Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อนาคตศึกษา

อนาคตศึกษา

Published by educat tion, 2021-04-16 02:15:12

Description: Future_Studies

Search

Read the Text Version

2 | อนาคตศกึ ษา

อนาคตศึกษา | 3 อนาคตศกึ ษา อภิวฒั น์ รัตนวราหะ หนงั สอื เลม่ นไ้ี ดร้ ับการสนับสนนุ จาก ส�ำนกั งานคณะกรรมการสง่ เสริมวทิ ยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สำ� นักงานกองทุนสนับสนนุ การวจิ ยั (สกว.) ความเห็นในหนงั สอื น้เี ป็นของผูเ้ ขยี น สกสว. ไมจ่ ำ� เป็นตอ้ งเหน็ ดว้ ยเสมอไป

4 | อนาคตศึกษา อนาคตศึกษา โดย อภิวัฒน์ รัตนวราหะ สงวนลขิ สทิ ธต์ิ ามพระราชบญั ญตั ิลิขสทิ ธิ์ 2563 หา้ มคัดลอกเน้ือหากอ่ นไดร้ บั อนญุ าต พิมพค์ รั้งท่ี 1 จ�ำนวน 500 เลม่ ราคา 250 บาท ขอ้ มลู ทางบรรณานกุ รมหนงั สอื อภวิ ฒั น์ รัตนวราหะ อนาคตศกึ ษา.-- กรงุ เทพฯ : สำ� นกั งานคณะกรรมการสง่ เสรมิ วทิ ยาศาสตร์ วจิ ยั และนวตั กรรม (สกสว), 2563. 320 หนา้ 1. อนาคตศาสตร์. I. ชื่อเรื่อง. 116 ISBN 978-616-417-124-9 จัดพมิ พ์และจำ� หน่ายโดย ส�ำนักงานคณะกรรมการส่งเสรมิ วทิ ยาศาสตร์ วจิ ัยและนวตั กรรม (สกสว.) เลขท่ี 979/17-21 ชน้ั 14 อาคาร เอส เอม็ ทาวเวอร์ ถนนพหลโยธนิ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรงุ เทพฯ 10400 โทรศพั ท์ 02-278-8229 โทรสาร 02-278-8225 พมิ พ์ท่ี หจก. ล๊อคอนิ ดไี ซน์เวริ ์ค 127/31 หมู่ 2 ตำ� บลชา้ งเผือก อำ� เภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 50300

อนาคตศกึ ษา | 5 แด่แม่ ผู้ให้อนาคตแกล่ ูก

6 | อนาคตศกึ ษา ค�ำ นำ� สกว./สกสว. “อนาคตศกึ ษา” เปน็ การสรา้ งองคค์ วามรแู้ ละนวตั กรรมทก่ี า้ วทนั หรอื กา้ วนำ� การเปลย่ี นแปลงของโลก และตอบสนองการพฒั นาของประเทศ การศกึ ษาอนาคตจงึ เปน็ ศาสตรท์ เี่ ปน็ พนื้ ฐานเพอ่ื การวางแผนใน เชงิ นโยบาย การสรา้ งตน้ แบบในการพัฒนา และกรอบการทำ� งานต่อไปในอนาคตอยา่ งเปน็ ระบบ การ ทำ� ความเขา้ ใจและเรยี นรอู้ นาคตจงึ เปน็ สงิ่ สำ� คญั และเปน็ ยทุ ธศาสตรส์ ำ� คญั ทสี่ ำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.) หรอื สำ� นกั งานคณะกรรมการสง่ เสรมิ วทิ ยาศาสตร์ วจิ ยั และนวตั กรรม (สกสว.) ใหก้ าร สนบั สนนุ ทนุ วจิ ยั โดยหวงั เปน็ อยา่ งยงิ่ วา่ ผลลพั ธท์ ไี่ ดจ้ ะนำ� ไปสกู่ ารนำ� ไปใชป้ ระโยชน์ และเปน็ เครอื่ งมอื ท่สี �ำคัญในแง่มมุ การส่งเสรมิ และพัฒนา การเผยแพร่ความรู้ รวมถงึ การมองภาพอนาคตในการทำ� งาน อยา่ งมีสว่ นรว่ มจากทกุ ภาคส่วน และเกดิ การบูรณาการร่วมกนั อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ หนงั สอื “อนาคตศกึ ษา” นเี้ ปน็ สว่ นหนงึ่ ในการขบั เคลอ่ื นผลงานวจิ ยั ใหเ้ กดิ การนำ� ไปใชป้ ระโยชน์ ส่สู าธารณะ โดยน�ำองคค์ วามร้ทู ่ีไดจ้ ากการศึกษาและประมวลความรู้ มาวเิ คราะห์ สังเคราะหเ์ ปน็ กระ บวนการและเป็นรปู แบบการจัดการในหลากหลายมุมมอง รวมถงึ การกำ� หนดทศิ ทางเพอื่ การวางแผน นโยบายในอนาคต และข้อเสนอส�ำหรับส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) หรือ ส�ำนักงาน คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจยั และนวตั กรรม (สกสว.) ทม่ี บี ทบาทสำ� คญั ในฐานะหน่วยงาน ที่สร้างองค์ความรู้ผ่านกระบวนการวิจัยและบริหารจัดการงานวิจัย และเป็นช่องทางในการถ่ายทอด แหล่งความรแู้ ละขอ้ มูลอันจะเปน็ ประโยชนต์ อ่ ประเทศไทยในอนาคต ในนามส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) หรือ ส�ำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม วิทยาศาสตรว์ ิจยั และนวัตกรรม (สกสว.) ขอขอบคณุ ผู้เขยี นทีส่ รา้ งสรรคผ์ ลงานทด่ี ี มีขอ้ เสนอที่เป็น ประโยชน์ต่อหน่วยงาน และหวังเป็นอย่างย่ิงว่าหนังสือเล่มนี้จะส่งมอบความรู้ท่ีเป็นประโยชน์ต่อการ เผยแพร่ สร้างความรคู้ วามเข้าใจสามารถตอ่ ยอดแนวคดิ และองคค์ วามรูใ้ หม่เพอ่ื การมองภาพอนาคต ทส่ี �ำคญั ต่อไป ศาสตราจารย์นายแพทย์สุทธิพันธ์ จติ พิมลมาศ ผูอ้ ำ� นวยการ สำ� นกั งานคณะกรรมการส่งเสริมวทิ ยาศาสตร์ วิจยั และนวัตกรรม

อนาคตศึกษา | 7 ค�ำ นำ� สกว./สกสว. สกว. เห็นถึงความส�ำคัญและความจ�ำเป็นในการสนับสนุนทุนวิจัยในประเด็นการพัฒนาความรู้ ด้าน “อนาคตศึกษา” ซ่ึงเป็นเร่ืองประเด็นวิจัยเก่ียวกับอนาคตและเป็นหัวข้อที่ค่อนข้างใหม่ส�ำหรับ ประเทศไทย ประกอบกับองค์ความรู้เกี่ยวกับการศึกษาอนาคตที่มีมาต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังมี ค่อนขา้ งจำ� กัด ผลงานช้นิ นีถ้ ือเป็นส่วนส�ำคญั ในการประมวลและจัดการองค์ความรูด้ ้านอนาคตศกึ ษา อย่างเป็นระบบ จะเป็นส่วนส�ำคัญท่ีจะใช้สนับสนุนการพัฒนาเครื่องมือและกระบวนการศึกษาการ จัดการวางแผนอนาคตในมิติต่างๆ เพ่ือสร้างความเข้าใจและให้ความส�ำคัญกับอนาคตศึกษากับผู้ที่มี ส่วนเกี่ยวข้องได้ อันจะน�ำไปสู่กระบวนการน�ำความรู้ท่ีมีไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาคน การน�ำไปสู่ การปฏิบัติและวางแผนนโยบายในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และน�ำไปสู่การพัฒนาของประเทศ อย่างยั่งยืน หนงั สอื “อนาคตศกึ ษา” โดย รองศาสตราจารย์ ดร.อภวิ ฒั น์ รตั นวราหะ เลม่ นเ้ี ปน็ ผลงานทมี่ กี าร วเิ คราะหแ์ ละรอ้ ยเรยี งขอ้ มลู และองคค์ วามรเู้ กย่ี วกบั อนาคตศกึ ษาอยา่ งรอบดา้ นทง้ั ในและตา่ งประเทศ และท่ีส�ำคัญได้ช้ีให้เห็นความท้าทายและช่องว่างความรู้ประเด็นต่างๆ และโอกาสการพัฒนาด้านนี้ หนงั สอื เลม่ นจ้ี ะเปน็ สว่ นสำ� คญั ในการขบั เคลอื่ นการนำ� ผลงานวจิ ยั ไปใชป้ ระโยชนต์ อ่ สาธารณะ กระตนุ้ ความคิดส่งเสริมการพัฒนาการเรียนรู้เกี่ยวกับอนาคตศึกษา อันประกอบด้วยความรู้ด้านวิวัฒนาการ ของอนาคตศึกษา แนวคดิ พน้ื ฐานของอนาคตศกึ ษา จนไปสู่วิธีการศึกษาในอนาคต การคาดการณเ์ ชิง ยทุ ธศาสตร์ และไดต้ อ่ ยอดองคค์ วามรเู้ รอื่ งอนาคตศกึ ษาในประเทศไทย ทจี่ ะสามารถนำ� ไปประยกุ ตใ์ ช้ สนับสนนุ การวางแผนยุทธศาสตรแ์ ละนโยบายสาธารณะในอนาคตตอ่ ไป ขอบคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.อภิวัฒน์ รัตนวราหะ ในความมุ่งมั่นและความทุ่มเทในการ สรา้ งสรรคผ์ ลงานวจิ ยั และงานเขยี นเลม่ นี้ หวงั เปน็ อยา่ งยงิ่ วา่ หนงั สอื “อนาคตศกึ ษา” จะเปน็ สอ่ื กลาง ในการส่งต่อผลการตกผลกึ ความรแู้ ละเผยแพร่องค์ความรู้ส่สู าธารณะได้ในวงกว้าง เกิดเป็นประโยชน์ สำ� หรบั ผทู้ สี่ นใจ นำ� ไปสแู่ นวทางทส่ี ามารถสรา้ งการเปลยี่ นแปลงทส่ี ำ� คญั ในการนำ� ไปปฏบิ ตั ไิ ดจ้ รงิ และ เกดิ องคค์ วามรูท้ ีส่ ำ� คญั ในอนาคตของประเทศต่อไป รองศาสตราจารย์ ดร.ชนาธปิ ผารโิ น ผู้อ�ำนวยการภารกจิ อนาคตเชิงยุทธศาสตรแ์ ละริเรมิ่ งานวิจยั และนวตั กรรมส�ำคัญ ส�ำนักงานคณะกรรมการส่งเสรมิ วิทยาศาสตร์ วจิ ยั และนวตั กรรม

8 | อนาคตศกึ ษา คำ�น�ำ ผู้เขียน การเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบันบ่อยคร้ังเกิดขึ้นในลักษณะท่ีไม่คาดคิดมาก่อนและแพร่กระจายในวง กวา้ งอยา่ งรวดเรว็ บางเหตกุ ารณแ์ มเ้ รม่ิ ตน้ ในวงแคบ แตภ่ ายในเวลาเพยี งชว่ั พรบิ ตา กลบั ปะทกุ ลาย เป็นวิกฤตการณ์รุนแรงระดับโลกทส่ี ่งผลกระทบตอ่ ระบบเศรษฐกิจ สังคม สิง่ แวดล้อม การเมอื งและ ชวี ติ ผคู้ นจำ� นวนมาก ตวั อยา่ งทชี่ ดั เจนคอื โรคระบาดจากโคโรนาไวรสั สายพนั ธใ์ุ หม่ 2019 จากทคี่ นจนี ในเมอื งอฮู่ น่ั เพยี งไมก่ ค่ี นเจบ็ ปว่ ยและมอี าการปอดอกั เสบเมอ่ื เดอื นธนั วาคม พ.ศ. 2562 ภายในเวลา เพียง 6 เดือน โรคติดต่อในระดับทอ้ งถนิ่ ได้กลายเป็นโรคระบาดใหญ่ทก่ี ระจายไปทกุ ทวีปทว่ั โลก ไม่ เวน้ แมแ้ ตก่ ลมุ่ ชนเผา่ ในปา่ แอมะซอนและหมเู่ กาะฟจิ ิ โดยมผี ปู้ ว่ ยถงึ กวา่ 5 ลา้ นคนและผเู้ สยี ชวี ติ กวา่ 3 แสนคน โรคระบาดนย้ี งั ทำ� ใหผ้ คู้ นหลายรอ้ ยลา้ นคนทว่ั โลกตอ้ งตกงาน และทำ� ใหเ้ ศรษฐกจิ โลกเขา้ สู่ ภาวะถดถอยครง้ั ใหญ่รอบร้อยปี ความเสยี่ งในการตดิ เชอ้ื และผลกระทบทเ่ี กดิ จากโรคระบาดทำ� ใหผ้ คู้ นจำ� นวนมากตอ้ งปรบั เปลย่ี น พฤติกรรมและวิถีชีวิตอย่างท่ีไม่เคยท�ำมาก่อน ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนของวันเวลาที่ผู้คนจะ สามารถกลบั ไปใชช้ วี ติ ไดแ้ บบเดมิ ทำ� ใหร้ ะบบเศรษฐกจิ สงั คม สงิ่ แวดลอ้ มและการเมอื งทเี่ ปราะบางอยู่ แล้ว ยิ่งมีความเสยี่ งมากขน้ึ ไปอีก ทัง้ นี้ ภาพอนาคตท่ีเต็มไปดว้ ยความเส่ียงและความไมแ่ นน่ อนท่ีผูค้ น ทวั่ โลกประสบอยใู่ นปจั จบุ นั น้ี ไมไ่ ดเ้ กิดจากโรคระบาดใหญเ่ พียงอย่างเดยี ว หลายเหตกุ ารณ์ที่อาจเกดิ ข้ึนในอนาคตไมเ่ พียงแค่ท�ำให้เกดิ ความลำ� บากในการดำ� รงชวี ติ และเกิดความเสียหายตอ่ ทรัพย์สิน แต่ มีความร้ายแรงที่อาจน�ำไปสู่การล่มสลายของมนุษยชาติเลยก็เป็นได้ เหตุการณ์หายนะในอนาคตดัง กล่าวอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก การเกิดสงครามนิวเคลียร์ หรือแม้แต่ความ กา้ วหน้าของปญั ญาประดิษฐ์ ความไม่แน่นอนของอนาคตจึงกลายเป็นภาพปกติของโลกในปัจจุบัน ด้วยความรวดเร็ว ขนาด และขอบเขตของการเปล่ียนแปลงท่ีเพิ่มมากข้ึนน้ี การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับส่ิงที่จะเกิดข้ึนใน อนาคตจึงย่ิงส�ำคัญมากข้ึนกว่าเดิม ความสามารถในการวางแผนเพ่ือช้ีน�ำและก�ำหนดทิศทางของ อนาคต และเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันจึงเป็นเร่ืองส�ำคัญมาก ท้ังส�ำหรับการตัดสิน ใจของปัจเจกบุคคลและครัวเรือน ไปจนถึงองค์กรและสังคมโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นในระดับท้องถิ่น

อนาคตศกึ ษา | 9 ระดับประเทศหรือระดับโลก ด้วยเหตุนี้ เราจึงจ�ำเป็นต้องท�ำความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทั้งในรูปแบบของปรากฏการณ์ พฤติกรรม และสาเหตุและผลลัพธ์ของการ เปลยี่ นแปลง รวมถงึ ความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณแ์ ละปจั จยั ขับเคลอื่ นต่าง ๆ การสรา้ งองคค์ วาม รแู้ ละเครอ่ื งมอื ในการทำ� ความเขา้ ใจและจดั การกบั อนาคต จงึ เปน็ เรอื่ งจำ� เปน็ สำ� หรบั ทกุ คน ทกุ องคก์ ร และทุกสงั คมทีต่ อ้ งการวางแผนรับมือกบั การเปลยี่ นแปลงทจี่ ะเกิดขึน้ อนาคตศึกษาหรืออนาคตศาสตร์เป็นสาขาวิชาการหนึ่งท่ีมุ่งสร้างองค์ความรู้อย่างเป็นระบบ เก่ยี วกบั การเขา้ ใจในอนาคต ทัง้ อนาคตทอ่ี าจเกดิ ขึ้นได้ อนาคตทเี่ ช่ือว่าเกิดข้นึ ได้ และอนาคตทค่ี าด หวงั ให้เกดิ ข้ึน โดยมีเน้อื หาครอบคลุมพื้นฐานด้านปรัชญา ดา้ นวิธีการวทิ ยา รวมถึงกรอบแนวคดิ และ ทฤษฎที ่อี ธบิ ายการเปลย่ี นแปลงดา้ นต่าง ๆ ขอบเขตของอนาคตศึกษายงั ครอบคลมุ ถงึ การวิเคราะห์ อทิ ธพิ ลของภาพลกั ษณเ์ กีย่ วกบั อนาคตของปจั เจกบคุ คลและสังคมต่อพฤติกรรมและการตดั สินใจใน ปจั จบุ นั รวมไปถงึ การสรา้ งกระบวนการมสี ว่ นรว่ มของผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี ในการสรา้ งภาพอนาคตรว่ ม กนั และการสอ่ื สารผลลพั ธก์ ารศกึ ษาอนาคตสสู่ าธารณะเพอื่ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงทางนโยบายและ ทางสงั คม การศกึ ษาอนาคตจงึ เปน็ ทง้ั ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ เปน็ ทง้ั วทิ ยาศาสตรแ์ ละศลิ ปศาสตร์ ใชท้ ง้ั ความ รู้เชงิ ตรรกะในการวิเคราะห์และจนิ ตนาการทีก่ า้ วพ้นออกจากกรอบแนวคดิ เดมิ ๆ อนาคตศกึ ษายงั มี ความเป็นพหศุ าสตร์ สหศาสตร์และข้ามศาสตรไ์ ปพรอ้ มกนั งานวจิ ยั และงานเขยี นในวงการอนาคตศกึ ษาไดพ้ ฒั นามาระยะหนงึ่ แลว้ ในระดบั โลก นอกเหนอื ไปจากงานศกึ ษาทวี่ เิ คราะหแ์ ละคาดการณอ์ นาคตดว้ ยแนวคดิ และเครอื่ งมอื ทนี่ ยิ มใชใ้ นแตล่ ะศาสตร์ ทม่ี อี ยูแ่ ลว้ ส�ำหรับในประเทศไทย การวิเคราะหแ์ นวโนม้ เพอื่ พยากรณก์ ารเปลีย่ นแปลงส�ำหรบั การ วางแผนนโยบายสาธารณะและยุทธศาสตร์ทางธุรกิจก็มีมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ส่วนหนังสือและต�ำรา เกยี่ วกบั อนาคตศกึ ษาและอนาคตศาสตรพ์ อมอี ยบู่ า้ ง แตใ่ นภาพรวม การศกึ ษาอนาคตอยา่ งเปน็ ระบบ และตอ่ เนอื่ งยงั มอี ยไู่ มม่ ากนกั หนงั สอื เลม่ นจี้ งึ พยายามประมวลความรเู้ บอื้ งตน้ เกย่ี วกบั อนาคตศกึ ษา เพ่ือใชเ้ ป็นพื้นฐานสำ� หรบั การพัฒนาศาสตร์น้ใี นประเทศไทยตอ่ ไป เนื้อหาในหนังสือเล่มน้ีเหมาะส�ำหรับนักวิชาการ นักนโยบายการวางแผน นิสิตนักศึกษา และ ผู้อ่านท่ัวไปที่สนใจในการศึกษาอนาคต ทั้งเพ่ือเสริมความรู้เชิงวิชาการและเพื่อใช้ในการวางแผน ยุทธศาสตร์ในระดบั องค์กรและระดับนโยบายสาธารณะ อนึง่ หนังสือเล่มน้ีไมไ่ ดม้ ุ่งเปน็ ค่มู ือที่อธิบาย ขนั้ ตอนและกระบวนการคาดการณเ์ ชงิ ยทุ ธศาสตร์ แตเ่ นน้ ความรพู้ นื้ ฐานและภาพรวมเกยี่ วกบั อนาคต ศกึ ษาเปน็ หลกั สำ� หรบั ผอู้ า่ นทสี่ นใจในรายละเอยี ดเกย่ี วกบั กระบวนการและวธิ กี ารคาดการณอ์ นาคต สามารถอา่ นเพิม่ เตมิ ไดต้ ามเอกสารอ้างองิ ทแ่ี นะนำ� ไวใ้ นหนงั สือเลม่ นี้ ผเู้ ขยี นขอขอบพระคณุ สำ� นกั งานคณะกรรมการสง่ เสรมิ วทิ ยาศาสตร์ วจิ ยั และนวตั กรรม (สกสว.) ทสี่ นบั สนนุ โครงการวจิ ยั “ปรทิ ศั นส์ ถานภาพความรดู้ า้ นอนาคตศกึ ษา” ในปี 2562 และสนบั สนนุ การ ปรับปรุงเนื้อหาและเผยแพร่ผลลัพธ์จากโครงการวิจัยดังกล่าวจนกลายมาเป็นหนังสือเล่มน้ี ขอขอบพระคณุ รองศาสตราจารย์ ดร.ชนาธปิ ผารโิ น ทที่ าบทามใหผ้ เู้ ขยี นรบั ผดิ ชอบการปรทิ ศั นค์ วามรู้ ดา้ นอนาคตศกึ ษาและใหค้ วามเชอื่ มนั่ ในการทำ� งาน ขอขอบคณุ ดร.นเรศ ดำ� รงชยั ดร.พนั ธอ์ุ าจ ชยั รตั น์

10 | อนาคตศึกษา คณุ โสภดิ า ทองโสภติ Tanja Hichert และ Ozcan Saritas ทใี่ หค้ ำ� ปรกึ ษาเกยี่ วกบั ทศิ ทางและประเดน็ ในการทบทวน และอนเุ คราะห์ให้เอกสารและข้อมูลหลายชดุ ที่ใชใ้ นงานเขยี นน้ี รวมท้งั ศาสตราจารย์ ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด ศาสตราจารย์ ดร.สุริชัย หวันแก้ว อาจารย์ นพ.ดร.สรภพ เกียรติพงษ์สาร และผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ า่ นอน่ื ทใ่ี หข้ อ้ คดิ เหน็ และคำ� แนะนำ� ในการปรบั ปรงุ เนอื้ หารายงาน และคณุ ชนมณี ทองใบ คุณอรรถพันธ์ สารวงศ์ คุณวัชรินทร์ ขวัญไฝ และคุณกิตติณัฐ พิมพขันธ์ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ออกแบบรปู เลม่ และช่วยเหลอื การจัดทำ� หนังสอื เล่มนี้­ ผู้เขียนหวังว่าเน้ือหาการปริทัศน์ความรู้เบ้ืองต้นในหนังสือน้ีจะเป็นพ้ืนฐานในการต่อยอดความรู้ ดา้ นอนาคตศกึ ษา เพอื่ จนิ ตนาการ คน้ หา และสรา้ งอนาคตทด่ี ยี ง่ิ ขน้ึ ของสงั คมไทยและสงั คมโลกตอ่ ไป อภิวัฒน์ รตั นวราหะ

อนาคตศึกษา | 11

12 | อนาคตศกึ ษา 1 สารบญั 8 ค�ำน�ำ 9 สารบญั 12 บทน�ำ 19 26 1 | วิวฒั นาการของอนาคตศกึ ษา 32 อนาคตอยใู่ นสมอง 38 ญาณวิทยาของการรับรูอ้ นาคต 41 สงคราม การวางแผนและอนาคต 45 อนาคตเชิงพยากรณ์และประจกั ษน์ ิยม 47 อนาคตเชงิ วพิ ากษแ์ ละปทัสถาน 51 อนาคตเชิงวฒั นธรรมและการตคี วาม อนาคตเชิงการมีส่วนร่วมและขับเคลือ่ นสังคม 56 อนาคตเชงิ บูรณาการและข้ามศาสตร์ 57 ทศวรรษล่าสุดของอนาคตศึกษา 59 เครือข่ายด้านอนาคตศกึ ษา 72 78 2 | แนวคดิ พืน้ ฐานของอนาคตศกึ ษา 86 รู้อนาคตไปท�ำไม 97 หลกั การและวตั ถปุ ระสงค์ของการศกึ ษาอนาคต 100 ขอ้ สมมตใิ นการศกึ ษาอนาคต อนาคตศึกษากับทฤษฎีการเปลีย่ นแปลง 104 ทฤษฎกี ารเปลีย่ นแปลง 105 ประเภทของงานอนาคตศึกษา 111 ขอ้ จ�ำกดั เชงิ ทฤษฎขี องอนาคตศกึ ษา 118 122 3 | วธิ กี ารศึกษาอนาคต 127 ประเภทวธิ กี ารศึกษาอนาคต 134 การกวาดสญั ญาณ 141 การทำ� เหมืองขอ้ มลู และข้อความ 144 เดลฟาย วงล้ออนาคตและรูปอนาคตหลายเหลีย่ ม การวิเคราะห์ผลกระทบ การวเิ คราะห์โครงสร้าง เหตไุ ม่คาดฝัน

อนาคตศึกษา | 13 แบบจ�ำลองการตัดสนิ ใจ 154 แบบจ�ำลองทางสถติ ิ 157 การวิเคราะหส์ ัณฐานและต้นไม้ความเกยี่ วขอ้ ง 160 ฉากทศั น์ 168 ระบบการตดั สนิ ใจท่ีใช้ไดก้ ับหลายสถานการณ ์ 175 การคาดการณ์อยา่ งมสี ว่ นร่วม 179 การจ�ำลองสถานการณ์และเกม 185 ตลาดการพยากรณ์ 189 วสิ ยั ทัศน์ 191 แผนที่นำ� ทางดา้ นวิทยาศาสตรเ์ ทคโนโลยี 194 การวิเคราะหแ์ บบจ�ำลองตามพฤติกรรมผกู้ ระทำ� 199 การวเิ คราะหช์ ั้นสาเหต ุ 202 4 | การคาดการณ์เชงิ ยทุ ธศาสตร ์ 208 การคาดการณ์เพือ่ การวางแผน 209 การคาดการณ์เชงิ ยทุ ธศาสตร์ 210 การคาดการณ์เพื่อกำ� หนดนโยบายสาธารณะ 213 ระบบคาดการณข์ องฟนิ แลนด์ 217 ระบบคาดการณข์ องสงิ คโปร ์ 222 5 | อนาคตศกึ ษาในประเทศไทย 228 อนาคตในภาษา 229 ประสบการณ์ดา้ นอนาคตศกึ ษาในประเทศไทย 231 การศึกษาอนาคตด้วยวิธชี าตพิ ันธ์ุวรรณนา 242 หนังสือดา้ นอนาคตศาสตรภ์ าษาไทย 248 การคาดการณ์เชิงยทุ ธศาสตร์เพื่อวางนโยบายสาธารณะ 255 6 | บทส่งท้าย 266 ช่องวา่ งความร ู้ 267 ชอ่ งวา่ งเชิงสถาบัน 274 ขอ้ เสนอเชงิ นโยบาย 277 ความเปน็ ธรรมในการรับร้อู นาคต 279 เชิงอรรถ 283 บรรณานุกรม 289 ดรรชน ี 299

14 | อนาคตศึกษา สารบญั แผนภาพ แผนภาพท่ี 1 ภาพประกอบหนังสือ Utopia ของโทมสั มอรใ์ นปี 1516 หนา้ แผนภาพท่ี 2 ภาพจากโปสการ์ดชดุ En L'An 2000 14 แผนภาพท่ี 3 กรวยอนาคต (Futures Cone) 17 แผนภาพที่ 4 รปู แบบววิ ัฒนาการ 65 แผนภาพท่ี 5 ตัวอย่างระบบการกวาดสญั ญาณในการคาดการณ ์ 91 แผนภาพที่ 6 ตัวอย่างภาพวงล้ออนาคต แผนภาพที่ 7 ตวั อยา่ งวงลอ้ อนาคตของนวตั กรรมด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศ 112 แผนภาพที่ 8 ตัวอย่างวธิ กี ารแสดงวงล้ออนาคตทใ่ี ช้จ�ำนวนลกู ศรแทนล�ำดบั ขน้ั 128 129 ของผลกระทบ แผนภาพท่ี 9 รปู อนาคตหลายเหลย่ี มแสดงความเปน็ ไปไดข้ องเหตกุ ารณใ์ นอนาคต 130 แผนภาพท่ี 10 การผสมผสานวธิ ีการรูปอนาคตหลายเหลี่ยมกบั 132 วิธกี ารคาดการณอ์ ืน่ ๆ แผนภาพท่ี 11 แนวคดิ การวเิ คราะห์ผลกระทบตอ่ แนวโนม้ ในอนาคต 133 แผนภาพท่ี 12 ประเภทแนวโน้ม 136 แผนภาพที่ 13 ตวั อย่างการวิเคราะห์ผลกระทบต่อแนวโน้ม 136 แผนภาพที่ 14 ตวั อยา่ งกราฟแสดงความสมั พันธ์ระหว่างอิทธพิ ลกับ 137 การพ่งึ พาของตัวแปร แผนภาพท่ี 15 แนวคดิ เส้นการอุบตั ใิ หมข่ องประเดน็ 143 แผนภาพท่ี 16 ตวั อยา่ งต้นไม้ความเกี่ยวขอ้ ง 149 แผนภาพที่ 17 ภาพรวมกระบวนการคาดการณ์ดว้ ยฉากทศั น ์ 167 แผนภาพที่ 18 มติ ิของการตดั สนิ ใจทใี่ ช้ไดก้ บั หลายสถานการณ ์ 171 แผนภาพที่ 19 วงลอ้ ซนิ คอนทีแ่ สดงประเดน็ ยอ่ ย 177 แผนภาพที่ 20 กระบวนการใชว้ งล้อซินคอนเพ่อื สรา้ งฉันทามต ิ 183 แผนภาพที่ 21 ตัวอยา่ งแผนทน่ี �ำทางเทคโนโลยีระดบั พ้นื ฐาน 183 แผนภาพที่ 22 วิธีการวเิ คราะห์ชั้นสาเหต ุ 195 แผนภาพท่ี 23 การคาดการณใ์ นกระบวนการวางแผนยุทธศาสตร ์ 204 แผนภาพท่ี 24 ระบบคาดการณร์ ะดับชาติของฟนิ แลนด ์ 212 แผนภาพท่ี 25 ระบบคาดการณ์ระดับชาตขิ องสิงคโปร ์ 220 223

อนาคตศึกษา | 15 สตาารรางบัญ ตารางท่ี 1 ขอบเขตของความรู้ 3 รูปแบบตามความคดิ ของฮาเบอรม์ าส หน้า ตารางที่ 2 การแบ่งกลมุ่ ความรแู้ ละประสบการณต์ ามทฤษฎบี รู ณาการ 35 ของเคน วิลเบอร ์ ตารางท่ี 3 วิธีการส�ำคญั ในศึกษาอนาคต 95 ตารางท่ี 4 ประเภทวิธกี ารศกึ ษาอนาคตแบง่ ตามขั้นตอนการคาดการณ ์ 106 ตารางท่ี 5 ตวั อยา่ งประเดน็ การกวาดสัญญาณดา้ นความมนั่ คงทางส่งิ แวดล้อม 109 ตารางท่ี 6 ตวั อย่างปจั จยั ขบั เคลือ่ นทน่ี ่าจะมีผลต่ออนาคตของเมอื ง 115 ตารางที่ 7 ประเภทข้อมูลดา้ นเทคโนโลย ี 116 ตารางที่ 8 ตวั อยา่ งตารางวิเคราะห์ผลกระทบไขว ้ 119 ตารางที่ 9 ประเภทของเหตไุ มค่ าดฝนั 139 ตารางที่ 10 ตวั อยา่ งตารางการวเิ คราะหย์ ทุ ธศาสตร ์ 146 ตารางท่ี 11 ตวั อยา่ งตารางวเิ คราะห์ความตอ้ งการของมนษุ ย์ 155 และทางเลอื กนโยบาย ตารางท่ี 12 ตวั อย่างเขตสัณฐานทมี่ พี ารามเิ ตอร์ 5 ตัว 156 ตารางที่ 13 ตัวอย่างเขตฉากทัศน์ที่เปน็ ไปตามเกณฑ์พารามเิ ตอร์ทง้ั หมด 161 และทส่ี อดคลอ้ งกัน ตารางที่ 14 ตวั อย่างเขตยทุ ธศาสตร์ทเ่ี ปน็ ไปตามเกณฑพ์ ารามิเตอร์ทง้ั หมด 163 และสอดคล้องกัน ตารางที่ 15 ความสอดคลอ้ งระหว่างยทุ ธศาสตร์กบั ฉากทศั น ์ 164 ตารางที่ 16 ประเภทของวิธีการคาดการณแ์ บบมสี ว่ นร่วม 165 ตารางท่ี 17 ฉากทัศน์อนาคตประเทศไทยตามการแบ่งกลุ่มคนของเทกสเตอร์ 181 ตารางท่ี 18 ตวั อยา่ งงานคาดการณท์ ี่ด�ำเนินการโดย 243 ศูนย์คาดการณ์เทคโนโลยเี อเปค 260

1 | อนาคตศกึ ษา

อนาคตศึกษา | 2 บทนำ� To expect the unexpected shows a thoroughly modern intellect. Oscar Wilde, An Ideal Husband

3 | อนาคตศึกษา บทนำ� หากเปรียบเทียบการด�ำเนินชีวิตของมนุษย์เหมือนกับการเดินเท้า ทุกย่างก้าวไปในอนาคตข้างหน้า ย่อมมีเท้าหน่ึงที่ยังคงอยู่ในอดีตข้างหลัง ในขณะที่ร่างกายท่ีอยู่ตรงกลางพยายามสร้างสมดุลในแต่ละ ก้าวของการเดิน โดยก�ำหนดจังหวะและระยะก้าวท่ีเหมาะสม เพ่ือให้การเดินบรรลุวัตถุประสงค์ท่ี ตงั้ ใจไว้ ฉันใดก็ฉนั นนั้ กิจกรรมต่าง ๆ ท่มี นุษยต์ ัดสนิ ใจทำ� ในปัจจบุ นั มสี าเหตุไมเ่ พยี งเฉพาะจากความ เปน็ ไปในอดตี แตค่ วามนกึ คดิ และความคาดหวงั เกยี่ วกบั อนาคตกม็ อี ทิ ธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมของคนเราใน ปจั จบุ นั ไมย่ งิ่ หยอ่ นไปกวา่ กนั จนิ ตนาการและความปรารถนาเกยี่ วกบั อนาคตจงึ เปน็ องคป์ ระกอบและ คณุ ลกั ษณะสำ� คญั ของการดำ� เนนิ ชวี ติ และเปน็ พนื้ ฐานสำ� คญั ของระบบสงั คมวฒั นธรรมและเศรษฐกจิ ท่ีมนุษย์สร้างขึ้นมา ขณะเดียวกัน มนุษย์ไม่ได้เกิดมาแล้วเดินได้เลย เด็กทารกเริ่มเรียนรู้ต้ังไข่และ เดินเตาะแตะผ่านประสบการณ์ล้มลุกคลุกคลานมามากจนกว่าจะสามารถเดินได้อย่างคล่องแคล่ว การเรียนรู้และจินตนาการเกี่ยวกับอนาคตก็ต้องมีการฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์ลองผิดลองถูก เช่นกัน ด้วยเวลาเปน็ พน้ื ฐานของอนาคต ตราบใดที่เรายังเช่ือในกฎฟสิ กิ สแ์ บบนิวตนั ท่ีวา่ เวลามอี ยู่จริง อย่างอิสระ ไมไ่ ดข้ ้นึ อยกู่ ับความคดิ ของมนษุ ย์ และเคลือ่ นไหวไปขา้ งหน้าอย่างสม่�ำเสมอไม่มยี ้อนกลบั อนาคตก็เป็นส่วนหนึ่งของล�ำดับเวลาท่ีจะเกิดข้ึนและหลีกเล่ียงไม่ได้ แต่หากเราเชื่อว่าเวลาไม่ได้ไหล เปน็ เสน้ ตรงไปขา้ งหนา้ ไมไ่ ดล้ ว่ งเลยผา่ นไป แตห่ วนกลบั มาเปน็ วฏั จกั รและวงจร และขน้ึ อยกู่ บั การรบั รขู้ องมนุษยเ์ ราเอง ความเข้าใจเกีย่ วกับอนาคตยอ่ มต้องแตกต่างออกไป ย่งิ ถ้าหากเราเชื่อตามแนวคิด ปรชั ญาวา่ ดว้ ยเวลาในแนวปจั จุบันนยิ ม (presentism) ที่เสนอว่า ทกุ อย่างในอดีตและอนาคตไมม่ ีอยู่ จรงิ สงิ่ ทเี่ ปน็ จรงิ มเี พยี งสภาพปจั จบุ นั ยง่ิ ทำ� ใหม้ โนทศั นเ์ กยี่ วกบั อนาคตตอ้ งปรบั เปลย่ี นไป ทงั้ น้ี มนษุ ย์ พยายามทำ� ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั อนาคตมานาน แนวคดิ เกย่ี วกบั อนาคตจงึ มอี ยใู่ นทกุ เสย้ี วทกุ มมุ ของการ ใชช้ วี ติ และการคงอยขู่ องมนษุ ยชาติ ทกุ ศาสนาทกุ ลทั ธใิ นโลกกลา่ วถงึ อนาคตในบรบิ ททแ่ี ตกตา่ งกนั ออก ไป ทัง้ เร่ืองกรรม ชีวติ หลงั ความตาย และเหตุการณท์ ่ีท�ำนายหรือกำ� หนดไวว้ า่ จะเกิดขึน้ ในคมั ภีรห์ รือ คำ� สอนของศาสดา ทกุ สงั คมวฒั นธรรมมแี นวคดิ และวธิ กี ารในการคดิ คำ� นงึ และจดั การเกย่ี วกบั อนาคต ในรูปแบบและวธิ ีการทแี่ ตกต่างกนั การศกึ ษาอนาคตจึงไมใ่ ช่เปน็ เรือ่ งใหมข่ องมนษุ ยชาติแต่อยา่ งใด

อนาคตศกึ ษา | 4 อย่างไรกต็ าม ในช่วงครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 20 ทผี่ ่านมามีพฒั นาการด้านกรอบความคิด ทฤษฎีและ วิธีการท่ีใช้ศึกษาอนาคตในเชิงวิทยาศาสตร์อย่างเป็นระบบ ซ่ึงได้รับความนิยมและแพร่หลายมากขึ้น จนกลายมาเปน็ ศาสตรแ์ ละวชิ าชีพหน่งึ ในปจั จุบัน ศาสตร์ดังกลา่ วเรียกกันโดยทัว่ ไปว่า อนาคตศกึ ษา หรืออนาคตศาสตร์ (Futures Studies) ซงึ่ มงุ่ สร้างทฤษฎี กรอบแนวคดิ หลักการ และวธิ กี ารในการ ทำ� ความเขา้ ใจกบั ปรากฏการณ์ เหตกุ ารณแ์ ละสิง่ ตา่ ง ๆ ท่เี กิดขนึ้ ในอนาคต งานวิจัยในสาขาทถี่ อื ว่า ใหมน่ ี้พยายามคาดการณด์ ว้ ยการท�ำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ทเี่ กิดข้ึนอยูใ่ นปัจจุบัน แนวโน้มและ เหตุการณ์ ทีเ่ กิดขนึ้ มาในอดีต ทั้งความเช่อื คา่ นยิ ม แนวคิด ธรรมเนยี มปฏบิ ัติ รวมถึงปจั จยั อนื่ ๆ ที่ มผี ลตอ่ อนาคตระยะยาว อนาคตทว่ี า่ นม้ี ีท้ังอนาคตทเ่ี ปน็ ไปได้ (plausible futures) ซ่งึ ครอบคลุมถงึ อนาคตแบบเหตไุ ม่คาดฝัน (wild cards) อนาคตทเ่ี ชอื่ วา่ เกิดขึน้ ได้ (probable futures) และอนาคต ท่คี าดหวังให้เกดิ ขึ้นหรืออนาคตทพี่ งึ ประสงค์ (preferable future) การส�ำรวจภาพอนาคตในระดับ ความเปน็ ไปไดต้ ่าง ๆ นีท้ ำ� ให้อนาคตศึกษามฐี านะเป็นสาขาวชิ าหนึ่ง ซ่งึ แตกต่างไปจากการศึกษาแนว โนม้ และการเปลยี่ นแปลงในอนาคตท่ที ำ� อย่แู ลว้ ในศาสตรแ์ ละสาขาอน่ื ด้วยจุดก�ำเนิดและแนวคิดพ้ืนฐานของศาสตร์ที่มองภาพอนาคตเป็นระบบท่ีเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน อนาคตศกึ ษาจึงเปน็ สหสาขาวชิ าท่ีมีความหลากหลายท้ังในหัวขอ้ และประเดน็ วจิ ัย ทัง้ คำ� ถามพื้นฐาน ในระดับญาณวิทยาเก่ยี วกับความรูว้ า่ ดว้ ยอนาคต เครื่องมอื และวิธกี ารทใ่ี ช้วเิ คราะห์ ไปจนถงึ ประเด็น การวิเคราะห์ทางเลือกของอนาคตในประเด็นหรือปรากฏการณ์ท่ีสนใจ ท้ังในด้านสังคม เทคโนโลยี เศรษฐกจิ สง่ิ แวดลอ้ มและการเมอื ง แนน่ อนวา่ เรอ่ื งอนาคตเปน็ สว่ นหนง่ึ ของการสรา้ งองคค์ วามรใู้ นสาขา วชิ าและวชิ าชพี ตา่ ง ๆ อยแู่ ลว้ ดงั ในกรณขี องการพยากรณอ์ ากาศ การคาดประมาณจำ� นวนประชากร การคาดการณก์ ารเตบิ โตทางเศรษฐกจิ การคาดการณก์ ารระบาดของโรคตดิ ตอ่ ฯลฯ แตอ่ นาคตศกึ ษา ถอื เปน็ ศาสตรท์ พี่ ยายามสรา้ งองคค์ วามรแู้ ละทกั ษะเกย่ี วกบั อนาคตไวอ้ ยา่ งเปน็ ระบบและใหเ้ หน็ ภาพท่ี เปน็ องคร์ วม โดยมปี รชั ญา ทฤษฎแี ละกรอบแนวความคดิ ทชี่ ดั เจนมากขน้ึ คณุ ลกั ษณะสำ� คญั อกี ประการ หนง่ึ ของงานดา้ นอนาคตศกึ ษาคอื การมงุ่ ทา้ ทายและรอ้ื แยกขอ้ สมมตทิ ซ่ี อ่ นอยใู่ นมโนทศั นแ์ ละความคดิ เกี่ยวกับอนาคตที่เป็นกระแสหลักอยู่ในปัจจุบัน การคาดการณ์อนาคตจึงมักเร่ิมต้นจากความเช่ือว่า ความเขา้ ใจและความคดิ ทเ่ี รามอี ยใู่ นปจั จบุ นั เกยี่ วกบั การเปลย่ี นแปลงทจี่ ะเกดิ ขน้ึ ในอนาคต มกั กำ� หนด โดยกรอบความคดิ และขอ้ สมมตทิ อ่ี าจใชไ้ มไ่ ดอ้ กี ตอ่ ไป งานวจิ ยั ดา้ นอนาคตศกึ ษายงั มงุ่ สรา้ งองคค์ วามรเู้ กย่ี วกบั กระบวนการและวธิ กี ารทแ่ี ตล่ ะบคุ คลและ องค์กรสามารถน�ำมาประยุกต์ใช้ได้ในการวางแผนเพ่ือเตรียมพร้อมและรับมือกับอนาคตท่ีไม่แน่นอน รวมถงึ การคดิ ค้นสง่ิ ประดษิ ฐ์ การบรกิ ารหรือสถาบันใหม่ ซ่งึ เป็นนวัตกรรมทต่ี อบสนองภาพอนาคตท่ี เชอ่ื วา่ เกดิ ขนึ้ ได้ หรอื อาจเปน็ นวตั กรรมทกี่ ำ� หนดอนาคตได้ ความรแู้ ละทกั ษะเกยี่ วกบั อนาคตศกึ ษาเรม่ิ ประยุกต์ใช้อยา่ งแพรห่ ลายในสาขาวิชาและวิชาชพี ต่าง ๆ ในวงกว้างมากขนึ้ ไมว่ า่ จะเป็นการวางแผน ยทุ ธศาสตรธ์ รุ กจิ ของบรษิ ทั เอกชนหรอื การวางแผนนโยบายสาธารณะของหนว่ ยงานภาครฐั บรษิ ทั ชน้ั นำ� ของโลกจำ� นวนมากใหค้ วามสำ� คญั อยา่ งยงิ่ กบั การรถู้ งึ แนวโนม้ และปจั จยั การเปลยี่ นแปลงทอี่ าจเกดิ

5 | อนาคตศึกษา ขึ้นและมผี ลตอ่ ธรุ กจิ ของตนเอง ในขณะเดียวกัน รัฐบาลในหลายประเทศกใ็ หค้ วามส�ำคญั กบั การเพมิ่ ขีดความสามารถของหน่วยงานรัฐในการวิเคราะห์และคาดการณ์ เพื่อน�ำผลการวิเคราะห์นั้นมาวาง นโยบาย ยทุ ธศาสตร์และกลยุทธ์ของรฐั บาล ในประเทศไทยเอง หลายองค์กรได้พยายามใช้ความรู้และเคร่ืองมือด้านอนาคตศึกษาในการ วิเคราะห์และวางแผนองค์กรและนโยบายสาธารณะมากว่ายี่สิบปีแล้ว หมุดหมายหนึ่งท่ีส�ำคัญคือการ จดั ต้ังศูนย์คาดการณ์เทคโนโลยเี อเปค (APEC Center for Technology Foresight) เพ่อื วิเคราะห์ และวางแผนอนาคตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากน้ันก็มีโครงการศึกษาอนาคตด้านต่าง ๆ มาพอ สมควร ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา หน่วยงานภาครัฐหลายแห่งเริ่มให้ความส�ำคัญกับการคาดการณ์ เชิงยุทธศาสตร์มากขึ้น ท้ังหน่วยงานการวางแผนพัฒนาภาพรวมระดับประเทศ เช่น ส�ำนักงานสภา พฒั นาการเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ (สศช.) และหนว่ ยงานวางแผนพฒั นารายสาขา เชน่ ส�ำนักงาน สภานโยบายการอดุ มศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ วจิ ยั และนวตั กรรมแหง่ ชาติ (สอวช.) และสำ� นกั งานนวตั กรรม แหง่ ชาติ (สนช.) บรษิ ทั ช้นั นำ� หลายแหง่ กไ็ ดเ้ รมิ่ ใชว้ ธิ ีการคาดการณเ์ ชิงยุทธศาสตร์ (strategic fore- sight) ในการวางแผนยทุ ธศาสตรข์ ององค์กร แม้ว่างานวิจัยและงานวางแผนในแต่ละศาสตร์และสาขาต่างมีกรอบแนวคิดและวิธีการศึกษา อนาคตอยู่แล้ว แต่พื้นฐานความคิดและวิธีวิทยาแตกต่างพอสมควรจากงานศึกษาอนาคตในกลุ่ม วิชาการด้านอนาคตศาสตร์ โครงการวิจัยและงานเขียนหลายช้ินในประเทศไทยได้ประยุกต์ใช้กรอบ แนวคิดด้านอนาคตศึกษามาแล้วบ้าง แต่ท่ีผ่านมายังไม่มีการประมวลความรู้ในด้านน้ีอย่างเป็นระบบ จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะประมวลความรู้ในด้านนี้อย่างจริงจังเพ่ือสร้างฐานความรู้ในการพัฒนาศาสตร์ นใ้ี นประเทศไทยตอ่ ไป ด้วยเหตุผลดังท่ีกล่าวมา วัตถุประสงค์หลักของหนังสือเล่มนี้มีอยู่ 3 ประการด้วยกัน ประการ แรกคือ เพ่ือประมวลความรู้พ้ืนฐานเกี่ยวกับอนาคตศึกษาจากงานเขียนและงานวิจัยส�ำคัญระดับโลก ประการท่ีสองคือ เพ่ือทบทวนตัวอย่างงานวิจัยและงานวางแผนท่ีประยุกต์ใช้แนวคิดและวิธีการด้าน อนาคตศึกษาในต่างประเทศและในประเทศไทย และประการที่สามคือ เพ่ือระบุช่องว่างความรู้ด้าน อนาคตศกึ ษาที่เป็นประเด็นส�ำคัญส�ำหรบั งานวิจยั ในประเทศไทยทีค่ วรสง่ เสรมิ ในอนาคต เนื้อหาในหนังสือเล่มน้ีมาจากแหล่งความรู้และข้อมูลสามกลุ่มหลัก ส่วนแรกมาจากการทบทวน วรรณกรรม ทั้งทเี่ ป็นบทความวชิ าการ รายงานการวิจัย หนงั สอื และอาจรวมถงึ บทความแสดงความ คิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านอนาคตศึกษาในวารสารและสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทต่าง ๆ รวมท้ังรายงานผล การดำ� เนินงานของหนว่ ยงานและองค์กรตา่ ง สว่ นทสี่ องมาจากการสัมภาษณ์ โดยผเู้ ขียนไดส้ ัมภาษณ์ ผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ ี่มปี ระสบการณใ์ นดา้ นอนาคตศกึ ษา เพื่อสอบถามความเหน็ เก่ยี วกับช่องว่างความร้ทู นี่ ่า จะมีการศึกษาวิจัยต่อไปในอนาคต และน�ำมาประกอบในการเขียนบทสรุปและข้อเสนอแนะจากการ ประมวลความรใู้ นหนงั สอื เลม่ นี้ สว่ นทส่ี ามมาจากการประชมุ กลมุ่ ยอ่ ย ซงึ่ ผเู้ ขยี นไดจ้ ดั ขนึ้ 2 ครง้ั เพอื่ นำ� เสนอผลการวจิ ยั และแลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ กบั ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ แลว้ นำ� ผลการประชมุ มาปรบั ปรงุ รายงาน การวจิ ัย “ปรทิ ศั นส์ ถานภาพความรูด้ า้ นอนาคตศกึ ษา” จากน้นั จงึ ได้ปรบั ปรุงและเพ่มิ เติมเน้อื หาให้ สมบูรณม์ ากขึน้ จนเปน็ หนังสอื เล่มน้ี

อนาคตศึกษา | 6 เนื้อหาในหนงั สือนแ้ี บง่ ออกเปน็ 6 บท บทที่ 1 ตอ่ จากบทน�ำนเ้ี ป็นการทบทวนวิวฒั นาการของ อนาคตศึกษาอย่างเป็นระบบนับตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ท้ังงานเขียนและงานวิจัยใน เชิงวิชาการและผลงานเพื่อการวางแผนนโยบาย บทที่ 2 อธิบายแนวคดิ พ้นื ฐานเกี่ยวกับอนาคตศึกษา บทที่ 3 อธบิ ายวธิ กี ารวเิ คราะหอ์ นาคตทใี่ ชอ้ ยา่ งแพรห่ ลายในวงการวชิ าการดา้ นอนาคตศกึ ษาและการ คาดการณเ์ ชิงยทุ ธศาสตร์ บทที่ 4 เปน็ เนือ้ หาเกยี่ วกับการคาดการณ์เชงิ ยทุ ธศาสตร์ ซงึ่ น�ำเอาความรู้ ด้านอนาคตศึกษามาประยุกตใ์ ชต้ อ่ เพอื่ วางแผนนโยบายในองคก์ รและนโยบายสาธารณะ บทท่ี 5 น�ำ เสนอผลการประมวลความรดู้ า้ นอนาคตศึกษาของประเทศไทย บทท่ี 6 บทสดุ ทา้ ยระบชุ อ่ งว่างความ รแู้ ละประเด็นการวิจัยท่ีควรมกี ารส่งเสริมตอ่ ไป การน�ำเสนอเน้ือหาการปรทิ ศั น์ในบทหลงั ๆ จะเน้นท่ี ประเด็นหลักของความรู้เกีย่ วกบั อนาคตศกึ ษา โดยไมล่ งรายละเอียดในแต่ละประเดน็ มากนัก แตส่ รุป เนอื้ หาจากบทความวชิ าการและรายงานวจิ ยั พรอ้ มระบแุ หลง่ อา้ งองิ ไวอ้ ยา่ งชดั เจน เพอื่ ใหผ้ อู้ า่ นทสี่ นใจ ในด้านนส้ี ามารถคน้ คว้าเพ่มิ เติมได้ด้วยตนเองต่อไป

7 | อนาคตศกึ ษา

อนาคตศึกษา | 8 1 ววิ ฒั นาการ ของอนาคต ศกึ ษา Memories are the key not to the past, but to the future. Corrie ten Boom, The Hiding Place

9 | อนาคตศกึ ษา อนาคตอย่ใู นสมอง มนุษย์ต่างจากสตั วใ์ นหลายด้าน ในด้านศาสนา พทุ ธศาสนสุภาษิตหนึง่ มอี ย่วู า่ “อาหารนทิ ฺทา ภยเม ถนุ ญจฺ สามาญญเมตปปฺ สภิ นรานํ ธมโฺ ม หิ เตสํ อธโิ ก วิเสโส ธมฺเมน หนี า ปสุภิ สมานา” หมายความ วา่ การแสวงหาอาหารกนิ การแสวงหาความสุขจากการนอน ความรู้จักข้ีขลาด ว่งิ หนี อันตราย และ การประกอบเมถนุ ธรรม มนษุ ยม์ เี สมอกนั กบั สตั ว์ ธรรมะเทา่ นน้ั ทจี่ ะทำ� ความผดิ แปลกแตกตา่ งระหวา่ ง คนกับสตั ว์ เม่ือปราศจากธรรมะแลว้ คนกับสัตวก์ เ็ หมอื นกนั 1 ส่วนในคัมภรี ์ไบเบลิ ของคริสต์ศาสนา มีข้อความระบุถงึ ความแตกต่างระหวา่ งมนุษย์กับสัตวไ์ ว้อยา่ งชัดเจนว่า “เนอื้ นนั้ ไม่เหมือนกนั ทั้งหมด เนอ้ื มนษุ ยก์ อ็ ยา่ งหนงึ่ เนอ้ื สตั วก์ อ็ ยา่ งหนงึ่ เนอ้ื นกกอ็ ยา่ งหนงึ่ เนอ้ื ปลากอ็ ยา่ งหนงึ่ ” (1 โครนิ ธ์ 15:39)2 มนษุ ยเ์ ทา่ นน้ั ทมี่ คี วามสามารถในการเรยี นรแู้ ละบชู าพระเจา้ ดว้ ยพระเจา้ ได้ “ทรงสรา้ งมนษุ ยต์ ามแบบ พระฉายาของพระองค”์ (ปฐมกาล 1:27)3 ทง้ั ในดา้ นอตั ลกั ษณ์สว่ นบคุ คล ความสามารถในการเลอื ก อารมณ์ ศีลธรรม และความคดิ สร้างสรรค4์ ในด้านวิทยาศาสตร์ มนุษย์แตกต่างจากสัตว์และสิ่งมีชีวิตประเภทอ่ืนตรงที่สมองของมนุษย์มี พฒั นาการทที่ ำ� ใหเ้ ราสามารถนกึ คดิ จนิ ตนาการและพจิ ารณาสงิ่ ทเี่ ปน็ นามธรรมได้ ดงั ทสี่ ะทอ้ นในชอื่ วิทยาศาสตรท์ ใ่ี ช้เรียกสปีชสี ม์ นุษยใ์ นปจั จุบนั คือ homo sapiens ซึ่งเป็นภาษาละตนิ ท่ีแปลวา่ “คน ฉลาด” หรอื \"ผรู้ \"ู้ นกั วชิ าการในอดตี ยกตวั อยา่ งคณุ ลกั ษณะของ “ความฉลาด” ทท่ี ำ� ใหม้ นษุ ยแ์ ตกตา่ ง จากสัตวป์ ระเภทอน่ื เชน่ ภาษา เครอ่ื งมอื และเทคโนโลยี และการจดั การทางสังคมวฒั นธรรม แตง่ าน วจิ ยั จำ� นวนมากแสดงหลกั ฐานแยง้ วา่ สตั วก์ ม็ ภี าษา ใชเ้ ครอื่ งมอื และรว่ มมอื กนั และอยดู่ ว้ ยกนั เปน็ สงั คม แม้ว่าอาจไมม่ ีพฒั นาการใหซ้ บั ซอ้ นและละเอียดเท่ากบั มนษุ ย์ ดงั ทีช่ าลส์ ดาร์วนิ (Charles Darwin) เขยี นไว้ในหนงั สือ “The Descent of Man” ว่า มนษุ ยก์ บั สตั วแ์ ตกต่างกนั ที่ระดบั (degree) ไม่ใช่ ประเภท (kind) ดงั นั้น คำ� วา่ sapiens ทสี่ อื่ ถงึ ความฉลาดของมนษุ ยน์ น้ั จึงอาจมมี ากกวา่ คณุ ลกั ษณะ เหล่านี้ และความแตกต่างในระดับความคิดของมนุษย์น่ันเองท่ีท�ำให้มนุษย์แตกต่างมากจากสัตว์ใน ดา้ นอื่น ๆ คุณลักษณะหนึ่งของมนุษย์ที่แตกต่างหรือท�ำได้ดีกว่าสัตว์คือมนุษย์มีความสามารถในการคาด การณ์อนาคต งานวิจัยด้านจิตวิทยาและประสาทวิทยาศาสตร์ (neuroscience) จ�ำนวนหนึ่งค้นพบ หลักฐานเชิงประจักษ์ท่ีสนับสนุนสมมติฐานที่ว่า ความส�ำเร็จพ้ืนฐานในวิวัฒนาการของมนุษย์คือการ คาดหมายและประเมนิ ความเปน็ ไปไดข้ องเหตกุ ารณท์ จ่ี ะเกดิ ขน้ึ ในอนาคต เพอื่ สรา้ งกรอบและแนวทาง

อนาคตศึกษา | 10 ในการพิจารณาทางเลอื กและตัดสินใจด�ำเนนิ กจิ กรรมตอ่ ความสามารถในการคาดการณ์น้เี ปน็ ความ ฉลาดของมนุษย์ท่ีท�ำให้เกิดเทคโนโลยีและสถาบันทางสังคมวัฒนธรรม และท�ำให้อารยธรรมมนุษย์ มีวิวัฒนาการและคงอยู่ต่อไปได้ บทบาทและหน้าที่ส่วนส�ำคัญของสมองมนุษย์จึงอยู่ที่การมองไปยัง อนาคต ไมว่ ่าจะโดยเจตนาหรอื ไมก่ ต็ าม แนวคิดน้ีถือว่าใหม่ส�ำหรับวงการวิชาการด้านจิตวิทยาและประสาทวิทยาศาสตร์ เน่ืองจากท่ี ผา่ นมาขอ้ สมมตหิ ลักของศาสตรด์ ังกล่าวคอื มนุษย์ติดกับดักอยกู่ บั อดตี และปจั จุบนั งานวิชาการดา้ น จติ วทิ ยามกั เนน้ ไปทอี่ ดตี คอื ความทรงจำ� (memory) และปจั จบุ นั คอื การรบั รแู้ ละแรงจงู ใจ (percep- tion and motivation) ดว้ ยขอ้ คน้ พบจากการประมวลงานวจิ ัยเก่ียวกบั บทบาทของสมองในการมอง อนาคต นักวิจัยด้านปรัชญาและจิตวิทยากลุ่มหนึ่งจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาจึงเสนอให้ใช้ค�ำ ว่า homo prospectus เพอื่ สอื่ ถึงความสามารถของมนษุ ย์ทีแ่ ตกต่างจากสตั วอ์ ่นื ๆ ในการมองภาพ ในอนาคต5 หากจิตหรือความคดิ (mind) ของมนุษยไ์ มไ่ ด้สนใจแตเ่ พียงเรอ่ื งในอดีตและปัจจบุ นั แตม่ ุ่งไปที่ อนาคต การท�ำความเข้าใจเก่ียวกับพฤติกรรมมนุษย์และการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ท้ังเศรษฐกิจ สงั คม วฒั นธรรมและการเมอื ง จงึ ตอ้ งสำ� รวจลงไปถงึ บทบาทและหนา้ ทข่ี องการมองอนาคตของมนษุ ย์ ในขณะเดยี วกนั การเรียนรูไ้ ม่ไดเ้ กิดจากการเก็บและวิเคราะห์ส่งิ ท่เี กบ็ รวบรวมมาเปน็ ขอ้ มูลจากอดตี เทา่ น้ัน แตเ่ กดิ จากการปรบั เปลี่ยนความทรงจ�ำไปพรอ้ มกบั การจนิ ตนาการเก่ียวกับความเปน็ ไปได้ใน อนาคต โลกทัศน์ของมนุษย์เราไมได้เกิดจากการประมวลผลจากทุกเสี้ยวของภาพท่ีเห็นตรงข้างหน้า เพยี งอยา่ งเดยี ว แตเ่ กดิ จากการมงุ่ หาสงิ่ ทไ่ี มค่ าดคดิ มากอ่ นไปพรอ้ มกนั นอกจากนี้ การคาดการณท์ ำ� ให้ เราแตล่ ะคนฉลาดมากขึ้น ไมใ่ ชเ่ ฉพาะจากประสบการณข์ องตนเองเท่าน้นั แตจ่ ากการเรยี นร้เู กี่ยวกบั สง่ิ ทเ่ี กดิ ข้นึ รอบตวั เราไปพร้อมกันกับผูอ้ ืน่ นอกจากนี้ เป็นที่รับรู้กันทั่วไป และมีหลักฐานจากงานวิจัยทางสังคมศาสตร์โดยเฉพาะด้าน มานุษยวิทยาและเศรษฐศาสตร์ว่า มนุษย์เรายินดียอมเสียสละอะไรบางอย่างในวันนี้ เพื่อให้ได้ผล ตอบแทนที่มากกวา่ ในอนาคต ไมว่ า่ จะเป็นการออมและฝากเงินไวใ้ นธนาคาร การลงทุนในการศึกษา หรือแม้แตก่ ารท�ำบญุ ดว้ ยความเชือ่ วา่ จะทำ� ใหช้ าติหนา้ เกิดมาสบายขึ้น การทมี่ นุษย์เราเป็นสัตว์สังคม ท่ีประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจสังคมกับผู้อ่ืนอยู่ตลอดเวลา และสร้างสถาบัน (institutions) ท่ี เป็นธรรมเนียมปฏบิ ัติ กฎเกณฑแ์ ละระเบยี บของสังคมข้ึนมานัน้ สว่ นหน่ึงก็เพราะมนุษย์ยอมควบคุม พฤตกิ รรมตนเอง เพอื่ ให้ไดม้ าซง่ึ ประโยชน์ในอนาคต ความก้าวหน้าของอารยธรรมมนษุ ย์ทีข่ บั เคล่อื น ด้วยการค้นพบด้านวิทยาศาสตร์และการค้นคิดสิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงการ เปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรมของมนุษย์ ล้วนแล้วแต่เกิดจากการมองเห็นผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับ ตนเองและผอู้ นื่ ในอนาคต การมองไปในอนาคตของมนษุ ยม์ คี วามซบั ซอ้ นมากกวา่ และมรี ะยะเวลายาวกวา่ สตั ว์ กระรอกใน เมอื งหนาวขดุ ฝงั ลกู โอค๊ ไวใ้ ตด้ นิ หรอื ยดั ไวใ้ นโพรงไมเ้ พอ่ื เตรยี มเสบยี งไวส้ ำ� หรบั ชว่ งทห่ี าอาหารลำ� บาก กบในเขตร้อนช้ืนเตรียมตัวขุดหลุมและหมกตัวอยู่ใต้ดินเพ่ือจ�ำศีลในช่วงความร้อนสูงและขาดน้�ำ แต่ พฤติกรรมการเตรียมตัวเหล่านี้เกิดจากสัญชาตญาณ ไม่ได้เกิดจากการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลง

11 | อนาคตศึกษา ของฤดูกาล ส่วนมดและผ้ึงแบ่งงานกันท�ำและร่วมมือกันในการสร้างรังโดยอัตโนมัติตามที่ก�ำหนดมา ในพนั ธกุ รรม โดยไม่ได้มกี ารปรึกษาหารือและตกลงร่วมกนั ของสมาชกิ ในรงั ว่า จะรว่ มมือท�ำอะไรกนั บา้ งในอนาคต อยา่ งไรกต็ าม ในชว่ งหลงั เรม่ิ มงี านวจิ ยั ทแี่ สดงหลกั ฐานวา่ สตั วก์ ม็ คี วามสามารถในการจนิ ตนาการ เหตกุ ารณ์ในอนาคตเช่นเดียวกันกับมนุษย์ กลมุ่ นักวิจัยท่ีมหาวิทยาลยั คอลเลจลอนดอน (University College London) ไดใ้ ชห้ นู (Rattus rattus) ในการทดลองและตดิ ตามการทำ� งานของสมองสว่ นฮปิ โป แคมปัส (hippocampus) ซ่ึงเป็นส่วนประกอบท่ีส�ำคัญของสมองของมนุษย์และสัตว์เล้ียงลูกด้วยนม อ่นื ๆ คณะวิจยั นีค้ น้ พบวา่ ในชว่ งเวลาทหี่ นูหลับหรือพักผอ่ นอยู่ สมองส่วนฮปิ โปแคมปสั จะก่อสรา้ ง ส่วนประกอบของเหตุการณท์ ีย่ งั ไม่เกดิ ข้นึ และเตรียมพรอ้ มสำ� หรบั กจิ กรรมทีม่ เี ปา้ หมายว่าจะท�ำเม่อื ต่นื มาแล้ว6 ขอ้ ค้นพบดงั กลา่ วสนบั สนนุ ขอ้ เสนอท่วี า่ การคาดการณไ์ ม่ไดม้ เี ฉพาะในมนษุ ย์ และสมอง ส่วนฮิปโปแคมปัสมีบทบาทในการจ�ำลองสถานการณ์ในอนาคตได้ อย่างไรก็ตาม สมมติฐานท่ีว่าการ จำ� ลองสถานการณอ์ นาคตในสมองเกดิ ขนึ้ ไดโ้ ดยไมต่ อ้ งมปี ระสบการณโ์ ดยตรงมากอ่ น ไดร้ บั การวพิ ากษ์ วิจารณ์วา่ ยงั ไม่มขี ้อมูลเชงิ ประจักษท์ ี่พสิ จู น์ได้วา่ เปน็ จริง7 แม้ว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยังสรุปไม่ได้ว่า การคาดการณ์เป็นคุณลักษณะเฉพาะของมนุษย์ เทา่ นนั้ หรอื ไม่ แตเ่ ปน็ ทแ่ี นช่ ดั วา่ มนษุ ยม์ คี วามสามารถในการคดิ พจิ ารณาเกย่ี วกบั ระยะเวลาทย่ี าวนาน กว่าสัตว์ ไม่ว่าจะย้อนกลับไปในอดีต หรือก้าวหน้าไปยังอนาคต แม้แต่ในวิวัฒนาการของมนุษย์เอง การมองอนาคตของมนุษย์ในอดีตคงไม่ได้ซับซ้อนและมีระยะเวลายาวไกลดังเช่นในปัจจุบัน ในสมัย ดึกด�ำบรรพ์ที่มนุษย์ยังไล่ล่าหาอาหาร ก่อนยุคท่ีสามารถเก็บรักษาอาหารไว้ได้ก่อนบูดเน่า การค�ำนึง ถึงอนาคตคงไมไ่ ด้ยาวไกลอะไรมาก ดังเชน่ สัตวป์ า่ ท่ีลา่ เหยื่อและหาอาหารกินไปเปน็ ม้ือ ๆ เป็นวนั ๆ ไป แต่เม่อื มนษุ ย์พัฒนามากขึน้ ในยุคตอ่ มา มกี ารทำ� เกษตรกรรม มีการตัง้ ถน่ิ ฐานเป็นชมุ ชนและเมอื ง และมีอุตสาหกรรมและระบบเศรษฐกิจท่ีซับซ้อนมากข้ึน การมองไปยังอนาคตจึงมีระยะเวลาท่ีไกล มากขน้ึ กวา่ เดิม กลา่ วไดว้ า่ มนษุ ยใ์ หค้ วามสนใจเกยี่ วกบั เวลามาโดยตลอด และการมองอนาคตกเ็ ปน็ พน้ื ฐานของ การรบั รแู้ ละการพยายามทำ� ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั ตวั เองและสง่ิ แวดลอ้ มมาตง้ั แตจ่ ดุ เรมิ่ ตน้ ของความเปน็ มนษุ ย์ ดงั นนั้ การมองอนาคตจงึ เปน็ องคป์ ระกอบพน้ื ฐานของความเปน็ มนษุ ย์ แตก่ ไ็ มไ่ ดห้ มายความวา่ มนษุ ยท์ กุ คนและทกุ สงั คมใชเ้ วลากบั ความพยายามในการมองไปยงั อนาคตเทา่ กนั บางคนหรอื บางสงั คม อาจพยายามหาวิธีแก้ไขปัญหาในการจัดการและเตรียมพร้อมกับอนาคตมากกว่าคนอื่นหรือสังคมอื่น บางสังคมอาจพฒั นากระบวนการและเคร่ืองมือมองอนาคตทเี่ ป็นระบบและครอบคลุม เพือ่ การตัดสนิ ใจและดำ� เนนิ การทีม่ ปี ระสิทธภิ าพมากกว่าสงั คมอน่ื กไ็ ด้ ด้วยเหตุผลดงั กลา่ ว วตั ถปุ ระสงคส์ �ำคญั ประการหนงึ่ ของอนาคตศาสตร์คอื เพอ่ื ยกระดบั ความรู้ และความสามารถในกระบวนการตดั สนิ ใจและประสทิ ธภิ าพในการดำ� เนนิ กจิ กรรมทงั้ ของสงั คม การท่ี นักวิชาการและนักนโยบายได้คิดค้นและน�ำเสนอแนวคิดที่มุ่งไปสู่อนาคตในช่วงเกือบร้อยกว่าปีท่ีผ่าน มา แสดงถึงความพยายามของมนุษยใ์ นการเพมิ่ ประสทิ ธิภาพในการตัดสนิ ใจในระดบั ต่าง ๆ นัน่ เอง

อนาคตศกึ ษา | 12 ญาณวิทยา ของการรบั รู้อนาคต การท�ำความใจเกย่ี วกบั ศาสตรข์ องความรใู้ ด ๆ อย่างถอ่ งแท้ จ�ำเปน็ ต้องรู้ถงึ ญาณวทิ ยาของศาสตรน์ ้นั ญาณวิทยา (epistemology) เป็นการศึกษาเกย่ี วกับความรู้ ทงั้ บอ่ เกดิ ทม่ี าของความรู้ ธรรมชาติของ ความรู้ ขอบเขตของความรู้ รวมถงึ ความสมเหตสุ มผลของความรู้ สำ� หรบั ในอนาคตศกึ ษานน้ั งานเขยี น ทเี่ ปน็ พนื้ ฐานองคค์ วามรขู้ องการทำ� ความเขา้ ใจในอนาคตสามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ 5 กลมุ่ ดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ กลมุ่ แนวคดิ เชงิ ศาสนา กลมุ่ แนวคดิ เชงิ อดุ มคติ กลมุ่ แนวคดิ เชงิ ประวตั ศิ าสตรน์ ยิ ม กลมุ่ นยิ ายวทิ ยาศาสตร์ และกล่มุ ความคิดเชิงระบบ แมว้ า่ วทิ ยาศาสตรเ์ ชงิ ปฏฐิ านนยิ ม (positivism) และประจกั ษน์ ยิ ม (empiricism) กลายเปน็ พนื้ ฐานหลกั ของการพฒั นาความรดู้ า้ นในแทบทกุ ดา้ นมาระยะหนงึ่ แลว้ กต็ าม แตใ่ นความเปน็ จรงิ การรบั รู้ อนาคตของมนษุ ยใ์ นหลายสงั คมหลายวฒั นธรรมยงั คงรบั อทิ ธพิ ลมาจากแนวคดิ ทไ่ี มย่ ดึ หลกั ปฏฐิ านนยิ ม และประจกั ษน์ ยิ มอยมู่ าก แนวคดิ เชงิ ศาสนามปี ระวตั ศิ าสตรย์ าวนานในการกำ� หนดกรอบความคดิ ของ มนษุ ยใ์ นการรบั รเู้ กยี่ วกบั อนาคต ในขณะเดยี วกนั กลมุ่ แนวคดิ เชงิ อดุ มคตหิ รอื ยโู ทเปยี และกลมุ่ แนวคดิ เชิงประวัติศาสตร์นยิ มในอดตี ได้วางพ้นื ฐานทางความคิดให้กับอนาคตศึกษาในยคุ ปจั จบุ ัน นอกจากนี้ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสถานการณ์ท่ีแตง่ ขึ้นในนยิ ายวทิ ยาศาสตร์อาจดเู หมือนเพอ้ ฝนั แตก่ เ็ ป็น สง่ิ ทชี่ ว่ ยขยายขอบเขตจนิ ตนาการของมนษุ ยท์ อ่ี าจนำ� ไปสกู่ ารพฒั นาดา้ นวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยแี ละ นวตั กรรมจรงิ ขน้ึ ได้ เนอ้ื หาในสว่ นนนี้ ำ� เสนอแนวคดิ เกย่ี วกบั การรบั รอู้ นาคตในยคุ กอ่ นสงครามโลกครงั้ ทีส่ อง เมื่อการศึกษาอนาคตเชงิ วิทยาศาสตร์ดว้ ยแนวคิดเชิงระบบได้เรม่ิ กอ่ รา่ งขึน้ กลมุ่ แนวคิดเชงิ ศาสนา ความคิดเก่ียวกับอนาคตปรากฏอยู่ในทุกศาสนา ในกลุ่มศาสนาอับราฮัม (Abrahamic religions) ทงั้ ศาสนายดู าห์ ศาสนาอสิ ลาม และศาสนาครสิ ตล์ ว้ นแลว้ แตร่ ะบวุ า่ อนาคตและโชคชะตา ของมนษุ ย์ก�ำหนดโดยพระเจา้ (God) ทเ่ี ปน็ นริ นั ดร์ (eternal) และมีความร้ไู ม่จำ� กดั (omniscience)8 โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในนกิ ายในศาสนาครสิ ตท์ ใี่ หค้ วามสำ� คญั กบั การเสดจ็ กลบั มาครงั้ ทสี่ อง (the second coming) ของพระเยซูครสิ ตแ์ ละโลกาวินาศศาสตร์ (eschatology) ทกี่ ล่าวถงึ ชะตากรรมสดุ ท้ายของ มนษุ ยชาติ พนื้ ฐานความเชอ่ื ดงั กลา่ วขดั กบั แนวคดิ ทเี่ กดิ ขนึ้ ในยคุ เรอื งปญั ญา (Enlightenment) ซง่ึ มงุ่ เนน้

13 | อนาคตศึกษา การใช้หลกั เหตุผลมากกวา่ การใชห้ ลกั จารตี ประเพณแี ละความเชื่อในพระเจา้ ตามความคิดปรชั ญาใน สายนี้ อิสรภาพของมนุษย์เกิดจากเหตุผลและการกระท�ำของมนุษย์เอง แต่ด้วยความเชื่อในศาสนามี มาเป็นเวลานานและฝังรากลึกในความคิดของมนุษย์ การศึกษาและท�ำความเข้าใจเก่ียวกับอนาคต ในอดีตจึงเป็นไปตามความเชื่อที่ว่า มนุษย์ไม่มีทางเลือกอื่น แต่ต้องท�ำตามวัตถุประสงค์ของพระเจ้า การพยากรณ์หรือมองอนาคตจึงเป็นเพียงการรับ “ความรู้” เก่ียวกับอนาคตผ่านทางศาสดา ผู้วิเศษ หรือโหรทส่ี ามารถท�ำนายสงิ่ ทจี่ ะเกดิ ข้นึ ในอนาคตได้ ความพยายามในการเข้าถึงความรู้เก่ียวกับอนาคตแบบตายตัว (deterministic) ปรากฏ อยู่ในความเช่ือของผู้คนในสมัยโบราณ ทั้งวิญญาณนิยม (animism) ลัทธิบูชาอ�ำนาจของผู้วิเศษ (shamanism) และความเชอ่ื ในศาสนาตา่ ง ๆ การพยากรณอ์ นาคตแบบตายตวั มีต้ังแต่การสังเกตและ ทำ� นายอนาคตจากการแปลสญั ญาณการเปลย่ี นแปลงบางอยา่ ง เชน่ การดคู วามเคลอ่ื นไหวของดวงดาว ไปจนถึงการนั่งสมาธิหรือการใชพ้ ลงั จติ เพ่อื มองอนาคตโดยผ้วู ิเศษ ความเช่ือในวิธีการท�ำนายอนาคต แนวทางน้ียังมีหลงเหลืออยู่ทั่วไปมาจนถึงปัจจุบันในทุกสังคม ไม่ใช่เฉพาะในกลุ่มชนเผ่าดั้งเดิม ท้ัง ในรูปแบบท่ีมีอยู่ทั่วไป เช่น การอ่านลายมือและไพ่ยิปซี การเส่ียงเซียมซี และการทำ� นายจากกาก ใบชา และในวิธีการเฉพาะในบางพื้นที่ เช่น การเสี่ยงทายผ้านุ่งในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระ นังคัลแรกนาขวัญของไทย และการพยากรณ์อากาศในแต่ละฤดูกาลจากการอ่านลายเส้นบนม้าม ของหมูในรฐั ซัสแคตเชวัน (Saskatchewan) ประเทศแคนาดา9 กลา่ วไดว้ า่ การพยากรณอ์ นาคตแบบตายตวั ทผี่ สมผสานกบั ความเชอ่ื ทางศาสนาและเรอื่ งราวทม่ี ี ความขลงั และลกึ ลบั ไมไ่ ดห้ ายไปเมอ่ื มกี ารพฒั นาดา้ นวทิ ยาศาสตรเ์ ทคโนโลยใี นสงั คมมนษุ ย์ และยงั คง เปน็ สว่ นหนงึ่ ของวฒั นธรรมมาจนถงึ ปจั จบุ นั สว่ นหนง่ึ คงเปน็ เพราะความเชอื่ ดงั กลา่ วยงั คงมปี ระโยชน์ อยู่ส�ำหรับการด�ำรงชีวิตของมนุษย์ เพียงแค่วิธีการอาจเปล่ียนแปลงไปตามบริบทสังคมวัฒนธรรมที่ เปลีย่ นไปเท่านัน้ แนวคดิ เชงิ ศาสนาในการมองอนาคตนจ้ี ดั อยใู่ นกลมุ่ ทเี่ ชอื่ วา่ อนาคตกำ� หนดไวต้ ายตวั อยแู่ ลว้ และ เราสามารถรถู้ งึ อนาคตไดถ้ า้ ใชว้ ธิ กี ารทถ่ี กู ตอ้ ง แตว่ ธิ กี ารรถู้ งึ อนาคตในแนวทางนม้ี กั มคี วามลกึ ลบั และ มีเฉพาะผวู้ เิ ศษทไี่ ด้รับเลือกมา หรือเป็นวธิ ีการพเิ ศษท่ีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะดา้ นเท่านน้ั ท่สี ามารถใช้ได้ กลมุ่ แนวคิดเชงิ อุดมคติ กลมุ่ แนวคดิ ทอ่ี าจถอื วา่ เปน็ รากฐานของการศกึ ษาอนาคตในยคุ สมยั ใหมค่ อื กลมุ่ ยโู ทเปยี (utopia) หรือแนวคิดเชิงอุดมคติ10 ซึ่งเน้นภาพอนาคตในอุดมคติท่ีพึงประสงค์และอยากให้เกิดข้ึนในโลกแห่ง ความเปน็ จรงิ แนวคิดยูโทเปียมีท้ังท่ีเป็นภาพอุดมคติของอนาคตท่ียังไม่เกิดข้ึนและภาพอุดมคติของ อีกสถานที่หนึ่งที่แสดงถึงความปรารถนาสุดข้ัว สังคมยูโทเปียที่ปรากฏในงานเขียน นวนิยายหรือ ภาพยนตร์มักแสดงภาพของสถานที่หนึ่งในจินตนาการท่ีเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ใช่ภาพในปัจจุบัน ใน ทางกลับกัน สงั คมดสิ โทเปยี (dystopia) แสดงถงึ สงั คมและสถานทท่ี ไี่ มพ่ งึ ประสงคแ์ ละนา่ สะพรงึ กลวั ซ่ึงมักเป็นฉากในภาพยนตร์นิยายวิทยาศาสตร์ (sci-fi) ท่ีอาจเป็นสถานที่หน่ึงบนโลกใบนี้ในอนาคต หรอื ในดวงดาวอ่นื ทมี่ นุษยไ์ ปตง้ั อาณานิคมใหมใ่ นอนาคต ท้ังนี้ ไม่วา่ จะเป็นสถานทแ่ี บบไหนและเม่อื ไหร่กต็ าม ภาพยูโทเปียและดสิ โทเปียลว้ นแลว้ แต่สื่อถึงสถานทแ่ี ละเวลาท่ไี มใ่ ชท่ ีน่ ่ีและไมใ่ ช่ปัจจบุ นั 11

อนาคตศกึ ษา | 14 ค�ำว่ายูโทเปียใช้เป็นคร้ังแรกในนวนิยายเชิงปรัชญาการเมืองชื่อเดียวกันของโทมัส มอร์ (Thomas More) ซึ่งเป็นเรือ่ งราวเกย่ี วกบั ผคู้ นบนเกาะสมมติในสงั คมที่มีความสมบูรณ์ในทุกด้าน แต่ แนวคดิ สงั คมในอดุ มคตสิ ามารถยอ้ นกลบั ไปไดถ้ งึ หนงั สอื ชอ่ื รพี บั บลกิ (Republic) ของเพลโต (Plato) ซงึ่ ได้เสนอแนวคิดตน้ แบบสงั คมอดุ มคตใิ นดา้ นการเมอื งการปกครองและองคป์ ระกอบอ่ืน ๆ ของการ ด�ำรงชีวิตที่ดี แนวคิดสังคมอุดมคติในยุคกรีกโบราณสื่อถึงสถานท่ีอ่ืนท่ีดีกว่าที่เป็นอยู่ และสื่อว่าถ้ามี การปรับเปลี่ยนสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก็จะท�ำให้สังคมในอนาคตเข้าใกล้สภาวะอุดมคติได้มากข้ึน ในทางกลบั กนั สงั คมดสิ โทเปยี คอื สงั คมทอ่ี ยภู่ ายใตค้ วามไมส่ งบและความหวาดกลวั และมกั ถกู รกุ ราน โดยสัตว์ร้ายและมังกร ภแาผพนปภราะพกทอี่ บ1หนังสอื Utopia ของโทมัส มอรใ์ นปี 1516 ทมี่ า: Biblioteca nacional de Portugal ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 18 แนวคิดสังคมยูโทเปียที่ปรากฏในงานเขียนตะวันตกได้เปล่ียนจาก ภาพของสถานที่อนื่ ทด่ี ีกวา่ ในเวลาเดยี วกัน เป็นสถานท่ีเดยี วกนั ในอนาคตทีด่ ีกวา่ คือเปน็ ภาพอนาคต ในอคุ มคติ ภาพสงั คมอดุ มคตใิ นหลายกรณไี ดก้ ลายเปน็ อดุ มการณท์ างการเมอื งและการปกครองทเี่ ปน็ พนื้ ฐานแนวคดิ ของรฐั บาลเผดจ็ การแบบเบด็ เสรจ็ (totalitarianism) ทมี่ จี ดุ มงุ่ หมายปรบั เปลย่ี นสงั คม ด้วยการชี้น�ำหรือบังคับสังคมไปสู่สภาพสมบูรณ์แบบตามท่ีได้ก�ำหนดไว้ในภาพยูโทเปียน้ัน ตัวอย่างท่ี มักเป็นท่ีอ้างอิงถึงในกรณีนี้คือ สังคมคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ยคุ หน่ึงทีร่ ฐั บาลไดจ้ ดั ระเบียบสังคมตามกรอบคิดทชี่ ัดเจนและอย่างเขม้ งวด ภาพสงั คมอดุ มคตใิ นบางครง้ั เปน็ ภาพอนาคตทด่ี กี วา่ อดตี และปจั จบุ นั โดยเปน็ ภาพของอารยธรรม ท่ีพฒั นาไปขา้ งหน้า (progress) และกา้ วพ้นความดงั้ เดมิ และลา้ หลังของสงั คมในอดตี ในทางกลบั กนั ภาพอดุ มคตใิ นบางกรณกี ลบั เปน็ ภาพของอดตี ทดี่ กี วา่ ปจั จบุ นั และอนาคตทนี่ า่ จะแยล่ ง เปน็ เหมอื นการ ถวลิ หาภาพทดี่ ใี นอดตี ซงึ่ พบเหน็ บอ่ ยครงั้ ในละครทวี แี นวโรแมนตกิ ยอ้ นยคุ แมก้ ระทง่ั แนวคดิ ทางเลอื ก อนาคต (alternative futures) ซง่ึ เปน็ พืน้ ฐานของอนาคตศึกษาในปัจจุบนั ก็มีองคป์ ระกอบสว่ นหน่งึ

15 | อนาคตศึกษา เป็นอนาคตที่พึงประสงค์ (preferable futures) แนวคิดนอ้ี าจมีพ้นื ฐานแนวคิดไปในแนวเดยี วกนั กบั กลุ่มยูโทเปีย แต่ข้อแตกต่างคือการยอมรับในความจริงว่า สิ่งต่าง ๆ หลายอย่างในสังคมมีท้ังส่วนได้ และส่วนเสีย (trade-offs) ทสี่ งั คมต้องตดั สินใจเลอื ก กลุ่มแนวคดิ เชงิ ประวตั ศิ าสตร์นยิ ม ประวัติศาสตร์นิยม (historicism) เป็นแนวคิดและวิธีการท่ีเน้นความสนใจและให้ความส�ำคัญ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาอดีตช่วงหนึ่ง เฉพาะในพื้นท่ีใดพื้นท่ีหน่ึง หรือเฉพาะในสังคมและ วฒั นธรรมกลมุ่ ใดกลมุ่ หนงึ่ ดว้ ยความเชอื่ ทวี่ า่ แตล่ ะสงั คมวฒั นธรรมและแตล่ ะพนื้ ทม่ี คี วามแตกตา่ งกนั มีวิวัฒนาการและความเป็นมาที่ไม่เหมือนกัน การวิเคราะห์แนวน้ีเน้นการตีความข้อมูลอย่างละเอียด และระมัดระวัง โดยไม่แยกส่วนออกจากบริบทและเงื่อนไขท่ีท�ำให้เกิดเหตุการณ์ท่ีสนใจ แนวคิด ประวตั ศิ าสตรน์ ยิ มจะเปดิ กวา้ งกวา่ แนวคดิ แบบคตนิ ยิ มลดทอน (reductionism) ทพี่ ยายามยอ่ สว่ นและ ลดทอนความซบั ซอ้ นของปรากฏการณล์ ง และสรา้ งความเปน็ สากล (universality) ของความรทู้ ไ่ี ดม้ า อยา่ งไรกต็ าม มีข้อวิพากษ์ว่า แนวคดิ ประวัติศาสตร์นิยมมีลกั ษณะตายตัว (deterministic) มาก เกินไป ตามที่คารล์ พอปเปอร์ (Karl Popper) ได้วิเคราะห์ไวว้ า่ ประวัติศาสตรน์ ยิ มเป็นแนวทางการ ศกึ ษาดา้ นสงั คมศาสตรท์ ม่ี วี ตั ถปุ ระสงคห์ ลกั อยทู่ ก่ี ารคาดการณเ์ ชงิ ประวตั ศิ าสตร์ (historical predic- tion) ซง่ึ มขี อ้ สมมตวิ า่ การวเิ คราะหเ์ พอ่ื หาจงั หวะ (rhythms) หรอื รปู แบบ (patterns) และกฎ (laws) หรอื แนวโน้ม (trends) จะท�ำใหส้ ามารถเข้าใจถึงววิ ฒั นาการหรือการเปลี่ยนแปลงของประวัตศิ าสตร์ ได1้ 2 กลา่ วคือ ประวัติศาสตร์กำ� หนดโดยเงอื่ นไขเฉพาะ และการเปล่ยี นแปลงเชิงประวัตศิ าสตรเ์ ป็น ไปตามกฎพ้ืนฐานบางอย่าง นักคิดชาวตะวันตกกลุ่มหน่ึงในอดีตจึงได้คาดการณ์การเปล่ียนแปลงของ อนาคตตามกฎเกณฑ์และแนวโน้มตามที่ไดว้ เิ คราะหส์ ิ่งท่ีเกดิ มาก่อนหนา้ นน้ั ในประวตั ิศาสตร์ ตวั อย่างเชน่ มาร์กี เดอ กองดอร์เซท์ (Marquis de Condorcet) นักปรัชญาและคณิตศาสตร์คน สำ� คัญในขบวนการเรอื งปัญญา (Enlightenment) ของฝร่ังเศส ไดเ้ สนอกฎวา่ ดว้ ยการพฒั นาความคิด ของมนษุ ยต์ ามหลกั เหตผุ ล (Esquisse d'un tableau historique des progrès de l'esprit humain หรือ Sketch for a Historical Picture of the Progress of the Human Mind) กองดอรเ์ ซทเ์ ชื่อ ว่า การพัฒนาความรู้ในด้านวิทยาศาสตร์กายภาพและสังคมศาสตร์จะน�ำไปสู่อนาคตที่เป็นธรรมมาก ขน้ึ โดยทป่ี จั เจกชนมเี สรภี าพ มคี วามมงั่ คงั่ ทางวตั ถุ และมคี วามเมตตากรณุ าทางศลี ธรรมมากขน้ึ ทา้ ย ทีส่ ดุ จะน�ำไปสูส่ งั คมที่ลดความเหลอ่ื มล้�ำและเป็นธรรมมากขน้ึ ส่วนนักปรชั ญาชาวฝรง่ั เศสอกี คนหนึ่ง ในยคุ ต่อมา คอื ออกุส กงต์ (Auguste Comte) ไดเ้ สนอแนวคดิ เก่ียวกับวิวัฒนาการความรขู้ องมนุษย์ เรียกว่า กฎแหง่ ขั้นสามขนั้ (The Law of Three Stages) ตามหลกั การพัฒนาจติ ของมนษุ ย์ โดยมี สาระหลกั คอื การพฒั นาความรแู้ บง่ เปน็ 3 ขนั้ ขน้ั แรกเปน็ ขน้ั เทววทิ ยาหรอื ขนั้ ศาสนา (Theological/ religious) ขน้ั ทส่ี องเป็นขน้ั ปรชั ญาหรอื ข้ันแห่งเหตผุ ล (Metaphysical/reason) และทา้ ยสุดเป็นขัน้ วิทยาศาสตร์ (Positive/scientific) ตามความคิดนี้ มนุษย์มีศักยภาพที่จะพัฒนาความคิดไปทีละข้ัน จนถึงระดับวิทยาศาสตร์ไดใ้ นทสี่ ุด ส่วนคารล์ มากซ์ (Karl Marx) ได้วิเคราะห์โครงสร้างและปัจจัย การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจสังคมท่ีเป็นไปในอดีต แล้วน�ำกฎเกณฑ์ที่วิเคราะห์ได้มาคาดการณ์ ของสังคมมนุษย์ไว้อย่างชัดเจนว่า ระบอบทุนนิยมจะล่มสลายไป แล้วทดแทนด้วยระบอบสังคมนิยม

อนาคตศึกษา | 16 จะเหน็ ไดว้ า่ ตามแนวคดิ ของทงั้ ของกองดอรเ์ ซท์ กงตแ์ ละมากซ์ การเปลยี่ นแปลงในประวตั ศิ าสตรจ์ าก อดตี จนถึงปัจจบุ ันและไปสอู่ นาคตก�ำหนดโดยกฎเกณฑบ์ างอย่างทีต่ ายตวั นอกจากนักคิดในอดีตเหล่านี้ ยังมีนักอนาคตศึกษาในยุคหลังที่มีแนวความคิดไปในทิศทาง ประวตั ศิ าสตรน์ ยิ ม อาทิ ในหนงั สอื The Year 2000: A Framework for Speculation on the Next Thirty-Three Years เฮอร์มัน คาน (Herman Kahn) และแอนโทนี วีนเนอร์ (Anthony Wiener) ไดว้ เิ คราะหเ์ หตกุ ารณแ์ ละปจั จยั การเปลยี่ นแปลงในประวตั ศิ าสตร์ เพอ่ื หากฎเกณฑข์ องการเปลย่ี นแปลง ทส่ี ามารถนำ� มาใชใ้ นการคาดการณ์ แลว้ นำ� เสนอฉากทศั น์ (scenarios) ของภาพอนาคตทเ่ี ชอ่ื วา่ เกดิ ขนึ้ ได1้ 3 แนวคดิ ประวตั ศิ าสตรน์ ยิ มทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การศกึ ษาอนาคตกลมุ่ นใี้ นขอ้ สมมตทิ วี่ า่ เกณฑห์ รอื ปจั จยั บางอยา่ งเปน็ ตวั กำ� หนดเหตกุ ารณท์ จี่ ะเกดิ ขนึ้ ในอนาคต งานอนาคตศกึ ษาทคี่ าดการณด์ า้ นเศรษฐกจิ และ เทคโนโลยมี กั มแี นวโนม้ ไปในทศิ ทางน้ี โดยมงุ่ ไปทแี่ นวโนม้ การเปลยี่ นแปลงทต่ี ายตวั และเนน้ การวเิ คราะห์ ลำ� ดบั การพฒั นาทางเศรษฐกจิ และเทคโนโลยี กลุ่มนิยายวทิ ยาศาสตร์ ส่ิงตีพิมพ์และผลผลิตส�ำคัญอีกกลุ่มหนึ่งท่ีแสดงถึงจินตนาการของมนุษย์เก่ียวกับภาพอนาคตคือ นิยายวิทยาศาสตร์ ซึ่งขยายขอบเขตจินตนาการของมนุษย์ไปกว้างกว่าที่พบเห็นอยู่จริงในช่วงเวลา นั้น ทั้งนี้วงการศึกษาอนาคตได้รับอานิสงส์อย่างมากจากเร่ืองราวในนิยายวิทยาศาสตร์ การพัฒนา เทคโนโลยแี ละนวตั กรรมจำ� นวนมากปรากฏในนยิ ายวทิ ยาศาสตรก์ อ่ นมกี ารคน้ คดิ และผลติ ขน้ึ จรงิ เสยี อีก นิยายวิทยาศาสตร์ท่ีเราอ่านหรือท่ีกลายเป็นภาพยนตร์ท่ีรับชมกัน จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของความ พยายามของมนุษย์ในการศึกษาและจติ นาการเก่ียวกับอนาคตท่อี าจเกดิ ขนึ้ ได้ นยิ ายวทิ ยาศาสตรม์ รี ากฐานยอ้ นกลบั ไปถงึ ความกา้ วหนา้ ดา้ นความรทู้ างวทิ ยาศาสตรเ์ ทคโนโลยี ในยุคเรอื งปญั ญา ในยโุ รปในชว่ งศตวรรษที่ 16 องค์ประกอบส�ำคญั ของยคุ เรอื งปญั ญาคือการค้นพบ ทางวทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ สรา้ งความรทู้ ก่ี ลายเปน็ พนื้ ฐานของการเปลย่ี นแปลงดา้ นเทคโนโลยี เศรษฐกจิ และ สงั คมในยคุ ตอ่ มา ในชว่ งเดยี วกันน้ี วรรณกรรมแนวใหมไ่ ดแ้ พรห่ ลายมากขึน้ ตวั อยา่ งสำ� คญั ทีม่ เี นือ้ หา เกย่ี วกบั อนาคตคอื นวนยิ ายเชงิ ปรชั ญาการเมอื งชอ่ื ยโู ทเปยี (Utopia) ของโทมสั มอร์ (Thomas More) ทก่ี ล่าวถงึ ไปกอ่ นหนา้ นี้ ต่อมาในช่วงปลายศวรรษท่ี 19 นักเขียนหลายคนได้สร้างรากฐานวรรณกรรมท่ีเน้นเรื่อง วทิ ยาศาสตรเ์ ทคโนโลยที กี่ ลายเปน็ นยิ ายวทิ ยาศาสตรม์ าจนถงึ ปจั จบุ นั หนง่ึ ในนนั้ คอื ฌลู กาเบรยี ล แวรน์ (Jules Gabriel Verne) หรือท่ีรู้จกั กนั ว่า จูลส์ เวิรน์ เป็นนักเขยี นชาวฝรงั่ เศสผู้บกุ เบิกการเขยี นนยิ าย วทิ ยาศาสตรท์ ม่ี ชี อ่ื เสยี งจากการเขยี นเรอ่ื งราวการผจญภยั ในอวกาศ ใตน้ ำ�้ และการเดนิ ทางตา่ ง ๆ กอ่ น การประดษิ ฐเ์ รอื ดำ� นำ�้ หรอื อากาศยานขน้ึ จรงิ เปน็ เวลานาน บทประพนั ธส์ ำ� คญั ทแี่ ปลเปน็ ภาษาองั กฤษ ไดแ้ ก่ Around the World in Eighty Days, Five Weeks In a Balloon และ 20,000 Leagues Under the Sea งานประพันธ์ของแวร์นในยุคท้าย ๆ สะท้อนผลกระทบด้านลบของเทคโนโลยี รวม ถึงการน�ำเทคโนโลยีไปใช้อย่างผิดทาง เช่น The Clipper of the Clouds, The Master of the World นักเขียนอีกคนหน่ึงที่ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์โลกร่วมกับแวร์นคือ เอช. จี. เวลส์ (Herbert George Wells) นักเขียนชาวอังกฤษท่ีได้ประพันธ์นิยายวิทยาศาสตร์

17 | อนาคตศกึ ษา ร่นุ บกุ เบิกที่สำ� คญั อาทิ The Time Machine (ค.ศ. 1895) The Invisible Man (ค.ศ. 1897) The War of the Worlds (ค.ศ. 1898) The Outline of History (ค.ศ. 1920) และ The Shapes of Things to Come (ค.ศ. 1933) นิยายวิทยาศาสตร์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องราวท่ีผู้เขียนจินตนาการข้ึนมา แต่มักให้แนวคิด เก่ียวกับทางเลือกของอนาคตที่อาจเกิดข้ึนได้ เน้ือหาของนิยายวิทยาศาสตร์จ�ำนวนหนึ่งเป็นเรื่องเชิง บวก ซ่ึงพรรณนาภาพอุดมคติของสังคมในอนาคตท่ีมนุษย์สร้างขึ้นจากการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นิยายบางเรื่องได้คาดการณ์สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่นิยาย วิทยาศาสตร์จ�ำนวนมากมีเนื้อหาไปในทางลบ โดยแสดงถึงผลกระทบและผลร้ายของการพัฒนา ด้านเทคโนโลยี ภาพยนตร์ฮอลลีวูดจ�ำนวนมากเป็นเรื่องอนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้จากการพัฒนาด้าน วทิ ยาศาสตร์เทคโนโลยี นยิ ายวทิ ยาศาสตร์จงึ นับเปน็ วธิ กี ารหนง่ึ ของการศกึ ษาอนาคตที่เปดิ โอกาสให้ มนุษยส์ ร้างจินตนาการทั้งในดา้ นบวกและดา้ นลบของการพฒั นาเทคโนโลยแี ละนวตั กรรม จินตนาการเกี่ยวกับอนาคตปรากฏอยู่ไม่เพียงเฉพาะในนิยายวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่มีอยู่ในสื่อ รปู แบบอน่ื เชน่ กัน อาทิ ชุดโปสการ์ด En L'An 2000 ท่ีวาดโดยฌอ็ งมารก์ โกเต (Jean-Marc Côté) และศลิ ปนิ ชาวฝรง่ั เศสคนอื่น ๆ ในช่วงปี 1899-1910 แสดงภาพอนาคตของฝรั่งเศสในปี 2000 ซึง่ มี ท้ังบุรุษไปรษณีย์บินส่งจดหมายในพ้ืนที่ชนบท เด็กนักเรียนฟังการสอนจากเครื่องปั่นหนังสือออกมา เปน็ เสยี ง หนุ่ ยนตน์ กั ดนตรอี อรเ์ คสตรา และสถาปนกิ ควบคมุ หนุ่ ยนตก์ อ่ สรา้ งอาคาร ภาพเหลา่ นแ้ี สดง ใหเ้ หน็ ว่า แม้ว่าจินตนาการหลายอยา่ งไมได้เกดิ ขนึ้ จรงิ ตามที่คาดคดิ ไว้ แต่หลายอย่างกก็ ลายเปน็ จริง หรอื ใกล้ความเป็นจริงข้ึนมาได้ นักอนาคตศึกษาในปัจจุบันจึงให้ความส�ำคัญกับกระบวนการ จินตนาการมาก เพราะเชอ่ื ว่าเปน็ พื้นฐานเกีย่ วกบั การสรา้ งความร้เู กย่ี วกบั อนาคต ภแาผพนจภาากพโทปี่ ส2การด์ ชุด En L'An 2000 ทมี่ า: The Public Domain Review (publicdomainreview.org)

อนาคตศึกษา | 18 กลุ่มแนวคดิ เชิงระบบ แนวคิดหลักที่เป็นพื้นฐานของอนาคตศึกษายุคใหม่ที่กลายมาเป็นแนวคิดหลักของอนาคต ศึกษาจนถึงปัจจุบันคือแนวคิดเชิงระบบ (systems thinking) แนวคิดเชิงระบบมีคุณลักษณะ หลักคือการคำ� นงึ ถึงความสัมพันธ์ระหวา่ งสว่ นประกอบ (part) กบั องคร์ วม (whole) และการเปลย่ี น จากกรอบความคดิ เชิงโครงสร้าง (structure) เป็นกรอบความคดิ เชิงกระบวนการ (process) แนวคิด เชงิ ระบบที่เปน็ พื้นฐานของอนาคตศึกษาสมัยใหม่เกิดขนึ้ ในวงการวิชาการในสหรฐั อเมรกิ าในชว่ งก่อน สงครามโลกคร้ังท่ี 1 โดยรับอิทธิพลโดยตรงจากทฤษฎีวิทยาศาสตร์แนวปฏิฐานนิยมและวิธีการวิจัย แบบประจกั ษ์นิยม ซึ่งลว้ นแลว้ แต่มพี ื้นฐานของโลกทศั น์แบบฟิสิกสข์ องนวิ ตนั แนวคดิ ดงั กล่าวเชือ่ ว่า ทกุ สงิ่ ทุกอยา่ งรวมทั้งธรรมชาติของมนษุ ย์สามารถย่อส่วนลงมาเป็นกลไก ได้ จงึ สามารถทำ� นายและพยากรณไ์ ดว้ า่ สง่ิ เหลา่ นนั้ จะเปลย่ี นแปลงไปอยา่ งไรในอนาคต แนวคดิ นเ้ี ชื่อ ในความจริงที่เป็นหนึ่งเดียวและเป็นสากล จึงเป็นรากฐานของความคิดท่ีว่า อนาคตที่ท�ำนายได้มีอยู่ หนึ่งเดียว (one predictable future) และสามารถทดลองและพิสูจน์ได้ด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์14 ด้วยอิทธิพลของแนวคิดปฏิฐานนิยมและประจักษ์นิยม ซ่ึงเป็นกระบวนทัศน์หลักในวงการวิชาการ ในยุคต้นศตวรรษที่ 20 นกั อนาคตศกึ ษาในยคุ นน้ั จงึ เน้นการท�ำนายอนาคตท่เี ป็นหน่งึ เดยี ว ดว้ ยวิธีคดิ และวิธกี ารท่มี งุ่ พัฒนาให้การศึกษาอนาคตเปน็ วทิ ยาศาสตร์ แนวคิดอนาคตศึกษาแบบการท�ำนายอนาคตเกิดขึ้นในห้วงเวลาท่ีระบบเศรษฐกิจสังคม ในประเทศตะวันตกพัฒนาไปอย่างรวดเร็วตามแรงผลักดันของความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและอุตสาหกรรม ในช่วงเวลาดังกล่าว ระบบเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงวิถี ชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วไปปรับเปลี่ยนไปตามกระแสเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการ ผลิตแบบใหม่ ทั้งในด้านวิธีการผลิตในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการบริการ รวมทั้งใน ด้านการบริโภค การด�ำรงชีวิตประจ�ำวันในครัวเรือน การแพทย์และสาธารณสุข ไปจนถึงด้านการ พักผ่อน นันทนาการและประเพณีวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม ปัจจัยส�ำคัญที่ท�ำให้ศาสตร์ด้านการ ศึกษาอนาคตได้รับความสนใจและมีการลงทุนพัฒนาแนวคิดและวิธีการอย่างจริงจังในช่วงต่อมา คือการวางแผนเพ่ือการทหาร กล่าวได้ว่า ความจ�ำเป็นด้านการทหารในช่วงสงครามโลกคร้ังท่ีสอง เป็นปจั จยั เร่งทท่ี ำ� ใหก้ ารศกึ ษาอนาคตกา้ วขา้ มแนวคิดอนาคตแบบตายตวั ทม่ี มี าแตเ่ ดิม และมงุ่ พัฒนา เข้าหากระบวนทศั น์แบบวทิ ยาศาสตร์ทเ่ี น้นการวิเคราะหด์ ้วยขอ้ มลู การวางแผนยุทธศาสตร์ และการ บรหิ ารจัดการสถานการณ์ทีซ่ บั ซอ้ น

19 | อนาคตศึกษา สงคราม การวางแผน และอนาคต อนาคตกับการวางแผนเป็นของคู่กัน เป้าหมายของการวางแผนไม่ได้อยู่ท่ีอดีตหรือปัจจุบัน แต่อยู่ท่ี อนาคต การวางแผนเกิดข้นึ มาพร้อมกับสงั คมมนษุ ย์ กลุ่มชนเผ่าในอดีตมีกิจกรรมทีเ่ รยี กได้วา่ เป็นการ วางแผนเพื่อความอยู่รอด นับตั้งแต่การวางแผนออกไปล่าสัตว์และการวางแผนเพาะปลูก ไปจนถึง การประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เมื่อสังคมมนุษย์มีวิวัฒนาการ โดยท่ีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคมและ การเมอื งมคี วามซบั ซอ้ นมากขน้ึ ความจำ� เปน็ และขอบเขตในการวางแผนของมนษุ ยย์ ง่ิ เพม่ิ มากขน้ึ ตาม การสร้างปราสาทและเมืองโบราณดังท่ีเห็นหลงเหลือในกลุ่มปราสาทนครธมและนครวัด การสร้าง ปิระมิดในอารยธรรมโบราณทั้งอียิปต์และอินคา การสร้างก�ำแพงเมืองจีน โครงการก่อสร้างท่ียิ่งใหญ่ เหลา่ นี้ลว้ นส�ำเรจ็ ไดด้ ว้ ยการวางแผนทั้งส้นิ กิจกรรมส�ำคัญของสังคมมนุษย์ที่ต้องวางแผนเป็นพิเศษนับต้ังแต่สมัยโบราณคือการท�ำสงคราม เจงกสี ขา่ น สามารถบกุ ยดึ ครองแผน่ ดนิ เกอื บทวั่ เอเชยี และยโุ รปตะวนั ออกได้ กด็ ว้ ยการวางแผนกำ� ลงั ในการเคลอื่ นยา้ ยเสบยี งและลำ� เลยี งพล พระเจา้ บเุ รงนองตอ้ งวางแผนระดมพลและทรพั ยากรมากอ่ น หนา้ การยกทพั เขา้ มาตกี รงุ ศรอี ยธุ ยาจนนำ� มาสกู่ ารเสยี กรงุ ศรอี ยธุ ยาครงั้ ทห่ี นง่ึ กลศกึ ในวรรณกรรมสาม กก๊ แสดงถงึ การเตรยี มพรอ้ มและการนำ� เอาทรพั ยากรทกุ อยา่ งทม่ี อี ยนู่ ำ� มาใชอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพในการ ทำ� ศกึ สงคราม โดยเฉพาะความสำ� คญั ของการวางกลยทุ ธแ์ ละยทุ ธวธิ กี ารสรู้ บ ซง่ึ สามารถทำ� ใหเ้ อาชนะ ขา้ ศกึ ไดแ้ มอ้ าจมีกำ� ลงั ไพรพ่ ลน้อยกว่า นบั ตง้ั แตต่ น้ ศตวรรษที่ 20 เปน็ ต้นมา กจิ กรรมการวางแผนท่ี เป็นระบบและมีขั้นตอนที่ชัดเจนขยายออกไปจากขอบเขตของการเตรียมพร้อมเพ่ือการสงคราม โดย ครอบคลุมถึงการวางแผนเศรษฐกิจและสังคม การวางแผนชีวิตด้านการเงินของแต่ละคน แม้กระท่ัง ในเร่ืองพ้ืนฐานธรรมชาติของมนุษย์เช่นการมีบุตรยังต้องวางแผนครอบครัว แต่กระนั้นก็ตาม การ วางแผนส�ำหรับสงครามยังคงเป็นกิจกรรมท่ีต้องระดมความคิดและทรัพยากรทุกด้าน มากกว่าการ วางแผนนโยบายดา้ นอืน่ เหตุการณส์ �ำคญั ในด้านการเมืองการปกครองและการทหารทเี่ กดิ ขนึ้ ในยุโรป สหรัฐอเมริกา และ บางส่วนในเอเชียตะวันออกในช่วงต้ังแต่สงครามโลกครั้งท่ีหนึ่งไปจนถึงสงครามโลกคร้ังท่ีสอง ท�ำให้ เกิดความจ�ำเป็นและการผลักดันแนวคิดการรวมศูนย์ของการวางแผนโดยรัฐบาล เพื่อระดมพลและ ทรัพยากรในการเตรียมพร้อมส�ำหรับการท�ำสงคราม ในช่วงน้ีเองที่เกิดแนวคิดการมองอนาคต

อนาคตศกึ ษา | 20 อย่างเป็นระบบ โดยขยายขอบเขตจากงานด้านการทหารไปจนถึงการวางแผนด้านเศรษฐกิจและ สงั คม ชดุ เหตกุ ารณส์ ำ� คัญที่เปน็ ปจั จัยเรง่ ใหเ้ กดิ การเปล่ยี นกระบวนทัศน์ในการมองภาพอนาคตและ การวางแผน เร่ิมตั้งแต่สงครามโลกคร้ังที่หนึ่งและภาวะเศรษฐกิจตกต�่ำคร้ังใหญ่ ตามด้วยการก่อตัว และเข้ากุมอำ� นาจของระบบคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวยี ต และลัทธฟิ าสซสิ ตใ์ นอติ าลแี ละระบบนาซี เยอรมนี จนถึงการเกดิ สงครามโลกคร้ังท่สี องและระบบการวางแผนพัฒนาเพื่อการฟน้ื ฟปู ระเทศหลัง จากสงครามสงครามโลกคร้งั ท่ีหนง่ึ สงครามโลกคร้งั ทห่ี นึง่ การวางแผนการทำ� สงครามในยโุ รปและสหรฐั อเมรกิ าไดส้ รา้ งเมลด็ พนั ธส์ุ ำ� หรบั การศกึ ษาอนาคต อยา่ งเปน็ ระบบ โดยเรม่ิ ตน้ ในชว่ งสงครามโลกครงั้ ท่ี 1 (ค.ศ.1914-1918) จนเตบิ ใหญก่ ลายเปน็ อนาคต ศึกษามาจนถึงในปัจจุบัน ก่อนหน้านั้น องค์กรหรือกลุ่มคนท่ีสามารถระดมคนและทรัพยากรจ�ำนวน มากเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันของทั้งประเทศมักเป็นเพียงผู้น�ำด้านการทหารในการเตรียมพร้อม เพ่ือท�ำสงคราม แต่การระดมพลและทรัพยากรท้ังประเทศเพื่อสงครามโลกคร้ังที่หนึ่ง ไม่ได้จ�ำกัดอยู่ เพียงกองทพั แต่รวมไปถึงผู้น�ำฝา่ ยพลเรือนทีต่ ้องยกระดับความสามารถดา้ นการศกึ ษา การผลติ ทาง อุตสาหกรรม และความพร้อมด้านสาธารณสุข เพื่อเสริมสร้างศักยภาพเทคโนโลยีและความสามารถ ในการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ การส่ือสาร การขนส่ง รวมไปถึงการผลิตเสบียงอาหาร การเตรียมตัว รับมือกับสงครามจ�ำเป็นต้องวางแผนอย่างละเอียดและซับซ้อน ทั้งระบบการจัดสรรทรัพยากรวัตถุ และบุคลากรในการผลิต และการกระจายและจัดสง่ อาหารและเครือ่ งนุ่งหม่ การเตรียมพรอ้ มสำ� หรับ สงครามโลกคร้ังท่ีหน่ึงเพิ่มขีดความสามารถด้านองค์กรในการสร้างระบบการคาดการณ์ของหลาย ประเทศในยุคต่อมา15 ภาวะเศรษฐกจิ ตกตำ่� คร้งั ใหญ่ อีกสถานการณ์ส�ำคัญที่สร้างฐานความคิดและความจ�ำเป็นในการสร้างระบบการคาดการณ์คือ ภาวะเศรษฐกจิ ตกตำ�่ ครงั้ ใหญ่ (The Great Depression) ในชว่ ง พ.ศ. 2472-2482 ระหวา่ งสงครามโลก ครงั้ ทหี่ นงึ่ กบั สงครามโลกครงั้ ทส่ี อง ภาวะตกตำ่� ของตลาดหนุ้ และเศรษฐกจิ ในภาพรวมสง่ ผลกระทบไป ทวั่ โลก ทำ� ใหแ้ นวคดิ และขอ้ เสนอในการจดั การกบั เศรษฐกจิ แนวใหมแ่ พรข่ ยายและเปน็ ทย่ี อมรบั มาก ขนึ้ กอ่ นหนา้ นนั้ เปน็ ทเี่ ชอื่ กนั วา่ เมอ่ื เศรษฐกจิ ตกตำ่� กลไกตลาดจะสามารถปรบั เขา้ สดู่ ลุ ยภาพไดด้ ว้ ย ตนเอง แตก่ ารทภี่ าวะเศรษฐกจิ ไดต้ กตำ่� เปน็ เวลานานและไมม่ วี แี่ วววา่ จะฟน้ื ตวั ขน้ึ เปน็ เหตใุ หแ้ นวคดิ เศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ (Keynesian economics) ไดร้ ับการตอบรบั มากขน้ึ รฐั บาลหลายประเทศ เล็งเห็นบทบาทในการแทรกแซงในตลาดเพื่อลดผลกระทบจากการว่างงานและเงินเฟ้อ ด้วยวิธีการ ควบคมุ และชน้ี ำ� ระบบเศรษฐกจิ พรอ้ มกบั การลงทนุ ของรฐั ในโครงการขนาดใหญเ่ พอ่ื กระตนุ้ เศรษฐกจิ ตวั อย่างสำ� คญั ท่ีสะทอ้ นแนวคิดนีค้ ือนโยบายนิวดลี (New Deal) ของประธานาธบิ ดแี ฟรงกลนิ ดี โรสเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) รัฐบาลกลางสหรัฐดำ� เนินนโยบายพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คม ขนาดใหญ่เพ่ือกระตุ้นเศรษฐกิจ หนึ่งโครงการตามนโยบายนี้คือโครงการพัฒนาลุ่มแม่น�้ำเทนเนสซี (Tennessee Valley) ซึ่งเริ่มต้นในค.ศ.1933 โดยมโี ครงการย่อยที่มุง่ ไปทีก่ ารพฒั นาภมู ภิ าคทไี่ ดร้ บั ผลกระทบอยา่ งมากจากภาวะเศรษฐกิจตกต�ำ่ อาทิ การพัฒนาเขอ่ื นและระบบชลประทานทใี่ ชน้ ำ�้ เพอ่ื

21 | อนาคตศึกษา การผลติ ไฟฟา้ การเกษตร และการปอ้ งกนั นำ�้ ทว่ ม ไปจนถงึ การพฒั นาฐานการผลติ อตุ สาหกรรมปยุ๋ และ การเกษตรแปรรปู องคก์ ารพฒั นาลมุ่ แมน่ ำ้� เทนเนสซี (Tennessee Valley Authority) เปน็ ตวั อยา่ งสำ� คญั ขององคก์ รทจี่ ดั ตง้ั ขนึ้ เพอ่ื มงุ่ พฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมในระดบั ภมู ภิ าค และเปน็ ตน้ แบบของการวางแผน ภาค (regional planning) ในยคุ ตอ่ มา นโยบายและโครงการท่ีมุ่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตกต่�ำครั้งใหญ่นี้ท�ำให้เกิดแนวคิดและขั้นตอนที่ ต่อมากลายเป็นพ้ืนฐานของการศึกษาและวางแผนเพื่ออนาคตท่ียังคงใช้อยู่ท่ัวไปในปัจจุบัน ล�ำดับขั้น ตอนของการวางแผนตามแนวทางดังกลา่ วมีดงั นี้ 1. การวิเคราะห์และตีความจากหลักฐานเชิงปริมาณและคุณภาพเพ่ือเข้าใจเก่ียวกับแนว โนม้ จากอดีตจนถงึ ปัจจุบนั 2. การคาดคะเนการเปลย่ี นแปลงทจี่ ะเกดิ ขนึ้ ในอนาคตถ้าไม่ด�ำเนินการใด ๆ 3. การสร้างทางเลอื กของแนวทางด�ำเนนิ การและผลลพั ธท์ ่ีอาจเกิดขึ้นในแต่ละทางเลอื ก 4. การประเมนิ วา่ ทางเลือกของภาพอนาคตไหนพึงประสงคท์ ่สี ดุ 5. การก�ำหนดนโยบายและโครงการเพือ่ ดำ� เนินการใหบ้ รรลภุ าพอนาคตทีพ่ ึงประสงค์ จะเหน็ ไดว้ า่ ขนั้ ตอนทง้ั หา้ นเี้ ปน็ พนื้ ฐานของกระบวนการวางแผนทยี่ งั คงใชอ้ ยทู่ วั่ ไปในการวางแผน พัฒนาในปัจจุบัน ไม่ว่าจะในระดับองค์กร เมืองหรือประเทศ และเป็นแบบยึดหลักการเหตุผลและ ครอบคลุม (rational-comprehensive planning model) ซึ่งเป็นแนวคิดกระแสหลักของวงการ วางแผนนโยบายมาเป็นเวลานาน ระบอบคอมมิวนิสต์ของโซเวยี ต อกี แนวคดิ หนงึ่ ทป่ี พู นื้ ฐานแนวคดิ การศกึ ษาอนาคตอยา่ งเปน็ ระบบเพอ่ื การวางแผนพฒั นาประเทศ คอื แนวคดิ ระบอบคอมมวิ นสิ ต์ ซงึ่ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลอยา่ งมากจากงานเขยี นเรอื่ ง “ทนุ ” (Das Kapital) ของ คารล์ มากซ์ (Karl Marx) งาน “แถลงการณพ์ รรคคอมมวิ นสิ ต”์ (The Communist Manifesto) ของ คาร์ล มากซ์ และฟรีดริช เองเงลิ ส์ (Friedrich Engels) และ “จกั รวรรดนิ ิยม: ขนั้ สูงสดุ ของทุนนยิ ม” (Imperialism, the Highest Stage of Capitalism) ของวลาดีมรี ์ เลนิน (Vlademir Lenin) การ ปฏวิ ตั ลิ ม้ ลา้ งระบบกษตั รยิ ข์ องรสั เซยี หรอื ทเ่ี รยี กวา่ การปฏวิ ตั บิ อลเชวคิ (Bolshevik) นำ� ไปสรู่ ะบบการ ปกครองและการบรหิ ารเศรษฐกจิ สงั คมแบบใหม่ ซง่ึ ยดึ หลกั การปกครองโดยชนชน้ั กรรมาชพี (prole- tariat) การยกเลกิ ทรพั ยส์ ินสว่ นตัวของเอกชนและการควบคุมวิธกี ารผลติ โดยรัฐ การวางวสิ ยั ทศั นใ์ นการวางแผนพฒั นาประเทศกลายเปน็ องคป์ ระกอบสำ� คญั ของนโยบายรฐั หลงั จากทพี่ รรคบอลเชวคิ เขา้ ยดึ ครองอำ� นาจ เมอื่ รฐั บาลไดย้ ดึ ทด่ี นิ และบรษิ ทั ของเอกชนใหเ้ ปน็ ของรฐั เกอื บ ทง้ั หมดแลว้ จงึ กอ่ ตงั้ องคก์ รของรฐั ทมี่ งุ่ เนน้ การวางแผนเพอื่ พฒั นาดา้ นโครงสรา้ งพนื้ ฐานและเศรษฐกจิ ได้แก่ องค์กร GOELRO หรอื องคก์ ารไฟฟา้ ของรัฐบาล (State Commission for Electrification of Russia) และองคก์ ารวางแผนของรฐั บาล Gosplan16 ภายใต้การทำ� งานขององค์กร Gosplan น้เี องท่ี มกี ารวางแผนพฒั นาเศรษฐกจิ 5 ปี สำ� หรับช่วง พ.ศ. 2471-2476 นับเปน็ จุดเริ่มต้นของแนวคิดการ วางแผน 5 ปีท่ีได้รับความนิยมแพร่หลายจนเป็นแนวทางการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติของสหภาพโซเวียตและหลายประเทศท่ัวโลก รวมถงึ ประเทศไทย

อนาคตศกึ ษา | 22 การวางแผนพัฒนาระดับประเทศในยุคแรกเป็นไปในลักษณะแบบลองผิดลองถูก เนื่องจากไม่มี สังคมหรือรัฐบาลไหนเคยท�ำมาก่อน จึงไม่มีตัวอย่างให้ลอกเลียนแบบได้ ส�ำหรับรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ในชว่ งนั้น การวางแผนถอื เป็นการทดลองท่ีมคี วามซบั ซอ้ น17 แต่เมื่อเวลาผา่ นไป ไดพ้ ฒั นาปรับเปล่ียน แนวคิดจากท่ีแต่เดิมการวางแผนเป็นกิจกรรมที่จ�ำเป็นต้องท�ำเพ่ือจัดการกับปัญหาเฉพาะหน้า กลาย เป็นการวางแผนเพื่อก�ำหนดเป้าหมายของอนาคตท่ีไกลกว่าสิ่งท่ีเห็นอยู่ในปัจจุบัน พร้อมกับก�ำหนด วธิ ีการในการบรรลเุ ป้าหมายนน้ั แนวคิดดงั กล่าวขยายขอบเขตจนครอบคลุมทั้งภาพอนาคตระยะยาว (10 ปีข้นึ ไป) ระยะกลาง (5-10 ปี) ระยะสน้ั (1-5 ปี) และแผนด�ำเนินการ (1 ปี หรือทกุ ไตรมาส)18 แนวคิดหลักในการวางแผนของกลุ่มบอลเชวิคถือว่าจุดเปล่ียนท่ีส�ำคัญในเชิงประวัติศาสตร์การ วางแผน ตรงทกี่ ารมองวา่ ภาพอนาคตไม่จ�ำเป็นต้องเป็นไปตามแนวโน้มที่ผ่านมาเสมอไป การกระท�ำ ในปจั จุบนั สามารถท�ำให้ภาพอนาคตตัดขาดจากภาพอดีตและปจั จุบันที่ไมพ่ งึ ประสงค์ได้ ทง้ั น้ี ตามข้อ เสนอของเลนิน การปฏิวัติไม่จ�ำเป็นต้องรอให้ระบบเศรษฐกิจและสังคมของสังคมน้ันพัฒนาจนถึงข้ึน ระบบทนุ นยิ มสกุ งอมแบบเยอรมนตี ามทม่ี ากซเ์ สนอไว้ แตส่ ามารถดำ� เนนิ การไดเ้ ลยโดยชนชนั้ แรงงานที่ สามารถรวมตวั และกอ่ การปฏวิ ตั ิ แนวคดิ ดงั กลา่ วสะทอ้ นอยใู่ นแผนพฒั นาเศรษฐกจิ 5 ปฉี บบั แรก ซง่ึ กรอบแนวคดิ ของการวางแผนไมไ่ ดย้ ดึ กบั การยดื แนวโนม้ จากอดตี ทวี่ เิ คราะหจ์ ากขอ้ มลู ในอดตี ตอ่ ออก ไปเปน็ ภาพอนาคต ทเี่ รยี กวา่ genetical planning แตใ่ หค้ วามสำ� คญั กบั การวางแผนแบบ teleological planning ซงึ่ เนน้ การกำ� หนดเปา้ หมายยง่ิ ใหญท่ สี่ งั คมตอ้ งการเขา้ ไปใหถ้ งึ แลว้ ใหก้ ารวางแผนมบี ทบาท ในการกำ� หนดวธิ กี ารบรรลเุ ปา้ หมายนน้ั 19 ความเชอื่ หลกั ในสว่ นนคี้ อื อดตี ไมไ่ ดเ้ ปน็ ตวั ชนี้ ำ� อนาคต และ สงั คมสามารถก้าวข้ามอดีตไดด้ ้วยการตดั สนิ ใจและการดำ� เนินการที่มุง่ มั่น โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ความมุง่ ม่ันทางการเมอื ง จะเหน็ วา่ แนวคดิ น้มี อี ิทธิพลตอ่ กรอบความคิดในการวางแผนมาจนถงึ ปจั จบุ นั และ มักปรากฏในการตง้ั วสิ ัยทศั นใ์ นการพัฒนาประเทศและองคก์ รในระดบั ตา่ ง ๆ ท่ัวโลก ลัทธิฟาสซิสต์ในอติ าลแี ละระบบนาซีเยอรมนี แนวคดิ การวางแผนเพอ่ื อนาคตยงิ่ ไดร้ บั ความสำ� คญั ในการปกครองแบบเผดจ็ การของรฐั บาลลทั ธิ ฟาสซสิ ตใ์ นอติ าลี ซ่ึงครอบครองอ�ำนาจอย่างเด็ดขาดในช่วง พ.ศ. 2465-2486 และการปกครองของ รฐั บาลนาซใี นเยอรมนใี นช่วง พ.ศ. 2476-2488 รัฐบาลทง้ั สองดำ� เนนิ นโยบายกุมอำ� นาจการบรหิ าร จัดการอย่างเด็ดขาด โดยมีเป้าหมายในการสร้างความเป็นเลิศของชาติในด้านการเศรษฐกิจและด้าน การทหาร ไปพร้อมกับการรวบอ�ำนาจของหน่วยงานส่วนกลางในด้านการจัดการสังคมและการเมือง แม้ว่าระบบเศรษฐกิจในท้ังสองประเทศยังคงเป็นแบบทุนนิยม แต่ไม่ได้เป็นทุนนิยมท่ีเป็นไปตามกลไก ตลาด แต่ข้ึนอยู่กับการควบคุมและจัดการโดยรัฐบาลกลาง เคร่ืองมือส�ำคัญของการวางแผนระบบ เศรษฐกิจคือแผนพัฒนาเศรษฐกิจแบบครอบคลุม (comprehensive planning) ซ่ึงก�ำหนดนโยบาย และกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจในแทบทุกด้านของระบบเศรษฐกิจและสังคม แผนพัฒนาเศรษฐกิจ 4 ปี ของรฐั บาลนาซีฉบบั แรกด�ำเนนิ การใชค้ ร้ังแรกใน พ.ศ. 2476 และฉบับท่ีสองในพ.ศ. 247920 สงครามโลกครง้ั ทสี่ อง การวางแผนพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมในยุโรป สหรัฐอเมริกา และเอเชียตะวันออกใน ทศวรรษที่ 1930 ไม่ได้มุ่งไปที่การผลิตด้านการเกษตร แต่ให้ความส�ำคัญอย่างมากกับการผลิตทาง อุตสาหกรรมหนัก เบ้ืองหลังของการปรับเปลี่ยนกรอบเป้าหมายของนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจใน

23 | อนาคตศกึ ษา ชว่ งดงั กลา่ วคอื แนวคดิ ทเี่ ชอ่ื วา่ การพฒั นาและยกระดบั คณุ ภาพชวี ติ และอำ� นาจของประเทศใหย้ งิ่ ใหญ่ ขน้ึ นัน้ ต้องเน้นท่อี ตุ สาหกรรมการผลิต อีกเปา้ หมายหนึ่งทส่ี ำ� คญั มากคอื การเตรียมพร้อมสำ� หรับการ ทำ� สงครามที่เร่มิ คกุ รุ่นข้นึ ท่วั ทง้ั ยุโรปและเอเชียตะวันออก การเตรียมพร้อมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นในนโยบายการวางแผนประเทศ ไม่เฉพาะในรัฐบาล ฟาสซิสต์อิตาลีและนาซีเยอรมนี แต่รวมไปถึงสหรัฐอเมริกา รัสเซีย และญี่ปุ่น การวางแผนประเทศ ครอบคลุมรายละเอียดทุกด้านของระบบเศรษฐกิจและสังคม ทั้งการจัดสรรพลังงาน วัตถุดิบใน การผลิต อาหาร ยา และเคร่ืองนุ่งหุ่ม ไปจนถึงการจัดการระบบขนส่งและนโยบายด้านการศึกษา การวางแผนเพอื่ กระตนุ้ เศรษฐกจิ ทตี่ กตำ่� อยา่ งมากมากอ่ นหนา้ นน้ั ถกู แทนทโี่ ดยการวางแผนเพอ่ื เตรยี ม พรอ้ มสำ� หรบั สงครามครงั้ ใหญท่ ค่ี าดวา่ จะเกดิ ขนึ้ อกี ไมน่ าน หลงั จากนน้ั เมอื่ เกดิ สงครามโลกครงั้ ทสี่ อง ขน้ึ กรอบแนวคดิ และการวางแผนเพือ่ อนาคตจึงก�ำหนดโดยความจำ� เปน็ เร่งด่วนในการท�ำสงคราม การวางแผนพัฒนาประเทศย่ิงเพิ่มความส�ำคัญย่ิงเมื่อสงครามโลกคร้ังที่สองจบสิ้นลง แทบทุก ประเทศที่เข้าร่วมในสงครามต้องวางแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ตกต�่ำลงอีกครั้ง หลังจากทุ่มเททรัพยากร ไปในการตอ่ สู้สงคราม นับต้งั แตก่ ารบรู ณะและสร้างโครงสรา้ งพ้ืนฐานของเมืองข้ึนมาใหม่ หลังจากที่ ถูกท�ำลายไปจากการถล่มระเบิด รวมถงึ การฟน้ื ฟแู ละก่อตงั้ สถาบันทางเศรษฐกิจ สงั คมและการเมอื ง ข้ึนมาใหม่ ความจ�ำเป็นในการวางแผนเพื่ออนาคตน้ีไม่ใช่เกิดกับเฉพาะประเทศแพ้สงคราม ท้ังญี่ปุ่น เยอรมนี และอิตาลี แตค่ รอบคลุมถงึ ประเทศพันธมติ รด้วยเช่นกนั ความเสยี หายและสูญเสยี คร้ังใหญ่ จากสงครามโลกครง้ั ทสี่ องทำ� ใหต้ อ้ งปรบั เปลยี่ นแนวคดิ และแนวทางในการวางแผนเพอ่ื อนาคตในระดบั ขนาด ขอบเขตและความเรว็ ทีอ่ าจไมเ่ คยมีมาก่อนในประวตั ิศาสตร์โลก21 แนวคิดการวางแผนพัฒนาระดับประเทศเป็นที่ยอมรับมากข้ึนในหลายประเทศในยุโรปในช่วง ระหว่างสงครามโลกคร้ังทีส่ องเป็นต้นมา อาทิ องั กฤษ นอรเ์ วย์ เนเธอรแ์ ลนด์ และฝรง่ั เศส22 ส่วนหนึง่ ด้วยเพราะผู้น�ำของประเทศเหล่าน้ีเรียนรู้จากประสบการณ์ของหลายประเทศในช่วงสงครามแล้วว่า รัฐบาลสามารถควบคุมและจดั การกบั ระบบเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ ได้ ทงั้ ด้านอุตสาหกรรมการผลติ ดา้ นการแลกเปลยี่ นเงนิ ตรา และดา้ นการกำ� หนดนโยบายและงบประมาณเพอื่ การลงทนุ ของรฐั บาลไป ในอนาคต องคป์ ระกอบสำ� คญั ของการวางแผนพฒั นาประเทศตามแนวทางนค้ี อื การกำ� หนดเปา้ หมาย และทศิ ทางการเตบิ โตทางเศรษฐกจิ รวมทง้ั นโยบายและมาตรการทจ่ี ะใชเ้ พอื่ ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายทต่ี งั้ ไว้ การวางแผนพัฒนาประเทศของฝรั่งเศสเป็นปัจจัยหน่ึงที่ท�ำให้วงการวิชาการด้านอนาคตศึกษา ได้ก่อตัวขึ้นอย่างแพร่หลายในฝรั่งเศสในทศวรรษท่ี 1950 หลังจากท่ีแกสตอง แบร์เจย์ (Gaston Berger) ก่อต้ังศูนย์นานาชาติว่าด้วยการศึกษาอนาคต (Centre International de Prospective) ขน้ึ ใน พ.ศ. 2500 และเรมิ่ ตพี มิ พเ์ ผยแพรว่ ารสารวชิ าการชอ่ื Prospective ในชว่ งเดยี วกนั นกั วชิ าการ ด้านอนาคตศึกษาของฝรั่งเศสหลายคนได้เข้าไปมีบทบาทส�ำคัญในการวางแผนพัฒนาประเทศ โดย รับหน้าที่วิเคราะห์แนวโน้มการเปล่ียนแปลงและภาพอนาคตด้านเศรษฐกิจสังคมของฝรั่งเศสไปจนถึง พ.ศ. 252823 ตอ่ มา แบรท์ ร็อง เดอ จวู เี นล (Bertrand de Jouvenel) ไดก้ ่อตง้ั สมาคมนานาชาตกิ ารศึกษา อนาคต (Association Internationale de Futuribles) ท่ีกรุงปารสี เมือ่ พ.ศ. 2503 และเป็นแรง ส�ำคัญในการขยายเครือขา่ ยระดบั โลกของนักวชิ าการดา้ นอนาคตศกึ ษา เดอ จวู เี นลยังตพี ิมพ์หนังสอื ช่อื L'Art de la Conjecture (The Art of Conjection) ซึง่ ถอื เปน็ หมุดหมายสำ� คัญในววิ ฒั นาการ

อนาคตศกึ ษา | 24 ของอนาคตศาสตร์ หนังสือเล่มน้ีอธิบายแนวคิดและปรัชญาพื้นฐานท่ีเป็นกรอบของอนาคตศึกษา รวมถึงรูปแบบ วัตถุประสงค์และวิธีการศึกษาอนาคต โดยเชื่อมโยงกับความจ�ำเป็นและกิจกรรมด้าน การวางแผนพัฒนาประเทศทงั้ ในระยะส้ันและระยะยาว สรปุ ไดว้ า่ การศึกษาอนาคตอย่างเป็นระบบทีเ่ ป็นพืน้ ฐานของอนาคตศึกษาในปจั จบุ นั มีรากฐาน มาจากการวางแผนพัฒนาประเทศ ซ่ึงสามารถย้อนกลับไปถึงการเตรียมพร้อมด้านการทหารและ ด้านอุตสาหกรรมการผลิตเพ่ือท�ำสงคราม รวมไปถึงการวางแผนเพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพ้ืนฐานทาง เศรษฐกิจและสังคมท่ีเสียหายไปในช่วงสงครามโลกท้ังสองคร้ัง แนวคิดการศึกษาอนาคตในช่วงแรก ของววิ ฒั นาการของศาสตรน์ จ้ี งึ แยกไมอ่ อกจากกจิ กรรมดา้ นการวางยทุ ธศาสตรก์ ารทหารและดา้ นการ วางแผนพฒั นาเศรษฐกจิ สงั คมระดบั ประเทศ ทง้ั ในประเทศทนุ นยิ มตะวนั ตกและในประเทศคอมมวิ นสิ ต์ ในยุโรปตะวันออก กิจกรรมพื้นฐานของการคาดการณ์ได้กลายเป็นส่วนหน่ึงของการวางแผนพัฒนา ประเทศนับจากน้ันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ท้ังการวิเคราะห์แนวโน้มการเปล่ียนแปลงจากอดีตใน เชงิ ปรมิ าณ การคาดประมาณการเปลี่ยนแปลงในอนาคต การตัง้ เปา้ หมายท่ตี ้องบรรลใุ นอนาคต รวม ถงึ การกำ� หนดนโยบายและมาตรการ การดำ� เนนิ แผนงานและโครงการตามนโยบาย และการประเมิน และปรบั เปลย่ี นเปา้ หมายและนโยบาย อนาคตกับการวางแผนสรา้ งชาติ แนวคดิ การศกึ ษาอนาคตอยา่ งเปน็ ระบบเพอ่ื การวางแผนพฒั นาดา้ นเศรษฐกจิ สงั คมแพรข่ ยายจาก ประเทศในยโุ รปไปยังพนื้ ทอ่ี น่ื ของโลกในทศวรรษท่ี 1950-1960 ตามกระแสการประกาศเอกราชของ ประเทศท่ีตงั้ ขึน้ ใหมจ่ ากท่แี ต่เดิมที่เคยอยภู่ ายใต้อาณานิคมของประเทศในยุโรปมาก่อน ประเทศใหม่ เกิดข้ึนจ�ำนวนมากท่ัวโลก ทัง้ ในเอเชีย เชน่ อินเดีย อนิ โดนเี ซยี และมาเลเซีย ในแอฟริกา เช่น โมซมั บิก และเคนยา และหม่เู กาะในทะเลแคริบเบยี น เชน่ จาเมกาและบาร์เบโดส ในชว่ งระหว่างการรณรงค์ เรียกรอ้ งเอกราชและหลงั จากท่ีไดร้ ับเอกราชแล้ว ผ้นู ำ� ของประเทศเหล่านี้มพี นั ธกิจต้องนำ� สงั คมเขา้ สู่ อนาคตในรปู แบบและสถานการณท์ ไี่ มเ่ คยเกดิ ขน้ึ มากอ่ น ภาพอนาคตทแ่ี ตเ่ ดมิ กำ� หนดไวโ้ ดยกฎระเบยี บ ของเจา้ อาณานคิ มตอ้ งแทนทดี่ ว้ ยภาพอนาคตทเ่ี ปน็ ทางเลอื กใหม่ คำ� ถามและประเดน็ สำ� คญั จำ� นวนมาก ทต่ี อ้ งหาคำ� ตอบ อาทิ โครงสรา้ งสถาบนั ดา้ นการเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คมสำ� หรบั อนาคตจะเปน็ อยา่ งไร จะยงั คงใชข้ องเดมิ ทตี่ กทอดหลงเหลอื มาจากชว่ งอาณานคิ ม จะสรา้ งขน้ึ มาใหมห่ มด หรอื จะผสมผสาน ของเก่ากับของใหม่ได้หรือไม่และอย่างไร นอกจากน้ี ยังมีค�ำถามในด้านอัตลักษณ์และสัญลักษณ์ของ ประเทศ เช่น ธงชาติและเพลงชาติ หรือแมแ้ ต่ชอ่ื ของประเทศจะเปน็ อยา่ งไร เป็นต้น ในประเทศเกดิ ใหมเ่ หลา่ น้ี การประกาศเอกราชจากเจา้ อาณานคิ มเดมิ เสมอื นหนง่ึ เปน็ การประกาศ ว่า อนาคตต่อไปจะไม่เหมือนประวตั ิศาสตร์ทีผ่ ่านมา กระน้นั กต็ าม แมว้ า่ ประวตั ิศาสตร์และความเป็น ตัวตนในสังคมวัฒนธรรมดัง้ เดมิ ท่ีมมี ากอ่ นในประเทศเหลา่ น้ี อาจใชเ้ ปน็ พืน้ ฐานแนวคดิ และวาทกรรม ในการสรา้ งชาตไิ ดบ้ า้ งกต็ าม แนวทางการพฒั นาและสรา้ งชาตใิ นภาพรวมทเ่ี กดิ ขน้ึ นน้ั กลบั เปน็ ไปตาม แนวคดิ สมยั ใหมแ่ ละการพฒั นาตามตน้ แบบของประเทศตะวนั ตกเสยี เปน็ สว่ นใหญ่24 สาเหตสุ ำ� คญั เปน็ เพราะผนู้ ำ� การรณรงคป์ ระกาศเอกราชและผนู้ ำ� ประเทศในชว่ งแรกของการสรา้ งชาตใิ หมน่ นั้ โดยมากได้ รบั การศกึ ษาจากประเทศตะวนั ตก จงึ รบั อทิ ธพิ ลดา้ นความคดิ เกยี่ วกบั การสรา้ งชาตทิ มี่ งุ่ เนน้ การพฒั นา เศรษฐกิจสังคมทีท่ นั สมัย ไม่ผกู ติดอยูก่ บั กรอบแนวคดิ ตามสงั คมวฒั นธรรมแบบดง้ั เดมิ

25 | อนาคตศกึ ษา นอกจากนี้ นักวางแผนนโยบายการพัฒนาในประเทศใหม่เหล่านี้ยังเช่ือในบทบาทส�ำคัญของรัฐ ในการก�ำหนดเป้าหมายด้านเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต รวมถึงบทบาทในการด�ำเนินนโยบายเพ่ือ บรรลเุ ปา้ หมายทีไ่ ด้ตัง้ ไว้ ทั้งน้ี ความเชือ่ ในบทบาทของรัฐในการพฒั นาประเทศนี้ไดร้ บั การสนับสนนุ และผลกั ดนั จากรัฐบาลของประเทศพัฒนาแลว้ โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ สหรฐั อเมริกา และองคก์ รระหว่าง ประเทศ เช่น ธนาคารโลก การช่วยเหลือประเทศก�ำลังพัฒนามีทั้งในระดับการวางแผนนโยบายการ พัฒนา และในระดับการด�ำเนินโครงการพัฒนาด้วยมาตรการต่าง ๆ อาทิ การให้เงินช่วยเหลือและ เงินกยู้ มื และการให้ถา่ ยทอดความรู้และเทคโนโลยี องคป์ ระกอบพื้นฐานทม่ี ีผลอยา่ งยิ่งต่อการศึกษา อนาคตและการวางแผนในยุคดังกล่าวคือ ความช่วยเหลือด้านการเงินและด้านเทคนิคของประเทศ พัฒนาแล้วมักมาพร้อมกับชุดกรอบแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนา ภาพอุดมคติของความเป็น สังคมที่พัฒนาแล้ว รวมถงึ วิธกี ารวางแผนทจ่ี ะน�ำไปสรู่ ะบบเศรษฐกจิ และสงั คมทนั สมยั ทคี่ าดวา่ ดีกว่า ของดงั้ เดมิ กรอบความคดิ และทฤษฎเี หลา่ นม้ี ผี ลอยา่ งยง่ิ ตอ่ การมองภาพอนาคตของสงั คม โดยเฉพาะ มโนทัศน์ของกลุ่มชนชั้นน�ำและนักเทคโนแครตท่ีมักเป็นผู้ก�ำหนดภาพอนาคตของประเทศท่ีใช้ เป็นกรอบในการวางแผนนโยบาย จะเหน็ ไดว้ า่ อนาคตศกึ ษาในยคุ แรกได้รับอทิ ธพิ ลอย่างมากจากแนวคดิ ระบบศาสตร์ (systems science) ในวงการวชิ าการและแนวคดิ การวางแผนพฒั นาดา้ นเศรษฐกจิ สงั คมระดบั ประเทศ ซงึ่ รฐั บาล หลายประเทศในยโุ รปไดใ้ ชอ้ ยา่ งจรงิ จงั ในยคุ หลงั สงครามโลกครงั้ ทส่ี อง โดยเฉพาะสหภาพโซเวยี ตและ ฝรงั่ เศส แนวความคดิ การวางแผนนต้ี อ่ มาแพรข่ ยายไปยงั ประเทศกำ� ลงั พฒั นาอน่ื ๆ รวมถงึ ประเทศไทย ซง่ึ เร่ิมจดั ทำ� แผนพัฒนาการเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติมาตัง้ แต่ พ.ศ. 2504 เปน็ ตน้ มา การวางแผน พฒั นาประเทศนใี้ ชก้ รอบแนวคดิ และวธิ กี ารในการวเิ คราะหแ์ นวโนม้ ในอดตี และการคาดการณอ์ นาคต ทีเ่ รยี นร้มู าจากประเทศตะวนั ตกเปน็ หลัก แนวคดิ การวางแผนแบบนไี้ ม่ไดจ้ �ำกัดอยู่เฉพาะในประเทศทปี่ ระกาศเอกราชจากชาตอิ าณานคิ ม เท่านน้ั หลายประเทศไมไ่ ดต้ กเปน็ อาณานคิ มของประเทศตะวันตกอย่างเปน็ ทางการ แต่ไดร้ บั อิทธิพล ด้านแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแบบสมัยใหม่ และมีการก�ำหนดนโยบายการวางแผนพัฒนา เศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศทุก 4-5 ปี ในกรณขี องประเทศไทย รฐั บาลไทยไดจ้ ดั ตัง้ สภาเศรษฐกิจ แหง่ ชาตขิ นึ้ ใน พ.ศ. 2493 โดยมหี นา้ ทเี่ สนอความเหน็ และคำ� แนะนำ� ตอ่ รฐั บาลในเรอื่ งเกยี่ วกบั เศรษฐกจิ ของประเทศ ต่อมาใน พ.ศ. 2502 ได้เพิ่มบทบาทหน้าที่วางแผนพัฒนาประเทศเป็นการเฉพาะตาม ค�ำแนะน�ำของผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก และเปลี่ยนช่ือเป็นส�ำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ แห่งชาติ หรือท่ีเรยี กกันติดปากว่า สภาพฒั น์ อาจกล่าวได้วา่ สภาพฒั น์ในฐานะท่ีเปน็ องคก์ รวางแผน พัฒนาประเทศเป็นองค์กรแรกในประเทศไทยที่ได้น�ำเอาวิธีการศึกษาอนาคตอย่างเป็นระบบมาใช้ใน การวางแผนพัฒนา สรุปได้ว่า ในยุคทศวรรษที่ 1950 และ 1960 การสร้างชาติของประเทศก�ำลังพัฒนาภายหลัง การประกาศเอกราชจากเจ้าอาณานิคม ท�ำให้เกิดความต้องการในการวิเคราะห์และมองภาพอนาคต ของประเทศอย่างเป็นระบบ เน่อื งด้วยความจ�ำเปน็ ในการวางแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมในระดบั ประเทศ และความเรง่ ดว่ นในการสรา้ งอตั ลกั ษณแ์ ละภาพลกั ษณข์ องความเปน็ ชาตหิ ลงั จากทไ่ี ดป้ ระกาศ เอกราชแล้ว แนวคิดและวิธีการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศพัฒนามาก่อนในยุโรป และสหรัฐอเมรกิ า จึงได้แพรห่ ลายไปทวั่ โลกในชว่ งเวลาเดียวกันน้ีเอง

อนาคตศึกษา | 26 อนาคตเชงิ พยากรณ์ และประจักษ์นิยม ไมว่ า่ ในศาสตรใ์ ดกต็ าม การแบง่ กลมุ่ ทฤษฎี แนวคดิ และวธิ กี ารวเิ คราะหย์ อ่ มมอี ยหู่ ลากหลาย โดยขนึ้ อยู่ กบั เกณฑ์และวธิ ีการทน่ี ักวเิ คราะหแ์ ตล่ ะคนเลอื กใช้ การแบง่ กลมุ่ ทฤษฎีและแนวคิดด้านอนาคตศกึ ษา ก็เชน่ กนั นกั วชิ าการด้านอนาคตศึกษาหลายคนไดเ้ สนอวธิ ีการแบง่ กลมุ่ แนวคิดพ้ืนฐานของศาสตรน์ ไ้ี ว้ หลายแบบ หนง่ึ ในนั้นคอื นกั อนาคตศึกษาท่มี ชี อ่ื เสยี งคนหนึ่งคือเจนนเิ ฟอร์ กดิ๊ ลยี ์ (Jennifer Gidley) ซงึ่ แบง่ กลมุ่ แนวความคดิ ดา้ นอนาคตศกึ ษาไว้ 5 กลมุ่ ไดแ้ ก่ (1) เชงิ พยากรณแ์ ละประจกั ษน์ ยิ ม (predic- tive-empirical) (2) เชงิ วพิ ากษแ์ ละบรรทดั ฐาน (critical-normative) (3) เชิงวฒั นธรรมและตีความ (cultural-interpretive) (4) เชงิ การมสี ว่ นรว่ มและรณรงคท์ างสงั คม (participatory-advocacy) และ (5) เชงิ บูรณาการและองคร์ วม (integral-holistic)25 เนื้อหาสว่ นตอ่ จากนอี้ ธิบายแนวคดิ ทั้งหา้ กลมุ่ น้ี กลุ่มแรกคืองานอนาคตศึกษาเชิงพยากรณ์และประจักษ์นิยม กระแสความรู้หน่ึงท่ีได้เกิดข้ึนใน ช่วงสงครามโลกคร้ังท่ีสองและกลายมาเป็นพ้ืนฐานส�ำคัญของอนาคตศึกษาในยุคต่อมาคือการวิจัย ด�ำเนินงาน (Operations Research หรือ OR) ใน พ.ศ. 2482 นักวิทยาศาสตร์ในกองทัพอังกฤษ ได้รับค�ำสั่งให้วิเคราะห์หาวิธีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเรดาร์ในปฏิบัติการทั่วไปของกองทัพอากาศ จนท้ายท่ีสุดสามารถพัฒนาระบบปฏิบัติการ (operational system) ที่ใช้ระบบเรดาร์ในการสู้รบ ทางอากาศกับฝูงบินของเยอรมนี และท�ำให้อังกฤษสามารถเอาชนะการต่อสู้ทางอากาศบนน่านฟ้า อังกฤษได้ใน พ.ศ. 248326 ระบบปฏบิ ตั กิ ารดงั กลา่ วมีองค์ประกอบส�ำคัญท่กี ลายเป็นพื้นฐานส�ำหรบั การศกึ ษาอนาคตในยุคตอ่ มา นัน่ คอื ระบบวิเคราะห์ท่ใี ชเ้ ทคโนโลยีเรดาร์เพอื่ คาดการณ์วา่ เครอื่ งบนิ ทิ้งระเบิดของเยอรมนีจะมุ่งไปที่ไหนและเมื่อใด ระบบคาดการณ์ดังกล่าวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ เครอื่ งบนิ รบขององั กฤษในการตดั สนิ ใจทา่ มกลางทางเลอื กของสถานการณท์ ค่ี าดวา่ จะเกดิ ขนึ้ ในอนาคต ความส�ำเร็จของการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการวิเคราะห์และคาดการณ์ทางเลือกในการสู้ รบคร้ังนั้น ท�ำให้กองทัพของประเทศอื่นให้ความส�ำคัญกับแนวทางนี้มากข้ึน รัฐบาลหลายประเทศได้ สรา้ งทมี นกั วเิ คราะหใ์ นดา้ นนโ้ี ดยเฉพาะ โดยในประเทศอังกฤษเรียกงานศึกษาแนวน้ีว่า Operational Research ส่วนในสหรัฐอเมริกา มักเรียกว่า Operations Research และ Systems Analysis27 ใน ชว่ งเวลาที่ผ่านมา ศาสตรด์ า้ นนีพ้ ฒั นามามาก โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในการใชแ้ บบจำ� ลองเชงิ คณติ ศาสตร์ และสถติ ิศาสตร์เปน็ สว่ นหนง่ึ ของวธิ ีการทีช่ ว่ ยในการตัดสินใจขององค์กร การวจิ ัยดำ� เนินงานมกั สร้าง

27 | อนาคตศกึ ษา แบบจ�ำลองขึ้นมาเพ่ือใช้วิเคราะห์ระบบท่ีมีความซับซ้อนในโลกความเป็นจริง โดยมีเป้าหมายเพ่ือ ให้การดำ� เนนิ งานมีประสทิ ธภิ าพทสี่ ดุ การศกึ ษาอนาคตอยา่ งเปน็ ระบบมจี ดุ เรม่ิ ตน้ ทพ่ี ฒั นาเปน็ คขู่ นานกนั ในสหรฐั อเมรกิ าและในยโุ รป ส�ำหรับในสหรัฐอเมริกา การวิเคราะห์อนาคตพัฒนาข้ึนจากการพัฒนากรอบแนวคิดและเครื่องมือใน การวเิ คราะหร์ ะบบ (systems analysis) ทใ่ี ชใ้ นการเตรยี มพรอ้ มรบั มอื ดา้ นการทหารและการสงคราม เป็นหลกั นักวจิ ัยในมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) ไดก้ ่อต้งั ชมรมวิจยั ระบบทวั่ ไป (The Society for General Systems Research) ขึ้นใน พ.ศ. 2498 เพือ่ หาชอ่ งทางในการประยุกต์ ใช้ความรู้ด้านระบบศาสตร์ (systems sciences) และไซเบอรเ์ นติกส์ (cybernetics) ซ่ึงแต่เดิมหมาย ถึงการศกึ ษาข้ามศาสตร์ (transdisciplinary) เพือ่ ทำ� ความเข้าใจในระบบการควบคมุ (control) และ สอื่ สาร (communication) ของสง่ิ มชี วี ติ และเครอื่ งจกั ร28แตใ่ นปจั จบุ นั หมายถงึ การศกึ ษาการควบคมุ ระบบด้วยเทคโนโลยี จะเหน็ ได้วา่ งานวิจัยดา้ นอนาคตศึกษายุคแรกในกลุ่มน้ีไดร้ ับอิทธพิ ลหลักจากคตินิยมในปรัชญา วิทยาศาสตรแ์ บบปฏฐิ านนิยมตามโลกทัศน์แบบนวิ ตันที่มองธรรมชาติของมนุษยแ์ ละการเปล่ียนไปใน โลกตามกลไก และสามารถทำ� นายหรอื พยากรณ์ (predict) ได้ ความเชอ่ื พน้ื ฐานของแนวคดิ ปฏฐิ านนยิ ม คอื ความจรงิ ท่สี ามารถรับรู้ได้ดว้ ยกระบวนการวทิ ยาศาสตร์มคี วามเป็นหนึง่ เดยี ว โดยสามารถทดสอบ และพสิ ูจน์ไดด้ ว้ ยกระบวนการเชิงวิทยาศาสตร์แบบประจกั ษ์นิยม อนาคตศึกษาในยุคแรกเน้นการพยากรณ์อนาคตด้วยกระบวนการและวิธีการเชิงวิทยาศาสตร์ จึงสะท้อนกระบวนทัศน์หลักในวงการวิชาการในยุคน้ัน ท้ังวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและสังคมศาสตร์ท่ี พยายามพัฒนากรอบแนวคิดและวิธีการวิจัยตามแนวคิดปฏิฐานนิยม เพ่ือให้มีความเป็นวิทยาศาสตร์ มากข้ึน ภายใต้กระแสทรรศน์ดังกล่าว นักอนาคตศึกษาในยุคนี้จึงเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการ ทม่ี ีความเป็นกลางหรอื ภววิสยั (objectivity) เพื่อใหภ้ าพอนาคตทค่ี าดการณ์มคี วามน่าเชื่อถอื มากข้ึน อีกนยั หน่ึงคอื นักวจิ ัยดา้ นอนาคตศาสตร์ต้องการผลกั ดันให้การศกึ ษาอนาคตเป็นวทิ ยาศาสตร์และได้ รบั การยอมรับมากขึ้น จุดเริ่มต้นของการวิเคราะห์อนาคตด้วยวิธีการเชิงวิทยาศาสตร์อยู่ที่โครงการศึกษาแนวโน้ม การเปล่ียนแปลงทางสังคมของสหรัฐอเมริกาในช่วง พ.ศ. 2467-2479 โดยกลุ่มนักวิจัยที่แต่งต้ังโดย ประธานาธบิ ดสี หรฐั (President's Research Committee on Social Trends)29 ในงานดงั กลา่ ว คณะผศู้ กึ ษา ซึง่ น�ำโดยนักสงั คมวิทยาชื่อ วลิ เลยี ม ออกเบิรน์ (William Ogburn) ไดร้ วบรวมขอ้ มูล จากแหล่งตา่ ง ๆ โดยเฉพาะจากขอ้ มูลสำ� มะโนประชากรของประเทศ แล้วใชเ้ คร่ืองมอื ทางสถติ ิในการ วเิ คราะห์แนวโน้มการเปล่ยี นแปลงด้านเศรษฐกิจ สงั คมและทัศนคตขิ องผู้คน จากนนั้ จึงพยากรณก์ าร เปลี่ยนแปลงท่ีคาดว่าจะเกดิ ขน้ึ ตามแนวโนม้ จากอดตี ตอ่ มาใน พ.ศ. 2480 คณะกรรมการทรัพยากร แห่งชาตขิ องสหรัฐอเมริกา (U.S. National Resources Committee) ซ่งึ มอี อกเบิรน์ เป็นกรรมการ อยู่ด้วย ได้เผยแพร่รายงานชื่อ Technological Trends and National Policy, Including the Social Implications of New Inventions ซง่ึ ไดว้ เิ คราะหแ์ ละนำ� เสนอแนวโนม้ การเปลย่ี นแปลงดา้ น เทคโนโลยี และผลกระทบทีม่ ีตอ่ สงั คม

อนาคตศึกษา | 28 วิธีการศึกษาหลักท่ีใช้ในรายงานท้ังสองฉบับคือการคาดการณ์โดยใช้วิธีเชิงปริมาณในการค้นหา แนวโนม้ การเปลย่ี นแปลงจากอดตี จนถงึ ปจั จบุ นั แลว้ จงึ ประมาณคา่ ในอนาคตโดยการลากเสน้ แนวโนม้ ตอ่ ไปยงั ขา้ งหนา้ อกี 2-3 ทศวรรษ ทฤษฎกี ารเปลยี่ นแปลงทางสงั คมทเ่ี ปน็ พนื้ ฐานของการวเิ คราะหแ์ นว โนม้ และการคาดการณข์ องออกเบริ น์ คอื การผลติ สงิ่ ประดษิ ฐท์ างเทคโนโลยแี ละนวตั กรรมทำ� ใหเ้ กดิ การ เปลย่ี นแปลงทางโครงสรา้ งเศรษฐกจิ ซง่ึ ทำ� ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงของสถาบนั ทางสงั คมตามมา ตง้ั แต่ ระดบั ครอบครัวไปจนถึงรัฐบาล ในขณะเดยี วกัน การเปล่ียนแปลงของสถาบนั ทางสงั คมท�ำใหป้ รชั ญา ทางสังคมของผู้คนในยุคนัน้ เริ่มเปล่ยี นไป ทง้ั ความเช่ือ ทศั นคติและคา่ นิยม การเปลย่ี นแปลงดงั กลา่ ว ย้อนกลับไปท�ำให้เกิดความต้องการในสินค้าและส่ิงประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง เทคโนโลยีและการผลติ นวัตกรรมสบื เนอ่ื งตอ่ ไปเปน็ วัฏจักร แนวคิดผลกระทบของเทคโนโลยีต่อสังคมของออกเบิร์นเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายและกลาย เป็นพื้นฐานของแนวคิดของการประเมินเทคโนโลยี (technology assessment) ซึ่งพัฒนาต่อมา เป็นวิธีการหนึ่งท่ีส�ำคัญของงานวิจัยด้านอนาคตศึกษา อีกทั้งยังได้กลายเป็นพันธกิจหลักขององค์กร ส�ำคญั ด้านอนาคตศกึ ษา อาทิ สำ� นกั งานประเมนิ เทคโนโลยี (Office of Technology Assessment) ของรัฐสภาสหรัฐฯ รายงานแนวโน้มทางสังคมฉบับดังกล่าวยังเป็นจุดเร่ิมต้นของแนวคิดการแสดงดัชนีเชิงปริมาณ ท่ีแสดงแนวโน้มการเปล่ียนแปลงและสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศ เพื่อก�ำหนดและตัดสินใจใน นโยบายสำ� หรับอนาคต แนวคิดน้ีต่อมาได้แพร่หลายและพัฒนากลายเป็นขบวนการตัวบ่งชี้ทางสังคม (Social Indicators Movement) นับต้ังแต่ทศวรรษท่ี 1960 เป็นต้นมา ดัชนีเชิงปริมาณเหล่าน้ีมี ตัง้ แตด่ า้ นประชากร เศรษฐกจิ แรงงาน ไปจนถงึ ด้านการศกึ ษา สาธารณสขุ และการเปลย่ี นแปลงทาง เทคโนโลยี30 การสร้างดัชนีด้านประชากร เศรษฐกิจและสังคมกลายพื้นฐานของการวางแผนพัฒนา เศรษฐกจิ และสงั คมของรฐั บาลสหรฐั อเมรกิ าในยคุ ตอ่ มา นอกจากนี้ ดว้ ยการสง่ เสรมิ ของสหประชาชาติ และเงนิ ชว่ ยเหลอื ของรฐั บาลสหรฐั ฯ รฐั บาลในหลายประเทศทวั่ โลกไดเ้ กบ็ รวบรวมและวเิ คราะหต์ วั เลข เหล่าน้ี เพื่อใช้ในการวางแผนพฒั นาทางเศรษฐกิจและสังคม สืบเนือ่ งมาจนถึงแนวคดิ ตัวชว้ี ดั คุณภาพ ชีวิตท่ีเป็นพื้นฐานของการวางแผนนโยบายสาธารณะในปัจจุบัน31 และตัวช้ีวัดด้านการพัฒนาอย่าง ย่ังยืนในปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่า การเก็บข้อมูลเพื่อวางแผนนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของ ประเทศไทยที่เร่ิมมาตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2500 ก็รับอิทธิพลมาจากขบวนการตัวบ่งช้ีทางสังคม ดังกลา่ วด้วยเชน่ กนั แนวคดิ และวธิ กี ารพยากรณอ์ นาคตอยา่ งเปน็ ระบบตามแนวปฏฐิ านนยิ มและประจกั ษน์ ยิ มนี้ ไดร้ บั การสนบั สนนุ อยา่ งจรงิ จงั ในสหรฐั อเมรกิ าในชว่ งหลงั สงครามโลกครง้ั ทสี่ อง และในชว่ งเขา้ สยู่ คุ สงคราม เย็นระหว่างกลุ่มประเทศตะวันตกท่ีน�ำโดยสหรัฐอเมริกากับกลุ่มประเทศตะวันออกที่น�ำโดยสหภาพ โซเวียต กลุ่มมหาอ�ำนาจทั้งสองฝ่ายพยายามพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ท่ีทันสมัยและแสนยานุภาพให้ เหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง พร้อมกันนี้แต่ละฝ่ายได้พยายามพัฒนาเทคนิคต่าง ๆ ท่ีช่วยให้สามารถวางแผน และก�ำหนดยุทธศาสตร์ทางทหารได้อย่างเฉียบคม ความส�ำเร็จในการใช้การวิจัยด�ำเนินงานหรือการ วิเคราะห์ระบบในช่วงสงครามโลกครัง้ ที่สอง น�ำไปสูก่ ารจัดตง้ั โครงการพเิ ศษขึ้นมาในชว่ งหลังสงคราม

29 | อนาคตศกึ ษา ใน พ.ศ. 2488 กองทพั อากาศสหรฐั ฯ รเิ รมิ่ โครงการรว่ มกบั บรษิ ทั ดกั ลาส แอรค์ ราฟ (Douglas Aircraft Company) ชื่อ Project RAND (“Research ANd Development) เพ่ือวางแผนการพัฒนา อาวุธในอนาคตระยะยาว โครงการดังกล่าวพัฒนาต่อมาเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาก�ำไร (non-profit organization) ชื่อว่าแรนด์ คอร์ปอเรชัน (RAND Corporation) ซง่ึ มีบทบาทหนา้ ทหี่ ลักเป็นองคก์ รท่ี ปรกึ ษา (think tank) ใหก้ บั หนว่ ยงานของรฐั บาลสหรฐั อเมรกิ า แมว้ า่ แรนดไ์ มถ่ อื วา่ เปน็ องคก์ รทป่ี รกึ ษา แห่งแรก แต่ถือวา่ มีชอื่ เสียงและทรงอิทธพิ ลมากทสี่ ุดแหง่ หน่งึ ของโลก ในชว่ งแรก กจิ กรรมหลกั ของแรนดค์ อื การคาดการณใ์ นประเดน็ ดา้ นการทหาร โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ โครงการของกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมรกิ า โดยเน้นการวิเคราะหท์ างเลือกเชิงนโยบาย การประเมนิ เทคโนโลยี และการเสนอข้อแนะน�ำและข้อควรระวังในด้านต่าง ๆ หัวข้อการวิเคราะห์ครอบคลุม ตั้งแต่การใช้ประโยชน์จากดาวเทียมวิทยาศาสตร์ การใช้เคร่ืองยนต์จรวดส�ำหรับขีปนาวุธ การใช้ ขีปนาวุธข้ามทวีป การใช้ระบบขับเคล่ือนพลังงานนิวเคลียร์ ไปจนถึงการเลือกต�ำแหน่งท่ีต้ังของ ฐานทัพ การวเิ คราะหพ์ ฤติกรรมและการคาดการณ์การตดั สนิ ใจของผนู้ ำ� ประเทศคอมมวิ นิสต์ รวมถึง สถานการณด์ า้ นการทหารอนื่ ๆ อกี มากมาย32 นอกจากการวเิ คราะหป์ ระเดน็ เชงิ ยทุ ธศาสตรเ์ หลา่ นแ้ี ลว้ นกั วจิ ัยของแรนด์ยังพัฒนาวธิ ีการวเิ คราะหแ์ ละคาดการณท์ ถ่ี อื วา่ ทนั สมัยมากในยคุ นั้น โดยเนน้ การใช้ แบบจ�ำลองคณิตศาสตร์และการใช้ประโยชน์จากความสามารถในการค�ำนวณของคอมพิวเตอร์ที่เริ่ม พัฒนาขน้ึ ในยคุ นัน้ อาทิ การวเิ คราะห์ต้นทนุ ด้านการทหาร และวธิ กี ารเดลฟหี รอื เดลฟาย (Delphi) แนวคดิ และวธิ กี ารดงั กลา่ วไดร้ บั การพฒั นาตอ่ ดว้ ยนกั วจิ ยั ในแรนด์ คอรป์ อเรชนั และสถาบนั เพอื่ อนาคต (Institute for the Future) ซง่ึ เปน็ องคก์ รไมแ่ สวงหากำ� ไรทแ่ี ยกตวั มาจากแรนดใ์ น พ.ศ. 2511 ตัวอย่างของวิธกี ารที่นกั วชิ าการในองคก์ รเหลา่ นี้พัฒนาขนึ้ มา ไดแ้ ก่ แบบจำ� ลองทางคณติ ศาสตรแ์ ละ สถติ ิศาสตร์ การจำ� ลองสถานการณ์ (simulation) การใช้เกม (gaming) รวมถึงวิธกี ารเดลฟายที่ยังคง มใี ชก้ นั อยา่ งแพรห่ ลายในงานวจิ ยั ดา้ นอนาคตศกึ ษาและสงั คมศาสตรส์ าขาอนื่ งานวเิ คราะหข์ องแรนด์ ในช่วงต่อมาในทศวรรษท่ี 1970 ครอบคลมุ ประเด็นทไี่ มเ่ ก่ียวขอ้ งกบั การทหาร เช่น การเปล่ียนแปลง โครงสรา้ งประชากร การแพทยแ์ ละสาธารณสขุ ปญั หาการพฒั นาโครงสรา้ งพนื้ ฐานในเมอื ง รวมถงึ การ เปลยี่ นแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก งานวจิ ยั ของแรนด์และอีกหลายหน่วยงานของสหรัฐอเมรกิ าใน ช่วงสงครามเย็นได้ประยุกต์ใช้กรอบแนวคิดและเทคนิคท่ีพัฒนาเพ่ือการทหารในการพัฒนาเศรษฐกิจ และสงั คมในเมอื ง ทงั้ การวจิ ยั ดำ� เนนิ งาน การวเิ คราะหร์ ะบบ การวเิ คราะหภ์ าพถา่ ย (photo imaging) และไซเบอร์เนตกิ ส์ หนงึ่ ในผลลัพธ์ของงานวิจัยในแนวน้คี อื โครงการฟ้ืนฟูเมือง (urban renewal) ใน เมอื งใหญ่ทัว่ สหรัฐอเมริกา33 ไมว่ า่ ประเดน็ วเิ คราะหจ์ ะเปน็ ดา้ นการทหารหรอื ดา้ นสงั คมเศรษฐกจิ ทวั่ ไป กรอบแนวคดิ ทเี่ ปน็ พนื้ ฐานหลักของการวเิ คราะห์และคาดการณ์ของทมี วจิ ยั ของแรนด์ ยังคงเป็นการวเิ คราะหเ์ ชิงระบบ โดย ให้ความส�ำคัญกับการมองปัญหาแบบองค์รวม (holistic) และความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระหว่าง องคป์ ระกอบต่าง ๆ ในระบบ และระหวา่ งองคป์ ระกอบแตล่ ะส่วนกับระบบท้งั หมด กรอบแนวความ คดิ น้ียังเปน็ พน้ื ฐานของการใชค้ ณะนักวจิ ยั จากสหสาขาทีท่ ำ� งานร่วมกัน พรอ้ มกบั การวิเคราะห์ปัญหา เดยี วกนั จากมมุ มองทแี่ ตกตา่ งกนั ทงั้ มมุ มองในเชงิ ทฤษฎแี ละเชงิ ปฏบิ ตั ิ และจากมมุ มองของผเู้ ชยี่ วชาญ

อนาคตศกึ ษา | 30 และนักวิชาการไปพร้อมกับมุมมองของผู้ปฏิบัติการและผู้สังเกตการณ์ท่ัวไป คุณลักษณะส�ำคัญอีก ประการหน่ึงของแนวคิดและแนวทางการท�ำงานของทีมวิจัยของแรนด์คือ การสร้างแบบจ�ำลองท่ี ย่อส่วนระบบท่ีก�ำลังศึกษาอยู่ให้มีความซับซ้อนน้อยลง เพื่อสามารถน�ำเอาแบบจ�ำลองนั้นไปทดลอง และพิสจู นส์ มมติฐานตอ่ ได้ดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ แนวทางนี้เปน็ ไปตามแนวคิดพนื้ ฐานของการวจิ ัยด�ำเนนิ การท่ีได้พัฒนามาก่อนหน้านี้ ซ่ึงเน้นการวิเคราะห์โครงสร้างเชิงองค์กรของประเด็นปัญหาที่ต้องการ วเิ คราะห์ การสอื่ สารและปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งองคป์ ระกอบของระบบ รวมไปถงึ การควบคมุ กำ� กบั ระบบ เพอื่ ระบถุ งึ ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ การทำ� งานของระบบและปจั จยั ทส่ี ามารถจดั การปรบั เปลยี่ นใหด้ ขี นึ้ ได้ ทงั้ นี้ จดุ มงุ่ หมายหลกั ของการวเิ คราะหค์ อื เพอ่ื ชว่ ยใหผ้ บู้ รหิ ารสามารถตดั สนิ ใจดำ� เนนิ กจิ กรรมทนี่ ำ� ไปสกู่ าร เพ่ิมประสทิ ธภิ าพของระบบน้ัน การคาดการณ์ระยะยาวและการใช้กรอบอนาคตในการวิเคราะห์นโยบายเป็นกิจกรรมส�ำคัญ ท่ีกลายเป็นภาพลักษณ์หลักของแรนด์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการน�ำเอาเหตุการณ์ท่ีคาดว่าจะเกิดข้ึนใน อนาคตมาเปน็ สว่ นสำ� คญั ของการวเิ คราะหน์ โยบาย นกั วจิ ยั ของแรนดย์ งั ไดพ้ ฒั นาวธิ กี ารคาดการณแ์ บบ ใหมไ่ ปพรอ้ มกบั ปรบั ปรงุ วธิ กี ารทม่ี อี ยแู่ ลว้ แตเ่ ดมิ อาทิ การจำ� ลองสถานการณโ์ ดยคอมพวิ เตอร์ การใช้ เกมและการแสดงบทบาทสมมติ (role-playing) เทคนิคเชงิ คณิตศาสตร์ เชน่ โปรแกรมเชิงเสน้ และไม่ เชงิ เส้น (linear and non-linear programming) วิธีการมอนติคาร์โล (Monte Carlo method) วธิ กี ารคาดการณเ์ ทคโนโลยี ซง่ึ รวมถงึ แบบเดลฟาย รวมถงึ การตง้ั งบประมาณแบบแผนงาน (program budgeting) และการวิเคราะห์ต้นทุน-ประสิทธิผล (cost-effectiveness analysis)34 วิธีการเหล่านี้ ยังคงใช้อย่างแพรห่ ลายในวงการวิชาการและวงการวางแผนนโยบายท่ัวโลกในปจั จบุ นั แรนด์ คอร์ปอเรชันถือว่าเป็นองค์กรต้นแบบของอนาคตศึกษาที่ส�ำคัญของโลก นักอนาคต ศึกษาของแรนด์ท่ีมีผลงานส�ำคัญในยุคแรกน้ีคือเฮอร์มัน คาน (Herman Kahn) ซึ่งเช่ียวชาญด้าน การวางแผนยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะด้านความมั่นคงและการทหาร หนังสือส�ำคัญของคานได้แก่ “On Thermonuclear War” ท่ีเผยแพร่ใน พ.ศ. 2503 “Thinking about the unthinkable” ใน พ.ศ. 2505 และ “The Year 2000: a framework for speculation on the next thirty-three years” ใน พ.ศ. 2510 นักวิจัยท่ีเคยท�ำงานที่แรนด์แยกตัวออกมาต้ังองค์กรและสถาบันเกี่ยวกับการศึกษา อนาคตหลายแหง่ ในสหรัฐอเมรกิ า อาทิ สถาบนั ฮดั สนั (Hudson Institute) ท่ีก่อต้ังโดยเฮอร์มัน คาน สถาบันสำ� หรบั อนาคต (Institute for the Future) และ เดอะ ฟิวเจอรส์ กรบุ๊ (The Futures Group) รวมถงึ องคก์ รและบรษิ ทั ทปี่ รกึ ษาจำ� นวนมากทว่ั โลกทป่ี ระยกุ ตใ์ ชแ้ นวคดิ เชงิ ระบบและวธิ กี าร อ่ืน ๆ ในการวิเคราะห์และคาดการณ์เหตกุ ารณใ์ นอนาคตท่พี ฒั นาขน้ึ ทแี่ รนด์ แนวทางวิเคราะห์แบบน้ีนอกจากเน้นการพยากรณ์เชิงประจักษ์ (predictive-empirical) แล้ว ยงั คงเป็นการประมาณค่าตามแนวโนม้ (conformist-extrapolative) ซึง่ คาดการณก์ ารเปลย่ี นแปลง (prognosis) การวางแผน และการคาดการณด์ า้ นเทคโนโลยแี ละดา้ นเศรษฐกจิ เปน็ หลกั จดุ แขง็ ขอ้ หนงึ่ ของแนวคดิ และแนวทางการศกึ ษาอนาคตแบบนคี้ อื ความเปน็ กลางหรอื ภววสิ ยั และไมม่ อี คตหิ รอื ขน้ึ อยู่ กบั คณุ ค่าหรอื คา่ นิยมใด ๆ แต่แนวทางนีไ้ ดร้ บั การวพิ ากษว์ ่า ประเด็นและกรอบการวเิ คราะห์มักแคบ และไม่ตระหนกั ถงึ บรบิ ทเง่อื นไขของเร่ืองน้ัน ๆ นอกจากน้ี การพยากรณ์ท่มี ผี ลลพั ธ์เปน็ ภาพอนาคต

31 | อนาคตศกึ ษา ตามแนวโน้มอาจส่อื ถึงการหลีกเลีย่ งไมไ่ ด้และตอ้ งยอมรับตามชะตากรรม หากแนวโน้มมีผลลพั ธ์เชิง ลบอาจให้ผู้เกีย่ วข้องรสู้ ึกหมดหวัง ถ้าคิดวา่ ไมส่ ามารถท�ำอะไรเพื่อแก้ไขปรับเปล่ยี นแนวโนม้ นนั้ ได้ การพยากรณเ์ ปน็ ความพยายามทจ่ี ะรถู้ งึ ภาพอนาคตทม่ี อี ยหู่ นงึ่ เดยี ว นกั พยากรณจ์ งึ ตอ้ งพฒั นา วิธีการศึกษาที่จะท�ำให้ภาพอนาคตมีความคมชัดและแม่นยำ� ที่สุด นักอนาคตศึกษาหลายคนเสนอ แนวทางการแบง่ ประเภทของการพยากรณ์ไว้ หน่ึงในน้นั คอื แบร์ทรอ็ ง เดอ จวู ีเนล (Bertrand de Jouvenel) ซงึ่ เสนอในหนงั สอื ชอื่ L'Art de la Conjecture (The Art of Conjection) ไว้วา่ การ พยากรณแ์ บง่ ออกเปน็ 2 ประเภทหลกั คอื การพยากรณเ์ ชงิ วทิ ยาศาสตร์ (scienctific prediction) และ การพยากรณเ์ ชงิ ประวตั ศิ าสตร์ (historical conjection) แบบแรกเปน็ การพยากรณก์ ารเปลยี่ นแปลง ของสภาพกายภาพทเี่ กดิ จากการพฒั นาดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี การทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ และการสร้างตน้ แบบทางวิศวกรรมในหอ้ งทดลองถือวา่ เป็นการพยากรณ์เชิงวิทยาศาสตร์ เนอ่ื งจาก มีการต้ังสมมติฐานขึ้นมาตามกรอบแนวคิด แล้วเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือพิสูจน์ความเป็นไปได้ ทางทฤษฎีที่ได้ต้ังไว้แต่ตอนต้น กระบวนการวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ที่ด�ำเนินการอย่างเป็นระบบ นี้ ใช้ท่ัวไปในการพยากรณ์การเปล่ียนแปลงในส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ ตัวอย่างท่ีเห็นได้ชัดคือการ พยากรณ์อากาศ อย่างไรก็ตาม การพยากรณ์เชิงวิทยาศาสตร์มีข้อจ�ำกัดอยู่มาก แม้ว่าความสามารถในการ พยากรณ์อากาศได้พัฒนาข้ึนมาก แต่กระน้ันนักวิเคราะห์ก็ยังไม่สามารถพยากรณ์การเกิดข้ึนของ ภัยพิบัติทางธรรมชาติได้อย่างแม่นย�ำเสมอไป การเกิดพายุไต้ฝุ่น แผ่นดินไหว คลื่นสึนามิ อาจพอ พยากรณไ์ ดใ้ นระดบั ภาพรวมและในระยะสนั้ เมอื่ ภยั พบิ ตั นิ น้ั ไดก้ อ่ ตวั ขน้ึ แลว้ แตย่ งั ไมส่ ามารถพยากรณ์ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละพื้นท่ีได้อย่างแม่นย�ำเท่าใด แบบจ�ำลองด้านภูมิอากาศในระดับโลก อาจสามารถแสดงอุณหภูมิและระดับน�้ำทะเลที่เพิ่มข้ึนและสภาพภูมิอากาศที่ปรวนแปร แต่ยังไม่ สามารถพยากรณ์ได้อยา่ งแม่นยำ� ว่า ปรมิ าณฝนทต่ี กลงมาในแตล่ ะพืน้ ทีจ่ ะมมี ากน้อยเทา่ ใด และจะ มีผลกระทบโดยตรงอย่างไรบ้างกับคนในพื้นท่ีนั้น ตัวอย่างน้ีแสดงถึงข้อจ�ำกัดในการพยากรณ์ทาง วทิ ยาศาสตร์ท่ีมีอย่ใู นปัจจุบนั สว่ นการพยากรณ์เชิงประวัติศาสตร์น้ัน เดอ จูวีเนล หมายถึงการพยายามรู้ถึงอนาคตของ พฤติกรรมมนุษย์ ข้อเสนอของเดอ จูวีเนลแตกต่างจากนักสังคมศาสตร์ในยุคศตวรรษที่ 19 และ 20 ที่พยายามพัฒนาศาสตร์ว่าด้วยมนุษย์กับสังคมให้มีความเป็นวิทยาศาสตร์มากข้ึน ตัวอย่าง เช่น ออกุสต์ กองต์ (Auguste Comte) เสนอแนวคิดของศาสตร์ท่ีเรียกว่า ฟิสิกส์สังคม (social physics) ซ่ึงต่อมากลายเป็นพ้ืนฐานความคิดหน่ึงในสังคมวิทยา เดอ จูวีเนล แย้งว่า การใช้ ทฤษฎีและเครอ่ื งมอื บางอยา่ งเพอื่ รถู้ งึ อนาคตของพฤตกิ รรมมนษุ ยถ์ อื เปน็ การพยากรณแ์ บบหนงึ่ แต่ เนอ่ื งจากมนษุ ย์และปัจจัยดา้ นสังคมวฒั นธรรมมีความซบั ซอ้ นมาก การใช้เครอื่ งมือทางวิทยาศาสตร์ ในการพยากรณ์อนาคต จึงไม่น่าจะมีความแม่นย�ำมากไปกว่าการท�ำนายโชคชะตาในสมัยโบราณ การท�ำความเข้าใจในอนาคตของมนุษย์และสังคมจ�ำเป็นต้องใช้เคร่ืองมืออ่ืนท่ีเข้าใจถึงและยอมรับ ในความซบั ซอ้ นดงั กล่าว

อนาคตศึกษา | 32 อนาคตเชงิ วพิ ากษ์ และปทสั ถาน อนาคตศกึ ษาเชิงวิพากษ์และเชงิ ปทสั ถานหรอื บรรทดั ฐาน (critical-normative) พัฒนาขนึ้ ในยคุ ต่อ มา โดยม่งุ วพิ ากษก์ ลมุ่ นกั อนาคตศกึ ษาแนวประจักษน์ ยิ มที่มมี ากอ่ นหน้าน้นั ซ่ึงถอื วา่ เป็นนกั วชิ าการ กระแสหลักในทศวรรษที่ 1950 อนาคตศึกษาเชงิ วพิ ากษเ์ น้นความรเู้ ชงิ ปลดปลอ่ ย (emancipatory knowledge) ซ่งึ มองวา่ ความรเู้ กย่ี วกบั อนาคตไมไ่ ดป้ ราศจากอคติและคุณค่า ดงั ทนี่ ักอนาคตศกึ ษา แนวปฏฐิ านนยิ มยดึ ถอื มาตลอด นกั คดิ หลายสาขาในทศวรรษท่ี 1950 เรม่ิ วพิ ากษว์ จิ ารณก์ ารพยากรณ์ อนาคตเพื่อตอบรับนโยบายของรัฐบาลในการวางแผนด้านการทหาร โดยเฉพาะแนวคิดและวิธีการ พยากรณอ์ นาคตของกลมุ่ นกั วเิ คราะหข์ องแรนด์ คอรป์ อเรชนั ทสี่ รา้ งฉากทศั น์ ทางทหารสำ� หรบั รฐั บาล สหรฐั ฯ ในยคุ สงครามเยน็ นกั วชิ าการเชงิ วพิ ากษเ์ สนอวา่ ภาพอนาคตไมไ่ ดม้ อี ยหู่ นงึ่ เดยี ว และรฐั บาล หรอื คนกลมุ่ หนงึ่ ไมค่ วรยดึ ภาพอนาคตมาครอบครองและควบคมุ เพอ่ื ประโยชนข์ องตนเอง แตอ่ นาคต มีอยู่หลายภาพ และคนกลมุ่ อ่ืน สามารถจินตนาการ ออกแบบ และสรา้ งข้นึ มารว่ มกนั ได้ นกั วชิ าการเชงิ วพิ ากษห์ ลายกลมุ่ กอ่ ตง้ั กลมุ่ วจิ ยั และตพี มิ พผ์ ลงานทเ่ี สนอแนวคดิ การศกึ ษาอนาคตที่ ใหค้ นเปน็ ศนู ยก์ ลาง และเสนอใหล้ ดความสำ� คญั ของการวางแผนของรฐั และการพยากรณอ์ นาคตทมี่ งุ่ เนน้ การวเิ คราะหฉ์ ากทศั นข์ องการทำ� สงคราม นกั วชิ าการเหลา่ นวี้ พิ ากษแ์ นวคดิ การศกึ ษาอนาคตดว้ ยวธิ กี าร พยากรณอ์ นาคตแบบของแรนด์ พรอ้ มเสนอแนวคดิ ทางเลอื กในการศกึ ษาและวางแผนอนาคตทม่ี คี วาม หลากหลายมากขนึ้ แนวคดิ ทางเลอื กเหลา่ นโี้ ดยมากนำ� เสนอโดยนกั คดิ ชาวยโุ รป นกั เขยี นและนกั วชิ าการดา้ นสนั ตภิ าพเปน็ กลมุ่ หนงึ่ ทวี่ พิ ากษก์ ารศกึ ษาอนาคตเพอื่ การทำ� สงคราม35 นกั คดิ กลมุ่ นเ้ี ชอื่ วา่ การศกึ ษาอนาคตตอ้ งใหค้ วามสำ� คญั กบั สนั ตภิ าพและวธิ กี ารแกไ้ ขปญั หาความขดั แยง้ ตวั อยา่ งนกั เขยี นในกลมุ่ นไ้ี ดแ้ ก่ โรเบริ ต์ ยงุ ค์ (Robert Jungk) นกั เขยี นชาวออสเตรยี ซงึ่ ตพี มิ พห์ นงั สอื ชอ่ื Tomorrow is Already Here ใน พ.ศ. 2495 โดยมเี นอ้ื หาวพิ ากษส์ งั คมอเมรกิ นั ทพ่ี งึ่ พาการใชเ้ ทคโนโลยี และการครอบครองอนาคต (colonization of the future) โดยกลมุ่ ชนชน้ั นำ� ในทำ� นองเดยี วกนั โยฮาน กลั ตงั (Johan Galtung) กอ่ ตงั้ สถาบนั วจิ ยั สนั ตภิ าพ (Peace Research Institute) ขนึ้ ในกรงุ ออสโล นอรเ์ วย์ ใน พ.ศ. 2502 เพอื่ ศกึ ษาอนาคตของสนั ตภิ าพในโลก สว่ นนกั สงั คมวทิ ยาและอนาคตศกึ ษาชาวดทั ชช์ อื่ เฟรด โพลกั (Fred Polak) ตพี มิ พห์ นงั สอื ชอ่ื The Image of the Future ใน พ.ศ. 2498 เปน็ ภาษาดทั ช์ ซงึ่ ตอ่ มาไดแ้ ปลเปน็ ภาษาองั กฤษใน พ.ศ. 250436 โพลกั นำ� เสนอแนวคดิ อนาคตทางเลอื กทจ่ี นิ ตนาการได้

33 | อนาคตศึกษา (imagined alternative futures) ซ่ึงกลายเป็นพื้นฐานแนวคิดส�ำคัญของอนาคตศึกษาในยุคต่อมา โพลกั เสนอวา่ ความรงุ่ เรอื งหรอื ความตกตำ�่ ของสงั คมมกั เกดิ ขนึ้ จรงิ หลงั จากทคี่ นในสงั คมนนั้ มมี โนภาพของ อนาคตทแ่ี สดงถงึ ความรงุ่ เรอื งขน้ึ หรอื ความตกตำ่� ลง ดงั นน้ั ตราบใดทผี่ คู้ นในสงั คมยงั มภี าพอนาคตทเี่ ปน็ บวก และแสดงความรงุ่ เรอื งอยู่ สงั คมวฒั นธรรมนนั้ คงยงั พฒั นาตอ่ ไปไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ แตเ่ มอื่ ไหรท่ ภี่ าพอนาคตของ ผคู้ นเรมิ่ แสดงถงึ ความตกตำ�่ และความเสอื่ มลง สงั คมวฒั นธรรมนน้ั กย็ ากทจ่ี ะรงุ่ เรอื งตอ่ ไป ดว้ ยเหตดุ งั กลา่ ว กระบวนการสรา้ งภาพอนาคตทเ่ี ปน็ ทางเลอื กของสงั คมจงึ มคี วามสำ� คญั อยา่ งยงิ่ สำ� หรบั สงั คมนนั้ กลมุ่ นกั อนาคตศาสตรเ์ ชงิ วพิ ากษค์ า่ ยยโุ รป ซง่ึ นำ� โดย โยฮาน กลั ตงั รว่ มจดั การประชมุ นานาชาติ ของนกั วจิ ยั ดา้ นอนาคตศกึ ษา (The First International Future Research Conference) เปน็ ครง้ั แรก ทก่ี รงุ ออสโล ประเทศนอรเ์ วยใ์ น พ.ศ. 2510 ครงั้ ตอ่ มาทเี่ มอื งเกยี วโต ประเทศญป่ี นุ่ ใน พ.ศ. 2513 และ กรงุ บคู าเรสต์ ประเทศโรมาเนยี ใน พ.ศ. 2515 จนนำ� ไปสกู่ ารจดั ตง้ั สมาพนั ธอ์ นาคตศกึ ษาโลก (World Futures Studies Federation) ทก่ี รงุ ปารสี ใน พ.ศ. 251637 พรอ้ มกนั นวี้ งการอนาคตศกึ ษาทางเลอื ก เรมิ่ กอ่ ตวั ขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ ในฝรง่ั เศส แกสตอง แบรเ์ จย์ (Gaston Berger) จดั ตง้ั ศนู ยน์ านาชาตวิ า่ ดว้ ยการ ศกึ ษาอนาคต (Centre International de Prospective) ใน พ.ศ. 2500 เพอื่ สง่ เสรมิ การมสี ว่ นรว่ มใน กระบวนการศกึ ษาและวางแผนอนาคต สว่ นแบรท์ รอ็ ง เดอ จวู เี นลไดจ้ ดั ตง้ั สมาคมนานาชาตกิ ารศกึ ษา อนาคต (Association Internationale de Futuribles) ทก่ี รงุ ปารสี ใน พ.ศ. 2503 สว่ นเดนนสิ เกเบอร์ (Dennis Gabor) นกั อนาคตศกึ ษาชาวองั กฤษ เขยี นหนงั สอื ชอ่ื Inventing the Future ใน พ.ศ. 2506 และ The Mature Society: A View of the Future ใน พ.ศ. 2515 นกั อนาคตศกึ ษากลมุ่ นเี้ ชอื่ ในความจำ� เปน็ และความสำ� คญั ของการศกึ ษาอนาคตระดบั โลกทเ่ี นน้ คน เปน็ ศนู ยก์ ลาง โดยเฉพาะนกั อนาคตศกึ ษาดา้ นสนั ตภิ าพยำ�้ เนน้ วา่ วงการอนาคตศกึ ษาไมค่ วรปลอ่ ยให้ ทศิ ทางของงานอนาคตศกึ ษาถกู กำ� หนดโดยนกั วเิ คราะหแ์ ละผวู้ า่ จา้ งทสี่ นใจในเรอื่ งการทำ� สงครามและ การทหารแตเ่ พยี งอยา่ งเดยี ว กระนน้ั กต็ าม งานศกึ ษาอนาคตทไี่ ดร้ บั ความสำ� คญั และเงนิ สนบั สนนุ สว่ นมาก ในชว่ งกอ่ นทศวรรษท่ี 1990 ยงั คงเปน็ งานเชงิ ยทุ ธศาสตรท์ เ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การทหาร เนอื่ งดว้ ยสถานการณ์ และเงอื่ นไขของสงครามเยน็ ระหวา่ งคา่ ยทนุ นยิ มตะวนั ตกทมี่ สี หรฐั อเมรกิ าเปน็ ผนู้ ำ� กบั คา่ ยคอมมวิ นสิ ต์ ทม่ี สี หภาพโซเวยี ตเปน็ พใ่ี หญ่ จดุ เปลย่ี นครง้ั สำ� คญั เกดิ ขนึ้ หลงั จากการสงครามเยน็ ไดส้ น้ิ สดุ ลงในชว่ งตน้ ทศวรรษท่ี 1990 เมอ่ื ระบอบการปกครองในยโุ รปตะวนั ออกมกี ารเปลยี่ นแปลงครง้ั ใหญ่ ประเดน็ ปญั หา และหวั ขอ้ อน่ื จงึ ไดร้ บั ความสำ� คญั มากขนึ้ ในวงการอนาคตศกึ ษา อาทิ การพฒั นาระบบเศรษฐกจิ และ ระบบการเมอื งแบบประชาธปิ ไตยในอดตี ประเทศคอมมวิ นสิ ต์ การพฒั นาทยี่ งั่ ยนื และการเปลย่ี นแปลง สภาพภมู อิ ากาศของโลก เปน็ ตน้ ในทศวรรษท่ี 1950 ทงั้ ฝรง่ั เศสและสหภาพโซเวยี ตตอ้ งฟน้ื ฟปู ระเทศตนเองหลงั จากสงครามโลก ครง้ั ทสี่ อง นกั คดิ ชาวฝรงั่ เศสพยายามเสนอแนวคดิ ในการสรา้ งอนาคตทด่ี กี วา่ สำ� หรบั ฝรงั่ เศสและสำ� หรบั ประชาคมโลกหลงั สงคราม สว่ นสหภาพโซเวยี ตกพ็ ยายามสรา้ งระบบเศรษฐกจิ ขนึ้ มาใหมภ่ ายใตแ้ นวคดิ คอมมวิ นสิ ตท์ รี่ วมศนู ยก์ ารวางแผนเศรษฐกจิ และสงั คมในระดบั ประเทศ ความพยายามของทงั้ สองประเทศ นี้ แมแ้ ตกตา่ งกนั ในแนวคดิ พนื้ ฐานและกระบวนการ แตท่ ง้ั คกู่ ม็ งุ่ ไปทก่ี ารเปลย่ี นแปลงเชงิ โครงสรา้ งของ เศรษฐกจิ และสงั คมในระยะยาว การศกึ ษาอนาคตจงึ กลายเปน็ กจิ กรรมสำ� คญั ของวงการวชิ าการและ วงการวางแผนระดบั ประเทศของทงั้ สองประเทศในยคุ ดงั กลา่ ว

อนาคตศกึ ษา | 34 จะเหน็ ไดว้ า่ ในชว่ งแรกของการพฒั นาวงการอนาคตศกึ ษา แนวคดิ และวธิ กี ารพนื้ ฐานในการศกึ ษา ภาพอนาคตในสหรฐั อเมรกิ าและในยโุ รปแตกตา่ งกนั อยา่ งชดั เจน นกั อนาคตศกึ ษาในสหรฐั อเมรกิ าเนน้ งาน วเิ คราะหเ์ ชงิ ประยกุ ตท์ มี่ งุ่ ไปทกี่ ารตดั สนิ ใจเชงิ นโยบาย โดยใชว้ ธิ กี ารเชงิ ปรมิ าณและการวเิ คราะหร์ ะบบ ในขณะทนี่ กั อนาคตศกึ ษาในยโุ รปเนน้ ภาพอนาคตระยะยาวของโลกและมนษุ ยชาติ โดยมกี ระบวนการ วธิ ี การและผเู้ ขา้ รว่ มกระบวนการทหี่ ลากหลายมากกวา่ นกั วชิ าการและนกั วางแผนนโยบายทวั่ ไป พหนุ ยิ มในอนาคตศกึ ษา กระบวนทศั นเ์ กยี่ วกบั อนาคตเรมิ่ เปลย่ี นไปในชว่ งตน้ ทศวรรษที่ 1960 จากเดมิ ทเี่ ชอื่ ในอนาคตที่ เป็นหนงึ่ เดียว (singular) เปน็ อนาคตทมี่ คี วามเป็นพหุ (plural) การเปล่ยี นแปลงนีเ้ ป็นไปตามกระแส ความคดิ ในวงการวชิ าการดา้ นสงั คมศาสตรใ์ นยโุ รปและสหรฐั อเมรกิ า นกั ปรชั ญา นกั วทิ ยาศาสตรแ์ ละ นักสังคมศาสตร์จ�ำนวนมากเริ่มวิพากษ์แนวคิดปฏิฐานนิยมและประจักษ์นิยม โดยเริ่มยอมรับมาก ข้ึนว่า วิทยาศาสตร์ไม่ได้มีเฉพาะความรู้ (knowledge) อยู่หนึ่งเดียว แต่ประกอบด้วยพหุความรู้ (knowledges) ท่ีข้ึนอยู่กับบริบทของประเด็นปัญหาและชุมชนนักปฏิบัติ (community of prac- tice) แต่ละกลุ่มมีพ้ืนฐานทางทฤษฎีแนวคิด ความเช่ือ วัตถุประสงค์และวิธีการแสวงหาความรู้ แตกต่างกัน นักคิดส�ำคัญท่ีวิพากษ์ทฤษฎีว่าด้วยความรู้และวิทยาศาสตร์แบบปฏิฐานนิยมมีอยู่หลาย สำ� นกั คิด แตล่ ะคนมีมุมมองในการวิพากษแ์ ตกต่างกัน หน่ึงในนน้ั คือธอมสั คนู (Thomas Kuhn) นกั ฟสิ ิกสแ์ ละนักปรัชญาวิทยาศาสตรช์ าวอเมรกิ นั ซึ่งเสนอวา่ ความจรงิ ทางวทิ ยาศาสตร์ ณ เวลาใดเวลา หนึ่ง ไม่สามารถก�ำหนดโดยเกณฑ์เชิงวัตถุวิสัย (objective) แต่ก�ำหนดโดยฉันทามติของกลุ่มชุมชน วทิ ยาศาสตร์ ในขณะเดยี วกนั กระบวนทศั น์ (paradigm) ทแี่ ขง่ ขนั กนั อยใู่ นแตล่ ะชว่ งเวลามกั ไมส่ ามารถ นำ� มาเปรยี บเทียบกันได้ (incommensurable) เนอื่ งจากแตล่ ะกระบวนทศั น์อธิบายความจริงทแี่ ตก ตา่ งกนั อยา่ งส้ินเชงิ ด้วยเหตนุ ้ี ความเข้าใจในวทิ ยาศาสตร์จงึ ไม่สามารถพึง่ วตั ถวุ สิ ยั อย่างเดยี วได้ และ ต้องค�ำนึงถึงมุมมองท่ีเป็นอัตวสิ ยั หรอื ความคิดเห็นของผ้ทู ่ีเกีย่ วข้องด้วยเชน่ กนั ข้อสรุปทอี่ ้างว่าเปน็ วัตถุวสิ ัยทา้ ยท่สี ดุ แลว้ ยังคงตง้ั อยบู่ นเงื่อนไขและโลกทศั นท์ ี่เป็นอตั วิสยั ของนักวจิ ัยอยดู่ ี นอกจากน้ี เยอรเ์ กน ฮาเบอร์มาส (Jürgen Habermas) นกั ปรัชญาและสงั คมวทิ ยาชาวเยอรมัน เปน็ อีกคนหนึ่งที่เสนอแนวคดิ ทีป่ ฏเิ สธทฤษฎีความร้แู บบปฏิฐานนยิ ม ขอ้ เสนอของฮาเบอรม์ าสจดั อยู่ ในกลุม่ ส�ำนกั คิดแฟรงค์เฟิรต์ (Frankfurt School) ซึง่ เปน็ ผู้นำ� ดา้ นทฤษฎีวพิ ากษ์ (Critical Theory) ท่ีเน้นการไตร่ตรองความคิดและวิพากษ์สังคมและวัฒนธรรม โดยใช้ความรู้จากหลากหลายสาขาใน สังคมศาสตร์และมนษุ ยศาสตร์ เพ่อื ปลดปลอ่ ยมนุษย์จากโครงสรา้ งและเงอ่ื นไขท่ีกดทับอยู่ ความคิด พหนุ ยิ ม (pluralism) จงึ พฒั นามาจากการวพิ ากษแ์ นวคดิ เชงิ ปฏฐิ านนยิ มในปรชั ญาความรแู้ ละปรชั ญา วทิ ยาศาสตร์ท่ีมีมากอ่ นหนา้ น้ัน ฮาเบอรม์ าสแบง่ ขอบเขตความสนใจทวั่ ไปของมนษุ ย์ (generic domains of human interest) ท่ีสรา้ งความร้ไู ว้ 3 กลมุ่ ด้วยกัน ไดแ้ ก่ ความรู้เกีย่ วกบั การท�ำงาน (work) เกี่ยวกบั ปฏสิ ัมพนั ธ์ (inter- action) และเกี่ยวกบั อำ� นาจ (power) ความรูเ้ กย่ี วกับการท�ำงานหมายถงึ วธิ ีการและความสามารถที่ มนษุ ยส์ ามารถใชใ้ นการควบคมุ และจดั การสงิ่ แวดลอ้ มรอบตนเอง หรอื ทเ่ี รยี กวา่ กจิ กรรมเชงิ เครอ่ื งมอื

35 | อนาคตศึกษา (instrumental action) ความรู้ลักษณะนี้ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์และพิสูจน์เชิงประจักษ์และอยู่ภาย ใต้ข้อก�ำหนดเชิงเทคนิค กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เน้นกรอบทฤษฎีด้วยการตั้งสมมติฐานและ การอนุมาน (hypothetico-deductive) ถือเป็นกระบวนทัศน์หลักของการสร้างความรู้รูปแบบนี้ ดงั นนั้ ความรจู้ ากวทิ ยาศาสตรก์ ายภาพทว่ั ไป ทงั้ ฟสิ กิ ส์ เคมแี ละชวี วทิ ยา ถอื วา่ อยใู่ นกลมุ่ ความรแู้ บบน้ี ความรู้กลุ่มที่สองท่ีเรียกว่าความรู้เชิงปฏิบัติ (practical knowledge) มุ่งไปที่ปฏิสัมพันธ์ทาง สังคมของมนุษย์ หรือกิจกรรมเชิงสื่อสาร (communicative action) ความรู้เชิงปฏิสัมพันธ์ทาง สังคมนี้ก�ำหนดและควบคุมโดยการสร้างบรรทัดฐานทางสังคม (norms) ท่ีสมาชิกร่วมกันสร้างขึ้น มา เพ่ือก�ำหนดความคาดหวังซ่ึงกันและกันเก่ียวกับพฤติกรรมของสมาชิกในสังคมน้ัน ๆ ตามความ คิดของฮาเบอร์มาส บรรทัดฐานทางสังคมอาจเกิดจากข้อเสนอเชิงประจักษ์ (empirical) หรือเชิง วิเคราะห์ (analytical) ก็ได้ แต่ความถูกต้องหรือความสมเหตุสมผล (validity) ของความรู้ในรูป แบบน้ีไม่ได้ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่เป็นวัตถุวิสัย แต่ขึ้นอยู่กับอัตวิสัยร่วม (intersubjectivity) ของความ เข้าใจซึ่งกันและกันเกี่ยวกับความต้ังใจของแต่ละคนในชุมชนนั้น งานเขียนและงานวิชาการด้าน สังคมศาสตร์ ประวัติศาสตร์ นิติศาสตร์ มนุษยศาสตร์และศิลปศาสตร์ จัดว่าอยู่ในขอบเขตความรู้ เชิงปฏิบัติ (practical domain) น้ี ขอบเขตความรู้เชิงปลดปล่อย (emancipatory domain) หรือความรู้เกี่ยวกับตนเอง (self-knowledge) เกิดมาจากการตรึกตรองและสะท้อนความคิดของตนเอง ท้ังในด้านพัฒนาการ ของตนเอง รวมถึงบทบาทและความคาดหวังของสังคมที่แต่ละคนประสบอยู่ การปลดปล่อยในที่นี้ หมายถึงการหลุดพ้นจากข้อจ�ำกัดต่าง ๆ ทั้งด้านส่ิงแวดล้อมและสถาบันท่ีท�ำให้มนุษย์ไม่สามารถเป็น อิสระได้ การเข้าใจอย่างถ่องแท้และความตระหนักเกี่ยวกับตนเองถือว่าเป็นการปลดปล่อยตนเอง เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่าสาเหตุของปัญหาท่ีตนเองประสบอยู่นั้นอยู่ตรงไหน ความรู้จากการปลดปล่อย ตนเองด้วยการไตร่ตรองเกี่ยวกับตนเองน้ีน�ำไปสู่การปรับเปลี่ยนมุมมอง (perspective transforma- tion) และตามความคิดของฮาเบอร์มาส ความรู้ในรูปแบบน้ีเกิดขึ้นในศาสตร์เกี่ยวกับจิตวิเคราะห์ (psychoanalysis) ทฤษฎีสตรีนิยม (feminist theory) เป็นต้น ขตอารบาเขงทตี่ข1องความรู้ 3 รปู แบบตามความคิดของฮาเบอร์มาส ที่มา: Tinning (1992)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook