Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 00.BU5001-ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา-อ.สุดใจ

00.BU5001-ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา-อ.สุดใจ

Published by sudjaipookonglee, 2021-08-20 10:38:39

Description: 00.BU5001-ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา-อ.สุดใจ

Keywords: ประวัติศาสตร์ พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า วิเคราะห์พุทธประวัติ

Search

Read the Text Version

แผนบรหิ ารการสอนประจำบทที่ 2 บทท่ี 2 พุทธประวัตแิ ละพุทธประวัตเิ ชงิ วิเคราะห์ เน้ือหาประจำบท 1. บทนำ 2. ชมพูทวปี 2.1 ฮนิ ดสู ถาน (Hindustan) 2.2 เดคคาน (Deccan) 3. สภาพสงั คมในชมพทู วปี ก่อนสมัยพทุ ธกาล 3.1 ดา้ นการปกครอง 3.2 ด้านอาชีพ 3.3 ดา้ นเศรษฐกจิ 3.4 ด้านสงั คม 3.5 ดา้ นศาสนา 3.6 ด้านการศึกษา 4. ลำดบั พทุ ธวงศ์ 4.1 อาทิตยวงศ์และศากยวงศ์ 4.2 โกลิยวงศ์ 4.3 ศากยวงศ์และโกลยิ วงศ์ 5. พุทธประวตั ิ 5.1 ตระกลู และปฐมวยั 5.2 อภเิ ษกสมรส 5.3 เสดจ็ ออกผนวช (มหาภิเนษกรมณ)์ 5.4 ทรงศึกษาในสำนักดาบส 5.5 ทรงบำเพ็ญทุกรกริ ยิ า 5.6 ตรัสรู้เป็นพระสมั มาสมั พุทธเจา้

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 37 5.7 ทรงดำรทิ จ่ี ะโปรดสัตว์ 5.8 ทรงแสดงปฐมเทศนา 5.9. ทรงประกาศพระศาสนา 5.10 เสดจ็ ดับขันธปรินิพพาน 6. สรปุ ทา้ ยบท คำถามท้ายบท เอกสารอา้ งองิ ประจำบทที่ 2 จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม 1. นักศึกษาสามารถวิเคราะห์เนื้อหาสำคัญ ๆ ด้วยการรวบรวม เรียบเรียงเน้ือหาสำคัญใน บทเรยี นด้วยกราฟิกตา่ ง ๆ เช่น แผนภูมิ แผนที่ความคิด เปน็ ตน้ และถา่ ยทอดเนือ้ หาด้วยภาษาของตนใน การนำเสนอหน้าช้นั เรียนได้ 2. นักศึกษาสามารถอภิปราย ถาม-ตอบ ตีความเน้ือหาน้ัน ๆ ได้ และประยุกต์ใช้ในชีวิตได้อย่าง ถกู ต้องเหมาะสม 3. นักศึกษาสามารถแสวงหาความรู้ด้วยการค้นคว้าข้อมูลสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อ การศึกษา นำมาเขียนรายงาน บรรยาย และนำเสนอเนื้อหาดว้ ยตนเองได้ กจิ กรรมการเรียนการสอน 1. บรรยาย/อภิปราย/มอบหมาย/แบ่งกลุ่มนักศึกษาให้รับผิดชอบในการวิเคราะห์ด้วยการ รวบรวม และเรยี บเรียงเน้อื หาสำคัญ ๆ ดว้ ยกราฟกิ ต่าง ๆ เช่น แผนภูม,ิ แผนที่ความคดิ เปน็ ตน้ นำขอ้ มูล ทีไ่ ด้มาถ่ายทอดเนอื้ หาดว้ ยภาษาของตนในการเขียนรายงานและนำเสนอหนา้ ชนั้ เรยี น 2. นักศกึ ษาฟังการบรรยาย/จดบันทึกสรปุ เนอ้ื หา/ฝกึ ต้ังคำถาม/ฝึกตอบ/ฝึกอภิปรายในชั้นเรียน 3. ศึกษาจากเอกสารประกอบการสอน/ค้นคว้าเน้ือหาท่ีเกี่ยวข้องเพิ่มเติมจากหนังสือ/ห้องสมุด และเว็บไซต์/ตอบคำถามทา้ ยบท/ทดสอบ Pretest และ Posttest

38 สอ่ื การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน/PowerPoint/Ebook 2. แบบเรียนออนไลน์/โปรแกรมการสอนออนไลน์ เช่น Google Classroom, Google Sites, Google forms, Google Meet, Zoom Cloud Meeting, Microsoft Teams, XMind2020, Canva, TeamLink เปน็ ตน้ การวดั ผลและการประเมินผล 1. ประเมินคณุ ธรรมจริยธรรมโดยใช้แบบ Checklist การตรงเวลาในการเข้าชั้นเรียน การส่งงาน ที่มอบหมาย และการอ้างอิงผลงานคนอ่ืน และใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการมีจิตสาธารณะในการทำ กจิ กรรมท้งั ในและนอกห้องเรียน 2. ประเมินความรู้และทักษะทางปัญญา โดยการทดสอบ Pretest และ Posttest/ตอบคำถาม ท้ายบท/การวิเคราะห์ด้วยการรวบรวมและเรียบเรียงเนื้อหาสำคัญ ๆ ด้วยกราฟิกต่าง ๆ เช่น แผนภูมิ, แผนท่ีความคิด เป็นต้น ด้วยการใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมการเรียนการสอนออนไลน์ เช่น Excel 1 (กระดาษแผ่นเดียว), Google Sites, XMind2020, Canva เป็นต้น นำข้อมูลท่ีได้มาถ่ายทอดเน้ือหาด้วย ภาษาของตนในการเขยี นรายงานและนำเสนอหนา้ ชน้ั เรียน 3. ประเมินทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ และทักษะการวิเคราะห์เชิง ตัวเลข การส่ือสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยใช้แบบ Checklist จากการอภิปราย/การแสดง ความคิดเห็น/การถาม-ตอบ/การวิเคราะห์เน้ือหาที่เรียน/การสรุปเนื้อหา/การส่งงานใน Google Classroom/การนำเสนอหนา้ ชัน้ เรียน

บทท่ี 2 พทุ ธประวัติและพทุ ธประวัติเชิงวิเคราะห์ 1. บทนำ พุทธประวัติว่าด้วยประวัตขิ องเจ้าชายสิทธิธัตถะแห่งศากยวงศ์ ต่อมาเป็นท่รี ู้จักกันในพระนามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระพุทธเจ้า ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Buddha แปลว่า ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ หรือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม หลังจากพระองค์ได้ทรงค้นพบสัจจธรรม กล่าวคือ อริยสัจ 4 หรือ ค้นพบทางอนั ประเสริฐ เรียกวา่ อรยิ มรรคมีองค์ 8 (อัฎฐังคิกมรรค) ชาวพุทธส่วนใหญ่ไดท้ ราบประวัติของ พระพุทธองค์ด้วยการศึกษาเล่าเรียนจากหลักสูตรธรรมศึกษาตรี โท เอก (สำหรับคฤหัสถ์) หรือ นักธรรม ตรี โท เอก (สำหรับบรรพชิต) ของสมเด็จพระมหาสมนเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในขณะที่กำลัง ศึกษาอยู่ อาจมีความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ที่ปรากฎในหลักสูตรดังกล่าว หรือแม้กระทั่งใน พระไตรปิฎกเอง มักจะมีข้อความเกี่ยวกับปาฏิหาริย์มากมาย ต้ังแต่ประสูติไปจนถึงปรินิพพาน ดังนั้น ในบทนี้จะกล่าวถึงประวัติของพระองค์ตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎกเป็นหลักและทำการวิเคราะห์เน้ือหา ในรูปแบบการศึกษาพุทธประวัติเชิงวิเคราะห์ไปด้วย โดยการยกเอาประเด็นการพรรณนาพุทธประวัติเชิง บุคลาธิฏฐานและธรรมาธิฏฐานเป็นหลัก เริ่มจากเรื่องราวในชมพูทวีปก่อนสมัยพุทธกาล ลำดับพุทธวงศ์ และพุทธประวัติ ต้ังแต่ประสูติจนถึงปรินิพพานตามลำดับ เพ่ือเป็นแนวทางให้ผู้ศึกษาได้ทำการศึกษา ค้นควา้ และทำการวเิ คราะหด์ ว้ ยตนเองตอ่ ไป 2. ชมพูทวปี ดนิ แดนอนั เปน็ แหลง่ กำเนดิ ของศาสนาพทุ ธนนั้ สมยั โบราณเรยี กว่า “ชมพูทวปี ” ปัจจบุ ันดนิ แดน ดังกล่าวได้แบ่งแยกออกเป็นหลายประเทศ ประกอบด้วย อินเดีย ปากีสถาน อาฟกานิสถานตอนเหนือ และตอนบน1 บังกลาเทศ และเนปาล มีชื่อทางภูมิศาสตร์ว่า “เอเชียใต้” หรือ “อนุทวีปอินเดีย” หรือ “ภารตวรรษ” ตามลกั ษณะภูมปิ ระเทศแบ่งออกเป็น 2 ภาคใหญ่ คอื 2.1 ฮินดูสถาน (Hindustan) ได้แก่ บริเวณตอนเหนือของชมพูทวีปต้ังแต่ที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ (Sindu) และทรี่ าบลุ่มแมน่ ้ำคงคง (Ganges) ทอดยาวลงมาจรดเทือกเขาสัทปุระ (Satpura) และเทอื กเขา วินทยะ (Vindhya) ในภาคกลางของอินเดียโดยมีลักษณะคู่ขนานกันไปจรดชายฝั่งทะเลอาหรับใน รัฐคุชราตทางทิศตะวันตก และท่ีราบสูงโชตนาคปุระ (Chota Nagpur Plateau) ในรัฐฌาร์ขันฑ์ทาง 1 อัฟกานิสถานตอนเหนือและปากสี ถานนับเป็นแควน้ คนั ธาระ และอฟั กานิสถานตอนบน นับเปน็ สว่ นหนึ่งของ แคว้นกมั โพชะ

40 ทิศตะวันตกเฉียงใต้ และถูกคั่นด้วยแม่น้ำนัมมทากับป่าใหญ่เรียกว่า มหากันตาระ (มหากันดาร) เป็นเส้น แบง่ โดยธรรมชาตริ ะหวา่ งภาคเหนอื และภาคใตข้ องชมพทู วีป 2.2 เดคคาน (Deccan) ได้แก่ บริเวณส่วนล่างของชมพูทวีป ต้ังแต่แม่น้ำนัมมทา (Narmada River) ลงมา ถูกขนาบโดยเทือกเขากัทส์ตะวนั ตกและตะวันออก (Western and Eastern Ghats) ขนาน กับฝ่ังทะเล ลักษณะเทือกเขาด้านตะวันตกสูงกว่าด้านตะวันออก อันเป็นเหตุให้แม่น้ำส่วนใหญ่ไหลลงสู่ ทะเลดา้ นตะวนั ออก (พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), 2552, หน้า 42) คนพ้ืนเมืองเดิมที่อยู่ในชมพูทวีปเป็นชาวมิลักขะ (Milakkha) หรือ ดราวิเดียน (Dravidian) มีผิว ดำ ถูกพวกท่ีอพยพมาภายหลังคือ ชนเผ่าอารยัน (Aryan) ซ่ึงเรียกกันว่า อริยกะ (เดิมเป็นพวกร่อนเร่) เป็นพวกนักรบ มีผิวขาว และมีความเจริญมากกว่า เข้าทำสงคราม ยึดครองดินแดนที่เป็นแหล่งอุดม สมบูรณ์และตั้งถิ่นฐานเร่ิมจากบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ แล้วขยายตัวไปทางตะวันออกสู่ลุม่ แม่น้ำคงคา ส่งผล ให้ชาวมิลักขะ พวกพื้นเมืองด้ังเดิมซึ่งสู้ไม่ได้ บางส่วนยอมอยู่ใต้อำนาจการปกครอง บางส่วนอพยพลงใต้ ในสมัยพราหมณ์ตอนปลาย ใกล้จะเข้าสมัยพุทธกาล ซึ่งเป็นยุคท่ีศาสนาพราหมณ์เจริญมากที่สดุ แผ่นดิน อินเดียไดแ้ บ่งออกเปน็ 2 ภาค คือ ภาคเหนือ เรียกวา่ มัชฌิมชนบท หรือ มัธยมประเทศ มีแม่น้ำคงคาเป็น แม่น้ำสำคัญ ส่วนภาคคาบสมุทรตอนใต้เรียกว่า ทักษิณชนบท หรือ ทักษิณประเทศ มีแม่น้ำโคธาวรีเป็น แมน่ ้ำสำคัญในมชั ฌิมชนบท มีแควน้ ตา่ ง ๆ ท่พี วกอารยันแบ่งกันปกครอง มีทั้งหมด 16 รัฐ คอื 1. คันธาระ ตั้งอยู่ตรงลุ่มน้ำสินธุตอนบน นครหลวงชื่อ ตักศิลา เป็นสถานศึกษา ศิลปวิทยา มีคณาจารย์ท่ีเรียกกันว่า ทิศาปาโมกข์ มีช่ือเสียงกระฉ่อนไปถึงประเทศกรีก และไอยคุปต์ว่า เป็นศนู ยก์ ลางของวชิ าการ ปัจจุบนั คอื ประเทศอัฟกานิสถาน 2. กรุ ุ ตั้งอยู่ตรงลมุ่ น้ำยมุนาตอนบน นครหลวงชอื่ อนิ ทปัตถ์ หรอื อนิ ทรปรสั ถ์ มกี ษตั ริย์ ปราณฑพทั้ง 5 เป็นผู้ครองนคร และตำนานทางพุทธศาสนากล่าวถึงหลายแห่ง เช่น เป็นที่พระพุทธองค์ ตรัสมหาสติปัฎฐานสูตร ซึ่งสันนิษฐานกันว่า น่าจะเป็นมณฑลปัญจาบและเมืองเฑลหิ ปัจจุบันเรียก นิวเดลี ซงึ่ เปน็ เมืองหลวงของอนิ เดยี ในปัจจุบัน 3. ปญั จาละ ตัง้ อยู่ตรงลุ่มแม่นำ้ คงคาตอนบน นครหลวงเดิมชื่อ หัศดินาปุระ หรือหัสดิน เป็นราชธานีที่สถิตของกษัตริย์เคารพจันทวงศ์ ต่อมาแยกราชธานีออกไปต้ังใหม่เป็น 2 แห่ง คือ ที่เมือง กมั ปลิ ะและเมอื งกนั ยากุพซ์ ปจั จบุ นั คอื เมืองกาโนชหรือกาเนาซ์ 4. โกศล ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาหิมาลัย กับแม่น้ำคงคาตอนกลาง มีนครหลวงเดิมช่ือ อโยธยา ภายหลังสร้างเมืองเป็นราชธานี ปัจจุบันเรียกว่า สะเหตมาเหต แคว้นโกศลน้ีมีอำนาจมากถึงกับ ปราบชนบทใกลเ้ คียงได้ เชน่ สักกะ 5. มัลละ ต้ังอยู่ถัดโกศลมาทางทิศตะวันออก นครหลวงเดิมชื่อ กุสาวดี ภายหลังแยก ออกเป็น 2 สว่ น คอื กุสนิ ารากบั ปาวา เปน็ ราชธานี ปจั จบุ ันเรยี กว่า ปาตราโอนะ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 41 6. วัชชี ตั้งอยู่ติดกับมัลละ นครหลวงชื่อ เวสาลี หรือไพสาลี เป็นราชธานีของกษัตริย์ ลจิ ฉวี ปจั จุบนั เรยี กว่า เยซาระ ซ่งึ พระมหาวรี ะศาสดาของศาสนาเชนก็เกดิ ในเมืองน้ี 7. อังคะ ตั้งอยู่ปลายแม่น้ำคงคา นครหลวงชื่อ จำปา เดิมเป็นเมืองท่ีเจริญรุ่งเรืองมาก แต่มาสมัยพุทธกาลต้องขึน้ อย่กู บั แคว้นมคธ ซ่งึ มีพระเจ้าพิมพิสารเปน็ ผูป้ กครอง 8. กมั โพชะ ต้ังอยู่ใตแ้ ควน้ คันธารราษฎร์ มนี ครหลวงชื่อ ทวารกะ สรา้ งข้นึ ริมมหาสมุทร ในแคว้นวลภี หรือครุ ธรราษฎร์ ปัจจุบันเรียกวา่ คธุ รฐั เป็นแควน้ เหนือมณฑลบอมเบย์ในปัจจบุ นั 9. มจั ฉะ ตั้งอยรู่ ะหวา่ งลำน้ำสินธุกบั ยมนุ าตอนบน นครหลวงชอ่ื สาคละ พระเจา้ มลิ ินท์ เป็นผู้ครองนครน้ี 10. สุรเสนะ ตั้งอยู่ระหว่างลำน้ำสินธุกับยมุนาตอนล่าง นครหลวงชื่อ มถุรา ภายหลัง ย้ายไปสร้างนครทวารถะ เปน็ ราชธานีข้ึนใหม่ 11. วังสะ ต้ังอยู่ใต้ลำน้ำยมุนา ต่อจากกาสีไปทางทิศตะวันตก นครหลวงชื่อโกสัมพี บัดนี้เรียกว่า โกแซม นครนี้เจริญรุ่งเรืองมาก เพราะเปน็ ศนู ย์กลางการคา้ พระเจ้าอุเทน เป็นผคู้ รองนครน้ี 12. กาสี ต้ังอยู่ตรงท่ีบรรจบลำน้ำคงคาและยมุนา นครหลวงช่ือ พาราณสี ปัจจุบัน เรียกว่า เบนารัส เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงมาก ทั้งมหากาพย์มหาภารตะ และคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาได้ กลา่ วถึงบอ่ ยครงั้ 13. มคธ ต้ังอยู่ฝั่งใต้ของแม่น้ำคงคาตอนกลาง เขตตะวันออกจรดแม่น้ำจำปา ตะวันตก จรดแม่น้ำโสนะ ทิศใต้จรดภูเขาวินธัย เป็นแคว้นท่ีใหญ่มากในคร้ังน้ัน นครหลวงชื่อ ราชคฤห์ ปัจจุบันน้ี เรยี กว่า ราชเคอร์ 14. อวันตี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกแห่งแคว้นวังสะ แถบเหนือภูเขาวินธัย นครหลวงช่ือ อชุ เชนี ปจั จบุ ันคอื อชุ เชน 15. เจตี ต้ังอยู่ลุ่มแม่น้ำคงคา ติดกับแคว้นวังสะ และแคว้นมาลวะ ออกมาทางทิศ ตะวนั ออกเฉยี งใต้ นครหลวงชอ่ื โสตถิวดี 16. อัสสกะ ตัง้ อยลู่ ุ่มแม่น้ำโคธาวรี นครหลวงชื่อ โปตลี นอกจากน้ี ยังมีแคว้นเล็กอีก 5 แคว้น คือ แคว้นสักกะ โกลิยะ ภัคคะ วิเทหะ และ อังคุตตราปะ เรียกว่า ปัจจันตชนบท ซ่ึงแคว้นใหญ่ในชมพูทวีปเหล่าน้ีบางคร้ังเป็นมิตรกัน บางคร้ังก็ทำ สงครามชิงอำนาจกันตลอดเวลา แคว้นใหญ่ท่ีมีอำนาจมากท่ีสุดในสมัยพุทธกาล ได้แก่ แคว้นมคธ และ แคว้นโกศล (ประทปี สาวาโย, 2545, หนา้ 123-125) 3. สภาพสังคมในชมพูทวีปก่อนสมัยพทุ ธกาล สภาพสังคมในชมพทู วีปก่อนสมัยพทุ ธกาลมลี กั ษณะสำคัญพอสรุปได้ดังนี้

42 3.1 ด้านการปกครอง แคว้นต่างๆ ส่วนใหญ่มีพระราชาเป็นหัวหน้าทำการปกครอง บางแคว้น ปกครองโดยคณะบุคคลที่นับเน่ืองในราชสกุล เช่น แคว้นลิจฉวี การปกครองจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม โดยทั่วไปแล้วจะมีคณะกรรมการปรึกษาหารือ มีสถานท่ีประชุมร่วมกัน มีประธานเป็นผู้ชี้ขาด สำหรับ แคว้นสักกะสมัยน้ัน นโยบายการปกครองบ้านเมืองมาจากมติส่วนใหญ่ของสมาชิกในที่ประชุม แบ่งการ ปกครองเป็น 2 ระบบ คือ 1) สมบูรณาญาสิทธิราช กล่าวคือ มีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ปกครอง มีปุโรหิต เสนาบดี เสนาอำมาตย์ตามลำดับ และยังมีสภาการปกครองย่อย เช่น คาม นิคม ชนบท โดยมีผู้ปกครอง ระดับหัวหน้าประจำ ณ ที่นั้นอีกด้วย และ 2) อภิชนาธิปไตย หรือ สามัคคีธรรม กล่าวคือ การปกครอง โดยสภาของตระกูลน้ัน ๆ ประกอบดว้ ยประธานสภากษัตริย์คล้ายดังระบบแรก มตี ำแหนง่ อน่ื ๆ คล้ายกัน แต่ส่วนใหญ่จะผูกขาดไว้ที่ชนเผ่าท่ีมีอำนาจในสภากษัตริย์ เช่น ตำแหน่งปุโรหิต เสนาบดี เสนาอำมาตย์ มกั จะเป็นเช้อื พระวงศข์ องกษัตรยิ ์เหล่านนั้ 3.2 ด้านอาชีพ ส่วนใหญ่ยึดอาชีพเกษตรกรรม การเลี้ยงสตั ว์ การค้าขาย โดยเริ่มจากมที ี่ดินเป็น สมบัติสว่ นรวม ต่อมาเริม่ มีการสบื ทอดในการถอื สทิ ธิในท่ีดนิ เกิดขนึ้ มีอาชีพหลายอย่างเกิดข้ึนตามมา เช่น อาชีพช่าง อาชีพค้าขาย เป็นต้น ซึ่งการค้าขายเร่ิมจากการค้าขายในหมู่ของตน ต่อมาเริ่มมีการค้าขายใน ต่างเมืองออกไปโดยใชก้ องเกวยี นและเรอื เป็นพาหนะ 3.3 ด้านเศรษฐกิจ เนือ่ งจากอาชีพสว่ นใหญ่ในยุคนั้นเปน็ เกษตรกรรม กสิกรรม การคา้ ขาย และ ช่างประเภทต่าง ๆ บางแคว้นมีหัตถกรรมท่ีมีชื่อเสียง และมีการติดต่อค้าขายระหว่างแคว้นใหญ่ ๆ บาง แคว้น เช่น แคว้นอุชเชนี และโกสัมพี เป็นต้น มีการเล้ียงโคเป็นฝูงใหญ่ ๆ และมีทาสรับใช้ด้วย ทำให้ผล ผลิตต่าง ๆ เป็นของนายหรือชนช้ันปกครองมากกว่า ฐานะของคนส่วนใหญ่จึงเป็นคนจนมากกว่าสำหรับ แคว้นสักกะน้นั เศรษฐกิจสำคญั ทส่ี ุด คอื ผลผลิตจากเกษตรกรรม 3.4 ด้านสังคม มีการแบ่งชั้นวรรณะเป็น 4 วรรณะใหญ่ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร ผอู้ ยู่ในวรรณะสูง 3 วรรณะแรก คือ กษัตริย์ พราหมณ์ และแพศย์ ได้แก่ พวกผิวขาว (อรยิ กะ) พวกที่อยู่ ในวรรณะต่ำ คือ พวกศูทร ได้แก่ พวกผิวดำ (มิลักขะ) ซึ่งเป็นคนพ้ืนเมืองเดิม มีการประกอบอาชีพ แตกต่างกันตามวรรณะ มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพ รังเกียจเดียดฉันท์ ดูถูก เหยียดหยาม และกีดกันการ สมาคมสมสู่ระหว่างพวกทีอ่ ย่ใู นวรรณะสูงกบั วรรณะต่ำ สตรมี ีฐานะด้อยกว่าบรุ ุษ การแบง่ ชนั้ วรรณะ มีลักษณะท่ีสำคญั ๆ ดังต่อไปนี้ พวกพราหมณ์ท่ีเป็นนักบวชได้รับการยกย่องนับถืออย่างสูง คำสอนของพราหมณ์และปรัชญา ฮนิ ดูมีอิทธิพลต่อความเชื่อ ความรู้สึกนึกคิดและวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก นักบวชผู้ ประพฤติพรหมจรรย์ท่ีมีผู้นิยมยกย่องและนับถือมาก สามารถยกฐานะได้สูงเท่าเทียมกับจักรพรรดิ ชนชนั้ สูงกบั ชนช้นั ต่ำในสังคมมมี าก ชนชนั้ กลางมีนอ้ ย 3.5 ด้านศาสนา ความคิดด้านศาสนาเกี่ยวกับเร่ืองการตายแล้วเกิด ในหมู่ผู้ที่เช่ือเช่นน้ันยังมี ความคิดเห็นแตกต่างกันเป็นหลายพวก ทำใหเ้ กิดลัทธิต่าง ๆ มากมาย มีคณาจารย์เจ้าลทั ธิต่าง ๆ ทำการ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 43 เผยแผ่ลัทธิของตนจำนวนมากมาย มีมากถึง 62 ลัทธิ แต่เจ้าลัทธิสำคัญ ๆ ก็คือครูท้ัง 6 มีปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาละ เป็นต้น โดยสามารถสรุปแนวคิดด้านศาสนาในแง่ของความเช่ือเก่ียวกับการเกิดและการ ตายคือ พวกหน่ึงเชอื่ ว่าตายแล้วเกดิ ในหมู่ผู้ที่เชื่อเชน่ นั้น ยังมีความคดิ เห็นแตกแยกเป็น 2 ฝา่ ย ฝ่ายหนึ่ง เช่ือว่า เดิมเคยเกิดเป็นอะไร เกิดใหม่ก็เป็นเช่นน้ัน อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า อาจไปเกิดใหม่เป็นอย่างอื่นก็ได้ อีกพวกหนึ่งเช่ือว่า ตายแล้วสูญ พวกที่เชื่อเช่นนี้ก็มีความเห็นเป็น 2 ฝ่ายเช่นกันคือ ฝ่ายหนึ่งเช่ือว่าสูญ ทง้ั หมด อีกฝ่ายหน่ึงเชื่อว่าสูญเพยี งบางส่วนเก่ียวกับชีวิตหลังตาย บางพวกเช่ือว่า สัตว์หลงั จากทตี่ ายแล้ว ยังมีความทรงจำ (สัญญา) เหลือติดอยู่ อีกพวกหน่ึงเช่ือว่าไม่มีเกี่ยวกับเรื่องสุข ทุกข์ พวกหนึ่งเช่ือว่าสุข ทกุ ขเ์ ปน็ สิ่งเกิดเอง อกี พวกหน่ึงเชอ่ื วา่ มเี หตุทำให้เกิดคือ กรรมบันดาล (ปัจจยั ภายใน) หรอื เทวดาบงการ ให้เป็นไป (ปจั จัยภายนอก) ในยุคแรกชนชาตทิ ่ีอาศัยอยู่ในชมพูทวีป จะนับถอื ธรรมชาตเิ บื้องต่ำ เช่น แผ่นดิน ภูเขา สัตว์ น้ำ ไฟ พฤกษาชาติ เป็นต้น มีการบูชายัญ พิธีบูชาธรรมชาติตามท่ีกำหนดและความเชื่อ เพราะถือว่า ธรรมชาติเหล่านน้ั เป็นมารดาของสรรพสิ่งและเป็นมารดาของตน ซึ่งความเช่ือเหล่านี้เป็นของพวกมิลักขะ โดยเฉพาะ ในยุคต่อมาพวกอารยันเข้าสู่อินเดียแล้ว เดิมทีอารยันนับถือธรรมชาติเบื้องบนมาก่อน จึงได้ นำเอาการนับถือธรรมชาติเบื้องบนเข้ามา กล่าวคือ การนับถือพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาวต่าง ๆ ฟ้า ฝน ลม ต่อมาภายหลังได้มีการผสมผสานระหว่างการนับถือธรรมชาติเบ้ืองบนและธรรมชาติเบ้ืองต่ำเข้า ด้วยกัน ก่อกำเนิดตำนานความเป็นมา คือ เทวกำเนิด และความเกี่ยวพันกันระหว่างธรรมชาติเหล่านั้น มีแนวคล้ายการสืบพันธ์ุในหมู่มนุษย์ ลัทธิเหล่าน้ีจึงเปลี่ยนเป็นลัทธินับถือภูตผีปีศาจ เช่น วิญญาณบรรพ บรุ ุษ เป็นต้น ตอ้ งทำพิธีศราทธะ แปลวา่ กิจพิธขี องผมู้ ีศรัทธา เพื่อบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ และบูชาเทวะ เพ่ือให้เทวะช่วยเหลือบรรพบุรุษของตนให้พ้นจากนรก จึงเป็นหน้าท่ีอีกหน้าที่หน่ึงของบุตร ดังน้ัน ผู้ไม่มี บุตร ถือว่าจะต้องตกนรกช่ือว่า ปุตตะ ลัทธินับถือเทพเจ้า เช่น นับถือเทพเจ้าท่ีอยู่บนฟ้า สรวงส วรรค์ และพื้นดิน วิวัฒนาการมาจากการนับถือธรรมชาติเบ้ืองบนและธรรมชาติเบื้องต่ำดังกล่าวแล้ว เกิดข้ึนใน ยุคพระเวท ต่อมาภายหลัง จึงเกิดศาสนาพราหมณ์ข้ึน โดยผสมผสานระหว่างแนวคิดของชาวมิลักขะกับ อารยัน การกำเนิดของศาสนาพราหมณ์มีมานานมาก มีคัมภีร์หลักที่เขียนขึ้นโดยมหาฤษีในยุคก่อน ประวตั ิศาสตร์ 3.6 ด้านการศกึ ษา การศกึ ษาในสมัยนนั้ คนที่มีโอกาสศกึ ษานนั้ จะมีแต่เฉพาะวรรณะสูงเป็นสว่ น ใหญ่ กล่าวคอื วรรณะกษัตรยิ ์จะศึกษาในดา้ นการพิชัยสงคราม การรบ การปกครองบา้ นเมือง และวรรณะ พราหมณ์จะศึกษาเก่ียวกับศาสนา พิธีกรรม อักษรศาสตร์ เวทมนต์คาถาต่าง ๆ โดยมีอาจารย์ทิศา ปาโมกข์ ซ่ึงเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาน้ัน ๆ เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้ มีการถ่ายทอดความรู้ด้วยกัน 2 แบบ ด้วยการเข้าไปช่วยเหลือการงานของอาจารย์ คล้ายเป็นส่วนหน่ึงในครอบครัว ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร

44 ด้วยการจ่ายค่าเล่าเรียนในราคาท่ีสูงมาก ทำให้คนที่จะมีโอกาสเข้าเรียนส่วนมากจะเป็นโอรสของกษัตริย์ พราหมณ์ เสนาบดี เศรษฐี โอกาสของลูกคนจนนัน้ มนี อ้ ยมาก ตามที่ (พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ), 2548, หน้า 9-18) ได้กล่าวไว้ว่า วิธีการสอนนั้น จะสอนด้วยระบบมุขปาฐะ คือบอกปากต่อปาก อาศัยความจำของอาจารย์เป็นสำคัญ ยังไม่มีตำราเป็น หลักฐานในสมยั ต้น ๆ ฐานะทางสังคมของอาจารย์ทิศาปาโมกข์น้ันสูงมาก เนื่องจากเป็นครูอาจารย์ของผู้ สูงศักด์ิเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้น ยังมีอาจารย์ผู้ช่วย เรียกว่า ปฤษฎาจารย์ มีหน้าที่คอยช่วยแนะนำใน บางเร่ือง ส่วนมากจะเป็นศิษย์รุ่นพ่ี หรือรุ่นเดียวกันที่มีความรู้ดีกว่า มีปัญญามากกว่า จะทำหน้าที่เป็น ปฤษฎาจารย์ดงั กล่าว 4. ลำดับพุทธวงศ์ เพ่อื ใหเ้ ข้าใจการลำดับพุทธวงศใ์ นภาพรวม จึงขอลำดบั ดงั น้ี 4.1 อาทติ ยวงศ์และศากยวงศ์ พระพุทธศาสนาได้ถือกำเนิดขึ้นหลังศาสนาพราหมณ์ประมาณ 600 ปี ก่อนศาสนาคริสต์ 543 ปี และก่อนศาสนาอิสลาม 1,124 ปี โดยมีศาสดาซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกว่า “พระพุทธเจ้า” มีพระนามเดิม วา่ “เจ้าชายสิทธัตถะ” เปน็ พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งศากยวงศ์ และมีพระมารดาพระนาม ว่า “พระนางสิริมหามายา”แห่งโกลิยวงศ์ โดยมีต้นตระกูลมาจาก อาทิตยวงศ์ หรือท่ีเรียกกันว่า โคตม โคตร นง่ั เอง ตน้ ตระกลู ของอาทิตยวงศ์ คอื พระเจ้าโอกกากราชที่ 3 แหง่ แคว้นโกศล ทรงมพี ระมเหสที ั้งหมด 5 พระองค์ คือ พระนางหัตถา พระนางจิตตา พระนางชันตุ พระนางชาลินี และพระนางวิสาขา ซึ่งพระนาง หัตถา อัครมเหสีได้ให้กำเนิดพระราชโอสร 4 พระองค์ และพระธิดา 5 พระองค์ ส่วนพระชายาที่เหลือ ไม่ปรากฏว่ามีพระราชโอรสหรอื พระราชธิดา ภายหลังพระนางหัตถาทรงส้ินพระชนมล์ ง พระเจ้าโอกกาก ราชได้มีพระชายาใหม่ทีท่ รงสิริโฉมงดงามมาก ไม่ปรากฏพระนาม ทรงตัง้ ใหเ้ ป็นอคั รมเหสี และพระนางได้ ให้กำเนิดพระราชโอรสพระนามว่า ชันตุ ทำให้พระเจ้าโอกกากราชโปรดปรานเป็นอย่างมาก จึงพลั้ง พระโอษฐ์ประทานพรไปว่า หากพระนางประสงค์สิ่งใดจะให้ทุกอย่างตามท่ีปรารถนา พระนางจึงขอพระ ราชสมบัติให้แก่โอรสของพระนาง พระเจ้าโอกกากราชทรงห้ามหลายครั้ง แต่สุดท้ายจำต้องยกพระราช สมบัติให้ตามที่พระนางปรารถนา เพราะเกรงว่าจะเสียสัตย์ ดังน้ัน พระองค์จึงทรงเรียกพระโอรสทั้ง 4 ของพระนางหัตถาพระมเหสีเก่าท่ีสวรรคตไปแล้ว มารับสัง่ ให้ไปสร้างเมอื งใหม่ ทรงประทานผู้คน ช้าง ม้า และทรพั ยส์ ินให้ตามท่ตี อ้ งการ และพระธิดาท้ัง 5 ได้เสดจ็ ตามไปด้วย พระโอสรท้ัง 4 พระนามว่า โอกากมุข กรกัณฑะ หัตถิกะ และสีนิปุระ และพระธิดาทั้ง 5 พระองค์พระนามว่า ปิยา สุปปิยา อานันทา วิชิตา และวิชิตเสนา โดยพระโอรสและพระธิดาท้ัง 9 ได้ เดินทางไปยังป่าไม้สักกะ ในแถบภูเขาหิมาลัย พร้อมด้วยจตุรงคินีเสนาเป็นจำนวนมากเพื่อไปแสวงหาท่ี

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 45 สร้างพระนครอยู่ใหม่ ได้ทรงพบดาบสมีนามว่า กปิละ ซึ่งสร้างอาศรมบำเพ็ญพรต อยู่บริเวณป่าไม้สักกะ น้ัน กปิลดาบสได้ทูลถามสาเหตุท่ีต้องเสดจ็ ออกจากพระนคร ครั้นกบิลดาบส ทราบความน้ันก็มีจิตเมตตา จึงถวายคำแนะนำให้สร้างพระนครอยู่ที่น้ันเพราะเป็นชัยภูมิอันเป็นมงคล เมื่อพระราชโอรสและพระราช ธิดาทรงสร้างพระนครแล้ว จึงขนานนามพระนครว่า \"กบิลพัสด์ุ\" เพ่ือให้สมกับสถานท่ีอันเป็นที่อยู่ของ กบิลดาบส ได้สร้างเมืองกบิลพัสด์ุขึ้น ทรงอภิเษกสมรสกันเองระหว่างพี่น้อง เพราะกลัวว่าจะไม่บริสุทธ์ิ โดยสายเลือดและจักถึงความแตกต่างกันแห่งชาติ โดยยกพระธิดาองค์ใหญ่ คือ พระนางปิยา ไว้ในฐานะ มารดา เหตุท่ีตั้งช่ือเมืองว่า กบิลพัสดุ์ ก็เพราะว่าได้ขอสร้างเมืองในเขตที่กบิลดาบสอาศัยอยู่ก่อน และได้ ต้ังนามสกุลของตนขึ้นใหม่ว่า สักกะ หรือ ศากยะ ตามชื่อของป่าแห่งนั้น สถานท่ีแห่งน้ีเป็นท่ีรู้จักกันใน นามว่า แคว้นสักกะ ในเวลาต่อมา เพราะได้ทรงสร้างพระนครขึ้นในดงไม้สักกะ หรืออีกนัยหน่ึงว่า คร้ันเม่ือพระเจ้าโอกกากราช ทรงทราบเรื่องการอภิเษกสมรสรของพระโอรสและพระธิดา ทรงพอพระทัย ยิ่ง โดยทรงเปล่งอุทานว่า \"สกฺยา วตโภ กุมารา ปรมสกฺยา วตโภ กุมารา\" แปลว่า \"พระกุมารสามารถ หนอ พระกุมารสามารถย่ิงหนอ\" ด้วยเหตุนี้ วงศ์น้ีจึงได้ช่ือว่า ศากยวงศ์ เพราะได้ถือเอาตามคำอุทาน ของพระเจา้ โอกกากราชนั้น (ท.ี ส.ี 11/149/504-505, ที.ส.ี อ. (ไทย) 11/555-559) 4.2 โกลยิ วงศ์ สมัยต่อมา พระนางปิยา พระเชฏฐภคินีเกิดเป็นโรคเร้ือน กษัตริย์น้องชายท้ัง 4 เกรงว่าจะแพร่ เชื้อโรคให้คนอื่น จึงได้รับสั่งให้ขุดสระโบกขรณีในพ้ืนดินโดยสังเขปว่าเป็นเรือน ให้พระนางอาศัยอยู่น้ัน พร้อมทั้งของขบเคี้ยวและของบริโภค มุงด้านบนด้วยดิน และในสมัยเดียวกัน พระเจ้ากรุงพาราณสี พระนามว่า รามะ ทรงเป็นโรคเรื้อน เป็นที่รังเกียจของนางสนมกำนัลและนักแสดงละครท้ังหลาย เกิดสังเวชพระทัย จึงทรงมอบพระราชสมบัติให้พระราชโอรสองค์ใหญ่เสด็จเข้าป่า ทรงเสวยรากไม้ในป่า ตอ่ มาไม่นานนักทรงหายจากโรคน้ัน มีผิวพรรณผ่องใสดั่งทองคำ ทรงเสด็จไปมาในป่า ทรงทอดพระเนตร เห็นต้นไม้มีโพรงใหญ่ แล้วทรงถากถางบริเวณน้ันให้เตียนโล่งในส่วนด้านในของต้นไม้น้ัน ทรงติดประตู และหนา้ ตา่ ง ผกู บันไดประทับอยู่ ณ ท่ีแห่งนน้ั ทรงสดับเสียงของสัตว์ปา่ ต่าง ๆ มากมาย เชน่ ราชสีห์ เสือ เนื้อ สุกร เป็นต้น และทรงอาศัยซากเนื้อท่ีจากสัตว์เหล่านั้นมาเผาเสวย ต่อมาทรงได้ยินเสียงสตรีดังมา จากด้านใน ซ่ึงเกิดจากการขุดคุ้ยของเสือที่ได้กล่ินพระนางปิยานัน้ พระนางทอดพระเนตรเห็นเสอื โครง่ ตัว นั้น ทรงกลัวจึงส่งเสียงร้องดังลั่น พระองค์จึงทรงเสด็จไปที่แห่งนั้นแต่เช้า ได้ซักถามทราบช่ือและสกุล ตลอดถึงสาเหตุที่พระนางมาอยู่ตรงน้ันแล้ว จึงพาดบันไดลงไปรับพระนางขึ้นมาประทับที่พระองค์อาศัย อยู่ ทรงให้พระนางเสวยรากไม้เช่นเดียวท่ีพระองค์ทรงเคยเสวย ไม่นานพระนางก็หายจากโรคเรื้อน มีผิวพรรณงดงามดั่งทองคำ และทรงอยู่ร่วมกับพระนาง มีพระราชโอรสด้วยกันคร้ังแรก 2 พระองค์ และ ทรงคลอดอีกครง้ั ๆ ละ 2 พระองค์ ทง้ั หมด 16 ครัง้ รวมเป็น 32 พระองค์ เม่ือพระราชโอรสทง้ั หมดเจริญ วัยแล้ว ทรงให้ศึกษาศิลปศาสตร์ทุกชนิด เม่ือเรื่องทราบถึงกษัตริย์ผู้เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ของ พระองค์ จึงเสด็จมาทลู เชิญพระราชบิดารับราชสมบัติคืน แต่พระองคท์ รงปฏเิ สธและให้สร้างเมืองขนึ้ ใหม่

46 ทรงต้ังชื่อว่า โกลนคร เพราะเหตุที่ถากถางต้นกระเบาออกแล้วสร้างเมืองข้ึน ณ ที่น้ัน และเรียกอีกช่ือว่า พยัคฆบท เพราะเมืองสรา้ งข้ึนท่ีทางเดินของเสือโคร่ง ทรงตั้งนามสกุลใหม่ว่า โกลิยะ ตามช่ือของต้นโกละ น้ัน และโกลนครน้ี ได้รับการขนานนามใหม่ว่า “กรุงเทวทหะ” ในภายหลัง (ที.สี.อ. (ไทย) 11/559-562) เม่ือพระราชโอรสเจริญวัยถึงคราวสมควรทำอาวาหวิวาหมงคลแล้ว พระเจ้ารามะ จึงรบั สั่งให้ไปหาคู่ครอง ที่ปรารถนา และต่อมาพระราชโอสรท้ังหมดได้ทำอาวาหวิวาหมงคลกับพระธิดาของศากยวงศ์ แห่งแคว้น สกั กะ ทง้ั สองตระกูลไดท้ ำการอภเิ สกสมรสกันและกันมาเช่นน้ตี ลอดมาจนถึงสมัยพุทธกาล 4.3 ศากยวงศแ์ ละโกลิยวงศ์ กษัตริย์กรุงกบิลพัสด์ุ ได้สืบเชื้อสายกันมาโดยลำดับจนถึงยุคของพระเจ้าชัยเสนะ ทรงมีพระราช โอรสพระนามว่าสหี นุ และพระราชธิดาพระนามว่า ยโสธรา โดยพระเจ้าสีหนุทรงอภเิ ษกสมรสกับพระนาง กัญจนาแห่งกรุงเทวทหะ มีพระโอรสด้วยกัน 5 พระองค์ คือสุทโธทนะ สุกโกทนะ อมิโตทนะ โธโตทนะ และฆนโิ ตทนะ และพระราชธิดา 2 พระองค์ คือ ปมติ าและอมิตา ส่วนกษัตริย์กรุงเทวทหะได้สืบเชื้อสายกันมาโดยลำดับเช่นเดียวกัน จนมาถึงยุคของพระเจ้า อัญชนะและพระกนิษฐภคินี พระนามว่า กาญจนา โดยพระเจ้าอัญชนะทรงอภิเษกสมรสกับพระนาง ยโสธราแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ มีพระโอรส 2 พระองค์คือ สุปปพุทธะและทัณฑปาณิ และมีพระธิดา 2 พระองค์ คือ สริ มิ หามายา และปชาบดีหรอื โคตมี พระราชโอรสของพระเจ้าสีหนุและพระนางกาญจนา คือ พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงอภิเษกสมรส กับพระนางสิริมหามายาแห่งโกลยิ วงศ์ มีพระราชโอรส 1 พระองค์ คือ สิทธัตถะ หลังจากพระนางสิริมหา มายาทรงทิวงคต พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางปชาบดีโคตมี มีพระโอรส 1 พระองค์คือ นันทะ และมพี ระราชธดิ า 1 พระองค์ คือ รูปนันทา (ประทปี สาวาโย, 2545, หน้า 123) สว่ นพระราชโอรสของพระเจ้าอัญชนะและพระนางยโสธรา คือ พระเจา้ สุปปพุทธะได้ทรงอภิเษก สมรสกับพระนางอมิตา พระธิดาองค์เล็กของพระเจ้าสีหนุและพระนางกาญจนา มีพระโอรส 1 พระองค์ คือ เทวทัต และมพี ระธิดา 1 พระองค์ คอื ยโสธราหรอื พมิ พา เจ้าชายสิทธัตถะทรงอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธราพิมพา ซึ่งเป็นพระภคินีของพระเทวทัต นน่ั เอง ทรงมพี ระโอรสดว้ ยกัน 1 พระองค์ คอื ราหุล การลำดับพุทธวงศ์เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจและจดจำ สามารถมองเห็นภาพชัดเจนจากแผนภูมิ ดงั ต่อไปนี้

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 47 แหล่งที่มา : https://www.phuttha.com/พระพุทธเจ้า/ปฐมบทเก่ียวกับพระพุทธเจ้า/ลำดับ ชนั้ แห่ง-2-ราชตระกูล 5. พุทธประวตั ิ ใน ส่ ว น ของพุ ท ธป ร ะวัติ ใน ที่ นี้ จ ะกล่ าว ไป ตามล ำดับ ต้ังแต่ พ ร ะพุ ท ธ องค์ท ร งป ระสู ติจ น ถึ ง ปรินิพพานตามลำดับ และสอดแทรกการวิเคราะห์เน้ือหาท่ีเห็นว่าสำคัญโดยอ้างเนื้อหาหลักจาก พระไตรปิฎกและอรรถกถาเปน็ หลกั เพ่ือเปน็ แนวทางในการศกึ ษาต่อไปดังนี้ 5.1 ตระกูลและปฐมวยั พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระนามเดิมว่า “สิทธัตถะ” ทรงประสูติ ณ สวนลุมพินี ปัจจุบันเรียกว่า Lumbini (ออกเสียงว่า ลุมบินี) Rupandehi District (แขวงรูปันเดฮี) ในเขตตะรายตอนใต้ของเนปาล (The Terai plains of Southern Nepal) ซึ่งอยูร่ ะหว่างกรุงกบิลพัสด์ุกับกรุงเทวทหะ ในวนั เพ็ญเดือน 6 (วสิ าขปูรณมี) วันศุกร์ ปีจอ เวลาก่อนบ่าย ก่อนพุทธศักราช 80 ปี เนื่องจากพระนางสิริมหามายาทรงทูล ขออนุญาตพระเจ้าสุทโธทนะเพื่อไปเยี่ยมสกุลของตน ณ กรุงเทวทหะ พระเจ้าสุทโธทนะทรงประทาน อนญุ าตพร้อมใหเ้ สนาอำมาตย์ และราชบริพารจำนวนมากคอยอารักขาคมุ้ ครอง ในเวลาใกลเ้ ท่ียงพระนาง ทรงเกิดประชวรพระครรภ์อย่างกะทนั หัน จึงทรงยกพระหัตถ์ขวาข้ึนหมายจะเอื้อมยึดเหนี่ยวก่งิ ไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อประคองพระองค์ไม่ใหซ้ วนเซ แต่ทนั ใดนั้น ก่ิงไม้สาละกง่ิ หนึ่ง คอ่ ย ๆ โน้มลงมาให้พระนางจับ และก่ิง ไมอ้ นื่ ๆ ก็โน้มกงิ่ ลงหอ้ มลอ้ มพระองค์ประดจุ มา่ น ทรงประทับยืนประสตู พิ ระโอรส ณ ท่ีแห่งน้ัน ในระหว่างประสูติพระโอรส ได้มีเทวดาคอยรับก่อน และมีท่อน้ำร้อนและท่อน้ำเย็นตกลงมาจาก อากาศสนามพระวรกายของพระกุมาร ต่อจากนั้นนางสนมจึงรับต่อในภายหลงั จู่ ๆ พระโอรสก็พลันหลุด จากมือพระสนม ในขณะท่ีพระบาทกำลังจะถึงพ้ืนดิน ก็มีดอกบัวบานผุดขึ้นรองรับพระบาทของพระองค์

48 ไว้ เป็นนิมิตหมายว่า ตลอดพระชนมายุของพระองค์จะมีแต่ความสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งมัวหมองหรือ มลทินใด ๆ มากล้ำกรายได้ หลังจากน้ัน พระองค์ทรงผินพระภักตร์ดำเนินไปทางทิศอุดร หรือทิศเหนือ ทรงย่างพระบาทไปได้ 7 ก้าว พร้อมกับมีดอกบัวรองรับพระบาททุกก้าว พระองค์ก็ทรงหยุดอยู่เพียง เทา่ น้ัน ทรงเหลยี วดูทิศทั้งหลาย ทรงยกพระหัตถ์ขวาขนึ้ ชฟี้ ้า และพระหัตถซ์ ้ายชี้ลงพ้ืนดิน พรอ้ มกบั เปล่ง อาสภิวาจา (วาจาที่ไพเราะและอาจหาญ) ว่า “เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้เจริญท่ีสุดในโลก เราเป็นผู้ ประเสรฐิ ที่สุดในโลก ชาตนิ เ้ี ป็นชาติสุดทา้ ยของเรา บัดนี้ ภพใหมไ่ ม่มีอีกแล้ว” ทนั ใดนั้น กเ็ กิดแผ่นดินไหว อย่างรุนแรง ท้ังกลองทิพย์ก็บันลือล่ันในอากาศ แสงแดดก็อ่อนมิได้ร้อน ฝนตกเฉพาะรอบ ๆ บริเวณ อากาศเย็นสบาย พฤกษาชาติทัง้ หลายกผ็ ลดิ อกออกชอ่ สวยงามตระการตายงิ่ นัก เทพยดาทกุ ช้ันฟ้าต่างแซ่ ซ้องสาธุการ โปรยปรายบุปผานานาพันธุ์เพ่ือถวายเป็นเครื่องสักการะ พร้อมเปล่งสาธุการด้วยปีติยินดี 3 คร้ังว่า “พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก” (ขุ.มหา.อ. (ไทย) 65/69/390-391) และในขุททกนิกาย มหานิทเทส ไดอ้ ธบิ ายเหตุการณใ์ นวนั ประสูติของเจา้ ชายสทิ ธัตถะไว้ดงั น้ี ...ดูก่อนอานนท์ พระโพธิสัตว์ประสูติบัดเด๋ียวนั้น ก็ประทับยืนด้วยพระยุคลบาทอันเสมอกัน บ่ายพระพักตร์ไปเบ้ืองทศิ อุดร เสด็จไปโดยย่างพระบาท 7 ก้าว เมื่อท้าวมหาพรหมกั้นพระเศวตฉัตร ทรง เหลียวดทู ่ัวทศิ ทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า เราเป็นผ้เู ลิศในโลก, เราเปน็ ผู้เจริญท่ีสุดในโลก, เราเป็นผู้ประเสริฐ ทีส่ ุดในโลก, การเกิดครั้งนี้เป็นการเกิดคร้ังสุดท้าย. บดั นี้ ภพใหม่ไม่มีต่อไปดังน้ี. และการเสด็จไปของพระ ผู้มีพระภาคเจ้าน้ัน ก็เป็นอาการอันแท้ไม่แปรผัน ด้วยความเป็นบุพนิมิตแห่งการบรรลุคุณวิเศษหลาย ประการคือข้อท่ีพระองค์ประสูติในบัดเด๋ียวนั้นเอง ก็ได้ประทับยืนด้วยพระยุคลบาทอันเสมอกัน นี้เป็น บุพนิมิตแห่งการได้อิทธิบาท 4 ของพระองค์.อน่ึง ความท่ีพระองค์บ่ายพระพักตร์ไปเบ้ืองทิศอุดร เป็น บุพนิมิตแห่งความเป็นโลกุตตรธรรมท้ังปวง, การย่างพระบาท 7 ก้าว เป็นบุพนิมิตแห่งการได้รัตนะ คือ โพชฌงค์ 7 ประการ, อน่ึง การยกพัดจามรข้ึน ที่กล่าวไว้ในคำนี้ว่า พัดจามรท้ังหลายมีด้ามทอง ก็โบก สะบัดน้ีเป็นบุพนิมิตแห่งการย่ำยีเดียรถีย์ท้ังปวง, การกั้นพระเศวตฉัตร เป็นบุพนิมิตแห่งการได้เศวตฉัตร อนั บริสุทธ์ปิ ระเสริฐ คือพระอรหัตตวมิ ุตตธิ รรม, การทอดพระเนตรเหลียวดูทั่วทิศ เป็นบพุ นิมิตแห่งการได้ พระอนาวรณญาณคือความเป็นพระสัพพัญญู, การเปล่งอาสภิวาจา เป็นบุพนิมิตแห่งการประกาศพระ ธรรมจักรอันประเสริฐ อันใคร ๆ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ก็เสด็จไปเหมือน อยา่ งนั้น และการเสดจ็ ไปของพระองค์นั้น ก็ไดเ้ ป็นอาการอันแท้ ไมแ่ ปรผันด้วยความเปน็ บุพนมิ ิตแห่งการ บรรลคุ ณุ วิเศษเหล่านั้นแล…(ขุ.มหา.อ. (ไทย) 65/69/390-391) เหตุการณ์เหล่าน้ีอธิบายได้ว่า เป็นการพรรณนาคุณของพระพุทธเจ้าแบบบุคลาธิฏฐาน แสดงให้ เห็นคุณวิเศษเฉพาะของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ขณะทรงพระเยาว์ และแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรง เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลกโดยช้ีพระหัตถ์เบื้องขวาข้ึนฟ้า และทรงชี้พระหัตถ์ซ้ายลงดิน หมายความว่า การเกิดบนโลกมนุษยใ์ นชาติน้ีเป็นชาตสิ ุดทา้ ยของพระองค์

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 49 สว่ นการพรรณนาเหตุการประสูติของพระองค์ในแบบธรรมาธิฏฐาน อธิบายได้ว่า การท่ีพระองค์ เสด็จย่างพระบาทได้เจ็ดก้าวน้ัน หมายความว่า พระองค์จะทรงดำเนินชีวิตด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ตาม หลักโพชฌงค์ 7 อันเป็นองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ เปรียบเสมือนบันได 7 ขน้ั อันนำไปสู่การตรัสรู้และบรรลุ พระนิพพาน คำว่า โพชฌงค์ แปลว่า ธรรมอันเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ให้ต่ืน ให้เบิกบาน มี 7 ประการ ได้แก่ 1. สติ หมายถึง มสี ติ รตู้ ัวท่วั พรอ้ มในสงั ขารทัง้ ปวง 2. ธรรมวิจยะ หมายถึง พินิจพเิ คราะหใ์ นหลักธรรมทงั้ ปวง 3. วริ ิยะ หมายถึง มคี วามเพียรในการเผากิเลสทั้งปวง 4. ปีติ หมายถงึ มีจติ เต็มเปยี่ มด้วยความปีตใิ นธรรมหรอื ความอิม่ เอบิ ดว้ ยธรรม 5. ปัสสทั ธิ หมายถงึ มีจิตสงบระงบั สะงัดจากกิเลสรอ้ ยรดั หรือปราศจากนวิ รณ์ 5 6. สมาธิ หมายถึง มีจิตต้ังม่นั เป็นหนง่ึ ไม่เปน็ สอง 7. อุเบกขา หมายถงึ มจี ิตวางเฉย ไมย่ ึดติดในธรรมทงั้ ปวง เหตุอัศจรรยท์ ีสำคัญในวันประสูติเจ้าชายสิทธัตถะน้ัน ได้มีสิ่งท่ีเกิดข้ึนพร้อมกับพระองค์เพ่ือเป็น ค่พู ระบารมขี องพระองค์ เรียกวา่ สหชาติ 7 (เกดิ ในวนั เดียวกนั กับเจา้ ชายสทิ ธตั ถะ) ดงั น้ี 1. โพธ์ิพฤกษ์ หมายถึง ต้นอัสสัตถพฤกษ์ (ต้นไม้อันเป็นประโยชน์แก่ม้า เพราะเป็น ตน้ ไม้ใหญ่ ม้าชอบมาพักอาศยั กนิ ใบและลูก) หลังพระพุทธองค์ทรงตรัสรแู้ ล้ว จึงเรียกว่า ต้นพระศรีมหา โพธ์ิ แปลว่า ตน้ ไม้อันเป็นท่ีตรัสรูข้ องพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 2. นางแกว้ หมายถงึ พระนางยโสธราพมิ พา มารดาพระราหลุ 3. ขุนคลังแก้ว หมายถึง พระอานนท์ พุทธอนุชา มีหน้าท่ีคอยบริหารงาน กองทุน และ การกุศลต่าง ๆ เป็นที่ไว้ใจของเจ้าชาย และยังเป็นพุทธอุปัฏฐากที่ปรนนิบัติพระพุทธเจ้าได้นานที่สุด เป็น กำลังสำคัญในการทำปฐมสงั คายนา และเป็นเอตทคั คะหลายด้าน 4. นายฉันนะ หมายถึง มหาดเล็กและพระสหายสนิท คอยรับใช้ และติดตามเจ้าชาย สิทธตั ถะในขณะท่ที รงเปน็ พระโพธสิ ัตว์ ยังไมต่ รสั รู้ 5. ม้าแก้ว หมายถึง ม้ากัณฑกอัศวราช ม้าทรงหรือม้าเทียมราชรถ ทรงใช้ขณะเสด็จ ออกผนวช 6. ขุนพลแก้ว หมายถึง กาฬุทายีอำมาตย์ หัวหน้าฝ่ายคุมม้าพระท่ีนั่งของเจ้าชาย และ เปน็ เอตทัคคะด้านการทำให้สกลุ เล่อื มใส 7. นิธิกุมภี หมายถึง ขุมทรัพย์ 4 ขุม ประกอบด้วย (1) ขุมทองสังคนิธิ (2) ขุมทองเอล นิธี (3) ขมุ ทองอุบลนิธิ และ (4) ขุมทองปณุ ฑรกิ นธิ ิ

50 เน้ือหาที่ได้กล่าวถึงสหชาติของเจ้าชายสิทธัตถะนั้น ปรากฏในขุททกนิกาย ทสกนิบาต อรรถกถา กาฬุทายีเถรคาถาที่ 1 ความว่า “จริงอยู่ สหชาติ 7 เหล่าน้ันคือ ต้นโพธิพฤกษ์ 1 พระมารดาของพระ ราหุล 1 ขุมทรัพย์ท้ัง 4 ขุม 1 ช้างตระกูลอาโรหนิยะ 1 ม้ากัณฐกะ 1 นายฉันนะ 1 กาฬุทายี 1 ได้เกิด พรอ้ มดับพระโพธสิ ัตว์เพราะเกดิ ในวันเดียวกนั น่ันแล” (ขุ.เถร.อ.(ไทย) 52/322) และขุททกนกิ าย อปทาน อรรถกถากาฬุทายีเถราปทาน ความว่า “จริงอยู่ ต้นโพธ์ิพฤกษ์ มารดาของพระราหุล ขุมทรัพย์ 4 แห่ง ช้างทรง ม้ากณั ฐกะ นายฉันนะ และกาฬุทายีอำมาตย์ รวม 7 อย่างเหล่าน้ี ได้เป็นสหชาติกบั พระโพธิสัตว์ เพราะเกิดในวนั เดยี วกนั ” (ขุ.อป.อ.(ไทย) 72/546/373) ข้อท่ีพึงสงั เกตขา้ งต้นปรากฏวา่ ไมม่ ีพระอานนท์ ในจำนวนสหชาติท้ัง 7 ดังกลา่ ว แต่กลับปรากฏ ว่า มีช้างทรงตระกูลอาโรหนิยะแทน อาจเป็นความผิดพลาดในการพิมพ์หรือไม่อย่างไร ให้ผู้สนใจได้ คน้ ควา้ ศึกษาเพิ่มเตมิ ต่อไป วันที่ 3 ภายหลังประสูติ อสิตดาบส หรือ กาฬเทวิลดาบส ผู้ทรงฌานสมาบัติ 8 ซ่ึงเป็นที่คุ้นเคย และเป็นท่ีนับถือของราชตระกูล ได้ทราบข่าวการประสูติของพระราชกุมาร จึงเข้าไปในพระราชวังเพ่ือขอ ชมพระกุมาร เมื่อท่านได้เห็นพระกุมารทรงพร้อมด้วยพระลักษณะอันเลิศ ก็ทราบว่า ต่อไปในภายหน้า พระกุมารน้ีจะได้ตรัสรู้เป็นพระอนุตตระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า จงึ ได้ลุกขึ้นจากอาสนค์ ุกเข่าลงถวายอัญชลีแล้ว อภิวาทลงท่ีพระบาทของพระกุมาร แลว้ ก็ทรงหวั เราะก้องไปท้ังปราสาท เพราะเห็นว่าเป็นลาภของตนที่ได้ เห็นพระกุมารท่ีมีลักษณะอันประเสริฐเช่นน้ัน แต่เมื่อพิจารณาเห็นว่าตนจะต้องตายเสียก่อนพลาดโอกาส ที่จะได้มรรค ผล และนิพพาน มีความเสียดายนัก จึงได้ร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ ได้เห็นดงั นนั้ ต่างพิศวงย่ิงนัก จึงไดไ้ ถถ่ ามพระดาบสถึงสาเหตุแหง่ การหัวเราะและร้องไหน้ ้ัน ครั้นได้ทราบ ว่าพระกุมารจะเปน็ ผู้มีเดชานุภาพยิง่ ใหญ่ต่อไปในภายภาคหนา้ ต่างกพ็ ากนั กม้ กราบพระกุมาร แม้แต่พระ เจา้ สทุ โธทนะเอง ก็ทรงอภวิ าทตอ่ พระกมุ ารเชน่ กนั แลว้ ดาบสก็ทูลลากลบั วันที่ 5 แห่งประสูติการณ์ของพระราชกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะทรงทำพิธีทำนายลักษณะและ ขนานพระนามโดยเชิญพราหมณ์ 108 คนมาเลี้ยง แล้วได้คัดเลือกพราหมณ์ชั้นยอด 8 ท่านเพื่อทำนาย ลักษณะพระราชกุมาร โดยพราหมณ์ 7 ทา่ น ได้ทำนายเป็น 2 นัยเหมือนกัน คอื “ถา้ พระกมุ ารครองความ เป็นฆราวาสต่อไป จะได้เป็นบรมจักรพรรดิ ถ้าพระกุมารออกผนวชจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปน็ ศาสดาเอกของโลก” สว่ นโกณฑัญญะพราหมณ์หนุ่มไดท้ ำนายเพียงประการเดียวว่า \"พระกุมารจะต้องออกผนวช และ จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน\" แล้วพราหมณ์เหล่านั้นก็ได้ขนานพระนามพระกุมาร วา่ \"สิทธัตถะ\" ซงึ่ หมายความว่า \"ตอ้ งการสงิ่ ใดเปน็ ต้องสำเร็จทุกประการ\" วันท่ี 7 แห่งประสูติการณ์ของพระราชกุมาร พระนางสริ ิมหามายาพระราชมารดา ก็เสด็จทิวงคต โดยเหตุน้ีพระเจ้าสทุ โธทนะจึงได้ทรงแต่งตงั้ พระนางปชาบดี ซ่ึงเปน็ พระภคินีของพระนางสริ ิมหามายาข้ึน เป็นอัครมเหสี และทรงมอบภาระการเลี้ยงดูพระกมุ ารให้แก่พระนาง แม้ในกาลต่อมาพระนางทรงประสูติ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 51 โอรส คือ เจ้าชายนันทะ และราชธิดา คือ เจ้าหญิงรูปนันทา ก็ตาม ถึงกระนั้นพระนางก็มิได้ท่ีจะเล้ียงดู พระโอสรและพระธดิ าทง้ั สองให้ยิ่งไปกวา่ การเลยี้ งดเู จ้าชายสิทธตั ถะเลย เมอื่ พระราชโอรสมีอายุได้ 7 พรรษา ได้เกดิ เหตมุ หัศจรรยข์ ้ึนอกี ครง้ั โดยในวนั นั้นเปน็ วันพระราช พิธีแรกนาขวัญ พระเจ้าสุทโธทนะพร้อมด้วยอำมาตย์ ราชบริพาร พราหมณ์ คหบดี ได้เสด็จไปทำพิธีแรก นาขวัญ ณ ทุ่งนาหลวง และได้เชิญพระกุมารออกไปด้วย โดยจัดที่ประทับไว้ใต้ต้นหว้าใหญ่ มีพระพ่ีเลี้ยง นางนมบริบาลแวดล้อม ขณะท่ีพระราชาเสด็จลงทำพิธีไถนาเป็นปฐมฤกษ์พร้อมด้วยอำมาตย์ราชบริพาร ช้ันผู้ใหญ่รวม 108 ไถนั้น พวกพระพ่ีเลี้ยงก็ออกมาชมด้วย ท้ิงพระกุมารไว้ในม่านแต่พระองค์เดียว เมื่อ พระกุมารอยู่ตามลำพังพระองค์เดียว ทรงลุกข้ึนเจริญภาวนาอานาปานสติกัมมัฎฐาน ยังปฐมฌานให้ เกิดขึ้นได้ เวลานั้นเป็นเวลาบ่าย เงาแห่งต้นไม้ท้ังหลายได้ชายไปตามตะวันทั้งสิ้น แต่เงาไม้หว้าอันเป็นที่ ประทับของพระองค์ปรากฏตรงอยู่เสมือนเวลาเท่ียง ครั้นพระพี่เลี้ยงทั้งหลายกลับเข้าไปในม่านเห็นพระ กุมารอยู่ในลักษณะเช่นน้ัน ต่างพิศวงกับเหตุการณ์ดังกล่าว จึงออกไปกราบทูลให้พระเจ้าสุทโธทนะทรง ทราบ เม่ือพระราชบิดาเสด็จเข้าไปเห็นก็ทรงรู้สึกอัศจรรย์พระทัยยิ่ง จึงยกพระหัตถ์ขึ้นถวายอภิวาทพระ กุมารเป็นคำรบสอง หลังจากนั้น พระราชบิดาได้ทรงรับสั่งให้สร้างสระน้ำสำหรับพระกุมารและบริวารลงเล่น มี 3 สระดว้ ยกนั คือ สระอบุ ลบวั ขาว สระประทมุ บัวหลวง และสระปุณฑรกิ บวั ขาว คร้ันพระราชกุมารมีพระชนม์เจริญวัยได้ 8 พรรษา ควรศึกษาศิลปวิทยาได้แล้ว พระราชบิดาจึง ทรงมอบให้ \"ครูวิศวามิตร\" ซ่งึ เป็นครูประจำราชสำนกั เปน็ ผ้สู ั่งสอนพระราชกุมาร เจ้าชายสิทธัตถะทรง ศึกษาศิลปศาสตร์ 18 ประการได้อย่างว่องไว จนส้ินความรู้ของอาจารย์ ได้แสดงความเฉลียวฉลาดในหมู่ พระญาติ ไม่มีพระกุมารอน่ื จะเทยี มเทา่ 5.2 อภิเษกสมรส เมื่อพระราชกุมารมีพระชนม์ได้ 16 พรรษา พระราชบิดาได้ทรงรับสั่งให้สรา้ งปราสาทข้ึน 3 หลัง เพื่อให้เหมาะสมกับการที่จะประทับอยู่ 3 ฤดู และให้สร้างลงในบริเวณเดียวกัน มีทางเดินติดต่อกันท้ัง 3 หลัง เม่ือสร้างเสร็จแล้วพระบิดายังไม่ให้เจ้าชายขึ้นประทบั จนกว่าจะทำการอภิเษกแล้ว จึงได้ไปสู่ขอพระ เจ้าหญิงยโสธราพมิ พา ราชธิดาพระเจ้าสปปพุทธะ แหง่ กรุงเทวทหะ มาอภิเษกให้ แลว้ ให้ประทับอยู่อย่าง สำราญในปราสาทท้งั 3 จนเจา้ ชายสิทธตั ถะ มพี ระชนมายุได้ 29 พรรษา วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะมีพระทัยปรารถนาจะเสด็จประพาสพระอุทยาน จึงรับสั่งให้นายฉันนะ มหาดเล็กจัดรถเทียมด้วยม้า 4 ตัว ขับเท่ียวไปในอุทยาน ขณะท่ีกำลังเพลิดเพลินอยู่น้ันได้ทอดพระเนตร เทวทูต 4 (ทูตจากสวรรค์หรือเทวดาแปลงกายมาเพื่อดลพระทัยให้พระองค์เกิดความสังเวชพระทัย นเ้ี ป็น การพรรณาแบบบุคลาธิฏฐาน) คือ คนแก่ คนเจบ็ คนตาย และสมณะ โดยในวนั แรกได้จำแลงเปน็ ชายชรา ผมหงอกขาว หลังโกง ถือไม้เท้ายันกันล้ม เดินกะโผลกกะเผลกไปในระหว่างทาง ก็ทรงแปลกพระทัย จึง ถามนายฉันนะว่า ชายผู้น้ีทำไมจึงรูปร่างผิดปกติต่างจากคนท่ัวไป เมื่อทรงทราบว่าเป็นธรรมดาท่ีทุกคน

52 จะต้องชราด้วยกันทั้งนั้น ทรงบังเกิดความสังเวชพระทัย จึงเสด็จกลับพระราชวัง วันต่อมาเมื่อเจ้าชายได้ เสด็จประพาสพระอุทยานอีก ก็ทรงพบเห็นคนเจ็บและคนตายในวาระที่สองและท่ีสาม ทรงถามดังเช่ น คราวก่อน เมื่อทรงทราบว่าเป็นของธรรมดาท่ีทุกคนจะต้องเจ็บ จะต้องตาย ก็ทรงสลดสังเวชพระทัยเป็น ทวีคูณ แต่ในวาระท่ีสี่ได้ทรงพบภาพบรรพชิตนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ มีกิรยิ าสำรวมน่าเคารพเล่ือมใสยิ่งนัก จึงทรงถามนายฉันนะอีก เมื่อทรงทราบว่าเป็นสมณะ ผู้แสวงหาความสงบ พระทัยของพระองค์จึงน้อมไป ในสมณเพศ มีพระทัยผ่องแผ้วเบิกบานย่ิงนัก จึงเสด็จเที่ยวอยู่ในพระอุทยานตลอดวัน ในวันน้ันเอง เจ้า หญิงยโสธราพิมพาได้ประสูติโอรส พระเจ้าสุทโธทนะจึงให้มหาดเล็กไปทูลเจ้าชายให้ทรงทราบ พระองค์ กำลังมีพระทัยน้อมไปในบรรพชา จึงทรงเปล่งอุทานว่า \"ห่วงบังเกิดขึ้นแก่เราแล้ว\" แล้วในตอนเย็น พระองค์กเ็ สดจ็ กลบั พระราชวงั เพราะเหตุนัน้ พระราชกุมารจึงได้พระนามว่า \"ราหลุ \" ซ่งึ แปลวา่ \"หว่ ง\" ในการพรรณาเร่ืองทรงทอดพระเนตรเทวทูตทั้ง 4 ในท่ีน้ี สามารถวิเคราะห์ได้วา่ เปน็ ไปได้หรอื ไม่ ว่าพระองค์ต้องทรงทอดพระเนตรคนแก่เป็นแน่แท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบิดา มารดา และพระอัยยิกา ของพระองค์เอง ส่วนคนเจ็บ คนตาย และสมณะนั้น อาจมีความเป็นไปได้ท่ีพระราชบิดาของพระองค์จะ ปกปิดไม่ให้ทอดพระเนตรได้ โดยให้อาศัยอยู่แต่ภายในปราสาทของพระองค์ แต่หากพรรณนาแบบ ธรรมาธิฏฐาน อาจเป็นไปได้ว่าพระองค์ทรงพิจารณาเห็นความจริงท่ีว่า คนเราต้องเกิด แก่ เจ็บ และตาย หลังจากได้ทอดพระเนตรคนแก่ เจ็บ ตาย และสมณะ จริง ๆ โดยไม่ได้มีการเนรมิตจากเทวดาแต่อย่างใด เนอ่ื งจากพระองค์ทรงเป็นผมู้ ีปัญญาเฉลยี วฉลาด เรียนจบศิลปศาสตร์ 18 ประการ ตัง้ แตท่ รงพระเยาวจ์ น ส้นิ ความรู้ของอาจารย์ 5.3 เสด็จออกผนวช (มหาภเิ นษกรมณ์) เม่ือเจ้าชายสิทธัตถะได้ประสบพบว่าคนเราจะต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทรงดำริว่า แม้เราเองก็หนี ไม่พ้นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย น้ี และการเกิดน้ีแหละเป็นเหตุทำให้เกิดทุกข์ แต่สรรพสิ่งล้วนมีของแก้กัน เชน่ มีร้อนก็มีเย็นแก้ มีมืดก็มีสว่างแก้ มีทุกข์ก็ต้องมีสขุ ได้ และความสขุ นั้นจะต้องพ้นไปเสยี จากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้ายังอยู่ในเพศฆราวาสก็คงหาทางแก้ทุกข์มิได้ ครั้นทรงดำริดังนั้นแลว้ ในตอนดึกคืนวันหน่ึง ในขณะท่ีทรงมีพระชนมายุได้ 29 พรรษาน่ันเอง ทรงตัดสินพระทัยเสด็จออกผนวช โดยยอมหนีจากพระ นางพิมพา พระวรชายาคู่บารมี และโอรสราหุล ผู้เป็นสุดท่ีรักปานดวงพระหฤทัย สละโภคสมบัติ ยศศักดิ์ รชั ทายาท และอำนาจวาสนาทัง้ สิ้น แล้วเสดจ็ หนอี อกจากพระราชวงั ที่ประทับโดยมา้ ทรงช่ือ “กัณฑกอศั ว ราช\" พร้อมกับมหาดเล็ก ชื่อ \"ฉันนะ\" ซึ่งเป็นสหชาติของพระองค์ เสด็จมุ่งสู่แม่น้ำอโนมา ป่าอนุปิยอัมพ วัน ในยามราตรี เม่ือถึงฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำอโนมา (ซ่ึงก้ันพรมแดนระหว่างแคว้นสักกะกับแคว้นมัลละ) ทรงรับส่ังให้นายฉันนะนำเคร่ืองทรงและม้ากัณฑกะกลับพระนคร ส่วนพระองค์ได้ใช้พระขรรค์ตัดพระ เมาลี (ผม) อธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต ครั้งแรก พระสมณโคดมได้ประทับอยู่ ณ ป่ามะม่วงชื่ออนุปิยอัมพ วัน รมิ ฝั่งแมน่ ำ้ อโนมา ฝ่ังเมืองสาวัตถีอยู่ถงึ 7 วัน จึงเสด็จมุ่งตรงไปยงั กรงุ ราชคฤห์แควน้ มคธ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 53 ในมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ปาสราสิสูตร ได้กล่าวถึงการเสด็จออกผนวชของเจ้าชายสิทธัต ถะ ความว่า “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย สมัยต่อมา เรากำลังหนุ่ม มีเกศาดำสนิท ยังอยู่ในปฐมวัย2 เมื่อพระ มารดาและพระบิดาไม่ทรงปรารถนาจะให้บวช มีพระพักตร์อาบด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสงอยู่ จึงปลง ผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนไม่มีเรือนบวช เมื่อบวชแล้ว ก็เสาะหาว่ากุศลเป็น อย่างไร ขณะที่แสวงหาทางสงบระงับอันประเสริฐ ซ่ึงหาทางอ่ืนย่ิงกว่ามิได้ ได้เข้าไปหาอาฬารดาบส กา ลามโคตรแล้ว กล่าวว่า ท่านกาลามะ ข้าพเจ้าปรารถนาจะประพฤติพรหมจรรย์ ในธรรมวินัยนี้” (ม.ม. (ไทย) 18/317/415) และยังปรากฏในมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ มหาสัจจกสูตร มีข้อความที่ คล้ายกันว่า“อัคคิเวสสนะ ในโลกน้ี ก่อนแต่ตรัสรู้เทียว เม่ือเรายังมิได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ทีเดียว ความปริวิตกเรื่องนี้ได้มีแก่เราว่า ฆราวาสเป็นท่ีคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี เคร่ืองหมองใจ ส่วนบรรพชา เป็นโอกาสอันแจ้ง การที่ผู้อยู่ครองเรือน ประพฤติพรหมจรรย์ให้เต็มที่ส่วนเดียว บริสุทธ์ิส่วนเดียว ดังสงั ข์ ท่ีขัดแล้ว ทำได้มิใช่ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมแลหนวด ครองผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนบวช อัคคิ เวสสนะ โดยสมัยอื่น เรากำลังหนุ่ม เกสายังดำสนิท ยังบริบูรณ์พร้อมด้วยเยาว์ เคร่ืองเจรญิ ชั้นปฐมวัยอยู่ ทเี ดียว เมื่อมารดาบิดา ไม่ประสงค์จะให้บวช พากันร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่ เราได้ปลงผมแลหนวดครอง ผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากเรือนบวชแล้ว เราบวชแล้ว แสวงอยู่แต่ว่าส่ิงไรเป็นกุศล ค้นหาทางสงบอัน ประเสริฐที่ไม่มีส่ิงไรยิ่งกว่า คือ พระนพิ พาน ได้เข้าไปหาอาฬารดาบส กาลามโคตร จึงได้กล่าวข้อประสงค์ อันนกี้ ะอาฬารดาบส กาลามโคตรว่า ท่านกาลามะ เราปรารถนาประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้ดว้ ย” (ม.ม.(ไทย) 19/411/113) ซึ่งการเสด็จออกผนวชของพระองค์น้ัน เรียกว่า มหาภิเนษกรมณ์ แปลว่า การเสด็จออกเพ่ือคุณอันย่ิงใหญ่ เหตุการณ์ดังกล่าวสามารถวิเคราะห์ได้ว่า พระองค์เสด็จออกต่อหน้า พระพักตร์พระราชมารดาและพระราชบิดามีความเป็นไปได้มากกว่าเสด็จหนีออกผนวชในเวลากลางคืน เนอ่ื งจากไดป้ รากฏในพระไตรปฎิ กท้ังสองแห่งดงั กล่าวแลว้ นัน้ ท้ังยงั เปน็ พระดำรัสของพระองคเ์ องอีกด้วยและยัง ปรากฏในทีฆนิกาย สีลขันวรรค กูฏทันตสูตร ซ่ึงพราหมณ์กูฏทันตะได้กล่าวให้เหตุผลกับพวกพราหมณ์หลาย ร้อยคนท่ีพักอยู่ในบ้านขานุมัตตะถึงเหตุผลท่ีท่านต้องเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้ พระองค์เสดจ็ มาหาตน ความว่า “...ได้ยินว่า พระสมณโคดมทรงละพระญาติหมู่ใหญ่ ออกผนวชแล้ว พระองค์ทรงสละเงินและทองเป็นอัน มาก ทั้งที่อยู่ในพื้นดิน ท้ังท่ีอยู่ในอากาศออกผนวช พระองค์กำลังรุ่น มีพระเกศาดำสนิท ยังหนุ่มแน่น ต้ังอยู่ในปฐมวัย เสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต เม่ือพระมารดาและพระบิดา ไม่ทรงปรารถนาให้ผนวช มี พระพักตร์อาบด้วยน้ำพระเนตรทรงกันแสงอยู่ พระองค์ได้ทรงปลงพระเกศา และพระมัสสุ ทรงครองผ้า กาสาวพัสตร์ เสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต พระองค์มีพระรูปงามน่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยพระ ฉวีวรรณ ผุดผ่องยิ่งนกั มพี ระฉวีวรรณคลา้ ยพรหม มพี ระสรีระคล้ายพรหม นา่ ดู น่าชม มใิ ชน่ ้อย พระองค์ 2 ปฐมวยั ในท่นี ี้ทรงหมายเอาวยั หนมุ่ สาว นบั ตามความนิยมตัง้ แตอ่ ายุ 15-30 ปี

54 เป็นผู้มีศีล มีศีลประเสริฐ มีศีลเป็นกุศล ประกอบด้วยศีลเป็นกุศลพระองค์มีพระวาจาไพเราะ มีพระ สำเนียงไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของชาวเมือง สละสลวย หาโทษมิได้ ให้ผู้ฟังเข้าใจเน้ือความได้ชัด พระองค์เป็นอาจารย์และปาจารย์ของคนหมู่มาก...” (ที.สี.(ไทย) 12/203/44-46) และในมัชฌิมนิกาย มชั ฌิมปัณณาสก์ จังกสี ูตร ความว่า จังกพี ราหมณ์ไดก้ ล่าวกะพราหมณ์ต่างเมืองประมาณ 500 ท่ีพกั อยู่ใน หมู่บ้านโอปาสาทะความว่า “...ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น ขอท่านทั้งหลายจงพึงข้าพเจ้าบ้าง เรานี้แหละสมควรจะไปเฝ้าพระสมณโคดมพระองค์นั้นทุกประการ แต่ท่านพระสมณโคดมพระองค์น้ัน ไม่ สมควรเสด็จมาหาเราเลย ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้ทราบว่า พระสมณโคดมทรงเป็นอุภโตสุชาติท้ัง ฝ่ายพระมารดาท้ังฝ่ายพระบิดา มีพระครรภ์เป็นท่ีถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด 7 ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใคร คัดค้านติเตียนได้โดยอ้างถึงพระชาติ แม้เพราะเหตทุ ่ีพระสมณโคดมเป็นอุภโตสุชาติ ฯลฯ ไม่มีใครคัดค้าน ติเตียนได้ โดยอ้างถึงพระชาตินี้ ทา่ นพระโคดมพระองค์นัน้ จงึ ไมส่ มควรจะเสด็จมาหาเราทั้งหลาย ทถี่ ูกเรา ท้ังหลายน่ีแหละสมควรจะไปเฝ้าท่านพระโคดมพระองค์นั้น ดูก่อนท่านผู้เจริญท้ังหลาย ได้ทราบว่า พระ สมณโคดมทรงสละเงินและทองมากมาย ทั้งที่อยู่ในพ้ืนดิน ท้ังท่ีอยู่ในอากาศ เสด็จออกผนวช...พระสมณ โคดมกำลังรุ่น พระเกศาดำสนิท ยังหนมุ่ แนน่ ต้ังอยู่ในปฐมวัย เสด็จออกทรงผนวชเป็นบรรพชติ ... เม่ือพระ มารดาและพระบิดาไม่ทรงปรารถนาให้ทรงผนวช พระพักตร์อาบไปด้วยพระอัสสุชล ทรงกันแสงอยู่ พระ สมณโคดมทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้าย้อมน้ำฝาด เสด็จออกทรงผนวชเป็นบรรพชิต...” (ม.ม.(ไทย) 21/650/343-344) ถึงแม้จะไม่ใชพ่ ระดำรสั ของพระองค์เอง แตม่ ีข้อความคลา้ ยคลึงกบั ทงั้ สอง สูตรดังกล่าวแล้ว ส่วนการเสด็จหนีออกผนวชในยามราตรีพร้อมด้วยนายฉันนะ โดยทรงม้ากัณฑกะนั้น ปรากฏในขุททกนิกาย วิมานวัตถุ กัณฑกวิมาน ความว่า “ข้าพเจ้ากัณฐกอัศวราช สหชาติของพระโอรส พระเจ้าสุทโธทนะในกรุงกบิลพัสดุ์ ราชธานีของกษัตริย์แคว้นศากยะ คร้ังใดพระราชโอรสเสด็จออก มหาภิเนษกรมณ์เพื่อโพธิญาณตอนเที่ยงคืน พระองค์ใช้ฝ่าพระหัตถ์อันนุ่มและพระนขาท่ีแดงปลั่ง ค่อย ๆ ตบขาข้าพเจ้า และตรัสว่า พาเราไปสิสหาย เราบรรลุพระสัมโพธิญาณอันอุดมแล้ว จักยังโลกให้ข้าม โอฆสงสาร เม่ือข้าพเจ้าฟังพระดำรัสนั้น ได้มีความร่าเริงเป็นอันมาก ข้าพเจ้ามีใจเบิกบานยินดีได้รับคำใน ครั้งน้ัน คร้ันรู้ว่า พระศากโยรสผู้มียศใหญ่ประทับน่ังเหนือหลังข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้ามีใจเบิกบานบันเทิง นำพระมหาบุรุษไปถึงแว่นแคว้นของกษัตริย์เหล่าอ่ืน เม่ือพระอาทิตย์ข้ึน พระมหาบุรุษน้ันมิได้ทรงอาลัย ละทิ้งข้าพเจ้าและฉันนอำมาตย์ไว้เสด็จหลีกไป ข้าพเจ้าได้เลียพระบาทท้ังสอง ซึ่งมีพระนขาแดงของ พระองค์ รอ้ งให้แลดูพระมหาวีระ ผู้กำลังเสด็จไป เพราะไม่ได้เห็นพระศากโยรสผู้ทรงสิริน้ัน ข้าพเจ้าป่วย หนัก ก็ตายอย่างฉับพลัน ด้วยอานุภาพแห่งบุญน้ันแหละ ข้าพเจ้าจึงมาอยู่วิมานทิพย์น้ี ซ่ึงประกอบด้วย กามคณุ ทุกอย่างในเทวนคร อกี อยา่ งหนึ่ง ขา้ พเจา้ ไดม้ ีความร่าเริงเพราะได้ฟงั เสยี งเพ่ือพระโพธญิ าณวา่ เรา จักบรรลุความสิ้นอาสวะด้วยกุศลมูลนั่นเอง”(ขุ.วิ. (ไทย) 48/81/608-609) หากจะให้น้ำหนักความ น่าเช่ือถือ การเสด็จหนีออกผนวชในยามราตรนี ่าจะมีน้ำหนักน่าเชอ่ื ถือรองลงมา เนื่องจากไม่ใช่พระดำรัส

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 55 ของพระพุทธองค์เอง เป็นเพียงคำกล่าวของพระสาวกเท่าน้ัน กล่าวคือเป็นการสนทนาระหว่างพระมหา โมคคัลลานะกบั กัณฑกอศั วราชเทพบตุ รนัน่ เอง ฝ่ายโกณฑัญญะพราหมณ์ เมื่อได้ข่าวว่าเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชแล้ว จึงได้ชวนบุตร พราหมณ์ท่ีเคยไปร่วมทำนายลักษณะเจ้าชายออกบวชตาม บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ จึงมีผู้บวชตาม เพียง 5 คน รวมทั้งโกณฑัญญะพราหมณ์ อีก 4 คน คือ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ท้ัง 5 นี้ รวมเรียกว่า ปัญจวัคคีย์ ท้ัง 5 คนนี้ได้ตัดสินใจออกบวชติดตามหาพระสมณโคดมต่อไป และพระเจ้า พิมพิสารผู้ครองแคว้นมคธ เมื่อได้ทรงทราบข่าวการเสด็จออกบรรพชาของเจ้าชายสิทธตั ถะ จึงไดเ้ สดจ็ ไป ยงั สำนักพระสมณโคดม และได้ทูลถามถึงความเป็นมา วตั ถุประสงค์ท่ีมา เม่ือทรงทราบว่าพระสมณโคดม เป็นราชตระกูลในราชวงศ์ศากยะแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ เกิดเบ่ือทางโลกคิดออกบวชเพื่อหาทางพ้นทุกข์เชน่ น้ี พระองค์ทรงชักชวนให้พระสมณโคดมอยู่กับพระองค์ โดยทรงสัญญาว่าจะแบ่งราชสมบัติให้ปกครองก่ึง หนง่ึ ซง่ึ กไ็ ดร้ ับการปฏเิ สธจากพระสมณโคดมโดยสุภาพ 5.4 ทรงศกึ ษาในสำนักดาบส ตอ่ จากนั้นพระองค์ได้เสดจ็ ไปยังสำนักของอาฬารดาบส กาลามโคตร ณ เชิงเขาบัณฑวะ เข้าฝาก ตัวเป็นศิษย์ ศึกษาจนสำเร็จตามหลักสูตรของอาจารย์ ได้สมาบัติ 7 คือ ได้รูปฌาน 4 อรูปฌาน 3 คร้ัน แล้วพระองค์ก็เสด็จไปศึกษาต่อ ณ สำนักอุทกดาบส รามบุตร ได้ความรู้สูงขึ้นอีกข้ันหนึ่ง คือ ได้อรูปฌาน 4 ซ่ึงเป็นความรู้สูงสุดของอาจารย์ แต่พระองค์ก็ทรงหาพอพระทัยไม่ เพราะน่ันยังมิใช่ทางพ้นทุกข์ท่ี พระองค์ทรงม่งุ หมาย พระองค์จึงลาอาจารย์เสด็จต่อไปจนถงึ ตำบลอุรุเวลาเสนานคิ ม ทรงพจิ ารณาเห็นว่า สถานที่น้ันสงบ น่าร่ืนรมย์ มีพื้นที่ราบเรียบ มีแนวป่าเขียวสด มีแม่น้ำไหลผ่าน น้ำใสสะอาด มีท่าอันดีน่า รืน่ รมย์ มที ี่สำหรบั โคจรเพือ่ ภิกขาอยู่โดยรอบ จึงทรงประทบั ยับย้ังเพ่ือบำเพญ็ เพยี ร ณ ทน่ี นั้ ต่อไป ฝ่ายปัญจวัคคีย์ซ่ึงพากันติดตามพระองค์มาหลายเมืองแล้วนั้น ได้มาพบพระองค์ท่ีตำบลอุรุเวลา เสนานิคม เห็นพระองค์บำเพ็ญเพียรโดยวิธีต่าง ๆ อยู่ ก็คิดว่าพระองค์คงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเป็น แนแ่ ท้ จงึ ได้พากนั เข้าไปอยู่ช่วยปรนนิบัตติ ัง้ แตน่ ้ันมา 5.5 ทรงบำเพญ็ ทุกรกิรยิ า ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมน้ีเอง พระสมณโคดมได้เริ่มบำเพ็ญทุกรกิริยา ซ่ึงเป็นวิธีการที่นิยมกัน อย่างแพร่หลายในสมัยน้ัน โดยคิดว่าจะเป็นทางแหง่ ความหลุดพ้นทุกข์ พระองค์ได้บำเพ็ญทกุ รกิริยาอย่าง แรงกล้า เช่น กดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุ (เพดานปาก) ด้วยพระชิวหา จนเหง่ือไหลจากรักแร้ กล้ันลมหายใจเข้าออก เมื่อลมเดินทางช่องนาสิก และพระโอษฐ์ไม่สะดวกแล้ว ก็เกิดเสียงอู้ ๆ ทางช่อง พระโสต และในที่สุดก็ใช้วิธีอดอาหาร โดยผ่อนเสวยน้อยลง ๆ จนพระกายเหี่ยวแห้ง พระฉวีวรรณเศร้า หมอง กระดูกปรากฏทั่วพระวรกาย เมื่อทรงลูบพระองค์พระโลมามีรอยเน่าก็หลุดร่วงจากขุมขน พระกำลังก็ลดน้อยถอยลงตามลำดับ จะเสด็จไปทางไหนก็คอยซวนเซล้ม แม้พระองค์จะทรงทรมาน พระกายถงึ ขนาดน้กี ็หาบรรลุคณุ วิเศษใด ๆ ไม่

56 พระองค์จึงทรงพิจารณาเห็นว่า การบำเพ็ญเพียรทางกายอย่างมากก็ทำกันได้เพียงแค่น้ีเอง ไม่ดีไปกว่าน้ีแน่ ถึงกระนั้นก็หาใช่ทางหลุดพ้นไม่ พระองค์จึงทรงหวนระลึกถึงความเพียรทางใจในขณะท่ี พระชนมายุได้ 7 ขวบในวันพระราชพธิ ีแรกนาขวัญที่พระองค์ทรงเข้าถึงปฐมฌานนัน้ ทรงตกลงพระทัยว่า คงจะเป็นทางตรัสรู้อย่างแน่นอน ทรงเกิดความคิดเทียบเคียงกับพิณ 3 สาย ถ้าขึงตึงนัก พอดีดก็จะขาด ออกไป ถ้าขึงหย่อนไปก็ดดี ไม่เป็นเสียง แต่ถ้าขึงปานกลางย่อมดีดไพเราะเจริญใจ เม่ือเทียบกบั การปฏิบัติ กเ็ ช่นเดียวกัน ถ้าย่อหยอ่ นนักคือ หมกมุ่นหนักไปในกามารมณ์จนเกินไป ก็เป็นเสมือนพิณท่ีขึงหย่อนย่อม ไม่สามารถออกจากทุกข์ได้ ถ้าหากปฏิบัติตึงเกินไป เช่น การบำเพ็ญทุกรกิริยาที่เคยปฏิบัติมานั้นก็เป็น เสมือนพิณที่ขึงตึงนักพอดีดก็ขาด พระองค์ก็เช่นเดียวกัน บำเพ็ญลำบากเปล่าๆ แทบจะขาดใจก็หาได้ผล ใด ๆ ไม่ ฉะนัน้ จงึ ควรเดินสายกลางไม่ใหต้ ึงนักและหย่อนนัก ซึ่งเรียกวา่ \"มัชฌิมาปฏิปทา\" นกี่ ระมงั ท่ีจะ เป็นทางแหง่ ความพ้นทกุ ข์ พระสมณโคดมทรงตระหนักได้ว่า ร่างกายและจิตใจเป็นของคู่กันและเกี่ยวเน่ืองสัมพันธ์กัน การ ทรมานร่างกายก็ย่อมทำให้จิตใจไม่สงบ กระวนกระวาย เม่ือจิตใจไม่สงบปัญญาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร และ ถ้ากำลงั กายไม่มีกำลังใจจะมไี ด้อยา่ งไร จติ ใจทีเ่ ขม้ แข็งย่อมอยใู่ นรา่ งกายที่สมบูรณ์ จึงทรงหนั กลบั มาเสวย อาหารตามปกติเพอ่ื ให้มีกำลังกาย เพื่อจะได้เจริญสมาธภิ าวนาทำความเพยี รต่อไป เมื่อปัญจวัคคีย์เห็นพระสมณโคดมเลิกการบำเพ็ญทุกรกิริยากลับมาเสวยอาหารเช่นน้ัน ก็คิดว่า พระองค์คงจะเลิกละความเพียรหันมาเพื่อความมักมากเสียแล้ว คงไม่อาจตรัสรู้ได้อย่างแน่นอน ถ้าตนจะ อยู่ปฏิบัติต่อไปก็คงไม่ได้อะไร จึงพากันหลีกหนีไปอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ปัจจุบันเรียกช่ือว่า สารนาถ ใกลเ้ มอื งพาราณสี การที่พระองค์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา แล้วมีปัญจวัคคีย์มาอุปัฏฐากเช่นน้ันย่อมเป็นโชคของ พระองค์ เพราะเท่ากับพระองค์ได้มีพยานยืนยันว่า การบำเพ็ญทุกรกิริยาน้ันไม่ใช่ทางตรัสรู้ โดยยก พระองค์เป็นตัวอย่างว่าทรงเคยทำมาแล้ว หาใช่ทางแห่งความสำเร็จไม่ เม่ือพระองค์ทรงดำริจะบำเพ็ญ เพียรทางจิตน้ัน ก็นับว่าเป็นโชคดีหรือโอกาสที่ดีต่อพระองค์อีก ที่มีเหตุให้ปัญจวัคคีย์หลบหนีไป เพราะ การบำเพ็ญเพียรทางจิตน้ัน จำต้องอาศัยความสงบเป็นอย่างมาก ถ้ามีคนอยู่พลุกพล่าน ย่อมก่อให้เกิด อันตรายต่อความสงัดของพระองค์ ซ่ึงนับว่าพระองค์ทรงเป็นผู้มีโชคเป็นอย่างย่ิงใหญ่ สมดังคำเรียกขาน พระนามพระองค์อีกหนึ่งพระนามว่า ภควา น้ันเอง ซึ่งพจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรมได้ให้ ความหมายไว้ว่า ทรงเป็นผู้มีโชค คือ จะทรงทำการใด ก็ลุล่วงปลอดภัยทุกประการ หรือ เป็นผู้จำแนก แจกธรรม — Bhagavà: blessed; analyst) (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), 2558, หน้า 222) อธิบายความได้ว่า ภควา หรือ พระผู้มีพระภาคเจ้าอันเป็นพระนามหนึ่งของพระพุทธเจ้าท่ีสาวกเรียกกัน แปลว่า ทรงเป็นผู้มีโชคคือ ทรงหวังพระโพธิญาณก็ได้สมหวัง ทรงประกาศพระศาสนาก็ชักจูงผู้คนให้ได้ บรรลุธรรมตามสมปรารถนา มีผู้คิดร้ายก็ไม่อาจทำร้ายได้ อีกนัยหนึ่งว่า ทรงเป็นผู้จำแนกแจกธรรม คือ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 57 ทรงแสดงธรรมด้วยการจำแนก แจกแจงได้อย่างชัดเจนให้ผู้คนเข้าใจได้ทุกแง่ทุกมุม อีกทั้งมีความงามใน เบื้องตน้ ทา่ มกลาง และท่สี ดุ อกี ดว้ ย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ อรรถกถาปาสราสิสูตร ได้กล่าวถึงเหตุการณ์หลัง ทรงเลิกบำเพ็ญทุกกรกิริยาไว้ว่า ในเช้าวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 พระสมณโคดมได้ทรงรับข้าวมธุปายาส พรอ้ มถาดทองคำมีค่าแสนหน่ึงปิดด้วยถาดทองคำอีกหนึ่งถาดห่อด้วยผ้าขาวจากนางสุชาดา ซึ่งนางนำมา แก้บนทีไ่ ด้บุตรคนแรกเปน็ ชาย เม่อื ทรงรับ ได้ทรงเสด็จลงสรงสนานในแมน่ ้ำเนรญั ชรา ทรงปั้นเปน็ ก้อนได้ 49 ก้อน แล้วทรงเสวยข้าวมธุปายาสจนหมด แล้วก็ทรงนำถาดทองใบนั้นไปลอยน้ำ โดยทรงเสี่ยงทายว่า “ถ้าเราจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในวันนี้ ขอถาดจงลอยทวนกระแสน้ำ” แล้วทรงเหวี่ยงถาดไป ถาดก็ลอย ทวนกระแสน้ำแล้วหยุดหน่อยหนึ่ง เข้าไปสู่ภพของท้าวกาฬนาคราช วางทับของพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ (ม.มู.อ. (ไทย) 18/455-456) พระสมณโคดมเม่ือทรงเห็นเช่นนั้น ก็ม่ันพระทัยว่า พระองค์จะต้องได้ตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย ทรงปีติโสมนัสอย่างย่ิง ทรงมุ่งสู่โพธิบัลลังค์ จะเห็นได้ว่า ขอ้ ความน้ีเป็นข้อความในช้ันอรรถกถาเท่าน้ัน แต่ข้อความในพระสุตตนั ตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ปาสราสิสูตร ปรากฏข้อความแต่เพียงว่า ทรงเสด็จถึงตำบลอุรเุ วลาเสนานิคมอันเปน็ ท่ีน่ารื่นรมย์ มรี าวป่า เป็นท่ีน่าช่ืนใจ มีแม่น้ำ มีท่าน้ำใสสะอาด มีโคจรคามต้ังอยู่โดยรอบ เป็นท่ีสมควรเร่มิ บำเพ็ญเพียร จึงทรง เรม่ิ บำเพ็ญเพียร ณ ที่แหง่ นน้ั จนกระทั่งทรงบรรลเุ ป็นพระสมั มาสัมพุทธเจ้า ตรสั รู้เองโดยชอบ บรรลุพระ นิพพานอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ วิมุตติของพระองค์จะไม่กำเริบอีก และชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของ พระองค์ ไม่มีภพใหม่อีกต่อไป (ม.มู. (ไทย) 18/319-320/418-419) จะเห็นได้ว่าในท่ีนี้ไม่ได้พรรณนาถึง การรบั ขา้ วมธุปายาสจากนางสุชาดา และการอธิฏฐานเส่ยี งทายดว้ ยการลอยถาดทองคำดงั กล่าว 5.6 ตรสั ร้เู ปน็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ นับแต่การได้ออกทรงบรรพชาจนถึงเสวยข้าวมธุปายาสรวมเป็นเวลา 6 ปีเต็ม พระองค์ก็ได้เสด็จ ไปประทับนั่ง ณ โคนต้นสาละ แล้วพระดำริท่ีจะบำเพ็ญเพียรทางใจต่อไป โดยทรงกำหนดสถานที่ กำหนดเวลาและกิจที่จะต้องทรงทำ เมื่อเตรียมวางแผนในเรื่องดังกล่าวได้แล้วจึงเสด็จลุกจากต้นสาละ มงุ่ ตรงไปยังตน้ มหาโพธท์ิ ที่ รงกำหนดหมายไว้ ขณะนั้น ได้มีคนเกี่ยวหญ้าคนหนึ่งชื่อ โสตถิยพราหมณ์ ถือหญ้าคา 8 กำ เดินสวนทางมา พราหมณ์นั้นได้พบพระสมณโคดมก็เกิดเล่ือมใส จึงน้อมนำหญ้าคาท้ัง 8 กำน้ันเข้าไปถวาย พระองค์ทรง รับแลว้ เสดจ็ ไปยังต้นมหาโพธ์ิ เม่ือเสดจ็ ไปถงึ ตน้ มหาโพธ์ิแลว้ กท็ รงพิจารณาเห็นว่าเบ้อื งทิศตะวันออกของ ต้นมหาโพธิ์เป็นที่เหมาะเรียบราบสม่ำเสมอดี จึงทรงเอาหญ้าคาท้ัง 8 กำน้ันปู ทรงพอพระทัยในบัลลังก์ หญ้าน้ัน โดยกำหนดนึกให้เสมอบัลลังก์แก้ว ทรงน่ังขัดสมาธิบนบัลลังก์หญ้า แล้วหันพระพักตรไ์ ปทางทิศ ตะวันออก หันหลังให้ต้นมหาโพธ์ิ แล้วได้ตั้งสัตยาธิษฐานไว้อย่างอุกฤษฎ์ว่า \"ถ้าเรายังไม่บรรลุพระสัมมา สัมโพธิญาณตราบใด เราจักไม่ลุกขึ้นตราบน้ัน แม้ว่าเนื้อเลือดจะเหือดแห้งไป เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก ก็ตามที\" แลว้ ทรงกระทำจติ เขา้ สู่สมาธิ

58 ขณะนั้นได้เกิดความขัดแย้งระหว่างธรรมชาติฝ่ายต่ำ คือ กิเลส และธรรมชาติฝ่ายสูง คือ คุณธรรมต่าง ๆ ในพระทัยของพระองค์ แต่พระองคม์ พี ลังพระทัยเขม้ แข็ง สามารถประมวลเอาบารมีทีเ่ คย ได้สั่งสมอบรมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ให้เข้มแข็งหนักแน่นเสมือนแผ่นดิน หักห้ามความคิดจะกลับหลัง เสียได้โดยเด็ดขาด จนสามารถเอาชนะธรรมชาติฝ่ายต่ำได้ และสามารถทำให้จิตเข้าสู่สมาธิท่ีแน่วแน่มาก ย่ิงขึ้นตามลำดับ จนได้บรรลุฌานที่ 1 ถึงท่ี 4 ตามลำดับ มีจิตท่ีแน่วแน่มั่นคงผ่องแผ้วจากกิเลสอาสวะท้ัง ปวงได้ แลว้ ทำให้บรรลญุ าณความร้เู หน็ เปน็ ข้นั ตอนตามลำดบั ในราตรนี ้นั คือ ยามท่ี 1 (18.00 น. - 22.00 น.) ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ รู้และเข้าใจชาติหนหลัง ของพระองค์ได้อยา่ งแจ่มแจง้ ทัง้ ทรงร้แู จ้งการกำเนดิ และเรอื่ งของชวี ิต ยามที่ 2 (22.00 น. - 02.00 น.) ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ คือ ทรงรู้และเข้าใจเหตุท่ีสัตว์โลกต้อง ตายและเกิดมีสภาพที่แตกตา่ งกัน ยามที่ 3 (02.00 น. - 06.00 น.) ทรงบรรลุอาสวกั ขยญาณ คือ ความรแู้ ละความเขา้ ใจอนั เปน็ เหตุ ท่ีทำให้สิ้นอาสวกิเลสท้ังหลาย คือ ทรงทราบว่าการที่ขันธ์มาประชุมกันข้ึนเป็นตัวเราตัวเขาน้ี ก็เพราะ ความไม่รู้ (อวิชชา) ความอยากไม่มีที่สิ้นสุด (ตัณหา) ความยึดมั่น ถือมั่น (อุปาทาน) และการกระทำของ เรา (กรรม) นั่นเอง ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเหตุและผลของกันและกัน เปรียบเสมือนสายโซ่ เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท หรือจะกล่าวอีกอยา่ งหน่ึงว่า พระองค์ตรัสรู้อริยสัจ 4 อันไดแ้ ก่ ทุกข์ (สภาพทท่ี นได้ยาก) สมทุ ัย (เหตุท่ีทำให้เกิดทุกข์) นิโรธ (ความดับทกุ ข์) และมรรค (หนทางไปสู่ความดับทกุ ข)์ เมื่อทรงรู้อย่างน้ีแล้ว จิตของพระองค์ก็พ้นจากอาสวกิเลสท้ังปวง ไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป พระองค์ไดต้ รสั รเู้ ปน็ พระสัมมาสมั พุทธเจา้ (ผูต้ รัสรู้ด้วยพระองคเ์ องโดยชอบธรรม) ในรงุ่ อรุณนนั่ เอง 5.7 ทรงดำรทิ จ่ี ะโปรดสตั ว์ ครั้นพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทรงเสวยวิมุตติสุข คือความสุขอันเกิดจาก ความหลุดพ้นจากกิเลส เป็นเวลา 49 วนั (7 สปั ดาห)์ แล้วไดเ้ สด็จกลับไปยังต้นอชปาลนิโครธ ในราตรีน้ัน ทรงดำริว่า พระธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้น้ันเป็นส่ิงท่ีลึกซึ้ง ยากท่ีคนธรรมดาจะรู้ เข้าใจ และปฏิบัติตาม พระองค์ได้ ทรงมีพระทัยท้อถอยไม่คิดจะส่ังสอนผู้อื่นต่อไป ในพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ความว่า “ขณะนนั้ ท้าวสหัมบดพี รหมได้ทราบดำริของพทุ ธองค์แล้ว ได้เกิดปริวติ กว่า โอ จะ ฉิบหายแหลกลาญเสียแล้ว เพราะพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระทัยน้อมไปเพ่ือขวนขวาย น้อย ไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรม จึงอันตรธานจากพรหมโลกลงมา เฉวียงผ้าห่ม ประคองอัญชลี กล่าว วา่ ขา้ แต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงแสดงธรรม สัตว์ผู้มีกเิ ลสดจุ ธุลที ีด่ วงตาน้อยเป็น ปกตมิ ีอยู่ เพราะไม่ได้สดับธรรม สตั ว์เหล่าน้ันจึงเสอ่ื ม ผ้ทู ี่รู้ธรรมจกั มอี ยู”่ (ม.ม.ู (ไทย) 18/322/420-421) พระพุทธองค์จึงได้ตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ได้เห็นว่า “เหล่าสัตว์ผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อยก็มี ผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตามากก็มี ผู้มีอินทรีย์กล้าก็มี ผู้มีอินทรีย์อ่อนก็มี ผู้มีอาการดีก็มี ผู้มีอาการชั่วก็มี ผพู้ อจะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี ผู้จะพึงสอนให้รู้ได้ยากก็มี บางพวกมีปกติเห็นโทษและภัยในปรโลก เปรียบ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 59 เหมือนในกออุบล ในกอปทุม หรือในกอบุณฑริก ดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก บางดอกเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ อยู่กับน้ำ จมน้ำอยู่ภายในน้ำ อันน้ำหล่อเล้ียงไว้ บางดอกเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ อยู่กับน้ำ ตั้งอยู่เสมอน้ำ บางดอกเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ โผล่พ้นน้ำข้ึนมาแล้วตั้งอยู่ น้ำซึมเข้าไปไม่ได้ ฉันใด เรา ขณะท่ีตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ได้เห็นเหล่าสัตว์ ฉันน้ัน” (ม.มู.(ไทย) 18/322/421-422) สัตว์โลก ท้ังหลายก็มีอุปมาเหมือนดอกบัว ฉะน้ัน บางคนก็มีปัญญาเฉียบแหลม สอนเพียงครั้งเดียวก็จะเข้าใจได้ แจ่มแจ้ง เปรียบประดุจดอกบัวท่ีอยู่พ้นน้ำคอยแสงแดดอยู่ฉะน้ัน บางคนก็มีสติปัญญาอยู่ในเกณฑ์ดี พอ แนะนำให้ตรัสรไู้ ดโ้ ดยง่าย แมจ้ ะตอ้ งสอนกนั ถึง 2 -3 ครงั้ ก็ตาม ย่อมเป็นเสมอื นดอกบวั ทีอ่ ยู่เสมอผวิ น้ำ อีก 2 -3 วันก็จะบานฉะน้ัน บางคนแม้จะไม่ถึงกับจะตรัสรู้มรรคผลได้ แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่จะแนะนำสั่ง สอนให้ต้ังตนอยู่ในคุณธรรมความดีได้ เปรียบเสมือนดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำ พอมีหวังจะบานได้ในอนาคต แม้จะนานสักหน่อยก็ตาม เมื่อพระองค์ทรงพิจารณาเห็นเช่นน้ันแล้วจึงทรงรับอาราธนาท่ีจะสั่งสอนสัตว์ ต่อไป น้ีเป็นการพรรณนาแบบ บุคลาธิฏฐาน แต่หากอธิบายด้วยหลกั ธรรมาธิฏฐานแล้ว สามารถอธิบาย ได้ว่า พระพรหมในที่น้ีคงหมายเอาพรหมวิหาร 4 คือ (1) เมตตา ทรงมีความรักปรารถนาให้สรรพสัตว์มี ความสขุ กาย สบายใจ (2) กรุณา ทรงมีความเอ็นดู ปรารถนาให้สรรพสตั วท์ ม่ี ีความทุกขก์ าย ทุกข์ใจไดพ้ ้น ทุกข์ (3) มุทิตา ทรงพลอยยินดี เม่ือสรรพสัตว์นั้น ๆ ได้ดี หลุดพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจได้ และ (4) อุเบกขา ทรงวางพระทัยเป็นกลาง ปล่อยวาง เม่ือสัตว์น้ัน ๆ ได้รับการแนะนำพร่ำสอนแล้ว แต่ไม่ สามารถพัฒนาตนเอง หรือไม่สนใจในการฝึกปฏิบัติตามคำแนะนำพร่ำสอน จนหลุดพ้นจากทุกข์ได้ ซ่ึง พรหมวิหาร 4 เป็นคณุ สมบัติของพระพุทธเจ้าทกุ ๆ พระองค์อยแู่ ล้ว ดังนั้น พระองค์จงึ ทรงตดั สินพระทัยที่ จะประกาศคำสอนท่ีพระองค์ทรงค้นพบและตรสั รู้ดว้ ยด้วยพระองค์เอง สมดังพระประสงค์ทพ่ี ระองค์เสด็จ ออกผนวชแตแ่ รกเริ่มนั่นเอง ครั้นแล้วจึงทรงดำริว่าควรจะไปสั่งสอนผู้ใดก่อน บุคคลที่มีความรู้ความสามารถพวกแรกท่ีทรง ระลกึ ถงึ ได้ คือ อาฬารดาบส และอุททกดาบส แตข่ ณะนั้นทงั้ สองทา่ นไดเ้ สียชีวติ ไปก่อนแล้ว บุคคลต่อมา ท่ีทรงระลึกถงึ ได้แก่ ปัญจวัคคีย์ ซงึ่ ได้หนีจากพระองค์ไปอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เป็นผู้มีอุปการคุณ ต่อพระองค์ระหว่างทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ดังนั้น จึงทรงตัดสินพระทัยจะแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์เป็น พวกแรก 5.8 ทรงแสดงปฐมเทศนา ในพระสตุ ตันตปิฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปัณณาสก์ ระบวุ ่า เมือ่ ทรงตดั สนิ พระทัยจะแสดงธรรมโปรด ปัญจวัคคีย์ จึงได้เสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ในระหว่างทางได้สวนทางกับ อาชีวกผู้หนึ่ง (นักบวชประเภทหนึ่งนอกพุทธศาสนา) ช่ืออุปกะ ระหว่างแม่น้ำคยากับโพธิพฤกษ์ เมื่อ อุปกะชีวกเห็นพระพุทธเจ้ามีผิวพรรณผุดผ่องงดงามย่ิงนัก เกิดความอัศจรรย์ในใจ จึงถามว่า \"ดูก่อน อาวุโส อินทรีย์ของท่านใสยิ่งนัก ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูก่อนอาวุโส ท่านบวชอุทิศใคร ใคร เป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบธรรมของใคร\" พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบความย่อว่า \"เรารธู้ รรมด้วย

60 ตนเอง หาได้บวชในสำนักผู้ใดไม่ ฉะน้ัน จึงไม่มีใครท่ีเป็นครูของเรา เราเป็นผู้ตรัสรู้เอง\" อุปกะชีวกก้ม ศรีษะลง แล้วจากไป (ม.มู. (ไทย) 18/322/423-424) พระพุทธเจ้าไดเ้ สดจ็ ไปจนถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในตอนเยน็ วนั ข้ึน 14 ค่ำ เดอื น 8 และในท่ีสุดพระพุทธองคก์ ็ได้พบกับปัญจวัคคีย์ และได้ทำให้ปัญจวัคคีย์ เช่ือในการตรสั รู้ของพระองค์ และพรอ้ มท่ีจะรบั ฟงั พระธรรม ดังนั้น ในวันรุ่งข้ึน คือวันเพ็ญข้ึน 15 ค่ำ เดือน 8 ก่อนพุทธศักราช 45 ปี จึงทรงแสดงธัมมจัก กัปปวัตตนสูตรโปรดปัญจวัคคีย์ นับเป็นปฐมเทศนาของพระพุทธองค์ โดยในพระวินัยปิฎก มหาวรรค กล่าวว่า พระผูม้ ีพระภาคเจา้ รับส่ังกะพระปัญจวคั ดยี ์วา่ “ดกู ่อนภกิ ษุทั้งหลาย ที่สุด 2 อย่างนอี้ ันบรรพชิต ไม่ควรเสพคือ การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย เป็นธรรมอันเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 1 การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตน เป็นความลำบาก ไม่ใช่ของพระอรยิ ะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 1 ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ท่ีสุดสองอย่าง” (วิ.ม. (ไทย) 6/13/44-45) เมื่อปัญจวัคคีย์ได้พิจารณาไตร่ตรองธรรมตามท่ี พระพุทธองค์ทรงแสดงแล้ว “ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดแกท่ ่านโกญฑัญญะว่า สิ่งใดส่ิงหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ส่ิงน้ันทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา” (วิ.ม. (ไทย) 6/16/48) พระพุทธองค์ทรงเปล่งอุทานว่า \"อัญญาสิ วตโภ โกณฑัญโญ\" 2 คร้ัง แปลว่า โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ โดยนิมิตท่ีพระองค์ทรงเปล่งอุทานน้ี ท่านโกณฑัญญะจึงได้นามใหม่ว่า อัญญาโกณฑัญญะ ต้ังแต่บัดน้ันเป็นต้นมา ต่อจากนั้นอัญญาโกณฑัญญะได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระพุทธองคจ์ ึงได้ประทานเอหิภิกขุอปุ สมั ปทา ความวา่ “ท่านจงเป็นภิกษมุ าเถิด ธรรมอนั เรากลา่ วดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรยเ์ พื่อทำทสี่ ุดทุกข์โดยชอบเถดิ ” (วิ.ม. (ไทย) 6/18/50) ทา่ นโกณฑัญญะ นับว่า เป็นปฐมสาวกในพระพุทธศาสนา และได้รับยกย่องจากพุทธองค์ว่า เป็นผู้เลิศกว่าสาวกทั้งหลายในด้าน การได้ดวงตาเห็นธรรม (ผู้มีราตรีนาน) เป็นประจักษ์พยานในพระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้แล้วน้ัน พระธรรม อันลกึ ซ้ึงนัน้ เป็นสิง่ ท่ีไมเ่ หลอื วสิ ัยทีค่ นจะรตู้ ามได้ ในระหว่างน้ันพระพุทธเจ้าก็ได้แสดงธัมมกี ถาโปรดอีก 4 ท่านทเ่ี หลือ ทา่ นวัปปะและท่านภทั ทยิ ะ ได้ดวงตาเห็นธรรม และชุดสุดท้ายที่ได้ดวงตาเห็นธรรมคือ ท่านมหานามะ และท่านอัสสชิ แล้วพระพุทธ องค์ก็ได้ประทาน การบรรพชาอุปสมบทให้ด้วยวิธีเดียวกันกับท่ีประทานให้ท่านอัญญาโกญฑัญญะ ต่อมา พระพุทธองค์ไดท้ รงแสดงอนัตตลักขณสตู รโปรดพระภิกษุปัญจวัคคียอ์ ีก กระทั่งไดเ้ กิดความเขา้ ใจแจม่ แจ้ง จิตหลุดพ้นจากอาสวกิเลส ไม่ยึดม่ันถือมั่นด้วยอุปทานอีกต่อไป จึงได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมกัน ท้ังหมดท้ัง 5 องค์ ขณะน้ันได้มีพระอรหันต์เกิดข้ึนแล้วในโลก 6 องค์ด้วยกัน และได้จำพรรษาแรกที่ป่า อิสิปตนมฤคทายวนั นับวา่ เปน็ พรรษาท่ี 1 ของพระสมั มาสัมพุทธเจ้า ในระหว่างประทับที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมโปรดยสกุลบุตรให้ได้ ดวงตาเห็นธรรม และแสดงธรรมโปรดบิดา มารดา และอดีตภรรยาของพระยสะจนทั้งสามได้ปฏิญาณตน เป็นปฐมอุบาสก และปฐมอุบาสิกาในพระพุทธศาสนา ขอถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นท่ีพึ่ง

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 61 ตลอดชีวิต ต่อมาหลังพระยสะได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ทรงแสดงธรรมโปรดสหายของพระยสะในเมือง พาราณสอี ีก 4 คน คือ วิมล สุพาหุ ปุณณชิ และ ควัมปติ จนได้บรรลุพระอรหันต์ หลังจากน้ันพระองค์ได้ แสดงธรรมโปรดสหายที่อยู่ตามชนบทนอกเมืองพาราณสีอีก 50 คน จนได้บรรลุอรหัตตผลเป็น พระอรหนั ต์ทง้ั หมด ในกาลนั้นได้มพี ระอรหนั ตเ์ กดิ ขน้ึ ในโลกรวมทง้ั หมด 61 องค์ 5.9. ทรงประกาศพระศาสนา เมื่อทรงมีสาวกเป็นพระอรหันต์ 60 องค์ และออกพรรษาแล้ว ทรงพิจารณาเห็นสมควรว่าจะ ออกไปประกาศศาสนาให้เป็นที่แพร่หลายได้แล้ว พระพุทธองค์จึงทรงเรียกประชุมสาวกท้ังหมดแล้วตรัส ว่า \"ภิกษุทั้งหลาย เราได้พ้นจากบ่วงท้ังปวงทั้งชนิดท่ีเป็นทิพย์ และชนิดที่เป็นของมนุษย์แล้ว แม้ท่าน ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เราท้ังหลายจงพากันจาริกไปยังชนบททั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ มหาชนเถิด อย่าไปรวมกันทางเดียวถึงสองรูปเลย จงแสดงธรรมให้งามทั้งในเบ้ืองต้น ท่ามกลางและที่สุด พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะเถิด จงประกาศพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์บริบูรณ์โดยส้ินเชิง สัตว์ทั้งหลายที่มี กิเลสเบาบางน้ันมีอยู่ เพราะโทษที่ไม่ได้ฟงั ธรรม ย่อมจะเสื่อมจากคุณท่ีจะพึงได้พึงถึง ผู้รูท้ ่ัวถงึ ธรรมคงจัก มอี ยู่ แม้เราเอง กจ็ ะไปยังอรุ ุเวลาเสนานิคมเพือ่ แสดงธรรมเช่นกัน” พระองค์ทรงส่งสาวกออกประกาศศาสนาพร้อมกันทีเดียวถึง 60 องค์ ไป 60 สาย คือ ไปกันทุก สารทิศทีเดียว แม้พระองค์เองก็ไปเหมือนกัน ไม่ใช่แต่สาวกอย่างเดียวเท่านั้น นับว่าเป็นตัวอย่างท่ีดีของ ผนู้ ำทดี ี และเปน็ ตัวอยา่ งในการเป็นครทู ี่ดีอกี ดว้ ย สาวกทั้ง 60 เม่ือได้รับพุทธบัญชาเช่นนั้น ก็แยกย้ายกันไปประกาศศาสนาตามจังหวัด อำเภอ และตำบลต่าง ๆ ทำให้กุลบุตรในดินแดนถ่ินฐานต่าง ๆ เหล่าน้ันหันมาเล่ือมใสในพระพุทธศาสนาได้ มากมาย เมื่อเกิดความเล่ือมใสจึงขอบวช แต่สาวกเหล่าน้ันยังไม่สามารถบวชให้เองได้ จึงต้องพากุลบุตร เหล่านน้ั มาเฝ้าพระพทุ ธองค์เพือ่ ให้พระองค์บวชให้ ทำให้ได้รับความลำบากในการเดินทางมาก เพราะเหตุ นัน้ พระพุทธองค์จงึ ประทานพทุ ธานญุ าตให้สาวกเหล่าน้นั อปุ สมบทกุลบุตรได้ โดยโกนผมและหนวดเครา เสียก่อน แล้วจึงให้นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด น่ังคุกเข่าพนมมือ กราบภิกษุแล้วเปล่งวาจาว่า \"ข้าพเจ้าขอถึง พระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นสรณะ ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ\" รวม 3 ครั้ง การอุปสมบทนี้เรียกว่า \"ติสรณคมนูปสัมปทา\" คืออุปสมบทโดยวิธีให้ปฏิญญาณตนเป็นผู้ถึงไตรสรณคมน์ เปน็ การให้อปุ สมบทแบบท่สี องในพระพุทธศาสนา พรรษาท่ี 1 ทรงจำพรรษาท่ีป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ ยสกุลบุตร เพ่ือนพระยสะในเมืองพาราณสี และเพื่อนตามชนบทนอกเมืองพาราณสีอีก 50 คน ได้สาวกเป็น พระอรหันต์จำนวน 60 องค์แล้ว พระพุทธองค์ทรงอาศัยพระมหากรณุ าธิคุณทำการประกาศเผยแผ่คำสั่ง สอนจนได้สาวกเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา กลายเป็นพุทธบริษัท 4 ขึ้นอย่างมากมายและม่ันคง การประกาศพระพุทธศาสนาของพระองค์ได้ดำเนินการไปอย่างเข้มแข็ง โดยการมอบหมายให้สาวกแยก

62 ย้ายกันไปเผยแผ่แห่งละองค์ไม่ให้ไปที่เดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่พระองค์เอง ทรงประทานวิธีการบรรพชา อุปสมบทให้พระภิกษุบวชให้แก่กุลบุตรได้เอง ทรงจาริกไปยังหมู่บ้าน ชนบทน้อยใหญ่ในแว่นแคว้นต่าง ๆ ทว่ั ชมพทู วีปตลอดเวลาอีก 44 พรรษา รวมทง้ั สิน้ 45 พรรษาตลอดพระชนมายขุ องพระองค์ พรรษาท่ี 2 เสด็จไปยังเสนานิคมในตำบลอุรุเวลา ในระหว่างทางได้สาวกกลุ่มภัททวัคคีย์ 30 คน และที่ตำบลอุรุเวลาได้ชฎิล 3 พ่ีน้อง คือ อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ คยากัสสปะ กับศิษย์ 1,000 คน ทรง แสดงอาทิตตปริยายสูตร ที่คยาสีสะ เสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์กรุงราชคฤห์ แห่งแคว้นมคธ จนได้ดวงตาเห็นธรรม ถวายสวนเวฬุวันเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา ได้พระสารีบุตร และพระมหา โมคคัลลานะเป็นพระอัครสาวก อีก 2 เดือนต่อมาเสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพำนักที่นิโครธาราม ได้สาวกมากมาย เชน่ นันทะ ราหลุ อานนท์ เทวทตั และพระญาติอ่นื ๆ อนาถปิณฑิกะเศรษฐีอาราธนาไป ยังกรงุ สาวตั ถีแหง่ แควน้ โกศล ถวายสวนเชตวนั แด่คณะสงฆ์ ทรงประทับจำพรรษาที่น่ี 1 พรรษา พรรษาที่ 3 ทรงประทบั จำพรรษาท่วี ดั บพุ พารามท่ีนางวสิ าขาถวาย ณ กรุงสาวตั ถี แควน้ โกศล พรรษาท่ี 4 ทรงประทับทเ่ี วฬวุ นั มหาวิหาร ณ กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ พรรษาที่ 5 โปรดพระราชบิดาจนบรรลุอรหัตตผล ทรงไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างพระญาติฝ่าย สักกะกับพระญาติฝ่ายโกลิยะเกี่ยวกับการใช้น้ำในแม่น้ำโรหิณี ทรงบรรพชาอุปสมบทพระนางปชาบดีโคตมี และคณะเปน็ ภกิ ษุณี ทรงประทบั จำพรรษาทนี่ โิ ครธาราม แควน้ สกั กะ พรรษาท่ี 6 ทรงแสดงยมกปาฏหิ าริย์ในกรุงสาวตั ถี ทรงประทับจำพรรษา ณ มกลุ บรรพต พรรษาท่ี 7 ทรงเทศนาและทรงประทับจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี ระหว่างจำพรรษาเสด็จขึ้นไปยัง สวรรค์ชน้ั ดาวดงึ ส์ ทรงเทศนาพระอภิธรรมโปรดพระมารดา พรรษาที่ 8 ทรงเทศนาในแควน้ ภัคคะ ทรงจำพรรษาในสวนเภสกลาวนั ใกล้เมืองสุงสุมาคีรี พรรษาที่ 9 ทรงเทศนาและทรงประทบั จำพรรษา ณ โฆสิตาราม กรงุ โกสมั พี แคว้นวงั สะ พรรษาที่ 10 คณะสงฆ์แห่งโกสัมพี แคว้นวังสะ แตกแยกกันอย่างรุนแรง ทรงตักเตือนไม่เช่ือฟัง จึงเสดจ็ ไปประทับจำพรรษาในป่าเลเลยก์ มีช้างเชอื กหนึง่ มาเฝ้าพทิ ักษแ์ ละรบั ใชต้ ลอดเวลา พรรษาที่ 11 คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีปรองดองกัน กราบขอขมาให้พระพุทธองค์ยกโทษให้ ทรง เสด็จไปแคว้นมคธ ทรงประทับจำพรรษาในหมู่บา้ นพราหมณ์ช่ือเอกนาลา ทักขณิ าคีรชี นบท แควน้ มคธ พรรษาที่ 12 ทรงเทศนาและทรงประทับจำพรรษาท่ีเมืองเวรัญชา เกิดทุพภกิ ขภัย พรรษาที่ 13 ทรงเทศนาและจำพรรษาบนภเู ขาจาลิยบรรพต พรรษาที่ 14 ทรงเทศนาและจำพรรษาทีก่ รงุ สาวตั ถี ราหลุ ขอบรรพชาอุปสมบท พรรษาท่ี 15 เสด็จไปยังกรุงกบิลพัสด์ุ ทรงประทับจำพรรษาที่นิโครธาราม แคว้นสักกะ พระเจ้า สุปปพุทธะถูกแผน่ ดนิ สบู เพราะขัดขวางทางเสด็จ พรรษาท่ี 16 ทรงเทศนาและทรงประทับจำพรรษาท่ีเมอื งอาฬวี พรรษาที่ 17 เสด็จไปยังกรุงสาวตั ถี กลับมายังกรงุ อาฬวีและทรงจำพรรษาทก่ี รงุ ราชคฤห์

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 63 พรรษาที่ 18 เสด็จไปยงั กรุงอาลวี ทรงจำพรรษาบนภเู ขาจาลกิ บรรพต พรรษาท่ี 19 ทรงเทศนาและจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต พรรษาท่ี 20 โจรองคุลีมาลกลับใจเป็นสาวก ทรงแต่งตั้งให้พระอานนท์รับใช้ใกล้ชิดตลอดกาล ทรงจำพรรษาทกี่ รุงราชคฤห์ ทรงเรม่ิ บัญญัติพระวนิ ยั พรรษาที่ 21-44 ทรงยึดเอาวัดพระเชตวันมหาวิหารและวัดบุพพารามเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่ และเป็นที่ประทับจำพรรษา เสด็จพร้อมสาวกออกเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ ตามแวน่ แคว้นต่าง ๆ โดยรอบ ประทับอยู่ทพี่ ระเชตวันมหาวหิ าร 19 พรรษา และบุพพาราม 6 พรรษา พรรษาท่ี 45 ซึ่งเป็นพรรษาสุดท้ายในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์มีเนื้อความ ปรากฏในทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร ความว่า พระเทวทัตปองร้ายพระพุทธเจ้าบริเวณ เขาคิชฌกูฏใกลก้ รุงราชคฤห์ถึงกับพระบาทห้อโลหิต ทรงได้รบั การบำบดั จากหมอชีวก วัสสการพราหมณ์ ไดเ้ ข้าเฝา้ ตอ่ จากน้ันเสดจ็ ไปยังอัมพลัฏฐิกา นาลนั ทา และปาฏลิคามตามลำดับ ทรงข้ามแม่น้ำคงคาเสด็จ ต่อไปยังโกฎิคาม นาทิคาม และเวสาลี ทรงพำนักในสวนของนางคณิกา อัมพปาลี เสด็จจำพรรษาที่ เวฬวุ คาม ใกล้กรุงเวสาลีทรงเร่ิมประชวร ทรงปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ หลังจากทรงปลงอายุสังขาร แล้ว ทรงเรียกประชุมสงฆ์ ณ อุปัฏฐานศาลา ทรงตรัสเรียกภิกษุท้ังหลายว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่าใดที่เราแสดงแล้วเพ่ือความรู้ย่ิง ธรรมเหล่านั้น พวกเธอเรียนแล้ว พึงส้องเสพ พึงเจริญ พงึ กระทำให้มากดว้ ยดี โดยท่ีพรหมจรรยน์ ี้ พงึ ย่ังยนื พงึ ดำรงอยไู่ ด้นาน เพือ่ ประโยชน์ เพ่ือความสุขแกช่ น เป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพ่ือความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ ดูก่อนภิกษุ ทง้ั หลาย ธรรมท่เี ราแสดงแล้วเพ่ือความรู้ย่ิงเป็นไฉนคือ สติปัฏฐาน 4 สมั มัปปทาน 4 อทิ ธิบาท 4 อันทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้ที่เราแสดงแล้วแก่พวกเธอ” (ท.ี ม. (ไทย) 13/107/290) 5.10 เสดจ็ ดับขนั ธปรินพิ พาน 3 เดือนต่อมาพระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ เมืองกุสินารา แห่งแควน้ มัลละ ในวัน เพ็ญเดือน 6 (วิสาขะ) เม่ือพระชนมายุ 80 พรรษา ก่อนปรินิพพาน ยังมีหลักธรรมที่สำคัญอย่างย่ิง เพ่ือตรวจสอบพระธรรมและพระวินัยว่าเป็นคำสอนของพุทธองค์หรือไม่ เรียกว่า มหาปเทศ 4 ขณะ ประทับอยู่ท่ีอานันทเจดีย์ ในโภคนคร โดยเน้ือความในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค ระบุว่า พระผ้มู พี ระภาคเจ้าตรสั กับภกิ ษุทงั้ หลายวา่ “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี พึงกล่าวอย่างน้ีว่า ผู้มีอายุท้ังหลาย ข้อน้ีข้าพเจ้าได้ สดับมา ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า น้ีเป็นธรรม น้ีเป็นวินัย นี้เป็นคำสอนของ พระศาสดา พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุน้ัน ครัน้ ไมช่ ่ืนชม ไม่คัดค้านแล้ว พึงเรียน บทพยัญชนะเหล่าน้ันให้ดีแล้ว สอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าสอบสวนในพระสูตร

64 เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในใจในข้อน้ีว่า นี้ไม่ใช่คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น และภิกษุน้ีจำมาผิดแล้วแน่นอน ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้ง คำกล่าวน้ันเสีย ถ้าเม่ือสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระ วินัยได้ พึงถึงความตกลงใจในข้อน้ีว่า น้ีคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น และภิกษุน้ีจำมา ถกู ต้องแลว้ แนน่ อน ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาปเทสข้อที่หนงึ่ นไ้ี ว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี พึงกล่าวอย่างนี้ว่า สงฆ์พร้อมท้ังพระเถระ พร้อมทั้ง ปาโมกข์อยู่ในอาวาสโน้น ข้าพเจ้าได้สดับมา ได้รับมาเฉพาะหน้าของสงฆ์น้ันว่า น้ีเป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสอนของพระศาสนาดา พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุน้ัน คร้ันไม่ช่ืนชม ไม่คัดค้านแล้ว พึงเรียนบทพยัญชนะเหล่าน้ันให้ดีแล้ว สอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถา้ สอบสวนในพระสตู ร เทียบเคยี งในพระวนิ ัย ลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความ ตกลงในใจในข้อนี้ว่า นี้ไม่ใช่คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น และภิกษุน้ีจำมาผิดแล้วแน่นอน ดงั นั้น พวกเธอพึงท้ิงคำกล่าวน้ันเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทยี บเคียงในพระวนิ ัยได้ พึงถงึ ความตกลงใจในข้อนว้ี ่า นค้ี ำสอนของพระผู้มพี ระภาคเจา้ พระองค์นัน้ และ ภิกษุน้จี ำมาถูกต้องแล้วแน่นอน ภกิ ษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาปเทสขอ้ ทส่ี องน้ไี ว้ ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี พึงกล่าวอย่างน้ีว่า ภิกษุเป็นพระเถระมากรูปอยู่ใน อาวาสโน้น เป็นพหูสตู มีอาคมเป็นอนั มากมาถึงแล้ว เป็นผูท้ รงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ขา้ พเจา้ ไดส้ ดับ มา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้นว่าน้ีเป็นธรรม น้ีเป็นวินัย นี้เป็นคำสอนของพระศาสนาดา พวก เธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุน้ัน คร้ันไม่ช่ืนชม ไม่คัดค้านแล้ว พึงเรียนบทพยัญชนะ เหล่านั้นให้ดีแล้ว สอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงใน พระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในใจในข้อนี้ว่า น้ีไม่ใช่คำสอน ของพระผูม้ ีพระภาคเจ้าพระองคน์ ้ัน และภิกษุนี้จำมาผิดแล้วแน่นอน ดังน้ัน พวกเธอพึงท้ิงคำกลา่ วนน้ั เสีย ถา้ เมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสตู รได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พงึ ถึงความ ตกลงใจในข้อน้ีว่า น้ีคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น และภิกษุน้ีจำมาถูกต้องแล้วแน่นอน ภิกษทุ ง้ั หลาย พวกเธอพงึ ทรงจำมหาปเทสข้อทส่ี ามนไี้ ว้ ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างน้ีว่า ภิกษุผู้เป็นเถระอยู่ในอาวาสโน้น เปน็ พหสู ตู มีอาคมเป็นอนั มากมาถึงแลว้ เป็นผู้ทรงธรรม ทรงวนิ ัย ทรงมาติกา ข้าพเจา้ ไดส้ ดับมา ได้รับมา เฉพาะหน้าพระเถระนั้นว่า น้ีเป็นธรรม น้ีเป็นวินัย น้ีเป็นคำสอนของพระศาสนาดา พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น คร้ันไม่ชื่นชม ไม่คัดค้านแล้ว พึงเรียนบทพยัญชนะเหล่านั้นให้ดีแล้ว สอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินยั ถ้าสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินยั ลงในพระสูตร ไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในใจในข้อน้ีว่า นี้ไม่ใช่คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น และภิกษุนี้จำมาผิดแล้วแน่นอน ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนใน

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 65 พระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงใจในข้อนี้ว่า นค้ี ำสอนของพระผมู้ ีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น และภิกษนุ ้ีจำมาถูกตอ้ งแลว้ แน่นอน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ พึงทรงจำมหาปเทสขอ้ ท่ีสน่ี ี้ไว”้ (ท.ี ม. (ไทย) 13/113-116/293-295) จะเห็นได้ว่า พระองค์ได้ทรงวางหลักการไว้ให้พุทธบริษัทได้ใช้ปัญญาของตนก่อนเชื่อ หรือก่อน นำมาปฏิบัติ โดยสามารถใช้มหาปเทส 4 น้ี หรืออาจใช้ควบคู่กับหลักกาลามสูตรด้วยก็ได้ เพื่อตัดสินว่า ส่ิงใดเป็นคำสอนของพระพุทธองค์จริง ส่ิงใดเป็นไปเพ่ือประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่อความเจริญ เพ่อื สำรอกราคะ เพื่อกำจัดกิเลส เพอื่ ความคงอยขู่ องพระสัจธรรมของพระพทุ ธศาสนา เพราะศาสนาพุทธ เป็นเป็นศาสนาแหง่ ปัญญา ไมใ่ ช่ศาสนาแห่งศรัทธา โดยศรัทธาตอ้ งอาศัยปญั ญา จึงนับว่าเป็นศรัทธาแบบ ชาวพุทธโดยแท้จริง แม้ในเร่ืองของการตัดสินว่าสิ่งใดเป็นกัปปิยะหรือเป็นอกัปปิยะ กล่าวคือเป็นวัตถุที่ ควรหรือไม่ควร พระองค์ก็ทรงประทานหลักไว้ให้ 4 ข้อ ในพระวินัยปิฎก มหาวรรค เภสัชชขันธกะท่ี 6 ดงั น้ี “1. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่ิงใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า ส่ิงน้ีไม่ควร หากส่ิงน้ันเข้ากับส่ิงที่ไม่ควร ขดั กบั สงิ่ ที่ควร สง่ิ นั้นไม่ควรแกเ่ ธอทัง้ หลาย 2. ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย สิ่งท่ีเราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งน้ีไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับส่ิงที่ควร ขัดกับสิ่งที่ ไมค่ วร สิ่งนนั้ ควรแก่เธอท้ังหลาย 3. ดูกอ่ นภกิ ษทุ ้ังหลาย สิง่ ใดท่ีเราไมไ่ ดอ้ นุญาตไว้ว่า ส่ิงนค้ี วร หากสิ่งน้นั เข้ากับส่ิงท่ีไม่ควร ขดั กับ ส่งิ ที่ควร ส่งิ น้ันไม่ควรแก่เธอทงั้ หลาย 4. ดูกอ่ นภิกษุท้ังหลาย ส่งิ ใดท่เี ราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิง่ นีค้ วร หากสิง่ นน้ั เขา้ กับสง่ิ ท่ีควร ขัดกับส่ิง ท่ีไมค่ วร สิง่ นัน้ ควรแก่เธอทัง้ หลาย” (ว.ิ ม. (ไทย) 7/92/161) นอกจากนี้ ยังทรงอนุญาตกาลิกระคน (ส่ิงท่ีปนกันระหว่างสิ่งที่ควรหรือไม่ควร) ที่พระภิกษุรับ ประเคนไว้อีกด้วย แต่ไม่ขอกล่าวลายระเอียดในที่นี้ ดังน้ัน ผู้สนใจสามารถสืบค้นได้จากพระไตรปิฎกข้อ ถัดจากเภสัชชขันธกะท่ี 6 น้ันเถิด ก่อนวันที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน 1 วัน ได้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดนายจุนทกัมมารบุตร และ นายจุนทะได้ถวายภัตตาหารเช้าเรียกว่า สูกรมัทวะ หลังจากเสวยเสร็จแล้ว ทรงประชวรหนักด้วย โลหิตปักขันทิกาพาธ ประชวรลงพระโลหิต พระอาการประชวรเริ่มหนักขึ้น ทรงเป็นห่วงนายจุนทะ จะเดือดร้อนใจ จึงทรงตรัสกับพระอานนท์ใจความว่า “บิณฑบาตสองคราว คือก่อนตรัสรู้สัมมาสัมโพธิ ญาณ และก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน มีวิบากเสมอกัน มีผลใหญ่กว่าและ มีอานิสงค์ใหญ่กว่าบิณฑบาตอื่น ๆ ย่ิงนัก เป็นไปเพ่ืออายุ วรรณะ สุขะ ยศ สวรรค์ และเป็นไปเพื่อความ เป็นใหญ่ยิ่ง ดูก่อนอานนท์ เธอพึงบรรเทาความร้อนใจของนายจุนทกัมมารบุตรด้วยประการฉะนี้” แล้ว ทรงรับส่ังพระอานนท์ว่า จะเสด็จข้ามแม่น้ำหิรัญวดี เมืองกุสินารา และสาลวันอันเป็นท่ีแวะพักของ

66 มัลลกษัตริย์ คร้ันถึงแล้ว ทรงรับส่ังให้พระอานนท์จัดต้ังเตียงปูลาดผ้าสังฆาฏิ แล้วเสด็จประทับบรรทม สีหไสยาสน์ระหว่างต้นสาละท้ังคู่ โดยหันพระเศียรไปเบ้ืองทิศอุดร ทรงตรัสแก่พระอานนท์ในทีฆนิกาย มหาวรรค ความวา่ “ดูก่อนอานนท์ สังเวชนียสถาน 4 แห่งเหล่าน้ี เป็นท่ีควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธา เป็นท่ีควร เห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยระลึกว่า (1) พระตถาคตประสูติในท่ีน่ี (2) ทรงแสดงธรรมจักรให้เป็นไปใน ที่น่ี (3) ทรงเสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานท่ีน่ี และ (4) ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณใน ที่น่ี ดูก่อนอานนท์ ชนเหล่าใดเที่ยวจาริกไปยังเจดีย์ มีจิตเล่ือมใส จักกระทำกาละ (ใกล้ตาย) ชนเหล่าน้ัน ท้ังหมดเบอื้ งหนา้ แตต่ ายเพราะกายแตก จกั เขา้ ถึงสุคติโลกสวรรค์” (ท.ี ม. (ไทย) 13/131/308-309) สังเวชนียสถานท้ัง 4 แห่ง นอกจากเป็นสถานท่ีแสวงบุญของพุทธศาสนิกชนแล้ว ยังเป็นสถานท่ี ยืนยันความมีตัวตนของพระพุทธเจ้าได้ดีทีเดียว แสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ไม่ได้เป็นบุคคลในตำนาน หรือเล่าขานมาเท่าน้ัน มีประวัติศาสตร์ มีสถานท่ี มีความเป็นมาท่ีชัดเจนท่ีสุด ผู้ที่เป็นสาวกจึงไม่มีความ สงสัยในพระศาสดาเป็นเบ้ืองต้น จึงสมควรศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระองค์ให้เข้าใจถ่องแท้ แลว้ น้อม นำมาปฏิบัติให้รู้เห็นตามความเป็นจริง เพราะคำสอนของพุทธองค์ไม่จำกัดกาล ไม่จำกัดเวลา สามารถ พสิ ูจนไ์ ด้ แมก้ าลเวลาจะผา่ นไปนานแค่ไหนก็ตาม ลำดับนน้ั ทรงแสดงวิธีปฏิบัตใิ นสตรีและพระพุทธสรรี ะ ใจความวา่ ไม่พึงดู หากดู ก็ไมพ่ ึงพูดด้วย หากพูดด้วย ก็พึงตั้งสติไว้ เน่ืองจากว่าสตรีนั้นเป็นเพศตรงข้าม จึงเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์ของ พระภิกษเุ ปน็ อยา่ งมาก และทรงแสดงวธิ ปี ฏิบัติตอ่ พระพุทธสรีระ ใจความว่า พวกกษัตริย์ พราหมณ์ และ คฤหบดีผู้เป็นบัณฑิต เล่ือมใสในตถาคตนั้นมีอยู่ เขาเหล่าน้ัน จักกระทำการบูชาสรีระของตถาคตเอง โดย ปฏิบัติเหมือนกับในสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิ คือ ห่อด้วยผ้าใหม่ ซบั ด้วยสำลี ห่อด้วยผ้าใหม่ โดยอบุ าย น้ี ห่อด้วยผ้า 500 คู่ เชิญลงในรางเหล็กอันเต็มด้วยน้ำมัน ครอบด้วยรางเหล็กอื่น กระทำจิตกาธานด้วย ของหอมทุกชนิด ถวายพระเพลิงพระสรีระ สร้างสถูปไว้ในทางใหญ่ 4 แพร่ง เพื่อเป็นที่ไหว้สักการะ เพอ่ื ประโยชนแ์ ละความสขุ แกผ่ ู้กราบไหว้ตลอดกาลนาน พระพุทธองค์ทรงประทานโอวาทแกภ่ ิกษุว่า “ดูกอ่ นอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคดิ อย่าง นี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดี วินัยก็ดีอันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา” (ที.ม. (ไทย) 13/141/320-321) นอกจากน้ียังทรงอนุญาตให้พระภิกษุเรียกกัน และกันตามลำดับพรรษา โดยผู้มีพรรษาอ่อนกว่าเรียกผู้มีพรรษาแก่กว่าว่า ภนฺเต หรือ อายสฺมา ให้ผู้มี พรรษาแก่กว่าเรียกผู้มีพรรษาอ่อนกว่าว่า อาวุโส และเมื่อพระองค์ทรงปรินิพพานไปแล้ว หากสงฆ์ ปรารถนาจะถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้าง ก็จงถอนเสีย แต่สงฆ์ไม่สามารถจะถอนสิกขาบทใด ๆ ได้ เน่ืองจากพระอานนท์ลืมที่จะทูลถามพระองค์ว่ามีสิกขาบทใดบ้างที่ถือว่าเป็นสิกขาบทเล็กน้อย ดังนั้น

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 67 พระอานนทจ์ ึงถกู คณะสงฆ์ปรับอาบตั ิทุกกฏในคราวสังคายนาพระธรรมวนิ ัยคร้ังที่ 1 และอีกประการหน่ึง ทรงให้ลงพรหมทนั ฑแ์ ก่ฉันนภกิ ษุ คือปลอ่ ยให้พดู ตามที่ปรารถนา ภิกษไุ มพ่ งึ โอวาท และไมพ่ งึ สั่งสอน กอ่ นเสด็จดบั ขันธปรนิ ิพพาน ทรงโปรดสภุ ัททปรพิ าชกโดยทรงอนญุ าตให้พระอานนท์ทำการบวช อุปสมบทให้ หลังอุปสมบทไม่นาน ท่านหลีกอยู่เพียงผู้เดียว ไม่ประมาท เร่งความเพียรจนได้สำเร็จเป็น พระอรหนั ต์ นับวา่ พระสภุ ทั ทะรูปนี้คอื พระสาวกรูปสดุ ทา้ ยทีไ่ ด้อุปสมบทในสำนักของพระผมู้ ีพระภาคเจา้ ทรงประทานปัจฉิมโอวาทก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพานมีใจความว่า \"ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขาร ทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจท้ังปวงให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ ประมาทเถดิ \" (ที.ม. (ไทย) 13/143/322) () หลังจากปรินิพพานได้ 7 วัน ก็ได้จัดให้มีการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ณ มกุฎพันธนเจดีย์ ห่างจากเมืองกุสินาราทางทิศตะวันออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร แล้วก็มีการแจกจ่ายพระบรมสารีริกธาตุ เพ่อื นำไปสักการบูชาแก่บรรดาเจา้ ผคู้ รองนครต่าง ๆ จำนวน 9 นครด้วยกัน 6. สรปุ ทา้ ยบท พุทธประวัติและพุทธประวัติเชิงวิเคราะห์เป็นการศึกษาเกี่ยวกับชมพูทวีป สภาพสังคมในชมพู ทวีปก่อนสมัยพุทธกาล ลำดับพุทธวงศ์ พุทธประวัติโดยเน้นที่การวิเคราะห์เน้ือหาโดยการยกเอาการ พรรณนาพุทธประวัติในแบบบุคลาธิฏฐานและธรรมาธิฏฐานเป็นหลัก จะเห็นได้ว่าการเขียนพระไตรปิฎก ไมว่ ่าจะอยูใ่ นชน้ั พระไตรปิฎกหรอื ช้ันอรรถกถานิยมเขยี นสอดแทรกเรอ่ื งอทิ ธิปาฏหิ ารยิ ์ไวม้ ากมาย ซง่ึ ยาก ต่อการพิสูจน์ เน่ืองจากการพิสูจน์อิทธิปาฏิหาริย์ ต้องอาศัยการปฏิบัติจนถึงขั้นบรรลุวิชชา 8 หรือ อภิญญา 6 ดังท่ีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก จึงจะรู้ได้ด้วยตนเอง แต่ถึงกระน้ัน ก็ยังเป็นที่เคลือบแคลงสงสัย ของปุถุชนคนธรรมดา เป็นปัญหาโลกแตก เปรียบดงั การบอกเรื่องราวต่าง ๆ ของคนตาดีให้แก่คนตาบอด ฟัง แม้คนตาดีจะบอกชัดเจนแค่ไหน คนตาบอดก็คงสงสัยอยู่ดี เพราะไม่สามารถมองเห็นด้วยตาตนเอง ดังน้ัน การอธิบายการพรรณนาด้วยหลักบุคลาธิฏฐานและธรรมาธิฏฐาน จึงเป็นแนวทางให้ผู้ศึกษาได้ ทำการศึกษา คน้ คว้า และวิเคราะห์ไดด้ ว้ ยตนเองต่อไป ดงั น้ัน เมื่อได้ศึกษาพุทธประวัติและพุทธประวัติเชิงวิเคราะห์แล้ว ทำให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าเป็น บุคคลในประวัติศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ทราบประวัติของพระองค์ได้ด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยัง หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ตลอดถึงสถานที่อื่น ๆ ท่ี เกี่ยวขอ้ ง เช่น สารนาถ สถานท่แี สดงปฐมเทศนา เป็นต้น โดยมบี ุคคลในยคุ ตา่ ง ๆ เป็นสกั ขพี ยานผา่ นการ บันทึกในคัมภีร์ หนังสือ ใบลาน ศิลาจารึก ฯลฯ ทำการถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาผ่านการสังคายนา คร้ังแล้วครั้งเล่า ซ่ึงมีผู้เข้าร่วมสังคยนาในแต่ละคร้ังเป็นจำนวนมาก เปรียบเสมือนการเล่าเร่ืองของปู่ ย่า ตา ยายที่ได้เล่าเร่ืองของทวดให้ลูกหลานได้ฟังสืบๆ กันมา จึงทำให้พุทธประวัติมีนำหนัก น่าเช่ือถือมาก ทส่ี ดุ ในบรรดาศาสดาของศาสนาตา่ ง ๆ

68 คำถามทา้ ยบท ให้นักศึกษาวิเคราะห์ วิจารณ์ และให้เหตุผลประกอบ โดยอ้างแหล่งความรู้จากสารสนเทศ เช่น หนงั สือ ตำรา อีบุก๊ ข้อมลู อเิ ล็คทรอนกิ ฯลฯ ท่ีนกั ศึกษาได้ค้นคว้าประกอบด้วย ในประเดน็ ดังต่อไปนี้ 1) พระพุทธองคป์ ระสตู ิและสามารถเดินได้เจ็ดเกา้ จริงหรอื ? อธบิ ายใหเ้ หตผุ ลประกอบส้นั ๆ 2) เจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุได้ 29 พรรษา เป็นไปได้หรือว่าพระองค์ไม่เคยเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย? อธบิ ายใหเ้ หตผุ ลประกอบส้นั ๆ 3) พระองค์เสด็จออกผนวชต่อหน้าหรือเสด็จออกผนวชตอนกลางคืน? อธิบายให้เหตุผล ประกอบสั้น ๆ 4) ก่อนตรสั รู้ มกี ารกลา่ วถงึ พญามารและพระแมธ่ รณี ทา่ นเช่ือว่าพญามารและพระแม่ธรณมี ี จริงหรือไม่ อยา่ งไร? อธิบายให้เหตผุ ลประกอบส้ัน ๆ 5) ในตำราหรือในพระไตรปิฎกพูดถึงอิทธิปาฏิหาริย์ของพระพุทธองค์และพระสาวก ท่าน เชื่อในปาฏหิ าริย์นนั้ หรอื ไม่ อย่างไร? อธบิ ายส้นั ๆ 6) การท่ีพระองค์ทรงท้อพระทัยในการจะเทศนาส่ังสอนเวไนยสัตว์หลังตรัสรู้ และมีท้าว สหมั บดีพรหมมากราบอารธนาให้แสดงพระธรรมเทศนา จึงทรงรับคำอาราธนาน้นั ? ท่านคดิ เห็นอยา่ งไร? 7) การท่ีพระพุทธองค์ตรัสบอกว่า \"พระธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของพวกเธอ\" โดยไม่ได้ แตง่ ตั้งใครเปน็ ศาสดาแทนพระองค์ ทา่ นคดิ ว่าดหี รือไมด่ อี ยา่ งไร? อธิบายใหเ้ หตผุ ลประกอบส้นั ๆ 8) หลักมหาปเทศ 4 มีประโยชน์อยา่ งไร? อธิบายใหเ้ หตุผลประกอบสนั้ ๆ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 69 เอกสารอา้ งองิ ประจำบทท่ี 2 ประทีป สาวาโย. (2545). สิบเอ็ดศาสนาของโลก. กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร์. พระเทพดิลก (ระแบบ ฐติ ญาโณ). (2548). ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. (พิมพ์คร้ังท่ี 5). กรงุ เทพฯ: มหามกฏุ ราชวิทยาลัย. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต). (2552). กาลานุกรมพระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก. กรุงเทพฯ: ผลธิ มั ม์. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต). (2558). พจนานุกรมพุทธศาสตรฉ์ บับประมวลธรรม. (พมิ พ์ครง้ั ที่ 30). กรุงเทพฯ: มูลนิธีธรรมทานกุศลจิต. มหาวทิ ยาลัยมหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย. (2557). พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล. (พิมพค์ ร้ังท่ี 8). นครปฐม: โรงพิมพ์มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย.

แผนบรหิ ารการสอนประจำบทท่ี 3 บทท่ี 3 : การสังคายนาและการรอ้ ยกรองพระธรรมวินยั เนอ้ื หาประจำบท 1. บทนำ 2. การสงั คายนาในประเทศอินเดีย 2.1 การสงั คายนาและการร้อยกรองพระธรรมวนิ ยั คร้ังท่ี 1 2.2 การสงั คายนาและการร้อยกรองพระธรรมวินัยครั้งที่ 2 (การแตกนิกาย) 2.3 การสังคายนาและการร้อยกรองพระธรรมวนิ ัยครัง้ ที่ 3 2.4 การสงั คายนาและการร้อยกรองพระธรรมวินยั ครง้ั ที่ 4 3. การสงั คายนาในลงั กาทวีป 3.1 การสงั คายนาครั้งท่ี 1 ในลงั กาทวปี 3.2 การสังคายนาครั้งที่ 2 ในลังกาทวีป 3.3 การสงั คายนาครงั้ ที่ 3 ในลังกาทวีป 3.4 การสังคายนาคร้งั ที่ 4 ในลังกาทวีป 4. การสังคายนาชำระ การจารึก และการพมิ พ์พระไตรปิฎกในประเทศไทย 4.1 สมยั ท่ี 1 ในสมยั พระเจ้าติโลกราช 4.2 สมัยที่ 2 ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 1 4.3 สมยั ที่ 3 ในรชั สมยั ของรัชกาลท่ี 5 4.4 สมัยท่ี 4 ในรัชสมัยของรัชกาลท่ี 7 4.5 สมัยที่ 5 ในรชั สมยั ของรชั กาลท่ี 8-9 4.6 สมยั ท่ี 6 ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 9 5. การนับคร้งั สงั คายนา 5.1 การนบั ครงั้ สงั คายนาทีร่ ู้กันทวั่ ไป 5.2 การนบั สังคายนาของลงั กา 5.3 การนับสงั คายนาของพม่า

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 71 5.4 การนบั สงั คายนาของไทย 5.5 การนบั สังคายนาของฝ่ายมหายาน 6. สรปุ ทา้ ยบท คำถามทา้ ยบท เอกสารอา้ งองิ ประจำบทท่ี 3 จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. นักศึกษาสามารถวิเคราะห์เนื้อหาสำคัญ ๆ ด้วยการรวบรวม เรียบเรียงเนื้อหาสำคัญใน บทเรยี นด้วยกราฟกิ ตา่ ง ๆ เช่น แผนภูมิ แผนที่ความคิด เป็นตน้ และถ่ายทอดเนื้อหาดว้ ยภาษาของตนใน การนำเสนอหน้าชั้นเรยี นได้ 2. นักศึกษาสามารถอภิปราย ถาม-ตอบ ตีความเน้ือหาน้ัน ๆ ได้ และประยุกต์ใช้ในชีวิตได้อย่าง ถกู ตอ้ งเหมาะสม 3. นักศึกษาสามารถแสวงหาความรู้ด้วยการค้นคว้าข้อมูลสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อ การศกึ ษา นำมาเขียนรายงาน บรรยาย และนำเสนอเนื้อหาดว้ ยตนเองได้ กิจกรรมการเรยี นการสอน 1. บรรยาย/อภิปราย/มอบหมาย/แบ่งกลุ่มนักศึกษาให้รับผิดชอบในการวิเคราะห์ด้วยการ รวบรวม และเรียบเรยี งเน้อื หาสำคัญ ๆ ดว้ ยกราฟกิ ต่าง ๆ เชน่ แผนภูมิ, แผนทคี่ วามคดิ เป็นตน้ นำข้อมูล ทไ่ี ด้มาถ่ายทอดเนือ้ หาดว้ ยภาษาของตนในการเขียนรายงานและนำเสนอหน้าชัน้ เรียน 2. นกั ศึกษาฟงั การบรรยาย/จดบนั ทกึ สรปุ เนอ้ื หา/ฝึกต้งั คำถาม/ฝึกตอบ/ฝึกอภิปรายในช้ันเรยี น 3. ศึกษาจากเอกสารประกอบการสอน/ค้นคว้าเน้ือหาท่ีเก่ียวข้องเพ่ิมเติมจากหนังสือ/ห้องสมุด และเว็บไซต/์ ตอบคำถามท้ายบท/ทดสอบ Pretest และ Posttest สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน/PowerPoint/Ebook 2. แบบเรยี นออนไลน/์ โปรแกรมการสอนออนไลน์ เช่น Google Classroom, Google Sites, Google forms, Google Meet, Zoom Cloud Meeting, Microsoft Teams, XMind2020, Canva, TeamLink เป็นตน้

72 การวดั ผลและการประเมนิ ผล 1. ประเมินคณุ ธรรมจรยิ ธรรมโดยใช้แบบ Checklist การตรงเวลาในการเข้าช้ันเรียน การส่งงาน ท่ีมอบหมาย และการอ้างอิงผลงานคนอ่ืน และใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการมีจิตสาธารณะในการทำ กิจกรรมทั้งในและนอกห้องเรียน 2. ประเมินความรู้และทักษะทางปัญญา โดยการทดสอบ Pretest และ Posttest/ตอบคำถาม ท้ายบท/การวิเคราะห์ด้วยการรวบรวมและเรียบเรียงเน้ือหาสำคัญ ๆ ด้วยกราฟิกต่าง ๆ เช่น แผนภูมิ , แผนท่ีความคิด เป็นต้น ด้วยการใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมการเรียนการสอนออนไลน์ เช่น Excel 1 (กระดาษแผ่นเดียว), Google Sites, XMind2020, Canva เป็นต้น นำข้อมูลท่ีได้มาถ่ายทอดเน้ือหาด้วย ภาษาของตนในการเขียนรายงานและนำเสนอหน้าชน้ั เรียน 3. ประเมินทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ และทักษะการวิเคราะห์เชิง ตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยใช้แบบ Checklist จากการอภิปราย/การแสดง ความคิดเห็น/การถาม-ตอบ/การวิเคราะห์เน้ือหาท่ีเรียน/การสรุปเน้ือหา/การส่งงานใน Google Classroom/การนำเสนอหน้าชัน้ เรียน

บทที่ 3 การสังคายนาและการรอ้ ยกรองพระธรรมวินัย 1. บทนำ เม่ือพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว พระพุทธศาสนายังเจริญในอินเดียสืบมา ความเจริญของ พุทธศาสนาข้ึนกับว่าได้รับการส่งเสริมจากผู้มีอำนาจในสมัยน้ันหรือไม่ ถ้าผู้มีอำนาจ เช่น กษัตริย์ ประธานาธิบดี หรือนายกรัฐมนตรีให้การส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาพระปริยัติ ปฏิบัติแล้ว คนที่ได้รับผล จากการปฏิบัติคือ ปฏิเวธ จะมีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก มีศรัทธาไม่คลอนแคลง เพราะได้รู้เองตามความเป็นจริง เม่ือมีผู้ศรัทธาด้วยปัญญามากเท่าใด พระพุทธศาสนาจะมีความ เจริญรุ่งเรืองมากเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เม่ือกาลเวลาล่วงไป ทุกส่ิงล้วนตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ น่ันคือ อนจิ จัง ทุกขัง อนัตตา ทุกส่งิ จะตอ้ งมีการเปลีย่ นแปลง เพราะทนอยู่ในสภาพเดมิ ไมไ่ ด้ ไม่อย่ใู นอำนาจการ ปกครองของใคร โดยเฉพาะอย่างย่ิงความคิดเห็นและการปฏิบัติตามความคิดเห็นของปุถุชนคนธรรมดา ดังน้ัน ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นเสมอ หากมีความขัดแย้ง 2 ประการคือ 1) ความขัดแย้งด้านความคิดเห็น (ทิฏฐิ) และ 2) ความขัดแย้งด้านการปฏิบัติ (ศีล) ซึ่งอาจเกิดจากคนหลายกลุ่ม เร่ิมต้ังแต่ 2 กลุ่มขึ้นไป หรือเรียกอีกอย่างว่าขาดความเสมอกัน 2 ประการ คือ 1) ทิฏฐิสามัญญตา ความเสมอกันด้านความคิด 2) ศลี สามัญญตา ความเสมอกันดา้ นการปฏบิ ัติ ความขดั แย้งในการตีความพระธรรมพระวินยั ตามความเข้าใจของตนได้เกิดข้ึนในหมู่พระสงฆ์ครั้ง แล้วครั้งเล่า ทำให้เกิดความสูญเสียความเสมอกันในด้านทิฐิและศีล เร่ิมเกิดขึ้นให้เห็นแม้พระพุทธองค์ เสด็จดับขันธปรินิพพานไปเพียงไม่นาน สงฆ์แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย แตกเป็นนิกายต่าง ๆ มากถึง 18 นิกาย ตา่ งไม่ยอมรับมตขิ องกันและกัน จึงมกี ารแกไ้ ขดว้ ยการจดั ทำสงั คายนาร้อยกรองพระธรรมวินยั ท่ถี ูกตอ้ งไว้ เป็นหลักฐานสำหรับยึดถือเป็นแบบแผนให้ศึกษาและปฏิบัติแก่คนรุ่นหลังสือไป ในบทน้ีจะกล่าวถึงการ สังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยท่ีเกิดข้ึนในประเทศอินเดีย ในประเทศศรีลังกาเป็นหลัก ซึ่งเป็นท่ี ยอมรับมากที่สุด การนับการสังคายนา และกล่าวถึงการสังคายนาชำระ การจารึก และการพิมพ์ พระไตรปิฎกในประเทศไทยเพิ่มเข้ามา เพื่อให้นักศึกษามีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถอธิบาย วิเคราะห์ ตลอดถงึ การอภิปรายการสงั คายนารอ้ ยกรองพระธรรมวนิ ยั ได้ด้วยตนเองต่อไป

74 2. การสงั คายนาในประเทศอนิ เดีย การสังคายนาและการร้อยกรองพระธรรมวินัยเกิดข้ึนในประเทศอินเดีย 4 ครั้ง มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ 2.1 การสงั คายนาและการร้อยกรองพระธรรมวนิ ัยครง้ั ที่ 1 การสังคายนาคร้ังน้ีเกิดขึ้นเพราะพระสุภัททะกล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยหลังพุทธปรินิพพาน เพยี ง 7 วัน ความว่า “พวกเราพ้นจากมหาสมณะนั้นด้วยดแี ล้ว เพราะเม่ือกอ่ น ท่านไดเ้ บยี ดเบียนเราด้วย การตักเตือนว่า น่ีควร น่ีไม่ควร สำหรับพวกเธอทั้งหลาย บัดนี้พวกเราสบายแล้ว พวกเราต้องการสิ่งใดก็ ทำส่ิงนั้น ไม่ต้องการส่ิงใดก็ไม่ทำส่ิงนั้น” ทำให้พระมหากัสสปะ ดำริท่ีจะทำสังคายนาร้อยกรองพระธรรม วินัยขึ้น โดยนำเรื่องการจาบจ้วงพระธรรมวินัยของพระสุภัททะเข้าท่ีประชุมสงฆ์ พร้อมกับเสนอให้มีการ สงั คายนา โดยให้เหตุผลวา่ “ส่ิงทไี่ มใ่ ช่ธรรม ไม่ใช่วินยั จกั เจริญ ส่ิงท่ีเปน็ ธรรมเป็นวินัยจะเส่ือมสลาย พวก อธรรมวาที อวินยวาทีได้พวกแล้วจักเจริญ ฝ่ายธรรมวาที วินัยวาทีจะเส่ืองถอย” และท่านยังมีเหตุผลอีก อย่างคือ เพื่อพิทักษ์ ศาสนธรรม อันเป็นตัวแทนพระศาสดาให้ยั่งยืนสืบไป สงฆ์จึงมีมติกำหนดให้มีการ สังคายนาร้อยกรองพระธรมวินัย ใช้การกสงฆ์ท่ีเป็นพระอรหันต์ล้วน จำนวน 500 รูป เพื่อทำหน้าหน้า เป็นพระสังคีติกาจารย์ ใช้ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างเขาเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ เป็นสถานที่ในการ ดำเนินการสังคายนา โดยพระมหากัสสปะเป็นประธาน พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นองค์อุปถัมภ์ แต่เกิดปัญหา ขึ้นคือ การสังคายนาในครั้งน้ีจะขาดพระอานนท์ไม่ได้ เพราะท่านเป็นผู้ทรงพระธรรมวินัยไว้ได้หมด มี ความใกล้ชิด คอยติดตามอุปฐากพระพุทธองค์นานท่ีสุด ซ่ึงในขณะนั้น พระอานนท์ยังเป็นพระโสดาบัน ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ พระมหากัสสปะได้ให้เหตุผลว่า “แม้พระอานนทเถระจะเปน็ พระเสขบุคคลอยู่ แต่ท่านไม่มีความลำเอียงด้วยอคติ 4 ประการ และท่านเป็นเสมือนคลังพระสัทธรรม เพราะได้สดับจาก พระพุทธองค์และพระเถระท้ังหลายโดยตรง” หลังจากนัน้ สงฆจ์ งึ มีมตเิ ป็น 3 ประการคือ 1) ยอมรับให้พระเถระท่ีเป็นพระอรหันต์ ทรงอภิญญา จำนวน 500 รูป ที่ผ่านการคัดเลือกจาก มตสิ งฆ์เป็นพระสงั คตี ิการจารย์ มีหน้าทใี่ นการสังคายนาพระธรรมวินยั 2) ใช้ถ้ำสตั ตบรรณคหู า ข้างเขาเวภารบรรพพ กรุงราชคฤห์เป็นท่ที ำสงั คายนาพระธรรมวนิ ัย 3) ห้ามพระอื่น นอกเหนือจากพระสังคีติการจารย์ เข้าจำพรรษาในกรุงราชคฤห์ เพ่ือความ สะดวกในการบิณฑบาต และปอ้ งกันผู้ไมป่ ระสงค์ดที ำอนั ตรายแก่การสังคายนาพระธรรมวินัย หลังจากพระสงฆ์มีมติยอมรับเป็นเอกฉันท์แล้ว พระสังคีติการจารย์ทั้งหลายได้เดินทางเข้ากรุง ราชคฤห์ ขอพระบรมราชูปภัมภ์จากพระเจ้าอชาตสัตรู ในการซ่อมวิหาร จำนวน 18 ตำบล และสร้าง สถานทีท่ ำสังคายนา ซง่ึ พระองค์ทรงรบั ภาระดงั กลา่ วและภาระอ่นื ๆ ทเ่ี กีย่ วกบั ราชอาณาจกั รทุกประการ ก่อนวันทำสงั คายนา พระอานนท์ได้เร่งบำเพญ็ เพียรจนบรรลอุ รหัตตผลเว้นจากอิริยาบถท้ัง 4 คือ ยนื เดิน น่ัง นอน กล่าวคือขณะที่ท่านเอนกายลงนอนเท้าพ้นจากพ้น จึงทำให้การสังคายนาในคราวน้ันมี พระอรหันต์ ทรงอภิญญาครบจำนวน 500 องค์ โดยพระมหากัสสปะทำหน้าท่ีปุจฉาพระวินัยและ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 75 พระธรรม พระอุบาลีเภระทำหน้าที่วิสัชชนาพระวินัย และพระอานนท์ทำหน้าที่วิสัชชนาพระธรรม หรือพระสูตรตามลำดับ เร่ิมจากทำสังคายนาพระวินัยก่อนเป็นอันดับแรก เพราะถือว่าพระวินัยเป็นราก แก้วของพระพุทธศาสนา เมื่อพระวินัยคงอยู่ พระพุทธศาสนายังคงช่ือว่าดำรงอยู่ โดยพระกัสสปเถระได้ สอบถามพระวินัยแต่ละข้อในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ วัตถุ นิทาน บุคคล บัญญัติ อนุบัญญัติ อาบัติ อนาบัติ เป็นต้น แห่งสิกขาบทแต่ละสิกขาบท เม่ือพระอุบาลีตอบไปตามลำดับแล้ว พระสงฆ์ท่ปี ระชุม กันสวดพระวินัยนั้น ๆ พร้อมกัน เมื่อตรงกันไม่ผิดพลาด สงฆ์รับว่าถูกต้อง จึงถามข้ออ่ืนต่อไป ทำกัน โดยนัยน้ีจนจบพระวินัยปฎก โดยแบ่งออกเป็นหมวดใหญ่ 5 หมวด คือ อาทิกัมมิกะ ปาจิตตีย์ มหาวรรค จุลลวรรค และปริวาร หรอื สามารถท่องจำเป็นหวั ใจของพระวินัยวา่ อา. ปา. ม. จ.ุ ป. ส่วนการสังคายนาพระสูตรน้ัน พระมหากัสสปเถระเร่ิมถามเก่ียวกับนิทาน บุคคล เน้ือหาของ พระสูตรน้ัน ๆ โดยเร่ิมจากพระสูตรขนาดยาวก่อน เช่น พรหมชาลสูตร สามญั ญผลสูตร อัมพัฏฐสูตร เป็นต้น เมื่อพระอานนทเถระตอบแล้ว สงฆ์ก็สาธยายพระสูตรน้ัน ๆ พร้อมกันจนจบพระสูตรทั้งหมด โดยแบ่งเป็น 5 นิกาย คือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย และขุททกนิกาย หรือ สามารถท่องจำเป็นหัวใจของพระสตู รว่า ท.ี ม. สํ. อํ ขุ การทำสังคายนาในคร้งั นี้ได้ดำเนินมาจนแล้วเสร็จ โดยใชเ้ วลา 7 เดือน การสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยเริ่มจากการทรงจำแบบ “มุขปาฐะ” กล่าวคือการทรงจำ ปากต่อปาก ปรากฏตามหลักฐานว่า ในการสังคายนาคร้ังท่ี 1, 2 และ 3 ได้ใช้วิธีมุขปาฐะ คือสวดและ ท่องจำพร้อมกัน แต่เนื่องด้วยความสามารถในการท่องจำท้ังพระธรรมและพระวินัยของพระสาวกในรุ่น ตอ่ ๆ มา มิอาจเทียบเท่าพระสาวกในยุคพุทธกาลได้ อกี ท้ังเพื่อป้องกันการผิดพลาดจากการท่องจำสืบต่อ กันไป จึงได้เริ่มมีการจารึกพุทธวจนะลงในใบลานในการสังคายนาครั้งที่ 4 หรือในการสังคายนา พระไตรปิฎกครั้งที่ 2 ในประเทศศรีลังกา ในปี พ.ศ. 433 ในรัชสมัยพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย (สุชพี ปญุ ญานภุ าพ, 2550, หนา้ 11-12) หลงั จากเสร็จการสังคายนาแล้ว พระอานนทไ์ ด้กลา่ วถงึ พทุ ธานุญาตให้สงฆถ์ อนสิกขาบทเล็กนอ้ ย ได้ แต่ที่ประชุมสงห์หาข้อยุติไม่ได้ว่าสิกขาบทเล็กน้อยคืออะไร พระมหากัสสปะจึงเสนอเป็นญัตติในที่ ประชุมว่าด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ความว่า “ สิกขาบทท้ังหลายบางอย่างที่เกี่ยวกับชาวบ้าน ชาวบ้าน ทราบดีว่า ส่ิงใดควร สิ่งใดไม่ควรแก่สมณศากยบุตรท้ังหลาย หากจะถอนสิกขาบทบางข้อ ชาวบ้านจะ ตำหนิได้ว่า พวกเราศึกษาและปฏิบัติตามสิกขาบททั้งหลายเพียงเพราะในขณะท่ีพระศาสดายังดำรงพระ ชนม์ชีพอยู่เท่าน้ัน พอพระศาสดาเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ก็ไม่ใส่ใจท่ีจะปฏิบัติ ดังน้ัน ขอให้สงฆ์อย่าได้ เพิกถอนสิกขาบทท่ีทรงบัญญัติไว้ และอย่าได้บัญญัติส่ิงที่พระองค์ไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ สมาทานศึกษาตาม สกิ ขาบททที่ รงบัญญตั ไิ ว้เท่านั้น” สงฆ์จงึ มมี ตใิ ห้คงสกิ ขาบทไวด้ งั เดิม ในการทำสังคายนาครง้ั นัน้ สงฆ์ไดต้ ำหนพิ ระอานนท์ด้วยการปรบั อาบตั ิทุกกฎ ใน 5 ประเด็น คอื

76 1) ไม่กราบทูลว่า สิกขาบทเล็กน้อยท่ีทรงรับส่ังน้ันคือสิกขาบทอะไร? โดยพระอานนท์ได้วิสัชนา วา่ ท่ีไมก่ ราบทลู ถาม เนือ่ งจากท่านระลึกไม่ได้ เพราะกำลงั เศรา้ โศกทีพ่ ระพุทธองค์กำลงั จะปรินพิ พาน 2) ใช้เท้าหนีบผ้าของพระพุทธเจ้าขณะเย็บ อันเป็นการแสดงออกถึงความไม่เคารพต่อพระพุทธ องค์ พระเถระวิสัชนาว่า ที่ต้องทำเช่นน้ัน เพราะไม่มีใครช่วยจับเวลาเย็บ ไม่ได้ทำเพราะขาดความเคารพ ในพระองค์แต่อยา่ งใด 3) ปล่อยให้สตรีถวายบังคมพระพุทธสรีระก่อน ทำให้น้ำตาของพวกเธอถูกพระพุทธสรีระ พระเถระวิสัชนาว่า ท่านเห็นว่าสตรีไม่ควรอยู่ข้างนอกเคหสถานในเวลากลางคืน จึงจัดให้เข้าถวายบังคม พระพทุ ธสรรี ะกอ่ น จะได้กลบั สทู่ ่อี ยูข่ องตนในเวลาที่ยังไมค่ ำ่ มดื 4) ไม่กราบทลู อาราธนาใหพ้ ระพทุ ธเจา้ ทรงดำรงพระชนม์อยู่ตลอดกัป ทั้ง ๆ ทพ่ี ระองค์ทรงแสดง นมิ ติ โอภาสถึง 16 คร้งั พระเถระวิสชั นาวา่ ท่านไมท่ ราบ เน่ืองจากถูกมารดลใจ 5) ขวนขวายให้สตรีเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา พระเถระวิสัชนาวา่ พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระมาตุจฉา (พระนา้ นาง) ไดท้ รงเลีย้ งดูพระพทุ ธองคม์ าแต่ยังทรงพระเยาว์ ถึงแมท้ ่านพระอานนท์มีความบรสิ ุทธ์ใิ จและสามารถวิสชั นาในประเด็นท้ัง 5 นั้นได้ ท่านก็ยอมรับ มติของสงฆ์และแสดงอาบัตทิ ุกกฎ ซ่ึงแสดงให้เห็นเป็นบรรทัดฐานวา่ ต้องเคารพมตขิ องส่วนรวม เพ่อื เป็น แบบแผนให้ปฏิบัติสบื ต่อกนั มาในการยุติปญั หาขอ้ ขดั แย้ง ซงึ่ อาจเกดิ ข้นึ ในกาลตอ่ มา หลังจากการสังคายนาผ่านไปไม่นาน พระเถระรูปหน่ึง ช่ือว่า “พระปุราณะ” พร้อมบริวาร 500 รูป พำนักอยู่ในทักขินาชนบทในคราวทำปฐมสังคายนา ได้ทราบว่า สังคายนาทำเสร็จแล้วได้จาริกมายัง แควน้ ราชคฤห์ พระสังคีตกิ าจารย์ที่เข้าร่วมสงั คายนาได้แจ้งเรอื่ งสังคายนาให้พระปุราณเถระทราบและให้ ยอมรับมติดงั กล่าว ท่านยอมรับมติสว่ นใหญ่ของพระสงั คีติกาจารย์แต่แสดงความเห็นคัดค้านเกี่ยวกบั วตั ถุ 8 ประการท่ีพระพุทธองค์ทรงอนุญาตในคราวเกิดทุพพิกภัย แต่เมื่อทุพพกิ ภัยระงับ พระองค์ทรงห้ามมิให้ กระทำอีก วัตถุ 8 ประการประกอบด้วย 1) อนั โตวฏุ ฐะ เกบ็ ของที่เป็นยาวกาลิก คอื อาหารไวใ้ นทอี่ ยู่ของตน 2) อันโตปกั กะ ให้มีการหงุ ตม้ อาหารในที่อยขู่ องตน 3) สามปกั กะ พระทำการหุงต้มอาหารด้วยตนเอง 4) อุคคหิตะ พระหยบิ ของเคี้ยวของฉันท่ียังไมไ่ ดร้ บั ประเคนได้ 5) ตโตนีหตะ ฉันของประเภทอาหารทีน่ ำมาจากทีน่ มิ นต์ 6) ปุเรภัตตะ ฉนั อาหารกอ่ นเวลาภตั ตาหารท่รี บั นิมนตไ์ ว้ 7) วนฏั ฐะ ฉนั ของท่ีเกดิ และตกอยใู่ นป่า ทไ่ี มม่ ใี ครเป็นเจา้ ของ 8) โปกขรัณฏกะ ฉันของทเ่ี กิดและอย่ใู นสระ เช่น ดอกบวั เง่าบวั ซึ่งท่านยืนยันจะปฏิบัติตามเดิม ตามท่ีทรงบัญญัติไว้ โดยมีความเห็นว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมพี ระสัพพัญญตุ ญาณ ไม่สมควรท่ีจะบัญญัตหิ ้ามแล้วอนุญาต อนญุ าตแล้วกลบั บัญญตั หิ ้ามมิใช่หรือ?”

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 77 พระมหากัสสปเถระได้กล่าวว่า “เพราะพระองค์ทรงมีพระสัพพัญญุตญาณนั่งเอง จึงทรงรู้กาลใดควร อนญุ าต กาลใดควรห้าม และสงฆ์มีมตริ ่วมกันว่า จกั ไม่บัญญตั ิส่งิ ที่พระพทุ ธองค์ไมไ่ ด้ทรงบญั ญตั ิไว้ ไมเ่ พิก ถอนสิกขาบทท่ีทรงบัญญัติไว้ และจักสมาทานศึกษาตามสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้เท่าน้ัน” ถึงกระน้ัน พระปุราณเถระและบริวาร ยังยึดม่ันในมติของตน และได้นำพวกของตนไปจัดการสังคายนาต่างหาก ซ่ึงเหตุการณ์น้ีเป็นการแสดงให้เห็นเค้าความแตกแยกในคณะสงฆ์ครั้งแรกและได้แตกออกเป็น 2 ฝ่าย และการปฏิบัติพระวินัยแตกต่างกัน ได้ปรากฏเด่นชัดหลังจากพระเจ้ากาฬาโศกราช เสวยราชในกรุง เวสาลีถึงปีที่ 10 ความแตกแยกในด้านทิฏฐิและศีล ได้ปรากฏเด่นชัดจนไม่อาจประสานและทำการ ประนีประนอมได้ จนกระท่ังสงฆท์ ี่สืบสายมาจากพระสังคีติกาจารย์ในคราวปฐมสงั คายนาต้องจดั การชำระ พระธรรมวินยั และทำการสงั คายนาคร้ังที่ 2 ขน้ึ (พระเทพดลิ ก (ระแบบ ฐิตญาโณ), 2548, หน้า 121-135) 2.2 การสังคายนาและการร้อยกรองพระธรรมวินัยครัง้ ที่ 2 (การแตกนกิ าย) เมอื่ พุทธปรินิพพานล่วงไป 100 ปี ภิกษุชาววชั ชี เมอื งเวสาลี ได้ประพฤติผิดวินัย 10 ประการ ทำ ให้มีทั้งภิกษุที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จนเกิดการแตกแยกในหมู่สงฆ์ พระยสกากัณฑกบุตร พระอรหันต์ ชาวเมืองโกสัมพีได้จาริกมาเมืองเวสาลีและทราบเร่ืองนี้ ได้พยายามคัดค้าน แต่ภิกษุชาววัชชีไม่เชื่อฟัง ภิกษุที่สนับสนุนพระยสกากัณฑกบุตรจึงนำเรื่องไปปรึกษาพระเถระผู้ใหญ่ในขณะน้ัน ได้แก่ พระเรวตะ พระสพั พกามีเถระ เป็นต้น จึงตกลงให้ทำการสังคายนาข้ึนอกี ครงั้ เพื่อชำระข้อประพฤติทผี่ ิดจากพระวินัย เรยี กวา่ วัตถุ 10 ประการ ซึง่ ประกอบดว้ ย 1) สงิ ฺคโิ ลณํ ภิกษเุ กบ็ เกลือไวใ้ นขนงหรอื เขาสตั ว์ แล้วนำไปผสมอาหารฉนั ไม่เปน็ อาบตั ิ 2) ทวฺ งคฺ ลุ ํ ภิกษฉุ ันอาหารหลังจากดวงอาทิตยบ์ ่ายคล้อยไปเพียง 2 องคุลีได้ ไม่เป็นอาบัติ 3) คามนฺตรกปฺปํ ภิกษุฉันอาหารในวัดเสร็จแล้ว เข้าไปฉันอาหารที่ไม่เป็นเดนในบ้านได้อีก ไม่เปน็ อาบตั ิ 4) อาวาสกปฺปญฺจ ในวดั ใหญ่มีสีมาเดยี วกัน ภกิ ษจุ ะแยกทำอุโบสถสังฆกรรมได้ ไม่เปน็ อาบตั ิ 5) อนุมติกปฺปญฺจ ในการทำอุโบสถสังฆกรรม แม้พระยังมาไม่พรอ้ มกัน จะทำอุโบสถสังฆกรรม ไปกอ่ นก็ได้ โดยใหพ้ ระท่ีมาทหี ลังใหฉ้ ันทะ (ความเห็นชอบ) ก็ได้ ไม่เป็นอาบัติ 6) อาจิณฺณกปฺปญฺจ การประพฤติปฏิบัติตามอุปัชฌาย์อาจารย์ แม้จะผิดพระวินัย ก็ทำได้ ไมเ่ ปน็ อาบตั ิ 7) อมถิตกฺปญฺจ นมส้มอันแปรจากนมสดไปแล้ว แต่ยังไม่กลายเป็นทธิ (นมส้ม) ก่อน ภิกษุฉัน แล้วหา้ มอาหารแล้วกต็ าม กย็ งั ฉันน้ำนมสม้ อย่างนนั้ ได้ ไมเ่ ปน็ อาบตั ิ 8) ชโลคึ สุราทำใหม่ ยังมีสีแดงดุจสีเท้านกพิราบ ยังไม่เป็นสุราเต็มท่ี หรือมีดีกรีอ่อน ภิกษุจะ ดื่มก็ได้ ไมเ่ ป็นอาบัติ 9) อทสกํ นิสที นะหรอื ผา้ ปูน่ังทไ่ี มม่ ชี าย ภิกษจุ ะนำมาใช้นั่งกไ็ ด้ ไม่เป็นอาบตั ิ 10) ชาตรูปรชตํ ภิกษยุ ินดรี บั เงินหรอื ทองท่คี นถวายมากไ็ ด้ ไมเ่ ปน็ อาบัติ

78 ภิกษุชาววัชชีไม่พอใจท่ีพระยศกากัณฑกบุตรท่ีไม่รับเงินท่ีพวกตนนำมาถวาย ทั้งยังถูกติเตียน อย่างรุนแรงทั้งภิกษุและคฤหัสถช์ าววัชชีจากท่าน จึงร่วมมอื กันลงปฏิสารณียกรรม คือบังคบั ใหไ้ ปขอโทษ คฤหัสถ์ทีท่ ่านติเตียนกล่าวโทษที่นำเงินทองมาถวายพระภิกษุ ท่านไดไ้ ปหาคฤหสั ถพ์ วกนั้นแลว้ แสดงช้โี ทษ ทีพ่ วกภิกษุวัชชีบุตรได้ทำลงไป โดยยกพระดำรัสของพระพุทธเจ้าท่ีตรัสว่า “ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ไม่ อาจเปล่งแสงรุ่งเรืองด้วยรัศมีเพราะมลทินโทษ 4 ประการอย่างใดอย่างหนึ่งคือ 1) เมฆหมอก 2) ควัน 3) ธุลี 4) อสุรินราหู มาบดบังฉันใด ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ จะไม่มีตบะรุ่งเรืองด้วยศีล ก็เพราะมลทิล 4 ประการอย่างใดอยา่ งหน่ึงปิดบังไว้คอื 1) ด่ืมสุรา 2) เสพเมถุน 3) ยินดีรับเงินและทองอันเป็นเสมือนภิกษุ ยินดีในการบริโภคกามคุณ 4) เลี้ยงชีพไม่ชอบ เช่น เวชกรรม (การเลี้ยงชีพด้วยการรักษาโรค) กูลทูสกะ (การประทุษรา้ ยตระกูล) อเนสนา (การแสวหาที่ไม่ควร) และวิญญัติ (การออกปากขอจากผไู้ ม่ได้ปวารณา หรือไม่ใช่ญาติ) พร้อมท้ังกล่าวอวดอุตริมนุษยธรรมท่ีไม่มีในตน เป็นต้น ชาวบ้านทราบความจริงแล้ว เกิด ความเล่ือมใส ได้อาราธนาท่านที่วัดมหาวนั วิหาร เมื่อพวกกกิ ษุวัชชีบุตรรู้เรื่องได้พากันไปล้อมกุฏิท่านเพื่อ ลงโทษ แตท่ ่านรูต้ ัวก่อนจงึ ได้หนีไปเสียก่อน ท่านเหน็ วา่ เรื่องน้หี ากปล่อยไว้เน่ินนานไป พระธรรมวินัยจะ เส่ือม จึงได้เดินทางไปเมืองปาวา เมืองอวนั ตีและเมืองทักขินาบท แจ้งเรื่องให้พระภิกษุท่ีอยู่ในเมืองน้ัน ๆ ทราบ เพ่ือร่วมมือกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว และท่านได้นำเรื่องดังกล่าวไปเรียนให้พระสาณสัมภูตวาสี ที่พำนักอยู่เมืองอโธคังคบรรพตทราบและวินิจฉัย ซ่ึงท่านมีความเห็นตรงกันกับพระยศกากัณฑกบุตรทุก ประการ ท่านท้ังสองรวมทั้งพระอรหันต์จากเมอื งปาวา แคว้นอวันตี 60 รูปและทกั ขนิ าบท 80 รูป ได้รว่ ม ประชุมกันและเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรทำสังคายนา จึงได้อาราธนาพระเรวตะ พระอรหันต์ผู้ทรง พหูสูตร ศิษย์ของพระอานนท์ให้เป็นกำลังสำคัญ โดยการทำสังคายนาคร้ังที่ 2 น้ีจัดทำข้ึนที่วาลุการาม เมืองเวสาลี มีพระสังคีติกาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ 700 รูปเข้าร่วมประชุม ทำหน้าที่สังคายนาร้อยกรอง พระธรรมวินัย มีพระกาฬาโศกราชทรงอุปถัมภ์ จัดทำอยู่ 8 เดือนจึงแล้วเสร็จ ที่ประชุมมีมติเลือก พระสัพพกามี เป็นพระมหาเถระ มีพรรษา 120 พรรษามากกว่าพระรูปใด ๆ จากทั้งหมดเป็นประธาน เลือกพระเรวตเถระ พระสาณสัมภูตวาสีเถระ พระยศกากัณฑกบุตร และพระสุมณเถระ เป็นฝ่ายเสนอ อธิกรณ์ (ถามปัญหา) และให้พระสัพพกามีเถระ พระสาฬหเถระ พระขุชชโสภิตเถระ และพระวาสภคามี เถระ เป็นฝ่ายวินิฉัยอธิกรณ์ (ตอบ) โดยพระเถระเหล่านั้น กล่าวคือ พระเรวตเถระ พระสาณสัมภูตวาสี เถระ พระยศกากัณฑกบุตร พระสัพพกามีเถระ พระสาฬหเถระ และพระขุชชโสภิตเถระ ลว้ นเป็นลูกศิษย์ ของพระอานนทเถระ ส่วนพระวาสภคามีเถระและพระสุมณเถระ เป็นลูกศิษย์ของพระอนุรุทธเถระ ท่านเหล่านี้จึงความความแม่นยำและเคร่งครัดในพระธรรมวินัยเป็นอย่างมาก ในตำนานฝ่ายสันสกฤต กล่าวว่า พระสาณสัมภูตวาสี เป็นผู้ท่ีพระอานนทเถระมอบหมายให้ดูแลพระศาสนาสืบต่อจากท่าน โดยตรง และตำนานฝ่ายจีนยังมีการกล่าวถึงพระสาณสัมภูตวาสีไว้อีกว่า ท่านเป็นผู้ตัดสินช้ีขาดปัญหา ต่าง ๆ ในการทำสังคายนาคร้ังที่ 2 น้ี ส่วนวิธีการทำสังคายนา พระสัพพกามีเถระได้วิสัชชนาข้อคำถามที่ พระเรวตเถระยกเอาวัตถุ 10 ประการมาถามทีละข้อตามลำดับดังนี้

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 79 1) ภิกษุรับประเคนเกลือไว้แล้ว ได้เก็บเกลือไว้ในขนงหรือเขาสัตว์ หรือในภาชนะอ่ืน ๆ ต่อมา วันอื่นได้นำเกลือนั้นออกมาผสมอาหารเพื่อจะได้รสชาติข้ึน เม่ือฉันต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะการสะสมอาหารตามสิกขาบทท่ี 8 แห่งโภชนวรรคว่า ภิกษุเคี้ยวก็ตาม ฉันก็ตาม ซึ่ง ของเคีย้ วหรอื ของฉันท่ไี ด้สง่ั สมไว้ ตอ้ งอาบัตปิ าจติ ตยี ์ 2) ภิกษุฉันอาหารในเวลาบ่ายคล้อยไปแล้วถึง 2 องคุลีได้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะฉันอาหาร ในเวลาวิกาลตามสิกขาบทท่ี 7 แห่งโภชนวรรคว่า ภิกษุเคี้ยวก็ตาม ฉันก็ตาม ซ่ึงของเคี้ยว หรือของฉนั ในเวลาวิกาล ตอ้ งอาบตั ปิ าจิตตยี ์ 3) ภิกษุฉันอาหารเสร็จแล้ว เข้าไปในบ้านฉันอาหารอีก ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะไม่ได้ฉัน อาหารท่ีเป็นเดนภิกษุไข้และไม่ไดม้ ีสมัยยกเว้นตามสิกขาบทท่ี 5 แห่งโภชนวรรคว่า ภิกษุฉัน แลว้ ในท่นี ิมนต์ แลว้ กลับไปฉันอาหารซง่ึ ไมเ่ ป็นเดนในท่อี ื่นอกี ต้องอาบัตปิ าจิตตยี ์ 4) ในอาวาสเดียวกัน มีสีมาเดียวกัน ภิกษุจะแยกทำอุโบสถสังฆกรรมไม่ได้ เพราะผิดหลักท่ี พระพทุ ธเจ้าทรงบัญญตั ิไวใ้ นอโุ บสถขันธกะ ใครขืนทำตอ้ งอาบตั ิทกุ กฏ 5) ภกิ ษุยังมาไมพ่ รอ้ มกัน ฝึนทำอุโบสถสังฆกรรมไปก่อน ด้วยคิดว่าพวกท่ีมาทีหลังค่อยให้ความ เห็นชอบกไ็ ด้ ตอ้ งอาบตั ิทุกกฏ เพราะผิดหลักที่พระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญัติไวใ้ นจัมเปยยขันธกะ 6) การประพฤติปฏิบัติตามอุปัชฌาย์อาจารย์ที่เคยปฏิบัติกันมา ยังไม่ถูกต้อง จะต้องยึดหลัก พระธรรมวินัยเป็นเกณฑ์ จงึ จะถกู 7) นมสดที่แปรแล้วแต่ยังไม่กลายเป็นทธิ (นมส้ม) ภิกษุฉันแล้วห้ามอาหารแล้ว ฉันน้ำนมน้ัน ตอ้ งอาบัติ 8) การดื่มสุราที่มีสีแดงดุจสีเท้านกพิราบ แม้ยังมีดีกรีอ่อน ยังไม่ถึงเป็นสุราแท้ ก็ต้องอาบัติ ปาจิตตียต์ ามสกิ ขาบทที่ 1 แห่งสุราปานวรรค 9) การนำผ้านิสีทนะหรือผ้าปูนั่งที่ไม่มีชายมาใช้นั่ง อาบัติปาจิตตีย์ตามสิกขาบทท่ี 7 แห่งรตน วรรค จะตอ้ งแกไ้ ขด้วยการตดั ออกใหเ้ หลือเพียง 2 คบื พระสุคตเสยี กอ่ น จงึ แสดงอาบตั ติ ก 10) การยินดีรับเงนิ หรือทองที่คนนำมาถวาย ตอ้ งอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ตามสิกขาบทที่ 8 แห่ง โกสยิ วรรค ต้องสละเสียก่อน จงึ แสดงอาบัตติ ก พวกกิกษุวัชชีบุตรไม่ยอมรับผลของการทำสังคายนาคร้ังนี้และไม่เข้าร่วมการสังคายนา แต่ไป รวบรวมภิกษุฝา่ ยตน จำนวน 10,000 รูปไปประชุมทำสงั คายนาใหม่ท่ีเมอื งกสุ มุ าปุระ ใกลเ้ มืองปาฏลีบุตร เรยี กว่า มหาสังคีติ แปลว่า สงั คายนาของพวกมาก และเรียกพวกของตนว่า มหาสงั ฆกิ ะ แปลว่า สงห์หมู่ ใหม่ ทำให้พุทธศาสนาในขณะน้ันแตกเป็น 2 นิกาย คือ ฝ่ายท่ีนับถือมติของพระเถระคร้ังปฐมสังคายนา เรยี กวา่ เถรวาท ฝา่ ยวชั ชบี ตุ ร เรยี กว่า อาจาริยวาท เพราะเห็นชอบตามอาจารย์ของตน นอกจากวัตถุ 10 ประการแล้ว สิ่งท่ีเป็นมูลเหตุให้เกิดการสังคายนาครง้ั ท่ี 2 ยังมีการแตกแยกซึ่ง เกิดจากทิฏฐิวบิ ตั ิ 5 ประการ ปรากฏในคัมภีรฝ์ า่ ยสันสกฤต ช่ือวา่ เภทธรรมมติจกั รศาสตร์ของพระวสมุ ิตร

80 ในราวพุทธศตวรรษท่ี 4 และอรรถกถาของคมั ภีร์ดงั กลา่ ว แตง่ โดยพระคนั ถรจนาจารยก์ ุยกใี่ นสมัยราชวงศ์ ถังของจนี ฝา่ ยมหายาน ซ่ึงพระมหาเทวะเปน็ ผ้แู สดงไว้ประกอบดว้ ย 1) พระอรหนั ต์อาจถูกมารย่วั ยวนจนอสุจเิ คลื่อนไดใ้ นเวลานอนฝัน 2) พระอรหันต์อาจมอี ญั ญาณ คือความไม่รู้ในบางเรือ่ งได้ 3) พระอรหันตอ์ าจมีกงั ขา คอื ความลงั เลสงสยั ในบางเรือ่ งได้ 4) ผู้จะรู้ตนไดบ้ รรลุมรรคผลในชั้นใด จำตอ้ งอาศยั การพยากรณจ์ ากคนอนื่ 5) อริยมรรค อรยิ ผลจะปรากฏก็ต่อเมือ่ บคุ คลเปลง่ วาจาวา่ อโห ทุกฺขํ ฯ ประวัติโดยย่อของมหาเทวะท่ีปรากฏในตำนานฝ่านสันสกฤต อรรถกถาของนิกายสรวาสติวาทิน มรี ายละเอียดดังต่อไปนี้ มหาเทวะก่อนบวชเป็นบุตรพ่อค้าของหอมแคว้นมถุรา เป็นชายรูปงาม แต่มักมากในกาม โดยได้ ลักลอบเป็นชู้กับมารดาของตน ขณะท่ีบิดาไปค้าขายท่ีต่างแดน เม่ือบิดากลับมา กลัวว่าเรื่องจะแดง ร่วมมือกบั มารดาที่เปน็ ภรรยาด้วย ลอบฆ่าบิดาของตน กลัวความผิด จึงได้พามารดาไปอยู่เมืองปาฏลีบตุ ร และในที่แห่งนั้นได้พบพระอรหันต์องค์หนึ่งชาวเมืองมถุราที่มีความคุ้ยเคยกัน เดิมทางมาเมืองปาฏลีบุตร เกรงวา่ ความลับจะถกู เปดิ เผย จงึ ลอบฆา่ พระอรหันต์องค์นั้น ต่อมามารดาแอบมีชกู้ ับชายอ่นื จึงฆ่ามารดา เสีย ต่อมาเกิดความทุกข์ใจ เพราะได้ทำกรรมไว้มาก จึงไปขอบวชท่ีวัดกุกกุฏาราม โดยปกปิดความจริง ไม่บอกให้สงฆ์ทราบ ได้ฉายาตามช่ือเดิมคือ มหาเทวะ คร้นั บวชแล้ว เปน็ คนฉลาด มีสติปัญญาดี ได้ศึกษา พระธรรมวินัยจนแตกฉาน เป็นนักเทศน์ที่มีช่ือเสียง มีเสียงไพเราะ มีผู้เคารพนับถือและมีบริวารมาก ต้องการชื่อเสียงและลาภสักการะเพิ่มขึ้น จึงกล่าวอวดอุตริมนุษย์ธรรมว่าตนเป็นพระอรหันต์และเพ่ือ จะเอาใจลูกศิษย์จึงเที่ยวพยากรณ์ว่า คนนั้นเป็นโสดาบัน คนน้ีเป็นสกทาคามี คนโน้นเป็นพระอรหันต์ เปน็ ต้น ต่อมา นอนหลับฝันอสุจิเคล่ือน เม่ือลูกศิษย์ถามว่า “ เมื่ออาจารย์บอกว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว เหตุใดจึงยังนอนฝันจนอสุจิเคลื่อนเล่า” จึงแก้ตัวว่า “พระอรหันต์ทั้งหลายอาจถูกมารยั่วยวน จนอสุจิ เคล่ือนในขณะหลับได้” ส่วนลูกศิษย์ท่ีได้รับการพยากรณ์ว่าเป็นพระอริยบุคคล มีความสงสัยในการบรรลุ ของตน จึงถามอาจารย์ว่า “ท่านอาจารย์บอกว่าผมเป็นพระอรหันต์ แต่ทำไมผมไม่รู้เร่ืองอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ผู้เป็นพระอรหันต์น่าจะรู้ทุกส่ิงตามความเป็นจริงมิใช่หรือ?” จึงแก้ตัวว่า “ พระอรหันต์อาจมีอัญญาณ คือความไม่รู้ในบางสงิ่ ได”้ ลกู ศิษย์บางคนถามวา่ “ ในเม่ืออาจารยบ์ อกวา่ ผมเปน็ พระอรหนั ต์ เหตใุ ดผมจึง ยังมีความสงสัยอยู่เล่า?” จึงแก้ตัวต่อว่า “พระอรหันต์อาจมีกังขา คือความสังสัยในบางสิ่งได้” และถูก ซกั ถามต่ออกี ว่า “ตามธรรมดาผทู้ ่ีเป็นพระอรหันต์ จะต้องเกิดญาณรู้ไดด้ ้วยตนเองว่า ตนได้บรรลุเป็นพระ อรหันต์มิใช่หรือ แต่ทำไมผมจึงไม่มีความรู้เช่นน้ัน ยังต้องอาศัยการพยากรณ์จากอาจารย์อยู่เล่า?” จึงแก้ ตวั ไปอีกว่า “ผทู้ ่ีจะร้วู ่าตนเปน็ พระอรหันต์ ตอ้ งอาศยั การแนะนำพยากรณ์จากคนอื่น” หลังจากได้ทำเรอื่ ง นอกรีตต่าง ๆ นา ๆ จึงเกิดความเดือดร้อนใจ นอนไม่หลับ จึงอุทานด้วยความกระวนกระวายใจว่า

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 81 “อโห ทุกฺขํ อโห ทุกฺขํ แปลว่า ทุกข์หนอ ๆ เมื่อศิษย์ได้ยินจึงถามว่า “ อาจารย์บอกว่าเป็นพระอรหันต์ แล้ว เหตุใดจึงบ่นว่า อโห ทุกฺขํ อโห ทุกฺขํ อยู่เล่า?” จึงตอบแก้ตัวต่อไปว่า “อริยมรรค อริยผลจะปรากฏ เมือ่ บคุ คลเปลง่ วาจาว่า อโห ทุกฺขํ อโห ทุกฺข”ํ เมื่อตั้งทิฏฐิท้ัง 5 ข้ึนแล้ว ต้องการได้รับการสนับสนุนทิฏฐิของตน ได้พยายามหาผู้สนับสนุนจน มากพอ จึงได้เสนอความเห็นทั้ง 5 นั้น ในท่ามกลางสงห์ท่ีกุกกุฏาราม เพ่ือให้สงฆ์ยอมรับทิฏฐิของตนว่า เป็นธรรม แต่พระอรหันตเถระและพระกิกษุท่ียึดม่ันในธรรมทั้งหลายพากันปฏิเสธทิฏฐิดังกล่าว จึงขอให้ ลงมติด้วยเยภุยยสิกา คือถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ ต่อหน้าพระเจ้ากาฬาโศกราช ซ่ึงมีความ เล่ือมใสในตัวมหาเทวะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และมหาเทวะได้ชนะในการลงมติดังกล่าว พระเจ้ากาฬาโศก ราชจึงประกาศให้สงฆ์ปฏิบัติตามมติของมหาเทวะ แต่พระอรหันตเถระและพระกิกษุท่ียึดม่ันในธรรม ทง้ั หลายไม่ยอม ต่างเตรียมตัวหนอี อกจากเมืองปาฏลีบุตรไปจำพรรษาท่ีอื่น พระเจา้ กาฬาโศกราชทรงกร้ิว ด้วยเข้าใจผิด จึงทรงรับสั่งให้พระเถระเหล่านั้นลงเรือชำรุด เมื่อเรือแล่นไปในแม่น้ำคงคาเรือก็แตก พระเถระทั้งหลายได้เหาะไปในอากาศดว้ ยฤทธิ์ไปแคว้นกัศมีระ หรือแคชเมียร์ในปัจจบุ ัน ต่อมาทรงทราบ ว่าหลงผิด ทรงเสียพระทัยเป็นอย่างมาก รับส่ังให้ราชบุรุษไปอาราธนาพระเถระท้ังหลายกลับคืน นครปาฏลบี ุตร แตไ่ มส่ ำเรจ็ จงึ รับส่ังใหส้ ร้างวดั ถวายที่แคว้นกศั มีระนน้ั จำเดิมแต่น้ัน สงฆมณฑลก็แตกออกเป็น 2 นิกาย คือนิกายเถรวาทหรือสถวีรวาท อันเป็นนิกาย เดิม และนิกายมหาสังฆิกวาท ซึ่งเป็นฝ่ายของมหาเทวะหรือนิกายที่แตกออกไป และแตกจาก 2 นิกายน้ี ออกเป็นนิกายต่าง ๆ โดยหลักฐานฝ่ายภาษาบาลีว่า แตกไป 18 นิกาย หลักฐานฝ่ายสันสกฤตว่า แตกไป 20 นกิ าย ศึกษาขอ้ มลู เพม่ิ เติมในบทท่ี 4 ในวาระสุดท้ายของชีวิต ของมหาเทวะ ได้มีหมอดูทักว่าท่านจะตายภายใน 7 วัน ลูกศิษย์และ บริวารพากันร้อนใจ แต่มหาเทวะไม่ยอมลดพิษสง ยังพูดหลอกลวงต่อไปว่า “เรื่องน้ีตนรู้อยู่แล้ว” แล้วสั่ง ให้ลูกศิษย์ไปทูลพระราชา พร้อมกับประกาศให้ชาวเมืองปาฏลีบุตรทราบด้วยว่า อีก 7 วัน มหาเทวะ อรหันตเจ้าจะดับขันธปรินิพพาน เมื่อถึงกำหนด มหาเทวะก็ตายจริง ๆ ทำให้พระราชาและชาวเมืองต่าง เช่อื วา่ มหาเทวะเปน็ ผู้วิเศษจรงิ เพราะรู้วนั ตายของตนเอง แต่ในวนั ฌาปนกจิ ศพ ปรากฏว่าไฟจุดศพไม่ติด โหรหลวงได้ทลู พระราชาว่า “ต้องนำมูตรคถู ของสนุ ัขมาราดศพ จึงจะจุดไฟติด” พระราชาจงึ มีรบั ส่งั ใหท้ ำ ตามน้ัน ไฟจึงติดและเผาเหลือเพียงเถ้าถ่านบางส่วนเท่านั้น แต่ทันใดกลับมีลมพายุพัดหอบกระจัด กระจายหายไปส้ิน ข้อสังเกตเร่ืองมหาเทวะตามตำนาน อาจมีความจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ต้องศึกษาอย่างพินิจ พเิ คราะห์ ในเร่ืองนี้อาจารย์เสถียร โพธินันทะ มีความเห็นว่า เน่ืองจากตำนานเก่ียวกับชีวประวัติของมหา เทวะเป็นการเขียนของนิกายสรวาสติวาทิน ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อนิกายมหาสังฆิกะ ซ่ึงมหาเทวะเป็นต้น กำเนิดนิกายมหาสังฆิกะน่ันเอง หากมหาเทวะเป็นคนชั่วช้าจริงตามตำนานท่ีกล่าวไว้ คงไม่สามารถต้ัง นิกายและแผ่อิทธิพลไปท่ัวภาคใต้ของอินเดียได้ อีกทั้งยังมีผู้ทักท้วงตำนานดังกล่าวว่าไม่จริง คือสมณะ

82 เกียเซี้ยงและสมณะซ่ืออึงของจีน และคัมภีร์คุณวิภังคนิเทศศาสตร์ยังกล่าวยกย่องมหาเทวะว่า เป็นมหา บุรุษ ส่วนสาเหตุที่นิกายสรวาสติวาทินไม่ชอบท่าน เน่ืองจากมหาเทวะได้แก้ไขตัดตอนข้อความในพระ วินัยและพระสูตรไปตามทัศนะของตน นั่นเอง (เสถียร โพธินันทะ, 2543, หน้า 120-140) และ (ฟนื้ ดอกบัว, 2554, หน้า 78-82) 2.3 การสงั คายนาและการร้อยกรองพระธรรมวินัยคร้ังที่ 3 หลังจากพระพุทธศาสนาได้แตกออกไปเป็นนิกายต่าง ๆ มากมายถึง 18 นิกาย แต่ละนิกายต่าง เผยแผ่คำสอนและทัศนะของตน ทำให้หลักพระธรรมวินัยมีความแตกต่างกันบ้าง เหมือนกันบ้าง อีกทั้ง วิธีการในการเผยแผ่พระธรรมคำสอนก็แตกต่างกันออกไป จนกระท่ังเกิดเป็นนิกายมหายานในยุคน้ี ส่วน รายละเอียดเกีย่ วกบั นกิ ายต่าง ๆ จะกล่าวถึงในบทท่ี 4 ต่อไป เม่ือความเจริญมีมาก ผู้คนหันมานับถือพระพุทธศาสนากันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ลาภสักการะของ ศาสนาอ่ืนลดน้อยถอยลงตามลำดับ จึงทำให้มีพวกเดียรถีย์ปลอมบวชในพระพุทธศาสนามากขึ้นเรื่อย ๆ และมีการประพฤติปฏิบัติท่ีผิดแปลก ไม่ยึดพระธรรมวินัยเป็นหลัก เพราะไม่ได้บวชด้วยศรัทธา ทำให้ พระพุทธศาสนามัวหมอง เป็นเหตุให้พระสงฆ์ฝ่ายธรรมวาทีรังเกียจ ไม่ยอมร่วมทำอุโบสถสังฆกรรมนาน ถึง 7 ปี ความทราบถึงพระเจ้าอโศกมหาราชที่หันกลับมานับถือพระพุทธศาสนาและเป็นศาสนูปถัมภ์ จึงทรงรับสั่งอำมาตยใ์ หไ้ ประงับอธิกรณ์ ฝ่ายอำมาตย์ได้ทำเกินรับสั่ง คือบังคบั ให้สงฆ์ทง้ั 2 ฝ่ายทำอุโบสถ สังฆกรรมร่วมกัน แต่พระสงฆ์ฝ่ายธรรมวาทีไม่ยอม จึงฆ่าพระฝ่ายธรรมวาทีไปหลายรูป ร้อนถึงพระติสส อรหันตเถระ ผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าอโศกมหาราชต้องมาขัดขวางการกระทำของอำมาตย์ อำมาตย์ น้ันจำได้ จึงไม่กล้าฆ่า จำเป็นต้องกลับมากราบทูลพระเจ้าอโศกมหาราชให้ทรงทราบ พระเจ้าอโศก มหาราชเกิดความร้อนใจว่า พระองค์ทรงได้ทำบาปมหันต์แล้ว จึงเสด็จมาตรัสถามพระภิกษุว่าพระองค์มี ความผิดในเรื่องนี้หรือไม่ แต่ไม่ได้รับคำตอบท่ีน่าพอใจ เนื่องจากพระสงฆ์ไม่อาจวิสัชนาให้แจ่มแจ้งได้ ทรงได้รับทูลให้นิมนต์พระโมคคัลลบี ตุ รติสสเถระมาวิสัชชนา ทา่ นได้วสิ ัชชนาว่า พระองคไ์ ม่มคี วามบาปใน เรื่องน้ี เพราะไม่ได้สั่งให้ไปฆ่า บาปเปน็ ของอำมาตย์เพียงผู้เดียว ทำให้พระองค์สบายพระทัย หลังจากนั้น ทรงอาราธนาพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระให้พำนักอยู่ท่ีวัดอโศการามและเป็นประธานในการชำระพระ ศาสนาให้บริสุทธิ์ ด้วยการชุมนุมสงฆ์ท้ังหมด พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระทำการสอบถามพระธรรมวินัย พระภิกษุรูปใดตอบไม่ได้ ทรงบังคับให้ลาสิกขา ปรากฏว่ามีภิกษุท่ีไม่รู้พระธรรมวินัยถึง 60,000 รูป และ ถกู บังคบั ให้ลาสิกขาทงั้ หมด หลังจากน้ัน จึงทรงอาราธนาให้พระสงฆ์ทำอุโบสถสังฆกรรมร่วมกัน พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ จึงถือโอกาสน้ีจัดทำสังคายนาขึ้น มีพระสงฆ์ท่ีเป็นพระอรหันต์ จำนวน 1,000 องค์ ทำหน้าที่เป็นพระ สังคีติกาจารย์ ทำที่วัดอโศการาม เมืองปาฏลีบุตร ด้วยการอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราช ใช้เวลา 9 เดือนจึงแลว้ เสร็จ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 83 ในการสังคายนาครั้งนี้ พระโมคคัลลีบุรติสสะ ได้แตง่ กถาวัตถุขน้ึ เพอ่ื อธบิ ายธรรมใหแ้ จ่มแจ้งและ ทลู ขอให้พระเจ้าอโศกมหาราชสง่ ส่งสมณทูต 9 สายออกเผยแผพ่ ุทธศาสนา ประกอบดว้ ย 1) พระมัชฌันติกเถระ ไปแคว้นแคชเมียร์และแคว้นคันธาระ ปัจจุบันรวมถึงแคว้นปัญจาบและ แคชเมียร์ และบางส่วนของประเทศอาฟกานิสถานด้วย 2) คณะพระมหาเทวะ ไปมหิสมณฑล ได้แก่ แถบตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำโคธาวารี ปัจจุบนั คือแคว้น ไมซอร์ 3) พระรักขิตเถระ ไปวนวาสีประเทศ ได้แก่ แคว้นกนราเหนือ ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของ อนิ เดยี 4) พระโยนกธรรมรักขิต พระอรหนั ตเถระ ชนชาติกรีก ไปอปรันตกชนบท แถบชายทะเลปจั จุบัน คอื ทางตอนเหนือของเมอื งบอมเบย์ 5) พระมหาธรรมรักขิตเถระ ไปแคว้นมหาราษฎร์ คือดินแดนแถบตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง บอมเบยใ์ นปัจจบุ นั 6) พระมหารักขิตเถระ ไปโยนกประเทศ ได้แก่ แคว้นที่อยู่ในการยึดครองของกรีกในทวีปเอเชีย ตอนกลาง เหนอื อิหร่านขึ้นไปจนถึงเตอร์กิสถาน 7) พระมัชฌิมเถระ พรอ้ มด้วยพระกัสสปโคตะ พระมูลกเทวะ พระทุนทภิสสร และพระเทวะ ไป แถบเทือกเขาหิมาลยั ปัจจุบัน คอื ประเทศเนปาล 8) พระโสณะ และพระอุตตระ ไปสวุ รรณภูมิ ได้แก่ ไทย พม่า มอญ ในปัจจบุ ัน 9) พระมหินทรเถระ พร้อมด้วยพระอัฏฏิยเถระ พระอุตติยเถระ พระสัมพลเถระ พระภัททสาล เถระ และสุมนสามเณร ไปเผยแผพ่ ระศาสนาที่เกาะลังกาในรชั สมัยพระเจา้ เทวานัมปิยตสิ สะ การไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในคร้ังนี้ พระธรรมทูตทุกสายสามารถให้การบวชและอุปสมบท ใหแ้ กก่ ุลบุตรผมู้ ีศรทั ธาได้ นับว่าพระพทุ ธศาสนาได้เผยแผ่ไปยังภูมิภาคตา่ ง ๆ อยา่ งรวดเรว็ และบางพ้ืนท่ี มีหลักฐานชัดเจน สามารถสืบค้นได้ เช่น สายพระโสณะและพระอุตตระ เนื่องจากมีการสืบต่อกันมาไม่ ขาดสาย โดยเฉพาะหลักฐานท่ีค้นพบในจังหวัดนครปฐม พบว่า พระพุทธศาสนาได้มาประดิษฐานใน ดินแดนแถบน้ีเมื่อปี พ.ศ. 275-305 นับเป็นปีที่ใกล้เคียงกับหลักฐานในที่อ่ืน ๆ (พระเทพดิลก (ระแบบ ฐติ ญาโณ, 2548, น. 157-163) และ (ฟน้ื ดอกบวั , 2554, น. 98-99) 2.4 การสังคายนาและการร้อยกรองพระธรรมวนิ ัยครงั้ ที่ 4 การสงั คายนาครัง้ นเี้ ป็นการสังคายนาผสมกับฝา่ ยมหายาน จดั ทำกนั ในอินเดียภาคเหนือ ด้วยการ อปุ ถัมภ์จาก พระเจ้ากนิษกะ มหาราช เช้ือชาติเติรก์ ผสมมองโกเลีย พระองค์สืบเชื้อสายมาจากเผ่าอนิ โด ไซเธียน ทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์กุษาณะ ทรงครองราชย์เมื่อราว พ.ศ. 621 หรือ 653 ได้ อพยพลงมาสู่ลุ่มแม่น้ำอมูดาเรีย ในเตอรกีสถานตะวันตก ทำลายอาณาจักรบากเตรีย ซึ่งเป็นอาณาจักร ของพวกกรีกลงได้ แล้วแผ่อิทธิพลเข้ามาสู่อัฟกานิสถาน ในตอนน้ีพวกอินโดไซเธียนได้รับอารยธรรมทาง

84 ภาษาของอินเดียไว้เป็นจำนวนมาก เช่น พระนามของพระเจ้า \"กนิษกะ\" เป็นต้น พระเจ้ากนิษกะทรงยึด แบบการทำงานของพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นหลัก พระองค์ทรงขยายอาณาเขตออกกว้างขวางมาก จกั รวรรดิของพระองค์เรมิ่ จากเตอรกสี ถานลงมาถงึ ลุ่มแม่น้ำคงคา พระเจ้ากนิษกะทรงเป็นพุทธมามกะนับ ถือพระพุทธศาสนา ทรงให้การทำนุบำรุง รักษา ก่อสร้างศาสนสถานข้ึนมากมาก ทรงอุปถัมภ์บำรุง พระสงฆ์ดว้ ยดี พระราชกิจประจำเดือนก็คือ การอาราธนาพระเถระในนิกายต่าง ๆ เข้ามาถวายพระธรรม เทศนาในพระราชวัง แต่เนื่องด้วยรัชสมัยท่ีพระเจ้ากนิษกะครองราชย์น้ัน พระสงฆ์มีความแตกแยกกันทางนิกายมาก พระธรรมเทศนาท่ีท่านแสดงบางเรอื่ งก็ขัดกันเอง ทำให้พระเจ้ากนิษกะมหาราชเกดิ ความสงสยั จงึ ได้เรยี น ปรึกษากับพระปารศวะ ซึ่งเป็นพระเถระในนิกายสรวาสติวาท คณะสงฆ์ในนิกายสรวาสติวาท ในคัมภีร์ บาลีเรียกว่า สพฺพมตฺถีติวาท เรียกอีกอย่างว่า นิกายสัพพัตถิกวาท และถือว่าเป็นกิ่งของนิกายมหิศาสก วาท จึงขอร้องให้พระองค์ทรงอุปถัมภ์การทำสังคายนา สังคายนาคร้ังน้ีทำขึ้นที่กุณฑลวันวิหาร แคว้นกาศมีระ ราว พ.ศ. 643 มีภิกษุและบัณฑิตคฤหัสถ์เข้าประชุมร่วมกัน โดยมีพระปารศวะเป็น ประธาน และยังมีพระเถระที่สำคัญอีกเช่น พระวสุมิตร พระอัศวโฆส เป็นต้น ที่ประชุมได้ร้อยกรอง อรรถกถาพระไตรปิฎก ปิฎกละแสนโศลก คือ พระวินัยปิฎก ชื่อ วินัยภาษา แสนโศลก อรรถกถา สุตตันตปิฎก ช่ือ อุปเทศศาสตร์ แสนโศลก และอรรถกถาอภิธรรมปิฎก ชื่อ วิภาษาศาสตร์ แสนโศลก รวมสามแสนโศลก บนั ทกึ เปน็ ภาษาสนั สกฤต พระเจ้ากนิษกะโปรดให้จารึกพระไตรปิฎกและอรรถกถาเหล่านีไ้ ว้ในแผน่ ทองแดง แล้วบรรจไุ วใ้ น พระสถูปแล้วรักษาไว้มั่นคงเป็นต้นฉบับหลวง และการทำสังคายนาครั้งนี้เป็นการทำสังคายนาของฝ่าย นิกายสรวาสติวาทผสมนิกายมหายาน จึงไม่มีปรากฏในฝ่ายปกรณ์บาลีเลย ปรากฏการณ์นี้ทำให้เห็น ชัดเจนว่า เปน็ ความขัดแย้งกนั ทางดา้ นความคิด ไมต่ ้องการท่ีจะเชดิ ชฝู ่ายตรงกันข้ามกับนิกายท่ตี นเองนับ ถือน่ันเอง อย่างไรก็ดี ด้วยราชานุภาพของพระเจ้ากนิษกะ พระพุทธศาสนาจึงแพร่หลายไปสู่นานา ประเทศ ทางฝ่ายเหนือของอินเดีย รวมท้ังประเทศจีนก็พลอยได้รับเอาพระพุทธศาสนาไปในตอนนี้ด้วย (เสถียร โพธินนั ทะ, 2543, หน้า 225-227) 3. การสงั คายนาในลังกาทวีป 3.1 การสังคายนาครั้งท่ี 1 ในลงั กาทวีป ปรารภจะให้พระศาสนาประดิษฐานมนั่ คงในลังกาทวีป พระสงฆ์ 68,000 รปู มีพระมหินทเถระเป็นประธานและเป็นผู้ถาม พระอริฏฐะเป็นผู้วิสัชนา ประชุมทำท่ี ถูปาราม เมืองอนุราชบุรี แห่งลังกาทวีป เมื่อพุทธศักราช 236 โดยพระเจ้าเทวนัมปิยติสสะเป็น ศาสนปู ถมั ภก สน้ิ เวลา 10 เดอื นจึงเสรจ็ พระพุทธศาสนาได้เริ่มแผ่เข้าสู่ลังกาทวีป เมื่อปีพุทธศักราช 236 - 287 โดยการนำของ พระมหินทเถระ ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชและพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระส่งไปเป็นพระธรรมทูตประจำ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 85 ลังกาทวีป พระเถระได้ไปถึงในรัชสมัยของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ ผู้เป็นอทิฏฐสหายกับพระเจ้าอโศก มหาราช พระมนินทเถระได้มาถึงลังกาทวีปเมื่อพระชนมายุ 32 พรรษาและนิพพานเม่ือพระชนมายุ 80 พรรษา ท่เี จตบิ รรพต ตรงกบั ปีที่ 8 แห่งรัชสมยั พระเจา้ อุตตยิ ะ ผ้เู ป็นพระอนุชาของพระเจ้าเทวานัมปยิ ตสิ สะ พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะทรงประกาศพระองค์ เป็นพุทธศาสนูปถัมภก ทรงโปรดให้อุปสมบท บุคคลสำคัญ ๆ หลายท่าน และก่อสร้างวิหาร เจดีย์มากมาย โปรดให้อริฎฐมหาอำมาตย์ไปทูลพระเจ้า อโศกมหาราชขอภิกษุณีสงฆ์ เพ่ือมาอุปสมบทแก่สตรีชาวลังกา ตลอดจนทูลขอหน่อพระศรีมหาโพธิ์เพ่ือ สักการะบูชาด้วย พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสนับสนุนพระราชธิดา คือ พระนางสังฆมิตตาเถรีพร้อมด้วย บริวารเพื่อไปเป็นปวัตตินีบวชกลุ ธิดาชาวลงั กา และให้อญั เชิญหน่อพระศรมี หาโพธ์มิ าประทาน นอ้ งสะใภ้ ของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะทรงพระนามว่า \"อนุลาเทวี\" ออกอุปสมบทเป็นนางภิกษุณีพร้อมด้วยบริวาร เป็นคร้ังปฐมในลังกาทวีป ส่วนหน่อพระศรีมหาโพธ์ิทรงโปรดให้ปลูกข้ึนในมหาอุทยาน \"มหาเมฆวัน\" ปัจจบุ ันตน้ พระศรีมหาโพธ์ิยังมีไว้ใหส้ กั การะบูชาอยู่ ต่อมาเม่ือการศึกษาพระธรรมวินัยแพร่หลายในหมู่สงฆ์ชาวลังกาแล้ว พระมหินทเถระก็ได้ทูล ขอให้พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ ทรงเป็นราชูนปถัมภ์ชุมนุมสงฆ์ ในลังกาจัดทำสังคายนาข้ึน ณ ถูปาราม เมืองอนุราชบุรีมีพระสงฆ์ 68,000 รูป ทำอยู่ 10 เดือนจึงสำเร็จ นับแต่นั้นมา พระพุทธศาสนาแบบ เถรวาท (หีนยาน) เจริญรุ่งเรื่องขึ้นโดยลำดับ มีคันถรจนาจารย์ (อาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์) แต่งคัมภีร์อรรถ กถาฏีกา อธิบายพระไตรปิฎกเป็นภาษาลังกา เพื่อให้มีการศึกษาอย่างแพร่หลายและเป็นหลักฐานย่ิงกว่า ในชมพูทวปี ซึ่งพระพทุ ธศาสนานิกายเถรวาทในชมพทู วีปนบั วันจะหมดรศั มลี งไปเรื่อย ๆ 3.2 การสังคายนาครงั้ ท่ี 2 ในลงั กาทวปี ปรารภพระสงฆ์แตกกันเป็น 2 พวก คือ พวกมหาวิหาร กับพวกอภัยคีรีวิหาร และคำนึงว่าสืบไปภายหน้า หากจะใช้วิธีท่องจำพระพุทธวัจนะต่อไป ก็อาจเกิด ขอ้ ผิดพลาดได้งา่ ย เพราะปัญญาในการท่องจำของกุลบุตรอาจเสือ่ ม ควรจารึกพระธรรมวินัยลงในใบลาน รวมท้ังอรรถกถาด้วย ณ อาโลกเลณสถาน มตเลชนบท หรือมลัยชนบท (เรียกแบบไทย) ในลังกาทวีป เม่ือพุทธศักราช 433 แต่หลักฐานบางแห่งระบุว่า พุทธศักราช 450 โดยพระเจ้าวัฎฎคามณีอภัยทรงเป็น องค์เอกอัครศาสนปู ถมั ภก มพี ระรกั ขติ มหาเถระเป็นประธาน บางมติไม่รับรองการสังคายนาครั้งท่ี 1 ในลังกาว่าเป็นคร้ังที่ 4 ต่อจากอินเดีย แต่รับรองการ สงั คายนาคร้งั ที่ 2 ในลังกานี้เป็นครัง้ ที่ 4 ตอ่ จากอินเดีย แตบ่ างมตกิ จ็ ัดเข้าเป็นคร้งั ที่ 5 3.3 การสังคายนาครั้งที่ 3 ในลังกาทวีป พ.ศ.956 มีมูลเหตุมาจากพระพุทธโฆสเถระ (หรือที่ ไทยเรานิยมเรียกว่า พระพุทธโฆษาจารย์) ซึ่งเป็นพระมหาเถระชาวชมพูทวีป ผู้ปราดเปร่ืองมีความรู้ แตกฉานในพระไตรปิฎกและภาษาบาลี นับเป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญรูปหน่ึง ท่านเห็นว่า คมั ภีร์อรรถกถา (คมั ภรี ์อธิบายพระไตรปิฎก) ท่ีมคี วามสมบูรณ์น้ันเป็นภาษาสิงหลอยู่ในลงั กาทวีป ท่านจึง เดินทางไปลังกาทวีปเพื่อขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้ามหานามในการแปลและเรียบเรียงคัมภีร์อรรถกถา ดงั กล่าว จากภาษาสงิ หลเป็นภาษามคธ เพ่ือจะไดเ้ ป็นตนั ติภาษา (ภาษาที่มีแบบแผน) สอดคลอ้ งกับคัมภรี ์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook