Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 00.BU5001-ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา-อ.สุดใจ

00.BU5001-ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา-อ.สุดใจ

Published by sudjaipookonglee, 2021-08-20 10:38:39

Description: 00.BU5001-ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา-อ.สุดใจ

Keywords: ประวัติศาสตร์ พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า วิเคราะห์พุทธประวัติ

Search

Read the Text Version

286 ทคุ ติภูมิ มีนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน หรือไปเกิดในสุคติภูมิ มีมนุษย์ เทวดา พรหม ก็ได้ การ ท่ีไปเกิดในภูมิต่าง ๆ ก็เพราะมนุษย์ ตลอดท้ังสัตวท์ ั้งหลายมีกิเลส เมื่อมีกิเลส จึงเป็นเหตุให้ทำกรรม เม่ือ ทำกรรมจึงได้รับวิบากกรรมหรือผลของกรรมน้ัน แล้วก็เกิดกิเลสอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ ดุจเดินรอบวง เวียนไม่ไปถึงไหน เดินไปไม่มีท่ีสิ้นสุด จนกว่าจะสิ้นกิเลส จึงจะเข้าสู่นิพพาน ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ต่อไป ดังน้ัน นิพพานจึงเป็นจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา เม่ือใครเข้าถึงแล้ว จะไม่ต้องเกิดแก่เจ็บ ตาย หยุดการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ไม่มีทุกข์กาย ทุกข์ใจอีกต่อไป นิพพานเป็นโลกุตร อยู่เหนือ สมมุติ อยู่เหนือกระแสโลก ยากทจ่ี ะพรรณนาใหเ้ ข้าใจงา่ ย ๆ ได้ แต่ก็เป็นสภาวะทมี่ ีอยู่ ไม่ได้สูญส้นิ วญิ ญู ชนพงึ เห็นได้เฉพาะตน 2.3 พธิ ีกรรมที่สำคญั พิธีกรรมในพุทธศาสนา เป็นองค์ประกอบหน่ึงของศาสนาเป็นกิจกรรมเช่ือมโยงระหว่างผู้ปฏิบัติ กับความจริงหรือธรรมในศาสนาพิธีกรรม นอกจากจะเป็นเร่ืองความผูกพันระหว่างศาสนิกชนกับศาสน ธรรมแลว้ ยงั เป็นการแสดงออกซง่ึ ความหมายในศาสนาดว้ ย พิธีกรรมทส่ี ำคญั ในศาสนาพุทธ แบ่งออกเปน็ 4 ประเภทใหญ่ ๆ ดงั นี้ 1) สังฆกรรม คือ พิธีกรรมเกี่ยวกับวินัยสงฆ์โดยเฉพาะและดำเนินการทำพิธีโดยเฉพาะพระสงฆ์ เท่าน้ัน ฆราวาสไม่ได้ร่วมด้วยพิธีนี้ ฆราวาสจะมีส่วนร่วมในส่วนอื่นท่ีไม่ใช่สังฆกรรม เช่น พิธีบรรพชา อุปสมบท พธิ เี ขา้ พรรษา พธิ ีออกพรรษา 2) งานมงคล เป็นพิธีทำบุญในงานมงคลต่าง ๆ พระสงฆ์และฆราวาสดำเนินการร่วมกันเพ่ือให้ เกิดความเปน็ สิริมงคลแก่ชีวติ มกี ารตงั้ บาตรน้ำมนต์ด้วย เช่น พิธีทำบุญงานมงคลสมรส พิธที ำบุญขึ้นบ้าน ใหม่ พธิ ีทำบุญวันเกิด พิธีทำบุญถวายสงั ฆทานพธิ ีทำบญุ ทอดกฐินผ้าป่า พธิ ีทำบญุ ตักบาตรวนั ขึน้ ปีใหม่ 3) งานอวมงคล เป็นพิธีทำบุญงานอวมงคล พระสงฆ์และฆราวาสดำเนินการร่วมกันเพื่ออุทิศ ส่วนกุศลแก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว และเพ่ือขจัดเสนียดจัญไร ประกอบด้วย 1) การทำบุญเกี่ยวกับศพ เช่น การสวดอภิธรรม การฌาปนกิจศพ การบรรจุศพ การทำบุญ 7 วัน 50 วัน และ 100 วัน เป็นต้น และ 2) การทำบุญขจัดเสนียดจัญไรเมื่อเกิดเหตุท่ีคนโบราณถือว่า ไม่เป็นมงคลในครอบครัว เช่น แร้งจับบ้าน หรือรงุ้ กินน้ำในบา้ น เปน็ ตน้ 4) พิธีบูชาในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นพิธีท่ีชาวพุทธต้องปฏิบัติร่วมกัน เช่น พิธีบูชา ในวนั มาฆบชู า พิธบี ูชาในวนั วสิ าขบชู า และพธิ ีบชู าในวันอาสาฬหบชู า พิธีกรรมข้อ 1 2 และ 3 เป็นพิธีกรรมท่ีชาวพุทธในประเทศไทยปฏิบัติกัน ส่วนชาวพุทธใน ประเทศอ่ืนอาจจะปฏิบัติแตกต่างกันไป เพราะพิธีกรรมนี้เก่ียวข้องกับประเพณีท้องถิ่นซึ่งยากท่ีจะแยก ออกจากกันได้

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 287 ส่วนพิธีกรรมในข้อ 4 เป็นพิธีกรรมท่ีพุทธบริษัท คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั่วโลกต้อง ปฏบิ ัติรว่ มกัน ปฏบิ ัตเิ หมือนกันในวันและเวลาเดยี วกนั ถอื ว่าพิธีน้เี ป็นสากลสำหรบั ชาวพทุ ธซ่งึ จะได้กล่าว ในรายละเอียดของแตล่ ะพิธีต่อไปดงั น้ี 1) พิธีบูชาในวนั มาฆบูชา พธิ ีนีจ้ ะปฏิบตั ิกันในวนั เพ็ญขึน้ 15 คำ่ เดือน 3 กจิ กรรมทีป่ ฏบิ ัติ มีดังน้ี • ประดบั ธงธรรมจักรท่วี ดั สถานทรี่ าชการ และอาคารบ้านเรือน • ทำบุญตักบาตรที่วัด • ฟังเทศนฟ์ งั ธรรมทีว่ ดั • เวียนเทียนรอบปูชนียสถาน 3 รอบ การเวียนเทียนนี้ปฏิบัติกันได้ทั้งวันต้ังแต่เช้าถึง เย็น ผู้ท่ีมาเวียนเทียนจะมาเปน็ กลุ่ม เช่น ส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ นักเรียน และ ประชาชน แต่สว่ นมากจะปฏิบตั ิกนั เวลาเย็น การเวียนเทียนทุกคนจะถือเครื่องสักการะคือ ดอกไม้ ธูปเทียนเวลาเวียนเทียนจะจุดธูปเทียน เพอื่ บูชาคณุ พระพุทธเจา้ พระธรรมเจา้ และพระสังฆเจ้า ประวัติความเป็นมาของวันมาฆบูชาเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แลว้ เป็นเวลา 9 เดือน ขณะท่ีพระองค์ ประทับอยู่ ณเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ได้มีการประชุมพระสาวกครั้งใหญ่เรียกการประชุมคร้ังนี้ว่า จาตุรงคสันนิบาต คอื การประชุมมอี งค์ 4 ตอ่ ไปนี้ 1. วนั น้นั เปน็ วนั อโุ บสถ ข้นึ 15 ค่ำเดอื นมาฆะ 2. พระสาวก 1,250 องค์ มาประชมุ กนั เองโดยมิได้นดั หมาย 3. พระสาวกทง้ั หมดนลี้ ้วนเป็นพระอรหนั ต์ 4. พระอรหนั ต์สาวกเหลา่ นีเ้ ป็นผไู้ ด้รับการอปุ สมบทจากพระพุทธองค์เอง การประชุมครั้งน้ัน เป็นการประชุมใหญ่คร้ังแรกพระองค์เห็นว่าเป็นโอกาสอันเหมาะท่ีจะได้ ประกาศหลักพระพุทธศาสนาเพ่ือให้พระสาวกถือไปเป็นนโยบายในการประกาศพระศาสนา จึงได้ทรง แสดงโอวาทปาฏโิ มกข์ แปลว่า หลกั แห่งคำสอน โอวาทปาฏิโมกข์ทีพ่ ระองค์ทรงแสดงนั้น ถอื กันว่าเป็นหลกั หรือหวั ใจศาสนาพทุ ธเปน็ ภาษาบาลี 3 คาถา ซงึ่ พอจะจบั ใจความไดด้ งั นี้ \"ความอดทนคือ ความอดกล้ันเป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าท้ังหลายกล่าวว่า พระนิพพานเป็น ธรรมยอดเย่ียม บุคคลผู้ทำร้ายผอู้ ื่นหาได้เป็นบรรพชิตไม่ ผู้เบยี ดเบียนผู้อื่นกไ็ มช่ ื่อว่าเป็นสมณะ การไม่ทำ บาปท้ังปวง การทำความดีให้สมบูรณ์ การชำระจิตใจให้ผ่องแผ้ว นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าท้ังหลาย การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้าย การสำรวมในวินัย ความรู้จักพอดีในเรื่องอาหารการนอนการนั่งในท่ีอัน สงบ การบำเพญ็ เพยี รทางใจ น้ีเป็นคำสอนของพระพทุ ธเจา้ ทัง้ หลาย\"

288 2) พิธีบูชาในวันวิสาขบูชา กระทำกันในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 มีพิธีปฏิบัติและกิจกรรม เหมือนกนั กับวันมาฆบชู า ประวัติความเป็นมาของพิธีบูชาวันวิสาขบูชาเน่ืองจากวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เป็นวันคล้ายวัน ประสูติ วันตรัสรู้ และวันปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ชาวพุทธท่ัวโลกจึงถือว่าวันนี้เป็นวันสำคัญทาง พระพุทธศาสนา และต่อมาหลังจากสมัชชาสหประชาชาติมีมติรับรองวันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากล เมื่อเดือนธันวาคม 2542 แล้ว ประเทศไทยได้จัดงานวันวิสาขบูชาในฐานะวันสำคัญสากลต้ังแต่ พ.ศ. 2543 ตลอดมาทุกปี และในปี 2547 ได้เร่ิมจัดกิจกรรมเนื่องในวันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลของ สหประชาชาติ ณ สำนักงานใหญอ่ งค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ในปี พ.ศ. 2548 และปีต่อ ๆ มา ได้มีมติมหาเถรสมาคมให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัยเป็นหน่วยงานหลัก โดยมีพระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นประธานคณะกรรมการดำเนินการจัดกิจกรรมนานาชาติ ในการจัดประชุม ชาวพุทธนานาชาติ เนอื่ งในวันวิสาขบชู าโลก มีกจิ กรรมกุศลในระดับสากลและภายในราชอาณาจักร ทั้งที่ พุทธมณฑล ศุนยป์ ระชุมสหประชาชาติ และมณฑลพิธีท้องสนามหลวง เฉพาะอย่างย่ิงงานใน พ.ศ. 2549 ที่ประชุมชาวพุทธนานาชาติ 42 ปี มีมติเห็นชอบลงนามในแถลงการณ์ร่วมในวันปิดประชุมที่ 20 พฤษภาคม 2548 ให้พุทธมณฑลเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก และให้จัดฉลองวันวิสาขบูชาโลกใน ประเทศไทยต่อไป โดยให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นองค์กรประสานงานและ ดำเนินการ (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต), 2552, หนา้ 176) 3) พิธีบูชาในวันอาสาฬหบูชา กระทำกันในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 มวี ิธีปฏิบัติและกิจกรรม เหมอื นวนั มาฆบชู า ประวัติความเป็นมาของพิธีบูชาในวันอาสาฬหบูชา คือเป็นวันท่ีพระพุทธองค์ทรงแสดงปฐม เทศนา คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสตู ร แกป่ ญั จวัคคีย์และเมื่อทรงแสดงธรรมจบแลว้ อญั ญาโกณฑัญญะซ่ึงเป็น หัวหน้าเหล่าปัญจวัคคีย์ได้ดวงตาเห็นธรรมพระพุทธองค์ทรงประทานอุปสมบทแก่อัญญาโกณฑัญญะเป็น คนแรกวนั น้ันจึงเป็นวันที่มีพระอริยสงฆ์อบุ ัตขิ ึ้นในโลกเป็นครง้ั แรกจงึ ทำให้พระรัตนตรัยครบบริบรู ณ์ท้ัง 3 ประการ คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ชาวพุทธท่ัวโลกจึงถือว่าวันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทาง ศาสนาพทุ ธอีกวนั หนง่ึ 2.4 สญั ลกั ษณข์ องพระพุทธศาสนา สัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนามีหลายอยา่ ง แต่มีสัญลักษณ์ทีเ่ ป็นทรี่ ูก้ ันโดยทัว่ ไปมีดงั น้ี 1) ธรรมจักร หมายถึง วงล้อแห่งพระธรรม ธรรมจักรใช้แทนหลักธรรมคือ มรรค 8 กล่าวคือ อริยสัจ 4 ซึ่งเป็นธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ธรรมจักรมี 8 ซี่ (8 ซ่ีล้อ) ได้รับการรับรองให้เป็น สัญลักษณ์แห่งพระพุทธศาสนาระดับชาติ และธงทางพระพุทธศาสนา 6 สี (ฉัพพรรณรังสี) ซ่ึงใช้อยู่ใน

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 289 ประเทศศรลี ังกาในขณะน้ีได้รบั รองให้ใช้เป็นธงแห่งพระพุทธศาสนาระดับชาติ แต่พทุ ธศาสนิกชนชาวไทย นิยมใชธ้ งธรรมจกั รพื้นสีเหลืองมากกว่า 2) พระพุทธรูป พระพุทธรูปนิยมสร้างขึ้นในอิริยาบถต่าง ๆ ไว้เคารพบูชาแทนองค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเสมือนสิ่งแทนคล้ายอนุสาวรีย์ ทำให้ผู้พบเห็นน้อมระลึกถึงพระคุณ คือ พระมหา ปัญญาธคิ ุณ พระมหากรณุ าธคิ ุณ และพระบริสุทธิคณุ ของพระพทุ ธองค์ 3) รอยพระพุทธบาท ในสมัยท่ียังไม่มีการสร้างพระพุทธรูป ชาวพุทธนิยมสร้างรอยพระพุทธ บาท ซ่ึงแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและร่องรอยแห่งความดีที่พระพุทธองค์ทรงประทับไว้เป็น แบบอยา่ ง 4) ใบโพธิ์หรือต้นโพธ์ิ เป็นต้นไม้ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ทรงอาศยั ร่มเงาในระหว่างเวลาที่ ทรงบำเพ็ญเพยี รและไดต้ รัสร้อู รยิ สจั ธรรม สำเร็จเปน็ พระสัมมาสมั พุทธเจา้ 2.5 ลักษณะเด่นของพระพุทธศาสนา ฟื้น ดอกบัว (2542, หน้า 5-12) กล่าวว่า พระพุทธศาสนามีคุณลักษณะเด่นแตกต่างจากศาสนา พราหมณ-์ ฮนิ ดู ศาสนาเชน และเจา้ ลัทธอิ น่ื ๆ หลายประการดังต่อไปนี้ 1) เป็นศาสนาแห่งอเทวนิยม คือ ไม่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและสรรพส่ิง ตลอดถึงชะตา กรรมของสรรพสัตว์ ไมเ่ ช่ือวา่ พระเจ้าสามารถดลบันดาลส่ิงท่ีตา่ ง ๆ ท่ีมนษุ ยป์ รารถนาหรือออ้ นวอนได้ แต่ มีความเช่ือว่าทุกสิ่งล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่เอื้อหนุนกัน โดยพระพุทธองค์ทรงสอนเร่ือง อิทัปปัจจยตา หรือปฏิจจสมุปปบาท หรือในพระอภิธรรมเรียกว่า ปัจจยาการ โดยมีใจความสำคัญว่า เพราะมีส่ิงนี้ จึงมี ส่ิงน้ี เพราะสิ่งน้ีเกิด สิ่งนั้นจึงเกิด เมื่อไม่มีสิ่งน้ี สิ่งนั้นก็ไม่มี เมื่อสิ่งน้ีดับ ส่ิงนั้นจึงดับ เช่น เพราะมีอวิชชา เป็นปัจจัย สังขารจงึ มี เพราะสังขารเป็นปัจจัย จงึ มีวญิ ญาณ เป็นต้นฯ เพราะอวชิ ชาสำรอกดับไปไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดัง วิญญาณจึงดับ เป็นต้น แต่จะเห็นว่าพระพุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มี เทวดา และสอนให้ทราบว่า เทวดาคือผู้ที่ได้ทำบุญกุศลไว้ในโลกนี้ เมื่อตายแล้วจึงได้ไปเกิดเป็นเทวดาได้ เสวยผลบุญกุศลท่ีตนได้ทำไว้นั่นเอง แต่เทวดาไม่ได้สร้างโลกและสรรพสิ่ง ไม่ได้กำหนดชะตากรรมของ สรรพสตั ว์ เพราะสรรพสัตว์ลว้ นมีกรรมเป็นของตน 2) เปน็ ศาสนาแห่งสจั ธรรม คือสอนให้ทราบวา่ ทุกอย่างล้วนเปน็ ความจรงิ ตามธรรมชาติ เรยี กว่า สภาวธรรม และเป็นความจริงตามกฎของธรรมชาติ เรียกว่า สัจธรรม ไม่ว่าพระพุทธองค์จะทรงอุบัติใน โลกน้ีหรือไม่ก็ตาม ธรรมนั้นก็มีอยู่ตามธรรมชาติเป็นกฎธรรมชาติ ไม่ได้เป็นส่ิงที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ ข้ึนมาใหม่เพือ่ สอนให้คนเชื่อในคำสอนของพระองค์ ดังทพ่ี ระองคไ์ ด้ตรสั ไว้ในสังยตุ ตนิกาย นทิ านวรรค ว่า “ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาทเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะ ชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ พระตถาคตท้ังหลายเสด็จอุบัติข้ึนก็ตาม ไม่เสด็จอุบัติข้ึนก็ตาม ธาตุอันนั้น คือ ธัมมฐิติ ธัมมนิยาม อิทัปปัจจัย ก็ยงั ดำรงอยู่ พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ย่อมตรัสรู้ท่ัวถึงซึ่ง

290 ธาตุอันนั้น ครนั้ แล้ว ย่อมตรัสบอก ทรงแสดง บัญญัติ แตง่ ตั้ง เปิดเผย จำแนกกระทำให้ต้ืน และตรัส วา่ ท่านทั้งหลายจงดู ดังนี้ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ ... เพราะภพเป็นปัจจัย จงึ มีชาติ ... เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ... เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ... เพราะเวทนาเป็น ปัจจัย จึงมีตัณหา ...เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ... เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ... เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ... เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ... เพราะสังขาร เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร พระตถาคตท้ังหลายเสด็จอุบัติขึ้นก็ ตาม ไม่เสด็จอุบัตขิ น้ึ กต็ าม ธาตอุ ันนน้ั คือ ธัมมฐิติ ธัมมนิยาม อิทัปปัจจัย ก็ยังดำรงอยู่ พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ย่อมตรัสรู้ท่ัวถึงซ่ึงธาตุอันน้ัน คร้ันแล้วย่อมตรัสบอก ทรงแสดง บัญญัติ แต่งต้ัง เปิดเผยจำแนก กระทำให้ต้ืน และตรัสว่า ท่าน ทั้งหลายจงดู ดังน้ี เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร ภิกษุท้ังหลาย ความจริงแท้ ความไม่ คลาดเคลอื่ น ความไม่เป็นอย่างอน่ื มูลเหตุอนั แนน่ อนในธาตุอนั นั้น ดงั พรรณนามาฉะนแ้ี ล เราเรียกว่า ปฏจิ จสมุปบาท” (สํ.น.ิ (ไทย) 16/61/25) ดงั นั้น เม่ือนำคำสอนดังกล่าวมาพิจารณาตามความเป็นจริงแล้ว คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธความจริง เหลา่ นี้ได้ เพราะทกุ คนลว้ นได้เผชญิ ความจรงิ เหล่าน้นั อยู่ในชีวิตประจำวันดว้ ยกันท้งั น้ัน ด้วยเหตุน้นั จงึ นับ ได้ว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์สามารถพิสูจน์ได้ เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่จำกัดกาลเวลา หากใคร ปฏิบัติ ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริงได้ ไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธหรือไม่ก็ตาม ทุกคนรู้เห็นได้ด้วยตนเอง เป็น ความจรงิ ตลอดกาล ทา้ พสิ ูจน์ได้ทุกเม่อื 3) เปน็ ศาสนาแหง่ ปัญญา คอื มนษุ ยข์ นึ้ ชือ่ ว่าเปน็ สตั ว์ประเสริฐเหนอื กว่าสัตวอ์ ืน่ ๆ เนื่องจากว่า มีปญั ญามากกวา่ สามารถเอาชนะสัตวอ์ ่ืน ๆ ทม่ี ีพละกำลัง รา่ งกาย ความไวทเ่ี หนอื กวา่ มนุษยไ์ ด้ เช่น เสือ ชา้ ง ม้า วัว ควาย เป็นต้น และความสามารถอ่ืน ๆ เช่น นกสามารถบินได้ ปลาสามารถว่ายได้ไวและนาน เปน็ ตน้ แตม่ นุษยใ์ ช้ปญั ญาสร้างเครอ่ื งมอื เทคโนโลยี เคร่อื งยนต์เพื่อเอาชนะสตั ว์ทงั้ หลายเหล่านนั้ และทำ ให้สัตว์เหล่านั้นมาอยู่ภายใต้อาณัตของตนได้ เช่น นำควายมาฝึกเพ่ือไถนา นำช้างมาฝึกเพ่ือขนไม้หรือ แสดงโชว์ นำลิงมาฝึกเพื่อเก็บมะพร้าว เป็นต้น สร้างเคร่ืองบินเพ่ือให้ตนเองได้บินได้เฉกเช่นกับนก แต่ ดกี ว่าเร็วกว่า สบายกว่า สร้างเคร่ืองมอื สื่อสาร สามารถมองเห็นกันได้ในระยะไกล สื่อสารกันได้ สง่ ข้อมูล รบั ข้อมูลได้ ดังปัจจบุ ันท่ีมนุษย์ใช้ปญั ญาประดิษย์นวตั กรรมใหม่ ๆ มากมายมาเพอ่ื อำนวยความสะดวกให้ ตนเอง และในการดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง แยกแยะความดี ความชั่ว สิ่งใดถูก ส่ิงใดผิด สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ ควร สงิ่ ใดเป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ ในพระพุทธศาสนาเน้นการปูพ้ืนฐานไปตามลำดับจากทาน ศีล สมาธิ และปัญญาเป็นตัวสุดท้าย หากต้องการจะบรรลุมรรคผล นิพพานนั้น ต้องใช้ปัญญาท่ีได้รับการ อบรมพัฒนามาแล้วด้วยดีเพ่ือละหรือประหารกิเลสให้ส้ินซากได้ ในอรรถกถานัตถิปุตตสมสูตร ได้อธิบาย คำตอบทพ่ี ระพุทธองค์ได้ตอบคำถามแกเ่ ทวดาว่า “ช่ือวา่ แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาย่อมไม่มี ถงึ แมจ้ ะเป็น ดวงอาทิตย์ เป็นต้น ก็ย่อมส่องแสงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือ ย่อมกำจัดความมืดอันเป็นปัจจุบันเท่านั้น

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 291 ส่วนปัญญาย่อมสามารถทำโลกธาตุตัง้ หมื่นให้เป็นแสงสว่างอันประเสรฐิ หาส่ิงอ่นื ใดเสมอมิได้ ท้ังยังกำจัด ความมอื อนั ปกปิดในกาลอนั เปน็ สว่ นแหง่ อดตี เป็นต้นไดด้ ว้ ย” พระพทุ ธองค์จึงตรสั พระคาถาวา่ “นตถฺ ิ อตฺตสมํ เปมํ นตถฺ ิ ธญญฺ สมํ ธนํ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา วฏุ ฺฐิเว ปรมา สรา” (ส.ํ ส. (บาลี) 15/29/9) “ความรักเสมอด้วยตนไม่มี ทรัพย์เสมอด้วยข้าวเปลือกไม่มี แสงสวา่ งเสมอปัญญาไม่มี ฝนเท่านั้น ที่เป็นสระอันยอดเยี่ยม”และทรงตรัสไว้อีกว่า “บุคคลย่อมข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา ย่อมข้ามมหรรณพได้ ด้วยความไม่ประมาท ย่อมล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา” (ขุ.สุ. (ไทย) 25/311/329-331) จะเห็นได้วา่ พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญปัญญาและได้ทรงสอนวิธีพัฒนาปัญญาไว้เป็น อนั มาก เชน่ ความทกุ ข์ จะกำหนดรู้ด้วยปัญญา สมทุ ัย อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ตอ้ งหาวิธกี ำจัดด้วยปัญญา และนิโรธ การดับทุกข์ ต้องทำให้แจง้ ด้วยปัญญา และมรรค ทางดำเนนิ ไปสู่การดับทุกข์ ต้องอบรมพัฒนา ทำให้มากด้วยปัญญา และในเกสปุตตสูตร หรือที่ทราบกันดีว่าหลักกาลามสูตรน้ัน พระองค์ก็ทรงตรัสว่า อย่าปลงใจเช่ือเพราะฟงั ตามกันมา อย่าปลงใจเชือ่ เพราะการถือสืบ ๆ กันมา อย่าปลงใจเชื่อเพราะการเล่า ลือ อย่าปลงใจเชื่อเพราะอ้างตำราหรือคัมภีร์ เป็นต้น แต่เม่ือพิจารณาโดยแยบคายแล้วด้วยปัญญา จน เห็นแจ้งว่าส่ิงน้ีเป็นกุศล อกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์เป็นต้นจึงให้เชื่อและถือปฏิบัติ ได้ ดงั น้นั พระพุทธศาสนาจึงเปน็ ศาสนาแหง่ ปญั ญา 4) เป็นศาสนาแห่งเมตตาธรรม คือเป็นศาสนาที่เน้นเมตตาเป็นที่ตั้ง ไม่เบียดเบียนสัตว์อ่ืน หรือ คนอื่น เพราะถือว่าชีวิตของสรรพสัตว์นั้นสำคัญที่สุด ไม่มีความรักใดในโลกท่ีสรรพสัตว์จะรักเท่ารักชีวิต ของตน ดังพระองค์ตรัสว่า “นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ (ความรักเสมอด้วยตนไม่มี)” จะเห็นได้ว่าเมื่อมีภัยมา ใกล้ตัว ทุกชีวิตจะพยายามดิ้นรนหาวิธีการเอาตัวรอดจนถึงที่สุด ตราบเท่าที่จะดิ้นรนได้ ผู้เบียดเบียน ทำลายชีวติ สตั วอ์ ื่น จึงถอื ว่าเป็นคนพาลหรือคนเลวในมุมมองของศาสนาพุทธ พระพุทธองค์ทรงสอนใหแ้ ผ่ เมตตาท้ังแก่ตนเองและสรรพสัตว์เพ่ือพัฒนาจิตใจให้เป็นผู้อ่อนโยนเยือกเย็น ทรงสอนให้ใช้หลัก อหิงสา คือการไม่เบียดเบียนเป็นที่ตั้ง เพื่อนำความสงบสุขให้เกิดข้ึนแก่โลก ซ่ึงความสงบสุขน้ีเป็นส่ิงปราถนาของ คนทั่วโลก รวมไปถึงสรรพสัตว์ต่าง ๆ ด้วย ทรงสอนให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา ก่อนจะพูดหรือทำส่ิงใดลงไป ทรงตรสั วา่ “สพเฺ พ ตสนตฺ ิ ทณฺฑสสฺ สพเฺ พสํ ชีวติ ํ ปยิ ํ อตฺตานํ อุปมํ กตฺวา น หเนยฺย น ฆาตเย” (ข.ุ ธ. (บาล)ี 25/20/32-34) “สัตว์ทั้งปวงย่อมหวาดหว่ันต่ออาชญากรรม ชีวิตย่อมเป็นที่รักของสรรพสัตว์ บุคคลพึงทำตนให้ เป็นอุปมาแล้วไม่พึงฆ่าเอง ไม่ควรใช้ให้ฆ่า” เม่ือโลกน้ีไม่มีการเบียดเบียนการฆ่า การแก่งแย่งทำลาย มี เมตตาต่อกัน จะทำให้โลกน้ีเป็นดังสวรรค์ ที่เรียกว่า สวรรค์บนดิน ได้ไม่ยาก เพียงทุกชีวิตน้อมนำเมตตา

292 ธรรมไปฝึกในชิวิตประจำวันให้ติดเป็นนิสัย โลกน้ีจะพบกันสันติสุขได้ ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า “โลโก ปตฺถมฺภิกา เมตฺตา (เมตตาเป็นธรรมค้ำจุนโลก)” (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, 2514, หน้า 34) 5) เป็นศาสนาแห่งกรรมนิยม คือถือว่ากรรมหรือการกระทำมีบทบาทต่อชีวิตมากท่ีสุด ไม่ว่า มนุษย์จะสั่งสมทรัพย์สินเงินทองมากมายเท่าใด ก็ไม่มีใครสามารถนำไปด้วยได้เมื่อตาย มีเพียงความดี ความช่ัวท่ีตนเองได้สะสมไว้เท่านัน้ ซ่งึ เปน็ ท่ปี ระจักษแ์ ก่สายตาของคนท่ัวโลกแลว้ ไม่วา่ จะยุคไหน คนตาย ไม่อาจนำส่ิงใดไปด้วยได้แม้สตางค์แดงเดียว แต่ก็ยอมรับได้ว่า ทุกศาสนาล้วนมีคำสอนที่แตกต่างกัน เกี่ยวกับชีวิตหลังความตาม แต่ในทางพระพุทธศาสนานั้นมุ่งสอนให้เช่ือในกรรมหรือการกระทำของตน เป็นสิ่งที่แน่นอน คนจะดี จะช่ัว ประณีต เลว ร่ำรวย ยากจน ต่างกันไป ล้วนมีผลมาจากกรรมเป็นตัว จำแนกทั้งส้ิน ดังท่ีพระพุทธองค์ตรัสว่า “กมฺมํ สตฺเต วิภชฺชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตตาย (กรรมย่อมจำแนก สัตว์ท้ังหลาย คือเพราะความเลวและประณีต)” (ม.อุป.(บาลี) 14/581/376-386) บุคคลทำกรรมเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นน้นั มนุษย์เปน็ ผู้ลขิ ติ ชีวิตของตน หากต้องการใหช้ ีวติ เป็นอย่างไร ควรใชค้ วามเพียรพยายาม และสติปัญญาของตนมุ่งกระทำตามที่ตนปรารถนาให้ถึงที่สุด ชีวิตจะประสบผลสำเร็จดังปรารถนาได้ เพราะกรรมจะเปน็ ผู้ลิขติ ชีวติ ให้ หาใชพ่ รหมลิขิตไม่ สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรสั ไวว้ า่ กมมฺ นุ า วตฺตตี โลโก กมฺมนุ า วตฺตตี ปชา กมมฺ นิพนธฺ นา สตตฺ า รถสฺสาณวี ยายโต กมฺเมน กิตตฺ ึ ลภเต ปสสํ ํ กมเฺ มน ชานิญจฺ วธญจฺ พนธฺ ํ ตํ กมมฺ ํ นานากรณํ วิทติ ฺวา กสมฺ า วเท นตฺถิ กมฺมนตฺ ิ โลเกติ (อภ.ิ กถา. (บาล)ี 37/1700/578-579) “โลกเป็นไปเพราะกรรม หมู่สัตว์เป็นไปเพราะกรรม สัตว์ท้ังหลายมีกรรมเป็นเครื่องกระชับ เหมือนล่ิมสลักแห่งรถท่ีแล่นไปอยู่ ฉะน้ัน บุคคลได้เกียรติ ได้ความสรรเสริญเพราะกรรม และได้ความ เส่ือม การถกู ฆ่า การถูกจองจำ ก็เพราะกรรม บุคคลรู้ชัดซึ่งกรรมน้ันวา่ เป็นเคร่อื งทำให้แตกต่างฉะนี้แล้ว ไฉนจะพงึ กลา่ ววา่ กรรมไม่มใี นโลกเลา่ ดังน้ี” และตรัสพระคาถาวา่ ยาทสิ ํ วปเต พีชํ ตาทสิ ํ ลภเต ผลํ กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ (สํ.ส. (บาล)ี 15/903/332-334) “บุคคลหว่านพืชเช่นใด ยอ่ มไดผ้ ลเช่นนั้น ผทู้ ำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ผทู้ ำกรรมช่วั ยอ่ มได้ผลช่วั ” 6) เป็นศาสนาแห่งความเพียร กล่าวคือความเพียรเป็นดังทิพยอำนาจที่นำความสำเร็จมาให้ได้ หากไม่ผัดวันประกันพรุ่ง อ้างโน่น อ้างน่ี หนาวนัก ร้อนนัก เย็นนัก ไม่คอยแต่อ้อนวอน บวงสรวงส่ิง

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 293 ศักดิ์สิทธิ์ แต่จะสำเร็จได้ด้วยความเพียร เพราะหากทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยการอ้อนวอน คงไม่มีใครท่ีจะ ขาดแคลนส่ิงใดได้ พระองค์ทรงสรรเสริญความเพียรไว้มาก ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสกับอนาถบิณฑิก เศรษฐีว่า “ส่ิงทีน่ ่าปรารถนาน่าใคร่ น่าเจริญใจ 5 อยา่ ง คือ อายุ วรรณะ สุข ยศ สวรรค์ ไม่ได้มาด้วยการ อ้อนวอนหรือความปรารถนา เพราะถ้าจะพึงได้ด้วยการอ้นวอนหรือด้วยความปรารถนาแล้วไซร์ ใครใน โลกนี้จะขาดแคลนจากอะไรเล่า ดูก่อนคฤหบดี อริยสาวกผู้ปารถนาจะได้ส่ิงเหล่านั้น ก็ไม่ควรเสียเวลา วิงวอนหรือตั้งปรารถนาเลย แต่พึงลงมือปฏิบัติเพื่อให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นเถิด”(อง.ปญฺจก. (ไทย) 22/43/47-48) และพระองค์ยังตรัสอีกว่า “แม่ไก่ไม่กกไข่ มีแต่ปรารถนาที่จะให้ลูกไก่ออกจากฟองไข่ อย่างเดียว ย่อมไม่สำเร็จฉันใด ลำพังความปรารถนาจะให้จิตพ้นจากกิเลสและ อาสวะทั้งหลาย ก็ย่อม เป็นไปไม่ได้ฉันน้ัน” (สํ.ข. (ไทย) 17/261/143-145) ทรงตรัสว่า “วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ (ขุ.สุ.(บาลี) 25/311/359-361) แปลว่า คนจะลว่ งทกุ ขไ์ ด้ก็ด้วยความเพียร เปน็ ตน้ 7) เป็นศาสนาแห่งการพ่ึงตน ดังจะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ทรงเน้นย้ำให้พุทธศาสนิกชนเช่ือม่ัน ในตนเอง ในการกระทำของตน ตนเป็นทีพ่ ่ึงแห่งตน เป็นผู้ดลบันดาลความเจริญหรอื ความเสอ่ื มและอ่ืน ๆ ให้ตนเอง ทำให้ตนบริสุทธิ์ก็ด้วยตนเอง คนอื่นหรือส่ิงอื่นเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือเท่าน้ัน เช่น อยากได้บุญ ต้องลงมือทำเอง บุญผู้ใดสร้างผู้นั้นรับ ไม่สามารถแบ่งให้กันได้เหมือนสิ่งของ เหมือนข้าวผู้ใดกินผู้นั้นอ่ิม ดงั คำผญ๋าอีสานกลา่ วไวว้ ่า “บญุ บุญนี้บแ่ หม่นของแบง่ ได้ ปนั แจกกันแหลว่ บ่อหอ่ นแยกออกได้ คอื ไม้ ผ่ากลาง คือจงั่ เฮากนิ ขา้ ว เฮากินเฮาอิม่ บแ่ หม่นไปอ่ิมท้อง เขาพุ้นผู้บ่กิน” (Moodle, ม.ป.ป.) และสม ดังท่ีพระพทุ ธองคต์ รัสไวห้ ลายประการ เชน่ ว่า “อตตฺ า หิ อตตฺ โน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สยิ า อตฺตนา หิ สทุ นเฺ ตน นาถํ ลภติ ทุลลฺ ภํ” (ข.ุ ธ. (บาล)ี 25/22/36-37) “ตนแลเป็นที่พง่ึ แห่งตน บุคคลอืน่ ใครเล่าพึงเป็นท่ีพึ่งได้ เพราะบุคคลมีตนฝึกดีแลว้ ย่อมได้พ่ึงที่ บุคคลได้โดยยาก” “อตตฺ นา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงกฺ ิลสิ ฺสติ อตตฺ นา อกตํ ปาปํ อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ สทุ ธฺ ิ อสุทธฺ ิ ปจฺจตฺตํ นาญโญ อญฺญํ วโิ สธเย” (ขุ.ธ. (บาลี) 25/22/36-37) “บาปอันใด ผู้ทำแล้วด้วยตนเอง ผู้น้ันย่อมเศร้าหมองด้วยตนเอง บาปอันผู้ใดไม่ทำด้วยตน ผู้นั้น ย่อมบริสุทธด์ิ ว้ ยตนเอง ความบรสิ ุทธ์ิ ไมบ่ ริสทุ ธ์ิ เป็นของเฉพาะตน คนอน่ื ะทำคนอน่ื ให้บริสทุ ธไ์ิ มไ่ ด้” อตฺตนา โจทยตฺตานํ ปฏมิ ํเสตมตฺตนา โส อตฺตคตุ โฺ ต สตมิ า สขุ ํ ภิกฺขุ วหิ าหิสฯิ (ข.ุ ธ. (บาล)ี 25/35/66-67)

294 “ภกิ ษุ เธอจงเตือนตนด้วยตนเอง ถ้าเธอคุ้มครองตนเองได้แล้ว มสี ติ เธอก็จกั อยเู่ ป็นสุข” น มาตา น ปติ า กยริ า อญเฺ ญวาปิ จ ญาตกา สมมฺ า ปณหฺ ติ ํ จติ ฺตํ เสยฺยโส นํ ตโต กเร (ข.ุ ธ.(บาล)ี 25/13/19-20) “มารดาและปิดาไม่อาจทำให้ได้ คนอ่ืนและญาติก็ไม่อาจทำให้ได้ แต่จิตท่ีบุคคลตั้งไว้ชอบ ย่อม ทำใหย้ ิง่ กว่าใครทำใหเ้ สยี อกี ” และตรัสวา่ “ตเุ มหฺ หิ กจิ ฺจํ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา ปฏิปนฺนา ปโมกฺขนตฺ ิ ฌายิโน มารพนธฺ นาฯ” (ข.ุ ธ.(บาล)ี 25/30/51-53) “เธอทั้งหลายควรทำความเพียรเองเถิด ตถาคตเป็นเพียงผู้ช้ีบอกเท่าน้ัน ผู้บำเพ็ญภาวนา ดำเนิน ตามทางนแี้ ล้ว เพ่งพนิ จิ อยู่ จกั พ้นจากเคร่อื งผูกแห่งมารได้” เป็นต้น จะเห็นไดว้ า่ พระพุทธองค์ทรงเนน้ ย้ำ ให้พุทธศาสนิกชนน้ันให้เช่ือม่ันในตนเอง ไม่ให้หวังพึ่งคนอื่นหรือส่ิงอ่ืน กล่าวคือไม่ยืมจมูกคนอ่ืนหายใจ เพราะเปรยี บเสมือนคนตาย หากคนอ่ืนหยดุ หายใจหรือไม่ช่วยเหลือ ก็จะกลายเป็นคนไรท้ พ่ี ่ึงหรือลม้ เหลว ดงั นั้น พทุ ธศาสนาจงึ เปน็ ศาสนาแหง่ การพงึ่ ตนดังกล่าวแล้ว 8) เป็นศาสนาแหง่ ธรรมาธิปไตย ในขณะท่ีหลายประเทศทั่วโลกต่างแสวงหาแนวทางสร้างความ เปน็ ธรรมให้เกิดขึ้นในการปกครองกนั เองในประเทศนัน้ ๆ จึงมองเหน็ ว่าประชาธิปไตยคอื ทางออกที่ดีทสี่ ุด แต่ประชาธิปไตยที่ปราศจากธรรมาธิปไตยเป็นฐาน กล่าวคือ การถือธรรมเป็นใหญ่ในการปกครอง ก็อาจ กลายเปน็ กฎหมหู่ รือพวกเผด็จการ ความถูกต้องเท่ยี งธรรมสำคํญมาก พระพุทธองคท์ รงตรัสสอนวา่ ธรรม สำคัญกว่าทุกส่ิงทุกอย่างในโลกน้ี เพราะธรรมเป็นสัญลักษณ์ของคนดี เป็นเครื่องทำให้คนเป็นคนดี ดัง พระองคต์ รสั ไวว้ า่ จเช ธนํ องฺควรสสฺ เหตุ องฺคํ ธนํ ชีวิตญจฺ าปิ สพฺพํ องฺคํ จเช ชวี ิตํ รกฺขมาโน จเช นโร ธมมฺ นุสฺสรนโฺ ต (ขุ.ชา.(บาลี) 28/382/147-152) “บุคคลเม่ือคำนึงถึงธรรม ก็พึงสละทรัพย์เพ่ืออวัยวะ พึงสละอวัยวะและทรัพย์เพื่อรักษาชีวิต และพึงสละอวัยวะและชวี ิตเพื่อรกั ษาธรรม” 9) เป็นศาสนาแห่งเหตุผลที่เหนือตรรกวิทยา กล่าวคือ ความจริงมีหลายระดับ เหตุผลก็ เช่นเดียวกัน ดังจะเห็นได้ว่าไม่ว่า จะเป็นคนดี คนชั่ว คนโง่ หรือคนฉลาด ล้วนอ้างเหตุผลเพื่อสนับสนุน การกระทำของตนทั้งสิ้น ดังนั้น เหตุผลทางตรรกวิทยาเป็นความจริงระดับธรรมดาสามัญ จึงมีถูกมีผิด จริงตามรูปแบบ (Formal Truth) แต่ไม่จริงตามเนื้อหา (Material Truth) ก็ได้ ตรรกวิทยายังมี

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 295 ข้อบกพร่องต่าง ๆ ซึ่งทางตรรกวิทยาเรียกว่า ทุตรรกบท (Fallacy) แต่ในทางพระพุทธศาสนาถือความ จริงแท้ ไม่มีข้อบกพร่อง ทั้งไม่ตั้งอยู่ในอำนาจสัมผัส อักทั้งไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยตรรกวิทยาเสมอไป ดังท่ี พระองค์ได้ตรัสไว้ในกาลามสูตรว่า อย่าเพ่ิงเช่ือเพราะเห็นสอดคล้องกับตรรกวิทยา หรือทรงตรัสถือพระ นิพพานว่าเป็นธรรมท่ีลึกซ้ึง เห็นได้ยาก รู้ได้ยาก สงบ ประณีต ไม่อาจหยั่งรู้ด้วยด้วยตรรกวิทยา (อตกฺกาวจโร) ละเอียด อันบัณฑิตเท่านน้ั จะพึงรู้ได้ เพราะฉะน้ัน ความจริงและเหตุผลในพระพุทธศาสนา จึงอยเู่ หนือตรรกวทิ ยา 10) เป็นศาสนาแห่งจิตนิยม ถือเร่ืองจติ เป็นสิ่งที่สำคัญท่ีสุด เป็นใหญ่ท่ีสดุ เป็นบ่อเกิดของทุกสิ่ง ทุกอยา่ ง ดังที่พระองคต์ รสั คาถาวา่ มโน ปพุ ฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐฺ า มโนมยา มนสา เจ ปทฏุ เฺ ฐน ภาสติ วา กโรติ วา ตโต นํ ทกฺขมเนฺวติ จกกฺ ํว วหโต ปทํ (ข.ุ ธ.(บาล)ี 25/11/15-17) “ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจร้าย พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ทุกข์ย่อมติดตามเขาไป ดุจล้อหมุนไปตามร้อยเท้าโคท่ี ผู้นำแอกไปอยู่ฉะน้ัน” จะเห็นได้ว่าการ กระทำก็ตาม วาจาก็ตามเป็นการแสดงออกของจิตเท่านั้น จะสุขจะทุกข์ล้วนมาจากจิตทง้ั นั้น ถ้าจติ ขุ่นมัว ถูกครอบงำด้วยกิเลส ก็มีแต่ทุกข์ ในทางตรงข้ามหากจิตผ่องใส ไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสเครื่องทำให้จิต เศรา้ หมอง ก็จะมแี ต่ความสุข ดังที่พระองคท์ รงตรัสว่า มโน ปุพพฺ งฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา มนสา เจ ปสนเฺ นน ภาสติ วา กโรติ วา ตโต นํ สุขมเนวฺ ติ ฉายา ว อนปุ ายนี ี (ขุ.ธ.(บาล)ี 25/11/15-17) “ธรรมท้ังหลายมใี จเป็นหัวหนา้ มใี จเปน็ ใหญ่ สำเรจ็ แล้วด้วยใจ ถ้าใจผ่องใส พดู อยู่กต็ าม ทำอย่กู ็ ตาม ความสุขย่อมติดตามเขาไป ดุจเงาตามตัวบุคคลนั้นไปฉะน้ัน” และทรงตรัสเกี่ยวกับจิตอีกว่า “...จิตฺ เต สงกฺ ลิ ฏิ ฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงขฺ า ฯ…จติ เฺ ต อสงฺกิลฏิ ฺเฐ สุคติ ปาฏกิ งฺขาฯ (ม.ม.ู (บาลี) 12/92/64-71) แปล ความว่า...เมื่อจิตเศรา้ หมอง ทุคติพึงหวงั ได้...เม่ือจติ ไม่เศรา้ หมอง สุคตกิ ็พงึ หวังได้” ดงั นนั้ คนจะดีหรือชั่ว เจริญหรือตกต่ำ เป็นปุถุชนจนถึงพระอริยเจ้าก็เพราะจิต เพราะฉะน้ัน ทุกอย่างจึงตกอยู่ในอำนาจของจิต ดังท่ีพระองค์ทรงตรสั ไวอ้ กี วา่ จตฺเตน นยี ติ โลโก จติ ฺเตน ปริกสฺสติ จติ ฺตสฺส เอกธมฺมสฺส สพฺเพว วสมนฺวคตู ิ (ส.ํ ส.(บาลี) 15/181/54-55)

296 “โลกอันจิตย่อมนำไป อันจิตย่อมเสือกไสไป โลกท้ังหมดเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหน่ึงคือ จิต ดงั นี้” หรือทีพ่ ระองค์ตรัสวา่ อนิพพฺ ตเฺ ตน น ชาโต ปจจฺ ุปฺปนฺเนน ชวี ติ จติ ตฺ ภงฺคา มโต โลโก ปญฺญตฺติ ปรมตฺถยิ า (ขุ.มหา.(บาลี) 29/49/49-71) “เพราะจิตไม่เกิด สัตว์โลกก็ช่ือว่าไม่เกิด เพราะจิตเกิดข้ึนเฉพาะหน้า สัตว์โลกก็ช่ือว่าเป็นอยู่ เพราะความแตกดับแห่งจิต สัตวโ์ ลกก็ช่อื ว่าตายแลว้ น่ีเปน็ บัญญัติเนือ่ งด้วยปรมัตถ์” ด้วยเหตุนี้ผตู้ ้องการ ความเจรญิ และความสุขจะต้องฝึกจิต เพราะจติ ท่ฝี กึ ดีแลว้ นำความสขุ มาให้ดังทีพ่ ระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ทนุ ฺนิคฺคหสฺส ลหโุ น ยตถฺ กามนิปาตโิ น จิตตฺ สสฺ ทมโถ สาธุ จิตฺตํ ทนตฺ ํ สุขาวหํ (ข.ุ ธ. (บาล)ี 25/13/19-20) \"การฝึกจิตอนั ข่มไดย้ าก เป็นธรรมดาเรว็ มักตกไปในอารมณ์ตามความใคร่ เป็นการดี (เพราะว่า) จติ ทีฝ่ กึ แลว้ ย่อมเป็นเหตุนำสุขมาให้” 11) เป็นศาสนาแห่งอนัตตา ดังจะเห็นได้ว่า อนัตตาเป็นหลักธรรมที่มเี ฉพาะในพระพุทธศาสนา เท่านั้น ส่วนศาสนาอื่นมีแต่อัตตาหรือในศาสนาฮินดูเรียกว่า อาตมัน หรือปรมาตมัน เป็นต้น พระพุทธศาสนามีความชัดเจนในเร่ืองน้ีมาก โดยสอนว่า ทุกสรรพสิ่งเป็นอนิจจัง คือไม่เที่ยงเปล่ียนแปลง อยู่ตลอดเวลา เป็นทุกข์ คือทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ และเป็นอนัตตา คือไม่มีตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจ ควบคุม ไม่ได้ ซึ่งความจริงมีอยู่ 2 ระดับ คือ 1) สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ ทุกอย่างมีจริง ตัวตนมีจริงตามท่ี ชาวโลกเข้าใจกัน แต่เป็นเพียงสมมติกันขึ้น และ 2) ปรมัตถสัจจะ ความจริงขั้นปรมัตถ์หรือสูงสุด เป็น ความจริงแท้ ในขนั้ ตอนน้ีทกุ ส่ิงทกุ อย่างไมม่ ตี ัวตน หมายความว่า ตวั ตนทแ่ี ท้จริงอยา่ งรา่ งกายของเราเป็น อนัตตาเพราะมลี ักษณะตอ่ ไปน้ี 1) วา่ งเปล่าจากตัวตนที่แท้จรงิ 2) ไม่อยู่ในอำนาจหรือฝืนความปรารถนา 3) เป็นไปตามกระบวนการของมนั ไมม่ ีอะไรมาขัดขวางได้ ซง่ึ อธบิ ายความได้ว่า หากถามว่าอะไรคือตัวตน ของเรา ตัวตนของเราอยู่ที่หน้าตาม แขน ขา จมูก ปาก หรืออวัยวะน้อยใหญ่ แม้กระท่ังแยกย่อยออก เหลอื แต่เซลล์เล็ก ๆ ก็ไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นตัวตน แต่เมื่ออวยั วะต่าง ๆ มารวมกันเขา้ เราจงึ สมมติกัน เรียกว่า ตัวเรา ดุจรถยนต์ก็ไม่ใช่อยู่ท่ีตัวรถ พวกมาลัย หรือเคร่ืองยนต์ แต่เมื่อรวมทุกช้ินส่วนเข้าด้วยกัน จึงสมมติกันเรียกว่า รถยนต์ แต่พอแยกส่วนออกก็หาพบรถยนต์ที่แท้จริงไม่ ข้อนี้ฉันใด ร่างกายของเราก็ ฉันนั้น ข้อท่ีว่าไม่อยู่ในอำนาจหรือฝืนความปรารถนา อย่างเช่นหากว่าร่างกายนี้เป็นของเราจริง เราต้อง สามารถควบคุมไม่ให้ร่างกายน้แี ก่ เจ็บ ตาย อยากสูงกส็ ่ังให้สูงได้ อยากผอมก็สั่งให้ผอมได้ ไม่อยากแก่ ไม่ อยากผมหงอก ไม่อยากหนังเห่ียว ไม่อยากมีตนี กา ถึงแม้วทิ ยาศาสตรจ์ ะก้าวหนา้ แค่ไหน ผลิตเครื่องชะลอ ความแก่ แต่ก็ทำได้เพียงผวิ เผิน ไม่ยั่งยืน หาได้ยับย้งั ความเปน็ ไปของร่างกายนี้ไดไ้ ม่ สังขารก็เปล่ียนแปลง ไปเช่นนี้ ไม่อยู่ในอำนาจปรารถนาของใครเลย ดุจกระแสน้ำไหลไปเรื่อย ๆ ตามธรรมชาติของมัน นี้เป็น

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 297 เร่ืองของร่างกาย ในส่วนของจิตใจก็เช่นเดียวกัน เปลี่ยนแปลงไปตามส่ิงที่มากระทบ คิดปรุงแต่งไปเป็น แบบนั้นแบบน้ี เกิดดับ ๆ สืบต่อกนั ไป เป็นสันตติ ไม่ยง่ั ยืนช่วั นิรันดร และก็เป็นเช่นน้ี ไม่มีใครบงั คับได้ ที่ สามารถทำได้คือ การฝึกฝนอบรมจิต เช่น การฝึกฝนตามหลักสติปัฏฐาน 4 คือ ฝึกให้มีสติ สัมปชัญญะ คอยกำหนดรู้อาการเกิด ดับของจิต จนเกิดสมาธิ และปัญญา จนกระทั่งสามารถดับอุปกิเลสที่ครอบงำ จติ ใจได้ จนเขา้ ถึงพระนิพพาน แต่จิตน้นั ก็ยังคงเป็นไปตามธรรมชาติดัง้ เดิมของจิตเชน่ นั้น ดังที่กล่าวไว้ใน พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณีว่า “จิตนั่นแหล่ะชื่อว่า ปัณฑระ เพราะอรรถว่า บริสุทธิ์ คำว่า ปัณฑระ นี้ หมายเอาภวังคจิต เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย จิตน้ีประภัสสร แต่จิตน้ันแลเศร้า หมองแลว้ ด้วยอุปกเิ ลสท่ีจรมา ดงั นี้ อน่งึ แม้กุศล ก็ตรัสเรียกว่า ปัณฑระเหมอื นกนั เพราะออกจากจิต นั้น เหมือนแม่น้ำคงคาไหลมาจากแม่น้ำคงคา และแม่น้ำโคธาวรีไหลมาจากแม่น้ำโคธาวรีฉะนั้น” (อภ.ิ ธมฺม.อ.(ไทย) (34/63/38) 12) เป็นศาสนาแห่งวิมุตติ คือความหลุดพ้นจากสังสารวัฏ ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป เน่อื งจากมีความเชื่อวา่ ตราบใดทส่ี ตั วย์ งั มีกเิ ลสหอ่ หุ้มจิตใจอยู่ สัตวน์ นั้ ยังจะต้องเวียนวา่ ยตายเกิดอยตู่ ราบ นั้น ชีวิตไม่ได้เริ่มต้นที่ท้องแม่ในชาตินี้เท่าน้ัน แต่ชีวิตมีมานานแล้ว นับชาติไม่ถ้วน แม่ในชาตินี้จึงเป็น เพยี งผใู้ ห้ชวี ติ ได้ปรากฎในชาตินเ้ี ทา่ น้นั ดุจการปรากฏของฉากหน่ึง ๆ ในหลาย ๆ ฉากของภาพยนตร์เรื่อง หน่ึง และชีวิตก็หาส้ินสุดท่ีเมรุเผาศพเท่าน้ัน แต่ชีวิตจะมีต่อไปอีกหลายภพชาติต่อไปเรื่อย ๆ ดังน้ัน การ ตายในชาติน้ีก็เปรียบเสมือนการจบลงของฉากหนึ่งในหลาย ๆ ฉากของภาพยนตร์เร่ืองน้ัน ๆ เท่าน้ัน ดัง พระพทุ ธองคต์ รสั ว่า “ดูกรภิกษุท้งั หลาย สงสารนกี้ ำหนดทีส่ ุดเบื้องตน้ เบ้ืองปลายไม่ได้ เม่ือเหล่าสตั ว์ผู้ มีอวิชชาเป็นท่ีกางกั้น มีตัณหาเป็นเครอ่ื งประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ” (ส.ํ นิ. (ไทย) 16/422/199) และทรงตรัสถึงสังสารวัฏวา่ “สังสารวัฏน้ีโดยรอบก็กว้าง เพราะไม่มที ี่สนิ้ สุด โดยเบ้ืองต่ำก็ลึก เพราะไม่มีที่ต้ัง โดยเบื้องบนก็ลึก เพราะไม่มีที่ยึดเหนี่ยว” และยังทรงตรัสอุทานใน คราวแรกตรัสรู้ว่า “เราตามหานายช่างผู้สร้างเรือน เมื่อไม่พบ จึงท่องเท่ียวไปในสงสารเป็นอเนกชาติ เพราะการเกดิ บอ่ ย ๆ เป็นทุกข์” (ขุ.ธ.(ไทย) 25/153-154/79-80) และยงั มีพระสิวกเถระได้กล่าวถึงการ เกิดอีกว่า การเกิดเป็นทุกข์ เพราะมีการเกิดจึงอย่างอื่นตามมามากมาย เช่น มีความแก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ โทมนัส คร่ำครวญ พลัดพรากจากของอันเป็นท่ีรัก การพบเจอกับส่ิงท่ีไม่น่าปรารถนาน่าพอใจ เป็นต้น กล่าวไว้ว่า “อนิจฺจานิ คหกานิ ตตฺถ ตตฺถ ปุนปฺปุนํ คหการํ คเวสนฺโต ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ” (ขุ.เถร. (บาลี) 26/289/297) แปลว่า เรือนคืออัตภาพท่ีเกิดในภพน้ัน ๆ บ่อย ๆ เป็นของไม่เท่ียง เรามัว แสวงหานายชา่ งคือตัณหาผู้สร้างเรอื น จึงได้ท่องเที่ยวไปสิน้ กาลมปี ระมาณเท่าน้ี การเกิดบ่อย ๆ เป็น ทุกข์ ดังนั้น หากไม่ต้องการทุกข์ ก็ควรหยุดสาเหตุแห่งทุกข์เสีย ซ่ึงก็คือการที่ไม่ต้องเกิดอีก ซ่ึงพระพุทธ องค์ได้ทรงสอนเรื่อง อริยมรรค 8 เพ่ือเป็นทางดำเนินไปสู่การดับทุกข์ตามแนวทางท่ีพระพุทธองค์ได้ทรง ดำเนนิ มาแลว้ เปน็ ทางอันเอก กลา่ วคือ ทางเดียวทจ่ี ะดับทกุ ขไ์ ด้

298 สรุปความได้วา่ พระพุทธศาสนานั้นมีคุณลักษณะเด่นมากมายหลายประการ ซึ่งในที่นไ้ี มข่ อกลา่ ว ทั้งหมด นำมากล่าวเพียงบางส่วนเท่านั้น เพ่ือให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจถึงความแตกต่างสำคัญ ๆ ระหว่าง พระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ พอเป็นพื้นฐานในการศกึ ษาตอ่ ไป 3. สถานการณข์ องพระพุทธศาสนาทีส่ ำคัญในปจั จุบัน 3.1 ด้านการศึกษา ในสมัยของรัชกาลท่ี 9 น้ีการศึกษาในวงการของคณะสงฆ์ได้พลิกโฉมหน้าไปอย่างมาก โดยได้มี การจัดการศึกษาสมัยใหม่เพิ่มขึ้นอีก ไม่เหมือนสมัยดั้งเดิมท่ีเน้นอยู่เฉพาะการศึกษาแผนกนักธรรมและ ภาษาบาลี ได้เปล่ียนมาเป็นระบบการศึกษาในรูปแบบของการศึกษาปริยัติธรรมสายสามัญและ มหาวิทยาลัยในระดับอุดมศึกษาข้ึน เพ่ือเน้นให้พระสงฆ์มีความสมบูรณ์ทางความรู้ในหลาย ๆ ด้าน โดย เน้นในการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาให้กบั ชาวต่างประเทศด้วย มหาวิทยาลัยสงฆท์ ้ัง 2 แหง่ จึงได้เปดิ ทำการ เรียนการสอนในสมัยรชั กาลน้ี แตโ่ ดยความเป็นจริงแล้วมหาวิทยาลัยท้ังสองแห่งไดส้ ถาปนาข้ึนต้ังแต่สมัย รชั กาลที่ 5 แลว้ แต่มาเปดิ อยา่ งเป็นทางการในสมัยรัชกาลท่ี 9 นเี้ อง มหาวทิ ยาลัยมหามกุฏราชวทิ ยาลัย เม่ือ พ.ศ. 2436 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ตั้งวิทยาลัยขึ้นในบริเวณวัดบวรนิเวศวิหาร พระราชทานนามว่า \"มหามกุฏราชวิทยาลัย” โดยมีพระราชประสงค์เพื่อเป็นที่ศึกษาเล่าเรียนของพระภิกษุสามเณร ทรงอุทิศ พระราชทรัพยบ์ ำรุงประจำปแี ละกอ่ สรา้ งสถานศึกษาแหง่ นี้ขึน้ เมอ่ื วนั ท่ี 26 ตุลาคม พ.ศ. 2436 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไดเ้ สด็จ มาเปิดมหาม กุฏราชวิทยาลัย พระองค์ทรงรับอุปถัมภ์และพระราชทานพระราชทรัพย์บำรุงประจำปี อาศัยพระราช ประสงค์ดังกล่าวน้ัน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงทรงตั้งวัตถุประสงค์เพ่ือ ดำเนนิ กจิ การของมหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้น 3 ประการ คอื 1. เพ่อื เป็นสถานศึกษาของพระภกิ ษุสามเณร 2. เพ่ือเปน็ สถานศกึ ษาวทิ ยาการอนั เป็นของชาตภิ มู ิและของต่างประเทศ 3. เพ่ือเปน็ สถานทีเ่ ผยแผ่พระพทุ ธศาสนา เมื่อกิจการของมหามกุฏราชวิทยาลัยได้ดำเนินการแล้ว ปรากฏว่าวัตถุประสงค์เหล่านั้นได้รับผล เป็นท่ีน่าพอใจตลอดมา และเพ่ือท่ีจะให้วัตถุประสงค์เหล่านั้นได้ผลดีย่ิงขึ้น ดังน้ัน ในวันท่ี 30 ธันวาคม พ.ศ. 2488 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในฐานะที่ทรงเป็นนายกกรรมการมหามกุฏ ราชวิทยาลัย พร้อมด้วยพระเถรานุเถระ จึงได้ทรงประกาศตั้งสถาบันการศึกษาช้ันสูงในรูปแบบ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 299 มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาขึ้น โดยอาศัยนามว่า \"สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย” โดยมี เป้าประสงค์ดังน้ี 1. เพ่อื ให้เปน็ สถานศกึ ษาพระปรยิ ตั ิธรรม 2. เพื่อใหเ้ ปน็ สถานศกึ ษาวิทยาการอนั เป็นของชาตภิ มู ิและตา่ งประเทศ 3. เพือ่ ให้เป็นสถานเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาทั้งในและนอกประเทศ 4. เพ่ือให้พระภิกษุสามเณ รมีความรู้และความสามารถในการบำเพ็ญประโยชน์แก่ ประชาชน 5. เพ่ือใหภ้ ิกษุสามเณรมีความรู้ และความสามารถในการค้นคว้า โต้ตอบ หรืออภิปรายธรรมได้ อย่างกวา้ งขวางแกช่ าวไทยและชาวตา่ งประเทศ 6. เพื่อให้พระภิกษุสามเณรได้เป็นกำลังสำคัญในการจรรโลงพระพุทธศาสนา และเป็น ศาสน ทายาททเี่ หมาะแก่กาลสมยั 7. เพอ่ื ความเจรญิ กา้ วหนา้ และคงอยตู่ ลอดกาลนานของพระพุทธศาสนา ทง้ั นี้ ภายใต้การบริหารของคณะกรรมการคณะหนง่ึ เรียกว่า คณะกรรมการสภาการศึกษามหาม กฏุ ราชวิทยาลัย สถาบันการศึกษาแห่งน้ี ได้เร่ิมเปิดให้การอบรมศึกษาแกพ่ ระภิกษุสามเณรต้ังแต่วันท่ี 16 กันยายน พ. ศ. 2489 จนถงึ ปัจจบุ ัน ตอ่ มาในปี 2540 รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติให้การรับรองสภาการศึกษาแหง่ น้ี และได้เปลี่ยน นามของสถานการศึกษาแห่งน้ีใหม่เป็น \"มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย\" และให้เป็นมหาวิทยาลัยที่ อยูใ่ นกำกับของรัฐบาล มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย ได้เปิดทำการเรียนการสอนเม่ือปี พ.ศ. 2490 ที่วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ เปิดทำการศึกษาหลัง มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 1 ปี โดยมพี ระพิมลธรรม (ช้อย) เป็นสภานายกองค์แรก แต่โดยความ เป็นจริงแล้วมหาวิทยาลัยท้ัง 2 แห่งน้ัน แม้จะผลิตนักศึกษาไปหลายรุ่นแล้ว แต่ไม่ได้รับการยอมรับจาก รัฐบาลแต่อย่างใด เพ่ิงจะมาได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ ในปี พ.ศ. 2527 (เฉพาะปริญญาตรี เท่านั้น) และต่อมา ในปี พ.ศ. 2540 รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติให้การรับรองมหาวิทยาลัยสงฆ์ท้ังสอง แห่งให้สามารถเปิดการเรียนการสอนระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก จงึ กล่าวได้ว่า ปัจจุบันมหาวิทยาลัย สงฆ์ท้ังสองแห่งมีศักดิ์และสิทธิเทียบเท่ามหาวิทยาลัยของรัฐทุกแห่ง นับเป็นยุคของมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ ได้รบั การยอมรบั และเจรญิ ถึงขีดสงู สดุ ท่สี ำคัญย่ิงกว่าน้ันก็คือพระราชบญั ญัติ พ.ศ. 2540 ของมหาวิทยาลัยทั้ง 2 แห่ง เปิดโอกาสให้กับ บุคคลภายนอกท่ีมีความสนใจในการศึกษาในระบบของพระสงฆ์ เข้ามาศึกษาได้ท้ังแม่ชีและคฤหัสถ์ ชาย หญิง นับเป็นการแหวกแนวจากแนวคิดด้านการศึกษาแบบเก่า ที่จำกัดวงแคบ ๆ อยู่แค่ให้โอกาสเฉพาะ พระภกิ ษแุ ละสามเณรเท่าน้นั

300 ในปี พ.ศ. 2542 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้เปิดหลักสูตรระดับปริญญาโท สำหรับคฤหัสถ์ข้ึน และในปี พ.ศ. 2543 ได้เปิดหลักสูตรนานาชาติ (International Courses) ในระดับ ปรญิ ญาโท ในส่วนของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยได้เปิดการศึกษา 2 ระบบ คือ ระบบสหศึกษา สำหรับคฤหัสถ์ชายหญิงทั่วไป ในปีการศึกษา 2543 ที่วัดราชาธิวาส และสำหรับแม่ชีและสตรีทั่วไป ใน นามว่า \"มหาปชาบดีเถรีวิทยาลัย\" มีสถานที่ต้ังอยู่ท่ีสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี แขวงสีกัน เขตดอน เมือง จังหวดั นครราชสีมา ไดเ้ ปดิ ทำการเรียนการสอนในปกี ารศกึ ษา 2542 เปน็ ตน้ มา ทง้ั สองระบบนี้ใช้หลกั สตู รศาสนศาสตรบณั ฑิต สาขาวชิ าเดยี วกนั คือพุทธศาสตร์ สำหรับโครงการ นำร่องมหาปชาบดีเถรีวิทยาลัย สังกัดคณะศาสนาและปรัชญา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย สภา มหาวทิ ยาลยั ไดอ้ นุมัตใิ หเ้ ปดิ โครงการนำร่องในปกี ารศึกษา 2542 โดยมวี ตั ถุประสงค์ คอื 1. เพื่อเป็นสถานศึกษาและวิจัยในระดับอุดมศึกษา ให้การฝึกอบรมแก่แม่ชีไทยและสตรีอ่ืน ๆ ผสู้ นใจในพระพุทธศาสนา 2. เพ่ือให้การศึกษาอบรมวิชาการด้านพุทธศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ แกแ่ ม่ชี และสตรีอื่น ๆ ในการนำหลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาและวชิ าการสมัยใหมไ่ ปใชใ้ ห้ เกิดประโยชนแ์ ก่พระพทุ ธศาสนาและสังคม โครงการนำรอ่ งมหาปชาบดีเถรีวิทยาลัยแห่งน้ี ต้องถือว่าเป็นประวัติศาสตรแ์ ห่งวงการศึกษาทาง พระพุทธศาสนาในประเทศไทยอย่างแท้จริง ท่ีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยได้เปิดโอกาสให้แม่ชี และสตรีทั่วไปท่ีมีความสนใจในการเรียนรู้ทางพระพุทธศาสนาในแนวลึกได้มีโอกาสศึกษาทัดเทียมกับ พระภิกษสุ ามเณร และเปน็ การบง่ บอกวา่ การศกึ ษาทางพระพุทธศาสนานั้นไมไ่ ด้ผกู ขาดไวเ้ ฉพาะพระภิกษุ สามเณรอกี ต่อไป ซึ่งก็ตรงกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าท่ีพระองค์ตรัสวา่ พระพุทธศาสนาน้ันจะยั่งยืน อยู่ได้มนั่ คงหรือไมม่ ่ันคง ไม่ได้ข้ึนอยู่กับพระองค์เพียงพระองค์เดียว แต่พระพุทธศาสนาจะย่ังยืนม่ันคง อยู่ได้นานน้ันต้องอาศัยพุทธบริษัททั้ง 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ช่วยกันประคับประคอง อดุ หนนุ คำ้ ชู จะผกู ขาดเพยี งกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงฝ่ายเดยี วนั้นหาไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น พระพุทธศาสนาคงจะ ไม่สามารถตั้งอยู่ถาวรได้นานอยา่ งแนน่ อน (พระมหาสมศักด์ิ ญาณโพโธ, 2517) โรงเรยี นพระปรยิ ัตธิ รรม ประวตั คิ วามเปน็ มาของโรงเรียนพระปรยิ ัติธรรม แผนกสามญั ศกึ ษา มีดงั นี้ โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ได้จัดต้ังขึ้นเนื่องมาจากการจัดต้ังโรงเรียนบาลี มัธยมศกึ ษาและบาลีวิสามัญศึกษาของมหาวทิ ยาลัยสงฆ์ท้ัง 2 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ได้เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2432 และพ.ศ.2489 ตามลำดับ จากนั้นมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้จัดตั้งแผนกมัธยมศึกษาข้ึน ใช้ช่ือว่า“โรงเรียนบาลี มธั ยมศึกษา” ต่อมาทางคณะสงฆ์โดยองค์กรศึกษา จึงได้กำหนดให้เรียกโรงเรียนประเภทน้ีว่า “ โรงเรียน

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 301 บาลีวิสามัญศึกษาสำหรับนักเรียน” โดยสังฆมนตรี เมื่อ พ. ศ. 2500 กระทรวงศึกษาธิการได้ออกเป็น ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ และได้มีการปรับปรงุ หลกั สูตรการศึกษาพระปริยตั ิธรรม แผนกบาลีข้ึนใหม่ เรียกว่า “บาลีศึกษาสามัญและปริยัติศึกษา” พร้อมทั้งยกเลิกระเบียบสังฆมนตรีว่าด้วยการศึกษาของ โรงเรียนบาลีวิสามัญศึกษาสำหรับนักเรียน เม่ือ พ. ศ. 2507 (วิกีพีเดียสารานุกรมเสรี, 2562) โดยพระ ปรารภของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (จวน อุฎฐายีมหา เถระ) ได้พิจารณาเห็นว่า การศึกษาทางโลกเจริญก้าวหน้ามากข้ึนตามสภาพการเปล่ียนแปลงของโลก จึง เห็นควรให้มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามญั ศึกษาข้นึ เพ่ือให้ผู้ศึกษาได้พัฒนาตนเองทงั้ ทางโลกและ ทางธรรมควบคู่กันไป ในท่ีสุดกระทรวงศึกษาธิการจึงได้ประกาศใช้ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วย โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาขึ้น เม่ือวันท่ี 20 กรกฎาคม 2514 และระเบียบ กระทรวงศึกษาธกิ ารวา่ ด้วยโรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรม แผนกสามญั ศึกษา พ.ศ. 2535 ซง่ึ ปจั จบุ นั ใช้ระเบียบ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่าด้วยโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา พ.ศ. 2546 มี วัตถุประสงค์เพ่ือสร้างคุณประโยชน์ต่อฝ่ายศาสนจักร และฝ่ายบ้านเมือง กล่าวคือ ทางฝ่ายศาสนจักรจะ ได้ศาสนทายาทที่ดี มีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เป็นผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ดำรงอยู่ในสมณธรรม สมควรแก่ภาวะ สามารถธำรงและสืบต่อพระพุทธศาสนาให้เจริญ สถาพรตอ่ ไป และถา้ หากพระภิกษุสามเณรเหล่าน้ีลาสิกขาบทไปแล้ว สามารถเข้าศึกษาต่อในสถานศึกษา ของรัฐได้ หรือเข้าราชการสร้างประโยชน์ให้ก้าวหน้าให้แก่ตนเองและบ้านเมืองสืบต่อไปด้วยเช่นกัน ใน ระยะเร่ิมแรกมีเจ้าอาวาส 51 แห่ง รายงานเสนอจัดต้ังต่อกรมศาสนา เดิมน้ันโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา สังกัดกรมศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ปัจจุบันได้ย้ายไปสังกัดกองพุทธศาสนศึกษา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน และศึกษา รายวิชาภาษาบาลีและธรรมวินัยเพ่ิมเติม ภายใต้กฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิในการจัดการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน โดยสถาบันพระพทุ ธศาสนา พ.ศ. 2548 (กองพุทธศาสนศกึ ษา, ม.ป.ป.) ปัจจุบันการจัดการศึกษาของคณะสงฆ์มีอยู่ด้วยกัน 3 แผนก ได้แก่ โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม แผนกบาลี และแผนกสามัญศึกษา ในด้านแผนกธรรมและแผนกบาลีน้ัน เป็นการจัด การศึกษาเฉพาะด้านหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาล้วน ๆ ไม่มีวิชาสามัญศึกษาเข้าไปปะปน ส่วน แผนกสามัญศึกษานั้นเป็นการจัดการศึกษาที่ผสมผสานกันทั้งหลักสูตรแผนกธรรม แผนกบาลี และ หลักสูตรสามัญศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการเข้าด้วยกัน เน้นจัดการศึกษาวิชาสามัญตามหลักสูตร การศกึ ษาข้นั พ้นื ฐานของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) 8 กลุ่มสาระ มีการแทรกการจัดการศึกษาแผนกธรรม แผนกบาลีเข้าไปดว้ ยเลก็ น้อย แต่ก็ยังมเี น้ือหามากกวา่ วชิ าพระพุทธศาสนาในโรงเรียนท่ัวไป โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐ เป็นการจัด การศึกษาทวี่ ดั ทำการจดั การเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาให้แก่พระภกิ ษุและสามเณร ให้มีโอกาสได้ ศึกษาเล่าเรียนวิชาพระพุทธศาสนาตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมของคณะสงฆ์ ควบคู่ไปกับวิชา

302 สามัญตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐานของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) 8 กลุ่มสาระ ประกอบด้วย 1) ภาษาไทย 2) คณิตศาสตร์ 3) วิทยาศาสตร์ 4) สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 5) สุขศึกษาและพล ศึกษา 6) ศิลปะ 7) การงานอาชีพและเทคโนโลยี 8) ภาษาต่างประเทศ นอกจากน้ัน ยังสนองงานคณะ สงฆ์ด้วยการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรแผนกธรรมและแผนกบาลี เพื่อสนองนโยบายการจัด การศึกษาของมหาเถรสมาคม (มส.) อีกด้วย ซ่ึงปัจจุบันมีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ท่ัว ประเทศ จำนวน 406 แห่ง และมีนักเรียนทั้งหมดจำนวน 35,967 รูป (ไทยรัฐออนไลน์, 2563) สามารถ เข้าชมเว็บไซตข์ องโรงเรยี นพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศกึ ษาทว่ั ประเทศ ได้ตามลิงค์นี้ แต่อาจมีบางส่วน อย่ใู นระหวา่ งการปรับปรงุ (http://www.prapariyat.com/school_result.php?page=&school_area=&province_id=&txtse arch=) ปัจจบุ ันได้มีพระราชบัญญัติการศึกษาพระปรยิ ัติธรรม พ.ศ. 2562 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 136 ตอนที่ 50 ก ประกาศใช้ในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2562 ระบุให้มีการเทียบเท่าคุณวุฒิ การศกึ ษาดังนี้ มาตรา 21 ให้การศึกษาพระปริยัติธรรมท่ีได้จัดให้แก่สามเณรซึ่งเป็นเด็กตามกฎหมายว่าด้วย การศึกษาภาคบังคับและมีพื้นความรู้ไม่ต่ากว่าระดับประถมศึกษาปีที่หกหรือเทียบเท่า ซึ่งได้ศึกษาวิชา สามัญเพิ่มเติมตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วย การศกึ ษาแหง่ ชาตกิ ำหนดโดยคำแนะนาของมหาเถรสมาคม เปน็ การศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน ดงั ต่อไปน้ี (1) แผนกธรรมสนามหลวง ชัน้ นักธรรมเอก เปน็ การศกึ ษาในระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ (2) แผนกบาลสี นามหลวงช้ันเปรยี ญธรรมสามประโยค เป็นการศึกษาในระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย มาตรา 22 ให้ผเู้ รียนที่พน้ การศึกษาภาคบังคับซ่ึงได้สาเร็จการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกธรรม สนามหลวง และแผนกบาลสี นามหลวง มวี ทิ ยฐานะ ดงั ตอ่ ไปนี้ (1) แผนกธรรมสนามหลวง ชน้ั นักธรรมเอก มวี ิทยฐานะระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น (2) แผนกบาลีสนามหลวงชัน้ เปรียญธรรมสามประโยค มวี ิทยฐานะระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย มาตรา 23 ให้การศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ท่ีได้จัดให้แก่พระภิกษุและสามเณร เป็นการศกึ ษาระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ หรือระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย แล้วแตก่ รณี มาตรา 24 ให้ผู้สาเร็จการศึกษาตามหลักสูตรพระปริยัติธรรม แผนกธรรมและแผนกบาลี สนามหลวง ช้ันเปรียญธรรมเก้าประโยค มีวิทยฐานะระดับปริญญาตรี เรียกว่า “เปรียญธรรมเก้า ประโยค” ใชอ้ ักษรย่อว่า “ป.ธ. 9” (ราชกจิ จานเุ บกษา, 2563) 3.2 ดา้ นการปกครอง ปัจจุบันการปกครองคณะสงฆ์ได้มีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และแก้ไขเพ่ิมเติมโดย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2535 ใช้เป็นกฎหมายในการบังคับใช้ในการปกครอง มีสมเด็จ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 303 พระสังฆราช ผู้ทรงบัญชาคณะสงฆ์ใน 2 ตำแหน่ง คือ โดยดำรงตำแหน่งมหาสังฆปรินายก หรือประมุข ของสงฆ์ไทยและดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคม และมีมหาเถรสมาคม สมเด็จพระราชา คณะทุกตำแหน่ง และพระราชาคณะ ซ่ึงแต่งต้งั โดยสมเด็จพระสังฆราช จำนวนไม่เกิน 12 รูป เป็นองค์กร หลักเพื่อทำหนา้ ท่ีในการปกครองคณะสงฆ์ใหเ้ ป็นไปโดยเรียบร้อยและดงี าม โดยกำหนดให้มอี ำนาจในการ ตราบทบัญญัติ (การนิติบัญญัติ) การปกครอง (การบริหาร) และการวินิจฉัยอธิกรณ์ (การลงนิคหกรรม) รวมอยู่ในมหาเถรสมาคม โดยให้เขตการปกครองแยกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายมหานิกายและฝ่ายคณะ ธรรมยตุ มีเจ้าคณะใหญ่แต่ละฝ่ายเป็นผู้ปกครอง ตามมาตรา 7, 8, 12, 15 ตรี, 15 จัตวา, 20, 25 และมี อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง และให้กรมการศาสนาทำหน้าท่ี สำนักงานเลขาธิการมหาเถรสมาคม การปกครองคณะสงฆส์ ่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้มีคณะใหญ่ปฏิบัติ หน้าที่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ การปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาคให้จัดแบ่งเขตปกครองประกอบด้วย (1) ภาค (2) จังหวัด (3) อำเภอ (4) ตำบล โดยให้มีพระภิกษุเป็นผู้ปกครองตามขั้นลำดับคือ (1) เจ้าคณะภาค (2) เจ้าคณะจังหวัด (3) เจ้าคณะอำเภอ (4) เจ้าคณะตำบล ส่วนการแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์ เจ้า อาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระภิกษุอันเกี่ยวกับตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ตำแหน่งอ่ืน ๆ และไวยาวัจกร ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎมหาเถรสมาคม ตามความในมาตรา 21, 22, 31, 37 ส่วนมาตราที่ 13 ได้กำหนดให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นตัวแทนภาครัฐใน การทำหน้าที่ในการประสานงานและอำนวยความสะดวกแก่คณะสงฆ์และมหาเถรสมาคมในการปฏิบัติ หน้าทใ่ี นการปกครองและปกปอ้ งพระพทุ ธศาสนา (วรชยั แสนสิระ, 2552, หนา้ 132-133) ต่อมาได้มีการเปลียนแปลงข้ึนคือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณาแก้ไขมาตรา 7 ท่ี ระบุว่า “พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หน่ึง ในกรณีตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ว่างลงให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม เสนอสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด โดยสมณศักดิ์ข้ึนทูลเกลา้ ฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเดจ็ พระสังฆราช และในกรณีท่สี มเดจ็ พระราชาคณะผู้ มีอาวุโสสูงสุด โดยสมณศักดิ์ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถร สมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นผู้มีอาวุโส โดยสมณศักด์ิ รองลงมาตามลำดับและสามารถ ปฏิบัตหิ น้าที่ได้ ขึ้นทูลเกลา้ ฯ เพ่ือทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช” และมาตรา 8 ที่ระบุว่า “สมเด็จ พระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก ทรงบัญชาคณะสงฆ์และทรงตราพระบัญชาสมเด็จ พระสังฆราช โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัยและกฎมหาเถรสมาคม” โดยผ่านความ เห็นชอบ 3 วาระรวด โดยลงมติรับหลักการในวาระที่ 1 ด้วยคะแนน 184 : 0 งดออกเสียง 5 โดยไม่มีผู้ คัดค้านเพ่ือพิจารณาในวาระท่ี 2 ใช้เวลาเพียง 5 นาที โดยไม่มีผู้ใดอภิปราย จากน้ันเข้าสู่การลงมติใน วาระที่ 3 โดย สนช. ด้วยคะแนนเป็นเอกฉันท์ 182 : 0 งดออกเสียง 6 เพ่ือประกาศ พ.ร.บ.สงฆ์ ให้เป็น กฎหมายต่อไป ทั้งน้ีการพิจารณากฎหมายดังกล่าว สนช.ใช้เวลารวมกันเพียง 1 ชั่วโมง (ข้อมูลจาก หนงั สอื พิมพ์มติชน ฉบับวนั ท่ี 30 ธันวาคม 2559 หน้า 10) (ธวชั ชยั พกิ ลุ แกว้ , 2560)

304 สมชาย สุรชาตรี (2558) ได้กล่าววา่ มหาเถรสมาคม ปกครองดูแลคณะสงฆใ์ นภาพรวม เจ้าคณะ หนใหญ่ปกครองเจ้าคณะภาค เจ้าคณะภาคปกครองเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัดปกครองเจ้าคณะ อำเภอ เจ้าคณะอำเภอปกครองเจ้าคณะตำบลตามลำดับ นั่นเอง ซึ่งเจ้าคณะตำบล นอกจากการปกครอง คณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงามแล้ว ยังมีหน้าท่ีระงับอธิกรณ์ วินิจฉัยการลงนิคหกรรม วินิจฉัยข้อ อุทธรณ์คำสัง่ หรอื คำวินิจฉัยช้ันเจา้ อาวาส แก้ไขข้อขดั ข้องของเจ้าอาวาสให้เป็นไปโดยชอบ ควบคุมบังคับ บัญชาเจ้าอาวาสและพระภิกษุสามเณรผู้อยู่ในบังคับบัญชาหรือผู้อยู่ในปกครองของตน ตรวจการและ ประชมุ พระสังฆาธกิ ารในเขตการปกครองของตน ในสถานการณ์ปัจจุบัน มักมีคำถามกันมากว่า ทำไมมหาเถรสมาคมไม่ลงมาจัดการกับปัญหาท่ี เกิดข้ึนกับวัดกับความประพฤติของเจ้าอาวาสท่ีผิดกฎหมายผิดพระธรรมวินัยโดย เร่อื งนี้หากพิจารณาถึง สภาพปัจจุบัน ประเทศไทยมีวัดทั่วประเทศ จำนวน 39,481 วัด (ข้อมูลวันที่ 29 มกราคม 2558) (สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, 2563) ถ้านำเรือ่ งเกี่ยวกับวัดทุกเร่ืองเขา้ สู่มหาเถรสมาคม อาจจะผิด ข้ันตอนการปกครองคณะสงฆ์ ไม่เป็นไปตามระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ท่ีกำหนดไว้แล้วในกฎมหาเถร สมาคมและเป็นการเพ่ิมภาระให้แก่มหาเถรสมาคมมากเกินไป ดังนั้น จึงถือเป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาสท่ี จะต้องดำเนินการชำระสะสางคดีความในวัดให้เป็นที่เรียบร้อย ไม่ต้องแจ้งมหาเถรสมาคมให้ลงมา สอบสวน เจ้าอาวาสมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการต้ังคณะกรรมการข้ึนชำระอธิกรณ์ตามกฎมหาเถร สมาคม ฉบับท่ี 11 (พ.ศ. 2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม กล่าวคือแบ่งหน้าที่ให้มีการปกครองเป็นลำดับ ชั้น น่ันเอง 3.3 ดา้ นการเผยแผ่ บทบาทและหนา้ ทขี่ องพระธรรมทตู ในการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาในตา่ งประเทศ พระมหาศิวกร ปญฺญาวชิโร, พระครูใบฎีกาเฉลิมพล อริยวํโส และพระสุกฤษฏ์ิ ปิยสีโล (2564, หน้า 129-130) ได้สรุปเป็นองค์ความรู้ในบทความวิจัยเรื่อง บทบาทและหน้าท่ีของพระธรรมทูตจากอดีต สปู่ ัจจบุ ัน ไว้อยา่ งนา่ สนใจดังนี้ 1) การยดึ หลักการด้ังเดิมในสมัยพุทธกาล คือ วิธีการท่ีพระพุทธองค์ทรงส่งพระสาวกไปประกาศ พระศาสนาสายละ 1 รูป ไม่ให้ไปทางเดียวกัน (เน่ืองจากยังมีพระสาวกน้อยในขณะนั้น) และยึดหลักการ ดง้ั เดิมหลังพุทธกาล คอื วิธีการท่ีพระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งพระสมณทูตไปประกาศพระศาสนา 9 สาย หลังการทำสังคายนาคร้ังที่ 3 ซ่ึงถือว่าต้นแบบของการส่งพระธรรมทูตไปประกาศศาสนธรรมท่ัวโลกใน ปัจจุบัน เพราะเปน็ ลกั ษณะการจารกิ ไปเป็นหมคู่ ณะและต่างถิ่นอันไกลโพน้ 2) การพัฒนารูปแบบองค์กรการทำงานด้านการเผยแผ่ เรียกว่า แม่กองงานพระธรรมทูต โดยมี รองแม่กองงาน 2 รูป เป็นฝ่ายมหานิกาย 1 รูป และเป็นฝ่ายธรรมยุตินิกาย 1 รูป นอกเหนือจากน้ัน ยัง แบ่งเป็น 2 ประเภทหรือ 2 สาย คือ พระธรรมทูตในประเทศและพระธรรมทูตในต่างประเทศ สายใน ประเทศแยกเป็น 9 สาย ซง่ึ สอดคลอ้ งกับสมณทตู สมัยพระเจา้ อโศกมหาราช

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 305 3) การบริหารกิจการคณะสงฆ์ 6 ด้าน นับเป็นกรอบการทำงานของพระธรรมทูตท่ีมีความร่วม สมัยกับสังคมยุคปัจจุบัน เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการคณะสงฆ์ท้ัง 2 ฉบับ คือพระราชบัญญัติคณะ สงฆ์ พ.ศ. 2484 ในหมวด 3 ว่าด้วยคณะสังฆมนตรี มาตรา 33 ความว่า “ให้จัดระเบียบบริหารการคณะ สงฆ์ส่วนกลางเป็นองค์การต่าง ๆ คือ (1) องค์การปกครอง (2) องค์การศึกษา (3) องค์การเผยแผ่ (4) องค์การสาธารณูปการ” และพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และ (ฉบับที่ 2) แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 ในหมวด 2 ว่าด้วยมหาเถรสมาคม มาตรา 15 ตรี ความว่า “มหาเถรสมาคมมีอานาจหน้าท่ี ดังต่อไปนี้ (1) ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม (2) ปกครองและกำหนดการบรรพชา สามเณร (3) ควบคุมและส่งเสริมการศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่ การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์” จะเห็นได้ว่า พระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับ ได้กำหนดกรอบการ ทำงานของพระธรรมทูตไว้ชัดเจน 6 ด้าน คือ 1) ด้านการปกครอง 2) ด้านการศาสนศึกษา 3) ด้าน การศึกษาสงเคราะห์ 4) ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา 5) ด้านการสาธารณูปการ และ 6) ด้านการสา ธารณสงเคราะห์ สว่ นวิธกี ารแสดงบทบาทและปฏิบตั ิหน้าท่ีของพระธรรมทูตจำเป็นต้องศึกษาและพัฒนา อย่างต่อเนื่อง เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายท่ีต้ังไว้ในสังคมยุคโลกาภิวัตน์ให้ได้รับการอนุเคราะห์ ประโยชน์ เก้ือกูล และความสุขโดยพร้อมเพรียงกัน สมดังท่ีพระพุทธองค์ทุก ๆ พระองค์ได้ทรงแสดงเจตน์จำนงไว้ โดยตรสั ไว้ในทีฆนิกาย มหาวรรคว่า “จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺ ถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํ มา เอเกน เทฺว อคมิตฺถ เทเสถ ภิกฺขเว ธมฺมํ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺ ยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสถ สนฺตีธ สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา อสฺสวนตา ธมฺมสสฺ ปรหิ ายนฺติ ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส อญฺญาตาโร อปิจ ฉนฺนํ ฉนฺนํ วสฺ สานํ อจฺจเยน พนฺธุมตี ราชธานี อุปสงฺกมิตพฺพา ปาติโมกฺขุทฺเทสายาติ” (ที.ม. (บาลี) 10/52/53-55) แปลวา่ ภิกษุทง้ั หลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไปเพอ่ื ประโยชน์แก่ชนเป็นอนั มาก เพื่อความสุขแกช่ นเป็นอัน มาก เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เพ่ือเกื้อกูล เพ่ือความสุขแก่เทพดาและมนุษย์ท้ังหลาย แต่ อย่าได้ไปทางเดียวกันสองรูป เธอทั้งหลายจงแสดงธรรมงามในเบ้ืองต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จง ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบรู ณ์ส้ินเชิง ในโลกน้ี สัตว์พวกท่ีมีกเิ ลส เพยี งดงั ธลุ ีในจกั ษุเบาบางยังมีอยู่ เพราะไมไ่ ด้ฟังธรรม สัตว์พวกน้ันจึงเส่ือมเสียไป ผทู้ ี่รู้ทั่วถงึ ธรรมได้ยังจัก มีแตว่ ่าโดยหกปี ๆ ล่วงไปพวกเธอพงึ กลับมายงั พระนครพนั ธมุ ดรี าชธานี เพือ่ แสดงปาติโมกข์ บทบาทและหน้าท่ีของพระธรรมทูตมีเป้าหมายหลักคือ การประกาศพระศาสนาให้กับบุคคลอื่น ได้เรียนรู้และเขา้ ใจหลักธรรมคำสอนท่ีแท้จริงของพระพุทธองค์ โดยยึดแนวทางของพระธรรมทูตต้นแบบ ตั้งแต่สมัยพุทธกาล หลังพุทธกาล และพระธรรมทูตยุครว่ มสมัย พระธรรมทูตควรได้รบั การอบรมด้วยดใี น หลาย ๆ ด้าน เช่น ด้านการปฏิบัติตามหลักพระธรรม วินัย ด้านการเผยแผ่หลักธรรมด้วย ภาษาต่างประเทศ ด้านเทคนิคการเผยแผ่หลักธรรมด้วยสื่อ เทคโนโลยี เป็นต้น โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงการนำ เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้เพ่ือสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาว เป็นประโยชน์เกื้อกูลและ

306 ความสุขแก่ชาวโลก สอดคล้องกับผลการวิจัยของ พระมหาสุเทพ สุวฑฺฒโน (เหลาทอง) (2561, หน้า 1363-1364) ท่ีกล่าวว่า การเผยแผ่ของพระธรรมทูตใช้กลยุทธ์หลักท่ีพระพุทธองค์ทรงใช้ในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาในชว่ งเร่มิ ต้นประกาศพระศาสนา คือ เจาะจงเผยแผ่แก่ชนช้ันนำและชนชั้นปกครองก่อน เพื่อจูงใจ และดึงดูดให้ชาวเมืองจำนวนมากให้มาสนใจพระพุทธศาสนา โดยเน้นประโยชน์ในชาติน้ี ประโยชน์ชาติหน้า และประโยชน์อย่างยิ่ง และนำกลยุทธ์ 2 ระดับคือ กลยุทธ์ระดับหน่วยงานและระดับ บุคคลมาบูรณาการกัน กล่าวคือ กลยุทธ์ระดับหน่วยงาน ประกอบด้วย 1) กำหนดเป้าหมายหลักและ แนวทางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ชัดเจนและประชาสมั พันธ์ให้ทั่วถึง 2) จัดทำฐานขอ้ มูลของวัดใน ต่างประเทศและพระธรรมทูตสายต่างประเทศให้เป็นปัจจุบัน 3) สร้างฐานข้อมูลกลางในการรวบรวม ข้อมูลเก่ียวกับประวัติของประเทศต่าง ๆ 4) จัดทำฐานข้อมูลของหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นสอง ภาษา เชน่ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ หรอื ภาษาบาลีและภาษาอังกฤษ และกลยุทธ์ระดับบุคคลหรือกล ยทุ ธ์สำหรบั พระธรรมทูตสายต่างประเทศ ประกอบด้วย 1) รูเ้ ขารู้เรา ด้วยการวิเคราะหต์ นเอง ประเทศที่ จะไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา และแนวโน้มการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในอนาคต และ 2) พัฒนาตนเอง ด้านความรู้ในพระพุทธศาสนา ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ โดยเฉพาะด้านการสอนกรรมฐาน ด้านจริย วตั ร และด้านภาษาองั กฤษและภาษาทอ้ งถน่ิ ดังนั้น งานพระธรรมทูตจึงเป็นหน้าที่โดยตรงของพระภิกษุสามเณรทุกรูปท่ีต้องปฏิบัติตาม กำลังสติปัญญาและความสามารถ เนื่องจากว่า พระพุทธศาสนาเป็นมรดกทางวัฒนธรรมท่ีล้ำค่าและเอ้ือ ประโยชน์สุขแก่ผู้ปฏิบัติอย่างแท้จริง สมควรได้รับการสืบทอดร่วมกัน แม้โลกจะเจริญไปมากด้วยวัตถุ เพยี งใดกต็ าม ความเจริญทางดา้ นจติ ใจของมวลมนษุ ยชาติกค็ วรได้รับการพัฒนาใหเ้ จรญิ ควบคู่กนั ไป โดย การน้อมนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์มาศึกษาให้เข้าใจแจ่มแจ้ง (ปริยัติ) นำมาปฏิบัติให้ถูกต้อง (ปฏิบัติ) และเห็นผลของการปฏิบัติด้วยตนเอง (ปฏิเวธ) เพ่ือให้โลกเกิดสันติสุขอย่างแท้จริง ดังน้ัน การ ประกาศพระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตจงึ ตอ้ งพฒั นาและปรบั วิธกี ารให้ทนั ตอ่ ยุคสมยั โดยไมท่ ้งิ หลกั การ ทางพระพุทธศาสนา ได้แก่ หลักพระธรรมวินัยท่ีถือว่า มีลักษณะคล้ายหลักการทางรัฐศาสตร์และ นิติศาสตรท์ ่ตี อ้ งปฏบิ ัติควบคูก่ ัน โดยมเี ปา้ หมายสูงสดุ คอื เพื่อให้เกดิ สนั ติสขุ แกม่ วลมนษุ ยชาติท่ัวโลก 4. สรุปทา้ ยบท ปัจจุบันพระพุทธศาสนา ได้เจริญอยู่ในประเทศแถบเอเชีย จนได้นามว่าประทีปแห่งทวีปเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทยได้ชื่อวา่ เป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธ เพราะศาสนาพุทธเจริญย่ิงกวา่ ประเทศอื่น ชาวไทยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์เป็นพุทธศาสนิกชน จนศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทยทั้งองค์ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะท้ังพฤตินัยและนิตินัยและประเทศไทยยังได้รับเลือกให้ เปน็ ทต่ี ั้งถาวรขององค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แหง่ โลกอีกดว้ ย แต่ละปีจะมชี าวต่างประเทศจำนวนไม่น้อย เข้ามาบรรพชาอุปสมบทอยู่เสมอ จึงมีพระภิกษุสามเณรชาวต่างชาติเป็นจำนวนมากในประเทศไทย เช่น

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 307 ที่วัดป่านานาชาติจังหวดั อบุ ลราชธานี เป็นต้น และบรรดาท่านเหลา่ น้นั บางรปู ก็ได้เดินทางกลบั ไปเผยแผ่ ศาสนาในประเทศของตนกลายเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่ศาสนาพุทธเป็นอย่างดีจึงทำให้ศาสนาพุทธ ขยายไปสปู่ ระเทศต่าง ๆ ท่นี ับถอื ศาสนาอื่น ทั้งในเอเชยี ยโุ รปอเมรกิ า และออสเตรเลยี การที่ศาสนาพุทธแผ่ขยายเข้าไปในต่างประเทศท่ีนับถือศาสนาอ่ืนได้ก็เพราะศาสนาพุทธเป็น ศาสนาแห่งปัญญาและเมตตาธรรมคำสั่งสอนในศาสนาพุทธเป็นความจริงตามธรรมชาติ จึงสอดคล้องกับ วทิ ยาศาสตร์เป็นเรื่องเหตุผลท้ังศาสนาพุทธก็สอนให้ใช้ปัญญาขบคิดพิจารณาในเร่ืองต่าง ๆ ตลอดถึงการ ดำเนินชวี ิต เป็นตัวของตัวเองไม่เช่ือตามใครและศาสนาพุทธเปน็ ศาสนาแห่งเมตตาธรรม ไม่เบยี ดเบยี นทำ ร้ายใคร มีแต่ให้ความรักให้อภัยต่อกัน ดังนั้น เม่ือศาสนาพุทธเผยแผ่เข้าไปในประเทศไหนก็จะไม่เป็นที่ รังเกียจของคนในศาสนาอ่ืนเพราะศาสนาพุทธไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร และมีลักษณะเด่นท่ีสำคัญคือ มีหลักธรรมคำสอนท่ีสามารถปฏิบัติได้จริง พิสูจน์ได้ไม่จำกัดกาลเวลา ผู้ปฏิบัติสามารถรู้ได้เฉพาะตน มี เพียงบางเร่ืองที่พิสูจน์ได้ยากและเป็นที่กังขาของคนทั่วไป เช่น เร่ืองปาฏิหาริย์ต่างๆ ที่ปรากฏใน พระไตรปิฎก แต่นั่นยังไม่ใช่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธองค์ทรงให้หลักยึดในการปฏิบัติ คอื การรกั ษาพระธรรมและพระวนิ ยั เป็นหลัก เน้นการปฏบิ ัตบิ ชู า มากกว่าอามิสบูชา นน่ั เอง ดังกลา่ วแล้ว ประเทศทั่วโลกที่ศาสนาพุทธแผ่เข้าไปถึง จะมีสมาคมพุทธศาสนาบ้างออกวารสารทางพุทธ ศาสนาบ้าง จดั ต้งั สำนักสงฆ์จนถึงวดั เพอื่ เปน็ ศูนยก์ ลางการศึกษาและปฏิบัตธิ รรมตลอดท้ังการเผยแผ่พทุ ธ ศาสนาบ้าง จึงมีกลุ่มและสมาคมที่เก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนาในต่างประเทศท่ัวโลกกว่า 1,000 แห่ง และต่อมาชาวพุทธนานาชาติได้จัดฉลองวันวิสาขบูชาโลกในประเทศไทยและมีมติให้พุทธมณฑลเป็น ศนู ย์กลางพระพทุ ธศาสนาโลกมรี ายละเอียดดังกลา่ วแล้ว ย่ิงกว่าน้ัน แม้ประเทศเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์อย่างประเทศจีนท่ีก่อนหน้านี้ มีการหันไปนบั ถอื ศาสนาอ่ืน ๆ ไปพกั ใหญ่ ตามผู้นำสงู สุดของประเทศ ปัจจุบันได้หันมานับถอื ศาสนาพุทธ อีกครั้ง จึงทำให้มีจำนวนพุทธศาสนิกชนท่ัวโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมีมากกว่า 390 ล้านคน อีกทั้งองค์การ พุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกก็คอยเป็นศูนย์กลางจัดให้ชาวพุทธท่ัวโลกมาประชุมทำให้ทราบความเป็นไป ของศาสนาพุทธในประเทศต่าง ๆ หากมีอุปสรรคอันใดก็ช่วยกันแก้ไขท้ังคอยประสานความแตกต่าง ระหว่างนิกายต่าง ๆ จึงทำให้ศาสนาพุทธเป็นเอกภาพและเป็นนิมิตหมายท่ีสำคัญในการเผยแผ่ศาสนาให้ แพรห่ ลายย่ิง ๆ ขึน้ ไป ดังนั้น ในบทนี้นักศึกษาได้ศึกษาความรู้พื้นฐานของพระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธควรศึกษา อัน ประกอบด้วย คัมภีร์ในศาสนา หลักคำสอนท่ีสำคัญ พิธีกรรมที่สำคัญ สัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ลักษณะเด่นของพระพุทธศาสนา ทำให้เห็นภาพรวมว่าพระพุทธศาสนาน้ันทรงคุณค่าและเป็นประโยชน์ ต่อชาวโลกเพยี งใด เพราะเป็นศาสนาทีส่ ามารถพิสูจนไ์ ด้จริง ทา้ ให้มาพิสจู นด์ ้วยตนเอง เป็นวทิ ยาศาสตรท์ ี่ เหนือกว่าวิทยาศาสตร์ เป็นศาสนาแห่งความจริง ไม่จำกัดเวลาในการน้อมนำมาปฏิบัติทดลองหรอื พิสูจน์ ไดร้ ับผลของการปฏิบัติอย่างแน่นอน ไมช่ ้ากเ็ ร็ว ขน้ึ อยกู่ ับสติ ปัญญา บุญ บารมี ความสามารถ และความ

308 เพียรของแต่ละบุคคล และสถานการณ์ของพระพุทธศาสนาท่ีสำคัญในปัจจุบัน ประกอบด้วย ด้าน การศึกษา ด้านการปกครอง และด้านเผยแผ่ มีรายละเอียดดังกล่าวมาในเบื้องต้น แต่ความจริงแล้ว สถานการณ์ของพระพุทธศาสนาท่ีสำคัญในปัจจุบันยังมีอีกมากหลายประเด็น แต่ไม่อาจนำมากล่าวในที่น้ี ได้ท้ังหมด เนื่องจากไม่มีพื้นที่และเวลาเพียงพอ ผู้สนใจพึงนำแนวทางจากการศึกษาในบทนี้ไปศึกษาและ ค้นควา้ ด้วยตนเองตอ่ ไป

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 309 คำถามทา้ ยบท 1. นกั ศึกษามองว่า การก่อตั้งมหาวิทยาลัยสงฆส์ องแห่ง จนได้รับการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา มี ประโยชนต์ ่อสังคมไทยหรือสงั คมโลกอย่างไร อธบิ ายพอสงั เขป 2. การท่ีสมัชชาสหประชาชาติมีมติให้วันวสิ าขบูชาเป็นวันสำคัญสากลและการท่ีชาวพทุ ธนานาชาติมมี ติ ให้พทุ ธมณฑลเป็นศนู ย์กลางพระพุทธศาสนาโลกนั้น นักศึกษาเห็นประโยชนอ์ ะไรบ้าง จากมติทั้งสอง อย่างน้ี และประเทศไทยควรทำประโยชน์จากมติทั้งสองอย่างนี้ได้อย่างไรบ้าง จงให้เหตุผลประกอบ แนวคดิ นั้น 3. ความรูพ้ น้ื ฐานของพระพุทธศาสนาท่ีชาวพุทธควรศึกษา ประกอบด้วย คัมภรี ์ในศาสนา หลกั คำสอนที่ สำคัญ พิธีกรรมที่สำคัญ สัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ลักษณะเด่นของพระพุทธศาสนา นักศึกษา มองวา่ ประเดน็ ใดสำคัญทสี่ ดุ เพราะเหตุใด ใหเ้ หตุผลและยกตวั อยา่ งประกอบ 4. ให้นักศึกษาค้นคว้าหาความรู้เก่ียวกับมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และ กรมการศาสนา ว่ามีกลยทุ ธ์ พันธกิจ บทบาทและหน้าที่ในการเผยแผ่และทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ในปจั จุบันอย่างไร อธิบาย 5. นกั ศึกษาคดิ ว่าพุทธศาสนกิ ชนควรปฏิบัติตนเชน่ ไรให้เหมาะสมกับคำวา่ เป็นชาวพุทธในบตั รประชาชน อธิบายตามความเข้าใจและทศั นคติของตนเอง

310 เอกสารอ้างอิงประจำบทท่ี 8 กองพุทธศาสนศึกษา. (ม.ป.ป.). ประวัติความเป็นมาของการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา. สื บ ค้ น 2 0 เม ษ า ย น 2 5 6 3 , จ า ก https://deb.onab.go.th /th/content/page/ index/id/6647 ไทยรัฐออนไลน์. (2563, 21 มีนาคม). คณะสงฆ์จัดการเรียนการสอนโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนก ส ามั ญ ศึ ก ษ า. สื บ ค้ น 2 9 มี น าค ม 256 3 ,จาก https://www.thairath.co.th/news/ society/1799619 ธวัชชยั พิกุลแก้ว. (2560, 17 มกราคม). ปกครองคณะสงฆ์. มติชนออนไลน์. สืบค้น 16 กรกฎาคม 2564, จาก https://www.matichon.co.th/columnists/news_428214 พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). (2552). กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก. (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 3). กรงุ เทพฯ: ผลิธัมม์. พระมหาศิวกร ปญฺญาวชิโร, พระครูใบฎีกาเฉลิมพล อริยวํโส และ พระสุกฤษฏ์ิ ปิยสีโล. (2564). บทบาท และหนา้ ท่ขี องพระธรรมทตู จากอดตี สูป่ ัจจบุ นั . วารสารบณั ฑิตแสงโคมคา, 6(1), 116-131. พระมหาสมศักด์ิ ญาณโพโธ. (2517, 27 กุมภาพันธ์). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. สืบค้น 22 พฤศจิกายน 2560, จาก http://palungjit.org/threads/ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา-เถร วาท-มหายาน-พระมหาสมศกั ดิ์-ญาณโพโธ.75562/ พระมหาสุเทพ สุวฑฺฒโน (เหลาทอง). (2561). กลยุทธ์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตสาย ตา่ งประเทศ. วารสารมหาจฬุ านาครทรรศน์, 6(3), 1363-1378. พระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. 2562. (2563, 16 เมษายน). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 136 ตอนที่ 50 ก. หน้า 11-21. ฟน้ื ดอกบวั . (2542). พระพทุ ธศาสนากับคนไทย. กรงุ เทพฯ: ศิลปาบรรณาคาร. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . วรชัย แสนสิระ. (2552). พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ กับการปกป้องพระพุทธศาสนาในสถานการณ์ปัจจุบัน. จลุ นิติ, 6(4), 131-138. วิกีพีเดียสารานุกรมเสรี. (2562). โรงเรียนพระปริยัติธรรม. สืบค้น 16 กรกฎาคม 2564, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/โรงเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรม สมชาย สุรชาตรี. (2558). การปกครองคณะสงฆ์ไทย. 9 มีนาคม 2564, จาก https://www.onab. go.th/ th/content/category/detail/ id/57/iid/2474

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 311 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. (2514). พุทธศาสนสุภาษิต เล่ม 1. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกุฏราชวทิ ยาลยั . สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. (2563, 2 มกราคม). จำนวนวัดในประเทศไทย. สืบค้น 10 มิถุนายน 2 5 6 4 , จ า ก data. go. th: https: / / opendata. data. go. th/ dataset/ item_cf 803535-9696-49b1-912a-700d47beb781 สุชีพ ปุญญานภาพ. (2539). พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน. (พิมพ์คร้ังที่ 16). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย. Moodle. (ม .ป .ป .). บุ ญ . อ ภิ ธ า น ศั พ ท์ (อี ส า น ). สื บ ค้ น 22 พ ฤ ศ จิ ก า ย น 2560, จ า ก https://moodle.org/mod/glossary/view.php?id=บุญ&fullsearch=1

312 บรรณานุกรม กองพุทธศาสนศึกษา. (ม.ป.ป.). ประวัติความเป็นมาของการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา. สื บ ค้ น 2 0 เม ษ า ย น 2 5 6 3 , จ า ก https://deb.onab.go.th /th/content/page/ index/id/6647 กัลยาณมิตรเพื่อนแท้สำหรับคุณ. (2559, 23 มิถุนายน). ศาสนา. สืบค้น 21 ตุลาคม 2559, จาก http://www.kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=12496 กัลยามิตรเพื่อนแท้สำหรับคุณ. (2560, 21 มิถุนายน). พระพุทธศาสนาในตะวันตก. สืบค้น 20 เมษายน 2563, จาก https://www.kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=14212 โกสุม สายใจ. (2560). พุทธศิลป์กับการจัดการความรู้. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชพฤกษ์, 3(1), 1-9. จรรยา ประชิตโรมรัน. (2548). สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . จำเนียร ทองฤกษ์. (2548). ชีวประวัติพุทธสาวก (พระอสีติมหาสาวก) เล่ม 1 (พิมพ์คร้ังท่ี 3). กรุงเทพฯ: มูลนิธิพอ่ นวล แม่พัว ทรงฤกษ.์ ชยาภรณ์ สุขประเสริฐ. (2559). พุทธศิลป์: ถิ่นไทย ศิลปกรรมเพื่อพระพุทธศาสนา. ศูนย์อาเซียนศึกษา, 1(2), 59-74. ชูชิต ชายทวีป. (2558). มูลเหตุแห่งการเปลี่ยนพระราชหฤทัยของพระเจ้าอโศกมหาราชสู่การปกครองท่ี ทรงธรรม. วารสารวชิ าการ มหาวทิ ยาลัยกรงุ เทพธนบุรี, 4(2), 1-8. ณัฐพงษ์ สังข์กล่ินหอม. (ม.ป.ป.). มูลเหตุการณ์เกิดศาสนา. สืบค้น 20 เมษายน 2559, จาก https://sites.google.com/site/nathphngssangkhklinhxmiom/prawati เดือน คำดี. (2541). ศาสนศาสตร์. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. ทวีศักด์ิ กัญโญชัย (2550). พัฒนาการด้านศิลปวัฒนธรรมของไทย. สืบค้น 17 กรกฎาคม 2564, จาก http://www.satit.up.ac.th/BBC07/AroundTheWorld/hist/41.htm ไทยรัฐออนไลน์. (2563, 21 มีนาคม). คณะสงฆ์จัดการเรียนการสอนโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนก ส ามั ญ ศึ ก ษ า. สื บ ค้ น 2 9 มี น าค ม 256 3 ,จาก https://www.thairath.co.th/news/ society/1799619 ธวัชชยั พกิ ุลแก้ว. (2560, 17 มกราคม). ปกครองคณะสงฆ์. มติชนออนไลน.์ สืบค้น 16 กรกฎาคม 2564, จาก https://www.matichon.co.th/columnists/news_428214 ประทีป สาวาโย. (2545). สบิ เอ็ดศาสนาของโลก. กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร.์ ประยงค์ แสนบรุ าณ. (2548). พระพุทธศาสนามหายาน. กรงุ เทพฯ: สำนกั พิมพ์โอเดียนสโตร์.

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 313 พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. (ม.ป.ป.). ปรัชญา. สืบค้น 2 พฤศจิกายน 2560, จาก https://dictionary.orst.go.th/ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2554. (ม.ป.ป.). พุทธปฏิมากร. สืบค้น 10 มีนาคม 2561, จาก https://dictionary.orst.go.th/ พระครูศิริโสธรคณารักษ์ นาทองไชย. (2561). ต้นบัญญัติปฐมปาราชิก: มูลเหตุที่ทรงบัญญัติสิกขาบท ประเภทครุกาบัติในพระปาติโมกข์. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏอบุ ลราชธานี, 9(2), 227-236. พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ). (2548). ประวัติศาตร์พระพุทธศาสนา. (พิมพ์ครั้งท่ี 5). กรุงเทพฯ: โรง พิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลยั . พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). (2531). พระพุทธศาสนาในอาเซีย (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). (2552). กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก. (พมิ พ์ครงั้ ที่ 3). กรงุ เทพฯ: ผลิธัมม์. พระพรหมคุณ าภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). (2558). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม . (พมิ พค์ ร้ังที่ 30). กรงุ เทพฯ: มูลนธิ ิธรรมทานกุศลจติ . พระมหาดาวสยาม วชิรปญฺโญ. (2557). พุทธศาสนาในเวียดนาม (พิมพ์คร้ังท่ี 2). กรุงเทพฯ: เม็ดทรายพร้นิ ติ้ง. พระมหาดาวสยาม วชิรปญฺโญ. (2560). พระพุทธศาสนาในเส้นทางสายไหม, ประวัติศาสตร์, หลักฐาน ทางโบราณคดี และพัฒนาการการสร้างอารยธรรมของมนุษยชาติ. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยมหา จฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตขอนแกน่ . พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ. (2550). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย (พิมพ์คร้ังท่ี 2). กรุงเทพฯ: เม็ดทรายพร้นิ ต้ิง พระมหาประภาส ปริชาโน (แก้วเกตุพงษ์) และ พระมหาบุญไทย ปุญฺญมโน (ด้วงวงศ์). (2562). ววิ ัฒนาการพทุ ธศลิ ป์ในประเทศอนิ เดีย. วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ, 21(1), 53-61. พระมหาวิเชียร สิริวฑฺฒโน (ไกรฤกษ์ศิลป์) และ ภูริทัต ศรีอร่าม. (2562). การวิเคราะห์ประวัติและ ลักษณะพุทธศิลป์ของพระพุทธรูปสำคัญในสังคมไทย (รายงานผลการวิจัย).พระนครศรีอยุธยา: มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาลัยสงฆ์พุทธโสธร. พระมหาศิวกร ปญฺญาวชิโร, พระครูใบฎีกาเฉลิมพล อริยวํโส และพระสุกฤษฏิ์ ปิยสีโล. (2564). บทบาท และหนา้ ทขี่ องพระธรรมทูตจากอดตี สู่ปัจจบุ ัน. วารสารบณั ฑติ แสงโคมคา, 6(1), 116-131. พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ. (2546). กำเนิดและพัฒนาการแห่งพระพุทธรูป. สืบค้น 17 กรกฎาคม 2564, จาก https://www.mcu.ac.th/article/detail/502

314 พระมหาสมศักดิ์ ญาณโพโธ. (2517, 27 กุมภาพันธ์). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. สืบค้น 22 พฤศจิกายน 2560, จาก http://palungjit.org/threads/ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา-เถร วาท-มหายาน-พระมหาสมศักด์ิ-ญาณโพโธ.75562/ พระมหาสมศักด์ิ ญาณโพโธ. (ม.ป.ป.). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. สืบค้น 22 พฤศจิกายน 2560, จาก http://www.history.mbu.ac.th/buddhism/bud1-2.html พระมหาสากล สุภรเมธี (เดินชาบัน) และ พระราชปริยัติวิมล (ศรีสุระ). (2562). กำเนิดและพัฒนาการ พุทธศิลปวัตถุสมัยต่าง ๆ ในประเทศไทย. วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ มหาวิทยาลัยศรี นครินทรวโิ รฒ, 21(1), 45-52. พระมหาสิงขร ปริยตฺติเมธี. (2559). พระพุทธศาสนาในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช. วารสารพุทธมรรค, 1(1), 35-42. พระมหาสุเทพ สุวฑฺฒโน (เหลาทอง). (2561). กลยุทธ์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตสาย ตา่ งประเทศ. วารสารมหาจฬุ านาครทรรศน์, 6(3), 1363-1378. พระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. 2562. (2563, 16 เมษายน). ราชกิจจานุเบกษา. เลม่ 136 ตอนที่ 50 ก. หน้า 11-21. พระราชปัญญาเมธี (สมชัย กุสลจิตฺโต). (2548). พระพทุ ธศาสนา : แนวคิดเพื่อพัฒนาสังคมและการเมือง. กรุงเทพฯ: โครงการอบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั . พระราชวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ). (2534). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในจีน. กรุงเทพฯ: สุทธิสารการพิมพ์. ฟน้ื ดอกบวั . (2542). พระพทุ ธศาสนากบั คนไทย. กรุงเทพฯ: ศลิ ปาบรรณาคาร. ฟืน้ ดอกบวั . (2549). ศาสนาเปรยี บเทียบ. (พิมพค์ รงั้ ที่ 3). กรงุ เทพฯ : บูรพาสาส์น. ฟน้ื ดอกบัว. (2554). ประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ: ศิลปาบรรณาคาร. ฟน้ื ดอกบวั . (2554). ประวตั ิศาสตรพ์ ระพุทธศาสนาในนานาประเทศ. กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร. ภทั รวรรณ วนั ทนชัยสขุ . (2546). ความรู้เก่ียวกบั พระพทุ ธเจา้ . กรุงเทพฯ: ภมู ิปญั ญา. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . มหามกุฏราชวิทยาลัย. (2557). พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล (พิมพ์คร้ังที่ 8). นครปฐม: โรงพิมพ์ มหามกุฏราชวิทยาลยั . ยุทธนา พูนเกิดมะเริง. (2553). การอนุรักษ์และการจัดการพุทธศิลป์. สืบค้น 9 มีนาคม 2564, จาก https://sites.google.com/site/smcucorat/Home/khxmul-web/pi-4-2552/pi-4-/kar- xnuraks-laea-cadkar-phuthth-silp/thdsxb-play-phakh

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 315 ราชบัณฑิตยสถาน. (2548). พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากลอังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัญฑิตยสถาน. (พิมพ์ คร้ังที่ 2). กรุงเทพฯ: ราชบณั ฑติ ยสถาน. ว ชิ ร ญ า ณ (ม .ป .ป .) ป ร ะ วั ติ พ ร ะ ภิ ก ษุ ฟ า เหี ย น . สื บ ค้ น 1 6 ก ร ก ฎ า ค ม 2 5 6 2 , จ า ก https://vajirayana.org/จด ห ม าย เห ตุ แ ห่ งพุ ท ธอ าณ าจั ก รข องพ ระภิ ก ษุ ฟ าเหี ย น /ป ระวัติ พระภกิ ษุฟาเหยี น วรชัย แสนสิระ. (2552). พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ กับการปกป้องพระพุทธศาสนาในสถานการณ์ปัจจุบัน. จุลนิติ, 6(4), 131-138. วัยอาจ, ดี. เค. (2556). ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสังเขป. (พิมพ์ครั้งท่ี 2). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำรา สังคมศาสตร์และมนษุ ยศาสตร์. วิกีพีเดียสารานุกรมเสรี. (2562). โรงเรียนพระปริยัติธรรม. สืบค้น 16 กรกฎาคม 2564, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/โรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรม วิจิตรา ขอนยาง. (2532). การศึกษาประเพณีจากวรรณกรรมพ้ืนบ้านอีสาน. (วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต, มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒมหาสารคาม). สด แดงเอียด. (2556). การสัมมนา \"พุทธศาสนากับงานพุทธศิลป์\". สืบค้น 9 มีนาคม 2564, จาก http://rsuartdesign.blogspot.com/2017/09/blog-post.html สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย. (2537). พุทธศาสนประวัติระหว่าง 2500 ปีลว่ งมาแล้ว. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์สรุ วฒั น์. สมชาย สุรชาตรี. (2558). การปกครองคณะสงฆ์ไทย. 9 มีนาคม 2564, จาก https://www.onab. go.th/ th/content/category/detail/ id/57/iid/2474 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. (2514). พุทธศาสนสุภาษิต เล่ม 1. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลยั . สมพร ไชยภมู ิธรรม. (2543). ปางพระพุทธรูป. กรุงเทพฯ: ต้นธรรม. สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน. (ม.ป.ป.). ความหมาย ท่ีมา และคติการสร้างพระพุทธรูป. สืบค้น 10 มี น า ค ม 2 5 6 3 , จ า ก https://www.saranukromthai.or.th/sub/book/book.php? book=29&chap=2&page=t29-2-infodetail01.html สุขพฒั น์ อนนทจ์ ารย์. (2550). ศาสนาเปรยี บเทยี บ. ขอนแก่น: คลงั นานาวทิ ยา. สุขพัฒน์ อนนท์จารย์. (2551). เอกสารประกอบการสอนวิชาพระพุทธศาสนามหายาน. เลย: คณะศาสนาและปรัชญา วิทยาลัยศาสนศาสตร์ศรีล้านช้าง วิทยาเขตศรีล้านช้าง มหาวิทยาลัย มหามกฏุ ราชวิทยาลยั . สุชาติ หงษา. (2545). ประวัตศิ าสตร์พุทธศาสนาจากอดตี ถงึ ปจั จบุ ัน. กรุงเทพฯ: สถาบนั บนั ลอื ธรรม.

316 สุชีพ ปุญญานภาพ. (2539). พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน (พิมพ์คร้ังที่ 16). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2540). ประวัติศาสตร์ศาสนา (พิมพ์คร้ังที่ 8). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏราช วทิ ยาลัย. สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2540). ศาสนาเปรียบเทียบ (พิมพ์ครั้งท่ี 4). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏราช วทิ ยาลยั . สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2541). ประวตั ศิ าสตร์ศาสนา. กรงุ เทพฯ: สำนกั พมิ พร์ วมสาส์น. สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2550). พระไตรปิฎกฉบับสาหรับประชาชน (พิมพ์ครั้งที่ 17). กรุงเทพฯ: โรงพิมพม์ หามกฏุ ราชวิทยาลัย. สุมาลี มหณรงคช์ ัย. (2556). พทุ ธศาสนามหายาน. กรงุ เทพฯ: สำนักพมิ พศ์ ยาม. สุเมธ เมธาวิทยกูล. (2532). ศาสนาเปรียบเทียบ (พิมพ์ครั้งท่ี 2). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์โอ.เอส. พริน้ ตง้ิ เฮ้าส์ . เสถยี ร พนั ธรงั ษ.ี (2549). ศาสนาเปรียบเทยี บ (พิมพ์ครง้ั ท่ี 10). กรุงเทพฯ: สขุ ภาพใจ. เสถียร พันธรงั ส.ี (2521). ศาสนาโบราณ. กรุงเทพฯ: รุ่งเร่ืองธรรม. เสถียร โพธินนั ทะ. (2522). ปรัชญามหายาน. กรงุ เทพฯ: สำนักพิมพ์บรรณาคาร. เสถียร โพธินันทะ. (2543). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. (พิมพ์คร้ังท่ี 4). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหา มกฏุ ราชวิทยาลัย. อ น าค ามี . (ม .ป .ป .). ป ระ วัติ พ ระ พุ ท ธ โฆ ษ าจ ารย์ . สื บ ค้ น 1 พ ฤ ศ จิ ก าย น 2 5 6 3 , จ าก http://www.anakame.com/page/Person/person/141.htm อภิชัย โพธิ์ประสิทธศ์ิ าสตร์. (2539). พระพุทธศาสนามหายาน (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาม กุฏราชวิทยาลยั . อัธยา โกมลกาญจน. (2545). พระพทุ ธศาสนาบนแผน่ ดนิ ไทย. กรุงเทพฯ: อกั ษรเจริญทศั น.์ Cambrigde dictionay. (ม .ป .ป .). Philosophy. สื บ ค้ น 22 พ ฤ ศ จิ ก า ย น 2560, จ า ก https://dictionary.cambridge.org/dictionary/english/doctrine. Moodle. (ม .ป .ป .). บุ ญ . อ ภิ ธ า น ศั พ ท์ (อี ส า น ). สื บ ค้ น 22 พ ฤ ศ จิ ก า ย น 2560, จ า ก https://moodle.org/mod/glossary/view.php?id=บุญ&fullsearch=1


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook