86 พระไตรปิฎกและจะได้เป็นประโยชน์กว้างขวางต่อไป จัดทำท่ีโลหปราสาท เมืองอนุราธปุระ ในลังกาทวีป มีองค์อุปถัมภ์คือพระเจ้ามหานาม มีพระพุทธโฆสเถระเป็นประธาน มีการแปลและเรียบเรียงคัมภีร์อรรถ กถาจากภาษาสิงหล เปน็ ภาษามคธอกั ษรบาลี ใช้เวลา 1 ปี จงึ สำเรจ็ 3.4 การสังคายนาครง้ั ท่ี 4 ในลังกาทวีป (พ.ศ.1587) มีมูลเหตุมาจากทางการคณะสงฆอ์ ันมีพระ มหากัสสปเถระเป็นประธาน และทางราชการบ้านเมืองอันมีพระเจ้าปรักกมพาหเุ ปน็ ประมุข เห็นว่าคัมภีร์ พระไตรปิฎกทเ่ี รียกว่า ปาลิ น้นั เป็นภาษามคธอักษรบาลี คมั ภีร์อธิบายพระไตรปิฎกที่เรียกวา่ อรรถกถา ก็ได้แปลและเรียบเรยี งเป็นภาษามคธ อันเป็นตันติภาษาสอดคล้องกับคมั ภีร์พระไตรปิฎกแล้ว ส่วนคัมภีร์ อธิบายอรรถกถาท่ีเรียกว่า ฎีกา และคัมภีร์อธิบายฎีกาท่ีเรียกว่า อนุฎีกา ยังมิได้แปลและเรียบเรียงเป็น ภาษามคธ ยังเป็นภาษาสิงหลบ้าง เป็นภาษาสิงหลปะปนกับภาษามคธบ้าง ควรจะได้แปลและเรียบเรียง เป็นภาษามคธให้หมดสิน้ จึงไดด้ ำเนินการแปลและเรยี บเรยี งคัมภีร์ดังกล่าวเป็นภาษามคธ เป็นตันติภาษา เช่นเดียวกับคัมภีร์พระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถา ทำท่ีลังกาทวีป (เข้าใจว่าท่ีโลหปราสาท เมอื งอนุราธ ปุระ) มีพระเจ้าปรักกมพาหุเป็นองค์อุปถัมภ์ มีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน พร้อมด้วยการกสงฆ์ (กรรมการเฉพาะกจิ สงฆ)์ จำนวนกว่า 1,000 รปู ใชเ้ วลา 1 ปี จึงสำเรจ็ กล่าวกันว่า หลังจากท่ีได้มีการสังคายนาครั้งน้ีแล้วไม่นาน พระเจ้าอนุรุทมหาราช กษัตริย์กรุง อริมัททนปุระ (พุกาม) แห่งประเทศพม่า ไดเ้ สดจ็ ไปลังกาทวีปและทรงจำลองคมั ภีรพ์ ระไตรปิฎกพร้อมท้ัง คัมภีร์อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา นำมาประดิษฐานไว้ศึกษาเล่าเรียนในประเทศพม่า ต่อแต่นั้นมา บรรดา ประเทศท่ีนับถือพระพุทธศาสนา เช่น ไทย เขมร ก็ได้ส่งพระสงฆ์และราชบัณฑิตไปจำลองคัมภีร์ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา นำมาประดิษฐานไว้ศึกษาเล่าเรียนในประเทศของตนบ้าง (สชุ ีพ ปญุ ญานภาพ, 2539, หนา้ 10-11) 4. การสงั คายนาชำระ การจารึก และการพิมพ์พระไตรปิฎกในประเทศไทย ท่ีกล่าวมาแล้วเก่ียวกับการสังคายนาพระธรรมวินัยนั้น เป็นการสังคายนาครั้งสำคัญ ๆ ใน พระพุทธศาสนา ซ่ึงกระทำกันในประเทศท่ีพระพุทธศาสนาหยั่งรากม่ันคง คือ ประเทศอินเดีย และ ศรีลังกา แท้ท่ีจริงน้ัน การสังคายนาชำระ การจารึก และการพิมพ์พระไตรปิฎกในประเทศไทยได้กระทำ กันหลายคร้ังหลายหน ในหลายรัชกาล ต่อเน่ืองกันตามวาระอันเป็นมงคลอย่างไม่ขาดตอ น โดย สชุ ีพ ปุญญานภาพ (2539, หน้า 17-20), พระเทพดลิ ก (ระแบบ ฐิตญาโณ) (2548, หน้า 458-460) และ ฟน้ื ดอกบวั (2554, หน้า 247-248) ได้กล่าวเรียงลำดับไว้ดงั ตอ่ ไปน้ี 4.1 สมยั ที่ 1 ในสมยั พระเจ้าติโลกราช เม่ือพ.ศ.2020 ในสมัยพระเจ้าติโลกราช แห่งอาณาจักรล้านนาไทย ได้อาราธนาพระภิกษุผู้ทรง พระไตรปิฎกหลายร้อยรูป มีพระธรรมทินเถระเป็นประธาน ทำการตรวจชำระพระไตรปิฎก พร้อมทั้ง อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา จารึกไว้ในใบลาน ด้วยอักษรธรรมของล้านนา ณ วัดโพธาราม เมืองเชียงใหม่
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 87 ประเทศไทย ใชเ้ วลา 1 ปีจงึ สำเร็จ นับเป็นการสังคายนาครั้งที่ 1 ในอาณาจักรล้านนาหรือประเทศไทยใน ปจั จุบัน เมอ่ื ทำการฉลองสมโภชแลว้ กโ็ ปรดให้สรา้ งมณเฑียรในวัดโพธาราม เพือ่ ประดิษฐานพระไตรปฎิ ก จำรึกพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทยลา้ นนา คลา้ ยอักษรพม่า มีผิดเพ้ยี นบ้าง และพอเดาออกเป็นบางตวั 4.2 สมยั ที่ 2 ในรชั สมัยของรัชกาลท่ี 1 เม่ือพ.ศ. 2331 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงมี พระราชศรัทธาปรารถนาจะทำนุบำรุงพระพทุ ธศาสนาให้เจริญม่ันคงสืบไป ได้ทรงทราบจากพระสงฆ์อันมี สมเด็จพระสังฆราช พร้อมด้วยพระราชาคณะ ฐานานุกรมเปรียญ 100 รูปว่า เวลานั้นพระไตรปิฎกมีข้อ วิปลาสคลาดเคล่ือนมาก แม้พระสงฆ์จะมีความประสงค์จะทำนุบำรุงให้สมบูรณ์ก็ไม่มีกำลังพอจะทำได้ พระองค์จึงได้ทรงอาราธนาสมเด็จพระสังฆราชพร้อมด้วยพระสงฆ์ท้ังปวงให้รับภาระในเร่ืองนี้ ดังนั้น สมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน มีพระสงฆ์เข้าประชุมเป็นสังคีติการกสงฆ์จำนวน 218 รูป และมีราช บัณฑิตเป็นผู้ช่วยเหลือจำนวน 32 คน จึงได้เริ่มทำการสังคายนาพระธรรมวินัย ตรวจชำระพระไตรปิฎก พรอ้ มทั้งคัมภีร์ลัททาวเิ สส (คัมภีรไ์ วยากรณ์บาล)ี และได้จารึกไว้ในใบลานด้วยอักษรขอม โปรดให้ปดิ ทอง แท่งทับท้ังปกหน้าหลังและกรอบทั้งสิ้น เรียกว่า พระไตรปิฎกฉบับทอง ณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ซ่ึง ปจั จุบนั คือวดั มหาธาตยุ ุวราชรังสฤษฎิ์ กรงุ เทพมหานคร ใชเ้ วลา 5 เดอื น จงึ สำเรจ็ 4.3 สมัยท่ี 3 ในรชั สมัยของรัชกาลที่ 5 เม่ือพ.ศ.2431 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นการเฉลิม ฉลองในโอกาสท่ีพระองค์ท่านเสวยสิริราชสมบัติครบ 25 ปี ทรงปรารภจะบำเพ็ญพระมหากุศล ทรงเห็น ว่าพระไตรปิฎกท่ีเขียนไว้ในใบลานไม่ม่ันคง ท้ังจำนวนก็มากยากที่จะรักษาและเป็นตัวขอม ผู้ไม่รู้อ่านไม่ เข้าใจ จึงมีพระราชศรัทธาให้พิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มแบบฝรั่งขึ้นใหม่ โปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรสเป็นประธาน คณะทำงานปริวรรตพระไตรปิฎกจากอักษรขอมมาเป็น อกั ษรไทย มีพระสงฆ์เข้าประชมุ เป็นสังคีติการกสงฆ์ จำนวน 110 รูป ช่วยกันชำระ โดยคัดลอกตัวขอมใน คมั ภีร์ใบลานเป็นตัวอักษรไทย แล้วชำระแกไ้ ขและพิมพ์เป็นเลม่ หนังสือ จำนวน 1,000 ชุด ๆ ละ 39 เล่ม เรมิ่ ชำระและพิมพ์ตงั้ แต่พ.ศ. 2431 สำเร็จเมอ่ื พ.ศ. 2436 จดั ทำ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ใช้เวลา 6 ปี จึงสำเร็จ นับเป็นคร้ังแรกในประเทศไทยท่ีมีการพิมพ์ พระไตรปิฎกเปน็ เลม่ ดว้ ยอกั ษรไทย 4.4 สมยั ท่ี 4 ในรชั สมยั ของรชั กาลท่ี 7 เมื่อพ.ศ.2468 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงโปรดเกล้าให้ชำระและ จัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เพราะพระไตรปิฎกฉบับพิมพ์ขึ้นในรัชกาลที่ 5 นั้น ชุดหน่ึงมีเพียง 39 เล่มเท่านั้น มีบางคัมภีร์ที่ยังไมไ่ ด้พิมพ์และบางคัมภีรพ์ ิมพ์แล้วแต่ยังไม่สมบูรณ์ ในการจัดพิมพ์คร้ังนี้โปรด เกล้าฯ ให้กราบทูลอาราธนา พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็น ประธานในการตรวจสอบทานชำระต้นฉบับที่ขาดหายไปเพิ่มอีก จากที่มีอยู่ 39 เล่ม ให้ครบ 45 เล่ม
88 การจดั พิมพ์พระไตรปิฎกครั้งน้ี นับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับอักษรไทยจนจบบริบูรณ์ และไดข้ นานนามพระไตรปฎิ กชดุ นวี้ ่า พระไตรปิฎกฉบบั สยามรัฐ มตี ราชา้ งเป็นเคร่ืองหมาย พิมพ์จำนวน 1,500 ชุด จัดทำตั้งแต่พ.ศ. 2468 ถึงพ.ศ. 2473 จึงสำเร็จ เมื่อจัดพิมพ์เสร็จแล้ว ได้พระราชทานในพระ ราชอาณาจักร 200 ชุด พระราชทานนานาประเทศ 450 ชุด เหลืออีก 850 ชุด พระราชทานแก่ผู้บริจาค ทรพั ย์ขอรับหนังสอื พระไตรปฎิ ก 4.5 สมยั ที่ 5 ในรัชสมัยของรชั กาลท่ี 8-9 เม่ือ พ.ศ.2483 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลรัชกาลที่ 8 และรัชกาลท่ี 9 ต่อกัน ได้มีการตรวจชำระและแปลพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยขึ้นเป็นฉบับภาษาไทยท่ีสมบูรณ์เป็นคร้ังแรก เพราะพระไตรปิฎกฉบับก่อนที่ได้ทรงโปรดให้จัดสร้างขึ้นในรัชกาลก่อน ๆ น้ัน เป็นภาษาขอมบ้าง เป็นภาษาบาลีอักษรไทยบ้าง ทั้งน้ี เป็นการนำพระไตรปิฎกมาชำระ ตรวจทาน พิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่ม สมบูรณ์ จำนวน 45 เล่ม ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 7 ดังกล่าวแล้ว แท้จริงแล้ว เป็นการทำต่อเน่ืองมาจากรัชกาลที่ 1, 5, 7 ตามลำดับ ซึ่งพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี มีอรรถะและพยัญชนะถูกต้องสมบูรณ์ดีแล้ว แต่ยังไม่ได้แปลออกมาเป็นภาษาไทยสำหรับคนท่ัวไปได้ ศึกษาเข้าใจได้งา่ ย ดังนั้น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวเถร) วัดสุทัศน เทพวราราม ได้ทรงปรารภว่า ประเทศไทยเราควรจะมีพระไตรปิฎกท่ีแปลเป็นภาษาไทยจนครบถ้วน บริบูรณ์สมกับเป็นเมืองแห่งพระพุทธศาสนา กระทรวงธรรมการ (ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ) และ รัฐบาลในสมัยนั้นเห็นชอบด้วย จึงนำความกราบบังคมทูลและได้โปรดให้งานนี้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ และถวายให้สมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธาน โดยมอบให้กรมธรรมการ (ปัจจุบันคือกรมการศาสนา) เป็นผู้อำนวยการฝ่ายคฤหัสถ์ จัดพิมพ์พระไตรปิฎกเพื่อเผยแผ่ต่อไป เริ่มดำเนินงานต้ังแต่พ.ศ. 2483 ถึง พ.ศ. 2500 และได้ขนานนามว่า พระไตรปิฎกภาษาไทย โดยแบ่งออกเป็น 2 สำนวน คือ 1) แปลโดย อรรถ ตามความในพระบาลีพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ซ่ึงได้จัดพิมพ์ขึ้นในสมัยพระพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจา้ อยูห่ ัว รชั กาลท่ี 7 พิมพ์ออกมาเป็นเล่มสมุด เรียกว่า พระไตรปิฎกภาษาไทย 2) แปลโดย สำนวนเทศนาโวหาร มีทั้งหมด 1,250 กัณฑ์ เท่าจำนวนพระอรหันต์ในคราวประชุมจาตุรงคสันนิบาต ณ วัดเวฬุวัน วันมาฆบูชา สำหรับพิมพ์ลงในใบลานเป็นรูปคัมภีร์เทศน์ เรียกช่ือให้แปลกออกไปว่า พระไตรปิฎกเทศนาฉบับหลวง จัดพิมพ์ออกมาคราวแรก จำนวน 2,500 ชุด ชุดละ 80 เล่ม เทา่ พระชนมายุของพระพทุ ธเจ้า จดุ มงุ่ หมายก็เพอื่ ใหเ้ ปน็ อนสุ รณ์เน่อื งในงานฉลอง 25 พทุ ธศตวรรษ 4.6 สมัยท่ี 6 ในรชั สมัยของรชั กาลที่ 9 ในปีพ.ศ.2530 เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบปี นักษัตร สมเด็จพระสังฆราชทรงดำริเห็นว่า พระไตรปิฎกอันเป็นคัมภีร์สำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนาน้ัน มีข้อวิปลาสคลาดเคลื่อนอยู่อันเกิดจากความประมาทพลาดพลั้งในการคัดลอกและตีพิมพ์กันต่อ ๆ มา เห็นควรทำการสังคายนาพระธรรมวินัยตรวจสอบชำระให้บริสุทธิ์บริบูรณ์และตีพิมพ์ข้ึนเป็นท่ีเฉลิมพระ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 89 เกียรตยิ ศในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัว เนื่องในวนั เฉลิมพระชนมพรรษา ปีพ.ศ. 2530 ทีจ่ ะมาถึง จึงได้ เจริญพรขอความอุปถัมภ์ไปยังรัฐบาลและถวายพระพรให้การสังคายนาคร้ังน้ีอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ เม่ือได้รับงบประมาณและพระบรมราชูปถัมภ์แล้ว จึงได้ดำเนินการสังคายนา เร่ิมแต่ปีพ.ศ. 2528 และ เสร็จส้ินลงเมื่อปีพ.ศ. 2530 มีสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก (วาสน์ วาสโนมหาเถระ) เป็น ประธาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเป็นองค์อุปถัมภ์ พร้อมด้วยรัฐบาล อันมีพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี จัดทำ ณ พระตำหนักสมเด็จวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ใช้เวลา 2 ปี จึงสำเร็จ ตีพิมพ์ พระไตรปิฎกฉบับหลวง ทั้งภาษาไทยและ ภาษามคธ จำนวน 4,000 จบ 5. การนับคร้ังสงั คายนา ปัญหาเรอ่ื งการนบั คร้ังในการทำสงั คายนาน้ัน สุชีพ ปุญญานุภาพ (2539, น.7-15) ไดส้ รุปไว้ ประกอบด้วย 5 หัวข้อดงั น้ี 1) การนบั คร้ังสงั คายนาทร่ี ู้กันทัว่ ไป 2) การนับสงั คายนาของลงั กา 3) การนับสงั คายนาของพมา่ 4) การนับสงั คายนาของไทย 5) การนบั สังคายนาของฝ่ายมหายาน 5.1 การนับคร้ังสังคายนาท่ีรู้กนั ทว่ั ไป การนับคร้ังสังคายนาท่ีรู้กันทั่วไปคือ การสังคายนาคร้งั ที่ 1 ท่ี 2 และท่ี 3 ที่ทำในประเทศอินเดีย ของฝ่ายเถรวาท ส่วนคร้ังท่ี 4 ท่จี ัดทำโดยการอุปถัมภ์ของพระเจ้ากนษิ กะ เป็นการสังคายนาผสมระหว่าง นิกายสรวาสติวาทินหรือนิกายสัพพัตถิกวาทและมหายาน อันเป็นนิกายที่แยกออกไปจากเถรวาท ฝา่ ยเถรวาทจึงไมร่ บั รใู้ นการสงั คายนาคร้ังนี้ เพราะการสืบสายศาสนาแยกออกกันคนละทาง อีกทัง้ ภาษาท่ี ใช้ก็ต่างกัน กล่าวคือ พระพุทธศาสนาแบบไทย พม่า ลังกา เขมร และลาว ใช้ภาษาบาลี สว่ นฝ่ายมหายาน หรือพุทธศาสนาแบบธิเบต จีน ญี่ปุ่น ภูฎาน เกาหลี และญวน ใช้ภาษาสันสกฤต ครั้นสมัยที่ตำราภาษา สันสกฤตสาบสูญ ก็มีคัมภีร์ท่ีแปลเป็นภาษาจีนและธิเบตเป็นหลัก หลังจากน้ันจึงมีการแปลสู่ภาษาอ่ืน ๆ เช่น ภาษาญีป่ นุ่ อีกต่อหนง่ึ 5.2 การนบั สังคายนาของลังกา ลังกานับถือนิกายเถรวาทเช่นเดียวกันไทย ได้รับรองการสังคายนาท้ัง 3 คร้ังในอินเดีย แต่ไม่ รับรองครัง้ ที่ 4 เพราะเห็นว่าเป็นการสงั คายนาผสมระหวา่ งนิกายสัพพัตถิกวาทและมหายาน การสังคายาครั้งท่ี 1 ในลังกาทวีป ซึ่งจัดทำต่อจากสังคายนาคร้ังที่ 3 ในอินเดียห่างกันเพียง 3 ปี กล่าวคือสังคายนาคร้ังที่ 3 ในอินเดียจัดทำเมื่อพ.ศ. 235 แต่การสังคายนาในลังกาได้จัดทำเม่ือพ.ศ. 238
90 โดยมีเหตุผลเพื่อให้พระพุทธศาสนาต้ังมั่น ดังน้ัน บางมติจึงไม่ยอมรับว่าเป็นการสังคายนา เช่น มติของ ฝา่ ยพมา่ การสังคายนาครั้งท่ี 2 ในลังกาทวีป ปรารภพระสงฆ์แตกกันเป็น 2 พวกคือ พวกมหาวิหารกับ พวกอภัยคีรีวิหาร และคำนึงว่าสืบไปภายหน้า หากจะใช้วิธีท่องจำพระพุทธวัจนะต่อไป ก็อาจเกิด ข้อผิดพลาดได้งา่ ย เพราะปัญญาในการท่องจำของกุลบุตรอาจเสือ่ ม ควรจารกึ พระธรรมวินัยลงในใบลาน รวมท้ังอรรถกถาด้วย ณ อาโลกเลณสถาน มตเลชนบท หรือมลัยชนบท (เรียกแบบไทย) ในลังกาทวีป เม่ือพุทธศักราช 433 แต่หลักฐานบางแห่งระบุว่า พุทธศักราช 450 โดยพระเจ้าวัฎฎคามณีอภัยทรงเป็น ศาสนปู ถัมภก มีพระรักขติ มหาเถระเปน็ ประธาน บางมติไม่รับรองการสังคายนาครั้งที่ 1 ในลังกาว่าเป็นครั้งที่ 4 ต่อจากอินเดีย แต่รับรองการ สังคายนาครั้งที่ 2 ในลังกาน้ีเป็นคร้ังที่ 4 ตอ่ จากอนิ เดยี แต่บางมติก็จัดเขา้ เปน็ คร้ังท่ี 5 การสังคายนาคร้ังที่ 3 ในลังกาทวีป พ.ศ.956 มีมูลเหตุมาจากพระพุทธโฆสเถระ ได้แปลและ เรียบเรียงคัมภีร์อรรถกถา (คัมภีร์อธิบายพระไตรปิฎก) จากภาษาสิงหลเป็นภาษามคธ เพ่ือจะได้เป็น ตันติภาษา (ภาษาที่มแี บบแผน) สอดคล้องกับคมั ภีร์พระไตรปิฎก และจะได้เปน็ ประโยชนก์ ว้างขวางต่อไป ซึ่งการสังคายนาครั้งนี้ลังกาเองไม่นับเป็นการสังคายนาตามแบบแผนท่ีนิยมกันว่า การสังคายนาจะต้องมี การชำระพระไตรปฎิ ก น่ันเอง การสงั คายนาครั้งที่ 4 (พ.ศ.1587) มีมลู เหตุมาจากทางการคณะสงฆ์อนั มีพระมหากัสสปเถระเป็น ประธาน และทางราชการบ้านเมืองอันมีพระเจ้าปรักกมพาหุเป็นประมุขเห็นว่า คัมภีร์พระไตรปิฎก ซ่ึง เรียกวา่ ปาลิ นั้น เป็นภาษามคธอักษรบาลี คัมภรี ์อธบิ ายพระไตรปิฎก ซ่ึงเรียกว่า อรรถกถา กไ็ ด้แปลและ เรียบเรียงเป็นภาษามคธ อันเป็นตันติภาษาสอดคล้องกับคัมภีร์พระไตรปิฎกแล้ว ส่วนคัมภีร์อธิบายอรรถ กถา ซึ่งเรียกว่า ฎีกา และคัมภีร์อธิบายฎีกา ซึ่งเรียกว่า อนุฎีกา ยังมิได้แปลและเรียบเรียงเป็นภาษามคธ ยังเป็นภาษาสิงหลบ้าง เป็นภาษาสิงหลปะปนกับภาษามคธบ้าง ควรจะได้แปลและเรียบเรียงเป็นภาษา มคธให้หมดสิ้น จงึ ได้ดำเนนิ การแปลและเรียบเรยี งคมั ภีร์ดังกล่าวเป็นภาษามคธ เป็นตันตภิ าษา (ภาษาท่ีมี แบบแผน) เช่นเดียวกับคมั ภีร์พระไตรปฎิ กและคัมภรี ์อรรถกถา ซงึ่ การสังคายนาคร้ังน้ีลังกาเองกไ็ มน่ ับเป็น การสังคายนา เนอ่ื งจากไมไ่ ด้สงั คายนาพระไตรปฎิ กตามหลกั การดงั กล่าวแล้ว 5.3 การนบั สงั คายนาของพม่า พม่าซ่ึงนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเช่นเดียวกับไทย ไม่รับรองการสังคายนาคร้ังที่ 1 ในลังกา รับรองเฉพาะครั้งท่ี 2 เป็นคร้ังที่ 4 ต่อจากอินเดียและนับการสังคายนาที่ทำในประเทศพม่าเป็น คร้งั ที่ 5 และ 6 ต่อไป สังคายนาครั้งท่ี 1 ในพม่า เป็นการจารึกพระไตรปิฎกลงในแผ่นหินอ่อน 729 แผ่น ณ เมือง มันดเล ด้วยการอุปถัมภ์ของพระเจ้ามินดง ในปีพ.ศ. 2414 มีพระมหาเถระ 3 รูป คือ พระชาคราภิวังสะ พระนรินทาภิธชะ และพระสมุ ังคลสามี ได้ผลัดเปล่ยี นกนั เป็นประธานโดยลำดบั มพี ระสงฆ์และอาจารย์ผู้
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 91 แตกฉานในพระปริยตั ิธรรมร่วมประชุม 2,400 ทา่ น ใชเ้ วลา 5 เดือนจงึ สำเรจ็ พม่านับการสังคายนาครั้งนี้ เป็นครง้ั ที่ 5 สังคายนาคร้ังท่ี 2 ในพม่า เป็นการมุ่งพิมพ์พระไตรปิฎก อรรถกถา และคำแปลเป็นภาษาพม่า โดยลำดับ มกี ารโฆษณาและเชญิ ชวนพุทธศาสนิกชนหลายประเทศเข้ารว่ ม โดยเฉพาะประเทศเถรวาท คือ พม่า ลังกา ไทย ลาว และเขมร รวม 5 ประเทศ เป็นการใช้พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีร่วมกัน จึงมีสมัย ประชุม มีประมุขหรือผู้แทนประมุขของท้ังห้าประเทศผลัดเปลี่ยนกันเป็นหัวหน้าเป็นสมัย ๆ ไป เช่น เป็น สมัยของไทย เป็นสมยั ของลาว เป็นต้น มีที่น่ังสำหรบั พระสงฆ์ไม่น้อยกว่า 2,500 ที่ บนเน้อื ท่ีกว่า 200 ไร่ เมื่อเสร็จแล้วมีการแจกจ่ายพระไตรปิฎกฉบับอักษรพม่าไปประเทศต่าง ๆ รวมท้ังประเทศไทยด้วย พม่านับการสังคายนาคร้ังนเ้ี ป็นคร้งั ที่ 6 5.4 การนบั สงั คายนาของไทย ไทยยอมรบั การสังคายนาในประเทศอนิ เดยี ครง้ั ที่ 1,2,3 และคร้ังที่ 1,2 ในลังกาเปน็ คร้งั ท่ี 4 และ 5 รวม 5 คร้ัง แต่สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงถือว่าสังคายนาในลังกาท้งั สอง คร้งั เป็นเพียงการสงั คายนาเฉพาะในประเทศ ไม่ควรจัดเปน็ การสงั คายนาทวั่ ไป แตต่ ามหนังสือสังคตี ิยวงศ์ หรือประวัติการสังคายนา รจนาโดยสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพน เป็นภาษาบาลีในรัชกาลที่ 1 ได้ ลำดบั ความเปน็ มาของการสังคายนาไว้ 9 ครัง้ ดังนี้ การสงั คายนาในประเทศอนิ เดีย นับเปน็ คร้งั ที่ 1-2-3 ไมน่ บั ครง้ั ที่ 4 ท่ีเปน็ การสังคายนาผสม การสังคายนาในลังกา นับเป็นครัง้ ที่ 4-5-6-7 นับการสงั คายนาทัง้ 4 ครงั้ ในลงั กา การสังคายนาในไทย นับเป็นคร้ังท่ี 8-9 นับสมัยที่ 1 ในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราชแห่ง เชียงใหม่เป็นคร้ังที่ 8 และสมัยท่ี 2 ในรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัติริย์ แห่งราชวงศ์จกั รี กรุงรตั นโกสินทร์ เปน็ ครัง้ ที่ 9 ประวัติการสังคายนา 9 คร้ังตามที่ปรากฏในหนังสือสังคีติยวงศ์ รจนาโดยสมเด็จพระวันรัตนี้ พระภกิ ษุชานันทะ ศาสตราจารย์ภาษาบาลี และพุทธศาสตรแ์ ห่งสถาบันภาษาบาลีท่ีนาลันทาได้นำไปเล่า ไวเ้ ป็นภาษาองั กฤษในหนังสือ 2500 ปีแห่งพระพุทธศาสนาในอินเดีย จัดพิมพ์ขึ้นในโอกาสฉลอง 25 พุทธ ศตวรรษในอินเดยี ดว้ ย 5.5 การนับสังคายนาของฝ่ายมหายาน ดร.นลินักษะ แห่งมหาวิทยาลัยกัลกัตตา อินเดีย กล่าวว่า มหายานยอมรับการสังคายนาครั้งที่ 1 และ 2 ในอินเดยี รวมกันเป็นครัง้ ที่ 1 ซึ่งอาจเป็นเพราะในหลักฐานมีการบันทึกที่สับสนกันระหว่างการทำ สังคายนาคร้ังที่ 1 และครั้งที่ 2 กล่าวคือ หนังสือของฝ่ายมหายานได้บันทึกไว้ว่า การสังคายนาผสมกับ ฝ่ายมหายาน เกิดในสมัยพระเจ้ากนิษกะ ประมาณ พ.ศ. 643 แต่มีข้ออ้างต่าง ๆ ท่ีพาดพิงไปถึงการ สังคายนาครั้งที่ 1 และครัง้ ท่ี 2 ของคณะสงฆ์อกี ฝ่ายหนึง่ ทีท่ ำสังคายนาแขง่ กบั อีกฝา่ ยหนง่ึ ความว่า
92 ในการสงั คายนาครั้งท่ี 1 มีพระมหากัสสปเถระเป็นประธานนั้น ฝา่ ยมหายานระบุว่า ภิกษุที่ไม่ได้ รับคัดเลือกให้เป็นการกสงฆ์ (สงฆ์ผู้ทำหน้าท่ีในการสังคายนา) ในปฐมสังคายนาน้ัน ได้ประชุมกันทำ สังคายนานอกถ้ำเป็นจำนวนมาก เรียกชื่อว่า สังคายนามหาสังฆิกะ หมายถึงการสังคายนาของสงฆ์หมู่ ใหญ่และมีการเล่าเรื่องเกี่ยวกับการสังคายนาของมหาสังฆิกะว่า ภิกษุวัชชีบุตร ถือวินัยย่อหย่อน 10 ประการ ทำให้พระยศกากันฑกบุตรต้องชักชวนสงฆ์ให้ทำสังคายนาเพ่ือชำระมลทินโดยทำการวินิจฉัยว่า การถือวัตถุ 10 ประการมหี ้ามไวใ้ นพระวินัยหรือไม่ อย่างไร ในขณะเดียวกันพวกภิกษุวชั ชีบุตรกไ็ ด้รวมตัว กันทำสังคายนาเช่นเดียวกัน เรียกว่า มหาสังคีติ คือ มหาสังคายนาของสงฆ์หมู่ใหญ่อันเป็นเหตุให้เกิด นิกายมหาสังฆิกะขึ้น ซ่ึงต่อมาได้วิวัฒนาการมาเป็นมหายานในเวลาต่อมา โดยในหลักฐานของฝ่าย มหายานระบุว่า การกำเนิดของนิกายมหาสังฆิกะ ไม่ได้กล่าวถึงวัตถุ 10 ประการ แต่กล่าวถึงทิฏฐิ 5 ประการของมหาเทวะแทน เช่นกล่าวว่า พระอรหันต์อาจถูกมารย่ัวยวนจนอสุจิเคล่ือนได้ในเวลานอนฝัน เปน็ ตน้ วา่ เป็นตน้ เหตุของการทำทุติยสังคายนา 6. สรปุ ทา้ ยบท การสังคายนาในอินเดยี ลงั กาทวปี และไทย สงั คายนา หมายถึง การร้อยกรอง หรือรวบรวมพระธรรมวนิ ยั อนั เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งกระจัดกระจายกนั อยู่ ให้อยู่ในหมวดหมู่เดยี วกนั มีระบบเป็นอันหนึ่งอนั เดยี วกัน โดยมีการประชุมสงฆ์ ดำเนินการรวบรวมจัดหมวดหมู่ จัดระบบให้เป็นท่ีเรียบร้อย แลว้ มีการสวดซักซ้อมหรือสวดพรอ้ มกันและ เป็นแบบเดียวกัน เป็นการตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์แห่งพระธรรมวินัย และลงมติรับรองกันไว้เป็น หลกั ฐานสำคญั แลว้ มกี ารทอ่ งจำ จดจำ หรอื จารึกไวส้ ืบตอ่ มา การสงั คายนาครงั้ ที่ 1 ถึงคร้งั ที่ 3 ควรนบั ได้ว่าเป็นการสงั คายนาพระไตรปิฎกในรปู แบบ พระไตรปิฎกมุขปาฐะ (สวดหรือจำสืบต่อ กันมาด้วยปาก) การสังคายนาต่อจากน้ันมาเป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกในรูปแบบ พระไตรปิฎกลาย ลกั ษณ์อักษร สาเหตุแหง่ การสังคายนาพระไตรปิฎก ความคิดที่จะให้มีการสังคายนาพระธรรมวินัยนั้น ได้มีมาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล โดยพระพุทธ องค์ไดป้ ระทานพระพทุ ธโอวาทแนะนำไว้ กล่าวคอื เม่ือนิครนถนาฏบุตร ผ้เู ปน็ อาจารยเ์ จ้าลัทธิเชนส้ินชีพ พวกสาวกของเจ้าลัทธิน้ีได้เกิดแตกสามัคคี กัน คร้ังนั้น พระจุนทเถระผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระได้ทราบเร่ืองนั้นแล้ว มีความห่วงใยใน พระพุทธศาสนา เกรงเหตุการณ์เช่นน้ันจะเกิดข้ึนแก่พระพุทธศาสนา จึงไปพบพระอานนท์เถระเล่าความ น้ันให้ฟัง พระอานนท์เถระจึงได้ชวนเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระจุนทเถระกราบทูลเล่าเรื่องน้ันถวายให้ทรง ทราบ พระพุทธองค์ได้ประทานพระพุทธโอวาทเป็นอันมากแก่พระจุนทเถระ ท่ีสำคัญข้อหน่ึงก็คือ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 93 พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า ท่ีสาวกของนิครนถนาฏบุตรแตกสามัคคีกันนั้น เพราะคำสอนของเจ้าลัทธิน้ันไม่ สมบูรณ์และมีความสับสน ทั้งพวกสาวกก็ไม่ปฏิบัติตามคำสอน แลว้ ทรงแนะนำให้รวบรวมพระพุทธวจนะ ใหท้ ำการสังคายนาไวเ้ พ่อื ความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนาสืบไป พระสารีบุตรเถระก็ได้แนะนำพระภิกษุสงฆ์ให้ช่วยกันรวบรวมพระพุทธวจนะ หรือทำการ สังคายนาพระธรรมวินัยไว้เช่นเดียวกัน กล่าวคือ เม่อื นิครนถนาฏบตุ รสิ้นชีพ และพวกสาวกเกดิ แตกความ สามคั คีกนั ดังกล่าวแล้วนนั้ ตอนค่ำวันหนง่ึ พระพทุ ธองค์ได้ทรงแสดงธรรมโปรดภิกษุสงฆ์ทเี่ ขา้ เฝ้า จบแล้ว ทรงเห็นว่าภิกษุสงฆ์ยังประสงค์จะฟังธรรมต่อไปอีก จึงทรงมอบหมายให้พระสารีบุตรแสดงธรรมแทน คร้ังนั้น พระสารีบุตรเถระได้แสดงธรรมแกภ่ ิกษุสงฆ์ ได้แนะนำให้ช่วยกันรวบรวมร้อยกรองพระธรรมวินัย ไว้ โดยแสดงตัวอย่างการจัดหมวดหมูธ่ รรมะเป็นหมวด ๆ ตั้งแต่หมวด 1 ถึงหมวด 10 ว่าธรรมะอะไรบ้าง อยู่ในหมวดนั้น ๆ หัวข้อเรื่องท่ีพระสารีบุตรเถระแสดงในคร้ังน้ัน เรียกว่า สังคิติสูตร อันแปลว่า สูตรว่า ดว้ ยการสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั ซงึ่ แนวคิดและขอ้ แนะนำรับรองวา่ ถูกต้อง ตามที่กล่าวมาน้ีจะเห็นได้ว่า การจัดสังคายนาพระธรรมวินัย หรอื การสังคายนาพระไตรปิฎกนั้น เป็นเรื่องสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ผู้เป็นพุทธสาวกที่สำคัญรูปหนึ่ง คือ พระจุนทเถระ มีความห่วงใยต่ออนาคตแห่งพระพุทธศาสนา พระเถระรูปน้ีหวั่นเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ ท่ีเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาในอนาคต จึงได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์และกราบทูลเรื่องราวท่ีเกิดข้ึนในลัทธิ เชน เพ่อื ป้องกันมใิ ห้เกดิ เหตกุ ารณ์ทำนองเดยี วกนั ขึน้ ในพระพุทธศาสนา ดงั กล่าวแลว้ ด้วยเหตุดังกล่าวมา พระสงฆ์พุทธสาวกผู้เป็นศาสนทายาท เมื่อปรารภเหตุอย่างใดอย่างหน่ึงซ่ึง จะเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา ก็ได้พร้อมกันปกป้องพระพุทธศาสนาไว้ แก้ไขให้พ้นภัยตลอดมา วิธีการ ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาที่สำคัญวิธีหนึ่งก็คือ การสังคายนาพระธรรมวินัย หรือการสังคายนา พระไตรปิฎก ซึ่งได้ถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาโดยลำดับตามควรแก่เหตุการณ์และกาลเวลา โดยการ สงั คายนา คร้งั ที่ 1 (3 เดือนหลังปรินิพพาน) มีมูลเหตุมาจาก การจาบจ้วงพระธรรมวินัยของพระภิกษุ แก่ ช่ือว่า สุภัททะ หลังพุทธปรินิพพานเพียง 7 วัน ความว่า “พวกเราพ้นจากมหาสมณะนั้นด้วยดีแล้ว เพราะเม่ือก่อน ท่านได้เบียดเบียนเราด้วยการตักเตือนว่า น่ีควร น่ีไม่ควร สำหรับพวกเธอท้ังหลาย บัดนี้ พวกเราสบายแล้ว พวกเราต้องการส่ิงใดก็ทำส่ิงนั้น ไม่ต้องการสิ่งใดก็ไม่ทำสิ่งนั้น” ทำให้พระมหากัสสปะ ดำริที่จะทำสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยข้ึน โดยนำเร่ืองการจาบจ้วงพระธรรมวินัยของพระสุภัททะ เข้าที่ประชุมสงฆ์ พร้อมกับเสนอให้มีการสังคายนา โดยให้เหตุผลว่า “ส่ิงท่ีไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัยจักเจริญ ส่ิงที่เป็นธรรมเป็นวินัยจะเส่ือมสลาย พวกอธรรมวาที อวินยวาทีได้พวกแล้วจักเจริญ ฝ่ายธรรมวาที วินัย วาทีจะเสื่องถอย” และท่านยังมีเหตุผลอีกอย่างคือ เพื่อพิทักษ์ ศาสนธรรม อันเป็นตัวแทนพระศาสดาให้ ย่ังยืนสืบไป การสังคายนา คร้ังท่ี 2 (พ.ศ.100) มีมูลเหตุมาจาก การปฏิบัติย่อหย่อน 10 ประการของ พวกภิกษุวัชชีบุตร เช่นถือว่าเก็บเกลือไว้ในเขนง (เขาสัตว์) เพ่ือเอาไว้ฉันได้ ตะวันชายเกินเที่ยงไปแล้ว 2 น้ิวฉันอาหารได้ รับเงินทองไว้ใช้ได้ เป็นต้น และเกิดจากทิฏฐิวิบัติ 5 ประการของพระมหาเทวะ เช่น
94 พระอรหันต์อาจถูกมารยัว่ ยวนจนอสจุ ิเคล่ือนได้ในเวลานอนฝัน และพรอรหันต์อาจมีอัญญาณ คือความไม่ รู้ในบางเร่ืองได้ เป็นต้น การสังคายนา คร้ังท่ี 3 (พ.ศ.235) มีมูลเหตุมาจาก พวกเดียรถีย์หรือพวก นักบวชในศาสนาอ่ืนมาปลอมบวชในพระพุทธศาสนา ด้วยเห็นแก่ลาภสักการะ และเพื่อบ่อนทำลาย พระพุทธศาสนา การสังคายนา ครั้งท่ี 4 (พ.ศ.643) มีมูลเหตุมาจาก พระสงฆ์มีความแตกแยกกันทาง นิกายมาก พระธรรมเทศนาที่แสดงบางเร่ืองก็ขัดแย้งกันเอง และต่างไม่ยอมรับมติของกันและกัน ครั้งที่ 5 (พ.ศ.238) มีมูลเหตุมาจาก พระมหินทเถระและคณะออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในลังกา ทวีปประมาณ 3 ปี พระมหินทเถระประสงค์จะให้พระพุทธศาสนาได้หยั่งรากมั่นคงในลังกาทวีป เป็นการ วางรากฐานให้พระสงฆ์ชาวลังกาท่องจำพระพุทธวจนะตามระบบการศึกษาพระปริยัติธรรมในเวลาน้ัน การสังคายนา ครั้งท่ี 6 (พ.ศ.433) มมี ูลเหตุมาจาก การปรารภพระสงฆ์แตกกนั เปน็ 2 พวกคือ พวกมหา วหิ ารกับพวกอภัยครี วี ิหาร และคำนงึ ว่าสบื ไปภายหนา้ หากจะใชว้ ิธีท่องจำพระพทุ ธวจั นะต่อไป ก็อาจเกิด ขอ้ ผิดพลาดได้งา่ ย เพราะปัญญาในการท่องจำของกุลบุตรอาจเสอื่ ม ควรจารกึ พระธรรมวินัยลงในใบลาน รวมท้ังอรรถกถาด้วย ซ่ึงเดิมเป็นภาษามคธอักษรบาลี การสังคายนา คร้ังท่ี 7 (พ.ศ.956) มีมูลเหตุมา จาก พระพุทธโฆสเถระ (หรือที่ไทยเรานิยมเรียกว่า พระพุทธโฆษาจารย์) ซ่ึงเป็นพระมหาเถระชาวชมพู ทวีป ผู้ปราดเปร่ือง มีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎกและนับเป็นปราชญ์ทางภาษาบาลีและทาง พระพุทธศาสนาเห็นว่าคัมภีร์อรรถกถาแหง่ พระไตรปิฎกท่ีมคี วามสมบูรณ์ บริบูรณ์นั้นเป็นภาษาสงิ หล อยู่ ในลังกาทวีป ท่านจึงเดินทางไปลังกาทวีป ขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้ามหานามเพ่ือแปลและเรียบเรียง คัมภีร์อรรถกถา (คัมภีร์อธิบายพระไตรปิฎก) จากภาษาสิงหลเป็นภาษามคธ เพื่อจะได้เป็นตันติภาษา (ภาษาท่ีมีแบบแผน) สอดคล้องกับคัมภีร์พระไตรปิฎก และจะได้เป็นประโยชน์กว้างขวางต่อไป การสังคายนา ครั้งที่ 8 (พ.ศ.1587) มีมูลเหตุมาจาก ทางการคณะสงฆ์อันมีพระมหากัสสปเถระเป็น ประธาน และทางราชการบ้านเมืองอันมีพระเจ้าปรักกมพาหุเป็นประมุข เห็นว่าคัมภีร์พระไตรปิฎก ซึ่ง เรียกว่าปาลินั้น เป็นภาษามคธอักษรบาลี คัมภีร์อธิบายพระไตรปิฎกซึ่งเรียกว่าอรรถกถา ก็ได้แปลและ เรียบเรียงเป็นภาษามคธ อันเป็นตันติภาษาสอดคล้องกับคัมภีร์พระไตรปิฎกแล้ว ส่วนคัมภีร์อธิบายอรรถ กถาซง่ึ เรียกว่า ฎกี า และคัมภรี อ์ ธิบายฎีกาซึง่ เรยี กว่า อนุฎกี า ยังมิได้แปลและเรียบเรียงเป็นภาษามคธ ยัง เป็นภาษาสิงหลบ้าง เป็นภาษาสิงหลปะปนกบั ภาษามคธบ้าง ควรจะได้แปลและเรียบเรียงเป็นภาษามคธ ให้หมดส้ิน จึงได้ดำเนินการแปลและเรียบเรียงคัมภีร์ดังกล่าวเป็นภาษามคธ เป็นตันติภาษา (ภาษาท่ีมี แบบแผน) เช่นเดียวกับคัมภีร์พระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถา การสังคายนา คร้ังท่ี 9 (พ.ศ.2020) มี มูลเหตุมาจาก พระธรรมทินมหาเถระผู้เปรื่องปราดแตกฉานในพระไตรปิฎก ได้พิจารณาเห็นว่าคัมภีร์ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา ซึ่งมีอยู่ในเวลาน้ันมีข้อวิปลาสคลาดเคล่ือนอยู่มาก ด้วยการ จำลองหรือคัดลอกกันต่อๆ มาเป็นเวลาช้านาน จึงเข้าเฝ้าถวายพระพรขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าติโลก ราช เมื่อได้รับการอุปถัมภ์แล้ว พระธรรมทินมหาเถระก็ได้เลือกพระสงฆ์ผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก ประชุมกันทำสังคายนา โดยการตรวจชำระพระไตรปิฎก พร้อมท้ังอรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา จารึกไว้ในใบ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 95 ลาน ด้วยอักษรธรรมของล้านนา การสังคายนา ครั้งท่ี 10 (พ.ศ.2331)มีมลู เหตุมาจาก พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พร้อมด้วยสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท ทรงมีพระราชศรัทธาปรารถนาจะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญม่ันคงสืบไป ได้ทรงทราบจาก พระสงฆ์อันมีสมเด็จพระสังฆราชฯเป็นประธานว่า เวลาน้ันพระไตรปิฎกมีข้อวิปลาสคลาดเคลื่อนมาก แม้ พระสงฆ์จะมีความประสงค์จะทำนุบำรุงให้สมบูรณ์ก็ไม่มีกำลังพอจะทำได้ พระองค์จึงได้ทรงอาราธนา สมเด็จพระสงั ฆราชพร้อมด้วยพระสงฆท์ ้ังปวงให้รับภาระในเร่อื งน้ี การสังคายนา ครงั้ ที่ 11 (พ.ศ.2431) มีมูลเหตุมาจาก ในวโรกาสทพี่ ระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัวเสวยราชย์ได้ 25 ปี ทรงปรารภ จะบำเพ็ญพระมหากุศล ทรงเห็นว่าพระไตรปิฎกท่ีเขียนไว้ในใบลานไม่มั่นคง ทั้งจำนวนก็มากยากที่จะ รักษา และเป็นตัวขอม ผู้ไม่รู้อ่านไม่เข้าใจ จึงมีพระราชศรัทธาให้พิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มแบบฝรั่งข้ึน ใหม่ โปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหม่ืนวชริ ญาณวโรรส และพระเถรานุเถระท้ังหลายช่วยกันชำระ โดย คัดลอกตัวขอมในคัมภีร์ใบลาน เป็นตัวอกั ษรไทย แลว้ ชำระแก้ไขและพิมพ์เป็นเล่มหนังสือ การสังคายนา ครั้งที่ 12 (พ.ศ.2468) มีมูลเหตุมาจาก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงโปรด เกล้าให้ชำระและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เพราะพระไตรปิฎกฉบับพิมพ์ข้ึนในรัชกาลที่ 5 นั้น ชดุ หน่ึงมเี พยี ง 39 เล่มเท่าน้ัน มบี างคัมภีร์ทีย่ ังไมไ่ ดพ้ ิมพ์ และบางคัมภีร์พิมพ์แล้วแต่ยงั ไม่สมบูรณ์ ในการ จัดพิมพ์คร้ังน้ีโปรดเกล้าฯ ให้กราบทูลอาราธนา พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จ พระสังฆราชเจ้า ทรงเป็นประธานในการตรวจสอบทานชำระต้นฉบับท่ีขาดหายไปเพ่ิมอีก จากที่มีอยู่ 39 เล่ม ให้ครบ 45 เล่ม การจัดพิมพ์พระไตรปิฎกครั้งน้ี นับเป็นคร้ังแรกท่ีมีการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับ อกั ษรไทยจนจบบริบูรณ์ และได้ขนานนามพระไตรปิฎกชดุ น้ีวา่ พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ มีตราช้างเป็น เคร่ืองหมาย การสังคายนา ครั้งที่ 13 (พ.ศ.2483) มีมูลเหตุมาจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดลรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ต่อกัน ได้มีการตรวจชำระและแปลพระไตรปิฎกฉบบั ภาษาไทย ข้ึนเป็นฉบับภาษาไทยท่ีสมบูรณ์เป็นครั้งแรก เพราะพระไตรปิฎกฉบับก่อนที่ได้ทรงโปรดให้จัดสร้างข้ึนใน รัชกาลกอ่ น ๆ นั้น เป็นภาษาขอมบ้าง เป็นภาษาบาลีอกั ษรไทยบ้าง ท้งั นี้ เป็นการนำพระไตรปิฎกมาชำระ ตรวจทาน พิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่มสมบูรณ์ จำนวน 45 เล่ม ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจา้ อยหู่ ัว รชั กาลท่ี 7 ดังกล่าวแล้ว แท้จรงิ แล้ว เป็นการทำต่อเนื่องมาจากรัชกาลท่ี 1, 5, 7 ตามลำดับ ซ่ึง พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี มีอรรถะและพยัญชนะถูกต้องสมบูรณ์ดีแล้ว แต่ยังไม่ได้แปลออกมาเป็น ภาษาไทยสำหรับคนเท่าไปได้ศึกษาเขา้ ใจได้ง่าย ดังนั้น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวเถร) วัดสุทัศนเทพวราราม ได้ทรงปรารภว่า ประเทศไทยเราควรจะมีพระไตรปฎิ กที่แปลเป็น ภาษาไทยจนครบถ้วนบริบูรณ์สมกับเมืองพระพุทธศาสนา การสังคายนา ครั้งท่ี 14 (พ.ศ.2530) มี มูลเหตุมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบปีนักษัตร สมเด็จ พระสังฆราชทรงดำริเห็นว่าพระไตรปิฎกอันเป็นคัมภีร์สำคัญย่ิงในพระพุทธศาสนานั้น มีข้อวิปลาส คลาดเคลอ่ื นอยู่ อันเกิดจากความประมาทพลาดพลั้งในการคัดลอกและตีพิมพ์กันต่อๆ มา เห็นควรทำการ
96 สังคายนาพระธรรมวินัยตรวจสอบชำระให้บริสุทธ์ิบริบูรณ์ และตีพิมพ์ขึ้นเป็นที่เฉลิมพระเกียรติยศใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนอื่ งในวันเฉลมิ พระชนมพรรษา ปพี .ศ.2530 จะเห็นได้ว่าการนับคร้ังสังคายนามีความหลากหลายตามมติของแต่ละฝ่าย แต่ทุกฝ่ายล้วนมี เหตุผลท่ีรับฟ้งได้ ซ่ึงอาจเป็นเพราะเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์เกิดข้ึนในเวลาและสถานที่ที่แตกต่างกัน และหลักฐานของแต่ละฝ่ายล้วนมีนักปราชญ์และผู้มีอำนาจวาสนาบารมีเข้ามาเก่ียวข้องด้วยเสมอ กล่าว โดยสรปุ การนบั คร้งั การสงั คายนามดี ว้ ยกัน 5 ข้อคือ 1) การนบั คร้ังสงั คายนาทรี่ กู้ ันทวั่ ไป 2) การนับสงั คายนาของลังกา 3) การนบั สงั คายนาของพม่า 4) การนบั สงั คายนาของไทย 5) การนบั สังคายนาของฝา่ ยมหายาน
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 97 คำถามทา้ ยบท 1. สรุปมูลเหตุ วัตถุประสงค์ ประธาน จำนวนสงฆ์ ผู้อุปถัมภ์ สถานท่ี ระยะเวลา และผลของ การทำสงั คายนาทง้ั หมดด้วย PowerPoint/Google Sites/Canva/Xmind2020 อยา่ งใดอยา่ งหน่งึ 2. จงวิเคราะห์สาเหตุของการแตกนิกายต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างย่ิงมหายานหรืออาจริยวาทว่า แตกต่างจากหนิ ยานหรือเถรวาทอยา่ งไรในสาระสำคัญ ๆ 3. พระพุทธศาสนาเผยแผไ่ ปยงั นานาประเทศมากที่สดุ ในยุคใด ยกตัวอยา่ งประกอบใหช้ ัดเจน 4. มหายานและเถรวาทต่างมุ่งที่จะดำรงและเผยแผ่คำสอนของพระพุทธองค์เหมือนกัน จงบอกจุดเดน่ และจดุ ด้อยของทั้งสองนิกายตามทศั นะของนักศกึ ษาตามที่ได้ศึกษามา อภปิ รายพอสังเขป 5. จงอธิบายการนับคร้งั การสงั คายนาพอสงั เขป ตามความเขา้ ใจของนกั ศึกษา
98 เอกสารอา้ งองิ ประจำบทท่ี 3 พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ). (2548). ประวัติศาตร์พระพุทธศาสนา. (พิมพ์คร้ังที่ 5). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พม์ หามกุฏราชวิทยาลยั . ฟ้ืน ดอกบัว. (2554). ประวตั ิศาสตร์พระพุทะศาสนาในนานาประเทศ. กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร. สุชีพ ปุญญานภาพ. (2539). พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน. (พิมพ์คร้ังท่ี 16). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2550). พระไตรปิฎกฉบับสาหรับประชาชน. (พิมพ์ครั้งท่ี 17). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . เสถยี ร โพธินันทะ. (2543). ประวตั ศิ าสตร์พระพุทธศาสนา. (พิมพค์ รั้งท่ี 4). กรุงเทพฯ : โรงพมิ พม์ หามกุฏ ราชวทิ ยาลัย.
แผนบรหิ ารการสอนประจำบทที่ 4 บทท่ี 4 นกิ ายในพระพุทธศาสนา เนอ้ื หาประจำบท 1. บทนำ 2. นกิ ายเถรวาท 2.1 นิกายมหิสาสกวาท 2.2 นิกายวชั ชปี ุตตกวาท 3. นกิ ายมหายาน 3.1 นกิ ายเอกวยหาริกวาท 3.2 นิกายโลโกตรวาทิน 3.3 นิกายโคกุลิกะ 3.4 นกิ ายพหศุ รุตยิ ะ 3.5 นกิ ายปรัชญาปตวิ าทนิ 3.6 นกิ ายไจติยครี ี นกิ ายอปรเสลยิ ะ นกิ ายอตุ ตรเสลยิ ะ 3.7 นิกายอตุ ตระปถะ 3.8 นิกายเวตลุ ลกะ 4. หลกั การสำคัญของนิกายมหายาน 4.1 อุดมคตขิ องมหายาน 4.2 ความเชือ่ เร่ืองตรกี าย 4.3 ความเชื่อเรอ่ื งตรยี าน 5. นิกายสำคญั ของมหายานในประเทศอนิ เดีย 5.1 นกิ ายศนู ยวาทนิ หรือ นิกายมาธยมกิ ะ 5.2 นิกายโยคาจาร 5.3 นกิ ายจติ ตอมตวาท 5.4 นกิ ายพทุ ธตันตรยาน
100 6. สรุปทา้ ยบท คำถามท้ายบท เอกสารอ้างองิ ประจำบทที่ 4 จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม 1. นักศึกษาสามารถวิเคราะห์เน้ือหาสำคัญ ๆ ด้วยการรวบรวม เรียบเรียงเน้ือหาสำคัญใน บทเรียนด้วยกราฟกิ ต่าง ๆ เช่น แผนภูมิ แผนที่ความคิด เป็นตน้ และถ่ายทอดเน้อื หาด้วยภาษาของตนใน การนำเสนอหนา้ ชัน้ เรียนได้ 2. นักศึกษาสามารถอภิปราย ถาม-ตอบ ตีความเนื้อหานั้น ๆ ได้ และประยุกต์ใช้ในชีวิตได้อย่าง ถกู ต้องเหมาะสม 3. นักศึกษาสามารถแสวงหาความรู้ด้วยการค้นคว้าข้อมูลสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อ การศกึ ษา นำมาเขยี นรายงาน บรรยาย และนำเสนอเนอ้ื หาดว้ ยตนเองได้ กจิ กรรมการเรียนการสอน 1. บรรยาย/อภิปราย/มอบหมาย/แบ่งกลุ่มนักศึกษาให้รับผิดชอบในการวิเคราะห์ด้วยการ รวบรวม และเรยี บเรยี งเนอื้ หาสำคัญ ๆ ด้วยกราฟกิ ต่าง ๆ เชน่ แผนภูมิ, แผนทค่ี วามคดิ เปน็ ตน้ นำข้อมูล ทีไ่ ดม้ าถ่ายทอดเนอ้ื หาด้วยภาษาของตนในการเขยี นรายงานและนำเสนอหน้าชน้ั เรยี น 2. นักศกึ ษาฟงั การบรรยาย/จดบันทกึ สรปุ เนอื้ หา/ฝึกตัง้ คำถาม/ฝึกตอบ/ฝึกอภิปรายในช้นั เรียน 3. ศึกษาจากเอกสารประกอบการสอน/ค้นคว้าเน้ือหาที่เก่ียวข้องเพ่ิมเติมจากหนังสือ/ห้องสมุด และเว็บไซต/์ ตอบคำถามทา้ ยบท/ทดสอบ Pretest และ Posttest สื่อการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน/PowerPoint/Ebook 2. แบบเรยี นออนไลน/์ โปรแกรมการสอนออนไลน์ เช่น Google Classroom, Google Sites, Google forms, Google Meet, Zoom Cloud Meeting, Microsoft Teams, XMind2020, Canva, TeamLink เป็นตน้
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 101 การวัดผลและการประเมนิ ผล 1. ประเมินคณุ ธรรมจริยธรรมโดยใช้แบบ Checklist การตรงเวลาในการเขา้ ชั้นเรียน การส่งงาน ที่มอบหมาย และการอ้างอิงผลงานคนอื่น และใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการมีจิตสาธารณะในการทำ กจิ กรรมท้ังในและนอกห้องเรียน 2. ประเมินความรู้และทักษะทางปัญญา โดยการทดสอบ Pretest และ Posttest/ตอบคำถาม ท้ายบท/การวิเคราะห์ด้วยการรวบรวมและเรียบเรียงเน้ือหาสำคัญ ๆ ด้วยกราฟิกต่าง ๆ เช่น แผนภูมิ, แผนที่ความคิด เป็นต้น ด้วยการใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมการเรียนการสอนออนไลน์ เช่น Excel 1 (กระดาษแผ่นเดียว), Google Sites, XMind2020, Canva เป็นต้น นำข้อมูลท่ีได้มาถ่ายทอดเน้ือหาด้วย ภาษาของตนในการเขยี นรายงานและนำเสนอหนา้ ช้ันเรยี น 3. ประเมินทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ และทักษะการวิเคราะห์เชิง ตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยใช้แบบ Checklist จากการอภิปราย/การแสดง ความคิดเห็น/การถาม-ตอบ/การวิเคราะห์เน้ือหาที่เรียน/การสรุปเนื้อหา/การส่งงานใน Google Classroom/การนำเสนอหน้าชั้นเรียน
102
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 103 บทที่ 4 นิกายในพระพทุ ธศาสนา 1. บทนำ ศาสนาพุทธมีนิกายที่สำคัญอยู่ 2 นิกาย อันเกิดจากความวิบัติ 2 ประการคือ ทิฏฐิสามัญญตา และศีลสามัญญตา ของคณะสงฆ์หลังพุทธปรินิพพาน มีเคลา้ แห่งการแตกแยกต้ังแต่การสังคายนาครั้งท่ี 1 และมีความชัดเจนยิง่ ขึ้นในการสงั คายนาครงั้ ที่ 2 อนั เปน็ เหตใุ หม้ ีการตีความพระธรรมวินยั แตกต่างกัน คอื 1. นิกายเถรวาท ได้แก่นิกายที่ทางคณะสงฆ์อันมีพระยศกาลัณฑบุตรเถระถือตามแนวพระพุทธ บัญญัติดังที่พระเถระท้ังหลาย โดยมีพระมหากัสสปะเป็นประธานได้ทำการสังคายนาไว้ พระสงฆ์คณะน้ี เรยี กอีกอย่างหนึ่งว่า สถวีระ หรือในกาลต่อมาถูกพวกนกิ ายมหายานเรียกว่า หีนยาน ซึง่ แปลว่า ยานเลว ยานเล็ก ยานคับแคบ ไม่สามารถขนสัตว์โลกไปสู่ความพ้นทุกข์ได้มาก เพราะมีวัตรปฏิบัติอันเข้มงวด กวดขัน ทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุจุดหมายปลายทางได้ยาก แต่ในการประชุมพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกคร้ัง แรกที่ศรีลังกาเมื่อ พ.ศ. 2493 ที่ประชุมได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้เลิกใช้คำว่า หีนยาน และให้ใช้คำว่า เถรวาท แทน เพราะเห็นว่า คำว่า หีนยาน เกิดขึน้ เพราะการแก่งแย่งแข่งขัน ก่อให้เกิดความแตกแยกมา ตลอดต้งั แตอ่ ดีต นิกายเถรวาทนีต้ ้งั มัน่ อยใู่ นประเทศศรลี ังกา ไทย พมา่ ลาว และกมั พูชา 2. นิกายอาจริยวาท ได้แก่ นิกายท่ีพระภิกษุชาววัชชีถือตามท่ีอาจารย์ของตนได้แก้ไขขึ้นในการ สังคายนาครั้งท่ี 2 พระสงฆ์คณะน้ีเรียกตัวเองอีกอย่างหนึ่งว่า มหาสังฆิกะ และในเวลาต่อมาเรียกตัวเอง ว่า มหายาน ซ่ึงแปลว่า ยานใหญ่ สามารถบรรทุกสัตว์โลกไปสู่ความพ้นทุกข์ได้มาก เพราะการแก้ไขวัตร ปฏิบัติให้อำนวยความสะดวกสบายย่ิงข้ึนจะสามารถนำสัตว์ไปสู่ความพ้นทุกข์ได้จำนวนมาก นิกาย มหายานนีแ้ พรห่ ลายในประเทศทิเบต จีน มองโกเลีย เกาหลี เวยี ดนาม สกิ ขมิ และภูฏาน ท้ังนิกายเถรวาทและนิกายมหายานโดยหลักการใหญ่ก็ลงรอยกัน แม้ว่านิกายมหายานจะมีลัทธิ นิกายแยกย่อยออกไปอีกมาก มีพระสูตร และพระคัมภีร์ศาสนาเพ่ิมขึ้นในระยะหลังอีกเป็นอันมากก็ตาม ดังน้ัน ในบทน้ีจะกล่าวถึงนิกายหลักและนิกายย่อยของทั้งสองนิกายโดยละเอียด เพ่ือให้นักศึกษาได้รู้ เขา้ ใจ สามารถรวบรวม เรียบเรียง และถ่ายทอดเน้ือหาได้ด้วยตนเองตอ่ ไป
104 2. นิกายเถรวาท วชั ชีปตุ ตกวาท/ หลักฐานฝา่ ยบาลไี ด้แยกนกิ ายเถรวาทออกเป็นนกิ ายตา่ ง ๆ ดังน้ี วชั ชีปตุ ตวาท เถรวาท/ สถวีรวาท มหสิ าสกวาท สรวาสติกวาท/ ธัมมคตุ ตวาท/ธัมม ธัมมตุ ตรยิ วาท/ ภัทรยานกิ วาท สพั พตั ถกิ วาท คตุ ติกวาท ธมั มตตรกิ วาท กสั สปิกวาท สงั กนั ติกวาท สตุ กวาท/สตุ ตวาท คณั ณครกิ วาท/ฉนั สมติ ยิ วาท นาคารกิ วาท หลักฐานฝา่ ยสนั สกฤตได้แยกนิกายเถรวาทออกเปน็ นกิ ายต่าง ๆ ดังน้ี
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 105 นิกายเถรวาทคือนิกายดั้งเดิมของพระพุทธศาสนา เป็นนิกายสืบเน่ืองมาจากมติของพระอรหันต์ ในคราวปฐมสังคายนาโดยตรง ดงั นัน้ จงึ ถกู เรียกว่า เถรวาท หรอื สถวีรวาท เจริญรงุ่ เรืองอยู่ในภาคกลาง ของอินเดียเร่ือยมา ต้ังแต่สมัยพระเจ้าอชาตศรัตรูจนถึงรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นเวลากว่า 300 ปี ต่อมาได้แตกออกเป็น 2 นิกายคือ มหิสาสกวาทกับวัชชีปุตวาท หลังจากนั้นนิกายทั้งสองก็แตก นิกายย่อยออกไปดังภาพที่แสดงไว้เบ้ืองต้นแล้ว เถรวาทได้แพร่หลายออกไปท่ัวชมพูทวีปและนานา ประเทศ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า นิกายเถรวาทเจริญรุ่งเรืองอยู่ในอินเดียเป็นเวลานาน แต่กลับไม่มี รายละเอียดมากเท่ากับประเทศศรีลังกาท่ีมีประวัติความเป็นมาชัดเจนมากกว่า ตลอดระยะเวลากว่า 2,500 กว่าปี นิกายเถรวาทไดร้ บั การเผยแผไ่ ปยังประเทศศรีลงั กาโดยการนำของพระมหนิ ทร์โอรสพระเจ้า อโศกมหาราชในรัชสมัยของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะในปี พ.ศ. 236 ทรงประกาศตนเป็นพุทธ ศาสนูปถัมภ์ ทรงโปรดให้มกี ารอปุ สมบท กอ่ สร้างวิหารเจดีย์มากมาย และสง่ ทตู เพ่ือทูลขอคณะภิกษุณีมา เพ่ือทำการอุปสมบทให้แก่หญิงชาวลังกาและทูลขอหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์จาก พุทธคยาเพื่อทำการปลูก ไว้ท่ีศรีลังกา พระเจ้าอโศกมหาราชทรงโปรดให้พระธิดาท่ีได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีพระนามว่า สังฆมิตตา เถรี พร้อมด้วยบรวิ าร 1,000 คน ไปยังประเทศศรีลังกา พร้อมดว้ ยหน่อต้นพระศรีมหาโพธ์ิ ทรงให้ปลูกไว้ ในมหาเมฆวันอุทยาน ต่อมาทรงอุปถัมภ์การสังคายนาคร้ังท่ี 1 ในประเทศศรีลังกามีรายละเอียดดังกล่าว แลว้ ในบททีแ่ ล้ว หลังจากน้ันนิกายเถรวาทไดเ้ จรญิ รุ่งเรอื งเรือ่ ยมาจนถึงปัจจุบัน และเถรวาทยงั แพร่หลาย มายังสุวรรณภูมิโดยการนำของพระโสณะและพระอุตตระ ในคราวสังคายนาคร้ังท่ี 3 โดยตามหลักฐาน สวุ รรณภมู ิ ก็คอื ประเทศไทย พม่า ลาว และเขมร นน่ั เอง (เสถียร โพธนิ ันทะ, 2543, หน้า 386-398) นิกายเถรวาทหรือสถวีรวาทนี้ได้แตกออกเป็น 2 นิกายในกาลต่อมาคือ 1) นิกายมหิสาสกวาท และ 2) นิกายวัชชีบุตร ดังนั้น ในท่ีน้ีจะกล่าวถึงรายละเอียดของแต่ละนิกายพอสังเขปสังเขปตามลำดับ การแตกนิกายของแต่ละนิกายดัง (เสถียร โพธินันทะ, 2543, หน้า 295-385) และ (ฟ้ืน ดอกบัว, 2554, หน้า 92-112) ไดใ้ ห้รายละเอียดไว้ดงั น้ี 2.1 นกิ ายมหิสาสกวาท ในปกรณ์ฝ่ายบาลีกล่าวว่า นิกายมหิสาสกวาทได้แยกมาจากเถรวาทโดยตรง ผู้ก่อต้ังเป็น พราหมณ์ที่มีความแตกฉานในพระเวท จนได้รับยกย่องข้ึนเป็นปุโรหิต ได้หันมาเล่ือมใสพระพุทธศาสนา ออกอุปสมบท แล้วได้นำหลักธรรมในพระเวทมาปรุงแต่งผสมกับพระพุทธพจน์ ต้ังนิกายข้ึนช่ือว่า มหสิ าสกะ ส่วนบันทึกของกุยกีกลา่ วว่า ผ้กู อ่ ตง้ั นิกายนเ้ี ป็นพระราชา ออกผนวชแล้วต้ังนิกายนขี้ ้ึน แต่การ สอบสวนทางประวัตศิ าสตร์ พบว่า นิกายน้ีมีจุดกำเนิดท่ีแม่น้ำมหีทางภาคตะวันตกและภาคใต้ของอินเดีย มีอิทธิพลอยู่ในแคว้นอวันตี วนวาสี มหิสมณฑล และเกรละ หลังจากน้ันได้แพร่ขยายไปยังลังกาทวีป ใน พุทธศตวรรษที่ 9 สมณะฟาเหียนได้มาพบคัมภีร์วินัยปิฎกและคัมภีร์สังยุกตาคมของนิกายน้ีท่ีเกาะลังกา และได้อัญเชิญไปยังประเทศจีนเพ่ือจะทำการแปลเป็นภาษาจีน แต่ท่านได้เสียชีวิตก่อน ผู้ที่ทำการแปล
106 เป็นภาษาจีนคือ พระพุทธชีวะชาวแคว้นกาศมีระท่ีได้เดินทางมาประเทศจีน ณ วัดเล่งกวงยี่ สำเร็จเป็น หนังสือ 30 ผูกใหช้ อ่ื วา่ โหงวฮงุ ลุก หรือ ปัญจอธั ยายมหิสาสกวนิ ัย หลักธรรมสำคัญของนิกายมหิสาสกวาท 18 ข้อดังนี้ 1. ถือว่าอดีต อนาคต ไม่มีสภาวะอยู่จริง แต่ปัจจุบันมีอยู่ แต่ภายหลังกลับถือว่าอดีต อนาคตมี สภาวะอย่จู รงิ 2. ถือว่าการแทงทะลุอรยิ สัจ 4 เปน็ ไปในขณะเดียวกัน 3. ถือว่าปุถุชนไม่สามารถละราคะ โทสะได้ 4. ถือวา่ พาหิรศาสดาไมส่ ามารถบรรลอุ ภิญญา 5 ได้ 5. ถอื วา่ ไมม่ พี รหมจริยวาสในเทวโลก 6. ถอื วา่ ไมม่ ีอนั ตรภาวะ ภายหลงั ถอื วา่ มีอันตรภาวะ 7. ถอื วา่ พระอรหันต์ไมส่ รา้ งสมบุญสมภาร 8. ถอื วา่ ปญั จวิญญาณมที งั้ วิราคะและสราคะ 9. ถือว่ามีโลกยิ สัมมาทฐิ ิ 10. ถอื ว่าไมม่ โี ลกยิ ศรัทธนิ ทรยี ์ 11. ถือว่าอนุสัยไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก ไม่มีอารมณ์ ต่างกับสังโยชน์ อนุสัยเป็นจิตตวิปยุตต์ แต่สงั โยชนเ์ ปน็ จิตตสมั ปยตุ ต์ 12. ถอื ว่าปญุ ญาภสิ งั ขารไมเ่ ป็นเหตแุ ห่งภพโดยตรง 13. ถอื วา่ พระโสดาบันอาจเสื่อมได้ แต่พระอรหันต์ไมเ่ สื่อม 14. ถือว่ามรรคและวิมุตติของพระพุทธเจ้าและพระสาวกเสมอเหมือนกัน เพราะต้องอาสัย อรยิ มรรค 8 เหมอื นกนั 15. ถอื วา่ พระพุทธเจ้าสงเคราะหอ์ ยใู่ นสงฆ์ การถวายแก่สงฆ์จงึ มผี ลานสิ งสใ์ หญ่ 16. ถือว่าโดยปรมตั ถไ์ มม่ บี ุคคลหรอื อัตตาเปน็ ผเู้ วียนวา่ ยต่อชาตติ ่อภพ 17. ถอื วา่ ไมม่ ีโลกุตตรฌาน มีแต่สมาธจิ ติ เทา่ น้นั 18. ถอื ว่าสงั ขารทัง้ หลายเกดิ ดบั ทุกขณะ มหิสาสกวาทได้แตกออกเปน็ 2 นกิ ายในกาลต่อมาคือ 1) สรวาสตกิ วาทหรอื สพั พัตถกิ วาท และ 2) ธรรมคุตตวาท มีเน้ือหาโดยสงั เขปดงั นี้ 2.1.1 นกิ ายสรวาสติกวาท นิกายสรวาสติกวาท มีคำเรียกต่าง ๆ กันคือ สรวาสติกวาทินบ้าง สัพพัตถิกวาทบ้าง หรือ สัพพัตถิกวาทินบ้าง แพร่หลายในอินเดียภาคกลางและภาคเหนือ มีแคว้นมถุรา แคว้นกาศมีระ แคว้นคันธาระเป็นศูนย์รวม และได้แผ่ขยายออกไปยังเอเชียกลางและจีนในยุคสังคายนาครั้งท่ี 3 มีคณาจารย์ผู้เป็นต้นนิกายคือ พระราหุลภัทร อยู่ในวรรณกษัตริย์ ดังนั้น นิกายน้ีจึงเลือกใช้ภาษา
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 107 สันสกฤตอันเป็นภาษาของคนวรรณะสูงมาเป็นภาษาในการจดจารึกพระธรรมวินัยในรัชสมัยขอ งพระเจ้า กนิษกะ มีรายละเอียดดงั กล่าวแลว้ ในบทท่ี 3 คณาจารย์ที่สำคัญของนกิ ายสรวาสตกิ วาทในรัชสมัยของพระเจา้ กนิษกะมหาราชมีดังต่อไปนี้ 1. พระปารศวะเถระ เป็นพราหมณ์ชาวมคธ บวชเมื่อแก่ในวัย 80 ปี ท่านบำเพ็ญเพียร 3 ปี ก็ได้บรรลุพระอรหันต์สมดังท่ีท่านได้ต้ังสัจจะอธิฐานว่า หากไม่ได้บรรลุอรหัตตผลพร้อมทั้งอภิญญา 6 วโิ มกข์ 8 ไซร้ จะไม่ขอเอาสีขา้ งกระทบท่ีนอนเลย ท่านเปน็ ผู้แนะนำให้พระเจา้ กนิษกะมหาราชชุมนุมสงฆ์ ทำสังคายนา และท่านได้เป็นประธานในการสังคายนาในครั้งน้ัน พร้อมทั้งได้แต่งคัมภีร์พระสุตตันตอุปเทศ ศาสตร์ แตต่ ้นฉบับไดส้ ูญหายไปแลว้ 2. พระวสุมิตร เป็นชาวคันธาระ ท่านปรารถนาพุทธภูมิ ได้รับเลือกให้เป็นผู้แถลงมติของท่ี ประชุมคัมภีร์ในการสังคายนาท่ีได้เรียบเรียงคัมภีร์มหาวิภาษา และได้รับการยกย่องจากพระเจ้ากนิษกะ มหาราชมาก 3. พระธรรมตาระ เป็นผู้แต่งคัมภีร์อรรถกถาพระธรรมบทและคัมภีร์สังยุกตอภิธรรมหฤทัย ศาสตร์ คัมภีรป์ ญั จวัสตุวภิ าษาศาสตร์ 4. พระศรี โฆษะ เป็นผแู้ ตง่ คมั ภรี ์อภิธรรมอมฤตรสศาสตร์ ในคัมภีร์มหาวภิ าษา 5. พระพทุ ธเทวะ เป็นหน่งึ ในคณะผู้แต่งคัมภรี ม์ หาวิภาษา 6. พระอัศวโฆษ เป็นผู้ท่ีมีช่ือเสียงอย่างมากรูปหน่ึง เน่ืองจากได้แต่งหนังสือท่ีมีชื่อเสียงไว้ มากมาย เช่น พุทธจริต สูตราลังการ รัฐบาลสูตร ทศอกุศลธรรม ปฏิปทาสูตร นิครนถปุจฉา เป็นต้น แต่พระอัศวโฆษ ปรากฏว่ามีหลายรูปดว้ ยกัน จึงเป็นการยากที่จะหาข้อสรุปว่า เป็นบุคคลเดียวกันหรอื ไม่ ในคัมภรี ม์ หายานภาสยะ ระบวุ ่า พระอัศวโฆษมีดว้ ยกนั ถึง 6 รูป แต่ในทน่ี ี้จะกล่าวถึงพระอศั วโฆษท่ีมชี ีวิต อยู่ในพุทธศตวรรษที่ 6 ปรากฏในสูตรสันสกฤตช่ือมหามายาสูตร โดยระบุว่าท่านเป็นผู้แต่งมหายาน ศรัทโธตปาทศาสตร์ ซึ่งเป็นความเช่ือของนักการศึกษากลุ่มหนึ่งเท่านั้น ส่วนนักการศึกษาท่านอ่ืน ๆ ต่างมีความเห็นแตกกันออกไป บ้างกล่าวว่า ท่านเป็นเพียงบุคคลในเทพนิยาน ไม่มีอยู่จริง ท่านมีประวัติ โดยยอ่ ดงั นี้ ทา่ นอัศวโฆษเป็นชาวเมืองสาเกตในแคว้นอโยธยา มคี วามรอบรู้ แตกฉานในพระเวทและเป็น นักจินตกวีมีชื่อเสียงและเป็นนักโต้วาทีฝีปากเอกท่านหน่ึง ไม่ปรากฏช่ือเดิมของท่าน ตามประวัติเล่าว่า ท่านเท่ียวออกโต้วาทีกับพระภิกษุในแคว้นมคธและอินเดียตอนกลาง ท้าท้ายปุจฉาวิสัชชนาข้อธรรมใน ลทั ธิพราหมณ์กับพระพุทธศาสนาว่าของใครจะวิเศษลึกซึ้งกว่า ปรากฏว่าไม่มภี ิกษุรูปใดตอบโต้อภิปรายสู้ ท่านได้ จนวันหน่ึง พระปราศวะเถระได้จาริกมาจากอินเดียเหนือมายังมคธ ได้ยินชื่อเสียงของท่านจึงขอ ประกาศโต้อภิปรายกับท่านอัศวโฆษท่ามกลางชุมนุมของพระราชา สมณะ ชี พราหมณ์ และราษฎร อัศวโฆษ ทระนงในความรู้ของตนและกล่าวดูหมิ่นพระปารศวะด้วยคำท้าว่า หากตนแพ้จะตัดลิ้นออก แต่กลับเป็นฝ่ายแพ้หลังการอภิปรายสิ้นสุดลง พระปารศวะไม่ประสงค์ให้อัศวโฆษตัดลิ้นตนเอง แต่ขอให้
108 บวชทดแทน หลังจากบวชท่านได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยจนแตกฉานลึกซ้ึง เกิดความด่ืมด่ำใน พระพุทธศาสนาย่ิงนัก ท่านออกเทศนาเผยแผ่พระธรรมคำสอนจนมีชื่อเสียงว่า เป็นผู้ที่เทศนาได้ไพเราะ จับใจของผู้ฟังทวั่ ทัง้ อินเดีย คราวหนึ่งมคธได้เปิดศึกกับพวกง้วยสี พระเจ้ากนิษกะมหาราชได้ยกทัพมาล้อมเมืองปาฏลี บุตรไว้ ฝ่ายนครปาฏลีบุตรเห็นว่าไม่อาจสู้ได้ จึงขอสงบศึก แต่ต้องเสียค่าชดเชยเป็นทองจำนวน 3 โกฏิ และไม่มีทองจะให้แม้แต่โกฏิเดียว พระเจ้ากนิษกะมหาราชจึงขอบาตรของพระพุทธเจ้าและตัวพระอัศว โฆษ ทดแทนจำนวนทองทั้งหมด พระราชากรุงปาฏลีบุตรจึงจำใจมอบให้ไปและได้อัญเชิญบาตรของ พระพุทธเจ้า และตัวพระอัศวโฆษกลับราชธานี ทรงได้ยินเสียซุบซิบนินทาจากเหล่าเสนาบดีและอำมาตย์ วา่ พระพุทธบาตรนัน้ มีค่าคู่ควร แต่ทำไมภิกษรุ ปู เดียวถึงจะมรี าคาคา่ ตัวสงู ขนาดนัน้ พระองค์จึงมีรับสั่งให้ นำม้า 7 ตัวไปอดอาหาร 6 วัน แล้วให้ชุมนุมสงฆ์ พร้อมทัง้ เหล่าเสนาบดแี ละอำมาตย์น้อยใหญ่ เพ่ือทำให้ ประจักษ์คุณวิเศษของท่านอัศวโฆษ ทรงอาราธนาให้ท่านอัศวโฆษแสดงธรรม ที่ประชุมได้ฟังพระธรรม เทศนาอันไพเราะจับใจ เกิดความซาบซึ้ง รวมท้ังม้า 7 ตวั นั้น ท่ีพระองค์ให้นำมาฟังเทศนาด้วย ไม่ยอมกิน หญ้าที่มหาดเล็กนำไปให้ขณะฟังธรรม จนน้ำตาไหล กิตติศัพท์ของท่านอัศวโฆษจึงโด่งดังไปท่ัวอินเดีย เหนือว่า ท่านสามารถแสดงธรรมถึงข้ันสตั วเ์ ดรัจฉานมีมา้ เปน็ ต้นกย็ ังซาบซึ้ง ดังนั้นท่านจึงได้สมญานามว่า อศั วโฆษ มาตัง้ แต่นน้ั งานนิพนธ์ที่มชี ่ือเสยี งที่สดขุ องทา่ นเรอื่ งหน่ึงคือ พุทธจริต ทีท่ ่านแตง่ เป็นมหากาพย์ ด้วยบท กวีอันไพเราะ มีลีลาแห่งชีวิตอันบรรเจิด พรรณนาพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมโปรดสัตว์ จึงถงึ ดับขันธปรินพิ พาน จำนวน 2,110 โศลก ปัจจุบนั เหลือเพียง 1,011 โศลกเทา่ นั้น และได้รบั การแปล เป็นภาษาจีนโดยพระธรรมรักษ์ในพุทธศตวรรษท่ี 9 และยังได้รับการแปลเป็นภาษาธิเบตอีกด้วย ได้รับ การยกย่องจากพุทธบริษัทฝ่ายสาวกยานและมหายานเป็นอย่างมาก ถึงกับนำมาเป็นบทสวดสรรเสริญ พระรัตนตรัยในอารามท้ังในอินเดียและนอกอินเดียจนถึงปัจจุบัน ท่านได้รับยกย่องจากนักปราชญ์ทาง วรรณคดีสันสกฤตว่าเป็นรตนกวีชั้นเยี่ยมท่านหน่ึง เสมอท่านฤาษีวาลมีกิ ผู้นิพนธ์มหากาพย์รามายณะ และเสมอท่านกาลิทาสผู้รจนา เมฆทูต และรฆุวงศ์ อีกด้วย และท่านยังมีงานนิพนธ์ท่ีมีช่ือเสียงอีกมาก ดังกลา่ วแลว้ ขา้ งต้น นอกจากคณาจารย์ทั้ง 6 ทา่ นดังกล่าวแล้ว ยงั มคี ณาจารย์อีกจำนวนมากที่มีชวี ิตก่อนรัชสมัย พระเจ้ากนิษกะมหาราช มีพระเถระชือ่ ว่า พระอุปคุปต์ เป็นตน้ ทเี่ ป็นคณาจารย์ที่สำคัญของนิกายนี้ และ คณาจารย์ที่มีชีวิตหลังรัชสมัยของพระเจ้ากนิษกะมหาราชอีกจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่านิกายสรวาสติ กวาทเคยรุ่งโรจนใ์ นอินเดยี ร่วมพนั ปี นิกายสรวาสติกวาทได้แตกออกไปเป็นนิกายกัสสปิกวาทในกาลต่อมา มีเน้ือหาและ รายละเอยี ดโดยสงั เขปดังน้ี
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 109 2.1.1.1 นิกายกสั สปิกวาท ในบาลีปกรณร์ ะบวุ า่ นกิ ายกัสสปกิ วาท นเ้ี ป็นก่งิ นกิ ายของสรวาสติกวาทในศตวรรษที่ 2 แต่ ในสนั สกฤตระบุว่าเกิดในพุทธศตวรรษท่ี 3 มีบรุ พาจารย์ผู้กอ่ ตั้งชื่อว่า กาศยปิยะ หรอื กัสสปะ จงึ เรียกว่า นิกายกาศยปิยะวาท ตามช่ือผู้ก่อต้งั เล่ากันว่า ท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ หลักธรรม ในนิกายน้ีส่วนมากคล้ายกับนิกายธรรมคุปตะวาท โดยศาสตราจารย์ ริส เดวิด สันนิษฐานว่า พระกัสสปะรูปน้ีน่าจะเป็นรูปเดียวกันกับพระกัสสปโครต พระธรรมทูตในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช น่ันเอง ซ่ึงท่านได้เดินทางไปเผยแผ่ธรรมวินัยที่หิมวันตประเทศในคราวน้ัน หลังจากน้ันนิกายกัสสปิกวาท แตกออกไปเปน็ นิกายสงั กนั ตวิ าท และนกิ ายสุตตวาท มีเน้อื หาโดยสังเขปดงั นี้ 2.1.1.1.1 นิกายสังกันติวาทและนิกายสุตตวาท ในปกรณ์บาลีระบุว่า นิกายสุตตวาท น้ีแยกออกมาจาก นิกายสังกันติวาท โดยนิกายนี้ แยกออกมาจากนิกายกัสสปิกวาท ซึ่งนิกายกัสสปิกวาทแยกออกมาจานิกายสรวาสติกวาทอีกต่อหนึ่ง ส่วน นิกายสุตตวาท ในปกรณ์สันสกฤตเรียกว่า เสาตรันติกวาท นั้นแยกมาจากนิกายสรวาสติกวาท โดยตรง ตามทัศนะของเสถียร โพธินันทะ ท่านสันนิษฐานว่า นิกายสังกันติวาทและนิกายสุตตวาทน่าจะ เป็นนิกายเดียวกัน แต่นิกายสังกันติกวาทคงเกิดขึ้นในพุทธศตวรรษท่ี 2 แล้วค่อยๆ ขยายหลักธรรมจน มาถึงพุทธศตวรรษที่ 4 จึงเกิดเป็นนิกายสุตตวาทขึ้นมาอย่างชัดเจน ส่วนมติฝ่ายบาลีถือว่านิกายท้ัง 2 เกิดขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 2 จึงยงั คงเป็นปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยกนั ต่อไป อนึ่ง ปกรณ์ฝ่ายจีนระบุว่า นิกาย เสาตรันติกวาทมีทั้ง ปุราณเสาตรันติกวาท (หัวเก่า) และ นวเสาตรันติกวาท (หัวสมัยใหม่) โดยพวกหัว เก่ามีความคิดผสมผสานระหว่างสรวาสติกวาทและนิกายวัชชีบุตร คือถือว่าบุคคลหรืออัตตาปรมัตถ์ แต่ พวกหัวสมัยใหม่ปฏิเสธแนวคิดน้ัน เหตุน้ีจึงเป็นท่ีแน่ชัดว่า นิกายสุตตวาทหรือเสาตรันติกวาทน้ีแยก ออกมาจากนิกายสรวารสติกวาทตามมติของฝ่ายสันสกฤตแน่นอน ไม่ใช่แยกมาจากนิกายกัสสปิกวาทดัง ฝา่ ยบาลกี ลา่ ว ต่อมาภายหลังมีพระเถระช่ือกาตยายนีบุตรได้รจนาคัมภีร์ชญาณปรสถานศาสตร์ ทำให้ คณาจารยฝ์ ่ายสรวาสติกวาทหันมานยิ มคัมภีร์อภธิ รรมกันมากเป็นพเิ ศษ ถึงกับนับถอื เป็นคัมภรี ส์ ำคัญท่สี ุด ทำให้คณาจารย์บางรูปไม่พอใจ เช่น พระกุมารลัพธะ เพราะท่านถือว่าอภิธรรมเป็นเพียงภาษิตของพระ สาวกที่ได้ทำการอธิบายขยายความของพระพุทธพจน์เท่านั้น หลักที่แท้จริงควรอยู่ที่พระสุตตันตปิฎก มากกว่า จึงแยกตัวออกมาเผยแผ่พระสุตตันตปิฎกเป็นสำคัญ จึงถูกเรียกว่า สุตตวาท ใน ภาษาบาลี หรือเสาตรันติกวาท ในภาษาสันสกฤต ตามประวัติเล่าว่า พระกุมารลัพธะนี้เป็นชาวเมือง ตักกศิลา มีชีวิตอยู่ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 3 หรือาจร่วมสมัยกับพระกาตยายนีบุตร ซึ่งท่านเป็นต้น กำเนิดของ นวเสาตรันติกวาท (พวกหัวสมัยใหม่) นั่นเอง เป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลม สามารถรจนา อักษรได้ถึง 32,000 คำต่อวันทีเดียว ท่านได้นิพนธ์ปกรณ์วิเศษประกาศคติธรรมฝ่ายเสาตรันติกวาทไว้
110 หลายสิบปกรณ์ ความคิดเห็นของท่านมีอิทธิพลมากกว่าพระกาตยายนีบุตรมาก เป็นที่ยอมรับ ของคณาจารย์ฝ่ายสรวาสตกิ วาทหลายรปู เช่น พระธรรมตาระ และพระพุทธเทวะ เป็นต้น ทัศนะของนิกายเสาตรันติกวาทถูกกล่าวโจมตีเป็นอย่างมากในคัมภีร์วิภาษาศาสตร์ของ นิกายสรวาสติกวาท จึงเป็นเหตุให้ท้ังสองนิกายต่างโต้แย้งกันเรื่อยมาในด้านปรัชญา นิกายนี้แพร่หลาย ในทางเหนือของอินเดีย แต่ท่ีน่าเสียดายคือไม่เหลือคัมภีร์ของนิกายน้ีตกทอดมาถึงปัจจุบัน ทำได้เพียง ศึกษาจากปกรณ์ฝ่ายสรวาสติกวาทซึ่งเป็นปฏิปักตร์กันเท่านั้น อาจไม่ได้ข้อมูลที่เป็นธรรมนักเพราะอคติ ของอกี ฝ่ายนัน่ เอง 2.1.2 นิกายธรรมคุตตวาท ในปกรณ์บาลีระบุว่า นิกายธรรมคุตตวาท นี้แยกออกมาจากนิกายมหิสาสกวาทพร้อม กับนิกายสรวาสติกวาทในพุทธศตวรรษท่ี 2 เรียกเป็นภาษาบาลีว่า ธมฺมคุตฺต ส่วนท่านวสุมิตรกล่าวไว้ว่า แยกออกในพุทธศตวรรษท่ี 3 ในบันทึกจึนกล่าวว่าผู้ก่อต้ังนิกายชื่อ พระธรรมคุปตะ จึงเรียกว่า นิกาย ธรรมคุปตะวาทท่านเป็นผู้เลื่อมใสในพระมหาโมคคัลลานะมากและเป็นผู้นำลัทธิพราหมณ์เข้ามาเจือใน นิกาย จัดแบ่งพระธรรมวินัยออกเป็น 5 หมวดคล้ายกับนิกายมหาสังฆิกะคือ สูตรปิฎก 1 วินัยปิฎก 1 อภิธรรมปิฎก 1 ธรณีปิฎก 1 และโพธิสัตว์ปิฎก 1 กล่าวกันว่า วินัยปิฎกได้ถูกแปลเป็นภาษาจีนโดย พระพุทธยศและเต๊กฮดุ เหนียม พ.ศ. 953 เปน็ หนงั สอื 60 ผูก ชื่อว่า ส่ีฮงลุก หรือ จตรุ อัธยายธรรมคุปตะ วินัย ได้รับการนับถือแพร่หลายในประเทศจีน พุทธศตวรรษท่ี 12 กาลต่อมา หลวงจีนเต้าซวง ได้จัดตั้ง นิกายใหม่ข้ึนช่ือว่า นิกายวินัย โดยอาศัยธรรมคุปตะวินัยน้ีเป็นแบบแผนในการปฏิบัติ ยังมีศาสตราจารย์ อีกท่านช่ือว่า ไซรุสกิ หรือ ซูซูกิ สันนิษฐานว่า พระธรรมคุปตะรูปน้ีน่าจะเป็นรูปเดียวกันกับพระโยนก ธรรมรักขิต หัวหน้าพระธรรมทูตในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชและนิกายน้ีมีอิทธิพลทางเหนือและ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือของอนิ เดยี ตลอดจนบางทอ้ งถนิ่ ในเอเซยี กลางอีกดว้ ย หลกั ธรรมสำคญั ของนิกายธรรมคุปตะวาทมี 5 ขอ้ ดงั น้ี 1.ถือวา่ ทานท่ีถวายพระพทุ ธองคม์ ีผลานสิ งส์มากกว่าถวายสงฆ์ 2. ถือวา่ การบูชาพระสถูปเจดียม์ ีบุญสมภารโอฬารนกั หนา 3. ถอื ว่าวมิ ุตตขิ องพระพทุ ธเจ้าและพระอรหันตสาวกแมจ้ ะเสมอกัน แตม่ รรคท่ีให้สำเรจ็ ผดิ กนั 4. ถือวา่ พาหิรศาสดาไม่มผี บู้ รรลุอภญิ ญา 5 5. ถอื วา่ รูปกายของพระอรหนั ตก์ เ็ ป็นอนาสวะ 2.2 นิกายวัชชีปตุ ตกวาท นิกายวัชชีปุตตกวาท มีชื่อเรียกต่างๆ กัน คือ นิกายวัชชีบุตรบ้าง นิกายวาตสีปุตรียวาทบ้าง นิกายวัชชีปุตตุกวาทบ้าง ได้แตกมาจากนิกายเถรวาทในพุทธศตวรรษที่ 1 มีมูลเหตุมาจากความเห็น ขัดแย้งการปฏิบัติพระวินัย 10 ประการในคราวสังคายนาคร้ังที่ 2 แต่มีหลายมติที่เห็นต่าง บางมติเห็นว่า แตกมาจากนิกายสรวาสติกวาทในพทุ ธศตวรรษที่ 3 บางมติเห็นวา่ แตกมาจากเหมวันตวาท แต่หากศึกษา
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 111 ให้ถ่องแท้แล้วมติแรกเป็นท่ีน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะพวกภิกษุวัชชีบุตรมีต้นกำเนิดที่กรุงเวสาลี มีความ เคารพนับถือพระสารีบุตรอัครสาวกเบ้ืองขวาและพระราหุลเถระว่าเป็นบูรพาจารย์ และยกย่องคัมภีร์ สารีปุตตาธรรม อันเป็นนิพนธ์ของพระสารีบุตร คัมภีร์น้ีมีความคล้ายคลึงกับคัมภีร์วิภังคปกรณ์ เป็นอาจ รยิ ภาษิตขยายความพุทธพจน์คล้ายพระอภิธรรมและได้ถกู ทา่ ยทอดสืบมาจนถึงยุคแตกนิกาย แตล่ ะนิกาย ตา่ งพยายามอธิบายขยายความแต่งเติมให้เขา้ กับหลกั ธรรมของตน อิทธิพลของนิกายวัชชีปุตตกวาทได้แพร่หลายเจิดจ้าอยู่ในอินเดียเป็นเวลานาหลายศตวรรษจาก มคธไปภาคตะวันตกและภาคใต้ของอินเดีย แต่เนื่องจากนิกายนี้ถือว่ามีอาตมันหรืออัตตาในหลักธรรม จึงถูกโจมตีจากนิกายต่างๆ เช่น นิกายเถรวาท นิกายมหาสังฆิกวาท นิกายสรวาสติกวาท และ นกิ ายเสาตรินติกวาท หลกั ธรรมทสี่ ำคัญของนิกายวัชชีปุตตกวาท 4 ข้อดังน้ี 1. ถือว่าบุคคลหรืออัตตาปรมัตถ์ มีบุคคลความจริงแท้แน่นอนในปรมัตถ์ ไม่ใช่สมมติบัญญัติ บุคคลในที่น้ีไม่ใช่ขันธ์ 5 เป็นสภาวะยืนโรงสืบสันตติเป็นสภาวะน้ัน ๆ ซ่ึงแตกต่างจากมติของนิกายอ่ืน ๆ เชน่ เถรวาท ที่ถือวา่ จิตทเ่ี กิดเป็นสันตตเิ ป็นสภาวะนั้น ๆ จากภพน้ไี ปสู่ภพอื่น กลา่ วสรุปคือเชื่อว่าเกิดเป็น อะไรก็จะเป็นเช่นน้ันต่อไปในภพชาติต่อ ๆ ไป เช่น บุคคลได้บรรลุพระโสดาบัน เคล่ือนจากมนุษย์ไปเกิด ในเทวโลก ก็ยังคงเป็นโสดาบันแม้ในภพภูมิของเทวดา มีความแตกต่างกันไปตามสภาวะของภพภูมินั้น ๆ แต่สภาวะของบุคคลน้ันเท่ียงไม่แปรผัน ความเชื่อเช่นนนี้ ิกายตา่ งๆ มองว่าเป็นการตีความพระพุทธพจน์ที่ ผดิ พลาดอย่างมหันต์ เพราะขาดโยนิโสมนสิการ อาจจัดเปน็ สสั สตทฏิ ฐิ อันเป็นมจิ ฉาทฏิ ฐไิ ด้ 2. สังขารท้ังหลายบางเหล่าต้ังอยู่ได้ชั่วคราว บางเหล่าเกิดดับทุกขณะไม่เว้นว่าง เช่น มหาปฐพี มณฑลในโลกของเราน้ีสามารถธำรงสภาพอยู่ตลอดอายขุ องกัลป์ๆ หน่ึง ภายหลังเมื่อส้ินกัลป์มหาปฐพีจึง วบิ ตั ไิ ปตามด้วย เป็นตน้ 3. ถือว่า ปัญจวิญญาณเป็นวิราคะและก็ไม่อ่ืนไปจากสราคะ ปัญจวิญญาณเป็นอนาวรณ์ ฝ่ายอัพยากตะ ไม่สามารถจำแนกดีชั่วได้ จึงสงเคราะห์ลงในฝ่ายวิราคะ และไม่สามารถทำลายกิเลสได้ ไม่เหมือนชวนจติ ดังนั้น จึงกลา่ วไดว้ า่ กไ็ ม่อื่นไปจากสราคะด้วย 4. ถอื ว่าพาหริ ศาสดากอ็ าจบรรลุอภิญญา 5 ได้ การแตกนกิ ายของวชั ชบี ตุ ร มี 2 ทัศนะคอื 1) มองว่า นิกายวิชชีปุตตวาทน้ีแตกออกเป็นนิกายภัทรยานิกวาท แล้วนิกายภัทรยานิกวาทได้ แตกออกเป็นนิกายฉันนาคาริกวาท จากน้ันนิกายฉันนาคาริกวาทได้แตกออกเป็นนิกายสมิติวาท ตามลำดับ 2) มองว่า นิกายวิชชีปุตตวาทนี้แตกนิกายออกไปอีก 4 นิกายได้แก่ (1) นิกายธัมมุตตริกวาท (2) นิกายภทั รยานกิ วาท (3) นิกายฉันนาคาริกวาท และ (4) นิกายสมิติยวาท ซง่ึ ในท่ีนีจ้ ะขอกล่าวตามทัศนะที่ 2 โดยมีรายละเอยี ดพอสงั เขปดังนี้
112 นิกายธัมมุตตริกวาท ฝ่ายบาลีเรียกว่า ธัมมุตริกวาท ฝ่ายสันสกฤตเรียกว่า ธัมโมตตริยวาท นกิ ายนิกายภัทรยานกิ วาท ฝา่ ยบาลีเรียกว่า ภัทรยานิกวาท ฝ่ายสันสกฤตเรียกว่า ภัทรยานิยวาท นิกาย ฉันนาคาริกวาท ฝ่ายบาลีเรียกช่ือว่า ฉันนาคาริกวาท หรือ คัณณคริกวาท ฝ่ายสันสกฤตเรียกว่า ศนั นาคาริกวาท และนิกายสมิติวาท ฝ่ายบาลีเรยี กช่ือว่า สมิติวาท ฝ่ายสันสกฤตเรียกว่า สามมีตยิ วาทิน ท้ัง 4 นิกายมีทัศนะคล้ายคลึงกับนิกายวัชชีบุตร แตกต่างกันเพียงปลีกย่อยเท่าน้ัน แต่นิกายสมิตวาทมี อิทธิพลมากท่ีสุดในนิกายท้ัง 4 ที่กล่าวมา ภายหลังรุ่งเรืองเกินนิกายแม่เสียด้วยซ้ำ และยังกลืนนิกายแม่ เข้าเป็นอันเดียวกันอีกด้วย ด้วยเหตุน้ัน นิกายน้ีจึงถูกเรียกอีกช่ือว่า สมิติยะวัชชีบุตร เลยทีเดียว ในจดหมายเหตุของนักธรรมจาริกของจีนบันทึกไว้ว่า นิกายสมิติยะมีอิทธิพลมากในอินเดียจนถึงพุทธ ศตวรรษท่ี 12 ท่านสมณะเฮี่ยนจงั เล่าว่า ในแควน้ มาลวะที่เดียวมภี ิกษุนกิ ายนี้อาศัยอยมู่ ากถงึ 20,000 รูป นอกจากนี้ยังกระจายไปท่ัวภาคตะวันออกของอีนเดียอีกด้วย พระเจ้าหรรษวรรธนะ พระกนิษฐาของพระ เจา้ ศลี าทิตย์ทรงเลื่อมใสนิกายนีอ้ ยา่ งมากและทรงมีความเจนจบในหลักธรรมของนิกายสมติ ิยะมาก หลักธรรมสำคญั ของนกิ ายสมิติยะ 11 ขอ้ ได้แก่ 1. ถอื ว่ามบี คุ คลโดยความจรงิ แท้ในปรมตั ถ์ 2. ถือว่ามีอันตรภาวะ เพราะเหตุบุคคลผู้อันตราปรินิพพายีมีอยู่ ซ่ึงอันตราปรินิพพายีเป็นช่ือ ประเภท 1 ใน 5 ประเภทของพระอนาคามี คือ 1) อันตราปรินิพพายี พระอนาคามีผู้จะปรินิพพานใน ระหว่างอายุยงั ไม่ทันถึงกึ่ง 2) อุปหัจจปรินิพพายี พระอนาคามีผู้จะปรินิพพานตอ่ เมื่ออายพุ ้นกึ่งแล้วจนถึง ทส่ี ดุ 3) สสงั ขารปรินพิ พายี พระอนาคามีผูจ้ ะปรินพิ พานดว้ ยต้องใชค้ วามเพียรมาก 4) อสงั ขารปรินพิ พายี พระอนาคามีผู้จะปรนิ พิ พานโดยไมต่ ้องใช้ความเพียรมาก และ 5) อุทธังโสโตอกนิฏฐาคามี พระอนาคามผี ู้ มีกระแสในเบอ้ื งบนสูอ่ กนิฏฐภพ 3. ถือว่าไม่มีรูปชีวิตินทรีย์ มีแต่ความธำรงอยู่แห่งรูปธรรม แต่ความธำรงอยู่แห่งรูปธรรมไม่ควร เรยี กว่าเปน็ รปู ชีวิตนิ ทรยี ์ 4. ถือว่าวัญญัติก็เป็นสีล (เป็นเพียงอาการทางร่างกายเท่าน้ัน ไม่ใช่เจตนางดเว้นจากบาปอันเป็น ตัวศลี ตามมตขิ องเถรวาท) 5. ถือว่าอนุสัยเปน็ อัพยากตะ กล่าวคือ อนุสัยกเิ ลสเป็นอเหตุกะและเป็นจิตตวิปยุตตสงั ขารธรรม ไม่ได้ประกอบกับจติ แต่สงั เคราะห์ลงในสังขารขนั ธ์ 6. ถือว่ามีฌานใรระหว่าง กล่าวคือ มีฌานคั่นอยู่ระหว่างปฐมฌานและทุติยฌานต่อกัน เรียกว่า ฌานนั ตริยะ ได้แกฌ่ านทีไ่ ม่มีวติ ก แตม่ ีวจิ าร จะบังเกดิ ขึ้นเมอื่ ปฐมฌานดบั ไปแล้ว และทุติยฌานยงั ไมบ่ ังเกดิ 7. ถือว่าการประพฤตพรหมจรรย์ไม่มีในเทวโลก ด้วยฐานะ 3 ประการคือ 1) เป็นผู้มีความอาจ หาญ 2) เปน็ ผูม้ สี ตติ ้งั ม่ัน และ 3) เป็นผ้ปู ระพฤติพรหมจรรย์ 8. ถอื ว่าปถุ ุชนกล็ ะกามราคะ พยาบาทได้ กลา่ วคอื ละได้ดว้ ยรูปาวจรมรรค ไมใ่ ชล่ ะดว้ ยอรยิ ฌาน 9. ถือวา่ บุคคลละกิเลสได้เป็นสว่ น ๆ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 113 10. ถือว่าการที่ความดับของสังขารก็ตอ้ งอาศัยเหตปุ ัจจยั เหมือนกนั กล่าวคือความดับของสังขาร ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยมาทำให้ดับเหมือนการเกิดด้วย เช่น สังขารธรรม ย่อมมีอุปปาทะเกิดข้ึน ฐิติความ ต้ังอยู่ ภังคะความแปรดับไป ภังคะจักเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความไม่มีแห่งฐิติเป็นเหตุบันดาล ถ้ายังมีฐิติอยู่ ตราบใด ภังคะก็มีไม่ไดต้ ราบน้ัน 11. ถอื ว่าอสังขตธรรมไมม่ สี ภาวะอยู่ดว้ ยตัวของมันเอง 3. นกิ ายมหายาน หลกั ฐานฝ่ายบาลไี ดแ้ ยกนกิ ายมหายานออกเป็นนิกายต่าง ๆ ดังน้ี มหาสงั ฆกิ ะ / • เอกพั โยหารกิ วาท มหายาน • พหสุ สตุ กิ วาท • ปัญญตั กิ วาท • โคกลุ ิกวาท หลักฐานฝ่ายสนั สกฤตได้แยกนกิ ายมหายานออกเป็นนกิ ายต่าง ๆ ดงั น้ี นิกายอปร เอกวยหารกิ วาท เสลิยวาท โลโกตรวาท •อตุ รเสลยิ วาท โคกลุ กิ วาท มหาสงั ฆิกะ นิกายอปร /มหายานเสลิยวาท นิกายไจติกวาท นิกายพหศุ รติ ยวาท นิกายปัญญตั วาท นิกายมหายานเรม่ิ กอ่ ตัวขึ้นชดั เจนเม่ือราวพทุ ธศตวรรษท่ี 6-7 โดยเป็นคณะสงฆ์ท่ีมีความเห็นตา่ ง จากนิกายเดิมท่ีมีอยู่ 18 - 20 นิกายในขณะน้ัน แนวคิดของมหายานพัฒนามาจากแนวคิดของนิกาย มหาสังฆิกะและนิกายท่ีแยกไปจากนิกายน้ี จุดต่างจากนิกายดั้งเดิมคือคณะสงฆ์กลุ่มน้ีให้ความสำคัญกับ
114 การเป็นพระโพธิสัตว์และเน้นบทบาทของคฤหัสถ์มากกว่าเดิม จึงแยกออกมาตั้งนิกายใหม่ เหตุท่ีมีการ พัฒนาแนวคดิ แบบมหายานขึน้ นัน้ เน่อื งมาจากสาเหตหุ ลัก ๆ ดงั นี้ 1. แรงผลักดันจากการปรับปรงุ ศาสนาพราหมณ์ มีการแต่งมหากาพย์รามายณะและมหาภารตะ เพื่อดึงดูดใจผู้อ่านให้ภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า กำหนดให้มีพระเจ้าสูงสุด 3 องค์ คือพระพรหมพระนารายณ์ พระอิศวร ประกอบกับได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์ ศาสนาพราหมณ์จึงฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ฝ่ายพุทธ ศาสนาจงึ จำเป็นต้องปรบั ตวั 2. แรงบันดาลใจจากบุคลิกภาพของพระพุทธองค์ ฝ่ายมหายานเห็นว่าพระพุทธองค์เป็นบุคคลที่ ยิ่งใหญ่ ไม่ควรส้ินสุดหลังจากปรินิพพาน ทำให้เหมือนกับว่าชาวพุทธขาดที่พึ่ง จึงเน้นคุณความดีของ พระองค์ ในฐานะที่เป็นพระโพธิสัตว์ เน้นให้ชาวพุทธปรารถนาพุทธภูมิ บำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ ช่วยเหลือผ้อู ่นื ภายหลังจงึ เกิดแนวคดิ ตรีกายของพระพทุ ธเจา้ 3. เกิดจากบทบาทของพุทธบริษัทท่ีเป็นคฤหัสถ์ เพราะลัทธิมหายานเน้นที่การบำเพ็ญบารมีของ พระโพธสิ ัตว์ ซึง่ พระโพธสิ ตั วเ์ ป็นคฤหสั ถไ์ ด้ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้คฤหัสถเ์ ขา้ มามีบทบาทมากข้ึน คณาจารย์ที่สำคัญของนิกายมหายานคือ พระอัศวโฆษ พระนาคารชุน พระวสุพันธุ เป็นต้น หลังจากการก่อตัวของนิกายมหายาน ซ่ึงมีจุดเด่นคือสามารถปรับตัวให้เข้ากับความเช่ือด้ังเดิมท่ีแตกต่าง ไปในแต่ละท้องถ่ินได้ง่ายกว่านิกายเถรวาท ซ่ึงเป็นแบบด้ังเดิมได้แพร่กระจายออกจากอินเดียไปในทวีป เอเชียหลายประเทศ ความเล่ือมใสความเคารพอย่างสูงในองค์พระพุทธเจ้า ทำให้คนท้ังหลายไม่อยากคิด ในทำนองว่า การปรินิพพานของพระพุทธเจ้าน้ันหมายถึงความดับสูญสลาย ต้องการให้พระพุทธเจ้ายังมี อยู่เป็นอยู่เสมอไม่เปลี่ยนแปลง เร่ืองที่ยกเอาพระธรรมข้ึนมาแทนพระพุทธเจ้านั้นเป็นเรื่องยากในการจะ ทำให้ปถุ ุชนทั้งหลายยอมรบั ดังปรากฏให้เหน็ มาแลว้ ว่า ในประเทศอนิ เดียเอง ความคิดและความตอ้ งการ ของมนุษย์น้ัมีความสำคัญมากในการตั้งหลักศาสนา เช่น ในยุคพราหมณะ พราหมณ์ได้สร้างพระพรหมท่ี เรียกว่า ปรพรหม ให้ไม่มีเนื้อ มีตัวมีตนนั้น พระพรหมมีลักษณะเป็นจิต และจิตก็ไม่มีรูปร่างอย่างมนุษย์ เปน็ นามธรรม เมอื่ เทพเจา้ คอื พระพรหมมลี ักษณะเป็นจิต การบวงสรวงบชู าเพอ่ื ขอให้อำนวยผลประโยชน์ ต่าง ๆ ตามวิสัยของพวกปุถุชนย่อมไม่สามารถทำหรือมองเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสท้ัง 5 และไม่เป็นที่ ชอบใจของคนท่ัวไปเท่าใดนัก เป็นเพราะไม่สามารถบูชาปรพรหม ซ่ึงเป็นสภาวธรรมน้ันได้ ไม่รู้ว่าเป็น อะไรนัน่ เอง ดังน้ัน เพื่อให้ตรงกับความประสงค์และรสนิยมของประชาชน พราหมณ์จึงดัดแปลงแก้ไขเรื่อง พรหมอีกนิดหน่อย แกไ้ ขจากปรพรหมมาเปน็ อปรพรหม อปรพรหมกค็ ือพรหม หรืออิศวร เป็นเทพเจ้าที่ มีตัวมีตน ไม่เป็นนามธรรมเหมือนอย่างปรพรหม สามารถจะอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้เคารพบูชาได้ พวกพราหมณน์ ัน้ ฉลาดปรับปรงุ พระเจ้าใหท้ ันสมัยใหมอ่ ยู่เสมอ แล้วจึงประกาศแก่ประชาชนวา่ ความจริง พระพรหมนั้นมีตวั ตนและมีถงึ 4 หน้า 8 กร สามารถมองดูทศิ ทงั้ 4 ได้ในเวลาเดยี วกัน และดูความเป็นไป ของชาวโลกได้ทุกหนทุกแห่งพร้อมกันได้ ช่วยชาวโลกได้มากกว่า เม่ือพระพรหมมีตัวตน และยังมีถึง 4
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 115 หน้าอีก แถมยังไม่มีภรรยา ไม่ยุ่งเกี่ยวข้องด้านกามารมณ์เหมือนพระอินทร์ ประชาชนต่างก็นิยมชมชอบ พอใจ แนวความคิดของพราหมณ์ท่ีสร้างพระพรหมเป็นที่พอใจของประชาชนน้ีเอง ทำให้ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูย่งิ ใหญแ่ ละมอี ทิ ธิพลเหนอื จิตใจของชาวอนิ เดยี อยา่ งไมเ่ ส่ือมคลาย ขบวนการของการเคล่ือนไหวพระพุทธศาสนามหายานก็เป็นเช่นเดียวกัน ความต้องการไม่อยาก เห็นพระพุทธเจ้าดับสูญมีกำลังแรงมาก แรงจนกระท่ังแม้เม่ือก่อนท่ีจะแตกแยกออกเป็นมหายาน ผู้รู้ในทางพระพุทธศาสนา ต่างคิดหาวิธีการที่จะทำให้คนมพอใจ ท้ายที่สุดต้องสร้างแนวคิดข้ึนมาว่า พระพุทธเจ้าน้ันมิได้มีองค์เดียว แตย่ ังมีอีกหลายพระองค์ท่ีจะมาตรัสรขู้ ้างหน้า จึงไดเ้ กิดมีพระพุทธเจ้าใน อนาคตข้ึน พระพุทธศาสนาได้ดัดแปลงอนุโลมตามความต้องการของประชาชนด้วยการคิดเรื่องราวใน พระพุทธศาสนาว่าจะมีสิ่งใดที่พอจะแก้ไขได้ เพ่ือสนองความเช่ือถือดังกล่าว มหายานได้คิดหลัก โพธิจิต ขน้ึ คอื การทค่ี นเราจะมุ่งไปสู่พทุ ธภมู ิได้น้ัน จำต้องบำเพญ็ พระโพธิญาณ คือการกระทำตนให้เป็นโพธิสตั ว์ ซง่ึ เปน็ การชำระจติ ใจให้บริสทุ ธิ์ และส่ิงจำเป็นท่ีสุดที่พระโพธสิ ัตว์ต้องปฏบิ ัตกิ ็ได้แก่ ความเมตตากรณุ าใน การโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ พระโพธิสัตว์จึงต้องสะสมบารมีต่าง ๆ ในแต่ละชาติเพ่ือมุ่งหวังพุทธภูมิเป็น จุดหมายปลายทาง ฉะนั้น เมื่อบุคคลใดเกิดความทุกข์ความเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ แทนท่ีจะ กราบอ้อนวอนพระเจ้าของศาสนาพราหมณ์ให้ช่วย ก็เปล่ียนมาเป็นบูชาขอให้พระโพธิสัตว์ช่วย เน่ืองจาก พระโพธสิ ัตว์ประกอบด้วยมหากรุณาอันไม่มีทีส่ ้นิ สุด เหตุผลอีกประการหน่ึงก็คือ นิกายมหายานต้องการฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ในเวลานั้นศาสนา พราหมณ์เจริญรุ่งเรืองขึ้นมามาก นิกายมหายานจึงเกิดข้ึนมาเพื่อเป็นคู่แข่งท่ีสำคัญของศาสนาพราหมณ์ ตามสถานการณบ์ ังคับให้เกิด พระเถระองค์สำคัญ ๆ ที่เป็นทัพหน้าในสมัยน้ัน ก็ได้แก่ พระอัศวโฆษ ซึ่งเป็นผู้แต่งคัมภีร์ มหายานศรัทโธปาทศาสตร์ และต่อมา พระนาคารชุนก็เป็นองค์ท่ีสำคัญท่ีสุดที่ต้ังนิกายมหายานจน สามารถเป็นนิกายที่ทรงอิทธิพลมาก และได้แต่งหนังสือช่ือ ปรัชญามาธยมิกศาสตร์ หนังสือเล่มน้ีได้รวม เอาปรัชญาของนานานิกายในพุทธศาสนาไว้ด้วย ในที่น้ีจะกล่าวถึงรายละเอียดของแต่ละนิกายที่สำคัญ ของนิกายมหายานตามลำดับดัง (เสถียร โพธินันทะ, 2543, หน้า 268-294) (ฟ้ืน ดอกบัว, 2554, หน้า 88-92) (พระเทพดิลก (ระแบบ ฐติ ญาโณ), 2548, หนา้ 185-192) ได้ให้รายละเอียดไว้ดงั นี้ 3.1 นิกายเอกวยหาริกวาท นกิ ายนี้ฝ่ายบาลีเรยี กว่า เอกโพยหารี และอรรถกถาแห่งเภทธรรมมติจักรศาสตร์ของกยุ กีระบุว่า นกิ ายนี้ถือว่า โลกิยธรรมและโลกตุ ตรธรรมไมม่ ีสภาวธรรมอยู่โดยแทจ้ ริงเลย มสี ักแต่ว่าเป็นบัญญัติโวหาร เท่านั้น ดังนั้น จึงขัดแย้งกับฝ่ายมหาสังฆกิ ะ ทำให้ตอ้ งแยกตวั ออกไปเปน็ อีกนิกายหน่ึง แต่มติสว่ นใหญ่คง เหมอื นกับฝ่ายมหาสังฆกิ ะ
116 3.2 นกิ ายโลโกตรวาทิน นิกายนี้ไม่มีชื่อปรากฏในปกรณ์ฝ่ายบาลี มีคติว่า โลกิยธรรมเท่านั้นท่ีไร้แก่นสาร ปราศจาก สภาวธรรมอยู่จริง แต่โลกุตตรธรรมเป็นของมีจริงเป็นจริงหรือสาสวธรรมทั้งปวงไม่มีภาวะปรมัตถ์เลย มีอยู่สักแต่ว่าบัญญัติเท่านั้น ส่วนในอนาสวธรรมมีภาวะปรมัตถ์ มตินอกนั้นเหมือนกับนิกายแม่คือนิกาย มหาสงั ฆกิ ะ นน่ั เอง 3.3 นิกายโคกลุ กิ ะ นิกายนี้มีคติว่า พระอภิธรรมเท่านั้นท่ีเป็นพุทธพจน์ท่ีแท้จริง ส่วนวินัยและพระสูตรเป็นเพียง อบุ ายธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนสัตว์โดยลำดับเพ่ือให้เข้าถึงอภธิ รรมเท่าน้ัน ด้วยเหตุน้ี ทำใหก้ ารปฏิบัติ ต่อพระวินัยหย่อนยาน เช่น เร่ืองไตรจีวร ภิกษุจะมีหรือไม่มีก็ได้ พระพุทธองค์ทรงอนุญาตไว้ท้ังสอง ประการ สดุ แตจ่ ะพอใจ สะดวกเช่นไรกย็ ึดปฏิบตั ิตามนั้น เรื่องที่อยูอ่ าศัย ภิกษุจะอยใู่ นวัดก็ได้ ไมอ่ ยู่ในวัด ก็ได้ การฉันอาหารในยามวิกาลจะฉันหรือไม่ฉันก็ได้ สำคัญคืออย่าไปยึดถือติดในเร่ืองวินัยหรือข้อวัตรจน ทำให้ขัดขวางการขจัดกิเลสออกจากใจได้ ทำอย่างไรก็ได้ ให้เอาชนะกิเลสตัณหาให้ได้เร็วท่ีสุด เป็นอัน ใช้ได้ เล่าว่า พระท่ีเป็นต้นนิกายเคยเป็นคนในวรรณพราหมณ์มาก่อน มีทิฏฐิอย่างอื่นตรงกันกับนิกายแม่ มุ่งเผยแผพ่ ระอภิธรรมเป็นหลักเทา่ น้นั 3.4 นกิ ายพหศุ รตุ ยิ ะ นกิ ายนฝ้ี ่ายบาลีเรียกวา่ พหุสสตุ ิกวาท แตกออกมาจากนิกายโคกุลิกะวาทตามมัญชุศรีปุจฉาสูตร บันทึกไว้ แต่ในเภทธรรมมติจักรศาสตร์ระบุว่าแตกออกมาจากนิกายมหาสังฆิกะโดยตรง ส่วนมติในอรรถ กถาวตั ถรุ ะบุวา่ แตกออกมาจากนิกายโคกุลิกะวาท เชือ่ กันวา่ ต้นนิกายเป็นพระอรหันต์ทีเ่ ขา้ สมาบัติตง้ั แต่ สมัยพุทธกาลจนถงึ พ.ศ. 200 จงึ ออกจากสมาบตั ิมายงั แควน้ อังคุตราปะ เพราะเหน็ วา่ ลัทธิของมหาสังฆิกะ ทีก่ ำลังเผยแผอ่ ยู่ยังไม่สมบูรณ์ จึงแสดงข้อธรรมอันลึกซงึ้ สมบูรณ์ตามท่ีได้สดับรับฟังมาจากพระโอษฐ์ของ พระพุทธองค์ ปรากฏว่าหลักธรรมที่แสดงนั้นมีคติของลัทธิมหาสังฆิกะแทรกอยู่ อนึ่ง ยังมีเร่ืองเล่าว่า แท้จริงนิกายน้ีเป็นนิกายสืบมาแต่พระอานนทเถรเจ้า พุทธอุปัฏฐาก ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะด้าน พหุสูตร และยังมีความเช่ืออีกว่า เป็นกิ่งนิกายของนิกายสรวาสติกวาทก็มี พระดำรัส 5 ประการดัง กล่าวคือ อนิจจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ศูนฺยตา นิพฺพานํ จัดเป็นโลกุตตระ ข้อน้ีแตกต่างจากนิกายมหาสังฆิกะ นิกายโลโกตรวาทิน นิกายโคกุลิกะ ที่ถือว่า พระพุทธวจนะล้วนเป็นโลกุตตระ ส่วนหลักธรรมอื่น ๆ คงเหมอื นกันนกิ ายมหาสงั ฆิกะ 3.5 นกิ ายปรัชญาปติวาทนิ นิกายนี้ฝ่ายบาลีเรียกว่า ปัญญัติวาท มีประวัติเล่าว่า สืบสายมาจากพระมหากัจจายนะ มีหลักธรรมว่า ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ อายตนะ 12 เป็นเพียงมายา ไม่มีอกาลมรณะ กรรมเป็นเหตุเป็นอธิปติ ปัจจัย อนันตรปัจจัยแก่วิบาก บุญกุศลเป็นเหตุปัจจัยให้ได้บรรลุอริยมรรค นอกน้ันคงเหมือนนิกาย มหาสังฆิกะ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 117 3.6 นิกายไจติยคีรี นิกายอปรเสลิยะ นิกายอตุ ตรเสลยิ ะ ทง้ั 3 นกิ ายนี้มีมตวิ ่า พระโพธิสัตว์ทั้งหลายยังไม่ละทุคติ การบูชาสถูปเจดยี ์ ไม่มผี ลานสิ งส์โอฬาร เพราะสถูปเป็นวัตถุไร้วิญญาณ ไม่อาจเป็นทักขิเณยยบุคคล แต่ได้บุญบ้างเหมือนกัน ถ้าบูชาด้วยใจท่ี บรสิ ุทธิ์ผ่องแผ้วจรงิ ๆ 3.7 นกิ ายอตุ ตระปถะ นิกายน้ีเป็นนิกายผสมระหว่างนิกายมหาสังฆิกะกับเถรวาท โดยมีหลักธรรมที่มีชื่อเสียงจาก กถาวัตถุ มขี อ้ สำคัญ ๆ ดังน้ี 1. ถือว่าพระพุทธองค์ไม่มีพระมหากรุณา เพราะเป็นโลกุตตรภาวะ ไม่ควรมีกรุณาอันจัดเป็น ราคานสุ ัย อันมสี ัตว์เปน็ อารมณ์ ซ่งึ เป็นฝา่ ยโลก 2. ถือว่าบุคคลละกิเสสไดท้ ้ังสามกาล 3. ถอื วา่ คฤหสั ถ์ก็เป็นพระอรหันตไ์ ด้ 4. ถือว่าบรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยการผุดเกิดได้ เช่น เทวดาอาจเข้าถึงอรหัตตผลได้ต้ังแต่ ขณะแรกแห่งปฏสิ นธิทีเดยี ว 5. ถอื ว่าธรรมทั้งปวงของพระอรหนั ต์เปน็ ธรรมปราศจากอาสวะ 6. ถือวา่ บุคคลผู้สัตตักขตั ตปุ รมะ พระโสดาบนั เป็นผูเ้ ที่ยงต่อการเกิด 7 คร้งั 7. ถือว่าบคุ คลผถู้ งึ พรอ้ มด้วยทิฏฐิ (พระโสดาบัน) ละทุคตไิ ด้ 8. ถือว่าความยินดีในส่ิงที่ไม่ชอบใจมีอยู่ โดยอ้างเอาพุทธภาษิตมาอ้างเป็นหลักว่า “โส เอวํ อนุโรธวิโรธํ สมปนฺโน ยํ กิญฺจิ เวทนํ เทยติ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ ตํ เวทนํ อภินนฺทติ อภิวทติ อชฺโฌ สาย ติฏฐฺ ตตี ิ” 9. ถอื ว่าทานบรสิ ุทธ์ิได้ทางฝา่ ยทายกฝา่ ยเดยี ว ไม่บรสิ ทุ ธ์ิได้โดยฝ่ายปฏคิ าหก 10. ถือว่าบุคคลฆา่ มารดาแมโ้ ดยไม่ได้เจตนาก็เปน็ อนัตริยกรรม 11. ถือว่าสัตว์ที่มีบารมแี กก่ ล้าพอ อาจตรัสรไู้ ด้ต้ังแตอ่ ยู่ในครรภ์ นอกจากน้ียังมีความเห็นเช่น ถือว่าอากาศเป็นสังขตะ นิโรธสมาบัติเป็นอสังขตะ มีคติอยู่ 6 ทิฏฐิ เป็นอัพยากตะ สามัญญผล 4 ทำให้แจ้งด้วยมรรคอันเดียว อุจจาระปัสสาวะของพระพุทธเจ้าหอมเกิน คันธชาตอิ ่ืน ฯลฯ 3.8 นิกายเวตลุ ลกะ นิกายน้ีมีประวัติที่คลุมเครือ น่าจะเป็นกิ่งนิกายมหาสังฆิกะ เพราะเคยแพร่หลายอยู่ใน อภัยคีลีวิหาร ในศรีลังกาอยู่ช่วงหนึ่ง และมีหลายอย่างพัวพันอยู่กับมหายาน ทัศนะของนิกายน้ีทราบได้ จากกถาวตั ถดุ งั น้ี 1. ถือว่า ไม่พงึ กลา่ ววา่ พระสงฆ์ (หมายเอามรรค 4 ผล 4) รับประทาน ดื่ม เคี้ยว ลมิ้ รสอาหารได้ 2. ถอื วา่ ไมพ่ ึงกล่าววา่ ทานทีถ่ วายสงฆ์มีผลมาก
118 3. ถือว่า ไม่พึงกล่าวว่า ทานท่ีถวายแดพ่ ระพทุ ธเจ้ามีผลมาก 4. ถือว่า ไมพ่ ึงกลา่ วว่าพระสงฆ์รับของทำบญุ ได้ 5. ถือวา่ ไมพ่ ึงกลา่ ววา่ พระสงฆ์ยงั ของทำบญุ ให้บรสิ ุทธไ์ิ ด้อกี ดว้ ย 6. ถอื วา่ ไม่พงึ กล่าวว่า พระพทุ ธเจ้าดำรงอย่ใู นโลกมนุษย์ 7. ถือว่า ไม่พึงกล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเอาไว้ แต่ควรกล่าวว่าเป็นพระพุทธนิมิตที่ ทรงแสดงไว้ วาทะของนิกายเวตุลลกะข้อน้ีทำให้เห็นว่ามีความใกล้ชิดกับนิกายมหายานอย่างมาก เพราะ อธิบายว่า พระพุทธองค์ทรงเนรมิตพระกายอีกพระกายหน่ึงมาส่ังสอนพระธรรม บัญญัติพระวินัยเพ่ือ อบรมส่ังสอนสัตว์ในมนุษยโลก เทวโลก และพรหมโลก ซ่ึงภายหลงั ได้ปรากฏในความเช่ือเรอื่ งตรีกายของ มหายานในนามว่า นิรมาณกาย ดังนั้น นิกายเวตุลลกะจึงได้รับการเพ่งเล็งว่ามีเค้าความเป็นนิกาย มหายาน 4. หลักการสำคญั ของนิกายมหายาน 4.1 อุดมคติของมหายาน หลักการแห่งโพธิสัตวภ์ ูมินถี้ ือว่าเปน็ หลักธรรมสำคัญย่งิ ของนิกายมหายานทกุ นิกายท้ังนิกายหลัก และนิกายย่อยต่างมีความเห็นพ้องต้องกัน ดัง (สุขพัฒน์ อนนท์จารย์, 2551, หน้า 133-135) และ (ประยงค์ แสนบรุ าณ, 2548, หนา้ 27-29) ไดก้ ลา่ วไว้วา่ โพธิสตั ว์ภูมิ เป็นสาเหตุให้เกิดพทุ ธภูมิ บุคคลจะ บรรลุพุทธภูมิได้ต้องผ่านการบำเพ็ญจริยธรรมของพระโพธิสัตว์ก่อน ดังนั้น โพธิสัตว์ภูมิจึงเป็นสาเหตุให้ เกิดพุทธภมู ิ โดยหลักการที่สำคัญย่งิ ของพระโพธิสัตวค์ อื จะต้องโปรดสรรพสัตวใ์ ห้พ้นทุกข์ก่อนตนเอง และ ตอ้ งพยายามให้สรรพสัตว์เรียนรู้ธรรมตามที่พระโพธิสัตว์ได้รู้ด้วยตนเองเสียก่อน ตราบใดสรรพสัตว์ยังจม อยู่ในกองทุกข์ พระโพธิสัตว์จะไม่ยอมบรรลุธรรมเป็นอันขาด โดยหลักการท่ีสำคัญที่พระโพธิสัตว์ต้องมี หลักปรัชญาชีวิตในการช่วยขนสัตวโลกให้ข้ามพ้นสังสารทุกข์ ต้องประพฤติไม่อาจละเว้นได้โดยยึดหลัก อดุ มคตปิ ระจำใจอยา่ งสูงสง่ อยู่ 3 ประการ คอื 1) หลักมหาปัญญา นิกายมหายานมุ่งไปท่ีหลักธรรมท่ีลุ่มลึก อธิบายหลักธรรมต่าง ๆ ด้วย หลักปรัชญาและตรรกวิทยาอย่างละเอียด เช่น หลักอนัตตา นิกายมหายาน เรียกใหม่ว่าศูนยตา หรือ สุญญตา และอธิบายธรรมน้ันอย่างละเอียด ลึกซึ้ง และกว้างขวาง ยกตัวอย่างท่านนาครชุนแห่งปรัชญา มาธยมิก ได้อธิบายเร่อื งศูนยตาไว้อย่างละเอียดลออมาก หานกั ปราชญด์ ้านพุทธศาสนาทา่ นใดมาอธบิ าย ได้ลุ่มลึกเท่าท่านได้ และพุทธศาสนิกชนจะต้องเข้าถึงศุนยตาท้ัง 2 อย่างก่อนจึงจะพ้นทุกข์ได้ คือ ปุคคลศูนยตา และธัมมศูนยตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นในท้ังบุคคลและธรรม แม้แต่พระนิพพานก็ไม่ควรยึดม่ัน นกิ ายมหายานถอื ว่าน่ีคอื ปฏปิ ทาของพระโพธิสัตว์ชน้ั สูงต้องปฏิบตั ิ 2) หลักมหากรุณา นิกายมหายานมุ่งให้พระโพธิสัตว์และพุทธศาสนิกชนตั้งโพธิสัตว์จิตมุ่ง พุทธภูมิเพ่ือโปรดสรรพสัตว์ ไม่ควรมุ่งเพียงอรหันตภูมิ โดยมองว่าเป็นการเห็นแก่ตัวท่ีมุ่งช่วยเหลือตนเอง
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 119 ใหพ้ ้นทกุ ขเ์ ท่านั้น แต่ควรม่งุ พุทธภูมิเป็นหลกั จะไดช้ ว่ ยเหลอื สรรพสัตว์ใหไ้ ดม้ ากที่สุดเท่าท่จี ะมากได้ เป็น ความกรุณาอันยิ่งใหญ่ อาศัยความกรุณาอันย่ิงใหญ่น้ัน พระโพธิสัตว์อาจทำลายชีวิตของสัตว์อื่นได้ เพียง เพื่อหยุดไม่ให้สัตว์น้ันทำกรรมหนักมากกว่านั้น หากส่ังสอนตักเตือนแล้วไม่ยอมเชื่อฟัง แม้ตนจะตกนรก อเวจเี พราะกรรมนัน้ พระโพธสิ ตั ว์กต็ ้องยอม 3) หลักมหาอุบาย หมายความว่า พระโพธิสตั ว์ต้องรู้จักอุบายทฉี่ ลาดในการช่วยเหลือสรรพ สัตว์ มีปฏิภาณรอบรู้ สามารถชักนำสัตว์โง่เขลาให้เข้าถึงสัจธรรม ซง่ึ กุศโลบายของพระโพธิสัตว์แต่ละองค์ ในการแสดงธรรมชักจูงให้สรรพสัตว์บรรลุธรรมน้ัน แต่ละองค์ต้องมีปฏิภาณไหวพริบ รู้จักอัธยาศัย (อธิมุติ) ของสรรพสัตว์ก่อนแสดงธรรม เพ่ือแสดงธรรมให้ถูกจริตและอุปนิสัยของสัตว์นั้น ๆ ได้ พระโพธสิ ตั ว์เปรียบดังแพทย์ผู้เช่ยี วชาญในการรักษาโรค สามารถจัดยาให้ถูกกับโรค และรักษาหายขาดได้ ดงั น้ัน จึงมกี ารเพ่ิมพระสูตรและพิธีการมากมายเข้ามาให้เหมาะสมกบั การปฏิบัติของพระโพธิสัตวแ์ ละถูก จริตของเวไนยสัตว์ท้ังหลาย จึงกล่าวได้ว่า อุดมคติของพระโพธิสัตว์ท้ังสามข้อนี้ นับเป็นหัวใจของนิกาย มหายาน ข้อแรกหมายถึงการบำเพ็ญประโยชน์ของตนให้เพียบพร้อมสมบูรณ์ ส่วนสองข้อหลัง เป็นการ บำเพ็ญประโยชน์เพือ่ ผู้อืน่ มีความกรุณาช่วยผู้อืน่ ให้พ้นทุกข์ และเปน็ การสืบอายพุ ระศาสนาพรอ้ มท้ังเผย แผ่คำสั่งสอนของพระพุทธเจา้ ใหแ้ พรห่ ลายอีกดว้ ย 4.2 ความเชอื่ เร่ืองตรีกาย ความเห็นของฝ่ายมหายานนั้นพระพุทธเจ้าเป็นทิพยภาวะ มีภาวะความเป็นอยู่คู่กับโลกเสมอ อย่าคิดว่าการปรินิพพานของพระพุทธองค์เป็นภาวะขาดศูนย์โดยสิ้นเชิง การปรินิพพานของพระองค์เป็น เพียงภาพมายาเท่านั้น โดยความเป็นจริงแล้ว พระพุทธเจ้าน้ันเป็นอนาทิ เป็นอนันตะ ด้วยความเชื่อ ดังกล่าวพ ระพุ ท ธเจ้าของม ห ายาน จึงป รากฏ มี พ ระกาย 3 ลักษ ณ ะ เรียกกัน ว่า ต รีกาย ดงั เสถียร โพธนิ ันทะ (2522, หน้า 15) ได้กลา่ วไวด้ งั นี้ 1) สัมโภคกาย คือพระกายที่เป็นทิพยภาวะ ประทับอยู่ ณ พุทธเกษตรของพระองค์ ทรง แสดงพระสัทธรรมอยู่ในแดนอื่น ๆ พระพุทธเจ้าที่เสด็จมาอุบัติในโลก ทรงแสดงพระธรรมวินัยแล้วเสด็จ ดับขันธปรินิพพานในเมืองกุสินาราน้ันเป็นเพียงการแสดงให้เห็นรูปนิรมานกายของพระองค์เท่านั้น สัมโภคกายของพระองค์ยังคงอยู่ในพุทธเกษตรและธรรมกายของพระองค์ก็ยังเป็นอมตะ ไม่มีเบื้องต้น ทา่ มกลาง และทีส่ ดุ 2) นิรมานกาย คือพระกายที่พระองค์นิรมิตขึ้นมา เป็นพระกายเน้ือท่ีคนทั่วไปสามารถ มองเห็นได้ ประกอบด้วยธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม และขันธ์ 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่ภายใต้ กฎไตรลกั ษณ์ มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นพระกายทท่ี รงนริ มิตมาเพื่อบำเพญ็ พุทธกจิ 3) ธรรมกาย คือพระคุณทั้งหลายของพระพุทธองค์ ประกอบด้วยพระปัญญาธิคุณ พระวิสุทธคิ ุณและพระกรณุ าธิคณุ กลา่ วคอื คณุ ชาติของความเปน็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านัน่ เอง
120 4.3 ความเชอ่ื เร่อื งตรียาน ยานคือพาหนะท่ีขนสัตว์ให้ไปสู่จุดหมายคือพระนิพพาน ซ่ึงมีชื่อมากมายในนิกายมหายาน แล้วแต่จะเรียกกัน เช่น โพธิสัตวยาน (ยานของพระโพธิสัตว์) พุทธยาน (ยานของพระพุทธองค์) อนุตตรยาน (ยานอันสูงสุด) และเอกยาน (ยานอันเอก) เป็นต้น กล่าวโดยสรุปมีเพียง 3 ยาน ดัง ประยงค์ แสนบุราณ (2548, หน้า 30-31) และสุขพัฒน์ อนนท์จารย์ (2551, หน้า 134-135) สรุปไว้ ดงั น้ี 1) สาวกยาน หมายถึง ยานของผู้บำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน ด้วยการรู้แจ้ง อริยสัจ 4 ไม่หวังพุทธภูมิ หวังเพียงบรรลุอรหันตภูมิเพื่อข้ามพ้นวัฏฏสงสารเท่านั้น ซ่ึงหมายเอาเหล่าเถร วาทและเหล่าสาวกทุกนิกายทมี่ ่งุ บรรลอุ รหันตภมู เิ ป็นหลักน่ันเอง 2) ปัจเจกยาน หมายถึง ปัจเจกบุคคลผู้บำเพ็ญสมณธรรมมายาวนาน จนรู้แจ้งเห็นจริงด้วย ตนเอง แต่ไมส่ ามารถส่งั สอนสตั วอ์ ่ืนให้รูธ้ รรมน้ัน ๆ ตามตนเองได้ ซงึ่ หมายเอาพระปจั เจกพทุ ธเจา้ 3) โพธิสัตวยาน หมายถึง สัตว์ผู้มีจิตใจกว้างขวาง เอื้อเฟ้ือ โอบอ้อมอารี มีความกรุณาต่อ สรรพสัตว์อื่น ต้ังจิตบำเพ็ญเพียรบารมี ปรารถนาพุทธภูมิ ไม่หวังเพียงอรหันตภูมิเป็นจุดหมาย เพื่อเป็น ฐานรองรบั ในการขนสัตว์ให้พน้ จากกเิ ลส ตัณหา อาสวะ และใหบ้ รรลโุ พธิญาณดังประสงค์ ยานทั้ง 3 น้ีมีเป้าหมายเดียวกันคือ ทำลายกิเลส พ้นทุกข์ เข้าถึงฝั่งคือพระนิพพาน แต่แตกต่าง กันเพียงวิธีการในการบำเพ็ญเพียรเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายและหย่ังรู้ถึงความลุ่มลึกของธรรมแตกต่างกัน แต่นิกายมหายานเช่ือว่า โพธิสัตวยาน สำคัญท่ีสุด เพราะสัตว์ท่ีอาศัยยานนี้เม่ือสำเร็จมรรคผลจะ กลายเป็นพระพุทธเจ้าท้ังหมดและร้คู วามลุ่มลึกของธรรมอย่างละเอียดลออ สามารถขนสรรพสัตวใ์ ห้ข้าม พน้ จากกิเลสและวฏั ฏสงสารได้มากนับไมถ่ ว้ น 5. นกิ ายสำคัญของมหายานในประเทศอินเดยี อินเดียเป็นต้นกำเนิดแห่งเจ้าลัทธิของศาสนามากมาย เป็นบ่อเกิดศิลปะวิทยาการ ตลอดถึง ศาสนาและปรัชญาต่าง ๆ การที่พระพุทธศาสนาจะม่ันคงอยู่ได้ต้องต่อสู้ทางความคิดกับเจ้าลัทธิอ่ืน ๆ อยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุน้ี นักปราชญ์ในพระพุทธศาสนาจึงเกิดข้ึนมากมายเพ่ือนำพระธรรมคำสอนของ พระพุทธองค์มาอธิบายในแง่อภิปรัชญาเพื่อต่อสู้กับเจ้าลัทธิเหล่านั้น มีการอธิบายและแปลความ หลักธรรมในแง่มุมต่าง ๆ มากมาย บางแง่มุมอาจก่อให้เกิดความคิดเห็นท่ีไม่ลงรอยกัน จนแตกออกเป็น นิกายต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วในเบ้ืองต้นนั้น ในที่น้ีจะกล่าวถึงกลุ่มของนิกายมหายานโดยแบ่งออกเป็น นกิ ายต่าง ๆ ดัง สุขพัฒน์ อนนทจ์ ารย์ (2551, หน้า 235-242) ไดก้ ล่าวไว้ดังน้ี 5.1 นิกายศนู ยวาทิน หรอื นกิ ายมาธยมิกะ นิกายนี้มีช่ือเรียกว่า นิกายศูนยวาท บางคร้ังก็เรียกว่า นิกายมาธยมิกะ แปลว่า นิกายสายกลาง เกิดข้ึนราวพุทธศตวรรษท่ี 7-8 ผู้ก่อต้ังคือ พระนาครชุน โดยท่านได้อธิบายด้วยระบบวิภาษวิธี
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 121 ซึ่งก่อให้เกิดความต่ืนเต้นในวงการนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก หนังสือปรัชญาปารมิตา สูตรหรือปรัชญาศูนยวาท เป็นผลงานสำคัญของพระนาคารชุน เป็นหนังสืออย่างที่โลกทาง พระพุทธศาสนาไม่เคยมีมาก่อน เป็นหนังสือที่เสนอแนวความคิดใหม่ ๆ ให้กับคนได้เข้าใจหลัก พระพุทธศาสนา หนงั สือปรัชญาปารมิตาสูตรถือเป็นเพชรน้ำเอกของมหายานที่ได้อธบิ ายเกย่ี วกบั พุทธมติ ดว้ ยหลักตรรกวิทยา (Syllogism) เช่นว่า \"การทำความช่ัวทุกอย่างควรถูกตำหนิ การพูดมุสาเป็นความช่ัว ชนิดหน่ึง ฉะนั้น การพูดมุสาจึงควรถูกตำหนิ\" เป็นต้น ท่านได้ประกาศหลักธรรมของนิกายจนแพร่หลาย ตอ่ มามีพระมหาเทวะ พระปาลิตะ พระภาววิเวก พระจันทรกรี ติ และพระศานตเิ ทวะเปน็ ผปู้ ระกาศนิกาย นี้ในกาลต่อมาตามลำดบั พระเถระผ้รู จนาคมั ภีรท์ ส่ี ำคญั ของนิกายน้ปี ระกอบดว้ ย 1. พระนาครชุน (Nagarjuna) แต่งคัมภีร์มาธยมิกศาสตร์ข้ึน เป็นคัมภีร์หลักท่ีได้แจกแจงแนวคิด ของนิกายมาธยมิกะไว้อย่างเป็นระบบ ชัดเจน ละเอียดลึกซ้ึง หาที่เปรียบไม่ได้ ท่านได้รับการยกย่องว่า เป็นปรมาจารยผ์ ้ยู ่ิงใหญ่ 2. พระอัศวโฆษ (Asvaghosa) แต่งเร่ืองพุทธจริตเป็นมหากาพย์ และเรื่องอ่ืน ๆ อีกมากมาย ได้รับยกยอ่ งอยา่ งกว้างขวางอกี รูปหน่ึง 3. พระมาธวาจารย์ (Madhavacharya) แต่งเร่ืองสรวาทรรศนะสังครหะ เป็นกำลังสำคัญในการ บุกเบิกนกิ ายนี้เชน่ กนั หลักธรรมท่ีสำคัญ นิกายนี้เน้นทางสายกลาง หลักปัจจยการ และหลักสูญญตา นอกจาก ประกาศแนวคิดทฤษฎีสุญญตาแล้ว ยังวิพากย์มติต่าง ๆ ของนิกายอ่ืน ๆ ในพระพุทธศาสนาไว้มากมาย และมติของปรชั ญาฮนิ ดูและเชนไว้ดว้ ย มีอิทธพิ ลและบทบาทในอินเดยี จนี ธเิ บต และญปี่ นุ่ นิกายมาธยมิกะได้แสดงทัศนะไว้ว่า ส่ิงท่ีเป็นจริงจะต้องต้ังอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง การมีอยู่และ การเกิดข้ึนของมันจะต้องไม่ขึน้ กับสื่งอ่นื แตท่ ุกส่ิงทกุ อย่างที่เหน็ น้ันตั้งอยู่บนเง่ือนไขบางอย่างเสมอ ดังน้ัน จึงไม่อาจบอกว่ามันเป็นจริงได้ แต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่ามันไม่เป็นจริงตามน้ันได้ทีเดียว เพราะว่าส่ิงที่ไม่มีอยู่ จริง เช่น วิมานในอากาศไม่เคยเกิดขึน้ มาใหเ้ ห็น ทุกสิ่งทุกอยา่ งดเู หมือนว่ามอี ยู่ แตเ่ มื่อพยายามทีจ่ ะเข้าใจ ถึงสภาพการมีอยู่ของมัน ก็ไม่อาจจะยืนยันให้แน่ชัดลงไปได้ ไม่อาจจะบอกว่ามันจริงหรือมันไม่จริง หรือ ทง้ั จริงและไมจ่ รงิ หรือไมใ่ ช่ทง้ั จรงิ และไมจ่ ริง คำว่า สุญญตา (Sunyata) หรือ ความว่าง (Voidness) เป็นชื่อเรียกลักษณะที่แท้จริงของสรรพ สิง่ ที่ไม่อาจกำหนดให้แน่ชัดลงไปได้ ดงั น้ัน สุญญตา จึงหมายถึง ลักษณะท่เี ป็นเงื่อนไขของสรรพส่งิ รวมทั้ง ลักษณะทีเ่ ปล่ียนแปลงไม่คงทแี่ ละกำหนดใหแ้ นช่ ดั ลงไปไม่ได้ โดยท่านนาครชุน กล่าววา่ “ข้อเท็จจริงของการเกิดที่เป็นเง่ือนไข เรียกว่า สุญญตา ไม่มีส่ิงใดท่ีเกิดข้ึนได้โดยไม่อิงอาศัย เง่ือนไขใด ๆ ดังน้นั ไม่มีส่งิ ใดที่ไมใ่ ช่สุญญะ”
122 อธิบายได้ว่า คำว่า ศูนยตา ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีอะไรเลย เหมือนกับเลขศูนย์ของไทยเรา คำว่า ศูนยตา ต่างกับคำว่า อุจเฉทะ หรือ นัตถิกะ ซึ่งแปลว่า ขาดศูนย์ไม่มีอะไรเลย เป็นคำปฏิเสธแบบ เด็ดขาด ศูนยตา หมายถึง ความไมม่ สี วลกั ษณะหรือสวภาวะเท่านั้น คือไม่มีส่ิงใดในโลกทีจ่ ะเป็นอยู่ดว้ ยตัว มันเอง โดยไม่มีความสัมพันธ์กับสิ่งอ่ืน ๆ อีก นิกายศูนยวาทถือว่า ทุกสิ่งเป็นสิ่งสัมพันธ์กันหม ด มีข้อเปรียบเทียบท่ีเห็นได้ง่ายก็คือ ความยาวกับความสั้น โดยความรู้สึกท่ัวไปของคนเราเข้าใจว่ามันมีอยู่ แต่โดยความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้มีอยู่อย่างที่เราเข้าใจ จะเห็นว่า ความยาวและความสั้นมีได้เพราะ ความสมั พันธ์กัน ถ้าปราศจากความสัมพันธก์ ันแล้วความยาวความสั้นก็ไม่มี น่ันหมายความว่า สวลกั ษณะ ของความยาวและความส้ันไม่มี เม่ือสวลักษณะไม่มีเช่นน้ี จึงเรียกว่า ศูนยตา ตามทัศนะของนิกายนี้ ยืนยันว่าสิ่งต่าง ๆ มีอยู่ตามเง่ือนไขของมัน กล่าวคือไม่ยืนยันว่าสิ่งต่าง ๆ มีอยู่จริงหรือไม่มีอยู่จริง ตามหลักปัจจยการ (Theory of Dependent Origination) อันเป็นทางสายกลาง ปัจจยการน่ีเองท่ี หมายถึงศูนยวาทตามทัศนะของมาธยมิกะ นอกจากจะกล่าวถึงโลกแห่งปรากฏการณ์ (Phenomena) อันอยู่ภายใต้กฏปัจจยการแล้ว ยังกล่าวถึงสภาพที่ดำรงอยู่ตามสภาพด้วยตัวของมันเอง (Noumenon) ไม่เปลี่ยนแปลง และไม่อิงอาศัยเง่ือนไขใด ๆ อยู่เบื้องหลังโลกแห่งปรากฏการณ์น้ี กล่าวคือสภาพของ พระนิพพานในระดบั ปรมัตถสัจจะ น่ันเอง เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ปรัชญาศูนยตาของท่านนาคารชุนน้ันถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรจะคง อยู่เป็นอยู่ด้วยสภาวะของตัวมันเองได้โดยสมมติสัจจะ ทุกส่ิงทุกอย่างที่เราเห็นและไม่เห็นเป็นเพียงภาพ มายา โดยปรมัตถสัจจะแลว้ ทุกส่ิงทกุ อยา่ งเป็นศูนยตา แม้แต่การหลุดพ้นก็เป็นศูนยตา ท่านนาคารชุนได้ อธิบายว่า เม่ือสังขตะเป็นศูนยตา อสังขตะก็เป็นศูนยตาไปด้วย นิพพานจึงไม่เป็นท้ังภาวะและอภาวะ ไม่เป็นทั้งอัตตาและอนัตตา อยู่เหนือสภาวะท้ังสองโดยส้ินเชิง และกล่าวสรุปให้สั้นเข้าไปอีกได้ความว่า นิกายศูนยวาทิน หรือ นิกายมาธยมิกวาทิน ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม หรือ ไมว่ ่าจะเปน็ กายหรือจติ ล้วนแตม่ ีสภาพสูญ หรอื ว่างเปล่าจากตวั ตัน กล่าวอกี นยั หนึ่ง คอื เป็นอนตั ตา ทงั้ หมดนั่นเอง 5.2 นิกายโยคาจาร นกิ ายโยคาจาร นิกายนี้บางครงั้ ก็เรียกว่า วชิ ญาณวาท หรือ วิญญาณวาท มีความเห็นที่ตรงกัน ข้ามกับนิกายศูนยวาท และเป็นนิกายคู่ปรับของนิกายศูนยวาทเป็นอย่างมาก คณาจารย์ผู้เป็นต้นกำเนิด ของนิกายนี้คือ พระไมตรียนาถ หรือ ไมเตรยะ ท่านได้เขียนคัมภีร์ชื่อว่า อภิสมยลังการ มีศิษยานุศิษย์ที่ เด่นอยู่ท่านหนึ่งชื่อว่า พระอสังคะ ท่านได้แต่งตำรามากมาย เช่น โยคาจารภูมิศาสตร์ เป็นต้น และมี น้องชายอีกคนหนึ่งช่ือว่า วสุพันธุ ท่านอสังคะและวสุพันธุ เดิมน้ันบวชเรียนอยู่ในนิกายสรวาสติวาท แลว้ แปลงมาเป็นมหายานในกาลตอ่ มา และยังมอี าจารย์ทส่ี ำคัญในนิกายน้ีอีกหลายทา่ น อาทิ พระสภริ มติ พระทินนาคะ พระธรรมปาละ พระธรรมกีรติ พระศานตรักษิตะ และท่านกมลศลี ะ นิกายนี้เจริญสูงสุดใน
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 123 สมัยของพระอสังคะและพระวสุพันธุ โดยทา่ นอสังคะเรียกช่ือนกิ ายว่า โยคาจาร ส่วนท่านวสุพนั ธุ เรียกชื่อ ว่า วิชญาณวาทะ (สมุ าลี มหณรงคช์ ยั , 2556, หนา้ 95) พระเถระผู้รจนาคมั ภีรท์ ส่ี ำคัญของนกิ ายน้ปี ระกอบดว้ ย 1. พระอสังคะ ท่านรับอรรถาธิบายจากพระศรอี ารยเมตไตรยท์ ่ีเมืองอโยธยา ในอินเดียภาคกลาง โดยพระศรีอายเมตไตรย์ได้แสดงศาสตร์ท้ัง 5 อันเป็นหลักการของโยคาจาร ต่อมาท่านอสังคะได้นิพนธ์ อารยวาจาปกรณศ์ าสตร์ และมหายานสมั ปริครหศาสตรข์ ้ึนเผยแพร่ปรชั ญาสายนี้ 2. พระวสุพันธุ เป็นผู้ทำให้นิกายโยคาจารเจริญรุ่งโรจน์อย่างแท้จริงในราวพุทธศตวรรษที่ 10 โดยท่านไดเ้ ขียนปกรณ์วิเศาทางอภิธรรมของฝ่ายเถรวาทไว้มากถึง 500 ปกรณ์ ตอ่ มาได้รับคำส่ังสอนจาก พ่ีชาย จนเกิดความเล่ือมใสในนิกายมหายาน จึงได้แต่งคัมภีร์ประกาศปรัชญาโยคาจารย์จำนวน 500 ปกรณ์เช่นเดียวกัน เลม่ ทส่ี ำคญั ทสี่ ดุ คือ วิชญาณปติมาตราตรีทศศาสตร์ ในกาลต่อมามีคณาจารยจ์ ำนวนมากท่ีนำคำสอนโยคาจารมาแนะนำสัง่ สอนที่มหาวิทยาลัยนาลัน ทา ท้ังท่ีเป็นพระภิกษุและฆราวาส ท่านท่ีมีชื่อเสียงและมีบทบาทสำคัญ ได้แก่ ท่านทินนาคะ (ศิษย์ของ พระวสุพันธุ) เป็นผู้แต่งคัมภีร์ประมาณสมุจจัย ท่านธรรมปาละ (ศิษย์ของท่านทินนาคะ) ท่านเป็น อธิการบดีมหาวิทยาลัยนาลันทา และท่านศีลภัทระ (ศิษยท์ ่านธรรมปาละ) เป็นอาจารย์ของซวนฉ่าง หรือ พระถังซัมจั๋ง หลวงจีนที่เดินทางมาศึกษาพระพุทธศาสนาท่ีอินเดียและบันทึกเหตุการณ์สคัญ ๆ ของ พระพุทธศาสตรใ์ หช้ นรนุ่ หลงั ได้ศึกษามากมาย เปน็ ทีร่ ู้จกั กันดนี น่ั เอง หลักธรรมที่สำคัญ นิกายโยคาจารมีหลักปรัชญาว่า สรรพส่ิงในโลกล้วนเป็นภาพสะท้อนออกไป จากดวงจิต เรียกว่า อาลยวิญญาณ อาลยวญิ ญาณคอื ธาตรุ ู้ มหี น้าท่อี ยู่ 3 ประการคอื 1. มีหน้าท่ีรู้เก็บ คือเก็บเอาพลังของการกระทำทุกอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง สิ่งต่าง ๆ ท่ีถูก นำมาเกบ็ ไว้ในอาลยวิญญาณน้เี รยี กวา่ พชี ะ เชน่ กุศลพีชะ อกศุ ลพีชะ อัพยากตพีชะ เป็นต้น 2. มีหน้าท่ีรู้ก่อ คือก่อสร้างอารมณ์ต่าง ๆ ออกมา เช่น อารมณ์ โลภ โกรธ หลง เป็นต้น เป็นปรากฏการณ์ของอาลยวิญญาณท้ังสิน้ รวมท้ังส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาติเชน่ ภูเขา แม่น้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง เปน็ ต้น 3. มีหน้าที่ปรุง คอื ปรุงแตง่ อารมณ์ให้วิจิตรพิสดารออกไป เป็นไปตามกระแสแห่งตณั หา ปรงุ แต่ง กรรมดีบ้าง กรรมชั่วบ้าง ก่อให้เกิดผลวิบาก ส่งผลเป็นพีชะเข้าไปเก็บไว้ในอาลยวิญญาณอีกวนเวียนอยู่ อย่างนจี้ นกว่าจะส้ินภพหมดชาติ กล่าวโดยสรุปคือ นิกายโยคาจารเป็นพวกประเภทจิตนิยมแบบอัตวิสัย (Subjecttive Idealism) เพราะนิกายนี้ถือว่า จิตเป็นสิ่งสำคัญกว่าร่างกายหรือวัตถุ โดยสอนว่า โลกวัตถุเป็นเพียงมโนภาพ เพราะเป็นส่ิงท่ีถูกปรุงแต่งออกไปจากพีชะในจิต ถ้าไม่มีอาลยวิญญาณเสียแล้ว สิ่งท้ังหลายทั้งปวงก็ไม่มี เหมือนกับดวงอาทิตย์ ความจริงแล้วมีดวงเดียว แต่ปรากฏเป็นหลายดวงแก่คนตาพิการ เป็นต้น มันเป็นภาพสะท้อนออกไปจากพีชะในจิตน่ันเอง ถ้าจะมีคำถามว่าเจ้าพีชะน้ันมาจากไหน ก็ตอบได้ว่าเจ้า
124 ตัวพีชะน้ัน เป็นอนมตัคคพีชะ คือ พีชะท่ีมีเบ้ืองต้นท่ามและที่สุดไม่มีใครรู้ได้ ถ้าจะถามต่อไปว่า ถ้าโลกทางวัตถุเป็นเพียงมโนภาพ ซ่ึงกระจายออกมาจากพีชะในอาลยวิญญาณแล้ว เราก็สามารถสร้าง บ่อนำ้ มนั ขึ้นในเมืองไทย สร้างภูเขานำ้ แข็งในเมืองไทยได้ ก็ตอบได้ว่าไม่ได้ เพราะสิ่งบางอย่างในโลกน้ีเกิด จากสหกรรมของมนุษย์และสัตว์ดิรัจฉานร่วมกัน ย่อมมีกำเนิดแหล่งท่ีชัดเจน จะมาสับเปลี่ยนภายหลัง ตามความชอบใจของใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้เลย น้ีคือทัศนะของนิกายโยคาจาร และเหตุท่ชี ่ือว่า โยคาจาร เพราะมีลักษณะกระตือรือร้นท่ีจะไต่สวน (โยคะ) กับมีการประพฤติที่ดีงาน (อาจาระ) รวมกัน จิตท่ีมี ลักษณะเป็นเหมือนที่เก็บของ (Storehouse) เรียกว่า อาลยวิชญาณ (Alayavijnana) หรือ อาลย วิญญาณ มิใช่อาตมัน (Soul) ที่มีลักษณะเป็นตัวยืนไม่เปล่ียนแปลง แต่เป็นกระแสของสภาวะที่แปล่ียน แปลงอย่างต่อเนื่องด้วยการขัดเกลาทางวัฒนธรรม และการรู้จักควบคุมตัวเองที่อาลยวิญญาณ จะค่อย ๆ หยุดสภาวะทางจติ ที่ไมน่ า่ ปรารถนาไมใ่ ห้เกดิ ขึ้นและพฒั นาไปสสู่ ภาพแหง่ พระนิพพานในที่สดุ มิฉะน้ัน จะ ก่อให้เกิดความคิด ความต้องการ และความยึดมั่นถือม่ัน ผูกมัดบุคคลให้ติดอยู่กับโลกภายนอกอันเป็น มายามากยงิ่ ขึน้ ๆ (สขุ พัฒน์ อนนทจ์ ารย์, 2551, หนา้ 238-239) นิกายศูนยวาทกับนิกายโยคาจาร เป็นคู่ปรับกันมาทุกยุคทุกสมัย เหมือนขมิ้นกับปูนหรือน้ำกับ น้ำมัน ไม่สามารถจะระคนปนกันไปได้ ข้อที่แตกต่างกันก็คือความเห็นในเร่ือง สวลักษณะหรือสวภาวะ นิกายศูนยวาทถือว่า โดยโลกสมมติ โลกนิรุตติ หรือ โลกบัญญัติแล้ว ส่ิงท้ังหลายท้ังปวงไม่มีสวลักษณะ หรือสวภาวะในตัวของมันเอง เป็นมายาทั้งหมด และโดยปรมัตถสัจจะแล้ว ส่ิงท้ังหลายทั้งปวงเป็นศนู ยตา แต่นิกายโยคาจารถือว่า โดยโลกสมมติ โลกนิรุตติ หรือ โลกบัญญัติแล้วสง่ิ ทั้งหลายท้ังปวงจะเป็นมายาไป ท้ังหมดไม่ได้ แม้มองจากภายนอกจะไม่ใช่ของจริง แต่พีชะท่ีมาจากอาลยวิญญาณจนเป็นบ่อเกิดของภาพ เหล่าน้ันมีสวลักษณะอยู่ด้วย โดยปรมัตถ์ก็ไม่ได้สูญเสียไปท้ังหมด ยกตัวอย่าง ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มี สวลักษณะอยู่ภายในตัวของมันเองแล้ว คนเราทำความชั่ววันน้ี พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องรับความช่ัวที่ตัวเองได้ กระทำไว้ ถา้ ไม่มีสวลักษณะหรือสวภาวะอยูแ่ ลว้ ใครเล่าจะเป็นคนคอยรับบญุ รบั บาป นายแดงทำความช่ัว วันน้ีพรุ่งน้ีก็กลายเป็นคนละคนไปแล้วไม่ต้องรับความชั่วท่ีตัวก่อไว้ เหมือนกับปลูกมะละกอ ถ้าไม่มีสว ลกั ษณะอยกู่ ็กลายเป็นมะมว่ งมะพร้าวไป สรุปแล้วนิกายท้ัง 2 ตีความหมายให้คำนิยามสวลักษณะแตกต่างกัน ฝ่ายศูนยวาทถือว่าขึ้นช่ือ ว่าสวลักษณะแล้วจะต้องเท่ียงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ฝ่ายโยคาจารถือว่า สวลักษณะนั้นเปล่ียนแปลงได้ แต่ถึงจะเปล่ียนแปลงอย่างไรก็ยังรักษาคุณสมบัติเดิมเอาไว้ได้ ดังน้ัน ฝ่ายศูนยวาทจึงประณามพวกโยคา จารว่า เป็นพวกสัสสตวาท ฝา่ ยโยคาจารกป็ ระณามพวกศนู ยวาทว่า เป็นพวกนตั ถกิ วาทะ ดังน้ัน จึงกล่าวสรุปสั้น ๆ ได้ว่า นิกายโยคาจาร หรือ วิญญาณวาทิน ถือว่า จิตเท่าน้ันท่ีเป็น ความจรงิ ทุกส่ิงทุกอย่างมาจากจติ หรอื จติ เป็นบ่อเกดิ ของสรรพส่งิ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 125 5.3 นิกายจิตตอมตวาท นิกายจิตอตวาท หรือเรียกอีกอย่างว่า นิกายอัสติวาทิน นิกายน้ีไม่ปรากฏนามผู้ก่อต้ัง แต่เจริญ มากในสมัยราชวงศ์คุปตะเป็นสมัยที่มีการฟื้นฟูวรรณคดีสันสกฤตและปรัชญาฮินดู เป็นยุคทองแห่ง วรรณคดีสันสกฤต ทำให้อิทธิพลทางปรัชญาฮินดูได้เข้ามาครอบงำทัศนะของนักคิดชาวพุทธในยุคน้ีอยู่ มาก พระเถระผ้รู จนาคมั ภรี ์ท่ีสำคัญของนิกายน้ีประกอบด้วย คัมภีร์ส่วนใหญ่แต่งข้ึนหลังสมัยพระนาครชุน ในราชวงศ์คุปตะ ส่วนใหญ่เป็นคัมภีร์ที่อยู่ใน วรรณคดีพระสูตรสันสกฤต เช่น ศรีมาลาเทวีสิงหนาทสูตร ศูรางคมสมาธิสูตร ตถาคตครรภสูตร สุวรรณ ประภาสสตู ร พทุ ธยานสาครสมาธิสตู ร อจินเตยยสูตร วิเศษจนิ ตาพรหมปรปิ ฤจฉาสูตร เปน็ ตน้ หลักธรรมที่สำคัญ คำสอนของมหายานนิกายนี้มีความเห็นตรงกันข้ามกับนิกายศูนยวาทและ โยคาจาร คือสอนว่า จักรภพมีรากฐานมาจากสมบูรณภาพ จากสิ่งนี้เองสมบูรณภาพจึงก่อให้เกิดจักรภพ ชีวิตข้ึน ภาวะอันเป็นแก่นเดิมของโลกคือความจริงแท้ แม้แต่สิ่งมายาก็มีรากฐานมาจากภาวะอันแท้จริง น่ันเอง นิกายจิตอมตวาทมีทัศนะเกี่ยวกับเร่ือง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถือว่าเป็นเพียงส่วนเบื้องต้นเท่าน้ัน เป็นเพียงปริยายธรรม ยังมีธรรมท่ีสุขุมคัมภีรภาพไปกว่าน้ัน คือธรรมท่ีแสดงถึง นิจจัง สุขัง และอัตตา การที่พระองค์ทรงแสดงอนัตตาก็เพ่ือให้เราได้เข้าถึงอัตตาที่แท้จริง กล่าวคือสมบูรณภาพหรือพุทธภาวะ โลกจะปรากฏข้ึนได้ก็ต้องอาศัยสมบูรณภาพนี้เป็นแก่น เพราะฉะนั้น สรรพสิ่งเม่ือมองในแง่สมบูรณภาพ นับว่าเป็นภาวะอันเดียวกัน คือทุก ๆ ส่ิงมีอยู่ในพุทธภาวะ และพุทธภาวะมีอยู่ในทุก ๆ สิ่ง นิกายน้ีได้ อธิบายว่า ธรรมดาของจิตหรือสมบูรณภาพนั้น เที่ยงแท้ ไม่เกิด ไม่ดับ เบ้ืองต้น ไม่ปรากฏ เบื้องปลายไม่ ปรากฏ แต่ที่เห็นเกิดดับนั้นเป็นเพียงอาการของจิตเท่านั้น ไม่ใช่ตัวจิต เพราะฉะน้ัน จิตจึงไม่ใช่วิญญาณ ขันธ์ (ความเห็นอย่างนี้ทุกนิกายก็ไม่เห็นด้วย) จึงกล่าวตำหนิพวกจิตอมตวาทว่าเป็นพวกขันธ์ 6 เม่ือจิต ไม่ใชว่ ญิ ญาณขนั ธ์ จติ จึงเป็นผรู้ ู้ขันธ์ เปน็ ผูป้ ล่อยขันธ์ เปน็ ผวู้ างขันธ์ เปรียบเหมอื นดวงอาทิตย์ ย่อมมีปกติ ส่องแสงสว่าง แต่บางคราวเกิดมืดมัว ก็มิได้หมายความว่าดวงอาทิตย์น้ันอับแสงไป แต่เป็นด้วยเหตุเมฆ หมอกมาปกคลุม เปรียบเหมือนดังกิเลสมาตัณหามาบังพุทธภาวะในปุถุชน จิตอมตวาทเชื่อม่ันว่า สัตว์ทั้ง ปวงในวนั หนึ่งขา้ งหน้าตอ้ งตรสั รเู้ หมือนกัน ตอ้ งได้เป็นพุทธะหมด เพราะทุกคนมีโพธจิ ิตอยใู่ นตวั ท่านเปรียบประดุจท้องมหาสมุทรในยามปกติย่อมราบเรียบ ยังไม่เกิดคล่ืน เพราะมหาสมุทรคือ พุทธภาวะหรือจิตแท้ ต่อมาถูกลมพัดมาคือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ลูกคลื่นท่ีเกิดข้ึนแต่ละลูก เปรียบเสมือนสัตว์ต่าง ๆ เกิดแล้วก็ดับไปในมหาสมุทร แต่มีคำถามว่า อวิชชามีก่อนหรอื พุทธภาวะมีก่อน หากจะตอบว่า อวิชชามีก่อนพุทธภาวะนั้น ก็ไม่ใช่พุทธภาวะแท้ เพราะไม่รู้มีก่อนรู้ รู้นั้นจึงไม่ใช่รู้จริง ใช้ไม่ได้ และหากตอบว่า พุทธภาวะมีก่อนอวิชชา ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะหากตอบเช่นนั้น พระอริยะ จะกลับไปเป็นปุถุชนได้ นิกายจิตอมตวาทตอบว่า พุทธภาวะกับอวิชชามีไม่ก่อนไม่หลังกัน มีมาด้วยกัน นับแต่ภาวะเริ่มต้นไม่ปรากฏ เหมือนธาตุทองกับดินทรายจะบอกว่าอะไรเกิดก่อนเกิดหลังไม่ได้
126 เพราะฉะน้ัน ทัศนะของนิกายนี้เป็นปรัชญาฮินดูแปรรูป พวกศุนยวาทและโยคาจารร่วมกันคัดค้าน แต่ อิทธิพลของนิกายน้ีมีมากกว่า พระพุทธศาสนาจึงถูกปรัชญาของพราหมณ์กลืนไปในยุคหลังนี้ ส่วนใหญ่จะ เปน็ พวกนกิ ายนท้ี ้งั สน้ิ (อภิชยั โพธป์ิ ระสิทธ์ศิ าสตร์, 2539, หนา้ 172-174) ดังน้ัน จึงกล่าวสรุปสั้น ๆ ได้ว่า นิกายอัสติวาทิน หรือ นิกายจิตอตวาท ถือว่าทุกส่ิงทุกอย่างใน โลกนี้ แม้มีมากมาย แต่เมื่อแบ่งประเภทแล้ว มีเพียง 2 ประเภท คือ รูปธรรมและนามธรรม หรอื กายกับ จิต ทง้ั สองอย่างน้มี อี ยู่จรงิ 5.4 นิกายพุทธตันตรยาน พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานในสมัยปลายราชวงศ์คุปตะ ในราวศตวรรษที่ 6-7 ได้รับเอาลัทธิ ตันตระของฮินดูเข้ามาปะปนในพระพุทธศาสนา เรียกว่า พุทธตันตรยาน มันตรยาน รหัสยาน คุยหยาน สหัชยาน หรือ วัชรยาน เรียกอีกอย่างว่า ลัทธิตันตระ จุดประสงค์ก็ต้องการจะแข่งกับฮินดูทำให้ ประชาชนหันกลับมานับถือเป็นจำนวนมาก เพราะตรงกับกิเลสของชาวบ้าน แต่พอถึงพุทธศตวรรษที่ 10 จึงได้ประกาศตัวออกมาอย่างชัดเจน ผู้ก่อต้ังคือ พระไวโรจน์พุทธเจ้า ต่อมาพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ได้ รวบรวมไว้ และได้บรรจุคำสอนไว้ในเจดีย์เหล็กของอินเดียใต้ ต่อมาท่านนาครชุนได้เปิดกรุพระธรรม ลึกลับน้ี แล้วประกาศแก่ชาวโลกและถ่ายทอดแก่ท่านนาคโพธิ ในราวพุทธศตวรรษที่ 11 ต่อมาท่านนาค โพธิได้ถ่ายทอดใหแ้ ก่ทา่ นศุภกรสงิ หะทำการเผยแผน่ กิ ายน้สี บื ต่อมา หลกั คำสอนที่สำคัญ คัมภีร์ทส่ี ำคัญของนกิ ายนส้ี ่วนใหญบ่ ันทึกเป็นภาษาสันสกฤตแปลเปน็ ภาษาจีนจำนวนมาก และที่ สำคัญมอี ยู่ 3 คัมภรี ค์ อื 1) มหาไวโรจนสูตร 2) วชั รเสขสูตร และ 3) อรรถกถามหาวโรจนสูตร หลักปรัชญาของนิกายน้ีเป็นแบบเดียวกับมหายาน แต่มีวิธีการหรืออุปายตา่ งออกไป โดยมีการใช้ ญาณทัศน์ และโยคะอื่น ๆ เข้ามา การฝึกเหล่าน้ีได้อิทธิพลจากลัทธิตันตระของศาสนาฮินดู วัชรยานใน ทิเบตกอ่ ต้ังโดยท่านปัทมสัมภวะ (เกิดในดอกบัว) เปน็ ผู้สอนนิกายมนตรยานในธิเบต โดยการอุปถัมร์ของ พระเจ้าถิสรองเดดสันแห่งธิเบต เมื่อปี พ.ศ. 1290 มีการจัดให้มีนักบวชลามะขึ้นและแพร่หลายในแคว้น อุทยานและกาศมีระ ตลอดจนนำเอาพิธีเซ่นพลี ยักษ์ ปีศาจตามความเช่ือของลัทธิบอน อันเป็นลัทธิ ด้ังเดิมของธิเบตเข้ามาผสมกลมกลืนกลับหลักธรรมของนิกายมนตรยานหรือวัชรยานนี้ ในธิเบตอีกด้วย เหตุผลที่ช่ือว่า วัชรยาน เพราะเช่ือวา่ เป็นยานพาหนะอันเป็นเพชรที่สามารถตัดกิเลสได้อย่างสิ้นเชิง และ ที่ชื่อว่า ตันตระ เพราะหมายถึง ความสืบเนื่องแห่งจิตวัญญาณ แต่เม่ือพูดถึงตันตระ มักหมายเอา คุยหมนตร์ ซ่ึงเป็นมนต์ลี้ลับที่ไม่มีการเขียนหรือพิมพ์ แต่สืบทอดจากครูอาจารย์โดยตรง เรียกว่า อภิเษก ชาวธิเบต มีความเคารพรักท่านปัทมสัมภวะมาก ถึงกับบูชายกย่องให้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ท่ี 2 และให้มี รปู บูชาของทา่ นในวัดธิเบตทุกวดั ขนานนามรปู บชู านัน้ ว่า พระผู้ควรบชู าแปดรปู กาย เลยทีเดียว ยุคแรกนักบวชในนิกายนี้ไม่เรียกว่าภิกษุ เรียกว่า มหาสิทธา มักอยู่ตามป่า ต่อมาในราวพุทธ ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา ไดเ้ กิดแตกแยกสาขาออกไปอีก 2 คือ 1) ทักษิณจารี พวกน้ียงั ประพฤติตามพระ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 127 ธรรมวนิ ัย เพราะถอื ว่ายงั เป็นพระภิกษุทปี่ ระพฤติพรหมจรรย์ และ 2) วามจารี พวกนี้ไมร่ ักษาพรหมจรรย์ มีลักษณะเป็นหมอผี คืออยู่ในป่าช้าใช้กะโหลกผีเป็นบาตร และมีภาษาเรียกกั นเฉพาะ เรียกว่า สนธยาภาษา พวกนี้ถือการเสพกามคุณเป็นการลุวิโมกข์ มีการสร้างให้พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มี ศักดิกล่าวคือ ชายาคู่บารมี นั่นเอง จะเห็นได้ว่า มีพระพุทธรูปปางอุ้มกอดศักดิ โดยอ้างว่า การบรรลุ นิพพานต้องทำธุชายธาตุหญิงมาสมานกัน ธาตุชายเป็นอุบาย ธาตุหญิงเป็นปรัชญา เพราะฉะนั้น อุบาย บวกปรัชญาได้ผลคือพระนิพพาน พวกทักษิณจารีตีความให้เป็นธรรมว่า สัญลักษณ์เหล่านี้ จะถือตรงตัว ไม่ได้ เช่น ในคัมภีร์สนธนมาลาของท่านอนังควัชระ ศิษย์คนหนึ่งในนิกายนี้ กล่าวว่า สาธุควรได้รับการ บำเรอจากสตรีเพศ เพื่อให้เสวยมหามธุรา ซึ่งข้อความนี้เป็นสนธยาภาษา จะต้องไขความว่า สตรีเพศใน ที่น้ีท่านให้หมายเอาปัญญา สาธุเป็นเพศชาย จะต้องสร้างอุบายเพ่ือร่วมเป็นเอกีภาพ แล้วจะเข้าถึงพระ นิพพาน แต่พวกวามจารีไม่กล่าวเช่นน้ัน กลับถือเอาตรงตามตัวอักษร และสอนว่า ผู้ใดมอบสตรีให้สิทธะ จะได้กุศลแรงและยังตีความอักษร ม. 5 ตัว อันเป็นกรรมวิธีทางโยคะอย่างหนึ่งของนิกายมตรยานคือ สอนว่า สิทธะควรได้รับการบำรุงจาก 1) มัสยา ปลา 2) มางสะ เน้ือ 3) ไมรยะ น้ำเมา 4) มุทรา ย่ัวให้เกิด กามราคะกำหนดั และ 5) ไมถุนะ เสพเมถนุ แต่พวกทักษิณจารีตคี วาม ม. 5 ตัว วา่ หมายถงึ ปัญจขนั ธ์ 5 จนกระทั่งราว พ.ศ. 1400 จึงแพร่เข้าสู่มหาวิทยาลัยทางพุทธศาสนาในยุคน้ัน คือ มหาวิทยาลัย นาลันทาและมหาวิทยาลัยวิกรมศิลาวัชรยานเส่ือมจากอินเดียเมื่อราว พ.ศ. 1700 ซ่ึงเป็นผลสืบ เน่ืองมาจากการรุกรานอินเดียของชาวมุสลิม ทำให้ขาดผู้อุปถัมภ์พุทธศาสนา วัชยานได้แพร่หลายไปสู่ ทิเบตและกลายเป็นพุทธศาสนานิกายหลักที่นน่ั บางส่วนได้แพร่หลายต่อไปยังจีนและญ่ีปุ่นเกิดเป็นนิกาย เชนเหยน หรอื มีจ่ ุงในจนี และนกิ ายชนิ กอนในญีป่ ุ่น นิกายนี้มีความเห็นว่าลำพังเน้ือแท้ของธรรมะ ยากที่ประชาชนจะเข้าถึงได้ง่าย ๆ จึงคิดแก้ไขให้ เหมือนศาสนาฮินดู มีการปลุกเสกลงเลขยันต์ ร่ายเวทมนต์ อาคมขลัง สะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา เสริม บารมี คือถือหลักอาคมมนต์ขลังเป็นสิ่งสำคัญ จนแทบจะไม่เหลือหลักธรรมแท้ ๆ อยู่เลย อรรถกถา มหาวโรจนสูตร สุดท้ายกย็ ังรบั หลกั 5 ม. ของตนั ตระเข้ามาใช้ประพฤตปิ ฏิบตั อิ ย่างเตม็ ตัวดงั กลา่ วแลว้ น้ัน โดยอธิบายว่า ส่ิงเหล่านี้เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้บรรลุนิพพาน และเป็นเพียงมายา ผู้ท่ีหวังต้องการไป นิพพานต้องหาความสำราญในเรื่องเหล่าน้ี เม่ือเสพสุขความสำราญจนเต็มที่ถึงท่ีสุด จะเกิดความเบื่อ หน่ายไปเอง คนที่ไม่ได้ผ่านสิ่งเหล่าน้ีมาจะไม่อาจบรรลุนิพพานได้ เพราะจิตใจยังมีความลังเลสงสัย บาง แห่งก็นำสตรีมาบูชาพระปลดเปล้ืองเสื้อผ้า ทำการร่ายรำ บางแห่งหนักไปกว่าน้ัน มีการแสดงอนาจารต่อ หน้าพระสงฆด์ ้วย เน่ืองจากนิกายน้ถี ือคาถาอาคมเปน็ สำคญั จงึ มสี งิ่ เหล่าน้ีเกิดขน้ึ ตามมาดงั นี้ 1. พระอาทิพุทธ คือพระพุทธเจ้า เป็นประธานในสากลโลก เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง เป็นภาคหนึ่ง ของพระอาทิพุทธท่ีแบ่งภาคลงมา พระปฏิมาจะอยู่ในรูปพระทรงเครื่องมีเครื่องประดับมากมาย นี่คือจุด กำเนดิ ของพระพทุ ธรูปทรงเครอ่ื ง โดยมีจุดกำเนดิ จากนิกายน้ีเอง
128 2. พระธยานพิ ุทธะ 5 พระองค์ คือ พระไวโรจนพุทธะ พระอักโษภยพุทธะ พระอโมฆสิทธพิ ุทธะ พระอมิตาภพุทธะ และพระรัตนสมภาพพุทธะ สีพระวรกายของพระธยานิพุทธะทั้ง 5 พระองค์ คือ สเี หลอื ง สเี ขียว สแี ดง สีน้ำเงนิ และสีแสด ตามลำดบั 3. พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มีปางดุ ปางโกรธ และปางดใี จ ในทำนองเดยี วกับเทพเจ้าของ ชาวฮินดู แต่ไม่ใช่ดุหรือโกรธจริง ๆ เป็นเพียงมายา ลักษณะที่พระองค์เนรมิตขึ้นมาเพ่ือปราบมาร ทำนอง หนามยอกเอาหนามบ่ง การจะปราบอันธพาลจะปราบด้วยความใจดีอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีอำนาจบังคับ เด็ดขาด จงึ จะสำเรจ็ ได้ 4. ธารณี เป็นการบัญญัติให้มีมนต์ประจำองค์พระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ท้ังหลาย สั้นบ้าง ยาวบ้าง มนต์แต่ละบทล้วนมีอานุภาพมาก มีความขลังเป็นอย่างมาก เช่น สวดจบเดียวจะได้รับอานิสงส์ เป็นพระอินทร์หลายร้อยชาติ หรือเพียงเขียนมนต์ลงในผืนผ้าแขวนเอาไว้ ใครเดินลอดจะได้รับอานิสงส์ ทำใหบ้ าปท่ที ำมา 90 กลั ปส์ ญู หายในบดั ดล เชน่ โอม มณี ปทฺเม หุมฺ (โอม ดวงแก้วเกิดในดอกบัว) เปน็ ตน้ 5. บัญญัติมุทระ เป็นเคร่ืองหมายต่าง ๆ มีการกรีดนิ้ว ยกมือ ดุจปางพระพทุ ธรูป มีมากมายเป็น ร้อยภาคหรือร้อยปาง โดยเชื่อว่า อาการเหล่านี้เป็นเคร่ืองหมายของอำนาจล้ีลับ เช่น ผู้ภาวนาด้วยการ ตรึกถึงพระพระโพธสิ ตั ว์องค์ใดองค์หน่งึ ต้องทำมุทระตามปางของพระโพธสิ ัตวอ์ งคน์ ้นั มุทระทีส่ ำคัญ เช่น สมาธมิ ุทระ อภัยมุทระ วิตักกมทุ ระ และภมิสมั ผสั มุทระ เปน็ ตน้ 6. บัญญัติมฑทลบูชา หรือท่ีเรียกันว่า มนตรเวที เช่น ก่อนทำพิธีใด ๆ ต้องมีเครื่องบูชาตาม จำนวน จะต้องจัดบริเวณพิธดี ้วยอุปกรณอ์ ยา่ งน้นั อย่างนี้ เช่น มณฑลบูชา จะเห็นได้จากพธิ ีพุทธาภิเษกใน เมืองไทย ซึ่งไดร้ ับอิทธิพลมาจากนกิ ายน้ีน่นั เอง (สขุ พฒั น์ อนนท์จารย์, 2551, หน้า 241-381) ลักษณะหรือสัญลักษณ์ดังกล่าวมาท้ัง 6 ประการน้ัน ปัจจุบันมีให้พบเห็นเป็นจำนวนมากในทุก แห่งโดยเฉพาะนกิ ายมหายานสายธเิ บต จีน เป็นต้น ดังนั้น จึงกล่าวสรปุ สนั้ ๆ ไดว้ ่า นกิ ายพทุ ธตันตรยาน หรือ มันตรยาน ได้นำหลกั ธรรมในศาสนาฮินดูเข้ามาผสมผสานกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ปรับปรุงให้ถูกใจปุถุชนสามัญทั่วไป เพ่ือสนองกิเลสของชาวบ้าน เน้นพิธีกรรม เวทมนต์ คาถา อาคม สัญลักษณ์ พิธีปลุกเสก ลงเลขยันต์ มากกว่าคำสอน โดยพระสงฆ์ทำหน้าที่เหมือนพราหมณ์ในการ ประกอบพิธี ซึ่งนิกายนี้ได้แผ่อิทธิพลมาจนถึงประเทศไทยด้วยแม้กระท่ังปัจจุบันที่มีพิธีกรรมมากมายของ พระสงฆไ์ ทยกล็ ้วนมีจุดกำเนดิ มาจากนกิ ายนี้น่ันเอง 6. สรุปทา้ ยบท นิกายในพระพุทธศาสนาท่ีเกิดข้ึนมากมายดังกล่าวแล้ว ล้วนเกิดจากความไม่เสมอกัน 2 ประการ คือ ทิฏฐิสามัญญตา และศีลสามัญญตา โดยจุดกำเนิดของความแตกแยกน้ีมีเคล้ามาต้ังแต่คราวปฐม สังคายนา พระสงฆ์ได้มีความคิดเห็นไม่ตรงกันในด้านพระวินัยเพียงเล็กน้อยเท่าน้ันในยุคเริ่มต้น ต่างยึดทิฏฐิของฝ่ายตนเป็นสำคัญ โดยต่างฝ่ายต่างอ้างว่าได้ยินได้ฟังมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธองค์
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 129 เรม่ิ แตกเปน็ 2 นกิ ายหลัก ๆ คือ นกิ ายเถรวาทดั้งเดิม มีพระมหากัสสปะเปน็ ประธานองค์ปฐม และนิกาย มหาสงั ฆิกะของพวกภกิ ษวุ ัชชบี ตุ ร ความขดั แย้งดงั กล่าวได้ปรากฏชัดข้ึนเรอ่ื ย ๆ ในคราวสงั คายนาคร้ังท่ี 2 และ 3 อันมีสาเหตุมาจากวัตถุ 10 ตามหลักฐานฝ่ายบาลี หรือ ทิฏฐิ 5 ประการของมหาเทวะตาม หลักฐานฝ่ายสันสกฤต ต่อมาเกิดจากการตีความพระธรรมวินัยของนิกายมหายานเป็นการเฉพาะ ซึ่งส่วน ใหญ่นำพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์มาอธิบายในแง่อภิปรัชญา บางพวกยกย่องพระอภิธรรมเหนือ พระสูตร แต่บางพวกกลับมองว่าพระสูตรและพระวินัยสำคัญกว่า มีการโต้แย้งลงมติไม่เห็นด้วยกับการ ตีความในหลักธรรมเหล่านั้นจากฝา่ ยเถรวาท เป็นสว่ นใหญ่และมีมติเห็นด้วยเพียงเล็กน้อยเท่าน้ันดังกลา่ ว แลว้ ในเบื้องตน้ ต่อมาเถรวาทได้แตกออกไปเป็นนิกายมหิสาสกวาทและนิกายของวัชชีบุตร ในกาลต่อมานิกาย มหิสาสกวาทได้แตกออกไปอีก 2 นิกายคือนิกายสรวาสติกวาทหรือสัพพัตถิกวาท และธัมมุตตวาท ต่อมา ท้ังสองนิกายก็แตกออกไปตามลำดับคือ นิกายสรวาสติกวาทแตกออกเป็นนิกายกัสสปิกวาท จากกัสสปิก วาทก็แตกออกเปน็ นิกายสังกันตวิ าทและนกิ ายสุตตวาท หลงั จากนัน้ นิกายสังกันติวาทก็แตกออกเป็นธรรม คุตตวาทตามลำดับ แต่การแตกนิกายของนิกายต่าง ๆ ดังกล่าวมาต่างมีหลักฐานท่ีแตกต่างกันระหว่าง ปกรณ์ฝา่ ยบาลแี ละสนั สกฤตมีรายละเอยี ดดังกล่าวไวแ้ ล้วในเบอ้ื งตน้ นนั้ ส่วนการแตกนิกายของวัชชีบตุ รมี 2 ทศั นะคอื 1) มองว่านิกายภัทรยานกิ วาทได้แตกมาจากนกิ าย วชั ชีบุตรแลว้ แตกออกเป็นนิกายฉันนาคาริกวาท แลว้ นิกายฉันนาคาริกวาทได้แตกออกเป็นนิกายสมติ ิวาท ตามลำดับ 2) มองว่า นิกายวิชชีปุตตวาทนี้แตกนิกายออกไปอีก 4 นิกายได้แก่ 1) นิกายธัมมุตตริกวาท 2) นกิ ายภัทรยานิกวาท 3) นิกายฉันนาคาริกวาท และ 4) นกิ ายสมติ ิยวาท รวมเปน็ 12 นิกาย ตามปกรณ์ ฝ่ายบาลี ได้แตกออกเป็น 17 นิกาย ตามปกรณ์ฝ่ายสันสกฤต (ในท่ีนี้ไม่ได้สรุปการแตกนิกายตามปกรณ์ ฝ่ายสนั สกฤต ดแู ผนผังหน้า 104 ประกอบ) นิกายมหาสังฆิกะได้แตกออกเป็นนิกายเอกวยหาริกวาท นิกายโลโกตรวาทิน นิกายโคกุลิกะ นิกายพหุศรุติยะ นิกายปรัชญาปติวาทิน นิกายไจติยคีรี นิกายอปรเสลิยะ (ได้แตกย่อยเป็นอุตรเสลิยะอีก ต่อหนึ่ง) นิกายอุตตระปถะ และนกิ ายเวตุลลกะตามลำดับ ส่วนการแตกของแต่ละนกิ ายตา่ งมีรายละเอียด ปลีกยอ่ ยไปดงั กล่าวแลว้ ในเบือ้ งตน้ นนั้ การนับนิกายของมหาสังฆิกะหรือมหายานน้ัน ถ้านับตามปกรณ์ฝ่ายสันสกฤต ได้แตกออกเป็น 9 นิกาย แต่ถ้านับรวมมหาสังฆกะและมหายานด้วย รวมเป็น 15 นิกาย ถ้านับตามปกรณ์ฝ่ายบาลี นับรวม เป็น 4 นิกาย แต่ถ้านับรวมมหาสังฆกะและมหายานด้วย รวมเป็น 6 นิกาย (ในที่น้ีไม่ได้สรุปการนับตาม ปกรณ์ฝ่ายบาลี ดูแผนผังหน้า 113 ประกอบ) ซง่ึ การนับนิกายน้ีอาจมีความคลาดเคล่ือนอยบู่ ้าง เนือ่ งจาก มีการตคี วามแตกต่างกันออกไป แม้กระทงั่ การนับพุทธศกั ราชของเถรวาทและมหายานยังมีความแตกต่าง กัน โดยเถรวาทนับเป็นพุทธศักราชท่ี 1 หลังพระพุทธองค์ปรินิพานไปแล้ว 1 ปี แต่มหายานนับเป็น
130 พุทธศักราชที่ 1 ต้ังแต่วันปรินิพพานของพระพุทธองค์ นบั เป็นพทุ ธศกั ราชที่ 2 หลงั พระพทุ ธองคป์ รินิพาน ไปแล้ว 1 ปี ดังน้ัน จึงเป็นเรื่องธรรมดาทีก่ ารนบั เรอื่ งอื่น ๆ จึงมกี ารคลาดเคลอื่ นดว้ ยเช่นเดยี วกัน แต่จากการศึกษาพบว่า พระสงฆ์ทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งเผยแผ่คำสอนของพระพุทธองค์ให้ เจริญรุ่งเรืองมาจนถึงปัจจุบัน มีจุดมุ่งหมายสูงสุดอย่างเดียวกันคือ เพ่ือทำให้แจ้งซ่ึงพระนิพพาน อันเป็น ทางพ้นทกุ ข์ เปรียบเสมือนปีกสองข้างของนก จะขาดขา้ งใดขา้ งหน่ึงเสยี ไม่ได้
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 131 คำถามทา้ ยบท 1. วิเคราะห์สาเหตุของการแตกนิกายท้ังนิกายเถรวาทและนิกายมหายานในวาระต่าง ๆ ยกตวั อย่างประกอบคำอธิบาย 2. ให้นักศึกษาเลือกหลักธรรมท่ีสำคัญของนิกายเถรวาท เช่น หลักธรรมที่สำคัญของนิกาย มหิสาสกวาท ของนิกายวัชชีปตุ ตกวาท เป็นตน้ มาอภปิ รายพอสังเขปตามทัศนะของนกั ศึกษา 3. ให้นักศึกษาเลือกหลักธรรมท่ีสำคัญมาหนึ่งหลักธรรม เช่น ปรัชญาศูนยวาท ปรัชญาอาลย วิญญาณ เป็นต้น ของนิกายมหายาน (หน้า 109-114) มาอภิปราย หรือ ทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบ ตามท่ีนักศึกษาเข้าใจ 4. ท่านคิดว่า หลักการสำคัญของนิกายมหายานหลักการใดต่อไปน้ี 1) อุดมคติของมหายาน เกีย่ วกบั โพธสิ ตั ว์ภมู ิ 2) หลกั ตรีกาย และ 3) หลกั ตรยี าน เป็นหลกั การทส่ี ำคัญทสี่ ดุ เพราะเหตใุ ด? 5. นิกายเถรวาทและมหายานมีความสำคัญและคุณค่าต่อสังคมอย่างไร? อภิปรายพอสังเขปตาม ทศั นะของนักศกึ ษา 6. จงวิจารณ์หลักธรรมของนิกายพุทธตันตรยานว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร ในมุมมองของนักศึกษา ยกประเด็นมาวจิ ารณต์ ามท่ีเห็นสมควร
132 เอกสารอา้ งองิ ประจำบทท่ี 4 ประยงค์ แสนบุราณ. (2548). พระพทุ ธศาสนามหายาน. กรุงเทพฯ: สำนักพมิ พโ์ อเดียนสโตร์. พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ). (2548). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา (พิมพ์คร้ังท่ี 5). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . ฟนื้ ดอกบวั . (2554). ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. กรุงเทพฯ: ศลิ ปาบรรณาคาร. สขุ พัฒน์ อนนท์จารย์. (2551). เอกสารประกอบการสอนวิชาพระพุทธศาสนามหายาน. เลย: คณะศาสนา และปรัชญา วิทยาลัยศาสนศาสตร์ศรีล้านช้าง วิทยาเขตศรีล้านช้าง มหาวิทยาลัยมหามกุฏราช วทิ ยาลัย. สุมาลี มหณรงค์ชัย. (2556). พทุ ธศาสนามหายาน. กรงุ เทพฯ: สำนกั พิมพ์ศยาม. เสถียร โพธินันทะ. (2522). ปรัชญามหายาน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพบ์ รรณาคาร. เสถยี ร โพธินันทะ. (2543). ประวตั ศิ าสตร์พระพทุ ธศาสนา. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพม์ หามกฏุ ราชวิทยาลัย. อภิชัย โพธิ์ประสิทธศ์ิ าสตร์. (2539). พระพุทธศาสนามหายาน (พิมพ์คร้ังท่ี 4). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาม กฏุ ราชวทิ ยาลัย.
แผนบรหิ ารการสอนประจำบทท่ี 5 บทท่ี 5: พทุ ธศาสนาในประเทศไทยและตา่ งประเทศ เน้อื หาประจำบท 1. บทนำ 2. พระพุทธศาสนาสมัยทวาราวดี 3. พระพุทธศาสนาสมยั อาณาจักรอา้ ยลาว 4. พระพุทธศาสนาสมัยลพบุรี 5. พระพุทธศาสนาสมัยพกุ าม 6. พระพุทธศาสนาสมัยล้านนา 7. พระพุทธศาสนาสมยั สโุ ขทัย 8. พระพุทธศาสนาสมยั อยุธยา 9. พระพุทธศาสนาสมยั ธนบรุ ี 10. พระพทุ ธศาสนาสมัยรัตนโกสนิ ทร์ 11. พระพุทธศาสนาในพม่า 12. พระพุทธศาสนาในลาว 13. พระพทุ ธศาสนาในเวียดนาม 14. พระพุทธศาสนาในกมั พชู า 15. พระพทุ ธศาสนาในเอเชียเอเชยี กลาง 16. พระพุทธศาสนาในประเทศจีน 17. พระพุทธศาสนาในเกาหลี 18. พทุ ธศาสนาในญี่ปนุ่ 20. พระพทุ ธศาสนาในโลกตะวันตก 21. สรุปท้ายบท คำถามทา้ ยบท เอกสารอ้างอิงประจำบทที่ 5
134 จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. นักศึกษาสามารถวิเคราะห์เนื้อหาสำคัญ ๆ ด้วยการรวบรวม เรียบเรียงเนื้อหาสำคัญใน บทเรียนด้วยกราฟิกต่าง ๆ เช่น แผนภูมิ แผนที่ความคิด เป็นต้นและถา่ ยทอดเนือ้ หาด้วยภาษาของตนใน การนำเสนอหนา้ ชัน้ เรียนได้ 2. นักศึกษาสามารถอภิปราย ถาม-ตอบ ตีความเนื้อหานั้น ๆ ได้ และประยุกต์ใช้ในชีวติ ได้อย่าง ถกู ต้องเหมาะสม 3. นักศึกษาสามารถแสวงหาความรู้ด้วยการค้นคว้าข้อมูลสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อ การศึกษา นำมาเขียนรายงาน บรรยาย และนำเสนอเนอื้ หาดว้ ยตนเองได้ กิจกรรมการเรยี นการสอน 1. บรรยาย/อภิปราย/มอบหมาย/แบ่งกลุ่มนักศึกษาให้รับผิดชอบในการวิเคราะห์ด้วยการ รวบรวม และเรยี บเรยี งเน้อื หาสำคญั ๆ ด้วยกราฟกิ ต่าง ๆ เชน่ แผนภมู ิ, แผนท่คี วามคดิ เปน็ ต้น ดว้ ยการ ใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมการเรียนการสอนออนไลน์ เช่น Excel 1 (กระดาษแผ่นเดียว), Google Sites, XMind2020, Canva เป็นต้น นำข้อมูลที่ได้มาถ่ายทอดเนื้อหาดว้ ยภาษาของตนในการเขียนรายงานและ นำเสนอหน้าช้นั เรยี น 2. นักศกึ ษาฟังการบรรยาย/จดบนั ทึกสรุปเน้ือหา/ฝกึ ตัง้ คำถาม/ฝึกตอบ/ฝึกอภิปรายในชน้ั เรยี น 3. ศึกษาจากเอกสารประกอบการสอน/ค้นคว้าเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจากหนังสือ/ห้องสมุด และเวบ็ ไซต/์ ตอบคำถามท้ายบท/ทดสอบ Pretest และ Posttest ส่อื การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน/PowerPoint/Ebook 2. แบบเรียนออนไลน์/โปรแกรมการสอนออนไลน์ เช่น Google Classroom, Google Sites, Google forms, Google Meet, Zoom Cloud Meeting, Microsoft Teams, XMind2020, Canva,TeamLink เป็นตน้ การวดั ผลและการประเมนิ ผล 1. ประเมินคณุ ธรรมจริยธรรมโดยใช้แบบ Checklist การตรงเวลาในการเข้าชั้นเรียน การส่งงาน ที่มอบหมาย และการอ้างอิงผลงานคนอื่น และใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการมีจิตสาธารณะในการทำ กจิ กรรมทงั้ ในและนอกห้องเรยี น 2. ประเมินความรู้และทักษะทางปัญญา โดยการทดสอบ Pretest และ Posttest/ตอบคำถาม ท้ายบท/การวิเคราะห์ด้วยการรวบรวมและเรียบเรียงเนื้อหาสำคัญ ๆ ด้วยกราฟิกต่าง ๆ เช่น แผนภูมิ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 135 แผนที่ความคิด เป็นต้น ด้วยการใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมการเรียนการสอนออนไลน์ นำข้อมูลที่ได้มา ถา่ ยทอดเนอ้ื หาด้วยภาษาของตนในการเขียนรายงานและนำเสนอหน้าช้ันเรยี น 3. ประเมินทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ และทักษะการวิเคราะห์เชิง ตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยใช้แบบ Checklist จากการอภิปราย/การแสดง ความคิดเห็น/การถาม-ตอบ/การวิเคราะห์เนื้อหาที่เรียน/การสรุปเนื้อหา/การส่งงานใน Google Classroom/การนำเสนอหน้าชัน้ เรยี น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331