วิชา การวจิ ัยและพฒั นานวตั กรรมการเรยี นรู้ (PC62508) ผสู้ อน : ผศ.ทรงเกยี รติ อิงคามระธร Email: [email protected] / 0863198967 บทท่ี 1 ความรู้เบือ้ งตน้ เกยี่ วกบั การวิจัย • การแสวงหาความรขู้ องมนุษย์ • การแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการวจิ ยั • ความหมายของการวิจยั • จุดมุ่งหมายของการวจิ ยั • ประเภทของการวิจยั • แนวคิดเกีย่ วกบั การวจิ ยั ในชัน้ เรยี น
แนวคดิ เกย่ี วกับการวจิ ยั การวิจยั เกิดขนึ้ จากคาถามทม่ี นษุ ย์มีตอ่ ธรรมชาติและปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ของโลกทั้งที่เป็นรูปธรรมและ นามธรรม • ความอยากรู้อยากเหน็ ทาใหต้ ้งั คาถาม – why • นาไปสกู่ ารคิด แสวงหาคาตอบ ตวั อย่าง 1. มนุษย์พบเหน็ นกบนิ (ปรากฏการณ์ธรรมชาต)ิ 2. ตงั้ คาถามว่า เหตใุ ดนกจึงบินได้ มนุษย์จะบินในอากาศได้เชน่ เดียวกบั นกหรือไม่ 3. มุ่งม่นั หาคาตอบ 4. การประดษิ ฐ์เครือ่ งรอ่ น 5. มีการพฒั นาต่อยอดเป็นเคร่ืองบิน
ในโลกใบน้ีมีนวตั กรรมและไอเดีย มากมายเกดิ ขน้ึ อยทู่ กุ วนั Apple • Apple Computer ก่อตง้ั โดย Steve Jobs และ Steve Wozniak ทงั้ สองคนสร้างคอมพวิ เตอร์ Apple I คอมพิวเตอรร์ นุ่ แรกของ Apple วางจาหนา่ ยในราคา 666.66 ดอลลารส์ หรัฐ เมือ่ ปี ค.ศ.1976 ถอื เป็นจุดเริ่มตน้ ของการสรา้ งผลิตภณั ฑท์ างด้านคอมพวิ เตอรจ์ าก Apple • ปจั จบุ ัน Apple มี Product ตา่ ง ๆ มากมาย เช่น iPhone, iPad, iMac, Macbook Pro เป็นต้น เรยี กไดว้ ่าเปน็ ผู้ร่เิ รม่ิ หลายนวัตกรรมทส่ี ง่ ผลต่อ อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ สมารท์ โฟน และแท็บเลต็ ไม่ มากกน็ อ้ ย
1. การแสวงหาความร้ขู องมนษุ ย์ เบสท์ (Best, 1977) 1. ความรู้จากการเช่อื สิง่ เหนอื ธรรมชาติ 2. ความรู้ทไ่ี ด้จากพอ่ มด หมอผี นกั บวช 3. ความร้จู ากประเพณี 4. ความรู้จากผู้มีอานาจ 5. ความรู้จากการสงั เกต 6. ความรู้จากประสบการณ์ / การลองผิดลองถกู / ความบังเอญิ 7. ความรู้จากความสัมพันธเ์ ชิงเหตุผล 8. ความรู้จากการนริ นยั (deduction) 9. ความรจู้ ากการอปุ นยั (induction) 10. ความรู้จากวิธีการนริ นยั และอุปนัย (deductive-inductive method)
ความรู้ทไ่ี ดจ้ ากการนริ นัย (อนมุ าน) Deduction เรียกว่าการหาเหตุผลแบบ syllogistic reasoning ในลักษณะของความสมั พันธ์ 3 สว่ นคอื 1. ข้อเทจ็ จริงหลกั (major premise) – กฏเกณฑท์ ่ัวไป (เหตุใหญ่) 2. ข้อเท็จจริงยอ่ ย (minor premise) – ขอ้ เท็จจรงิ เฉพาะเรอื่ ง (เหตยุ อ่ ย) 3. ข้อสรปุ (conclusion) ไดจ้ ากความสมั พันธข์ อง 1 และ 2 (ผล) (สรปุ จากสว่ นใหญ่ไปหาส่วนย่อย) คนทกุ คนเกิดมาต้องตาย ขอ้ บกพร่องของวธิ ีการนริ นยั นายดาเป็นคน 1. ไมไ่ ดค้ วามรูใ้ หม่ นายดาตอ้ งตาย 2. ข้อสรปุ อาจไมเ่ ปน็ จริง
ความรู้จากการอุปนัย (อุปมาน) Induction มะนาวแต่ละผลมรี สเปร้ยี ว มะนาวมหี ลายชนิด วธิ ีการอุปมานเริม่ จากการสังเกต การรวบรวมขอ้ มลู ย่อย ๆ (เหตุยอ่ ย) วิเคราะหค์ วามสัมพนั ธ์ของเหตยุ อ่ ย และสรุปเปน็ มะนาวทกุ ชนิดมรี สเปรย้ี ว “ผล” (สรุปจากส่วนยอ่ ยไปหาส่วนใหญ่) ความรู้จากวธิ กี ารนริ นยั เปน็ การการบูรณาการวิธีการไดค้ วามรู้แบบนิรนัยและอปุ นัยเข้าดว้ ยกนั โดยมีหลกั การวา่ และอปุ นยั 1. การแสวงหาความรู้มกี ฏเกณฑ์อยู่แลว้ 2. นาความรู้เดมิ มาตงั้ คาตอบที่น่าจะใช่ (สมมติฐาน) 3. ใชว้ ิธีการอุปนยั เพือ่ เก็บข้อมลู เพอื่ ตรวจสอบสมมติฐาน
ความรจู้ ากวิธีการ วทิ ยาศาสตร์ ความรดู้ ้วยวิธีวิทยาศาสตร์ (method of science) 5 ข้ันตอน 1. กาหนดและนยิ ามปญั หา 2. ตง้ั สมมติฐาน 3. เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 4. วิเคราะห์ข้อมลู 5. สรุปผล
สรุปวิธีการแสวงหาความรู้ของมนุษย์ 1. ประสบการณ์ (experience) ประกอบด้วย ความบังเอิญ (by chance) การลองผดิ ลองถกู (trial and error) 2. แหล่งความรู้ (authority or expert) ได้แก่ ผ้รู ู้ (นักปราชญ์ พระ ผ้นู าชมุ ชน) ความเชื่อจากประเพณี (tradition) 3. วธิ กี ารอนมุ าน หรือ นริ นัย (deductive approach) 4. วธิ ีการอปุ มาน หรอื อุปนยั (inductive approach) 5. วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ (scientific method) 2. การแสวงหาความร้ดู ้วยกระบวนการวจิ ยั การแสวงหาความรู้ความจรงิ ด้วยวธิ ีการท่ีมีระบบ เช่ือถอื ได้ โดยอาศยั ระเบียบวิธี ทางวทิ ยาศาสตร์ เพ่ือใหไ้ ด้ความร้ใู หมท่ เ่ี ปน็ คาตอบของปัญหาตามวัตถุประสงค์ ที่กาหนดไว้
กระบวนการข้นั ตอนในการวิจัย ขั้นท่ี 6 ออกแบบการวจิ ยั ขัน้ ท่ี 7 เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ขัน้ ที่ 1 กาหนดปัญหาการวจิ ัย ขั้นท่ี 8 วิเคราะห์ขอ้ มลู ข้นั ท่ี 2 ทบทวนวรรณกรรมท่เี กย่ี วขอ้ ง ขนั้ ท่ี 9 สรุปผล ขัน้ ที่ 3 กาหนดกรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจยั (ใช้แนวคิด ทฤษฎี งานวิจยั ของใคร) ข้ันท่ี 4 กาหนดวตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั ขั้นที่ 5 กาหนดสมมตฐิ านการวิจยั การวจิ ัยมอี งคป์ ระกอบ 3 ข้อ 1. เปน็ การแสวงหาความรู้ในสง่ิ ที่ยงั ไม่รู้ 2. มีระเบียบวธิ ีการในการศกึ ษาทีเ่ ชื่อถือได้ 3. มวี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการศึกษา (เพื่อแสวงหาความรู้-pure research หรอื เพื่อนาไปใช้ประโยชน-์ applied research)
จดุ มุ่งหมายของการวิจยั • เพ่ือการบรรยาย (description) เพอ่ื นาผลการวจิ ัยบรรยายสภาพของปัญหา ลกั ษณะของปญั หา เช่น มผี ู้ปว่ ยเบาหวานในหมบู่ ้านก่ีคน เปน็ ชายก่คี น หญงิ กค่ี น • เพือ่ การอธิบาย (explanation) เพ่ือบอกความสัมพันธข์ องตัวแปร บอกความ เป็นเหตเุ ป็นผลของตวั แปรท่ศี กึ ษา เชน่ การศกึ ษาความสัมพันธ์ระหวา่ งเพศกบั ระดับความรนุ แรงของโรคเบาหวาน • เพื่อการทานาย (prediction) มุ่งทานายแนวโน้มในอนาคตโดยพจิ ารณาจาก ความสมั พนั ธ์ของตวั แปร เชน่ ถา้ ผลการวิจัยพบว่าการบริโภคอาหารจาพวก แปง้ สง่ ผลต่อการเป็นเบาหวาน กส็ ามารถทานายได้วา่ ถ้าใครชอบ รบั ประทานอาหารจาพวกแป้ง ก็มีแนวโนม้ ทีจ่ ะเปน็ เบาหวานได้มากกวา่ คนอืน่ • เพื่อการควบคุม (control) เพื่อใช้ผลการวิจยั กาหนดแนวทางแก้ไขสิ่งที่คาดว่า จะเกดิ ข้ึน เชน่ ถา้ ผลการวจิ ยั พบว่าการบรโิ ภคอาหารจาพวกแป้งทาใหเ้ ป็น โรคเบาหวาน ดงั น้นั จงึ มกี ารวางแผนเผยแพรค่ วามรใู้ หช้ าวบา้ นเข้าใจใน วธิ ีการบรโิ ภคอาหาร
ประเภทของการวจิ ยั การจาแนกตามข้อมลู จาแนกตามระยะเวลาในการวจิ ัย 1. การวจิ ยั เชิงปรมิ าณ (ขอ้ มลู เปน็ ตวั เลข) 1. การวจิ ัยแบบภาคตดั ขวาง 2. การวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ (ขอ้ มลู เป็นการบรรยาย) 2. การวจิ ยั ระยะยาว การจาแนกตามประโยชน์ จาแนกตามศาสตร์ 1. การวจิ ยั พื้นฐาน (หาความจริงเก่ยี วกบั ทฤษฎ)ี 1. การวิจยั ทางสงั คมศาสตร์ 2. การวิจยั ประยกุ ต์ (ใชผ้ ลเพอ่ื การทางาน) 2. การวิจยั ทางพฤตกิ รรมศาสตร์ 3. การวิจัยปฏบิ ัติการ 3. การวิจัยทางมนุษยศาสตร์ 4. การวิจัยทางวทิ ยาศาสตร์ การจาแนกตามระเบียบวิธี 5. การวิจยั แบบสหวิทยาการ 1. การวจิ ยั เชิงประวตั ิศาสตร์ (การศึกษาเรอ่ื งอดีต โดยใช้เอกสาร รอ่ งรอย) 2. การวจิ ยั เชงิ บรรยาย (ศกึ ษาสภาพจริง โดยไมม่ กี ารควบคุมตัวแปร) 3. การวิจยั เชงิ ทดลอง (ศึกษาความสมั พันธเ์ ชิงเหตุผล ภายใตก้ ารควบคมุ ตัวแปร)
แนวคดิ ของการวจิ ยั ในชัน้ เรยี น การวิจัยในชน้ั เรยี น เปน็ การวิจัยประเภทวิจยั ปฏบิ ตั กิ าร (Action Research) โดยใน ภาษาอังกฤษใชช้ อื่ ว่า Classroom Action Research: CAR) ซงึ่ การวิจัยปฏบิ ัติการ เป็นการวิจยั เพอื่ แกป้ ัญหาเฉพาะสถานการณใ์ ดสถานการณ์หน่งึ นักวจิ ยั คือ ผูป้ ฏิบตั ิงานในสถานการณน์ นั้ ผลของการวจิ ยั ใช้เฉพาะกบั สถานการณน์ ั้น ไม่สามารถ สรุปอ้างอิงไปยงั สถานการณ์อืน่ ได้ การวจิ ัยในชั้นเรยี นเป็นการวจิ ัยทางสังคมศาสตร์ เนื่องจากมลี ักษณะดังน้ี • ศกึ ษาปัญหาของผู้เรียน (มนุษย์) เพอื่ แกไ้ ขหรือพัฒนา • การวดั ตวั แปรเปน็ การวดั ทางอ้อม โดยใชเ้ คร่ืองมือการวิจยั ทางสังคมศาสตร์ เชน่ การสอบถาม การทดสอบ การสังเกต • การวิจัยในชนั้ เรียนอาจเกบ็ ข้อมูลเปน็ ตวั เลข (เชงิ ปริมาณ) หรอื ข้อมูลทีเ่ ป็นการ บรรยายรายละเอยี ด (เชิงคุณภาพ) ก็ได้
ครสู ีดาสอนวิชาภาษาไทยชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 1 พบวา่ 1. ปัญหาการเรียนรู้คืออะไร ปญั หาเดก็ กลุม่ หนึ่งออกเสยี งคาควบกล้าไม่ชัด ครูสดี า 2. ครศู รีดาแก้ปญั หานี้อย่างไร รวบรวมข้อมลู เกยี่ วกับสภาพปญั หาการออกเสยี งของ 3. ผลของการแกป้ ญั หาเป็นอย่างไร นกั เรียนกลมุ่ นี้ โดยอา่ นทบทวนแนวทางการแกป้ ญั หาจาก ตารา วารสารวิชาการ งานวจิ ัยในอดตี จากนั้นเลอื ก วิธีการใช้แบบฝึกในลกั ษณะการบนั ทกึ เป็นไฟลเ์ สียง โดยให้ นกั เรยี นกลมุ่ นฝ้ี ึกออกเสยี งหลังรับประทานอาหารกลางวนั ทกุ วัน วันละ 20 นาที เปน็ เวลา 3 สปั ดาห์ ครสู ดี าบันทกึ ขอ้ มูลนักเรียนกลมุ่ น้เี ป็นรายบคุ คลก่อนการฝกึ โดยใช้ แบบทดสอบการอา่ นภาคปฏิบัติ ผลการดาเนินการพบวา่ นกั เรียนสามารถออกเสยี งถูกตอ้ งทุกคา และเมอื่ นาคาอ่ืน นอกเหนือจากในแบบทดสอบมาให้อา่ นก็พบว่าสามารถ ออกเสียงได้ถูกต้อง
คุณครจู ารุวรรณ สอนนักเรยี นชั้นอนุบาล 1 สังเกตว่าใน 1. ปัญหาการเรยี นรคู้ ืออะไร ระยะแรกของการมาโรงเรียน นกั เรียนไม่ชอบมาโรงเรียน 2. ปญั หาการวิจยั คอื อะไร มีอาการกลัวเพ่อื น กลัวครู และไม่เข้าใจว่าทาไมต้องมาโรงเรียน 3. ครนู ักวิจยั ทา่ นน้ีใชน้ วตั กรรมอะไรในการ เมื่อให้นักเรียนวาดภาพเกย่ี วกับเพ่อื น ครแู ละโรงเรยี นพบว่า นักเรียนขาดเจตคติท่ีถกู ต้องเก่ียวกบั การมาโรงเรียน ครู แก้ปญั หา จารวุ รรณจงึ หาวิธปี รับเจตคตขิ องเด็กโดยเลือกใช้บทคาคล้อง 4. ครูนกั วจิ ัยทา่ นน้ีตรวจสอบผลของการ จองหลายบท หลายเรอื่ ง และอ่านให้นักเรยี นฟงั บ่อย ๆ เมื่อ ผ่านไประยะหนง่ึ ครจู ารวุ รรณตรวจสอบเจตคติของนกั เรียนโดย แก้ปญั หาอยา่ งไร การใหว้ าดภาพ การพูดคุย และการสงั เกตพฤติกรรม พบว่า นกั เรยี นมีความคิดความเข้าใจเกยี่ วกบั โรงเรียนดขี ึน้ ต่อมาครูจารวุ รรณไดน้ าการดาเนนิ การในเร่อื งนไ่ี ปเขียน เป็นรายงานการวิจยั ในช่ือวา่ การพัฒนาเจตคตกิ ารมาโรงเรียน ของนักเรยี นช้ันอนุบาลปีที่ 1 โรงเรยี นคณุ ภาพวิทยา โดยใช้บท คาคล้องจองสาหรับเด็ก
เดก็ ชายเสือใหญเ่ ปน็ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ี่ 6 มี 1. ปญั หาทีต่ ้องการแกไ้ ขคืออะไร พฤติกรรมก้าวรา้ ว พดู คาหยาบ ชกต่อยกับเพอื่ น เปน็ หัวหน้า 2. สาเหตขุ องปญั หาคอื อะไร กล่มุ เกเร ไม่สนใจในการเรียน ครบู ญุ เรอื งซึ่งเป็นครูประจาชัน้ ได้ 3. หลักการที่ใชแ้ ก้ปญั หาคอื อะไร ศกึ ษาขอ้ มลู ของเด็กชายเสอื ใหญ่พบวา่ มปี ญั หาครอบครัว 4. วิธกี ารปรบั พฤตกิ รรมทาอยา่ งไร แตกแยก อาศยั อยูก่ บั ลงุ และปา้ ต้องการการยอมรบั ในสังคม 5. การเก็บรวบรวมข้อมูลทาอย่างไร ตอ้ งการความรกั คายกยอ่ งชมเชย ครูบญุ เรืองจงึ ได้ศกึ ษา แนวคดิ การเสรมิ แรงของเจโรม บรเู นอร์ (Jerome Bruner) เรอื่ งการเสรมิ แรงทนั ทีทพี่ บพฤติกรรมที่พงึ ประสงค์ จากนน้ั ได้ กาหนดแนวทางการเสริมแรงประกอบดว้ ย การชมเชยเม่อื มี พัฒนาการท่ดี ขี น้ึ การสอดแทรกคติเตือนใจ การสอนใหเ้ ป็น ลูกผชู้ ายทีก่ ลา้ ยอมรับความจรงิ และกล้าแก้ไขข้อบกพร่อง เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เปน็ ระยะเวลา 2 เดือนโดยใชแ้ บบสงั เกต พฤติกรรม ผลการศึกษาพบว่า พฤตกิ รรมก้าวรา้ วลดลงและมี พฤตกิ รรมการเรยี นดีข้นึ
ความหมายของการวิจยั ในช้ันเรียน แนวคดิ ท่สี าคัญของการวจิ ยั ในชัน้ เรียน 1. การวิจยั ในชน้ั เรียนมคี วามมงุ่ หมาย กระบวนการแสวงหาความรอู้ ย่างเปน็ ระบบทเ่ี ชอ่ื ถือได้ โดย สาคัญคือ การนาผลการวจิ ัยไปแกป้ ัญหา ใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ให้ หรือพัฒนาคุณภาพการเรยี นการสอน ไดค้ วามรคู้ วามจรงิ ทีเ่ ป็นคาตอบของปัญหา ผลของการ 2. การวจิ ัยในชน้ั เรยี นเป็นการวจิ ยั ที่ทา แสวงหาความร้ดู ังกล่าวมปี ระโยชนใ์ นการใช้เพือ่ แก้ปญั หา โดยครู หรือการพัฒนาองค์ความรู้ 3. การวจิ ยั ในชั้นเรียนเปน็ การวจิ ยั เชิง ปฏบิ ัติการ (action research) ซง่ึ เน้น 1. ผู้ทาวจิ ัย คอื ครผู สู้ อน การใชผ้ ลวิจยั ในการแก้ปัญหาท่เี กดิ ข้นึ 2. จดุ มุง่ หมาย เพื่อพฒั นาการเรียนการสอน หรอื ปรบั ปรุงคุณภาพการเรียนการสอน จากการปฏิบตั ิงาน 3. ดาเนนิ การวจิ ยั ควบคูไประหวา่ งการจดั การเรียนการสอน 4. การวจิ ยั ในชั้นเรยี นเปน็ สว่ นหนึ่งของ 4. ทีม่ าของปญั หาวิจยั คือปัญหาการเรยี นรทู้ ่ีครูพบและต้องการทจ่ี ะแกไ้ ข กระบวนการเรยี นการสอน 5. การแกป้ ัญหา โดยใชน้ วตั กรรมทางการศึกษาโดยมีพื้นฐานเชิงทฤษฎี 6. ขอบเขตการวจิ ยั เปน็ งานวิจยั ขนาดเล็ก ทากับกับกลุ่มเป้าหมายท่ีมีปญั หาหรือต้องการพัฒนา ใช้ระยะเวลาการวจิ ยั สน้ั ผลการวิจัยจะไมน่ าไปใชอ้ ้างอิงกับกล่มุ เปา้ หมายอื่น 7. ไม่ยึดแบบแผนการวิจยั ท่ีเคร่งครดั
• อะไรเป็นสาเหตุท่ีทาใหน้ กั เรียนอ่านไม่คล่อง • จะจดั การเรยี นการสอนอย่างไรเพื่อช่วยให้ • ทาไมนักเรยี นจงึ สอบตกในวชิ าคณิตศาสตรม์ าก • ทาไมนักเรยี นทางานเปน็ กลมุ่ ไม่เปน็ นักเรียนอา่ นไดค้ ลอ่ ง • อะไรเปน็ สาเหตพุ ฤตกิ รรมก้าวรา้ วของเด็กชาย • จะใชก้ ารสอนคณติ ศาสตรอ์ ย่างไรเพอ่ื มนตรี ยกระดบั ผลสัมฤทธใิ์ นวิชาคณติ ศาสตร์ • การเรยี นแบบรว่ มมือจะช่วยให้นกั เรียนมี ทกั ษะการทางานกลมุ่ ดขี นึ้ หรอื ไม่ • การใช้การเสรมิ แรงเชิงบวกจะชว่ ยแก้ปญั หา พฤตกิ รรมกา้ วรา้ วไดห้ รอื ไม่
ข้นั ตอนการวิจัยในชัน้ เรียน 1. วิเคราะหป์ ัญหาการเรยี นรู้ 2. เลือกนวตั กรรมหรอื วธิ ีการแกป้ ญั หา 3. การพัฒนานวตั กรรม 4. การทดลองใช้นวตั กรรมและเก็บขอ้ มลู 5. วเิ คราะห์ สรปุ ผล เขยี นรายงาน
ข้อดขี องการวิจยั ในชนั้ เรยี น • ช่วยแกป้ ญั หาเฉพาะของนกั เรียนในสถานการณน์ ั้น ๆ (ขอบเขตการ วิจยั แคบ) • ครผู สู้ อนเป็นผ้วู จิ ยั จึงมคี วามเข้าใจในสถานการณ์ปญั หาได้ดี • มีความยดื หยุ่นในกระบวนการวิจยั (ไม่เคร่งครัดในระเบียบวิธีวจิ ยั ) • เน้นการใชผ้ ลวจิ ยั เพื่อแกป้ ญั หาหรือพฒั นาผู้เรยี น • เป็นการวิจยั เชงิ ทดลอง (ใช้แบบแผนการทดลองในลักษณะตัวแปรต้น หรอื นวัตกรรมทคี่ รสู ร้างขึ้นส่งผลต่อตวั แปรตามหรอื พฤตกิ รรมของ ผู้เรยี นหรอื ไม่ อยา่ งไร) • สามารถแกป้ ญั หาผเู้ รยี นเพยี งคนเดียวกไ็ ด้ • เปน็ ส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนปกติ (built-in)
พจิ ารณาข้อความและทาเครือ่ งหมาย หรือ ตามลักษณะสาคัญของการวจิ ัยในชนั้ เรยี น 1. การวจิ ัยในชน้ั เรียนตอ้ งทาโดยผมู้ ีความร้เู ร่อื งการวจิ ยั เทา่ น้ัน 2. การวจิ ัยในชน้ั เรียนเน้นการแกป้ ญั หาของผู้เรยี น 3. ผู้ที่ได้ผลโดยตรงจากการวิจัยในชั้นเรียนคือครูผสู้ อน 4. ถงึ มีนักเรียนเพียงคนเดียวที่มีปญั หาครูก็ควรทาวจิ ยั ในชน้ั เรยี นเพ่อื แกไ้ ขปัญหา 5. จดุ มุ่งหมายสาคัญของการวจิ ยั ในชน้ั เรียนคือเพ่ือวิเคราะห์สาเหตปุ ัญหาการเรยี นรู้ 6. การวจิ ัยในชนั้ เรยี นมลี ักษณะเปน็ การทดลองใชน้ วตั กรรมว่าได้ผลเป็นอย่างไร 7. เพอ่ื ให้ได้ผลทน่ี า่ เชื่อถือการวจิ ยั ในชน้ั เรียนจะต้องยดึ แบบแผนการวิจัยอยา่ งเคร่งครดั 8. ผลของการวิจยั ในชน้ั เรยี นสามารถใช้เพอื่ อธบิ ายในสถานการณอ์ ่นื ๆ ทค่ี ลา้ ยคลงึ กนั
งาน 1 การบรรยายปัญหาการเรียนรแู้ ละการแก้ไข (10 คะแนน) ปัญหาการเรยี นรู้ สาเหตุของปัญหา วธิ กี ารแก้ไข บรรยายรายละเอยี ดปญั หาการเรยี นรู้ บอกสาเหตุของปัญหาการเรียนรู้ บอกนวัตกรรมเพอ่ื แกไ้ ขปัญหา ท่พี บในการจัดการเรียนการสอน • สาเหตุของปัญหาการเรียนรู้คอื อะไร (จะตอ้ งสอดคล้องกับปัญหาการเรยี นรู้ • ปัญหาในรายวชิ าอะไร ระดับชนั้ เชน่ สาเหตจุ ากทรพั ยากรการเรียนรู้ และสาเหตุของปญั หา) เนือ้ หา ภาคเรยี นและปีการศกึ ษา สาเหตุจากกระบวนการจัดการเรียน • ชอ่ื นวตั กรรม อะไร โรงเรยี นอะไร การสอน สาเหตุจากปจั จยั ดา้ น • ลกั ษณะของนวัตกรรม • ปัญหาเกยี่ วขอ้ งกบั นักเรยี นกี่คน ผู้เรยี น ฯลฯ • แนวคิดหรือทฤษฎีทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับ • รายละเอียดของปญั หาเป็นอยา่ งไร นวตั กรรมทเี่ ลอื กใช้ • ร่องรอยของปญั หาดงั กล่าวพบได้ • บอกงานวจิ ยั 2 งานวจิ ัยทใี่ ช้ จากขอ้ มลู หลักฐานอะไร นวตั กรรมดงั กลา่ วในการแกป้ ัญหา • ปญั หานี้สง่ ผลกระทบต่อการเรยี นรู้ (สมพร ใจเท่ียง, 2560, หน้า 24) ในรายวิชานอ้ี ย่างไร การสง่ งาน : ไฟล์ WORD ตง้ั ช่อื ตามกาหนด (Lee, B.H., 2020, p. 45) วจิ ยั งาน1 _ภาษาไทยหมู่1_วนั ชยั 13
วชิ า การวิจยั และพฒั นานวตั กรรมการเรียนรู้ (PC62508) ผ้สู อน : ผศ.ทรงเกยี รติ องิ คามระธร Email: [email protected] / 0863198967 บทที่ 2 ปัญหาการวิจัย 1. การกาหนดปญั หาการวจิ ัย 2. การวิเคราะห์ปญั หาการวจิ ยั ในชัน้ เรยี น 3. การเลอื กนวัตกรรมหรอื วธิ กี ารแกป้ ัญหา 4. การเขยี นปัญหาการวจิ ัย
การวิจัยเรมิ่ ต้นด้วยปัญหาการวจิ ัย การกาหนดปญั หาการวจิ ัย ความหมายของปัญหาการวิจัย นักเรยี นมคี วามสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ Standard • ข้อสงสัย / สง่ิ ท่ีตอ้ งการคาตอบ / • มปี ัจจัยใดบา้ งส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ต้องการความจรงิ • มีแนวทาง วธิ ีการใดบ้างในการพัฒนาความสามารถคิดวิเคราะห์ • คาถามท่ีต้องอาศัยกระบวนการท่ีเปน็ • มีสือ่ นวัตกรรมใดช่วยพัฒนาการคดิ วิเคราะห์ • จะพัฒนาครูอยา่ งไรในการจัดการเรยี นรู้เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นคดิ วิเคราะห์ ระบบในการค้นหาคาตอบท่ีนา่ เช่ือถอื นกั เรียนขาดความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ Actual ปญั หาวจิ ัย (research problem) หมายถงึ ประเด็นที่นกั วิจยั สงสัย และอยากรคู้ าตอบโดย ใชร้ ะเบยี บวธิ วี ิจยั โดยมากมักจะเปน็ การสงสัย เกี่ยวกบั ปรากฏการณ์ที่เกิดขนึ้ • ทาไมนักเรียนจึงมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน วชิ าภาษาอังกฤษตา่ • จะใช้วธิ กี ารจดั การเรยี นรู้อยา่ งไรเพ่ือพัฒนา ผลสัมฤทธ์ดิ ้านภาษาองั กฤษของนกั เรียนไทย
ปัญหาการเรียนรู้ (ทีพ่ บ) ปัญหาวจิ ยั ในช้ันเรียน นกั เรียนอ่านคาควบกลา้ ร ล ว ไมถ่ ูกตอ้ ง • จะใชน้ วัตกรรมอะไรเพ่อื ใหน้ กั เรยี นอ่านคา ปญั หาวจิ ยั ในชัน้ เรียน นักเรียนเขียนภาษาไทยผดิ มาก ควบกล้า ร ล ว ไดถ้ กู ต้อง (ปญั หาแบบกว้าง) (classroom research • การใชแ้ บบฝึกการอ่านคาควบกล้า ร ล ว จะ problem) หมายถึง ประเดน็ ท่ีครูผสู้ อนสงสยั และตอ้ งการ ชว่ ยให้นักเรยี นอา่ นคาควบกล้า ร ล ว ได้ดีข้ึน แกป้ ัญหา หรอื ต้องการพัฒนา หรอื ไม่ (ปัญหาทีช่ ัดข้นึ เจาะจง) ผเู้ รยี นโดยใช้กระบวนการวจิ ัย • นักเรียนเขียนภาษาผิดมากเพราะเหตุใด ปญั หาวจิ ัยในชน้ั เรียนจงึ มี (ปัญหาวจิ ัยเพอ่ื รู้) ลักษณะ • จะใชว้ ิธีการสอน (นวตั กรรม) อะไรเพอื่ • แคบ เจาะจง พฒั นาการเขียนภาษาไทยของนักเรยี นให้ • มขี อบเขตเฉพาะชนั้ เรยี นท่ี ถูกต้อง (ปัญหาวิจัยเพื่อแกป้ ญั หา / พฒั นา แบบกวา้ ง) ครจู ดั การเรยี นการสอน • การใชแ้ บบฝกึ การเขียนจะทาให้นกั เรยี นเขียน ภาษาไทยได้ถกู ต้องมากขน้ึ หรอื ไม่ (ปัญหา วิจยั เพอื่ แกป้ ญั หา / พัฒนา แบบเจาะจง)
ทม่ี าของปัญหาการวจิ ัย ท่ีมาของปัญหาการวจิ ยั ในชนั้ เรยี น 1. ประสบการณ์ เชน่ ปัญหาท่พี บในการทางาน 1. ประสบการณ์ในการจดั การเรียนการสอนของครู 2. เอกสารท่ีเกย่ี วข้อง เชน่ วารสาร วิทยานพิ นธ์ รายงานการวิจัย 2. การเปรียบเทียบของครทู พ่ี บช่องว่าง (gap) ระหวา่ งสภาพที่ 3. ทฤษฎี เชน่ การขยายขอบเขตของทฤษฎี 4. ข้อเสนอแนะหรอื ผลงานวจิ ยั ในอดตี ควรจะเปน็ (goal) กับสภาพทเี่ กิดขึ้นจริง (actual) ในการ 5. ผทู้ รงคุณวฒุ ิ / การประชมุ วชิ าการ เรยี นรู้ 6. หวั ข้อท่หี นว่ ยงาน สถาบนั องคก์ ร กาหนด ปัญหาวิจยั ในช้ันเรียนแบ่งไดเ้ ปน็ 3 ประเภท 1. ศกึ ษาหาคาตอบของอะไร 1. ปัญหาประเภทขดั ข้อง (การเปรียบเทียบระหวา่ งสภาพท่ี ลกั ษณะปัญหาการวิจยั 2. กบั อะไร ควรจะเปน็ กับ สภาพทเ่ี กิดขึ้นจริง) รู้วา่ จะศกึ ษาอะไรในแงม่ มุ ใด 2. ปญั หาประเภทปอ้ งกัน (การเปรยี บเทียบระหว่างสภาพที่ 3. เก็บขอ้ มูลได้ ควรจะเปน็ กบั สภาพทเ่ี กิดข้นึ จริง) 3. ปัญหาประเภทพัฒนา (การเปรยี บเทียบระหว่างสภาพที่ ควรจะเป็น กับ สภาพทีต่ ้องการ) • จะใชว้ ิธกี ารสอน (นวัตกรรม) อะไรเพอื่ พฒั นาการเขียนภาษาไทยของ นักเรียนใหถ้ กู ตอ้ ง • การใช้แบบฝึกการเขยี นจะทาใหน้ ักเรยี นเขยี นภาษาไทยไดถ้ กู ตอ้ งมากขน้ึ หรอื ไม่
อาจารยช์ บาเป็นครูสอนภาษาองั กฤษชัน้ อาจารยศ์ รไี พรสอนภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4 มัธยมศึกษาปที ี่ 1 สอนใหน้ กั เรยี นเขยี นบรรยายภาพ มีนักเรยี นจานวน 20 คน ในการสอนเรือ่ งการอา่ นและ เร่ือง My School โดยได้ตง้ั เป้าหมายในการสอนวา่ สรปุ ใจความจากเร่อื งท่ีอา่ น ซงึ่ ได้ตง้ั เปา้ หมายใหน้ ักเรียน นกั เรยี นร้อยละ 80 สามารถใช้กระบวนการเขียน ทุกคนผา่ นเกณฑข์ ้ันต่าของการประเมนิ คอื ได้คะแนนไม่ตา่ เพ่ือบรรยายภาพได้ แตจ่ ากการตรวจผลงานของ กวา่ 15 จากคะแนนเตม็ 30 คะแนน จากการตรวจผลงาน นักเรยี นพบวา่ นักเรยี นเพยี งร้อยละ 45 ทผี่ ่านเกณฑ์ พบว่านักเรียนทุกคนผ่านเกณฑ์ แต่ส่วนใหญไ่ ด้คะแนน การประเมนิ ในชว่ ง 15-17 คะแนน และคนท่ไี ด้คะแนนสงู สุดมเี พียง 18 คะแนน 1) ปญั หาในกรณนี ี้คอื อะไร 2) ปัญหาดงั กล่าวต้องแก้ไขหรอื ไม่ ถา้ ไม่แก้ไข 1) คะแนนท่ีผา่ นเกณฑแ์ สดงถึงแนวโน้มดา้ นการอา่ น จะสง่ ผลอยา่ งไรต่อการเรยี นรู้ อย่างไร 3) ควรแก้ไขปญั หาน้อี ย่างไร 2) ครูผสู้ อนควรหาวธิ ปี ้องกนั ไมใ่ หเ้ กดิ ปัญหาหรอื ไม่ อยา่ งไร
ปัญหาการเรียนรู้ในช้นั เรียนอาจแบ่งไดเ้ ป็น 5 ประเด็น ดังนี้ 1. ปัญหาดา้ นการจัดสาระการเรียนรู้ โดยเกย่ี วขอ้ งกบั การจดั สาระการเรยี นรู้ (เน้ือหา) ท่ไี มส่ อดคลอ้ งกบั ผลการเรยี นรูท้ ่คี าดหวัง เช่น ไมค่ รอบคลมุ ดา้ นความรู้ (K-knowledge) กระบวนการ (P-process) หรือคณุ ลักษณะ (A-affective) 2. ปัญหาดา้ นพฤตกิ รรม ปญั หานี้เกี่ยวข้องกบั ดา้ นคณุ ธรรม คา่ นยิ ม เจตคตทิ ี่แสดงออกมาทางพฤติกรรม ภายนอก เชน่ ความรับผิดชอบ ความมรี ะเบยี บวนิ ัย ฯลฯ 3. ปญั หาด้านผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น เปน็ ปัญหาทค่ี รตู รวจผลการเรียนของผูเ้ รียนและเม่ือนาไปเทยี บกับ เปา้ หมายหรือมาตรฐานการเรยี นรูท้ ่กี าหนดแลว้ พบว่าไม่เป็นไปตามเกณฑข์ น้ั ต่าทก่ี าหนด 4. ปัญหาดา้ นทักษะ เปน็ ปญั หาที่เกี่ยวข้องกบั ความสามารถในการปฏิบตั ิตามทักษะท่ีกาหนดไว้ในเปา้ หมาย ของการเรียนรู้ เช่น ทกั ษะการเขียน ทกั ษะการอ่าน ทกั ษะการสอื่ สาร ทกั ษะการแกป้ ัญหา ทกั ษะการทางาน เปน็ ทมี 5. ปญั หาด้านการจดั การเรยี นรู้ของครู เป็นปัญหาในส่วนของครผู ู้สอนทใ่ี ชก้ จิ กรรมการเรียนรู้ นวัตกรรม หรอื สื่อการสอนไม่เหมาะสมกบั เนอ้ื หา หรือไม่เหมาะสมกบั ผ้เู รียน ทาใหไ้ ม่บรรลุเปา้ หมายของการจัดการเรียนรู้
แนวทางการเลอื กปญั หาวิจยั ในช้ันเรียน พิจารณาจากตัวปญั หา ความรู้ของครูนกั วิจัย ประโยชนใ์ นดา้ น การศกึ ษา และความเปน็ ไปได้ของทรพั ยากร • เปน็ ปัญหาทสี่ ง่ ผลกระทบต่อการเรยี นรูข้ องผู้เรยี น จาเป็นตอ้ งหาทางแกไ้ ขหรอื พฒั นา เพราะถ้าปัญหาน้ีได้รับ การแก้ไขจะสง่ ผลดีต่อผ้เู รียนและผู้เก่ยี วข้องในการจัด การศกึ ษา • ครนู กั วจิ ัยสามารถหาคาตอบ หรือแกไ้ ข หรอื พฒั นาโดยใช้ นวัตกรรม (educational innovation) มีทรพั ยากร เพียงพอ และได้รับความร่วมมอื จากผ้เู ก่ียวข้อง • เปน็ ปัญหาท่ีครูนักวิจัยมีความรู้ มีความสนใจ และสามารถ ดาเนนิ การได้
การสารวจและการเลือกปัญหาการวจิ ยั ลาดับ ขัน้ ตอน รายละเอียด 1 การพบสภาพปัญหาของผู้เรยี น ปัญหาดา้ นความรู้ (K) ดา้ นกระบวนการ (P) ด้านเจตคติ (A) 2 การสารวจปญั หา การศึกษาบนั ทกึ ขอ้ มลู (secondary data) เช่น ผลการเรยี น บนั ทึก พฤตกิ รรมด้านจติ พสิ ัย บันทกึ ด้านทักษะ การสงั เกต (observation) การ สัมภาษณ์ (interview) การรายงานตนเอง การใช้คาถามในชั้นเรยี น การ ตรวจแบบฝกึ หดั การตรวจงานทม่ี อบหมาย แหลง่ ขอ้ มลู : ตัวผเู้ รียน เพื่อนนกั เรยี น ครู 3 จดั ลาดับความสาคญั และเลอื กปัญหา โดยอาจจะใช้ จากปญั หาท่ีพบ (เชน่ ผลการเรยี นตา่ ขาดทักษะการคานวณ ขาดแรงจงู ใจ เกณฑร์ ้อยละ หรอื คา่ เฉลีย่ ชว่ ยพิจารณาตดั สินใจ ขาดความรบั ผดิ ชอบ) เลอื กปัญหาทีจ่ ะวจิ ยั 1 ปญั หา 4 คน้ หาสาเหตุ เมือ่ ไดป้ ัญหาวิจัยแล้ว ใหค้ ้นหาสาเหตวุ า่ ปญั หาดังกล่าวเกิดจากสาเหตอุ ะไร 5 ศึกษาวธิ ีแก้ปญั หา โดยการศกึ ษาจากแนวคิด ทฤษฎี เอกสารวิชาการหรืองานวิจยั ทีเ่ กี่ยวข้อง กับปญั หาทตี่ อ้ งการศกึ ษา
ลกั ษณะของปัญหาการเรียนรู้ ตัวอยา่ งนวตั กรรมท่คี วรใช้ • แนวคิดใหม่ เพอื่ แกป้ ญั หา • วิธกี ารใหม่ หรือพฒั นาการ ปญั หาด้านผลสัมฤทธิ์ ชุดการสอน • กระบวนการใหม่ ชุดการเรยี นดว้ ยตนเอง • สิ่งประดษิ ฐใ์ หม่ เรยี นรู้ ปัญหาดา้ นจติ พิสยั บทเรียนคอมพิวเตอร์ ปัญหาด้านทกั ษะ การสอนท่เี น้นผู้เรยี นเปน็ สาคญั ผลิตภณั ฑ์/ส่ิงประดษิ ฐ์ รูปแบบ/เทคนิควธิ ีสอน ทกั ษะกระบวนการคิด (product/invention) (instruction) กจิ กรรมเสรมิ สร้างลักษณะนิสยั ทกั ษะกระบวนการกลมุ่ เทคนคิ การปรับพฤตกิ รรม • แบบฝกึ /ชดุ ฝึก • รปู แบบการสอน • ชดุ การเรียน • รูปแบบการเรียนรู้ ชุดฝกึ /แบบฝกึ • ชดุ การสอน • เทคนคิ การจดั กิจกรรมเรียนรู้ กจิ กรรมพฒั นาทกั ษะ • บทเรยี นสาเรจ็ รปู รปู แบบการสอนเพอ่ื พัฒนาทักษะ • บทเรียนคอมพิวเตอร์ แบบตา่ ง ๆ • วดี ทิ ัศน์ • เทคนิคการปรบั พฤติกรรม รปู แบบการสอนเพือ่ พฒั นากระบวนการ • เกม/นทิ าน • การสอนแบบโครงการ คิด • สื่อประสม • การสอนแบบรว่ มมอื ผังกราฟกิ • ฯลฯ • รปู แบบตา่ ง ๆ ของการสอนท่ี การสอนแบบโครงงาน เน้นผู้เรียนเปน็ สาคญั การเรยี นแบบร่วมมอื • ฯลฯ เทคนคิ การสอนแบบกระบวนการกลุ่ม เทคนิคกลุม่ สัมพันธ์
การต้ังคาถามวิจัย อยากร้อู ะไร เม่ือไดป้ ัญหาแลว้ ขั้นตอนตอ่ ไปกค็ อื การต้ังคาถาม วจิ ยั โดยคาถามวิจยั แบง่ เปน็ 2 ระดับ ปัญหา คาถามวจิ ัย : เพอ่ื รู้ คาถามวจิ ัย : เพอ่ื พัฒนา 1. เพ่ือรู้ 2. เพอ่ื พัฒนา ซ่ึงสาหรับการวิจัยในชนั้ เรียนซง่ึ ผู้เรียนมผี ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น • คะแนนวิชาภาษาองั กฤษอยู่ • จะทาอยา่ งไร (วธิ ีการสอน เป็นการวิจยั ปฏบิ ัติการ (action research) ต่าในวชิ าภาษาองั กฤษ ในระดับใด แบบใด สอื่ การเรียนรูแ้ บบใด จะเป็นคาถามในระดับของการพฒั นา • สาเหตุใดทท่ี าใหผ้ เู้ รียนได้ การจดั การเรยี นรแู้ บบใด) ค้นหาสาเหตุของปญั หา คะแนนภาษาอังกฤษใน ทจ่ี ะช่วยให้ผู้เรยี นมี การคน้ หาสาเหตขุ องปญั หาและวธิ กี ารแก้ปญั หา การวจิ ยั ในชนั้ เรยี นมีความมุ่งหมายหลกั ในการคน้ หาวิธกี าร ระดบั ตา่ ผลสัมฤทธิ์ในวิชา หรือนวตั กรรม (innovation) เพ่ือแกป้ ัญหา โดย สาเหตขุ องปญั หาอาจแบ่งไดเ้ ปน็ 2 ประการคือ ภาษาอังกฤษดขี ้ึน 1. สาเหตุทเี่ กิดจากพัฒนาการ (maturation) เช่น การที่ เดก็ ระบายสีออกนอกกรอบเป็นเพราะกล้ามเนอ้ื มอื ไม่ แข็งแรง 2. สาเหตุจากดา้ นสภาพแวดล้อม (context) ปจั จยั นาเขา้ (input) หรือกระบวนการ (process)
ปัญหาการเรยี นรู้ ปญั หาวจิ ัย ชื่อเรอ่ื งวจิ ัย (อะไร ทาไม อยา่ งไร) 1. นกั เรียนขาดทกั ษะกระบวนการทาง 1.1 มปี จั จยั อะไรบา้ งท่เี สรมิ สร้างทักษะ 1.1 ปัจจัยทีเ่ สรมิ สร้างทกั ษะกระบวนการ วิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การทางวทิ ยาศาสตร์สาหรับนกั เรียน ชน้ั .... โรงเรยี น.... (ไมใ่ ช่ action research) 1.2 ควรใชน้ วตั กรรมฝกึ ทักษะกระบวนการ 1.2 การพฒั นาชุดฝึกทักษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์แบบใด ทางวทิ ยาศาสตรส์ าหรบั นกั เรยี นชั้น.... โรงเรียน... (ไมใ่ ช่ action research) 1.3 การสอนโดยใชช้ ดุ กิจกรรมฝกึ ทกั ษะ 1.3 ผลของการใชช้ ดุ ฝึกทักษะ กระบวนการ จะชว่ ยใหน้ กั เรยี นมที ักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์สาหรับ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรด์ ขี ้นึ หรอื ไม่ นักเรยี นชนั้ ...โรงเรียน... (เป็น action research)
ปัญหาการเรยี นรู้ ปัญหาวจิ ยั ชอ่ื เรอ่ื งวิจยั (อะไร ทาไม อย่างไร) 2.1 การเปรียบเทยี บทกั ษะการทางาน 2. นกั เรยี นขาดทักษะการทางานกลมุ่ 2.1 การสอนดว้ ยกจิ กรรมการระดม กล่มุ ก่อนและหลงั การเรยี นรู้โดยใช้ กิจกรรมระดมความคิดสาหรับนกั เรียน ความคิดจะช่วยพัฒนาทักษะการ ชัน้ ...โรงเรียน.... ทางานกลุ่มไดห้ รอื ไม่ 3. นักเรียนขาดทักษะการแกป้ ญั หา 3.1 ทกั ษะการแก้ปญั หาทาง 3.1 ผลของการใช้ชุดฝึกทกั ษะการ ทางคณิตศาสตร์ คณิตศาสตรส์ ามารถพฒั นาโดยใช้ชุดฝกึ แก้ปัญหาทางคณติ ศาสตร์สาหรับ 4. นักเรยี นไมส่ นใจในการเรียน ทกั ษะได้หรอื ไม่ นักเรยี นชน้ั ...โรงเรียน... 4.1 การใช้บทเรยี นสาเร็จรปู จะช่วย 4.1 การเปรียบเทยี บแรงจูงใจในการ สรา้ งแรงจูงใจในการเรยี นไดม้ ากขึ้น เรียนรกู้ อ่ นและหลังการใชบ้ ทเรยี น หรอื ไม่ สาเรจ็ รปู สาหรับนกั เรยี นช้นั ...โรงเรียน ....
ปญั หาการวจิ ัยควรมีลักษณะอยา่ งไร 1. แสดงความสัมพนั ธข์ องสง่ิ ที่ต้องการศกึ ษา • การพัฒนาทกั ษะการฟังภาษาอังกฤษของนักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 โดยใช้ภาพยนตร์ • การใชก้ ิจกรรมผังความสัมพนั ธข์ องความหมายรว่ มกับการเรียนแบบร่วมมอื เพอื่ เพม่ิ พนู ความรู้ ดา้ นคาศพั ท์และความสามารถในการเขียนภาษาองั กฤษของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ตวั แปรต้น ตัวแปรตาม การเรยี นดว้ ยภาพยนตร์ ทักษะการฟงั กิจกรรมผงั ความสัมพนั ธแ์ ละการเรยี นแบบร่วมมือ ความรคู้ าศพั ท์และการเขยี น 2. ชดั เจน อา่ นแล้วรู้วา่ ศกึ ษาอะไร อย่างไร • การพฒั นาทักษะการฟังภาษาองั กฤษของนักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 โดยใช้ภาพยนตร์ • การใชก้ จิ กรรมผังความสัมพันธ์ของความหมายร่วมกับการเรียนแบบรว่ มมือเพอื่ เพิ่มพูนความรู้ดา้ นคาศพั ทแ์ ละ ความสามารถในการเขยี นภาษาอังกฤษของนักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 3. ทดสอบเชิงประจกั ษไ์ ด้ (เก็บข้อมูลได้ ทดสอบไดว้ า่ จริง หรือ ไมจ่ รงิ )
การตงั้ ชือ่ งานวิจัยในช้ันเรยี น ทกั ษะการแก้ 1. การศกึ ษาทกั ษะการแกโ้ จทยป์ ัญหา โจทยป์ ัญหา คณติ ศาสตรข์ องนกั เรียนช้นั 1. สัมพนั ธก์ บั ปญั หาการวิจัย คณิตศาสตร์ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ท่ีเรียนด้วยการสอน 2. ใชภ้ าษาวิชาการ กะทัดรดั ข้อความเชงิ บอกเลา่ ด้วยวธิ ีรว่ มมือกันเรียนรู้ 3. ประกอบดว้ ย 3 สว่ น การสอนด้วยวธิ ี 2. การศึกษาผลของการสอนดว้ ยวิธีร่วมมอื รว่ มมือกนั กนั เรยี นรตู้ ่อทกั ษะการแก้โจทยป์ ญั หา 3.1 ตัวแปรต้น ตวั แปรตาม เรียนรู้ คณิตศาสตร์ของนกั เรียนชัน้ 3.2 ประชากร ประถมศกึ ษาปีที่ 6 3.3 วิธีการศึกษา (เช่น การพฒั นา นกั เรยี นชนั้ 3. การเปรยี บเทยี บทักษะการแกโ้ จทย์ การทดลอง การเปรียบเทยี บ ประถมศึกษา ปญั หาคณิตศาสตรข์ องนกั เรยี นชัน้ การหาความสมั พันธ)์ ปที ่ี 6 ประถมศึกษาปีท่ี 6 ก่อนและหลงั การ สอนด้วยวธิ ีรว่ มมอื กันเรยี นรู้ • การพฒั นากิจกรรมการเรยี นการสอนทักษะการเขยี นภาษาอังกฤษของ นักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ด้วยกระบวนการสอนของเฮวินส์ • การพัฒนาทกั ษะการเขียนภาษาอังกฤษของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษา ปีท่ี 1 ด้วยเทคนิคการสอนแบบ MAAWC • การศึกษาผลของการสอนไวยากรณ์เพื่อการส่อื สารท่ีมีต่อความสามารถใน การเขยี นภาษาองั กฤษของนักศกึ ษามหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบงึ
งาน 2 การตง้ั ช่อื เรอื่ งวิจัย (10 คะแนน) ให้ตัง้ ชอ่ื เร่อื งวิจัย โดยในช่ือเรื่องประกอบดว้ ย 1) ตวั แปรทศ่ี ึกษา 2) กลุ่มเปา้ หมายในการศกึ ษา (นกั เรยี นช้ัน....โรงเรียน.....) 3) วิธีการศกึ ษา (เชน่ การศกึ ษาผลของ.... / การเปรยี บเทียบ.... / การเสริมสร้าง.... / การพฒั นา....) การส่งงาน : ไฟล์ WORD ตั้งช่อื ตามกาหนด วจิ ยั งาน2 _วิทยท์ ่ัวไปหมู่1_วนั ชัย30.docx (สง่ ท่ีอีเมล [email protected])
ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา 1. ตัวแปรตามที่จะศึกษามีความสาคัญตอ่ การเรยี นร้อู ยา่ งไร 2. บรรยายปัญหาการเรยี นรู้ (ปัญหาท่เี กดิ ขนึ้ กับตวั แปรตาม) โดยบอกว่า ปญั หาการเรียนรู้คอื อะไร มีหลกั ฐานอะไรบ่งช้ีถึงปญั หาดงั กลา่ ว สาเหตขุ องปญั หาคืออะไร ผลกระทบทป่ี ญั หาดังกล่าว ส่งผลต่อการเรยี นรู้คอื อะไร 3. ผวู้ ิจยั เลือกใช้นวัตกรรมอะไรเพ่ือแกป้ ญั หาดังกลา่ ว นวตั กรรมมลี ักษณะอยา่ งไร มีจดุ เดน่ ในดา้ นใด ทาไมจึงเลือกนวตั กรรมนี้ นวัตกรรมนม้ี แี นวคดิ เชงิ ทฤษฎอี ะไร และอ้างงานวจิ ยั ในอดตี ทใี่ ช้ นวตั กรรมในลกั ษณะน้ีเพอ่ื แก้ปัญหาแบบเดียวกันหรอื คล้ายกัน 4. ทาแลว้ (ผลการวจิ ยั ) เกิดประโยชนอ์ ย่างไร กับใคร
การเขยี น “ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา” 1. เขยี นดว้ ยภาษาวิชาการ ไมใ่ ช้คาฟุ่มเฟือย เขียนแสดงความเปน็ เหตเุ ปน็ ผล 2. เขยี นในลกั ษณะการสังเคราะห์ ตอ่ เนือ่ ง เชอ่ื มโยง ลาดับความคดิ 3. ไมอ่ า้ งงานวิจยั ท่ลี า้ สมัย (ไมเ่ กิน 10 ปี) และอ้างเฉพาะงานวิจยั ท่ีเปน็ ท่ยี อมรบั ใน สาขานนั้ ๆ 4. อา้ งอิงท่ีมาของข้อมูล
งาน 3 การเขยี นความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา (10 คะแนน) การสง่ งาน : ไฟล์ WORD ตั้งชื่อตามกาหนด วิจยั งาน3 _วิทย์ทว่ั ไปหมู่1_วันชัย30.docx ให้เขยี นความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา โดยแบง่ เนอื้ หา ดงั น้ี (ส่งท่ีอีเมล [email protected]) • ชื่อเร่อื งวิจยั • ส่วนท่ี 1 นาตวั แปรตามมาเขียนบรรยายความสาคัญในภาพรวมของการจดั การเรยี นรู้ • สว่ นที่ 2 เขยี นปัญหาการเรียนรทู้ พี่ บ โดยควรให้รายละเอียดของพฤติกรรมการเรียนร้เู กย่ี วกบั ตัวแปร ตามที่ผู้วิจยั พบจากสถานการณ์การจัดการเรียนรู้ว่ามคี วามแตกตา่ งจากเปา้ หมายหรอื มาตรฐานท่ี ตอ้ งการในลกั ษณะใด บอกถึงหลักฐานท่แี สดงถึงพฤตกิ รรมท่ีเปน็ ปญั หา บอกสาเหตขุ องปัญหา และบอก ผลกระทบของปัญหาท่ีจะเกิดขึ้นหากไม่ดาเนินการแก้ไข • สว่ นที่ 3 เขยี นเกีย่ วกบั นวตั กรรมทผี่ ้วู ิจัยจะนามาใช้แกไ้ ขปัญหา โดยควรบอกวา่ เปน็ นวัตกรรมชนิดใด นวัตกรรมน้ีมีลกั ษณะเดน่ ในดา้ นใด บอกเหตผุ ลดา้ นความเหมาะสมกับสาเหตุของปัญหาที่ทาให้ผวู้ จิ ัย เลอื กนวตั กรรมน้มี าใช้แกป้ ญั หา นวตั กรรมนใ้ี ช้หลักการหรอื แนวคดิ อะไรเปน็ แนวทาง และควรอา้ ง งานวิจัยในอดตี 2-3 งานวจิ ยั ท่นี านวัตกรรมนีม้ าใชแ้ ก้ปัญหาอย่างได้ผล • ส่วนท่ี 4 เขียนบอกความสาคัญของการศกึ ษาในครั้งนวี้ ่าจะเกดิ ประโยชน์อย่างไรกับผ้เู รยี น กบั ครผู สู้ อน และกับวิชาชีพครู
ปญั หาวิจยั (research problem) การใช้แบบฝึกหดั เสรมิ ในการสอนวิชาคณิตศาสตร์เพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธ์ิของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 2 คาถามวิจยั (research question) การใช้แบบฝึกหดั เสรมิ ในการสอนวิชาคณติ ศาสตรช์ น้ั ป.2 จะทาให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นสูงขน้ึ หรือไม่ อย่างไร วตั ถุประสงคข์ องการวิจัย (objective) เพอ่ื ศึกษาผลของการใช้แบบฝกึ หดั เสริมวชิ าคณติ ศาสตรท์ ่ีมีตอ่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 2 เพอื่ เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษา ปีที่ 2 กอ่ นและหลังการใช้แบบฝึกหดั เสรมิ วชิ าคณิตศาสตร์ • ข้อความท่ีแสดงถงึ สง่ิ ทีผ่ ู้วิจยั จะกระทาเพ่อื ทราบคาตอบท่รี ะบุไวใ้ นคาถามการวจิ ัย • สอดคลอ้ งกับช่ืองานวจิ ัย คาถามการวิจยั • ใชภ้ าษาวชิ าการ • กะทดั รัด ชัดเจน
ปัญหาวจิ ยั คาถามการวจิ ัย การใช้แบบฝึกหัดเสริมในการพัฒนา ผลสมั ฤทธิใ์ นวชิ าคณิตศาสตร์ของช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 • ประโยคคาถาม • ระบุสิ่งทผี่ ูว้ ิจัยต้องการคน้ หาคาตอบ คาถามวจิ ัย การใช้แบบฝึกหัดเสรมิ ในการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 2 ทาใหผ้ ลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน ของนักเรียนสงู ข้นึ หรอื ไม่ อย่างไร
ปัญหาวิจยั (research problem) การใช้แบบฝกึ หัดเสรมิ ในการสอนวิชาคณิตศาสตรเ์ พอื่ พฒั นา คาถามวจิ ัย (research question) ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 2 วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย (objective) การใช้แบบฝกึ หัดเสรมิ ในการสอนวิชาคณติ ศาสตร์ชนั้ ป.2 จะ ทาให้ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นสูงข้ึนหรอื ไม่ อยา่ งไร เพอ่ื ศกึ ษาผลของการใชแ้ บบฝกึ หดั เสรมิ วชิ าคณติ ศาสตรท์ ม่ี ตี อ่ ผลสมั ฤทธ์ขิ องนกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 2 เพื่อเปรยี บเทียบผลสัมฤทธใ์ิ นวิชาคณติ ศาสตร์กอ่ นและหลัง การสอนโดยใช้แบบฝึกหัดเสริม เพอ่ื ศกึ ษาความกา้ วหนา้ ของผลสมั ฤทธว์ิ ชิ าคณติ ศาสตรจ์ าก การใชแ้ บบฝกึ หดั เสรมิ
วตั ถปุ ระสงค์การวิจัย • เพ่อื ศึกษาความต้องการ... • เพื่อศึกษาความสัมพนั ธ์... สิ่งท่ผี ้วู จิ ยั จะกระทาเพื่อให้ไดค้ าตอบต่อปัญหาการวิจยั • เพื่อเปรยี บเทยี บผลของ... • เพือ่ ศกึ ษาสาเหตขุ องปญั หา... 1. สอดคล้องกบั ปัญหาวิจัยและคาถามวจิ ัย 2. ต้องระบสุ ิง่ ที่ผ้วู จิ ัยจะทา ไม่ใช่ระบุผลทไ่ี ดจ้ ากการศกึ ษา • สอดคลอ้ งกบั ชอื่ งานวิจัย คาถามการวิจัย • ใชภ้ าษาวิชาการ • กะทัดรดั ชัดเจน ไมเ่ ขยี นผลที่ไดจ้ ากการศึกษา (ประโยชนท์ ีจ่ ะไดร้ ับ) • เพอื่ พัฒนาผลสมั ฤทธ.์ิ .. • เพอ่ื ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นแกโ้ จทยป์ ญั หา.... • เพอื่ ยกระดับทักษะการอา่ น.... • เพอื่ แก้ปัญหาการขาดวนิ ัย...
ปญั หาวจิ ัย คาถามวิจัย วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย การมีส่วนรว่ มในการจดั การศึกษาของ 1) สภาพการมีสว่ นรว่ มในการจดั 1) เพ่อื ศกึ ษาสภาพการมสี ว่ นรว่ มในการ คณะกรรมการสถานศกึ ษาข้นั พื้นฐาน การศึกษาของคณะกรรมการ จดั การศกึ ษาของคณะกรรมการ สถานศึกษาขัน้ พื้นฐานเป็นอยา่ งไร สถานศึกษาข้ันพ้นื ฐาน 2) รปู แบบและแนวทางการพฒั นาการมี 2) เพ่ือศึกษารปู แบบและแนวทางการ สว่ นรว่ มของคณะกรรมการการศึกษา พัฒนาการมสี ่วนรว่ มของคณะกรรมการ ขัน้ พน้ื ฐานเปน็ อย่างไร การศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน การใชแ้ บบฝึกหัดเสริมในการสอนวชิ า 1) การใช้แบบฝึกหดั เสรมิ ในการสอน 1) เพือ่ เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการ คณิตศาสตร์ วชิ าคณิตศาสตร์ทาให้ผลสมั ฤทธิ์ เรยี นวชิ าคณิตศาสตร์ระหว่างกลุ่มที่ใช้ ทางการเรยี นสูงขนึ้ หรือไม่ อย่างไร แบบฝกึ หัดเสรมิ กับกลุ่มท่ีไมใ่ ช้ แบบฝกึ หัดเสริม 2) ผูเ้ รยี นมเี จตคติตอ่ การใช้แบบฝกึ หัด 2) เพ่ือศกึ ษาระดบั ความพงึ พอใจของ เสริมในการเรยี นวชิ าคณิตศาสตรห์ รอื ไม่ ผูเ้ รยี นทม่ี ีตอ่ การเรียนด้วยแบบฝึกหัด ในระดบั ใด เสริมในวิชาคณิตศาสตร์
ปญั หาการเรยี นรู้ ปญั หาวิจยั ชื่อเรอื่ งวิจัย คาถามวิจยั นักเรยี นชั้น การใช้แบบฝกึ การอ่าน การเปรยี บเทียบทักษะ ทักษะการอา่ นของ ประถมศกึ ษา ภาษาไทยจะช่วย การอ่านก่อนและหลงั นักเรยี นหลังการเรยี น ปีท่ี 3 โรงเรียนคุณภาพ พัฒนาการอา่ นได้หรอื ไม่ การเรียนจากแบบฝึก โดยใชแ้ บบฝกึ การอ่าน วิทยา จานวน 4 คน การอา่ นสาหรับนกั เรียน สูงกว่ากอ่ นเรียนหรอื ไม่ อา่ นหนังสือไมอ่ อก ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรยี นคณุ ภาพวทิ ยา วตั ถุประสงค์การวิจยั : เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านของนักเรียนกอ่ นและหลงั การเรียนโดยใชแ้ บบฝึกการอ่าน
งาน 4 การเขยี นวัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย (10 คะแนน) ให้เขยี นวัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัยประกอบดว้ ย • ชอ่ื เรือ่ งวิจยั • คาถามวจิ ยั • วตั ถุประสงค์การวิจัย การส่งงาน : ไฟล์ WORD ตัง้ ช่ือตามกาหนด วิจยั งาน4 _วิทย์ทั่วไปหมู่1_วันชยั 30.docx (ส่งทอ่ี เี มล [email protected])
ขอบเขตของการวจิ ยั (scope of research) ขอ้ ความท่ีบอกวา่ การศกึ ษาครั้งน้ี ศึกษาอะไร (ตวั แปร) เก็บข้อมูลจากใคร (ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง) ศึกษาในช่วงเวลาใด (ระยะเวลาในการวิจยั ) เขียนอะไรบ้างในขอบเขตของการวิจยั 1. ตัวแปรทต่ี อ้ งการศกึ ษา (ศึกษาปญั หาดงั กล่าวในประเด็นใด) 2. กลุ่มเป้าหมายในการศึกษา (ผู้ใหข้ อ้ มูลในการศึกษาปัญหา) 3. ระยะเวลาทศ่ี กึ ษา
ชอื่ งานวจิ ยั : การเปรยี บเทยี บทักษะการอ่านก่อนและหลังการเรียนจากแบบฝกึ การอ่านสาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรยี นคุณภาพวทิ ยา คาถามวจิ ยั : ทกั ษะการอ่านของนกั เรยี นหลงั การเรียนโดยใช้แบบฝกึ การอา่ นสูงกว่ากอ่ นเรียนหรอื ไม่ วัตถุประสงค์การวจิ ยั : เพ่อื เปรยี บเทยี บทกั ษะการอ่านของนักเรยี นกอ่ นและหลังการเรียนโดยใช้แบบฝึกการอ่าน ขอบเขตของการวจิ ยั 1. ตวั แปรที่ศกึ ษา ตวั แปรอสิ ระ ได้แก่ แบบฝกึ การอา่ น ตัวแปรตาม ได้แก่ ทกั ษะการอา่ น 2. กลมุ่ เป้าหมายในการศึกษา กลุ่มเป้าหมายในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนคุณภาพวิทยา จานวน 4 คน ท่ีมีปัญหาหาอ่านภาษาไทย ไม่ออก 3. เนื้อหาที่ศึกษา เนื้อหาท่ีศึกษาในคร้ังน้ีได้แก่ เนื้อหาตามหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทย ชุดภาษาเพ่ือชีวิต ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 ตามหลักสูตร แกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศกั ราช 2551 หน่วยที่ 1 และ หน่วยท่ี 2 4. ระยะเวลาในการศกึ ษา ระยะเวลาในการศึกษาคอื ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 รวมระยะเวลา 4 สัปดาห์ สปั ดาหล์ ะ 2 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที
งาน 5 การเขียนขอบเขตของการวจิ ยั (10 คะแนน) ใหเ้ ขยี นขอบเขตของการวจิ ยั ประกอบดว้ ย 1) ชอื่ เร่อื งวจิ ยั 2) ตัวแปรทีศ่ กึ ษา 3) กลุม่ เปา้ หมายในการศกึ ษา 4) เนอื้ หาทีศ่ ึกษา 5) ระยะเวลาในการศกึ ษา การส่งงาน : ไฟล์ WORD ตง้ั ช่ือตามกาหนด วิจัยงาน5 _วิทย์ทั่วไปหมู่1_วนั ชยั 30.docx (ส่งทอ่ี ีเมล [email protected])
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301