236 ล้ อ เลี ย น ห รื อ แ ส ด งอ อ ก ใน ลั ก ษ ณ ะ ท่ี ไม่ เค า ร พ ต่ อ พระองค์ แต่เม่ือชนชาติกรีกได้กรีธาทัพเข้ามายึดครอง อนิ เดีย ได้ศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ต่างหันมานับถือพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก ก่อน หน้าจะมานับถือพระพุทธศาสนา พวกกรีกนับถือ เทวรปู มาก่อนและเป็นชาติท่ีแกะสลักหนิ ที่เกง่ ท่ีสุดของ โลก เรียกได้ว่า เป็นเจ้าแห่งศิลปะของการแกะสลัก ดงั นัน้ จงึ อาจกลา่ วไดว้ ่า กรีกเปน็ ชนชาติแรกของโลกที่ พระพทุ ธรปู แบบคนั ธาระ สร้างพ ระพุ ท ธรูป ขึ้น เรียกพ ระพุ ท ธรูป สมัยน้ี ว่า ทมี่ า: https://www.silpa-ag.com พระพุทธรูปแบบคันธาระ โดยสร้างพระพุทธรูปแทน /history/article_59471 เทวรูปให้ใกล้เคียงกับมนุษย์ที่สุดเพ่ือเป็นเคร่ืองระลึกถึงพระพุทธเจ้า และเป็นการเผยแผ่และสืบต่ออายุ พระพุทธศาสนาใหย้ าวนานสืบไป ซึ่งคำวา่ คันธาระ (Gandhara) มาจากคำวา่ คนั ธารี คติของพวกกรกี ไม่ รังเกียจสร้างรปู เคารพและก่อนท่ีจะเปลีย่ นมาเป็นพทุ ธมามกะก็ไดส้ ร้างรปู เคารพของตนอยมู่ ากมายหลาย องคด์ ้วยกัน เช่น เทพเจ้ายปู เี ตอร์ หรอื ซิวส์ฮริ า เฮอรม์ สี แอรีส อพอลโล อาร์เตมิส เอเธนา โปซีดอน ฯลฯ เทพเจ้าเหลา่ น้ีส่วนใหญ่เป็นพระเจา้ ประจำธรรมชาติ และพวกกรกี สร้างเป็นเทวรูปดุจมนุษย์มสี ัดส่วนเป็น สันงดงามจนจัดเป็นสัญลักษณ์อันหนึ่งแห่งศิลปกรรมของชาติกรีกโบราณ สถาปัตยกรรมอินเดียสมัย ต่อมา เป็นสมัยที่ราชวงศ์กุษาณะมีอำนาจเหนืออินเดียทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ และราชวงศ์มถุราใน ภาคกลางของอินเดีย ได้สร้างศิลปะสำคัญข้ึน 3 แบบ คือ ศิลปะแบบคันธาระ แบบมถุรา และแบบ อมราวดี ซ่ึงเป็นศลิ ปะเน่ืองในพระพทุ ธศาสนาดงั จะกลา่ วต่อไป พทุ ธศิลปแ์ บบคนั ธาระ พุทธศิลป์แบบคันธาระ เชื่อกันว่าเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยพระเจ้ามิลินทร์มหาราช หรือเมนันเดอร์ แล ะแ พ ร่ ห ล า ย ใน ส มั ย ขอ งพ ร ะเจ้ าก นิ ษ ก ะม ห าร า ช ลั ก ษ ณ ะข อ ง พ ระพุ ท ธ รูป ศิ ล ป ะแ บ บ คั น ธ า ร ะ ประกอบด้วยลักษณะเหล่านี้ คือ มีพระพักตร์เหมือเทพเจ้าอพอลโล พระนาสิกโด่งอย่างฝรั่ง พระเมาลี ม้วนคล้ายก้นหอย พระเกสาหยักโศกคล้ายผมสตรี พระเศียรคล้ายเศียรของกษัตริย์ มีพระมัสสุ พระ วรกายกำยำ ผ่ึงผาย มองเห็นกล้ามเน้ือและเส้นเอ็นอย่างชัดเจนภายใต้จีวรบาง ๆ ประทันนั่งบนฐานบัว นิยมสร้างเป็นปางขัดสมาธิเพชร พระพุทธรูปลักษณะน้ีมีการขุดพบมากมายในตอนเหนือของอินเดียและ อัฟกานิสถาน (เป็นส่วนหน่ึงของชมพูทวีปในอดีต) จากน้ันไม่นานจึงเกิดพุทธศิลป์แบบอินเดียแท้ข้ึนมา เช่น ท่ีเมืองมถุราและเมืองอมราวดี โดยที่เมืองอมราวดีน้ีนับเป็นเมืองสำคัญของรัฐอันธระในอินเดียตอน ใต้ พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ในราวศตวรรษที่ 7–8 มีการสร้างพระสถูปใหญ่และพระพุทธรูป แบบอินเดียบริสุทธิ์ มีลักษณะแตกต่างจากพระพุทธรูปแบบคันธาระ คือมีพระเกสาขมวดเป็นก้นหอย มี
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 237 พระวรกายลักษณะเหมือนมนุษย์ นบั ตั้งแต่บัดน้ันเป็นตน้ มา การสร้างพระพุทธรูปจึงเป็นที่นิยมแพรห่ ลาย ไปยงั นานาอารยประเทศในแถบเอเซยี ส่วนเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดและเสียใจอย่างย่ิงสำหรับชาวพุทธเก่ียวกับพระพุทธรูปศิลปะแบบ คันธาระในเมืองบามิยัน ประเทศอาฟกานิสถานเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2544 ประวัติศาสตร์ ต้องจารึกไว้ว่า พระพุทธรูปหินประทับยืนท่มี ีอายถุ ึง 2,000 ปีเศษ ศิลปะแบบคันธาระท่ีแกะสลักไว้ที่หน้า ผาของเมืองบามิยัน (Town of Bamiyan) เป็นพระพุทธรูปประทับยืนแกะสลักที่สูงท่ีสุดในโลก เป็น ศิลปะท่ีล้ำค่าหาท่ีเปรียบเทียบมิได้ของชาวพุทธ ได้ถูกกลุ่มผู้นำตาลีบัน (Taleban) ท่ีมีอำนาจในการ ปกครองประเทศอัฟกานิสถานระเบิดทำลายลง ซ่ึงการทำลายประติมากรรมพระพุทธรูปหินอันเป็นมรดก โลกคร้ังน้ีของตาลีบัน ได้ถูกประณามจากท่ัวโลก เป็นที่น่าเศร้าสลดใจอย่างย่ิงสำหรับชาวพุทธท่ัวโลก แม้แต่ประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามก็ยังไม่เห็นด้วยกับการทำลายคร้ังน้ี ประธานาธิบดีของประเทศ อิหร่าน มูฮัมหมัด คาตามี (Mohammad Khatami) ได้ร่วมประณามกลุ่มตาลีบันว่าเป็นการกระทำที่ผิด พฤติกรรมของมนษุ ย์ เราจะเห็นได้ว่าประเทศท่ีเป็นอิสลามมีจิตใจเป็นธรรมเข้าใจในความเป็นมรดกโลกก็ ยงั ไมเ่ ห็นดว้ ย แมป้ ระเทศแถบยโุ รปทน่ี บั ถือศาสนาคริสต์กป็ ระณามในการกระทำของกลมุ่ ตาลบี ันครง้ั นท้ี ั่วโลก แต่กลุ่มตาลีบันกลับอ้างว่าเป็นเหมือนการทำลายเศษหินเศษปูนเท่านั้น ไม่ได้มีคุณค่าแต่อย่างใด กลับเป็นความภูมิใจของเขา และพวกเขาต้องการทำประเทศอัฟกานิสถานให้เป็นรัฐอิสลามท่ีบริสุทธ์ิของ โลก ( The World's Purest Islamic State) แต่น่าเสียดายพวกเขาได้ทำลายประวัติศาสตร์อารยธรรม ของประเทศตนและมรดกโลกอยา่ งไม่มีวันจะหวนกลับมาด่ังเดิมอีกต่อไป พุทธศลิ ปแ์ บบมถุรา พระพุทธรูปศิลปะแบบมถุรา เกิดขึ้นราว พ.ศ. 750 เมือมถุรา ทางตอนเหนือของอินเดีย บริเวณ ลุ่มน้ำยมุนา ในอดีตเมืองมถุราเป็นเมืองขึ้นของแคว้นคันธาระ เป็นศูนย์กลางการติดต่อ ค้าขาย ระหว่าง แควน้ ต่าง ๆ ในอินเดีย โดยลกั ษณะของพระพุทธรูปศิลปะแบบมถุราได้รับอิทธพิ ลของศิลปะแบบคันธาระ ผสมกับลักษณะพื้นเมืองของอินเดีย แต่โดยทั่วไปมี ลกั ษณะเหมือนศิลปะคันธาระ มพี ระพักตรอ์ ิ่ม พระ โอษฐ์ยิ้ม พระเศียรกลม พระเกสาเรียบไม่มีเส้น พระเมาลีม้วนขมวดเป็นก้นหอย พระวรกายอ้วน สมบูรณ์ มีพระอุระคล้ายถันของสตรี ครองจีวรห่ม คลุม มีริ้วเป็นระเบียบสวยงาม ประทันบนฐานสิงห์ มีพระโพธิสัตว์และพระสาวกแวดล้อม ซ่ึงได้รับ อิ ท ธิ พ ล ม า จ า ก พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า แ บ บ ม ห า ย า น นน่ั เอง พระพุทธรปู ถกู ทำลายโดยกลุ่มตาลิบนั ท่ีมา: https://www.watsrakesa.com/
238 พทุ ธศลิ ปแ์ บบอมราวดี พระพุทธรูปในศิลปะแบบอมราวดีรุ่งเรืองอยู่ในยุคสมัยของพระเจ้าศรีมุก ประมาณ พ.ศ. 506– 778 หรือราวพุทธศตวรรษท่ี 7–10 มีถิ่นกำเนิดที่อมราวดี ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ ประเทศอนิ เดีย เป็นพระพทุ ธรูปรนุ่ แรกทม่ี ีลักษณะแตกตา่ งจากพทุ ธศิลป์ 2 ยคุ ก่อน โดยผสมผสานศิลปะ ยุคอมราวดีและคันธารราฐเข้าด้วยกัน มีประวัติโดยสังเขปคือ พระเจ้าศรีมุกประกาศเอกราชไม่ข้ึนกับ แคว้นมคธ สถาปนาราชวงศ์อานธระ (ศาตวาหนะ) แผ่อำนาจครองดินแดนทิศตะวันตกเฉียงใตข้ องอินเดีย จนถึงประมาณ พ.ศ. 778 ในเบือ้ งต้นเมอื งหลวงชอื่ อมราวดี ต้งั อยู่บนฝัง่ แมน่ ้ำกฤษณะตอนลา่ ง ต่อมาย้าย เมอื งหลวงไปท่ีเมืองประดษิ ฐาน ตั้งอยู่บนฝง่ั แมน่ ำ้ โคธาวารีตอนบน ราชวงศ์อานธระแผ่อำนาจปกครองลง ไปทางใต้ถึงเทือกเขาวินธยา หรือ วินธัย ทางเหนือถึงแม่น้ำนัมมทา โดยในในยุคต้น ๆ ศิลปะแบบอานธ ระ-อมราวดี ไม่ได้เกยี่ วเนื่องกับพระพุทธศาสนาโดยตรง เป็นภาพแกะสลกั รูปเทพเจา้ ของศาสนาพราหมณ์ แต่เปน็ ตน้ แบบในการสร้างพระพทุ ธรูปแบบอมราวดีในยุคต่อมา ราชวงศ์อานธระรุ่งเรืองที่สุดประมาณ พ.ศ. 700 และศิลปะแบบอานธระ-อมราวดีจึงเป็นการ ผสมผสานระหว่างศิลปะท้องถิ่นกับศิลปะแบบอานธระ ศิลปะแบบมถุรา และศิลปะแบบคันธาระ กล่าว โดยสรปุ คือเป็นแบบผสมอิทธิพลของกรกี พระพุทธรูปท่ีสร้างขึ้นในยคุ น้มี ีวงพระพักตร์ค่อนข้างยาวงดงาม พระเกตุมาลาปรากฏอยา่ งชดั เจน บนพระเศยี รจะมีขมวดพระเกศาเวยี นขวาเป็นขมวดเลก็ ๆ พระพุทธรูป ครองจีวรหนาเปน็ ร้วิ และมกั ห่มเฉียง ถ้าเปน็ พระพทุ ธรปู ปางประทบั น่ัง นิยมสร้างปางปฐมเทศนา พทุ ธศลิ ปแ์ บบคปุ ตะ พระพุทธรูปศิลปะแบบคุปตะ เกิดขึ้นราว พ.ศ. 800–1100 กำเนิดในราชวงศ์คุปตะถือกันว่าเป็น สกลุ ช่างทสี่ งู สุดของอินเดีย เป็นพระพุทธรปู ทม่ี คี วามงาม เปน็ ยอดในขบวนฝีมอื ชา่ งอนิ เดยี ในสมัยโบราณ นับเป็นยุคทองของศิลปะอินเดีย มีศูนย์กลางการปกครองแยกย้ายไปอยู่หลายแห่ง เช่น ในเบื้องต้นตั้งอยู่ เมืองปาตลีบุตร แคว้นมคธ หรือปัจจุบันเรียกว่า เมืองปัตนะ รัฐพิหาร ต่อมาย้ายไปท่ีเมืองโกสัมพี ย้ายไป เมืองพาราณสี เมอื งอุชเชนี เมืองเจตี และเมืองสาญจตี ามลำดบั เป็นชว่ งเวลาท่ีบ้านเมืองของอนิ เดียในยุค น้ีเจริญรุ่งเรืองในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม ศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ล้วนมีความเจริญ มั่นคง อีกทั้งการศึกษาก็มีความเจริญ รุ่งเรืองมาก มีมหาวิทยาลัยนาลันทาเป็นศูนย์กลางแห่ง ศลิ ปวฒั นธรรม ซึ่งตอ่ มาไดแ้ ผอ่ ทิ ธพิ ลไปท่วั อนิ เดยี และเพ่อื นบ้าน เชน่ เนปาล ธเิ บต ชวา ไทย เป็นตน้ ลักษณะของพระพทุ ธรูปศิลปะแบบคุปตะ มกั ถูกสร้างเต็มองค์ มีพระพักตร์และพระโอษฐ์กลมอ่ิม สีพระพักตร์สงบค่อนข้างเคร่งขรึม พระนาสิกไม่โด่งเหมือนพระพุทธรูปที่สร้างสมัยแรก นิยมสร้างเป็นรูป สลักขนาดใหญ่ ท่านผู้รู้กล่าวว่า \"พระพุทธรูปที่สร้างโดยสกุลช่างในสมัยคุปตะน่ีเอง เป็นต้นแบบของ พระพุทธรูปทส่ี รา้ งในประเทศไทย\" ดังข้อความตอนหน่ึงว่า “สกุลศิลปะแบบคุปตะ ทไี่ ดร้ ับอทิ ธพิ ลมาจาก มหาวิทยาลัยนาลันทาได้แผ่เข้าส่สู ุวรรณภูมิ (ประเทศไทย) เมื่อประมาณ พ.ศ. 900-1300 ระยะแรกก่อน
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 239 สุโขทัย-เชียงแสน เป็นศิลปะของพระพุทธศาสนามหายาน เช่น พระพุทธรูปสลักหินปูนสีเทาและสีเทา หมน่ ทั้งขนาดใหญ่และขนาดยอ่ ม (พระมหาสมจนิ ต์ สมมฺ าปญโฺ ญ, 2546) พุทธศลิ ปแ์ บบปาละ-เสนะ ศิลปะแบบแบบปาละ-เสนะ รุ่งเรืองอยู่ในยุคราชวงศ์ปาละและราชวงศ์เสนะ ประมาณ พ.ศ. 1400–1800 มีศูนยก์ ลางอยู่ในบริเวณรฐั เบงกอลในปัจจุบนั พระพุทธรปู ที่สร้างขนึ้ ในสมัยน้ีมลี ักษณะอ้วน เต้ีย มีพระเศียรใหญ่ พระพักตร์อูม ต่อมามานิยมสร้างรูปพระโพธิสัตว์ เช่น อวโลกิเตศวร เป็นต้น ขึ้นมา แทนพระพทุ ธรูป ในชว่ งท่ีพระพุทธศาสนมหายานแบบตันตระเจริญรุ่งเรอื งมากขึน้ แมพ้ ระพุทธรูปท่ีสรา้ ง ขึ้นมาก็เป็นพระพุทธรูปทรงเครอื่ ง มกี ารแต่งแตม้ จนเกนิ งาม ย่ิงในสมัยราชวงศเ์ สนะดว้ ยแล้ว พระพทุ ธรูป จะมรี ปู ร่างหนอและผดิ ธรรมชาติ เป็นพระพทุ ธรูปทรงเครอื่ ง ครองจวี รและสวมเครอ่ื งประดับ นับเป็นยุคสุดท้ายของพุทธศิลป์ในอินเดีย ก่อนที่กองทัพมุสลิมเข้ายึดครองทั้งประเทศมีลักษณะ คล้ายพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนของไทย มีพระนาสิกงุ้มลง พระกรรณ (หู) ยาวลงกว่าสมัยคุปตะ พระ วรกายอวบอ้วน พระขโนงเป็นขอบคม ห่มจีวรเฉวียงบ่า มีร้ิวแข็ง ฐานพระพุทธรูปยุคน้ีมีบัวคว่ำ และบัว หงาย พุทธศิลป์ที่สวยงามที่สุดในยุคน้ีคือหลวงพ่อองค์ดำที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ซ่ึงนับเป็นพระพุทธรูป องค์เดียวที่เหลือรอดจาการทำลายล้างของมุสลิม แกะสลักด้วยหินสบู่สีดำ และหลวงพ่อพุทธเมตตา พระพุทธรูปประจำในเจดีย์พุทธคยา รัฐพิหาร เป็นต้น พระราชาท่ีสนับสนุนในการจัดสร้างพุทธศิลป์ใน สมัยปาละมากที่สุด คือ พระเจ้าเทวปาละ และพระเจ้าธรรมปาละแห่งราชวงศ์ปาละนั้นเอง ในเมืองไทย กรมศิลปากรได้ คันพบพระพุทธรูปสมัยปาละที่หายากที่วัดราชบูรณะกรุงศรีอยุธยา ราว พ.ศ. 2500 ปัจจุบนั ได้นำประดิษฐานไว้ท่พี พิ ิธภัณฑ์สถานแห่งชาตกิ รงุ เทพฯ (พระมหาดาวสยาม วชิรปญั โญ, 2550) พุทธศิลป์แบบปาลวะ ราชวงศ์อานธระ (หรือศาตวาหนะ) เกิดขึ้นประมาณ พ.ศ. 323 ในเบ้ืองต้นข้ึนอยู่กับแคว้นมคธ ต่อมาก่อนที่จะถึงยุค ศิลปะแบบปาละ ในอนิ เดยี ตอนใต้ มีศิลปะแบบจาลกุ ยะรุ่งเรือง อยู่ประมาณ พ.ศ.1100–1300 ต่อมาประมาณ พ.ศ. 1100– 1500 จึงเกิดศิลปะแบบปาละหรือปาลวะ แต่ศิลปะ 2 สกุลนี้ เก่ี ย ว กั บ เนื่ อ งศ าส น าพ ราห ม ณ์ ไม่ ได้ เกี่ ย ว เนื่ อ งกั บ พระพุทธศาสนาโดยตรง ศิลปะแบบปาลวะเกิดขึ้นในระยะใกล้เคยี งกับศลิ ปะแบบ คุปตะ แต่เห็นได้ชัดว่าได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบอมราวดี พระพุทธรูปท่ีสร้างข้ึนในยุคน้ีมีส่วนอ่อนช้อย ประกอบด้วยเส้น หลวงพ่อองค์ดำ ศลิ ปะปาละ โค้งมากกว่าศิลปะแบบคุปตะ ลักษณะของพระพักตร์เป็นทรงรูป ทม่ี า: http://www.dhammajak.net/forums/ viewtopic.php?t=39407 ไข่ มีความอมู เต่งเป็นพิเศษ พระหนุ (คาง) 2 ชัน้
240 เน่ืองจากกษัตริย์ปาลวะมีอำนาจอยู่ในอินเดียตอนใต้ แผอ่ ำนาจทางทะเลไปถึงศรลี ังกา เลยไปถึง ชวาและสุวรรณภูมิ ในประเทศไทยจะปรากฏพระพุทธรูปศิลปะแบบปาลวะอยู่ทั่วไป เช่น ทางภาคใต้ท่ี ตะก่วั ป่า ไชยา นครศรีธรรมราช ภาคกลางที่นครปฐม อยุธยา ในประเทศใกลเ้ คยี งก็ปรากฏศิลปะแบบปา ลวะ เชน่ กมั พชู าและเวียตนามใต้ (พระมหาสมจนิ ต์ สมฺมาปญโฺ ญ, 2546) พทุ ธศลิ ปแ์ บบโจฬะ ประมาณ พ.ศ. 1500–2000 กษัตริย์แห่งแคว้นโจฬะทรงให้ความอุปถัมภ์พระพุทธศาสนามาก ทำให้เกิดศิลปะแบบโจฬะ เน่ืองจากแคว้นโจฬะอยู่ใกล้เกาะลังกา (อยู่บริเวณใกล้เมืองมัทราสในปัจจุบัน) ทำให้ศิลปะน้ีมีอิทธิพลต่อศิลปะในศรีลังกา ความจริงศิลปะแบบโจฬะนี้เก่ียวเนื่องกับศาสนาพราหมณ์ โดยตรง ในยุคนี้มีการสร้างเทวรูปมาก แต่ส่งอิทธิพลมากต่อศิลปะในศรีลังกาและในประเทศไทยตั้งแต่ สมยั สโุ ขทยั เปน็ ต้นมา (พระมหาสมจนิ ต์ สมมฺ าปญฺโญ, 2546) 4.2 พุทธศลิ ปใ์ นยคุ ตา่ ง ๆ ของไทย พระมหาสากล สุภรเมธี (เดินชาบัน) และพระราชปริยัติวิมล (ศรีสุระ) (2560, หน้า 46-51) กล่าวว่า กำเนิดและพัฒนาการพุทธศิลปวัตถุต่างๆ เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ สถูป เจดีย์ ปราสาทหรือพระปรางค์ในประเทศไทยทั้งในอดีตและปัจจุบันนั้นล้วนมีความเก่ียวเนื่องกับศาสนา ท้ัง ศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ซึ่งมีแหล่งกำเนดิ มาจากอินเดียแทบท้งั ส้ิน ซ่งึ อาจกล่าวไดว้ ่าอทิ ธิพลของ การสร้างสถาปัตยกรรมในอินเดียมบี ทบาทต่อการสร้างสถาปัตยกรรมไทย ดังที่ปรากฏอยู่ทั่วไป นับต้ังแต่ พระพุทธศาสนาเริม่ เข้าส่ปู ระเทศไทย แบง่ ออกได้เปน็ 4 ยคุ คอื 1) ยคุ เถรวาทแบบสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช 2) ยคุ มหายาน 3) ยคุ เถรวาทแบบพุกาม 4) ยุคเถรวาทแบบลงั กาวงศ์ ยุคเถรวาทแบบสมยั พระเจา้ อโศกมหาราช ยุคนี้แบ่งพุทธศิลป์ออกเป็น 2 สมัย คือ 1) พุทธศิลป์สมัยทวารวดี และ 2) พุทธศิลป์สมัยศรีวิชัย มีรายละเอยี ดดงั น้ี พทุ ธศิลป์สมัยทวารวดี (พ.ศ. 1000-1200) พุทธศิลป์ที่เป็นศิลปะสมัยทวารวดี จัดอยู่ในยุคเถร วาทแบบสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เนื่องจากพระองค์ได้ ทรงส่งพระธรรมทูต 9 สาย ไปประกาศพระพุทธศาสนาใน ดินแดนต่าง ๆ พระโสณะและพระอุตตระ เป็นสายหนึ่งที่ได้ นำพระพุทธศาสนามาประดิษฐานในดินแดนสุวรรณภูมิ พระพุทธรปู ศิลปะสมยั ทวารวดี พุทธศาสนาแบบเถรวาทอันบริสุทธ์ิรุ่งเรืองไปท่ัวตลอดลุ่ม ทมี่ า: https://thai.tourismthailand.org/ Attraction/วัดขวางเวฬุวัน
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 241 แม่น้ำโขง ลุ่มแม่นเจ้าพระยาและลุ่มแม่น้ำตาปี ยุคเถรวาทแบบสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนี้ ตรงกับสมัย ทวารวดี (ระหว่าง พ.ศ. 350-1200) พุทธศิลป์ในยุคน้ีท่ีเป็นสถูปหรือเจดีย์ปรากฏในภาคกลาง ภาค ตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ และพุทธศิลป์ยุคนี้จัดเป็นศิลปกรรมต้นอารยธรรม สมยั ประวัตศิ าสตร์ท่มี ีพัฒนาการอยา่ งตอ่ เนื่อง ณ บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16 บรรดาโบราณวัตถุ และโบราณสถาน ส่วนใหญ่ล้วนสรา้ งข้ึนเนื่องในพระพุทธศาสนาลัทธิหินยาน หากแต่ ยังปรากฏหลักฐานการนับถือศาสนาพุทธลัทธิมหายานและฮินดูรวมอยู่ด้วย อิทธิพลของศิลปวัฒนธรรม ทวารวดีได้แพร่ขยายไปยังภูมิภาคอ่ืน ๆ ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ จึงอาจกล่าว ไดว้ า่ ศิลปะทวารวดี คือ“ต้นกำเนิดพุทธศิลป์ในสยามประเทศ” แต่เดิมน้ันการศึกษาเร่ืองราวเกี่ยวกับวิวัฒนาการของศิลปะทวารวดีมักให้ความสำคัญต่อกลุ่ม พระพุทธรูปเป็นหลัก เน่ืองจากมีการค้นพบเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังบ่งบอกถึงการรับนับถือพุทธศาสนา ลัทธิเถรวาทในวัฒนธรรมทวารวดีได้เป็นอย่างดี แม้จะมีการค้นพบหลักฐานที่เป็นพุทธศาสนาลัทธิ มหายาน และศาสนาฮินดูปะปนอยู่บ้าง แต่มีจำนวนไม่มากนัก โดยท่ัวไปมักจะแบ่งกลุ่มและยุคสมัย พระพุทธรปู ศิลปะทวารวดอี อกเปน็ 3 รุน่ คอื • รุ่นท่ี 1 (อายุราวพุทธศตวรรษท่ี 12 – ต้นพุทธศตวรรษท่ี 13) จัดเป็นพระพุทธรูประยะแรกของ ทวารวดีและพุทธศิลปะที่ปรากฏบนแผ่นดินไทย ซึ่งยังคงลักษณะต้นแบบของพระพุทธรูปของ ศิลปะอินเดียแบบอมราวดี คุปตะ–หลังคุปตะ ทวารวดตี อนต้น ส่วนใหญ่สร้างด้วยหินขนาดใหญ่ มีลักษณะคล้ายพุทธรูปในสมัยคุปตะของอินเดีย แต่การสร้างยังไม่ประณีตทำให้พระพุทธรูปใน ยุคนด้ี ูคอ่ นขา้ งกระด้าง • รุ่นท่ี 2 (อายุราวพุทธศตวรรษท่ี 13 – 15) พระพุทธรูปมีลักษณะแบบพื้นเมือง เป็นแบบท่ีพบ มากที่สุด การสร้างมีความประณีตกว่าตอนต้นมาก พระพักตร์มีลักษณะแบนกว้างและสั้น เคร่ง ขรึม พระโอษฐ์กว้างและแบะ พระเนตรโปน มีท้งั ที่สร้างดว้ ยหินแข็งท่ีขนาดใหญ่โต แบบลอยองค์ และจำหลักนนู กับท่ีสร้างด้วยสำรดิ ซึง่ มขี นาดเลก็ ประมาณครึง่ ฟตุ • รนุ่ ที่ 3 อิทธิพลของศลิ ปะเขมร (พุทธศตวรรษท่ี 16 – 17) จดั เป็นรนุ่ สดุ ท้ายของศิลปะทวารวดี มีอิทธพิ ล ของศิลปะเขมรสมัยบาปวนหรือสมัยลพบุรีตอนต้นเข้ามาปะปน เป็นลักษณะผสมผสานกันระหว่างศิลปะ ศรวี ิชยั และอทู่ อง พบทจี่ ังหวดั ลำพนู และเชยี งใหม่ พระพทุ ธรปู ในสมัยน้ไี ด้สร้างปางต่าง ๆ ในยุคต้นทวารวดี ยังไม่นิยมสร้างพระพุทธรูป แต่นิยมสร้างพุทธอาสน์ (ท่ีประทับของ พระพุทธเจ้า) ต่อมาสมัยหลังรับคติการสร้างพระพุทธรูปมาจากอินเดีย สร้างเป็นพระประธานด้วยศิลา หรือป้ันด้วยปูน ทำพระพุทธรูปเป็นภาพเครื่องประดบั หรือทำเป็นพระพิมพ์ พระพุทธรูปทน่ี ิยมสร้างมาก คือ ปางประทานปฐมเทศนานั่งห้อยพระบาท พระพุทธรูปยืนกรีดนิ้วพระหัตถ์ ข้างขวาเป็นวง พระหัตถ์ ซ้ายถือชายจีวร พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ที่นิยมสร้างในสมัยทวารวดี ได้แก่ ปางแสดงธรรมเทศนา ปาง ประทานอภัย ปางหา้ มสมุทร ปางมารวิชยั ปางตรสั รู้ (อธั ยา โกมลกาญจน, 2545, หน้า 33)
242 ยุคมหายาน ยคุ นีเ้ ปน็ พุทธศลิ ป์สมัยเดียว คอื พทุ ธศลิ ป์สมัยศรีวิชัย มีรายละเอียดดงั น้ี พทุ ธศลิ ป์สมัยศรีวิชัย (พ.ศ. 1200-1700) พระมหาสากล สภุ รเมธี (เดินชาบัน) และพระราชปริยัตวิ ิมล (ศรีสุระ) (2560, หน้า 47) กล่าวว่า พุทธศิลป์สมัยศรีวิจัยน้ีตรงกับยุคมหายาน กล่าวคือ พุทธศักราช 620 พระเจ้ากนิษกะมหาราช ทรงอุปถัมภ์การทำสงั คายนาคร้ังที่ 4 ของฝ่ายมหายาน ณ เมืองชลันธร เมื่อเสร็จสิ้นการทำสังคายนาแล้ว ทรงส่งสมณทูตออกไปประกาศพระพุทธศาสนาในเอเชียกลาง พระเจ้าม่ิงตี้ทรงนำพระพุทธศาสนาเข้าไป เผยแผ่ในประเทศจีนและต่อมาได้ส่งทูตสันถวไมตรีไปยังขุนหลวงเม้า กษัตริย์ไทยผู้ครองอาณาจักรอ้าย ลาว คณะทูตไดน้ ำพระพทุ ธศาสนาเข้ามาดว้ ย ทำให้หัวเมืองทั้งหมดเหล่าน้ันหันมานับถือพระพุทธศาสนา เป็นคร้ังแรก ต่อมาพุทธศักราช 1300 กษัตริย์แห่งศรีวิชัยในเกาะสุมาตรา ซึ่งทรงนับถือพระพุทธศาสนา มหายาน ได้เผยแผ่อาณาเขตเข้ามาถึงจังหวัดสุราษฏร์ธานี จึงทำให้พระพุทธศาสนามหายานเผยแพร่เข้า มาทางภาคใต้ของประเทศไทย ในยุคดังกล่าวนี้จึงเกิดสื่อทางศิลปะแบบมหายาน เช่น เจดีย์พระมหาธาตุ นครศรธี รรมราชและรูปป้ันพระโพธิสัตวอ์ วโลกิเตศวร เปน็ ต้น เป็นจำนวนมาก ภาษาสันสกฤตจึงเขา้ มามี อิทธพิ ลในภาษาและวรรณคดไี ทยตง้ั แตน่ ้ันเป็นต้นมา พทุ ธศิลป์ท่ีเป็นสถปู เจดีย์จะมีรูปทรงส่ีเหลี่ยมและมียอดแหลมแบบมณฑป นอกจากจะปรากฏใน ภาคใต้เป็นส่วนใหญ่แล้ว ยังปรากฏแพร่หลายในอาณาจักรสุโขทัยและลำพูนด้วย เช่น ท่ีเจดีย์วัดเจ็ดแถว และวัดอื่น ในเมืองศรีสัชนาลัย ท่ีลำพูนปรากฏท่ีวัดเชียงยืนข้างวัดพระธาตุหริภุญชัย ส่วนในจังหวัด อยุธยาน้ันไม่พบสถูปเจดีย์ลักษณะเช่นนี้ นอกจากน้ียังพบเจดีย์ลักษณะพุทธศิลป์ยุคมหายานในบริเวณ ภาคกลาง เช่น ท่ีวดั สนามชัย อำเภอเมอื ง จังหวดั สุพรรณบรุ ี ลักษณะของเจดียเ์ ป็นแบบฐานสี่เหลี่ยม องค์ เจดีย์แปดเหลย่ี ม ระฆังกลม บลั ลังก์แปดเหลยี่ ม ท่ีสำคัญคือขา้ งในจะกลวงและก่ออิฐไมส่ อปนู การเรียงอิฐ จะมลี กั ษณะแตกต่างจากสมยั อยุธยา พระพุทธรูปในยุคนี้จะมพี ุทธลกั ษณะแบบเดียวกบั พระพุทธรูปสมยั อู่ ทองและพระพุทธรูปพะเยา อันเป็นแบบร่วมสมัยกับศิลปะแบบปาละ ซ่ึงในอินเดียจะมีลักษณะเป็น พระพุทธรูปขัดสมาธิเพชร ส่วนพระพุทธรูปยุคศรีวิชัยนี้พระพุทธรูปจะนั่งขัดสมาธิราบ เป็นพระปางมาร วิชัย จำหลกั ดว้ ยหินเน้ือละเอียด มีฐานสูง ท่ีฐานมรี ูปจำหลกั นูนเป็นสงิ ห์แบบปาละ หางงอเป็นเส้นลวดขด สังฆาฏิปลายตัดเป็นเส้นใหญ่ พระหัตถ์ขวามีน้ิวกางเหมือนศิลปะปาละ พระพุทธรปู ในยุคนี้ที่พบมีจำนวน น้อย แต่จะพบรูปพระโพธิสัตว์มากกว่า เน่ืองจากพระพุทธศาสนานิกายมหายานจะนับถือพระโพธิสัตว์ เป็นสำคัญ จะพบมากบริเวณภาคใต้ เช่น พระพุทธรูปปางมารวิชัยนาคปรก พบท่ีวัดเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฏร์ธานี มีลักษณะคล้ายพระสถูปบูโรพุทโธในชวา เป็นต้น (อัธยา โกมลกาญจน, 2545, หน้า 34) ส่วนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบท่ีจังหวัดมหาสารคามแต่มีขนาดเล็ก พระพุทธรปู ในยคุ น้ีที่พบมี จำนวน 6 ปาง คือ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 243 1) ปางมารวิชยั มที ้งั นัง่ ขัดสมาธิราบ และขดั สมาธเิ พชร ทำด้วยโลหะ 2) ปางลีลา ทำด้วยโลหะ 3) ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ ทำด้วยโลหะ 4) ปางโปรดสัตว์ ทำด้วยโลหะ 5) ปางประทานอภัย ทำด้วยโลหะ 6) ปางนาคปรก ทำดว้ ยโลหะ สำหรับปางสมาธิ ปางปาฏิหารยิ ์ และปางเทสนามีพบแต่พระพิมพ์เทา่ นนั้ ศิลปะทีท่ ำใหญ่กว่าน้ัน มีแต่รูปพระโพธิสัตว์ เป็นเพราะว่าในอาณาจักรศรีวิชัยน้ัน พระพุทธศาสนามหายานรุ่งเรืองมากกว่า เถรวาทดงั กล่าวแล้ว ยคุ เถรวาทแบบพกุ าม พระมหาสากล สุภรเมธี (เดินชาบัน) และพระราชปริยัติวิมล (ศรีสุระ) (2560, หน้า 48-49) กลา่ ววา่ ยคุ นี้แบ่งพุทธศิลปอ์ อกเปน็ 2 สมัย คอื 1) พุทธศลิ ป์สมัยหรภิ ุญชยั และ 2) พุทธศิลป์สมยั ลพบรุ ี ซึ่งพุทธศิลป์ยุคหริภุญชัยและพุทธศิลป์ยุคลพบุรีท้ังสองยุคนี้ ได้รับอิทธิพลมาจากเถรวาทแบบพุกาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศิลป์ยุคลพบุรี เนื่องจากราวพุทธศักราช 1600 พระเจ้าอนุรุทธมหาราชหรือ อโนรธามังช่อกษัตริย์พุกามเรืองอำนาจ ทรงปราบรามัญรวบรวมพม่าและมอญเข้าด้วยกัน ต่อมาทรงแผ่ อำนาจเข้ามายังอาณาจกั รลา้ นนา ลา้ นชา้ ง จนกระท่ังจรดลพบุรีและทวารวดี กษัตริย์พระองคน์ ี้ทรงมพี ระ ราชศรัทธาเลื่อมใสพระพทุ ธศาสนาเถรวาทอย่างแรงกล้า ทรงให้การทำ นุบำ รงุ พระพุทธศาสนาเป็นอย่าง ดี ทำใหพ้ ระพทุ ธศาสนาในดินแดนเหล่านไ้ี ด้รับความเจริญรงุ่ เรืองอยา่ งรวดเร็ว มีรายละเอียดดงั น้ี พทุ ธศิลป์สมัยหริภุญชยั (ราว พ.ศ.1300 หรอื 1400-1700) พระพทุ ธรูปในสมัยหริภุญชัยน้ีท่ีพบจะมีขนาดใหญ่สร้างด้วยปูนป้ัน เช่น พระพุทธรูปยืนประจุใน ซมุ้ เจดียส์ เ่ี หล่ียม วดั กกู่ ดุ จังหวดั ลำพูน และเศียรพระพุทธรูปจากท่ีตา่ งๆ ทง้ั ปูนป้นั และดนิ เผา พระพักตร์ มลี ักษณะแบบเดยี วกับที่พบทีเ่ มืองลพบุรี ส่วนละเอียดคอื พระศกกบั ขอบไรพระศกเหมือนกับศิลปะแบบอู่ ทองศิลปะยุคเถรวาทแบบพุกาม พทุ ธศิลป์สมัยลพบรุ ี (ราว พ.ศ.1500-1800) พุทธศิลป์ในสมัยนี้ท่ีเป็นสถูปเจดีย์จะมีรูปแบบการก่อสร้างตามแบบเทวสถานโบราณในกัมพูชา ซึ่งได้รับอิทธิพลการวางผังรูปแบบมาจากเทวาลัยและศิขรของศาสนาพราหมณ์ในอินเดียใต้ เนื่องจาก กษัตริย์ของขอมโบราณส่วนมากนับถือศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู แมเ้ ม่ือกษัตริย์บางพระองค์จะหันมานับ ถือพระพุทธศาสนามหายานก็ตาม การสร้างสถูปเจดีย์หรือพุทธสถานต่าง ๆ ก็จะใช้รูปแบบการก่อสร้าง เทวสถานของศาสนาพราหมณ์เพียงแต่ปรับเปล่ียนรูปเคารพมาเป็นรูปพระโพธิสัตว์ของมหายาน ส่วน ภาพประกอบที่สลักตามหน้าบันและทบั หลัง จะสลกั เปน็ เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั ชาดกในพระพุทธศาสนาแทนรูป
244 เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ศิลปะของขอมในสมยั น้ีมีอทิ ธิพลต่อการก่อสร้างสถูปเจดีย์ในประเทศไทยเป็น อย่างมาก การก่อสร้างจะทำด้วยศิลาแลงขนาดใหญ่นำมาเรียงซ้อนกันโดยใช้น้ำหนักของหินเป็นเคร่ือง ถ่วงยึด ถ้าสร้างด้วยหินจะแกะสลักลวดลายอย่างสวยงาม ถ้าสร้างด้วยศิลาแลงจะฉาบปูนให้เรียบแล้ว ประดับลวดลายปูนปัน้ การเรยี งอฐิ จะใชแ้ บบองิ ลิซบอนด์ (English bond) พระพุทธศิลป์ในสมัยลพบุรีนี้เป็นฝีมือช่างขอมทำตามคติพุทธศาสนาเถรวาทซ่ึงได้รับมาแต่สมัย ทวารวดีและมหายานครั้งสมัยศรวี ิชัย และขอมนำมาแตก่ ัมพูชาอีกลักษณะพระพุทธรูปพระเกตุมาลาเป็น ต่อมเหมือนสมัยทวารวดี แต่เปล่ียนรูปร่างไปหลายอย่าง เช่น เป็นก้นหอยบ้างเป็นฝาชีครอบบ้าง เป็น มงกุฎ เทวรูปบ้าง เป็นดอกบัวมี กลีบรอบ ๆ บ้าง จะมีไรพระศกเสมอกัน แต่จะใหญ่กว่าของสมัยศรีวิชัย เส้นพระศกมหี ลายแบบ เช่น เหมือนเสน้ ผมทั่ว ๆ ไป ขมวดละเอียดหรือหยาบบ้าง ศิราภรณท์ ำอย่างเทริด หรือกระบังหน้าบ้าง พระพักตร์จะมีลักษณะกว้าง เป็นสี่เหลี่ยม พระโขนงเกือบเป็นเส้นตรง (อัธยา โกมลกาญจน, 2545, หน้า 34) พระโอษฐ์แบะ พระหนุป้าน ถ้าเป็นพระพุทธรูปยืนจะทำแบบห่ม คลุม ถ้าเป็นพระพุทธรูปประทับน่ัง ทำท้ังแบบห่มคลุมและห่มดองชายสังฆาฏิยาวไปจรดพระนาภี ขอบ อันตรวาสก (สบง) ข้างบนเผยอเป็นสัน โดยมากพระกรรณยาวย้อยจนจดพระอังสา ถ้าเป็นพระพุทธรูป ขนาดใหญ่จะทำเส้นพระศกเป็นอย่างบัวหลังเบี้ย หรืออย่างเส้นผมคนท่ัว ๆ ไปก็มี และบางครั้งจะทำเป็น หนามขนุนก็มี ถ้าเป็นพระพุทธรูปทรงเคร่ืองจะมีฉลองพระศอ กำไลแขน และประคตพระพุทธรูปในสมัย ลพบุรที ีพ่ บมี 6 ปาง คือ 1) ปางเสด็จจากดาวดึงส์ ทำดว้ ยโลหะ 2) ปางประทานอภยั ทำดว้ ยศลิ าและทำด้วยโลหะ 3) ปางประทานพร พบแต่ทำดว้ ยศิลา 4) ปางโปรดสตั ว์ พบแตท่ ำดว้ ยโลหะ 5) ปางมารวชิ ยั ขดั สมาธริ าบ ทำด้วยศิลาและทำด้วยโลหะ 6) ปางสมาธิ ขัดสมาธริ าบ ไม่มีขัดสมาธิเพชร ทำดว้ ยศิลาและทำดว้ ยโลหะ 7) ปางนาคปรก มีท้ังอยา่ งเดยี่ วและอย่างรตั นตรัยแบบมหายาน คือมีมีพระอาทิพทุ ธเจ้าอยู่กลาง พระโพธิสัตว์อวโลกเิ ตศวรอย่ขู า้ งขวา นางปัญญาปารมิตาอยูข่ ้างซ้าย ทำดว้ ยศิลาและโลหะ นอกจากปางต่าง ๆ ดังกล่าวมา ยังมีการสร้างพระพุทธรูปต้ังแต่ 3-4 องค์ขึ้นไปในฐานเดียวกัน สนั นฐิ านว่า 3 องค์ตดิ กนั น่าจะหมายถึง สัมโภคกาย ธรรมกาย และนิรมาณกาย ตามคติมหายาน ส่วน 4 องค์ติดกันน่าจะหมายเอา พระพุทธเจ้า 4 พระองค์ที่ได้ตรัสรูปไปแล้วในภัทรกัปนี้ แต่ทำพระหัตถ์อย่าง ปางมารวิชัยท้ังนั้น จึงไม่นับเป็นปางหนึ่งต่างหาก (พระมหาวิเชียร สิริวฒฑฺฒโน (ไกรฤกษ์ศิลป์) และ ภรู ิทตั ศรีอรา่ ม, 2562, หนา้ 49-50) สรุปคือ พระพุทธรูปที่นิยมสร้างในสมัยลพบุรีมีท้ังพระศิลา พระโลหะ และพระพิมพ์ (นิยมสร้าง ปางสมาธิ ปางปาฏิหาริย์ และปางเทสนา) และมีคตินิยมสร้างพระทรงเครื่องเพราะอิทธิพลของ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 245 พระพุทธศาสนามหายานผสมกับฮินดูที่ได้รับมาจากพวกขอม พระพุทธรูปท่ีนิยมสร้างด้วยโลหะมีหลาย ปาง คือ ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ ปางประทานอภัย (นิยมสร้างทั้งยกพระหัตถ์ท้ังสองและข้างเดียว) ปาง โปรดสัตว์ ปางมารวิชัย ปางลีลา ปางนาคปรก (นิยมสร้างแบบมหายาน คือ มีพระอาทิพุทธเจ้าอยู่กลาง พระโพธสิ ตั ว์อวโลกิเตศวรอยขู่ ้างขวา นางปัญญาปารมติ าอยขู่ ้างซา้ ย) พทุ ธศิลป์สมัยเชียงแสน (พ.ศ. 1600-2089) พระมหาวิเชียร สิริวฒฑฺฒโน (ไกรฤกษ์ศิลป์) และภูริทัต ศรีอร่าม (2562, หน้า 50-51) กล่าวว่า พุทธศิลป์สมัยเชียงแสนเป็นช่วงรอยต่อระหว่างเถรวาทแบบพุกามและยุคเถรวาทแบบลังกาวงศ์ พระพทุ ธรปู ในยุคนจี้ ึงแบง่ ออกเปน็ 2 รุ่น คือ รุ่นแรก (พ.ศ. 1600-1800) เป็นพระพุทธรูปเชียงแสนแบบอินเดีย สันนิษฐานว่าได้อิทธิพลมา จากอินเดยี โดยอาจได้มาโดยตรงหรือรับมาต่อจากเพื่อนบา้ น เชน่ พม่า หรือ ชะวา เปน็ ตน้ เน่ืองจากเป็น ยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ปาละและมหาวิทยาลัยนาลันทา จึงเป็นที่สถานท่ีที่นักปราชญ์จากต่างประเทศมัก ไปศึกษาศิลปวิทยาการอยู่เนือง ๆ นั่นเอง ดังนั้น พระพุทธรูปในยุคที่เป็นฝีมือช่างไทยเหนือ จึงมีลักษณะ เหมือนพระพุทธรูปอินเดียคร้ังราชวงศ์ปาละทุกอย่าง คือ พระองค์อวบอ้วน เกตุมาลาเป็นต่อมกลม น่ังขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์มารวิชัย พระอุระนูน ชายสังฆาฏิสั้นอยู่เหนือราวพระถัน พระพักตร์กลมสั้น พระโขนงโก่ง พระนาสิกงุ้ม พระโอฏฐ์เล็ก พระหนุเป็นปม เส้นพระศกใหญ่เป็นต่อมกลมหรือเป็นก้นหอย ไม่มีไรพระศก ฐานมีบัวรอง มีทั้งบัวหงายบัวคว่ำ มีกลับแซมและมเี กสร อน่ึง พระพุทธรูปในยคุ น้ียังคล้าย กับพระพุทธรูปเมืองนครศรีธรรมราชทุกอย่าง ต่างกันเพียงเล็กน้อย คือ วงพระพักตร์แบบและกว้างกว่า พระโอฏฐก์ วา้ งกว่า ปลายสงั ฆาฏใิ หญ่และมีหลายแฉก ฐานไม่มบี ัวรองหรือมีบัวก็เปน็ ชนิดใหม่ เพราะเป็น ฝมี ือช่างไทยใต้ผสมผสานกับศลิ ปะแบบขอม พุทธศิลป์ทัง้ สองแหง่ ล้วนได้รบั อิทธิพลมาจากพทุ ธศลิ ป์ในยุค ราชวงศป์ าละ และพระพทุ ธรปุ ท่เี ปน็ พระนั่งเป็นปางเดียวกัน คือ ปางมารวิชยั ขดั สมาธเิ พชร รุ่นหลัง (พ.ศ. 1800-2489) เปน็ พระพุทธรปู เชียงแสนแบบไทยชาวล้านนาและล้านช้าง ทำตาม แบบพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย มีลักษณะแตกต่างจากเชียงแสนรุ่นแรกมาก คือ เกตุมาลาเป็นเปลว น่ังขัดสมาธิราบ ชายสังฆาฏิยาว เส้นพระศกละเอียด มีไรพระศก ที่แตกต่างจากสมัยทราวดีจนถึงเชียง แสนจะนิยมทำพระเกตุมาลาส้ันท้ังสิ้น เพิ่งมีพระเกตุมาลายาวในสมัยสุโขทัยนี้เอง เนื่องจากได้รับ แบบอย่างมาจากลังกา จะเห็นได้ว่าพระพุทธรูปเชียงแสนรุ่นหลังน้ีจะเอาแบบอย่างมาจากสุโขทัยอีกต่อ หนึ่ง ตรงกับปีท่ีพระไชยเชษฐากลับจากเมืองเชียงใหม่ไปครองกรุงศรีสัตนาคนหุตลานช้าง มีเมืองเวียง จันทรเ์ ปน็ ราชธานี หลงั จากนั้น ศิลปะการทำพระพทุ ธรูปในลานนาประเทศกเ็ สือ่ มลง พระพุทธรูปสมัยนี้นิยมสร้างพระน่ังเป็นส่วนใหญ่ พระยืนมีน้อยและนิยมสร้างด้วยโลหะเป็นพื้น ที่พบทั้งร่นุ แรกและร่นุ หลงั มดี ้วยกนั 6 ปาง คือ 1) ปางมารวชิ ยั ขดั สมาธเิ พชร (รุน่ แรก) ขดั สมาธริ าบ (รุน่ หลัง) ทำดว้ ยโลหะและปูนป้นั 2) ปางสมาธิ ขดั สมาธิราบ (ร่นุ หลงั ) มนี ้อย ทำดว้ ยโลหะ
246 3) ปางอุ้มบาตร (ร่นุ หลงั ) ทำดว้ ยโลหะ 4) ปางกดรอยพระพทุ ธบาท (รุ่นหลงั ) ทำด้วยโลหะ 5) ปางไสยา (ร่นุ หลงั ) ทำดว้ ยโลหะและปนู ปั้น 6) ปางน่งั หอ้ ยพระบาท (รุ่นหลัง) ทำดว้ ยโลหะ ยคุ เถรวาทแบบลังกาวงศ์ พระมหาสากล สุภรเมธี (เดินชาบัน) และพระราชปริยัติวิมล (ศรีสุระ) (2560, หน้า 49-52) กล่าวว่า พุทธศิลป์ยุคน้ีได้รับการสืบทอดมาเป็นศาสนาประจำชาติไทยจนถึงปัจจุบันนี้ แบ่งออกเป็น 4 สมัย คือ 1) พุทธศิลป์สมัยสุโขทัย 2) พุทธศิลป์สมัยอยุธยา 3) พุทธศลิ ป์สมัยกรุงธนบุรี และ 4) พุทธศิลป์ สมยั กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ โดยมีรายละเอียดดังน้ี พทุ ธศิลป์สมัยสโุ ขทัย (พ.ศ. 1800-1893) พุทธศักราช 1800 อาณาจักรพุกามและกัมพูชาเสื่อมอำนาจลงและเป็นเวลาเดียวกันที่คนไทยต้ัง ตัวเป็นอิสระทางหัวเมืองทางเหนือคืออาณาจักรสุโขทัย ขณะนั้นตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุ มหาราชแห่งลงั กาพระองคท์ รงให้การทำนุบำรุงพระพทุ ธศาสนาเป็นอย่างดี ทำให้พระพุทธศาสนามีความ เจรญิ รุ่งเรือง พระสงฆ์จากประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทย ซง่ึ เป็นยุคที่กษัตริยร์ าชวงพระร่วงเป็นใหญ่ ครองเมืองสุโขทัย มีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นปฐมวงศ์ พ่อขุนบานเมือง พ่อขุนรามคำแหง พระยาลิไท พระมหาธรรมราชาลิไท พระมหาธรรมราชาที่ 1-4 ปู่ไสสงคราม พระยาง่ัวนำถม (อัธยา โกมลกาญจน, 2545, หน้า 117) และเป็นยุคท่ีพระพุทธศาสนาในลังการุ่งเรืองมาก ได้เดินทางไปศึกษาธรรมวินัยที่ ประเทศลังกาแล้วนำมาเป็นแบบอย่าง ถือได้ว่าเป็น พระพุทธรูปท่ีสร้างในสมัยสุโขทัยนิยมสร้างตามแบบ ลังกาท้ังสิ้น พระพุทธรูปที่สร้างแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะแรกมีลักษณะดวงพระพักตร์กลมแบบลังกา ระยะกลางมีลักษณะดวงพระพักตร์ยาว พระหนุ (คาง) เส้ียม ระยะหลังมลี ักษณะดวงพระพักตร์เหมอื นผล มะตูมคล้ายแบบอินเดียเดิม เช่น พระพุทธชินราชและพระพุทธชินสีห์ นอกจากนี้ เมื่อคณะสงฆ์ท่ีไปจาก ประเทศไทยจะกลับได้นิมนต์พระสงฆ์จากลังกามาด้วย โดยมาตั้งสำนักและเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็น แห่งแรกทเ่ี มืองนครศรีธรรมราช ต่อมาถึงพุทธศักราช 1830 พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเสด็จข้ึนครองราชย์ทรงอาราธนา พระสงฆ์จากเมืองนครศรีธรรมราชไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ยังกรุงสุโขทัย มีการอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งสร้างในลังกาขึ้นมาจากเมืองนครศรีธรรมราชมาประดิษฐาน ณ เมืองสุโขทัย ศิลปแบบลังกาจึงเข้ามา แทนศิลปแบบมหายาน เช่น เจดีย์พระมหาธาตุ นครศรีธรรมราชซึ่งแต่เดิมเป็นแบบมหายานแปลงรูปมา เปน็ สถูปแบบลงั กา เปน็ ต้น พทุ ธศักราช 1897 พระเจ้าลิไทซ่ึงเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์สุโขทัยทรงอาราธนา พระสังฆราชจากลังกามายังกรุงสุโขทัย ต่อมาพระองค์ได้เสด็จออกผนวชเป็นการช่ัวคราว ณ วัดอรัญญิก
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 247 และได้ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือเตภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วงขึ้นมาเพ่ือใช้เป็นหนังสือสอนศีลธรรมแก่ ประชาชนด้วยพระองค์เองสำหรับสมัยลา้ นนาไทย ซ่ึงตรงกับสมัยสโุ ขทัย เจ้าเมืองหลายพระองค์ไดท้ รงให้ การอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี มีการสร้างศิลปวตั ถุที่เก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนามากมาย เช่น พระเจ้าเม็งราย ได้ทรงสร้างวัดเชียงมั่น พระเจ้ากือนาทรงสร้างพระธาตุเจดีย์ที่วัดบุปผารามหรือวัด สวนดอก และพระธาตุดอยสุเทพ ต่อมาถึงรัชสมัยของพระเจ้าสามฝั่งแกนได้มีการพบพระแก้วมรกตใน สถูปใหญ่เก่าแก่องค์หน่ึงทถ่ี ูกฟา้ ผา่ และไดร้ ับความเสียหาย ต่อมาถึงสมัยของพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์พระองค์น้ีทรงมีราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็น อย่างแรงกล้า ทรงส่งพระสงฆ์ไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่ประเทศลังกา เม่ือพระสงฆ์เหล่านี้เดินทางกลับ จากลังกาไดน้ ำต้นพระศรีมหาโพธ์ิมาด้วย ในรัชสมัยของพระองค์ ทรงโปรดใหม้ ีการทำสงั คายนาขึน้ ณ วัด โพธาราม หรือ วดั เจด็ ยอดการทำสังคายนาครง้ั นี้เปน็ การทำสงั คายนาครง้ั แรกในประเทศไทย และนบั เป็น คร้ังท่ี 8 ต่อจากลังกา ในช่วงเวลาระยะนี้เป็นระยะรุ่งเรืองแห่งวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาของล้านนา ไทย เนื่องจากมีพระสงฆ์หลายรูปที่เป็นนักปราชญ์แต่งคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเป็นภาษาบาลีหลาย ปกรณ์ เช่น พระสิริมังคลาจารย์แต่ง มังคลัตถทีปนีเวสสันตรทีปนี จักกวาฬทีปนี สังขยาปกสกฎีกา พระญาณกิตติแต่งโยชนาวินัย โยชนาอภิธรรม เป็นต้น พระรัตนปัญญาแต่งวชิรสารัตถสังคหะ และชิน กาลมาลีปกรณ์ พระโพธิรังษีแต่งจามเทวีวงศ์ พระนันทาจารย์ แต่งสารัตถสังคหะ พระสุวรรณรังสีแต่ง ปฐมสมโพธสิ งั เขป นอกจากน้แี ลว้ ปัญญาสชาดกกส็ ันนษิ ฐานว่าแต่งในยคุ นเี้ ช่นเดยี วกัน การหลอ่ พระพทุ ธรปู สมัยนีส้ ามารถสงั เกตไดด้ ังน้ี 1) มีการหล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่กว่าคนหลายเท่า โดยไม่ปรากฏมาก่อนในยุคก่อน เช่น พระศรีศากยมนุ ีวดั สุทศั น์ หนา้ ตกั กว้าง 3 วาเศษ 2) นยิ มสรา้ งพระพุทธรูป 4 อิริยาบถ คือ (1) พระยืน เชน่ พระอัฏฐารสทว่ี ัดสระเกศ สูง 18 ศอก สร้างที่วัดวิหารทอง จังหวัดพิษณุโลก ถูกอันเชิญมาไว้ที่วัดสระเกศในรัชกาลท่ีสาม (2) พระพุทธลีลา พระพิมพ์พระพุทธรูปปางลีลาที่งามที่สดุ ปัจจุบนั อยู่ท่ีวิหารคด วัดเบญจมบพิตร (3) พระน่ัง เช่น พระศรี ศากยมุนี พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ล้วนสร้างด้วยสำริดขนาดใหญ่ และ (4) พระนอน พระพุทธรูปนอนท่ีงามที่สุดของสุโขทัยปัจจุบันอยู่ในวิหารวัดบวรนิเวศวิหาร (อธั ยา โกมลกาญจน, 2545, หน้า 140) พุทธศิลป์สมัยอยธุ ยา (พ.ศ. 1893-2310) การนับถือพระพุทธศาสนาในยุคนี้เน้นในด้านการทำบุญกุศล บำรุงพระสงฆ์ สร้างวัด ปูชนียวตั ถุ และปูชนียสถาน การบำเพ็ญเพียรทางจิตมุ่งเน้นเพ่ือให้เกิดความขลังและความศักดิ์สิทธ์ิ มีความเช่ือเรอ่ื ง เวทย์มนตร์คาถาอาคมและไสยศาสตร์เข้ามาปะปนอยู่มาก พระมหากษัตริย์ให้การอุปถั มภ์บำรุง พระพุทธศาสนาเป็นอย่างดีพระมหากษัตริย์บางพระองค์มีพระราชศรัทธาอย่างแรงกล้าเสด็จออกผนวช
248 เป็นการชั่วคราว ส่วนประชาชนท่ีมีฐานะร่ำรวยนิยมสร้างวัดไว้ประจำตระกูล มีวรรณกรรมหลายเร่ืองท่ี เกย่ี วขอ้ งกบั พระพทุ ธศาสนาเกดิ ข้นึ ในยุคนี้ พระพุทธรูปในสมัยอยุธยาตอนต้นเป็นศิลปะที่สืบต่อจากพระพุทธรูปแบบอู่ทองทั้งรุ่นแรก และ รุ่นท่ี 2 ส่วนท่ีศิลปะอยุธยาได้เพิ่มเข้ามาคือ การสร้างรูปเล่าเร่ืองประดับ ส่วนฐานพระพุทธรูป เช่น ตอน มารผจญ หรือประดับด้วยพระสาวก คร้ันถึงสมัยอยุธยาตอนกลางได้มีพระพุทธรูปแบบใหม่เกิดข้ึนใน ศิลปะ อยุธยา คือพระพุทธรูปทรงเคร่อื งน้อย ได้แก่ การสร้างพระพทุ ธรปู ที่มีเครื่องทรง เช่น มงกฎุ กรอง ศอ สังวาล ทบั ทรวง ทองพระกร ในระยะน้ียังมีเครื่องทรงไม่มาก จึงเรยี กวา่ ทรงเครอื่ งน้อย ต่อมาในสมัย อยุธยาตอนปลายมีเคร่ืองทรงอย่างมาก จึง เรียกว่า ทรงเครื่องใหญ่ พร้อมๆ กับรูปแบบใหม่ ก็ได้เกิดปาง ขึ้นใหม่ คือ การแสดงปางประทานอภัย โดยยกทั้ง 2 พระหัตถ์ระดับพระอุระ เรียกว่า ปางห้ามสมุทร ตัวอย่างพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ที่ถือกันว่างดงามมาก ได้แก่ พระประธานในพระอุโบสถ วัดหน้าพระ เมรุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คติในการสร้างพระพุทธรูปทรงเคร่ืองใหญ่นี้ ได้ให้อิทธิพลต่อศิลปะ รตั นโกสินทรต์ อนตน้ ดว้ ย (พระมหาดาวสยาม วชิรปญั โญ, 2550) พระพุทธรูปศิลปะแบบอยุธยา อาจแบ่งเป็น 4 ยุค คือ ยคุ ที่ 1 นบั แต่รัชสมัยพระเจ้าอทู่ อง ประมาณ พ.ศ.1893 นิยมสรา้ งพระพทุ ธรปู ตามแบบขอม ยุคที่ 2 นบั แต่รชั สมัยพระบรมไตรโลกนาถ นยิ มสร้างตามแบบสโุ ขทยั ทน่ี ่าสังเกตคือ มีการสรา้ ง รปู พระโพธสิ ัตวต์ ามเรื่องนิบาตชาดกทั้ง 550 ชาติ ยุคที่ 3 นับแต่รัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง ประมาณ พ.ศ. 2173 นิยมสร้างพระพุทธรูป ทรงเครื่องตามแบบขอมผสมไทย ตามแบบพระพุทธรูปท่ีนครวัด นครธม ยุคที่ 4 นับแต่รัชสมัยพระเจ้า บรมโกศเป็นตน้ ไป สร้างพระพุทธรูปตามคตนิ ยิ มไทย พทุ ธศลิ ปส์ มัยธนบรุ ี (พ.ศ.2310-2325) จรรยา ประชิตโรมรัน (2548, หน้า 55) สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จขึ้นครองราชย์ ณ กรุงธนบุรี พ.ศ 2310-2325 เสด็จสวรรคต เม่อื วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 เมื่อพระชนมพรรษา 48 พรรษา หลังถูก สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกท่ีเป็นพระสหายสำเร็จโทษและสืบราชสมบัติต่อเป็นต้นราชวงศ์จักรีใน ปัจจุบัน รวมเวลาครองราชย์ 15 ปี ได้ทรงอาราธนาพระภิกษุผู้รู้ธรรม มีศีลาจารวัตรจากเมืองต่าง ๆ เข้า มา ทรงแต่งต้ังเป็นพระราชาคณะ ช่วยรับภาระบำรุงพระพุทธศาสนา ต่อมาปีพุทธศักราช 2322 ได้ อญั เชญิ พระแก้วมรกตมาจากเมืองเวยี งจนั ทน์ ทรงโปรดเกล้าฯ ใหร้ วบรวมคัมภรี พ์ ระไตรปิฎกจากหัวเมือง ต่าง ๆ มาเลือกคัดเป็นฉบับหลวง แต่ยังไม่ทันที่งานจะสำเร็จเรียบร้อยบริบูรณ์ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อน ในรัช สมัยของพระองค์แม้จะมีระยะเวลาเพียงสั้น ๆ แต่พระองค์ทรงมีพระทัยฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนาและการ บำเพ็ญกรรมฐานมาก
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 249 พทุ ธศิลป์สมัยรตั นโกสนิ ทร์ (พ.ศ. 2325-ปจั จุบัน) พระมหาวิเชียร สิริวฑฺฒโน (ไกรฤกษ์ศิลป์) และภูริทัต ศรีอร่าม (2562, หน้า 53) กล่าวว่า พุทธ ศิลป์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์จะยึดแบบศิลปกรรมของสมัยสุโขทัยผสมกับสมัยอยุธยาเป็นหลัก แตกต่าง เพียงมีเกตุมาลาท่ีสูงกว่าสมัยสุโขทัยและสมัยอยุธยาเท่านั้น พระมหาสากล สุภรเมธี (เดินชาบัน) และ พระราชปริยัติวิมล (ศรีสุระ) (2560, หน้า 51-52) กล่าวว่า สมัยนี้ส่วนมากจะให้ความสำคัญกับอุโบสถ เป็นอันดับแรก วิหารเป็นอันดับท่ีสอง และพระสถูปหรือเจดีย์เป็นอันดบั ที่สาม สำหรบั พระสถูปหรือเจดีย์ จะแตกตา่ งจากสมัยอยุธยาคอื มีการก่อสรา้ งท่ีประยกุ ต์และเพ่ิมเตมิ รายละเอยี ดความวิจติ รพิสดารมากข้ึน ดังจะเห็นได้จากพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามที่มีรูปทรงแบบลังกา แต่จะเพิ่มการตกแต่งท่ีองค์ระฆัง ส่วนเจดีย์จะมีการสร้างโดยเพ่ิมย่อมุมมากขึ้นเป็นย่อไม้สิบหก และย่อไม้ย่ีสิบจำนวนบัวกลุ่มที่ปลียอดก็ เพ่ิมมากขึ้นในระยะเร่ิมแรกของการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีแห่งใหม่น้ัน สอดคล้องกับ สารานุกรมไทยสำหรบั เยาวชน (ม.ป.ป.) ที่กล่าวว่า ในสมัยรัตนโกสินทรต์ อนต้น (โดยเฉพาะในรัชกาลท่ี 1 และรัชกาลท่ี 2) มกี ารสรา้ งพระพทุ ธรูปขึน้ ใหม่ไม่มากนกั เพราะถือเป็นสมัยแหง่ การสร้างบ้านแปงเมือง มี การสร้างพระราชวังและวัดวาอาราม ส่วนพระพุทธรูปน้ัน โปรดเกล้าฯ ให้ไปชะลอมาจากราชธานีเก่า โดยเฉพาะจากกรุงสุโขทัย และพระราชทานไปตามวัดต่าง ๆ พระพุทธรูปท่ีมีการสร้างข้ึนใหม่ ส่วนใหญ่ เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ลักษณะที่สำคัญซึ่งสืบทอดมาจากพระพุทธรูปสมัยอยุธยาคือ พระพักตร์ สเ่ี หล่ียมเครง่ ขรึม ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลว สังฆาฏิ เป็นแผ่นใหญ่ ตัวอยา่ งเช่น พระประธาน ในพระอุโบสถวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษด์ิราชวรมหาวิหาร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช ทรงโปรดให้มีการสถาปนาและบรู ณะวัดวาอารามต่าง ๆ ที่มีสภาพชำรดุ ทรุดโทรมขึ้นมาใหม่ ใน ดา้ นประติมากรรมไม่มีการสร้างสรรค์ค์สิ่งใดมากนัก เน่ืองจากทรงเห็นว่ายังขาดความพร้อมในด้านต่าง ๆ วัดตามหัวเมืองต่าง ๆ ที่เป็นโบราณสถาน หรือมีโบราณวัตถุท่ีมีความเก่าแก่ล้ำค่าขาดการดูแลรักษา ถูก ทอดทิ้งให้ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติและผู้ร้ายใจทมิฬ ทรงมีพระบรมราชโองการให้อัญเชิญ พระพุทธรูปตามหัวเมืองต่าง ๆ มาไว้ในกรุงเทพมหานคร จำนวนถึง 1,284 องค์ประกอบด้วยยุคต่าง ๆ เช่นยุ คเชียงแสน ยุคสุโขทัย ยุคอู่ทอง และยุคกรุงศรีอยุธยา โดยนำมาจากเมืองศรีสัชนาลัย สุโขทัย พิษณุโลก กำแพงเพชร ลพบรุ ี และอยธุ ยา พระพุทธรูปบางองค์ชำรดุ เสียหาย ทรงโปรดใหช้ า่ งซ่อมแซมให้ มีสภาพดีดังเก่าแลว้ โปรดใหน้ ำไปประดษิ ฐานตามวดั ตา่ ง ๆ ในรัชกาลท่ี 3 ได้มีพระพุทธรูปแบบใหม่เกิดข้ึน พระพุทธรูปดังกล่าวมีลักษณะ พระพักตร์คล้าย กับหุ่นละคร รวมท้ังพระราชนิยมในการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ พระพุทธรูปที่สำคัญ ได้แก่ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่ประดิษฐานภายในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตน ศาสดาราม ในรัชกาลท่ี 4 นิยมสร้างพระพุทธรูปให้เหมือนจริงมากขึ้น โดยพระพุทธรูปไม่มีพระเกตุมาลา และการครองจวี รมรี ิ้วแบบสมจริง
250 ในรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลปัจจุบัน ได้ย้อนกลับไปสร้างพระพุทธรูปแบบมีพระเกตุมาลาตามเดิม จนเข้าสู่สมัยแห่งงานศิลปกรรมร่วมสมัย จึงได้นำรูปแบบพระพุทธรูปที่เคยมีมาก่อน มาสร้างใหม่หรือ ปรับเปลี่ยนบางอย่าง ที่เป็นความนิยมสมัยใหม่เพิ่มเข้าไป รูปแบบท่ีมีการนำกลับมาสร้างเป็นอย่างมาก ได้แก่ พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย เช่น พระพุทธรูปลีลา ที่เป็นพระประธานที่พุทธมณฑล มีช่ือว่า พระศรี ศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ ซึ่งออกแบบโดยศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี นามเดิมคือ คอราโด เฟโรจี (Corado Feroci) สรา้ งในสมยั รัชกาลที่ 9 กล่าวโดยสรุปความว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 (พ.ศ.2325) ไม่ทรง ประสงค์ที่จะสร้างพระพุทธรูปข้ึนมาใหม่ เพราะทรงพระราชศรัทธาให้เชิญพระพุทธรูปโบราณซึ่งถกู ทิ้งไว้ ชำรุดทรุดโทรมในที่ต่าง ๆ มาบูรณะในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 (พ.ศ.2352) และพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 (พ.ศ.2367) เร่ิมมีการสร้าง พระพุทธรูป โดยเฉพาะพระประธาน เช่น พระประธานวัดราชโอรส พระประธานวัดสุทัศน์ พระประธาน วดั ราชนัดดารามและพระประธานวัดเฉลมิ พระเกียรติ เป็นต้น พระเจ้าอยู่หวั รัชกาลท่ี 3 โปรดฯ ใหส้ มเด็จ พระมหาสมณะเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สืบค้นและคัดเลือกพุทธอิริยาบถในพุทธประวัติ นำมา กำหนดเปน็ ปางตา่ ง ๆ รวม 40 ปาง ดงั นี้
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 251 ท่มี า: https://www.saranukromthai.or.th/sub/book/book.php?book=29&chap=2&page=t29- 2-infodetail03.html
252 พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้นี้เพียง 33 ปาง นอกจากนีย้ งั มปี างสตั ตมหาสถานอีก 7 ปาง เชน่ ปางนัง่ ขดั สมาธใิ ตต้ น้ โพธิ์ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี 4 ขณะทรงผนวชอยู่ ทรงสร้างพระพุทธรูปแล้วถวายพระนามว่า \"พระสัมพุทธพรรณี\" ปัจจบุ ันประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีด้านหน้าในพระอุโบสถวัดพระศรรี ัตนศาสดาราม ต่อจากนัน้ คติการสร้างพระพุทธรปู ในสมัยรตั นโกสนิ ทร์จงึ เปน็ ทน่ี ยิ มของพุทธศาสนกิ ชนไทยเรือ่ ยมา พ.ศ. 2500 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชการที่ 9 รัฐบาลไทยได้สร้างพุทธมณฑลขึ้น ณ อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ในบริเวณเน้ือท่ี 2500 ไร่ เพ่ือ เฉลิมฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ได้มีการสร้างพระพุทธรูปางลีลาสูง 2500 น้ิว พระองค์ได้พระราชทานนาม วา่ \"พระศรีศากยทศพลญาณประธานพทุ ธมณฑลสทุ รรศน\"์ และในโอกาสสำคัญอ่ืน ๆ พทุ ธศาสนกิ ชนชาว ไทยที่เป่ียมด้วยศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิยมสร้างพระพุทธรูปไว้สักการะบุญชา โดย ร่วมกบั บริจาคส่งิ มีคา่ เชน่ ทองคำ หรือ เงิน เป็นต้นในการสมทบทนุ เพอ่ื สร้างองค์พระ นบั เป็นการทำบุญ และสร้างกุศลทย่ี ่ิงใหญ่ 5. ประวัติบคุ คลทเ่ี กี่ยวข้องกับต้นกำเนิดพระพุทธรูปโดยสังเขป 5.1 พญามิลินทร์ พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ (2550) ได้กล่าวถงึ พญามิลินทร์ไว้ว่า หลังจากที่พระเจ้าปุษยมิตร แห่งราชวงศส์ ุงคได้ทำลายพุทธศาสนาลงอย่างหนัก ทำให้สถานการณ์พุทธศาสนาโดยรวมอ่อนแอลงอย่าง มาก แต่ศาสนาพราหมณ์เร่มิ ได้รบั การสนับสนนุ ฟน้ื ฟมู ากขึ้น ราชวงศ์สุงคะปกครองอยู่ 102 ปีจงึ สน้ิ สุดลง ต่อมาจึงปกครองด้วยราชวงศ์กานวะ ราชวงศ์น้ีเป็นพุทธศาสนิกชนส่วนมาก จึงทำให้สถานการณ์พุทธ ศาสนาดีข้ึนมาก ราชวงศ์น้ีมีกษัตริย์ปกครอง 4 พระองค์ รวมเวลา 45 ปี ในยุคนี้ได้มีพระมหากษัตริย์ที่มี เดชานุภาพย่ิงใหญ่เกิดข้ึนในอินเดียทางเหนือโดยสายเลือด พระองค์ไม่ใช่ชาวอินเดียอารยัน แต่เป็นเช้ือ สายฝร่ังกรีก ผู้ท่ีทำให้พุทธศาสนาแผ่ไพศาลในอินเดียเหนือและเลยไปถึงเอเชียกลาง พระองค์ คือ พระเจ้ามลิ ินท์ หรือ เมนนั เดอร์ เรียกตามสำเนยี งกรกี พระเจ้ามิลินท์ (Milinda) หรือเมนันเดอร์ (Menander) ได้ขยายอิทธิพลลงมาถึงเมืองตอนเหนือ ของลุ่มแม่น้ำคงคา ปรากฏในตำนานฝ่ายบาลีและฝ่ายจีนว่า ตอนแรกพระองค์มิได้เลื่อมใสในพุทธศาสนา ได้ขัดขวางพุทธศาสนาด้วยพระราโชบายต่าง ๆ อนึ่ง เนื่องจากพระองค์เป็นผู้แตกฉานในวิชาไตรเพทและ ศาสนาปรชั ญาตา่ ง ๆ รวมทั้งพุทธศาสนาด้วย จงึ ได้เที่ยวประกาศโต้วาทีกับเหล่าสมณะพราหมณ์ สามารถ เอาชนะสมณะพราหมณ์เหล่าน้ันรวมท้ังพระภิกษุในพุทธศาสนา ขนาดภิกษุสงฆ์พากันอพยพหนีออกจาก นครสาคละ (ปจั จบุ นั อยใู่ นเขตปากีสถาน) จนหมดสิ้น เมืองสาคละว่างภิกษุสงฆ์อยู่ถึง 13 ปี จนกระท้ังคณะสงฆ์ต้องเลือกสรรค์ ส่งพระภิกษุหนุ่มผู้เจน จบพระไตรปิฎกและลัทธินอกพระศาสนาองค์หน่ึง ชื่อ พระนาคเสน ขึ้น ข้อความท่ีอภิปรายปุจฉาวิสัชนา
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 253 กันน้ันต่อมามีผู้รววบรวมข้ึนเรียกว่า มิลินทปัญหา (Milindapanha) คัมภีร์มีท้ังในฉบับสันสกฤตและบาลี ในฉบับสันสกฤต ให้ชื่อว่า \"นาคเสนภิกษุสูตร\" ได้มีผู้แปลถ่ายออกสู่ภาษาจีนประมาณพันปีเศษมาแล้ว ส่วนภาษาบาลีนั้นพระพุทธโฆษาจารย์ คันธารจนาจารย์ ชาวมคธ เป็นผู้แต่งคำนิทาน และคำนิคม ประกอบเขา้ ไว้ในมิลนิ ทปญั หาเมือ่ พุทธศตวรรษที่ 9 สว่ นเนื้อธรรมอันเปน็ ตัวปัญหามิไดก้ ลา่ วไวว้ ่าผู้ใดแต่ง อย่างไรก็ดี ในฉบับสันสกฤตได้บอกชาติภูมิของพระนาคเสนว่า เป็นแคว้นกัศมีระ ในฉบับบาลีกล่าวว่า ท่านเกิดในวรรณะพราหมณ์ บิดาช่ือโสณุตตระอาศัยอยู่ ณ กชังคลคาม ข้างภูเขาหิมาลัย เป็นข้อความ ตรงกัน (ภูเขาหมิ าลัยต้ังต้นจากแคว้น กัศมีระ (Kashmir) ของอินเดียผ่านเนปาล ธิเบต ภูฐาน สิกขิม จรด ชายแดนพม่า) ในยคุ นั้นพทุ ธศาสนานิกายสรวาสติกวาทิน กำลังเจรญิ รุ่งเรืองอยู่ พระนาคเสนอาจจะสงั กัด นิกายน้ี และคัมภีร์ฝ่ายจีนกล่าว่า พระนาคเสนได้รจนาคัมภีร์ตรีกายศาสตร์ ด้วยผลของการอภิปราย นับเป็นความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงต่อพุทธศาสนา เพราะพระนาคเสนชนะ สว่ นพระเจ้ามิลินท์ยอมจำนน เกิดพระราชศรัทธาปสาทะในพุทธศาสนา เพราะทรงแจ่มแจ้งในพุทธธรรมโดยตลอดมา วาระสดุ ท้ายของ พระองค์ทรงสวรรคตที่ในกระโจมที่พัก และมีการพิพาทกันระหว่างเจ้าเมืองต่าง ๆ ของอินเดีย และมีการ แจกพระอัฐิของพระเจ้ามิลินท์แก่เมืองต่าง ๆ คล้ายกับพระศาสดา หลังจากการสวรรคตของพระเจ้ามิ ลินท์แล้ว กษัตริย์กรีกท่ีปกครององค์ต่อมาอ่อนแออาณาจักรจึงแตกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์นี้คือพระเจ้าเฮอมีอุส (Hermaeus) ก่อนท่ีอาณาจักรจะแตกสลาย พรอ้ มกบั การขยายอำนาจของพวกสกะ (Sakas) จากเอเชยี กลางเข้าครอบงำอาณาจกั รของพระเจา้ มิลนิ ทเ์ ดมิ การกำเนิดพระพุทธรูป เช่ือว่า เกิดในสมัยพระเจ้ามิลินท์หรือเมนันเดอร์ ซ่ึงเป็นกษัตริย์กรีก แห่งแคว้นคันธาระ ในหนังสือตำนานพระพุทธเจดีย์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวว่า เรม่ิ สรา้ งสมยั นี้ แต่มาแพร่หลายสมยั พระเจา้ กนษิ กะมหาราช ในหนังสือประวตั ิศาสตรพ์ ุทธศาสนาของเจ้า คุณพระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ) ก็กล่าวว่า สร้างในสมัยพระเจ้ามิลินท์เช่นกัน และสอดคล้อง กับ สมพร ไชยภูมิธรรม (สมพร ไชยภูมิธรรม, 2543, หน้า 27) ท่ีกล่าวว่า พวกโยนกไม่ชอบแนวคิดแบบ ชาวอินเดียท่ีชอบทำรูปอยา่ งอ่ืนสมมติแทนพระพทุ ธองค์ จึงคิดทำพระพุทธรูปข้ึนเนื่องจากมีความชำนาญ ทางด้านการสร้างสถาปัตยกรรมอยู่แล้ว พระพุทธรูปจึงถูกสร้างข้ึนมาในแคว้นคันธารราฐเป็นคร้ังแรก เม่ือ พ.ศ. 367-383 ทฤษฎิน้ีมีผู้ยอมรับมากท่ีสุดการสร้างพระพุทธรูปในยุคน้ี พบว่า เป็นการสร้าง พระพุทธรูปแทนเทวรูปให้ใกล้เคียงกับมนุษย์ท่ีสุดเพื่อเป็นเคร่ืองระลึกถึงพระพุทธเจ้า เน่ืองจากกรีกเป็น ชนชาติท่ีเช่ียวชาญด้านการแกะสลักดังกล่าวแล้วและเป็นการเผยแผ่และสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ ยาวนานสืบไป เรยี กพระพทุ ธรปู สมยั นีว้ า่ พระพทุ ธรูปแบบคันธาระ หรือ พุทธศลิ ป์แบบคันธารราฐ และ สถาปัตยกรรมอินเดียสมัยต่อมาเป็นสมัยที่ราชวงศ์กุษาณะมีอำนาจเหนื ออินเดียทางภาคตะวันตกเฉียง เหนือ และราชวงศ์มถุราในภาคกลางของอินเดีย ได้สร้างศิลปะสำคัญขึ้น 3 แบบ คือ ศิลปะแบบคันธาระ แบบมถุรา และแบบอมราวดี ดังกล่าวแล้วในเบื้องต้น ลักษณะของพระพุทธรูปโดยทั่วไปคือ มีพระเกศา เปน็ เสน้ ยาวคดเคี้ยว ขมวดเปน็ เมาลีเวยี นรอบอยา่ งทักษิณาวัตรคอื เวยี นขวา มพี ระฉพั พรรณรังสีหรือรัสมี
254 เป็นรูปประภามณฑลเป็นวงกลมอยู่เบ้ืองหลังพระเศียร มีพระอุณาโลมอยู่ระหว่างคิ้ว พระพุทธลักษณ์ คลา้ ยเทวรูปของชนชาตกิ รกี จีวรมีสองแบบคือ แบบห่มคลุมและห่มดอง จำหลักผ้าเป็นกลบี รว้ิ แล่นขนาน กัน รุ่นแรกนิยมสร้างผ้าครองหนามาก ต่อมารุ่นหลังจึงเป็นแบบบาง พระพุทธรปู ปางน่ังสมาธินิยมปล่อย ชายผ้าตกพันแข้งมาคลุมฐานหนึ่งข้างก็มี สองข้างก็มี หรือ คลุมกระชับซ่อนชายผ้าใต้แข้งก็มี (อัธยา โกมลกาญจน, 2545, หนา้ 28-30) 5.2 พระนาคเสน (Nagasena) พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ (2550) กล่าวว่า พระนาคเสน เกย่ี วข้องกบั ต้นกำเนิดพระพุทธรูป เน่ืองจากเป็นผู้ทำให้พระเจ้ามิลินท์กลับมานับถือพุทธศาสนาและทำนุบำรงุ พระพุทธศาสนาจนแพร่หลาย ตลอดถงึ การส่งเสริมในด้านสรา้ งสรรค์พุทธศิลปต์ ่าง ๆ เชน่ พระพุทธรปู เป็นต้น โดยในมิลนิ ทปัญหา ระบุ ว่า พระนาคเสนเกดิ ท่ี เมืองกชังคละ แถบภเู ขาหิมาลยั บิดาเปน็ พราหมณ์ช่อื วา่ โสณตุ ตระ ในวยั เด็กอายุ 7 ขวบ ได้ศึกษาไตรเพทและศาสตร์อ่ืนจนเจนจบ จึงถามบิดาว่า มีศาสตร์อ่ืนท่ีจะต้องเรียนบ้างไหม บิดา ตอบว่า มีเท่าน้ี ต่อมาวนั หนึง่ ไดพ้ บพระโรหนะมาบิณฑบาตท่ีบ้านบิดา เกิดความเล่ือมใส จึงให้บิดานิมนต์ มาทบ่ี ้านถวายภัตตาหารและคิดวา่ พระรูปนี้ต้องมีศลิ ปวทิ ยามาก จึงขอศึกษากบั พระเถระ พระเถระกลา่ ว วา่ ไม่อาจสอนผูท้ ีไ่ มบ่ วชได้ จงึ ของบิดาบวชท่ถี ำ้ รกั ขิต ได้ศกึ ษาพุทธศาสนากบั พระโรหนเถระ ตอ่ มาเม่อื อายุ 20 ปีก็ได้รบั การอุปสมบท วนั หนง่ึ เกิดตำหนิอุปัชฌาย์ในใจว่าอุปชั ฌาย์ของเราช่าง โง่จริง ให้เราศึกษาพระอภิธรรมก่อนเรียนสูตรอ่ืน ๆ พระโรหณะผู้อุปัชฌาย์ทราบกระแสจิตจึงกล่าวว่า พระนาคเสนคิดอยา่ งน้ีหาถกู ตอ้ งไม่ พระนาคเสนทราบวา่ พระอุปชั ฌาย์รู้วาระจิตของตน จึงตกใจ และขอ ขมา แต่พระเถระกล่าวว่า เราจะให้อภัยได้ง่าย ๆ ไม่ พระนาคเสนต้องไปทำภารกิจอย่างหน่ึงที่สำคัญคือ ตอ้ งไปโปรดพระเจ้ามลิ ินท์ท่ีเมอื งสาคละ ใหเ้ ลอ่ื มใสในพระรัตนตรัยก่อนจงึ จะอภัยให้ และแลว้ พระโรหนะ ก็ส่งไปศึกษาเพิ่มเติมกับพระอัสสคุตตะ ที่วัตตนิยเสนาสนะวิหารเมืองสาครพักอยู่ 7 วัน พระเถระจึง ยอมรับเป็นศิษย์ ต่อมาได้แสดงธรรมเทศนาให้เศรษฐีท่านหน่ึงฟังจนทำให้เขาบรรลุโสดาบัน และเม่ือมา ไตร่ตรองคำสอนที่ตนสั่งสอนอุบาสกก็บรรลุโสดาบันตาม ต่อมาไม่นานจึงเดินทางจากสาคละไปสู่ปาฎลี บุตร พักที่อโศการามแล้วศึกษาธรรมกับพระธรรมรักขิตจนจบภายใน 6 เดือนพระนาคเสนเดินทางไป บำเพ็ญเพียรที่รักขิตคูหาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ได้บรรลุพระอรหันต์ คณะสงฆ์ทั้งหลายจึงอนุโมทนาแล้ว ประกาศให้ท่านไปโต้วาทะกับพระยามิลินท์ พระนาคเสนจึงเดินทางไปนครสาคละ แล้วพบพระเจ้ามิลินท์ ท่นี ้นั เม่ือได้ตอบโต้ปัญหากบั พระเจ้ามิลนิ ทแ์ ลว้ ทำใหพ้ ระองค์เกิดความเลอื่ มใสในพุทธศาสนาขน้ึ มา และ เปลง่ วาจาถงึ พระรตั นตรัยตลอดชีวติ 5.3 พระเจา้ กนิษกะมหาราช (Kanishka) สารานุกรมไทยสำหรบั เยาวชน (2563) กล่าววา่ ตามประวัติศาสตร์อันยาวนาน พระมหากษัตริย์ ทีป่ กครองดนิ แดนชมพูทวีป พระเจ้าอโศกมหาราช นับได้ว่าเปน็ ผู้ทมี่ ีประวตั ทิ ี่เด่นและดีงามท่สี ุดในสายตา ของชาวพุทธทั่วโลกต่อจากพระเจ้าอโศก อยู่ในราวปลายศตวรรษที่ 5 พระองค์สืบเช้ือสายมาจากเผ่าอิน
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 255 โดไซเธียน ได้อพยพลงมาสู่ลุ่มแม่น้ำอมูดาเรียในเตอรกีสถานตะวันตก ทำลายอาณาจักรบากเตรีย ซึ่งเป็น อาณาจักรของพวกกรีกลงได้ แล้วแผ่อิทธิพลเข้ามาสอู่ ัฟกานิสถาน ในตอนนี้พวกอินโดไซเธียนได้รับอารย ธรรมของอินเดียทางภาษาไว้เป็นจำนวนมาก เช่น พระนามของพระเจ้า \"กนิษกะ\" เป็นต้น พระเจ้ากนิษ กะทรงยึดแบบการทำงานของพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นหลัก พระองค์ทรงขยายอาณาเขตออกกว้างขวาง มาก จักรวรรดิของพระองค์เริม่ จากเตอรกีสถานลงมาถึงลุ่มแม่น้ำคงคา พระเจ้ากนิษกะทรงเป็นพุทธมาม กะนับถือพระพุทธศาสนา ทรงให้การทำนุบำรุง ดูแลรักษา ก่อสร้างศาสนสถาน พุทธศิลป์ต่าง ๆ ข้ึนเป็น อันมาก เพ่ิมข้อมูลเกี่ยวข้องกับการสร้างพระพุทธรูป เช่น ทรงอุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์ด้วยดี พระราชกิจ ประจำเดอื นกค็ อื การอาราธนาพระเถระในนกิ ายตา่ ง ๆ เขา้ ไปถวายพระธรรมเทศนาในพระราชวงั แต่เนื่องด้วยรัชสมัยที่พระเจ้ากนิษกะครองราชย์นั้น พระสงฆ์มีความแตกแยกกันทางนิกายมาก พระธรรมเทศนาท่ีทา่ นแสดงบางเรื่องก็ขัดกันเอง ทำให้พระเจ้ากนิษกะมหาราชเกิดความสงสัย จึงได้เรียน ปรึกษากบั พระปารศวะซงึ่ เป็นพระเถระในนิกายสรวาสติวาท คณะสงฆ์ในนกิ ายสรวาสติวาท จึงขอร้องให้ พระองค์ทรงอุปถัมภ์การทำสังคายนา สังคายนาครั้งน้ีทำข้ึนท่ีกุณฑลวันวิหาร แคว้นกาศมีระ มีภิกษุและ บัณฑิตคฤหัสถ์เข้าประชุมร่วมกัน โดยมีพระปารศวะเป็นประธาน และยังมีพระเถระท่ีสำคัญอีก เช่น พระวสุมิตร พระอัศวโฆส เป็นต้น พระเจ้ากนิษกะโปรดให้มีการแปลพระธรรมวินัยจากภาษาบาลีเป็น ภาษาสันสกฤต (อัธยา โกมลกาญจน, 2545, หน้า 50) ซึ่งท่ีประชุมได้ร้อยกรองอรรถกถา พระไตรปิฎก เรียกว่า วิภาษาปิฎก ปิฎกละแสนโศลก รวมสามแสนโศลก ทรงโปรดให้จารึกพระไตรปิฎกและอรรถกถา เหล่านี้ไว้ในแผ่นทองแดง แล้วบรรจุไว้ในพระสถูปแล้วรักษาไว้มั่นคงเป็นต้นฉบับหลวง และการทำ สงั คายนาครัง้ นี้เป็นการทำสังคายนาของฝา่ ยนิกายสรวาสตวิ าท จึงไมม่ ีปรากฏในฝา่ ยปกรณบ์ าลีเลย อันน้ี เราก็จะเห็นได้ชัดว่า เปน็ ความขัดแย้งกันทางด้านความคิดไม่ต้องการที่จะเชิดชฝู ่ายตรงกันข้ามกับนิกายท่ี ตนเองนับถือน่ันเอง ด้วยราชานุภาพของพระเจ้ากนิษกะพระพุทธศาสนาจึงแพรห่ ลายไปสู่ประเทศต่าง ๆ ทางฝา่ ยเหนือของอินเดยี รวมทง้ั ประเทศจนี ก็พลอยไดร้ บั เอาพระพุทธศาสนาไปในตอนนี้ดว้ ย พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ (2550) กล่าวว่า เร่อื งตน้ กำเนิดพระพทุ ธรูป บางแหลง่ ระบุว่า เกิดในสมัยพระเจ้านษิ กะมหาราชนี้ ซ่ึงพระอค์ปกครองอินเดียเหนือ โดยมีศนู ยก์ ลางท่เี มืองโปุรษุ ปุระ หรือ เปชวาร์ หนังสอื กำเนิดพระพุทธรูปหลายสมยั ของ บรรจบ เทียมทัต กล่าววา่ พระพุทธรปู แบบคันธารราฐ เกิดในสมัยพระเจ้ากนิษกะนี้ ก่อนหน้ายังไม่มีการสร้างแต่อย่างใด พระเจ้ากนิษกะทรงรับส่ังให้ช่างกรีก สร้างพระพุทธรูปข้ึนตามแนวพุทธลักษณะศิลปะผสมกรีก-โรมัน สอดคล้องกับ สารานุกรมไทยสำหรับ เยาวชน (ม.ป.ป.) ที่กล่าวว่า หลักฐานการสร้างพระพุทธรูปที่เก่าแก่ท่ีสุดในอินเดียปรากฏข้ึนราว ๆ พุทธ ศตวรรษท่ี 7 โดยเกิดขน้ึ ในรัชสมัยของพระเจ้ากนิษกะ แหง่ ราชวงศ์กุษาณะ ท่ีแคว้นคนั ธารราฐ ราว พ.ศ. 663-705 ทั้งน้ีเป็นผลมาจากพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์แห่งอาณาจักรมาซิโดเนียทางตอน เหนือของประเทศกรีก ได้สร้างจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ ครอบคลุมคาบสมุทรบอลข่าน อียิปต์ ตุรกี และ เปอร์เซีย จนมาถึงดินแดนภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ท่ีแคว้นคันธารราฐ ในพุทธศตวรรษที่ 3
256 คติการสร้างรูปเคารพเป็นพระพุทธรูป จึงน่าจะได้อิทธิพลจากชาวกรีกท่ีแพร่หลายในครั้งนั้น และนำเอา คติความเชื่อต่าง ๆ มาผสมผสานกับความเชื่อเดิมของชาวพ้ืนเมือง ส่งผลให้เกิดความนิยมในการสร้างรูป เคารพเทพเจ้าของชาวกรีกเปล่ียนมาเป็นการสร้างเป็นพระพุทธรปู ขึ้นแทน ดังนน้ั พระพุทธรปู แบบคนั ธาร ราฐ จึงอาจกล่าวได้ว่า เป็นสมัยแรกสุดท่ีมีการสร้างพระพุทธรูป ซ่ึงมีลักษณะเป็นแบบชาวกรีก คอ่ นขา้ งมาก ทั้งรูปร่างหน้าตา และลกั ษณะการครองจีวร 6. การสรา้ งพระพุทธรูปตามมหาบุรษุ ลักษณะ 32 ประการ การสร้างพระพุทธรูปนิยมสร้างตามมหาบุรุษลักษณะ 32 และอนุพยัญชนะ 80 ประการ มรี ายละเอียดดังต่อไปน้ี 6.1 มหาบรุ ษุ ลกั ษณะ 32 ประการ มดี ังนี้ ทมี่ า: http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=มหาบรุ ุษลกั ษณะ&detail=on
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 257 6.2 อนุพยญั ชนะ 80 ประการ นอกเหนือจากมหาบุรษุ ลักษณะ32 ประการแล้ว ยังมีลักษณะข้อปลีกย่อยของพระมหาบุรุษนิยม เรยี กกันว่า \"อสตี ยานุพยญั ชนะ\" หรือ อนุพยญั ชนะ\" อีก 80 ประการด้วยกันดังนี้
258
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 259
260 ทีม่ า: http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=มหาบุรุษลกั ษณะ&detail=on 6.3 พระฉัพพรรณรังสี ฉัพพรรณรังสี คือ แสงสว่างที่พวยพุ่งออกจากจุดกลางเป็นรัศมี 6 ประการ ซึ่งเปล่งออกจาก พระสรีรกายของพระพุทธเจา้ มดี ังน้ี ทมี่ า: http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=ฉพั พรรณรังสี สีท้ัง 6 น้ีไม่ได้พุ่งออกเป็นสี ๆ ดังที่แยกไว้นี้แต่แผ่ออกมาพร้อมกัน พระพุทธรูปบางปางมีการ สร้างศิลปะที่สื่อถึงพระฉัพพรรณรังสีของพระพุทธองค์ แต่ไม่ได้สร้างสีต่าง ๆ ตามที่ระบุ เป็นเพียง สัญลักษณ์เท่าน้ัน เช่น พระพุทธชินราช ที่จังหวัดพิษณุโลก เป็นต้น ในหนังสือปฐมสมโพธิกถา ฉบับ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 261 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส กล่าวถงึ พระฉัพพรรณรังสีที่แผ่ซ่านออกจากพระกาย พระพทุ ธเจา้ ไวด้ ังน้ี \"ในลำดับนั้น พระฉัพพรรณรงั สีกโ็ อภาสแผอ่ อกจากพระสรริ กาย อันว่านิลประภากเ็ ขียวสดเสมอ ด้วยสีแห่งดอกอัญชัน มิฉะน้ัน ดุจพื้นแห่งเมฆแลดอกนิลุบลแลปีกแห่งแมลงภู่ผุดออกจากอังคาพยพในท่ี อันเขียวแล่นไปจับเอาราวป่า แลพระรัศมีที่เหลืองนั้นมีครุวนาดุจสีหรดารทองแลดอกกรรณิการ์แลกาญ จนปัฏอันแผ่ไว้พระรัศมีออกจากพระสริรประเทศในที่อันเหลืองแล้ว แล่นไปสู่ทิศานุทิศต่าง ๆ พระรัศมีที่ แดงอย่างพาลทิพากรแลแก้วประพาฬ แลกุมุทปทุมกุสุมชาติโอภาสออกจากพระสริรอินทรีย์ในที่อันแดง แล้วแล่นฉวัดเฉวียนไปในประเทศที่ท้ังปวงพระรัศมีมีที่ขาวก็ขาวดุจดวงรัชนิกร แลแก้วมณี แลสีสังข์ แล แผ่นเงนิ แลดวงดาวพกาพฤกษ์ พงุ่ ออกจากพระสริรประเทศในทีอ่ นั ขาวแลว้ แลน่ ไปในทิศโดยรอบพระรศั มี หงสสิบาทก็พิลาสเล่ห์ดุจสีดอกเซ่ง แลดอกชบาแลดอกหงอนไก่ออกจากรัชกายรุ่งเรืองจำรัสพระรัศมี ประภัสสรประภาครุนาดุจสีแก้วพลึกแลแก้วไพฑูริย์เล่ือมประพระฉัพพรรณรังสีท้ัง 6 ประการแผ่ไพศาล แวดล้อมไปโดยรอบพระสกลกายยินทรีย์ กำหนดท่ี 12 ศอก โดยประมาณอันว่าศศิสุริยประภาแลดาราก็ วิกลวกิ ารอนั แสง เศรา้ สดี ุจหิ่งหอ้ ยเหอื ดสนิ้ สญู มไิ ดจ้ ำรูญไพโรจโชติชัชวาล\" รัศมีเฉกเช่นฉัพพรรณรังสีนี้มีเฉพาะพระพุทธเจ้าและเทวดาเท่านั้น นอกจากนี้ก็เกิดแต่ธรรมชาติ เช่น สีรุ้งท่ีเรียกกันเป็นสามัญว่า รุ้งกินน้ำ หรือ พระจันทร์ พระอาทิตย์ทรงกลด ที่ออกจากเทวดาน้ันจะ เห็นไดด้ ังท่พี รรณนาไวใ้ นพระสูตรต่าง ๆในเวลาทีเ่ ทวดามาเฝ้าพระพทุ ธเจ้าดงั นี้ มีเทวดาตนหนึ่งมีรัศมีสวา่ งจ้าเข้ามายังพระเชตวันทำพระเชตวนั ให้สว่างไสวไปท่ัวบริเวณเข้าเผ้า พระทุทธเจ้าทีป่ ระทับความสว่างของรัศมีนั้น ไมเ่ หมือนแสงเดือนแสงตะวันหรือไม่เหมือนแสงไฟ เป็นแสง สว่างท่ีเสมอกันทั้งหมดและเป็นแสงสว่างที่ไม่มีเงาเหมือนแสงอื่นเป็นแสงท่ีแผ่ไปติดอยู่ทั่วบริเวณมี ขอ้ ความในปฐมสมโพธิกถา ปรเิ ฉทท่ี 13 ธรรมจกั รปริวรรตว่าดังนี้ \"ฝา่ ยอุปกาชีวเดินมาโดยทุราคมวิถีทางไกล หว่างคยาประเทศเขตเมืองราชคฤห์กบั มหาโพธิญาณ ติดต่อกันแลเห็นไพสณฑ์สถานอันโอฬารไพโรจน์พรรณราย ด้วยข่ายฉัพพรรณรังสีโสณิวิลาสปรากฏโดย ทวิ าทัศนาการทั้งพสธุ ารแลอากาศโอภาสด้วยพระรัศมมี ีพรรณแห่งละ 6 อย่างทั่วทัง้ ทิศล่างและทิศบนมา สัมผัสกายตนประหลาดมหัศจรรย์ไม่เคยได้พบเห็นเป็นเช่นน้ีมาแต่ก่อน ถ้าจะเป็นเพลิงไฉนกายอาตมาจึง ไม่ร้อนกระวนกระวายแม้จะเป็นน้ำไฉนกายอาตมาจะไม่ชุ่มช้ืนเย็นน่ีจะเป็นส่ิงอันใดย่ิงสงสัยสนเท่ห์จิตจึง เพ่งพิศไปข้างโน้นข้างนี้ ก็เห็นองค์พระผู้ทรงสวัสดิ์ภาคย์เสด็จบทจรมารุ่งเรืองด้วยพระสิดฉิ ันธมหาหว่างติ สสุระ ลักษณะแลพระพยามประภาโอภาสเบ้ืองบนพระสุรยิ ก็ชว่ งโชติด้วยพระเกตุมาลา ครุนาดุจทองท้ัง แท่งประดับดว้ ยฉพั พรรณรังสีรงั สีแสงไพโรจน์จำรัส\" (ภทั รวรรณ วันทนชัยสขุ , 2546)
262 7. สรปุ ท้ายบท จากท่ีกล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า พุทธศิลป์มีอิทธิพลโดยตรงต่อศิลปะไทยในด้านทัศนศิลป์ ประกอบด้วย (1) งานสถาปัตยกรรม (Architecture) เช่น สิ่งก่อสร้างหรือศาสนสถานในวัด ได้แก่ โบสถ์ วิหาร กุฏิ สถูป เจดีย์ ศาลาการเปรียญ หอไตร หอระฆัง (2) งานประติมากรรม (Sculpture) เช่น พระพุทธรูปหรือพระปฏิมา ท้ังที่มีลักษณะเป็นงานนูนต่ำ นูนสูง ลอยตัว รวมท้ังลวดลายประดับศาสน สถานด้วย และ(3) งานจิตรกรรม (Painting) เช่น ภาพเขียนประดับฝาผนังของศาสนสถาน ได้แก่ ภาพเขียนบนผนังโบสถ์ วิหาร ศาลา รวมท้ังภาพประกอบในสมุดไทยที่แสดงเนื้อหาเร่ืองราวเก่ียวกับพุทธ ศาสนา พุทธประวัติวรรณกรรม ปริศนาธรรม เป็นต้น โดยช่างชาวพุทธผู้รังสรรค์ผลงานศิลปะต่าง ๆ ออกมาได้อย่างประณีตงดงาม แฝงไว้ซ่ึงคำสอนและเร่ืองราวเก่ียวกับพระพุทธศาสนทั้งแบบเถรวาทและ มหายาน เปน็ การสืบตอ่ หลักธรรมคำสอนของพระพทุ ธองค์ผ่านงานศิลป์จากจากรุ่นสู่ร่นุ และที่สำคญั กว่า นั้น ประเทศไทยปกครองโดยพระมหากษัตริย์ไทยมาโดยตลอด และส่วนใหญ่เป็นพุทธมามกะ มีความ เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้ให้การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรมของไทยอย่าง ต่อเน่ืองและย่ังยืนมาจนถึงปัจจุบัน พุทธศิลป์จึงเก่ียวข้องกับสังคมไทยในด้านต่าง ๆ เช่น การสืบสาน พระพุทธศาสนา เป็นรากฐานของพุทธธรรม เป็นพ้ืนฐานของวัฒนธรรมไทย สะท้อนบุคลิกภาพและ ลักษณะนิสัยของคนไทย เป็นสื่อน้อมนำศรัทธา เป็นแหล่งความรู้และศูนย์รวมใจท่ีทรงคุณค่า เป็นต้น ดงั กล่าวแล้วในเบ้ืองตน้ แรกเร่ิม พุทธศิลป์กำเนิดในประเทศอินเดีย เน่ืองจากเปน็ แหลง่ กำเนิดของศาสนา พุทธ มีการสืบทอดเร่ือยมาและได้สืบทอดมาถึงประเทศไทยผ่านพระธรรมทูตที่ถูกส่งมาเพื่อเผยแผ่ พระพุทธศาสนาในยุคของพระเจา้ อโศกมหาราช คือ พระโสณะและพระอุตตระ มีการสร้างอุทเทสิกเจดีย์ ที่จังหวดั นครปฐม เช่น พระปฐมเจดีย์ เป็นหลักฐานให้พุทธศาสนกิ ชนได้กราบไหว้ บูชา และน้อมรำลึกถึง พระคณุ ของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ตราบจนถงึ ปัจจบุ ัน ส่วนทฤษฎีการกำเนิดพระพุทธรูป (Creation of Buddha image) ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่มี ประเด็นที่นา่ พิจารณาอยู่ 3 ประเดน็ ดงั นี้ 1) เช่ือว่าพระพุทธรูปเกิดมาในสมัยท่พี ุทธองค์ทรงพระชนมช์ ีพ จากหนังสือของพระถังซัมจ๋ังท่ีได้ บันทึกการเดินทางเข้าอินเดียและกล่าวถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งแคว้นโกศล ว่าได้รับสั่งให้ช่างสร้าง พระพุทธรูปด้วยแก่นไม้จันทน์แดงเพ่ือบูชาพระพุทธองค์ เน่ืองจากเกิดความคิดถึงท่ีไม่ได้เข้าเฝ้าพระพุทธ องค์เป็นเวลานาน แต่หลักฐานทางโบราณคดียังไม่มีการขุดพบ จึงยังไม่มีสิ่งยืนยันที่เด่นชัดหรือมีน้ำหนัก พอ นอกจากนนั้ ยคุ สมัยพระเจา้ อโศกมหาราชหลงั พุทธปรนิ ิพพานเพยี งสองรอ้ ยปีเศษ ก็ไม่ปรากฏว่ามีการ สรา้ งพระพุทธรปู แต่อย่างใด มแี พงการสรา้ งสัญลกั ษณ์แทนเท่านั้น เชน่ รอยพระพุทธบาท ธรรมจกั ร เปน็ ตน้ 2) เกิดในสมัยพระเจ้ามิลินท์หรือเมนันเดอร์ เป็นกษัตริย์กรีก แห่งแคว้นคันธาระ ในหนังสือ ตำนานพระพุทธเจดีย์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ กลา่ วว่า เร่ิมสรา้ งสมัยน้ี แต่มาแพร่หลาย สมยั พระเจา้ กนษิ กะมหาราช ในหนังสือประวัติศาสตร์พทุ ธศาสนาของเจา้ คุณพระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 263 ฐติ ญาโณ) ก็กล่าวว่า สรา้ งในสมัยพระเจ้ามิลินท์เช่นกัน และสอดคลอ้ งกบั สมพร ไชยภูมิธรรม ที่กล่าวว่า พวกโยนกไม่ชอบแนวคิดแบบชาวอินเดียที่ชอบทำรูปอย่างอ่ืนสมมติแทนพระพุทธองค์ จึงคิดทำ พระพุทธรูปข้ึนเนื่องจากมีความชำนาญทางด้านการสร้างสถาปัตยกรรมอยู่แล้ว พระพุทธรูปจึงถูกสร้าง ข้นึ มาในแคว้นคันธารราฐเป็นครง้ั แรก เมื่อ พ.ศ. 367-383 ทฤษฎินีม้ ีผู้ยอมรบั มากทส่ี ดุ 3) เกิดในสมัยพระเจ้านิษกะมหาราช ปกครองอินเดียเหนือ โดยมีศูนย์กลางที่เมืองโปุรุษปุระ หรือ เปชวาร์ หนังสือกำเนิดพระพุทธรูปหลายสมัยของ บรรจบ เทียมทัต กล่าวว่า พระพุทธรูปแบบคัน ธารราฐเกิดในสมยั พระเจ้ากนษิ กะนี้ กอ่ นหน้ายงั ไม่มีการสรา้ งแต่อย่างใด พระเจา้ กนษิ กะทรงรบั สัง่ ให้ช่าง กรกี สรา้ งพระพุทธรปู ข้นึ ตามแนวพทุ ธลักษณะศิลปะผสมกรกี -โรมนั พุทธศิลป์ในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 4 ยุค คือ 1) ยุคเถรวาทแบบสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช 2) ยุคมหายาน 3) ยุคเถรวาทแบบพุกาม และ 4) ยุคเถรวาทแบบลังกาวงศ์ ท้ัง 4 ยุค มีความเก่ียวข้อง และผสมผสานกันระหว่างคติความเชื่อของพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทและมหายาน รวมทั้งศาสนา พราหมณ์ โดยเฉพาะศลิ ปะแบบขอม เน่อื งจากขอมสว่ นใหญ่นบั ถอื ศาสนาพราหมณ์ การสร้างพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีมากมายหลายปางด้วยกัน เช่น พระพุทธรูปแบบคันธารราฐ ประกอบด้วย บางสมาธิ ปางมารวิชัย ปางปฐมเทศนา ปางอุ้มบาตร ปาง ประทานอภัย ปางประทานพร ปางแสดงยมกปาฏิหาริย์ ปางปรินิพพาน ปางลีลา (หมายถึง ตอนเสด็จลง จากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์) เป็นต้น (สมพร ไชยภูมิธรรม, 2543, หน้า 29-35) และพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี 3 โปรดฯ ให้สมเด็จพระมหาสมณะเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สืบค้นและคัดเลือกพุทธอิริยาบถในพุทธ ประวตั ิ นำมากำหนดเปน็ ปางตา่ ง ๆ มากถึง 40 ปางดังกล่าวแลว้ นนั้ การสร้างพระพุทธรูปนิยมสร้างตามมหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ อนุพยัญชนะ 80 และอาจมี ปางองค์ที่ถกู สรา้ งโดยมสี ญั ลักษณ์แสดงถงึ พระฉัพพรรณรงั สีของพระพุทธองคด์ ้วย เช่น พระพทุ ธชินราช เปน็ ตน้ พุทธศิลป์ในแต่ละสมัยที่เกิดข้ึนในระยะเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เช่น พุทธศิลป์สมัย หริภุญไชยถูกอาจถูกผนวกรวมไว้ในพุทธศิลป์สมัยทวารวดี พุทธศิลป์สมัยเชียงแสน อาจผนวกรวมไว้กับ ศลิ ป์สมัยสุโขทัย ส่วนพุทธศิลป์สมัยสุพรรณภูมิ อโยธยาหรืออู่ทอง อาจผนวกรวมไว้กับศิลปะสมัยอยุธยา เปน็ ต้น จึงสามารถสรุปได้ว่า พุทธศิลป์ คืองานฝีมือทางการช่างที่เก่ียวข้องกับรูปเหมือนหรือรูปแทน พระพุทธเจ้า เรียกอีกอย่างว่า พระพุทธรูป หรือ พระพุทธปฏิมากร หมายถึง รูปเปรียบหรือรูปแทนองค์ พระพุทธเจ้า คือ พระพุทธรูป, มักใช้ย่อเป็น ปฏิมา หรือ ปฏิมากร ท่ีแสดงออกทางอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก สติปัญญา ความงาม ทักษะหรือความชำนาญการสร้างสรรค์งานศิลปะด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมที่ส่ือให้ผ้ชู มเกิดจินตนาการ เห็นคุณค่าทางความงามและความเช่ือทาง พระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับธาตุเจดีย์ (สถานท่ีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ) บริโภคเจดีย์ (สถานที่ท่ีพระ พุทธองค์ทรงเคยใช้สอย) ธรรมเจดีย์ (สถานที่บรรจุพระธรรมหรือพระพุทธพจน์) และอุทเทสิกเจดีย์
264 (พระพุทธรูป หรือส่ิงที่ก่อเป็นยอดแหลม เป็นท่ีบรรจุสิ่งท่ีเคารพนับถือ เช่น พระบรมสารีริกธาตุ พระ อรหันตธาตุ ฯลฯ) นั่นเอง ส้ัน ๆ ก็คือ เจดีย์ในพระพุทธศาสนา มี 4 ประเภท คือ ธาตุเจดีย์ บริโภคเจดีย์ ธรรมเจดีย์ และอทุ เทสิกเจดีย์ (เจดีย์ท่ีไม่จดั อยูใ่ นธาตเุ จดยี ์ บริโภคเจดีย์ ธรรมเจดีย์ จดั เป็นอทุ เทสิกเจดีย์ ทัง้ หมด เกดิ ภายหลงั ของเจดีย์ท้งั หมด)
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 265 คำถามทา้ ยบท 1. บอกความหมายของคำว่า พุทธศิลป์ และพุทธศิลป์มีอิทธิพลต่อศิลปะไทยในด้านทัศนศิลป์และมี ความเกย่ี วข้องกบั สังคมไทยในดา้ นอ่ืน ๆ อยา่ งไร อภิปรายพอเขา้ ใจ 2. สรุปวิวัฒนาการของพุทธศิลป์ในอินเดียโดยย่อ ต้ังแต่ยุคพุทธศิลป์แบบคันธารราฐจนถึงยุคพุทธศิลป์ แบบโจฬะ อธิบายพอสังเขป 3. สรปุ ววิ ัฒนาการของพุทธศิลป์ในประเทศไทยตงั้ แตย่ คุ ทวารวดีถงึ ยคุ รัตนโกสินทร์ อธิบายพอสังเขป 4. พระพุทธรูปเกิดขึ้นในยุคใด ระหว่างยุคพระยามิลินทร์กับยุคของพระเจ้ากนิษกะ ให้เหตุผลประกอบ ตามทัศนะของนกั ศึกษา 5. มหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ อนุพยัญชนะ 80 และฉัพพรรณรังสี มีความสำคัญและเก่ียวข้องกับ การสร้างพระพุทธรูปอยา่ งไร อภิปรายพอเข้าใจ
266 เอกสารอา้ งองิ ประจำบทที่ 7 โกสุม สายใจ. (18 มีนาคม 2560). พุทธศิลป์กบั การจัดการความร.ู้ วารสารมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์, 3(1), 1-9. จรรยา ประชิตโรมรัน. (2548). สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช. กรุงเทพฯ: สมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช. สำนักพมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ชยาภรณ์ สขุ ประเสรฐิ . (2559). พทุ ธศลิ ป์: ถ่ินไทย ศลิ ปกรรมเพอื่ พระพุทธศาสนา. ศูนยอ์ าเซียนศกึ ษา, 1(2),72. ทวีศักดิ์ กัญโญชัย (2550). พัฒนาการด้านศิลปวัฒนธรรมของไทย. สืบค้น 17 กรกฎาคม 2564, จาก http://www.satit.up.ac.th/BBC07/AroundTheWorld/hist/41.htm พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. (ม.ป.ป.). พุทธปฏิมากร. สืบค้น 10 มีนาคม 2561, จาก https://dictionary.orst.go.th/ พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ. (2550). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย (พิมพ์คร้ังท่ี 2). กรงุ เทพฯ: เม็ดทรายพรน้ิ ติ้ง. พระมหาประภาส ปริชาโน (แก้วเกตุพงษ์) และ พระมหาบุญไทย ปุญฺญมโน (ด้วงวงศ์). (2562). วิวฒั นาการพุทธศลิ ปใ์ นประเทศอินเดีย. วารสารสถาบนั วฒั นธรรมและศลิ ปะ, 21(1), 53-61. พระมหาวิเชียร สิริวฑฺฒโน (ไกรฤกษ์ศิลป์) และ ภูริทัต ศรีอร่าม. (2562). การวิเคราะห์ประวัติและ ลักษณะพุทธศิลป์ของพระพุทธรูปสำคัญในสังคมไทย (รายงานผลการวิจัย).พระนครศรีอยุธยา: มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาลยั สงฆพ์ ุทธโสธร. พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ. (2546). กำเนิดและพัฒนาการแห่งพระพุทธรูป. สืบค้น 17 กรกฎาคม 2564, จาก https://www.mcu.ac.th/article/detail/502 พระมหาสากล สุภรเมธี (เดินชาบัน) และ พระราชปริยัติวิมล (ศรีสุระ). (2562). กำเนิดและพัฒนาการ พุทธศิลปวัตถุสมัยต่าง ๆ ในประเทศไทย. วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ มหาวิทยาลัยศรี นครินทรวิโรฒ, 21(1), 45-52. ภัทรวรรณ วันทนชัยสุข. (2546). ความรู้เก่ียวกบั พระพทุ ธเจ้า. กรุงเทพฯ: ภูมิปัญญา. ยุทธนา พูนเกิดมะเริง. (2553). การอนุรักษ์และการจัดการพุทธศิลป์. สืบค้น 9 มีนาคม 2564 , จาก https://sites.google.com/site/smcucorat/Home/khxmul-web/pi-4-2552/pi-4-/kar- xnuraks-laea-cadkar-phuthth-silp/thdsxb-play-phakh สด แดงเอียด. (2556). การสัมมนา \"พุทธศาสนากับงานพุทธศิลป์\". สืบค้น 9 มีนาคม 2564, จาก http://rsuartdesign.blogspot.com/2017/09/blog-post.html สมพร ไชยภูมธิ รรม. (2543). ปางพระพุทธรูป. กรงุ เทพฯ: ต้นธรรม.
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 267 สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน. (ม.ป.ป.). ความหมาย ท่ีมา และคติการสร้างพระพุทธรูป. สืบค้น 10 มี น า ค ม 2 5 6 3 , จ า ก https:/ / www.saranukromthai.or.th/ sub/ book/ book.php? book=29&chap=2&page=t29-2-infodetail01.html อัธยา โกมลกาญจน. (2545). พระพุทธศาสนาบนแผ่นดินไทย. กรงุ เทพฯ: อักษรเจริญทัศน์.
แผนบรหิ ารการสอนประจำบทที่ 8 บทที่ 8 สถานการณ์ของพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน เน้อื หาประจำบท 1. บทนำ 2. ความร้พู ืน้ ฐานของพระพุทธศาสนาทีช่ าวพุทธควรศึกษา 2.1 คมั ภรี ์ในศาสนา 2.2 หลักคำสอนท่ีสำคญั 2.3 พธิ กี รรมทส่ี ำคัญ 2.4 สญั ลกั ษณข์ องพระพุทธศาสนา 2.5 ลักษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา 3. สถานการณข์ องพระพุทธศาสนาทีส่ ำคัญในปจั จุบัน 3.1 ดา้ นการศึกษา 3.2 ด้านการปกครอง 3.3 ดา้ นการเผยแผ่ 4. สรปุ ทา้ ยบท คำถามท้ายบท เอกสารอา้ งอิงประจำบทท่ี 8 จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. นักศึกษาสามารถวิเคราะห์เนื้อหาสำคัญ ๆ ด้วยการรวบรวม เรียบเรียงเนื้อหาสำคัญใน บทเรียนด้วยกราฟิกตา่ ง ๆ เช่น แผนภูมิ แผนที่ความคิด เปน็ ต้น และถา่ ยทอดเนือ้ หาด้วยภาษาของตนใน การนำเสนอหน้าช้นั เรยี นได้ 2. นักศึกษาสามารถอภิปราย ถาม-ตอบ ตีความเนื้อหานั้น ๆ ได้ และประยุกต์ใช้ในชีวิตได้อย่าง ถกู ตอ้ งเหมาะสม 3. นักศึกษาสามารถแสวงหาความรู้ด้วยการค้นคว้าข้อมูลสารสนเทศท่ีเป็นประโยชน์ต่อ การศึกษา นำมาเขียนรายงาน บรรยาย และนำเสนอเนอื้ หาดว้ ยตนเองได้
270 กจิ กรรมการเรยี นการสอน 1. บรรยาย/อภิปราย/มอบหมาย/แบ่งกลุ่มนักศึกษาให้รับผิดชอบในการวิเคราะห์ด้วยการ รวบรวม และเรียบเรียงเนือ้ หาสำคัญ ๆ ด้วยกราฟิกต่าง ๆ เช่น แผนภูมิ, แผนทีค่ วามคดิ เป็นต้น ด้วยการ ใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมการเรียนการสอนออนไลน์ เช่น Excel 1 (กระดาษแผ่นเดียว), Google Sites, XMind2020, Canva เป็นต้น นำข้อมูลที่ได้มาถ่ายทอดเนื้อหาด้วยภาษาของตนในการเขียนรายงานและ นำเสนอหนา้ ช้นั เรยี น 2. นักศกึ ษาฟงั การบรรยาย/จดบันทกึ สรุปเนอ้ื หา/ฝกึ ต้ังคำถาม/ฝึกตอบ/ฝกึ อภิปรายในช้ันเรยี น 3. ศึกษาจากเอกสารประกอบการสอน/ค้นคว้าเนื้อหาท่ีเก่ียวข้องเพิ่มเติมจากหนังสือ/ห้องสมุด และเว็บไซต/์ ตอบคำถามท้ายบท/ทดสอบ Pretest และ Posttest ส่ือการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน/PowerPoint/Ebook 2. แบบเรียนออนไลน์/โปรแกรมการสอนออนไลน์ เช่น Google Classroom, Google Sites, Google forms, Google Meet, Zoom Cloud Meeting, Microsoft Teams, XMind2020, Canva, TeamLink เป็นต้น การวดั ผลและการประเมนิ ผล 1. ประเมินคุณธรรมจรยิ ธรรมโดยใช้แบบ Checklist การตรงเวลาในการเข้าช้ันเรียน การส่งงาน ที่มอบหมาย และการอ้างอิงผลงานคนอ่ืน และใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการมีจิตสาธารณะในการทำ กจิ กรรมทงั้ ในและนอกหอ้ งเรยี น 2. ประเมินความรู้และทักษะทางปัญญา โดยการทดสอบ Pretest และ Posttest/ตอบคำถาม ท้ายบท/การวิเคราะห์ด้วยการรวบรวมและเรียบเรียงเนื้อหาสำคัญ ๆ ด้วยกราฟิกต่าง ๆ เช่น แผนภูมิ , แผนที่ความคิด เป็นต้น ด้วยการใช้เคร่ืองมือหรือโปรแกรมการเรียนการสอนออนไลน์ นำข้อมูลท่ีได้มา ถ่ายทอดเนอื้ หาด้วยภาษาของตนในการเขยี นรายงานและนำเสนอหนา้ ชั้นเรยี น 3. ประเมินทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ และทักษะการวิเคราะห์เชิง ตัวเลข การส่ือสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยใช้แบบ Checklist จากการอภิปราย/การแสดง ความคิดเห็น/การถาม-ตอบ/การวิเคราะห์เนื้อหาที่เรียน/การสรุปเนื้อหา/การส่งงานใน Google Classroom/การนำเสนอหนา้ ช้ันเรยี น
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 271 บทที่ 8 สถานการณ์ของพระพทุ ธศาสนาในปั จจบุ ัน 1. บทนำ ปัจจุบันพระพุทธศาสนาในประเทศไทยนับว่าเจริญที่สุดในบรรดาประเทศท่ีนับถือศาสนาพุทธ สายเถรวาท โดยล่าสุดนานาประเทศได้ยกย่องให้พุทธมณฑลเป็นศูนย์กลางในการจัดงานวิสาข บูชา ซึ่ง สมชั ชาสหประชาชาติไดม้ ีมตริ ับรองวันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลและมมี ตใิ ห้พุทธมณฑลเป็นศนู ย์กลาง พระพุทธศาสนาโลก แสดงให้เห็นว่า ทั่วโลกให้การยอมรับถึงความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาพุทธใน ประเทศไทย แต่รัฐบาลไทยยังไม่ได้บรรจุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ เพียง รับทราบโดยทั่วกันด้วยวาจาว่า ศาสนาพุทธคือศาสนาประจำชาติ และเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ในขณะที่ ประเทศเพื่อนบ้านคือประเทศพม่าได้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ศาสนาพุทธในประเทศไทยนั้น นับว่ายังไม่มีความม่ันคงแน่นอนในทางนิตินัย สมกับจำนวนผู้นับถือ พระพุทธศาสนาในประเทศไทย ซ่ึงชาวพุทธทุกคนควรให้ความสนใจและตระหนักในเร่ืองนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเราได้รับบทเรียนทางประวัติศาสตร์ของประเทศอินเดียมาแล้ว ทั้ง ๆ ที่อินเดียเป็นแหล่งกำเนิด ของศาสนาพุทธ แตเ่ มื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่มีผนู้ ำท่ีไม่ใช่ชาวพุทธ ศาสนาพุทธได้เส่ือมสลาย ไปจากประเทศอินเดียนานราว 800 ปี โดยไม่มผี ู้นับถอื ศาสนาพุทธหลงเหลือแม้แต่คนเดียว ดังได้กลา่ วไว้ แล้วในบทท่ี 6 น้ัน ดังน้ัน ในบทน้ีจะกล่าวถึงความรู้พน้ื ฐานของพระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธควรศึกษา เช่น คัมภีร์ในศาสนา หลักคำสอนท่ีสำคัญ เป็นต้นและสถานการณ์ของพระพุทธศาสนาท่ีสำคัญในปัจจุบัน ประกอบด้วย ด้านการศึกษา ด้านการปกครอง และด้านการเผยแผ่ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง จะทำให้ทราบว่า ศาสนาพุทธนั้นมีความสำคัญอย่างไร ควรท่ีชาวไทยพุทธควรหวงแหน ทำหน้าท่ีในการปกป้อง รักษา สืบ สาน และเผยแผ่ให้อนุชนรุ่นหลังได้นับถือสืบไปหรือไม่ ตลอดถึงควรศึกษาให้เข้าใจแจ่มแจ้ง แล้วน้อม นำมาปฏิบัติให้เห็นผล เหมาะสมกับที่ได้รับยกย่องว่าเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาจากนานาชาติ หรือไม่ อยา่ งไร 2. ความรพู้ นื้ ฐานของพระพทุ ธศาสนาท่ชี าวพุทธควรศกึ ษา 2.1 คัมภรี ใ์ นศาสนา สุชีพ ปุญญานุภาพ (2539, หน้า 1-25) กล่าวว่า คัมภีร์ของศาสนาพุทธ คือพระไตรปิฎก คำว่า \"ไตรปิฎก\" มาจากภาษาบาลีว่า ติปิฏก หรือเตปิฏก ติ หรือ เต หรือ ไตร แปลว่า 3 ปิฏก แปลว่า กระจาดหรือตะกร้า ตีความได้ว่าเป็นเสมือนกระจาดหรือตะกร้าสำหรับใส่หรือรวบรวมพระพุทธวจนะให้ เป็นหมวดหมู่ ไม่ให้กระจัดกระจาย แบ่งเป็น 3 หมวดหมู่ โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่สาวกรวบรวมจาก
272 การท่ีท่องจำสืบต่อกันมาแล้วได้มาประชุมสังคายนาร่วมกันหลายครง้ั และได้จารึกข้ึนในภายหลงั เป็นภาษา บาลี สนั สกฤต จนี ทิเบต และไทย พระไตรปิฎกท้ัง 3 นน้ั ไดแ้ ก่ 1. พระวนิ ัยปฎิ ก 2. พระสุตตนั ตปฎิ ก 3. พระอภิธรรมปิฎก พระวนิ ยั ปิฎก พระวินัยปิฎก เป็นปิฎกท่ีรวบรวมเร่ืองว่าด้วยวินัย คือ ศีลของภิกษุ ภิกษุณี มีเร่ืองเล่าประวัติ ความเป็นมาท่ีทรงบัญญัติวินัยอย่างละเอียด นอกน้ันยังมีเร่ืองเก่ียวกับข้อประพฤติปฏิบัติและ วิธีดำเนินการในการบริหารคณะสงฆ์โดยพิสดารมี 21,000 พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็น 3 หมวด หรือ 5 คมั ภรี ์ จัดพิมพ์อักษรไทย รวมทัง้ หมด 8 เล่ม คอื 1) วภิ งั ค์หรอื สุตตวภิ งั ค์ ว่าด้วยสกิ ขาบทในปาฏโิ มกข์ แบ่งเป็น 2 คมั ภีร์คอื 1.1 อาทิกัมมิกะหรือปาราชิก (อา) ว่าด้วยสิกขาบทที่เกี่ยวกับอาบัติหนัก ตั้งแต่ ปาราชิกถงึ อนิยต (Major Offences) (1 เล่ม) 1.2 ปาจติ ติยะ (ปา) วา่ ด้วยสิกขาบททเี่ กี่ยวกับอาบัติเบา ต้ังแต่นสิ สคั คิยปาจิตตีย์ถึง เสขิยะ และรวมเอาภิกขุนีวิภังค์เข้าไว้ด้วย (Minor Offences) จัดเป็น 2 เล่ม วิภังค์นี้แบ่งอีกอย่างหน่ึง เป็น 2 คัมภรี ์เหมอื นกนั คอื • มหาวภิ งั ค์ (ภกิ ขวุ ิภงั ค)์ วา่ ด้วยสกิ ขาบทในปาฏโิ มกข์ฝ่ายภกิ ษุสงฆ์ (2 เลม่ ) • ภิกขนุ วี ิภังค์ว่าด้วยสกิ ขาบทในปาฏิโมกขฝ์ า่ ยภิกษณุ สี งฆ์ (1 เลม่ ) 2) ขันธกะ ว่าด้วยสิกขาบทนอกปาฏิโมกข์ รวมเป็นบท ๆ เรียกว่า ขันธกะหน่ึง ๆ ท้ังหมด มี 22 ขนั ธกะ แบ่งเป็น 2 วรรค คือ 1. มหาวรรค (ม; วรรคใหญ่) ว่าดว้ ยสกิ ขาบทนอกปาฏิโมกข์ตอนต้น มี 10 ขันธกะ (2 เล่ม) 2. จลุ วรรค (จุ; วรรคเล็ก) ว่าดว้ ยสิกขาบทนอกปาฏิโมกข์ตอนปลาย มี 12 ขันธกะ (2 เล่ม) 3) ปริวาร (ป; หนงั สือประกอบ,คู่มอื ) คัมภรี บ์ รรจุคำถามคำตอบ ซอ้ มความรเู้ ร่ืองพระวินยั (1 เลม่ ) พระสตุ ตนั ตปิฎก พระสุตตันตปิฎกเป็นปิฎกท่ีว่าด้วยพระสูตร ได้แก่ หลักธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าและพระ สาวก มีเรื่องราวประกอบ มีรายละเอียดเก่ียวกับภูมิประเทศ เหตุการณ์ บุคคล และกาลเวลา ทำให้ได้ ประโยชน์ในการศึกษาชีวิตของชาวอินเดียในครั้งน้ัน มีลักษณะเป็นรูปคาถา (ร้อยกรอง) ล้วนบ้าง ร้อย แก้วล้วนบ้าง ผสมร้อยแก้วกับร้อยกรองบ้าง มีท้ังหมด 21,000 พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็น 5 นิกาย (ประมวลหรือชมุ นุม) รวมทั้งหมด 25 เล่ม คอื 1) ทฆี นิกาย (ที) ชมุ นุมพระสูตรทม่ี ขี นาดยาว จัดเป็น 3 วรรค มี 34 สูตร (3 เลม่ )
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 273 2) มัชฌิมนิกาย (ม) ชุมนุมพระสูตรที่มีความยาวปานกลาง จัดเป็น 3 ปัณณาสก์ (หมวดละ 50 สูตร) มี 152 สตู ร (3 เลม่ ) 3) สังยุตตนิกาย (สํ) ชุมนุมพระสูตรที่รวมเข้าไว้เป็นหมวด ๆ ตามเรื่องที่เนื่องกัน เรียกว่า สังยตุ ตห์ น่งึ ๆ จัดเปน็ 56 สงั ยตุ ต์ แลว้ ประมวลเขา้ อกี เปน็ 5 วรรค มี 7,792 สูตร (5 เล่ม) 4) อังคุตตรนิกาย (อํ) ชุมนุมพระสูตรท่ีรวมเข้าไว้เป็นหมวด ๆ ตามลำดับจำนวนหัวข้อธรรม เรยี กวา่ นิบาตหน่งึ ๆ จดั เปน็ 11 นิบาต (หมวด 1 ถงึ หมวด 11) มี 9,557 สตู ร (5 เล่ม) 5) ขุททกนิกาย (ขุ) ชุมนุมพระสูตร ข้อธรรม คำอธิบาย และเร่ืองราวเบ็ดเตล็ด รวมคัมภีร์ที่จัด เข้าไม่ได้ในนิกาย 4 ข้างต้น มีทั้งหมด 15 คัมภีร์ จัดเป็น 9 เล่ม คือ ขุททกปาฐะ ธรรมบท อุทาน อิติวุตตกะ สุตตนิบาต (1 เล่ม) วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรีคาถา (1 เล่ม) ชาดก (2 เล่ม) นิทเทส (มหานิทเทส 1 เล่ม, จูฬนิทเทส 1 เล่ม) ปฏิสัมภิทามัคค์ (1 เล่ม) อปทาน (2/3 เล่ม) พุทธวงศ์ จริยาปิฎก (1/3 เลม่ ) พระอภธิ รรมปฎิ ก พระอภิธรรมปิฎก คือปิฎกที่ว่าด้วยอภิธรรม กล่าวถึงธรรมะในแง่วิชาการล้วน ๆ ไม่เกี่ยวกับ เหตุการณ์ บุคคล ภูมิประเทศ และกาลเวลา ซ่ึงมีอธิบายอยู่แล้วในส่วนพระสุตตันตปิฎกนั่นเอง มี 42,000 พระธรรมขันธ์ แบง่ เปน็ 7 คมั ภรี ์ รวมทัง้ หมด 12 เลม่ คือ 1) ธัมมสังคณี หรือ สังคณี (สํ) รวมข้อธรรมเข้าเป็นหมวดหมู่ อธิบายเป็นประเภท ๆ (1 เล่ม) 2) วภิ ังค์ (วิ) อธิบายข้อธรรมที่รวมเป็นหมวดหมู่ แยกแยะออกช้ีแจงวนิ ิจฉัยโดยละเอียดเรียกว่า วิภงั คห์ นึง่ ๆ (1 เลม่ ) 3) ธาตกุ ถา (ธา) สงเคราะหข์ อ้ ธรรมต่าง ๆ เขา้ ในขนั ธ์ อายตนะ ธาตุ (ครึ่งเลม่ ) 4) ปุคคลบญั ญัติ (ปุ) บัญญัตคิ วามหมายบุคคลประเภทตา่ งๆ ตามคุณธรรมทม่ี ีอยใู่ นบุคคลนั้น ๆ (ครึง่ เล่ม) 5) กถาวัตถุ (ก) แถลงวินิจฉัยทัศนะต่างๆ ท่ีขัดแยง้ ระหว่างนิกายทั้งหลายสมัยสังคายนาครัง้ ที่ 3 (1 เลม่ ) 6) ยมก (ย) ยกหัวข้อธรรมข้ึนวินิจฉัยด้วยวิธีถามตอบ โดยตั้งคำถามย้อนกันเป็นคู่ ๆ (2 เล่ม) 7) ปฏั ฐาน (ป) หรอื มหาปกรณ์ อธิบายปจั จัย 24 โดยพสิ ดาร (6 เล่ม) อนึ่ง 3 ปิฎกนี้ สงเคราะห์เข้าในปาพจน์ 2 (ธรรมและวินัย) คือ พระสุตตันตปิฎกและพระ อภิธรรมปฎิ กจัดเป็นธรรม สว่ นพระวนิ ัยปิฎกจดั เป็นวินัย พระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลีและได้จัดพิมพ์ด้วยอักษรไทย พม่า ลังกา ลาว มอญ เขมร โรมันซึ่ง อา่ นแล้วออกเสยี งเป็นอย่างเดยี วกนั และไดแ้ ปลเปน็ ภาษาต่าง ๆ หลายภาษารวมท้งั องั กฤษ ฝรง่ั เศส และ
274 เยอรมัน ส่วนที่จัดพิมพ์อักษรไทยเป็น 45 เล่ม ก็เพ่ือให้จำนวนสอดคล้องกับระยะเวลาท่ีพระพุทธเจ้า ประกาศพระพทุ ธศาสนา 45 ปี นั่นเอง ภายหลังท่ีพระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็นนิกายเถรวาทและมหายานแล้ว พระไตรปิฎกฉบับภาษา บาลีก็เป็นคัมภีร์ของฝ่ายเถรวาท ส่วนฉบับภาษาสันสกฤตเป็นคัมภีร์ของฝ่ายมหายาน ต่อมาได้มีการแปล เป็นภาษาจีนและภาษาทิเบต และฉบับสันสกฤตสูญหายไปมากตอ่ มาก พุทธศาสนกิ ชนฝ่ายมหายานจึงได้ ใช้พระไตรปิฎกฉบบั ภาษาจีนเป็นหลัก แม้ชาวญ่ีป่นุ ก็ใช้ฉบับภาษาจีนเป็นหลัก เพราะในสมัยก่อนญี่ปุ่นใช้ ตัวหนังสือจีน เพ่ิงมาประดิษฐ์ตัวอักษรแบบใหม่ข้ึนในภายหลัง นอกจากน้ียังมีคัมภีร์ทางพุทธศาสนาท่ี อธิบายขยายความคำสอนในคัมภีรพ์ ระไตรปฎิ กเป็นลำดับชนั้ ดงั น้ี 1. อรรถกถา เป็นตำราอธิบายพระไตรปิฎก ซ่ึงแต่งโดยอรรถกถาาจารย์ในกาลต่อมา เป็นตำรา ชั้นที่ 2 รองจากพระไตรปฎิ ก 2. ฎกี า เป็นตำราอธิบายขยายความอรรถกถา ซงึ่ แตง่ โดยพระฎกี าจารย์ ถอื เป็นตำราชั้นท่ี 3 3. อนฎุ กี า เปน็ ตำราอธิบายขยายความฎีกา หรอื เรื่องเกรด็ ยอ่ ยเบ็ดเตล็ด ซึง่ เขยี นโดยพระ อนฎุ ีกาจารย์ ถอื เป็นตำราชน้ั ที่ 4 2.2 หลักคำสอนท่ีสำคัญ หลกั คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าทัง้ 84,000 พระธรรมขันธน์ ั้น โดยภาพรวมแล้ว หลักคำสอนทุกหมวดทุกข้อล้วนมีความสำคัญเหมือนกันหมดทั้งสิ้น กล่าวคือ ถ้าพุทธศาสนิกชนได้นำ หลักคำสอนข้อใดข้อหน่ึงไปประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจังแล้ว จะได้รับผลของการปฏิบัติน้ัน เบื้องต้นคือ ความสุขในโลกน้ี ไปจนถึงขั้นหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เข้าถึงพระนิพพานได้เป็นเบื้องปลาย ข้ึนอยู่กับ หลักธรรมท่ีปฏิบัติน้ัน พระพุทธองค์ทรงมุ่งสอนให้ปฏิบัติเพื่อละสิ่งใด หรอื เข้าถึงสิ่งใด ล้วนเป็นหลักธรรม ท่ีทรงคุณค่าและสามารถพิสูจน์ได้ด้วยการน้อมเข้ามาใส่ตน คือ น้อมนำมาปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ส่วนหลัก คำสอนที่จะได้นำมาเสนอในบทเรียนนี้เป็นหลักคำสอนพื้นฐานสำคัญท่ีควรศึกษาก่อนในเบ้ืองต้น ประกอบด้วย พระรัตนตรัย หลักสัมมาทิฏฐิ ไตรลักษณ์ อริยสัจ 4 มรรคมีองค์ 8 และนิพพาน ดังมี รายละเอยี ดท่จี ะไดอ้ ธบิ ายขยายความพอเปน็ สังเขปดงั ต่อไปน้ี พระรตั นตรยั ในฐานะสัญลกั ษณข์ องศาสนาพทุ ธ พระรัตนตรัย แปลว่า ดวงแก้วอันประเสริฐ 3 ดวง เป็นสัญลักษณ์อันมีค่า และเป็นท่ีเคารพบูชา สูงสุดของพุทธศาสนิกชน 3 อย่าง คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งแต่ละรัตนะมีรายละเอียดและ คำอธิบายโดยยอ่ ดังนี้ รัตนะที่ 1 กล่าวคือพระพุทธเจ้า มีคุณลกั ษณะ 2 ประการ ไดแ้ ก่ 1) พระพุทธเจ้าในฐานะบุคคลสำคัญของโลกหรอื มนุษย์ในประวัติศาสตร์ พระนามวา่ “สิทธัตถะ” ทรงเป็นราชโอรสพระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางสิริมหามายา ตระกูลศากยะแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรง
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 275 ประสูติ ณ ลุมพินีวัน ในวันเพ็ญเดือน 6 ที่ประเทศอินเดีย เมื่ออายุครบ 16 พรรษา ได้อภิเษกสมรสกับ พระนางยโสธรา มีพระโอรส 1 องค์ พระนามวา่ ราหุล 2) พระพุทธเจา้ ในฐานะพระอรหันต์ เป็นพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ เป็นศาสดาเอกของโลก ทรงตรสั รู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในวันเพ็ญเดือน 6 ณ พุทธคยา ทรงประกาศธรรมจักรให้เป็นไป ทรงเผยแผ่ พระธรรมคำสอน เรียกว่า “พรหมจรรย์” หรือ “พระพทุ ธศาสนา” นานถึง 45 พรรษา และเสด็จดับขันธ์ ปรนิ พิ พาน เม่ือพระชนมไ์ ด้ 80 พรรษา ในวันเพ็ญเดือน 6 ณ เมอื งกุสินารา ประเทศอนิ เดียปจั จบุ ัน พระพุทธเจ้าในฐานะมนุษย์ผู้พัฒนาตนสูงสุดและเป็นแม่แบบท่ีมนุษย์ทั้งปวงจะต้องยึดถือไว้เป็น แบบอย่าง โดยทรงคุณสมบตั ิ 9 ประการ คือ • เปน็ พระอรหันต์ • ตรัสร้เู องโดยชอบ • ถงึ พร้อมดว้ ยวิชชาและจรณะ • เสด็จไปดีแล้ว • เป็นผู้รูแ้ จง้ โลก • เปน็ สารถีฝึกคนท่ีฝึกได้ไม่มใี ครย่ิงกวา่ • เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ท้ังหลาย • เป็นผ้ตู ืน่ และเบกิ บานแลว้ • เป็นผมู้ โี ชค ซ่ึงย่นย่อลงในหลัก 3 อย่าง คือ 1) พระมหาปัญญาธิคุณ ทรงมีพระปัญญาอันยิ่งใหญ่ คือทรงมี พระสัพพัญญุตญาณ 2) พระมหากรุณาธิคุณ ทรงมีพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่ ทรงมีความสงสารต่อสัตว์ โลก ปรารถนาให้พ้นทุกขโ์ ดยท่ัวกัน 3) พระวิสทุ ธิคณุ ทรงบรสิ ุทธ์ทิ ั้งพระชาติ และความประพฤติทางกาย วาจา ใจ รัตนะที่ 2 กล่าวคือ พระธรรม ได้แก่ คำส่ังสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซ่ึงเป็นความจริงท่ี สามารถเข้าถึงได้ เป็นสัจธรรม สามารถพิสูจน์ได้ สำหรับผู้นำพระธรรมน้ันมาประกาศ เผยแผ่สั่งสอนแก่ ผู้อื่นให้รู้ตาม เรียกว่า “ศาสดา” หรือ “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” หากผู้น้ันค้นพบธรรมเอง แต่ไม่สามารถ เผยแผ่พระธรรมน้ันแก่คนอื่นได้ เรียกว่า “พระปัจเจกพุทธเจ้า” และหากเป็นผู้รู้ธรรมตามท่ีพระสัมมา สัมพทุ ธเจ้าทรงสงั่ สอนนน้ั เรยี กว่า อนุพทุ ธ หรือ สาวก คณุ ของพระธรรมมี 6 ประการ ได้แก่ • เปน็ ธรรมอนั พระสัมมาสมั พุทธเจา้ ตรัสดแี ล้ว • เปน็ ธรรมอนั ผปู้ ฏิบตั จิ ะพงึ เห็นชดั ดว้ ยตนเอง • เปน็ ธรรมไมป่ ระกอบด้วยกาล (เหนือกาลเวลา)
276 • เปน็ ธรรมอนั ควรเรียกใหม้ าดู (พสิ ูจนไ์ ด้) • เปน็ ธรรมที่ควรนอ้ มเขา้ มาในตน • เปน็ ธรรมอันวิญญชู นพึงรู้เฉพาะตน พระธรรมทั้งปวงเป็นคุณชาติที่ทำให้ปุถุชนผู้ปฏิบัติตามกลายเป็นพระอริยบุคคล หรือผู้ ประเสริฐ มี 4 ระดับ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ พระธรรม มีวิมุติ เปน็ แก่น และความพ้นทกุ ข์เป็นรส พระคัมภีร์รองรับพระธรรมท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศแล้วเรียกว่า พระไตรปิฎก แบง่ เปน็ 3 ส่วน คือ 1) พระวินยั ปฎิ ก ว่าด้วยระเบียบวินัยและศลี 2) พระสุตตันตปิฎก วา่ ด้วยหลักธรรมที่ ทรงแสดงแก่บุคคลต่าง ๆ เก่ียวข้องกับเหตุการณ์ เวลา และสถานที่ 3) อภิธรรมปิฎก ว่าด้วยองค์แห่ง สภาวะธรรมลว้ น ๆ ไม่ปรารภบุคคลหรอื สถานที่ พระธรรมท้ังปวงรวมลงเป็นธรรม 3 อย่าง คือ 1) ปริยัติธรรม คือ การศึกษาเล่าเรียนพระธรรม และพระวนิ ัย อันเป็นสว่ นเบ้อื งต้น 2) ปฏิบตั ิธรรม คือ ความประพฤติตามธรรมที่ตนไดศ้ ึกษาเลา่ เรียนมา 3) ปฏิเวธธรรม คือ ผลของการปฏิบัติ ที่เรียกว่า อริยมรรค 4 อริยผล 4 มีโสดาปัตติมรรคเป็นเบื้องต้น มอี รหตั ตผลเป็นท่สี ุด รัตนะที่ 3 กล่าวคือ พระสงฆ์ ได้แก่ พระสาวก ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติ ถูกต้องตามพระธรรมวินยั ท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงและบัญญตั ิไว้ เป็นสาวกของพระสัมมาสมั พทุ ธ เจ้า และเป็นพยานการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธองค์ พระสงฆ์เป็นผู้ฟังและปฏิบัติตามและทำหน้าที่สืบต่อ อายุพระพุทธศาสนาดว้ ยปฏิบัติตามธรรม 3 อย่าง คือ ปริยัติ ปฏบิ ัติ และปฏิเวธ แล้วเผยแผ่หลักธรรมคำ สอนน้นั แก่ปถุ ุชนให้รแู้ ละปฏบิ ตั ติ าม พระสงฆ์ทรงคุณลักษณะ 9 ประการ ได้แก่ • เป็นผู้ปฏิบัติดี มุ่งปฏิบัติชอบด้วยพระวินัยพัฒนาตนเองไปตามลำดับ ไม่เป็นข้าศึก ต่อผู้อื่น พยายามขัดเกลาจิตใจและพฤติกรรมท่ีไม่เหมาะสมของตนไปตามลำดับ ตามความสามารถของตน • เป็นผู้ปฏิบัติตรงคือ พยายามทำตนให้ตรงต่อคำสอนเหล่านั้น เป็นผู้ตรงต่อตนเอง ตอ่ ผอู้ ื่นตอ่ ภารกจิ การงานพระศาสนา • เปน็ ผ้ปู ฏิบัตเิ ปน็ ธรรม คอื ปฏบิ ัติมุ่งใหส้ งบกาย วาจา ใจจนถึงหลุดพ้นจากความทุกข์ • เป็นผู้ปฏิบัติสมควร คือปฏิบัติตามสมควรแก่สมณเพศ สมควรแก่ฐานะ กระท่ัง สามารถขจัดกิเลสไดโ้ ดยลำดบั จนหมดสิ้นไป • เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชาคือ ปฏิบัติตนดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏบิ ัตสิ มควร ดงั กล่าวน้ันยอ่ มเปน็ ท่ีเคารพสกั การะของคนทง้ั หลาย
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 277 • เป็นผู้ควรแก่ของต้อนรับคือ เป็นผู้ที่เมื่อประชาชนต้อนรับแล้ว ย่อมเกิดความสุข สบายใจ คือ ประสบบุญอันมีผลเป็นความสุขทั้งในปัจจุบันและกาลภายหน้าด้วย • เป็นผู้ควรแก่ทักษิณาทานคือ เป็นผู้ปฏิบัติดีงาม เหมาะสมเป็นผู้รับทักษิณาทาน เพราะช่วยใหท้ านที่เขาบริจาคมีผลมีอานิสงสม์ าก • เป็นผู้ควรแกก่ ารทำอัญชลี คือเป็นผู้ปฏิบัติชอบ ควรแก่การประณมมือไหว้ท่านด้วย ความเคารพเป็นการแสดงความเคารพต่อผ้มู ีคุณความดี • เป็นเนื้อนาบุญของชาวโลกไม่มีเนื้อนาบุญอื่นย่ิงไปกว่า เพราะคุณความดีของ พระสงฆ์ดังที่ได้กล่าวมาแล้วเป็นเหมือนกับนาที่ดี ชาวโลกท่ีต้องการความดีอันเป็น สุขย่อมคบหาสมาคมเพราะความเป็นกัลยาณมิตร เป็นบ่อเกิดแห่งความดีทั้งปวง เมอื่ เขา้ สมาคมย่อมไดร้ บั สิง่ ทเี่ ปน็ กุศล และความสขุ ดังนน้ั พระสงฆจ์ ึงไดช้ ่ือวา่ เปน็ รตั นะที่ 3 ที่สมควรบูชาอย่างย่ิง หลักสมั มาทฏิ ฐิ (มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , 2561) สมั มาทิฏฐิ หมายถึง คำสอนท่ีทำให้เกดิ ความเขา้ ใจถูกตอ้ งตรงตามความเปน็ จรงิ ของโลกและชวี ิต ว่า ส่ิงใดเป็นความช่ัวท่ีต้องละเว้น ส่ิงใดเป็นความดีที่ต้องทำ ส่ิงใดเป็นการขจัดอาสวกิเลสให้สิ้นไปอย่าง เด็ดขาด และไม่ว่าจะถูกพิสูจน์โดยใคร จำนวนเท่าไร ผลลัพธ์ท่ีออกมาก็จะถูกต้องตรงกันตลอดกาล พระ สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงหลักสัมมาทิฏฐิท่ีมนุษย์ทุกคนต้องเข้าใจให้ถูกต้องในอังคุตตรนิกาย ทสก นิบาต จนุ ทสตู ร ว่า มี 10 ประการ ได้แก่ 1) ทานทใ่ี ห้แลว้ มีผล หมายถึง การใหใ้ นระดับแบง่ ปันกันมีผลต่อผูใ้ ห้ทานแนน่ อน ไมช่ า้ ก็เรว็ 2) ยัญท่ีบูชาแลว้ มีผล หมายถึง การใหใ้ นระดบั สงเคราะหก์ ันมผี ลต่อผูบ้ ูชาแน่นนอน 3) การเซ่นสรวงมผี ล หมายถงึ การบูชาบุคคลท่คี วรบชู ามีผลดีจริง กล่าวคอื มีอานิสงส์มาก ทำให้ ผทู้ ำการเซน่ สรวงบชู า เปน็ คนดี จติ ใจงาม เปน็ ทีร่ กั ของผ้พู บเห็น 4) ผลคือวิบากของกรรมที่ทำดีและทำช่ัวมี หมายถึง บุคคลทำดีต้องได้ดี ทำช่ัวต้องได้ช่ัวแน่นอน ไมช่ ้ากเ็ ร็ว ขึ้นกับแรงกรรมนัน้ ๆ จะให้ผลเมอื่ ไหร่ เมื่อองคป์ ระกอบครบ กรรมย่อมให้ผลแน่นอน 5) โลกน้ีมี หมายถงึ โลกนมี้ ีคณุ เป็นอยา่ งยิง่ เหมาะสำหรับใชส้ ร้างบญุ บารมี 6. โลกหน้ามี หมายถึง โลกหน้ามีจริง ตายแลว้ ไม่สูญ ความเปน็ ไปของโลกหน้าเป็นผลมาจากโลก นี้ และโลกก่อนหน้านี้ ซ่ึงคนเราเกิดมานับชาติไม่ถ้วน ทุกคนเคยผ่านการเกิดมาทุกประเภทไม่ว่าจะเป็น เทวดา มาร พรหม สัตวเ์ ดรัจฉาน เปรตร อสรุ กาย เปน็ ตน้ 7) มารดามี หมายถึง มารดามีพระคุณต่อบุตรอย่างยิ่ง หากไม่มีมารดาผใู้ ห้กำเนิดแลว้ จะหาชีวิต ไดจ้ ากไหน บุตรควรตง้ั ใจตอบแทนพระคุณท่านอย่างเตม็ ท่ี 8) บิดามี หมายถึง บิดามีพระคุณต่อบุตรอย่างย่ิง เฉกเช่นเดียวกันกับมารดา มารดาจะให้กำเนิด บุตรได้ ต้องอาศยั บดิ า บุตรควรตง้ั ใจตอบแทนพระคุณท่านอย่างเต็มที่
278 9) สัตว์ท่ีเกิดแบบโอปปาติกะมี หมายถึงสัตว์ท่ีเกิดผุดข้ึน หมายถึง สัตว์ท่ีเกิดผุดข้ึน โตทันที ไม่ เป็นเด็ก และไม่แก่ มีอยู่จริง อาทิเช่น ในภูมิทุคติ ได้แก่ สตั ว์นรก เปรต อสุรกาย ในภูมิสุคติ ไดแ้ ก่ เทวดา พรหม อรูปพรหม 10) สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบชนิดที่ทำให้แจ้งโลกนี้ โลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนให้ผู้อื่นรู้ตามมีอยู่ หมายถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้สามารถรู้แจ้งในโลกนี้ โลกหน้าด้วยวิ รยิ อตุ สาหะอนั ยง่ิ ของท่านเองมีจรงิ ซ่งึ ถ้าหากใครมคี วามเข้าใจในเร่อื งสมั มาทิฏฐิทั้ง 10 ประการน้แี ล้ว ตอ้ งถือว่าบุคคลนั้นมีวิถีชีวิตที่ สมบูรณแ์ บบทสี่ ุด (อง.ทสก. (ไทย) 24/176/324) ไตรลกั ษณ์ ไตรลกั ษณ์ หมายถึง กฎธรรมชาติทีม่ อี ย่ทู ่วั ไปในสรรพสิง่ กฎธรรมชาติน้เี ป็นภาวะท่ีทรงตัวอย่เู อง โดยธรรมชาติ (ธรรมธาตุ) เป็นหลักหรือกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัว (ธรรมฐิติ) เป็นส่ิงธรรมดา ไม่มีผู้สร้าง บันดาลเกิดเอง เป็นเอง (ธรรมนิยาม) พระพุทธเจ้าตรสั ถึงกฎธรรมชาตินี้ไว้ว่า ไม่ว่าพระพุทธเจ้าท้ังหลาย จะอุบตั ิขึ้นในโลกหรือไมก่ ็ตาม กฎธรรมชาตนิ กี้ ็ยงั คงมีอยูแ่ ละเป็นไปตลอดกาล พระพุทธเจา้ เป็นเพียงผู้รูท้ ่ี แจม่ แจ้งซงึ่ กฎธรรมชาติน้ัน แล้วทรงนำมาประกาศเปดิ เผยใหบ้ ุคคลอนื่ เขา้ ใจตามเท่านน้ั กฎน้ีมีช่ือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สามัญลักษณะ แปลว่า ลักษณะ 3 อย่าง หมายความว่า เป็น ลกั ษณะทวั่ ไป หรือมีเหมอื นกันในส่งิ ทงั้ ปวง มีอยู่ 3 ประการ ดังต่อไปน้ี 1) อนิจจตา: ความเป็นของไม่เที่ยง อันได้แก่ ไม่ถาวร ไม่คงท่ี ไม่แน่นอน เมือ่ มีการเกิดขน้ึ แล้ว ก็ เส่อื มไป และแปรปรวนไป 2) ทุกขตา: ความเป็นทุกข์ อันได้แก่ ความเป็นของทนได้ยาก ทนอยู่สภาพเดิมตลอดไปไม่ได้ ตอ้ ง แปรปรวนไป เพราะมีเหตุปัจจยั คอื ความเกดิ ขึ้น ความเสอื่ มไป และความแปรปรวนไป 3) อนัตตตา: ความเป็นของไม่ใช่ตัวตน อันได้แก่ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ขัดแย้งกับความ เปน็ ตวั ตน ไม่มใี ครเปน็ เจา้ ของ เปน็ ของว่างเปลา่ เป็นเพียงส่ิงสมมติ ไม่ใช่ของตนแท้จริง อนจิ จตา เป็นปรากฏการณ์ที่ประจักษภ์ ายนอก เชน่ ผมหงอก ฟนั หลดุ ผิวหนังเห่ียวยน่ เป็นต้น ส่วนทุกขตา เป็นเน้ือในของสิ่งนั้น หรือ เหตุให้เกิดการเปล่ียนแปลง น่ันคือ การท่ีผมหงอก ฟันหลุด ผวิ หนังเห่ียวย่น ดังที่ปรากฏให้เหน็ น้ัน เป็นเพราะเนื้อแท้ของส่งิ เหล่านี้ไม่มีความสมบรู ณ์ในตัว มนั มีความ บกพร่องในตัวเอง มันจึงทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และต้องมีอันเปลี่ยนแปลง และอนัตตตานั้นมี ความหมาย 2 นัยคือ 1) อนัตตตา แปลว่า ไม่ใชต่ น หมายความวา่ ไมใ่ ชต่ ัวตนของคน สัตว์ ส่งิ ของ สิ่งท่ี เป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ท่ีประกอบกันเข้าเป็นร่างท่ีเราเข้าใจว่าเป็น \"คน\" นี้ไม่ใช่ตัวตน แท้จริงของคน 2) อนัตตตา แปลว่า ไม่มีตัวตนที่แท้จริง ไม่มีวิญญาณถาวร หรือ สิ่ง ซึ่งอยู่เบื้องหลัง การเปลย่ี นแปลงท้ังหลาย อนตั ตตาในความหมายนี้ ตรงกันข้ามกบั อัตตาหรอื อาตมันท่ีลัทธิอนื่ เช่ือถือและ ยนื ยนั ว่ามจี ริง
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 279 ลักษณะดังกล่าวมา แสดงว่าทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในไตรลักษณ์ คือ สภาพไม่เที่ยงแท้ถาวร แปรปรวนเสื่อมสลายไปในท่ีสุด ทุกส่ิงเป็นของไม่จีรังยั่งยืน สรรพสิ่งในจักรวาล ตกอยู่ภายใต้กฎแห่ง ไตรลกั ษณ์ ไมว่ ่าโลก สังคมมนุษย์ และตัวเราเอง ก็ต้องเปล่ียนแปลงและเส่อื มสลายไปในที่สดุ อรยิ สจั 4 อริยสัจ แปลว่า ความจริงอันประเสริฐหรือความจริงของพระอริยบุคคล เพราะผู้ใดรู้อริยสัจด้วย ญาณ ผู้น้นั ก็กลายเป็นผู้ประเสริฐหรือพระอรยิ บุคคลทันที อริยสัจ จึงเป็นหัวใจของศาสนาพุทธ เป็นความ จรงิ ข้นั สงู สุดที่พระสมั มาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบหรือตรสั รู้ มี 4 ประการดังต่อไปน้ี 1) ทุกข์หรือทุกขอริยสัจ แปลวา่ สภาพท่ีทนได้ยากทั้งทางกายและทางใจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้แจ้งในความจริงอันได้แก่ ทุกข์ และทุกข์อันเป็นความจริงน้ี หมายถึง สภาพท่ีทนได้ยากทางกาย เรียกว่า ทุกข์กาย และสภาพท่ีทนได้ยากทางใจเรียกว่า ทุกข์ใจ ทุกข์ตามความหมายนี้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังตอ่ ไปน้ี 1) สภาวทุกข์ คอื ทกุ ข์โดยสภาพ อันไดแ้ ก่ ทุกข์ประจำสังขาร 3 อย่าง คอื ทกุ ข์คือความเกดิ ทุกข์ คือความแก่ และทกุ ข์คือความตาย 2) ปกิณณกทุกข์ คือ ทุกข์จรหรือทุกข์เบด็ เตล็ด อันได้แก่ ทุกข์ที่เกิดมีข้ึนภายหลัง มี 8 อย่าง คือ ความเศร้าโศก ความครำ่ ครวญ ความไม่สบายกาย ความไมส่ บายใจ ความคบั แค้นใจ ความพลดั พรากจาก สงิ่ อนั เป็นทรี่ ัก ความประสบกับสิง่ อันไม่เป็นทีร่ กั และความไมส่ มปรารถนา ผู้ศึกษาอาจสังเกต สภาวทุกข์และปกิณณกทุกข์ ได้ว่า กระบวนการแห่งชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงไป ตลอดเวลา ทั้งทางกายภาพอันได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และทางจิตภาพ อันได้แก่ ความเศร้าโศกความคับแค้นใจ ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นท่ีรัก ความไม่สมปรารถนา เป็นต้นล้วน ก่อให้เกิดความทุกข์ในรปู แบบตา่ ง ๆ กล่าวโดยสรุปว่าภาวะที่จิตหลงผิดไมเ่ ขา้ ใจความจริงตามสภาวธรรม จึงยึดติดรา่ งกายและความคดิ ตา่ ง ๆ นั่นคือความทุกข์ ศาสนาพุทธสอนให้มองโลกตามความเป็นจริงว่า โลกที่เราเห็นอยู่น้ีเป็นความจริงอย่างน้ี ชีวิต มนุษย์มีความเป็นจริงอย่างน้ี หากเราไม่ยอมรับความจริงท่ีปรากฏอยู่ เราจะแก้ปัญหาไม่ถูกจุด และแก้ ไมไ่ ดต้ ลอดกาล ศาสนาพุทธสอนว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่พึงจะเรียนรู้และทำความเข้าใจเพ่ือหาทางแก้พระพุทธเจ้า ได้ทรงช้ีแจงให้เห็นว่า มนุษย์กำลังป่วย ถ้ามนุษย์เข้าใจผิดคิดว่าตนไม่ป่วย อาการอาจจะหนักขึ้นเร่ือย ๆ เพราะความประมาทจนถึงแก่ชีวิต ถ้ามนุษย์เข้าใจผิด คิดว่าอาการป่วยของตนหนักจนไม่มีทางรักษา มนุษยก์ ห็ มดหวัง 2. สมุทัยหรือทุกขสมุทัย แปลว่าสาเหตุท่ีทำให้เกิดความทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงรแู้ จ้งในสาเหตุท่ี ทำให้เกดิ ทกุ ข์ อันไดแ้ ก่ ตัณหา 3 ประการดังต่อไปนี้
280 1) กามตัณหา คือความทะยานอยากและความเพลิดเพลินยินดีในกามหรือส่ิงท่ีน่าใคร่น่า พอใจ คำวา่ \"กาม\" ตามความหมายทางพระพุทธศาสนา มี 2 อย่างคือ (1) กเิ ลสกาม ได้แก่ กิเลสทที่ ำให้ เกิดความรักใคร่ ความพอใจในวัตถุกาม และ (2) วัตถุกาม ได้แก่ วัตถุหรืออารมณ์ที่ชวนให้รู้สึกรักใคร่ พอใจ และติดใจ อกี นัยหนึง่ วตั ถุกามคือ รูป เสียง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ (สงิ่ ทสี่ ัมผัสไดด้ ้วยกายหรอื ผิวหนัง) 2) ภวตัณหา คือความอยาก เปน็ สภาพท่ีตนปรารถนาจะเป็น เชน่ อยากเป็นดารา อยากเป็น ผ้แู ทนราษฎร อยากเปน็ หมอ อยากเปน็ ครู อยากเปน็ นายกรัฐมนตรี เปน็ ตน้ 3) วิภวตัณหา คือความไม่อยากเป็น ไม่อยากมีสภาพท่ีตนไม่ปรารถนา เช่น ไม่อยากแก่ ไมอ่ ยากเจบ็ ป่วย ไมอ่ ยากมีผมหงอก ไมอ่ ยากเปน็ คนจน ไมอ่ ยากมบี า้ นหลงั เล็ก ๆ เปน็ ตน้ 3. นิโรธหรอื ทุกขนิโรธ แปลว่าความดบั สนิทแห่งทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า การดับทุกข์ต้อง ดับที่เหตุ ซ่ึงทำให้ทุกข์เกิด เม่ือเหตุดับไปแล้ว ผลซ่ึงเกิดจากเหตุย่อมดับไปด้วย และความดับสนิทแห่ง ทุกขใ์ นทน่ี ้ี หมายถึงการดบั ตณั หาทั้ง 3 น่ันเอง การท่ีจะดับตัณหาโดยตรงนนั้ กระทำได้ยาก เพราะตัณหามีพลังแรง ตัณหาเป็นพฤตกิ รรมของจิต ท่ีเกิดมาคู่กับจิต จนทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าความอยากเป็นธรรมชาติของจิต ซึ่งจะแยกกันไม่ออก นอกจากน้ัน คนยังมีความอาลัยความรักในตัณหา โดยเข้าใจว่าตัณหาเป็นของตนเองหรือเป็นของตนเอง เลยทีเดียว จึงไม่อยากกำจัดตัณหา เปรียบเสมือนไฟท่ีกำลังลุกโพลงเต็มที่ จะให้ดับลงในทันทีทันใดนั้น ย่อมเป็นการยาก ฉะนั้น การดับตัณหาจึงค่อย ๆ ทำไปตามลำดับขั้น ซ่ึงขั้นตอนแห่งการดับตัณหาน้ี เรียกวา่ มรรคมอี งค์ 8 4. มรรคหรือทุกขนิโรธคามินปี ฏิปทา แปลว่าทางหรอื มรรควิธีที่จะนำไปสู่ความดบั ทกุ ข์ หรือดับ ตัณหานนั้ เอง อนั ไดแ้ ก่ อริยมรรคมอี งค์ 8 (วิ.มหา. (ไทย) 4/13-15/15-17) สาเหตุที่พระพุทธองค์ทรงจัดอันดับมรรคไว้ท้ายสุด พระอาจารย์สมภพ โชติปัญโญ พระผู้ แตกฉานในพระไตรปิฎกและนักปฏิบัติในยุคปัจจุบนั ได้แสดงทัศนะไว้ว่า เมื่อผู้ปฏิบตั ิปฏิบัติจนเข้าถึงการ ดับทุกข์ได้ตามลำดับของการปฏิบัติ เม่ือน้ันผู้ปฏิบัติจึงเข้าใจแจ่มแจ้งตามความเป็นจริงว่า นี่คือหนทาง ดับ ทุกข์ อย่างอ่ืนห าใช่ทางดับ ทุ กข์ไม่ ซึ่งเกิดข้ึน ใน ขณ ะจิตดับ ทุกข์ได้นั้น จึงมั่นใจได้ว่า น่ีคือ มรรค มรรคมีองค์ 8 1) สมั มาทฐิ ิ : ความเหน็ ชอบ มลี กั ษณะเด่น ๆ ดงั นี้ (1) ความเข้าใจชัดว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือสาเหตุแห่งทุกข์ อะไรคือความดับทุกข์และอะไร คือมรรควธิ หี รอื มรรคปฏิบตั ทิ จ่ี ะนำไปสคู่ วามดับทกุ ข์ (2) ความเขา้ ใจวา่ อะไรคอื กุศลกรรม และอะไรคอื อกุศลกรรม (3) ความเข้าใจหลกั ปฏจิ จสมุปบาท คือกระบวนการเกดิ ข้นึ และดับแห่งทุกขโ์ ดยปจั จยั อาศยั กนั 2) สัมมาสงั กัปปะ : ความดำรชิ อบ มีลักษณะเด่น ๆ 3 ประการดังน้ี
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 281 (1) ความคิดท่ีปลอดโปร่งไมห่ มกมุ่นพัวพันอยู่ในสิ่งที่สนองความอยาก อนั ได้แก่ รูป รส กล่ิน เสียง สัมผัส ท่ีเรียกว่า กามคุณ รวมถึงความคิดเสียสละ ปราศจากการครุ่นคิดหาผลประโยชน์ใส่ตัว (เนกขัมมวติ ก) (2) ความคิดท่ีไมพ่ ยาบาทม่งุ รา้ ยใครเตม็ ไปดว้ ยความเมตตากรณุ า (อพยาปาทวิตก) (3) ความคดิ ไม่เบียดเบยี นใคร ไม่คดิ ทำร้าย หรอื ทำลายใคร (อวหิ ิงสาวิตก) 3) สัมมาวาจา : การเจรจาชอบ มลี กั ษณะดงั นี้ (1) งดเว้นจากการพดู เท็จ (มุสาวาท) (2) งดเวน้ จากการพูดส่อเสียดยุยงใหเ้ กดิ ความแตกแยก (ปสิ ุณวาจา) (3) งดเว้นจากการพูดหยาบคาย (ผรุสวาท) (4) งดเว้นจากการพูดเพอ้ เจ้อ คอื พูดส่งิ ไรส้ าระ (สมั ผัปปลาปะ) 4) สัมมากมั มันตะ : การทำงานชอบ มีลักษณะดังนี้ (1) งดเว้นจากการทำลายชีวติ คนอน่ื และสตั ว์อนื่ (ปาณาติบาต) (2) งดเวน้ จากการขโมยของของคนอืน่ (อทินนาทาน) (3) งดเวน้ จากการประพฤติผิดในกาม (กาเมสมุ ิจฉาจาร) 5) สัมมาอาชวี ะ : การเล้ียงชพี ชอบ หมายถึงการทำมาหากินดว้ ยอาชีพทสี่ ุจริต เว้นมิจฉาอาชีวะ อันได้แก่ การเล้ียงชีพไม่ชอบ คือการโกงหรือหลอกลวง เว้นการประจบสอพลอ การบีบบังคับขู่เข็ญ และ การตอ่ ลาภด้วยลาภ รวมถึงอาชีพอกี 5 ประเภทดงั น้ี (1) การค้ามนุษย์ (2) การคา้ อาวธุ (3) การค้าเน้อื (4) การคา้ สุราและยาเสพยต์ ิด (5) การค้ายาพษิ 6) สัมมาวายามะ : ความเพียรชอบ หมายถึงเพียรพยายามทางจิตอย่างย่ิงใหญ่ 4 ประการ (สมั มัปปธาน) ดังน้ี (1) เพียรระวงั มิใหค้ วามชัว่ เกดิ ขน้ึ (สังวรปธาน) (2) เพียรละความชว่ั ทเ่ี กดิ ขนึ้ แล้ว (ปหานปธาน) (3) เพยี รสรา้ งความดที ่ียงั ไมเ่ กิดให้เกิดข้นึ (ภาวนาปธาน) (4) เพยี รรักษาความดีทเี่ กดิ ขนึ้ แล้วไม่ให้เส่อื ม (อนุรกั ขนาปธาน) 7) สัมมาสติ: การตั้งสติชอบ หมายถึงสติปัฏฐาน อันได้แก่การต้ังสติพิจารณาสิ่งท้ังหลายตาม ความเปน็ จรงิ 4 ประการดังน้ี
282 (1) พิจารณากาย มีหลายวิธี เช่นกำหนดลมหายใจเข้าและออก เป็นต้น (กายานุปัสสนา สติปฎั ฐาน) (2) พจิ ารณาเวทนา คอื ความรูส้ ึกสุข ทกุ ข์ ไมส่ ุข ไมท่ ุกข์ (เวทนานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐาน) (3) พิจารณาจิตคือให้รู้เท่าทันความนึกคิด เช่น จิตมีราคะหรือไม่มีราคะ มีโทสะหรือไม่มี โทสะเปน็ ต้น (จติ ตานุปัสสนาสติปัฎฐาน) (4) พิจารณาธรรมให้เกิดปัญญา รู้เท่าทันสภาวะความเป็นจรงิ เช่น พิจารณาขันธ์ 5 เป็นต้น (ธัมมานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน) 8) สัมมาสมาธิ: การต้ังจิตมั่นชอบ หมายถึงการท่ีจิตแน่วแน่อยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หน่ึง ไม่ฟุ้งซ่าน เรียกว่า เอกัคคตา สมาธแิ บ่งออกเป็น 3 ระดับจากต่ำไปหาสูง ดงั น้ี 1) สมาธิชัว่ ขณะซ่ึงเกิดแกส่ ามัญบคุ คลท่ัวไปในเวลาปฏิบัตภิ ารกจิ ประจำวนั เรยี กว่า ขณิกสมาธิ 2) สมาธิท่ีจวนจะแนว่ แนส่ มาธิทต่ี ั้งจิตมั่นกว่าระดับแรก เรยี กว่า อุปจารสมาธิ 3) สมาธิทแ่ี นบสนิท เป็นสมาธริ ะดบั ฌานขน้ั ต่าง ๆ อันเปน็ ระดบั สูงสดุ เรียกวา่ อัปปนาสมาธิ สมาธิระดบั ฌาน มอี ยู่ 4 ขั้น ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) ปฐมฌานมีองค์ประกอบ 5 คอื วิตก ความตรึกแต่ลมหายใจเข้าและออก วิจารความตรอง หรือพิจารณาลมหายใจเข้าและออก ปีติ ความอ่ิมเอิบใจ สุข เสวยสุขทางกายและใจอันเกิดจากวิเวก เอกคั คตาความมีสตเิ พ่งอยอู่ ย่างแนว่ แน่ 2) ทตุ ยิ ฌาน มีองค์ประกอบ 3 คอื ปีติ สขุ เอกัคคตา 3) ตติยฌาน มอี งคป์ ระกอบ 2 คือ สุข และเอกคั คตา 4) จตตุ ถฌาน มอี งคป์ ระกอบ 2 คอื เอกัคคตา และอุเบกขา (อภิ.ว.ิ (ไทย) 35/569-577/324-326) นิพพาน ด้วยเหตุท่ีชีวิตของมนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์นานัปการ ท้ังทุกข์กาย และทุกข์ใจ ซ่ึงผู้เกิดมามี ชีวิตอยู่ในโลกไม่สามารถจะหลีกหนีให้พ้นได้ ศาสนาพุทธจึงสอนให้มนุษย์ มุ่งปฏิบัติเพ่ือเข้าถึงความหลุด พ้นจากทุกข์โดยส้ินเชิง และตลอดไป ภาวะสูงสุดท่ีเม่ือเข้าถึงแล้ว ความทุกข์ย่อมดับส้ินไปตลอดกาลนี้ ได้แก่ภาวะทเี่ รียกว่า นพิ พาน 1) ความหมายของนิพพาน คำว่า นิพพาน โดยความหมายของศัพท์แปลว่า ความดับ โดยใจความหมายถึง ความดับกิเลส และกองทุกข์ อีกนัยหน่ึงหมายถึง ภาวะท่ีออกจากตัณหาหรือภาวะก้าวออกจากกิเลสเคร่ืองร้อยรัด เป็น ภาวะที่เมื่อเข้าถึงแล้วทำให้กิเลสและทุกข์ท้ังปวงดับไปโดยส้ินเชิง เป็นสมุจเฉทปหาน คือ เมื่อกิเลสและ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 283 ทุกข์ท้ังปวงดับสิ้นไปแล้ว ก็จะไม่กลับเกิดมีขึ้นมาอีก ผู้ที่เข้าถึงนิพพานดังกล่าวนี้ ศาสนาพุทธเรียกว่า พระอรหนั ต์ ในทางปฏิบัติ ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ก็คือผู้ที่ได้ปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ และปัญญา หรือหลัก อริยมรรคมีองค์ 8 จนได้บรรลุมรรคผลขั้นสูงสุดตามคำสอนของศาสนาพุทธอันได้แก่อรหัตตมรรคและ อรหัตตผล กิเลสท่ีเรยี กว่า สงั โยชน์ท่ียังเหลอื อยู่จากการทำลายของมรรคเบ้ืองตำ่ 3 ระดับ คือ โสดาปัตติ มรรค สกทาคามิมรรค และอนาคามิมรรค จะถูกอรหัตตมรรคทำลายให้หมดส้ินไปโดยส้ินเชิง ผลท่ีเกิด ต่อเนื่องจากการทำลายกิเลสของอรหัตตมรรค เรียกว่า อรหัตตผล ผู้ที่เข้าถึงหรือบรรลุอรหัตตมรรค อรหตั ตผล ท่ีเรยี กว่า พระอรหนั ตน์ ้ี เป็นผู้เข้าถงึ นพิ พานตามคำสอนของพระพทุ ธศาสนา 2) ประเภทของพระนพิ พาน การเข้าถึงภาวะสงู สดุ ตามคำสอนของศาสนาพุทธคือการบรรลุนพิ พาน พระอรหันต์ จงึ จัดว่าเป็น ผู้ท่ีได้เข้าถึงภาวะสูงสุดดังกล่าวนี้ แต่มีสิ่งท่ีควรทำความเข้าใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับพระอรหันต์ก็คือบุคคลที่ บรรลุมรรคผลขั้นสูงสุดที่เรียกว่า พระอรหันต์น้ี ถ้าบรรลุมรรคผลแล้วยังมีชีวิตอยู่ จะเรียกว่า ได้บรรลุ สอปุ าทิเสสนิพพาน พระอรหนั ต์จัดเปน็ ผ้ทู ดี่ ับทกุ ข์ทางใจได้สิน้ เชิง เพราะกเิ ลสอันเป็นสาเหตุให้เกิดความ ทุกข์ทางใจของท่านได้ถูกอรหัตตมรรคทำลายได้เด็ดขาดส้ินเชิงแล้ว ส่วนความทุกข์ทางกาย เช่น ความ เจบ็ ปวดหรือความเจ็บปว่ ยทางกายยงั คงมีอยู่ต่อไปตราบเท่าทท่ี ่านยังมีชวี ิตอยเู่ พราะสงั ขารร่างกายซ่ึงเป็น วิบากแห่งกิเลสและกรรมในอดีตของท่านยังมีอยู่ยังไม่ได้แตกดับไป ท่านจึงยังคงมีความทุกข์ทางกาย เชน่ เดยี วกับบุคคลท่วั ไป ข้อแตกต่างระหว่างพระอรหันต์กับปุถุชนและพระอริยบุคคลชั้นต่ำทั่วไปก็คือบุคคลท่ียังมีกิเลส เมื่อเกิดความทุกข์ทางกายก็จะสง่ ผลให้ท่านเกิดความทุกข์ทางใจด้วย ส่วนพระอรหันต์น้ัน ความทุกข์ทาง กายจะไม่ส่งผลให้เกิดความทุกข์ทางใจด้วย เพราะกิเลสอันเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ทางใจท่านละได้ เด็ดขาดส้ินเชิงดังกล่าวแล้ว เมื่อใดพระอรหันต์สิ้นชีวิตหรือตาย เมื่อน้ันเรียกว่า ได้บรรลุ อนุปาทิเสสนิพพาน เรียกอกี อย่างว่า นิพพาน เม่ือพระอรหันต์เข้าสู่อนุปาทเิ สสนิพพาน หรือ ปรินิพพาน สามารถกล่าวได้ว่าท่านได้ดับทั้งกายและกิเลสได้อย่างส้ินเชิง ท้ังทุกข์กายและทุกข์ใจ เพราะหลังจากตาย แล้ว ถือว่าพระอรหันต์องค์น้ันได้หมดส้ินชาติแล้ว กล่าวคือ ท่านจะไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดใน สังสารวัฏอีกต่อไป ในขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ได้กล่าวถึงนิพพานไว้ว่า \"ภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ 2 ประการน้ี 2 ประการเป็นไฉน คือ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ 1 อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ 1 ภิกษุทั้งหลาย กส็ อุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นพระอรหันตขณี าสพ อยจู่ บพรหมจรรย์ ทำกิจที่ ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพหมดสิ้นแล้ว หลุด พ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นยังได้รับอารมณ์ท้ังท่ีน่าพึงใจและไม่น่าพึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ เพราะความท่ีอินทรีย์ 5 เหล่าใดยังไม่เสื่อมสลาย อินทรีย์ 5 เหล่านั้นของเธอยังต้ังอยู่น่ันเทียว ภิกษุ
284 ท้ังหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะความสิ้นไปแห่งโทสะ ความส้ินไปแห่งโมหะของภิกษุน้ัน นี้เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ภิกษุทั้งหลาย ก็อนุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยน้ีเป็นพระอรหันต ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจท่ีควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพหมดสิ้นแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ เวทนาท้ังปวงในอัตภาพนี้ของภิกษุน้ันเป็น สภาพอันกิเลสท้ังหลายมีตัณหา เป็นต้นให้เพลิดเพลินมิได้แล้ว จักดับ (เย็น) ภิกษุท้ังหลาย น้ีเราเรียกว่า อนุปาทเิ สสนิพพานธาตุ ดูกรภกิ ษทุ ้ังหลาย นิพพาน 2 ประการน้ีแล\" (ขุ.อิติ. (ไทย) 25/44/392-393) ข้อความพระพุทธพจน์ดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่าง สอุปาทิเสสนิพพานกับอนุปาทิเสสนิพพาน เม่ือบุคคลดับกิเลส คือ ราคะ โทสะ และโมหะได้ ก็ชื่อ ว่า เข้าถึงสอุปาทิเสสนิพพาน พระพุทธศาสนาเรียกบุคคลผู้เข้าถึงนิพพานชนิดนี้ว่า พระอรหันต์ เมื่อยังมี ชีวติ อยู่ตอ่ ไปกย็ ่อมได้รับอารมณท์ ัง้ ทนี่ า่ พอใจ และไมน่ ่าพอใจ ยังเสวยท้ังสขุ เวทนาและทกุ ขเวทนา เพราะ อินทรีย์ 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้นและกายของท่านยังทำงานได้อย่างปกติ เช่นเดียวกับของบุคคลท่ัวไป แต่ เน่ืองจากท่านละกิเลสได้เด็ดขาดสิ้นเชิงแล้ว เมื่อกระทบอารมณ์และเวทนาอย่างใด อารมณ์และเวทนา อย่างน้ันย่อมไม่สามารถทำให้จิตของท่านหวั่นไหวไปตาม คือไม่เกิดความยินดียินร้ายเพราะอารมณ์และ เวทนานั้น ๆ เมื่อชีวิตของพระอรหันต์สิน้ สุดลง กไ็ ดช้ ่ือวา่ เข้าถึงอนปุ าทิเสสนิพพาน เวทนาท้ังปวงย่อมดับ สิน้ พรอ้ มกับการสิ้นสุดของชวี ติ 3) ความมีอย่จู รงิ ของภาวะทเี่ รยี กวา่ นพิ พาน ตามคำสอนของพระพุทธศาสนา ภาวะสูงสุดท่ีเรียกว่า นิพพาน ที่ผู้ปรารถนาความหลุดพ้นจาก ทกุ ขโ์ ดยส้นิ เชงิ พึงมงุ่ เข้าถงึ นน้ั เป็นภาวะที่มีอยูจ่ ริง และผู้ดับกิเลสไดห้ มดแล้ว เขา้ ถงึ ได้จริงหลักฐานเรอ่ื ง น้ี มี พ ร ะ พุ ท ธ พ จ น์ ที่ ป ร า ก ฏ อ ยู่ ใ น ขุ ท ท ก นิ ก า ย อุ ท า น ต รั ส ยื น ยั น ไ ว้ ว่ า “อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตนํ ยตฺถเนว ปฐวี น อาโปน เตโช น วาโย น อากาสานญฺจายตนํ น วิญฺ าณญจฺ ายตนํ น อากิญจฺ ญฺ ายตนํ นเนวสญฺนาสญฺ ายตนํ นายํ โลโก น ปรโลโก น อุโภ จนฺทิมสุริยา ตมหํ ภิกฺขเว เนว อาคตึ วทามิ น คตึ น ฐิตึ น จุติ น อุปปตฺติ อปฺปติฏฺฐํ อปฺปวตฺตํ อนารมฺมณเมวตํ เสวนฺโต ทกุ ขฺ สสฺ าต”ิ (ขุ.ธ.(บาลี) 25/158/206-207) \"ภิกษุท้ังหลาย อายตนะน้ันมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลมอากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกน้ีโลกหน้า ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ท้ังสองย่อมไม่มี ในอายตนะนั้น ภิกษุทงั้ หลาย เราไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่าเปน็ การมา เป็นการไป เป็นการต้ังอยู่ เป็นการ จตุ ิ เปน็ การอบุ ัติ อายตนะน้นั หาทต่ี ้ังอาศัยมไิ ด้ เป็นไปมิได้ หาอารมณม์ ไิ ด้ น้แี ลเป็นทส่ี ุดแห่งทุกข\"์ “อตฺถิ ภิกฺขเว อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ โน เจตํ ภิกฺขเว อภวิสฺส อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ นยิธ ชาตสฺส ภูตสฺส กตสฺส สงฺขตสฺส นิสฺสรณํ ปญฺญาเยถฯ ยสฺมา จ โข ภิกฺขเว อตฺถิ อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ ตสมฺ า ชาตสฺ ส ภูตสฺส กตสฺส สงฺขตสสฺ นสิ ฺสรณํ ปญญฺ ายตีต”ิ (ขุ.ธ.(บาลี) 25/160/207-208)
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 285 \"ภิกษุทั้งหลาย ภาวะอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้วอันปัจจัยไม่ทำแล้ว ไม่ปรุงแต่งแล้ว มีอยู่ ภิกษุ ทั้งหลาย ถ้าว่าภาวะอันไม่เกิดแล้วไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้ว ไม่ปรุงแต่งแล้ว จักไม่มีแล้วไซร้ การ สลัดออกซ่ึงภาวะที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกน้ีเลย ภิกษุ ทั้งหลาย ก็เพราะเหตุที่ภาวะอันไม่เกิดแล้วไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้ว ไม่ปรุงแต่งแล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การสลัดออกซ่งึ ภาวะทเ่ี กิดแลว้ เป็นแลว้ ปรุงแตง่ แลว้ จงึ ปรากฏ\" “ยตฺถ อาโป จ ปฐวี เตโช วาโย น คาธติ น ตตฺถ สกุ ฺกา โชตนตฺ ิ อาทจิ โฺ จ นปปฺ กาสติ น ตตถฺ จนฺทมิ า ภาติ ตโม ตตถฺ น วิชฺชติ ยทา จ อตตฺ นาเวทิ มุนิ โมเนน พฺราหฺมโณ อถ รปู า อรปู า จ สุขทกุ ขา ปมุจฺจตีติ” (ขุ.ธ. (บาลี) 25/50/81-85) “ดิน นำ้ ไฟ และลม ย่อมไมห่ ย่ังลงในนิพพานธาตุใดในนพิ พานธาตุน้นั ดาวท้ังหลายย่อมไม่สว่าง ดวงอาทิตย์ย่อมไม่ปรากฏดวงจันทร์ยอ่ มไม่สว่าง ความมืดย่อมไม่มี กเ็ ม่ือใดพราหมณ์ชือ่ ว่ามนุ ีเพราะรู้แจ้ง (สัจจะ 4) แล้วดว้ ยตนเอง เมอื่ นน้ั เขาย่อมหลดุ พ้นจากรูปและอรูป จากสุขและทุกข”์ พระพุทธพจน์ท้งั หมดท่ีได้ยกมากล่าวไวน้ ี้แสดงใหเ้ ห็นอย่างชดั เจนว่า ภาวะที่เรียกวา่ นพิ พานน้ัน มอี ยู่จริง แต่เปน็ ภาวะท่ีไมม่ ีอะไรอย่างที่โลกมี กล่าวอกี นยั หนงึ่ อะไรก็ตามทีม่ ีอยหู่ รือปรากฏอยู่ในโลก ส่ิง เหล่านั้นไม่มีอยู่เลยในภาวะท่ีเรียกว่า นิพพาน ไม่มีท้ังดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ไม่ใช่ท้ังโลกนี้และโลก หน้า ตามปกติเวลาเราคิดถึงสิ่งท่ีมีอยู่ส่ิงใดสิ่งหน่ึง เราจะคิดถึงส่ิงนั้นในลักษณะท่ีมันเคลื่อนไหวไปใน ทิศทางใดทิศทางหนึ่งหรือเคลื่อนไหวมาจากทิศทางใดทิศทางหน่ึง แต่ภาวะที่เรียกวา่ นิพพานน้ัน ไม่ใช่ท้ัง การมา ไม่ใช่ท้ังการไป และไม่ใช่ทั้งการหยุดน่ิงอยู่กับท่ี ไม่ใช่ทั้งการแตกดับ (จุติ) ไม่ใช่ทั้งการเกิด (อุบัติ) เป็นภาวะท่ีหาที่ต้ังไม่ได้ จึงมอิ าจกล่าวได้ว่า มันมอี ยู่ ณ ท่ใี ด ทัง้ เปน็ ภาวะท่ีปราศจากอารมณด์ ้วยประการ ทง้ั ปวง ภาวะดังกลา่ วน้ีเองท่พี ระพุทธองค์ตรัสว่า เปน็ ที่สดุ แห่งทกุ ข์ ข้อความในลำดับต่อมา แสดงให้เห็นว่าภาวะท่ีเรียกนิพพานน้ัน เป็นภาวะท่ีไม่มีการเกิดขึ้น และ ไม่มีการเป็นไปปราศจากการปรุงแต่งของเหตุปัจจัย (อสังขตะ) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า ภาวะ เช่นทีก่ ล่าวน้ีมีอยู่จรงิ เพราะถ้าภาวะนี้ไม่มีอยู่แลว้ การท่ีจะปฏิบัติตนให้หลดุ พ้น (สลัดออก)ไปจากสภาวะ ที่มีการเกิดขึ้น มีการกระทำ และปรุงแต่งของเหตุปัจจัย (สังขตะ) ก็จะเป็นไปไม่ได้เลย แต่เพราะภาวะท่ี พ้นจากการปรุงแต่งของเหตุปัจจัยมีอยู่ การปฏิบัติตนจนเข้าถึงความหลุดพ้นจากสังสารวฏั อันเป็นสภาวะ ทเ่ี ปน็ ไปตามการปรุงแต่งของเหตุปัจจยั จงึ เปน็ ส่ิงเปน็ ไปได้ หลักความเช่ือและจุดมุ่งหมายสงู สดุ ศาสนาพุทธเช่ือว่า ตราบใดท่ีมนุษย์ยังไม่หมดกิเลส วิญญาณก็จะเวียนว่ายตายเกิดร่ำไป คนอาจ เกิดเป็นสตั ว์ สตั วอ์ าจเกดิ เปน็ คนก็ได้ ทัง้ นี้ก็เป็นไปตามอำนาจกรรมที่ไดก้ ระทำไว้ นอกจากนี้อาจไปเกดิ ใน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331