Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรกลุ่มสาระ 2565

หลักสูตรกลุ่มสาระ 2565

Published by Kru Sunisa, 2022-07-24 05:24:42

Description: หลักสูตรวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปรับปรุง พ.ศ.2565

Keywords: หลักสูตรวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี,หลักสูตร

Search

Read the Text Version

1

ก คำนำ หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านทุ่งม่าน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบับ ปรบั ปรุง พ.ศ.๒๕๖5 ระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๑ ถงึ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 เล่มนี้ ไดจ้ ัดทาขน้ึ โดยยึดหลักสูตร กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) ซึ่งมีรายเอียดของหลักสูตร คือ ความนา สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดชั้นปี ตัวชี้วัดสาระการเรียนรู้แกนกลางและสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น โครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา โครงสร้างรายวชิ า คาอธิบายรายวชิ า การวดั ผลและประเมนิ ผลการเรียนรู้ หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านทุ่งม่าน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖5 ฉบับน้ี มรี ายละเอียดและเน้ือหาสาระสาคญั เพียงพอท่สี ามารถจะนาไปใชเ้ ป็นแนวทางใน การจัดการเรียนการสอน ให้บรรลุเป้าหมายตามมาตรฐานและตัวชี้วัดที่หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) กาหนดไว้ คณะผูจ้ ัดทา กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

สำรบญั ข เรื่อง หนำ้ คำนำ ก สำรบัญ ข-ง สว่ นท่ี 1 ควำมนำ 1 1 ความนา 5 วิสยั ทัศนก์ ล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 12 คุณภาพผู้เรียน 15 ตวั ชี้วัดปี 32 ตวั ชว้ี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรยี นท่ี 1 36 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรยี นที่ 2 39 ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ภาคเรยี นที่ 1 41 ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 44 ตัวชี้วดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนท่ี 1 47 ตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรียนท่ี 2 52 ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 1 56 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 2 60 ตัวช้ีวดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1 64 ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 2 69 ตัวชว้ี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรยี นที่ 1 74 ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรียนท่ี 2 81 ตวั ชว้ี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรยี นที่ 1 92 ตัวช้ีวัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนที่ 2 100 ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ภาคเรยี นท่ี 1 110 ตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรยี นที่ 2 124 ตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรยี นที่ 1 135 ตัวชว้ี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรยี นท่ี 2 145 สว่ นท่ี 2 โครงสร้ำงหลกั สูตรสถำนศกึ ษำ 145 โครงสร้างเวลาเรียนหลักสตู รสถานศึกษาโรงเรยี นบ้านทุ่งม่าน 146 โครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 1 147 โครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 2 148 โครงสรา้ งหลักสตู รสถานศึกษา ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 3 149 โครงสรา้ งหลกั สูตรสถานศึกษา ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4 150 โครงสรา้ งหลักสูตรสถานศึกษา ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 5 151 โครงสรา้ งหลักสูตรสถานศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 152 โครงสร้างหลักสตู รสถานศึกษา ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 153 โครงสร้างหลักสตู รสถานศึกษา ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 ภาคเรยี นท่ี 2

ค สำรบัญ(ต่อ) เรื่อง หนำ้ โครงสร้างหลกั สตู รสถานศึกษา ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ภาคเรียนที่ 1 154 โครงสรา้ งหลักสูตรสถานศึกษา ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 ภาคเรียนท่ี 2 155 โครงสร้างหลักสตู รสถานศึกษา ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรียนที่ 1 156 โครงสรา้ งหลกั สตู รสถานศึกษา ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 157 โครงสร้างรายวิชา 158 โครงสรา้ งรายวิชาพน้ื ฐาน วิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๑ 160 โครงสรา้ งรายวชิ าพนื้ ฐาน วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี ๒ 162 โครงสร้างรายวชิ าพื้นฐาน วชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๓ 164 โครงสรา้ งรายวิชาพื้นฐาน วิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๔ 166 โครงสรา้ งรายวชิ าพนื้ ฐาน วิชาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๕ 168 โครงสร้างรายวชิ าพื้นฐาน วิชาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปที ี่ ๖ 170 โครงสร้างรายวชิ าพ้ืนฐาน วชิ าวิทยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ภาคเรียนที่ 1 172 โครงสรา้ งรายวชิ าพน้ื ฐาน วิชาวิทยาการคานวณ ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรยี นที่ 1 173 โครงสรา้ งรายวชิ าพื้นฐาน วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 174 โครงสรา้ งรายวิชาพน้ื ฐาน วิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 175 โครงสร้างรายวิชาพน้ื ฐาน วิชาวทิ ยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 176 โครงสร้างรายวิชาพ้นื ฐาน วชิ าวิทยาการคานวณ ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 ภาคเรียนที่ 1 177 โครงสรา้ งรายวิชาพื้นฐาน วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ภาคเรยี นที่ 2 178 โครงสรา้ งรายวิชาพืน้ ฐาน วิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 ภาคเรียนท่ี 2 179 โครงสรา้ งรายวชิ าพน้ื ฐาน วิชาวิทยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ภาคเรยี นท่ี 1 180 โครงสร้างรายวชิ าพนื้ ฐาน วชิ าวิทยาการคานวณ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ภาคเรยี นที่ 1 181 โครงสรา้ งรายวชิ าพื้นฐาน วิชาวทิ ยาศาสตร์ ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรยี นท่ี 2 182 โครงสรา้ งรายวชิ าพื้นฐาน วิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ภาคเรียนท่ี 2 183 โครงสรา้ งรายวชิ าเพิม่ เตมิ วิชาเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๑ 184 โครงสรา้ งรายวชิ าเพ่มิ เตมิ วชิ าเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๒ 185 โครงสร้างรายวชิ าเพิม่ เตมิ วิชาเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๓ 186 โครงสร้างรายวิชาเพม่ิ เติม วชิ าเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๔ 187 โครงสร้างรายวิชาเพมิ่ เติม วิชาเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๕ 188 โครงสรา้ งรายวิชาเพิ่มเตมิ วิชาเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ ๖ 189 โครงสรา้ งรายวิชาเพม่ิ เติม วิชาคอมพิวเตอร์ ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 ภาคเรยี นท่ี 1 190 โครงสร้างรายวชิ าเพิม่ เติม วิชาคอมพิวเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 1 ภาคเรียนที่ 2 192 โครงสร้างรายวิชาเพมิ่ เติม วชิ าคอมพิวเตอร์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 ภาคเรียนที่ 1 194 โครงสร้างรายวิชาเพิ่มเตมิ วิชาคอมพิวเตอร์ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 2 ภาคเรยี นที่ 2 196 โครงสร้างรายวิชาเพิ่มเตมิ วชิ าคอมพวิ เตอร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 198 โครงสร้างรายวชิ าเพมิ่ เติม วิชาคอมพิวเตอร์ ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรยี นที่ 2 200

ง สำรบญั (ต่อ) เร่อื ง หน้ำ ส่วนที่ 3 คำอธิบำยรำยวิชำ 201 202 คาอธบิ ายรายวิชาพน้ื ฐาน วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๑ 203 คาอธิบายรายวชิ าพน้ื ฐาน วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี ๒ 204 คาอธิบายรายวิชาพื้นฐาน วชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี ๓ 206 คาอธบิ ายรายวชิ าพ้ืนฐาน วชิ าวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๔ 208 คาอธบิ ายรายวชิ าพน้ื ฐาน วิชาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๕ 210 คาอธบิ ายรายวชิ าพื้นฐาน วิชาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี ๖ 212 คาอธบิ ายรายวิชาพน้ื ฐาน วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ภาคเรียนที่ 1 213 คาอธบิ ายรายวิชาพน้ื ฐาน วิชาวิทยาการคานวณ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรยี นที่ 1 214 คาอธบิ ายรายวิชาพน้ื ฐาน วิชาวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 2 215 คาอธบิ ายรายวชิ าพื้นฐาน วชิ าการออกแบบและเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ภาคเรยี นที่ 2 216 คาอธิบายรายวิชาพน้ื ฐาน วชิ าวิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนท่ี 1 217 คาอธิบายรายวชิ าพื้นฐาน วิชาวทิ ยาการคานวณ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 218 คาอธิบายรายวชิ าพน้ื ฐาน วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 2 ภาคเรียนที่ 2 219 คาอธิบายรายวิชาพื้นฐาน วิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรยี นท่ี 2 220 คาอธิบายรายวิชาพืน้ ฐาน วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรียนที่ 1 221 คาอธิบายรายวิชาพน้ื ฐาน วชิ าวิทยาการคานวณ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 ภาคเรียนท่ี 1 222 คาอธิบายรายวชิ าพน้ื ฐาน วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรยี นท่ี 2 223 คาอธบิ ายรายวชิ าพื้นฐาน วิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 224 คาอธบิ ายรายวิชาเพิ่มเติม วชิ าเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๑ 225 คาอธบิ ายรายวชิ าเพ่ิมเตมิ วิชาเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 226 คาอธิบายรายวิชาเพ่ิมเติม วิชาเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 3 227 คาอธบิ ายรายวชิ าเพิ่มเตมิ วิชาเทคโนโลยี ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 228 คาอธิบายรายวิชาเพ่ิมเตมิ วชิ าเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 5 229 คาอธิบายรายวิชาเพ่ิมเตมิ วชิ าเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 230 คาอธิบายรายวชิ าเพ่ิมเติม วิชาคอมพิวเตอร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 ภาคเรียนท่ี 1 2331 คาอธบิ ายรายวิชาเพ่ิมเตมิ วิชาคอมพวิ เตอร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ภาคเรยี นที่ 2 232 คาอธิบายรายวชิ าเพิ่มเติม วิชาคอมพิวเตอร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ภาคเรียนท่ี 1 233 คาอธิบายรายวชิ าเพิ่มเตมิ วชิ าคอมพิวเตอร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 ภาคเรียนท่ี 2 234 คาอธิบายรายวิชาเพิ่มเติม วชิ าคอมพวิ เตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรยี นที่ 1 235 คาอธิบายรายวชิ าเพิ่มเติม วชิ าคอมพิวเตอร์ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนท่ี 2 236 ส่วนที่ ๔ กำรวัดผลและประเมินผลกำรเรยี นรวู้ ทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี 236 การวดั ผลและประเมนิ ผลการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 246 อภธิ านศัพท์ 250 เอกสำรอ้ำงอิง 251 คณะผูจ้ ัดทำ

1 สว่ นท่ี 1 ควำมนำ ควำมนำ ตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลาง การศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.2560) น้ไี ด้กาหนดสาระการเรยี นรู้ออกเป็น 8 สาระ ได้แก่ สาระท่ี 1 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ สาระท่ี 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลกและ อวกาศ สาระที่ 4 ชีววิทยา สาระที่ 5 เคมี สาระที่ 6 ฟิสิกส์ สาระท่ี 7 โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ และ สาระที่ 8 เทคโนโลยี ซ่ึงองค์ประกอบของหลักสูตร ทง้ั ในด้านของเนื้อหา การจัดการเรยี นการสอนและการวัด และประเมินผลการเรียนรู้นั้น มีความสาคญั อย่างยงิ่ ในการวางรากฐานการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ของผูเ้ รยี นในแต่ ละระดบั ช้ันให้มคี วามต่อเนอ่ื งเชื่อมโยงกันตั้งแต่ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึงช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 สาหรับกลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ได้กาหนดตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ท่ีผู้เรียนจาเป็นต้องเรียนเป็น พื้นฐาน เพื่อให้สามารถนาความรู้น้ีไปใช้ในการดารงชีวติ หรือศึกษาต่อในวิชาชีพท่ีต้องใช้วทิ ยาศาสตร์ได้ โดย จัดเรียงลาดับความยากง่าย ของเนื้อหาทั้ง 8 สาระ ในแต่ละระดับชั้นให้มีการเชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ เรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาความคิด ท้ังความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิด สร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะท่ีสาคัญทั้งทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละทักษะในศตวรรษ ท่ี 21 ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็น ระบบ สามารถตดั สนิ ใจโดยใชข้ ้อมลู หลากหลายและประจักษพ์ ยานท่ีตรวจสอบได้ กระทรวงศึกษาธิการตระหนักถึงความสาคัญของการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท่ีมุ่งหวังให้เกิดผล สัมฤทธิ์ต่อผู้เรียนมากที่สุด จึงมอบหมายให้สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ (สสวท.) จัดทาตัวช้ีวัดและ สาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.2560) ข้นึ เพื่อให้สถานศกึ ษา ครูผสู้ อน ตลอดจนหนว่ ยงานตา่ งๆ ได้ ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา หนังสือเรียน คู่มือครู ส่ือประกอบการเรียนการสอน ตลอดจนการวัดและ ประเมินผล โดยตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ที่จัดทาข้ึนน้ีได้ปรับปรุงให้มี ความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันภายในสาระการเรียนรู้เดียวกันและระหว่างสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตลอดจนการเชื่อมโยงเน้ือหาความรู้ ทางวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ด้วย นอกจากน้ี ยัง ได้ปรับปรุงเพ่ือให้มีความทันสมัยต่อการเปล่ียนแปลง และความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่างๆ และ ทดั เทียมกับนานาชาติ กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์สรุปเป็น แผนภาพไดด้ ังนี้

2 กลมุ่ สำระกำร เรยี นร้วู ิทยำศำสตร์ แผนภำพ สำระ มำตรฐำนกำรเรยี นรู้และตัวชี้วัดกลุ่มสำระกำรเรยี นรวู้ ทิ ยำศำสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.2560) วทิ ยำศำสตร์เพ่มิ เติม ⚫ สาระชีววิทยา ⚫ สาระเคมี ⚫ สาระฟิสิกส์ ⚫ สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ สาหรับวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม สาระชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ และโลก ดาราศาสตร์และอวกาศ จัดทาข้ึน สาหรบั ผูเ้ รียนในระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษาตอนปลาย แผนการเรยี นวิทยาศาสตร์ ที่จาเป็นต้องเรยี น เพ่ือเป็นพน้ื ฐาน สาคัญและเพยี งพอสาหรบั การศึกษาต่อ และการประกอบอาชีพด้านวทิ ยาศาสตร์ เปำ้ หมำยของกำรจดั กำรเรียนกำรสอนวทิ ยำศำสตร์ วิทยาศาสตร์เป็นเร่ืองของการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ โดยมนุษย์ใช้กระบวนการสังเกต สารวจ ตรวจสอบ และการทดลองเก่ียวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและนาผลมาจัดระบบ หลักการ แนวคิดและ ทฤษฎี ดังน้ันการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จึงมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เป็นผู้เรียนรู้และค้นพบด้วยตนเองมากท่ีสุด น่ันคือให้ได้ทั้งกระบวนการและองค์ความรู้ ตั้งแต่วัยเริ่มแรกก่อนเข้าเรียน เม่ืออยู่ในสถานศึกษาและเม่ือออก จากสถานศึกษาไปประกอบอาชีพแลว้ กำรจัดกำรเรียนกำรสอนวทิ ยำศำสตรใ์ นสถำนศกึ ษำมเี ปำ้ หมำยสำคัญ ดงั น้ี 1. เพื่อใหเ้ ขา้ ใจหลักการ ทฤษฎีทเ่ี ป็นพ้ืนฐานในวทิ ยาศาสตร์ 2. เพอื่ ให้เข้าใจขอบเขต ธรรมชาตแิ ละข้อจากัดของวทิ ยาศาสตร์

3 3. เพื่อให้มีทักษะทสี่ าคญั ในการศกึ ษาคน้ คว้าและคดิ ค้นทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. เพ่ือพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการทักษะ ในการสอื่ สาร และความสามารถในการตดั สินใจ 5. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์และสภาพแวดล้อม ในเชิงท่ีมีอทิ ธพิ ลและผลกระทบซง่ึ กนั และกนั 6. เพ่ือนาความรู้ความเข้าใจในเร่ืองวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและ การดารงชีวิต 7. เพ่ือให้เป็นคนมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยอี ยา่ งสรา้ งสรรค์ เรียนรู้อะไรในวิทยำศำสตร์ กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์มุ่งหวงั ให้ผ้เู รยี นไดเ้ รยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ทีเ่ นน้ การเชื่อมโยงความรกู้ ับ กระบวนการ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และแกป้ ัญหาท่ีหลากหลาย ใหผ้ เู้ รยี นมสี ่วนร่วมในการเรียนรู้ ทุกขน้ั ตอน มีการทากิจกรรมดว้ ยการลงมือปฏิบัติ จรงิ อยา่ งหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชนั้ โดยกาหนดสาระสาคญั ดงั น้ี ✧ วิทยำศำสตร์ชีวภำพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตในส่ิงแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต การ ดารงชีวิตของมนุษย์และสัตว์การดารงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และวิวัฒนาการ ของส่งิ มชี ีวิต ✧ วิทยำศำสตรก์ ำยภำพ เรยี นร้เู กี่ยวกบั ธรรมชาติของสาร การเปลีย่ นแปลงของสาร การเคล่อื นท่ี พลงั งาน และคลื่น ✧ วทิ ยำศำสตรโ์ ลกและอวกำศ เรียนรู้เก่ยี วกบั องคป์ ระกอบของเอกภพ ปฏิสมั พนั ธ์ ภายในระบบ สุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปล่ียนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศ และผลต่อสิ่งมีชวี ติ และสิง่ แวดลอ้ ม ✧ เทคโนโลยี ● การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อการดารงชีวิต ในสังคมที่มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อ แกป้ ญั หาหรือพฒั นางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใชเ้ ทคโนโลยี อยา่ งเหมาะสมโดยคานงึ ถึงผลกระทบตอ่ ชีวติ สังคม และสิ่งแวดลอ้ ม ● วิทยำกำรคำนวณ เรียนรู้เกี่ยวกับการคิดเชิงคานวณ การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา เป็นข้ันตอน และเป็นระบบประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสาร ในการ แก้ปญั หาทพี่ บในชวี ติ จริงได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ สำระและมำตรฐำนกำรเรียนรู้ สำระที่ 1 วิทยำศำสตร์ชีวภำพ มาตรฐาน ว1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงไม่มีชีวิต กับสิ่งมีชีวิต และ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การ เปล่ียนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบท่ีมีต่อ

4 ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการ แกไ้ ขปัญหาสง่ิ แวดล้อม รวมท้งั นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว1.2 เขา้ ใจสมบตั ิของส่ิงมชี วี ิต หน่วยพื้นฐานของส่ิงมีชวี ติ การลาเลียงสารเข้า และออกจากเซลล์ ความสัมพนั ธข์ องโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบตา่ งๆ ของสัตว์และมนุษย์ทที่ างานสัมพันธ์ กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ี ของอวัยวะต่างๆ ของพืชท่ีทางานสัมพันธ์กัน รวมทัง้ นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมท่ีมีผลต่อส่ิงมีชีวิต ความหลากหลาย ทางชีวภาพและ วิวัฒนาการของส่งิ มชี ีวติ รวมทงั้ นาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ สำระท่ี 2 วิทยำศำสตร์กำยภำพ มาตรฐาน ว2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับ โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปล่ียนแปลง สถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี มาตรฐาน ว2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวนั ผลของแรงท่ีกระทาต่อวตั ถุ ลักษณะ การเคล่ือนที่ แบบต่างๆ ของวัตถรุ วมทัง้ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของ คล่ืน ปรากฏการณ์ที่ เกยี่ วขอ้ งกับเสยี ง แสง และคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ รวมทง้ั นาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ สำระที่ 3 วทิ ยำศำสตรโ์ ลก และอวกำศ มาตรฐาน ว3.1 เขา้ ใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพกาแล็กซีดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมท้ังปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ ที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการ ประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ มาตรฐาน ว3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟ้า อากาศและภูมิอากาศโลก รวมท้ังผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอ้ ม สำระท่ี 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว4.1 เขา้ ใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยเี พอ่ื การดารงชวี ติ ในสังคมท่ีมีการเปล่ียนแปลง อยา่ งรวดเรว็ ใชค้ วามร้แู ละทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตรอ์ ่ืน ๆ เพื่อแกป้ ัญหาหรือ พัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้ เทคโนโลยีอยา่ งเหมาะสม โดยคานงึ ถึงผลกระทบตอ่ ชวี ติ สงั คม และสง่ิ แวดล้อม มาตรฐาน ว4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น ข้ันตอนและเป็น ระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหา ได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ รู้เทา่ ทัน และมจี รยิ ธรรม

5 วิสยั ทศั น์กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี วิสัยทัศน์ มุ่งให้ผู้เรียน มีความสามารถในการเรียนรู้ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ กระบวนการแก้ปัญหาโดย ใช้ทักษะกระบวนการทางด้านวิทยาศาสตร์ รวมท้ังพัฒนาผู้เรียนให้มีจิตวิทยาศาสตร์ เจตคติ คุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม ท่ีเหมาะสมต่อวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คมและสง่ิ แวดล้อม สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี นและคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตาม มาตรฐานที่กาหนด ซงึ่ จะชว่ ยให้ผูเ้ รยี นเกดิ สมรรถนะสาคญั และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ ดงั นี้ สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐานมุ่งใหผ้ เู้ รียนเกิดสมรรถนะสาคัญ ๕ ประการ ดงั น้ี ๑. ควำมสำมำรถในกำรส่ือสำร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรคู้ วามเขา้ ใจ ความร้สู กึ และทศั นะของตนเองเพื่อแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสารและ ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลด ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้องตลอดจนการ เลอื กใช้วธิ ีการสื่อสารที่มีประสทิ ธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบท่ีมีต่อตนเองและสงั คม ๒. ควำมสำมำรถในกำรคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพ่ือนาไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ สารสนเทศเพ่ือการตดั สนิ ใจเก่ยี วกับตนเองและสังคมได้อยา่ งเหมาะสม ๓. ควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำ เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่ เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์ และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและ แก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจท่ีมีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและ สิ่งแวดล้อม ๔. ควำมสำมำรถในกำรใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนากระบวนการต่างๆ ไปใช้ใน การดาเนินชีวิตประจาวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง การทางาน และการอยู่ร่วมกันใน สังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อย่าง เหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลยี่ นแปลงของสงั คมและสภาพแวดลอ้ มและการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤตกิ รรม ไม่พึงประสงค์ที่สง่ ผลกระทบต่อตนเองและผู้อนื่ ๕. ควำมสำมำรถในกำรใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้เทคโนโลยีด้าน ต่างๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่ือการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การส่ือสาร การทางาน การแกป้ ญั หาอย่างสร้างสรรค์ ถกู ตอ้ ง เหมาะสม และมีคุณธรรม

6 คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ เพ่อื ให้สามารถ อยรู่ ่วมกบั ผู้อื่นในสงั คมไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข ในฐานะเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก ดงั นี้ ๑. รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ ๒. ซื่อสตั ย์สุจรติ ๓. มวี นิ ยั ๔. ใฝเ่ รียนรู้ ๕. อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง ๖. มงุ่ มน่ั ในการทางาน ๗. รกั ความเป็นไทย ๘. มจี ิตสาธารณะ ทักษะมีจำเปน็ ในศตวรรษที่ ๒๑ ท่ที ุกคนจะตอ้ งเรยี นรู้ตลอดชีวติ คือ การเรียนรู้ ๓R x 8C 3R คือ ทกั ษะดา้ นความรู้ (Hard Skills) ไดแ้ ก่ 1. Reading : สามารถอา่ นออก อ่านจับใจความได้ 2. (W)Riting : สามารถเขียนได้ สอ่ื สารใหค้ นอน่ื เข้าใจ 3. (A)Rithemetics : มที กั ษะการคานวณ คดิ แบบนามธรรม 8C คอื ทักษะทางอารมณ์ (Soft Skills) ได้แก่ 1. Critical thinking and problem solving คือ มีทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมี วิจารณญาณและสามารถแก้ไขปญั หาได้ 2. Creativity and innovation คอื การคิดอยา่ งสร้างสรรค์และคิดเชิงนวตั กรรม 3. Cross-cultural understanding คือ ความเข้าใจในความแตกต่างของวัฒนธรรมและ กระบวนการคิดข้ามวัฒนธรรม 4. Collaboration teamwork and leadership คือ ความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และ ภาวะความเปน็ ผนู้ า 5. Communication information and media literacy คือ มีทักษะในการสื่อสารและการ รเู้ ท่าทันสอ่ื 6. Computing and IT literacy คอื มที กั ษะการใชค้ อมพวิ เตอรแ์ ละร้เู ทา่ ทันเทคโนโลยี 7. Career and learning skills คือ มที ักษะอาชพี และการเรยี นรู้ 8. Compassion คอื มีความเมตตากรุณา มคี ณุ ธรรม และมีระเบยี บวินยั ทักษะที่สำคญั ในกำรเรยี นรู้วิทยำศำสตร์ การดารงชีวิตและประกอบอาชีพในศตวรรษท่ี ๒๑ นัน้ มีความคาดหวงั ให้พลเมืองในศตวรรษนี้เป็นผู้มี ความรอบรู้ เป็นนักคิด และนักแก้ปัญหา สามารถนาความรู้มาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที ดังนั้นในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ผู้สอนจึงจาเป็นต้องออกแบบและวางแผนการจัดการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ทเ่ี น้นการพัฒนาสมรรถนะของผ้เู รียนในด้านต่างๆ ทง้ั ด้านองค์ความร้หู รือแนวคิดทางวทิ ยาศาสตร์ ด้านทักษะ กระบวนการวิทยาศาสตร์ ด้านทักษะการคิดระดับสูง ด้านทักษะที่จาเป็นสาหรับศตวรรษท่ี ๒๑ และด้านทักษะอื่นๆ ตลอดจน ด้านเจตคติทางวิทยาศาสตร์เพ่ือให้ผู้เรียนเป็นนักเรียนรู้ นักคิด เช่ือมั่น ยึดถือ และ ศรทั ธาในการใชค้ วามรูว้ ิทยาศาสตร์ในทางที่สร้างสรรค์ สามารถนาความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง

7 และผู้อน่ื อยา่ งมคี ุณธรรมเป็นกาลังสาคัญในการพฒั นาประเทศชาติ ตลอดจนเป็นพลเมืองของโลกทดี่ ารงชวี ิตใน สังคมแห่งศตวรรษที่ ๒๑ อย่างมีคุณค่า ทักษะสาคัญท่ีผู้สอนจาเป็นต้องพัฒนาให้เกิดข้ึนกับผู้เรียนเมื่อมีการ จดั การเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ ได้แก่ ❖ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Science Process Skills) ❖ ทักษะกระบวนการสาหรับการออกแบบและเทคโนโลยี (Process Skills Design and Technology) ❖ ทักษะการคิดเชงิ คานวณ (Computational Thinking) ❖ ทกั ษะการเรยี นรูใ้ นศตวรรษท่ี ๒๑ (21st Century Skills) ทกั ษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์เป็นทักษะทางสติปญั ญา (Intellectual) ทน่ี ักวิทยาศาสตรแ์ ละผู้ ที่นาวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ปัญหา การศึกษาค้นคว้า สืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาต่างๆ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แบ่งออกได้เป็น ๑4 ทักษะ ทักษะที่ ๑-๘ เป็นทักษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตรข์ ้ันพ้นื ฐาน และทกั ษะที่ ๙-๑4 เปน็ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ ้ันสูงหรือขั้นผสมหรือขั้น บรู ณาการ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทัง้ ๑4 ทกั ษะ มดี ังนี้ ๑. กำรสังเกต (Observing) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหน่ึงหรือหลายอย่าง รวมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือเหตุการณ์ เพื่อค้นหาข้อมูลซึ่งเป็น รายละเอียดของสิ่งนั้น โดยไม่ใส่ความเห็นของผู้สังเกตลงไป ข้อมูลท่ีได้จากการสังเกตประกอบด้วยข้อมูลเชิง คุณภาพ ข้อมูลเชิงปริมาณ และข้อมูลที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงท่ีสังเกตเห็นได้จากวัตถุหรือเหตุการณ์น้ัน ความสามารถท่ีแสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะนี้ ประกอบด้วยการช้ีบ่งและการบรรยายสมบัติของวัตถุได้โดยการ กะประมาณและการบรรยายการเปล่ยี นแปลงของส่ิงที่สงั เกตได้ ๒. กำรลงควำมเห็นจำกข้อมูล (Inferring) หมายถงึ การเพม่ิ ความคดิ เห็นให้กบั ข้อมูลที่ได้จาก การสังเกตอย่างมีเหตุผล โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์เดิมมาช่วย ความสามารถท่ีแสดงให้เห็นว่าเกิด ทกั ษะน้ีคือ การอธบิ ายหรอื สรปุ โดยเพม่ิ ความคิดเหน็ ให้กบั ขอ้ มูลโดยใชค้ วามรหู้ รอื ประสบการณเ์ ดิมมาช่วย ๓. กำรจำแนกประเภท (Classifying) หมายถึง การแบ่งพวกหรือเรียงลาดับวัตถุหรือสิง่ ท่ีมีอยู่ ในปรากฏการณ์โดยมีเกณฑ์ และเกณฑ์ดังกล่าวอาจใช้ความเหมือน ความแตกต่าง หรือความสัมพันธ์อย่างใด อย่างหนึ่งก็ได้ ความสามารถที่แสดงว่าเกิดทักษะนี้แล้ว ได้แก่ การแบ่งพวกของส่ิงต่างๆ จากเกณฑ์ที่ผู้อื่น กาหนดให้ได้ นอกจากน้ันสามารถเรียงลาดับสิ่งของด้วยเกณฑ์ของตัวเองพร้อมกับบอกได้ว่าผู้อื่นแบ่งพวกของ ส่ิงของนนั้ โดยใช้อะไรเปน็ เกณฑ์ ๔. กำรวัด (Measuring) หมายถึง การเลือกใช้เคร่ืองมือและการใช้เครื่องมือน้ันทาการวัดหา ปริมาณของสง่ิ ตา่ งๆ ออกมาเป็นตวั เลขที่แนน่ อนได้อยา่ งเหมาะสมกบั สงิ่ ทว่ี ดั แสดงวิธใี ชเ้ คร่ืองมืออย่างถูกต้อง พร้อมทั้งบอกเหตผุ ลในการเลือกใช้เครือ่ งมือ รวมทง้ั ระบุหน่วยของตวั เลขท่ีไดจ้ ากการวดั ได้ ๕. กำรใช้ตัวเลข (Using Numbers) หมายถึง การนับจานวนของวัตถุและการนาตัวเลขที่ แสดงจานวนที่นับได้มาคิดคานวณโดยการบวก ลบ คูณ หาร หรือการหาค่าเฉลี่ย ความสามารถที่แสดงให้เห็น ว่าเกิดทักษะน้ี ได้แก่ การนับจานวนสิ่งของได้ถูกต้อง เช่น ใช้ตัวเลขแทนจานวนการนับได้ ตัดสินได้ว่าวัตถุใน แต่ละกลุ่มมีจานวนเท่ากันหรือแตกต่างกัน เป็นต้น การคานวณ เช่น บอกวิธีคานวณ คิดคานวณ และแสดงวิธี คานวณได้อย่างถูกต้อง และประการสุดท้ายคือ การหาค่าเฉล่ีย เช่น การบอกและแสดงวิธีการหาค่าเฉลี่ยได้ ถกู ต้อง

8 ๖. กำรหำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลำ (Using Space/Time Relationships) สเปสของวตั ถุ หมายถึง ทว่ี ่างทีว่ ัตถุน้นั ครองที่อยู่ ซึ่งมรี ูปรา่ งลักษะเช่นเดียวกับวัตถุน้ันโดยทั่วไป แล้วสเปสของวัตถจุ ะมี ๓ มิติ คือ ความกว้าง ความยาว และความสงู ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสของวัตถุ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่าง 3 มิติ กับ 2 มิติ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างตาแหนง่ ทขี่ องวัตถหุ นง่ึ กับอกี วัตถุหนง่ึ ความสามารถทีแ่ สดงให้เห็นวา่ เกดิ ทกั ษะการหา ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส ได้แก่ การช้ีบ่งรูป 2 มิติ และ 3 มิติได้ สามารถวาดภาพ 2 มติ ิ จากวตั ถุหรอื จากภาพ 3 มติ ิ ไดค้ วามสัมพันธ์ระหวา่ งสเปสกับเวลา ไดแ้ ก่ ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยน ตาแหน่งที่อยู่ของวัตถุกับเวลา หรือความสัมพันธ์ระหว่างสเปสของวัตถุท่ีเปล่ียนไปกับเวลาความสามารถที่ แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา ได้แก่ การบอกตาแหน่งและทิศทางของ วัตถุโดยใช้ตัวเองหรือวัตถุอ่ืนเป็นเกณฑ์ บอกความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนตาแหน่ง เปล่ียนขนาด หรือ ปรมิ าณของวตั ถกุ ับเวลาได้ ๗. กำรส่ือควำมหมำยข้อมูล (Communicating) หมายถึง การนาข้อมูลที่ได้จาการสังเกต การวัดการทดลอง และจากแหล่งอื่น ๆ มาจัดกระทาเสียใหม่โดยการหาความถ่ี เรียงลาดับ จัดแยกประเภท หรือคานวณหาค่าใหม่ เพ่ือให้ผู้อ่ืนเข้าใจความหมายได้ดีข้ึน โดยอาจเสนอในรูปของตาราง แผนภูมิ แผนภาพ ไดอะแกรม กราฟ สมการ การเขียนบรรยาย เป็นต้น ความสามารถท่ีแสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะนี้แล้ว คือการ เปล่ียนแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปใหม่ท่ีเข้าใจดีข้ึน โดยจะต้องรู้จักเลือกรูปแบบที่ใช้ในการเสนอข้อมูลได้อย่าง เหมาะสม บอกเหตุผลในการเสนอข้อมูลในการเลือกแบบแสนอข้อมูลนั้น การเสนอข้อมูลอาจกระทาได้หลาย แบบดงั ท่ีกลา่ วมาแล้ว โดยเฉพาะการเสนอข้อมลู ในรูปของตาราง การบรรจขุ อ้ มลู ใหอ้ ยูใ่ นรปู ของตารางปกติจะ ใสค่ า่ ของตวั แปรอิสระไว้ทางซ้ายมือของตาราง และคา่ ของตวั แปรตามไว้ทางขวามือของตารางโดยเขียนค่าของ ตวั แปรอสิ ระไว้ให้เรียงลาดบั จากคา่ น้อยไปหาค่ามาก หรือจากคา่ มากไปหาคา่ น้อย ๘. กำรพยำกรณ์ (Predicting) หมายถงึ การทานายหรอื การคาดคะเนคาตอบ โดยอาศยั ข้อมูล ที่ได้จากการสังเกตหรือการทาซ้า ผ่านกระบวนการแปรความหายของข้อมูลจากสัมพันธ์ภายใต้ความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ คือ สามารถทานายผลที่อาจจะเกิดข้ึนจากข้อมูลบนพื้นฐาน หลักการ กฎ หรอื ทฤษฎีที่มอี ยู่ ท้งั ภายในขอบเขตของข้อมลู และภายนอกขอบเขตของข้อมลู ในเชงิ ปริมาณได้ ๙. กำรช้ีบ่งและกำรควบคุมตัวแปร (Identifying and Controlling Variables) หมายถึง การช้บี ่งตวั แปรตน้ ตัวแปรตาม และตัวแปรที่ตอ้ งควบคมุ ให้คงท่ใี นสมมตฐิ าน หนึ่ง ๆ ตัวแปรต้น หมายถึง สิ่งท่ีเป็นสาเหตุที่ทาใหเ้ กิดผลต่างๆ หรือส่ิงที่เราต้องการทดลองดูวา่ เปน็ สาเหตุทกี่ ่อใหเ้ กิดผลเช่นนัน้ จริงหรือไม่ ตัวแปรตำม หมายถึง ส่ิงที่เป็นผลเนื่องมาจากตัวแปรต้น เม่ือตัวแปรต้นหรือส่ิงที่เป็นสาเหตุ เปลยี่ นไป ตวั แปรตามหรือส่งิ ท่ีเป็นผลจะแปรตามไปดว้ ย ตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงที่ หมายถึง ส่ิงอ่ืน ๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้นที่จะทาให้ผลการ ทดลองคลาดเคล่ือน ถา้ หากวา่ ไมม่ กี ารควบคุมใหเ้ หมือนกนั ๑๐. กำรต้ังสมมติฐำน (Formulating Hypotheses) หมายถึง การคิดหาคาตอบล่วงหน้า ก่อนทาการทดลอง โดยอาศัยการสงั เกต อาศัยความรหู้ รือประสบการณ์เดิมเป็นพื้นฐาน คาตอบที่คิดล่วงหน้าน้ี ยังไม่ทราบ หรือยังไม่เป็นทางการ กฎหรือทฤษฏีมาก่อน สมมติฐาน คือคาตอบที่คิดไว้ล่วงหน้ามีกล่าวไว้เป็น ขอ้ ความทบ่ี อกความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตวั แปรต้นกับตัวแปรตามสมมติฐานท่ตี ั้งข้นึ อาจถูกหรือผดิ ก็ได้ ซงึ่ ทราบได้ ภายหลังการทดลองหาคาตอบเพ่ือสนับสนุนสมมติฐานหรือคัดค้านสมมติฐานท่ีต้ังไว้ สิ่งที่ควรคานึงถึงในการ ตั้งสมมติฐาน คือ การบอกชื่อตัวแปรต้นซ่ึงอาจมีผลต่อตัวแปรตามและในการต้ังสมมติฐานต้องทราบตัวแปร

9 จากปัญหาและสภาพแวดล้อมของตัวแปรนั้น สมมติฐานท่ีต้ังข้ึนสามารถบอกให้ทราบถึงการออกแบบการ ทดลองซ่ึงต้องทราบว่าตัวแปรไหนเปน็ ตวั แปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรทีต่ ้องควบคมุ ให้คงที่ ๑๑. กำรกำหนดนิยำมเชิงปฏิบัติกำรของตัวแปร (Defining Variables Operationally) หมายถงึ การกาหนดความหมายและขอบเขตของค่าต่างๆ ท่อี ยใู่ นสมมตฐิ านท่ตี อ้ งการทดลองและบอกวธิ ีวัดตัว แปรท่เี กีย่ วกับการทดลองนนั้ ๑๒. กำรทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏิบัติการเพื่อหาคาตอบจาก สมมตฐิ านท่ตี ง้ั ไว้ ในการทดลองจะประกอบไปด้วยกจิ กรรม ๓ ข้ันคือ ๑๒.๑ ออกแบบกำรทดลอง หมายถึง การวางแผนการทดลองก่อนลงมือทดสอบจรงิ ๑๒.๒ ปฏิบัติกำรทดลอง หมายถึง การลงมือปฏิบัติจริงและให้อุปกรณ์ได้อย่างถูกต้องและ เหมาะสม ๑๒.๓ กำรบันทึกผลกำรทดลอง หมายถึง การจดบันทึกข้อมูลที่ได้จากการทดลองซ่ึงอาจ เป็นผลจากการสังเกต การวัด และอ่ืน ๆ ได้อย่างคล่องแคล่วและถูกต้อง การบันทึกผลการทดลอง อาจอยู่ใน รูปตารางหรือการเขียนกราฟ ซ่ึงโดยท่ัวไปจะแสดงค่าของตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระบนแกนนอนและค่าของ ตัวแปรบนแกนต้ัง โดยเฉพาะในแต่ละแกนต้องใช้สเกลที่เหมาะสม พร้อมท้ังแสดงให้เห็นถึงตาของค่าของตัว แปรทง้ั สองบนกราฟด้วย ๑๓. กำรตีควำมหมำยข้อมูลและกำรลงข้อสรุป (Interpreting Data and Making Conlusion) การตีความหมายข้อมูล หมายถึง การแปลความหมายหรือบรรยายลักษณะข้อมูลท่ีมีอยู่ การ ตีความหมายข้อมูลในบางคร้ังอาจต้องใช้ทักษะอ่ืนๆ ด้วย เช่น การสังเกต การคานวณ เป็นต้น และการลง ข้อสรุป หมายถึง การสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลท้ังหมด ความสามารถท่ีแสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะการลง ข้อสรุป คือ บอกความสมั พันธ์ของข้อมูลได้ เช่น การอธบิ ายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรบนกราฟ ถา้ กราฟเป็น เส้นตรงกส็ ามารถอธบิ ายไดว้ า่ เกดิ อะไรขึ้นกับตัวแปรตามขณะทต่ี ัวแปรอิสระเปลี่ยนแปลงหรือถ้าลากกราฟเป็น เส้นโค้งให้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรก่อนที่กราฟเส้นโค้งจะเปลี่ยนทิศทางและอธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรหลงั จากทีก่ ราฟเสน้ โค้งเปลี่ยนทศิ ทางแล้ว 14. ทักษะกำรสร้ำงแบบจำลอง (Construct Model) แบบจาลองทางวิทยาศาสตร์ (scientific modeling) คือการสร้างของส่ิงหนึ่งเพื่อแทนวัตถุ กระบวนการ ความสัมพันธ์ หรือ สถานการณ์ เช่น การสร้างแบบจาลองของโครงสร้างหลังคา เพื่อให้วิศวกร สามารถคานวณต่างๆ ได้ ก่อนที่จะสร้างจริง ไม่ วา่ จะเปน็ แบบจาลองคณติ ศาสตร์ แบบจาลองแบบไม่เปน็ คณิตศาสตร์ เช่น แบบจาลองการทดสอบเชงิ จิตวิทยา แบบจาลองที่เป็นรูปธรรม หรือแบบจาลองจับต้องได้ เช่น แบบจาลองตามโครงงาน PBL (Project-Based Learning) แบบจาลองทใี่ ช้แผนภาพ เช่น แบบจาลองการเพ่มิ ของจานวนกระตา่ ยหรอื แบบจาลองสามมติ ิ

10 ทักษะกระบวนกำรสำหรบั กำรออกแบบและเทคโนโลยี การจัดการเรียนรู้วิชาการออกแบบและเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาความสามารถของผู้เรียนในการ แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างสร้างสรรค์ ผู้เรียนจะได้รับการพัฒนาทักษะและกระบวนการท่ีจาเป็นต่อการ ดารงชีวิตผา่ นการจัดการ เรยี นรทู้ ี่เน้นการลงมือปฏิบัติ ซ่งึ ทักษะและกระบวนการสาคญั ของวชิ าการ ออกแบบ และเทคโนโลยี ไดแ้ ก่ ทักษะสำคัญของกำรออกแบบและเทคโนโลยี (Essential Skills of Design and Technology) เป็นความสามารถในการคิดเชิงระบบ การคิดสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดวิเคราะห์ การ ทางานรว่ มกัน และการ ส่อื สาร กระบวนกำรออกแบบเชิงวิศวกรรม (Engineering Design Process) เป็นการหาวิธีการในการ แก้ปัญหาซึ่งอาจเป็นวิธีการหรือการพัฒนาสิ่ง ประดิษฐ์ผ่านกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ตาม รายละเอียดดังนี้ แผนภำพท่ี 3 กระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม (Engineering Design Process) จากภาพแสดงให้เห็นว่า การแก้ปัญหาตามกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ไม่มีลาดับข้ันตอนท่ี แน่นอน ลูกศรแบบ ๒ หัวท่ีเชื่อมระหว่าง แต่ละขั้นของกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม แสดงให้เห็นว่าแต่ ละข้นั สามารถเกดิ ขน้ึ ย้อนกลบั ไปมาได้ สว่ นลูกศรตรงกลางแสดงให้เห็นว่า กระบวนการแกป้ ัญหาสามารถเกิด ซ้า (Interate) ในบางข้ันตอนหากจาเปน็ เช่น เมื่อดาเนินการแก้ปัญหาพบวา่ ยังต้องกลับไปรวบรวมข้อมูลหรือ แนวคิดเพ่ิมเติม หรือบางครั้งเม่ือพบว่าวิธีการท่ีเลือกไม่สามารถแก้ปัญหาได้ก็ต้องกลับไปเลือกวิธีการอื่นท่ีเคย สรรหาไวก้ ่อนหนา้ นห้ี รอื รวบรวมแนวคิดและ สรรหาวิธีการเพม่ิ เตมิ ทกั ษะกำรคิดเชงิ คำนวณ (Computational Thinking) ทักษะการคิดเชิงคานวณ เป็นกระบวนการในการแก้ปัญหา การคิด วิเคราะห์อย่างมีเหตุผลเป็น ข้ันตอน เพ่ือหาวิธีการแก้ปัญหาในรูปแบบท่ี สามารถนาไปประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะน้ีมี ความสาคัญใน การพัฒนาซอฟต์แวร์ นอกจากน้ียังสามารถนาไปใช้แก้ปัญหาในศาสตร์อ่ืนๆ และปัญหาใน ชวี ติ ประจาวันไดด้ ้วย ทักษะการคดิ เชงิ คานวณมอี งคป์ ระกอบ ดงั ต่อไปนี้ กำรแบ่งปัญหำใหญ่ออกเป็นปัญหำย่อย (Decomposition) เป็นการพิจารณา และแบ่งปัญหา/ งาน/สว่ นประกอบ ออกเป็นส่วนย่อย เพื่อใหจ้ ัดการกบั ปัญหาได้งา่ ยข้ึน กำรพิจำรณำรูปแบบของปัญหำหรือวิธีกำรแก้ปัญหำ (Pattern Recognition) เป็นการพิจารณา รูปแบบ แนวโน้ม และลักษณะท่ัวไปของข้อมูล โดยพิจารณาว่าเคยพบปัญหาลักษณะน้ีมาก่อนหรือไม่ หากมี รูปแบบของปัญหาท่ีคล้ายกันสามารถนาวิธกี ารแก้ปัญหานั้นมาประยุกต์ใช้ และพิจารณารูปแบบปัญหาย่อยซ่ึง

11 อยู่ภายในปัญหาเดียวกันว่ามีส่วนใดท่ีเหมือนกัน เพื่อใช้วิธีการแก้ปัญหาเดียวกันได้ ทาให้จัดการกับปัญหาได้ งา่ ยข้ึน และการทางานมีประสทิ ธภิ าพเพมิ่ ขึ้น กำรพิจำรณำสำระสำคัญของปัญหำ (Abstraction) เป็นการพิจารณารายละเอียดที่สาคัญของ ปญั หา แยกแยะสาระสาคญั ออก จากสว่ นทไี่ มส่ าคัญ กำรออกแบบอัลกอรทิ ึม (Algorithms) เป็นขั้นตอนในการแก้ปัญหาหรอื การทางาน โดยมีลาดับของ คาสัง่ หรอื วธิ ี การทช่ี ดั เจนทค่ี อมพิวเตอรส์ ามารถปฏิบตั ติ ามได้ จิตวิทยำศำสตร์ (Scientific Mind or Scientific Attitudes) เปน็ คุณลกั ษณะหรือลกั ษณะนิสัยของบุคคลที่เก่ียวข้องกบั ความ รู้สึกนกึ คิดในทางวิทยาศาสตรท์ ีเ่ กิดจาก การศึกษาหาความรู้หรือได้รบั ประสบการณ์การเรียนรทู้ างวิทยาศาสตร์ ซึ่งส่งผลต่อความคิด การตัดสินใจ การ กระทา และการแสดงออกทางพฤติกรรมต่อความรู้หรือสิ่งท่ีเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ในการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ในชั้นเรียนมีความจำเป็นท่ีจะต้อง สร้างบรรยากาศให้ผู้เรียนเกิดความชอบสนใจท่ีจะเรียนรู้ ตลอดจนมีความรู้สกึ ที่ดีต่อวิทยาศาสตร์ เพราะจะส่งผลตอ่ ความรสู้ ึก นึกคิด และทาให้ผู้เรียนเกิดเจตคติท่ีดีตอ่ วทิ ยาศาสตร์ เห็นประโยชน์และคณุ ค่าของการเรียนวทิ ยาศาสตร์และการนาวิทยาศาสตร์ไปใช้ในชีวิตประจาวัน ตลอดจนเป็นผู้ท่ีเช่ือม่ัน ยึดถือ และศรัทธาในการใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ในทางท่ีสร้างสรรค์ สามารถนาความรู้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อ่ืนอย่างมีคุณธรรมและมีคุณค่าโดยจิตวิทยาศาสตร์จะครอบคลมุ เกี่ยวกบั เจตคติตอ่ วทิ ยาศาสตร์ และเจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ ดงั นี้ เจตคตติ ่อวิทยำศำสตร์ (Attitudes Towards Sciences) เป็นความรู้สึก ความเช่ือ และการยึดถือของบุคคล ในคุณค่าของงานด้านวิทยาศาสตร์ รวมถึง ผลกระทบในด้านต่างๆ ของวิทยาศาสตร์ท่ีมีต่อตนเองและต่อสังคม ซ่ึงเป็นผลจากการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดย ผ่านกิจกรรมท่ีหลากหลาย ความรู้สึกดังกล่าว เช่น ความสนใจ ความชอบ การเห็นความสาคัญและคุณค่าของ วิทยาศาสตร์ เจตคติต่อวิทยำศำสตร์ (Attitudes Towards Sciences) เป็นคุณลักษณะหรือลักษณะนิสัยของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการคิดแบบวิทยาศาสตร์ ความเชื่อ เกี่ยวกบั วทิ ยาศาสตร์ หรือการแสดงออกถงึ การมีจติ ใจที่เป็นวิทยาศาสตร์ (Kozlow,M.J. & Nay, M.A.,1976) ได้แก่ ● ความรอบคอบ ● ความเช่อื มั่นต่อหลกั ฐาน ● ความซื่อสตั ย์ ● วตั ถวุ ิสัย ● การยอมรบั ความเหน็ ตา่ ง ● ความใจกว้าง ● ความมงุ่ มั่นอดทน ● ความอยากรูอ้ ยากเหน็

12 คณุ ภำพผเู้ รยี น จบชนั้ ประถมศกึ ษำปีที่ 3 ❖ เข้าใจลักษณะที่ปรากฏ ชนิดและสมบัติบางประการของวัสดุที่ใช้ทาวัตถุ และการเปล่ียนแปลงของ วสั ดุรอบตวั ❖ เข้าใจการดึง การผลัก แรงแม่เหล็ก และผลของแรงที่มีต่อการเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนท่ีของวัตถุ พลงั งานไฟฟ้า และการผลิตไฟฟา้ การเกิดเสียง แสงและการมองเหน็ ❖ เข้าใจการปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว ปรากฏการณ์ขึ้นและตกของ 8 ดวงอาทิตย์ การเกิดกลางวันกลางคืน การกาหนดทิศ ลักษณะของหิน การจาแนกชนิดดินและการใช้ประโยชน์ ลักษณะ และความสาคญั ของอากาศ การเกิดลม ประโยชน์และโทษของลม ❖ ตั้งคาถามหรือกาหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งท่ีจะเรียนรู้ตามท่ีกาหนดให้หรือตามความสนใจสังเกต สารวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมืออย่างง่าย รวบรวมข้อมูล บันทึก และอธิบายผลการสารวจตรวจสอบด้วยการ เขียนหรอื วาดภาพ และส่ือสารสง่ิ ท่ีเรียนรดู้ ้วยการเลา่ เรอ่ื ง หรอื ดว้ ยการแสดงท่าทางเพือ่ ให้ผ้อู ่นื เขา้ ใจ ❖ แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ขั้นตอนการแก้ปัญหา มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ ส่ือสารเบ้อื งต้น รกั ษาขอ้ มูลสว่ นตัว ❖ แสดงความกระตือรือร้น สนใจที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เก่ียวกับเรื่องที่จะศึกษาตามท่ี กาหนดให้หรอื ตามความสนใจ มสี ว่ นร่วมในการแสดงความคดิ เหน็ และยอมรบั ฟังความคดิ เห็นผู้อื่น ❖ แสดงความรับผิดชอบด้วยการทางานที่ได้รบั มอบหมายอย่างมุ่งม่ัน รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์ จน งานลลุ ว่ งเปน็ ผลสาเรจ็ และทางานรว่ มกบั ผอู้ น่ื อยา่ งมคี วามสขุ ❖ ตระหนกั ถึงประโยชน์ของการใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดารงชีวิต ศกึ ษาหา ความรเู้ พ่ิมเติม ทาโครงงานหรือชิ้นงานตามทกี่ าหนดใหห้ รอื ตามความสนใจ จบชั้นประถมศกึ ษำปีที่ 6 ❖ เข้าใจโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะและการปรับตัวของสิ่งมีชีวติ รวมท้ังความสมั พันธข์ องส่ิงมชี ีวติ ใน แหลง่ ทอี่ ยู่ การทาหน้าทขี่ องส่วนตา่ งๆ ของพชื และการทางานของระบบย่อยอาหารของมนุษย์ ❖ เข้าใจสมบตั แิ ละการจาแนกกลุ่มของวสั ดุ สถานะและการเปล่ียนสถานะของสสารการละลาย การ เปลีย่ นแปลงทางเคมี การเปล่ียนแปลงท่ผี นั กลับไดแ้ ละผนั กลับไมไ่ ด้ และการแยกสารอยา่ งงา่ ย ❖ เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลัพธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟ้าและผลของแรงต่างๆ ผลที่เกดิ จากแรงกระทาต่อวัตถุ ความดัน หลักการท่มี ีตอ่ วัตถุ วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ปรากฏการณ์เบอื้ งตน้ ของเสยี งและแสง ❖ เข้าใจปรากฏการณ์การข้ึนและตก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ องค์ประกอบของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของดาวเคราะห์และ ดาวฤกษ์ การ ขน้ึ และตกของกลมุ่ ดาวฤกษ์ การใช้แผนทดี่ าว การเกิดอุปราคา พัฒนาการและประโยชนข์ องเทคโนโลยอี วกาศ ❖ เข้าใจลักษณะของแหล่งน้า วัฏจักรน้า กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้าค้าง น้าค้างแข็ง หยาดน้า ฟ้า กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ประโยชน์หินและแร่ การเกิดซากดึกดาบรรพ์ การเกิดลมบก ลม ทะเล มรสุม ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภัย การเกิดและผลกระทบของปรากฏการณ์ เรอื นกระจก

13 ❖ ค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและประเมินความน่าเช่ือถือ ตัดสินใจเลือกข้อมูลใช้เหตุผลเชิง ตรรกะในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารในการทางานร่วมกัน เขา้ ใจสทิ ธิและหน้าท่ีของ ตน เคารพสทิ ธิของผู้อน่ื ❖ ตง้ั คาถามหรือกาหนดปัญหาเกี่ยวกบั สงิ่ ท่ีจะเรียนร้ตู ามที่กาหนดให้หรือตามความสนใจ คาดคะเน คาตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สอดคล้องกับคาถามหรือปัญหาท่ีจะสารวจตรวจสอบ วางแผนและ สารวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม ในการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้ง เชงิ ปริมาณและคุณภาพ ❖ วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มาจากการสารวจตรวจสอบใน รูปแบบทีเ่ หมาะสม เพอื่ สื่อสารความรู้จากผลการสารวจตรวจสอบได้อย่างมีเหตุผลและหลกั ฐานอา้ งองิ ❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งม่ัน ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เก่ียวกับเรื่องท่ีจะศึกษาตามความ สนใจของตนเอง แสดงความคิดเหน็ ของตนเอง ยอมรบั ในข้อมูลทมี่ หี ลักฐานอ้างอิง และรับฟังความคิดเหน็ ผู้อนื่ ❖ แสดงความรับผิดชอบด้วยการทางานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งม่ัน รอบคอบ ประหยัด ซ่ือสัตย์ จนงานลลุ ว่ งเปน็ ผลสาเร็จ และทางานรว่ มกับผูอ้ นื่ อย่างสรา้ งสรรค์ ❖ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความรู้และกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ในการดารงชีวิต แสดงความช่ืนชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้นและศึกษาหา ความรู้เพมิ่ เตมิ ทาโครงงานหรอื ช้ินงานตามท่กี าหนดให้หรือตามความสนใจ ❖ แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ การดูแลรักษาทรัพยากร ธรรมชาติ และสิ่งแวดลอ้ มอย่างร้คู ณุ คา่ จบชน้ั มธั ยมศกึ ษำปที ี่ 3 ❖ เข้าใจลักษณะและองค์ประกอบท่ีสาคัญของเซลล์สิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ของการทางานของระบบ ตา่ งๆ ในรา่ งกายมนษุ ย์ การดารงชีวิตของพชื การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม การเปลยี่ นแปลงของยีนหรือ โครโมโซม และตัวอย่างโรคที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ประโยชน์และผลกระทบของส่ิงมชี ีวิตดัด แปรพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ ปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบของระบบนิเวศและการถ่ายทอด พลงั งานในสิง่ มชี ีวิต ❖ เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของธาตุ สารละลาย สารบริสุทธิ์ สารผสม หลักการแยกสาร การ เปลยี่ นแปลงของสารในรูปแบบของการเปลย่ี นสถานะ การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี และสมบัติ ทางกายภาพ และการใช้ประโยชน์ของวัสดปุ ระเภท พอลิเมอร์ เซรามกิ ส์และวสั ดุผสม ❖ เข้าใจการเคลื่อนที่ แรงลัพธ์และผลของแรงลัพธ์กระทาต่อวัตถุ โมเมนต์ของแรง แรงที่ปรากฏใน ชีวิตประจาวัน สนามของแรง ความสัมพันธ์ของงาน พลังงานจลน์ พลังงานศักย์โน้มถ่วง กฎการอนุรักษ์ พลังงาน การถ่ายโอนพลังงาน สมดุลความร้อน ความสัมพันธ์ของปริมาณทางไฟฟ้า การต่อวงจรไฟฟ้าในบ้าน พลงั งานไฟฟา้ และหลกั การเบอ้ื งตน้ ของวงจรอิเลก็ ทรอนิกส์ ❖ เข้าใจสมบัติของคล่ืน และลักษณะของคล่ืนแบบต่างๆ แสง การสะท้อน การหักเหของแสงและ ทัศนปู กรณ์ ❖ เข้าใจการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ การเกิดฤดู การเคลื่อนที่ปรากฏของดวงอาทิตย์ การเกิดข้างขนึ้ ขา้ งแรม การขนึ้ และตกของดวงจันทร์ การเกิดนา้ ขนึ้ นา้ ลง ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ และ ความกา้ วหน้าของโครงการสารวจอวกาศ

14 ❖ เข้าใจลักษณะของช้ันบรรยากาศ องค์ประกอบและปัจจัยท่ีมีผลต่อลมฟ้าอากาศ การเกิดและ ผลกระทบของพายุฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อน การพยากรณ์อากาศ สถานการณ์ การเปล่ียนแปลงภมู ิอากาศ โลกกระบวนการเกิดเชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และการใช้ประโยชน์ พลังงานทดแทนและการใช้ประโยชน์ ลักษณะโครงสร้างภายในโลก กระบวนการเปล่ียนแปลงทางธรณีวิทยาบนผิวโลก ลักษณะชั้นหน้าตัดดิน กระบวนการเกิดดิน แหล่งน้าผิวดิน แหล่งน้าใต้ดิน กระบวนการเกิดและผลกระทบของภัยธรรมชาติ และธรณี พบิ ัติภยั ❖ เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ความสมั พันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อ่นื โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือคณติ ศาสตร์ วเิ คราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพ่ือเลือกใช้เทคโนโลยี โดยคานึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และส่ิงแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และทรัพยากรเพื่อออกแบบและสร้างผลงานสาหรับการแก้ปัญหาในชีวิตประจาวันหรือการประกอบ อาชีพ โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม รวมท้ังเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ปลอดภัย รวมทงั้ คานงึ ถึงทรพั ย์สนิ ทางปัญญา ❖ นาข้อมูลปฐมภูมิเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ ประเมิน นาเสนอข้อมูลและสารสนเทศได้ตาม วตั ถปุ ระสงค์ ใชท้ กั ษะการคิดเชงิ คานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชวี ติ จริง และเขียนโปรแกรมอย่างงา่ ยเพ่ือช่วย ในการแก้ปญั หา ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารอย่างรู้เท่าทันและรับผดิ ชอบตอ่ สงั คม ❖ ต้ังคาถามหรือกาหนดปัญหาท่ีเช่ือมโยงกับพยานหลักฐาน หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ท่ีมีการ กาหนดและควบคุมตัวแปร คิดคาดคะเนคาตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานท่ีสามารถนาไปสู่การสารวจ ตรวจสอบ ออกแบบและลงมือสารวจตรวจสอบโดยใช้วัสดุและเครื่องมือที่เหมาะสม เลือกใช้เคร่ืองมือและ เทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูล ท้ังในเชิงปริมาณและคุณภาพที่ได้ผลเท่ียงตรงและ ปลอดภัย ❖ วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูลท่ีได้จากการสารวจตรวจสอบจากพยานหลักฐาน โดยใช้ความรู้และหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการแปลความหมายและลงข้อสรุปและสื่อสารความคิด ความรู้ จากผลการสารวจตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือให้ผู้อื่นเข้าใจได้อย่าง เหมาะสม ❖ แสดงถงึ ความสนใจ ม่งุ มัน่ รับผดิ ชอบ รอบคอบ และซ่ือสัตย์ ในสงิ่ ทจี่ ะเรียนรู้ มคี วามคิดสร้างสรรค์ เกี่ยวกับเรื่องท่ีจะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เคร่ืองมือและวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้อง เชื่อถือได้ ศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมจากแหล่งความรู้ต่างๆ แสดงความคิดเห็นของตนเองรับฟังความคิดเห็นผู้อ่ืน และยอมรับ การเปลีย่ นแปลงความรู้ทค่ี น้ พบ เม่อื มีข้อมูลและประจกั ษ์พยานใหมเ่ พ่มิ ขน้ึ หรอื โต้แย้งจากเดิม ❖ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ีใช้ในชีวิตประจาวัน ใช้ความรู้และ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดารงชีวิต และการประกอบอาชีพ แสดงความชื่นชม ยก ย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น เข้าใจผลกระทบท้ังด้านบวกและด้านลบของการพัฒนาทาง วิทยาศาสตร์ต่อส่ิงแวดลอ้ มและต่อบริบทอื่น ๆ และศึกษาหาความรู้เพ่ิมเติม ทาโครงงานหรือสร้างช้นิ งานตาม ความสนใจ ❖ แสดงถึงความซาบซ้ึง ห่วงใย มีพฤติกรรมเก่ียวกับการดูแลรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ และ ความหลากหลายทางชวี ภาพ

15 ตวั ช้วี ัดชนั้ ปี สำระท่ี ๑ วทิ ยำศำสตร์ชีวภำพ มำตรฐำน ว๑.๑ เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งส่งิ ไมม่ ีชีวิตกับสง่ิ มีชีวิต และ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปล่ียนแปลง แทนท่ีในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบท่ีมีต่อทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและการแก้ไข ปัญหาสิ่งแวดล้อมรวมทัง้ นาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ชน้ั รำยละเอียดตัวช้ีวัด ป.1 1. ระบชุ อ่ื พืชและสตั ว์ทอ่ี าศัยอยบู่ ริเวณต่างๆ จากข้อมูลที่รวบรวมได้ 2. บอกสภาพแวดลอ้ ม ที่เหมาะสมกบั การดารงชวี ติ ของสตั วใ์ นบริเวณท่ีอาศยั อยู่ ป.2 - ป.3 - ป.4 - ป.5 1. บรรยายโครงสร้าง และลักษณะของสิ่งมีชีวิตท่ีเหมาะสมกับการดารงชีวิตซ่ึง เป็นผลมาจาก การปรบั ตวั ของส่งิ มชี ีวติ ในแตล่ ะแหล่งทอ่ี ยู่ 2. อธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตและ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ สิ่งไมม่ ีชวี ิต เพอื่ ประโยชน์ตอ่ การดารงชวี ิต 3. เขียนโซ่อาหารและระบุบทบาทหนา้ ทขี่ องสิ่งมีชีวิตท่เี ป็นผูผ้ ลติ และผู้บริโภคในโซ่อาหาร 4. ตระหนักในคุณค่าของส่ิงแวดล้อมที่มี ต่อการดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตโดยมีสว่ นร่วมในการดูแล รักษาส่ิงแวดลอ้ ม ป.6 - ม.1 - ม.2 - ม.3 ๑. อธบิ ายปฏิสัมพันธ์ขององคป์ ระกอบของ ระบบนิเวศท่ไี ดจ้ ากการสารวจ ๒. อธิบายรูปแบบความสัมพันธร์ ะหว่างสิ่งมชี ีวิต กบั ส่งิ มีชวี ิตรปู แบบต่างๆ ในแหลง่ ที่อยูเ่ ดียวกัน ทไี่ ดจ้ ากการสารวจ ๓. สรา้ งแบบจาลองในการอธิบายการถา่ ยทอด พลังงานในสายใยอาหาร ๔. อธบิ ายความสมั พนั ธ์ของผูผ้ ลิต ผู้บรโิ ภค และ ผู้ยอ่ ยสลายสารอนิ ทรียใ์ นระบบนเิ วศ ๕. อธิบายการสะสมสารพิษในสิง่ มีชวี ิตในโซอ่ าหาร ๖. ตระหนักถึงความสัมพันธ์ของส่ิงมชี ีวติ และสิ่งแวดลอ้ มในระบบนิเวศ โดยไม่ทาลายสมดุลของ ระบบนเิ วศ

16 สำระท่ี ๑ วิทยำศำสตรช์ ีวภำพ มำตรฐำน ว๑.๒ เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต การลาเลียงสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสัมพันธ์ของ โครงสร้าง และหน้าท่ีของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ีของอวัยวะต่างๆ ของพืชท่ีทางานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ชั้น รำยละเอียดตัวชี้วัด ป.1 ๑. ระบุช่ือ บรรยายลักษณะและบอกหน้าท่ีของส่วนต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ สัตว์ และพืช รวมท้ังบรรยายการทาหน้าที่ร่วมกันของส่วนต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ในการทากิจกรรมต่างๆ จากข้อมลู ที่รวบรวมได้ ๒. ตระหนักถึงความสาคัญของส่วนต่างๆ ของร่างกายตนเอง โดยการดูแลส่วนต่างๆ อย่าง ถูกตอ้ งใหป้ ลอดภยั และรักษาความสะอาดอยู่เสมอ ป.2 ๑. ระบวุ ่าพชื ต้องการแสงและน้าเพอ่ื การเจรญิ เตบิ โต โดยใชข้ ้อมลู จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ ๒. ตระหนักถงึ ความจาเปน็ ท่ีพชื ต้องได้รบั น้าและแสงเพื่อการเจรญิ เติบโต โดยดแู ลพชื ให้ได้รับส่ิง ดังกลา่ วอย่างเหมาะสม ๓. สร้างแบบจาลองทบี่ รรยายวัฏจักรชวี ิตของพืชดอก ป.3 ๑. บรรยายส่ิงท่ีจาเป็นต่อการดารงชีวิตและการเจริญเติบโตของมนุษย์และสัตว์ โดยใช้ข้อมูลที่ รวบรวมได้ ๒. ตระหนักถึงประโยชน์ของอาหาร น้า และอากาศ โดยการดูแลตนเองและสัตว์ให้ได้รับส่ิง เหลา่ น้อี ย่างเหมาะสม ๓. สร้างแบบจาลองทบี่ รรยายวัฏจกั รชวี ิตของสัตว์ และเปรียบเทียบ วฏั จักรชีวติ บางชนดิ ๔. ตระหนักถึงคณุ ค่าของชวี ติ สัตวโ์ ดยไมท่ าใหว้ ัฏจกั รชวี ิตของสตั ว์เปล่ียนแปลง ป.4 ๑. บรรยายหนา้ ท่ขี องราก ลาต้น ใบ และดอกของพืชดอกโดยใช้ข้อมลู ที่รวบรวมได้ ป.5 - ป.6 ๑. ระบุสารอาหารและบอกประโยชนส์ ารอาหารแต่ละประเภทจากอาหารตนเองรบั ประทาน ๒. บอกแนวทางในการเลือกรับประทานอาหารให้ไดส้ ารอาหารครบถ้วนในสดั ส่วนท่ีเหมาะสมกับ เพศและวัย รวมทั้งความปลอดภัยต่อสขุ ภาพ ๓. ตระหนักถึงความสาคัญของสารอาหาร โดยการเลือกรับประทานอาหารท่ีมีสารอาหาร ครบถ้วนในสดั ส่วนทีเ่ หมาะสมกับเพศและวัย รวมทงั้ ปลอดภัยต่อสขุ ภาพ ๔. สร้างแบบจาลองระบบย่อยอาหาร และบรรยายหน้าท่ีของอวัยวะในระบบย่อยอาหารรวมทง้ั อธิบายการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร ๕. ตระหนักถงึ ความสาคัญของระบบย่อยอาหาร โดยการบอกแนวทางในการดแู ลรกั ษาอวัยวะใน ระบบยอ่ ยอาหารให้ทางานเปน็ ปกติ ม.1 ๑. เปรียบเทียบรูปร่างลักษณะและโครงสร้างของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์รวมทั้งบรรยายหน้าที่ ของผนังเซลล์เยอ่ื หมุ้ เซลล์ ไซโทพลาซึมนวิ เคลยี ส แวควิ โอล ไมโทคอนเดรยี และคลอโรพลาสต์ ๒. ใช้กลอ้ งจลุ ทรรศนใ์ ช้แสงศกึ ษาเซลล์ และโครงสร้างตา่ งๆ ภายในเซลล์ ๓. อธบิ ายความสมั พันธ์ระหว่างรปู รา่ งกับการทาหนา้ ทข่ี องเซลล์ 4. อธิบายการจัดระบบของสิ่งมีชีวิต โดยเริ่มจากเซลล์เนื้อเยื่อ อวัยวะ ระบบอวัยวะ จนเป็น ส่ิงมชี วี ิต

17 ช้นั รำยละเอียดตัวช้ีวดั ๕. อธิบายกระบวนการแพร่และออสโมซิสจากหลักฐานเชิงประจักษ์ และยกตัวอย่างการแพร่ และออสโมซสิ ในชีวติ ประจาวัน ๖. ระบุปัจจัยท่ีจาเป็นในการสังเคราะห์ด้วยแสงและผลผลิตที่เกิดข้ึนจากการสังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ๗. อธบิ ายความสาคัญของการสงั เคราะห์ด้วยแสงของพืชต่อสิ่งมชี ีวติ และส่ิงแวดลอ้ ม ๘. ตระหนักในคุณค่าของพืชที่มีต่อส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม โดยการร่วมกันปลูกและดูแลรักษา ต้นไมใ้ นโรงเรยี นและชุมชน ๙. บรรยายลักษณะและหน้าทขี่ องไซเล็มและ โฟลเอม็ ๑๐. เขยี นแผนภาพท่บี รรยายทิศทางการลาเลยี งสารในไซเลม็ และโฟลเอ็มของพชื ๑๑. อธบิ ายการสืบพันธแุ์ บบอาศยั เพศและไม่อาศัยเพศของพืชดอก ๑๒. อธิบายลักษณะโครงสร้างของดอกที่มีส่วน ทาให้เกิดการถ่ายเรณู รวมทั้งบรรยายการ ปฏิสนธขิ องพชื ดอก การเกิดผลและเมล็ดการกระจายเมล็ดและการงอกของเมลด็ ๑๓. ตระหนักถึงความสาคัญของสัตว์ที่ช่วยในการ ถ่ายเรณูของพืชดอก โดยการไม่ทาลายชีวิต ของสตั ว์ที่ช่วยในการถา่ ยเรณู ๑๔. อธิบายความสาคัญของธาตุอาหาร บางชนิดท่ีมีผลต่อการเจริญเติบโต และการดารงชีวิต ของพืช ๑๕. เลือกใชป้ ยุ๋ ทีม่ ีธาตุอาหารเหมาะสมกบั พชื ในสถานการณท์ ี่กาหนด ๑๖. เลือกวิธีการขยายพันธ์ุพืชให้เหมาะสมกับ ความต้องการของมนุษย์ โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับ การสบื พนั ธ์ุของพชื ๑๗. อธิบายความสาคญั ของเทคโนโลยกี ารเพาะเลย้ี งเน้ือเย่อื พชื ในการใชป้ ระโยชนด์ ้านต่าง ๆ ๑๘. ตระหนกั ถงึ ประโยชนข์ องการขยายพนั ธุพ์ ืชโดยการนาความรไู้ ปใช้ในชีวิตประจาวนั ม.2 ๑. ระบอุ วยั วะและบรรยายหน้าทีข่ องอวยั วะทเี่ กย่ี วขอ้ งในระบบหายใจ ๒. อธิบายกลไกการหายใจเขา้ และออก โดยใช้แบบจาลองรวมทง้ั อธิบายกระบวนการแลกเปลี่ยน แกส๊ ๓. ตระหนักถึงความสาคัญของระบบหายใจ โดยการบอกแนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะใน ระบบหายใจใหท้ างานเปน็ ปกติ ๔. ระบอุ วยั วะและบรรยายหนา้ ทข่ี องอวัยวะ ในระบบขับถ่ายในการกาจดั ของเสยี ทางไต ๕. ตระหนักถึงความสาคัญของระบบขับถา่ ย ในการกาจดั ของเสยี ทางไต โดยการบอกแนวทางใน การปฏบิ ตั ิตนทช่ี ว่ ยใหร้ ะบบขับถ่าย ทาหนา้ ท่ีไดอ้ ย่างปกติ ๖. บรรยายโครงสร้างและหน้าที่ของหัวใจ หลอดเลอื ด และเลอื ด ๗. อธบิ ายการทางานของระบบหมุนเวยี นเลือด โดยใชแ้ บบจาลอง ๘. ออกแบบการทดลองและทดลอง ในการเปรียบเทียบอัตราการเต้นของหัวใจ ขณะปกติและ หลังทากจิ กรรม ๙. ตระหนักถึงความสาคัญของระบบหมุนเวียนเลือด โดยการบอกแนวทางในการดูแลรักษา อวยั วะ ในระบบหมุนเวียนเลือดให้ทางานเป็นปกติ ๑๐. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวัยวะใน ระบบประสาทส่วนกลางในการควบคุมการ ทำงานตา่ งๆ ของร่างกาย

18 ช้นั รำยละเอียดตัวช้ีวดั ๑๑. ตระหนักถึงความสาคัญของระบบประสาท โดยการบอกแนวทางในการดูแลรักษา รวมถึง การป้องกนั การกระทบกระเทือนและอนั ตรายต่อสมองและไขสันหลัง ๑๒. ระบุอวยั วะและบรรยายหน้าที่ของอวยั วะในระบบสืบพนั ธ์ขุ องเพศชายและเพศหญิง โดยใช้ แบบจาลอง ๑๓. อธิบายผลของฮอร์โมนเพศชายและเพศหญิงท่ีควบคุมการเปลย่ี นแปลงของร่างกาย เมื่อเข้า สู่ วัยหนุ่มสาว ๑๔. ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเม่ือ เข้าสู่วัยหนุ่มสาว โดยการดูแลรักษาร่างกาย และจติ ใจของตนเองในช่วงที่มกี ารเปลยี่ นแปลง ๑๕. อธิบายการตกไข่การมีประจาเดือน การปฏิสนธิและการพัฒนาของไซโกต จนคลอดเป็น ทารก ๑๖. เลือกวธิ ีการคุมกาเนิดทเ่ี หมาะสมกบั สถานการณท์ ี่กาหนด ๑๗. ตระหนกั ถึงผลกระทบของการตงั้ ครรภก์ อ่ นวยั อันควร โดยการประพฤตติ นใหเ้ หมาะสม ม.3 ๑. อธิบายความสมั พันธ์ระหว่างยีน ดเี อน็ เอ และ โครโมโซม โดยใช้แบบจาลอง ๒. อธิบายการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากการผสมโดยพิจารณาลักษณะเดียวที่แอลลี ลเดน่ ข่มแอลลลี ดอ้ ยอย่างสมบูรณ์ ๓. อธิบายการเกิดจีโนไทป์และฟีโนไทปข์ องลูก และคานวณอัตราส่วนการเกิดจีโนไทป์ และฟีโน ไทป์ของร่นุ ลูก ๔. อธิบายความแตกตา่ งของการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิสและไมโอซสิ ๕. บอกได้ว่าการเปล่ียนแปลงของยีนหรือโครโมโซม อาจทาให้เกิดโรคทางพันธุกรรม พร้อมทั้ง ยกตัวอย่างโรคทางพันธุกรรม ๖. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้เร่ืองโรคทางพันธุกรรมโดยรู้ว่าก่อนแต่งงานควรปรึกษา แพทย์ เพือ่ ตรวจและวนิ ิจฉัยภาวะเสยี่ งของลกู ทอี่ าจเกดิ โรคทางพนั ธกุ รรม ๗. อธิบายการใช้ประโยชน์จากส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม และผลกระทบที่อาจมีต่อมนุษย์ และ สงิ่ แวดลอ้ ม โดยใชข้ ้อมูลที่รวบรวมได้ ๘. ตระหนักถึงประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมท่ีอาจมีต่อมนุษย์และ สงิ่ แวดล้อม โดยการเผยแพรค่ วามรู้ทไ่ี ดจ้ ากการโตแ้ ย้งทางวทิ ยาศาสตรซ์ ง่ึ มีข้อมลู สนบั สนนุ ๙. เปรียบเทยี บความหลากหลายทางชวี ภาพ ในระดบั ชนดิ สิ่งมีชวี ติ ในระบบนเิ วศต่าง ๆ ๑๐. อธิบายความสาคัญของความหลากหลายทาง ชีวภาพท่ีมีต่อการรักษาสมดุลของระบบนเิ วศ และตอ่ มนษุ ย์ ๑๑. แสดงความตระหนักในคุณค่าและความสาคัญของความหลากหลายทางชีวภาพโดยมีส่วน รว่ ม ในการดูแลรักษาความหลากหลายทางชวี ภาพ

19 สำระท่ี ๑ วิทยำศำสตรช์ วี ภำพ มำตรฐำน ว๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมสาร พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพนั ธกุ รรมที่มีผลต่อสงิ่ มีชวี ิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการ ของ สิง่ มีชีวติ รวมทั้งนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ชั้น รำยละเอยี ดตัวชี้วัด ป.1 - ป.2 1. เปรียบเทียบ ลักษณะของสงิ่ มีชีวิต และสิ่งไม่มชี ีวติ จากข้อมูลที่รวบรวมได้ ป.3 - ป.4 1. จาแนกส่ิงมชี ีวิตโดยใช้ความเหมือนและความแตกต่างของลักษณะของสิ่งมีชีวติ ออกเป็นกลุ่ม พืช กลุม่ สัตว์ และกล่มุ ที่ไม่ใช่พชื และสตั ว์ 2. จาแนกพืชออกเป็นพืชดอกและพืชไม่มีดอก โดยใช้การมีดอกเป็นเกณฑ์ โดยใช้ข้อมูลที่ รวบรวมได้ 4. บรรยายลักษณะ เฉพาะที่สังเกตได้ของสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้า สะเทินบก กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน กลุ่มนก และกลุ่มสัตว์เล้ียงลูกด้วยน้านม และยกตัวอย่าง สง่ิ มีชีวติ ในแตล่ ะกลมุ่ ป.5 1. อธิบายลักษณะทางพนั ธุกรรมที่มกี ารถ่ายทอดจากพอ่ แม่ส่ลู ูกของพชื สัตว์ และมนษุ ย์ 2. แสดงความอยากรู้อยากเห็นโดยการถามคาถามเกี่ยวกบั ลักษณะท่ีคล้ายคลึงกนั ของตนเองกับ พ่อแม่ ป.6 - ม.1 - ม.2 - ม.3 - สำระท่ี ๒ วทิ ยำศำสตรก์ ำยภำพ มำตรฐำน ว๒.๑ เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสมบัติของสสาร กับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การ เกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี ชน้ั รำยละเอียดตัวช้ีวดั ป.1 1. อธิบายสมบัติท่ีสังเกตได้ของวัสดุที่ใช้ทาวัตถุซ่ึงทาจากวัสดุชนิดเดียวหรือหลายชนิดประกอบ กันโดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ 2. ระบชุ นิดของวสั ดแุ ละจัดกล่มุ วสั ดุตามสมบตั ทิ ส่ี ังเกตได้ ป.2 1. เปรียบเทียบสมบัติการดูดซับน้าของวัสดุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ และระบุการนาสมบัติ การดดู ซับนา้ ของวัสดุไปประยกุ ต์ใชใ้ นการทาวตั ถุในชวี ติ ประจาวนั 2. อธิบายสมบตั ิทส่ี ังเกตไดข้ องวสั ดทุ ีเ่ กิดจากการนาวัสดมุ าผสมกนั โดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ 3. เปรียบเทียบสมบัติที่สังเกตได้ของวัสดุเพื่อนามาทาเป็นวัตถุในการใช้งานตามวัตถุประสงค์ และอธิบายการนาวสั ดทุ ่ใี ช้แลว้ กลับมาใชใ้ หมโ่ ดยใช้หลักฐานเชงิ ประจักษ์ 4. ตระหนักถงึ ประโยชน์ของการนาวสั ดทุ ี่ใช้แลว้ กลบั มาใช้ใหมโ่ ดยการนาวัสดทุ ่ีใช้แลว้ กลับมาใช้ ใหม่

20 ชัน้ รำยละเอยี ดตัวช้ีวดั ป.3 1. อธิบายว่าวัตถุประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนย่อย ๆ ซึ่งสามารถแยกออกจากกันได้และประกอบกัน เป็นวัตถชุ ้ินใหมไ่ ด้ โดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ 2. อธิบายการเปล่ียนแปลงของวัสดุเม่ือทาให้ร้อนขึ้นหรือทาให้เย็นลง โดยใช้หลักฐานเชิง ประจักษ์ ป.4 1. เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพ ด้านความแข็ง สภาพยืดหยุ่น การนาความร้อน และการนา ไฟฟ้าของวัสดุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จากการทดลองและระบุการนา สมบัติเรื่องความแข็ง สภาพยืดหยุ่นการนาความร้อน และการนาไฟฟ้าของวัสดุไปใช้ในชีวิตประจาวัน ผ่าน กระบวนการออกแบบชน้ิ งาน 2. แลกเปล่ียนความคิดกับผู้อ่ืนโดยการอภิปรายเกี่ยวกับสมบัติทางกายภาพของวัสดุอย่างมี เหตุผลจากการทดลอง 3. เปรียบเทียบสมบัติของสสารท้ัง 3 สถานะ จากข้อมูลท่ีได้จากการสังเกตมวล การต้องการท่ี อยู่รูปรา่ งและปรมิ าตรของสสาร 4. ใช้เครอ่ื งมือเพอ่ื วดั มวล และปริมาตรของสสารทง้ั 3 สถานะ ป.5 1. อธิบายการเปลี่ยนสถานะของสสารเมื่อทาให้สสารร้อนข้ึนหรือเย็นลง โดยใช้หลักฐานเชิง ประจกั ษ์ 2. อธบิ ายการละลายของสารในน้า โดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ 3. วิเคราะห์การเปล่ียนแปลงของสารเม่ือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี โดยใช้หลักฐานเชิง ประจกั ษ์ 4. วเิ คราะห์และระบกุ ารเปล่ยี นแปลงท่ผี นั กลับไดแ้ ละการเปลี่ยนแปลงท่ีผนั กลบั ไมไ่ ด้ ป.6 1. อธิบายและเปรียบเทียบการแยกสารผสมโดยการหยิบออก การร่อน การใช้แม่เหล็กดึงดูด การรินออก การกรอง และการตกตะกอน โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ รวมทั้งระบุวิธีแก้ปัญหา ในชีวติ ประจาวนั เกยี่ วกับการแยกสาร ม.1 ๑. อธิบายสมบัติทางกายภาพบางประการของธาตุโลหะอโลหะและก่ึงโลหะ โดยใช้หลักฐานเชิง ประจกั ษ์ทไ่ี ด้จากการสังเกตและการทดสอบ และใชส้ ารสนเทศที่ได้จากแหล่งข้อมูลตา่ งๆ รวมทง้ั จัดกลุม่ ธาตุเป็นโลหะ อโลหะและกึ่งโลหะ ๒.วิเคราะห์ผลจากการใช้ธาตุโลหะ อโลหะ ก่ึงโลหะ และธาตุกัมมันตรังสี ท่ีมีต่อส่ิงมีชีวิต ส่งิ แวดลอ้ ม เศรษฐกิจและสังคมจากข้อมลู ทีร่ วบรวมได้ ๓. ตระหนกั ถงึ คุณค่าของการใชธ้ าตุโลหะอโลหะ กง่ึ โลหะ ธาตุกมั มันตรงั สีโดยเสนอแนวทางการ ใชธ้ าตอุ ยา่ งปลอดภัยคุม้ ค่า ๔. เปรียบเทียบจุดเดือด จุดหลอมเหลวของสารบริสุทธ์ิ และสารผสม โดยการวัดอุณหภูมิเขียน กราฟ แปลความหมายขอ้ มูลจากกราฟหรือสารสนเทศ ๕. อธิบายและเปรียบเทียบความหนาแน่นของสารบริสุทธิ์และสารผสม ๖. ใชเ้ ครอื่ งมอื เพอื่ วัดมวลและปรมิ าตรของสารบริสุทธ์ิและสารผสม ๗. อธิบายเก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างอะตอม ธาตุ และสารประกอบ โดยใช้แบบจาลองและ สารสนเทศ ๘. อธิบายโครงสรา้ งอะตอมท่ปี ระกอบด้วย โปรตอน นิวตรอนและอเิ ลก็ ตรอน โดยใช้แบบจาลอง ๙. อธิบายและเปรียบเทียบการจัดเรียงอนุภาค แรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค และการเคลื่อนท่ี ของอนุภาคของสสารชนิดเดียวกนั ในสถานะ ของแขง็ ของเหลวและแก๊สโดยใช้แบบจาลอง

21 ชน้ั รำยละเอยี ดตัวช้ีวดั ๑๐. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง พลังงานความร้อนกับการเปล่ียนสถานะของสสารโดยใช้ หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์และแบบจาลอง ม.2 ๑. อธิบายการแยกสารผสมโดยการระเหยแห้ง การตกผลึก การกลั่นอย่างง่าย โครมาโทกราฟี แบบกระดาษ การสกัดดว้ ย ตวั ทาละลาย โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจักษ์ ๒. แยกสารโดยการระเหยแห้งการตกผลึก การกล่ันอย่างง่ายโครมาโทกราฟีแบบกระดาษ การ สกดั ดว้ ยตัวทาละลาย ๓. นาวิธีการแยกสารไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน โดยบูรณาการวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยแี ละวศิ วกรรมศาสตร์ ๔. ออกแบบการทดลองและทดลองในการอธิบาย ผลของชนิดตัวละลาย ชนิดตัวทาละลาย อณุ หภูมทิ ่มี ตี ่อสภาพละลายได้ของสาร รวมทัง้ อธบิ ายผลของความดนั ท่มี ตี อ่ สภาพละลายได้ของ สาร โดยใชส้ ารสนเทศ ๕. ระบุปริมาณตัวละลายในสารละลาย ในหน่วย ความเข้มข้นเป็นร้อยละ ปริมาตรต่อปริมาตร มวลต่อมวล และมวลต่อปรมิ าตร ๖. ตระหนักถึงความสาคัญของการนาความรู้เร่ือง ความเข้มข้นของสารไปใช้โดยยกตัวอย่างการ ใชส้ ารละลายในชีวิตประจาวันอยา่ งถกู ต้อง และปลอดภยั ม.3 ๑. ระบุสมบัติทางกายภาพและการใช้ประโยชน์ วัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิกส์และวัสดุผสม โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจักษแ์ ละสารสนเทศ ๒. ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้วัสดุประเภท พอลิเมอร์ เซรามิกส์และวัสดุผสม โดยเสนอแนะ แนวทางการใช้วสั ดุอยา่ งประหยดั และคุม้ คา่ ๓. อธบิ ายการเกิดปฏิกิริยาเคมีรวมถงึ การจดั เรียงตัวใหม่ของอะตอมเม่ือเกดิ ปฏิกิริยาเคมี โดยใช้ แบบจาลองและสมการข้อความ ๔. อธิบายกฎทรงมวล โดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ ๕. วิเคราะห์ปฏิกิริยาดูดความร้อน และปฏิกิริยาคายความร้อน จากการเปลี่ยนแปลงพลังงาน ความรอ้ นของปฏิกริ ยิ า ๖. อธิบายปฏิกิริยาการเกิดสนิมของเหล็ก ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของกรดกับเบส และ ปฏกิ ริ ยิ าของเบสกับโลหะโดยใช้หลักฐานเชิง ประจกั ษแ์ ละอธบิ ายปฏิกริ ยิ าการเผาไหม้ การ เกดิ ฝนกรด การสงั เคราะห์ดว้ ยแสง โดยใชส้ ารสนเทศ รวมทงั้ เขียนสมการข้อความแสดงปฏิกิริยา ดงั กลา่ ว ๗. ระบุประโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมี ที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม และยกตัวอย่าง วธิ ีการป้องกนั และแกป้ ญั หาทเี่ กิดจากปฏกิ ิริยาเคมี ท่พี บในชวี ติ ประจาวนั จากการสบื ค้นขอ้ มลู ๘. ออกแบบวิธีแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน โดยใช้ความรู้เก่ียวกับปฏิกิริยาเคมี โดยบูรณาการ วทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยแี ละวิศวกรรมศาสตร์

22 สำระท่ี 2 วิทยำศำสตร์กำยภำพ มำตรฐำน ว2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงที่กระทาต่อวัตถุ ลักษณะการ เคล่ือนทีแ่ บบต่างๆ ของวัตถรุ วมทงั้ นาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ชั้น รำยละเอยี ดตัวชี้วัด ป.1 - ป.2 - ป.3 1. ระบผุ ลของแรงทม่ี ีตอ่ การเปลยี่ นแปลง การเคล่ือนทข่ี องวตั ถุจากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ 2. เปรียบเทียบและยกตัวอย่างแรงสัมผัสและแรงไม่สัมผัสท่ีมีผลต่อการเคล่ือนที่ของวัตถุโดยใช้ หลักฐานเชงิ ประจักษ์ 3. จาแนกวัตถโุ ดยใชก้ ารดงึ ดูดกับแม่เหลก็ เป็นเกณฑ์จากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ 4. ระบขุ ้ัวแม่เหลก็ และพยากรณผ์ ลท่ีเกดิ ขึน้ ระหว่างขวั้ แม่เหลก็ เม่ือนามาเข้าใกล้กันจากหลักฐาน เชงิ ประจกั ษ์ ป.4 1. ระบผุ ลของแรงโนม้ ถว่ งทม่ี ตี ่อวตั ถุจากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ 2. ใช้เครื่องชงั่ สปรงิ ในการวดั นา้ หนักของวตั ถุ 3. บรรยายมวลของวัตถุที่มีผลต่อการเปล่ียนแปลงการเคลื่อนท่ีของวัตถุจากหลักฐานเชิง ประจักษ์ ป.5 1. อธิบายวิธีการหาแรงลัพธ์ของแรงหลายแรงในแนวเดียวกันที่กระทาต่อวัตถุในกรณีท่ีวัตถุอยู่ นง่ิ จากหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ 2. เขยี นแผนภาพแสดงแรงทกี่ ระทาตอ่ วัตถุท่อี ยใู่ นแนวเดยี วกันและแรงลัพธ์ที่กระทาต่อวตั ถุ 3. ใชเ้ คร่อื งชัง่ สปรงิ ในการวดั แรงท่กี ระทาตอ่ วตั ถุ 4. ระบุผลของแรงเสียดทานท่ีมีต่อการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุจากหลักฐานเชิง ประจกั ษ์ 5. เขยี นแผนภาพแสดงแรงเสยี ดทานและแรงท่อี ยู่ในแนวเดียวกันทกี่ ระทาตอ่ วตั ถุ ป.6 1. อธิบายการเกดิ และผลของแรงไฟฟา้ ซงึ่ เกิดจากวัตถุทผ่ี ่านการขดั ถโู ดยใช้หลกั ฐานเชิงประจักษ์ ม.1 ๑. สรา้ งแบบจาลองทอี่ ธิบายความสมั พนั ธร์ ะหว่าง ความดนั อากาศกับความสงู จากพืน้ โลก ม.2 ๑. พยากรณ์การเคล่ือนที่ของวัตถุที่เป็นผลของแรงลัพธ์ท่ีเกิดจากแรงหลายแรงท่ีกระทาต่อวัตถุ ในแนวเดียวกนั จากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ๒. เขยี นแผนภาพแสดงแรงและแรงลพั ธท์ เ่ี กิดจากแรงหลายแรงที่กระทาต่อวัตถใุ นแนวเดยี วกนั ๓. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธี ท่ีเหมาะสมในการอธิบายปัจจัยที่มีผลต่อความดัน ของของเหลว ๔. วเิ คราะห์แรงพยุงและการจมการลอยของวัตถุในของเหลวจากหลักฐานเชิงประจักษ์ ๕. เขียนแผนภาพแสดงแรงท่ีกระทาตอ่ วตั ถุในของเหลว ๖. อธบิ ายแรงเสยี ดทานสถติ และแรงเสยี ดทานจลนจ์ ากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ๗. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีท่ีเหมาะสมในการอธิบายปัจจัยท่ีมีผลต่อขนาดของ แรงเสียดทาน ๘. เขยี นแผนภาพแสดงแรงเสยี ดทานและแรงอ่ืน ๆ ท่กี ระทาต่อวตั ถุ ๙. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้เร่ืองแรงเสียดทาน โดยวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาและ เสนอแนะ วิธกี ารลดหรอื เพ่มิ แรงเสียดทานทเี่ ปน็ ประโยชน์ตอ่ การทากจิ กรรมในชีวติ ประจาวนั

23 ช้ัน รำยละเอยี ดตัวช้ีวดั ๑๐. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายโมเมนต์ของแรง เม่ือวัตถุ อยใู่ นสภาพสมดลุ ต่อการหมนุ และคานวณโดยใชส้ มการ M = Fl ๑๑. เปรยี บเทยี บแหล่งของสนามแมเ่ หลก็ สนามไฟฟา้ และสนามโน้มถ่วง และทศิ ทาง ของแรงท่ี กระทาตอ่ วัตถุท่ีอย่ใู นแตล่ ะสนาม จากขอ้ มลู ทรี่ วบรวมได้ ๑๒. เขยี นแผนภาพแสดงแรงแม่เหล็ก แรงไฟฟ้า และแรงโนม้ ถ่วงท่กี ระทาตอ่ วตั ถุ ๑๓. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของแรง แม่เหล็กแรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วงที่กระทา ต่อวตั ถุทอ่ี ยใู่ นสนามน้ัน ๆ กับระยะหา่ งจาก แหลง่ ของสนามถงึ วตั ถุจากขอ้ มลู ที่รวบรวมได้ ๑๔. อธิบายและคานวณอัตราเรว็ และความเร็วของ การเคลื่อนท่ีของวัตถุโดยใช้สมการ และจาก หลักฐานเชิงประจกั ษ์ ๑๕. เขียนแผนภาพแสดงการกระจัดและความเรว็ ม.3 - สำระที่ 2 วทิ ยำศำสตรก์ ำยภำพ มำตรฐำน ว2.3 เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปลยี่ นแปลงและการถ่ายโอนพลงั งานปฏสิ ัมพันธ์ ระหวา่ งสสาร และพลงั งาน พลงั งานในชวี ิตประจาวนั ธรรมชาตขิ องคลืน่ ปรากฏการณท์ ่ีเก่ยี วข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมทง้ั นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ช้นั รำยละเอยี ดตัวช้ีวัด ป.1 1. บรรยายการเกดิ เสยี งและทศิ ทางการเคล่ือนที่ของเสยี งจากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ ป.2 1. บรรยายแนวการเคลื่อนที่ของแสงจากแหล่งกาเนิดแสง และอธิบายการมองเห็นวัตถุ จาก หลักฐานเชิงประจกั ษ์ 2. ตระหนักในคุณค่าของความรู้ของการมองเห็นโดยเสนอแนะแนวทางการปอ้ งกันอันตรายจาก การมองวตั ถุท่ีอยใู่ นบรเิ วณท่มี แี สงสวา่ งไมเ่ หมาะสม ป.3 1. ยกตัวอย่างการเปลีย่ นพลงั งานหนงึ่ ไปเป็นอีกพลงั งานหนง่ึ จากหลักฐานเชิงประจักษ์ 2. บรรยายการทางานของเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้าและระบุแหล่งพลังงานในการผลติ ไฟฟ้าจากข้อมลู ทร่ี วบรวมได้ ๓. ตระหนักในประโยชน์และโทษของไฟฟ้าโดยนาเสนอวิธีการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและ ปลอดภัย ป.4 1. จาแนกวัตถุเป็นตัวกลางโปร่งใส ตัวกลางโปร่งแสง และวัตถุทึบแสง จากลักษณะการมองเหน็ สงิ่ ต่างๆ ผา่ นวตั ถุนัน้ เป็นเกณฑโ์ ดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ป.5 1. อธบิ ายการไดย้ ินเสยี งผ่านตวั กลางจากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ 2. ระบุตวั แปร ทดลองและอธบิ ายลักษณะและการเกิดเสยี งสงู เสยี งตา่ 3. ออกแบบการทดลองและอธบิ ายลักษณะและการเกิดเสียงดัง เสยี งคอ่ ย 4. วัดระดับเสยี งโดยใชเ้ คร่ืองมอื วัดระดับเสยี ง 5. ตระหนักในคุณค่าของความรู้เร่ืองระดับเสียงโดยเสนอแนะแนวทางในการหลีกเล่ียงและลด มลพิษทางเสียง ป.6 1. ระบุส่วนประกอบและบรรยายหน้าท่ีของแต่ละส่วนประกอบของวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายจาก หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ 2. เขียนแผนภาพและต่อวงจรไฟฟา้ อย่างง่าย

24 ช้ัน รำยละเอียดตัวช้ีวดั 3. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายวิธีการและผลของการต่อ เซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม 4. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมโดยบอกประโยชน์และ การประยกุ ต์ใช้ในชีวติ ประจาวัน 5. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีท่ีเหมาะสมในการอธิบายการต่อหลอดไฟฟ้าแบบ อนกุ รมและแบบขนาน 6. ตระหนกั ถึงประโยชนข์ องความรู้ของการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน โดยบอก ประโยชน์ ขอ้ จากัด และการประยุกตใ์ ช้ในชวี ติ ประจาวัน 7. อธิบายการเกิดเงามดื เงามัวจากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ 8. เขียนแผนภาพรงั สีของแสงแสดงการเกิดเงามดื เงามวั ม.1 ๑. วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูล และคานวณ ปริมาณความร้อนที่ทาให้สสารเปล่ียนอุณหภูมิ และเปลย่ี นสถานะโดยใชส้ มการ และ ๒. ใช้เทอร์มอมิเตอร์ในการวดั อุณหภูมขิ องสสาร ๓. สร้างแบบจาลองท่ีอธิบายการขยายตัวหรือหดตัวของสสารเน่ืองจากได้รับหรือสูญเสียความ รอ้ น ๔. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของการหด และขยายตัวของสสารเนื่องจากความร้อนโดย วเิ คราะห์สถานการณ์ปญั หา และเสนอแนะ วธิ ีการนาความรมู้ าแก้ปัญหาในชวี ติ ประจาวัน ๕. วิเคราะห์สถานการณก์ ารถา่ ยโอนความร้อน และคานวณปรมิ าณความรอ้ นท่ถี า่ ยโอน ระหวา่ งสสารจนเกิดสมดุลความรอ้ นโดยใช้สมการ Qสูญเสยี =Qไดร้ ับ ๖. สร้างแบบจาลองทอ่ี ธิบายการถ่ายโอนความรอ้ น โดยการนาความรอ้ น การพาความร้อน การแผ่รงั สีความร้อน ๗. ออกแบบเลือกใช้และสร้างอุปกรณ์ เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจาวันโดยใช้ความรู้เกี่ยวกับการ ถา่ ยโอนความรอ้ น ม.2 ๑. วิเคราะหส์ ถานการณแ์ ละคานวณเกย่ี วกบั งาน และกาลงั ทเ่ี กดิ จากแรงท่ีกระทาต่อวตั ถุ โดยใช้ สมการ W = Fs และ P =w/p จากขอ้ มูลทร่ี วบรวมได้ ๒. วิเคราะหห์ ลักการทางานของเคร่ืองกลอยา่ งงา่ ย จากข้อมลู ท่รี วบรวมได้ ๓. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของ เครื่องกลอย่างง่ายโดยบอกประโยชน์ และการ ประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ ประจาวนั ๔. ออกแบบและทดลองด้วยวิธีท่ีเหมาะสมในการ อธิบายปัจจัยท่ีมีผลต่อพลังงานจลน์และ พลังงานศกั ย์โน้มถว่ ง ๕. แปลความหมายข้อมูลและอธิบายการเปลี่ยน พลังงานระหว่างพลังงานศักย์โน้มถ่วงและ พลังงานจลน์ของวตั ถโุ ดยพลังงานกลของวตั ถุ มคี ่าคงตัวจากขอ้ มูลท่รี วบรวมได้ ๖. วิเคราะห์สถานการณ์และอธิบายการเปล่ียน และการถ่ายโอนพลังงานโดยใช้ กฎการอนุรักษ์ พลังงาน ม.3 ๑. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์กระแสไฟฟ้า และความต้านทานและคานวณ ปรมิ าณทเี่ กีย่ วขอ้ งโดยใช้สมการจากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ ๒. เขียนกราฟความสมั พันธ์ระหว่างกระแสไฟฟา้ และความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟ้า ๓. ใช้โวลต์มิเตอร์แอมมิเตอร์ในการวัดปริมาณทาง ไฟฟ้า

25 ช้นั รำยละเอยี ดตัวชี้วัด ๔. วิเคราะห์ความต่างศักย์ไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า ในวงจรไฟฟ้าเม่ือต่อตัวต้านทานหลายตัว แบบอนุกรมและแบบขนานจากหลักฐาน เชิงประจกั ษ์ ๕. เขยี นแผนภาพวงจรไฟฟ้าแสดงการตอ่ ตวั ต้านทาน แบบอนุกรมและขนาน ๖. บรรยายการทางานของชิน้ ส่วนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ อย่างง่ายในวงจรจากขอ้ มลู ทีร่ วบรวมได้ ๗. เขียนแผนภาพและต่อชิ้นสว่ นอิเล็กทรอนิกส์ อยา่ งง่ายในวงจรไฟฟา้ ๘. อธบิ ายและคานวณพลังงานไฟฟา้ โดยใช้สมการ W = Pt รวมทั้งคานวณค่าไฟฟ้าของเคร่ืองใช้ ไฟฟา้ ในบ้าน ๙. ตระหนักในคุณค่าของการเลือกใช้เคร่ืองใช้ไฟฟ้า โดยนาเสนอวิธีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง ประหยดั และปลอดภยั ๑๐. สร้างแบบจาลองที่อธบิ ายการเกดิ คลนื่ และบรรยายส่วนประกอบของคลน่ื ๑๑. อธิบายคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ และสเปกตรมั คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ จากขอ้ มูลทร่ี วบรวมได้ ๑๒. ตระหนักถึงประโยชน์และอันตรายจากคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า โดยนาเสนอการใช้ประโยชน์ใน ดา้ นตา่ งๆ และอันตรายจากคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ ในชีวติ ประจาวัน ๑๓. ออกแบบการทดลองและดาเนินการทดลอง ด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบาย กฎการ สะทอ้ นของแสง ๑๔. เขยี นแผนภาพการเคลือ่ นที่ของแสง แสดงการเกดิ ภาพจากกระจกเงา ๑๕. อธิบายการหักเหของแสงเมื่อผ่านตัวกลาง โปร่งใสที่แตกต่างกัน และอธิบายการกระจาย แสงของแสงขาวเม่ือผา่ นปริซึมจากหลกั ฐาน เชิงประจกั ษ์ ๑๖. เขียนแผนภาพการเคลื่อนท่ขี องแสง แสดงการเกิดภาพจากเลนส์บาง ๑๗. อธิบายปรากฏการณท์ เ่ี กย่ี วกบั แสงและการทางานของทศั นอปุ กรณ์จากข้อมลู ที่รวบรวมได้ ๑๘. เขยี นแผนภาพการเคลื่อนทขี่ องแสง แสดงการเกดิ ภาพของทศั นอุปกรณ์และเลนส์ตา ๑๙. อธบิ ายผลของความสวา่ งท่มี ตี ่อดวงตาจาก ขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากการสบื คน้ ๒๐. วดั ความสว่างของแสงโดยใชอ้ ุปกรณ์วัดความสว่างของแสง ๒๑. ตระหนักในคุณค่าของความรู้เร่ือง ความสว่างของแสงที่มีต่อดวงตา โดยวิเคราะห์ สถานการณ์ ปัญหาและเสนอแนะการจัดความสวา่ ง ใหเ้ หมาะสมในการทากิจกรรมต่าง ๆ สำระที่ 3 วทิ ยำศำสตร์โลก และอวกำศ มำตรฐำน ว3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพกาแล็กซี ดาวฤกษ์ และ ระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อส่ิงมีชีวิตและการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีอวกาศ ชนั้ รำยละเอียดตัวชี้วดั ป.1 1. ระบดุ าวท่ปี รากฏบนท้องฟา้ ในเวลากลางวัน และกลางคนื จากข้อมูลทีร่ วบรวมได้ 2. อธิบายสาเหตุทีม่ องไมเ่ หน็ ดาวส่วนใหญใ่ นเวลากลางวนั จากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ป.2 - ป.3 1. อธิบายแบบรปู เส้นทางการข้นึ และตกของ ดวงอาทติ ย์โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ 2. อธิบายสาเหตุการเกิดปรากฏการณ์ การข้ึนและตกของดวงอาทิตย์ การเกิดกลางวันกลางคืน และการกาหนดทิศโดยใชแ้ บบจาลอง 3. ตระหนกั ถงึ ความสาคัญของดวงอาทิตย์ โดยบรรยายประโยชนข์ องดวงอาทิตย์ต่อสิง่ มีชีวิต

26 ชนั้ รำยละเอยี ดตัวชี้วัด ป.4 1. อธิบายแบบรปู เส้นทางการขนึ้ และตกของดวงจนั ทร์ โดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ 2. สร้างแบบจาลองที่อธิบายแบบรปู การเปล่ียนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจนั ทร์ และพยากรณ์ รปู รา่ งปรากฏของดวงจนั ทร์ 3. สร้างแบบจาลองแสดงองค์ประกอบของระบบสุริยะ และอธิบายเปรียบเทียบคาบการโคจร ของ ดาวเคราะห์ต่างๆ จากแบบจาลอง ป.5 1. เปรียบเทียบความแตกตา่ งของดาวเคราะห์และดาวฤกษจ์ ากแบบจาลอง 2. ใช้แผนท่ดี าวระบตุ าแหน่งและเสน้ ทางการข้นึ และตกของกลุ่มดาวฤกษ์บนท้องฟา้ และอธบิ าย แบบรปู เส้นทางการขน้ึ และตกของกลุ่มดาวฤกษบ์ นท้องฟา้ ในรอบปี ป.6 1. สรา้ งแบบจาลองทอี่ ธิบายการเกิดและเปรียบเทยี บปรากฏการณ์ สรุ ยิ ปุ ราคาและจนั ทรปุ ราคา 2. อธิบายพัฒนาการของเทคโนโลยีอวกาศ และยกตัวอย่างการนาเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจาวนั จากขอ้ มลู ท่ีรวบรวมได้ ม.1 - ม.2 - ม.3 ๑. อธิบายการโคจรของดาวเคราะหร์ อบ ดวงอาทิตย์ด้วยแรงโนม้ ถว่ งจากสมการ F = (Gm1m2 )/r2 ๒. สรา้ งแบบจาลองทอี่ ธบิ ายการเกดิ ฤดูและการเคลื่อนทปี่ รากฏของดวงอาทติ ย์ ๓. สร้างแบบจาลองที่อธิบายการเกิดข้างข้ึน ข้างแรม การเปล่ียนแปลงเวลาการข้ึนและตกของ ดวงจนั ทรแ์ ละการเกิดน้าข้ึนนา้ ลง ๔. อธิบายการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ และยกตัวอย่างความก้าวหน้าของโครงการ สารวจอวกาศ จากขอ้ มูลทรี่ วบรวมได้ สำระที่ 3 วทิ ยำศำสตร์โลกและอวกำศ มำตรฐำน ว3.2 เข้าใจองค์ประกอบ และความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมท้ัง ผล ต่อสิ่งมีชีวิตและสง่ิ แวดลอ้ ม ช้ัน รำยละเอยี ดตัวช้ีวดั ป.1 1. อธิบายลักษณะภายนอกของหนิ จากลกั ษณะเฉพาะตวั ท่ีสงั เกตได้ ป.2 1. ระบุส่วนประกอบของดินและจาแนกชนิดของดินโดยใช้ลักษณะเนื้อดินและการจับตัวเป็น เกณฑ์ 2. อธิบายการใชป้ ระโยชน์จากดนิ จากขอ้ มลู ทร่ี วบรวมได้ ป.3 1. ระบุส่วนประกอบของอากาศบรรยายความสาคัญของอากาศและผลกระทบของมลพิษทาง อากาศ ต่อส่งิ มีชวี ติ จากข้อมูลท่รี วบรวมได้ 2. ตระหนักถึงความสาคัญของอากาศ โดยนาเสนอแนวทางการปฏิบัติตนในการลดการเกิด มลพิษทางอากาศ 3. อธิบายการเกดิ ลมจากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ 4. บรรยายประโยชนแ์ ละโทษของลมจากข้อมลู ท่รี วบรวมได้ ป.4 1. เปรียบเทียบปริมาณน้าในแต่ละแหล่งและระบุปริมาณน้าท่ีมนุษย์สามารถนามาใช้ประโยชน์ ได้ จากขอ้ มูลที่รวบรวมได้

27 ช้ัน รำยละเอยี ดตัวช้ีวดั ป.5 ๑. เปรียบเทียบปริมาณน้าในแต่ละแหล่งและระบุปริมาณน้าที่มนุษย์สามารถนามาใช้ประโยชน์ ได้ จากข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ ๒. ตระหนักถงึ คุณคา่ ของนา้ โดยนาเสนอแนวทางการใชน้ ้าอย่างประหยดั และการอนรุ ักษ์น้า 3. สร้างแบบจาลองทีอ่ ธิบายการหมุนเวยี นของนา้ ในวัฏจักรนา้ 4. เปรยี บเทียบกระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้าคา้ ง และนา้ ค้างแขง็ จากแบบจาลอง 5. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดฝน หมิ ะ และลูกเหบ็ จากขอ้ มลู ท่ีรวบรวมได้ ป.6 1. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดหินอัคนี หินตะกอน และหินแปร และอธิบาย วัฏจักรหินจาก แบบจาลอง 2. บรรยายและยกตัวอย่างการใช้ประโยชน์ของหินและแร่ในชวี ติ ประจาวันจากข้อมูลที่รวบรวม ได้ 3. สร้างแบบจาลองที่อธิบายการเกิดซากดึกดาบรรพ์และคาดคะเนสภาพแวดล้อมในอดีตของ ซากดึกดาบรรพ์ 4. เปรียบเทียบการเกิดลมบกลมทะเล และมรสุม รวมท้ังอธิบายผลท่ีมีต่อสิ่งมีชีวิตและ สิง่ แวดลอ้ มจากแบบจาลอง 5. อธิบายผลของมรสมุ ตอ่ การเกดิ ฤดูของประเทศไทย จากขอ้ มลู ทีร่ วบรวมได้ 6. บรรยายลกั ษณะและผลกระทบของน้าทว่ ม การกดั เซาะชายฝงั่ ดนิ ถลม่ แผน่ ดินไหว สนึ ามิ 7. ตระหนกั ถึงผลกระทบของภัยธรรมชาตแิ ละธรณีพบิ ัติภัย โดยนาเสนอแนวทางในการเฝ้าระวัง และปฏบิ ตั ิตนใหป้ ลอดภัยจากภยั ธรรมชาตแิ ละธรณพี ิบตั ภิ ยั ทอี่ าจเกิดในทอ้ งถนิ่ 8. สร้างแบบจาลองท่ีอธิบายการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกและผลของปรากฏการณ์เรือน กระจกตอ่ สงิ่ มชี ีวิต 9. ตระหนักถึงผลกระทบของปรากฏการณ์เรือนกระจกโดยนาเสนอแนวทาง การปฏิบัติตนเพ่ือ ลดกิจกรรมทก่ี อ่ ใหเ้ กิดแกส๊ เรือนกระจก ม.1 ๑. สร้างแบบจาลองที่อธิบายการแบ่งชั้นบรรยากาศ และเปรียบเทียบประโยชน์ของบรรยากาศแต่ ละช้ัน ๒. อธิบายปจั จัยทม่ี ผี ลตอ่ การเปลี่ยนแปลงองคป์ ระกอบของลมฟ้าอากาศจากข้อมูลท่รี วบรวมได้ ๓. เปรยี บเทยี บกระบวนการเกิดพายุ ฝนฟา้ คะนอง และพายุหมนุ เขตรอ้ น และผลที่มีตอ่ สง่ิ มีชีวิต และส่ิงแวดลอ้ มรวมท้ังนาเสนอแนวทางการ ปฏบิ ัตติ นให้เหมาะสมและปลอดภยั ๔. อธบิ ายการพยากรณอ์ ากาศและพยากรณ์ อากาศอย่างงา่ ยจากข้อมลู ทร่ี วบรวมได้ ๕. ตระหนักถึงคุณค่าของการพยากรณ์อากาศโดยนาเสนอแนวทางการปฏิบัติตนและการใช้ ประโยชนจ์ ากคาพยากรณอ์ ากาศ ๖. อธิบายสถานการณ์และผลกระทบการเปลยี่ นแปลงภมู อิ ากาศโลกจากข้อมลู ทรี่ วบรวมได้ ๗. ตระหนักถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกโดยนาเสนอแนวทางการปฏิบัติตน ภายใต้การเปลยี่ นแปลงภมู ิอากาศโลก ม.2 ๑. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดสมบัติและการใช้ ประโยชน์รวมท้ังอธบิ ายผลกระทบจากการใช้ เชือ้ เพลงิ ซากดกึ ดาบรรพ์จากขอ้ มูลทรี่ วบรวมได้ ๒. แสดงความตระหนักถึงผลจากการใช้เช้ือเพลิง ซากดึกดาบรรพ์โดยนาเสนอแนวทางการใช้ เช้ือเพลิงซากดกึ ดาบรรพ์

28 ชั้น รำยละเอยี ดตัวชี้วดั ๓. เปรียบเทียบข้อดีและข้อจากัดของพลังงาน ทดแทนแต่ละประเภทจากการรวบรวมข้อมูล และนาเสนอแนวทางการใช้พลงั งานทดแทนที่เหมาะสมในท้องถ่นิ ๔. สร้างแบบจาลองทีอ่ ธิบายโครงสร้างภายในโลก ตามองคป์ ระกอบทางเคมีจากข้อมูลที่รวบรวม ได้ ๕. อธิบายกระบวนการผุพังอยู่กับที่การกร่อน และการสะสมตัวของตะกอนจากแบบจาลอง รวมท้ังยกตวั อยา่ งผลของกระบวนการดงั กลา่ ว ท่ที าใหผ้ วิ โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง ๖. อธิบายลักษณะของชั้นหนา้ ตัดดินและกระบวนการเกิดดิน จากแบบจาลอง รวมท้ังระบุปจั จัย ที่ทาให้ดนิ มลี ักษณะและสมบัตแิ ตกตา่ งกัน ๗. ตรวจวัดสมบัติบางประการของดิน โดยใช้เคร่ืองมือท่ีเหมาะสมและนาเสนอแนวทางการใช้ ประโยชนด์ นิ จากขอ้ มลู สมบตั ิของดิน ๘. อธิบายปัจจัยและกระบวนการเกดิ แหลง่ น้าผวิ ดนิ และแหล่งน้าใต้ดนิ จากแบบจาลอง ๙. สร้างแบบจาลองท่ีอธิบายการใช้น้าและนาเสนอ แนวทางการใช้น้าอย่างย่ังยืนในท้องถ่ินของ ตนเอง ๑๐. สร้างแบบจาลองท่ีอธิบายกระบวนการเกิด และผลกระทบของน้าท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถลม่ หลุมยุบ แผน่ ดินทรดุ ม.3 - สำระท่ี 4 เทคโนโลยี มำตรฐำน ว4.1 เขา้ ใจแนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยีเพื่อการดารงชีวิตในสังคมที่มีการเปล่ียนแปลงอย่าง รวดเรว็ ใชค้ วามรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตรอ์ ่นื ๆ เพ่อื แกป้ ญั หาหรือพัฒนางาน อย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่าง เหมาะสมโดย คานึงถึงผลกระทบต่อชีวติ สงั คม และส่ิงแวดล้อม ชั้น รำยละเอยี ดตัวชี้วัด ป.1 - ป.2 - ป.3 - ป.4 - ป.5 - ป.6 - ม.1 ๑. อธิบายแนวคิดหลักของเทคโนโลยีในชีวิตประจาวัน และวิเคราะห์สาเหตุหรือปัจจัยท่สี ง่ ผลต่อ การเปลยี่ นแปลงของเทคโนโลยี ๒. ระบุปัญหาหรือความตอ้ งการในชีวิตประจาวัน รวบรวมวิเคราะห์ข้อมูลและแนวคดิ ท่ีเก่ยี วข้อง กบั ปญั หา ๓. ออกแบบวิธีการแก้ปัญหาโดยวิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเลือกข้อมูลที่จาเป็น นาเสนอแนวทางการแก้ปญั หาให้ผ้อู ื่นเขา้ ใจ วางแผนและดาเนินการแกป้ ัญหา ๔. ทดสอบ ประเมินผล และระบุขอ้ บกพร่องทีเ่ กิดข้ึนพร้อมท้งั หาแนวทางการปรับปรุงแก้ไขและ นาเสนอผลการแกป้ ญั หา

29 ชัน้ รำยละเอียดตัวช้ีวดั ๕. ใช้ความรู้และทักษะเกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ กลไกไฟฟ้า หรืออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อ แก้ปัญหาได้อย่างถกู ตอ้ งเหมาะสม และปลอดภัย ม.2 ๑. คาดการณ์แนวโน้มเทคโนโลยีที่จะเกิดข้ึน โดยพิจารณาจากสาเหตุหรือปัจจัยท่ีส่งผลต่อการ เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและวิเคราะห์ เปรียบเทียบ ตัดสินใจเลือกใช้เทคโนโลยี โดยคานึงถึง ผลกระทบท่ีเกดิ ข้ึนตอ่ ชีวติ สังคมและส่งิ แวดล้อม ๒. ระบุปัญหาหรือความต้องการในชุมชนหรือ ท้องถิ่น สรุปกรอบของปัญหา รวบรวมวิเคราะห์ ข้อมูลและแนวคิดท่เี กี่ยวข้องกับปญั หา ๓. ออกแบบวิธีการแกป้ ัญหา โดยวิเคราะห์ เปรยี บเทยี บ และตดั สนิ ใจเลอื กข้อมลู ท่ีจาเปน็ ภายใต้ เง่ือนไขและทรัพยากรท่ีมีอยู่ นาเสนอ แนวทางการแก้ปัญหาให้ผู้อ่ืนเข้าใจ วางแผนขั้นตอนการ ทางานและดาเนินการแกป้ ัญหา อย่างเปน็ ขัน้ ตอน ๔. ทดสอบ ประเมินผล และอธิบายปัญหาหรือ ข้อบกพร่องที่เกิดข้ึน ภายใต้กรอบเงื่อนไขพร้อม ทัง้ หาแนวทางการปรับปรุงแก้ไข และนาเสนอผลการแก้ปญั หา ๕. ใช้ความรู้และทักษะเก่ียวกับวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ กลไกไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ เพ่ือ แก้ปญั หาหรอื พัฒนางานไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง เหมาะสม และปลอดภยั ม.3 ๑. วิเคราะห์สาเหตุ หรือปัจจัยท่ีส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยีและความสัมพันธ์ของ เทคโนโลยีกับศาสตร์อ่ืนโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์เพ่ือเป็นแนวทางการแก้ปัญหา หรอื พัฒนางาน ๒. ระบุปัญหาหรือความต้องการของชุมชนหรือ ท้องถ่ิน เพ่ือพัฒนางานอาชีพ สรุปกรอบของ ปัญหา รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลและแนวคิด ท่ีเก่ียวข้องกับปัญหา โดยคานึงถึงความถูกตอ้ งด้าน ทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา ๓. ออกแบบวิธีการแกป้ ัญหาโดยวิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตดั สินใจเลือกข้อมูลทจ่ี าเป็นภายใต้ เงื่อนไขและทรัพยากรท่ีมีอยู่ นาเสนอ แนวทางการแก้ปัญหาให้ผู้อ่ืนเข้าใจด้วยเทคนิค หรือ วธิ ีการทีห่ ลากหลายวางแผนข้นั ตอน การทำงานและดำเนินการแกป้ ญั หาอย่างเป็นขนั้ ตอน ๔. ทดสอบ ประเมินผลวิเคราะห์และใหเ้ หตผุ ล ของปัญหาหรือขอ้ บกพร่องทเ่ี กิดขนึ้ ภายใต้ กรอบ เงอ่ื นไข พร้อมท้งั หาแนวทางการปรับปรงุ แกไ้ ขและนาเสนอผลการแกป้ ัญหา ๕. ใช้ความรู้และทักษะเก่ียวกับวัสดุอุปกรณ์ เคร่ืองมือ กลไกไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ให้ถูกต้อง กับลักษณะของงาน และปลอดภัย เพ่อื แก้ปญั หาหรอื พฒั นางาน สำระที่ 4 เทคโนโลยี มำตรฐำน ว4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอน และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ รู้เท่าทันและมจี ริยธรรม ช้นั รำยละเอียดตัวชี้วดั ป.1 1. แกป้ ัญหาอย่างงา่ ย โดยใชก้ ารลองผดิ ลองถูก การเปรียบเทียบ 2. แสดงลาดับข้ันตอนการทางานหรือการแก้ปัญหาอย่างง่าย โดยใช้ภาพ สัญลักษณ์ หรือ ข้อความ 3. เขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ซอฟตแ์ วร์ หรอื ส่อื 4. ใชเ้ ทคโนโลยใี นการสร้าง จัดเก็บ เรียกใชข้ ้อมลู ตามวตั ถปุ ระสงค์

30 ชัน้ รำยละเอียดตัวชี้วดั 5. ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศอย่าง ปลอดภัย ปฏิบัติตามข้อตกลงในการใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกัน ดแู ลรักษาอปุ กรณ์เบ้ืองตน้ ใช้งานอยา่ งเหมาะสม ป.2 1. แสดงลำดับขั้นตอนการทางานหรือการแก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ภาพ สัญลักษณ์ หรือ ข้อความ 2. เขยี นโปรแกรมอย่างง่าย โดยใชซ้ อฟตแ์ วรห์ รอื สอื่ และตรวจหาข้อผดิ พลาดของโปรแกรม 3. ใชเ้ ทคโนโลยีในการสร้าง จัดหมวดหมู่ ค้นหา จัดเก็บ เรียกใชข้ อ้ มูลตามวัตถุประสงค์ 4. ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศอย่าง ปลอดภัย ปฏิบัติ ตามข้อตกลงใน การใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกัน ดูแลรักษา อปุ กรณเ์ บื้องตน้ ใช้งานอยา่ ง เหมาะสม ป.3 1. แสดงอัลกอรทิ มึ ในการทางานหรือการแก้ปญั หาอย่างง่ายโดยใช้ภาพ สญั ลักษณ์ หรือข้อความ 2. เขยี นโปรแกรมอยา่ งง่าย โดยใช้ซอฟตแ์ วรห์ รอื สอ่ื และตรวจหาขอ้ ผิดพลาดของโปรแกรม 3. ใชอ้ นิ เทอร์เนต็ ค้นหาความรู้ 4. รวบรวม ประมวลผล และนาเสนอข้อมลู โดยใช้ซอฟตแ์ วรต์ ามวตั ถุประสงค์ 5. ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งปลอดภยั ปฏิบตั ิตามขอ้ ตกลงในการใชอ้ ินเทอรเ์ น็ต ป.4 1. ใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา การอธบิ ายการทางานการคาดการณ์ผลลัพธ์ จากปัญหา อย่างง่าย 2. ออกแบบ และเขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือส่ือ และตรวจหาข้อผิดพลาด และแก้ไข 3. ใช้อนิ เทอร์เน็ตค้นหาความรแู้ ละประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมลู 4. รวบรวม ประเมนิ นาเสนอข้อมลู และสารสนเทศ โดยใช้ซอฟตแ์ วรท์ ห่ี ลากหลาย เพอ่ื แก้ปัญหา ในชวี ิตประจาวัน 5. ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศอย่าง ปลอดภัย เข้าใจ สิทธิและหน้าท่ีของตน เคารพในสิทธิของ ผอู้ ่ืน แจ้งผเู้ กี่ยวข้องเม่ือพบขอ้ มูลหรือบุคคลที่ไม่เหมาะสม ป.5 1. ใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา การอธบิ ายการทางานการคาดการณ์ผลลัพธ์ จากปัญหา อยา่ งง่าย 2. ออกแบบ และเขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือส่ือ และตรวจหาข้อผิดพลาด และแกไ้ ข 3. ใชอ้ นิ เทอร์เนต็ ค้นหาความรู้และประเมินความน่าเชือ่ ถอื ของข้อมูล 4. รวบรวม ประเมิน นาเสนอข้อมูลและสารสนเทศ ตามวัตถุประสงค์โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือ บรกิ ารบนอินเทอรเ์ นต็ ที่หลากหลาย เพื่อแก้ปัญหาในชวี ติ ประจาวนั 5. ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภยั มีมารยาท เข้าใจสทิ ธิและหน้าทขี่ องตน เคารพในสทิ ธิ ของผ้อู นื่ แจ้งผูเ้ กีย่ วข้อง เม่ือพบข้อมูลหรือบคุ คล ทไ่ี มเ่ หมาะสม ป.6 1. ใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะในการอธบิ ายและ ออกแบบวธิ กี ารแกป้ ญั หาทีพ่ บในชีวติ ประจาวัน 2. ออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่ายเพ่ือแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ตรวจหาข้อผิดพลาด ของโปรแกรมและแกไ้ ข 3. ใช้อนิ เทอรเ์ นต็ ในการค้นหาขอ้ มูลอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 4. ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศทางานร่วมกันอย่างปลอดภัยเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตนเคารพใน สิทธิของผู้อื่น แจง้ ผู้เกย่ี วขอ้ งเมือ่ พบขอ้ มลู หรอื บคุ คลท่ีไม่เหมาะสม

31 ชั้น รำยละเอียดตัวชี้วดั ม.1 ๑. ออกแบบอัลกอริทึมที่ใช้แนวคิดเชิงนามธรรมเพื่อแก้ปญั หาหรืออธบิ ายการทางานที่พบในชีวิต จรงิ ๒. ออกแบบและเขยี นโปรแกรมอยา่ งงา่ ย เพื่อแกป้ ัญหาทางคณิตศาสตร์หรอื วทิ ยาศาสตร์ ๓. รวบรวมข้อมูลปฐมภูมิประมวลผล ประเมินผล นาเสนอข้อมูล และสารสนเทศตาม วัตถุประสงค์ โดยใชซ้ อฟตแ์ วรห์ รอื บรกิ ารบนอินเทอรเ์ น็ตท่หี ลากหลาย ๔. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภัย ใชส้ ่ือและแหล่งข้อมลู ตามขอ้ กาหนดและข้อตกลง ม.2 ๑. ออกแบบอัลกอรทิ ึมท่ีใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแกป้ ัญหา หรอื การทำงานทีพ่ บในชวี ิตจริง ๒. ออกแบบและเขยี นโปรแกรมที่ใชต้ รรกะ และฟงั ก์ชันในการแก้ปัญหา ๓. อภิปรายองค์ประกอบและหลักการทางานของ ระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการส่ือสาร เพ่อื ประยุกตใ์ ชง้ านหรือแก้ปญั หาเบ้ืองต้น ๔. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย มีความรับผิดชอบสร้างและแสดงสิทธิในการเผยแพร่ ผลงาน ม.3 ๑. พัฒนาแอปพลเิ คชันท่ีมกี ารบูรณาการกับวิชาอน่ื อยา่ งสร้างสรรค์ ๒. รวบรวมขอ้ มูล ประมวลผลประเมนิ ผล นาเสนอ ขอ้ มูลและสารสนเทศตามวตั ถุประสงคโ์ ดยใช้ ซอฟต์แวรห์ รอื บริการบนอินเทอร์เนต็ ท่ี หลากหลาย ๓. ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล วิเคราะห์ส่ือ และผลกระทบจากการให้ข่าวสารที่ผิด เพ่ือ การ ใชง้ านอย่างรู้เท่าทนั ๔. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย และมีความรับผิดชอบต่อสังคม ปฏิบัติตามกฎหมาย เกี่ยวกบั คอมพิวเตอรใ์ ช้ลขิ สทิ ธิ์ของผอู้ ืน่ โดยชอบธรรม

32 ตัวช้ีวดั สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำงและสำระกำรเรยี นรู้ท้องถ่ิน ชน้ั ประถมศึกษำปีท่ี 1 ภำคเรียนที่ 1 สำระที่ ๑ วทิ ยำศำสตร์ชีวภำพ มำตรฐำน ว1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสมั พันธร์ ะหว่างส่ิงไม่มีชวี ิตกับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปล่ียนแปลง แทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบท่ีมีต่อทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อมรวมท้ังนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ รหัสตัวช้ีวดั รำยละเอยี ดตัวช้ีวดั สำระกำรเรียนร้แู กนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ทอ้ งถ่นิ ว1.1 ป.1/1 1. ระบุชอื่ พืชและสตั ว์ท่ี - บรเิ วณตา่ งๆ ในทอ้ งถ่ิน เช่น - พชื และสตั ว์ที่อาศัยอยู่ อาศยั อยบู่ รเิ วณต่างๆ ที่ สนามหญ้า ใตต้ น้ ไม้ สวนหย่อม บริเวณต่างๆ ในท้องถ่ิน ได้จากการสารวจ แหล่งนา้ อาจพบพืชและสตั ว์ ของตน เช่น สนามหญ้า หลายชนิดอาศัยอยู่ ใตต้ ้นไม้สวนหย่อม แหล่งน้า ฯลฯ ว1.1 ป.1/2 2.บอกสภาพแวดล้อมท่ี - บรเิ วณทีแ่ ตกตา่ งกนั อาจพบพืช - สภาพแวดลอ้ มใน เหมาะสมในบรเิ วณที่พืช และสัตวแ์ ตกต่างกัน เพราะ ท้องถิน่ เชน่ (บรเิ วณ และสัตวอ์ าศยั อย่ใู น สภาพแวดลอ้ มของแตล่ ะบรเิ วณ ใกล้ ๆ โรงเรียน ใน บริเวณท่สี ารวจ จะมคี วามเหมาะสมต่อการ ชุมชน หรือภายใน ดารงชวี ติ ของพชื และสัตว์ที่อาศัย จังหวัด) อยู่ในแตล่ ะบรเิ วณ เช่น สระน้า มี นา้ เปน็ ที่อยู่อาศยั ของหอย ปลา สาหรา่ ย เปน็ ท่หี ลบภยั และมี แหลง่ อาหารของหอยและปลา บริเวณต้นมะม่วง มตี น้ มะม่วงเปน็ แหล่งทีอ่ ยู่ และมีอาหารสาหรับ กระรอกและมด - ถา้ สภาพแวดลอ้ มในบริเวณท่ีพืช และสตั วอ์ าศัยอย่มู ีการ เปลี่ยนแปลง จะมผี ลต่อการ ดารงชวี ิตของพืชและสตั ว์

33 สำระท่ี ๑ วทิ ยำศำสตรช์ วี ภำพ มำตรฐำน ว1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของส่ิงมีชีวิต การลาเลียงสารผ่านเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของระบบต่างๆ ของสัตว์ที่ทางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของ โครงสร้าง และหนา้ ทีข่ องอวัยวะตา่ งๆ ของพืชทที่ างานสัมพันธ์กัน รวมทง้ั นาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ รหสั ตวั ช้ีวดั รำยละเอียดตัวชี้วัด สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ทอ้ งถิ่น ว1.2 ป.1/1 1. ระบชุ ือ่ บรรยาย - มนษุ ยม์ ีส่วนตา่ งๆ ท่ีมีลักษณะ - สว่ นประกอบ และ ลักษณะและบอกหน้าท่ี และหนา้ ท่ีแตกตา่ งกนั เพื่อให้ หนา้ ทข่ี องอวยั วะ ของสว่ นตา่ งๆ ของ เหมาะสมในการดารงชวี ติ เช่น ภายนอกของสตั ว์และ รา่ งกายมนุษย์ สตั ว์และ ตามหี นา้ ที่ไว้มองดู โดยมหี นังตา พชื ท่พี บบรเิ วณต่างๆ พชื รวมทง้ั บรรยายการ และขนตาเพื่อป้องกันอนั ตราย ทาหนา้ ท่ีร่วมกันของสว่ น ใหก้ ับตา หมู หี น้าที่รับฟังเสียง ต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ โดยมใี บหูและรูหู เพ่ือเปน็ ในการทากจิ กรรมตา่ งๆ ทางผ่านของเสียง ปากมหี น้าท่ี จากข้อมูลทรี่ วบรวมได้ พูด กินอาหาร มชี ่องปากและมี รมิ ฝีปากบนลา่ ง แขนและมือมี หนา้ ท่ยี ก หยิบ จับ มีท่อนแขน และนิ้วมือทขี่ ยบั ได้ สมองมหี น้าที่ ควบคมุ การทางานของส่วนต่างๆ ของร่างกายเปน็ กอ้ นอยู่ใน กะโหลกศีรษะ โดยส่วนตา่ งๆ ของรา่ งกายจะทาหน้าที่ร่วมกัน ในการทากจิ กรรมใน ชวี ิตประจาวัน - สัตว์มีหลายชนดิ แต่ละชนิดมี ส่วนต่างๆ ท่มี ีลักษณะและหน้าท่ี แตกตา่ งกัน เพื่อให้เหมาะสมใน การดารงชวี ติ เชน่ ปลามคี รีบเป็น แผ่น สว่ นกบ เตา่ แมว มีขา 4 ขา และมีเท้า สาหรับใชใ้ นการ เคลือ่ นท่ี - พืชมีส่วนตา่ งๆ ท่มี ลี ักษณะและ หนา้ ทแี่ ตกต่างกัน เพือ่ ให้ เหมาะสมกบั การดารงชีวติ เช่น รากมีลกั ษณะเรียวยาว และแตก แขนงเป็นรากเล็กๆ ทาหนา้ ที่ดดู นา้ ลาตน้ มลี ักษณะเป็น ทรงกระบอกตั้งตรงและมีกิ่งก้าน ทาหนา้ ที่ชูกงิ่ ก้าน ใบ และดอก ใบมีลักษณะเป็นแผน่ แบน ทา

34 รหสั ตัวชี้วัด รำยละเอียดตัวชี้วดั สำระกำรเรียนรูแ้ กนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ อ้ งถิ่น ว1.2 ป.1/2 - 2. ตระหนักถึง หนา้ ที่สร้างอาหาร นอกจากนี้พืช ความสาคัญของสว่ น หลายชนดิ อาจมดี อกที่มีสี รปู ร่าง ต่างๆ ของร่างกายตนเอง ต่างๆ ทาหนา้ ที่สืบพันธ์ุ รวมทั้งมี โดยการดแู ลสว่ นต่างๆ ผลทมี่ เี ปลือก มเี น้อื ห่อหุม้ เมล็ด อยา่ งถูกต้อง ให้ปลอดภัย และมเี มล็ดซึ่งสามารถงอกเป็นตน้ และรกั ษาความสะอาด ใหม่ได้ อย่เู สมอ - มนุษยใ์ ช้ส่วนตา่ งๆ ของร่างกาย ในการทากจิ กรรมตา่ งๆ เพ่อื การ ดารงชวี ติ มนุษยจ์ งึ ควรใชส้ ่วน ต่างๆ ของรา่ งกายอยา่ งถูกตอ้ ง ปลอดภัย และรกั ษาความสะอาด อยูเ่ สมอ เชน่ ใชต้ ามองตัวหนังสือ ในท่ีที่มีแสงสว่างเพียงพอ ดูแลตา ให้ปลอดภัยจากอนั ตรายและ รักษาความสะอาดตาอยเู่ สมอ สำระที่ 4 เทคโนโลยี มำตรฐำน ว4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอน และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสิทธภิ าพ ร้เู ท่าทัน และมจี รยิ ธรรม รหสั ตวั ช้ีวัด รำยละเอียดตัวชี้วัด สำระกำรเรยี นรูแ้ กนกลำง สำระกำรเรยี นร้ทู ้องถ่ิน ว4.2 ป.1/1 1. แกป้ ญั หาอย่างงา่ ย - การแกป้ ัญหาให้ประสบ - โดยใชก้ ารลองผดิ ลองถูก ความสาเรจ็ ทาได้โดยใชข้ ัน้ ตอน การเปรียบเทียบ การแก้ปัญหา - ปัญหาอย่างงา่ ย เชน่ เกมเขา วงกต เกมหาจุดแตกต่างของภาพ การจดั หนังสอื ใส่กระเป๋า ว4.2 ป.1/4 4. ใช้เทคโนโลยีในการ - การใช้งานอปุ กรณ์เทคโนโลยี - สรา้ ง จัดเกบ็ เรียกใช้ เบ้ืองต้น เช่น การใช้เมาส์ ขอ้ มูลตามวตั ถุประสงค์ คีย์บอร์ด จอสัมผสั การเปดิ -ปิด อปุ กรณ์เทคโนโลยี - การใช้งานซอฟต์แวรเ์ บื้องต้น เช่น การเขา้ และออกจาก โปรแกรม การสร้างไฟล์ การ จดั เกบ็ การเรียกใชไ้ ฟล์ ทาได้ใน โปรแกรม เชน่ โปรแกรมประมวล คา โปรแกรมกราฟิก โปรแกรม นาเสนอ

35 รหัสตวั ชี้วดั รำยละเอยี ดตัวชี้วัด สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ ้องถ่นิ ว4.2 ป.1/5 - 5. ใชเ้ ทคโนโลยี - การสร้างและจัดเกบ็ ไฟล์อย่าง สารสนเทศอยา่ ง เปน็ ระบบจะทาให้เรียกใช้ คน้ หา ปลอดภยั ปฏบิ ตั ติ าม ข้อมลู ได้งา่ ยและรวดเรว็ ขอ้ ตกลงในการใช้ คอมพิวเตอรร์ ว่ มกัน ดูแล - การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ รกั ษาอปุ กรณเ์ บอ้ื งตน้ ใช้ อย่างปลอดภยั เช่น ร้จู กั ขอ้ มูล งานอย่างเหมาะสม สว่ นตัว อันตรายจากการเผยแพร่ ขอ้ มูลสว่ นตวั และไม่บอกข้อมูล สว่ นตัวกับบุคคลอืน่ ยกเวน้ ผปู้ กครอง หรือครู แจ้งผเู้ กีย่ วข้อง เมื่อต้องการ ความช่วยเหลือ เก่ียวกบั การใชง้ าน - ขอ้ ปฏบิ ัติในการใชง้ านและการ ดูแลรกั ษาอปุ กรณ์ เช่น ไม่ขดี เขยี นบนอุปกรณ์ ทาความสะอาด ใชอ้ ุปกรณ์อย่างถูกวธิ ี - การใช้งานอยา่ งเหมาะสม เชน่ จดั ทา่ นง่ั ให้ถูกต้อง การพักสายตา เม่ือใช้อุปกรณ์เปน็ เวลานาน ระมดั ระวังอุบตั ิเหตจุ ากการใช้ งาน

36 ตวั ชว้ี ดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำงและสำระกำรเรียนรู้ท้องถ่ิน ช้ันประถมศึกษำปีท่ี 1 ภำคเรยี นที่ 2 สำระท่ี 2 วิทยำศำสตรก์ ำยภำพ มำตรฐำน ว2.1 เข้าใจสมบตั ิของสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสารกับ โครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสาร การเกิด สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี รหัสตัวช้ีวดั รำยละเอียดตัวชี้วดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรยี นร้ทู อ้ งถิ่น ว2.1 ป.1/1 1. อธบิ ายสมบตั ทิ ี่ - วสั ดทุ ี่ใชท้ าวตั ถทุ ีเ่ ปน็ ของเล่น -วัสดุทใี่ ชท้ าอุปกรณ์ สงั เกตได้ของวัสดทุ ใี่ ชท้ า ของใช้ มีหลายชนิด เช่น ผ้า แก้ว และเครื่องมือทใี่ ช้ใน วตั ถุ ซง่ึ ทาจากวสั ดุชนดิ พลาสตกิ ยาง ไม้ อฐิ หิน กระดาษ ชวี ติ ประจาวนั หรือ เดยี วหรอื หลายชนดิ โลหะ วสั ดแุ ตล่ ะชนิดมสี มบัติที่ อาชีพตา่ ง ๆ ประกอบกนั โดยใช้ สงั เกตไดต้ ่างๆ เชน่ สี นมุ่ แข็ง หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ขรุขระ เรยี บ ใส ขุ่น ยืดหดได้ บดิ งอได้ ว2.1 ป.1/2 2. ระบุชนิดของวัสดุ - สมบัติทีส่ งั เกตได้ของวสั ดแุ ตล่ ะ - และจดั กลุม่ วัสดตุ าม ชนดิ อาจเหมือนกนั ซงึ่ สามารถ สมบัติทส่ี ังเกตได้ นามาใช้เปน็ เกณฑใ์ นการจัดกลุ่ม วัสดุได้ - วัสดุบางอยา่ งสามารถนามา ประกอบกันเพอื่ ทาเป็นวัตถุต่างๆ เช่น ผ้าและกระดุม ใชท้ าเส้ือ ไม้ และโลหะใช้ทากระทะ สำระท่ี 2 วิทยำศำสตรก์ ำยภำพ มำตรฐำน ว2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลีย่ นแปลงและการถ่ายโอนพลงั งาน ปฏสิ ัมพันธ์ ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวนั ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณท์ ่ีเก่ยี วข้องกับเสียง แสง และคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ รวมทงั้ นาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ รหสั ตัวช้ีวดั รำยละเอียดตัวช้ีวดั สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรทู้ อ้ งถ่ิน ว2.3 ป.1/1 1. บรรยายการเกดิ - เสียงเกดิ จากการสน่ั ของวัตถุ วัตถุ - เสยี งและทิศทางการ ที่ทาให้เกดิ เสยี งเปน็ แหลง่ กาเนิด เคล่อื นท่ีของเสยี งจาก เสยี ง ซงึ่ มีทั้งแหล่งกาเนดิ เสียงตาม หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ ธรรมชาติและแหลง่ กาเนิดเสยี งที่ มนษุ ย์สรา้ งขน้ึ เสยี งเคลื่อนที่ออก จากแหลง่ กาเนิดเสียงทกุ ทิศทาง

37 สำระท่ี 3 วิทยำศำสตรโ์ ลก และอวกำศ มำตรฐำน ว3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมท้ังปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อส่ิงมีชีวิตและการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีอวกาศ รหสั ตวั ชี้วดั รำยละเอียดตัวชี้วัด สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรยี นรทู้ ้องถิ่น ว3.1 ป.1/1 1. ระบุดาวที่ปรากฏบน - บนท้องฟ้ามดี วงอาทิตย์ ดวง - ระบบดวงดาวจาก ท้องฟา้ ในเวลากลางวัน จันทร์ และดาว ซ่ึงในเวลากลางวนั หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ใน และกลางคนื จากขอ้ มลู จะมองเหน็ ดวงอาทิตย์และอาจ ทอ้ งถ่ินและชุมชนของ ที่รวบรวมได้ มองเหน็ ดวงจนั ทรบ์ างเวลาในบาง ตนหรือจากแหลง่ เรยี นรู้ วัน แตไ่ ม่สามารถมองเห็นดาว ท่ีมีในท้องถน่ิ /จังหวัด ว3.1 ป.1/2 2. อธบิ ายสาเหตทุ ม่ี อง - ในเวลากลางวนั ไม่สามารถ - ไม่เห็นดาวส่วนใหญ่ใน มองเหน็ ดาวได้เนื่องจากแสงอาทติ ย์ เวลากลางวันจาก สวา่ งกวา่ จึงกลบแสงของดาว สว่ น หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ในเวลากลางคนื จะมองเห็นดาวและ มองเหน็ ดวงจนั ทร์เกือบทุกคืน สำระที่ 3 วิทยำศำสตรโ์ ลก และอวกำศ มำตรฐำน ว3.2 เข้าใจองค์ประกอบ และความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้า อากาศ และภูมิอากาศโลก รวมท้ังผล ตอ่ สง่ิ มีชวี ิตและสงิ่ แวดลอ้ ม รหสั ตวั ช้ีวดั รำยละเอยี ดตัวช้ีวดั สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง สำระกำรเรยี นรูท้ อ้ งถน่ิ ว3.2 ป.1/1 1. อธบิ ายลักษณะ - หนิ ทอ่ี ย่ใู นธรรมชาตมิ ลี กั ษณะ -ลักษณะของหินที่พบ ภายนอกของหินจาก ภายนอกเฉพาะตัวทส่ี งั เกตได้ เช่น บริเวณโรงเรียน ใน ลกั ษณะเฉพาะ ตวั ที่ สี ลวดลาย น้าหนกั ความแขง็ และ ชมุ ชน และแหล่งต่างๆ สังเกตได้ เน้ือหิน ในทอ้ งถิ่น /จังหวัด สำระท่ี 4 เทคโนโลยี มำตรฐำน ว4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นข้ันตอน และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ รเู้ ทา่ ทัน และมีจริยธรรม รหัสตวั ช้ีวัด รำยละเอียดตัวช้ีวัด สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรู้ท้องถ่ิน ว4.2 ป.1/2 2. แสดงลาดับขน้ั ตอน - การแสดงขนั้ ตอนการแกป้ ัญหาทา - การทางาน หรือการ ได้โดยการเขียน บอกเลา่ วาดภาพ แก้ปญั หาอยา่ งง่ายโดยใช้ หรือใช้สญั ลักษณ์ ภาพ สญั ลักษณ์ หรือ - ปัญหาอยา่ งง่าย เชน่ เกมเขา ข้อความ วงกต เกมหาจุดแตกต่างของภาพ การจดั หนังสือใส่กระเป๋า

38 รหัสตัวช้ีวัด รำยละเอียดตัวช้ีวัด สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ ้องถ่นิ - ว 4.2 ป. 3. เขยี นโปรแกรมอยา่ ง - การเขยี นโปรแกรมเปน็ การสรา้ ง 1/3 ง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์ ลาดบั ของคาสัง่ ใหค้ อมพิวเตอร์ หรอื สือ่ ทางาน - ตัวอย่างโปรแกรม เช่น เขียน โปรแกรมสง่ั ให้ ตัวละครย้าย ตาแหนง่ ย่อขยายขนาด เปล่ียน รปู ร่าง - ซอฟต์แวร์ หรือสื่อท่ใี ชใ้ นการ เขียนโปรแกรม เชน่ ใช้บตั รคาสงั่ แสดงการเขยี นโปรแกรม, Code.org

39 ตวั ชี้วดั สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำงและสำระกำรเรยี นร้ทู อ้ งถิ่น ช้นั ประถมศึกษำปที ่ี 2 ภำคเรยี นที่ 1 สำระที่ 1 วิทยำศำสตร์ชีวภำพ มำตรฐำน ว1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของส่ิงมีชีวิต การลาเลียงสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ีของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ีทางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ทางานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ รหสั ตวั ช้ีวดั รำยละเอียดตัวช้ีวดั สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรู้ทอ้ งถิน่ ว1.2 ป.2/1 1. ระบวุ า่ พชื ต้องการ - พืชต้องการนา้ แสง เพ่ือการ - พชื จากแหล่งตา่ งๆ ใน แสงและนา้ เพ่ือการ เจรญิ เตบิ โต ท้องถนิ่ เจรญิ เตบิ โตโดยใช้ ขอ้ มูลจากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ ว1.2 ป.2/2 2. ตระหนักถงึ ความ จาเปน็ ที่พืชต้องไดร้ บั น้าและแสง เพ่ือการ เจรญิ เติบโต โดยดแู ล พชื ใหไ้ ดร้ ับส่ิงดังกลา่ ว อย่างเหมาะสม ว1.2 ป.2/3 3. สร้างแบบจาลองที่ - พืชดอกเมื่อเจริญเติบโตและมี บรรยายวฏั จักรชีวติ ของ ดอก ดอกจะมีการสืบพันธ์ุ พืชดอก เปลย่ี นแปลงไปเป็นผล ภายในผลมี เมล็ด เม่อื เมลด็ งอก ตน้ อ่อนท่ีอยู่ ภายในเมล็ดจะเจรญิ เติบโตเป็นพชื ตน้ ใหม่ พชื ตน้ ใหม่จะเจรญิ เติบโต ออกดอกเพ่อื สบื พันธุ์มผี ลตอ่ ไปได้ อีกหมนุ เวียนต่อเนื่องเปน็ วฏั จักร ชวี ติ ของพชื ดอก สำระท่ี 1 วิทยำศำสตร์ชีวภำพ มำตรฐำน ว1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร พนั ธุกรรม การเปลย่ี นแปลงทางพันธุกรรมที่มผี ลต่อสิ่งมีชวี ิต ความหลากหลายทางชวี ภาพและวิวัฒนาการของ ส่ิงมีชวี ิต รวมทงั้ นาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์

40 รหสั ตวั ช้ีวดั รำยละเอียดตัวชี้วดั สำระกำรเรียนร้แู กนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ ้องถิ่น ว1.3 ป.2/1 1. เปรียบเทยี บลกั ษณะ - สิ่งทอี่ ยูร่ อบตัวเรามีทัง้ ทเ่ี ปน็ -ส่งิ มชี วี ิต และ ส่ิงไม่มชี วี ิตในท้องถิน่ ของสง่ิ มชี ีวติ และ สงิ่ มชี วี ิตและสงิ่ ไม่มชี ีวติ ส่งิ มชี วี ติ บริเวณตา่ ง ๆ ส่ิงไมม่ ชี วี ติ จากข้อมลู ต้องการอาหาร มีการหายใจ ท่ีรวบรวมได้ เจริญเติบโต ขับถ่าย เคลื่อนไหว ตอบสนองตอ่ ส่ิงเรา้ และสืบพันธไ์ุ ด้ ลูกทมี่ ลี ักษณะคล้ายคลงึ กับพ่อแม่ ส่วนส่งิ ไม่มชี ีวติ จะไม่มีลักษณะ ดงั กล่าว สำระท่ี 4 เทคโนโลยี มำตรฐำน ว4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นข้ันตอน และเป็นระบบใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้ อย่างมี ประสิทธิภาพ ร้เู ท่าทนั และมีจริยธรรม รหสั ตวั ช้ีวดั รำยละเอยี ดตัวชี้วัด สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรู้ท้องถ่ิน ว4.2 ป.2/1 1. แสดงลาดบั ข้ันตอน - การแสดงข้ันตอนการแก้ปัญหา - การทางานหรือการ ทาได้โดยการเขยี น บอกเล่า วาด แกป้ ัญหาอยา่ งง่ายโดย ภาพ หรอื ใชส้ ัญลักษณ์ ใช้ภาพ สญั ลกั ษณ์ หรือ - ปญั หาอยา่ งงา่ ย เชน่ เกมตัวต่อ ขอ้ ความ 6-12 ชนิ้ การแต่งตวั มาโรงเรียน ว4.2 ป.2/2 2. เขียนโปรแกรมอย่าง - ตัวอยา่ งโปรแกรม เช่น เขยี น - ง่าย โดยใชซ้ อฟต์แวร์ โปรแกรมสง่ั ใหต้ วั ละคร ทางาน หรอื สอ่ื และตรวจหา ตามทีต่ ้องการ และตรวจสอบ ขอ้ ผิดพลาดของ ข้อผดิ พลาด ปรบั แก้ไขให้ไดผ้ ลลพั ธ์ โปรแกรม ตามทกี่ าหนด - การตรวจหาข้อผดิ พลาด ทาได้ โดยตรวจสอบคาสงั่ ที่แจง้ ข้อผิดพลาด หรอื หากผลลัพธ์ไม่ เปน็ ไปตามทต่ี อ้ งการให้ ตรวจสอบ การทางานทีละคาส่งั - ซอฟต์แวร์หรอื สื่อที่ใชใ้ นการเขยี น โปรแกรม เชน่ ใชบ้ ัตรคาส่ังแสดง การเขียนโปรแกรม, Code.Org

41 ตวั ช้ีวัดสำระกำรเรียนรแู้ กนกลำงและสำระกำรเรียนร้ทู ้องถ่ิน ชนั้ ประถมศึกษำปที ่ี 2 ภำคเรียนท่ี 2 สำระท่ี 2 วิทยำศำสตร์กำยภำพ มำตรฐำน ว2.1 เข้าใจสมบตั ิของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสมบัติของสสาร กับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การ เกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี รหัสตวั ชี้วัด รำยละเอียดตัวช้ีวดั สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนร้ทู อ้ งถ่นิ ว2.1 ป.2/1 1. เปรียบเทยี บสมบตั ิ - วัสดแุ ต่ละชนิดมสี มบตั ิการดูดซบั - การดดู ซบั นา้ ของวสั ดุ นา้ แตกต่างกัน จงึ นาไปทาวัตถเุ พ่ือ โดยใช้หลกั ฐานเชิง ใช้ประโยชนไ์ ดแ้ ตกต่างกัน เช่น ใช้ ประจกั ษ์ และระบกุ าร ผา้ ท่ดี ูดซบั นา้ ไดม้ ากทาผ้าเชด็ ตวั นาสมบตั ิการดูดซับนา้ ใชพ้ ลาสติกซง่ึ ไมด่ ูดซับน้าทาร่ม ของวัสดไุ ปประยุกตใ์ ช้ ในการทาวตั ถุใน ชวี ิตประจาวนั ว2.1 ป.2/2 2. อธิบายสมบัตทิ ี่ - วสั ดบุ างอยา่ งสามารถนามาผสม - สงั เกตได้ของวสั ดุที่เกิด กัน ซึ่งทาให้ไดส้ มบัติท่ีเหมาะสม จากการนาวสั ดุมาผสม เพอ่ื นาไปใช้ประโยชนต์ ามต้องการ กันโดยใชห้ ลกั ฐานเชิง เชน่ แปง้ ผสมน้าตาลและกะทิ ใช้ ประจกั ษ์ ทาขนมไทย ปูนปลาสเตอร์ผสมเยือ่ กระดาษ ใช้ทากระปุกออมสนิ ปนู ผสมหนิ ทราย และน้า ใชท้ า คอนกรีต ว2.1 ป.2/3 3. เปรยี บเทยี บสมบตั ิที่ - การนาวัสดมุ าทาเปน็ วตั ถใุ นการ สงั เกตได้ของวสั ดเุ พ่อื ใช้งานตามวัตถุประสงค์ขึ้นอยู่กับ นามาทาเปน็ วัตถุในการ สมบตั ขิ องวสั ดุ วสั ดุท่ีใช้แลว้ อาจนา ใช้งานตามวตั ถุประสงค์ กลบั มาใชใ้ หม่ได้ เช่น กระดาษใช้ และอธบิ ายการนาวสั ดุ แลว้ อาจนามาทาเปน็ จรวดกระดาษ ทีใ่ ชแ้ ล้วกลบั มาใช้ใหม่ ดอกไมป้ ระดษิ ฐ์ ถงุ ใสข่ อง โดยใชห้ ลกั ฐานเชิง ประจักษ์ ว2.1 ป.2/4 4. ตระหนกั ถงึ - วสั ดุในท้องถิ่นท่ี ประโยชนข์ องการนา สามารถนามาใช้ วสั ดุทใ่ี ชแ้ ลว้ กลบั มาใช้ ประโยชนไ์ ด้ ใหม่ โดยการนาวสั ดุท่ี ใช้แลว้ กลบั มาใชใ้ หม่ สำระท่ี 2 วิทยำศำสตร์กำยภำพ

42 มำตรฐำน ว2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้อง กับเสียง แสง และคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้า รวมทง้ั นาความรู้ไปใช้ประโยชน์ รหัสตัวชี้วัด รำยละเอียดตัวช้ีวดั สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ อ้ งถนิ่ ว2.3 ป.2/1 1. บรรยายแนวการ - แสงเคล่ือนท่จี ากแหล่งกาเนิดแสง - เคลอ่ื นที่ของแสงจาก ทกุ ทิศทางเป็นแนวตรง เมือ่ มีแสง แหล่งกาเนดิ แสง และ จากวัตถุมาเขา้ ตาจะทาให้มองเหน็ อธบิ ายการมองเห็นวัตถุ วัตถนุ ัน้ การมองเหน็ วตั ถทุ ี่เป็น จากหลักฐานเชิง แหล่งกาเนิดแสง แสงจากวัตถุนน้ั ประจักษ์ จะเขา้ สู่ตาโดยตรง สว่ นการ ว2.3 ป.2/2 2. ตระหนักในคุณคา่ มองเหน็ วตั ถุทไ่ี ม่ใช่แหล่งกาเนดิ - ของความรู้ของการ แสง ต้องมีแสงจากแหล่งกาเนิดแสง มองเห็น โดยเสนอแนะ ไปกระทบวตั ถุแลว้ สะท้อนเข้าตา แนวทางการป้องกัน ถา้ มีแสงท่ีสวา่ งมาก ๆ เข้าส่ตู าอาจ อันตราย จากการมอง เกิดอนั ตรายตอ่ ตาได้ จงึ ต้อง วัตถุทอ่ี ยใู่ นบริเวณทมี่ ี หลีกเลยี่ งการมองหรอื ใช้แผ่นกรอง แสงสว่างไมเ่ หมาะสม แสงท่มี ีคุณภาพเมื่อจาเป็น และต้อง จัดความสว่างให้เหมาะสมกบั การ ทากิจกรรมต่างๆ เช่น การอ่าน หนงั สือ การดูจอโทรทศั น์ การใช้ โทรศพั ทเ์ คลื่อนท่ีและแทบ็ เล็ต สำระที่ 3 วิทยำศำสตรโ์ ลก และอวกำศ มำตรฐำน ว3.2 เขา้ ใจองคป์ ระกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ยี นแปลงภายใน โลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟ้าอากาศ และภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อ สง่ิ มชี วี ติ และส่ิงแวดล้อม รหสั ตวั ช้ีวดั รำยละเอียดตัวช้ีวดั สำระกำรเรียนร้แู กนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ท้องถิ่น ว3.2 ป.2/1 1. ระบุสว่ นประกอบ - ดนิ ประกอบดว้ ยเศษหิน ซากพชื - ลักษณะของดนิ จาก ของดิน และจาแนก ซากสัตว์ผสมอย่ใู นเนื้อดนิ มีอากาศ แหล่งตา่ งๆ ชนิดของดิน โดยใช้ และน้าแทรกอยู่ตามชอ่ งว่างในเนอื้ - ดินในท้องถิน่ และการ ลักษณะเนือ้ ดนิ และการ ดนิ ดินจาแนกเปน็ ดนิ รว่ น ดิน นาไปใชป้ ระโยชน์ จับตัวเปน็ เกณฑ์ เหนียว และดินทราย ตามลักษณะ เน้ือดนิ และการจับตัวของดนิ ซึ่งมี ผลต่อการอุ้มนา้ ที่แตกต่างกนั ว3.2 ป.2/2 2. อธบิ ายการใช้ - ดินแตล่ ะชนดิ นาไปใช้ประโยชน์ได้ ประโยชน์จากดิน จาก แตกต่างกนั ตามลักษณะและสมบัติ ขอ้ มูลท่ีรวบรวมได้ ของดิน

43 สำระท่ี 4 เทคโนโลยี มำตรฐำน ว4.2 เขา้ ใจและใช้แนวคดิ เชิงคานวณในการแก้ปญั หาที่พบในชีวติ จรงิ อย่างเป็นข้นั ตอน และเป็น ระบบใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารในการเรยี นรู้ การทางาน และการแก้ปญั หาได้ อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ รู้เทา่ ทัน และมีจรยิ ธรรม รหสั ตัวชี้วัด รำยละเอยี ดตัวชี้วัด สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนร้ทู อ้ งถิ่น ว4.2 ป.2/3 3. ใชเ้ ทคโนโลยีในการ - การใชง้ านซอฟต์แวร์เบื้องต้น เชน่ - สร้าง จดั หมวดหมู่ การเข้าและออกจาก โปรแกรม คน้ หา จดั เก็บ เรียกใช้ การสร้างไฟล์ การจัดเกบ็ การ ขอ้ มลู ตามวัตถปุ ระสงค์ เรียกใชไ้ ฟล์ การแก้ไขตกแต่ง เอกสาร ทาได้ในโปรแกรม เชน่ โปรแกรม ประมวลคา โปรแกรม กราฟิก โปรแกรมนาเสนอ - การสร้าง คดั ลอก ย้าย ลบ เปลี่ยนชือ่ จัดหมวดหม่ไู ฟล์ และ โฟลเดอรอ์ ย่างเป็นระบบจะทาให้ เรียกใช้ คน้ หา ขอ้ มลู ได้งา่ ยและ รวดเรว็ ว4.2 ป.2/4 4. ใชเ้ ทคโนโลยี - การใชเ้ ทคโนโลยรสารสนเทศ - สารสนเทศอยา่ ง อยา่ งปลอดภัย เชน่ รู้จักข้อมูล ปลอดภัย ปฏบิ ตั ิตาม สว่ นตวั อนั ตรายจากการเผยแพร่ ข้อตกลงในการใช้ ขอ้ มูลส่วนตวั และไม่บอกข้อมลู คอมพวิ เตอร์ ร่วมกนั ส่วนตัวกบั บคุ คลอื่นยกเวน้ ดแู ลรกั ษาอปุ กรณ์ ผู้ปกครองหรือครูแจง้ ผู้เกย่ี วข้อง เบื้องตน้ ใช้งานอยา่ ง เมอ่ื ต้องการความชว่ ยเหลอื เกี่ยวกับ เหมาะสม การใช้งาน - ขอ้ ปฏบิ ตั ิในการใชง้ านและการ ดูแลรกั ษาอปุ กรณ์ เชน่ ไม่ขดี เขยี น บนอปุ กรณ์ ทาความสะอาด ใช้ อปุ กรณ์อย่างถกู วธิ ี

44 ตวั ชีว้ ดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำงและสำระกำรเรียนรู้ทอ้ งถนิ่ ชั้นประถมศกึ ษำปีท่ี 3 ภำคเรยี นที่ 1 สำระที่ ๑ วิทยำศำสตร์ชวี ภำพ มำตรฐำน ว๑.๒ เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต การลาเลียงสารผ่านเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ีทางานสัมพันธ์กันความสัมพันธ์ ของโครงสร้าง และหน้าท่ขี องอวยั วะต่างๆ ของพืชท่ที างานสมั พนั ธก์ นั รวมทงั้ นาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ รหสั ตวั ชี้วัด รำยละเอยี ดตัวช้ีวดั สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง สำระกำรเรยี นร้ทู อ้ งถน่ิ ว1.2 ป.3/1 1. บรรยายสงิ่ ทจี่ าเป็นตอ่ - มนุษย์และสัตว์ต้องการอาหาร - การดารงชวี ิตและการ การดารงชีวติ และการ น้า และอากาศเพ่ือการดารงชีวติ เจรญิ เตบิ โตของ เจรญิ เตบิ โตของมนุษย์ และการเจรญิ เตบิ โต สิ่งมีชวี ิตในท้องถิ่น และสัตว์ โดยใช้ขอ้ มลู ที่ รวบรวมได้ ว1.2 ป.3/2 2. ตระหนกั ถึงประโยชน์ - อาหารช่วยให้รา่ งกายแข็งแรง - ของอาหาร น้า และ และเจรญิ เติบโตนา้ ชว่ ยให้ อากาศโดยการดแู ลตนเอง ร่างกายทางานได้อยา่ งปกติ และสัตวใ์ หไ้ ดร้ บั สง่ิ อากาศใช้ ในการหายใจ เหล่านอ้ี ยา่ งเหมาะสม ว1.2 ป.3/3 3. สรา้ งแบบจาลองที่ - สตั วเ์ ม่อื เป็นตัวเต็มวัยจะ - บรรยายวัฏจักรชีวติ ของ สืบพันธุ์มีลกู เม่ือลกู เจรญิ เติบโต สตั ว์ และเปรียบเทียบวัฏ เปน็ ตัวเต็มวยั กส็ ืบพนั ธุม์ ลี กู ต่อไป จกั รชวี ิตของสตั ว์ บางชนดิ ได้อีกหมุนเวียนต่อเนื่องเป็นวัฏ ว1.2 ป.3/4 4. ตระหนักถึงคุณค่าของ จกั รชีวติ ของสัตว์ ซ่ึงสตั ว์แต่ละ - ชีวติ สัตว์ โดยไม่ทาใหว้ ฏั ชนดิ เชน่ ผีเสอื้ กบ ไก่ มนษุ ย์จะ จกั รชีวิตของสตั ว์ มวี ฏั จักรชวี ิตท่เี ฉพาะ และ เปลยี่ นแปลง แตกตา่ งกนั สำระท่ี ๒ วิทยำศำสตร์กำยภำพ มำตรฐำน ว ๒.๑ เขา้ ใจสมบตั ขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสมบตั ิของสสาร กับโครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสารการ เกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี รหสั ตัวชี้วดั รำยละเอยี ดตัวช้ีวดั สำระกำรเรยี นรูแ้ กนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ทอ้ งถน่ิ ว2.1 ป.3/1 1. อธบิ ายวา่ วัตถุ - วัตถอุ าจทาจากช้ินสว่ นย่อย ๆ ซึ่งแต่ - ประกอบข้นึ จากชิน้ ละชิ้นมลี ักษณะเหมือนกันมาประกอบ ส่วนยอ่ ย ๆ ซ่ึง เข้าด้วยกนั เม่ือแยกชน้ิ สว่ นย่อย ๆ แต่ สามารถแยกออกจาก ละชน้ิ ของวตั ถุออกจากกนั สามารถนา กันไดแ้ ละประกอบ ชิ้นสว่ นเหล่านั้นมาประกอบเป็นวัตถุ กนั เปน็ วตั ถชุ นิ้ ใหม่ได้ ชนิ้ ใหมไ่ ด้ เช่น กาแพงบา้ นมีก้อนอฐิ

45 รหัสตัวช้ีวัด รำยละเอยี ดตัวชี้วัด สำระกำรเรยี นรูแ้ กนกลำง สำระกำรเรียนร้ทู ้องถน่ิ โดยใช้หลกั ฐานเชงิ หลาย ๆ ก้อน ประกอบเข้าดว้ ยกนั ประจักษ์ และสามารถนาก้อนอฐิ จากกาแพงบา้ น มาประกอบเป็นพ้นื ทางเดนิ ได้ ว2.1 ป.3/2 2. อธิบายการ - เม่ือให้ความร้อนหรือทาให้วัสดุร้อน - เปล่ียนแปลงของวสั ดุ ขนึ้ และเม่ือลดความร้อนหรอื ทาให้ เม่ือทาใหร้ อ้ นขนึ้ หรือ วัสดเุ ย็นลง วัสดจุ ะเกดิ การ ทาใหเ้ ย็นลง โดยใช้ เปลีย่ นแปลงได้ เชน่ สี เปลย่ี น รปู ร่าง หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ เปล่ยี น สำระที่ ๒ วทิ ยำศำสตรก์ ำยภำพ มำตรฐำน ว๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงที่กระทาต่อวัตถุลักษณะการ เคลอื่ นทแ่ี บบต่างๆ ของวตั ถุ รวมทัง้ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์ รหัสตวั ช้ีวดั รำยละเอียดตัวช้ีวดั สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง สำระกำรเรยี นร้ทู ้องถนิ่ ว2.2 ป.3/1 1. ระบุผลของแรงที่ - การดงึ หรอื การผลักเปน็ การออกแรง - มีต่อการ กระทาตอ่ วตั ถุ แรงมีผลต่อการ เปล่ียนแปลง การ เคลอื่ นที่ของวตั ถุ แรงอาจทาให้วัตถุ เคลอ่ื นท่ีของวตั ถุ เกิดการเคล่ือนที่โดยเปล่ียนตาแหน่ง จากหลักฐานเชิง จากทห่ี นึง่ ไปยังอีกทีห่ นง่ึ ประจกั ษ์ - การเปล่ยี นแปลงการเคล่ือนทีข่ อง วัตถุ ได้แก่ วัตถุทีอ่ ยูน่ ่ิงเปลยี่ นเป็น เคลื่อนท่ี วตั ถุทก่ี าลงั เคลอ่ื นที่ เปลยี่ นเป็นเคลือ่ นท่ีเรว็ ขนึ้ หรือช้าลง หรอื หยุดนงิ่ หรอื เปลย่ี นทิศทางการ เคลื่อนที่ ว2.2 ป.3/2 2. เปรยี บเทียบและ - การดงึ หรอื การผลักเปน็ การออกแรง - ยกตวั อย่างแรง ทเี่ กิดจากวัตถุหน่ึงกระทากับอกี วตั ถุ สัมผัสและแรงไม่ หนึ่งโดยวตั ถทุ ง้ั สองอาจสัมผสั หรอื ไม่ สัมผสั ทมี่ ีผลต่อการ ต้องสมั ผัสกนั เชน่ การออกแรงโดยใช้ เคลอื่ นท่ีของวตั ถุ มือดงึ หรือการผลกั โต๊ะใหเ้ คล่ือนที่เปน็ โดยใช้หลกั ฐานเชงิ การออกแรงท่วี ัตถุต้องสัมผสั กัน แรงนี้ ประจักษ์ จึงเป็นแรงสมั ผสั สว่ นการทแี่ มเ่ หล็ก ดงึ ดดู หรือผลักระหว่างแม่เหล็กเปน็ แรง ทเ่ี กิดข้นึ โดยแมเ่ หลก็ ไม่จาเป็นตอ้ ง สมั ผสั กัน แรงแม่เหล็กน้จี ึงเป็นแรงไม่ สมั ผสั ว2.2 ป.3/3 3. จาแนกวตั ถุโดย - แมเ่ หล็กสามารถดึงดดู สารแมเ่ หลก็ ได้ - ใชก้ ารดงึ ดดู กับ - แรงแม่เหลก็ เป็นแรงทีเ่ กิดข้ึนระหว่าง แม่เหล็ก เป็นเกณฑ์ แม่เหล็กกับสารแมเ่ หลก็ หรือแมเ่ หลก็


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook