเทพ. พิมพค์ ร้ังที่ ๑๗. หนา้ ๓๓๖-๓๓๗.
๓ คือ จิตดวงใดดวงหน่ึง ในจิตท่ีเกิดข้ึนดบั ไปมากดวง) ๔)ต้งั สติกาหนดพิจารณาธรรมในธรรม (ธรรม ส่วนยอ่ ยในธรรมส่วนใหญ่) ดงั ต่อไปน้ี ๑) กำรพิจำรณำกำยในกำย แบ่งเป็ น ๖ ส่วน ๑)พิจารณากาหนด ลมหายใจเข้าออก(อานาปานบรรพ) ๒) พิจารณาอิริยาบถ เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน (อิริยาปนบรรพ) ๓) พิจารณารู้ตวั ในความเคล่ือนไหวต่างๆ เช่น กา้ วไป กา้ วมา คูแ้ ขน เหยยี ดแขน กิน ดื่ม (สัมปชญั ญบรรพ) ๔) พิจารณาในความน่าเกลียดของร่างกาย แบ่งออกเป็ นส่วนยอ่ ยต่างๆ มี ผม ขน (ปฏิกูลมนสิการบรรพ) ๕) พิจารณาร่างกายโดยความเป็ นธาตุ (ธาตุบรรพ) ๖) พิจารณาร่างกายท่ีเป็ นศพ ลกั ษณะต่างๆ ๙ อย่าง (นวสีวถิกาบรรพ) ๒) กำรพจิ ำรณำเวทนำ (ความรู้สึกอารมณ์) ๙ อยา่ ง แบง่ เป็ น ๑.สุข ๒.ทุกข์ ๓.ไม่ทุกข์ ไม่สุข ๔.สุขประกอบดว้ ยอามิส(เหยื่อล่อมีรูป เสียง ) ๕.สุขไม่ประกอบดว้ ยอามิส ๖.ทุกข์ประกอบดว้ ย อามิส ๗.ทุกขไ์ มป่ ระกอบดว้ ยอามิส ๘.ไมท่ ุกขไ์ ม่สุขประกอบดว้ ยอามิส ๙.ไม่ทุกขไ์ มส่ ุขไม่ประกอบดว้ ย อามิส ๓) กำรพิจำรณำจิต ๑๖ อย่าง แบ่งเป็ น ๑.จิตมีราคะ ๒.จิตปราศจากราคะ ๓.จิตมีโทสะ ๔.จิต ปราศจากโทสะ ๕.จิตมีโมหะ ๖.จิตปราศจากโมหะ ๗.จิตหดหู่ ๘.จิตฟุ้งซ่าน ๙.จิตใหญ่(จิตในฌาน) ๑๐. จิตไม่ใหญ่(จิตไม่ถึงฌาน) ๑๑.จิตมีจิตอ่ืนยง่ิ กวา่ ๑๒.จิตไม่มีจิตอ่ืนยิง่ กวา่ ๑๓.จิตต้งั มน่ั ๑๔.จิตไม่ต้งั มน่ั ๑๕.จิตหลุดพน้ ๑๖.จิตไม่หลุดพน้ ๔) กำรพิจำรณำธรรมในธรรม ๕ ส่วน แบ่งเป็ น ๑)พิจารณาธรรมท่ี กล้นั จิตไม่ให้บรรลุสมาธิ เรียกวา่ นิวรณ์ ๕ (นีรวรรณบรรพ) ๒)พิจารณาขนั ธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ (ขนั ธบรรพ) ๓) พิจารณาอายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะบรรพ) ๔) พิจารณาธรรมท่ีเป็ นองคแ์ ห่งการตรัสรู้ ๗ เรียกวา่ โพชฌงค์ (โพชฌงคบ์ รรพ) ๕) พิจารณาอริยสัจ ๔ (สัจ จบรรพ) อน่ึงการพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ท้งั ส่ีขอ้ น้ี นอกจากมีรายการพิเศษดงั กล่าวมาแลว้ ยงั มี รายการพิจารณาท่ีตรงกนั อีก ๖ ประการ คือ ๑)ท่ีอยภู่ ายใน ๒)ท่ีอยภู่ ายนอก ๓)ท่ีอยทู่ ้งั ภายในภายนอก ๔) ท่ีมีความเกิดข้ึนเป็ นธรรมดา ๕)ที่มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ๖)ท่ีมีความเกิดข้ึนและเสื่อมไปเป็นธรรมดา ๕) อำนิสงส์ สติปัฏฐำน คร้ันแล้วทรงสรุปผลการปฏิบตั ิ ในการต้งั สติ ๔ อย่างน้ีว่า จะเป็ นเหตุให้ได้ บรรลุผลอย่างใดอย่างหน่ึง คือ บรรลุอรหัตผลในปัจจุบนั ถ้ายงั มีเช้ือเหลือ ก็จะไดบ้ รรลุความเป็ นพระ อนาคามี (ผไู้ มก่ ลบั มาเกิดอีกในโลกน้ีอีก) ภายใน ๗ ปี หรือลดลงโดยลาดบั ถึงภายใน ๗ วนั ผูศ้ ึกษาวิจยั จบหลกั สูตรพระพุทธศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั โดยเห็นว่าเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นทางสายเอกที่จะนาไปสู่หนทางพน้ ทุกข์ จึงศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง “การสังเคราะห์วิทยานิพนธ์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ระหวา่ งปี พุทธศกั ราช ๒๕๔๐–๒๕๕๕” วตั ถุประสงค์ ๑)เพ่ือรวบรวมและ ประมวลสาระความรู้แนวทางปฏิบัติเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ๒)เพื่อวิเคราะห์แนวทางปฏิบัติเรื่อง มหาสติปัฏฐาน ๔ ๓)เพ่ือสังเคราะห์แนวทางปฏิบตั ิเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นการวิจยั เชิงคุณภาพจาก การศึกษาเอกสารงานวิทยานิพนธ์เก่ียวกบั มหาสติปัฏฐาน ๔ ช่วงเวลาระหว่างปี พุทธศกั ราช ๒๕๔๐– ๒๕๕๕ จากงานวทิ ยานิพนธ์สู่งานวจิ ยั
๔ ดังน้ัน เพ่ือเป็ นการต่อยอดองค์ความรู้จากงานวิทยานิพนธ์ของผูว้ ิจยั จะเห็นได้ว่า เรื่องมหา สติปัฏฐาน ๔ หากไม่มีกรอบในรูปแบบงานวิทยานิพนธ์ ถา้ เป็ นลกั ษณะวรรณกรรมในยุคปัจจุบนั จะมี การอธิบายความเป็นลกั ษณะอยา่ งไรโดยเฉพาะเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ อธิบายจากวรรณกรรมเป็ นลกั ษณะ อยา่ งไร เน่ืองจากงานวรรณกรรมเกี่ยวกบั เร่ืองมหาสติปัฏฐาน มีมากมายในปัจจุบนั มีความต่างกนั ข้ึนอยู่ กบั คาอธิบายความของผเู้ ขียน โดยการตีความหมายต่างกนั ข้ึนอยกู่ บั ความเขา้ ใจหรือมุมมองของการใหก้ าร ตีความหมายและความเขา้ ใจ ต่างจากงานในวรรณกรรมในอดีต ที่เต็มไปดว้ ยภาษาบาลี และที่สาคญั คือ ยุคสมยั เปลี่ยนแปลงไป ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากมายในชีวิตปัจจุบนั การอธิบายความหมาย วิธีการ และความรู้ความเข้าใจ จะเป็ นลักษณะการบูรณาการศาสตร์สมยั ใหม่ให้เพ่ิมเติมเขา้ ใจในเชิง วทิ ยาศาสตร์ ยอ่ มทาใหค้ าสอนของพระพทุ ธเจา้ เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ อธิบายความต่างกนั ไปความรู้ความ เขา้ ใจแตกต่างกนั ไป เพื่อให้มนุษยใ์ นปัจจุบนั มีความเขา้ ใจในทุกข์ และหาทางออกทุกข์ได้ โดยอาศยั หลกั การมหาสติปัฏฐาน ๔ ตามเน้ือหาสาระแบบดง่ั เดิมแต่วิธีการถ่ายทอดแบบยุคปัจจุบนั ผูว้ ิจยั จึงเห็นวา่ การศึกษาวรรณกรรมต่าง ๆ ยคุ ปัจจุบนั จึงเป็ นสิ่งท่ีส่งผลต่อความรู้ความเขา้ ใจพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะ เรื่อง มหาสติปัฏฐาน ๔ คือ วธิ ีการอยา่ งไร ทาใหพ้ น้ จากทุกข์ ตอ้ งเป็นอยา่ งไร ผูว้ ิจยั มีความสนใจความรู้เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ สืบเนื่องจากงานวิทยานิพนธ์ แลว้ นาไปสู่การ สังเคราะห์งานหนังสือวรรณกรรมปัจจุบันต่อไป เป็ นท่ีมาของปัญหางานวิจัย โดยกระบวนอธิบาย ความหมายการไดม้ าซ่ึงความรู้ ความเหมือนความแตกต่างเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จากงานวรรณกรรมยุค ปัจจุบันเป็ นแกนหลักท่ีจะนามาสู่สร้างคุณค่าทางปัญญาพระพุทธศาสนา นาวรรณกรรมปัจจุบนั มา รวบรวม เรียบเรียงประสานกนั ไดอ้ ยา่ งเป็ นระบบเชิงการวเิ คราะห์และสงั เคราะห์ สร้างเกิดความบูรณาการ องคค์ วามรู้เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เพ่ือใหไ้ ดค้ าอธิบายเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ในมุมมองที่แตกต่างกนั ไป เพ่อื เป็นประโยชน์ทางจิตใจความดีและวญิ ญาณของความเป็นคน ท่ีมีสติเป็นฐาน นาไปสู่การปฏิบตั ิที่ดีต่อ สงั คม โดยมีหลกั การคาสอนของพระพุทธเจา้ นาทางไปสู่หนทางพน้ ทุกข์ ต่อไป วตั ถุประสงค์ของกำรวจิ ัย ๑. เพื่อรวบรวมและประมวลสาระความรู้จากวรรณกรรมเร่ืองสติปัฏฐาน ๔ ๒. เพ่อื วเิ คราะห์องคค์ วามรู้จากวรรณกรรมเร่ืองสติปัฏฐาน ๔ ๓. เพ่ือศึกษาสงั เคราะห์องคค์ วามรู้จากวรรณกรรมเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ขอบเขตของกำรวจิ ัย ด้ำนสำระ กาหนดเน้ือหาสาระเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ในงานวรรณกรรมต่างๆ ไดแ้ ก่ ๑) กรอบแนวทางการวิเคราะห์สังเคราะห์ตอ้ งมีเน้ือหาเชื่อมโยงเกี่ยวขอ้ งกบั สติปัฏฐาน ๔ จาก พระสูตรมหาสติปัฏฐาน ๔ ในพระไตรปิ ฎกของมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ที.ม.(ไทย) ๑๐/ ๓๗๒/๓๐๑ เป็นกรอบหลกั เบ้ืองตน้
๕ ๒) หนังสือที่เกี่ยวข้องสาหรับการทบทวนวรรณกรรม แนวคิดทฤษฏีที่เก่ียวขอ้ ง ได้แก่ งาน วิทยานิพนธ์ระดบั ปริญญาโทและปริญญาเอก โดยประเด็นสร้างกรอบแนวคิดทฤษฎี สร้างเรื่องระเบียบ วิธีการวิจยั สร้างเน้ือสาระทาการศึกษาคดั เลือกวรรณกรรม สาหรับงานวิจยั (๓) การคดั เลือกประชากร และกลุ่มตวั อยา่ ง คือ วรรณกรรมยคุ ปัจจุบนั เก่ียวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ด้ำนระยะเวลำ ศึกษาคดั เลือกผลงานวรรณกรรมท่ีตีพิมพ์เกี่ยวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ โดยนา หนงั สือวรรณกรรมการพิมพค์ ร้ังที่ล่าสุดในปี ทางานวิจยั ปัจจุบนั คือ ๒๕๕๙ ยอ้ นเวลาไป ๑๐ ปี ใหค้ วาม หมายถึงวรรณกรรมยุคปัจจุบนั โดยเร่ิมระยะเวลาเกิดข้ึนของหนังสือวรรณกรรมระหว่าง ๒๕๔๙ ถึง ๒๕๕๙ (๑๐ ปี ) และการเผยแพร่และตีพิมพเ์ ป็นวรรณกรรมเรื่องท่ีเก่ียวกบั มหาสติปัฏฐาน ๔ ประโยชน์ทคี่ ำดว่ำจะได้รับ ๑. เพ่ือทราบลกั ษณะความรู้และองคค์ วามรู้ดา้ นมหาสติปัฏฐาน ๔ ในลกั ษณะงานวรรณกรรมยคุ ปัจจุบนั ในประเทศไทย ๒. เพ่อื ทราบการพฒั นาแนวทางการบูรณาการองคค์ วามรู้ดา้ นมหาสติปัฏฐาน ๔ กบั ศาสตร์สมยั ใหม่ ๓. เพ่ือนาขอ้ มูลจากงานวิจยั ที่ได้ไปบูรณาการเพ่ือเรียบเรียงเป็ นจดั ทาเป็ นหนังสือส่งสานักพิมพ์เพื่อ จาหน่ายตอ่ ไป เป็นการสร้างใหผ้ คู้ นมีภาวะทางจิตใจอยา่ งมีสติ เป็นแนวทางปฏิบตั ิ นิยำมศัพท์ มหำสติปัฏฐำน ๔ หมายถึง ท่ีต้งั ของสติกาหนดพิจารณาส่ิงท้งั หลายให้รู้เห็นตามความเป็ นจริง ประกอบดว้ ย ๑)กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การต้งั สติกาหนดพิจารณากาย ๒)เวทนานุปัสสนาสติ ปัฏฐาน หมายถึง การต้งั สติกาหนดพิจารณาเวทนา ๓)จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การต้งั สติ พิจารณาจิต ๔)ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การต้งั สติพิจารณาธรรม โดยนาเน้ือหาสาระตาม พระไตรปิ ฎกฉบบั ภาษาไทยของมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั มาเป็นกรอบสงั เคราะห์จากงาน วทิ ยานิพนธ์ กำรสังเครำะห์ หมายถึง การนางานวรรณกรรมเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ในยุคปัจจุบนั โดยนามา รวบรวม ประมวลสาระ จาแนก วิเคราะห์ และสังเคราะห์ คน้ หาความสอดคล้องและความแตกต่าง ใน แนวคิด หลกั การ และวธิ ีการ วรรณกรรม หมายถึง หนงั สือวรรณกรรมปัจจุบนั เกี่ยวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ผเู้ ขียนไดเ้ ขียน หรือเป็ นผูร้ วบรวม เรียบเรียง หมายถึง ช่วงระยะเวลาระหวา่ ง ๑๐ ปี ยอ้ นหลงั ไปจากปัจจุบนั คือ ระหวา่ ง ปี ๒๕๔๙-๒๕๕๙
๖ บทที่ ๒ กำรตรวจเอกสำร การตรวจเอกสารงานวิจยั เร่ือง กำรสังเครำะห์วรรณกรรมเรื่องมหำสติปัฏฐำน ๔ ผูว้ ิจยั ดาเนิน งานวิจยั สารวจเอกสารเกี่ยวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากงานวรรณกรรมตามที่ไดจ้ ดั พิมพป์ ี ระหวา่ งปี ๒๕๕๐–๒๕๕๙ (๑๐ ปี ) เพ่ือนามาเป็ นประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ในการสังเคราะห์วรรณกรรม ส่วน แนวคิดทฤษฎี และผลงานวิจยั ที่เก่ียวขอ้ ง โดยเป็ นการเน้นลกั ษณะการศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรมในยุค ปัจจุบันและสาระเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ตามหลักการทางานวิจยั เชิงวิชาการ โดยผสมผสานงาน พระพุทธศาสนาในรูปแบบวรรณกรรมประเภทหนงั สือ ตามร้านหนงั สือทวั่ ไปเป็ นหลกั ซ่ึงถือวา่ เป็ นการ เขา้ ถึงวรรณกรรมยคุ ปัจจุบนั โดยเนน้ นาสาระเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ มาศึกษาสาระ สาหรับการทบทวน เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง ดงั ต่อไปน้ี ๑) แนวคิด ทฤษฎี วรรณกรรมปัจจุบนั ๒) แนวคิด ทฤษฎี ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั เพ่อื สร้างทฤษฎี และ ๓) ผลงานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง แนวคิดและทฤษฎี กำรวจิ ำรณ์วรรณกรรมปัจจุบนั วิทย์ ศิวะศริยำนนท์ ๔ (๒๕๓๑) ให้ความหมาย กำรวิจำรณ์ คือ การพิจารณาลกั ษณะของบท ประพนั ธ์ แยกแยะส่วนประกอบที่สาคญั และหยิบยกออกมาแสดงว่าไพเราะงดงามเพียงไร วิเคราะห์ ความหมายของบทประพนั ธ์ ถา้ ความหมายซอ้ นเร้นอยใู่ ชป้ ัญญาหยงั่ ไปใหเ้ ห็นทะลุปรุโปร่งและแสดงให้ เห็นตาม ถา้ ความหมายกระจดั กระจายอยู่ พยายามปะติดปะต่อให้เป็ นรูปเป็ นเคา้ พอที่ผูอ้ ่านจะเขา้ ใจได้ แสดงหลกั ศิลปะและแนวความคิดของผูป้ ระพนั ธ์ซ่ึงเป็ นแนวทางในการแต่งหนังสือน้ัน นอกจากน้ัน จะตอ้ งเผยใหเ้ ห็นความสัมพนั ธ์ระหวา่ งส่วนประกอบต่าง ๆ ของงานน้นั และช้ีให้เห็นดว้ ยวา่ แต่ละส่วนมี ความสาคญั ต่อส่วนรวมเพียงไร รวมความว่าการวิจารณ์ คือ การแสดงให้เห็นว่าหนังสือน้ันมีลกั ษณะ อย่างไร ท้งั ในส่วนเน้ือเร่ือง ความคิดความเห็น และทานองแต่ง เม่ือได้อธิบายลกั ษณะของหนังสือให้ ผอู้ า่ นเขา้ ใจแลว้ จึงวนิ ิจฉยั ไปวา่ หนงั สือน้นั ไม่ดีอยา่ งไร ควรจดั ไวใ้ นช้นั ไหน ร่ืนฤทัย สัจจพันธ์ุ๕ (๒๕๔๗) กำรศึกษำวรรณกรรมปัจจุบัน คือ การวิเคราะห์ศิลปะการแต่ง หนงั สือ ไดแ้ ก่ การผูกเร่ือง กลวิธีการเสนอเรื่องและสานวนภาษา ศึกษาความคิดท้งั ที่จงใจและที่แฝงเร้น อย่างมีศิลปะเพื่อให้ผูอ้ ่านไดร้ ับทราบ หลกั จากอ่านวเิ คราะห์แลว้ ผศู้ ึกษายงั ควรจะบอกกล่าวให้ผอู้ ่ืนได้ ร่วมรู้โดยช้ีให้เห็นขอ้ ดีเด่นและจุดบ่อพร่อง คือ การวิจารณ์ ยงั แสดงความคิดให้ชดั เจน โดยเฉพาะเสนอ ภาพให้คมชดั ดว้ ยการเปรียบเทียบกบั งานเขียนในลกั ษณะเดียวกนั เล่มอ่ืนๆ นอกจากน้ีผูศ้ ึกษาตอ้ งทาตวั ๔ วทิ ย์ ศิวะศริยานนท์. ๒๔๓๑.วรรณคดแี ละวรรณคดวี จิ ำรณ์. บริษทั โรงพมิ พไ์ ทยวฒั นาพานิช จากดั กรุงเทพฯ. พมิ พค์ ร้ังที่ ๑. ๕ รื่นฤทยั สจั จพนั ธุ.์ ๒๕๔๗. วรรณกรรมปัจจบุ นั . สานกั พิมพม์ หาวทิ ยาลยั รามคาแหง : กรุงเทพฯ . พมิ พค์ ร้ังท่ี ๑๔.
๗ ประหน่ึงเป็นผสู้ ังเกตการณ์ตลาดหนงั สือของบา้ นเรา สามารถบอกไดว้ า่ แนวโนม้ วรรณกรรมในปัจจุบนั น้ี เป็ นอยา่ งไร นิยามวรรณกรรมประเภทใด เพราะเหตุใด อะไรเป็ นปัจจยั สาคญั ในการกาหนดแนวโนม้ ของ วรรณกรรมปัจจุบนั สภาพสงั คมปัจจุบนั ท่ีมีอิทธิพลต่อวรรณกรรมปัจจุบนั แนวคิดทฤษฎรี ะเบียบวธิ ีวจิ ัย เพ่ือสร้ำงทฤษฎี แสวง รัตนมงคลมำศ๖ (๒๕๓๘) ควำมหมำยของศำสตร์ (Science) ไดก้ ล่าววา่ ศำสตร์ คือ องค์ ความรู้ (A Body of Knowledge) หรือเป็นความรู้ที่ไดจ้ ดั เป็ นระบบ (A Systematic Knowledge) ซ่ึงเป็ นองค์ ความรู้ที่อาจได้รับจากประสบการณ์และบทเรียน หรือไดร้ ับจากการศึกษา ถ่ายทอด ความรู้ท่ีไดร้ ับจาก ประสบการณ์บทเรียน จะเน้นความรู้ในด้านขอ้ เท็จจริงรูปธรรม (Factual-Concrete Knowledge) ส่วน ความรู้ที่ไดจ้ ากการศึกษาถ่ายทอดจะเนน้ ความรู้ในดา้ นนามธรรม-กฎเกณฑ์ (Abstract-Rule) สรุปไดว้ ่า “ควำมรู้” มี ๒ ดา้ น ดงั น้ี ๑.ควำมรู้ในข้อเท็จจริงรูปธรรม (Factual-Concrete) คือความรู้ในเชิงประจกั ษ์ สามารถสังเกตได้ (Observable) สัมผสั ได้หรือวดั ได้(Measurable) ซ่ึงเป็ นความรู้ที่ไดจ้ ากประสบการณ์ หรือไดจ้ ากการเรียนรู้ก็ได้ ตวั อยา่ ง ทอ้ งฟ้ามืดคร้ึม ปกคลุมดว้ ยเมฆดาทมึน มีฟ้าแลบและเสียงฟ้าร้องจะ เป็ นสัญญาณว่าฝนจะตก ๒.ควำมรู้ในเชิงนำมธรรม-กฎเกณฑ์ (Abstract-Rule) คือ ความรู้ทางด้าน ความคิด (Idea) ท่ีเช่ือมโยงโดยอิงระบบตรรกะ (Reasoning) หรือเป็ นเพียงความคิดด้านจินตนาการที่ เช่ือมโยงกนั ดว้ ยระบบตรรกะ เป็ นระบบเหตุผล ความโนม้ เอียงของความรู้ในดา้ นน้ีจะไดม้ าจากการศึกษา เป็นหลกั ตวั อยา่ ง ความยากจน เกิดจากการกดข่ี เกิดจากศกั ดินาจกั รวรรดินิยมอีกแง่มุมหน่ึงของความรู้ ไม่ วา่ จะเป็ นความรู้เชิงนามธรรม-กฎเกณฑ์ หรือรูปธรรมที่เก่ียวขอ้ งกบั ระเบียบวิธีวิทยา (Methodology of Science) หมายถึงการได้มาซ่ึงองค์ความรู้น้ัน (Concept Behind Tools) เพราะถา้ ไม่ยอมรับที่มาขององค์ ความรู้น้ัน ศาสตร์น้ันก็จะไม่เป็ นที่ยอมรับ เมื่อศาสตร์ประกอบไปดว้ ยความรู้ท้งั ๒ ด้าน ดงั ที่กล่าว มาแลว้ จึงมีความสาคญั ต่อกนั เมื่อขาดดา้ นใดดา้ นหน่ึงจะเป็ นความรู้ที่ไม่สมบูรณ์ ดงั ท่ีกล่าวว่า “ถ้ำเรำรู้ เพียงรูปธรรม แต่ไม่รู้นำมธรรม-กฎเกณฑ์ ก็เหมือนเรำตำบอด”(Perception without Conception is Blind) ผ้ศู ึกษาวิจัย ได้เคยเรียนกับท่านอาจารย์แสวง ท่านได้แนะนาถึงการถอดรูปธรรม นามธรรม ใน เร่ืองของงานระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์ จึงทาให้เกิดความคิดต่อยอดว่าได้อย่างเห็นภาพ ซ่ึงเป็ นความ เหมือนปริยตั ิ และปฏิบัติ ทางวิชาพระพุทธศาสนา ท่ีต้องมที ้ังสองแนวทางควบคู่กันเพื่อให้ถึงปัญญาเรื่อง ศึกษา เป็ นเรื่องถูกต้องที่สุด ย่ิงทาให้อยากรู้ว่า นามธรรม สูงสุดทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า นิพพาน หรือ คือ ความว่างเปล่า ท่ีไม่มีนามสมมุติ จะเรียกว่า ความว่างเปล่า เป็ นความยากอย่างย่ิงในการนาวิชา พระพุทธศาสนาเป็ นการอธิบายความเชิงสาระวิชาการ ให้ ได้ตามอย่างเทียบเคียงแนวคิด ทฤษฎี ทาง วิชาการ ๖ แสวง รัตนมงคลมาศ . ทฤษฎสี ังคม. ๒๕๓๘.คณะพฒั นาสงั คม . สถาบนั บณั ฑิตพฒั นบริหารศาสตร์ (เอกสารอดั ลาเนา).
๘ ผลงำนวจิ ัยท่เี กย่ี วข้อง พระมหำสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร๗ (๒๕๔๘) ไดศ้ ึกษาเรื่อง ''วรรณกรรมพระพุทธศำสนำในสังคมยุค ใหม่'' การศึกษาวรรณกรรมพระพุทธศาสนาต้งั แต่สังคมไทยเขา้ สู่ยุคใหม่จนถึงปัจจุบนั ตลอดถึงงาน วรรณกรรมของชาวต่างประเทศบางชิ้นที่เกิดข้ึนในช่วงหลงั สงครามโลกคร้ังที่ ๒ ได้คาตอบเกี่ยวกับ แนวโนม้ วรรณกรรมที่หลากหลายพอสมควร โดยสรุปแนวโนม้ หลกั ๆ ไดด้ งั น้ี ๑) กลุ่มวรรณกรรมแนวเหตุผลนิยมและมนุษยนิยม ไดแ้ ก่ วรรณกรรมแนวที่เกิดข้ึนในช่วงยุค ใหม่ตอนตน้ และตอนกลาง หรือในช่วงท่ีกระแสสังคม (ปัญญาชน) กาลงั โนม้ เอียงไปในแนวเหตุผลนิยม และวทิ ยาศาสตร์ตะวนั ตก เช่น วรรณกรรมเร่ือง “พุทธประวตั ิ (เล่ม ๑)” ของสมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรม พระยาวชิรญาณวโรรส และวรรณกรรมของท่านพุทธทาสภิกขุ ลักษณะเด่นสาคญั ของวรรณกรรมที่ เกิดข้ึนในยคุ น้ี คือ การนาเสนอหลกั พุทธธรรมอยา่ งเป็ นเหตุเป็ นผลแบบวิทยาศาสตร์ที่สามารถประจกั ษ์ ไดแ้ ละพิสูจน์ในชีวิตน้ีและเด๋ียวน้ี ขณะเดียวกนั ก็ไดป้ ฏิเสธสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายไดด้ ว้ ยหลกั เหตุผล เช่น เร่ืองอิทธิปาฏิหาริย์ และสิ่งลึกลบั เหนือธรรมชาติที่แทรกปนอยใู่ นคมั ภีร์พระพุทธศาสนา วรรณกรรมเรื่อง “พุทธประวตั ิ (เล่ม ๑)” ของสมเด็จพระมหาสมณเจา้ ฯ ไดส้ ะทอ้ นให้เห็นแนวคิดแบบเหตุผลนิยมอยา่ ง ชัดเจน โดยผูน้ ิพนธ์ได้ตัดทอนเน้ือหาพุทธประวตั ิท่ีเกี่ยวกับเรื่องอภินิหารออกไป พร้อมกนั น้ันก็ได้ วพิ ากษว์ จิ ารณ์และเสนอการตีความใหม่เพ่ือให้เป็ นท่ียอมรับไดใ้ นเชิงเหตุผล เช่นเดียวกบั งานวรรณกรรม ของท่านพุทธทาสภิกขุ ท่ีพยายามกลับไปหารากฐานด้ังเดิมของพุทธธรรมในพระไตรปิ ฎก ใน ขณะเดียวกนั ก็ปฏิเสธขอ้ ความบางส่วนในพระไตรปิ ฎกที่ท่านเห็นวา่ ไม่สามารถอธิบายไดด้ ว้ ยหลกั เหตุผล สมยั ใหม่ เช่น ขอ้ ความในจนั ทิมสูตร และสุริยสูตร ท่ีเกี่ยวกบั เร่ืองราหูอมจนั ทร์และอมพระอาทิตย์ เป็ น ตน้ ท่านพุทธทาสภิกขุมองว่าขอ้ ความเหล่าน้ีไม่ทนต่อการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์และไม่ใช่พุทธพจน์ หากแต่ถูกเพ่ิมเติมเขา้ มาโดยคนรุ่นหลงั ลกั ษณะอีกอย่างหน่ึงของวรรณกรรมยุคน้ี คือ เน้นความเป็ น มนุษยนิยม หมายถึงการเนน้ คุณค่าและความสาคญั ของชีวติ มนุษยใ์ นชาติน้ี เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจา้ ฯ ไดน้ าเสนอประวตั ิของพระพุทธเจา้ ในฐานะเป็ นมนุษยท์ างประวตั ิศาสตร์คนหน่ึง โดยไดต้ ดั ทอนเน้ือหา ในส่วนท่ีเป็ นอดีตชาติและเรื่องอภินิหารเหนือมนุษยท์ ิ้งไป ขณะที่ท่านพุทธทาสภิกขุ ก็ไดเ้ นน้ การปฏิบตั ิ ธรรมเพ่ือเขา้ ถึงคุณค่าของชีวิตในชาติน้ีและเด๋ียวน้ี โดยปฏิเสธการทาบุญเพ่ือปรารถนาสวรรค์วิมานใน ชาติหนา้ และปฏิเสธแนวการอธิบายปฏิจจสมุปบาทแบบขา้ มภพขา้ มชาติ เพราะเป็นการอธิบายท่ีท่านมอง วา่ ไมเ่ ป็น “สนั ทิฏฐิโก” คือไมส่ ามารถประจกั ษไ์ ดใ้ นชีวติ น้ีและเดี๋ยวน้ี ๒) กลุ่มวรรณกรรมที่เสนอจริยธรรมเชิงสังคม ไดแ้ ก่ วรรณกรรมที่พยายามมองสังคมในระดบั โครงสร้างท้ังระบบบนพ้ืนฐานของหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา วรรณกรรมแนวน้ีเกิดข้ึนเพ่ือ ตอบสนองบริบทสังคมแบบใหม่ท่ีเน้นการแก้ปัญหาสังคมในระดับโครงสร้าง การอธิบายปัญหาใน ๗ พระมหาสมบูรณ์ วฑุ ฺฒิกโร. วรรณกรรมพระพทุ ธศาสนาในสงั คมยคุ ใหม่. http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=446&articlegroup_id=102..(คน้ เม่ือ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๙)
๙ สังคมไทยยุคเก่าหรือสังคมแบบศกั ดินา มกั จะเนน้ การมองปัญหาของปัจเจกบุคคล เป็ นสาคญั เช่น ปัญหา ความเหลื่อมล้าต่าสูงในสังคม ปัญหาความยากจน เป็ นตน้ มกั จะมองวา่ เป็ นเร่ือง “กรรมใดใครก่อ” หรือ เป็ นเรื่องของการสร้างบุญบารมีมาไม่เท่ากนั ในชาติปางก่อน แต่หลงั จากท่ีสังคมไทยเปล่ียนแปลงเขา้ สู่ ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็ นตน้ มา ลกั ษณะการมองปัญหาสังคมใน ระดับโครงสร้างเริ่มมีมากข้ึน ประกอบกับกระแสการโจมตีและการวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิชาการ ตะวนั ตกและนกั วชิ าการไทยบางคนท่ีไดร้ ับการศึกษาจากตะวนั ตกวา่ จริยธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็ น จริยธรรมแนวปัจเจก คือเน้นความดีงามส่วนบุคคล โดยขาดจริยธรรมเชิงสังคมที่เน้นการแกป้ ัญหาใน ระดบั โครงสร้างโดยรวม ท่ามกลางบริบททางสังคมดงั กล่าวมาน้ี ทาให้ชาวพุทธไทยหลายท่านพยายาม ตอบสนองดว้ ยเสนอวรรณกรรมที่เน้นพุทธจริยธรรมเชิงสังคม เช่น งานบุกเบิกของท่านพุทธทาสภิกขุ เร่ือง “ธมั มิกสังคมนิยม” ที่มองสังคมและธรรมชาติส่ิงแวดลอ้ มท้งั หมดวา่ ต้งั อยฐู่ านของ “ธรรม” หรือกฎ ธรรมชาติที่มีความเชื่อมโยงและพ่ึงอาศยั ซ่ึงกนั และกนั และงานของท่านธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) เรื่อง “ศีลกบั เจตนารมณ์ทางสังคม” ท่ีมองวา่ ศีลตามหลกั พระพุทธศาสนา มีเจตนารมณ์ในทางสังคม คือมุ่งไปท่ี การจดั ระบบโครงสร้าง ระเบียบแบบแผน การจดั สรรโอกาส และการสร้างสภาพแวดลอ้ มทางสังคมให้ เอ้ือต่อการพฒั นาชีวติ เพ่ือเขา้ ถึงความดีงามสูงสุด นอกจากน้นั ในท่ามกลางปัญหาของสังคมยุคใหม่ที่เนน้ การพฒั นาแบบทุนนิยม จนทาให้เกิดปัญหาความเสื่อมทรามทางดา้ นศีลธรรม ปัญหาการพฒั นาไม่ยง่ั ยืน รวมท้งั ปัญหาความยากจน ปัญหาการก่อการร้าย เป็ นตน้ ทาใหน้ กั คิดชาวพุทธหลายท่านพยายามนาเสนอ พุทธจริยธรรมเชิงสังคมในแง่มุมท่ีหลากหลาย เช่น นายแพทยป์ ระเวศ วสี พยายามนาเสนอวธิ ีแกป้ ัญหา ความเส่ือมทรามทางดา้ นศีลธรรม ดว้ ยการแกท้ ี่ระดบั โครงสร้างของสังคม คือ การสร้างความเป็ นปึ กแผน่ ข้ึนในชุมชนและครอบครัว จึงจะสามารถฟ้ื นฟูศีลธรรมใหก้ ลบั คืนมาได้ ในขณะที่ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ไดน้ า แนวคิดเรื่องกรรมในพระพุทธศาสนามาอธิบายในฐานะเป็นการกระทาร่วมกนั ของคนในสังคม ไมใ่ ช่เร่ือง ของใครคนใดคนหน่ึง นอกจากน้นั ยงั มีนกั คิดชาวพุทธอีกกลุ่มหน่ึงที่เสนอวา่ การตีความพุทธจริยธรรม ใหค้ รอบคลุมมิติทางสงั คมยงั ไมเ่ พียงพอต่อการรับมือกบั ปัญหาของสังคมโลกยคุ ใหม่ ทางท่ีดีตอ้ งนาพุทธ จริยธรรมไปผูกติด (engage) แนบแน่นเป็ นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั กบั สังคมเลยทีเดียว นน่ั คือชาวพุทธตอ้ งมี จิตสานึกตระหนักรู้ในปัญหาสังคม (สติ) หลอมรวมตัวเองให้เป็ นหน่ึงเดียวกับโลก และมีความ กระตือรือร้นพร้อมที่จะลงมือช่วยเหลือสัตวโ์ ลก โดยมองวา่ การปฏิบตั ิธรรมกบั การช่วยเหลือสังคมไม่ได้ แยกออกจากกนั กลุ่มนกั คิดชาวพุทธที่นาเสนอวรรณกรรมในแนวน้ี เรียกวา่ “พระพุทธศาสนาแบบผกู พนั กบั สงั คม” เช่น ทา่ นติช นทั ฮนั ส์ องคท์ ะไล ลามะ ส.ศิวรักษ์ เป็นตน้ ๓) กลุ่มวรรณกรรมท่ีเสนอกระบวนทศั น์เชิงพุทธ ในท่ามกลางบริบทสังคมโลกที่ประสบปัญหา การพฒั นาท่ีต้งั อยู่บนรากฐานความคิดแบบวิทยาศาสตร์กระแสหลกั คือวิธีคิดในการหาความจริงแบบ ลดทอนหรือแยกส่วน และวิธีคิดแบบใฝ่ ปรารถนาท่ีจะเอาชนะธรรมชาติ วิธีคิดแบบน้ีได้รับการ วพิ ากษว์ จิ ารณ์อยา่ งหนกั ในสังคมตะวนั ตกวา่ เป็ นรากฐานที่มาของการครอบงาธรรมชาติส่ิงแวดลอ้ มและ เพ่ือนมนุษยด์ ว้ ยกนั ขณะที่สังคมตะวนั ตกกาลงั ประสบปัญหาความติดตนั ของวิธีคิดแบบเดิมและกาลงั แสวงหาฐานความคิดแบบใหม่อยู่น้ัน ได้มีนักคิดชาวตะวนั ตกและนักชาวพุทธไทยบางท่านพยายาม
๑๐ นาเสนอกระบวนทัศน์เชิงพุทธข้ึนมาเพื่อเป็ นทางเลือกในการหาทางออกให้กับสังคมโลก นักคิด ชาวตะวนั ตกท่ีถือวา่ มีบทบาทโดดเด่น คือ ฟริตจ๊อฟ คาปร้า เขาไดเ้ สนอกระบวนทศั น์แบบองค์รวมบน รากฐานของวิธีคิดแบบฟิ สิกส์ใหม่ หรือควอนตมั ฟิ สิกส์ โดยพยายามเช่ือมโยงใหเ้ ห็นความสอดคลอ้ งกนั กบั วิธีคิดแบบองค์รวมของตะวนั ออก เช่น วิธีคิดแบบเต๋า และแบบพุทธศาสนา เป็ นตน้ และนกั คิดไทยที่ ถือวา่ มีบทบาทโดดเด่น คือ ท่านพระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ท่านไดช้ ้ีให้เห็นความผิดพลาดของการ พฒั นาที่ต้งั อยบู่ นฐานของวธิ ีคิดแบบตะวนั ตกเช่นเดียวกบั ฟริตจ๊อฟ คาปร้า และไดเ้ สนอวิธีคิดแบบองค์ รวมแนวพุทธ แนวคิดแบบองค์รวมที่ท่านเสนอ คือ การพฒั นาท่ีตอ้ งให้เกิดดุลยภาพระหวา่ งชีวิต สังคม และธรรมชาติ ๔) กลุ่มวรรณกรรมท่ีเสนอจักรวำลวิทยำเชิงพุทธแนวใหม่ ได้แก่กลุ่มวรรณกรรมท่ีพยายาม นาเสนอแนวคิดเกี่ยวกับกาเนิดมาท่ีของสรรพสิ่ งในจักรวาลบนฐานของการตีความคาสอนทาง พระพุทธศาสนา เช่น คาสอนเรื่อง “จิตหน่ึง” “ศูนยตา” “อนตั ตา” และ “นิพพาน” เป็ นตน้ นกั คิดกลุ่มน้ี มองว่า สรรพสิ่งในจกั รวาลมีกาเนิดที่มาจากปฐมเหตุอย่างเดียวกัน น่ันคือจิต หรืออย่างที่นายแพทย์ ประสาน ต่างใจ เรียกวา่ “จิตจกั รวาล” และปริญญา ตนั สกุล เรียกวา่ “องคจ์ ิตจกั รวาล” จิตหรือปฐมเหตุน้ี ดารงอยใู่ นสภาพของพลงั งานท่ีวา่ งเปล่า (ศูนยตา) และปราศจากตวั ตน (อนตั ตา) นายแพทยป์ ระสาน มอง วา่ จากจิตหรือวิญญาณอนั เป็ นปฐมเหตุน้ีเอง ไดว้ ิวฒั นาการมาเป็ นสรรพสิ่งในจกั รวาล ท้งั ท่ีเป็ นรูปธรรม และนามธรรม นิพพาน คือการท่ีจิตไดว้ วิ ฒั นาการถึงข้นั สูงสุดจนรู้ความจริงของธรรมชาติพ้ืนฐานด้งั เดิม ของตน ส่วนปริญญา มองวา่ องคจ์ ิตจกั รวาล เป็ นผูส้ ร้างสรรพส่ิงในจกั รวาล สาหรับมนุษยน์ ้นั เป็ นการ แบ่งภาคออกมาจากองคจ์ ิตจกั รวาลแลว้ มาเกิดยงั ดาวเคราะห์โลก การบรรลุนิพพาน คือการที่จิตไดร้ ับการ พฒั นาจนถึงข้นั ท่ีสามารถสลดั หลุดออกจากแรงโนม้ ถ่วงของโลกและยอ้ นกลบั ไปอยูใ่ นแดนแห่งนิพพาน ร่วมกบั องคจ์ ิตจกั รวาล ๕) กลุ่มวรรณกรรมแนวหลังสมัยใหม่ ได้แก่ กลุ่มวรรณกรรมท่ีพยายามนาเอาแนวคิดหลัง สมยั ใหม่เขา้ มาเปรียบเทียบกบั แนวคิดทางพระพุทธศาสนา วรรณกรรมกลุ่มน้ีส่วนใหญ่มองว่าถึงแม้ แนวคิ ดหลังสมัยใหม่จะท้าทายวิธี ห าความจริ งห รื อข้ออ้างเก่ี ยวกับความจริ งที่ เสน อผ่าน ภาษาในยุค สมยั ใหม่ทุกรูปแบบ (ท้งั ในรูปของแนวคิดและทฤษฎีบรรยายถึงความจริงดว้ ยภาษา) แต่ก็ไม่มีผลกระทบ ต่อพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด เพราะพระพุทธศาสนาก็ยืนยนั อยู่แล้วว่าโลกท่ีมนุษย์ปุถุชนรับรู้ใน ชีวิตประจาวนั น้นั ไม่ใช่โลกแห่งความจริงตามท่ีมนั เป็ นอยูจ่ ริง ๆ หากแต่เป็ นการรับรู้บนฐานของอวิชชา แลว้ ก็คิดปรุงแต่งสร้างสรรค์เป็ นทวิภาวะระหว่างผูร้ ู้ (subject) กบั สิ่งที่ถูกรู้ (object) แทท้ ี่จริงแล้วท้งั ผูร้ ู้ และส่ิงท่ีถูกรู้หามีอยจู่ ริงๆ ไม่ (ศูนยตา) และพระพทุ ธศาสนากย็ อมรับอยแู่ ลว้ วา่ ความจริงเป็นสิ่งท่ีอยเู่ หนือ ระบบสมมติบัญญัติของมนุษย์ท้ังหมด ดังน้ัน แนวคิดหลังสมัยใหม่บางอย่างจึงไปกันไปกับ พระพุทธศาสนา กลุ่มนกั วิชาการเหล่าน้ีส่วนใหญ่มีความเห็นสอดคลอ้ งกนั วา่ แนวคิดหลงั สมยั ใหม่ไม่มี ผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด ตรงกนั ขา้ ม กลบั ช่วยทาให้เขา้ ใจแนวคิดเร่ือง “ศูนยตา” และ “อทวภิ าวะ” ในพระพุทธศาสนาไดง้ ่ายข้ึนดว้ ย โดยเฉพาะแนวคิดท่ีวา่ เราไมส่ ามารถเขา้ ถึงความจริงไดด้ ว้ ย ระบบภาษาและความคิด (รวมท้งั การใชเ้ หตุผล) ด้งั น้นั ท้งั พระพุทธศาสนาและแนวคิดหลงั สมยั ใหม่จึง
๑๑ สอนมีความเห็นสอดคล้องกนั ในแง่ท่ีสอนให้เรา “ถอดรื้อ” (deconstruct) ความเช่ือในบญั ญตั ิทางภาษา ที่วา่ เราสามารถคน้ หาความจริงจากภาษาได้ หรือสามารถใชภ้ าษาเป็ นกระจกเงาสะทอ้ นให้เห็นความจริง ได้ (Logocentric) รวมท้ังมโนทัศน์ท้ังหลายท่ีสร้างข้ึนจากการรับรู้โลกทางประสาทสัมผัสใน ชีวิตประจาวนั ของเราดว้ ย เพราะเมื่อเราวเิ คราะห์จนถึงท่ีสุดแลว้ จะเห็นวา่ ระบบของภาษาเป็ นเพียงการเอา ถอ้ ยคาต่าง ๆ มาร้อยเรียงผูกเป็ นประโยชน์ข้ึนแลว้ สร้างความหมายบางอย่างข้ึนมา หรือแมแ้ ต่มโนทศั น์ (concepts) ของเราก็เช่นเดียวกนั ก็เป็ นเพียงการเชื่อมโยงประสบการณ์ต่าง ๆ ในการรับรู้โลกของเราแลว้ ก็ สร้างเป็นความคิดรวบยอดข้ึนมาเทา่ น้นั เอง แนวโน้มต่าง ๆ ของวรรณกรรมพระพุทธศาสนา คือ ภาพความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา ผูว้ ิจยั มองว่าแนวโน้มวรรณกรรมทำงพระพุทธศำสนำไม่เคยหยุดนิ่ง ตำยตัว หำกแต่มีพลวตั และมีกำรเคล่ือนไหวเปลี่ยนแปลงให้มีชีวิตชีวำอยู่เสมอตำมควำมเปลยี่ นแปลงของ สังคม และยังคงต้องเปล่ียนแปลงอย่ำงนี้ต่อไปในอนำคต ถามว่าความเคล่ือนไหวเปล่ียนแปลงเหล่าน้ีมี ปัญหาอะไรหรือไม่ ผูว้ จิ ยั มองวา่ ปัญหาไม่ไดอ้ ยูท่ ี่วา่ มีความเปลี่ยนแปลงเกิดข้ึนในวรรณกรรม หากแต่อยู่ ท่ีวา่ ในท่ามกลางความเปล่ียนแปลงและควำมพยำยำมปรับพระพุทธศำสนำให้เข้ำกบั สังคมยุคใหม่น้นั เรา สามารถรักษาจุดยนื หรือหลกั การด้งั เดิมของพระพุทธศาสนาไวไ้ ดห้ รือไม่ สุธีรำ สัตยพันธ์๘ (๒๕๕๑) ไดศ้ ึกษาเร่ือง งำนของ \"ดังตฤณ\" ในฐำนะวรรณกรรมพุทธศำสนำ แนววฒั นธรรมประชำนิยม ผลการศึกษาพบวา่ วทิ ยานิพนธ์ฉบบั น้ีมีจุดมุ่งหมายท่ีจะศึกษาผลงานของ \"ดงั ตฤณ\" ในฐานะวรรณกรรมพุทธศาสนาแนววฒั นธรรมประชานิยม และเพื่อวเิ คราะห์รูปแบบ เน้ือหา และ กลวิธีนาเสนอในผลงานดงั กล่าว เพื่อให้เห็นลกั ษณะของวรรณกรรมพุทธศาสนาแนววฒั นธรรมประชา นิยม ผลการวิจัยพบว่า วฒั นธรรมประชานิยมมีอิทธิพลต่อการสร้างงานวรรณกรรมพุทธศาสนา กล่าวคือ งานวรรณกรรมพุทธศาสนาปรับเปลี่ยนรูปแบบและการนาเสนอเน้ือหา เพ่ือให้มีรูปแบบการนาเสนอท่ี น่าสนใจ เน้ือหาเขา้ ถึงกลุ่มผูอ้ ่านไดง้ ่าย และไดร้ ับความนิยมจากผูอ้ ่านเป็ นจานวนมาก ผลงานของ \"ดงั ตฤณ\" มีรูปแบบการนาเสนอท่ีหลากหลาย ท้งั รูปแบบบทความคู่มือการใช้ชีวิตหรือบทความฮาวทู (How to) รูปแบบบทความสารคดี รูปแบบนวนิยาย และรูปแบบผสมผสาน โดยนาเสนอผา่ นสื่อส่ิงพิมพ์ และสื่อ สมยั ใหม่ เช่น อินเทอร์เน็ต การนาเสนอเน้ือหาธรรมะในรูปแบบที่หลากหลายทาให้วรรณกรรมพุทธ ศาสนาของ \"ดงั ตฤณ\" เขา้ ถึงกลุ่มผอู้ ่านไดเ้ ป็ นจานวนมาก ดา้ นเน้ือหา งานของ \"ดงั ตฤณ\" นาเสนอเน้ือหา หลกั ๔ กลุ่มไดแ้ ก่ เน้ือหาเรื่องกรรม เน้ือหาเรื่องการปฏิบตั ิวิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐาน ๔ เน้ือหาเร่ือง ความรัก และเน้ือหาว่าด้วยธรรมะเบ็ดเตล็ด ส่วนกลวิธีการนาเสนอเน้ือหาทางพุทธศาสนาน้ัน ผูแ้ ต่ง นาเสนอเน้ือหาพุทธศาสนาโดยการอธิบายเน้ือหาธรรมะเชื่อมโยงกบั เหตุการณ์ร่วมสมยั นาเสนอเน้ือหา พุทธศาสนาผา่ นเร่ืองเล่า ซ่ึงแบง่ ออกไดเ้ ป็ น การนาเสนอเน้ือหาธรรมะโดยเช่ือมโยงกบั เหตุการณ์ร่วมสมยั ๘ สุธีรา สตั ยพนั ธ์. 2551. งานของ \"ดงั ตฤณ\" ในฐานะวรรณกรรมพทุ ธศาสนาแนววฒั นธรรมประชานิยม http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/16205 วทิ ยานิพนธ์อกั ษรศาสตรมหาบณั ฑิต. จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . (คน้ เมื่อ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๙ )
๑๒ วถิ ีชีวติ สังคมสมยั ใหม่ การนาเสนอเน้ือหาธรรมะผา่ นบทสนทนาของตวั ละคร การนาเสนอเน้ือหาธรรมะ ผา่ นตวั ละคร การนาเสนอเน้ือหาธรรมะผ่านฉาก กลวิธีการนาเสนอเหล่าน้ี ทาให้เขา้ ใจเน้ือหาธรรมะได้ ง่าย งานของ \"ดงั ตฤณ\" ลกั ษณะที่ทาให้พิจารณาไดว้ า่ เป็ นวรรณกรรมพุทธศาสนาแนววฒั นธรรมประชา นิยม กล่าวคือ เน้ือหาท่ีนาเสนอมีความสัมพนั ธ์กบั วิถีชีวติ สมยั ใหม่ มีรูปแบบการนาเสนอที่หลากหลาย มี การนารูปแบบที่เดิมใชส้ าหรับเน้ือหาทางโลก และเป็ นส่วนหน่ึงของวฒั นธรรมประชานิยมมาใชใ้ นการ นาเสนอเน้ือหาธรรม และมีการนาเสนองานของ \"ดังตฤณ\" ผ่านส่ือที่หลากหลายด้วยเช่นกัน ความ หลากหลายและการผสมผสานท่ีปรากฏในงานวรรณกรรมพุทธศาสนาของ \"ดังตฤณ\" ทาให้เกิดการ เผยแพร่และเป็ นที่รู้จกั ในกลุ่มผูอ้ ่านท่ีหลากหลาย นอกจากน้ียงั ได้รับความนิยมจากผูอ้ ่านจานวนมาก เช่นกนั ดว้ ยเหตุน้ี งานวรรณกรรมพุทธศาสนาของ \"ดงั ตฤณ\" จึงมีลกั ษณะเป็ นวรรณกรรมพุทธศาสนา แนววฒั นธรรมประชานิยม พิชญรัชต์ บุญช่วย๙ (๒๕๔๙) งานวิทยานิพนธ์เกี่ยวกบั ระเบียบวิธีวิธีวิทยำกำรสืบสวนแบบ ค้นพบด้วยตนเอง กระบวนการสาคญั ๗ ระดบั คือ (๑) การกาหนดแนวทางในการศึกษา (Identifying with the Focus of Inquiry) การต้งั คาถามปลายเปิ ด และอาศยั มุมมองจากการคน้ หาเขา้ ไปภายในตนเองเป็ น เครื่องมือทาความเข้าใจประสบการณ์ของมนุษย์ นักวิจยั อาจใช้กระบวนทัศน์ทางทฤษฏีมาเป็ นแนว ทางการทาวจิ ยั ขณะเดียวกนั ก็พร้อมท่ีจะเรียนรู้ส่ิงใหม่ๆเสมอ (๒) การโตต้ อบกนั เอง(Self-Dialogue) เป็ น กระบวนการศึกษา สารวจปรากฏการณ์ข้ึนในตนเอง โดยปล่อยให้ดาเนินไปในสภาพธรรมชาติ การ ตรวจสอบตนเองอยา่ งต่อเน่ือง เป็ นกลาง และยอมรับความจริงที่นาไปสู่การต่ืนรู้ การพิจารณาทบทวน กลบั ไปกลบั มา จนคน้ พบความหมายที่หลากหลาย แลว้ สามารถนามาอธิบายเป็ นองค์ความรู้ท่ีได้จาก การศึกษาปรากฏการณ์น้นั (๓) การรู้โดยนยั (Tacit Knowing) โดยปกติเรามกั สนใจกบั คุณลกั ษณะท่ีเด่นชดั ในการรับรู้คร้ังแรก แต่ละเลยคุณสมบตั ิอนั สาคญั กวา่ ที่ซ่อนอยู่ ซ่ึงจะปรากฏข้ึน ต่อเม่ือบุคคลไดพ้ ิจารณา บางสิ่งบางอย่างซ้าแลว้ ซ้าเล่า หรือปรากฏอยใู่ นลกั ษณะของการไดค้ ิดในภายหลงั (Second Thought) ทา ให้เขา้ ใจท้งั ภาพรวมของประสบการณ์แก่นแทข้ องปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึน (๔) การหยง่ั รู้(Intuition) ถือ เป็ นสะพานเช่ือมระหวา่ งความรู้ที่ปรากฏชดั กบั ความรู้ที่แฝงเร้น การหยง่ั รู้เป็ นสภาวะที่ปราศจากการใช้ ความคิดและเหตุผล เป็ นรอยต่อระหวา่ งการสืบคน้ จากร่อยรอยหน่ึงไปสู่ร่องรอยต่อไป ในช่วงรอยต่อน้ี เอง ที่การหยง่ั รู้ในบางส่ิงบางอยา่ งจะปรากฏข้ึน และทาให้เกิดความกระจ่างแจง้ ต่อปรากฏการณ์ที่ศึกษา ฉะน้ันการหยง่ั รู้จึงเป็ นกระบวนการที่ขยายองค์ความรู้ไปสู่มิติท่ีลึกและกวา้ งกว่าเดิม (๕) การฝังตัว (Indwelling) เป็ นการเฝ้าสังเกตด้วยความสนใจในบางแง่มุมของประสบการณ์มนุษย์อย่างต้ังใจ กระบวนการน้ีตอ้ งอาศยั ความมีสติ สมาธิ และเป็ นอิสระจากการใชค้ วามคิดและเหตุผล แต่เฝ้าคิดตาม ร่องรอยต่างๆที่ปรากฏข้ึน จมดิ่งอยูใ่ นร่องรอยน้นั ๆเพื่อขยายความหมายและเช่ือมโยงความสัมพนั ธ์กนั จนกระทั่งสามารถอธิบายขอบเขตและรายละเอียดของประสบการณ์ได้ (๖) การเพ่งความสนใจ ๙ พชิ ญรัชต์ บุญช่วย. ๒๕๔๙.กำรศึกษำกระบวนกำรสร้ำงภำวนำ ๔ โดยใช้หลกั ไตรสิกขำ. วทิ ยานิพนธ์พทุ ธ ศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั : พระนครศรีอยธุ ยาฯ.
๑๓ (Focusing) ไปยงั ความรู้สึกนึกคิดที่มีนยั สาคญั อยา่ งผอ่ นคลายและเปิ ดกวา้ ง ซ่ึงจะทาให้มองเห็นสภาวะท่ี แทจ้ ริงของส่ิงน้นั ตรงตามความเป็นจริงและจะเป็นประโยชน์ ต่อการตอบคาถาม การจดั การกบั คาถาม การ แจกแจงองค์ประกอบของความรู้สึกนึกคิด (๗) กรอบอ้างอิงภายใน(The Internal Frame of Referece) ความรู้ที่ไดม้ าจากการสืบสวนแบบคน้ พบดว้ ยตนเองน้ัน เก่ียวขอ้ งกบั การสังเกต ศึกษาปรากฏการณ์ที่ เกิดข้ึนจากภายในตนเองอยา่ งใกลช้ ิด เพ่ือใชเ้ ป็ นกรอบอา้ งอิง “ส่วนตวั ”ในการตีความปรากฏการณ์ ดว้ ย เหตุน้ีการทาความเขา้ ใจประสบการณ์ที่คลา้ ยคลึงกนั ของผูอ้ ่ืนจึงตอ้ งศึกษาจากทศั นะของผูน้ ้นั ผา่ นการ แลกเปล่ียนประสบการณ์ระหวา่ งกนั อย่างเปิ ดเผย และตอ้ งยอมรับการใช้กรอบอา้ งอิงส่วนตวั ของผูอ้ ่ืน ผนวกกบั ความรู้จากประสบการณ์ตรงของตนเอง นาขอ้ สรุปมาเขียนเป็นรายงานผลการวจิ ยั สรัญญำ โชติรัตน์๑ (๒๕๕๙) ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เรื่อง กำรสังเครำะห์วทิ ยำนิพ๐นธ์เรื่องมหำสตปิ ัฏฐำน ๔ ของมหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวทิ ยำลยั ระหว่ำงปี พุทธศักรำช ๒๕๔๐–๒๕๕๕ วตั ถุประสงค์ ๑) เพื่อรวบรวมและประมวลสาระความรู้แนวทางปฏิบตั ิเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ๒) เพ่ือวิเคราะห์แนวทาง ปฏิบตั ิเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ๓) เพ่ือสังเคราะห์แนวทางปฏิบตั ิเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นการวจิ ยั เชิง คุณภาพจากการศึกษาเอกสารงานวิทยานิพนธ์เกี่ยวกบั มหาสติปัฏฐาน ๔ ช่วงเวลาระหว่างปี พุทธศกั ราช ๒๕๔๐–๒๕๕๕ ผลการศึกษาวิจยั พบว่า ลักษณะข้อมูลทั่วไปของงำนวิทยำนิพนธ์ พบว่า เป็ นงาน วทิ ยานิพนธ์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มากที่สุด จานวน ๒๔ เร่ือง ร้อยละ ๔๓.๖๓ สถานภาพผศู้ ึกษาโดยส่วนมาก เป็ นพระภิกษุ จานวน ๓๔ รูป ร้อยละ ๖๑.๘๑ ระดบั ปริญญางานวิทยานิพนธ์เป็ นระดบั ปริญญาโท มาก ที่สุด จานวน ๔๘ เร่ือง ร้อยละ ๘๗.๒๗ และดา้ นสาขาวิชาที่จบการศึกษาเป็ นสาขาวิชาพระพุทธศาสนา มากท่ีสุด จานวน ๒๙ เร่ือง ร้อยละ ๕๒.๗๒ ลักษณะข้อมูลด้ำนระเบียบวิธีของงำนวิทยำนิพนธ์ พบวา่ ลกั ษณะวตั ถุประสงคเ์ ป็นการต้งั วตั ถุประสงคเ์ พื่อศึกษาทวั่ ไป มากท่ีสุด จานวน ๗๘ ขอ้ วตั ถุประสงค์ ร้อย ละ ๕๑.๖๕ ดา้ นคาจากการทบทวนเอกสารและวรรณกรรม มีคาว่า“ธรรม” มากที่สุด จานวน ๒๓๖ คา ร้อยละ ๕๙.๐๙ ดา้ นคาจากสารบญั เน้ือหาการทบทวนเอกสารและวรรณกรรม จาแนก ๑) ดา้ นหลกั การ คา วา่ “ความหมาย”เป็ นคาท่ีมีจานวนมากท่ีสุด จานวน ๑๖๕ คา ร้อยละ ๑๙.๘๓ ๒) ดา้ นวิธีการ คาว่า“การ ปฏิบตั ิ”เป็ นคาท่ีมีจานวนมากที่สุด จานวน ๒๔๘ คา ร้อยละ ๒๙.๘๑ ๓) ผล คาวา่ “ผล” จานวน ๖๙ คา ร้อยละ ๘.๖๙ ดา้ นคาจากเน้ือหาคานิยามศพั ทเ์ ฉพาะ คาวา่ “ธรรม” มีจานวนคามากที่สุด จานวน ๒๓๕ คา ร้อยละ ๕๐.๒๑ ดา้ นลกั ษณะระเบียบวิธีวิจยั ของงานวิทยานิพนธ์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลยั มากที่สุดเป็ นลกั ษณะระเบียบวิธีวิจยั เชิงคุณภาพ จานวน ๔๗ เร่ือง ร้อยละ ๘๕.๔๕ และเป็ นลกั ษณะการวิจยั เชิงเอกสาร จานวน ๒๘ เรื่อง ร้อยละ ๕๐.๙๑ กำรวิเครำะห์สำระควำม สอดคล้องงำนวทิ ยำนิพนธ์กบั หลกั กำรมหำสติปัฏฐำน ๔ พบวา่ ดา้ นธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน มากท่ีสุด จานวน ๔๘ เร่ือง ร้อยละ ๕๒.๗๕ และเป็ นการศึกษาด้านธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพียงอย่างเดียว ๑ สรัญญา โชติรัตน์ . กำรสังเครำะห์วทิ ยำนพิ นธ์เร่ืองม๐หำสตปิ ัฏฐำน ๔ ของมหำวทิ ยำลยั มหำจุฬำลงกรณรำช วทิ ยำลยั ระหว่ำงปี พุทธศักรำช ๒๕๔๐–๒๕๕๕ . วทิ ยานิพนธม์ หาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั บทคดั ยอ่ .
๑๔ จานวน ๒๐ เรื่อง ร้อยละ ๓๖.๓๖ รองลงมาไดแ้ ก่ ดา้ นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จานวน ๒๘ เร่ือง ร้อย ละ ๓๑.๗๗ ดา้ นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน จานวน ๑๑ เร่ือง ร้อยละ ๑๒.๐๘ ดา้ นเวทนานุปัสสนาสติปัฏ ฐาน จานวน ๔ เร่ือง ร้อยละ ๔.๓๙ จาแนกแต่ละดา้ น พบวา่ กำรสังเครำะห์ด้ำนกำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำน พบวา่ วิธีการเจริญอานาปานสติฝึ กกาหนดลมหายใจเป็ นคาสอนและวิธีการปฏิบตั ิสมบูรณ์ เป็ นท้งั ปริยตั ิ และปฏิบตั ิ เป็ นท้งั สมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน อานาปานสติเป็ นพ้ืนฐานการเขา้ ฌานออกฌาน รวดเร็วจึงเป็ นบาทฐานการเจริญวิปัสสนา ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั ระบบ “ยบุ หนอ พองหนอ” เนน้ ธาตุลมเป็ น หลกั ในการกาหนดคาวา่ “หนอ” แยกรูปนามทาใหส้ มาธิชดั เจน สติกาหนดรู้รูปนาม ความรู้สึกตวั ชดั ตรง กบั สภาวธรรมเป็ นจริง ไดป้ ัญญาญาณ หลกั การกาหนดสติอยกู่ บั ลมหายใจ อาการพองยบุ เคลื่อนไหวกาย คาบริกรรม กาหนดต่อเนื่อง กำรสังเครำะห์ด้ำนเวทนำนุปัสสนำสติปัฏฐำน พบวา่ การมีสติรู้เทา่ ทนั เวทนา ขณะเกิดข้ึน กาลงั แปรปรวน ดบั ไป ต้งั สติจาแนกเวทนาขณะเสวยอารมณ์ ทางกายและทางใจ ไดแ้ ก่ สุข เวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา สอดคลอ้ งความเป็นจริง ปัจจุบนั อารมณ์ เห็นความเกิดดบั เวทนา ฝึ ก สติกากบั ควบคุมความรู้สึกและความคิด เกิดวิปัสสนาปัญญา กำรสังเครำะห์ด้ำนจิตตำนุปัสสนำสติปัฏ ฐำน พบว่า การปฏิบตั ิให้จิตอยูใ่ นฌาน สร้างฌานให้เกิด โดยการเจริญสมถกรรมฐานเพ่งอารมณ์บรรลุ ฌาน จิตแนบไปกบั อารมณ์เดียวทาให้วิปัสสนาภาวนาเกิดข้ึน แทเ้ ดิมธรรมชาติจิตมีความบริสุทธ์ิ จิตถูก ปรุงแต่งดว้ ยกิเลสความคิด จึงตอ้ งกาหนดรู้สภาวธรรมตามความเป็ นจริง กาหนดจิตเขา้ ไปรับรู้ จิตต้งั มนั่ รู้เท่าทนั กำรสังเครำะห์ด้ำนธรรมำนุปัสสนำสติปัฏฐำน พบว่า มหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นวิชาแห่งความพน้ ทุกขท์ ่ีพระพุทธเจา้ คน้ พบแลว้ นามาสอนเพ่ือการปฏิบตั ิภาวนาให้เกิดสติปัญญาความรู้แจง้ ไตรลกั ษณ์ สติ ปัฏฐานท่ีต้งั สติกาหนดรู้รูปนามจุดมุ่งหมายเพื่อดบั ทุกข์ กาหนดอารมณ์ที่เกิดข้ึนตามการต้งั สติรู้ตรงตาม สภาวะปัจจุบนั อารมณ์ตรงตามสมมติบญั ญตั ิตามลาดบั ญาณ ๑๖ การสร้างความรู้ความเขา้ ใจปริยตั ิธรรม ทาให้การปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน นาเขา้ สู่ฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต เช่ือมโยงครบท้งั ๔ ฐาน องค์ ธรรมเครื่องเก้ือหนุน คือ อาตาปี สัมปชาโน สติมา การปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน มี ๒ หลกั คือ ๑)แบบ สมถยานิกะ (สมถะ) เป็ นอุบายสงบใจ ๒)แบบวิปัสสนายานิกะ (วิปัสสนา) เป็ นอุบายเรืองปัญญา ได้ ปัญญาเรียกวา่ “วปิ ัสสนาปัญญา” กรอบแนวคดิ ของกำรวจิ ัย (Conceptual Framework) ตวั แปรอสิ ระ (IV) ตวั แปรตำม (DV) การสังเคราะห์วรรณกรรม สาระเร่อื งมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ เรือ่ งมหาสติปัฏฐาน ๔ [๑] กายานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน [๒] เวทนานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน รหัส-แบบบันทกึ หนังสือวรรณกรรม [ ๑๐๐ ] [๓] จิตตานุปัสสนาสติปฏั ฐาน [๔] ธัมมานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน จาแนกการจดั ประเภท วเิ คราะห์และสังเคราะห์ ๑) วรรณกรรมแนววชิ าการ (๑) แนวคิด (๒) หลกั การ (๓) วธิ กี าร ๒) วรรณกรรมแนวคาสอนครูบาอาจารย์ ๓) วรรณกรรมแนวนกั เขียน ๔) วรรณกรรมแนวบูรณาการศาสตร์สมยั ใหม่
๑๕ บทที่ ๓ วธิ ีกำรวจิ ัย งานวิจัยเร่ืองการสังเคราะห์วรรณกรรมเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ การศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research Methodology) โดยศึกษาจากเอกสารวรรณกรรมนามาสังเคราะห์เก่ียวกบั เรื่องมหา สติปัฏฐาน ๔ โดยรวบรวมประมวลสาระความรู้เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ตามกรอบประเด็นสาระแกนหลกั เน้ือหาจากพระไตรปิ ฏกภาษาไทยฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั พระสุตตนั ตปิ ฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค [๙.มหาสติปัฏฐานสูตร] ที.ม. เล่มท่ี ๑๐ ขอ้ ๓๗๒ ถึง ขอ้ ๔๐๕ หน้า ๓๐๑-๓๔๐ เป็ นกรอบประเด็นการ วเิ คราะห์ และสังเคราะห์เพ่ือดาเนินงานดึงประเด็นสาระสาคญั นาไปสู่การสังเคราะห์จากวรรณกรรมเรื่อง มหาสติปัฏฐาน ๔ จากพระสูตรดงั กล่าว ประชำกรและกล่มุ ตวั อย่ำง ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง คือ วรรณกรรมหนังสือท่ีได้ตีพิมพ์ในยุคสมยั ปัจจุบนั ระหว่าง ปี พุทธศกั ราช ๒๕๔๙–๒๕๕๙ (ยอ้ นหลงั ปี ปัจจุบนั ๑๐ ปี ) เป็ นการสารวจตลาดหนงั สือประเภทธรรมะท่ีมี เน้ือหาสาระเก่ียวกบั การกล่าวถึงเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จากร้านหนงั สือทว่ั ไป หนงั สือวรรณกรรมเร่ืองสติปัฏฐาน ๔ ท่ีตีพิมพเ์ ผยแพร่ จานวน ๑๐๐ เล่ม เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ การเลือกเป็ นกลุ่มตวั อย่างแบบเจาะจง (Purposive Samping) เท่าท่ีจะสามารถรวบรวมได้ โดยเน้นตาม ความหมายหรือคานิยาม คาว่า มหาสติปัฏฐาน ๔ โดยคัดเลือกเฉพาะมาใช้ในการประมวลผล การ วิเคราะห์ และการสังเคราะห์ ซ่ึงผูศ้ ึกษาวิจยั ถือว่าเป็ นวรรณกรรมในยคุ สมยั ปัจจุบนั มีอิทธิพลต่อความรู้ ความเขา้ ใจเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ โดยผูศ้ ึกษาวิจยั มีความสามารถรวบรวมมาไดเ้ กี่ยวกบั ประเด็นสาระ เรื่องกล่าวถึงมหาสติปัฏฐาน ๔ ท้งั ทางตรงและทางออ้ ม เหตุผลงานเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ มีหลากหลาย ประเด็นระดบั ความเก่ียวขอ้ งมากท่ีสุด มาก ปานกลาง น้อย ซ่ึงตอ้ งยึดหลกั การ ตามกรอบสาระพระสูตร เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ในพระไตรปิ ฎกฉบบั มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั เป็ นหลกั เพื่อ การศึกษา วเิ คราะห์ และสงั เคราะห์ เคร่ืองมือในกำรวจิ ัย ข้นั ตอน (๑) ผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการคน้ หาและรวบรวมหนังสือวรรณกรรมที่เก่ียวกบั เร่ือง มหาสติปัฏ ฐาน ๔ จำนวน ๑๐๐ เล่ม เท่าที่จะสามารถทาการรวบรวมได้ โดยวรรณกรรมเป็ นการกล่าวถึงเน้ือหาสาระ เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ โดยทางตรงประเดน็ ท้งั หมดและตรงประเด็นบางส่วน เพอื่ นามาศึกษาสาระงาน ใน ภาพรวมท้งั หมดเป็นเบ้ืองตน้
๑๖ รูปภาพที่ ๓.๑ แสดงการเกบ็ ขอ้ มูลวรรณกรรมจานวน ๑๐๐ เล่ม [ เล่มท่ี ๑ ถึง ๑๐๐] ข้นั ตอน (๒) กำรจัดประเภทวรรณกรรมเรื่องมหำสตปิ ัฏฐำน ๔ ดาเนินการศึกษาวรรณกรรมในภาพรวมเป็ นที่เรียบร้อยแล้ว จาแนกประเภทจากห นังสื อ วรรณกรรมแต่งละเร่ืองตามเน้ือหาสาระ จาแนกเป็นประเภทวรรณกรรม ประเภท ๑) วรรณกรรมแนววิชาการ หมายความถึง ตาราต่างๆ และเก่ียวกับพระไตรปิ ฎก หมายความถึง หนงั สือเก่ียวกบั เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ท่ีผูเ้ ขียนนาเสนอเป็ นวชิ าการ อา้ งพระไตรปิ ฎก อา้ งอิง คาบาลีเพอื่ อธิบายความ เน้ือหาสาระเป็นการอธิบายรูปแบบวรรณกรรม แนวทางวชิ าการ โดยวรรณกรรม ประเภท ๑) กาหนดรหสั แบบบนั ทึก [ป.๑] โดยนาเรียงตามรหสั แบบบนั ทึกวรรณกรรมหนงั สือ เล่ม ๑ ถึง เล่ม ๑๕ รหสั แบบบนั ทึกเป็น ป.๑-๑ ถึง ป.๑-๑๕ แผนภาพท่ี ๓.๒ แสดงประเภทวรรณกรรมวชิ าการ [ป.๑] ตามรหสั แบบบนั ทึก ป.๑-๑ ถึง ป.๑-๑๕
๑๗ ประเภท ๒) วรรณกรรมแนวคำสอนครูบำอำจำรย์ หมายความถึง คาสอนครูบาอาจารยอ์ ธิบาย เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ในภาคทฤษฏีและภาคปฏิบตั ิตามแนวทางและวธิ ีการคาสอนครูบาอาอาจารย์ โดย วรรณกรรมประเภท ๒) กาหนดรหสั แบบบนั ทึก [ป.๒] โดยนาเรียงตามรหสั แบบบนั ทึกวรรณกรรม เล่ม ๑ ถึง เล่ม ๔๕ เป็นรหสั แบบบนั ทึก ป.๒-๑ ถึง ป.๒-๔๕ แผนภาพท่ี ๓.๓ แสดงประเภทวรรณกรรมวชิ าการ [ป.๒] รหสั แบบบนั ทึก ป.๒-๑ ถึง ป.๒-๔๕
๑๘ ประเภท ๓) วรรณกรรมแนวนักเขียน หมายความถึง งานเขียนท่ีผเู้ ขียนไดค้ น้ คิดเรื่องสติ ปัฏฐาน ๔ ตามแนวทางความรู้ความเขา้ ใจเร่ืองมหาสติปัฏฐานของผูเ้ ขียนวรรณกรรมเร่ืองน้นั เอง ประเภท ๓) โดยวรรณกรรมประเภท ๓) กาหนดรหสั แบบบนั ทึก [ป.๓] โดยนาเรียงตามรหสั แบบบนั ทึกวรรณกรรม เล่ม ๑ ถึง เล่ม ๒๕ เป็นรหสั แบบบนั ทึก ป.๓-๑ ถึง ป.๓-๒๕ แผนภาพที่ ๓.๔ แสดงประเภทวรรณกรรมนกั เขียนคิดคน้ [ป๓] รหสั แบบบนั ทึก ป.๓-๑ ถึง ป.๓-๒๕ ประเภท ๔) วรรณกรรมแนวบูรณำกำรศำสตร์สมัยใหม่ หมายความถึงหนังสือท่ีผูเ้ ขียนไดน้ า หลกั การเร่ืองมหาสติปัฏฐานปบูรณาการเขียนกบั ศาสตร์สมยั ใหม่หรือการนาหลกั การสติปัฏฐาน ๔ ไป ประยกุ ตใ์ ช้ ประเภท ๔) กาหนดรหสั แบบบนั ทึก [ป.๔] โดยนาเรียงตามรหสั แบบบนั ทึกวรรณกรรม เล่ม ๑ ถึง เล่ม ๑๕ เป็นรหสั แบบบนั ทึก ป.๔-๑ ถึง ป.๔-๑๕ แผนภาพที่ ๓.๕ แสดงประเภทวรรณกรรมบูรณาการศาสตร์สมยั ใหม่ [ป๓] รหสั แบบบนั ทึก ป.๓-๑ ถึง ป.๓-๒๕
๑๙ เครื่องมือทใี่ ช้เกบ็ รวบรวมข้อมูล ปกหนงั สือ รหสั แบบบนั ทึก ๑ ช่ือหนงั สือ ผเู้ ขียน คร้ังที่พิมพ/์ ปี พมิ พ์ สานกั พิมพ์ เนื้อหำหนังสือโดยสังเขป ๒ คำอธิบำยเรื่องมหำสติปัฏฐำน ๔ มหาสติปัฏฐาน ๔ ประเด็นศึกษา แนวคิด หลกั กำร ๓ วธิ ีกำร คำสำคัญ ข้อควำมสำคญั และควำมหมำยสำคญั เร่ืองมหำสตปิ ัฏฐำน ๔ สติปัฏฐำน คำสำคัญ กำย ๑. ๒. ๓. n. n. เวทนำ ๔. ๕. ๖. n. n. ๔จิต ๗. ๘. ๙. ธรรม ๑๐. ๑๑. ๑๒.
กรอบกำรวเิ ครำะห์จำแนกเร่ืองมหำสตปิ ัฏฐำน ๔ ๒๐ กรอบวเิ ครำะห์ กำย เวทนำ จิต ธรรม แนวคดิ หลกั กำร ๕ วธิ ีกำร แผนทค่ี วำมคดิ (รหสั แบบบนั ทึก) ๖ บทสรุป (รหสั แบบบนั ทึก) คำตอบสรุป ข้อ คำถำม ขอ้ ๑ สำระเนื้อหำจุดเน้น องค์ควำมรู้ กลวธิ ีเขยี น แนะนำวรรณกรรม ขอ้ ๒ ๗ ขอ้ ๓ ขอ้ ๔
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300