ฟอ้ นหางนกยงู : อตั ลักษณว์ ัฒนธรรมและการประดิษฐ์สร้างศิลปะการแสดงในประเพณีออกพรรษา บชู าพระธาตุพนม วิทยานิพนธ์ ของ ศภุ กร ฉลองภาค เสนอตอ่ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม เพ่ือเปน็ ส่วนหน่งึ ของการศึกษาตามหลักสตู ร ปรญิ ญาศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาการวจิ ยั และสร้างสรรค์ศลิ ปกรรมศาสตร์ กันยายน 2562 สงวนลิขสทิ ธเ์ิ ป็นของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ฟอ้ นหางนกยงู : อตั ลักษณว์ ัฒนธรรมและการประดิษฐ์สร้างศิลปะการแสดงในประเพณีออกพรรษา บชู าพระธาตุพนม วิทยานิพนธ์ ของ ศภุ กร ฉลองภาค เสนอตอ่ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม เพ่ือเปน็ ส่วนหน่งึ ของการศึกษาตามหลักสตู ร ปรญิ ญาศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาการวจิ ยั และสร้างสรรค์ศลิ ปกรรมศาสตร์ กันยายน 2562 สงวนลิขสทิ ธเ์ิ ป็นของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
Forn Hang Nok Yoong : Cultural Identity and Performing Art Invention in The End of Buddhist Lent Day through the Worship of Phra That Phanom Supakorn Chalongpak A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of Requirements for Master of Arts (Fine and Applied Arts Research and Creation) September 2019 Copyright of Mahasarakham University
คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ ได้พิจารณาวทิ ยานิพนธ์ของนายศุภกร ฉลองภาค แลว้ เห็นสมควรรบั เป็นส่วนหน่งึ ของการศกึ ษาตามหลักสูตรปริญญา ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการ วจิ ัยและสรา้ งสรรค์ศลิ ปกรรมศาสตร์ ของมหาวิทยาลยั มหาสารคาม คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ (ผศ. ดร. ทินกร อัตไพบลู ย์ ) ประธานกรรมการ (ผศ. ดร. อุรารมย์ จันทมาลา ) อาจารยท์ ีป่ รึกษาวทิ ยานิพนธ์หลัก (ผศ. ดร. พรี ะ พันลูกท้าว ) กรรมการ (ผศ. ดร. ปัทมาวดี ชาญสวุ รรณ ) กรรมการ มหาวิทยาลัยอนุมัติให้รับวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ เป็นส่วนหน่ึงของการศึกษาตามหลักสูตร ปรญิ ญา ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าการวจิ ัยและสรา้ งสรรค์ศิลปกรรมศาสตร์ ของมหาวิทยาลัย มหาสารคาม (รศ. ดร. ศภุ ชัย สงิ หย์ ะบศุ ย์ ) (ผศ. ดร. กรสิ น์ ชัยมูล ) คณบดีคณะศลิ ปกรรมศาสตร์ คณบดีบณั ฑิตวทิ ยาลัย
ง บทคั ดยอ่ ภาษาไทย ฟ้อนหางนกยงู : อัตลกั ษณ์วัฒนธรรมและการประดษิ ฐส์ ร้างศิลปะการแสดงใน ช่อื เร่ือง ประเพณีออกพรรษาบชู าพระธาตพุ นม ผูว้ ิจยั ศุภกร ฉลองภาค อาจารย์ทปี่ รกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. อุรารมย์ จันทมาลา ปริญญา ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา การวจิ ัยและสรา้ งสรรค์ศิลปกรรม ศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม ปที ่พี ิมพ์ 2562 บทคดั ยอ่ การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการศึกษาฟ้อนหางนกยูงซ่ึงเป็นนาฏกรรมในพิธีกรรมฟ้อนบูชาพระ ธาตุพนม จังหวัดนครพนม เพ่ือแสดงถึงความเคารพบูชาของพุทธศาสนิกชนที่มีความศรัทธาเลื่อมใส ต่อองค์พระธาตุพนม โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือศึกษาอัตลักษณ์วัฒนธรรมความเป็นมาและการประดิษฐ์ สร้างศิลปะการแสดงชุดฟ้อนหางนกยูงในประเพณีออกพรรษา ณ วัดพระธาตุพนม อาเภอธาตุพนม จงั หวดั นครพนม โวยการศึกษาเอกสาร และเก็บรวบรวมข้อมลู ภาคสนาม โดยการสารวจ สงั เกต และ สมั ภาษณ์ เคร่อื งมือท่ีใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสังเกต และ แบบสัมภาษณ์ จากกลุ่มผู้รู้ กลมุ่ ผูป้ ฏบิ ัติ บุคคลทัว่ ไป แลว้ นาเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยวธิ ีพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวจิ ัยพบว่า ฟอ้ นหางนกยูง เปน็ การฟ้อนทม่ี อี ตั ลักษณร์ ่วมระหวา่ งความเป็นอีสาน ล้านช้าง และความเป็นราชสานักแบบละครหลวงของไทยที่มีเอกลักษณ์ท่ีโดดเด่นเป็นของตัวเอง ใน เรื่องท่าฟ้อน เคร่ืองแต่งกาย และดนตรีท่ีใช้ในการบรรเลง มีวัฒนธรรมความเช่ือที่ปลูกฝังมาตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน ฟ้อนหางนกยูงมีแนวคิดในการประดิษฐ์สร้างชุดการแสดงจากการเลียนแบบกิรยิ า อาการของสตั ว์ประกอบกับท่าราอาวธุ ในการป้องกันตวั กระบวนท่าฟ้อนหางนกยูงจงึ มีความงามและ โดดเดน่ กว่าชดุ การแสดงอ่ืน ๆ โดยสรุป การแสดงท่ีมาจากประเพณีและความเชื่อเป็นการแสดงท่ีก่อให้เกิดสิริมงคล เชน่ เดียวกับการฟ้อนหางนกยูงท่ีแฝงคติความเชื่อปดั เป่าสิ่งไมด่ ีออกจากตวั และนาแต่สง่ิ ดี ๆ เขา้ มาใน ชวี ติ คาสาคญั : ฟ้อนหางนกยงู , อัตลกั ษณ์วัฒนธรรม, การประดิษฐ์สร้าง, ประเพณีออกพรรษา
จ บทคั ดย่อ ภาษาอังกฤษ Forn Hang Nok Yoong : Cultural Identity and Performing Art TITLE Invention in The End of Buddhist Lent Day through the Worship AUTHOR of Phra That Phanom ADVISORS DEGREE Supakorn Chalongpak UNIVERSITY Assistant Professor Ourarom Chantamala , Ph.D. Master of Arts MAJOR Fine and Applied Arts Research and Creation Mahasarakham YEAR 2019 University ABSTRACT This study explored Forn Hang Nok Yoong, which is a dramatic dance for the Buddhist worship the god of Phra That Phanom in Nakhon Phanom province. The purpose of this study was to determine the cultural Identity, history and performing art invention of the Forn Hang Nok Yoong for a major Buddhist tradition at The End of Buddhist Lent Day, which is held at Phra That Phanom temple in That Phanom District, Nakhon Phanom province. Data collection instruments included: papers, observation and interview questionnaire forms completed by witnesses, performers and locals. The results of the study were presented by descriptive statistics. The findings revealed that Forn Hang Nok Yoong is a performing art with unique characteristics, including those of Isan Lan Xang combined with distinguished Thai royal plays. The dance styles, costumes and music have been incorporated with local wisdom from the past to the present day. The performing art invention initiative originated from humans imitating animal and swordplay dances, which made Forn Hang Nok Yoong more fascinating and remarkable than other forms of dance.
ฉ As has been said, performances originating from traditional beliefs are often auspicious. Similar to Forn Hang Nok Yoong, people believe that it will get rid of evil and bring goodness to their lives. Keyword : Forn Hang Nok Yoong, Cultural Identity, Invention, Buddhist Lent Day through
ช กติ ตกิ รรมประกาศ กติ ติกรรมประกาศ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้สาเร็จลุล่วงได้ด้วยดีจากความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างดีย่ิงจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทินกร อัตไพบูลย์ ประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อุรารมย์ จันทมาลา อาจารย์ท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ ผู้เปิดโลกทัศน์และมุมมองอันกว้างไกลทางการศึกษา ส่องนาแสงสว่างอันอบอุ่นในชีวิตของผู้วิจัยและคอยกระตุ้นเตือนวินัยในการทางานให้เป็นไปตามแผน และเวลาท่ีวางไว้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปัทมาวดี ชาญสุวรรณ กรรมการบัณฑิตศึกษา ผู้ซึ่งเป็นพลัง ปัญญาชี้แนะแนวทางเพื่อให้ผู้วิจัยได้พัฒนาศักยภาพจนทาให้ผู้วิจัยตกผลึกและต่อยอดองค์ความรู้ใน งานวิจัยตลอดมา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พีระ พันลูกท้าว กรรมการบัณฑิตศึกษา ท่ีได้กรุณาให้ คาปรึกษา แนะแนวทางและช้ีนากรอบแนวคิดให้มีระเบียบมากข้ึน ผู้วิจัยขอน้อมกราบขอบพระคุณมา ณ ทีน่ ้ี กราบขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย สิงห์ยบุศย์ คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ ท่ี ให้ความรู้และมอบโอกาสให้ผู้วิจัยได้พัฒนาศักยภาพของตนเอง คณาจารย์ผู้เป็นที่เคารพแห่งคณะ ศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม ตลอดจนบรมครูนาฏยศิลป์และศลิ ปะการแสดงทุกท่านท่ีได้ ส่ังสอน ต่อยอดความรู้ บ่มเพาะ ขัดเกลาให้ผู้วิจัยมีทุนทางปัญญามาศึกษาต่อในระดับปริญญา มหาบณั ฑติ กราบขอบพระคุณ ดร.อร่ามจิต ชิณช่าง คุณครูจันทร รัศมี คุณครูวัฒนศักด์ิ พัฒนภูธร และ คุณครูบุญพร บุญคา ท่ีเสียสละเวลาอันมีค่า ให้ความรู้ความร่วมมือตลอดจนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อ การวิจยั ทาให้วทิ ยานพิ นธเ์ ล่มน้สี มบูรณย์ ่งิ ข้ึน ขอกราบขอบพระคุณครอบครวั ฉลองภาคและครอบครัวพเิ ชฐพงศว์ มิ ุติ รม่ โพธิ์ทองในชีวิตของ ผวู้ จิ ัยทเ่ี ป็นพลังกาลังใจ กาลงั ทรพั ย์และความอบอุ่นในทกุ ก้าวย่างของชีวิต กราบขอบพระคุณการดูแลช่วยเหลือจาก ดร.วราพร แก้วใส ดร.นพรัตน์ บัวพัฒน์ ดร.เกษ นิภา นิลบาลัน ดร.นันทวัน สังขะวร และ ดร.ธัญลกั ษณ์ มูลสุวรรณ ที่ให้คาแนะนาในการวจิ ัยทั้งยังมอบ ความรัก ความเมตตาและความอบอุ่นให้ผวู้ จิ ัยตลอดมา ขอขอบคุณ อาจารย์สดุ ารตั น์ อาฒยะพนั ธุ์ และ นายศุภวัฒน์ นามปัญญา เพอ่ื นรว่ มอุดมการณใ์ นการก้าวเดนิ ส่เู สน้ ชยั ทางการศึกษามาด้วยกนั หากวทิ ยานพิ นธฉ์ บบั นจี้ ะก่อคุณประโยชน์อนั จะพึงมีในการศึกษาศิลปวฒั นธรรมการฟ้อนหาง นกยงู หรือเป็นการอนุรักษ์ศลิ ปะการแสดงท่ีเป็นมรดกภมู ิปญั ญาของชุมชนและจังหวดั จากงานวิจัยฉบับ นี้ผ้วู จิ ัยขอกราบบชู าคุณ บิดามารดาและผู้มีพระคุณท่ีให้ชีวิตและความดงี ามแก่ผวู้ จิ ัย กราบบชู าคุณบรม
ซ ครูแห่งนาฏยศิลป์และศิลปะการแสดงทุกท่านที่สังสอน ปั้นแต่งให้ผู้วิจัยสง่างามในศาสตร์อันทรงคุณค่า แก่ผู้วจิ ยั เพ่ือเปน็ การส่งั สม สบื สาน และสรา้ งสรรค์ ศิลปะและวัฒนธรรมอันดงี ามมาจนถึงทกุ วนั น้ี ศภุ กร ฉลองภาค
สารบญั หน้า บทคัดย่อภาษาไทย.............................................................................................................................ง บทคดั ย่อภาษาองั กฤษ....................................................................................................................... จ กติ ติกรรมประกาศ............................................................................................................................. ช สารบญั ............................................................................................................................................. ฌ สารบัญตาราง .................................................................................................................................... ฏ สารบญั ภาพ ...................................................................................................................................... ฐ บทท่ี 1 บทนา ................................................................................................................................... 1 ภมู หิ ลัง ......................................................................................................................................... 1 ความมงุ่ หมายของการวจิ ัย............................................................................................................ 6 คาถามการวิจัย ............................................................................................................................. 7 ความสาคญั ของการวิจัย ............................................................................................................... 7 นิยามศพั ท์เฉพาะ.......................................................................................................................... 7 กรอบแนวคิด................................................................................................................................ 8 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกีย่ วข้อง ............................................................................................ 9 1.องค์ความรู้ด้านสงั คมวฒั นธรรมอีสาน ..................................................................................... 10 2.องค์ความรู้ดา้ นนาฏกรรม........................................................................................................ 13 3. องคค์ วามร้ดู ้านดนตรแี ละการฟ้อนอสี าน ............................................................................... 18 4.บรบิ ทพื้นท่ีที่วิจยั ..................................................................................................................... 28 5. แนวคิดและทฤษฎีทีเ่ กยี่ วข้อง................................................................................................. 50 6 งานวิจยั ทเ่ี กี่ยวข้อง.................................................................................................................. 68 บทท่ี 3 วธิ กี ารดาเนนิ งานวจิ ัย........................................................................................................ 75
ญ 1.ขอบเขตการวิจยั ...................................................................................................................... 75 1.เนื้อหางานวิจยั ................................................................................................................. 75 2.วิธีการวจิ ัย........................................................................................................................ 76 3. ระยะเวลาในการวิจยั ...................................................................................................... 76 4. พืน้ ที่ทาการวิจัย.............................................................................................................. 77 5. ดา้ นประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง....................................................................................... 77 2.วิธีดาเนินการวิจัย .................................................................................................................... 78 1.เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูล............................................................................. 78 2. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล .................................................................................................... 78 3. การจดั ทาข้อมูล .............................................................................................................. 79 4.การวิเคราะห์ขอ้ มลู ........................................................................................................... 80 5.การนาเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล................................................................................... 80 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล......................................................................................................... 81 1. อัตลักษณ์วฒั นธรรมความเป็นมาของศิลปะการแสดง ชดุ ฟ้อนหางนกยูง ในประเพณอี อก พรรษา ณ วัดพระธาตุพนม อาเภอธาตุพนม จงั หวัดนครพนม............................................. 81 1.1ประวตั ิความเป็นมาวัดพระธาตุพนม อาเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม.......................... 81 1.2ความหมายของอตั ลกั ษณ์วฒั นธรรม .............................................................................. 91 1.2.1. พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา.................................................................................... 93 1.2.2. ประเพณีไหลเรอื ไฟ................................................................................................... 95 1.2.3การฟ้อนบูชาพระธาตพุ นม.......................................................................................... 99 1.3ฟอ้ นหางนกยงู ในประเพณีออกพรรษา .........................................................................110 2. กระบวนการประดษิ ฐส์ รา้ งของศิลปะการแสดง ชดุ ฟ้อนหางนกยงู ในประเพณีออกพรรษา ณ วัดพระธาตพุ นม อาเภอธาตพุ นม จงั หวัดนครพนม ............................................................130 2.1แนวคิดในการประดิษฐ์สร้างศิลปะการแสดง ................................................................131
ฎ 2.2รูปแบบการแสดง .........................................................................................................133 2.3กระบวนการเคลือ่ นไหว................................................................................................135 2.4ทา่ ฟ้อนหางนกยงู .........................................................................................................138 2.5เคร่อื งแตง่ กาย..............................................................................................................161 2.6ดนตรที ี่ใช้ในการแสดงฟ้อนหางนกยูง...........................................................................169 2.7.อปุ กรณ์ทีใ่ ช้ในการแสดง .............................................................................................184 บทท่ี 5 สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ..............................................................................203 สรปุ ผล .....................................................................................................................................203 อภิปรายผล............................................................................................................................... 209 ขอ้ เสนอแนะ.............................................................................................................................214 บรรณานกุ รม.................................................................................................................................216 ภาคผนวก...................................................................................................................................... 223 ภาคผนวก ก. รายนามผใู้ หส้ ัมภาษณ์ ........................................................................................224 ภาคผนวก ข เคร่อื งมือในการวิจัย.............................................................................................228 ภาคผนวก ค ภาพประกอบ .....................................................................................................236 ประวตั ิผเู้ ขยี น................................................................................................................................249
สารบญั ตาราง หนา้ ตาราง 1 กรอบแนวคดิ ...................................................................................................................... 8 ตาราง 2 การเปรยี บเทยี บการฟอ้ นหางนกยงู ในประเทศไทย.........................................................117 ตาราง 3 ตารางโนต้ เพลงลาวแพน (ทางไทย) ................................................................................173 ตาราง 4 ลายแคนล่องโขง .............................................................................................................182 ตาราง 5 ลายลาวแพน...................................................................................................................182 ตาราง 6 ลายทางสัน้ หรอื ลายเซ้งิ ...................................................................................................183
สารบญั ภาพ หนา้ ภาพประกอบ 1 แผนทจ่ี ังหวดั นครพนม .......................................................................................... 30 ภาพประกอบที่ 2 พระธาตพุ นม ...................................................................................................... 42 ภาพประกอบ 3 ภาพมุมสูง วัดพระธาตุพนม................................................................................... 82 ภาพประกอบ 4องค์พระธาตุพนม.................................................................................................... 83 ภาพประกอบ 5พระธาตุพนมล้ม ..................................................................................................... 86 ภาพประกอบ 6พระธาตุพนมลม้ ..................................................................................................... 87 ภาพประกอบ 7องค์พระธาตุพนม พ.ศ. 2480 ................................................................................. 87 ภาพประกอบ 8 พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว ฯ ในรชั กาลท่ี 9...................................................... 89 ภาพประกอบ 9พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว ฯ ในรชั กาลที่9 ทรงบรรจุพระบรมสารรี ิกธาตุ ......... 89 ภาพประกอบ 10บรเิ วณหนา้ วัดพระธาตพุ นม ................................................................................. 90 ภาพประกอบ 11 พทุ ธศาสนิกชนรว่ มตักบาตรเทโว ณ วัดพระธาตุพนม ......................................... 94 ภาพประกอบ 12 พทุ ธศาสนิกชนเวียนเทียนในวันออกพรรษา ณ วดั พระธาตุพนม ......................... 94 ภาพประกอบ 13 โครงสรา้ งเรอื ไฟ จงั หวดั นครพนม ....................................................................... 95 ภาพประกอบ 14 ประเพณีไหลเรือไฟนครพนม............................................................................... 96 ภาพประกอบ 15 เรอื ไฟ อาเภอธาตพุ นม จังหวดั นครพนม ............................................................. 99 ภาพประกอบ 16ภาพฟอ้ นบูชาพระธาตุพนม ................................................................................100 ภาพประกอบ 17 นกั แสดงฟ้อนบูชาพระธาตทุ าพิธที างศาสนาก่อนทาการแสดง...........................100 ภาพประกอบ 18 ราตานานพระธาตพุ นม .....................................................................................102 ภาพประกอบ 19 ราศรโี คตรบูรณ์ .................................................................................................103 ภาพประกอบ 20 ฟ้อนภไู ทเรณนู คร..............................................................................................104 ภาพประกอบ 21 ฟ้อนหางนกยงู .................................................................................................105
ฑ ภาพประกอบ 22 ราไทญ้อ............................................................................................................106 ภาพประกอบ 23 ฟ้อนขันหมากเบ็ง ..............................................................................................107 ภาพประกอบ 24 เซิง้ อีสานบ้านเฮา(ฟินนาเล่ย)์ .............................................................................108 ภาพประกอบ 25 แผนผงั ฟ้อนบชู าพระธาตุพนม..........................................................................109 ภาพประกอบ 26 การละเลน่ ญวนหก ไต่ลวดราแพน ในงานเทศกาลวัดอรุณ ร.ศ. 100.................111 ภาพประกอบ 27 ภาพจติ รกรรมฝาผนัง การถวายพระเพลงิ พระพุทธสรรี ะ .................................111 ภาพประกอบ 28ราเบิกโรง ชุด “ประเลง”....................................................................................113 ภาพประกอบ 29 ระบาแวววชิ นี....................................................................................................113 ภาพประกอบ 30 ฟ้อนหางนกยงู ลา้ นนาในพิธีไหว้ครชู า่ งศิลป์ คณะวจิ ติ รศลิ ป์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม.่ ...................................................................................................................................................... 115 ภาพประกอบ 31 ฟ้อนหางนกยูงหัวเรอื ........................................................................................116 ภาพประกอบ 32 ฟ้อนหางนกยงู จังหวัดนครพนม .........................................................................116 ภาพประกอบ 33 นางเกษมสุข สวุ รรณธรรมา .............................................................................122 ภาพประกอบ 34 ฟ้อนหางนกยงู รบั เสดจ็ สมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ในรชั กาลที่9 เมื่อปี พ.ศ. 2498......124 ภาพประกอบ 35 ฟ้อนหางนกยูงรบั เสดจ็ สมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวในรชั กาลท่9ี เม่อื ปี พ.ศ. 2498......125 ภาพประกอบ 36 คณุ ครจู นั ทร รศั มี.............................................................................................126 ภาพประกอบ 37 ฟ้อนหางนกยูง ปี พ.ศ. 2547 ............................................................................128 ภาพประกอบ 38 ฟ้อนหางนกยงู ปี พ.ศ. 2561 ............................................................................128 ภาพประกอบ 39 ภาพผงั แถวตอนลกึ ในการแสดงฟ้อนหางนกยงู ..................................................136 ภาพประกอบ 40 ภาพถ่ายแถวตอนลึกฟ้อนหางนกยงู ..................................................................136 ภาพประกอบ 41 ภาพผังวาดแถววงกลม 3 วง ในการแสดงฟอ้ นหางนกยูง...................................137 ภาพประกอบ 42 ภาพถา่ ยแถววงกลมฟ้อนหางนกยูง ...................................................................137 ภาพประกอบ 43 ทา่ ถวายบังคม หรอื ทา่ ไหว้ครู...........................................................................139 ภาพประกอบ 44 แหลวถลากาตากปีก..........................................................................................140
ฒ ภาพประกอบ 45 ถวายแถน..........................................................................................................141 ภาพประกอบ 46 ปัดรงั ควาน........................................................................................................142 ภาพประกอบ 47 ท่ายูงเหนิ ฟ้า......................................................................................................143 ภาพประกอบ 48 ท่าไหวค้ รู ..........................................................................................................144 ภาพประกอบ 49 ท่ายงู ราแพน .....................................................................................................145 ภาพประกอบ 50 ท่าปักหลัก.........................................................................................................146 ภาพประกอบ 51 ท่ายงู พิสมัย .......................................................................................................147 ภาพประกอบ 52 ท่ายูงรา่ ยไม้.......................................................................................................148 ภาพประกอบ 53 นกยงู ร่อนออก...................................................................................................149 ภาพประกอบ 54 ทา่ ยงู ราแพน .....................................................................................................150 ภาพประกอบ 55 ท่าราแพนปักหลกั .............................................................................................151 ภาพประกอบ 56 ทา่ ไหว้ครู ..........................................................................................................152 ภาพประกอบ 57 ทา่ ยูงพสิ มัย .......................................................................................................153 ภาพประกอบ 58 ท่ายูงฟ้อนหาง...................................................................................................154 ภาพประกอบ 59 ปักหลักลอดซมุ้ .................................................................................................155 ภาพประกอบ 60 ยูงร่ายไม้ ...........................................................................................................156 ภาพประกอบ 61 ยูงกระสันคู่........................................................................................................157 ภาพประกอบ 62 ยงู ลาแพนซุ้ม.....................................................................................................158 ภาพประกอบ 63 ทา่ ยงู ปัดรงั ควาน ...............................................................................................159 ภาพประกอบ 64 ยงู เหนิ ฟา้ ..........................................................................................................160 ภาพประกอบ 65 การแต่งกายยคุ ที่ 1 ...........................................................................................161 ภาพประกอบ 66 การแตง่ กายยคุ ท่ี 2 ...........................................................................................162 ภาพประกอบ 67 การแตง่ กายในยุคท่ี 3 แบบท่ี 1.........................................................................163 ภาพประกอบ 68 การแต่งกายในยคุ ท่ี 3 แบบท่ี 2.........................................................................164
ณ ภาพประกอบ 69 การแต่งหน้าในยุคท่ี 1.......................................................................................165 ภาพประกอบ 70 การแตง่ หน้าในยุคท่ี 2.......................................................................................166 ภาพประกอบ 71 การแตง่ หน้าในยคุ ท่ี 3.......................................................................................167 ภาพประกอบ 72 วงดนตรีพื้นบ้านโปงลางในพธิ ฟี ้อนบูชาพระธาตพุ นม ........................................169 ภาพประกอบ 73กลองหาง............................................................................................................170 ภาพประกอบ 74 กลองตุ้ม............................................................................................................170 ภาพประกอบ 75 พงั ฮาด ..............................................................................................................171 ภาพประกอบ 76 ระนาด ..............................................................................................................172 ภาพประกอบ 77 ฉง่ิ และฉาบ........................................................................................................172 ภาพประกอบ 78 โปงลาง..............................................................................................................176 ภาพประกอบ 79 พิณ ...................................................................................................................176 ภาพประกอบ 80 พิณเบส .............................................................................................................177 ภาพประกอบ 81 แคน ..................................................................................................................177 ภาพประกอบ 82 โหวด.................................................................................................................178 ภาพประกอบ 83 ฉาบ...................................................................................................................178 ภาพประกอบ 84 ฉิ่ง .....................................................................................................................179 ภาพประกอบ 85 ฉาบใหญ่ ...........................................................................................................179 ภาพประกอบ 86 กลองตุ้ม............................................................................................................180 ภาพประกอบ 87 กลองหาง.........................................................................................................180 ภาพประกอบ 88 ไหซอง...............................................................................................................181 ภาพประกอบ 89 ก้ับแก้บ .............................................................................................................181 ภาพประกอบ 90หางนกยงู ที่ใช้ในการแสดงฟ้อนหางนกยูงในพิธฟี ้อนบชู าพระธาตพุ นม ...............187 ภาพประกอบ 91 แผนผงั องค์ประกอบฟ้อนหางนกยงู ...................................................................188 ภาพประกอบ 92 ทา่ นกยูงร่อนออกกบั ท่าอนิ ทรยี ท์ ือเทยี นถ่อมถ้า ................................................190
ด ภาพประกอบ 93 ทา่ ยูงราแพนกับท่ากาแพงเพ็กดินแตก...............................................................191 ภาพประกอบ 94 ท่าราแพนปักหลักกบั ทา่ ชา้ งงานทอกตวงเตก็ ....................................................192 ภาพประกอบ 95 ทา่ ยงู พิสมัยกบั ทา่ ปลาต้อนหาดเหินเหียร.........................................................193 ภาพประกอบ 96 ท่ายูงฟอ้ นหางกบั ทา่ กอดแยง ............................................................................194 ภาพประกอบ 97 ทา่ ยงู ลาแพนซุม้ กบั ท่าชา้ งงานบานเดินอาจ.......................................................195 ภาพประกอบ 98 ท่ายงู ปดั รงั ควานกับท่าสางลายเดินเกล้ยี วกล่อม................................................196 ภาพประกอบ 99 ทา่ ยูงเหินฟ้าและทา่ แซวซดู น้าบินเหิน ...............................................................197 ภาพประกอบ 100 ท่าไหว้ครูและท่าเทพพนม...............................................................................198 ภาพประกอบ 101 การแต่งกายยคุ ท่ี 3 .........................................................................................199 ภาพประกอบ 102 สัมภาษณ์ผูเ้ ชี่ยวชาญดา้ นฟอ้ นหางนกยูง คุณครวู ฒั นศักด์ิ พฒั นภูทอง............237 ภาพประกอบ 103 ดร.อรา่ มจิต ชณิ ช่าง รองประธานสานักวัฒนธรรมจงั หวดั นครพนมคนท่2ี .......237 ภาพประกอบ 104 สมั ภาษณ์ผู้เชีย่ วชาญด้านฟ้อนหางนกยูง คุณครูจนั ทร รัศมี ............................238 ภาพประกอบ 105 สัมภาษณ์คุณครบู ญุ พร บุญคา ผฝู้ กึ ซ้อมฟ้อนหางนกยงู ..................................238 ภาพประกอบ 106 นกั เรยี นโรงเรยี นนครพนมเตรียมตวั ในการฝึกซ้อมฟอ้ นหางนกยงู ...................239 ภาพประกอบ 107 ประชมุ นักแสดงฟ้อนหางนกยูงกอ่ นลงสนามฝกึ ซอ้ ม .......................................239 ภาพประกอบ 108 นกั เรียนโรงเรียนนครพนมวิทยาคมฝึกซ้อมดนตรปี ระกอบการฟ้อนหางนกยงู .240 ภาพประกอบ 109 นักเรยี นโรงเรียนนครพนมวิทยาคมฝึกซอ้ มฟอ้ นหางนกยูง ..............................240 ภาพประกอบ 110 ลงพน้ื ทภี่ าคสนามวนั ซ้อมใหญ่ ฟ้อนหางนกยูง ................................................241 ภาพประกอบ 111 ศษิ ย์เก่าและผคู้ วบคมุ ฟ้อนหางนกยูง ในงานฟ้อนบชู าพระธาตุพนม ................241 ภาพประกอบ 112 ผู้แสดงทุกคนร่วมพิธกี รรมกอ่ นทาการแสดง....................................................242 ภาพประกอบ 113 ลงพ้ืนที่ภาคสนามฟ้อนหางนกยูง พิธีฟ้อนบชู าพระธาตพุ นม ...........................242 ภาพประกอบ 114 ผูแ้ สดงฟ้อนหางนกยงู โดยนกั เรยี นโรงเรียนนครพนมวิทยาคม .........................243 ภาพประกอบ 115 ร่วมฟ้อนปิดทา้ ยการแสดง กบั คุณครจู ันทร รัศมี และ คุณครูบุญพร บญุ คา ..243 ภาพประกอบ 116 ฟ้อนหางนกยูงรับเสดจ็ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั ฯ(ในรัชกาลที่9) .............244
ต ภาพประกอบ 117 ผู้ฟอ้ นรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวฯ(ในรชั กาลท่ี9) .........................244 ภาพประกอบ 118 นางเกษมสุข สุวรรณธรรมา ผปู้ ระดษิ ฐ์สร้างฟอ้ นหางนกยงู ในยคุ ที่ 2..............245 ภาพประกอบ 119 ฟ้อนหางนกยูงยคุ ท่ี 3......................................................................................246 ภาพประกอบ 120 ฟ้อนหางนกยงู ปี พ.ศ. 2547 ..........................................................................246 ภาพประกอบ 121 หางนกยูงเผอื กมรดกสืบทอดจากแมเ่ กษมสุข สุวรรณธรรมมา ........................247 ภาพประกอบ 122 ลงภาคสนามกบั อาจารย์ทีป่ รึกษาวิทยานิพนธ์.................................................248 ภาพประกอบ 123 ลงภาคสนามดา้ นความเช่ือของนกยูงในแถบลุ่มน้าโขง ....................................248
บทที่ 1 บทนา ภมู หิ ลงั มนุษย์ในสังคมวัฒนธรรมได้ใช้เวลาและพลังงานสร้างส่ิงต่าง ๆ ข้ึนมาเพื่อตอบสนองความ ต้องการของตนเองและสังคม โดยมีโครงสร้างปัจจัยพื้นฐานท่ีสาคัญต่อการดารงชีวิต เรียกว่า ปัจจัยสี่ ได้แก่ ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม อาหารและยารักษาโรคนอกจากพื้นฐานปัจจัยดังกล่าวมนุษย์ในสังคม วฒั นธรรมทกุ แหง่ หนมีความต้องการที่จะสื่อสารหรือแสดงออกซึ่งความคิดของตน อารมณ์ ความรู้สึก ความเช่ือ ด้วยรูปแบบและวิธีการต่าง ๆ เป็นองค์ประกอบร่วม จึงเป็นหน้าที่หลักของศิลปะ ดนตรี การร่ายรา นิทานพ้ืนบ้าน (ยศ สันตสมบัติ, 2559 : 308) สังคมมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นสังคมแบบบุพกาล ไปจนถึงสังคมท่ีมีความทันสมัยและซับซ้อน ล้วนมีแต่นาฏยศิลป์ เป็นส่ิงที่ทาหน้าท่ีแตกต่างกันไป ตามแต่ละวัฒนธรรม เสมือนเป็น “คันฉ่องส่องจิตวิญญาณ” เปรียบดังส่ิงที่แสดงออกทางจิตวญิ ญาณ ของมนุษย์(คาลา่ มุสิกา, 2558 : 1) ภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีตอันยาวนาน เป็น แหล่งวัฒนธรรมที่ยังสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีท่ีทรงคุณค่าไว้ได้มากมายไม่ว่าจะเป็นภาษา อาหาร ศิลปะ หัตถกรรม (จารุวรรณ ธรรมวัตร, 2528 : 15) ภาคอีสานยังเป็นแหล่งอารยธรรมที่ เก่าแก่มานานนับพันปี มีหลักฐานท่ีปรากฏหรือจานวนเมืองเก่าที่ค้นพบมากให้เห็นอย่างชัดเจน (ศุภชัย วิจิตรเจริญ, 2536 : 1) ดินแดนอีสานยังมีอารยธรรมที่ได้รับการก่อร่างและพัฒนาไปอย่าง ต่อเน่ือง ซ่ึงอารยธรรมนี้อาจเป็นต้นแบบอารยธรรมของชุมชนสยามในยุคต่อมาก็อาจเป็นได้ การ พัฒนาสังคมอีสานสู่ความเป็นเมืองแว่นแคว้น และมีความสาคัญระหว่างแว่นแคว้นใกล้เคียงนั้นมิได้ เป็นเพยี งการแลกเปลี่ยนทางด้านวัตถแุ ละอารยธรรมเท่านั้น หากยังส่งผลตอ่ ไปถึงระบบความคิดและ คติความเช่ือต่าง ๆ โดยกระแสความเช่ือในพุทธศาสนาได้แผ่เข้าสู่อีสานโดยผ่านลุ่มแม่น้าเจ้าพระยา ในขณะท่ีศาสนาฮินดูได้เคลอื่ นเข้าส่ดู ินแดนแถบนี้ผา่ นทางแม่น้าโขงส่อู าณาจักรขอมโบราณ และได้มี การผสมผสานกลมกลืนนับแต่พุทธศตวรรษที่ 12 อาจกล่าวได้ว่าส่ิงน้ีกลายเป็นศาสนาของชาวบ้าน ทอ้ งถิ่นอสี านซ่งึ ชาวบ้านในแถบลุ่มน้าโขงยังยึดมัน่ กบั ศาสนาชาวบ้านอยา่ งเหนียวแนน่ (ชัชวาลย์ วงษ์ ประเสริฐ, 2532 : 1-2) คนอีสานเชื่อในเร่ืองของความเช่ือเป็นรากเหง้าของความรู้สึกนึกคิดและ พฤติกรรมท่ีแสดงออก เป็นทัศนะที่เกิดจากความเช่ืออย่างมีระบบ โดยมีปัจจัยสาคัญที่ก่อให้เกิดโลก
2 ทัศน์ของความเช่ือ เช่น ศาสนา ศาสดา ปรัชญา แนวคิดคาสอน อุบายการสอน พิธีกรรม ผลที่ได้จาก คาสอน จนกลายเป็นวัฒนธรรมท่ีมีสภาพเปน็ องค์รวมที่ทาใหเ้ กิดความเช่ือ เพราะวัฒนธรรมเป็นสิ่งท่ี ยอมรับนับถอื เป็นผลแหง่ การส่งั สมสิ่งสรา้ งสรรค์ ภมู ธิ รรมและภมู ปิ ญั ญาที่สบื ทอดต่อกนั มาของสังคม วัฒนธรรมคือทุกส่ิงทกุ อย่างท่ีมนุษยส์ รา้ งข้ึนและสมาชิกในสงั คมยอมรับมาประพฤติปฏบิ ัติร่วมกนั จน เป็นวิถีชีวิตของส่วนรวม วัฒนธรรมจึงครอบคลุมไปถึงงานสร้างสรรค์ของมนุษย์ท่ีเป็นค่านิยมพ้ืนฐาน ของสังคมอีสาน (อภิศักด์ิ โสมอินทร์, 2537 : 14-19) วัฒนธรรมอีสานมาจากความเช่ือ และมีการ พัฒนาความเชอื่ เปน็ พิธีกรรม เปน็ ประเพณี เป็นการละเล่น เป็นวรรณกรรม ฯลฯ หากพูดถึงความเช่ือ ของชาวอีสานจะเชื่อในเรื่องของผีและขวัญเป็นพื้นฐานในการดารงชีวิตร่วมกันของชุมชนอีสานทาให้ เกิดดุลยภาพในการอยู่ร่วมกัน รักษาระบบนิเวศให้ทุกคนได้อยู่อาศัยโดยมีพิธีกรรมเป็นเครื่องตอกย้า อุดมการณ์ร่วมกัน คนอีสานเชื่อวา่ โลกมีเมืองฟ้าหรอื เมืองสวรรค์ซ่ึงเป็นที่อยู่ของแถน แถนเป็นผู้สรา้ ง โลก สร้างมนุษย์ดลบันดาลธรรมชาติ ความเช่ือของชาวอีสานเป็นพลังท่ีสาคัญอีกประการหน่ึงทาให้ เกิดความสามัคคี เพราะคนท่ีมีความเชื่อคลา้ ยคลึงกันหากมารว่ มกันทากิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งทเ่ี ปน็ นามธรรมก็สามารถสร้างสรรค์ใหเ้ ปน็ รปู ธรรมความสาเร็จได้ดั่งใจประสงค์ ดงั เช่นการรวมพลังของคน ในหลายจังหวัดที่แสดงออกโดยการราบวงสรวงต่อสิ่งใดส่ิงหนึ่ง ล้วนเกิดจากความเช่ือในสิ่งท่ีไม่มี ตัวตนมอี านาจลึกลบั เหนือธรรมชาติ สัมพนั ธ์กบั ชีวติ ในอดตี และปัจจบุ ัน เชน่ การฟ้อน เปน็ การฟ้อนท่ี เกิดจากพิธีกรรมขอฝน พิธีกรรมการฟ้อนผีฟ้าเพ่ือรักษาโรค พิธีกรรมการสู่ขวัญต่าง ๆ การฟ้อน บวงสรวงต่อส่ิงศักด์สิ ิทธิ์ เชน่ การบวงสรวงโบราณสถาน การฟ้อนบชู าพระธาตุในประเพณีตา่ ง ๆ ของ แต่ละพืน้ ที่ (ธรี ารัตน์ ลลี าเลศิ สรุ ะกุล, 2559 : 105) ความหลากหลายทางศิลปะวัฒนธรรมและประเพณีแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่นแต่ละ จังหวัดศิลปะวัฒนธรรมเหล่าน้ีเป็นตัวบ่งบอกถึงความเชื่อค่านิยมศาสนาและรูปแบบการดาเนินชีวิต ตลอดจนอาชีพของคนในท้องถนิ่ นนั้ ๆ ได้เป็นอย่างดีจะเห็นไดอ้ ยา่ งชัดเจนว่าภาคอีสาน เปน็ ภูมิภาคท่ี มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและวัฒนธรรมต่าง ๆ ก็มีความแตกต่างกันตามแต่ละท้องถ่ิน แตกต่างจากภูมิภาคอ่ืน ๆ ซึ่งเราสามารถสังเกตรูปแบบวัฒนธรรมที่ดีงามของชาวอีสานผ่านทาง ประเพณีต่าง ๆ ท่ีชาวอีสานจัดขึ้นซ่ึงสามารถถ่ายทอดวัฒนธรรมอีสานได้เป็นอย่างดีนอกจากนี้พระ ธาตุเป็น สถานที่ที่ผู้คนให้ความศรัทธาและกราบไหว้เคารพนับถือเป็นแหล่งเสริมสร้างความเป็น อันหนึ่งอันเดียวกันของคนชุมชนในท้องถ่ิน. พระธาตุในภาคอีสานเป็นแหล่งวัฒนธรรมที่มี ศิลปะการแสดงประกอบในช่วงนมัสการสักการะบูชาเป็นแหล่งท่องเที่ยวประจาจังหวัดและยังเป็น
3 แหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมท่ีมีความหลากหลาย (เสาวรัตน์ ทศศะ, 2556 : 2) นักปราชญ์ด้าน ประวัติศาสตร์และนาฏศิลปเ์ ชือ่ ว่า ท่ีมาของการแสดงนาฏศิลป์ของมนุษย์โลกมีสาเหตุจากการเกดิ อยู่ 2 ประการใหญ่ๆคือ เกิดจากการที่มนุษย์เลียนแบธรรมชาติ เช่น กิริยาท่าทางการเต้น การฟ้อนราใน ลกั ษณะตา่ ง ๆ และเกดิ จากการบูชา เชน่ บวงสรวงเทพเจา้ สิง่ ศกั ด์ิสทิ ธอ์ิ ันมสี าเหตจุ ากความกลวั แลว้ จึงพัฒนามาเป็นการร้อง การรา การราบวงสรวงประกอบพิธีเกิดข้ึนจากการสร้างสรรค์กันเองใน ท้องถ่ิน นาฏศิลป์จึงเป็นการถ่ายทอดออกมาจากอารมณ์ ความรู้สึกภายในจนกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ สาคัญ ต่อการรวมตวั กนั ของชุมชนทาให้เกิดการราเพ่ือบวงสรวง บูชาต่อสงิ่ ศักด์ิสทิ ธ์ิทีถ่ อื ปฏิบตั ิสืบต่อ กันมาจนหลอมตัวเองเป็นประเพณี และวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น (อุรารมย์ จันทมาลา, 2558 : 233)ศาสนสถานในภาคอีสานมีพระธาตุ เป็นแหล่งวัฒนธรรมท่ีมีศิลปะการฟ้อนประกอบ พิธีกรรม ในชวงงานนมัสการรวมไปถึงแหล่งเรียนรู ทางวัฒนธรรมประกอบกับศิลปะการฟ้อนที่มีความ หลากหลายในดานของการแสดงท่ีมีความ แตกต่างกันในแต่ละจังหวัด (อมรา พงศาพิชญ, 2537 : 195)การฟ้อนราของภาคอีสานเป็นการฟ้อนราของชาวบ้านและเป็นการฟ้อนราประจาท้องถิ่นซึ่งมีผู้ สบื ทอด การฟ้อนจึงเกิดจากมนุษยม์ ีความสรา้ งสรรคเ์ พือ่ เจริญทางอารมรมณ์และจินตนาการ ในทกุ ๆ หมู่จะมีการจินตนาการฟ้อนราของตนเอง โดยอาศัยศิลปะหรือกลวิธีท่ีละเอียดละเมียดละไม เป็น ลาดับข้ัน เพ่ือความสนานร่ืนเริงในแบบฉบับของตนเองเกือบทุกหมู่เหล่าไป (ชัชวาลย์ วงษ์ประเสริฐ, 2532 : 58) ดังน้นั ชาวอีสานจึงนยิ มใช้การฟ้อนราเป็นหลกั ในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ต้อนรบั แขกผู้มาเยือน ประกอบพิธีกรรม บวงสรวงหรือบูชาสิ่งศักด์ิสิทธิ์เพ่ือเกิดสิริมงคลแก่ตนเองในทุก ๆ ภมู ภิ าคในภาคอีสาน จังหวัดนครพนมต้ังอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานของประเทศไทย เป็นจังหวัด ชายแดนท่ีอยู่ตรงข้ามเมือท่าแขก แขวงคาม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวนครพนมเป็น เก่าแก่ในประวัติศาสตร์อีสาน(การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2542 : 2-3) มีพระธาตุพนมซึ่งมีความ เก่าแก่ เป็นสิ่งศักด์ิสิทธ์ิคู่บ้านคู่เมืองมาหลายร้อยปี เป็นศูนย์กลางของชุมชนจากที่ต่าง ๆ มาแต่สมัย โบราณ พระธาตุพนมเป็นปูชนียสถานอันศักด์ิสิทธิ์ของพุทธศาสนิกชนที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา รวมทง้ั พี่น้องสองฟากฝ่ังแมน่ ้าโขงตั้งอยู่บรเิ วณฝั่งขวาของแมน่ ้าโขง อาเภอธาตุพนม จงั หวัดนครพนม งานเทศกาลนมัสการพระธาตุพนมจัดเป็นประจาทุกปปี ลายเดือนมกราคมถงึ เดือนกุมภาพันธ์ ระหว่าง ข้ึน 10 ค่า จนถึง วันข้ึน 15 ค่า เดือนสาม วันมาฆบูชา ชาวบ้านทั่วไปจะเรียกงานพระธาตุว่า บุญ เดือนสามการฟ้อนบชู าพระธาตุพนมร่วมกับงานออกพรรษาไหลเรือไฟ จัดข้นึ ในปี 2530 ในวันขนึ้ 15
4 ค่า เดือน 11 และเป็นประเพณีอันดีงามพร้อมกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวสู่ภมู ิภาคตามนโยบายของ รัฐบาล มอบหมายให้อาเภอในพ้ืนท่ีจังหวัดนครพนม จัดชุดการแสดงฟ้อนราท้องถ่ินมาร่วมในงาน ประเพณรี าบชู าพระธาตพุ นม (มเี ดช เตโช, 2554 : 13) ฟ้อนบูชาพระธาตุพนมน้ีปรากฏในตานานการสร้างพระธาตุพนมหรือตานานอุรังคนิทานเมื่อ สร้างเสร็จ “วัสวลหกเทวบุตร พาเอาบริวารนาหางนกยูงเข้าไปฟ้อนถวายบูชาเทวดาท้ังหลาย ลางขับ ร้อง ลางดีดสีตีเป่าถวายบูชา นางเทวดาทง้ั หลายถือหางนกยูงฟ้อนและขับร้องถวายบูชา” (แก้ว อุทุม มาลา, 2537 : 74) จากเคา้ โครงในตานานโดยเทวดาและนางฟา้ ฟ้อนราถวายเพ่ือเป็นมงคล ตามความ เชื่อในตานานจึงทาให้มีการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษสู่คนรุ่นหลังต่อกันมา แสดงความศรัทธาของเหลา่ ขา้ โอกาสธาตพุ นมในบริเวณภาคอีสานและสาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาว หรอื ผู้มจี ติ ศรทั ธา กระทาการฟ้อนราต่อองค์พระธาตุพนม เพ่ือเป็นสิง่ มงคลในการแห่กองบุญงานบุญเดือนสามของทุกปี ซึ่งมีการปฏิบัติแบบชาวบ้าน ใน พ.ศ. 2518 – 2521 ไม่พบว่ามีการฟ้อนบูชาพระธาตุพนมในการแห่ กองบญุ เดือนสาม เน่อื งจากองค์พระธาตุพนมลม้ หากแตใ่ น พ.ศ. 2518 พบว่ามกี ารฟ้อนประกอบพิธี บูชาพระบรมสารรี ิกธาตุสว่ นอุรังคธาตุ ต่อมาใน พ.ศ. 2522 มีการฟ้อนบูชาพระธาตุพนมในขบวนแห่ อนั เชญิ พระบรมสารรี ิกธาตุ และในปเี ดยี วกันได้มีการฟื้นฟฟู ้อนบชู าพระธาตุพนมในงานพิธีแหก่ องบุญ เดอื นสามพร้อมท้ังปฏิบตั ิสบื ต่อกันมาถึงปจั จุบนั จึงไดม้ กี ารนาเอาฟ้อนบชู าพระธาตุพนมเข้ามาผนวก กับเทศกาลไหลเรือไฟ เพอื่ เปน้ การดึงดูดนักท่องเท่ียว และจกั ขึน้ ในชว่ งออกพรรษาระหว่างวันขนึ้ 12 ค่า เดือน 11 ถึงวันแรม 1 ค่า เดือน 12 ของทุกปี (นฤทร์บดินทร์ สาลีพันธ์, 2548 : 1-2) ฟ้อนบูชา พระธาตุพนมได้ปรับเปล่ียนรูปแบบการฟ้อนเพ่ือความบันเทิงในงานเทศกาลไหลเรือไฟ โดยมีภาครัฐ ฯ เขา้ มามบี ทบาทในการจดั กิจกรรม งานเทศกาลไหลเรือไฟได้เริ่มนาเอาการฟ้อนมาประกอบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 ได้เลือกชุดฟอ้ น ท่ีมีเอกลักษณ์โดดเด่นของชาวนครพนม และมีลักษณะการฟ้อนท่ีสื่อให้เห็นถึงการสักการะบูชา เพ่ือ ถวายแด่องค์พระธาตุพนมและให้นักท่องเท่ียวที่มาเยี่ยมชมในงานเกิดความเป็นศิริมงคล โดยมีการ แสดงทัง้ หมด 3 ชุด ไดแ้ ก่ ฟ้อนหางนกยงู ฟ้อนภูไทเรณนู คร ฟ้อนศรีโคตรบรู ณ์ ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2546 ได้มีการเพ่ิมชุดการแสดงในฟ้อนบูชาพระธาตุพนมขึ้นท้ังหมด 7 ชุดการแสดง ได้แก่ ฟ้อนภูไทเรณู นคร ฟ้อนไทญ้อ ฟ้อนตานานพระธาตุพนม ฟ้อนศรีโคตรบูรณ์ ฟ้อนอีสานบ้านเฮา ฟ้อนขันหมากเบ็ง และ ฟ้อนหางนกยูง (ชัยบดินทร์ สาลีพันธ์ุ. 2560 : สัมภาษณ์) การฟ้อนราท่ีกล่าวมาท้ังหมด 7 ชุด การแสดงได้มกี ารปรบั เปลีย่ นไปตามสภาพของสงั คมในแตล่ ะสมัย แตก่ ย็ งั คงเอกลักษณ์ความด้ังเดิมไว้
5 โดยเฉพาะฟ้อนหางนกยูง ซ่ึงมีปรากฏในตานานอุรังคนิทานและมีการฟ้อนมาอย่างยาวนานก่อนจะ นาเอามาฟอ้ นในงานฟ้อนบูชาพระธาตุพนม ฟ้อนหางนกยูง เป้นการฟ้อนที่ปรับปรุงมาจากการราไหว้ครูดาบของนักรบก่อนออกรบ และ การฟ้อนหัวเรือเพื่อทาการสักการะศาลเจ้าพ่อมเหศักด์ิหลักเมืองก่อนการแข่งขันเรือยาว โดยมี นาย พันธ์ เหมหงส์ ผู้มีความถนัดและได้ช่ือว่าเป็นครูมวย ครูดาบ และ มักสะสมของป่า โดยเฉพาะหาง นกยูง จึงนาเอามามัดได้ 2 กามือ นามาฟ้อนใส่ กลอง ฉิ่ง ฉาบ ตามจังหวะ ได้เกิดท่าฟ้อนหางนกยูง หัวเรือ ที่ใช้ในการราบวงสรวงเจ้าพ่อมเหศักดิ์หลักเมืองในยุคแรกราว 100 กว่าปีก่อน (วัฒนศักด์ิ พัฒนภูทอง. 2561 : สัมภาษณ์) ต่อมาในยุคที่ 2 ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงท่าฟ้อนหางนกยูงโดย นางเกษมสุข สุวรรณธรรมมา เพื่อรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลท่ี9 และ สมเด็จ พระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลท่ี 9 ครั้งเสด็จพระราชดาเนินเยี่ยมพสกนิกรชาวนครพนม ในวันที่ 12 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2498 หลงั จากนนั้ มาฟ้อนหางนกยูงก็ซบเซาลง เนอ่ื งจากนาฏยลักษณ์ ของการฟ้อนหางนกยูงอยู่ท่ีการใช้ความชานาญในการตวัดหางนกยูงอย่างคล่อ งแคล่วและอ่อนช้อย สวยงาม ซ่ึงต้องใช้ผู้แสดงท่ีมีทักษะฝีมือในการฟ้อนหาได้ยาก หลังจากนั้นมา ฟ้อนหางนกยูงจึงได้ กลับมามีบทบาทในการฟ้อนบูชาพระธาตุพนม ในงานประเพณีออกพรรษา และ ประเพณีไหลเรือไฟ ของจังหวัดนครพนม ที่ทางจังหวัดกาหนดให้ ในปี พ.ศ. 2530 จนถึงปัจจุบัน จึงได้มีการฟ้อนและ ปฏิบตั ิสบื ทอดต่อกนั มา กระบวนการท่าฟ้อนหางนกยูงได้รับการปรับปรุงและถ่ายทอดจากนางเกษมสุข สุวรรณธรร มา ซ่ึงไดใ้ ช้กระบวนท่าฟอ้ นเหล่านี้เป็นแบบแผนจนถึงปัจจุบัน มีทง้ั ส้นิ 12 ทา่ ดังต่อไปน้ี ทา่ ที่ 1 ทา่ นกยูงรอ่ นออก ทา่ ท่ี 2 ท่ายงู ราแพน ท่าที่ 3 ทา่ ราแพนปกั หลกั ทา่ ท่ี 4 ไหว้ครู ทา่ ท่ี 5 ยงู พสิ มยั ทา่ ที่ 6 ยงู ฟ้อนหาง ทา่ ท่ี 7 ปกั หลักลอดซุ้ม ท่าที่ 8 ยงู รา่ ยไม้ ท่าที่ 9 ยูงกระสนั คู่ ทา่ ท่ี 10 ยูงลาแพนซุ้ม
6 ทา่ ท่ี 11 ยูงปัดรงั ควาน ทา่ ท่ี 12 ยงู เหินฟ้า นอกจากความเช่ือเร่ืองการฟอ้ นหางนกยูงเพือ่ บูชาศาลเจา้ พ่อมเหศักด์ิหลักเมืองและบชู าองค์ พระธาตุพนมแล้ว ชาวนครพนมยังเชื่อกันอีกว่า การฟ้อนหางนกยูงเป็นการแสดงท่ีเป็นมงคล เพ่ือปัด รังควานสิ่งชั่วร้ายและความอัปมงคล ตามคติความเชื่อของชาวอีสาน ที่ว่า ฮ้ายกวาดหนี ดีกวาดเข้า (วัฒนศักด์ิ พัฒนภูทอง, 2548 : 3-4) ท่ีเป็นคติความเช่ือของคนอีสานที่สืบทอดต่อกันมาจากอดีต จนถึงปัจจบุ นั จากการศึกษาค้นคว้าฟ้อนหางนกยูงในการฟ้อนบูชาพระธาตุพนม ประเพณีบุญออกพรรษา ณ วัดพระธาตุพนม อาเภอธาตุพนม จงั หวดั นครพนม ทม่ี ีเกิดข้ึนมาราวเกือบ 100 ปี พบว่า ฟอ้ นหาง นกยูงมกี ารประยุกต์ปรับเปลี่ยนไปจากเดิมตามที่ปรากฏตามยุคสมัยเพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจของ นกั ทอ่ งเท่ียวและให้สอดคล้องกับสภาพปจั จุบนั ทาให้องคป์ ระกอบและนาฏยลกั ษณข์ องการฟ้อนแบบ ด้ังเดิมลดน้อยลง ผู้วิจัยจึงสนใจท่ีจะศึกษาอัตลักษณ์วัฒนธรรม ความเป็นมาและกระบวนการ ประดิษฐ์สร้างของการฟ้อนหางนกยูง ที่เป็นศิลปะการฟ้อนอีกชุดหน่ึงซ่ึงมีปรากฏตามตานานอุรังค นทิ านและมนี ัยยะสาคัญจนก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการประดิษฐ์สรา้ งการแสดงฟ้อนหางนกยูงท่ีสืบ ทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ผลการศึกษาจะทาให้เกิดองค์ความรู้ ในด้านนาฏยศิลป์ซ่ึงจะเป็นข้อมลู ท่ี เป็นประโยชน์และอนุรักษ์สืบสานศิลปะการแสดงท้องถ่ินภาคอีสานอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและ เปน็ สมบตั ิของชาตสิ บื ไป ความมุ่งหมายของการวจิ ัย 1. เพื่อศึกษาอัตลักษณ์วัฒนธรรม ความเป็นมาของศิลปะการแสดง ชุด ฟ้อนหางนกยูง ใน ประเพณอี อกพรรษา ณ วัดพระธาตพุ นม อาเภอธาตพุ นม จงั หวัดนครพนม 2. เพ่ือศึกษากระบวนการประดิษฐส์ ร้างของศิลปะการแสดง ชุด ฟ้อนหางนกยูง ในประเพณี ออกพรรษา ณ วัดพระธาตุพนม อาเภอธาตุพนม จังหวดั นครพนม ในดา้ นองคป์ ระกอบทส่ี าคญั ได้แก่ แนวความคิดในการประดิษฐ์สร้างชุดการแสดง รูปแบบการแสดง ลีลาท่ารา เคร่ืองดนตรีประกอบ เครือ่ งแต่งกาย และอปุ กรณ์ประกอบการแสดง
7 คาถามการวิจัย 1. อตั ลกั ษณว์ ฒั นธรรม ความเปน็ มาของศลิ ปะการแสดง ชดุ ฟอ้ นหางนกยูง ในประเพณี ออกพรรษา ณ วัดพระธาตุพนม อาเภอธาตุพนม จงั หวดั นครพนม เป็นอยา่ งไร 2. กระบวนการประดิษฐ์สรา้ งของศิลปะการแสดง ชดุ ฟ้อนหางนกยูง ในประเพณอี อก พรรษา ณ วดั พระธาตุพนม อาเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ในด้านองคป์ ระกอบทสี่ าคัญ ไดแ้ ก่ แนวความคดิ ในการประดษิ ฐ์สร้างชดุ การแสดง รปู แบบการแสดง ลีลาท่ารา เคร่อื งดนตรีประกอบ เคร่ืองแตง่ กาย และอปุ กรณ์ประกอบการแสดง เป็นอย่างไร ความสาคัญของการวจิ ัย 1. ทาให้เกิดความรู้ ในฐานขอ้ มูลด้านอัตลักษณ์วัฒนธรรม ประวัตคิ วามเปน็ มาของการแสดง ชุดฟอ้ นหางนกยงู ในประเพณีออกพรรษา ณ วดั พระธาตุพนม อาเภอธาตุพนม จงั หวัดนครพนม 2 ทาให้ทราบถึงกระบวนการประดิษฐ์สร้างของศิลปะการแสดง ชุด ฟ้อนหางนกยูง ใน ประเพณีออกพรรษา ณ วัดพระธาตุพนม อาเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ในด้านองค์ประกอบที่ สาคัญ ได้แก่ แนวความคดิ ในการประดษิ ฐ์สรา้ งชุดการแสดง รูปแบบการแสดง ลีลาท่ารา เคร่ืองดนตรี ประกอบ เครอื่ งแตง่ กาย และอุปกรณ์ประกอบการแสดง 3 ทาให้เกดิ องคค์ วามรู้ ในด้านนาฏยศลิ ปซ์ ึ่งจะเป็นข้อมูลทีเ่ ป็นประโยชนและอนุรักษ์สืบสาน ศลิ ปะการแสดงทอ้ งถิน่ ภาคอสี านอันเปน็ มรดกทางวัฒนธรรมและเป็นสมบตั ขิ องชาตสิ บื ไป นยิ ามศพั ท์เฉพาะ 1. อตั ลักษณว์ ฒั นธรรม หมายถึง ลักษณะเฉพาะของศิลปะการแสดง ชดุ ฟอ้ นหางนกยงู จงั หวดั นครพนม ทป่ี ฏิบัตสิ บื ทอดต่อกันมาในการราประกอบพิธีกรรมฟ้อนบชู าพระธาตุพนมจากอดีต จนถึงปัจจบุ นั 2. ประดษิ ฐ์สร้าง หมายถึง การสรา้ งสรรค์การแสดงอย่างมีหลกั การโดยได้แรง บนั ดาลใจจาก วรรณกรรม วิถีชีวติ เป็นตน้ 3. ฟ้อนบชู าพระธาตพุ นม หมายถึง การแสดงนาฏศิลป์ของชาวอีสานเพอื่ ถวายแด่องค์พระ ธาตุพนมในงานบุญประเพณีเพ่อื ความเป็นสิริมงคล
8 4. ฟอ้ นหางนกยูง หมายถึง ศลิ ปะการแสดงท่ใี ช้หางของนกยูงเปน็ อุปกรณ์ในการ ฟ้อนราของชาวนครพนม กรอบแนวคิด ในการวิจัยครั้งน้ี ผู้วิจัยได้ศึกษาการแสดงชุดฟ้อนหางนกยูงท่ีใช้ในการฟ้อนในพิธีกรรมฟ้อน บูชาพระธาตุพนมในประเพณีออกพรรษา โดยมีวัตถุประสงค์ท่ีจะศึกษา อัตลักษณ์วัฒนธรรมความ เป็น และ กระบวนการประดิษฐ์สร้าง ของศลิ ปะการแสดงชดุ ฟอ้ นหางนกยูง เพอื่ เปน็ การอนุรกั ษ์และ สืบสานวัฒนธรรมการแสดงที่เป็นมรดกภูมิปัญญาของจังหวัดให้คงสืบไป โดยใช้แนวคิดและทฤษฎี ดงั ภาพประกอบ กรอบแนวคิดในการวิจัย ตาราง 1 กรอบแนวคิด ทีม่ า : นายศภุ กร ฉลองภาค
9 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กี่ยวข้อง การวิจยั เรอ่ื ง ฟ้อนหางนกยงู : อตั ลกั ษณ์วฒั นธรรมและการประดิษฐ์สร้างศลิ ปะการแสดงใน ประเพณีออกพรรษาบูชาพระธาตุพนม ผู้วิจัยได้ศึกษาจากงานวิจัยและเอกสารข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อใหส้ อดคล้องตามความมงุ่ หมายของงานวิจัย ตามลาดับ ดงั น้ี 1.องค์ความรูด้ า้ นสงั คมและวฒั นธรรมอสี าน 2. องคค์ วามรูด้ ้านนาฏกรรม 3.องคค์ วามร้ดู า้ นฟ้อนอสี าน 4.บรบิ ทพ้ืนท่ี 4.1 ประวัตจิ ังหวดั นครพนม 4.2 ประวตั ิพระธาตุพนม 5.แนวคิดและทฤษฎี 5.1 แนวคดิ 5.1.1 แนวคิดอตั ลกั ษณ์วัฒนธรรม (Cultural Identity) 5.1.2 แนวคิดประเพณปี ระดิษฐ์ (The Invention of Tradition) 5.2 ทฤษฎีท่เี กย่ี วข้อง 5.1.1 ทฤษฎปี ระวตั ศิ าสตรว์ ัฒนธรรม 5.1.2 ทฤษฎีโครงสรา้ งหนา้ ท่ี 5.1.3 ทฤษฎีการเคล่อื นไหวรา่ งกาย 5.1.4ทฤษฎสี ุนทรียศาสตร์ 6.งานวจิ ัยทเ่ี กย่ี วข้อง 6.1 งานวจิ ยั ในประเทศ
10 1.องคค์ วามรูด้ า้ นสงั คมวัฒนธรรมอสี าน สังคมชาวอีสานมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย เป็นสังคมเกษตรกรรมมีการทานาเป็นหลักเพ่ือ ดารงชีวิต นอกจากการทานาแล้ว ชาวอีสานยังมีความเชื่อรวมทั้งการทางานบุญประเพณีเพื่อเป็นการ พกั ผ่อนหย่อนใจในโอกาสตา่ ง ๆ ได้มีผู้กลา่ วถึงสังคมวัฒนธรรมอสี าน ดังน้ี พระอริยานุวัตร เขมจารีเถระ, (2530 : 2) ความเชื่อของชาวอีสาน ซ่ึงได้รับสืบ ทอดมาแต่บรรพ บุรุษ จะเช่ือในการครองเรือน การทามาหาเลี้ยงชีพในทาง สัมมาอาชีวะ ส่ิงใดเป็น โทษทาแล้วจะนาความเดือดร้อนมา ให้ ย่อมละเว้นสิ่งน้ัน จะไม่ยอมทาสิ่งน้ัน คือ จะทาแต่ส่ิงที่ เป็น ประโยชน์ได้รับความผาสุก ครอบครัวใดขยันหม่ันเพียร คือ หนักเอาเบาสู้ ชนิดหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินกัด ฟันกินเกลือ ครอบครัวน้ันจะเจรญิ รุ่งเรืองมั่งมีทรัพย์สินเงินทอง เชื่อในฤกษ์ยามชาวอีสานมีความเชือ่ ในฤกษ์ยามเป็นประเพณี จะปลูก บ้านแต่ละหลังเพื่อเป็นท่ีอยู่อาศัยในครอบครัว จะพากันไป หาผู้มี ความรทู้ างโหราศาสตร์กอ่ น จงึ จะทาการปลูกบ้านเรือน อภิศักด์ิ โสมอินทร์, (2537 : 75) กล่าวว่า สังคมอีสานยึดเกาะกันโดยมีฮีตคองทท่ี า หน้าท่ีเป็นกฎระเบียบและเป็นบรรทัดฐาน (Social Norm) ให้สังคมประพฤติปฏิบัติตามซ่ึงจะนาไปสู่ ความสงบสขุ รว่ มกันสังคมอสี านอบรมส่ังสอนและเน้นเร่ืองท่ีฮีตคอง โดยสอนกนั ทกุ เพศ ทุกวยั ทกุ ชน วรรณะ ไม่ว่าจะเป็นช้ันผู้ปกครอง หรือผู้อยู่ภายใต้การปกครอง แม้กระทั่งพระภิกษุสงฆ์ซ่ึงถือว่าเป็น บคุ คลที่บริสทุ ธิ์ เพราะพร้อมด้วยศีลวินัยกไ็ ม่ลเวน้ ฮีตคองจงึ เหมอื นกฎหมายของสงั คมที่ทกุ คนจะต้อง ปฏิบัติตามขีดคองก็จะอยู่เย็นเป็นสุขถ้าปฏิบัติไม่สม่าเสมอหรือบกพร่องจะทาให้เกิดทุกข์สาหรับทลง โทษของการ ผิดฮีต-คอง ก็แล้วแต่สังคมน้ัน ๆ จะกาหนดและตกลงกันเอง เช่นถ้าผิดน้อยก็จะถูกตรา หน้าว่า เป็นคน “ขวง\" หรือเป็น “แม่แล้ง” ถ้าทาผิดมากก็จะถูกลงโทษหนักถึงขั้น “อเปหิ” หรือ “เนรเทศ”ออกจากสังคม ท่ีตอบสองคองสิบสี เป็นหลักปฏิบัติสาหรับสังคมในสมัยท่ีกฎหมายยังไม่ เจริญหรือยังไม่ตราข้ึนเป็นลายลักษณ์อักษรแน่นอนเพ่ือใช้เป็นหลักปฏิบัติให้คนในสังคมอยู่ด้วยกัน อย่างสงบและเปีนระเบียบโดยยึดข้อปฏิบัติทางศาสนาเป็นหลักในปัจจุบันแม้ว่ากฎหมายและ การศึกษาเจริญแล้วก็ตาม ซี หสิบสองคองสิบสี ของชาวอีสานยังมีความสาคัญสาหรับประชาชนใน ท้องถิ่นมีได้ลดน้อยถอยลงแต่ อย่างใดเนื่องจากเป็นขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมอันล้าค่าท่ีบรรพ บุรุษได้มอบหมายช้านาน โดย เฉพาะฮีตสิบสองคองสิบส่ีตลอดจนผู้มีหน้าท่ีปกครองบ้านเมืองพึง ปฏิบัติเป็นจารีตประเพณี 12 เดือนของ ทุกปี เป็นทานองคลองธรรมอันดีงามของท้องถิ่นและของ บ้านเมือง 14 ข้อ ดังนี้ ฮีตหรือจารีตประเพณีที่ประชาชนปฏิบัติใน 12 เดือนของทุกปี ได้แก่ เดือน อ้าย-บุญ เข้ากรรม เดือนยีบุญคูณลาน เดือนสาม-บุญข้าวจ่ี เดือนส่ิงบุญเผวสหรือบุญเทศ มหาชาติ เดอื น-หา้ งบญุ สงกรานต์ เดือนหก-บุญบง้ั ไฟ เดือนเจ็ด-บุญซาฮะ เดอื นแปด-บุญเข้าพรรษา เดือนเกา้ - บุญข้าวประดับ ดิน เดือนสิบ บุญข้าวประดับดิน เดือนสิบเอ็ด-บุญออกพรรษาและเดือนสิบสอง-บุญ กฐิน คองสบิ สท่ี ่ปี ระชาชนทัว่ ไปและช้นั ผู้ปกครองพึ่งปฏบิ ัติมี 14 ข้อ ได้แก่ ฮีตเจ้าคองขุน ฮตี ท้าวคอง
11 เฟยี ฮีตไพร่คองนาย ฮีตบ้านคองเมือง ฮตี ผวั คองเมยี ฮตี พอ่ คองแม่ ฮีตลกู คองหลาน ฮตี สะใภ้คองเขย ฮีตปคู่ องยา่ ฮีตตาคองยาย ฮตี เฒา่ คองแก่ ฮตี ปีคองเดอื น ฮีตไพรค่ องนา และ ฮตี วัดครองสงฆ์ ดนพุ ล ไชยสินธุ์, (2538 : 209) ไดอ้ ธิบายเร่ืองคดเี งื่อนไขเชิงข้อนในสังคมอีสานว่า คนสมัยโบราณส่วนมากมีความไม่เข้าใจธรรมชาติ เมื่อพบเห็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ฝนตก มารอง น้าท่วม ไฟไหม้ ฯลฯ จึงเกิดความวิตก หวาดกลัวภัย กลัวจะเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ทาให้เกิด วิบดี เดอื ดร้อนจากภัยธรรมชาตทิ ี่เป็นความสามารถของคนธรรมดาจะแก้ไขได้มคี วามนึกคดิ วา่ เป็น อานาจ ของสง่ิ ลลี้ บั ที่มีอานาจเหนือมนุษย์ จนเกิดความเช่ือถืออานาจของเทพเจ้าภูตผีปศี าจ วิญญาณ สตั ว์ป่า พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว ตลอดจนดิน น้า ลม ไฟ บันดาลให้เป็นไปต่าง ๆ นานา ฉะน้ัน เพื่อ ป้องกันภัยพิบัติท่ีจะเกิดกับตน ตนจึงเกิดความคิด ความรู้สึกหรือยอมรับหรือบางครั้งก็ พยายามขัด ขืนสิ่งลลี้ ับท่ไี มส่ ามารถอธิบายใหเ้ ข้าใจได้ บ้างก็วิงวอนขอความชว่ ยเหลือจากอานาจลึกลบั โดยเชอ่ื วา่ ถ้าบุคคลดังกล่าวหรือทาให้อานาจน้ันพอใจอาจช่วยให้ปลอดภัย เม่ือได้รับความปลอดภัย ก็ยินดี แสดงความขอบคุณด้วยการเช่นสรวงบูชา หรือประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ จากความเช่ือ เหล่าน้ันได้ กาหนดเป็นแนวทางการดาเนินชีวิต โดยระเบียบวิธีปฏิบัติเพื่อให้คนในสังคม มีบทบาท หน้าท่ีต่าง ๆ มุ่งก่อให้เกิดความสงบสุข กินดีอยู่ดี มีสุขภาพ สวัสดิภาพที่ดี ในกรณีที่มีการฝ่าฝืน กฎระเบียบ ข้อกาหนดของสังคมก็มักมีการลงโทษ หรือทาให้ต้องได้รับผลจากการกระทาแตกต่างกัน ไปตาม เง่ือนไขของสังคมแต่ละสังคม แต่ละชุมชนต่างก็มีความเชื่อหลากหลายวัฒนธรรมสืบต่อกันมาจนถึง ปัจจบุ นั จารุวรรณ ธรรมวัตร, (2538 : 3) ได้กล่าวถึงภูมิปัญญาอีสานด้านประเพณีว่า ชุมชน อีสานเป็นสงั คมเกษตรกรรมทเี่ ครง่ ในประเพณี ชวี ิตชาวบ้านตลอดปจี ะมกี จิ กรรมตามความเช่ือ ทาง ศาสนาและตามคา่ นิยมของชุมชน ซ่งึ เรียกเป็นภาษาถ่ินว่า ฮีตคองหรือฮีตบา้ นคองเมืองประเพณี พืน้ บา้ นมคี วามสาคัญต่อชุมชนอย่างไร เมือ่ พิจารณาตามแบบแผนการดาเนินชวี ิตของชาวบา้ นจะเห็น ได้ว่า ชีวิตประจาวันนอกจากจะต้องประกอบอาชีพ เพ่ือสร้างปัจจัยสาคัญคือ อาหารเครื่องนุ่งห่ม ท่ี อยู่อาศัย ยารักษาโรคแล้ว ชาวบ้านยังประกอบกิจประเพณีส่วนตัว และประเพณีส่วนรวมสืบต่อกัน มาหลายร่นุ หลายสมัยประเพณีส่วนตัวนิยมทาในแต่ละช่วงสาคัญของชวี ิต เช่น การเกิด การบวช การ แตง่ งาน การตาย จดุ หมายเพ่ือความเปน็ สริ ิมงคลแก่ชวี ิตหลายดา้ น ท้งั ชีวิตในปจั จบุ นั และชวี ิต ในภพ ชาตทิ ่ยี งั มาไม่ถึง นอกจากน้นั ประเพณสี ่วนตวั ยังเป็นแนวทางหน่ึงในการแก้ไขปัญหาชวี ติ หรือ ปอ้ งกัน ไม่ใหช้ ีวิตเกดิ ปัญหา เชน่ ประเพณีสู่ขวัญเดก็ อ่อนพิธีสขู่ วัญแต่งงาน นอกจากการกระทาเพ่อื เป็นขวญั และกาลังใจแล้ว ยังเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ผ้ปู ระกอบรอดพ้นจากภัยอันตรายท้ังปวง ไม่ว่า จะเป็น ภยั จากผี สตั ว์ร้าย หรอื มนษุ ย์ ทาใหเ้ กดิ ความเช่ือม่ันในตนเอง ไม่ยอ่ ทอ้ ต่อการสรา้ งคน ส่วนประเพณี ส่วนรวม เป็นกิจทต่ี อ้ งทาร่วมกันท้ังชมุ ชนเพ่ือใหช้ มุ ชนม่ันคงมีสายสัมพันธ์ร้อยรัดใหเ้ กิด ความสามัคคี ช่วยกันสร้างสิ่งท่ีเป็นหลักของชุมชนร่วมกัน เช่น สร้างวัดสร้างโบสถ์ หรือสร้างแบบแผนท่ีดี งามให้
12 เป็นบรรทัดฐานอย่างเดียวกัน เช่น แบบแผนการผลิตหลักศีลธรรม หลักจริยธรรม ที่เป็นแนว ปฏิบัติ ให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสขุ แบบแผนที่ถือว่าเป็นประเพณีสาคัญของชาวอีสาน คือ ฮีตสิบสอง คองสิบส่ี วิบูลย์ ลี้สุวรรณ, (2540 : 12) ได้กล่าวถึงเร่ืองของวัฒนธรรมพ้ืนบ้าน (folk Culture) ของไทยสามารถศึกษา 2 หลายแนวทาง อาจจะศึกษาจากวิถีชีวิตหรือพฤติกรรมของกลุ่ม คน เป็นเจ้าของวัฒนธรรมโดยตรง หรือศึกษาจากศิลปะของกลุ่มชนชั้น โดยเฉพาะศิลปะพ้ืนบ้าน (folk art) ซ่ึงเป็นผลทางวัฒนธรรมท่ีกลมุ่ ชน ต่าง ๆ สร้างสรรค์ขึ้น มีทั้งส่ิงท่ีเป็นวตั ถุที่มนุษย์สร้างขึ้น (artifact) ได้แก่ งานหัตถกรรม (craft) งานหัตถกรรมพ้ืนบ้าน (folk craft) และงานศิลป หัตถกรรม พื้นบ้าน (folk art and craft) สิ่งเหล่านี้เป็นส่ือที่สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมของกลุ่มชนแต่ละท้องถ่ิน แต่ละกลุ่มชนได้ส่วนหนึ่ง นอกจาก งานหัตถกรรม ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านซึ่งปรากฏเป็นรูปธรรมที่ มองเห็น ได้แล้ว ยังมีงานศิลปะอ่ืนอีก เช่น งานวรรณกรรมเพลงและดนตรีพ้ืนบ้าน แม้จะเป็นผลงาน ศิลปะประเภทท่ีไม่มองเห็นเป็นรูปธรรมอย่างงาน หัตถกรรมและศิลปหัตถกรรมก็ตามแต่งานศิลปะ เหลา่ นีก้ แ็ ฝงไวด้ ว้ ย จติ วิญญาณของกลมุ่ ชนเช่นเดียวกัน ศลิ ปะพน้ื บ้านมีรปู แบบและวธิ ี การทแ่ี ตกตา่ ง กันไปตามขนบประเพณี ความเช่ือ ความนิยมและวิถีชีวิต ของแต่ละท้องถ่ินแต่ละกลุ่มชน ดังน้ัน การศึกษาวฒั นธรรมพน้ื บ้านจงึ สามารถศกึ ษาผา่ นงานศลิ ปะพ้นื บ้านเหล่าน้ไี ดห้ ลายแงม่ ุม และในการ ศึกษาน้นั อาจจะมลี กั ษณะเป็นการอา่ นวัฒนธรรมพน้ื บ้านผา่ นงาน ศลิ ปะพื้นบา้ น เฉพาะอย่างยง่ิ งาน หัตถกรรมและศิลปหัตถกรรมซ่ึง เป็นวัตถุวัฒนธรรม (cultural artifact) นั้น บ่งบอกวัฒนธรรม พ้ืนบ้านของ แต่ละกลมุ่ ชนในแตล่ ะถ่นิ ได้เปน็ อยา่ งดี เสาวภา ไพทยรตั น์, (2539 : 42) กลา่ วว่าเครื่องแต่งกาย ชาวอสี านมคี วามสามารถ ในการทอผ้าไหมมาเป็นเวลาช้านาน ภายหลังเมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ในการสนับสนุนการทอผ้าไหมของชาวอีสาน ส่งผลให้มีการทอผ้าไหมท่ีมี คุณภาพสูง ดังปรากฏผ้าไหมมัดหมี่ และผ้าทอพื้นเมืองลายขิด ซึ่งได้รับความนิยมสูงสุดและเป็น เอกลักษณข์ องท้องถิน่ ในพนื้ ทจี่ ังหวดั อุดรธานี ขอนแก่น มหาสารคาม รวมทง้ั การทอผ้าไหมของชาวผู้ ไทยจังหวัดสกลนคร และนครพนม นอกจากน้ีในพื้นท่ีทางอีสานใต้ อาเภอปักธงชัย จังหวัด นครราชสีมา เป็นแหล่งผลิตผ้าไหมไทยท่ีสาคัญของภูมิภาคนอี้ ีกแหล่งหน่ึง นอกเหนือจากผ้าไหมแล้ว เอกลักษณ์ด้านการแต่งกายของชาวอีสานคือการแต่งกายโดยใช้เคร่ืองประดับเงินประกอบในพ้ืนท่ี จังหวัดสุรนิ ทร์ โดยไดร้ ับอิทธพิ ลจากบรรพบุรษุ เอกลกั ษณข์ องวัฒนธรรมท้องถน่ิ ทางอสี านใตย้ งั ได้รับ ความนิยมสูงจากชาวไทยภาคอ่ืน ๆ และชาวต่างประเทศในปัจจุบัน นอกจากเคร่ืองเงินแล้ว เครื่องป้ันดินเผาของอาเภอดา่ นเกวียน จังหวัดนครราชสีมา ไดร้ บั ความนยิ มอย่างแพร่หลายเชน่ กนั สุจิตต์ วงษ์เทศ, (2549 : 12-13) กล่าวว่าคนอีสานบางทีเรียกชาวอีสาน มีหลัก แหล่งอยู่ฝั่งขวาแม่น้าโขง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย อีสานเป็นชื่อเรียกพ้ืนท่ีทาง
13 ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ไทยที่มีกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง คาว่า อีสาน มีรากจากภาษา สันสกฤต สะกดว่า อีศาน หมาย ถึงนามพระศวิ ะ ผ้เู ปน็ เทพดาประจาทิศตะวนั ออกเฉียงเหนือ (เคยใช้ มาแล้วเมื่อราวหลัง พ.ศ. 1000 ในชื่อรัฐว่า อีศานปุระและขอพระราชา ว่าอีศานวรมัน) แต่คาบาลี เขียนอีสาน ฝ่ายไทยยืมรูปคาจากบาลีมา ใช้ หมายถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือตะวันออกเฉียงเหนือ (ที่หมายตรงกับคาอีสาน) เริ่มใช้เป็นทาง การสมัยรัชกาลท่ี 5 ราว พ.ศ. 2442 ในช่ือ มณฑล ตะวันออกเฉียงเหนือ แตย่ งั หมายเฉพาะลุ่มน้ามูลถงึ อุบลราชธานี จัมปาสัก ฯลฯ รวมความแลว้ ใครก็ ตามท่ีมีถ่ินกาเนิดหรือมีหลักแหล่งอยู่ทาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย (จะโดย เคล่ือนย้ายเข้าไปอยู่ เมื่อไรก็ตาม) ถ้าถือตัวว่าเป็นคนอีสาน หรือชาวอีสาน อย่างเต็มอก เต็มใจและ อย่างองอาจก็ถือเป็นคนอีสานเป็นชาวอีสานท้ังน้ัน ฉะน้ันคนอีสานหรือชาวอีสานจึงไม่ใช่ชื่อเชื้อชาติ เฉพาะแต่เปน็ ชื่อสมมุตเิ รียกคนหลายหลากมากมายในดนิ แดนอีสาน เติม วิภาคย์พจนกิจ, (2557 : 567-568) ได้กล่าวถึงจารีตประเพณีว่า จารีต ประเพณีและขนบธรรมเนียมชาวพื้นเมืองอีสาน ก็คือจารีตประเพณีของชาวไทย ลาว มาตั้งแต่ดั้งเดิม โดยไดม้ กี ารแบง่ มาจากอนิ เดียทัง้ ในลัทธิพราหมณแ์ ละพุทธศาสนาดังกล่าวแลว้ นั้น จารีตประเพณีทาง ศาสนาของชาวอีสาน เรียกว่า ฮีตสิบสองคองสิบส่ี เป้นประเพณีมาแต่โบราณ อาจกล่าวได้ว่าเวลานี้ ยังคงเหลืออยู่บ้างตามบ้านเมืองในแถบกลุ่มลุ่มน้าโขงท้ังสองฝงั่ เพราะวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่เลียนแบบ มาจากยุโรปและอเมริกากาลังกลืนหายไป โลกท่ีเคยสงบมาก่อน เด๋ียวน้ีเกิดการสับสนวุ่นวายเพราะ ลืมประเพณดี ง้ั เดมิ ประจาชาตเิ ราเกือบสนิ้ สรุปได้ว่าสังคมวัฒนธรรมอีสานเป็นวิถีชีวิตของคนในสังคมที่หล่อหลอมข้ึนมาจนได้รับ การถ่ายทอดจากความเชื่อ ศิลปะ จริยธรรม กฎหมาย ขนบธรรมเนียม ประเพณี การศึกษา ส่ือมวลชน เป็นต้น เป็นแบบแผน ในความคิดและการกระทาของคนในสังคมอีสานส่วนใหญ่ ท่ีสาคัญ วัฒนธรรมมีลักษณะเป็นกลางสามารถนามาซ่ึงความเจริญงอกงามหรือความเสื่อมแก่สังคมได้ วัฒนธรรมเป็นเครื่องบ่งช้ีถึงความเจริญรุ่งเรืองหรือความก้าวหน้าของแต่ละสังคม เพื่อให้เกิดความ เข้าใจวิถีชีวิตของชาวบ้านและชุมชน แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมที่มีอยู่ในชุมชนเป็นระบบคุณค่าที่มี ความสัมพนั ธเ์ ปน็ โครงสร้างที่สง่ ผลตอ่ พฤติกรรมมนษุ ยใ์ นสงั คมวัฒนธรรม 2.องค์ความรดู้ ้านนาฏกรรม สมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพฯ, (2546 : 11-12) ทรงอธิบายถึงกาเนิดและ ววิ ัฒนาการของนาฏศิลปท์ ่ีผูกพันกบั มนษุ ย์ ดังนี้ “การฟ้อนราย่อมเป็น ประเพณใี นเหลา่ มนษุ ย์ทุกชาติ ทุกภาษา ไม่เลือกว่าจะอยู่ ณ ประเทศถ่ินสถานท่ีใดในภพน้ี คงมีวิธี ฟ้อนราตามวิสัยของตนด้วยกัน ทั้งน้ัน อย่าว่าแต่มนุษย์เลย ถึงแม้สัตว์เดรัจฉานก็มีวธิ ีฟ้อนรา ข้อน้ีถึง สังเกตให้เห็นได้โดยง่าย ดังเช่น
14 สุนัขและไก่กาเป็นต้น เวลาใดสบอารมณ์ของมันเข้า มันก็โลดเต้น กรีดกราย ทากิริยาท่าทางได้ต่าง ๆ กค็ อื การฟ้อนราตามวสิ ัยสตั ว์น้ันเอง ปราชญผคู้ ดิ ค้นมูลเหตุแห่ง การฟอ้ นราจึงเล็งเห็นเปน็ ยุติวา่ การ ฟอ้ นรามลู รากเกิดแตว่ ิสัยสตั วเ์ ม่ือเวทนาเสวยอารมณ์ จะเปน็ สุข เวทนาก็ตามหรอื จะเปน็ ทุกขเ์ วทนาก็ ตาม ถ้าเสวยอารมณ์แรงกล้าไมก่ ลน้ั ไว้ได้ ก็แลน่ ออกมาเปน็ กริ ิยาใหป้ รากฏ” ธนิต อยู่โพธ์ิ, (2516 : 2-4) ได้ให้ความหมายไว้ว่า “คาว่า นาฏย ตามคัมภีร์ อภิธานนปปที่ปีกาและสูจิ ท่านให้วิเคราะห์ศัพท์ว่า “นภูสเสตนตินาฏย” ความว่า ศิลป์ของผู้ฟ้อน ผู้ รา เรียกว่า นาฏย และให้อรรถาธิบายไว้ว่า “บจจวาทิต คีต อิติ อิท ดุริยติก นาฏยนาเมนุจจเต” แปลว่า การฟ้อนราการบรรเลง (ดนตรี) การขับร้อง หมวด 3 แห่งตุริยะนี้ ท่าน (รวม) เรียกโดยชอื่ วา่ นาฏย ซึ่งตามนี้ท่านจะเห็นได้ว่า คาว่า นาฎะ หรือนาฏยะ น้นั การขับรอ้ งไหรือ พดู อย่าง่ายๆกว็ ่า คา “นาฏย\"นั้น มีความหมายรวมทั้งฟ้อนราขับร้องและประโคม ดนตรีด้วย ไม่ใช่มีความหมายแต่เฉพาะ ศิลปะแห่งการฟ้อนราอย่างเดียว ทั้งที่บางท่านเข้าใจกัน แม้จะ ใช้คาว่าหมวด 3 แห่ง ตุริยะ หรือ ตุริ ยะ 3 อย่าง แสดงให้เห็นว่าใชค้ า “ตรุ ิยะ หมายถึงเครื่องท่ี เครื่องเปา่ แต่แปลงกันว่า “ตนตรี” กไ็ ด้ นี่ ว่าตามรูปศัพท์ แท้ที่จริงแม้ในวิธีการปฏิบัติศิลปินจะจับ ระบาราฟ้อนไปโดยไม่มีดนตรีและขับร้อง ประกอบเร่ืองและให้จังหวะไปด้วยน้ันยอ่ มเป็นไปไม่ได้และไม่ เป็นศิลปะที่สมบูรณ์ ถ้าขาดดนตรีและ ขับร้องเสียแล้ว แม้ในส่วนศิลปะของการฟ้อนราเองก็ไม่สมบูรณ์ ในตัวของมัน พระภรตมุนี ซึ่งศิลปิน ทางโขนละครพากันทาศีรษะของท่านกราบไหว้บูชา เรียกกันว่า “ศรีษะฤาษี” นั้น มีตานานว่า ท่าน เป็นปรมาจารย์แหศ้ ิลปะทางโขนละครฟอ้ นรามาแต่โบราณ เม่อื ท่านไดแ้ ตง่ คัมภีรน์ าฏศาสตรข์ นึ้ ไว้ก็มี อยู่หลายบรเิ ฉทหรือหลายบทในคมั ภีร์นาฎศาสตรน์ ้ัน ทีท่ า่ นได้ กลา่ วถงึ และวางกฎเกณฑใ์ นทางดนตรี และขับร้องไว้ด้วย และท่านศารงคเทพผู้แต่งคัมภีร์สังคีตรัตนากร อันเป็นคัมภีร์ที่ว่าด้วยการดนตรีอกี ท่านหนึ่งเล่า ก็ปรากฏว่าท่านได้วางหลักเกณฑ์และอธิบายศิลปะ ทางการละครฟ้อนราไว้มากมายใน คัมภรี ์น้ัน เปน็ อนั ว่าศิลปะ 3 ประการ คอื ฟ้อนรน ดนตรี ขับรอ้ ง 1 เหล่าน้ีตา่ งต้องประกอบอาศัยกัน คาวา่ นาฏยะจงึ มคี วามหมายรวมเอาศลิ ปะ 3 อย่างน้ัน ไว้ในศัพท์เดยี วกัน ราชบัณฑิตยสถาน, (2530 : ไมม่ เี ลขหน้า) ไดใ้ ห้ความหมายของนาฏศลิ ป์ไว้กว้างๆ ตลอดจนกาหนดการออกเสยี งไว้ในพจนานุกรมฉบับเฉลมิ พระเกยี รติ พ.ศ. 2530 ดังน้ี 1.นาฏ, นาฏ-นาด,-นาตะ-นาตตะ-) น. นางละคร.นางฟอ้ นราไทย ใช้ หมายถงึ หญงิ สาวสวยเช่น นางนาฏ นุชนาฏ (ป. 3 ส) 2. นาฏกรรม (นาดตะกาปน้ั การละครการฟ้อนรา 3. นาฏดนตรี (นาตตะตนตรี) น. ลิเก. 4. นาฏศิลป์ (นาตตะสนิ )น ศิลปะแหง่ การละครหรอื การฟ้อนรา 5. นาฎก (นาตะกะ (หลกั ), นาดตะกะ (นียม) น. ผู้ฟอ้ นรา, (ป., ส.) 6. นาฏย (นาดตะยะ-) ว. เก่ียวกบั การฟอ้ นรา เก่ียวกับการแสดงละคร (ส.)
15 7. นาฏยเวที น. พนื้ ทแี่ สดงละคร,ฉาก 8. นาฏยศาลา น. หอ้ งฟ้อนรา โรงละคร 9. นาฏยศาสตร์ น. วิชาฟอ้ นรา วิชาแสดงละคร” (ปริตตา เฉลิมเผ่ากออนันตกูล, (2534 : 7-11) อธิบายว่า นาฎกรรม ในที่น้ีใช้เพื่อ หมายถึงการเคล่ือนไหวร่างกายอย่างมีจังหวะทุกประเภท จึงครอบคลุมการเต้น ฟ้อนรา เชิด ท้ัง โบราณ และของใหม่ ของท่ีถือเป็นของสูงและของสามัญชน ท้ังท่ีจัดว่าเป็นและไม่เป็นศิลปะการท่ีใช้ คานเห คาว่านาฏศิลป์ ซึ่งเป็นคาที่อาจจะคุ้นหูกว่านั้น ก็เน่ืองมาจากคาว่า นาฏศิลป์ มีความหมาย ค่อนข้าง เฉพาะในวัฒนธรรมไทย เป็นคาท่ีสื่อถึงการรายบางประเภทโดยเฉพาะ ได้แก่โขนและละคร และ ในความรับรู้ท่ัวไปเป็นคาที่ส่ือถึงความประณีตวิจิตร ความเป็นศิลปะซ่ึงเน้นที่ความงดงาม มากกว่า ความสัมพันธก์ ับชีวิต อมรา กล่าเจริญ, (2535 : 2) นาฏศิลป์ หมายถึง การสเมือนว่าที่มนุษย์ประดิษฐ์ ขึ้น จากธรรมชาติด้วยความประณีตอันลึกซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยความวิจิตรบรรจงอันละเอียดอ่อน นอกจากจะหมายถึง การฟ้อนราระบา รา เต้นแล้ว ยังหมายถึงการร้องและการบรรเลงด้วย ศิลปะ ประเภทนี้ ต้องอาศัยการบรรเลงดนตรีและการขับร้องเข้าร่วมด้วยเพื่อส่งเสริมให้เด็กคนคร่ึงจีนและ ความหมายท่ี เขา้ ใจกนั ทั่วไป คอื ศลิ ปะการร้องขอทาเพลง สดุ ใจ ทศพร, (2554 : 9) ได้อธิบายวา่ นาฏยศลิ ปเ์ ป็นศลิ ปะแขนงหนึง่ สนุ ทรยี ภาพ จึงเป็นส่ิงที่ขาดไม่ได้ สุนทรียภาพทางนาฏยศิลป์เกิดจากการประดิษฐ์ท่าราให้วิจติ รบรรจง สอดคล้อง สัมพันธ์กับองค์กรประกอบอ่ืน ๆ อาทิ ดนตรี เคร่ืองแต่งกายได้อย่างกลมกลืนเกิดเป็นการแสดงที่ งดงาม และสบื ทอดเป็นวัฒนธรรมบนั เทิงมาอย่างตอ่ เนอ่ื งยาวนาน ดังนนั้ คุณคา่ ของนาฏยศลิ ป์ จงึ มไิ ด้ กาหนดที่การตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีนัยแอบแฝงอยู่มากมาย อาทิเปน็ เครื่องมือในการสร้างความสามัคคภี ายในกลุ่มชน ตลอดจนเป็นส่งิ เชดิ หน้าชตู าในฐานะท่ีเป็น ศิลปวัฒนธรรมประจาชาติ อังแสดงถึงภมู ปิ ัญญาของบรรพบุรุษทีส่ ัง่ สมมายาวนาน ปริตตา เฉลิมเผ่ากออนันตกูล, (2545 : 182-183) ละครแก้บน เป็นเร่ืองของการ ติดต่อกับส่ิงศักด์ิสิทธิ์ ละครแก้บนเกิดข้ึนในพ้ืนที่ที่มีเจ้าพ่อ ศาล วัตถุศักดิ์สิทธิ์ มีบรรยากาศของการ สกั การะบชู า และมีการกระทาในทางสัญลักษณห์ ลายเร่ือง เช่น การบน การรดน้ามนต์ การเสี่ยงซียม ซี หรือ การถวายเคร่ืองบูชาต่าง ๆ ที่สื่อสารและสร้างความ รู้สึกถึงพลังของบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งเป็น ความศกั ด์สิ ทิ ธท์ิ ส่ี ง่ั สมมาในกล่มุ คนในสถานที่หนง่ึ ละครแบบจารตี ในวฒั นธรรมไทย มสี ่วนทเี่ ก่ยี วขอ้ ง กับความศักดิ์สิทธิ์อยู่มาก ดังท่ีจะเห็น จากบทท่ี 3 ว่า ละครเป็นเหตุการณ์ทางสังคมท่ีเกิดในโอกาส ของพิธีกรรม และคติความเชื่อของผู้แสดง ละครเอง ก็มีหลายประการที่อยู่บนพ้ืนฐานของความเช่ือ เร่ืองความศักดิ์สิทธ์ิ เช่น ความเช่ือเรื่องครู เป็นต้น ทั้งนี้มิได้หมายความว่า ละครคือพิธีกรรม หรือ ละครเป็นสิ่งที่ศักด์ิสิทธิ์ แต่ในการรับรู้ทาง สังคม ละครในวัฒนธรรมไทยเกิดข้ึนในพ้ืนท่ีที่ถือว่า มี
16 บรรยากาศของพลังศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงแบบแผนอขนบในการปฏิบัติของละครเองบางส่วน ก็ถูกยกให้มี ฐานะเปน็ พลงั ศักดิ์สิทธิ์ด้วย หากใชต้ ัวอย่าง กละครหรอื นวนยิ ายทีป่ รากฏในบทที่ 4 ความศักดิ์สิทธ์ิท่ี แวดล้อมละครและผู้แสดงละครอยู่นั้น มัก ถูกมองว่าเป็นเรื่องของพลังลี้ลับ ท่ีน่าหวั่นเกรง และ สามารถทาอันตรายให้แก่ตัวผู้แสดงหรือผู้อื่น ช้าไปเกี่ยวข้องได้ มุมมองของนางละครเอง ในขณะท่ี รับรู้ถึงความศักด์ิสิทธิ์ของเจ้าพ่อหลักเมือง ครู พ่อแก่ โพน เช่นเดียวกัน มีวิธีพูดถึงและแสดงออกที่ พิเศษแตกต่างไปจากสายตาของคนภายนอก นางละครพูดถึงสิ่งศักด์ิสิทธิ์เหล่านี้ด้วยภาษาที่ใกล้ชิด สนิทสนม อบอุ่น ลดทอนความน่ากลัว และทาสิ่งศักดิ์สิทธ์ิมีลักษณะที่เหมือนกับมนุษย์ มากกว่าเป็น สิง่ ทหี่ า่ งไกล สรุ พล วริ ุฬหร์ กั ษ์, (2547 : 205) อธบิ ายวา่ ศลิ ปวฒั นธรรมแสดงให้เห็นถึงความเป็น อารยประเทศ ประเทศชาติทีม่ ีความรงุ่ เรื่องน้ันจาเปน็ ที่จะต้องมวี ัฒนธรรมอนั แสดงออกถึงเอกลักษณ์ ประจาชาตขิ องตน นาฏศิลปแ์ ละดนตรีไทยก็ถือเปน็ มรดกทางวัฒนธรรมอันสาคัญของชาติอย่างหนึ่งที่ ควรค่าแก่การอนุรักษ์ ทานุบารุงและพัฒนาควบคุมไปกับการพัฒนาประเทศกระบวนการสร้างสรรค์ ผลงานทางด้านนาฏยประดษิ ฐ์นบั เป็นกลวิธีหนง่ึ ซ่ึงกอ่ ให้เกิดกระแสการอนุรกั ษ์ ทานบุ ารงุ และพฒั นา ทั้งน้ีเนื่องจากการสร้างสรรค์ผลงานดังกล่าวประกอบไปด้วยการสร้างสรรค์แนวคิด การออกแบบ นาฏศิลป์รูปแบบใหม่ รวมทั้งการนาเสนอผลงานในอดีตมาปรับปรุงสร้างสรรค์และพัฒนาโดยอาศัย กระบวนการสร้างสรรค์ผลงานท่ีถูกต้องตามหลักวิชาการและกลวิธีการที่เหมาะสม อันส่งผลให้ นาฏศิลป์ ชุดนั้นมีความสมบูรณ์บรรลุตามวัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้ และนับเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ เพ่ิมพูนโดยไม่มีที่ ส้ินสุด มหาวิทยาลัยนเรศวรเล็งเห็นถึงความสาคัญในเรื่องดังกล่าว จึงสนับสนุนให้ สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย ภาควิชาศิลปกรรมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ ดาเนินการสร้างสรรค์ผลงาน ทางดา้ นนาฏยประดษิ ฐช์ ดุ “ระบามงั คลาธิษฐาน” ข้ึน เพอื่ นาออกเผยแพร่แสดงในงานศิลปวัฒนธรรม ทบวงมหาวิทยาลัย ณ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ในปี พ.ศ. 2546 โดยการ แสดงในครั้งน้ันใช้ชื่อ ในการแสดงว่า “ระบามังคละ” ซ่ึงได้รับความสนใจจากผู้ชมเป็นอย่างดี เพราะ นอกจากจะส่ือให้เห็นถึง เอกลักษณ์ของศิลปะการแสดงที่ปรากฏในเขตจังหวัดพิษณุโลกแล้ว ท่ารา และองค์ประกอบต่าง ๆ ในการแสดงยังมีความน่าสนใจเป็นที่แปลกใหม่สาหรับผู้ชมเป็นอย่างมาก ตอ่ มาการแสดงดังกล่าวได้รับ คดั เลอื กให้นาออกแสดงเพ่ือตอ้ นรับแขกบา้ นแขกเมือง และงานสัมมนา เชงิ วชิ าการอันเกี่ยวกับผลงาน สรา้ งสรรคท์ างด้านนาฏยประดิษฐ์อย่บู ่อยคร้งั เรณู โกศินานนท์, (2548 : 14-15) อธิบายถึงความเช่ือเก่ียวข้องระหว่างนาฏศิลป์ ศิลปะการแสดงดรุ ิยางคสงั คีต กบั ราชสานักน้นั มีมาตั้งแต่สมยั โบราณ ซงึ่ ไม่เพยี งแตป่ ระกาศใช้เท่านั้น แม่ประกาศอ่ืน ๆ ท่ีมีแบบอย่างทางคุริยางคสังคีตของตนเองก็อยู่ในลักษณะท่ีมีความเกี่ยวข้องอย่าง เดียวกัน แบบอย่างท่ีปรากฏในราชสานักน้ันอาจกล่าวได้ว่า มีความประณีตงดงาม และจัดแสดง เฉพาะ ในงานใหญ่ ๆ หรือพิธีอันสมควรเท่าน้ันเพราะเป็นสงู ทั้งน้ีเน่ืองจากพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซ่ึง
17 พระราช อานาจเหนือคนทั้งปวงในแผ่นดินในอันท่ีจะปกครองและให้ราษฎรได้ฟังพระบารมีทรงเป็น ผู้นาประเทศ ทาง ซึ่งเกียรติยศอันย่ิงใหญ่ เป็นสง่าราศีแก่ชาติบ้านเมือง ซ่ึงจาเป็นจะต้องเชิดชูด้วย ส่ิงของสังคม ท่ีจัดว่าเป็นยอดของแผ่นดิน ท้ังความประณีต ความไพเราะ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ ตามแบบของ ขาติอารยะท้งั หลาย ทาให้เกดิ ผลพวงจากการสร้างสรรคแ์ ลว้ ถา่ ยทอดสืบต่อกนั มาต้ังแต่ สมัยโบราณ ซ่ึงมีผู้กล่าวว่า “นาฏดุริยางสังคีต คือ ชีวิตวิญญาณอันย่ังยืนของชาติบ้านเมือง” ดังนั้น ในพระ สถานภาพแห่งพระมหากษัตริย์อับเป็นผู้นของประเทศ ความม่ันคงยังยืนแหง่ วฒั นธรรมของช โดยทรงอุปถัมภน์ าฏดรุ ิยางคส์ งั คีตไว้ในราชสานกั อยา่ งใกล้ชดิ สุมิตร เทพวงศ์, (2548 : 2-15) อธิบายว่านาฏศิลป์เป็นส่วนหน่ึงท่ีมีความสาคัญ ไม่ น้อยกว่าศิลปะแขนงอ่ืน ๆ ความสาคัญของนาฏศิลป์คือแสดงความเป็นอารยะประเทศ บ้านเมืองมี ความเจริญรุ่งเรืองด้วยประชาชนมีความเข้าใจศิลปะ เพราะศิลปะเป็นสิ่งมีค่า เป็นเคร่ืองโน้มน้าว อารมณ์ โดยเฉพาะศิลปะการละคร มคี วามสาคัญสามารถกล่อมเกลาจิตใจโน้มน้าวอารมณ์ไปในทางที่ ดี เป็นแนวทางนาใหค้ ดิ และให้กาลังใจ ในการที่จะสรา้ งความเจรญิ รงุ่ เรืองใหแ้ ก่บ้านเมืองสืบไป ประการท่ีสองนาฏศิลป์เป็นแหล่งศิลปะ ประกอบด้วยศิลปะประเภทต่าง ๆ มา เก่ยี วขอ้ ง สอดคล้องกัน เชน่ ศลิ ปะการเขียน การก่อสร้าง การออกแบบ เครอื่ งแตง่ กาย และวรรณคดี ศิลปะ แต่ละประเภทไดจ้ ัดทากันด้วยความประณีต สุขุม ทั้งนีเ้ นือ่ งด้วยศิลปะเป็นสว่ นสาคัญสว่ นหน่ึง ของชาติ มนษุ ย์ทุกชาติ ทกุ ภาษาตอ้ งมศี ลิ ปะของตนไวเ้ ป็นประจา นบั แตโ่ บราณมาจนถงึ ทุกวันนี้ รวม ความวา่ นาฏศลิ ป์มคี วามสาคัญ เกีย่ วเนอ่ื งกันท้ังสิ้น สรา้ งความเป็นแก่นสารใหแ้ ก่ บา้ นเมือง ดว้ ยกัน ทง้ั สิน้ นาฏศิลป์จะมลี ักษณะทเ่ี ปน็ เอกลักษณ์สาคญั ดังน้ี 1. มีท่าราอ่อนช้อยงดงาม และแสดงอารมณ์ตามลักษณะท่ีแท้จริงของคนไทย ตลอดจนใช้ลลี าการเคลือ่ นทด่ี ูสอดคลอ้ งกนั 2. มีเครื่องประกอบจังหวะหรือดนตรีประกอบการแสดงซึ่งอาจจะมีแต่ทานองหรือ มบี ทรอ้ งผสมอยู่ 3. ถ้ามีคาร้อง หรือบทร้องจริง จะเป็นคาประพันธ์ส่วนมากและลักษณะเป็นกลอน แปดสามารถนาไปร้องเพลงช้ันเดียว หรือสองช้ันได้ทุกเพลง คาร้องทาให้ผู้สอนหรือผู้รากาหนดท่ารา ไป ตามบทร้อง 4. เครื่องแต่งกายจะแตกต่างกับชาติอื่น ๆ มีแบบอย่างของตนโดยเฉพาะขนาด ยืดหยุ่นได้ตามสมควร เครื่องแต่งกายยืนเครื่อง การสวมใส่จะใช้ตรึงด้วยด้ายแทนท่ีจะเย็บสาเร็จรูป เป็นต้น สรุปได้ว่านาฏกรรมเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง เป็นส่ิงท่ีเกิดมาคู่กับมนุษย์ โดยมนุษย์ใช้ นาฏศิลปเ์ ปน็ ตวั ส่อื ผา่ นสังคมในวฒั นธรรม โดยมจี ารีต ขนบธรรมเนยี มทส่ี ืบทอดต่อกันมาจากอดีตจน มาถึงปัจจุบัน นาฏศิลป์ได้มีการพัฒนาและแทรกซึมเพื่ออยู่ในสังคมปัจจุบัน เพ่ือให้ทันเหตุการณ์ใน
18 บ้านเมืองในปัจจุบัน เพราะงานทางด้านนาฏศิลป์ถือเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความแก่นสารให้แก่ บ้านเมือง และมีเอกลักษณ์เฉพาะจึงได้ยกย่องจนกลายมาเป็นมรดกวัฒนธรรมภูมิปัญญาของชาติให้ ลกู หลานไดส้ บื ทอดต่อไป 3. องคค์ วามรู้ด้านดนตรแี ละการฟ้อนอีสาน ดนตรีพ้ืนบา้ นวา่ เปน็ ดนตรี ที่แสดงออกเป็นความรูสึกนึกคิด ตลอดจนความเชื่อ และ นสิ ยั ใจคอของชาวบา้ น ดนตรพี น้ื บา้ นจึง สามารถเขา้ ถึงและครองใจได้มากกว่าดนตรีประเภทอื่น ๆ เนอื้ หาสาระของดนตรีพ้ืนบา้ นนั้นมที ง้ั ให้ ความรู และความบนั เทงิ เปน็ ตน้ วา่ ความรูเก่ียวทง้ั ทางโลก และทางธรรม เป็นการสัง่ สอนอบรมให้ คนประพฤติในส่งิ ทดี่ ีงาม ดนตรีผไู้ ทมีเครอื่ งดนตรเี กา่ แกห่ ลายอย่าง เชน่ แคน ปี่ กระจบั ปี่ (พิณ) ซอบ้งั ไม้ไผ่ หมากกลิ้งกลอม (โปงลาง) และผางฮาด (ฆ้องโบราณไม่มีปุม) ดนตรผี ูไ้ ทเปน็ ดนตรีท่ีมีท้ังทานองและ เสียงประสาน โดยมแี คนเปน็ เคร่ืองดนตรหี ลัก และนิยมใช้ระบบเสยี งดนตรี 5 เสียง เป็นหลักในการ ดาเนนิ ทานอง ของเครอ่ื งดนตรีแต่ละชนิดมีการขบั ร้องทเ่ี รียกวา่ ลา และมีฟ้อนผไู้ ท ใชด้ นตรปี ระกอบ จังหวะเปน็ สาคัญ และดนตรีผูไ้ ทจดั อยู่ในกลุ่มวฒั นธรรมหมอลา หมอแคน โดยได้ทาการศกึ ษาในด้าน ลักษณะทานองเพลง ระบบเสยี ง การประสานเสยี ง ทานอง บันไดเสยี ง จังหวะ ลลี า และยงั ได้ศึกษา เกี่ยวกับเครื่องดนตรีทีใ่ ช้ในการบรรเลงประกอบไปด้วย พณิ แคน ซอ ป และโปงลาง นอกจากนีย้ งั ได้ ศึกษาการฟ้อนราและการแสดงประกอบการบรรเลงอีกดว้ ย และได้กล่าวถงึ ลายวา่ ลายแคนมี 5 ลาย ดงั น้ี 1.ลายใหญ่ เป็นลายที่มีเสียงต่า เมื่อก่อนจะเป่าเป็นจังหวะช้ามาก ๆ แต่ปัจจุบัน มี หลาย จังหวะดว้ ยกนั เชน่ ลายใหญธ่ รรมดา หรือลายใหญ่หัวตกหมอน หรอื ลายใหญ่กะเลิง ลายใหญ่ ภูเขียว ภูเวียง และลายใหญ่สาวหยิกแม่ (ในจังหวะเร็วมาก) ในลายได้ใช้ห้าเสียงสาหรับเทียบเสียงได้ กับ ลา โด เร มี (A C D E) และ ซอล (G) ติดสดู ท่ี มี (E )กบั ลา (A) 2.ลายน้อย มีมาตราเสียงเดียวกันกับลายใหญ่ คือช้าและเศร้า ท่ีเรียกว่าลายน้อย เพราะมีระดับเสียงสูงมาก และความยุ่งยากสับสนในการนับนิ้ว นับเสียงก็ต่างกัน ลายน้อยอาจเรียก อกี ช่ือวา่ “ลายแม่ฮา้ งกล่อมลูก” เพราะว่าเป็นทานองเศร้ามาก ๆ คล้าย ๆ กับความรูสกึ ของแม่หม้าย ท่ีกาลังกล่อมลูกน้อยให้นอน มาตราเสียงของลายน้อยจะเทียบได้กับ เร ฟา ซอล ลา (D F G A) และ โด (C ) ติดสูดท่ี เร (D) และลา (A) 3.ลายสุดสะแนน เป็นลายที่นิยมที่สุดสาหรับการบรรเลงประกอบหมอลา“สุด” หมายถึงใกล้ที่สุด“สะแนน”หรือ“ลายแนน” หมายถึงเสน หรือเชือก แห่งความรัก ดังน้ัน “สุด
19 สะแนน” อาจจะแปลได้ว่า สุดสายสัมพันธ์แห่งรัก บางแห่งเรียกว่า ลายสุดสเมร หรือลายสุดสุเมร ลายสุดสะแนน ใชเ้ สียง โด เร มี ซอล (C D E G) และ ลา (A) ตดิ สดู ท่ี ซอล (G) และ ซอล (G) 4.ลายโปซ้าย ใช้มาตราเสียง ฟา ซอล ลา โด (F G A C) และ เร (D) ตดิ สูดที่ โด (C) และ ซอล (G) มีทานองเดียงกันกับลายสุดสะแนน ท่ีเรียกว่า ลายโปซ้าย ก็เพราะว่ารูติดสูดรูหนึ่งตอ้ ง ปดิ ดว้ ยหวั แมม่ ือข้างซา้ ย 5.ลายสร้อย ส่วนมากลายน้ีใช้เล่นเด่ียวมากกว่า เล่นประกอบหมอลา ลายนี้เทียบ ได้กับ เสียง ซอล ลา ที โด เร (G A B D E) ติดสูดที่ เร (D) และลา (A) เหมือนลายน้อย ลายสร้อยมี ทานอง เชน่ เดียวกบั โปซ้าย ยากที่จะแยกเสยี งระหวา่ งลายสร้อยกับลายโปซ้าย แต่โดยท่ัวไปแลว ลาย สรอ้ ย มเี สียงสงู กว่า ลายโปซ้ายที่เรียกวา่ ลายสรอ้ ยกเ็ พราะมีเสียงแหลมสงู นอกจากน้นั ยังมีลายแคนท่ีเป็นหลักอีก 1 ลาย ไดแ้ ก “ลายเซ” ซง่ึ ใช้เสียง ซอล ลา ที ( E G A B) และติดสูดท่ี ที (B) และมี (E) ลายเซจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับ ลายน้อย และลายใหญ่ ซง่ึ เป็น เพลงมาตรา เสียงโศก ลายแคนอาจแบง่ ตามลกั ษณะของเพลงท่เี ป่า ได้ 2 พวก คือ 1. ลายแคนประเภทพรรณนาเสียงธรรมชาติ 2. ลายแคนทีเ่ ป่าเลียนเสยี งลา ลายแคนประเภทพรรณนาเสยี งธรรมชาติ มีดงั น้ี 1. ลายโปงลาง อาจจะบรรยายด้วยลายใหญ่ ลายน้อย หรือลายเซ ซึง่ เทยี บได้กับ มี ซอล ที มี (E G B E ) และเร (D) และตดิ สูดท่เี สียง ที (B) และ มี (E) 2. ลายแมงภู่ตอมดอก เปน็ การพรรณนาแมลงภูกับดอกไม้มีทานองเดียวกับ ลายโป ซ้ายแต่ติดสูดที่เสียง ซอล (G) และโด (C) บางขณะผู้ฟังจะได้ยินเสียงคล้ายๆ เสียงแมลงภู กาลังบิน นบั เป็นลายแคนที่ไพเราะมาก 3. ลายรถไฟ นับเป็นลายแคนใหม่ อาจจะใช้เป่าด้วยลายน้อยหรือลายเซก็ได้ มาตรา เสียงลายแคนนี้เป็นการเลียนเสียงรถไฟ เร่ิมเคล่ือนขบวนช้า ๆ และเร็วขึ้น ลายแคนที่เป่า เลียนเสียงลา เป็นลายแคนที่เลียนเสียงลาทางสั้นของหมอลาชาวอีสานสามารถสร้างจินตนาการถึง เน้ือความ ในกลอนลาได้ มดี งั นี้ 3.1 ลายลองโขง หรือลายลาทางยาว ลองโขง เป็นลายแคนทมี่ ีชอื่ เสียงมากใน วงการหมอลา เป็นการพรรณนาถึงแม่น้าโขง ลายลองโขงจะเป่าในลายใหญ่หรือลายเซก็ได้ แต่ของ เดิมเปา่ ด้วยลายนอ้ ย 3.2 ลายลาเต้ย เต้ยเปน็ จังหวะและทานองลา เป็นการเก้ียวพากันดว้ ยเพลงรักส้ัน ลาเต้ยมี 4 ชนดิ คือ 3.2.1 เตย้ ธรรมดา เปน็ ลาทางยาว เต้ยธรรมดาประกอบด้วย 4 วรรค แต่ละ วรรคมี 4 จังหวะ ดงั นัน้ 16 จงั หวะ จงึ จะเป็นกลอนเตย้ หนง่ึ กลอน
20 3.2.2 เต้ยหัวโนนตาล ใหช้ ื่อตามสถานที่ คือ ตาบลโนนตาล ในจังหวัด มกุ ดาหาร เต้ ยดอนตาลเดิมใช้ลาในการเล่นลาหมู แล้วก็มานิยมใช้ลาในการลากลอนทานองการลาเหมือนการลา ทางส้ัน แต่ต่างท่ีจังหวะลีลาจะสั้นกว่าเต้ยดอนตาลมีลีลาที่อ่อนหวานท่ีสุด กลอน ประกอบด้วย 4 วรรค แต่ละวรรคมี 4 จังหวะ และมี 16 จังหวะ ใน 1 กลอน กบั 2 จังหวะ ตอนเริม่ ต้น และ 4 จังหวะ ตอนทา้ ย ลายแคนนจี้ ะเลน่ ในทางสดุ สะแนน โปซ้าย หรอื ลายสร้อย 3.2.3 เต้ยโขง เป็นเต้ยหรือลาที่คนรูจักท่ัวประเทศ เต้ยโขงเริ่มจากหมอลากลอน ก่อนแลว ต่อมาพวกหมอลาหมู่ก็นิยมเอามาลาทานองลาแต้ยแบ่งออกได้เป็น 4 วรรค แต่ละวรรคมี 4 จงั หวะ สามารถเล่นได้ ทงั้ ทางลายใหญ่ และลายน้อย เป็นจังหวะช้า ทาใหเ้ กดิ ความรูส้ กึ ออ่ นโยน 3.2.4 เต้ยพม่า คือ เพลงพม่าลาขวานนั่นเอง มีลักษณะคล้ายๆ เต้ยโขง แบงออก เป็น 4 วรรค วรรคแรกและวรรคสุดท้ายเต้ยสองคร้ัง แต่ละวรรคมี 4 จังหวะ สามารถเล่นได้ ท้ังทาง ลายใหญแ่ ละลายน้อย ลายแคนอาจแบ่งได้ 2 อย่าง คือ ลายแคนท่ีพรรณนาภาพพจน์ เช่น ลายแมงภูตอม ดอก ลายโปงลาง ลายลมพัดพร้าว และลายที่เลียนเสียงจากทานองลา เช่น ลายทางสั้น ลายลาทาง ยาว ลายเตย้ ลายของดนตรีเกดิ จาก “แคน” ภายหลังได้นา ซงุ (พณิ ) เตดิ เต่ิง (โปงลาง) และโหวด มา ประสม วงแต่เครื่องดนตรีแต่ละชนิด มีข้อจากัดของระดับเสียง และเทคนิคการเล่นจึงเกิดลายเฉพาะ เคร่ืองดนตรีแต่ละอย่างภายหลัง เช่น ลายพิณเป็นลายลูกเก็บ แต่เก็บรายละเอียดเหมือนแคนไม่ได้ จงึ เกดิ เปน็ ลายพิณข้ึน เป็นต้น (เจรญิ ชยั ชนไพโรจน์, 2529 : ไม่มเี ลขหน้า) วิรัช บุญยกุล, (2530 : 87-93) กล่าวว่า ทานองเพลงอีสานเหนือ เป็นทานองเพลง สั้น ๆ และวนเวียน แต่รูปแบบ (Form) ของเพลงอีสานเหนือ มีความเป็นสากลอย่างน่าพิศวง ได้แบ่ง ทานองออกเปน็ สามตอนคอื 1. ตอนเกริ่น เป็นการอารัมภกถาของเพลงเพื่อเตรียมผู้ฟังให้พรอมที่จะรับฟังตอน ตอ่ ไป 2. ตอนทานองหลัก คือทานองที่ เป็นหัวใจของเพลงเป็นทานองหรือลายสั้นส้ัน ๆ แต่เปน็ ทานองจาเพาะ เป็นเอกลกั ษณ์ของแต่ละเพลงหรือแตล่ ะลาย 3. ตอนทานองย่อย หรือทานองแยก หรือแตกทานองท่ีใช้บันไดเสียงเดียวกันกับ ทานองหลัก แต่จะดาเนินทานองให้แตกต่างออกไปภายในขอบเขตที่จากัด ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับ ความ ชานาญของผู้บรรเลง และได้ประเภทของเพลงพน้ื เมอื งอีสานเหนือเปน็ สองประเภทคือ 1. เพลงบรรเลง เดิมจะไม่ค่อยร่วมบรรเลงด้วยกัน คงเป็นเพราะเวลาไม่อานวย ทานองเพลง วนเวยี นบรรเลงดว้ ยกันลาบาก ไม่มีโน้ตเพลงที่จากัดตายตวั และประการสาคัญท่ีสุดคือ
21 ความรักอิสระของผู้บรรเลง จึงมีดนตรีบรรเลงเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่ เช่นเด่ียวพิณ โปงลาง ซอ แคน ปัจจุบันมีการพัฒนาให้วงดนตรีมีเคร่ืองดนตรีมากชิ้นขึ้นหาเวลาฝึกซ้อม และใช้การดนตรีพ้ืนเมือง เปน็ อาชีพขึ้นมาได้ 2. เพลงร้อง หมายถึง การร้องเพลงโดยมีดนตรีประกอบ เรียกว่า“ลา”เดิมจะมี ทานองลาทางสน้ั หรือลากลอน มจี ังหวะคอ่ นข้างเรว็ เวลาจากดั แต่บรรจเุ น้อื หาสาระคตธิ รรม ต่าง ๆ ไวมากมาย เช่นการเล่าประวัติ นิทาน หรือการประชันฝปี ากของหมอลา ส่วนลายาว หรือ ลาลองโขง หรอื ลาลอง เป็นการดาเนินจงั หวะช้ากว่า ทวงทานองเยน็ ๆ และเศร้า มักเปน็ เนอื้ หา พรรณนาความ ยากไร คาสอนคติธรรม คาอาลาใหศ้ ลี ให้พรแก่ผู้ฟงั ปจั จุบันมที านองลาเพม่ิ ขึน้ เช่น ลาเพลิน มีจงั หวะ คึกคกั สนุกสนาน ลาเตย้ ต่าง ๆ ซ่ึงมลี กั ษณะคล้ายเพลงหางเคร่ืองของลายาว มีทงั้ เตย้ ธรรมดา เต้ยโขง เต้ยพม่า นอกจากนั้นยังมีทานอง เฉพาะออกไปตามทองถ่ิน เช่นลาภูไท ลาตังหวาย เต้ยดอนตาล ลา คอนสวรรค์ ลาสาละวนั ชัชวาลย์ วงษ์ประเสริฐ, (2532 : 56-61) ได้กล่าวถึงเรื่องของการฟ้อนพื้นบ้าน อีสานวา การฟ้อนรา ของมนุษย์จะเกิดข้ึนเม่ือมนุษย์มีความเจริญทางอารมณ์ และจินตนาการ ตวามสรา้ งสรรค์พอสมควร ดังนนั้ มนุษยใ์ นทุก ๆ หมู่ จะมีการเต้นราหรือฟอ้ นราเป็นของตนเอง และ พัฒนารปูแบบข้ึนมาตามลาดับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ได้กล่าวถึง ความเป็นมาของการฟ้อนราว่า \" การฟ้อนราย่อมเป็นประเพณีในเหล่ามนุษยชาติทุกภาษาไม่เลือก ว่าจะอยู่ ณ ประเทศถ่นิ สถานที่ใด ในพิภพนั้นคงมีวิธฟี ้อนราตามวสิ ยั ชาติของตนดว้ ย ทง้ั นัน้ อยา่ วา่ แต่มนุษย์เลยถึงแม้สัตวเ์ ดรจั ฉานก็มีวิธีฟ้อนรา ข้อนี้สังเกตเห็นได้ง่าย เช่น สุนัข และไก่กา เป็นตน้ \" ในการทจ่ี ะวินิจฉัยว่ามนุษยห์ มูใ่ ด มคี วามเจริญก้าวหนา้ หรอื ล้าหลงั หมู่อนื่ โดยใชแ้ บบศิลปะการแสดง มาเป็นเครื่องช่วยตัดสินใจ โดยเฉพาะการฟ้อนราของชนในชาติน้ัน การฟ้อนราแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1. การฟ้อนราของชาวบ้าน (Folk Dance) คือการฟ้อนราอันเกิดจากความรู้สึก ของ ชนธรรมดาสามัญ โดยไม่ต้องมีการฝึกหัดหรือมีก็เพียงเล็กน้อย เต็มไปด้วยความสนุกสนามมี ชวี ติ ชวี า 2. การฟ้อนราตามแบบแผน (Classical Dance) คือการฟ้อนราท่ีต้องอาศัยการ ฝึกหัดกันตามแบบฉบับ เช่น การราละครของไทย ซ่ึงยกย่องว่าเปน็ ของสงู การฟ้อนราตามแบบแผน ไม่สามารถแสดงอารมณก์ บั คนดู จงึ เปน็ ความงามปราศจากชวี ติ คลา้ ยหุ่นกระบอกที่ร่ายรา การฟ้อนราตามแบบฉบับของชาวอีสานน้ันผู้ฟ้อน มิได้เป็นช่างฟ้อนหรือช่างขับลา แต่เป็นชาวบ้านในกลุ่มของหมู่บ้าน การฟ้อนราอาจจัดให้มีข้ึนเพ่ือการเฉลิมฉลองในวาระโอกาสต่าง
22 ๆ หรือฟ้อนราเพ่ือการทรงเจ้าเข้าผีรักษาอาการเจ็บป่วย เครื่องแต่งกายก็เป็นไปตามท้องถ่ินที่สาคัญ ต้องมดี นตรมี ีจงั หวะชัดและทานองง่าย ๆ ประกอบเพื่อให้การฟ้อนราพร้อมเพยี งกัน เมอื่ เปน็ การฟ้อน ของชาวบ้านจะเป็นการฟ้อนประจาท้องถิ่น จึงมีผู้สืบทอดและสนใจในกลุ่มเล็ก ๆ ในท้องถ่ินและ สถาบนั ทางการศกึ ษา เช่น โรงเรียน วิทยาลยั ครู (สถาบันราชภัฏในปัจจบุ นั ) จนกระท้ังมกี ารจัดตั้ง วทิ ยาลัยนาฏศลิ ปข์ น้ึ 2 แหง่ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือคือ วิทยาลัยนาฏศิลปร์ ้อยเอด็ และวิทยาลัย นาฏศลิ ป์กาฬสนิ ธุ์ จึงมีการจัดรวบรวมฟ้ืนฟูดนตรีและนาฏศิลป์พื้นเมืองอีสานท้ังในวิทยาลัยครู และ สถานศึกษาอื่น ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทาให้มีการประดิษฐค์ ิดค้นฟ้อนชุดใหม่ ๆ เพ่ิมขึ้นอย่าง มากมาย มีการพัฒนารูปแบบ เช่น การแปรแถว การจัดขบวนฟ้อนที่งดงามยิ่งขึ้น เมื่อพิจารณาการ ฟ้อนท้งั ชดุ เกา่ และใหม่ทีพ่ ัฒนาเพิ่มเติมในปัจจุบันก็พอจะจัดกลมุ่ การฟ้อนชุดตา่ ง ๆ ได้ 8 กลุ่มใหญ่ ๆ ดงั น้ี 1. การฟอ้ นเลยี นแบบกริ ิยาของสัตว์ 2. การฟ้อนชดุ โบราณคดี 3. การฟอ้ นประกอบทานองลา 4. การฟอ้ นประกอบชุดชุมนมุ ต่าง ๆ 5. การฟอ้ นอนั เน่ืองมาจากวรรณกรรม 6. การฟ้อนเพอ่ื เซ่นสรวงบดั พลีหรือบูชา 7. การฟ้อนศลิ ปาชีพ 8. การฟ้อนเพอ่ื ความสนุกสนานร่นื เรงิ ชัชวาลย์ วงษ์ประเสริฐ, (2532 : 134-151) ได้กล่าวว่า สังคมวัฒนธรรมแถบลุ่มน้า โขงยงั คงเช่ือในเร่ืองภตู ผวี ิญญาณ ผีฟ้า ผแี ถน ผีปยู่ า่ ตายาย และส่งิ ศักดิ์สิทธ์ิทั้งหลาย ดงั นั้นลูกหลาน ที่สืบทอดความเชื่อนี้จะต้องให้ความเคารพและเซ่นสังเวย เพอ่ื บชู าเป็นประจาทุก ๆ ปีซึง่ เชือ่ วา่ เมื่อได้ ทาการเซ่นสังเวยตามพิธีกรรมแล้วจะทาให้ผู้ปฏิบัตินั้นได้ผลดี ถ้าไม่ปฏิบัติก็จะส่งผลร้ายให้แก่ผู้น้ัน ดังน้ันจึงมีการฟ้อนเพื่อให้ส่ิงศักดิ์สิทธ์ิภูตผีวิญญาณนั้นพึงพอใจ เพื่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข การ ฟ้อนเพือ่ เซ่นสรวงบวงพลหี รอื บูชานัน้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คอื 1.การฟ้อนเพื่อบูชา การฟ้อนเพ่ือบูชาน้ันส่วนใหญ่เป็นการฟ้อนชุดดั้งเดิมที่มีมาแต่ โบราณ เพื่อบูชาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ท่ีเป็นท่ีนับถือของคนท่ัวไป เช่น การฟ้อนผู้ไทเพื่อบวงสรวงพระธาตุ เชิงชุม จังหวีดสกลนคร เพ่ือบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ หรือส่ิงศักดิ์สิทธ์ิซ่ึงเป็นท่ีเคารพนับถือของกลุ่ม
23 นั้น การฟ้อนเพื่อบูชาได้แก่ ฟ้อนภูไท แสกเต้นสาก โส้ทั้งบั้ง เซิ้งผีหมอ ฟ้อนผีฟ้า เรือมปัลโจ ฟ้อน แถบลาน ฟ้อนบายศรี เรือมม๊วต เป็นต้น 2.การฟ้อนเพื่อเสี่ยงทาย เป็นสภาวะที่เกิดข้ึนพร้อมมนุษย์ เช่น ป่าเขา แมกไม้ สาย ลม แสงแดด สายธาร พืชพันธ์ธัญญาหาร และสัตว์โลกทั้งหลายสรรพสิ่งเหล่านี้มีลักษณะอันให้คุณ โทษเป็นวิสัยธรรมดา ภาคอีสานได้รับโทษจากธรรมชาติมาเป็นเวลาช้านาน จึงมีพิธีกรรมเพ่ือขอคา พยากรณ์ขึ้นเพื่อเสี่ยงทายฟ้าฝน ชุดฟ้อนเส่ียงทายจึงสืบเนื่องมาจากพิธีกรรมในการเสี่ยงทาย หรือ การขอฟ้าขอฝน ของชาวอีสาน ชดุ ฟอ้ นเพ่ือเสี่ยงทายมีอยู่ 4 ชดุ ได้แก่ เซ้ิงบงั้ ไฟ เซ้งิ นางด้ง ราดึงครก ดึงสาก เซ้ิงเซยี งขอ้ ง เปน็ ต้น ยุทธศิลป์ จุฑาวิจติ ร, (2539 : 274) ไดก้ ลา่ วถึงการฟ้อนอีสานวา่ การฟ้อนอสี านเป็น วัฒนธรรมเก่าแก่ของท้องถิ่นท่ีมีพ้ืนเพมาจาก 2 ทาง คือการฟ้อน ในพิธีกรรม เช่น ฟ้อนในลาผีฟ้า และการฟ้อนในพิธีเซิ้งบั้งไฟ เป็นการฟ้อนเพ่ืออัญเชิญผีฟ้ามาเข้าทรงผู้ฟ้อน การฟ้อนจึงมีลักษณะ เหมือนอาการคนที่ครึ่งหลับคร่ึงต่ืน ส่วน การฟ้อนในเซิ้งบ้ังไฟ เป็นการฟ้อนเพ่ือขอฝนจากผีแถนแต่ มุ่งเน้นสนุกสนานร่ืนเริง ท่าฟ้อนใน ล้าผีฟ้าสังเกตได้ว่า เป็นการฟ้อนแบบดึกดาบรรพ์ของชุมชน โบราณทีใ่ ชม้ ือเปน็ เคร่ืองมือส่ือสาร กับสิ่งศกั ดิ์สิทธิ์ ส่วนการฟ้อนในขบวนแห่บ้ังไฟเป็นการจัดรูปแบบ ขบวนอย่างมีแบบแผน มีการกาหนดท่าทางการตั้งขบวนและแปรแถวเพื่อให้เกิดความงามและ ตระการตาอันน่าจะเป็นววิ ัฒนาการจากการขอฝน นอกจากน้ียังปรากฏว่า มีการฟ้อนอยู่ท่ัวไปในการ แสดงหมอลา และเมือพิจารณาวิวัฒนาการหมอลาพื้น หมอลากลอน หมอลาหมู่ หมอลาเพลินและ หมอลาประยกุ ต์ตามลาดับก็จะพบวา่ การฟ้อนในหมอลาเหล่าน้นั อย่างชดั เจน และมคี วามหลากหลาย ของการออกรวดลาย ระยะหลงั ๆ น้ีการฟอ้ นในการแสดงหมอลาได้รบั อิทธิพลของการเต้นหางเคร่ือง วงดนตรลี กู ทงุ่ อย่างเห็นได้ชัดเจน การฟ้อนของอสี านนอกจากจะเปน็ หน้าท่ีของประชาชนท่ัวไปในการอนุรักษ์ และสืบ ทอดแลว้ ยังพบวา่ สถาบนั การศึกษาทางนาฏศิลป์ ซง่ึ วทิ ยาลัยนาฏศลิ ป์ และสถาบันราชภฎั ในอสี านก็มี บทบาทสาคัญในการนาเอาการฟ้อนอีสานของชาวบ้าน มาปรับปรุงให้สวยงามเหมาะสาหรับการ แสดงบนเวทีการปรับปรุงนี้กระทาโดย อาจารย์ ซ่ึงส่วนใหญ่มีพ้ืนความรู้ทางด้านนาฏศิลป์ไทยจาก ภาคกลาง จงึ ทาให้การฟอ้ นอสี านซ่ึงประดิษฐ์โดยสถาบนั เหล่านี้มีอทิ ธิพลของทา่ ทางและกระบวนการ แปรขบวนของนาฏศิลปจ์ ากภาคกลางอยูด่ ว้ ย พรี พงศ์ เสนไสย, (2547 : 14-15) ไดก้ ลา่ วถึง ฟอ้ นอสี านว่าการฟ้อน เซิ้ง รา ระบา เป็นสรรพนามท่ีใช้เรยี กนาฏยศิลป์อสี าน ซึง่ ก็ยังเป็นทีถ่ กเถียงกันไม่มีท่สี ิ้นสุด ซึง่ มผี ู้ท่เี คยศึกษา หลาย
24 กรณี เช่น กรณีเรียกว่า “เซิ้ง” เพราะเป็นการแสดงท่ีมีความเร็วเป็นหลัก อาศัยจังหวะของ ดนตรีท่ี เร้าใจ และรวดเร็ว ซ่ึงก็เรียกว่า “ฟ้อน” ก็ได้เช่นเดียวกัน ตามที่คนเฒ่าคนแก่ชื่อตอีสาน เรียกกันมา แต่โบราณและยังคงได้ยินตราบจนทุกวันนี้ ฟ้อนอีสานโบราณอาจเป็นการที่คนอีสานหรือกลุ่มคน อีสานที่ต้องการแสดงกิริยาอาการแสดงความรู้สึกภายในออกมาเป็นท่าทางด้วย การเคล่ือนไหว ขยับ แขน มือ และเท้าไปตามอิสระตามความรู้สึกในขณะน้ัน ท้ังนี้อาจเพื่อความ บันเทิง รักษาโรคภัยไข้ เจ็บหรือกจิ เฉพาะของแต่ละกลมุ่ สุรพล วิรุฬห์รักษ์, (2549 : 201-202) ได้อธิบายถึงฟ้อนอีสานในหนังสือนาฏศิลป์ รัชกาลท่ี9 ดังน้ี ฟ้อนอีสาน ในท่ีนี้ หมายถึง ฟ้อนพื้นเมืองของชุมชนชาวอีสานที่กาลังพัฒนาให้มี มาตรฐานหรือสรา้ งระบบแม่ท่าต่าง ๆ ข้ึน ตามอย่างแม่ท่าราไทยของหลวง ความพยายามดัง กล่าวน้ี เกิดขึ้นในกลุ่มศิลปิน และนักวิชาการนาฏยศิลป์หลายกลุ่มด้วยกัน เพ่ือให้รูปแบบ เอกลักษณ์ของ นาฏยศิลป์อีสานชัดเจนยิ่งข้ึน และสะดวกในการถ่ายทอดโดยเฉพาะอย่างย่ิงเม่ือ จัดทาเป็นหลักสูตร ปฏิบัติในชั้นเรียนของสถาบันการศึกษาทางนาฏยศิลป์หรือในโรงเรียน ก็ต้องมีการฟ้อนอีสานฉบับ มาตรฐานไว้เพื่อเป็นเกณฑ์ในการวัดผลการศึกษา ความตายตัวของท่าฟ้อน อีสานจึงได้รับการ พัฒนาขนึ้ พนอ กาเนิดกาญจน์ เป็นผู้บุกเบิกในการนาท่าฟ้อนอีสานของการฟ้อนพ้ืนเมือง ด้ังเดมิ เช่น การฟอ้ นผีฟ้านางเทยี มมาปรับให้งดงาม จดั เป็นชุดเซง็ กระติบขาวขาวเพื่ออวด เอกลกั ษณ์ ทางวัฒนาธรรมและหัตถกรรมของอีสาน และได้จัดแสดงถวายหน้าพระท่ีน่ัง ณ ภูพานราชนิเวศน์ ใน พ.ศ. 2498 จากนั้นการพัฒนาโดยพนอ กาเนิดกาญจน์ อาจารย์สถาบันราชภัฎอุดรก็เป็นแกน นาทา ให้การฟ้อนอีสานเร่ิมเป็นที่สนใจในด้านการแสดงเพื่อความบันเทิงมากกว่าทางพิธีกรรม ทาให้มีการ เพ่ิมความงดงามขึ้นเร่ือย ๆ ผู้ที่มาเพ่ิมความงามให้แก่ฟ้อนอีสานคือ บรรดาครู อาจารย์นาฏยศิลป์ใน วิทยาลยั นาฏศิลป และสถาบันราชภัฎในอสี าน ทีค่ ดิ ประดิษฐ์ระบาอีสาน ขน้ึ ในสามทศวรรษท่ีผ่านมา นี้เป็นจานวนมาก เพ่ือสร้างเอกลักษณ์นาฏยศิลป์ของท้องถ่ิน ครู อาจารย์ เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นครู ละครราตามแบบนาฏยศิลป์ของหลวง จงึ ทาใหฟ้ ้อนอีสานกับ วา่ ภาคกลางปะปนกันตามธรรมชาติ กระแสของการปรับปนทางศลิ ปวฒั นธรรมนี้ มคี วามขัดแย้งกันมากในหมู่ศิลปินและ อาจารย์ทางนาฏยศลิ ป์ ตอ่ มาจงึ มีศิลปนิ อสี านคนหน่งึ ในหลาย ๆ คนได้กา้ วข้ึนมารเิ ร่มิ การ กาหนดแม่ ท่าฟ้อนอสี านขึ้น คอื ฉวีวรรณ ดาเนนิ ศิลปินแหง่ ชาติ สาขาศิลปะการแสดง (หมอลา) พ.ศ. 2536 สิง่ ท่ีฉวีวรรณ ดาเนิน และศิลปินกับนักวิชาการอ่ืน ๆ ลงมือกระทาคือ ศึกษา ค้นคว้าท่าฟ้อนและ กระบวนฟ้อนอีสานจากหมอลา และจากหมอผี ฯลฯ แล้วนามากาหนดเป็น ทา่ มาตรฐานข้ึน พร้อมกับ
25 กาหนดช่ือท่าฟ้อนท่ีเดิมเรียกต่าง ๆ กันบ้าง ไม่มีช่ือท่าบ้าง มาจับ ระเบียบใหม่ให้เป็นระบบฟ้อน มาตรฐานอีสานขึ้นได้ถึงกว่า 50 ท่า อาทิ เสือออกเหล่า, กาตาก ปีก,มาตุ้มมา โฮม, ม่วนช่ือโฮแซว, ย่างย้ายเตยี้ , เตา่ ลงหนอง, หมากงวนอ้ ย, หลกี แม่มาร, แรง้ ตากขา และหนมุ านถวายแหวน แม้ว่าความคิดของศิลปินและนักวิชาการอีสานดังกล่าวจะเกิดข้ึนและทาไปเพ่ือแยก เอกลกั ษณ์ของอสี านจากภาคกลางหรือนาฏยศิลป์ของหลวง แตว่ ิธีการกลบั เป็นไปในแนวเดียว กนั คือ พยายามให้เกิดท่าตายตัวขึ้น ซ่ึงอาจทาให้ศิลปะพ้ืนบ้านอย่างนาฏยศิลป์ ฟ้อนอีสาน ดั้งเดิมท่ีใคร พอใจใคร่ฟ้อนอย่างใดก็ฟ้อนน้ันหมดไปก็เป็นได้ เพราะเดิมไม่มีมาตรฐานกาหนด การฟ้อนไว้ ฟ้อน อย่างไรก็ไม่ผิด ตั้งแต่บัดน้ีเป็นต้นไปอาจบังเกิดความอายที่จะฟ้อนเพราะกลัวผิด จึงไม่ฟ้อนเสียเลย เร่ืองการเปล่ียนแปลงหรือการพัฒนาเช่นน้ีเป็นสิ่งท่ีเกิดข้ึนได้เสมอ ผู้ วิจัยเฝ้าสังเกตการณ์มาตลอด และได้แต่คาดคะเนให้เหน็ เป็นประเดน็ ท่คี วรติดตามกนั ต่อไป จตุพร ศิรสิ มั พันธ์, (2553 : 167-171) ไดอ้ ธบิ ายถึงเร่อื งของเพลงพื้นบ้านภาคอีสาน วา่ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีอาณาบริเวณกว้าขวางพอๆกับภาคกลาง ชายแดนติดกับประเทศเพื่อน บ้านท้ังลาวและกัมพูชา จึงเป็นแหล่งรวบรวมกลุ่มชนวัฒนธรรมต่างกัน อาทิเช่น กลุ่มวัฒนธรรมไทย ลาว คือจังหวัด หนองคาย อุดรธานี เลย สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ขอนแก่น ชัยภูมิ มุกดาหาร ยโสธร อุบลราชธานี บุรีรัมย์ และบางส่วนของจังหวัดศรีสะเกษ ใช้ภาษา ถน่ิ คอื ภาษาอสี าน จัดประเภทตา่ ง ๆ ได้แก่ 1. หมอลา มเี น้ือร้องตามโอกาสของงานและพัฒนามาเป็นอาชีพรับจ้างตามลักษณะ ของงาน เปน็ เพลงพนื้ บ้านท่ีได้รับความนิยมและเป็นท่ีรู้จักอย่างแพร่หลายของวฒั นธรรมกลุ่มน้ี เพลง หมอลาแบง่ ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ หมอลาเพ่ือความบันเทิง เชน่ หมอลากลอน หมอลาเร่อื ง หมอลากลอนคือการลา (คือ ขับร้องโดยใช้แคนประกอบ)โต้กลอนสดกัน มีชื่อเรียก อีกอย่างหนึ่งว่า “หมอลาประชัน” มีผู้ลาเพียงสองคน อาจจะเป็นชายล้วนหรือชายหญิงโต้ตอบกัน เน้ือหาจะกล่าวถึงวัฒนธรรมประเพณี ประวัฒนศาสตร์ นิทานพื้นบ้าน ใช้เคร่ืองดนตรีประกอบคือ แคน หมอลาเร่ือง หมอลาประเภทน้ีจะลาเป็นเร่ืองราว มักใช้เรื่องราวที่เกี่ยวกับนิทาน พน้ื บา้ น เช่นจาปาส่ตี น้ ท้าวกา่ กาดา นางแตงอ่อน 2.หมอลาที่แสดงในพิธีกรรม หมอลาผีฟ้าเป็นลาท่ีมีจุดมุ่งหมาย 2 ประการ คือ รักษาผู้ป่วย พยากรณฟื ้าดนิ อากาศ ทานองลาเปน็ จังหวะส้ันบา้ งยาวบ้าง ดนตรที ี่ใช้ประกอบในการลา
26 นิยมใช้แคนและกลอง เนื้อหาของกลอนลาเป็นการกล่าวถึงส่ิงศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ส่ิงศักดิ์สิทธ์ิบอกวิธี รักษาผปู้ ว่ ย มีผูล้ าเพียงผู้เดยี ว มีบรวิ ารในการฟ้อนรา วิธีการฟ้อนราไมม่ แี บบแผนทีแ่ นน่ อน ชาวอีสานกล่มุ วฒั นธรรมไทลาวจะมีเพลงพ้ืนบ้านอีกประเภทหน่ึงที่เรยี กว่า เพลงลา เซ้ิง “เซ้ิง”แปลว่า การฟ้อนรา การร้องราทาเพลง มักจะเป็นกลุ่มย่อย ๆ ต้ังเป็นขบวนแหไ่ ปขอปจั จัย เพอ่ื ร่วมทาบญุ งานวัด คาล่า มสุ ิกา, (2558 : 185-186) ได้นยิ ามนาฏประดิษฐ์อีสานท่ีปรากฏในวงโปงลาง ไว้ว่าการฟ้อนอีสาน เกิดจากธรรมชาติและการเลียนแบบธรรมชาติ วิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเช่ือ ขนบธรรมเนียมและประเพณี พิธีกรรม หมอลา ตลอดจนจิตวิญญาณและ อารมณ์ความรู้สึกชั่ว ขณะน้ันของชาวอีสาน การฟ้อนถ่ายทอดความสนุกสนาน แต่คงความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ซ่ือตรง มี ความเป็นอิสระของท่าฟ้อนและการใช้ร่างกายตามธรรมชาติ ไม่มีรูปแบบที่ ตายตัว ผู้ฟ้อนมีอารมณ์ ความรู้สึก ณ ขณะน้ัน จะแสดงท่าทางออกมาตามที่ตนเองรู้สึกหัวใจหลักของการฟ้อนของอีสานจะ เป็นไปตามจังหวะของดนตรี เพื่อให้เกิดความสวยงาม อ่อนช้อยที่วิจิตรกว่าธรรมชาติ โดยใช้ทุกส่วน ของร่างกาย ทั้งมือ เท้า ลาตัว เคล่ือนไหวไปตาม เสียงดนตรี ผ่านการย่าเท้า การม้วนมือ การกระดิก นิ้ว การแอ่นาตัว การย้อน การเฉิง การเตะ ขา การยกเท้าสูง การใช้เอว การใช้สะโพก การยึกยัก วับแวบ การก้ม เสน่ห์ของการฟ้อนอีสานที่ สาคัญ คือ การเคล่ือนไหวร่างกายตามธรรมชาติ ท้ังน้ีการ จีบของอีสานมที ัง้ การไมจ่ รดมือ และการ จรดมอื โดยไดร้ ับอทิ ธิพลจากนาฏศิลปไ์ ทยมาผสม การสร้างสรรค์นาฏยประดิษฐ์อีสานในวงโปงลางควรคานึงถึงความเป็นพ้ืนบ้าน อีสานที่มี ความเรียบง่าย และสอดคล้องกับดนตรีพ้ืนบ้านอีสาน ในงานวิจัยของ คาล่า มุสิกา ได้ให้ นิยามการฟอ้ นอีสานวา่ “แอแ๊ อน่ ฟ้อน โหยะย้อนใส่แคน ออ่ น นวยกวยแขน อว่ ยโตตามตอ้ ง” โดย แอแ๊ อ่นฟอ้ น คอื การทรงตัวขณะฟอ้ น โหยะย้อนใส่แคน คอื การเคลื่อนไหวเท้าและขาให้ตรงตามจังหวะของ ดนตรี ออ่ นนวยกวยแขนคือ การเคล่อื นไหวมอื สลบั กันไปมาอย่างนมุ่ นวล อวยโตตามตอ้ ง คอื การเคลอ่ื นไหวรา่ งกายตามอสิ ระ สานักวัฒนธรรมจังหวัดนครพนม, (2549 : 20-32) กล่าวว่าฟ้อนหางนกยูงเป็น ศิลปะการฟ้อนราที่เก่าแก่และงดงามของจังหวัดนครพนมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซ่ึงมีการพัฒนา มาอย่างช้า ๆ และต่อเน่ือง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ซ่ึงเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา จากการฟ้อนที่อยู่ในพิธีกรรมถวยเทียน ซึ่งเป็นพิธีกรรมท่ีเกี่ยวกับผี ฟ้อนหางนกยูงก็
27 พฒั นาเป็นการฟ้อนในพธิ ีกรรมบชู าพระธาตุพนม ซึ่งเปน็ พธิ ีกรรมของพทุ ธศาสนา ฟ้อนหางนกยูงแบ่ง ออกเป็น 3 ยุค ดงั น้ี ฟ้อนหางนกยงู ในยุคที่ 1 กอ่ นปี พ.ศ. 2498 ใ น อ ดี ต ฟ้ อ น ห า ง น ก ยู ง เ ค ย เ ป็ น ก า ร ล ะ เ ล่ น ใ น พิ ธี ก ร ร ม ถ ว ย เ ที ย น ข อ ง ช า ว เ มื อง นครพนมพธิ ีกรรมถวยเทยี นนี้จะจัดขึ้นในชว่ งเทศกาลออกพรรษา จดุ ประสงค์เพื่อบูชาและขออนุญาต เจ้าหม่ืน ซึ่งตามความเชื่อของชาวนครพนมเช่ือว่าเจ้าหมื่นคือ มเหศักดิ์หลักเมืองหรือวิญญาณของ เจ้าหม่ืนที่คุ้มครองชาวนครพนมและนอกจากจะดูแลชาวนครพนมแล้วยังดูแลรักษาแม่ น้าโขงในเขต นครพนมอกี ดว้ ย จากตานานทีก่ อ่ ให้เกิดความเชื่อน้ที าใหช้ าวนครพนมไม่วา่ จะประกอบ กจิ กรรมใด ๆ ในชุมชนกแ็ ลว้ แต่จะต้องทาพธิ ีกรรมบอกกลา่ วขออนญุ าตเจ้าหมื่นทุกคร้งั ไป ฟ้อนหางนกยูงในยคุ ที่ 1 ฟอ้ นหางนกยูงเปน็ เพียง การละเลน่ ในพธิ กี รรมเท่านั้นไม่ได้ ฟ้อนเพื่อเป็นมหรสพแต่อย่างใดผู้ฟ้อนมีอิสระในการออกลีลา ท่าฟ้อนตามความสามารถของตนเอง ในยุคนี้มีท่าฟ้อนเพียง 4 ท่า เท่าน้ันซ่ึงเป็นท่าของการฟ้อนดาบไม่มีการต้ังช่ือท่าฟ้อน การฟ้อนหาง นกยูงซ่ึง แสดงความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถ่ินได้เป็นอย่างดีและจุดประสงค์ของการฟ้อนก็เพื่อใช้ ติดต่อ บูชาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซ่ึงชาวนครพนมเช่ือและเคารพศรัทธาในความศักดิ์สิทธ์ิมา ต้ังแต่อดีต จนถงึ ปัจจบุ นั ฟอ้ นหางนกยงู ในยคุ ที่ 2 ปี พ.ศ. 2498 – 2530 ฟ้อนหางนกยูงเป็นนาฎกรรมที่ปรากฏอยู่ในวิถีชีวิตของชาวนครพนมเรื่อยมาและ ตอ่ เน่อื ง มาโดยตลอด จนถงึ ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เมอ่ื นางเกษมสุข สวุ รรณธรรมา ปจั จุบนั ๙๑ ปี ไดม้ า รับ ราชการครูที่โรงเรียนบ้านหนองจันทร์ อาเภอเมือง จังหวัดนครพนม ในวัยเยาว์นางเกษมสุข เป็นผู้มี พรสวรรค์ในการฟ้อนราและมีใจรักในการฝึกหัดวิชานาฏศิลป์ทุกประเภท โดยที่ตนเองไม่ มีโอกาสได้ ศึกษาเล่าเรียนในสถานศึกษาของกรมศิลปากร มีเพียงแต่ได้ฝึกหัดการฟ้อนราจาก ศิลปินพ้ืนบ้านรวม ไปถงึ การฟ้อนหางนกยูงด้วย ทาให้ฟ้อนหางนกยงู เกดิ การเปลีย่ นแปลงในทาง ท่ีดขี น้ึ ในยุคท่ี 2 นี้ฟ้อนหางนกยูงเร่ิมมีการพัฒนาที่ดีขึ้นมีการปรับปรุงกระบวนท่าฟ้อนให้ มี ระเบียบแบบแผนมากขึ้นมีท่าฟ้อนท่ีเป็นมาตรฐาน ในส่วนของการบรรเลงดนตรีได้ใชท้ านอง เพลง ลาวแพนซง่ึ มคี วามไพเราะออ่ นหวานผสมผสานกับกระบวนท่าฟ้อนอนั งดงามทาให้ฟอ้ นหาง นกยงู เรมิ่ มีการเผยแพร่ต่อสาธารณชนในรูปแบบของมหรสพมากข้ึน ต่างจากยุคที่ 1 ซ่ึงจะฟ้อน ในพิธีกรรม ถวยเทยี นเทา่ นัน้ หลงั จากเสร็จพธิ กี ็จะไมม่ ีการฟ้อนหางนกยูงอีกเลย
28 ฟ้อนหางนกยงู ในยคุ ที่ 3 พ.ศ. 2530 – ปัจจบุ ัน ในยคุ ที่ 3 นี้ฟอ้ นหางนกยูงมพี ัฒนาการมาอย่างต่อเน่ืองและช้านานซึ่งเกดิ จากสภาพ ทาง สงั คมและวัฒนธรรมเปล่ียนแปลงไปส่งผลกระทบให้ฟ้อนหางนกยูงเปลย่ี นแปลงเพ่ือให้เข้ากับยุค สมัยเป็นท่ีน่าสังเกตว่าฟ้อนหางนกยูงในยุคปัจจุบันมีส่วนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัด นครพนมไดอ้ ีกทางหน่งึ ด้วยเหน็ ไดจ้ ากการฟ้อนหางนกยงู เปน็ กิจกรรมหนึ่งในงานประเพณีไหล เรือไฟ และงานนมัสการพระธาตุพนม ซ่ึงสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดีเป็นการ เสริมสร้าง เศรษฐกจิ ชุมชนได้อีกทางหนงึ่ ด้วย สรปุ ได้ว่าชาวอสี านเป็นกลุ่มประชากรท่ีมีคติความเช่ือในเร่ืองการนับถือผีและเช่ือว่า พญาแถนคือเทพเจ้า ชาวอีสานจงึ มกี ารนาศิลปะการฟ้อนอีสานมาใชป้ ระกอบในพธิ ีกรรมตา่ ง ๆ ไมว่ ่า จะเป็น การราบวงสรวงและบูชาส่ิงศกั ด์สิ ิทธิ์ โบราณสถาน การราเพอ่ื รกั ษาอาการเจ็บปว่ ย การราเพ่ือ ขอฝน จึงมีการเกิดการฟ้อนอีสานขึ้นในสังคมวัฒนธรรมของชาวอีสานในทุก ๆ เทศกาลบุญประเพณี ต่าง ๆ ในทุก ๆ จงั หวัด 4.บริบทพ้ืนทีท่ ่ีวจิ ยั 4.1 ประวัตจิ ังหวัดนครพนม จังหวัดนครพนม เป็นจังหวัดเล็ก ๆ ริมฝ่ังแม่น้าโขง ในดินแดนท่ีราบสูง อดีตเป็น ศูนย์กลางของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์อันรุ่งเรือง แรกทีเดียวตัวเมืองต้ังอยู่ทางฝั่งซ้าย ของลาน้าโขง (ฝ่ังลาว) บริเวณทางใต้ปากเซบั้งไฟ ตรงข้ามกับอาเภอพระธาตุพนมในปัจจุบัน ตามอุรังคนิทานหรือ ตานานพระธาตุพนม (พิสดาร) ของพระธรรมราชานวุ ัตรอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม ได้เรียบเรียง ไว้ตอนหน่ึงว่า สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาโปรดสัตว์ท่ีแคว้นศรีโคตรบูรณ์ มีพุทธทานายว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้วเมืองศรีโคตรบูรณ์จักย้ายไปตั้งที่ “ป่าไม้รวก” มีนามว่า “เมืองมรุก ขนคร” ซึ่งสันนิษฐานกันว่าหมายถึง เมืองที่อยู่ในดงไม้รวก ตามสภาพภูมิประเทศที่สร้างบ้านแปง เมืองนั้นเอง ประมาณ พ.ศ.500 สมัยพญาสุมิตรธรรม ผู้ครองเมืองมรุกขนคร เป็นกษัตริย์ผู้มีจิต ศรทั ธาต่อพระพทุ ธศาสนาอย่างแรงกล้า มกี ารบูรณะพระธาตุพนมขึน้ เปน็ คร้ังแรก โดยก่อพระลานอูบ มุง ชัน้ ท่ี 1 และชน้ั ที่ 2 แล้วสร้างกาแพงลอ้ มรอบมีงานฉลองสมโภชอยา่ งมโหฬาร ซ่ึงพระอุรังคธาตุได้
29 แสดงปาฏิหารย์อัศจรรยย์ ิ่ง ทาให้พญาสมุ ติ รธรรมบังเกิดความปิติโสมนสั มาก นอกจากถวายทรัพย์สิน มีค่ามากมายเป็นพุทธบูชาแล้ว ยังมอบหมายให้หมู่บา้ นทงั้ 7 แห่งในเขตแดนน้ัน เป็นผู้ดูแลรกั ษาองค์ พระธาตุ หลงั จากพญาสมุ ิตรธรรม มีผู้ครองนครต่อมาอีก 2 พระองค์ ก็เกดิ เหตอุ าเพศแก่อาณาจักรศรี โคตรบูรณ์ จนกลายเป็นเมืองร้าง กระทั่งถึง พ.ศ.1800 เจ้าศรีโคตรบูรณ์ได้สร้างเมืองมรุกขนครขึ้น ใหม่ใต้เมืองท่าแขกบนฝั่งซ้ายแม่น้าโขง ใน พ.ศ. 2057 สมัยพระเจ้านครหลวงพิชิตทศพิศราชธานีศรี โคตรบูรณ์ได้เปลี่ยนชื่อเมืองใหม่กลายเป็น เมืองศรีโคตรบูร ตรงตามชื่ออาณาจักรเดิม ในสมัยนี้ยังมี การบรู ณะปฏิสังขรณ์พระธาตุพนมเร่ือยมาจนถงึ พ.ศ.2280 พระธรรมราชาเจ้าเมืองศรีโคตรบูรณ์องค์ สุดท้าย ได้ย้ายเมืองมาตั้งบนฝ่ังขวา (ฝ่ังไทย) เยื้องเมืองเก่าไปทางเหนือแล้วขนานนามเมืองใหม่ว่า เมืองนคร จากน้นั มกี ารโยกย้ายชมุ ชนเมอื งอีกหลายครง้ั พ.ศ.2321 ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้มีการย้ายเมืองมาตั้งท่ีบ้านหนองจันทร์ ห่างข้ึนไปทางเหนือ 52 กิโลเมตร ในปี พ.ศ. 2333 รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา โลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองนครก็ได้ขอขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร โดย พระองค์ทรงพระราชทานนามใหม่ข้ึนว่า นครพนม ชื่อนครพนมน้ัน มีข้อสันนิษฐานประการหนึ่งว่า เมืองนครเคยเป็นเมืองลูกหลวงมาก่อน และมีความสาคัญทางประวัติศาสตร์ จึงได้ใช้ชื่อว่า นคร ส่วน คาว่า พนม ก็มาจากพระธาตุพนม ปูชนียสถานท่ีอยู่คู่บ้านคู่เมืองมาช้านาน หรืออีกนัยหนึ่งคือ เดิม เมืองมรุกขนครต้ังอยู่ทางฝ่ังซ้ายแม่น้าโขงในบรเิ วณที่มีภูเขาสลับซับซ้อน จึงนาคาว่า พนม ซึ่งแปลวา่ ภเู ขามาใช้ นครพนม จึงหมายความถึง เมืองแห่งภเู ขา นั้นเอง
30 ภาพประกอบ 1 แผนท่ีจังหวดั นครพนม ท่มี า : http://www.oceansmile.com/E/Nakhornpanom/Nakhonpanom1.htm คาขวญั ประจาจังหวดั พระธาตุพนมค่าลา้ วัฒนธรรมหลากหลาย เรณผู ไู้ ท เรอื ไฟโสภา งามตาฝ่ังโขง 4.2 สภาพภูมศิ าสตร์ ทต่ี ง้ั ขนาด อาณาเขต (และพรมแดน) จังหวัดนครพนมเป็นจังหวัดชายแดน ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนบน) ของ ประเทศไทย มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวพื้นท่ีเป็นแนวยาว เลียบ ตามฝ่ังขวาของแม่น้าโขงในช่วงท่ีเป็นส่วนโค้งของคมขวานของแผนท่ีประเทศไทย (ขวานทอง) หรือเรียกได้ว่าเป็นพื้นท่ีสุดแผ่นดินสยาม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้านพรมแดนติดกับสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีแมน่ า้ โขงเป็นเส้นกัน้ พรมแดน พิกดั ทตี่ ั้งตามแนวเสน้ แวงที่ 104 ถงึ 105 องศาตะวนั ออก ระยะหา่ งจากกรุงเทพมหานคร โดยทางรถยนต์ ประมาณ 735 กโิ ลเมตร ขนาด
31 พ้ืนท่ีจังหวัดนครพนม ความกว้างตามนวตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงใต้ กว้างโดยเฉลี่ย ประมาณ 55 กิโลเมตร ความยาวเลียบตามฝั่งแม่นา้ โขง มีความยาวประมาณ 153 กิโลเมตร มีอาณา เขตติดตอ่ กบั จังหวัดใกลเ้ คียง ดังน้ี ทศิ เหนอื ติดต่อกับ อาเภอเซกา และอาเภอบึงโขงหลง จังหวัดหนองคาย ทิศตะวันออก ตดิ ต่อกับ แม่น้าโขงตรงขา้ มกับแขวงคามว่ น ประเทศสาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว ทศิ ใต้ ติดต่อกบั อาเภอดงหลวงและอาเภอหวา้ นใหญ่ จงั หวดั มุกดาหาร ทศิ ตะวันตก ติดต่อกบั อาเภออากาศอานวย อาเภอกุสมุ าลย์ และกง่ิ อาเภอโพนนา แก้ว จังหวัดสกลนคร 4.3 ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ ลักษณะภูมิประเทศโดยท่ัวไปของจังหวัดนครพนมเป็นพื้นท่ีราบลุ่มชายฝ่ังแม่นา้ โขง ซึ่งเป็นท่ียาวตามชายฝ่งั แม่น้าโขงถึง 153 กิโลเมตร เป็นพ้ืนท่ีมีป่าไม้สลับกับแม่น้าลาหวยหรือแอ่งนา้ และมีภูเขาทางตอนบนด้านทิศเหนือของจังหวัดในเขตอาเภอบ้านแพงติดต่อกับอาเภอเซกาและ อาเภอบึงโขงหลง จังหวัดหนองคาย จังหวัดนครพนมมีความสูงจากระดับน้าทะเล ประมาณ 140 เมตร ความแตกต่างของสภาพภูมิศาสตรใ์ นเขตพื้นที่ 4.4 ลักษณะภมู อิ ากาศ จงั หวดั นครพนมตามลกั ษณะลมฟ้าอากาศของประเทศไทยแบง่ ออกเป็น 3 ฤดู คือ ฤดูหนาว เริ่มต้ังแต่กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นฤดูมรสุม ตะวันออกเฉยี งเหนือ จงั หวดั นครพนมจะได้รบั อิทธิพลจากการเปลีย่ นแปลงของอากาศก่อนจังหวัดอ่ืน ฤดูน้ีความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือทาให้หนาวเย็นและ แหง้ แล้ง ฤดูร้อน เร่ิมตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคมจะเป็นช่วงว่างของ มรสมุ อากาศจะร้อนอบอ้าวทวั่ ไป เดอื นท่รี ้อนจัดคือเดอื นเมษายน ฤดูฝน เร่ิมตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม ถึงกลางเดือนตุลาคมเป็นช่วงที่ลมมรสุม ตะวันออกเฉียงใต้เป็นลมร้อนและช้ืนพัดจากมหาสมุทรอินเดียปกคลุมประเทศไทย ร่องความกด อากาศต่าท่ีพาดผ่านภาคใตจ้ ะเลื่อนขน้ึ มาถงึ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ทาให้ฝนตกชกุ ตง้ั แตก่ ลางเดือน พฤษภาคม ถงึ เดอื นตุลาคมและฝนจะลดลงอยา่ งรวดเร็วตัง้ แตก่ ลางเดอื นตลุ าคมเป็นตน้ ไป
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268