Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 00.BU5001-ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา-อ.สุดใจ

00.BU5001-ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา-อ.สุดใจ

Published by sudjaipookonglee, 2021-08-20 10:38:39

Description: 00.BU5001-ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา-อ.สุดใจ

Keywords: ประวัติศาสตร์ พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า วิเคราะห์พุทธประวัติ

Search

Read the Text Version

136

บทท่ี 5 พระพทุ ธศาสนาในประเทศไทยและต่างประเทศ 1. บทนำ พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนประเทศไทยสมัยเดียวกันกับประเทศศรีลังกา หรือเกาะลังกา ด้วยการส่งพระสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศต่าง ๆ 9 สาย จากการอุปถัมภ์ของ พระเจ้าอโศกมหาราช ในคราวสังคายนาครั้งท่ี 3 ดังกลา่ วแล้วในบทที่ 3 โดยการไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในครั้งนั้น พระธรรมทูตทุกสายสามารถให้การบวชและอุปสมบทให้แก่กุลบุตรผู้มีศรัทธาได้ นับว่า พระพุทธศาสนาไดเ้ ผยแผไ่ ปยงั ภูมภิ าคต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว และบางพ้ืนท่มี หี ลักฐานชัดเจน สามารถสบื ค้น ได้ เช่น สายพระโสณะและพระอุตตระ เนื่องจากมีการสืบต่อกันมาไม่ขาดสาย โดยเฉพาะหลักฐานท่ี ค้นพบในจังหวัดนครปฐม พบว่า พระพุทธศาสนาได้มาประดิษฐานในดินแดนแถบนี้เมือ่ ปี พ.ศ. 275-305 นับเป็นปีที่ใกล้เคียงกับหลักฐานในที่อื่น ๆ ขณะนั้นประเทศไทยรวมอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า สุวรรณภูมิ ซึง่ มขี อบเขตกว้างขวางกินอาณาเขตจากปากนำ้ อิรวดีลงมาอ่าวไทย มปี ระเทศรวมกันอยู่ในดินแดนส่วนน้ี ไม่น้อยกว่า 7 ประเทศ ได้แก่ ไทย พม่า ศรีลังกา ญวน กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ซึ่งสันนิษฐานว่ามีใจกลาง อยู่ที่จังหวัดนครปฐมของไทย เนื่องจากได้พบโบราณวัตถุที่สำคัญ เช่น พระปฐมเจดีย์ และรูปธรรมจักร กวางหมอบเป็นหลักฐานสำคัญ และพระสถูปวัดพระประโทน ลักษณะของสถูปเหล่านั้น มีส่วนคล้ายกับ พระสถูปของพระเจ้าอโศกมหาราช คือเป็นทรงโอคว่ำ เบื้องบนมีบัลลังก์ ปักฉัตรศิลาไว้ ต่อมาได้สร้าง พระปรางค์ขนึ้ บนบลั ลังค์ในสมัยขอม แต่พม่าก็สนั นิษฐานว่ามใี จกลางอยู่ท่เี มอื งสะเทิม ภาคใต้ของพมา่ จากการศึกษาพบว่า หลักฐานการนับถือพระพุทธศาสนาของไทยเริ่มปรากฏหลักฐานชัดเจนใน สมยั อาณาจักรอ้ายลาว กลา่ วคอื พ.ศ. 612 สมยั พ่อขุนหลวงเมาหรือเม้า กษตั รยิ ์แห่งอาณาจักรอ้ายลาวท่ี ได้แสดงตนเป็นพุทธมามกะ พร้อมด้วยพลเมอื งจำนวน 77 หัวเมือง 51,890 ครอบครัว จำนวน 553,761 คน ตรงกับพงศาสดารจีนของราชวงศ์ฮั่น ที่ระบุข้อความว่า ขุนหลวงม้ากษัตริย์ไทยทรงเป็นพุทธมามกะ และตง้ั แตบ่ ดั นั้นเป็นต้นมาคนไทยไม่เคยทอดทิ้งพระพุทธศาสนาเลย โดยการทำนบุ ำรงุ ใหเ้ จริญรุ่งเรืองสืบ มาด้วยการศึกษาและน้อมนำมาปฏิบัติเรื่อยมา แต่เนื่องจาก พ.ศ. 275-305 เป็นปีที่พระโสณะและพระ อุตตระได้เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมินั้น ห่างจาก พ.ศ. 612 ถึง 307 ปี จึงเชื่อ ได้ว่า คนไทยน่าจะนับถือพระพุทธศาสนามาก่อน พ.ศ. 612 ตามหลักฐานดังกล่าวแล้ว กล่าวคือ อาจนับถือมา ต้งั แต่พุทธศตวรรษที่ 3 ราว พ.ศ. 305 นัน่ เอง ดงั นนั้ ในบทนจ้ี ะกลา่ วถงึ ความเป็นมาของพระพุทธศาสนา ในประเทศไทยเป็นหลัก เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับตนเองให้ มากที่สุดเท่าท่ีจะทำได้ โดยแบ่งเปน็ 4 ยคุ คอื ยุคเถรวาทแบบสมยั พระเจ้าอโศก ยคุ มหายาน ยุคเถรวาท แบบพุกาม และยุคเถรวาทแบบลังกาวงศ์ ตั้งแต่สมัยทวารวดี สมัยอาณาจักรอ้ายลาว สมัยลพบุรี

138 สมัยพุกาม สมัยกรุงสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรี และสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากนั้นจะ กล่าวถึงพระพทุ ธศาสนาในต่างประเทศ เชน่ ลาว พม่า กัมพูชาเวยี ดนาม พารเ์ ทยี ทีร่ าบตารมิ จนี เกาหลี ญปี่ ุ่น อังกฤษ กรีก เยรมนี และสหรฐั อเมริกา พอสงั เขปตามลำดับ 2. พระพทุ ธศาสนาสมยั ทวารวดี ยุคที่ 1 เถรวาทแบบสมัยพระเจ้าอโศก กล่าวคือ ผืนแผ่นดินจุดแรกของอาณาจักรสุวรรณภูมิ หรือท่ีเรยี กกันว่า แหลมทอง นน้ั พระโสณะกับพระอุตตระ สมณทูตของพระเจ้าอโศกมหาราชได้เดินทาง จากชมพูทวปี เขา้ มาประดิษฐานน้ัน ในจดหมายเหตุของหลวงจนี เหีย้ นจัง เรียกวา่ ทวารวดี สันนิษฐานว่า ได้แก่ จังหวัดนครปฐม เพราะมีโบราณสถานและโบราณวัตถุต่าง ๆ เช่น พระปฐมเจดีย์ ศิลารูปพระ ธรรมจักร เป็นต้น ปรากฏว่าเป็นหลักฐานประจักษ์พยานอยู่ พระพุทธศาสนาที่เข้ามาในครั้งนี้ เป็นแบบ เถรวาทดั้งเดิม พุทธศาสนิกชนได้มีความศรัทธาเลื่อมใสบวชเป็นพระภิกษุจำนวนมาก และได้สร้างสถูป เจดีย์ไว้สักการะบูชา เรียกว่า สถูปรูปฟองน้ำ เหมือนสถูปสาญจีในอินเดีย ที่พระเจ้าอโศกทรงสร้างข้ึน ศิลปะในยุคน้เี รียกว่า ศิลปะแบบทวาราวดี พระธรรมดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ) (2548, หน้า 379-381) ระบุว่า สมณเฮี้ยนจัง ได้กล่าวไว้ใน บันทึกของท่านว่า ในราวพุทธศตวรรษที่ 12 ถัดจากทิศตะวันออกของอินเดียของมณฑลอัสสัม มีภูเขา ใหญ่สีดำเทียมเมฆ ถัดจากนั้น มีอาณาจักรชื่อ สิกหลีสักตอล้อ (ศรีเกษตร หรือ พม่า) และถัดจาก อาณาจักรนี้ไป ยังมีอาณาจักรชื่อ ตุยล้อกัวต่ี ตรงกับคำว่า ทวารวดี ตามสันนิษฐานของเซเดส์ ต่อมาได้ พบจารึกของกัมพูชาหลักหนึ่งระบุชื่อเมืองว่า ทวารกะเตย จึงเป็นหลักฐานสำคัญทำให้มั่นใจได้ว่า อาณาจกั รทวารวดี เป็นมหาอาณาจักรตงั้ อยู่ท่ามกลางพม่ากับมอญ พระพทุ ธศาสนาในอาณาจกั รทวารวดี นั้นเป็นเถรวาท มีความสัมพันธ์กับอินเดีย มีหลักฐานทางด้านพุทธศิลป์มากมายตั้งแต่ชิ้นเล็ก ๆ ไปจนถึง ชิ้นมหึมา เช่น มีพระพิมพ์อู่ทองเก่าท่ีนครปฐม นครชัยศรี ราชบุรี อันเป็นศูนย์กลางอาณาจักร มีพระพุทธรูปเสมาธรรมจักร ทำด้วยศิลาในเมืองกนกนครทางภาคอีสาน มีสถูปที่วัดกู่กุดลำพูนทางภาค พายัพ ปรากฏหลักฐานมากมาย และอาณาจักรทวารวดียังแผ่ไปถึงครหิ หรือ ไชยา ในปัจจุบัน และ ตอนบนของแหลมมลายู จากการสร้างทางรถไฟ ทำให้ไดพ้ บโบราณวตั ถุที่สำคัญมากมายและถูกทำลายไป ในระหว่างการสร้างด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ยังมีเหลือที่สำคัญ 2-3 แห่ง เช่น พระสถูปองค์แรกคือ พระปฐมเจดีย์องค์ข้างใน และพระสถูปวัดพระประโทน ลักษณะของสถูปเหล่านั้น มีส่วนคล้ายกับพระ สถูปของพระเจ้าอโศกมหาราช คือ เป็นทรงโอคว่ำ เบื้องบนมีบัลลังก์ ปักฉัตรศิลาไว้ ต่อมาได้สร้างพระ ปรางค์ขึ้นบนบัลลังค์ในสมัยขอม สำหรับพระสถูปวัดพระประโทนนั้นเข้าใจว่าได้สร้างในสมัยอยุธยา ซากพระสถูปที่วัดพระเมรุดัดแปลงพิศดารขึ้น โดยทำเป็นมุข 4 มุข แต่ละมุขตั้งพระพุทธรูปศิลานั่งห้อย พระบาท ซึ่งตรงกับอานันทเจดีของพม่าที่พุกาม พระปฐมเจดีย์และพระประโทน เข้าใจว่าสร้างสมัย สุวรรณภูมิ แต่ที่วัดพระเมรุสร้างสมัยทวารวดี รับแบบพุทธศิลป์มาจากราชวงศ์คุปตะของอินเดีย จีวรไม่

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 139 นยิ มทำเป็นรวิ้ แต่ทำเปน็ แนบพระวรกาย เพอ่ื แสดงองคาพยพ พระพทุ ธรปู ส่วนใหญส่ รา้ งจากศิลาดินเผา มีทั้งแบบเถรวาทและมหายาน มีจำนวน 4 องค์ องค์หนึ่งอยู่ที่นครปฐม ส่วนอีกสามองค์อยู่ที่อยุธยา ปาง พระวรมุทระ อยู่ในพิพิธพันธ์สถานแห่งชาติ และในจังหวัดสุพรรณบุรี ยังมีพระพุทธรูปปางป่าเลไลย์ สนั นิษฐานวา่ เปน็ พระพุทธรูปยุคทวารวดี ส่วนที่ถ้ำเขางู จงั หวดั ราชบรุ ี มีภาพบนผนังถ้ำเป็นพระพุทธรูป นั่งหอ้ ยพระบาทสมยั ทวารวดี และมีจารึกด้วยภาษาสนั สกฤตว่า ฤษสี มาธิคุปตะเป็นเจา้ ของถ้ำ นอกจากน้ี ยงั พบเสมาธรรมจักรและพระพมิ พด์ นิ เผาอีกจำนวนมาก ในศตวรรษที่ 12 นี้เอง ศิลปะและอารยธรรมสมัยทวารวดีได้แผ่ขยายไปยังภาคเหนือในลุม่ แมน่ ้ำ ปิง โดยเจ้าหญิงแห่งทวารวดีพระองค์หนึ่งพระนามว่า พระนางจามเทวี ได้เสด็จไปเมืองหริภุญไชย ได้นิมนต์พระสงฆ์จำนวน 500 รูป และศิลปินแขนงต่าง ๆ ไปด้วย มีการสร้างวัดจำนวนมากขึ้นในยุคน้ี เช่น วัดอภยั ทาราม วดั บพุ พาราม วัดพระคง วัดพระรอด วดั พระลีร้ อด โดยเชือ่ กันว่า พระรอด พระเครื่อง ตระกลู ลำพนู ถกู สร้างข้นึ ในสมยั นี้ 3. พระพุทธศาสนาสมัยอาณาจักรอ้ายลาว ยุคที่ 2 มหายาน กล่าวคือ พระพุทธศาสนาในยุคนี้เป็นแบบมหายาน ในสมัยพ่อขุนหลวงเมา หรือ เม้า กษัตริย์ไทย ก่อนที่จะอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทยปัจจุบัน ครองราชย์อยู่ในอาณาจักรอ้ายลาว ราว พ.ศ. 612 ไดร้ บั เอาพระพทุ ธศาสนามหายานผ่านมาทางประเทศจีน โดยการนำของพระสมณทูตชาว อนิ เดยี มาเผยแผ่ ในคราวท่ีพระเจ้ากนิษกะมหาราชทรงอปุ ถัมภก์ ารสงั คายนาครัง้ ท่ี 4 ของฝา่ ยมหายาน ณ เมืองชลันธร พระสมณทูตได้เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเอเซียกลาง พระเจ้ามิ่งตี่ กษัตริย์จีนทรงรับ พระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ในจีน และได้ส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรอ้ายลาว คณะทูตได้ นำเอาพระพุทธศาสนามาด้วย ทำให้หัวเมืองไทยทั้ง 77 มีราษฎร 51,890 ครอบครัว หันม านับถือ พระพุทธศาสนาแบบมหายานเป็นครั้งแรก (พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยตุ ฺโต), 2531, หนา้ 111) ต่อมาราว พุทธศตวรรษที่ 7 อาณาจักรอ้ายลาว ถูกจีนรุกรานจนเสียเอกราช จึงอพยพลงมาตามแม่น้ำสายต่าง ๆ ส่วนใหญอ่ พบพมาตามแมก้นำ้ แยงซี เขา้ ไปตงั้ หลักแหลง่ อยู่ในมณฑลยนุ นาน โดยต้ังอาณาจักรน่านเจ้าขึ้น แปลว่า เจา้ ฝ่ายใต้ โดยเจ้าเมอื งแสหลวง หรือ มองเซียหลง ตามทจ่ี ีนเรยี ก ราชวงศ์น้ีมกี ษตั ริย์ท่ียิ่งใหญ่อยู่ 2 พระองค์ คอื เจ้าสนี โุ ลหรือเจ้าขนุ หลวง ทรงครองราชย์ราว พ.ศ. 1193-1217 และเจา้ พีล่อโก๊ะหรือเจ้า ขุนบรม พระราชโอรสของเจ้าแสหลวงพี ซึ่งเป็นพระราชนัดดาของเจ้าสีนุโล ทรงครองราชย์ราว พ.ศ. 1271-1291 พระองค์ได้ขยายอาณาจักรออกไปไกล เช่น ได้สร้างเมืองแถง หรือ เดียนเบียนฟู ตามที่ เวียดนามเรียก เปน็ ราชธานใี หม่ในราว พ.ศ. 1274 เปน็ ตน้ เมอื งหลวงของอาณาจักรนา่ นเจา้ คือ หนองแส หรือ ตาลฟิ ู ตามทีจ่ นี เรียก รงุ่ เรอื งมาถึง 500 ปเี ศษ มอี าณาจกั รกว้างขวาง ทศิ ตะวนั ตกจรดอินเดีย ทิศ ใต้ลึกเข้าไปในประเทศพม่าและประเทศลาวตอนเหนือ ตรงกับราชวงศ์ถังและราชวงศ์สุงของจีน นับเป็น ยุคทองของพระพุทธศาสนานิกายมหายานในประเทศจีน ตามที่ระบุไว้ในพงศาวดาลจีนสมัยราชวงศ์ถัง

140 ความว่า ชาวไทยน่านเจ้าเจรญิ รุง่ เรือง และเป็นชาวพุทธที่เครง่ ครัด สาธยายสูตรใรพระพุทธศาสนาด้วย ความเคารพ มีตัวหนังสือเป็นทอง และปรากฏในพงศาวดาลจีนสมัยราชวงศ์สุง ความว่า กษัตริย์ไทยองค์ หนง่ึ ไดส้ ่งคัมภีรว์ ัชรปรชั ญาปารมิตา 3 ผกู และคมั ภรี ม์ หายมานกะอีก 3 ผูก ไปถวายพระเจ้ากรุงจีน และ ในจดหมายเหตุราชวงศ์หงวนของจนี ได้บันทึกไวว้ า่ พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรอื งมากในอาณาจักรนา่ น เจ้า ทุกบ้านเรือนไม่ว่าจะมั่งมีหรือยาก ล้วนต้องมีห้องบูชาพระพุทธรูปทั้งคนหนุ่มสาวทั้งคนแก่ต้องมี ลูกประคำอยู่ในมือใช้สำหรับนับเวลาสวดมนต์ติดตัวอยู่เสมอ ถ้าจะนึกภาพก็คงเป็นเช่นดังชาวธิเบตใน ปัจจุบันนั่นเอง และการเดินทางไปยังประเทศอินเดียใกล้มากในทางทิศตะวันตก (ฟื้น ดอกบัว, 2554, หน้า 222) ต่อมาในราว พ.ศ. 1797 อาณาจักรน่านเจ้าล่มสลาย โดยการรุกรานโจมตีของเจ้ากุบไลข่าน คน ไทยต่างระเหเร่ร่อน อพยพตนเองเพื่อหนีภัยลงมาทางตอนใต้อีกระลอกหนึ่ง แบ่งเป็นสายใหญ่ ๆ ได้ 5 สายดงั น้ี 1. ไทยแท้ ไทยยาง ไทยขาว เป็นตน้ คือพวกที่อพยพไปทางทศิ ตะวนั ออก เข้าไปตั้งรกรากทางทิศ ตะวันตกเฉยี งใต้ของเมืองไกวเจา กวางสี และกวางต้งุ ไดต้ ง้ั อาณาจักรสบิ สองปันนา ข้ึนมา มีเมืองเชียงรุ่ง หรือ จึงหง ตามที่จีนเรียก เป็นเมืองเอก อันเป็นจังหวัดหนึ่งของมณฑลยุนนาน มีคุนหมิงเป็นเมืองหลวง แบ่งออกการปกครองออกเป็น 12 เขต แต่ละเขตเรียกว่า พันนา หรือ ปันนา จึงเรียกว่า สิบสองปันนา น่ันเอง 2. ไทยดำ ไทยน้ำ ไทยลาย ไทยลู้ เป็นต้น คือพวกที่อพยพไปทางแม่น้ำดำ แม่น้ำแดง เข้าไปต้ัง รกรากฐิ่นฐานในแคว้นตังเกี๋ย ได้ตั้งอาณาจักรสิบสองจุไท หรือ สิบสองเจ้าไทย ขึ้นมา ที่ได้ชื่อเช่นน้ัน เพราะมีเจ้าอยู่ 12 องค์ ต่างเปน็ อิสระปกครองตนเอง ปจั จบุ ันชาวเวยี ดนาม เรยี กวา่ เดยี นเบียนฟู 3. ไทยอาหม ไทยขำต่ี ไทยหลวง ไทยมณีปุระ เป็นต้น คือพวกทอี่ พยพไปทางทิศตะวนั ตกไปตาม แม่นำ้ พรหมบุตร เข้าไปอาศัยในแคว้นอัสสมั ทางตอนเหนือของอนิ เดีย 4. ไทยใหญ่ หรือ ไทยฉาน หรือ ไทยเงี้ยว คือพวกที่อพยพไปตามแม่น้ำสาละวิน ได้ต้ังอาณาจักร มาวหรือเมาขึ้น ทางต้นแม่น้ำสาละวิน เมื่อราว 50 ปีก่อนพุทธศักราช หลังจากนั้นได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานใน แคว้นฉาน ประเทศพม่า มี 19 เจ้าฟ้าปกครองรัฐต่าง ๆ เรียกว่า รัฐ 19 เจ้าฟ้า ต่อมาได้สร้างเมืองต่าง ๆ ขึน้ มา เชน่ เมอื งนาย ในราว พ.ศ. 24 เมืองแสนหวี และเมืองสีหอ้ ในราว พ.ศ. 102 เป็นตน้ 5. พวกที่อพยพไปตามแม่น้ำโขง เข้าไปอยู่ในประเทศลาว เรียกว่า ไทยลาวหรือลาว พวกที่ไปต้ัง รกรากทางภาคอีสานของไทย เรียกไทยลาวหรือภูไท ส่วนพวกที่ไปตั้งถิ่นฐานทางตอนเหนือของไทย เรียกว่า ไทยน้อย และพวกไทยน้อยบางกลุ่มได้อพยพมาทางแคว ปิง วัง ยม น่าน แล้วเลยมาตามแม่น้ำ เจ้าพระยาต่อไปอกี เร่ือย ๆ ไทยสายนเ้ี องท่ีเปน็ บรรพบรุ ุษของคนไทยในปัจจุบนั (ฟนื้ ดอกบวั , 2542, หน้า 15-16)

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 141 4. พระพทุ ธศาสนาสมยั ลพบุรี ยุคนี้ต่อเนื่องจากยุคมหายานและเริ่มมีการผสมผสานระหว่างมหายานและเถรวาท กล่าวคือใน สมยั กษัตริย์กัมพชู าราชวงศ์สุรยิ วรมนั เรอื งอำนาจน้ัน ได้แผอ่ าณาเขตขยายออกมาท่ัวภาคตะวนั ออก เฉียง เหนือและภาคกลางของประเทศไทย ในราว พ.ศ. 1540 และได้ตั้งราชธานีเป็นที่อำนวยการปกครองเมือง ตา่ ง ๆ ในดนิ แดนดงั กลา่ วข้นึ หลายแหง่ เช่น เมืองลพบุรี ปกครองเมืองที่อยใู่ นอาณาเขตทวาราวดี สว่ นขา้ งใต้ เมอื งสโุ ทยั ปกครองเมอื งที่อยูใ่ นอาณาเขตทวาราวดสี ว่ นขา้ งเหนือ เมอื งศรีเทพ ปกครองหัวเมอื งท่ีอยตู่ ามลุ่มแมน่ ำ้ ปา่ สัก เมืองพมิ าย ปกครองเมอื งทอ่ี ยู่ในท่รี าบสูงตอ้ นขา้ งเหนือ เมืองต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นนี้เมืองลพบุรีหรือละโว้ ถือว่าเป็นเมืองสำคัญที่สุด กษัตริย์กัมพูชา ราชวงศ์สุริยวรมัน ทรงนับถอื พระพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายาน ซ่ึงมสี ายสมั พนั ธเ์ ชือ่ มตอ่ มาจากอาณาจักรศรี วิชัย แต่ฝ่ายมหายานในสมัยนี้ผสมกับศาสนาพราหมณ์มาก ประชาชนในอาณาเขตต่าง ๆ ดังกล่าว จึงได้รับพระพุทธศาสนาทั้งแบบเถรวาทที่สืบมาแต่เดิมด้วยจากยุคเถรวาทแบบ พระเจ้าอโศกกับแบบ มหายานและศาสนาพราหมณ์ทเี่ ขา้ มาใหม่ด้วย ทำให้มผี ู้นบั ถือพระพุทธศาสนา 2 แบบ และมีพระสงฆ์ท้ัง สองฝา่ ย คือฝ่ายเถรวาทและฝ่ายมหายาน และภาษาสันสกฤตอนั เปน็ ภาษาหลกั ของศาสนาพราหมณ์ และ พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานก็ได้เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในด้านภาษาและวรรณคดีไทยตั้งแต่บัดนั้นมา สำหรับศาสนสถานที่เป็นที่ประจักษ์พยานให้ได้ศึกษาถึงความเป็นมาแห่งพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ครัง้ นนั้ คือพระปรางคส์ ามยอดท่จี ังหวดั ลพบุรี ปราสาทหินพิมาย ทจ่ี งั หวัดนครราชสีมา และปราสาทหิน เขาพนมรุ้งท่ีจังหวัดบุรรี ัมย์ เปน็ ตน้ ส่วนพระพุทธรูปทีส่ ร้างในสมัยนั้นก็เป็นแบบขอม ถือเป็นศิลปะอยู่ใน กลุม่ ศลิ ปสมัยลพบุรี เริ่มเข้าสู่ยุคลพบุรีในราว พุทธศตวรรษที่ 15 ถึง 18 เรียกว่า อาณาจักรขอม มีการนับถือ พระพทุ ธศาสนานิกายมหายานและพราหมณ์ลัทธิศิวเวทปะปนกัน มีรอ่ ยรอยทางโบราณสถานของขอมใน ยุคนี้เกี่ยวกับมหายานทั้งนั้น เช่น พระพุทธปฏิมาของขอม มักทรงเครื่องอลังการวิภูษิตาภรณ์ มีกระบัง มงกุฎบนพระเศียรที่เรียกว่า เทริด (อ่านว่า เซิด) พระโอษฐ์หนา ดวงพระเนตรใหญ่ พระกรรณยาวลงมา จรดพระอังสะ ลักษณะใกล้ไปทางเทวรูปมาก พระพุทธปฏิมาที่กล่าวมาคือ รูปพระอาทิพุทธะ ตามคติ มหายาน น่นั เอง พระเทพดิลก (ระบบ ฐิตญาโณ) (2548, หน้า 382-383) อธิบายไว้ว่า ถ้าเป็นรูปพระศากยมุนี มักจะมีรูปพระโพธสิ ตั ว์ซ้ายขวา แทนรูปพระอัครสาวก มีพระอวโลกิเตศวรโพธิสตั ว์ รูปพระปรัชญาปารมิ ตาโพธิสัตว์ รูปพระอวโลกิเตศวรนั้น บางครั้งทำเป็น 4 กร บ้าง 6 กร บ้าง คนรุ่นหลังไม่รู้เขา้ ใจว่าเป็นรปู พระนารายณ์ หรือพระพรหมไปเสียก็มี เช่น นักเลงพระเครื่องสมัยลพบุรี เรียกพระเครื่องชุดหนึ่งว่า นารายณ์ทรงปืน ความจรงิ เปน็ รปู พระอวโลกิเตศวรต่างหาก พระเครื่องดังกลา่ วขุดได้ที่ลพบุรีมากต่อมาก

142 รวมทั้งพระเครื่องที่เรียกว่าพระหูยาน เช่นกัน แท้จริงแล้วคือเป็นพิมพ์ของพระอักโษภยพุทธะ พระพุทธเจ้าประจำทิศบูรพา ปราสาทขอมสามหลงั ทลี่ พบรุ เี ดิมเป็นทป่ี ระดิษฐานพระพุทธเจา้ ตรกี าล ตาม คตมิ หายาน มาแปลงเป็นเทวสถานในภายหลงั ปราสาทหนิ พิมายที่โคราชก็เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป นาคปรกองค์ใหญ่ เรียกกันว่า ชยพุทธมหานาค และประดิษฐานรูปพระปฏิมา พระไตรโลกวิชัย อันเป็น ปางหน่ึงของพระอมติ าภพทุ ธเจา้ พระพทุ ธรูปในยุคน้ีสว่ นมากสรา้ งจากหนิ สว่ นทสี่ ร้างจากสำริดมนี ้อย พระพุทธเจดีย์ในสมัยนี้มีปะปนกันทั้งฝ่ายมหายานและเถรวาท โดยฝ่ายเถรวาทสืบเนื่องมาจาก สมัยทวารวดี แต่ฝ่ายมหายานสืบเนื่องมาจากเมืองเขมรและจากศรีวิชัยบางส่วน ส่วนพระพุทธรูปที่สร้าง ในยุคนี้ สร้างตามคติมหายาน มีการทรงเครื่องที่องค์พุทธรูป เรียกว่า พระทรงราชาภรณ์ นั่งในปรางค์ 3 องค์ หมายเป็นพุทธกาย ทำรูปพระอาทิพุทธเจ้าเป็นประธาน มีรูปพระมนุษย์พุทธเจ้า 4 องค์ 7 องค์เป็น บรวิ ารบ้าง ทำพระพุทธรูปอย่างกลาง มรี ปู พระโพธิสัตว์อยู่ขา้ งบ้าง สรุปแลว้ พระพทุ ธรูปในสมัยลพบุรีนี้มี 3 ปางเป็นพืน้ คือ 1. ปางทรงสมาธมิ นี าคปรกบ้าง ไม่มีนาคปรกบา้ ง 2. ปางมารวจิ ัย 3. ปางเสด็จลงจากดาวดงึ ส์ ทรงยืนกรีดนว้ิ พระหัตถ์ 4. ปางพระห้ามสมุทร ทรงยืนตัง้ พระหตั ถป์ างประทานอภัย 5. ปางป่าเลไลยก์ สว่ นรูปพระโพธิสัตวต์ ามคตมิ หายาน ชอบสรา้ งเพียงสององคค์ อื 1.รูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร สร้างในแบบเดียวกันกับเทวรูปสามัญ คล้ายรูปพระนารายณ์ ท่ี คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดกัน แต่ในพระหัตถ์บนทั้งสองมีลูกประคำและหนังสือ ส่วนสองพระหัตถ์ล่างถือ ดอกบัวและน้ำอมตฤตบ้าง ทำเป็นมนุษย์หลายหน้าซ้อนกันอย่างหัวโขน หลายพระหัตถ์และหลายพระ บาทบ้าง 2. รูปนางภควดีปัญญาบารมี สร้างเป็นรูปนางยกมือขวาถือหนังสือ มือซ้ายถือดอกบัว ส่วนใหญ่ เข้าใจผิดวา่ เปน็ รปู นางอมุ าภควดี พุทธเจดยี ใ์ นแบบสมัยลพบุรีถูกสร้างอย่างแพรห่ ลายท่ีสุดในประเทศสยามยิ่งกว่าแบบสมัยอนื่ ๆ 5. พระพทุ ธศาสนาสมยั พุกาม ยุคที่ 3 เถรวาทแบบพุกาม กล่าวคือ พ.ศ. 1600 พระเจ้าอนุรุทธมหาราช หรือ อโนรธามังช่อ กษัตริย์พุกามเรืองอำนาจ ทรงรวบรวมเอาพม่ากับรามัญเข้าเป็นอาณาจกั รเดียวกัน แล้วแผ่อาณาเขตเข้า มาถึงอาณาจักรล้านนา ล้านช้าง จนถึงลพบุรี และทวาราวดี พระเจ้าอนุรุทธทรงเลื่อมใสพระพุทธศาสนา ฝ่ายเถรวาทมาก ทรงส่งเสริมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ส่วนชนชาติไทย หลังจากอาณาจักร อ้ายลาวสลายตัว ก็ได้มาตั้งอาณาจักรน่านเจ้า ถึงประมาณ พ.ศ. 1299 ขุนท้าวกวาโอรสขุนบรมแห่ง

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 143 อาณาจักรน่านเจ้า ได้สถาปนาอาณาจักรโยนกเชียงแสนในสุวรรณภูมิ หลังจากนั้นคนไทยก็กระจัด กระจายอยู่ทั่วภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางของประเทศไทยปัจจุบัน เมื่อกษัตริย์ พุกาม (กัมพูชา) เรืองอำนาจ คนไทยที่อยู่ในเขตอำนาจของขอม ได้รับเอาทั้งศาสนาและวัฒนธรรมของ ขอม (เขมร) ไว้ด้วย ส่วนทางล้านนาได้รับอิทธิพลจากขอมน้อย แต่เมื่ออาณาจักรพุกามของกษัตริย์พม่า เข้ามาครอบครองดินแดนแถบนี้ ชาวล้านนาซึ่งนับถือพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว จึงรับเอาพระพุทธศาสนา แบบพกุ ามโดยปริยาย นำมาปฏิบัติจนแพร่หลายท่ัวภาคเหนือ ดังเหน็ ว่ามปี ูชนียสถานแบบพม่าหลายแห่ง และเจดีย์ที่มีฉัตรอยู่บนยอด และฉัตรที่ 4 มุมของเจดีย์ ได้รับอิทธิพลมาจากพุกามแบบพม่า นั่นเอง (พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), 2531, หน้า 112) 6. พระพทุ ธศาสนาสมยั ล้านนา ยุคที่ 4 เถรวาทแบบลังกาวงศ์ กล่าวคือ สมัยล้านนาไทยตรงกับสมัยสุโขทัย และคาบเกี่ยวกับ สมยั อยุธยาตอนต้นดว้ ย ดังนั้น ในชว่ งเหตุการณบ์ างอย่างจะมคี วามเกยี่ วขอ้ งกันดงั จะกลา่ วตอ่ ไป หลังจากคนไทยอพยพมาอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ได้ตั้งอาณาจักรโยนกและเชียงแสนขึ้นท่ี จังหวัดเชียงรายในปัจจุบัน เริ่มแรกมี 2 แห่ง ตั้งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขง อยู่ในเขตอำเภอเชียงแสนใน ปัจจุบัน พระเจ้าสิงหนวัติ หรือพระเจ้าชัยพงศ์ (เจ้าโก๊ะล่อฝุง ตามที่จีนเรียก) แห่งราชวงศ์สิงหนวัติเป็น ผู้สร้าง เมืองหลวงชื่อว่า นาคพันธ์สิงหนวัติ เรียกอีกอย่างว่า นาคบุรี หรือ นาเคนทนคร ต่อมาภายหลัง เรียกว่า โยนกนคร เมื่อราว พ.ศ. 1316 ส่วนอีกแห่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแม่สาย ในเขตอำเภอแม่สายใน ปัจจุบัน พระเจ้าลาวจังกราช หรือเจ้าลาวจักรราช ปฐมวงศ์ลาวจักรราช ทรงสร้างเมืองหิรัญนครเงินยาง เชยี งแสน ขึ้น ภายหลงั เรียก เชยี งแสน โดยราชวงศ์นไี้ ด้มีกษตั รยิ ส์ ืบราชบลั ลังคม์ ายาวนานหลายองค์ แต่ ที่มีชื่อเสียงและสำคัญที่สุดในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 คือ พระเจ้าขุนเจื่อง ทรงเป็นกษัตริย์ลำดับที่ 19 แห่งราชวงศ์ลาวจักรราช โดยพระองค์ได้ขยายอาณาเขตแคว้นหิรัญนครเงินยาง เชียงแสน ออกไปอย่าง กว้างขวาง เช่น ทรงขยายอาณาเขตอออกไปทางตะวันออกโดยทรงรบชนะเมืองแกว เวยี ดนามเหนือ แล้ว ส่งพระราชโอรสทั้ง 5 ไปครองนครต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้อาณัตของพระองค์ โอรสองค์โต ปกครองเมืองเงิน ยาง โอรสองค์ที่สอง ปกครองเมืองแกว องค์ที่สามปกครองเมืองหลวงพระบาง องค์ที่สี่ปกครองเมืองไชย นารายณ์ (ไชยขวาง) มีอำนาจเหนือเมืองทั้งหลายทางตะวันออกเฉียงใต้ และองค์ที่ห้าปกครองเมืองเชียง รุ่งในสิบสองปันนา (เดวิด เค. วัยอาจ, 2556, หน้า 57) จนได้รับพระเกียรติว่าเป็นวีรบุรุษแห่งฝั่งโขง อาณาจักรโยนกและเชียงแสนต่างทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญสบื เนื่องมาอยา่ งยาวนาน โดยเฉพาะ อย่างยง่ิ พระเจา้ อชุตราช รชั กาลที่ 9 แห่งราชวงศส์ งิ หนวตั ิ ได้ทรงบรรจพุ ระบรมสารีรกิ ธาติ พระรากขวัญ เบื้องซ้าย (กระดูกไหปลาร้า) ของพระพุทธเจ้าที่พระมหากัสสปะนำมาถวายไว้ในพระธาตดุ อยตุง ซึ่งพระ ธาตดุ อยตุงน้นี ับวา่ เป็นปูชนียสถานแห่งแรกในล้านนาไทย และยงั มปี ชู นียสถานอีกหลายแห่งที่ราชวงศ์สิง หนวัติทรงสร้างไว้ในเมืองเชียงแสน นอกจากราชวงศ์ทั้งสองแล้ว ยังมีราชวงศ์มังราย คือพระเจ้ามังราย

144 ปฐมวงศ์แห่งราชวงศ์ มังราย ได้ให้การทำนุบำรุง อุปถัมภ์พระพุทธศาสนามาอย่างอย่างนานถึง 320 ปี (พ.ศ.1801-2121) มีกษัตริย์สืบราชวงศ์มากถึง 21 พระองค์ 23 รัชกาล และกษัตริย์องค์สุดท้ายคือ พระ นางราชเทวี หรือวสิ ุทธเิ ทวี ในที่นจี้ ะขอกลา่ วถงึ ประวตั ขิ องพระเจ้ามังรายหรือพญามงั รายและกษตั ริย์องค์ อื่น ๆ ที่เก่ยี วข้องกับพระพุทธศาสนาไว้โดยสังเขปดังนี้ พระญามังราย ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ที่เมืองหิรัญนคร เงินยาง เชียงแสน ในราว พ.ศ. 1802 หรือ พ.ศ. 1804 เป็นกษัตริย์องค์ที่ 25 แห่งราชวงศ์ลาวจักรราช ในขณะพระชนมายุได้เพียง 22 พรรษา พระองค์เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าลาวเมง และพระนางอั้ว หรือพระนางเทพคำขยาย พระราชธิดา ของท้าวรุ่งแก่นชายแห่งเมืองเชียงรุง่ พญามังรายได้ทรงสร้างเมืองขึ้นหลายเมืองด้วยกัน ได้แก่ ทรงสร้าง เมืองเชียงรายขึ้นที่ดอยจอมทอง ฝั่งแม่น้ำกก เมื่อ พ.ศ.1805 ทรงสร้างเมืองใหม่ที่อำเภอฝาง เมื่อ พ.ศ. 1816 ทรงสร้างเมืองลำพูน เมื่อ พ.ศ. 1835 หลังจากนั้น ทรงสร้างเมืองใหม่อีกแห่งชื่อว่า เวียงกุมกาม ปัจจุบันอยู่ในอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 1837 และสุดท้ายทรงสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้น เม่ือ พ.ศ. 1839 และประทับอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ตลอดจนสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 1854 เมื่อพระชนมายุได้ 72 พรรษา ส่วนการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนานั้น พระองค์ได้ถวายพระตำหนักเดิมให้เป็น โดยพระราชทาน นามว่า วัดเชียงมั่น อันเป็นที่ประดิษฐานพระเสตังคมณี (พระแก้วขาว) พระพุทธรูปประจำพระองค์พระ นางจามเทวี ปฐมกษัตริย์มอญที่ปกครองเมืองหริภุญไชย หรือเมืองลำพูน ในปัจจุบัน พระญามังรายทรง เลื่อมใสพระพุทธรูปเสตังคมณีมาก จึงทรงอัญเชิญมาเป็นพระพุทธรูปประจำพระองค์ ไม่ว่าจะเสด็จไปท่ี ไหน พระองค์ก็โปรดอัญเชิญไปด้วยทุกครั้ง นอกจากวัดเชยี งมั่นแล้วพระองค์ยงั ทรงสร้างวัดอื่นๆ อีก เช่น วัดพระเจ้าเมงราย เป็นต้น ทรงทำนุบำรุงอุปถัมภ์ ส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองตลอด พระชนมายขุ องพระองค์ ต่อมาพระเจ้ากือนา รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์มังราย ทรงครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 1910 ได้ทรงส่ง ราชทูตไปยังพระเจ้าลิไท กษัตริย์กรุงสุทัย เพื่อนิมนต์พระอุทุมพรบุปผามหาสวามี พระชาวลังกา ที่มาจำ พรรษาที่เมืองเมาะตะมะ เมืองมอญ และทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอยู่ที่นั่น ให้มาเผยแผ่ พระพุทธศาสนาที่เมืองเชียงใหม่ แต่ได้รับคำตอบจากพระอุทุมพรบุปผามหาสวามีว่า ท่านชรามากแล้ว เดินทางมาไม่ได้ จึงได้สง่ พระหลานชายช่ือว่า พระอานนั ทเถระและคณะมาแทน ทรงใหม้ ีการบวชตามคติ ลังกาวงศ์ โดยมีพระสุมนเถระและพระอโนมทัสสี เป็นพระอุปัชญาย์ เริ่มแรกทำการบวชกุลบุตรที่เมือง ลำพนู จำนวนมาก ณ วดั พระยืน หลังจากออกพรรษาทรงถวาวอุทธยานนอกเมืองเชียงใหม่ ให้เป็นวัดนาม ว่า วัดบุปผาราม หรือวัดสวนดอกในปัจจุบัน ให้พระสุมณเถระและพระอโนมทัสสีจำพรรษาที่นั่น ต่อมา ทรงยกพระสุมณเถระข้ึนเป็น พระมหาสุมนปุพผารัตนสุวรรณมหาสวามี พระสังฆราชองค์แรกแห่ง ล้านนาไทย ในการมาเมืองเชียงใหม่ของพระสุมณเถระครั้งนั้น ได้นำพระบรมสารีริกธาตุมาด้วย โดยได้ แบ่งออกเป็น 2 สว่ น สว่ นแรกได้บรรจุไวใ้ นพระเจดียว์ ดั สวนดอก และอีกส่วนไดถ้ วายพระเจา้ กือนา ต่อมา พระเจา้ กือนาไดท้ รงสรา้ งดอยสเุ ทพขึ้นเพ่ือบรรจุพระบรมสารรี ิกธาตุส่วนทส่ี องนี้

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 145 กษัตริย์องค์อื่น ๆ แห่งราชวงศ์มังรายได้สืบต่อการทำนุบำรุงอุปถัมภ์ ส่งเสริมกิจการ พระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือเรื่อยมา เช่น พระเจ้าแสนเมืองมา ทรงสร้างวัดเจดีย์หลวง อันเป็นเจดีย์ท่ี ใหญ่และสงู กวา่ บรรดาเจดยี ท์ ัง้ หลายในลา้ นนาไทย พระนางตโิ ลกจตุ า พระราชมารดาและผสู้ ำเร็จราชการ แทนพระองคใ์ นพระเจ้าสามฝัง่ แกนที่ยังทรงพระเยาว์อยู่ ได้สร้างพระอัฏฐารสให้เป็นพระประธานในวิหาร หลวงของวัดเจดีย์หลวง พระเจา้ ตโิ ลกราช รชั กาลที่ 9 แหง่ ราชวงศม์ ังราย ทรงโปรดใหข้ ยายเจดยี ์หลวงให้ ใหญ่และสูงขึ้น ขยายฐานออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 27 วา เพิ่มความสูงขึ้นอีก 43 วา ทรง โปรดให้หม่นื ดา้ มพรา้ คดใหส้ ร้างซุ้มจรนำทางมุขดา้ นตะวันออกของพระเจดยี ์เพ่ือบรรจุพระแก้วมรกตที่ได้ อญั เชิญมาจากลำปาง โดยพระแกว้ มรกตถูกเก็บซ่อนไว้ในเจดยี ์วัดรุกขวนาราม เชยี งราย จนกระทั่งถูกพบ เน่ืองจากอัสนีบาตรหรือฟ้าผ่า พ.ศ. 1977 พระเจา้ สามฝ่งั แกน ทรงทราบจงึ จัดขบวนไปอัญเชิญพระแก้ว มรกตมาประดิษฐานทีเ่ ชยี งใหม่ ขณะที่ขบวนอัญเชญิ มาถือทางแยกไปเชียงใหม่และไปลำปาง ช้างไม่ยอม นำพระแก้วมรกตไปเชียงใหม่ แต่พาไปลำปางแทน จึงได้อัญเชิญประดิษฐานไว้ที่นั่น จนมาถึงสมัย พระเจ้าติโลกราชเจ้า การอญั เชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานทีเ่ ชียงใหม่จึงสำเร็จ เม่ือ พ.ศ. 2011 และ ประดิษฐานอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงนานถึง 84 ปี พระเจ้าติโลกราชเจ้าทรงอุปถัมภ์การสังคายนาครั้งที่ 1 ใน ประเทศไทยดังกล่าวแล้วในบทที่ 3 และครองราชย์อยู่ 45 ปี สิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ 78 พรรษา ต่อมา พ.ศ.2095 พระเจ้าโพธิสารแห่งเมืองศรีสัตนาคณหุต หรือหลวงพระบางทิวงคตไม่มีผู้สืบต่อราช สมบัติ จึงอัญเชิญพระไชยเชษฐาธิราช พระราชโอรสของพระองค์ ที่กำลังครองราชเป็นกษัตริย์ที่เมือง เชียงใหม่ ให้เป็นกษัตริย์แห่งล้านช้าง พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปล้านช้างด้วย ต่อมาเกรงกลัวอำนาจจากพระเจ้าบุเรงนองของพม่า จึงได้ย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางไปเมืองเวียง จันทร์ และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย พระแก้วมรกตได้ประดิษฐานอยู่ที่เวียงจันทร์ถึง พ.ศ. 2321 รวม 214 ปี เชียงใหม่เสียเอกราชให้พม่าในราว พ.ศ. 2107 ในรัชกาลของเจ้าแม่เมกุฏิ ตกเป็นเมืองขึ้นของ พม่านานถึง 200 ปีเศษ จนกระทั่งพระเจ้าตากสินมหาราชได้กอบกู้เอกราชกลับมาได้ โดย พญาจ่าบ้าน และ เจ้ากาวิละ เดินทางไปกราบขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าตากสินมหาราช ขับไล่พม่าออกไปได้ พญาจ่าบ้าน จึงได้รับการสถาปนาเป็น พระยาวิเชียรปราการ เจ้าเมืองเชียงใหม่ พ.ศ.2321 พระองค์ได้ โปรดเกล้าให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ไปตีเมืองเวียงจันทร์จนได้รับชัยชนะ จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกต กลับมาประดิษฐานอยู่ทว่ี ดั อรุณราชวราราม กรงุ ธนบุรี 3 ปี ตอ่ มาพระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกได้มหาราช ได้ อัญเชญิ พระแก้วมรกตมาประดิษฐานที่วดั พระศรรี ัตนศาสดาราม เมอื่ พ.ศ. 2537-ปัจจุบนั ในยุคของพระเจ้าดิลกปนัดดาธิราช หรือพระเมืองแก้ว การศึกษาทางพระพุทธศาสนา เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก เนื่องจากพระองค์มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทรงอาราธนา พระสงฆ์จากต่างประเทศมายังเมืองเชียงใหม่หลายรูป แต่ละรูปได้ได้แต่งตำราพระพุทธศาสนาไว้จำนวน มาก เช่น พระรัตนปัญญา แต่งหนังสือชนิ กาลมาลีปกรณ์ (ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในล้านนาไทย)

146 พระพรหมราชปัญญา แต่งหนังสือรัตนพิมพ์วงศ์ (ประวัติพระแก้วมรกต) พระโพธิรังสี แต่งหนังสือจาม เทววี งศ์ (ประวตั ิพระนางจามเทวี) และสิหงิ คนิทาน (ประวตั พิ ระพุทธสิหิงค์) เปน็ ต้น พระญาณกิตติ แต่ง หนังสือสมันตปาสาทกิ าอตั ถโยชนา (หนงั สืออธบิ ายพระวนิ ัย) สมี าสังกรวนิ จิ ฉยั (หนงั สืออธิบายเร่ืองสีมา) และมูลกัจจายนอัตถโยชนา (อธิบายไวยากรณ์ภาษาบาลี) เป็นต้น และพระสิริมังคลาจารย์ วัดสวนขวัญ แต่งหนังสือเวสสันตรทีปนี (อธิบายเรื่องพระเวสสันดร) จักรวาลทีปนี (อธิบายเรื่องจักรวาล) สังขยาปกาสฎีกา (อธิบายเรือ่ งคำนวณ) และมังคลัตถทปี นี (อธิบายเรื่องมงคล 38 ประการ) ซึ่งเล่มน้ียังใช้เป็นหลักสูตรการ เรียนของพระสงฆ์ไทย ชั้นเปรียญธรรม 7 ประโยค มาจนถึงปัจจุบัน พระสุวรรณรังสี แต่งหนังสือปฐม สมโพธิ (อธบิ ายพุทธประวัติ) และคันถาภรณ์วิตถาร (อธิบายศัพท์ต่าง ๆ ในคัมภีร์คนั ถาภรณ์) พระนันทา จารย์ แต่งหนังสือสารัตถสังคหะ (รวบรวมพระธรรมเป็นหัวข้อต่าง ๆ ถึง 40 หัวข้อ) พระธรรมเสนาบดี แตง่ หนังสือปทกั กมโยชนาสัททัตถเภทจนิ ดา (ขยายความคัมภรี ส์ ัทธัตถเภทจินดา) พระอตุ ตรามเถระ แต่ง หนังสือวิสุทธิมัคคทีปนี (อธิบายข้อความในคัมภีร์วิสุทธิมัคค์) นอกจากนี้ยังมีวรรณกรรมอีกเรื่องที่สำคัญ คอื ปญั ญาสชาดก (รวบรวมนทิ านพนื้ บ้าน) แต่งดว้ ยภาษาบาลี แตไ่ ม่ทราบผู้แต่ง ซงึ่ วรรณกรรมส่วนใหญ่ สมัยล้านนาเป็นภาษาบาลแี ละมีมากกวา่ สมยั ใด จึงทำให้เปน็ ทป่ี ระจกั ษช์ ัดว่าพระภิกษุชาวล้านนาล้วนเก่ง และแตกฉานในภาษาบาลียงิ่ กว่ายุคใดท้ังในอดตี และปจั จบุ ัน (ฟ้นื ดอกบัว, 2554, หนา้ 222-229) 7. พระพุทธศาสนาสมยั สุโขทัย พ.ศ. 1800 หลังจากอาณาจักรพุกามและกัมพูชาเสื่อมอำนาจลง คนไทยจึงได้ตั้งตัวเป็นอิสระ ไดก้ ่อตงั้ อาณาจักรขึน้ เอง 2 อาณาจกั ร ไดแ้ ก่ อาณาจักรล้านนา อยู่ทางภาคเหนือของไทย และอาณาจักร สุโขทัย มีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดสุโขทัยปัจจุบัน เมื่อพ่อขุนรามคำแหงเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงส ดับ กิตติศัพท์ของพระสงฆ์ลังกา จึงทรงอาราธนาพระมหาเถระสังฆราช ซึ่งเป็นพระเถระชาวลังกาที่มาเผยแผ่ อยูท่ นี่ ครศรธี รรมราช มาเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาในกรงุ สโุ ขทยั พระพุทธศาสนาแบบลงั กาวงศ์ได้เข้ามาเผย แผ่ในประเทศไทย ถงึ 2 คร้ัง คือ ครั้งที่ 1 ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง พ.ศ. 1820 เสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงสดับกิตติศัพท์ของ พระสงฆ์ลังกา แล้วทรงอาราธนา พระมหาเถรสังฆราชจากนครศรีธรรมราชเข้ามาพำนักที่วัดอรัญญิก กรุงสโุ ขทัย และได้รวมพระสงฆ์ 2 พวกเขา้ ด้วยกัน คอื คณะสงฆ์เดิมกับคณะสงฆ์จากลงั กาวงศ์ พระองค์ได้ นำพระพุทธสิหิงค์ ที่สร้างในลังกาขึ้นมาจากนครศรีธรรมราช อัญเชิญมาประดิษฐานที่กรุงสุโขทัยด้วย (ตามชนิ กาลมาลีปกรณร์ ะบวุ ่า ได้พระพุทธสิหิงคม์ าในรชั กาลพ่อขุนศรีอนิ ทราทิตย์ พ.ศ. 1800) ศิลปแบบ ลงั กาเรมิ่ เข้ามาทดแทนศิลปแบบมหายาน อาทิเช่น เจดยี พ์ ระมหาธาตนุ ครศรีธรรมราช แปลงรูปเป็นสถูป แบบลังกา เป็นต้น สว่ นพระพุทธศาสนาแบบมหายานไดเ้ ส่ือมสูญไปในรชั กาลน้ี ครั้งที่ 2 ในสมัยพระเจ้าลิไท พ.ศ.1897 กษัตริย์องค์ที่ 5 ขึ้นครองราชย์ ทรงอาราธนาพระมหา สวามสี งั ฆราชจากเมอื งลงั กา นามวา่ สุมนะ เข้ามาสกู่ รงุ สุโขทยั พ.ศ. 1904 หลงั จากออกพรรษา พระองค์

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 147 ได้เสด็จออกผนวชชั่วคราว ณ วดั อรัญญิก ขณะทรงผนวชทรงพระราชนิพนธ์หนังสือเรื่อง เตภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระร่วง ขึ้น ทรงสั่งสอนศีลธรรมให้แก่ประชาชนด้วยพระองค์เอง ทรงเผดียงพระสงฆ์เข้าไปเรยี น พระไตรปิฎกในมหาปราสาท ทรงโปรดให้พิมพ์จำลองพระพุทธบาท ทรงสร้างพระมหาธาตุขึ้น โดยบรรจุ พระบรมสารีรกิ ธาตุท่ีอัญเชิญมาจากเกาะลังกา และทรงปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์จากเกาะลงั กาไว้หลังพระ มหาธาตุนั้นด้วย อีกทั้งทรงเริ่มจัดระเบียบคณะสงฆ์ โดยแบ่งคณะสงฆ์ออกเป็นสองฝ่ายคือ คามวาสี และ อรัญญวาสี (พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), 2531, หนา้ 113-114) พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากในยุคสุโขทัย กษัตริย์ทุกพระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองโดย ธรรม มีความสงบร่มเยน็ ประชาชนเป็นอย่โู ดยผาสกุ ศิลปะสมยั สุโขทยั ได้รับการกลา่ วขานว่า งดงามมาก โดยเฉพาะพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย มีลักษณะงดงาม ไม่มีศิลปะสมัยใดเสมอเหมือน ดังจะกล่าว รายละเอียดในบทที่ 7 ตอ่ ไป 8. พระพทุ ธศาสนาสมยั อยุธยา พระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาไม่ได้มุ่งในการปฏิบัติตามหลักธรรมชั้นสูงนัก เพราะได้รับอิทธิพล ของพราหมณ์เข้ามามาก พิธีกรรมต่าง ๆ ได้นำพิธีการของพราหมณ์เข้ามาปะปน เน้นความขลัง ความ ศักดิ์สิทธิ์ และอิทธิปาฏิหาริย์ มีเรื่องไสยศาสตร์เข้ามาปะปนอยู่มาก ประชาชนมุ่งเรื่องการบุญการกุศล สร้างวัดวาอาราม สร้างปูชนียวัตถุ บำรุงศาสนาเป็นส่วนมาก ในสมัยอยุธยาต้องประสบกับภาวะสงคราม กับพม่า จนเกิดภาวะวิกฤตทางศาสนาหลายครั้ง ประวัติศาสตร์อยุธยาแบ่งเป็น 4 ตอน เนื่องจากมี 4 รชั กาลทมี่ เี รื่องราวเกยี่ วกบั กจิ การพระพทุ ธศาสนาเปน็ สำคัญดงั น้ี อยธุ ยาตอนแรก (พ.ศ. 1893 - 2031) ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ ทรงปกครองบ้านเมืองด้วย ความสงบร่มเย็น ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ คล้ายว่าพระองค์จะเอาอย่างพระเจ้าอโศก มหาราชและพระมหาธรรมราชาลิไท ทรงผนวชเป็นเวลา 8 เดือน เมื่อ พ.ศ. 1998 และทรงให้พระราช โอรสกบั พระราชนัดดาผนวชเปน็ สามเณรดว้ ย สันนษิ ฐานวา่ เป็นการเร่ิมตน้ ของประเพณีการบวชเรียนของ เจ้านายและข้าราชการ ในรัชสมัยของพระองค์ ได้มีการรจนาหนังสือมหาชาติคำหลวง ใน พ.ศ. 2025 และ ทรงกันทีใ่ นพระบรมมหาราชวงั สว่ นหนึ่ง สถาปนาเป็นวัดชอ่ื วัดพระศรีสรรเพชญ์ สมัยอยุธยาตอนที่สอง (พ.ศ.2034 - 2173) สมัยนี้ได้มคี วามนิยมในการสร้างวดั ขึ้น ทั้งกษัตริย์ และประชาชนท่ัวไป นิยมสร้างวัดประจำตระกูล เป็นรัชสมยั พระเจ้าทรงธรรม ทรงศึกษาพระปรบิ ตั ิธรรม มีความชำนาญมากตั้งแต่ยังทรงผนวช ทรงเสด็จออกบอกหนังสือพระภิกษุสามเณรที่พระที่นั่งจอมทอง สามหลังเนื่อง ๆ ข้อนี้น่าจะเป็นหลักฐานได้ว่าประเพณีบอกหนังสือพระในพระบรมมหาราชวังมีมานาน แล้ว ต่อมาทรงได้พบพระพุทธบาทสระบุรี ทรงให้สร้างมณฑปครอบพระพุทธบาทที่สมเด็จพระไชยยา ราชาธิราชทรงสร้างไว้เมื่อ พ.ศ.2081 ทรงโปรดให้ชุมชนราชบัณฑิตแต่งกาพย์มหาชาติ เมื่อ พ.ศ. 2170 และโปรดให้สรา้ งพระไตรปฎิ กไว้จนจบบริบูรณ์อกี ดว้ ย

148 สมัยอยุทธยาตอนทสี่ องน้ี เป็นความนิยมทัง้ เจา้ ฟ้ามหากษตั ริย์และผมู้ ฐี านะนยิ มในการสร้างวัดไว้ ประจำตระกลู ไวเ้ กบ็ อัฐิบรรพบุรษุ และวัดเป็นสถานศึกษาจนมีคำกลา่ วว่า “เม่อื บา้ นเมืองดี เข้าสร้างวัด ใหล้ กู เลน่ ” สมัยอยุธยาตอนที่สาม (พ.ศ. 2173 - 2310) พระมหากษัตริย์ที่มีพระนามยิ่งใหญ่ที่สุดใน ศตวรรษนี้ ได้แก่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์ทรงมีบทบาทอย่างมากทั้งต่อฝ่ายอาณาจักร และศาสนจักร ทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ทำให้พวกข้าราชการถึงกลับเลี่ยงราชการ บ้านเมืองไปบวชกันมาก พระองค์ทรงรับสั่งให้ออกหลวงสรศักดิ์ เป็นแม่กองประชุมสงฆ์สอบความรู้ พระภิกษุสามเณร ใครไมม่ คี วามรใู้ นพระพทุ ธศาสนา จะถกู บังคบั ใหล้ าสิกขา ปรากฏว่ามขี า้ ราชการท่ีหลบ ลี้ราชการบวชถูกบังคับให้ลาสิกขาจำนวนมาก นอกจากนี้ยังปรากฏว่าผู้ที่บวชสามารถพ้นราชภัยได้อีก ดว้ ย เช่น เมื่อคราวประชวรจะสวรรคต พระเพทราชากับขุนหลวงสรศักด์ิ กำลงั ล้อมวังเตรยี มจะยดึ อำนาจ พระองค์ทรงโปรดให้ช่วยชีวิตพวกข้าราชการฝ่ายในทั้งหลายไว้ด้วยการถวายพระราชวังเป็นวิสุงคามสีมา แลว้ ใหป้ ระกอบพธิ อี ปุ สมบทพวกข้าราชการเหลา่ นน้ั นำไปอยูว่ ดั ทำให้พน้ ภยั ในครง้ั น้นั สมัยนี้พวกฝรั่งเศสได้เข้ามาติดต่อกับไทย ได้พยายามเผยแผ่ศาสนา และทูลขอให้พระนารายณ์ เข้ารีต ถึงแม้พระองค์จะมีสัมพันธไมตรีแน่นแฟ้นเป็นพิเศษกับพระเจ้าหลุยส์แห่งฝรั่งเศส ทรงออกพระ ราชกฤษฎีกาอนุญาตให้ราษฎรนับถือศาสนใดก็ได้ตามความชอบใจก็ตาม ซึ่งทำให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสและบาทหลวงฟอลคอลเข้าใจว่าพระองค์มีความเลื่อมใสในศาสนาคริสต์ โดยพระเจ้าหลุยได้ วางแผนกับบาทหลวงในการยึดประเทศไทยให้เป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสให้ได้ โดยวางแผนทำลายอิทธิพล ของศาสนาพุทธ เกลี้ยกล่อมให้สมเด็จพระนารายมหาราช และราชวงศ์ ตลอดถึงขุนนางเข้ารีต และส่ง ทหารเขา้ เมอื งไทยยึดป้อมสำคัญ ๆ ไว้ แต่พระองคแ์ ละชาวไทยรู้ทันแผนการนั้น อีกทงั้ พระองค์ทรงมั่นคง ในพระพุทธศาสนามาก จึงได้ผ่อนผันโดยพระปรีชาญาณว่า “หากพระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยให้พระองค์ เข้ารีตเมื่อใด ก็จะบันดาลศรัทธาให้เกิดขึ้นในพระทัยของพระองค์เมื่อนั้น” ทรงตบท้ายด้วยประโยคที่ คมคายว่า “เราจึงขอฝากชะตากรรมของเราและของกรุงศรีอยุธยา สุดแต่พระผู้เป็นเจ้าจะดลบันดาล เถิด พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสผู้เป็นพระสหายของเราอย่างได้เสียพระทัยเลย” ทำให้พระเจ้าหลุยส์และ บาทหลวงพูดไม่ออก และทำให้ประเทศชาติรอดพ้นจากการเปน็ เมืองขึ้นของฝร่ังเศสได้ดว้ ยพระปรีชาของ พระองค์ ในยุคนี้ มีวรรณคดีพุทธศาสนาเหลือมาถึงปัจจุบันจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นหนังสือทีแ่ ตง่ ในสมยั พระเจ้าปราสาททอง พระนารายณ์มหาราช และพระเพทราชา แต่เป็นหนังสือแปล หรือแต่งเป็น ภาษาไทย ไม่มที แี่ ตง่ เป็นภาษามคธ สมัยอยุธยาตอนที่สี่ (พ.ศ. 2275 - 2310) พระมหากษัตริย์ที่ทรงมีบทบาทมากในยุคนี้ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าอย่หู ัวบรมโกศ ทรงเสวยราช เมอ่ื พ.ศ. 2275 การบวชเรยี นกลายเปน็ ประเพณีที่ปฏิบัติสืบ ตอ่ กนั มาถงึ ยุคหลัง ถงึ กับกำหนดให้ผูท้ ี่จะเปน็ ขุนนาง มียศถาบรรดาศักดติ์ ้องเป็นผ้ทู ผี่ ่านการบวชเรียนมา

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 149 เท่านั้น จึงจะทรงแต่งตั้งตำแหน่งหน้าที่ให้ ในสมัยนี้ได้ส่งพระภิกษุเถระชาวไทยไปฟื้นฟูพุทธศาสนาใน ประเทศลังกาตามคำทูลขอของกษัตริย์ลังกา เมื่อ พ.ศ. 2296 พำนักที่วัดบุพพารามในเมืองแคนด้ี ประกอบพิธีผูกพัทธสีมาและอุปสมบทกุลบุตรสืบศาสนทายาทในลังกา จนทำให้พุทธศาสนากลับ เจริญรุ่งเรืองในลงั กาอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน และเกิดนิกายของคณะสงฆ์ไทยขึ้นในลังกา ชื่อว่า นิกายสยาม วงศ์ นิกายน้ียังคงมอี ยู่ถึงปัจจุบัน ในยุคนี้เกิดวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาหลายเรื่อง เช่น นันโทปนันทสูตร พระมาลัยคำหลวง ปณู โณวาทคำฉันท์ และพระราชปจุ ฉาถามคณะสงฆ์ เป็นตน้ อน่ึง ในตอบปลายของรชั สมัย พบวา่ มีความ เชื่อและหมกมุ่นในเรื่องไสยศาสตร์ โชคลาง ของขลัง มนตราปรากฏทั่วไป แสดงให้เห็นว่า บ้านเมืองอยู่ ในช่วงวุ่นวาย มีศึกสงคราม ขาดความสงบสุข (พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), 2531, หน้า 116-119) ผู้คนจึงหันมาสนใจเรื่องเหล่านี้ เช่น พระอาจารย์ธรรมโชติ วัดเขานางบวช ช่วยลงเลขยันต์ให้แก่ชาว หมู่บ้านบางระจันทร์ ในการทำศึกสงครามกับพม่า และมีการนำทัพดว้ ยอาจารย์ไสยศาสตร์ เช่น อาจารย์ ฤกษ์ นำทัพเรือไปตีพม่าที่วัดภูเขาทอง พออาจารย์ฤกษ์ถูกยิงตาย ทหาร 4,000 ก็แตก ทำให้เสียกรุงศรี อยุธยาให้แก่พม่า เมื่อ พ.ศ. 2310 ทำให้พระพุทธรูป และเจดีย์ และพุทธศาสนสมบัติต่าง ๆ เป็นต้น ถูก ทำลายไป จวบจนกระท่ังถึงรชั สมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ไดก้ อบกูช้ าติกลบั มาได้ ดงั จะกล่าว ตอ่ ไปในยคุ กรงุ ธนบรุ ี 9. พระพทุ ธศาสนาสมัยธนบุรี (พ.ศ.2310-2325) สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 2310 ทรงกอบกู้ชาติจากพม่า บ้านเมืองถูกทำลายล้าง ผู้คนล้มตาย และแตกออกเป็นก๊กเป็นเหล่าถึง 6 ก๊ก อีกทั้งเกิดอลัชชีใน พระพทุ ธศาสนาจำนวนมาก พระองคจ์ งึ เรม่ิ ฟ้ืนฟูพระพุทธศาสนาหลายประการ เช่น ทรงนำคณะสงฆ์ นำ โดยก๊กเจ้าพระฝางที่ใชส้ ีแดงย้อมจีวร ลงผา้ ประเจียดแจกแก่บรรดาพระสงฆ์ แต่งตง้ั พระครสู ริ มิ านนท์เป็น แม่ทัพนายกองออกไปรบและปล้นชิงทรัพย์ราษฎรในเขตอิทธิพลตั้งแต่เมืองทุ่งยั้ง (อุตรดิตถ์ขึ้นไป) ทำให้ เกิดความรังเกียจสงสัยในความไม่บริสุทธิ์ของพระสงฆ์โดยส่วนรวม ทรงอาศัยความเชื่อมั่นในคุณานุภาพ แหง่ พระรัตนตรยั และบรรดาส่งิ ศักดสิ์ ิทธ์ิทงั้ หลาย ใหพ้ ระพสิ จู นด์ ้วยการทดสอบใหด้ ำน้ำ เรียกว่า 3 กล้ัน ใจ ผู้ใดทนเอาชนะนาฬิกาได้ ก็ให้อยู่เป็นพระต่อ ใครแพ้ก็ให้ลาสิกขา หลังจากนั้นทรงให้การอุปสมบท พระสงฆ์ทางภาคเหนือใหม่จำนวนมาก ทรงโปรดให้พระโพธิวงศาจารย์ไปพำนักประจำที่พิษณุโลก พระ พิมลธรรมไปพำนักประจำที่เมืองขวาง พระธรรมเจดีย์อยู่ที่วัดทุ่งยั้ง พระธรรมอุดมอยู่ที่เมืองพิชัย พระเทพกวีอยู่ที่เมืองสวรรคโลก เพื่อไปชำระสะสางพระศาสนา ส่วนสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเอง ได้เสด็จไปนำพระไตรปิฎกและอาราธนาพระอาจารย์ศรี (ได้รับแต่งตัง้ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชใน รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาช) มาชำระคัมภีร์พระพุทธศาสนาที่ยังบกพร่อง และชำระคัดลอกไว้ นำมาจากนครศรีธรรมราชบ้าง จากกัมพูชาบ้าง (พระเทพดิลก (ระแบบ

150 ฐิตญาโณ), 2548, หน้า 418-419) ทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตจากกรุงเวียงจันทร์มาประดิษฐาน ไว้ที่วัดอรุณราชวรารามดังกล่าวแล้วก่อนหน้า ทรงโปรดให้บูรณะและ สร้างวัดจำนวนมาก เช่น วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตาราม) วัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม) เป็นต้น ในตอนปลายรัชสมัยของ พระองค์ ทรงสนพระทัยในการปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานเป็นพิเศษ พระองค์ ทรงศรัทธาและเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนามากว่าเป็นรากฐานทำให้บ้านเมืองสงบสุขและ เจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง ทรงปกครองราษฎรแบบพ่อปกครองลูก ทรงเรียกราษฎรว่า ลูก ทร งใช้ สรรพนามเรียกแทนพระองค์ว่า พ่อ และการที่พระองค์ตรากตรำพระวรกายกู้ชาตินั้น ก็เพื่อสืบ ทอดพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ได้ตราบนานเท่านาน ดังพระปณิธานที่จารึกไว้ในศาลพระเจ้า ตากสินมหาราช ณ วัดอรุณราชวราราม ความว่า อันตวั พอ่ ชอื่ วา่ พระยาตาก ทนทุกขย์ าก กู้ชาติ พระศาสนา ถวายแผน่ ดิน ใหเ้ ปน็ พุทธบูชา แดพ่ ระศาสนา สมณะ พระพทุ ธโคดม ใหย้ ืนยง คงถ้วน หา้ พันปี สมณพราหมณช์ ี ปฏบิ ตั ิ ให้พอสม เจรญิ สมถะ วิปสั สนา พอ่ ช่นื ชม ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา คิดถงึ พ่อ พ่ออยู่ คูก่ บั เจ้า ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา พทุ ธศาสนา อยูย่ ง คู่องค์กษตั รา พระศาสดา ฝากไว้ ให้คูก่ ัน พระองค์ทรงฝกั ใฝ่ในการปฏบิ ตั เิ พื่อบรรลุมรรคผล นิพพาน เนื่องจากทรงเหน็ โทษภัยในวัฏสงสาร ปรารถนาจะออกผนวชปฏิบัติสมถและวิปัสสนาอย่างจริงจัง หากมีผู้ใดสามารถเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ปกครองบ้านเมืองให้สงบสุขได้ พระองค์นินดีสละราชสมบัติให้ทันที เรื่องนี้ปรากฏในจดหมายรายวันใน การนำทัพไปตีกัมพูชา พระองค์มักจะหาโอกาสเสด็จไปสนทนาธรรมกับพระเถรานุเถระอยู่เสมอ จน พระองค์แตกฉานในพระธรรมคำสอนของพุทธองค์ พระองค์ได้พระราชนิพนธ์เรื่องลักษณะบุญ ขึ้นมา 1 เลม่ ยังปรากฏในปจั จบุ ัน (ฟน้ื ดอกบวั , 2554, หน้า 234-236) 10. พระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสนิ ทร์ พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ) (2548, หน้า 420-464) กล่าวว่า พระพุทธศาสนาในสมัย รัตนโกสนิ ทรไ์ ด้รบั การทำนบุ ำรงุ จากพระมหากษตั รยิ ์ไทยเร่ือยมา สบื ต่อจากยุคตอ่ ยุคดงั นี้

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 151 รัชกาลที่ 1 (2325 - 2352) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จข้ึน ครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2325 ต่อจากพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงย้ายเมืองจากธนบุรี มาตั้งราชธานีใหม่ เรียกชื่อว่า \"กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์\" ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์วัดต่าง ๆ เช่น สร้างวัดพระศรี รัตนศาสดาราม วัดสุทัศนเทพวราราม วัดสระเกศ และวัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์ในปัจจุบัน) เป็นต้น ทรง โปรดใหม้ กี ารสงั คายนาพระไตรปฎิ กคร้ังที่ 9 และถือเป็นครั้งท่ี 2 ในประเทศไทย ณ วัดมหาธาตุ ได้มีการ สอนพระปริยัติธรรมในพระบรมมหาราชวัง ตลอดจนตามวังเจ้านายและบ้านเรือนของข้าราชการผู้ใหญ่ ทรงตรากฎหมายคณะสงฆ์ขึน้ เพื่อจัดระเบียบการปกครองของสงฆ์ใหเ้ รยี บร้อย ทรงจัดให้มีการสอบพระ ปริยัติธรรมทรงสถาปนาสมเดจ็ พระสังฆราชองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์ โดยสถาปนาพระสงั ฆราช (ศรี) เป็นสมเด็จพระสังฆราช เมื่อปี พ.ศ. 2352 ทรงส่งเสริมการศึกษาของคณะสงฆ์ โดยการนำวรรณกรรมท่ี สืบต่อกันมา เช่น เรื่องไตรภูมิพระร่วง มหาชาติชาดก เป็นต้น ส่วนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของคณะ สงฆ์ ยังคงดำเนนิ ไปในรูปแบบเดิม กล่าวคอื นิมนตพ์ ระสงฆ์ไปแสดงธรรมหรือเขา้ วดั ฟงั ธรรมเปน็ หลกั และ ในยุคนีเ้ นน้ การสร้างวัดวาอาราม เจดีย์ และศาสนวตั ถุทีส่ ำคญั เปน็ หลกั รชั กาลที่ 2 (2352 - 2367) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 2352 เป็นทรงทำนุบำรุง ส่งเสรมิ พระพุทธศาสนาเหมือนอย่างพระมหากษัตรยิ ์ไทยแตโ่ บราณ ในรชั สมัยของพระองค์แม้พระองค์จะ ครองราชย์เพียง 15 ปี แตง่ ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชถึง 3 พระองค์ คอื สมเดจ็ พระสงั ฆราช ( ศุก ) สมเด็จพระสังฆราช ( มี ) และสมเด็จพระสังฆราช ( สุก ญาณสังวร) ก่อนได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จ พระสังราช องค์แรกอยู่วัดราชบูรณะ องค์ที่สองอยู่วัดราชสิทธาราม ส่วนองค์ที่สามอยู่ที่วัดสระเกศ หลัง สถาปนาได้มาประทับท่วี ดั ศรสี รรเพชญ์ทง้ั สามองค์ ในปี พ.ศ. 2357 ทรงจดั ส่งสมณทูต 8 รูป ไปฟน้ื ฟพู ระพทุ ธศาสนาในประเทศลงั กา ได้จัดให้มกี าร จัดงานวนั วสิ าขบชู าข้ึนเปน็ ครั้งแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เม่อื พ.ศ. 2360 ซง่ึ แต่เดิมก็เคยปฏิบัติถือกัน มาเมื่อครั้งกรุงสุโขทัย แต่ได้ขาดตอนไปตัง้ แตเ่ สียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า จึงได้มีการฟื้นฟูวันวสิ าขบูชาใหม่ พ.ศ. 2363 สมเด็จพระสังฆราชมี โปรดให้มีการสังคายนาสวดมนต์ขึ้น และได้โปรดให้มีการเปลี่ยนแปลง แก้ไขวธิ กี ารสอบไล่ปรยิ ัตธิ รรมขึน้ ใหม่ ไดข้ ยายหลกั สตู ร 3 ช้นั คือ เปรียญตรี เปรียญโท และเปรียญเอก เปน็ 9 ช้ัน คือช้นั ประโยค 1 - 9 (พระเทพเวที (ประยทุ ธ์ ปยุตฺโต), 2531, หน้า 121) รัชกาลที่ 3 (2367 - 2394) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปรารถนาพระโพธิญาณ ทรงบำเพ็ญบารมีเยี่ยงพระ โพธิสัตว์ ถือแนวพระเวสสันดรเป็นหลัก ทรงมีความเคารพรักในพระภิกษุสามเณรเป็นอันมาก ทรงยืม พระไตรปิฎกมาจากลงั กาถึง 40 คัมภีร์เพื่อคัดลอกแปลเป็นภาษาไทย (พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ), 2548, หน้า 423) โปรดให้มีการสร้างพระไตรปิฎกฉบับหลวงเพิ่มจำนวนข้ึนไว้อีกหลายฉบับครบถ้วนกวา่ รัชกาลก่อน ๆ โปรดให้แปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามหลาย

152 แห่ง และสร้างวัดใหม่ คือวัดเทพธิดาราม วัดราชนัดดา และวัดเฉลิมพระเกียรติ ทรงโปรดให้ รวบรวมตำรับตำราต่างๆ เช่น อักษรศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ โบราณคดี เป็นต้น ให้จารึกไว้ในพระอาราม หลวงต่างๆ เช่น วัดพระเชตุพน วัดราชโอรส วัดสุทัศน์ เป็นต้น ทรงส่งเสริมและขยายการบอกพระปริยตั ิ ธรรมในพระบรมมหาราชวังให้เข้มแข็งบริบูรณ์ยิ่งขึ้น โปรดให้จ้างอาจารย์บอกพระปริยัติธรรมทุกพระ อารามหลวง และได้ตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อสอนหนังสือไทยแก่เด็กในสมัยนี้ (พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยตุ โฺ ต), 2531, หน้า 122) รัชกาลที่ 4 (2394 - 2411) พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั รชั กาลที่ 4 เมือ่ ทรงเป็นเจ้าฟา้ มงกุฎไดผ้ นวช 27 พรรษา แล้วได้ลาสิกขาขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุ 57 พรรษา ทรงสอบเปรียญธรรมได้ 5 ประโยค แต่ทรงมี ความรู้แตกฉานด้านภาษาบาลียิ่งกว่าสอบเปรียญธรรมได้ 9 ประโยคเสียอีก ทรงแตกฉานการศึกษาทั้ง ทางโลกทางธรรม ไม่ว่าจะเป็นภาษาองั กฤษ ภาษาลาติน คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ ทรงได้รับยกย่อง วา่ เปน็ บิดาแหง่ วิทยาศาสตรไ์ ทยอกี ด้วย ด้านการพระศาสนา ทรงพระราชศรัทธาสร้างวดั ใหมข่ ึ้นหลายวดั เชน่ วัดปทุมวนาราม วัดโสมนสั วิหาร วัดมกุฎกษัตริยาราม วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม และวัดราชบพิตร เป็นต้น ตลอดจนบูรณะ วัดต่าง ๆ อีกมาก ทรงเสด็จธุดงค์ไปในที่ต่าง ๆ จนได้พบพระปฐมเจดีย์องค์เดิมก่อนจะทรงโปรดให้สร้าง พระปฐมเจดีย์ครอบเจดีย์องค์เดิมให้เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดและสูงที่สุดในประเทศไทย ทรงให้สร้าง พระไตรปิฎกฉบับลงทองร่องชาดไว้เป็นหลักฐานการศึกษาพระพุทธศาสนาและพระราชทานไปยังวัดต่าง ๆ ทรง ติดต่อกับอินเดียเกี่ยวกับกิจการทางพระพุทธศาสนา ทรงนำพระพุทธรูปและเมล็ดพันธุ์พระศรีมหาโพธิ์ จากพุทธคยามาปลูกในประเทศไทย ขณะที่ผนวชอยู่ทรงศรัทธาเลื่อมใสในจริยาวัตรของพระมอญ ชื่อ ซาย ฉายา พุทฺธวํโส จึงได้ทรงอุปสมบทใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2372 ได้ตั้งคณะธรรมยตุ ิข้ึนในปี พ.ศ. 2376 ที่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) กำหนดด้วยการผูกพัทธสีมาใหม่ แล้วเสด็จมาประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร และต้งั เป็นศูนย์กลางของคณะธรรมยุติตอ่ มา เนือ่ งจากพระองค์ทรงแตกฉานในภาษาบาลนี ่ันเอง พระองค์ ทรงนิพนธ์บทสวดมนต์เช้าเย็นที่ชาวพุทธใช้สวดกันมาจนถึงปัจจุบันด้วยการนำข้อความหลายตอนใน พระไตรปิฎกมาประติดประต่อกันให้เช่ือมโยงกนั ทรงตง้ั อนมั นกิ ายหรือวัดญวนข้ึนเป็นครง้ั แรกในประเทศ ไทยโปรดใหม้ ีพระราชพิธี \"มาฆบชู า\" ขึน้ เปน็ คร้ังแรก ใน พ.ศ. 2394 ณ ทว่ี ัดพระศรีรัตนศาสดาราม จนได้ ถอื ปฏิบตั สิ บื มาจนถึงทกุ วันน้ี (ฟ้ืน ดอกบัว, 2542, หน้า 31-33) รชั กาลที่ 5 (2411 - 2453) พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั เสด็จขึ้นครองราชย์ เม่อื พ.ศ. 2411 ทรงยกเลิกระบบ ทาสในเมืองไทยได้สำเร็จ ทรงสร้างวัดใหม่ขึ้น คือวัดวัดราชบพิตร วัดเทพศิรินทราวาส วัดเบญจมบพิตร วดั อัษฎางนมิ ิตร วดั จุฑาทิศราชธรรมสภา และวัดนเิ วศนธ์ รรมประวัติ ทรงบรู ณะวดั มหาธาตุ และวดั อน่ื ๆ อีก ทรงนิพนธ์วรรณกรรมทางพุทธศาสนาจำนวนมาก โปรดใหั้มีการเริ่มต้นการศึกษาแบบสมัยใหม่ใน

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 153 ประเทศไทย โดยให้พระสงฆ์รับภาระช่วยการศึกษาของชาติ ครั้น พ.ศ. 2427 ได้จัดตั้งโรงเรียนสำหรับ ราษฎรขึ้นเป็นแห่งแรก ณ วัดมหรรณพาราม ถึงปี พ.ศ. 2414 โปรดให้จัดการศึกษาแก่ประชาชนในหัว เมอื ง โดยจัดต้งั โรงเรยี นในหัวเมืองข้นึ ทรงแบ่งการปกครองคณะสงฆ์ออกเป็น 4 คณะเช่นเดียวกับรัชสมัยของพระบาทสมเดจ็ พระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชบิดา คือคณะเหนือ คณะใต้ คณะกลาง และคณะธรรมยุต แต่ไม่มีสมเด็จเจ้าคณะ ใหญ่ มีเพียงพระศาสนโสภณเป็นเจ้าคณะรอง แล้วทรงรวมวัดธรรมยุตทั้งหมดขึ้นตรงต่อคณะธรรมยุต ทรงโปรดใหต้ ราพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 ขึ้น ซึ่งขณะนั้นคณะสงฆ์ท่จี ัดว่า เป็นนิกายอยู่ 3 นิกาย คือ มหานิกาย ธรรมยุตินิกาย รามัญนิกาย (พระสงฆ์ที่สืบสายมาจากประเทศ รามัญ) ทง้ั สามนกิ ายนเี้ ป็นเถรวาท และยังมอี นมั นกิ าย (สายพระญวน) ทีไ่ ด้รับการแตง่ ตงั้ ข้ึนในรชั กาลท่ี 4 ดังกล่าวแล้ว เป็นฝ่ายมหายาน โดยปรับโครงสร้างการปกครองให้รัดกุมขึ้น ให้คณะสงฆ์ทั้ง 4 เป็นคณะ บุคคล เรียกว่า มหาเถรสมาคม ประกอบด้วยพระเถระผู้ใหญ๋ 2 นิกายคือ คณะมหานิกาย และคณะ ธรรมยุตินิกาย รองลงมาเป็นเจ้าคณะหน แบ่งเป็นหนกลาง หนเหนือ หนใต้ หนตะวันออก และเป็นคณะ ธรรมยุต หลังจากน้นั ยงั แบง่ ออกเป็นมณฑลอีก จากมณฑลกเ็ ป็นจังหวัด จากจงั หวดั ก็เปน็ อำเภอ เจ้าคณะ สมัยนั้นเรียกว่า เจ้าคณะเมือง เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะแขวง เจ้าคณะตำบล หรือเจ้าคณะหมวด แล้วถึง เป็นเจ้าอาวาส ลำดับสุดท้าย มีขอบข่ายความรับผิดชอบตามสายงานขึ้นไป เป็นการนำอำนาจทาง บา้ นเมืองเข้ามาช่วยในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ (พระเทพดลิ ก (ระแบบ ฐิตญาโณ), 2548, หน้า 438-439) พ.ศ. 2432 โปรดให้ยา้ ยที่ราชบัณฑิตบอกพระปริยัตธิ รรมแก่พระภิกษสุ ามเณร จากในวัดพระศรี รตั นศาสดาราม ออกมาเป็นบาลีวิทยาลัยช่ือ มหาธาตุวทิ ยาลัย ท่วี ัดมหาธาตุ เมื่อ พ.ศ. 2432 และต่อมา ปี พ.ศ. 2439 ได้ประกาศเปลี่ยนนามมหาธาตุวิทยาลัยเป็น มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นที่ศึกษา พระปรยิ ัติธรรมและวิชาการชน้ั สงู ของพระภิกษุสามเณรฝ่ายมหานิกาย โปรดให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ (พระมหาสมณเจ้า) กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นประธาน ในการจัดวางระเบียบการศึกษาของชาติขึ้น โดยให้พระเถรานุเถระทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคต้ัง โรงเรียนขึ้นในวัด ให้พระภิกษุสามเณรเป็นครูสั่งสอนอบรมให้การศึกษาแก่ประชาชน จนเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 มีพระบรมราชโองการประกาศตั้งกรมธรรมการเป็นกระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการในปจั จุบนั ) มารบั งานนแ้ี ทน พ.ศ. 2436 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ (พระมหาสมณเจ้า) กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรง บุกเบกิ การจดั การศึกษาแบบใหมจ่ ากเรียนด้วยภาษาบาลีล้วนมาเป็นหลักสูตรบาลีที่พระองค์ทรงแปลและ สรุปหลักธรรมเหลา่ นั้นออกมาให้เข้าใจง่าย โดยให้เรียนจากหลกั ไวยากรณ์ด้วยภาษาไทยในตอนต้น แล้ว เรียนเป็นภาษาบาลีในภายหลัง หลักสูตรบาลีนี้แบ่งออกเป็นเปรียญธรรมชั้นต่าง ๆ ตั้งแต่ ประโยค 1 ประโยค 2 จนถึง ประโยค 9 ซึ่งหลักสูตรดังกล่าวได้เป็นต้นแบบในการจัดการศึกษามาจนถึงปัจจุบัน มีเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อยเท่านั้น ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราช

154 โองการให้ก่อตัง้ มหามกุฏราชวิทยาลัย ขึ้นที่วดั บวรนเิ วศวิหาร ตามเจตนารมยข์ องสมเดจ็ พระมหาสมณ เจ้าฯ ที่ทรงริเริ่มจัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นแหล่งศึกษาพระพุทธศาสนาแก่พระภิกษุสามเณรฝ่ายธรรมยุตินิกาย ท้งั นเี้ พื่อถวายพระเกยี รตแิ ดพ่ ระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว รัชกาลท่ี 4 พระราชบดิ า โปรดให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ (พระมหาสมณเจ้า) กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นประธาน คณะทำงานปริวรรตพระไตรปิฎกจากอักษรขอมมาเป็นอักษรไทย ทรงโปรดให้พิมพ์จำนวน 1,000 ชุด ๆ ละ 39 เล่ม ให้พระราชทานไปยังวัดตา่ ง ๆ ทงั้ ในและตา่ งประเทศ และในปี พ.ศ. 2414 เสด็จประพาสไป ยังประเทศอังกฤษและได้สละพระราชทรัพย์ให้แก่สมาคมบาลีปกรณ์ (Pali Text Society) เพื่อพิมพ์ พระไตรปิฎกฉบับภาษาอังกฤษ โดยทำการแปลจากภาษาบาลี และสมาคมได้ตั้งพระไตรปิฎกชุดนั้นเพ่ือ ถวายเกียรติต่อพระองค์ท่านว่า “พระไตรปิฎกฉบับพระเจ้ากรุงสยาม” และพระองค์ทรงทำนุบำรุงและ ส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนานานัปประการตลอดพระชนมายุของพระองค์ ซึ่งไม่ได้กล่าวไว้ทั้งหมดใน ที่นี้ ผู้ที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระองค์อย่างละเอียดพึงศึกษาและค้นคว้าด้วยตนเอง ตอ่ ไปเทอญ (ฟน้ื ดอกบวั , 2554, หน้า 244) รชั กาลที่ 6 (2453- 2468) พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระปรีชาปราดเปรื่องใน ความรูท้ างพระศาสนามาก ทรงนิพนธห์ นังสือแสดงคำสอนในพระพุทธศาสนาหลายเร่ือง เชน่ เทศนาเสือ ปา่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร เปน็ ตน้ ทรงปลุกใจให้คนไทยเห็นคณุ คา่ ของพระพทุ ธศาสนา ถงึ กับทรงอบรม สั่งสอนอบรมข้าราชการด้วยพระองค์เอง ทรงโปรดให้ใช้ พุทธศักราช (พ.ศ.) แทน ร.ศ. เมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2456 ให้เปลี่ยนกระทรวงธรรมการเป็นกระทรวงศึกษาธิการ ทรงเน้นย้ำไม่ให้คณะสงฆ์แบ่งแยก ระหว่างมหานกิ ายและธรรมยุต ใหม้ คี วามจงรักภกั ดตี ่อพระพุทธเจา้ ให้ปฏบิ ัตติ ามคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้ดที สี่ ดุ เทา่ ทีจ่ ะพึงปฏบิ ัตไิ ด้ เพราะไมว่ ่าจะเปน็ ธรรมยุตหรอื มหานิกายกล็ ว้ นเปน็ พระไทยดว้ ยกนั ปี พ.ศ. 2454 สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเปลี่ยนวิธีการสอบบาลี สนามหลวงจากปากเปล่ามาเปน็ ข้อเขียน เร่ิมด้วยประโยค 1-2 กอ่ น ส่วนประโยคอืน่ ๆ ยงั คงใช้สอบแบบ ปากเปล่า จนกระทั่ง พ.ศ. 2458 จึงสอบด้วยข้อเขียนครบทุกประโยค และทรงเริ่มการศึกษาพระปริยัติ ธรรมใหมข่ ึน้ อกี หลักสูตรหนึง่ เรยี กวา่ \"นกั ธรรม\" โดยมีการสอบครั้งแรกเมื่อ เดอื นตลุ าคม 2454 ตอนแรก เรียกว่า \"องค์ของสามเณรรู้ธรรม\" หลังสูตรนักธรรมแบ่งออกเป็นนักธรรมชั้นตรี โท และเอก (พระเทพ เวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), 2531, หน้า 127) นับแต่นั้นผู้ที่จะสอบประโยค 3 จะต้องได้นักธรรมตรีก่อน ผู้ที่ จะสอบประโยค 4 ต้องได้นักธรรมโทก่อน และผู้ที่จะสอบประโยค 7 ได้ ต้องได้นักธรรมเอกก่อน เพราะ เหตุนั้น จึงเรียกผู้ที่สอบได้เป็นมหาเปรียญ จึงเรียกว่า เปรียญธรรม หรือใช้อักษรย่อว่า ป.ธ. เช่น ป.ธ. 3 ป.ธ. 6 ป.ธ.9 เปน็ ตน้ ซึง่ ก่อนหน้าเรียกวา่ เปรยี ญหรอื ประโยค เทา่ นัน้ (ฟ้นื ดอกบวั , 2554, หน้า 246) พ.ศ. 2462 ถึง พ.ศ. 2463 โปรดให้พิมพ์คัมภีร์อรรถกถาแห่งพระไตรปิฎกและอรรถกถาชาดก และคมั ภีร์อ่นื ๆ เชน่ วสิ ุทธมิ รรค มิลินทปญั หา เปน็ ตน้

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 155 ทรงปลูกฝังความเป็นไทยให้กับคนไทยเสมอ เช่น เมื่อครั้งที่พระองค์ศึกษาอยู่ประเทศอังกฤษ ทรงมีพระราชดำรัสกับสมาคมนักเรียนไทยขณะท่ีพระชนมายุเพียง 14 พระชันษาว่า “เราน้ันเป็นคนไทย แม้เราจะอยู่ในประเทศนี้นานสักเท่าไรก็ตาม เมื่อเรากลับถึงเมืองไทย เราจะเป็นคนไทยมากยิ่งขึ้น” และทรงเน้นย้ำเสมอให้คนไทยมีจิตสำนึกความเป็นไทย โดยใช้การศึกษาแบบฝรั่งเพื่อนำมาพัฒนา บ้านเมืองเท่านั้นไม่ได้ยกย่องให้เอาแบบอย่างฝรั่ง ดังพระนิพนธ์ในหนังสือลัทธิเอาอย่าง มีข้อความตอน หนงึ่ วา่ “การทค่ี นไทยพยายามจะทำอะไรให้เปน็ อยา่ งฝร่ังน้ัน ดูไปแล้วนา่ เอ็นดูเหมือนลกู หมาเดินสอง ขาได้เท่านั้นเอง” เป็นการเน้นย้ำว่าพระองค์มีความเป็นคนไทย รักชาติไทยย่ิงนัก และทรงสร้างจิตสำนึก ใหค้ นไทยมองเห็นคุณคา่ ของพระพทุ ธศาสนาในฐานะเปน็ ศาสนาประจำชาติ ดงั ทีต่ รสั ไว้ในพระนิพนธ์เร่ือง เทศนาเสอื ป่า ตอนหน่งึ ว่า “ศาสนาย่อเป็นหลักสำหรับชี้ให้ถูกทางว่า อย่างไรจะเป็นทางที่ประพฤติดี ข้าพเจ้ารู้สึกด้วย ความแน่ใจว่า คนเราทุกคนจำเป็นต้องมีศาสนา พระพุทธศาสนาเป็นของไทย เรามาชวนกันนับถือ พระพทุ ธศาสนากันเถิด ผู้ท่แี ปลงศาสนาคนเขาดูถูกย่งิ กว่าผ้ทู แี่ ปลงชาติ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าได้ทำหน้าที่สมควรแก่ผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ตั้งใจจะรักษา พระพุทธศาสนาของเราด้วยชีวิต ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายตัง้ ใจอยู่ในข้อนี้ และถ้าท่านตั้งใจจะช่วย ขา้ พเจ้าในกิจอันใหญน่ แ้ี ล้ว กจ็ ะเปน็ ทพ่ี อใจขา้ พเจ้าเป็นอันมาก เมืองเราเกือบจะเป็นเมืองเดียวแล้วในโลก ที่ได้มีบุคคลนับถือพระพุทธศาสนามากและเป็น เหล่าเดยี วกัน เพราะฉะน้นั เป็นหน้าทีข่ องเราท้ังหลายที่จะช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างให้ เสื่อมสูญไป เราจะต้องรักษาความเป็นคนไทยของเราให้ยั่งยืน เราจะต้องรักษาพระพุทธศาสนาให้ถาวร วัฒนาการ อย่างที่เป็นมาแล้วหลายชั่วโคตรของเราทั้งหลาย” ข้อความเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความรัก ศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้ายิ่งกว่าชีวิตของพระองค์เองและความเป็นคนไทยเข้มข้นอย่างยิ่ง สมควรที่อนชุ นรุ่นหลังอยา่ งเราควรภูมิใจ และน้อมนำมาใส่ใจ พร้อมทัง้ ปฏบิ ัตสิ บื ต่อไปตราบนานเท่านาน ให้สมดงั เจตนารมย์ของพระองค์ (พระเทพดลิ ก (ระแบบ ฐิตญาโณ), 2548, หนา้ 445-447) รัชกาลท่ี 7 (2468 - 2477) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้มีการทำสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้น ตั้งแต่ พ.ศ. 2468 - 2473 เน้นการชำระ คำ ศพั ท์ ทอี่ าจจะขาดตกอยู่ในพระไตรปฎิ ก ใหม้ ีความถูกต้องสมบูรณ์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เป็นการสังคายนาคร้ั งที่ 3 ใน เมืองไทย แล้วทรงจัดให้พิมพ์พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ ชุดละ 45 เล่ม จำนวน 1,500 ชุด และ พระราชทานแก่ประเทศต่าง ๆ ทั้งเอเชีย ยุโรป อเมริกา ประมาณ 500 ชุด ทำให้พระไตรปิฎกของไทย เผยแพร่ไปทั่วโลก และทรงโปรดให้ย้ายกรมธรรมการกลับเข้ามารวมกับกระทรวงศึกษาธิการ และเปล่ียน ชื่อกระทรวงศึกษาธิการเป็นกระทรวงธรรมการอย่างเดิม โดยมีพระราชดำริว่า \"การศึกษาไม่ควรแยก

156 ออกจากวดั \" ตอ่ มาปี พ.ศ. 2471 กระทรวงธรรมการประกาศเพิ่มหลักสตู รทางจริยศึกษาสำหรับนักเรียน ได้เปิดให้ฆราวาสเรียนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม โดยจัดหลักสูตรใหม่ เรียกว่า \"ธรรมศึกษา\" (พระเทพดลิ ก (ระแบบ ฐิตญาโณ), 2548, หนา้ 453) ในรัชสมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งยิ่งใหญ่ของไทย เมื่อคณะราษฎร์ได้ ทำการปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เป็นระบอบประชาธิปไตย เม่ือ วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. 2477 ตอ่ มาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั อานันทมหิดลข้นึ ครองราชย์เป็นรชั กาลท่ี 8 รชั กาลที่ 8 (2477 - 2489) พระเทพดลิ ก (ระแบบ ฐติ ญาโณ) (2548, หน้า 454-460) กลา่ ววา่ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชเป็นรัชกาลที่ 8 ในขณะพระพระชนมายุ เพียง 9 พรรษาเท่านั้น และยัง กำลังทรงศกึ ษาอยใู่ นตา่ งประเทศ โดยมผี ้สู ำเรจ็ ราชการแทนพระองค์ พ.ศ. 2483 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทว) วัดสุทัศน์เทพ วรา ราม เสนอให้มีการจดั แปลพระไตรปิฎกขึ้น โดยขอสนบั สนุนจากรัฐบาล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่อย่หู ัว อานันทมหิดลจึงทรงโปรดให้มีการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย โดยแปลเป็น 2 อย่าง คือ แปลโดย อรรถ และแปลโดยสำนวนเทศนา ซง่ึ พระไตรปิฎกที่แปลโดยอรรถ พิมพ์เปน็ เล่มสมุด 80 เล่ม เท่าจำนวน พระชนมายุของพระพุทธเจ้า เรียกว่า พระไตรปิฎกภาษาไทย แต่ไม่เสร็จสมบูรณ์ และได้ทำต่อจนเสร็จ เม่ืองานฉลอง 25 พทุ ธศตวรรษ เมอื่ ปี พ.ศ. 2500 ส่วนพระไตรปิฎกทแี่ ปลโดยสำนวนเทศนา พมิ พ์ใบลาน แบ่งเปน็ 1250 กณั ฑ์ เรยี กว่า พระไตรปิฎกฉบับหลวง เสร็จเมอ่ื พ.ศ. 2492 พ.ศ. 2484 ได้เปลี่ยนชื่อกระทรวงธรรมการเป็นกระทรวงศึกษาธิการ และกรมธรรมการ เปลี่ยนเป็น กรมการศาสนา และในปีเดียวกัน รัฐบาลได้ออก พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม เพื่อใหก้ ารปกครองคณะสงฆ์มีความสอดคล้องเหมาะสมกับการปกครองแบบใหม่ และได้สร้างวัด พระศรีมหาธาตุ บางเขน โดยรัฐบาลจองพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อรวมนิกายธรรมยุต และมหานิกายเข้าดว้ ยกนั โดยนมิ นตพ์ ระทงั้ สองนกิ ายไปอยู่รว่ มกัน (ฟน้ื ดอกบวั , 2554, หน้า 247) พ.ศ. 2498 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลได้ถูกลอบปลงพระชนม์ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองราช เป็นรัชกาลที่ 9 รัชกาล ปัจจุบัน สมยั รชั กาลที่ 9 (ตงั้ แต่ พ.ศ. 2489-2559) พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ) (2548, หน้า 461-464) และฟื้น ดอกบัว (2554, หน้า 247- 249) กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เปน็ ราชกาลที่ 9 สืบ ต่อมา ทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา และทรงเป็นศาสนูปถัมภก ทรงให้การอุปถัมภ์แก่ทุก

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 157 ศาสนา และทรงปกครองบา้ นเมอื งโดยสงบรม่ เย็น ตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็น ประมุข ได้มกี ารสง่ เสรมิ พุทธศาสนาด้านต่าง ๆ มากมาย ดังนี้ ด้านการศึกษา ประชาชนได้สนใจศึกษาพุทธศาสนามากขึ้นตามลำดับ ได้มีการจัดตั้งสมาคม มูลนิธิทางพุทธศาสนาเพื่อการศึกษามากมาย มีการจัดตั้งชมรมพุทธศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยและ สถาบันการศึกษาต่าง ๆ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งตั้งขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2432 ได้ประกาศตั้งเป็น มหาวิทยาลัยฝ่ายพระพุทธศาสนาขึ้น เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2490 และเปิดการศึกษาเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2490 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบนั โดยพระพิมลธรรม (ช้อย) เป็นนายสภาองค์แรก ส่วนมหามกุฏ ราชวิทยาลัย ได้จัดสอนขึ้นเป็นคร้ังแรกเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2489 โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรม หลวงวชิรณาณวงศ์ วัดบวรนเิ วศวิหาร เป็นนายกสภาองคแ์ รก ต่อมาได้มีการยกระดบั มาตรฐานการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทัง้ 2 แห่ง คือ มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย และมหามกุฏราชวิทยาลัย โดยเปิดการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษาแก่พระภิกษุสามเณร ในระดับปรญิ ญาตรี ปริญญาโท และมีนโยบายจะเปดิ ระดับปริญญาเอกในอนาคต (ปัจจุบันได้เปิดสอนใน ระดับปริญญาเอกแล้ว) ได้มีการรับรองวิทยฐานะเทียบเท่ากับมหาวิทยาลัยสากลทั่วไป และได้ออก กฏหมาย พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่ง โดยรัฐสภาเมื่อ พ.ศ. 2540 มีชื่อว่า \"มหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย และ \"มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย\" ปัจจุบันนี้ได้มีวิทยาเขตต่างจังหวัดอีก หลายแห่ง เชน่ เชยี งใหม่ พะเยา แพร่ ลำพนู นครสวรรค์ ขอนแก่น อบุ ลราชธานี นครราชสมี า หนองคาย นครปฐม นครศรีธรรมราช เป็นต้น ส่วนการศึกษาด้านอ่ืน ได้มีการจัดตัง้ โรงเรียนปริยตั ิธรรมแผนกสามญั ระดับประถมปลาย และ ม.1 ถึง ม.6 เมื่อปี พ.ศ. 2514 ในปี พ.ศ. 2501 ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนพุทธ ศาสนาวัดอาทิตย์ขึ้นเป็นแห่งแรก ณ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อเปิดการสอนพุทธศาสนาแก่เด็ก และเยาวชน จนได้แพร่ขยายไปทัว่ ประเทศ ด้านการเผยแผ่ ได้มีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ทั้งในและต่างประเทศ ในประเทศ ไทยได้มีองค์กรเผยแผ่ธรรมในแต่ละจังหวัด โดยได้จัดตั้งพุทธสมาคมประจำจังหวัดขึ้น ส่วนพระสงฆ์ได้มี บทบาทในการเผยแผม่ ากขึน้ โดยใชส้ อ่ื ของรฐั เชน่ โทรทัศน์ วทิ ยุ เปน็ ต้น กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนด เอาวิชาพระพุทธศาสนาเป็นวิชาภาคบังคับแก่นักเรยี นระดับมัธยมศึกษา ตั้งแต่ ม. 1 ถึง ม. 6 พระสงฆ์จงึ ได้มีบทบาทเข้าไปสอนในโรงเรียนต่าง ๆ มีการประยุกต์การเผยแผ่ธรรมในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การ บรรยาย ปาฐกถา และเขียนหนังสืออธิบายพุทธธรรมมากขึ้น ทั้งภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ มีพระ เถระนักปราชญ์ชาวไทยในยุคน้ีเกิดขึ้นมากมาย เช่น ท่านพุทธทาสภิกขุ และพระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เป็นต้น ส่วนการเผยแผ่ในต่างประเทศได้มีการสร้างวัดไทยขึ้นหลายวัด เช่น วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย เป็นวัดไทยแห่งแรกในต่างประเทศ ต่อจากนั้นได้มีการสร้างวัดไทยในประเทศตะวันตก คือวัดพุทธประทีป กรุงลอนดอน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จเปิด เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2509 นับเปน็ วดั ไทยวดั แรกในประเทศตะวันตก ต่อมาปี พ.ศ. 2514 ได้มีการสรา้ งวัดแห่งแรกในประเทศ

158 สหรัฐอเมริกา ที่นครลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอเนีย ชื่อว่า วัดไทยลอสแองเจลิส ปัจจุบันมีวัดไทยใน สหรัฐอเมริกา ประมาณ 15 วัด นอกจากนั้นได้มีองค์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศของคณะ สงฆ์ไทย ได้จัดให้มีการอบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศขึ้นประจำทุกปี เพื่อส่งไปเผยแผ่พุทธศาสนาใน ตา่ งประเทศ โดยเฉพาะทางตะวันตก ปจั จุบันนี้ชาวตะวนั ตกได้หันมาสนใจพุทธศาสนากนั มาก ปี พ.ศ. 2508 ได้มี การจัดตั้งสำนักงานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกขึ้น ณ ประเทศไทย (พ.ส.ล.) เพื่อเป็นศูนย์กลางของชาว พุทธทั่วโลก ด้านพิธีกรรม ได้มีการเปลี่ยนแปลงพระราชพิธีต่างๆ ที่เป็นพระราชพิธีของพระมหากษัตริย์ ให้ เป็นพิธีของรัฐบาล เรียกว่า \"รัฐพิธี\" โดยให้กรม กระทรวงต่างๆ เป็นผู้จัด จัดให้มีงานส่งเสริม พระพทุ ธศาสนาช่วงวันวิสาขบชู าของทุกปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้พระ บรมวงศานุวงศ์ เสดจ็ แทนพระองค์ในพิธเี วียนเทียนในวนั สำคญั ทางพทุ ธศาสนาเชน่ วนั วิสาขบูชา มาฆบชู า อาสาฬหบชู า ณ พทุ ธมณฑล ซง่ึ สร้างขึน้ เม่อื คราว ฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ด้านวรรณกรรม ได้มีวรรณกรรมทางพุทธศาสนาเกิดขึ้นมากมาย มีปราชญ์ทางพุทธศาสนา เกิดขึ้นหลายรูป จึงได้เกิดวรรณกรรมทั้งประเภทร้อยแก้วและร้อยกรองมากมายหลายเล่ม เช่น พุทธ ประวัติจากพระโอษฐ์ ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ ของท่านพุทธทาสภิกขุ หนังสือพุทธธรรม ของพระ ธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยตุ โฺ ต) เปน็ ต้น 11. พระพทุ ธศาสนาในพม่า พระพุทธศาสนาได้เข้าสู่ประเทศพม่าราว พ.ศ. 305 เป็นปีที่พระโสณะและพระอุตตระได้เข้ามา เผยแผ่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ เนื่องจากพม่าก็สันนิษฐานว่ามีใจกลางอยูท่ ี่เมืองสะเทิม ภาคใต้ของ พม่าดงั กล่าวแล้วในเบ้ืองตน้ อยา่ งไรกต็ าม ไม่ปรากฏวา่ พระพุทธศาสนาไดเ้ จรญิ แพร่หลายในยุคแรกนี้ แต่ กลบั มาปรากฏชัดในพุทธศตวรรษที่ 6 มีหลักฐานเป็นจารึกเป็นภาษาบาลใี นภาคใต้ของพม่า และตารนาถ นกั ประวัติศาสตร์ชาวธิเบตไดก้ ลา่ ววา่ มกี ารเผยแผ่คำสอนแบบเถรวาทในพะโค ประเทศพม่าและอินโดจีน ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช หลังจากนั้นศิษย์พระวสุพันธุได้นำพระพุทธศาสนาแบบมหายานเข้ามา เผยแผ่ ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในประเทศพม่าทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานผสมปนเปกันไป หลายศตวรรษ รุ่งเรืองอยู่ในอาณาจกั รโบราณ เรียกว่า ศรเี กษตร เหตุการณ์ที่สำคัญอีกเหตุการณ์คือในปี พ.ศ. 946 พระพุทธโฆษาจารย์ หลังจากแปลอรรถกถา จากสิงหลเป็นภาษามคธแล้ว ได้เดินทางจากเกาะลังกามาแวะที่เมืองสะเทิมของพม่า พร้อมนำ พระไตรปฎิ กและอรรถกถาทแ่ี ปลมาด้วย ทำให้ชาวพม่าหันมาสนใจพระพทุ ธศาสนามากขึ้น และทำให้เกิด นักปราชญ์ด้านภาษาบาลีหลายคนในพม่า ต่างเขียนตำราไวยากรณ์และอภิธรรมไว้พอสมควร และมี หลักฐานที่เชื่อว่า มีชาวมอญฮินดู (ตะเลง ก็เรียก) ในเมืองพะโค (หงสาวด)ี เมืองสะเทิม (สุธรรมวดี) และ ถิ่นใกล้เคียงทั้งหลาย รวมเรียกกันว่า ประเทศรามัญ ต่างนับถือพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท ต่อมาเมือง

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 159 สะเทิมได้กลายเป็นศูนย์กลางที่สำคัญยิ่งของพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทในพุทธศตวรรตที่ 16 ใน ขณะเดยี วกันได้มีชนเผ่าอกี เผา่ หนึ่งเรียกชื่อว่า มรัมมะ หรือพม่า เป็นชนเผา่ ทเิ บตหรือดราวเิ ดยี น ได้มาต้ัง อาณาจักรที่เมืองหลวงพุกาม เรียกชื่อประเทศตนเองว่า พุกาม นับถือพระพุทธศาสนาแบบตันตระ สืบทอดมาจากประเทศอินเดีย ครั้นพระเจ้าอนุรุทธ (อโนรธามังช่อ) ได้ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 1588-1621 ได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท โดยพระตะเลงจากเมืองสะเทิมรูปหนึ่ง ชื่อว่า พระอรหัน หรอื ธรรมทรรศี เปลย่ี นพระทยั พระองค์จากการนบั ถือพระพุทธศาสนาแบบตนั ตระมานบั ถือแบบเถรวาท อันบริสุทธิ์ ทำให้พระพุทธศาสนาได้เจริญมัน่ คงในประเทศพุกาม ต่อมาพระองค์ได้ส่งพระราชสาร์นไปขอ พระคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาจากกษัตริย์เมืองสะเทิม ไดร้ บั การปฏเิ สธ จงึ ได้กรีฑาทัพไปตีเมืองสะเทิม ได้นำ พระไตรปิฎก 30 จบ สง่ิ เคารพบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ และพระภิกษุชาวตะเลงท่ีแตกฉานในพระพุทธธรรม โดย บรรทุกบนหลังช้างจำนวน 32 เชือก กลับมายังประเทศพุกาม พระองค์ได้รวมเมืองทั้งสองแห่งเข้าเป็น อาณาจักรเดียวกัน และรับเอาวัฒนธรรมตะเลงมาเกือบทั้งหมด ตั้งแต่อักษร ภาษา วรรณคดี และ พระพุทธศาสนา เปน็ ตน้ ทรงแลกเปล่ยี นศาสนทตู กับลงั กา ไดน้ ำพระไตรปฎิ กฉบบั สมบรู ณม์ าจากลังกา 3 จบ โดยนำมาสอบทานกับฉบับของเมืองสะเทิม ทรงส่งเสริมศิลปกรรมทุกอย่างเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ทำใหพ้ ระพุทธศาสนาแบบเถรวาทเจริญร่งุ เรอื งไปทวั่ ประเทศพมา่ พุทธศตวรรษที่ 24 ได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ามินดง ณ กรุงมันดะเล ได้จากรึกพระไตรปิฎกลงในหินอ่อน 729 แผ่น และวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2492 พม่าได้ เปลี่ยนเป็นสหภาพพม่าและเปลี่ยนมาเป็นสาธารณรัฐพม่าในภายหลังจากได้รับอิสรภาพจากอังกฤษ ได้เป็นเจ้าภาพทำสังคายนาพระไตรปิฎกอีกครั้งหนึ่ง ณ กรุงร่างกุ้ง (ย่างกุ้ง) เนื่องในการฉลอง 25 พุทธ ศตวรรษ มชี าวพุทธจากประเทศตา่ ง ๆ เข้ารว่ มเป็นจำนวนมากและได้แจกพระไตรปฎิ ก พร้อมคมั ภีรอ์ รรถ กถา ฎีกา และปกรณ์พิเศษต่าง ๆ ให้ประเทศที่เข้าร่วมด้วย (ดังได้กล่าวแล้วในบทที่ 3) (พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยตุ โฺ ต), 2531, หน้า 141-146) 12. พระพุทธศาสนาในลาว พระพุทธศาสนาเข้าสูล่ าวในยุคเดยี วกนั กบั ประเทศไทย แต่มาชดั เจนที่สุดในยุคของขุนหลวงหรือ ขนุ บลู ม หรือ พระเจา้ พลี อโก๊ะ กษัตริยแ์ หง่ น่านเจา้ ดังกล่าวแล้วในเบื้องต้น แต่มาเร่ิมรุ่งเรืองชัดเจนในยุค ของพระเจ้าฟ้างุ้ม พระราชโอรสของพญาสุวรรณคำแพงเจ้าเมืองชวา หรือล้านช้าง (ภายหลังคือเมือง หลวงพระบาง) ได้ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 1893 ได้อภิเษกสมรสกับพระราชธิดาของพระเจ้าชัยวร มันปรเมศวร กษัตริย์ขอม (เขมร) พระนามว่า พระนางแก้วแกงยา หรือแก้วยอดฟ้า พระนางมีศรัทธาใน พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทอย่างมาก พระองค์เป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัดมาก ทรงขุนนางและ ราษฎรมคี วามเช่อื งมงายนับถือผี มกี ารลม้ ช้าง มา้ วัว ควาย เพื่อทำพลกี รรม ทรงสลดสังเวชพระทัยย่ิง จึง ทูลพระสวามีให้นำพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทจากกัมพูชาเข้าไปประดิษฐาน เจ้าฟ้างุ้มจึงส่งทูตไปขอ

160 พระภกิ ษุและพระไตรปฎิ กจากกัมพูชา กัมพชู าไดส้ ง่ พระสงฆ์มีพระมหาปาสมนั ตเถระ (อาจารยข์ องเจ้าฟ้า งุ้มขณะยังทรงพระเยาว์) และพระมหาเทพลังกา พร้อมนักปราชญ์ราชบัณฑิต ช่างศิลป์ และบริวารมา จำนวนมาก ในขณะเดียวกัน ท่านเหล่านั้นได้นำพระปางห้ามญาติ เรียกว่า พระปาง และพระไตรปิฎก ตลอดถึงศาสนวัตถุอื่น ๆ มาด้วนจำนวนมาก โดยพระปางดังกล่าวคอื ที่มาของเมืองหลวงพระบาง นั่นเอง เนื่องจากมีความสำคัญมากและได้รับสืบทอดมาจากลังกา ซึ่งเจ้าฟ้างุ้มได้รับพระราชทานมาจากกษัตริย์ กมั พูชาอกี ตอ่ หนงึ่ โดยได้อัญเชญิ ไปประดษิ ฐานที่เมืองเวยี งคำก่อนจนถึง พ.ศ. 2045 จึงอญั เชิญมายังล้าน ช้างหรอื หลวงพระบางในภายหลัง ต่อมาพวกอำมาตย์ได้ขบั พระองคจ์ ากบลั ลังคแ์ ล้วอภิเษกพระราชโอรสขึ้นครองราชย์แทน เพราะ เบื่อหน่ายต่อการศึกสงคราม ตั้งพระนามว่า พญาสามแสนไท (ตั้งตามจำนวนชายฉกรรจ์ที่สำรวจได้ใน พ.ศ. 1919 จำนวน 3 แสนคน) ทรงอภิเษกสมรสกบั เจ้าหญิงไทยแห่งกรงุ ศรีอยุธยา บ้านเมืองยุคนี้จึงเป็น ยุคฟื้นฟู เปลี่ยนแปลง และจัดระเบียบบา้ นเมืองเปน็ ส่วนใหญ่ โดยนำแบบแผนวิธกี ารมาจากประเทศไทย ทั้งด้านพระศาสนา การศึกษา การค้าขาย ล้านช้างได้กลายเป็นศูนย์กลางพาณิชกรรมสำคัญแห่งหน่ึง บา้ นเมอื งจงึ สงบสขุ ตลอดมายาวนาน ทรงเจริญสมั พันธไมตรกี ับไทยและเวยี ดนามเปน็ อยา่ งดี พ.ศ. 2063-2090 เปน็ รชั กาลของพระโพธสิ าร พระองคท์ รงเครง่ ครัดในพระพทุ ธศาสนามาก ทรง พยายามชักจงู ให้ประชาชนได้เลกิ ละการทรงเจ้า เขา้ ผี เลิกนับถอื ผสี าง เทวดา ไสยศาสตร์ ใหห้ ันมานับถือ และปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาอันบริสุทธิ์ แต่ความพยายามของพระองค์ไม่สำเร็จ เนื่องจากสิ่งเหล่านั้นได้หยั่งรากลึกในจิตใจของประชาชนมาแต่โบราณ เมื่อกษัตริย์อาณาจักรล้านนา สวรรคตขาดรัชทายาทสืบต่อราชสมบตั ิ แตม่ ีการอา้ งสทิ ธ์ิกันจำนวนมาก จงึ ทรงยกทพั ไปปราบจนได้รับชัย ชนะ แล้วทรงโปรดให้โอรสพระนามว่า ไชยเชษฐวังโส ไปครองอาณาจักรล้านนา เมื่อพระองค์สวรรคต เจ้าไชยเชษฐวังโส จึงได้เสด็จขึ้นครองราชย์ ที่ล้านช้าง พระนามว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ต่อมาได้ย้าย ไปที่หลวงพระบาง เพราะเกรงกลัวต่ออำนาจของพม่า โดยอัญเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย ดังกล่าวแล้วใน เบื้องต้น ในรัชสมัยของพระองค์นั้น ได้มีการผูกสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาอย่างแน่นแฟ้น ทรงสร้าง เจดีย์ร่วมกันเรียกว่า พระธาตุศรีสองรัก ในเขตอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย มีพิธีทำบุญร่วมกันทุกปีในวัน เพญ็ เดอื นหก คำวา่ ศรี ในชื่อพระเจดียน์ ัน้ หมายถงึ ศรีอยุธยากบั ศรีสตั นาคนหุต นั่นเอง พ.ศ. 2180 พระเจ้าสุริยวงศา ขึ้นครองราชย์ ทรงได้รับยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ ลาว ทรงครองราชย์นานถึง 55 ปี (57 ปี) บ้านเมืองสงบสุขทั้งภายในและภายนอก วัฒนธรรมรุ่งเรือง ศิลปะ ดนตรี สถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรมได้แพรห่ ลายเปน็ อย่างมาก ทรงเจริญสัมพันธไมตรี กับเพื่อนบ้านด้วยดี ทรงส่งเสริม ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา จนมีนักปราชญ์ราชบัณฑิต สามารถแต่ง วรรณคดีต่าง ๆ เช่น สังข์ศลิ ปช์ ยั ป่สู อนหลาน หลายสอนปู่ เปน็ ต้น ทรงสวรรคตเมือ่ พ.ศ. 2237 ประเทศลาวได้ตกเปน็ เมืองขึน้ ของฝรัง่ เศส 45 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2447-2492 หลังได้รับเอกราชจาก ฝรั่งเศส ประเทศลาวได้ดำเนินการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาด้วยการบัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 ว่า

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 161 “พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ และพระมหากษัตริย์เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก” และอีกหน่ึง บัญญัติว่า “คณะสงฆ์ลาวมีนิกายเดิมนิกายเดียว” (คือนิกายหินยานแบบลังกาวงศ์) และได้เปลี่ยนสภาพ ราชอาณาจักรลาวเป็น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2518 (พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโฺ ต), 2531, หน้า 147-166) 13. พระพทุ ธศาสนาในเวยี ดนาม พระพุทธศาสนาได้เข้าสู่ประเทศเวียดนามราว พ.ศ. 732 โดยสันนิษฐานว่า ท่านเมียวโป ได้ เปลี่ยนศาสนาจากลัทธิเต๋ามานับถือศาสนาพุทธ ได้เดินทางมาจากประเทศจีนเข้ามาเผยแผศ่ าสนา แต่ยัง ไม่แพร่หลายมากนักในระยะแรก ต่อมาภายหลังมีพระภิกษุชาวอินเดียชื่อ วินิตรุจิ ท่านสำเร็จการศึกษา ด้านพระพุทธศาสนามาจากอินเดียภาคตะวันตก ได้เดินทางเข้าประเทศจีนศึกษาพุทธศาสนานิกายฉาน หรือ เซน แล้วนำมาเผยแผ่ในตังเกย๋ี พ.ศ. 1123 ไดร้ บั การยกย่องว่าเปน็ สังฆราชแห่งนิกายเธียน และยังมี ลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียง ช่วยในการเผยแผ่หลักธรรมของนิกายเธียนของอาจารย์จนได้รับความนับถืออย่าง กวา้ งขวางมากขึ้นโดยลำดบั ทา่ นมีชอื่ ว่า ฝับเหียน ทำให้นิกายเธียนมคี วามมนั่ คงในระดับหนึ่งทีเดยี ว พระมหาดาวสยาม วชิรปญฺโญ (2557, หน้า 24-165) กล่าวว่า เนื่องจากในยุคนั้น สถานการณ์ บ้านเมืองของจีนกำลังยุ่งเหยิง จักรพรรดิจีนทรงนับถือศาสนาเต๋า ไม่โปรดศาสนาพุทธ มีการบีบคั้น พระสงฆ์จีนหลายด้าน ทำให้พระสงฆ์ส่วนใหญ่เดินทางเข้ามาสู่อาณาจักรเวียดนาม และได้เผยแผ่ พระพุทธศาสนาแบบมหายานอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ทำใหผ้ ู้คนหันมานับถอื ยอมรับเอาวัฒนธรรมของจีน ไม่ว่าจะ เป็นภาษา อักษร ประเพณี อาหารการกินต่าง ๆ จึงทำให้พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองทั่วเวียดนามใน ครั้งนั้น ต่อมามีพระอินเดียอีกรูป ชื่อว่า มหาชีวกะ ได้เดินทางมาเวยี ดนาม ก่อนเดินทางไปยังประเทศจนี และพระกัลยาณรุจิ หรือฉ่โี จงหลง ชาวอนิ เดียอกี รูปหนึ่ง ได้เดินทางมาเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาหลายปี โดย ท่านทั้งสองมีความชำนาญภาษาจีนมาก พระกัลยาณรุจิได้แปลคัมภีร์พระพุทธศาสนาจากภาษาจีนและ ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาเวียดนาม จำนวนหลายเล่ม ทำให้ชาวเวียดนามได้ศึกษาเกี่ยวกับพระธรรมคำ สอนของพระพุทธศาสนามากยงิ่ ข้ึน พ.ศ.1062 พระโพธิธรรม หรือ ปรมาจารย์ตั๊กม้อ พระสงฆ์ชาวอินเดียอีกรูปหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก ได้เดนิ ทางมายังเวยี ดนาม กอ่ นจะเดนิ ทางไปยังจนี ท่านไดเ้ ขา้ เฝ้าจักรพรรดลิ ้ีนามเด้ นำนกิ ายเธยี น (เรียก ภายหลังว่า เซน) แต่พระองค์ไม่โปรดเพราะไม่เข้าใจหลักธรรมหรือปรัชญาที่ท่านแสดงให้ฟัง ท่านจึงไป บำเพ็ญเพียรในถำ้ นาน 9 ปี ต่อมาได้เผยแผ่นิกายเซนจนได้รับความนยิ มแพรห่ ลาย และได้คิดวิชากังฟูวดั เส้าหลนิ ขึน้ จนเป็นเป็นที่เลอื่ งลือในขณะที่พำนักอยู่ทีว่ ัดเสา้ หลินเป็นเวลานาน ตราบจนอายุ 120 ปี ท่าน จึงมรณภาพในปี พ.ศ. 1133 เวียดนามนับถอื พระพุทธศาสนาแบบมหายานมาตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลง นิกายที่เป็นท่ียอมรับ กว้างขวางในยุคนั้นมี 2 นิกาย คือ นิกายอาหัม (อาคม) และนิกายเธียน (เซน) มีทั้งเจริญและเสื่อมในยุค

162 ต่าง ๆ ได้รับการอุปถัมภ์จากราชวงศ์ต่าง ๆ คือ ราชวงศ์ดิ่ง ราชวงศ์เล ราชวงศ์ลี้ ราชวงศ์เตริ่น ราชวงศ์ เหงียน พระพุทธศาสนาเจริญที่สุดในราชวงศ์ลี้และราชวงศ์เตริ่น กล่าวคือราชวงศ์ลี้ มีจักรพรรดิลี้ถั่นต๋ง หรือลี้ทั่นต๊งว่างเด้ ทรงมีเมตตา โอบอ้อมอารี ทรงศรัทธาในพระพุทธศาสนามากโดยเจริญรอยตามพระ เจ้าอโศกมหาราชจนได้รับฉายาว่าพระเจ้าอโศกแห่งเวียดนาม และราชวงศ์เตริ่นมีจักรพรรดิเตริ่นไถ่ตง หรือ เตริ้งท้ายตง้ ว่างเด้ ทรงมีพระทัยขวนขวายในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์มากถึงข้ันปรารถนา บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ถึงกับคิดสละบัลลังค์เพื่อหลบไปพำนักในบริเวณภูเขาเพื่อแสวงหาโมกข ธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าและค้นหาเหตุผลต่าง ๆ ในชีวิตและความตาย แต่ได้รับคำชี้แนะจากพระ อาจารย์ตรุ๊กเลิมให้กลับมาครองบัลลังค์โดยให้เหตุผลว่า “เมื่อจิตสงบและรู้แจ้งที่ไหน พระพุทธเจ้าก็ ประทับ ณ ที่นั้น หากพระองค์มีจิตที่จะบรรลุแล้ว เป็นพระพุทธเจ้าได้ ทำไมไม่ไปแสวงหาธรรมที่อื่น” และกล่าวอีกว่า “เนื่องจากพระองค์เป็นกษัตริย์ความต้องการของอาณาประชาราษฎร์เป็นความต้องการ ของพระองค์ หวั ใจของประชาราษฎรเ์ ปน็ หัวใจของพระองค์ บัดน้ีอาณาประชาราษฎรม์ าทูลขอใหพ้ ระองค์ เสด็จกลับ พระองค์จะปฏิเสธได้อย่างไร อย่างไรก็ดีมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรลืมคือ เมื่อเสด็จกลับถึงวังแล้ว โปรดศึกษาคัมภีร์ต่าง ๆ” พระองค์จำใจต้องเสด็จกลบั ได้ศึกษาพระคัมภีรม์ ากมายไม่เวน้ แต่ละวัน ขณะท่ี ศึกษาวัชรสูตร พระองค์มักหยุดอยู่ที่ประโยควา่ “อย่าให้ดวงจิตยึดติดกับสิง่ ใด” พร้อมทั้งปิดหนังสือลง แล้วภาวนาไปอีกนาน จนกระทั่งพระองค์ได้บรรลุธรรม และเขียนข้อความอุทิศให้แก่เธียน (เซน) ดังน้ัน จะเห็นไดว้ ่าพระพทุ ธศาสนานน้ั มีความสำคญั ต่อราชสำนกั ในยุคนัน้ มาก นิกายที่สำคัญในเวียดนามปัจจุบันมี 4 นิกายคือ นิกายเธียน (เซน) นิกายดินห์โต นิกายเถวาท และนิกายขัตสี หรือ คัตเส และลักษณะเด่นของชาวพุทธเวียดนามโดยเฉพาะพระสงฆ์คือ มีความศรัทธา มั่นคงในพระพุทธศาสนา ไม่นิยมลาสิกขา พระมหาเถระสนับสนุนศาสนทายาทโดยเฉพาะด้านการศึกษา ทั้งในและต่างประเทศ อนึ่งพระพุทธศาสนายังมีอิทธิพลต่อชาวเวียดนามคือ วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นศูนย์กลางการศึกษา พระสงฆ์เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน พระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมแห่ง เศรษฐกิจ พระสงฆ์มีส่วนร่วมในการต่อสู้กับการเมือง ส่วนพระเถระที่สำคัญที่มีชื่อเสียงในยุคหลังถึง ปัจจุบันคือ พระติ๊ช นัท ฮันห์ พระติ๊ช ถันห์ ตื้อ และพระติ๊ช ตรี กวาง ทั้งสามรูปมีช่ือเสยี งมากทัง้ ในและ ตา่ งประเทศ 14. พระพุทธศาสนาในกัมพชู า พระพุทธศาสนาเริ่มเข้าสู่ประเทศกัมพูชาโดยพวกปัลลวะ ที่อพยพมาจากอินเดียใต้และได้นำ พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเข้ามาเผยแผ่ด้วย ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 10 พระเจ้ารุทธวรมัน ทรงมี ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทรงให้การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา โปรดให้พระภิกษชุ าวฟูหนำ (ฟูนัน ก็เรยี ก) ให้เดินทางไปจีนเพอื่ แปลคัมภรี ์ มีพระสงั ฆปาละและพระมันทรเสน เป็นตน้ พระสงั ฆปาละได้แปล คัมภีรว์ ิมุตตมิ รรค คลา้ ยกับวิสทุ ธมิ รรคมาก แสดงให้เห็นวา่ พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทได้รับการเผยแผ่

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 163 ในฟูหนำนานแลว้ ต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 13 อาณาจักรเจนละ ที่แยกออกจากอาณาจักรฟูหนำได้แตก ออกเป็น 2 อานาจักรคือ อาณาจักรเจนละบก อยู่ทางตอนเหนือของลุ่มแม่น้ำโขง และอาณาจักรเจนละ น้ำ อยู่ทางตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำโขง ในกาลต่อมาได้มีพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 เชื้อสายมลายู ได้รวบรวม อาณาจักรทั้งสองเข้าร่วมกันอีกครั้งและสืบเชื้อพระวงศ์มาจนถึงพุทธศตวรรษที่ 14 ได้มีราชวงศ์ใหม่ว่า พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ซึ่งเป็นโอรสของพระยาชีวกเจ้านครศรีธรรมราช ทรงให้สร้างพุทธสถานและพระ เครือ่ งจำนวนมาก ท่เี รยี กกันภายหลังว่า พระรว่ งรางปืน นั่นเอง เปน็ พิมพแ์ บบมหายาน ทรงเทริดและมีหู ยาน และพระพุทธศาสนาได้เจริญอีกรอบในรัชสมยั ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โดยทรงนำพระพุทธศาสนา แบบมหายานเข้ามาเผยแผ่ มีการสร้างปราสาทมากท่ีสุด นิยมบูชาพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์อุทิศบุญกุศล แก่พระชนก และให้สร้างปราสาทหินตราพรม บูชาพระปรัชญาปารมิตาโพธิสัตว์อุทิศบุญแก่พระชนนี ดัง ข้อความที่จารึกไว้ที่ปราสาทหินพรมว่า “ปราสาทนี้เป็นอาวาสสำหรับมหาเถระ 18 รูป และพระสงฆ์อีก 1,740 รูป” ทรงให้สร้างปราสาทบายนเพอ่ื ประดิษฐานพระพทุ ธรูปฉลองพระองค์ ทรงให้สร้างพระพทุ ธรูป กริ่งปทุม (พระไภสัชคุรุพุทธเจ้า) ทรงให้สร้างพระพุทธปฏิมาพระนามว่า ชัยพุทธมหาน าถะ แล้ว พระราชทานให้ไปประดษิ ฐานใน 23 หวั เมอื ง พระพทุ ธศาสนาไดเ้ จริญรงุ่ เรอื งตลอดมาในยุคของพระองค์ หลังจากนครธมถูกตแี ตกโดยพระบรมราชาที่ 1 หรือขุนหลวงพระง่ัวของไทย กัมพูชาหรือเขมรก็ กลายเป็นชาติเล็ก ๆ ชาติหนึ่งในเอเชียอาคเนย์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2472 เป็นต้นมาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้าน การปกครองหลายครั้ง ส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาอย่างมาก มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทั้งชาวเขมรและ พระสงฆ์จำนวนมากถึง 2 ล้านคน ในสมัยนายพอลพตเป็นผู้นำ และในปัจจุบันโดยการนำของนายก เฮง สัมริน ไดร้ ื้อฟ้ืนระบอบกษตั รยิ ์ขนึ้ มาอีก ปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตรยิ เ์ ป็นประมุข หัน กลับมาให้การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอีกครั้ง ทำให้สถานการณ์ของพระพุทธศาสนาดีขึ้นโดยลำดับ (ฟื้น ดอกบวั , 2554, หน้า 300-303) 15. พระพทุ ธศาสนาในเอเชียเอเชยี กลาง เอเชียกลางเป็นที่ตั้งของประเทศเติร์กเมนิสถาน คีร์กีซสถาน อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน และ ในทางตอนใต้ของคาซัคสถาน เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์และธิเบตของสาธารณรัฐประชาชนจีน ตลอดถงึ ดนิ แดนบางส่วนของประเทศมองโกเลยี และไซบเี รียตอนใต้อีกด้วย พระพุทธศาสนาเข้าสู่เอเชียกลางหรือลุ่มแม่น้ำตาริม (Tarim Basin) และพาร์เทีย (Bacrtria) ในพุทธ ศตวรรษที่ 2 โดยพระธรรมทูตของพระเจ้าอโศกมหาราชสายพระมัชฌันติกเถระและสายพระธรรมรักขิตเถระ ได้มาเผยแพร่ แต่ก็ไม่มีหลักฐานชัดเจนนัก ศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาในเอเชียกลาง คือ เมืองกุชา หรือ กุฉิ ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 7 พระพุทธศาสนาได้ตั้งมั่นในเอเชียกลางบนทางสายไหม ทำให้เมือง เช่น โขตาน (ปจั จบุ ันคือ โฮตาน) กชุ า และตรู ฟ์ าน (บา้ งวา่ เตอร์ฟาน) เป็นศูนยก์ ลางวัฒนธรรมท่ีเจริญรุ่งเรือง ตามบันทึก ของหลวงจีนฟาเหียน โดยท่านได้จาริกผ่านมาในพุทธศตวรรษที่ 9 ระบุว่า \"รัฐชาน-ชาน (Shan-Shan) มี พระภิกษุฝ่ายหีนยานกว่า 4,000 รูป และประชาชนทั่วไปที่ปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา

164 อยา่ งเคร่งครัด แตม่ ีการปรับปรงุ บา้ งให้เหมาะสมบางประการ ทสี่ ำคญั พระภิกษุ สามเณรลว้ นศึกษาภาษา อินเดียและพูดภาษาอินเดียได้ ท่านพักอยู่ที่นั่นสองเดือน แล้วไปยังรัฐโขตาน มีภิกษุหลายหมื่นรูป ส่วนมากเป็นฝ่ายมหายาน ท่านได้พักในวิหารโคตมีอันใหญ่โตและสะดวกสะบาย ท่านพบว่า พระภิกษุ จำนวน 3,000 รูปจะมาชุมนุมเพื่อฉันภัตตาหาร เมื่อเสียงตีฆ้องดังขึ้น ตั้งแต่ย่างกายเข้าหอฉัน ท่าน เหล่านนั้ ล้วนมีอากปั กริ ิยาทเี่ ครง่ ขรึมและสงบเสง่ียม นั่งเป็นแถว เป็นระเบียบ เงียบมาก ไม่ส่งเสียงดัง แม้ ด้วยเสียงภาชนะกระทบกัน หากต้องการอาหารเพิ่มจะให้สัญญาณมอื ท่านได้พักที่โขตานตอ่ อีกเป็นเวลา 3 เดือน ได้เห็นขบวนแห่พระพุทธรูปอันมโหฬาร มีพระภิกษุ สามเณร พระเจ้าแผ่นดิน ราชินี สตรีชาววงั ตลอดถึงประชาชนทวั่ ไปร่วมขบวนแห โดยมีวดั เขา้ ร่วมกว่า 14 วัด นำโดยวัดโคตรมีท่ีทา่ นพำนักอาศัยอยู่ ใช้เวลาแห่วดั ละ 1 วัน ใช้เวลา 14 วนั เร่ิมตัง้ แตว่ ันท่ี 1 เดอื น 4 เป็นตน้ ไป หา่ งจากโขตานไปทางตะวนั ตก ราว 7-8 ลี้ (1 ลี้ = ราว 1 ส่วน 3 ไมค์) มีวัดใหม่ของหลวงที่ใช้เวลาสร้างนานถึง 80 ปี สูงประมาณ 250 ฟตุ ไดร้ ับการชว่ ยเหลอื และบริจาคทรัพย์จากพระเจ้าแผน่ ดิน 6 ประเทศจงึ สรา้ งเสร็จ นอกจากพระภิกษุ ฝ่ายมหายาน ยังพบว่ามีพระสงฆ์นิกายสรวาทสติวาทินเจริญรุ่งเรืองเคียงคู่มหายานอีกด้วย เพราะมีการ คน้ พบโบราณวัตถุหาค่ามไิ ด้ เช่น คัมภีรห์ าคา่ มไิ ดจ้ ำนวนมาก คมั ภีรว์ ิชาการอินเดยี และเปน็ ภาษาท้องถ่ิน แล้ว พร้อมกันนั้นก็พบพระพุทธรูป ศิลปะกรีก-โรมัน และจีนผสมกัน (สภาการศึกษามหามกุฏราช วทิ ยาลยั , 2537, หนา้ 236-237) ในพทุ ธศตวรรษที่ 9 น้ี กม็ ีพระภิกษทุ ่ีมชี ่ือเสยี งมากท่ีสุดคือ พระกุมารชีวะ (หรือ กุมารชีพ) ท่าน ได้ศึกษาวรรคดีพุทธศาสนาในกัศมีร์เป็นเวลาหลายปี จากนั้นก็กลับมาเป็นผู้มีชื่อเสียงในเมืองกุชา ในยุค น้ันก็เกิดสงครามระหวา่ งเมืองกชุ า และจนี ทางจนี ไดจ้ บั พระกุมารชีพเปน็ เชลย ทา่ นได้ปฏิบัติศาสนกิจใน จีนจนมรณภาพที่นั่น เป็นเวลา 15 ปี ท่านได้สั่งสอนพุทธปรัชญา และแปลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็น ภาษาจีนเป็นอันมาก จนเป็นบุคคลสำคัญท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในประเทศจีน (พระเทพ เวที (ประยทุ ธ์ ปยุตโฺ ต), 2531, หน้า 249) ศาสนาพุทธแพร่ไปทางตะวันตกถึงพาร์เทียอย่างน้อยถึงบริเวณเมิร์บในมาร์เกียนาโบราณ ซ่ึง ปัจจบุ นั อย่ใู นเติร์กเมนิสถาน ชาวพารเ์ ทียจำนวนมากมบี ทบาทในการแพร่กระจายของพทุ ธศาสนาโดยนัก แปลคัมภีร์ชาวพาร์เทียได้แปลคัมภีร์พุทธศาสนาเป็นภาษาจีน ขณะเดียวกันบริเวณตะวันออกของเอเชีย กลาง (เตอรเ์ กสถานของจีน ท่รี าบตารมิ และเขตปกครองตนเอง ซินเจียงอยุ กูร์) พบศิลปะทางพุทธศาสนา จำนวนมาก ซง่ึ แสดงอิทธิพลของอนิ เดยี และกรีก ศลิ ปะเป็นแบบคนั ธาระ และจารึกเขยี นด้วยอักษรขโรษฐี ทางสายไหมหลายเมืองในดินแดนเอเชียกลาง เป็นตัวเชื่อมสำคัญในการเผยแผ่ศาสนาพุทธระหว่าง ตะวนั ออกและตะวนั ตก ผู้แปลคัมภีร์เป็นภาษาจนี รนุ่ แรก ๆ เปน็ ชาวพารเ์ ทีย ชาวกษุ าณ หรือชาวซอกเดีย การตดิ ตอ่ แลกเปลย่ี นพทุ ธศาสนาระหว่างเอเชยี กลางกบั เอเชยี ตะวนั ออกพบมากในพุทธศตวรรษท่ี 15 ทำ ให้ศาสนาพุทธเขา้ ไปต้ังมัน่ ในจีนจนปัจจบุ นั

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 165 จึงกล่าวได้ว่าดินแดนแห่งนี้เป็นแหล่งชุมนุมศิลปกรรม วัตถุเคารพบูชา พุทธสถานและปูชนีย สถานในพระพุทธศาสนามากมาย เช่น วัด อาราม สถูป ถ้ำ ภาพจิตรกรรม ประติมากรรม คัมภีร์ และ เอกสารจดหมายเหตุต่าง ๆ ทั้งภาษาบาลี สันสกฤต จีน และขโรษฐี เป็นต้น โดยเฉพาะพระพุทธรูปน้ัน ประดับด้วยเพชรนิลจินดาอย่างวิจิตร ทั้งใหญ่โตมโหฬาร และวิจิตรพิศดารงดงามยิ่งนัก แสดงให้เห็นถึง ความเริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาและความเลื่อมใสศรัทธาของชาวพุทธที่มีต่อพระพุทธศาสนาในยุค นั้นมาก 16. พระพุทธศาสนาในประเทศจีน พระราชวสิ ุทธิกวี (พจิ ติ ร ฐติ วณฺโณ) (2534, หนา้ 1-91) ได้กล่าวถงึ ปฐมกาลของพระพุทธศาสนา ในเมืองจีนไว้ว่า ประมาณ พ.ศ. 326 จีนได้ยินคำว่า พุทธ เป็นครั้งแรก จากพ่อค้าต่างแดนที่เดินทางผ่าน เอเชียกลางเพื่อทำการคา้ กับจีน ในราชวงศ์ฮั่น มีปฐมกษัตริย์พระนามว่า เล่าปัง ได้ปราบดาภิเษกข้ึนเปน็ กษัตริย์ทรงพระนามวา่ พระเจ้าฮ่ันโกโจ และตอ่ มาในรัชสมยั ของพระเจ้าฮนั่ เม่งตี๋ เมอื่ พ.ศ. 608 พระองค์ ทรงสุบินเห็นพระพุทธรูปทองคำลอยเข้าวัง ทรงเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จึงส่งทูต จำนวน 18 คน ไปเมืองโขตาน เพ่ือสืบข่าวเก่ยี วกบั พระพุทธศาสนา คณะทูตไดน้ มิ นต์พระภกิ ษสุ องรปู คือ พระกัสสปมาตังคะ และพระธรรมรักษ์ พระธรรมทูตของพระเจ้าอโศกมหาราช ให้เขา้ มาเผยแผ่ศาสนาใน จีน พร้อมกับนำพระคัมภีร์พุทธศาสนามาด้วยส่วนหนึ่ง บรรทุกบนหลังม้าขาว ใช้เวลา 3 ปี จึงเดินทาง มาถึงเมือง ลกเอี้ยง (นครโลยาง) และต่อมาในปี พ.ศ. 610 (บางตำราว่า พ.ศ. 612) พระองค์ได้สร้างวัด แปะเบ๊ยี่ (วัดม้าขาว เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ม้าที่บรรทุกพระคัมภีร์มา ซึ่งวัดม้าขาวยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน) อยู่ ใกล้กับเมอื งหลวงคือ เมืองล่วั หยาง พระภกิ ษทุ ้งั สองรปู ได้แปลคมั ภีร์ทีน่ ำมาเป็นภาษาจีน ช่ือว่า พระสูตร 42 บท (รวบรวมพระพุทธวจนะหลักใหญ่นำมาจากธรรมบท 42 ข้อ และโยชนาภินทรสูตร) ทำให้พระ ธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาได้แพร่หลายมีประโยชน์แก่ชาวจีนเป็นอยา่ งมาก ศิลปะทางพุทธศาสนา ยุคแรก ๆ ระหวา่ ง พ.ศ. 721- 732 ได้รับอิทธพิ ลจากศลิ ปะแบบคันธาระ พทุ ธศาสนาในจนี รงุ่ เรืองมากใน ยุคราชวงศ์ถัง ราชวงศ์นี้ได้เปิดกว้างต่อการรับอิทธิพลจากต่างชาติ และมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับ อินเดีย มีพระภิกษุจีนเดนิ ทางไปอนิ เดียมากในช่วงพุทธศตวรรษที่ 9-16 เมืองหลวงในสมัยราชวงศ์ถัง คือ ฉางอาน กลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของพุทธศาสนาและเป็นแหล่งเผยแผ่ศาสนาต่อไปยังเกาหลีและญี่ปุ่น ในพุทธศตวรรษที่ 11 เอเชียกลางได้กลายเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อกันระหว่างจีน กับอินเดียอีกครั้ ง เนอื่ งจากยุคนเี้ อเชียกลางเป็นส่วนหนึ่งของจนี แตบ่ างชว่ งทเิ บต ก็มอี ำนาจไปปกครองบ้าง เนื่องจากมีการ ค้นพบเอกสารมีค่า ในถ้ำตุนหวง เป็นจำนวนมากมีอายุในช่วงนี้ ในยุคนี้ชาวอุยกูร์ยังนับถือลัทธิมาณีกีอยู่ และเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาในพุทธศตวรรษที่ 14 จากน้ันก็มีการแปลคัมภีร์พุทธศาสนา จาก ภาษาสนั สกฤต และจีนให้เป็นภาษาอุยกูร์ จากน้นั มาในศตวรรษที่ 15 ชาวมสุ ลมิ เติร์กก็ได้มีอิทธิพลเหนือ ชนกลุ่มเดิม ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมเรื่อยมา แต่ในปัจจุบันยังมีผู้นบั ถือพระพุทธศาสนาอยู่ในกลุ่มชาวมอง

166 โกล ชาวจีน และชาวทิเบต อย่างมั่นคง พบได้ทั่วไปว่าทุกครอบครัวต้องมีที่บูชาพระพุทธรูป มีการจุดไฟ บูชาด้วยเนย และถวายน้ำสะอาดทุกวนั มีการสวดมนตแ์ ทบท้งั วัน โดยเฉพาะคนมีอายุ ต่อมาในบั้นปลายของราชวงศ์ถงั ใน พ.ศ. 1388 จักรพรรดิหวู่ซุง ประกาศให้ศาสนาจากต่างชาติ ได้แก่ ศาสนาคริสต์ ศาสนาโซโรอัสเตอร์ และศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ผิดกฎหมาย หันไปสับสนุนลัทธิ เต๋าแทน ในสมัยของพระองค์มีการทำลายวัด คัมภีร์ และบังคับให้พระภิกษุลาสิกขาจำนวนมาก ความ รุ่งโรจน์ของพุทธศาสนาจึงสิ้นสุดลง พุทธศาสนานิกายสุขาวดี และนิกายฌานยังคงรุ่งเรืองต่อมา และ กลายเปน็ นิกายเซนในญี่ปุน่ นกิ ายฌานในจนี มีอทิ ธพิ ลในสมัยราชวงศซ์ ้อง ต่อไปน้จี ะกล่าวถึงพระพทุ ธศาสนาในประเทศจนี ในสมัยตา่ ง ๆ พอสงั เขปดงั นี้ สมยั ราชวงศ์ฮนั่ สมัยราชวงศ์ฮัน่ (พ.ศ. 342-763) พระพุทธศาสนาเป็นที่เลื่อมใสในวงจำกัด กล่าวคือ เป็นที่เลื่อม ใส่เฉพาะในหมู่ข้าราชการและชนชั้นสูงแห่งราชสำนักเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่แพร่หลายในหมู่ประชาชน ชาวเมือง เพราะชาวจีนส่วนใหญ่ยังคงนับถือลัทธิขงจื้อและลัทธิเต๋า จนกระทั่ง โม่งจื๊อ นักปราชญ์ผู้มี ความสามารถยิ่งได้แสดงหลักธรรมของพระพุทธศาสนาให้ชาวเมืองได้เห็นถึงความจริงแท้อันลึกซึ้งของ พระพุทธศาสนาเหนือกว่าลัทธิเดิม อาศัยความประพฤตอิ ันบริสทุ ธิข์ องพระสงฆ์เป็นเครือ่ งจงู ใจใหช้ าวจีน เกิดศรัทธาเลื่อมใส จนทำให้ชาวเมืองหันมานับถือพระพุทธศาสนามากกว่าลัทธิศาสนาอื่นๆ พระพุทธศาสนากเ็ จริญรุ่งเรืองมาเป็นลำดบั สมัยสามกก๊ สมัยสามกก๊ (พ.ศ. 763-808) พระพุทธศาสนาเจริญไปยังจีนใต้ ในปี พ.ศ. 764 และหลังจากโจโฉ ตายในปี พ.ศ. 765 โจผี บตุ รของโจโฉ ได้ปราบราชวงศ์ฮั่นลง ตง้ั ราชวงศ์งุ่ยขน้ึ ขณะเดียวกันเล่าปี่ก็ตั้งตัว เปน็ กษตั รยิ ์ทเ่ี มืองเสฉวน ส่วนซนุ กวนกต็ ้ังตัวเปน็ กษัตริย์ทเ่ี มืองกงั ตังเช่นเดยี วกนั ในช่วงน้ีประชาชนขาด ที่พึ่งทางใจ เกิดความยากจน ลำบากทุกหัวระแหง หวังพึ่งลัทธิเต๋าและขงจื้อไม่ได้ จึงหันมานับถือ พระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก และปรากฏว่ามีพระภิกษุชาวอินเดีย อิหร่าน เตร์ก ต่างเดินทางเข้ามา แปลคมั ภีร์ทางพระพทุ ธศาสนาเป็นจำนวนมาก สมยั ราชวงศ์จิ้น สมัยราชวงศ์จิ้น (พ.ศ. 808-963) ในช่วงปลายของสามก๊ก สุมาอี้ สุมาเอี๋ยน ขุนพลของโจผี ได้ ปราบก๊กเล่าปแี่ ละซนุ กวนลง เกิดความฮกึ เหมิ ไดท้ ำการกบฏลม้ บัลลังก์โจผี ตัง้ ราชวงศ์ใหมข่ นึ้ มา เรยี กว่า ราชวงศจ์ ้นิ มีเมืองหลวงช่ือ นานกิง (เก้ียนทงั ในสมยั น้นั ) แปลวา่ เมืองแขง็ แรง ไดย้ กพระพุทธศาสนาข้ึน อยา่ งเปน็ ทางการ มีการบวชภกิ ษณุ ีรูปแรกของจนี เกิดข้นึ พ.ศ. 915 พระเจ้าเฮาบูตี๋ ประเทศเกาหลี ได้ส่ง ทูตมาขอพระพุทธรูปและพระคัมภีร์ เป็นจุดเริ่มต้นในการนับถือพระพุทธศาสนาในเกาหลี หลวงจีนฟา เหียนได้ออกจาริกไปสืบพระศาสนาในชมพูทวีปเมื่อ พ.ศ. 942 ต่อมา พระกุมารชีพ จากแคว้น กุฉะ หรือ กูจา ดงั กล่าวแลว้ ในเบื้องตน้ ไดเ้ ดินทางมาเมืองเชียงอานเพ่ือปฏิบตั ิศาสนากิจ จนกระทง่ั มรณภาพ (พ.ศ.

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 167 944-956) รวม 10 ปี ในเบื้องปลายของราชวงศ์จิ้นถูกมองโกลเข้าตีแตก โดยยึดคลองลุ่มแม่น้ำเหลืองไว้ ได้ท้งั หมด สมัยน่ำปัก (ราชวงศ์เหนอื และใต)้ สมัยน่ำปัก (พ.ศ. 963-1124) จีนได้แบ่งออกเป็นสองภาคใหญ่ ๆ คือภาคเหนือและภาคใต้ เรียก สมยั น้ีวา่ ยคุ นำ่ ปัก ในยคุ นน้ี บั ไดว้ ่าเป็นยุคทองของพระพุทธศาสนา เน่ืองจากราชวงศ์ทั้งเหนือและใต้ต่าง แขง่ ขันกนั ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในทุก ๆ ด้าน เช่น ด้านการศึกษา ศลิ ปวัฒนธรรม การก่อสร้าง และการอุปถัมภ์พระธรรมทูตที่เข้ามาแปลพระคัมภีร์ให้ได้รับความสะดวกสบาย ราชวงศ์นี้ประกอบด้วย ส้อง ชี้ เลี้ยง และตั๋น อยู่ทางตอนใต้ ส่วนทางภาคเหนือมีเผา่ ทัง้ 5 ปกครองอยู่ มีการสร้างถำ้ พระพทุ ธรปู ดุจถำ้ อชันตาในอนิ เดยี ท่เี มืองตุนฮวง มีพุทธศลิ ปะออกไปทางคนั ธาระเปน็ ส่วนใหญ่ ในรัชกาลของพระเจ้า เม่งตี๋ พ.ศ. 1038 มีพระภิกษุและภิกษุณีมากกว่า 2 ล้านรูป พระชาวต่างประเทศ 3 พันรูปเศษ และมีวัด มากถึง 13,000 วดั ในรชั กาลพระเจ้าบู่ต๋ี พ.ศ. 1046-1092) พระองค์มีศรทั ธาแรงกล้าในพระพุทธศาสนา มาก ทรงเจริญรอยตามพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเสวยมังสวิรัติ และได้ขอให้สงฆ์ฉันมังสวิรัติด้วย พระสงฆ์จีนจึงถือมังสวิรัติมาจนถึงปัจจุบนั ทรงทำให้การศึกษาพระพุทธศาสนาก้าวหน้าเป็นอย่างมาก มี การสร้างวัดที่ใหญ่โต สวยงาม และริเริ่มประเพณีทางพระพุทธศาสนาหลายประการ ต่อมาได้เกิดนิกาย ฉาน หรอื ธยาน ขึน้ (เซน ญ่ีปุ่นเรยี ก) โดยปฐมาจารยช์ ่อื พระโพธิธรรม และในรัชกาลพระเจ้างว่ นต๋ี พ.ศ. 1096 พระพุทธศาสนาได้แพร่จากเกาหลีสู่ญี่ปุ่น ซึ่งราชวงศ์นี้ได้มีการทำลายล้างพระพุทธศาสนา โดย แคว้นจิวเข้าโจมตีแคว้นชี้ ให้ยกเลิกนับถือพระพุทธศาสนาและเต๋า บังคับพระภิกษุภิกษุณี 2 ล้านรูปลา สกิ ขา ยดึ วดั 4 หมนื่ วดั ทำลายพระพทุ ธรูปเอาทองคำและทองแดงไปทำเปน็ ทองแท่งและเหรียญกษาปณ์ จนกระทั่งภายหลงั ได้ผ่อนปรนให้หันมานับถือพระพุทธศาสนาและเต๋าอีกครั้ง แต่ไม่ให้พระห่มจีวร ให้ถือ พระภิกษุเปน็ พระโพธิสัตว์ แตง่ ตงั อยา่ งสามญั เท่าน้ัน สมัยราชวงศ์ซยุ สมัยราชวงศ์ซุย (พ.ศ. 1124-1161) หลังสิ้นราชวงศ์นำ่ ปักแลว้ ขุนพลยางเกียน ได้ตั้งราชวงศซ์ ยุ ขึ้น เป็นปฐมกษัตริย์พระนามว่า ซุยบุ่นต๋ี รวบรวมจีนเหนือและใต้เข้าด้วยกัน ทรงหันมาฟื้นฟู พระพุทธศาสนาและให้สร้างวัดขึ้นทุก ๆ เมืองสำคัญ โดยเฉพาะที่ภูเขาทุกแห่งอย่างสวยงามยิ่งใหญ่ ให้ พระภิกษุหันกลับมาครองจีวรได้ดังเดิม มีการรวบรวมพระไตรปิฎก ทำสารบัญชื่อพระสูตร เนื่องจาก พระองค์เคยเป็นลูกศิษย์พระมาก่อน และได้รับการเลี้ยงดูจากภิกษุณี หลังสิ้นพระองค์ พระราชโอรส พระนามวา่ หยงั กวาง ข้นึ เสวยราชย์ ใช้นามวา่ พระเจ้าซยุ เฮี่ยงตี๋ ทรงให้ขุดคลองยุนโหเช่ือมแม่น้ำเหลือง และแม่น้ำแยงชีเกียง แต่หลงมัวเมาในสตรี จนบริหารราชการบ้านเมืองล้มเหลว สุดท้ายถูกแม่ทัพหลี ได้ทำการปฏวิ ัติ ปลงพระชนม์ แลว้ ต้ังราชวงศถ์ ังข้ึนมาแทน

168 สมยั ราชวงศถ์ ัง สมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1161 - 1450) จีนได้แผ่อำนาจไปทั่วเอเชีย ตั้งแต่ทิศเหนือจรดไซบีเรียทศั ตะวันออกจรดเกาหลี ทิศตะวันตกจรดอาณาจักรโรมันตะวันออก ทิศใต้ได้ครอบครองพม่า ญวร และ จำปา สว่ นญปี่ ุ่นไดส้ ่งเคร่อื งบรรณาการมาสวามภิ กั ดก์ิ ่อน ในยุคน้ีพระพุทธศาสนาเจรญิ สงู สุดไม่แพ้สมัยน่ำ ปัก เพราะไดร้ ับการสนับสนนุ จากพระเจ้าจักรพรรดิตลอดจนนักปราชญร์ าชบัณฑิตต่าง ๆ โดยมีการสร้าง วัดขึ้นหลายแห่ง และมีการแปลพระสูตรจากภาษาบาลเี ปน็ ภาษาจีนมากมายพระพุทธศาสนาเริม่ เสื่อมลง เมื่อพระเจ้าบู๊จงขึ้นปกครองประเทศ เพราะพระเจ้าบู๊จงทรงเลื่อมใสในลัทธิเต๋า พระองค์ได้ทำลาย พระพุทธศาสนา เช่น ให้ภิกษุ ภิกษุณี ลาสิกขาบท ยึดวัด ทำลายพระพุทธรูป เผาคัมภีร์ เป็นต้น พระพุทธศาสนาไม่ได้รบั การอปุ ถัมภ์จากราชสำนกั กเ็ ร่มิ เสอ่ื มลงตัง้ แตบ่ ัดนัน้ สมยั สาธารณรฐั จนี ประเทศจีนได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น สาธารณรัฐจีน พ.ศ. 2455 พระพุทธศาสนาไม่ได้การ สนับสนุนจากรัฐบาล แต่กลับสนับสนุนแนวความคิดของลัทธิมาร์กซิสต์ ซึ่งลัทธิดังกล่าว ได้โจมตี พระพุทธศาสนาตลอดมา และมีการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนามากขึ้นโดยเอาวัดไปใช้เป็น สถานทร่ี าชการอ่นื ๆ สถานการณข์ องพระพทุ ธศาสนาจึงอยูใ่ นภาวะย่ำแย่ หลวงจีนรูปหนึ่งชื่อว่า พระอาจารย์ไท้สู ได้ช่วยกู้ฐานะของพระพุทธศาสนาไว้โดยทำการปฏิรูป พระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง แม้จะมีกำลังน้อย เริ่มจากตั้งวิทยาลัยสงฆ์ขึ้นที่ วูซัน เอ้หมิง เสฉวน และ หลิ่งนาน เพอ่ื ฝกึ ผู้นำทางพระพทุ ธศาสนาใหม้ ีความรู้ทางพระธรรมวนิ ัยและวชิ าการทางโลกสมยั ใหม่ และ นำความรู้มาเผยแผ่เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ทำให้ผู้คนเลื่อมใสมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงสามารถตั้งพุทธ สมาคมแหง่ ประเทศจีนขน้ึ เม่ือ พ.ศ. 2465 และแล้วความพยายามของพระอาจารย์ไท้สูในการทำให้ประชาชนและรัฐบาลเข้าใจใน พระพุทธศาสนาดีขึ้น สุดท้ายก็เกิดผล ในปี พ.ศ. 2472 ทางราชการได้ออกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์สินของวัด ห้ามนำไปใช้ในกิจการอื่น จนกระทั่ง พ.ศ. 2473 สาธารณรัฐจีนมีพระภิกษุและภิกษุณีรวม 738,000 รูป มวี ัดทง้ั สนิ้ 267,000 วัด ซงึ่ นบั วา่ พระพุทธศาสนากลบั มาเจรญิ ขนึ้ อกี ครั้งในประเทศจนี สมัยสาธารณรฐั ประชาชนจนี สาธารณรัฐจีนได้เปลี่ยนชื่อประเทศอีกครั้งหนึ่ง เป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ปกครองด้วยลัทธิ คอมมิวนิสต์ ในปี พ.ศ. 2492 ลัทธิคอมมิวนิสต์นี้มีคำสอนที่ขัดแย้งกับพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก พระพุทธศาสนาจึงไม่อาจอยู่ได้ในสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยในระยะแรกพรรคคอมมิวนิสต์ยังไม่ใช้ ความรนุ แรง เพราะพระพทุ ธศาสนายังมอี ิทธพิ ลอยู่ในจิตใจของประชาชนมากพอสมควร แตแ่ ล้วในปี พ.ศ. 2494 รฐั บาลได้ออกกฎหมายเพิกถอนสทิ ธิวัดในการยึดครองท่ดี ิน เป็นการบีบใหพ้ ระสงฆต์ ้องลาสิกขาบท โดยทางอ้อม พระภิกษุที่ยังไม่ลาสิกขาก็ต้องไปประกอบอาชพี เอง เช่น ทำไร่ ทำนา เป็นต้น ทั้งที่ยังครอง เพศเป็นภิกษุอยู่ และในช่วงปฏิวัติวฒั นธรรมคร้ังใหญ่ของสาธารณรัฐประชาชนจีน และ ได้มีเหตุการณ์ท่ี

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 169 กระทบกระเทือนต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากนั่นคือ รัฐบาลได้ยึดวัดเป็นของราชการ ห้ามพระสงฆ์ ประกอบศาสนกิจต่าง ๆ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาถือเป็นความผิดกฎหมาย พระภิกษุถูกบังคับให้ลา สิกขา พระคัมภีร์ต่าง ๆ ถูกเผา พระพุทธรูป และวัดถูกทำลายไปเป็นอันมากใน พ.ศ. 2509 - 2512 จาก เหตุการณ์นี้ทำให้พระพุทธศาสนาเกือบสูญสลายไปจากประเทศจีนกันเลยทีเดียว เมื่อประธานพรรค คอมมวิ นสิ ตจ์ ีน เหมา เจ๋อ ตุง ไดถ้ ึงแก่อสญั กรรม รฐั บาลชุดใหมข่ องจีนกค็ ลายความเข้มงวดลงบ้างและให้ เสรีภาพในการนับถอื ศาสนาของประชาชนมากข้นึ ในปี พ.ศ. 2519 สมยั ปจั จบุ นั นับต้งั แต่ พ.ศ. 2520 เปน็ ตน้ มา เติ่งเสย่ี วผิง มีอำนาจมากข้ึน ได้บริหารประเทศ ดำเนินนโยบาย การค้าแบบเสรี ปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้ทันสมัยขึน้ ทำให้ก้าวขึน้ มาเป็นผู้นำระดับต้น ๆ ของโลก โดยได้ยกเลิกอุดมการณ์และโครงสร้างทางการเมืองแบบเหม๋าเจ๋อตุงไปทั้งหมด ปัจจุบัน สาธารณรัฐประชาชนจีนไดม้ ีการฟืน้ ฟูพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานขึ้นใหม่ในประเทศ นอกจากนี้รัฐบาล จีนยังให้การสนับสนนุ จัดตัง้ พุทธสมาคมแห่งประเทศจีน และสภาการศึกษาพระพุทธศาสนาแหง่ ประเทศ จีนขึ้นในกรุงปักกิ่งอีกดว้ ย เพื่อเป็นศูนย์กลางการติดตอ่ เผยแผ่พระพุทธศาสนากับประเทศตา่ ง ๆ ทั่วโลก ชาวจีนสว่ นใหญน่ ับถือพระพุทธศาสนาคู่ไปกับลัทธิขงจื้อ และลัทธิเต๋า และมีผู้นับถือพระพุทธศาสนาเถร วาทเฉพาะในมณฑลยนู นาน ซ่งึ โดยทั่วไปเป็นชนกลุ่มน้อยชาวไทล้ือและชาวไทใหญ่ ปัจจุบันคนจีนเริ่มหัน มาสนใจพระพุทธศาสนามากขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะมณฑลท่ีอยู่ตามริมทะเลที่สามารถติดต่อกับ ต่างประเทศได้ เช่น เซี่ยงไฮ้ และกวางตุ้ง เป็นต้น จึงหวังได้ว่าพระพุทธศาสนาจะกลับมารุ่งเรืองเช่นดัง อดตี อยา่ งไม่ต้องสงสัย 17. พระพุทธศาสนาในเกาหลี พุทธศาสนาเข้าสู่เกาหลีเมื่อราว พ.ศ. 915 เมื่อราชทูตจากจีนนำคัมภีร์และภาพวาดไปยัง อาณาจักรโคกูรยอ โดยการนำของพระสมณทูตซุนเตา ต่อมาราว พ.ศ. 928 พระชาวอินเดียนามว่า มาลานันทะ ได้เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาในแคว้นปีกเซ ส่วนแคว้นซิลลา ได้มีหลวงจีนนามว่า อาเต้า เดินทางจากแคว้นโคกรูยอ เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนา หลังจากนั้น พระพุทธศาสนาจึงเจริญมั่นคงข้ึน ในเกาหลีสืบมา ส่วนนิกายท่ีมอี ิทธิพลต่อเกาหลีจนถึงปัจจบุ ันคือ นิกายวัน โดยพระเกาหลี นามว่า บับซัง เปน็ ผู้กอ่ ตงั้ อกี นกิ ายหน่ึงที่มีอิทธิพลอยู่ทางทิศตะวันออกคือ นิกายวิชญาณ ก่อตงั้ โดยพระเกาหลี นามว่า เชงิ้ หนา่ ง หรือ ฮวนฉ่าง ซ่ึงทา่ นไดเ้ ดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาในอินเดียก่อนจะนำคัมภีร์กลับมาด้วย จำนวนมากและได้ต้ังนิกายดงั กลา่ วขึ้น ด้านศิลปกรรมทางพระพุทธศาสนาที่โดดเดน่ และล้ำค่าท่ีสุดได้ถูก สร้างขึ้นที่ถ้ำสุกกุลัมในแคว้นซิลลา ใกล้ยอดเขาโตฮัมโดยขุนนางท่านหนึ่ง อีกทั้งเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญ ของประเทศเกาหลีเลยทเี ดียว ตอ่ มาในพุทธศตวรรษท่ี 11 ได้นิกายเซน หรอื ซอน ไดเ้ ข้ามามีบทบาทแทน พระพุทธศาสนามหายานแบบจีน และในปี พ.ศ. 2505 ได้แตกนิกายเป็น 2 นิกาย คือ นิกายโชกาย ถือ

170 พรหมจรรย์ และนิกายแตโก ไม่ถือพรหมจรรย์มีครอบครัวได้ โดยอ้างว่าเพื่อจะได้ไม่ลดจำนวนของ พระภิกษุและภกิ ษุณี 18. พุทธศาสนาในญ่ปี ุ่น พระพุทธศาสนาได้แพร่หลายจากประเทศเกาหลเี ข้าไปสู่ดินแดนประเทศญี่ปุ่น ในราวปลายพุทธ ศตวรรษที่ 11 ในรัชสมัยของพระเจา้ จกั รพรรดกิ มิ เมอิ (จักรพรรดอิ งค์ที่ 29 ของญ่ปี ุ่น) ทรงเหน็ วา่ ศาสนา ชินโตที่กำลังจะก่อตั้งขึ้น มีหลักปรัชญาและหลักคำสอนเทียบกับหลักปรัชญาและหลักคำสอนของพุทธ ศาสนาไม่ได้ พระองค์จึงรับเอาศาสนาพุทธเขา้ ประเทศญ่ีปุ่น แต่ที่ปรึกษาฝ่ายการทหารและฝ่ายทางลัทธิ ชินโตไม่เห็นด้วย พยายามขัดขวางทุกวิถีทางไม่ให้พระพุทธศาสนาแพร่หลายในญี่ปุ่น ด้วยเหตุน้ี พระพุทธศาสนาจงึ ไมส่ ามารถแพรห่ ลายออกไปในหมู่ชนช้ันตา่ ง ๆ ตอ่ มาประมาณกลางพทุ ธศตวรรษท่ี 12 พระเจ้าจักรพรรดิโยเม (จักรพรรดิองค์ที่ 31) ได้โปรดให้สร้างพระพุทธรปู ยากุชินโยโร (ได้แก่พระพุทธรปู ไภสัชยคุรุ) พระพุทธรูปองคน์ ีส้ รา้ งเสร็จหลังจากท่ีพระองคส์ วรรคตแล้ว 20 ปี และปัจจบุ ันอยู่ในวัดโฮริอูจิ (วัดน้ีมชี อ่ื เสียงมากและเปน็ สิง่ ก่อสร้างทีท่ ำดว้ ยไม้เก่าแกท่ ี่สุดในโลก ตงั้ อย่ทู เ่ี มอื งนารา เมอื งหลวงเก่าของ ญปี่ ่นุ ) พระพุทธศาสนาเริ่มแพร่หลายในญี่ปุ่นมากขึ้น ในรัชสมัยของเจ้าชายโชโตกุ พระองค์ทรง พิจารณาเห็นว่า พระพุทธศาสนาเป็นแหล่งความคิดที่ก่อให้เกิดปัญญา พระองค์ได้พยายามส่งเสริมฟื้นฟู พระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ในทุกวิถีทาง สามารถกล่าวได้ว่าเจ้าชายโชโตกุเปรียบดังพระเจ้าอโศกแห่ง ประเทศญีป่ นุ่ เลยทีเดียว เนื่องจากพระองค์ไดส้ ่งคณะทตู และนักศึกษาไปยงั ประเทศจนี เพื่อศึกษาค้นคว้า หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมอื่น ๆ ของจีน เพื่อนำมาพัฒนาประเทศญี่ปุ่นให้เจริญยิ่งขน้ึ ทรงส่งคณะทูตไปประเทศจีนหลายครั้ง แต่ละครั้งได้อัญเชิญพระไตรปิฎก และคัมภีร์อื่น ๆ จำนวนมาก มายังประเทศญี่ปุ่น ทรงประกาศพระบรมราชโองการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการ ยุคน้ี นับเปน็ ยคุ ทศี่ าสนาพทุ ธในญ่ีปุ่นมคี วามเจรญิ มากยง่ิ กวา่ ยุคใด ๆ พระองคท์ รงมีความรอบรู้ในพระไตรปิฎก ทรงเขียนอรรถกถาพระสูตรอธบิ ายไว้ จำนวน 3 เล่ม เรียกรวมกันว่า \"ซันเกียวคิโช\" อันได้แก่ ยุยมาเกียว โชมันเกียว และโฮกเกเกียว ทั้ง 3 เล่มแบง่ ออกเปน็ 8 บรรพ เป็นตำราทางพระพุทธศาสนาชุดแรก ท่เี ขยี น เป็นภาษาญี่ปุน และสูตรอรรถกถาอีก 3 เล่ม มีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่นมาก เล่ม แรกคือ ยุยมาเกียว เป็นหลักคำสอนเกี่ยวกับฝ่ายมหายาน ส่วน 2 เล่มหลังเกีย่ วกับคำอธิบายหลักคำสอน ทางเอกยานโดยเฉพาะ (สัทธัมปุณฑริกสูตร วิมลเกียรตินิเทศสูตร และศรีมาลาเทวีสิงหนาทสูตร) อีกทั้ง จักรพรรดินีซุยโกะ จักรพรรดินีองค์แรกของญี่ปุ่นได้ตราพระราชเสาวนีย์เกี่ยวกับการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาโดยให้ยึดถือเป็นนโยบายของประเทศนั่นเอง จึงเป็นเหตุให้พระศาสนาพุทธได้รับความ นยิ มแพร่หลาย กลายเปน็ ศาสนาประจำชาตโิ ดยปรยิ าย

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 171 นิกายส่วนใหญ่ในระยะเริ่มแรกของญี่ป่นุ เปน็ นิกายมหายาน หลกั ธรรมการปฏบิ ัตจิ ึงค่อนข้างหนัก ไปทางฝ่ายมหายาน ปัจจุบันนิกายที่คนส่วนใหญ่นักถือกันมากมี 4 นิกายคือ นิกายเซน เทนได สุขาวดี และนจิ ิเรน นิกายเซนเชือ่ วา่ ความเปน็ พทุ ธมีอยูก่ ับทกุ คน เพยี งรอวันปลุกข้ึนมา ดว้ ยอบุ ายวิธี หรือปริศนา ธรรม หากเข้าใจได้เม่อื ไหร่ จะบรรลุพระโพธิญาณทันที นิกายเทนได นบั ถอื สัทธรรมปุณฑริกสูตรเป็นหลัก ถือว่าเปน็ เอกยานหรือพุทธยาน เหนือกว่าสาวกยาน ปัจเจกโพธิยาน และโพธิสัตวยาน นิกายสุขาวดี เน้น ความมีศรัทธาต่อพระอมิตาภพุทธเจ้าเป็นหลัก มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อไปเกิดในพุทธเกษตรสุขาวดี ส่วน นิกายนิจิเรน นับถือสัทธัมปณุ ฑริกสูตร โดยเชื่อว่าจะทำใหบ้ รรลุพระโพธิญาณได้ เพียงบริกรรมนอบนอ้ ม สัทธรรมปุณฑรกิ ว่า นมู เมียวโฮเรงเงเกยี ว ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-14 ศาสนาชนิ โตท่ีเคยขัดแย้งกับพระพุทธศาสนาแต่เริ่มแรก ค่อย ๆ ปรับแนวความคิด หลักปรัชญาให้ผสมกลมกลืนกับพระพุทธศาสนา โดยอธิบายวา่ พระเจ้าของชินโตกค็ อื พระโพธิสัตว์ในศาสนาพุทธ นั่นเอง ชาวญี่ปุ่นจึงหันมาเคารพนับถือพระพุทธศาสนาและศาสนาชินโต ควบคู่กันไป ในโบสถ์วัดจะมีรูปพระเจ้าของศาสนาชินโตรวมอยู่ด้วยเสมอ เช่น มีรูปเทพีอะมะเตระสุโอมิ กามิ (ซึ่งลัทธิชินโตเคารพนับถือว่าเป็นผู้สร้างประเทศญี่ปุ่น) ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์ พุทธศาสนิกชนชาว ญี่ปุ่นอธิบายว่าเทพีองค์นี้ เป็นการอวตารของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือ เจ้าแม่กวนอิมโพธิสัตว์ น่ันเอง ลักษณะพุทธศาสนาในญีป่ ุ่นจึงมีการปฏิบตั ิท่แี ปลกแตกต่างกว่าประเทศในเอเซยี ท่วั ไป 20. พระพทุ ธศาสนาในโลกตะวนั ตก มหี ลกั ฐานว่า พระพุทธศาสนาแพร่หลายไปถึงตะวันตกมานาน มีผแู้ ปลชาดก ซึ่งเป็นคัมภีร์หนึ่ง ในพระไตรปิฎกของพุทธศาสนา เป็นภาษาซีเรียค และภาษาอาหรับ เช่น Kalilag and Dammag และ แปลพุทธประวัติเป็นภาษากรีก โดยจอห์นแห่งดามัสกัส จนแพร่หลายในหมู่ชาวคริสต์ในนามของบาร์ลา อัมและโยซาฟัต เรอื่ งน้เี ป็นทน่ี ยิ มของชาวคริสต์ จนกระท่ัง เมือ่ ประมาณ พ.ศ. 1800 ชาวคริสต์ยกย่องโย ซาฟตั ให้เป็นนักบุญแหง่ นิกายคาทอลกิ ความสนใจในพุทธศาสนาเริ่มขึ้นอีกครั้งในยุคอาณานิคม เมื่อมหาอำนาจตะวันตกได้มีโอกาส ศึกษาหลกั ธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างละเอียดมากข้ึน ปรชั ญาในยุโรปสมยั น้ันไดร้ ับอิทธิพลจากศาสนา ในตะวันออกมาก การเปิดประเทศของญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ. 2396 ทำให้มีการยอมรับศิลปวัฒนธรรมญี่ปุ่น รวมทั้งวัฒนธรรมเกี่ยวกับศาสนาพุทธด้วย งานแปลคัมภีร์ทางพุทธศาสนาเป็นภาษาตะวันตกเริ่มขึ้นโดย Max Muller ผจู้ ดั พมิ พ์ Scared Books of the East \"คัมภีร์ศักดสิ์ ิทธ์แิ หง่ ตะวันออก\" มีการจดั ตั้งสมาคม บาลีปกรณ์เพื่อจัดพิมพ์พระไตรปิฎกและคัมภีร์ทางพุทธศาสนาอื่น ๆ แต่ความสนใจยังจำกัดในหมู่ ปัญญาชน พุทธศาสนาเข้าสู่อังกฤษคร้ังแรกเมื่อ พ.ศ. 2448 โดย J.R. Jackson เป็นผกู้ ่อตั้งพุทธสมาคมใน อังกฤษ และ Charls Henry Allen Bernett ผู้ซึ่งต่อมาบวชเป็นพระภิกษุในพม่า มีฉายาว่า \"อานันทเมต

172 เตยยะ\" เปน็ พระภิกษชุ าวองั กฤษคนแรก คณะสงฆไ์ ทยส่งคณะทูตไปเผยแผ่ครงั้ แรกเมื่อ พ.ศ. 2507 และ ได้สรา้ งวดั ไทยชื่อวัดพทุ ธประทีปในลอนดอน มีการต้งั สมาคมเผยแผ่พระพุทธศาสนาคร้ังแรกเม่ือ พ.ศ. 2446 ตอ่ มามีชาวเยอรมันไปบวชเป็น พระภิกษุที่ศรีลังกา การเผยแผ่พุทธศาสนาในเยอรมันชะงักไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และถูกห้ามใน สมัยของฮิตเลอร์ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีการฟื้นฟูพุทธศาสนาโดยพระภิกษุจากพม่า และมีการ ติดต่อกบั พุทธสมาคมในศรลี งั กา มีวดั ไทยในเบอรล์ ินเช่นกัน พุทธศาสนาเข้าสู่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่ พ.ศ. 2448 โดยเป็นพุทธศาสนาจากจีนและญี่ปุ่น ในยุค ต่อมาจึงเป็นพุทธศาสนาแบบทิเบต ใน พ.ศ. 2504 มหาวิทยาลัยวิสคอนซินเปิดสอนปริญญาเอกสาขา พุทธศาสตร์เป็นแห่งแรกในสหรัฐ คณะสงฆ์ไทยสร้างวัดไทยแห่งแรกในสหรัฐเมื่อ พ.ศ. 2515 (สชุ าติ หงษา, 2545, หน้า 170-175) ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาในตะวันตก (กลั ยามติ รเพือ่ นแท้สำหรบั คณุ , 2559) ชาวตะวนั ตก มีโอกาสัมผัสถิ่นพระพทุ ธศาสนาครั้งสำคญั ในสมัยที่พระเจา้ อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีกกรีฑาทัพบกุ อินเดียในระหว่างปี 326323 ก่อนคริสต์ศตวรรษ ซึ่งตรงกับ พ.ศ.217-220 หรือหลังพุทธปรินิพพานได้ 217-220 ปี ซึ่งในขณะน้ันพระพุทธศาสนาดั้งเดิมคือเถรวาทกำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่ในอินเดีย ระยะเวลา ประมาณ 3 ปแี หง่ การมาของกองทัพกรกี คร้ังนน้ั เปน็ ไปได้ว่ามีการศึกษาและแลกเปลี่ยนวนั ธรรมระหว่าง กันพอสมควร ทหารกรกี คงได้สมั ผั พระพุทธศาสนาผา่ นวิถชี วี ิตของชาวพุทธในอนิ เดีย มยั นน้ั ไมม่ ากก็น้อย และคงเล่าขานต่อๆ กันไปในยุโรปหลังจากทท่ี หารเหล่าน้นั กลับไปยังอาณาจกั รมาซิโดเนียของตนแล้ว เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ยกทัพกลับแล้ว จันทรคุปต์ก็สามารถยึดเมืองปาฏลีบุตรจากพระ เจ้านันทแ์ หง่ กรกี ได้สำเรจ็ และปราบดาภเิ ษกตนเองเปน็ ปฐมกษตั ริย์แห่งราชวงศโ์ มริยะในเมืองปาฏลีบุตร เมื่อปี พ.ศ.222 และได้ปกครองอยู่นาน 26 ปี ในรัชสมัยของพระองค์ เมกาสเธเนส (Magasthenes) เอกอัครราชทูตจากเมืองอเล็กซานเดรียแห่งกรีก ได้เดินทางมายังเมืองปาฏลีบุตร และได้บันทึกเรื่อง พราหมณ์และสมณะทั้งหลายในอินเดียไว้ นักเขียนกรีกและละตินหลายท่านใช้บนั ทึกนี้อ้างอิงเร่ืองราวใน อนิ เดีย ชาวตะวันตกได้รับรู้เรื่องราวของพระพุทธศาสนาอย่างละเอียดชัดเจนจากหนังสือชื่อ Description of the World ของมาร์โค โปโล (Marco Polo) ทีไ่ ด้เดินทางไปอยู่ในประเทศจนี นานถงึ 16 ปี ในชว่ งปี พ.ศ.1818 - พ.ศ.1834 ได้พบพุทธศาสนิกชาวจีนจำนวนมาก โดยได้เขียนไว้ว่า \"ตำบลซาจู อยู่ ในเมอื งตังกุก ประชาชนทง้ั หลายนับถือพุทธปฏิมา ยกเวน้ ชาวเตอร์ก และพวกซะราเซนบางคนที่เป็นคริส เตียน ประชาชนที่นับถือพุทธปฏิมาเหล่านีม้ ีภาษาพูดของตัวเอง ไม่ประกอบการค้าขาย เลี้ยงชีพด้วยการ เพาะปลูกธัญพชื มีภกิ ษุและวัดมากหลาย วดั ทัง้ หลายมีพุทธปฏมิ าแบบต่าง ๆ ประชาชนเคารพนบั ถือพุทธ ปฏิมาเหล่านั้นอย่างท่วมท้นหัวใจ ฯลฯ\" เมื่อ มาร์โค โปโล เดินทางกลับจากประเทศจีนมาถึงประเทศ อิตาลี ได้เล่าเรื่องดังกล่าวแก่ชาวอิตาลี แม้ไม่ค่อยมีคนเชื่อและสนใจในคราวนั้น แต่ต่อมาภายหลังพระ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 173 สันตะปาปา นิโคลา ที่ 4 (Nicholas) ได้จัดส่งพวกนักบวชไปสืบพระพุทธศาสนาในประเทศจีน ท่านแรก คือ นักบวชจอห์น แห่งมอนเตคอร์วิโน เขาได้พำนักอยู่ที่จีนหลายปี และได้ส่งจดหมายทูลรายงานพระ สันตะปาปาถึงความเป็นไปของพระพุทธศาสนาในประเทศจีน หลังจากนั้นเป็นต้นมา จึงมีการจัดส่ง นกั บวชครสิ ต์ไปเปน็ ระยะๆ เพ่อื เผยแผศ่ าสนาของตน เรอ่ื งราวการเดนิ ทางของนักบวชเหล่าน้ีเป็นท่ีสนใจ ของชาวยุโรปจำนวนมาก ในปี พ.ศ.2085 บาทหลวงฟรานซิสคัส ซาเวริอุส (Franciscus Xaverius) แห่ง ประเทศสเปนเดินทางมาอินเดีย และอีก 1 ปีหลังจากนั้นได้เดินทางไปถึงกัว (Gua) ครั้งนั้น บาทหลวงได้ พบพ่อค้าชาวญี่ปุ่นชื่อ ยาจิโร (Yagiro) พ่อค้าท่านน้ีเล่าให้ฟังถึงเรื่องพุทธประวัติและหลักคำสอนของ พระพุทธศาสนา คณะนักบวชคริสต์จึงบันทึกเรื่องราวเหล่านี้รายงานกลับไปยังทวีปยุโรปทั้งหมด แต่มิได้ จัดพมิ พ์เผยแพร่ ส่วนมากจะเกบ็ รกั ษาไว้ในห้องสมดุ นับตั้งแต่ พ.ศ.2144 เป็นต้นมา ประเทศในแถบตะวันตกหลายประเทศทยอยกันออกล่าอาณา นิคม เช่น เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ ฝรั่งเศส โปรตุเกส อิตาลี เบลเยี่ยม รัสเซีย เยอรมนีและสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ได้เข้ายึดครองประเทศด้อยพัฒนาในทวีปเอเชีย แอฟริกา และโอเชียเนียไว้ได้มากมาย ช่วงนี้จึง เกิดการถา่ ยทอดแลกเปล่ียนวนั ธรรมไปสู่กันและกนั ชาวตะวนั ตกจำนวนไม่น้อยได้สมั ผสั พระพุทธศาสนา ในยุคน้ี นอกจากนักล่าเมืองขน้ึ แลว้ ยังมคี ณะมชิ ชันนารีจากยโุ รปหลายคณะได้เดินทางมาเผยแพร่ศาสนา คริสตใ์ นประเทศจนี ญป่ี ่นุ ศรลี ังกา ไทย และประเทศอินโดนเี ซีย ครสิ ตศ์ าสนจกั รหลายประเทศอาศัยฝ่าย การเมืองเป็นเครื่องมือบังคับให้ชาวเอเชียในประเทศที่ตกเป็นเมืองขึ้นเปลี่ยนศาสนา ในขณะเดียวกัน ชาวตะวันตกไมน่ ้อยได้เปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา เพราะความที่เป็นศาสนาที่สามารถพิสูจน์ไดด้ ้วย ตนเอง มีเหตุมีผล รองรับวิทยาศาสตร์ได้ นอกจากนี้ เรื่องราวพระพุทธศาสนาในเอเชียก็ถูกส่งกลับไปให้ ชาวตะวนั ตกได้ศกึ ษากนั อย่างต่อเน่อื ง รายงานที่คณะมิชชันนารีส่งไปกลับไปประเทศตะวันตกนั้น เป็นการศึกษาเรียนรู้วิถีวัฒนธรรม ของพุทธศาสนิกชนผ่านการสังเกตและสนทนาเป็นหลัก มิได้เป็นความรู้ที่ได้จากการค้นคว้าคัมภีร์ พระพุทธศาสนาโดยตรง จนกระทง่ั ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 19 (ค.ศ.1801-1900 หรอื พ.ศ.2344-2443) ไดม้ ีการ จัดพิมพ์เผยแพร่หนังสือไวยากรณ์ภาษาบาลเี ล่มแรกในทวปี ยโุ รป โดยบาทหลวง แล เซน เบอร์นูฟ และ บาทหลวงท่านน้ีเป็นคนแรกที่บอกว่า ชาวยุโรปคนแรกที่ศึกษาภาษาบาลีคือ ซิมมอน เดอ ลา ลู แบร์ (Simon de la Loubere บาทหลวงผู้รว่ มคณะเอกอัครราชทูตของพระเจ้าหลยุ ส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ที่ได้ เดินทางมาประเทศไทยในรชั สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เม่ือ พ.ศ.2230-2231 ท่านได้พิมพ์หนังสือ Description du Royaume de Siam เผยแพร่ใน พ.ศ. 2234 โดยแทรกเรื่องประวัติพระเทวทัต และ พระปาติโมกข์ย่อเอาไว้ด้วย ต่อมาในศตวรรษที่ 20 เป็นยุคทองของนิกายมหายาน ชาวพุทธนิกาย มหายานหลายนิกายเข้าไปเผยแผ่ในตะวันตก และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี พุทธศาสนิกชนในแต่ละ ประเทศจึงมจี ำนวนเพม่ิ มากขน้ึ เรอื่ ย ๆ ตราบกระท่ังปัจจบุ ัน

174 21. สรุปทา้ ยบท พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้ามาในในประเทศไทย โดยแบ่งเป็น 4 ยุค คือ ยุคเถรวาทแบบสมัย พระเจ้าอโศก ยุคมหายาน ยุคเถรวาทแบบพุกาม และยุคเถรวาทแบบลังกาวงศ์ ตั้งแต่สมัยทวารวดี สมัย อาณาจักรอ้ายลาว สมัยลพบุรี สมัยพุกาม สมัยกรุงสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรี และสมัย กรุงรัตนโกสินทร์ และในขณะเดียวกัน พระพุทธศาสนายังได้เผยแพร่ไปในต่างประเทศ เช่น ลาว พม่า กมั พูชาเวยี ดนาม พารเ์ ทีย ท่ีราบตาริม จนี เกาหลี ญ่ีปนุ่ อังกฤษ กรีก เยรมนี และสหรฐั อเมริกา ตามหลักฐานการนับถอื พระพุทธศาสนาของไทยเริ่มปรากฏหลกั ฐานชัดเจนในสมัยอาณาจักรอ้าย ลาว กล่าวคือ พ.ศ. 612 สมัยพ่อขุนหลวงเมาหรือเม้า กษัตริย์แห่งอาณาจักรอ้ายลาว แต่หลักฐานท่ี น่าเชื่อถือมากที่สุดคอื พ.ศ. 275-305 เป็นปีที่พระโสณะและพระอุตตระได้เขา้ มาเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในสุวรรณภูมินั้น ห่างจาก พ.ศ. 612 ถึง 307 ปี จึงเชื่อได้ว่า คนไทยน่าจะนับถือพระพุทธศาสนามาก่อน พ.ศ. 612 ตามหลักฐานดังกล่าวแลว้ กลา่ วคืออาจนับถือมาตั้งแต่พุทธศตวรรษท่ี 3 ราว พ.ศ. 305 นั่นเอง จากที่กล่าวมาทง้ั หมดทำใหเ้ ราทราบว่า หากยุคใด สมยั ใดที่ผูน้ ำประเทศนน้ั ๆ เชน่ พระมหากษัตริย์ ทรง สนใจและได้ศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพทุ ธศาสนาด้วยศรัทธาแล้ว พระพทุ ธศาสนาจะไดร้ ับการเชิด ชูบูชา และได้รับการทำนุบำรุงด้วยดีไม่ว่าจะเป็นด้าน ศาสนวัตถุ ศาสนสถาน ศาสนบุคคล และศาสนพิธี อันเนื่องจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์นั้น เป็นสัจธรรม สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง คงทนต่อ การพิสจู น์ เหนอื กาลเวลา ไม่ว่าจะลว่ งไปนานถึงสองพันกว่าปแี ลว้ กต็ าม พระธรรมคำสอนของพระองค์ยัง เป็นสัจธรรมเสมอ แต่หากยุคสมัยใด ผู้นำไม่มีศรัทธา ไม่สนใจศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ พระพทุ ธศาสนามักถกู คุกคาม ทำลายจากผู้มอี ำนาจเหลา่ นน้ั ดังนั้น จากการศึกษาในบทนี้ทำให้เราทราบว่า อำนาจของผู้นำในแต่ละประเทศนั้น สามารถทำ ให้พระพุทธศาสนาเจริญและเสื่อมได้ ส่วนเหตุที่ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญเจริญมั่นคงอยู่ได้คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ของพุทธศาสนิกชน กลา่ วคือชาวพุทธต้องศึกษาพระธรรมคำสอนของ พระพุทธองค์ ให้รู้แจ้งแทงตลอด น้อมนำพระธรรมคำสอนมาประพฤติปฏิบัติให้เปน็ วิถีชีวิตของทุกคน และปฏิบัติจนถงึ ขั้นปฏิเวธคือ การเข้าผลของการปฏิบัติจากปริยัติและปฏิบัติทั้งสองนั้น จะเป็นการสืบต่ออ ายุ พระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสถาพรต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน แต่ในทางตรงข้าม ชาวพุทธต่างผลักภาระปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ให้เป็นหน้าที่ของกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น ผลักภาระให้เป็นหน้าที่ของพระสงฆ เพียงอย่างเดียว พระพุทธศาสนาจะเจริญแบบลุ่มๆ ดอนๆ ไม่เจริญเต็มที่ เปรียบดังพืช ผัก หรือต้นไม้ ที่ ไมไ่ ด้รับการดูแลรดน้ำ พรวนดนิ ใหป้ ุ๋ย ให้นำ้ อยา่ งทว่ั ถงึ ยอ่ มแคระแกรน โตบา้ ง ไม่โตบา้ ง เห่ียวเฉาบ้าง ตายบา้ ง น่นั เอง

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 175 คำถามท้ายบท 1. ใหน้ กั ศึกษายกเหตุการณ์สำคัญของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย 3 ยคุ คอื ยุคเถรวาทแบบ สมัยพระเจ้าอโศก ยุคมหายาน และยุคเถรวาทแบบพุกาม มา 3 เหตุการณ์ เรียงลำดับความสำคัญตาม ความคดิ เหน็ ของนักศึกษา อธิบายประกอบถงึ ความสำคัญนั้น ๆ พอสังเขป 2. จากการศกึ ษาประวัตคิ วามเป็นมาของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยในยุคเถรวาทแบบลังกา วงศ์ ต้ังแตส่ มยั ทวารวดี สมยั อาณาจกั รอ้ายลาว สมยั ลพบรุ ี สมัยพุกาม สมัยกรงุ สโุ ขทยั สมยั กรุงศรีอยธุ ยา สมัยกรุงธนบุรี และสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านคิดว่าสาเหตุสำคญั ทีท่ ำให้พระพุทธศาสนาม่ันคงถาวรและ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบนั ไดม้ ีอะไรบา้ ง อธิบายประกอบส้นั ๆ ตามทศั นะของนกั ศึกษา 3. เหตุการณ์ที่สำคัญของพระพุทธศาสนาในต่างประเทศ เช่น ลาว พม่า กัมพูชาเวียดนาม พาร์ เทีย ที่ราบตาริม จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ กรีก เยรมนี และสหรัฐอเมริกา นักศึกษาคิดว่าเหตุการณ์ใด ควรนำมาวิเคราะหม์ ากท่ีสุด ยกเหตกุ ารณ์นั้นมาอธิบาย และบอกเหตผุ ลประกอบ 4. จงวิเคราะห์สาเหตุของความเจริญของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยในยุคต่าง ๆ โดยยก เหตุการณท์ ีส่ ำคญั ในยุคน้ัน ๆ อภิปรายพอสังเขป 5. จงวิเคราะห์สาเหตุของความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยในยุคต่าง ๆ โดยยก เหตุการณท์ ี่สำคญั ในยุคนน้ั ๆ อภปิ รายพอสงั เขป

176 เอกสารอ้างองิ ประจำบทที่ 5 กัลยามิตรเพื่อนแท้สำหรับคุณ. (2560, 21 มิถุนายน). พระพุทธศาสนาในตะวันตก. สืบค้น 20 เมษายน 2563, จาก https://www.kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=14212 วัยอาจ, ดี. เค. (2556). ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสังเขป. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำรา สงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร.์ พระเทพดลิ ก (ระแบบ ฐติ ญาโณ). (2548). ประวัตศิ าสตร์พระพทุ ธศาสนา. (พมิ พ์ครงั้ ที่ 5). กรงุ เทพฯ: โรง พมิ พม์ หามกุฏราชวทิ ยาลัย. พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). (2531). พระพุทธศาสนาในอาเซีย. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ: โรง พิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. พระมหาดาวสยาม วชิรปญฺโญ. (2557). พุทธศาสนาในเวียดนาม. (พิมพ์คร้งที่ 2). กรุงเทพฯ: เม็ด ทรายพริ้นติง้ . พระราชวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ). (2534). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในจีน. กรุงเทพฯ: สุทธิสาร การพิมพ์. ฟน้ื ดอกบวั . (2542). พระพุทธศาสนากับคนไทย. กรงุ เทพฯ: ศลิ ปาบรรณาคาร. ฟื้น ดอกบวั . (2554). ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาในนานาประเทศ. กรุงเพทฯ: ศิลปาบรรณาคาร. ราชบัณฑิตยสถาน. (2548). พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากลอังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัญฑิตยสถาน. (พิมพ์ ครง้ั ท่ี 2). กรุงเทพฯ: ราชบณั ฑิตยสถาน. สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย. (2537). พุทธศาสนประวัติระหว่าง 2500 ปีล่วงมาแล้ว. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พส์ รุ วัฒน.์ สุชาติ หงษา. (2545). ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาจากอดตี ถงึ ปัจจบุ ัน. กรุงเทพฯ: สถาบนั บันลอื ธรรม.

แผนบรหิ ารการสอนประจำบทท่ี 6 บทที่ 6: ประวัตแิ ละบทบาทพระสาวก สาวกิ าและนักคิดที่สำคญั ในพระพทุ ธศาสนา เนอ้ื หาประจำบท 1. บทนำ 2. ประวัติและบทบาทพระสาวกฝ่ายภกิ ษุในสมยั พทุ ธกาล 3. ประวัตแิ ละบทบาทของภกิ ษุณสี ำคัญในสมัยพุทธกาล 4. ประวัตแิ ละบทบาทของอุบาสกสำคัญในสมัยพทุ ธกาล 5. ประวตั ิและบทบาทอบุ าสิกาสำคญั ในสมัยพุทธกาล 6. ประวัตแิ ละบทบาทนกั คิดทางพระพุทธศาสนาทีส่ ำคญั หลงั ยุคพทุ ธกาล 7. บคุ คลสำคญั ในการฟ้นื ฟูพระพทุ ธศาสนาให้กลบั รุง่ เรืองอีกครั้งหลงั เสอ่ื มจากอินเดยี ราว 800 ปี 8. สรปุ ทา้ ยบท คำถามทา้ ยบท เอกสารอา้ งอิงประจำบทท่ี 6 จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. นักศึกษาสามารถวิเคราะห์เน้ือหาสำคัญ ๆ ด้วยการรวบรวม เรียบเรียงเนื้อหาสำคัญใน บทเรยี นด้วยกราฟิกต่าง ๆ เช่น แผนภูมิ แผนที่ความคิด เปน็ ตน้ และถา่ ยทอดเน้อื หาดว้ ยภาษาของตนใน การนำเสนอหน้าช้ันเรียนได้ 2. นักศึกษาสามารถอภิปราย ถาม-ตอบ ตีความเนื้อหานั้น ๆ ได้ และประยุกต์ใช้ในชีวิตได้อย่าง ถูกตอ้ งเหมาะสม 3. นักศึกษาสามารถแสวงหาความรู้ด้วยการค้นคว้าข้อมูลสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อ การศกึ ษา นำมาเขียนรายงาน บรรยาย และนำเสนอเนื้อหาดว้ ยตนเองได้ กจิ กรรมการเรยี นการสอน 1. บรรยาย/อภิปราย/มอบหมาย/แบ่งกลุ่มนักศึกษาให้รับผิดชอบในการวิเคราะห์ด้วยการ รวบรวม และเรยี บเรียงเน้ือหาสำคญั ๆ ดว้ ยกราฟิกต่าง ๆ เช่น แผนภมู ิ, แผนท่คี วามคิด เปน็ ตน้ ดว้ ยการ ใช้เคร่ืองมือหรือโปรแกรมการเรียนการสอนออนไลน์ เช่น Excel 1 (กระดาษแผ่นเดียว), Google Sites,

178 XMind2020, Canva เป็นตน้ นำข้อมูลทไ่ี ด้มาถ่ายทอดเน้อื หาด้วยภาษาของตนในการเขียนรายงาน และ นำเสนอหนา้ ชัน้ เรยี น 2. นักศกึ ษาฟงั การบรรยาย/จดบันทกึ สรปุ เน้ือหา/ฝึกตงั้ คำถาม/ฝกึ ตอบ/ฝึกอภิปรายในช้ันเรียน 3. ศึกษาจากเอกสารประกอบการสอน/ค้นคว้าเนื้อหาที่เก่ียวข้องเพิ่มเติมจากหนังสือ/ห้องสมุด และเวบ็ ไซต/์ ตอบคำถามท้ายบท/ทดสอบ Pretest และ Posttest ส่อื การเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน/PowerPoint/Ebook 2. แบบเรียนออนไลน์/โปรแกรมการสอนออนไลน์ เช่น Google Classroom, Google Sites, Google forms, Google Meet, Zoom Cloud Meeting, Microsoft Teams, XMind2020, Canva,TeamLink เป็นต้น การวัดผลและการประเมินผล 1. ประเมินคุณธรรมจรยิ ธรรมโดยใช้แบบ Checklist การตรงเวลาในการเข้าช้ันเรยี น การส่งงาน ท่ีมอบหมาย และการอ้างอิงผลงานคนอื่น และใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการมีจิตสาธารณะในการทำ กจิ กรรมทง้ั ในและนอกหอ้ งเรยี น 2. ประเมินความรู้และทักษะทางปัญญา โดยการทดสอบ Pretest และ Posttest/ตอบคำถาม ท้ายบท/การวิเคราะห์ด้วยการรวบรวมและเรียบเรียงเน้ือหาสำคัญ ๆ ด้วยกราฟิกต่าง ๆ เช่น แผนภูมิ, แผนที่ความคิด เป็นต้น ด้วยการใช้เคร่ืองมือหรือโปรแกรมการเรียนการสอนออนไลน์ นำข้อมูลที่ได้มา ถา่ ยทอดเนื้อหาดว้ ยภาษาของตนในการเขยี นรายงานและนำเสนอหน้าชนั้ เรียน 3. ประเมินทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ และทักษะการวิเคราะห์เชิง ตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยใช้แบบ Checklist จากการอภิปราย/การแสดง ความคิดเห็น/การถาม-ตอบ/การวิเคราะห์เน้ือหาที่เรียน/การสรุปเน้ือหา/การส่งงานใน Google Classroom/การนำเสนอหนา้ ชน้ั เรียน

บทท่ี 6 ประวัติและบทบาทของพระสาวก สาวิกา และนักคิด ที่สาคัญทางพระพทุ ธศาสนา 1. บทนำ คำว่า สาวก หมายถึง ผู้ฟังตาม หมายถึง บุรุษท่ีน้อมนำพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ไป ประพฤติปฏิบัติตาม รวมเอาทั้งพระภิกษุ สามเณร อุบาสก และคำว่า สาวิกา หมายถึง ผู้ฟังตาม หมาย เอาสตรี ที่น้อมนำพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ไปประพฤติปฏิบัติตาม รวมเอาท้ังพระภิกษุณี แม่ชี และอาบาสิกา ส่วนคำว่า นักคิดที่สำคัญ ในท่ีนี้หมายเอา นักคิดท่ีมีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่คำสอน ฟ้ืนฟู ทำนุบำรงุ ท่ีเป็นนักการศึกษา และนักประวัติศาสตร์ด้านพระพุทธศาสนา ทั้งในสมัยพุทธกาล และ หลังพุทธปรินิพพาน ตลอดถึงผู้มีบทบาทสำคัญในการกอบกู้พระพุทธศาสนาหลังพระพุทธศาสนาเสื่อม จากอินเดยี ราว 800 ในที่น้ีจะเน้นกล่าวถึงประวัติและบทบาทพระสาวก สาวิกา ท่ีได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ว่า เป็นเอตทัคคะ คือเป็นเลิศในด้านใดด้านหนึ่ง จำนวน 74 ท่าน แบ่งเป็นฝ่ายภิกษุ 41 ท่าน ภิกษุณี 13 ท่าน อุบาสก 10 ท่าน และอาบาสิกา 10 ท่าน ตามลำดับ เหตุที่ได้การยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เอตทัคคะ นั้นมี 4 สาเหตุ คือ (1) อตถฺ ุปปตฺติ คือโดยเหตเุ กิดเรอ่ื ง กล่าวคือ ได้แสดงความสามารถออกมา ให้ปรากฏโดยสอดคล้องกับเหตุการณ์หรือสถานการณ์นั้น ๆ ที่เกิดข้ึน (2) อาคมน คือ โดยการมาก่อน กล่าวคือ ได้สร้างสมบุญญาธิการด้านนั้นมาตั้งแต่อดีตชาติ พร้อมทั้งได้ต้ังจิตปรารถนาเพื่อได้ตำแหน่ง เอตทคั คะด้านน้ันด้วย (3) จิณณวสี โดยเป็นผู้ช่ำชองชำนาญ กล่าวคือ เป็นผู้มีความเช่ียวชาญเฉพาะเรื่อง นน้ั ๆ เป็นพิเศษ และ (4) คุณาดิเรก คือโดยเป็นผู้ยง่ิ ด้วยคุณ กล่าวคือ มคี วามสามารถในเรอ่ื งท่ีนน้ั ๆ ทำ ให้ไดร้ ับตำแหน่งเอตทัคคะเหนือกว่าผ้อู ื่นทมี่ ีความสามารถอย่างเดียวกนั จะขอกล่าวรายละเอียดเพยี งบาง ท่านเท่าน้ัน เพื่อเป็นแนวทางการการศึกษาเก่ียวกับประวัติและบทบาทของท่านอื่น ๆ ต่อไป ส่วนบุคคล สำคัญจะกล่าวถึงในบทน้ี เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในเผยแผ่ศาสนาเป็นหลัก เช่น พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นต้น หลังจากน้ันจะกล่าวถึงผู้มีบทบาทในการสืบทอดพระพุทธศาสนา หรือนักปราชญ์ด้านการศึกษา ด้านประวัติศาสตร์ในยุคต่าง ๆ เช่น หลวงจีนฟาเหียน อ้ีจิง เห้ียงจัง ฯลฯ และผู้มีบทบาทสำคัญในการ กอบกู้พระพุทธศาสนาหลังพระพุทธศาสนาเส่ือมจากอินเดียราว 800 ปี เป็นหลัก เช่น ท่านธรรมปาละ เจมส์ ปรนิ้ เซส เปน็ ตน้ 2. ประวัติและบทบาทพระสาวกฝา่ ยภกิ ษุในสมัยพุทธกาล ประวัติและบทบาทของพระสาวกฝ่ายภิกษุสำคัญในสมัยพุทธกาลโดยเฉพาะอย่างย่ิงภิกษุที่ได้รับ ยกวา่ เปน็ เอตทคั คะมีปรากฏในอังคตุ ตรนิกาย เอกนิบาต จำนวน 41 องคด์ งั น้ี

180 ที่มา: (อง.เอก. (ไทย) 20/146-149/28-30)

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 181 ในที่นี้จะกล่าวถึงประวัติและบทบาทพระสาวกเอตทัคคะฝ่ายภิกษุในสมัยพุทธกาลบางท่าน เท่านั้น เพอ่ื เปน็ ตัวอยา่ งในการศึกษาต่อไป โดยมีรายละเอยี ดดงั นี้ ประวตั ิและบทบาทของพระอัญญาโกณทัญญะ จำเนียร ทองฤกษ์ (2548, หน้า 1-35) กล่าวว่า พระอัญญาโกณทญั ญะ เกิดในตระกลู พรามหณ์ ณ บา้ นพราหมณช์ ่ือว่า โทณวัตถุ เป็นผู้สำเรจ็ ไตรเพท เช่ียวชาญด้านทำนายลักษณะ หรือ ร้กู ันในปัจจุบัน ว่า นรลักษณ์ เป็นหน่ึงในพราหมณ์ 108 ท่ีได้รับเชิญให้เข้าไปทำนายพระลักษณะและขนานพระนามของ เจ้าชายสิทธัตถะหลังประสูติได้ 5 วัน และถูกคดั เลือกใหเ้ หลอื พราหมณ์เพียง 8 คนท่เี ช่ยี วชาญด้านทำนาย ลักษณะ ท่านไดท้ ำนายวา่ “พระราชกมุ ารนี้จักเสด็จออกบรรพชา สำเร็จเปน็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าโดยแน่ แท”้ ต่างจากพราหมณอ์ ีก 7 ท่านที่ไดท้ ำนายไว้ 2 นัยวา่ “ถา้ พระกมุ ารครองเพศเป็นฆราวาส จักเป็นพระ เจ้าจกั รพรรดิ ถ้าเสดจ็ ออกบรรพชา จกั ไดส้ ำเร็จเป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า” คร้ังทราบข่าวเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช จึงออกบวชตามพร้อมด้วยพรามณ์อีก 4 ท่านที่ ร่วมทำนายพระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะคือ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ หลังบวชถูกเรียกว่า ปญั จวัคคีย์ คือเป็นผมู้ ีพวกห้า หรอื มีพวกจำนวนห้าคนน่ันเอง ได้ทำการอุปัฏฐากพระพทุ ธองค์ตลอดเวลา ทีท่ รงบำเพญ็ ทุกรกริ ิยานานถงึ 6 ปี ภายหลังเจ้าเข้าใจวา่ พระพุทธองค์ทรงละความเพียรเวยี นมาเพ่ือความ เป็นผู้มกั มากจึงไดพ้ ากันหนไี ปยงั ปา่ อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ปัจจบุ นั เรียกวา่ สารนาถ ณ กรงุ พาราณสี หลังจากพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เมอ่ื วันข้ึน 15 ค่ำ เดอื น 6 และประทับเสวย วิมุตติสุข ณ ริมฝ่ัง แม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ เป็นเวลา 49 วนั จากนั้นพระบรมศาสดาทรงดำเนินสู่ ปา่ อสิ ิปตนมฤคทายวนั ใกลเ้ มืองพาราณสเี พื่อทรงแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคยี ์โดยทรงระลึกว่า ปัญจวัคคยี ์ เป็นผู้มีอุปนิสัยในอันจะตรัสรู้ธรรม ท้ังมีอุปการะแก่ประองค์มาก ได้อุปัฏฐากพระองค์เมื่อครั้งทรงบำเพ็ญทุกร กิริยานานถึง 6 ปี พระบรมศาสดาใช้เวลา 11 วันเดนิ ทางมาถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวนั ในยามเย็นของวันขึน้ 14 ค่ำ เดอื น 8 ปญั จวคั คียย์ ังคงเข้าใจว่า พระสมณโคดม เลิกละความเพียรในการบำเพญ็ ตบะในทุกรกิริยา คงจะ ไม่มีโอกาสได้บรรลุพระสัมโพธิญาณแล้ว จึงนัดหมายกันทำเพิกเฉยแสดงอาการไม่เคารพไม่ยินดีในการ เสด็จมาของพระผู้มพี ระภาคเจ้า และกลา่ วปฏสันถารใชส้ ำนวนอันเป็นกริยาไม่เคารพ แต่พระผู้มีพระภาค เจ้าได้ตรัสว่า \" ดูกร ปัญจวัคคีย์ บัดน้ี ตถาคตได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว มาครั้งนี้หวังจะแสดง ธรรมแก่เธอทั้ง 5 เธอจงตั้งใจฟังและปฏิบัติตามคำของตถาคต ไม่ช้าไม่นานสักเท่าใดก็จะได้ตรัสรู้ตาม\" ปัญจวัคคีย์ไม่เช่ือ กลับคัดค้าน แม้พระบรมศาสดาจะตรัสเตือนซ้ำอีก ปัญจวัคคีย์ก็ยังไม่เชื่อ กล่าวโต้แย้ง ถึง 3 ครั้ง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเดือนด้วยพระมหากรุณาให้ปัญจวัคคีย์หวนระลึกถึงความหลังดูว่า \"ดูก่อน ปัญจวัคคีย์ วาจาท่ีไม่ควรเช่ือคำใด ตถาคตเคยกล่าวอยู่บ้างหรือ แม้แต่คำว่า ตถาคตได้ตรัสรู้ พระสัมมาสัมโพธญิ าณน้ี ตถาคตเคยกล่าวกะใคร ทีไ่ หน แต่กาลก่อน\" ด้วยอานุภาพของพระวาจาจริงของ พระองค์ เป็นอัศจรรย์ทำให้ปัญจวัคคีย์ระลึกเห็นตาม พากันแน่ใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรู้จริง

182 ดังพระวาจา ก็พรอ้ มกันถวายบังคมพระยุคลบาทด้วยคารวะ ขอประทานอภัยโทษที่แสดงอาการไม่เคารพ ต่อพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับพักในสำนักปัญจวัคคีย์ 1 ราตรี ครั้นรุ่งขึ้น วันข้ึน 15 ค่ำ เดือน 8 พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก เป็นปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ ทรงประกาศ \"ธัมมจักกปั ปวัตตนสูตร\" (พระสูตรว่าด้วยการยังธรรมจักรใหเ้ ปน็ ไป) หรือพระสูตรว่าด้วยการหมุนวงล้อ แห่งธรรม มีใจความสำคญั ว่าดว้ ยมัชฌิมาปฏปิ ทา คือทางสายกลาง กล่าวคือการเวน้ ท่ีสุด 2 อยา่ ง และว่า ด้วยอริยสัจ 4 อันมีทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค ท่ีพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ ทำให้ พระองค์สามารถปฏิญาณว่า ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ (ญาณคือความตรัสรู้เองโดยชอบอันยอด เย่ียม) ผลจากการฟังธรรมในคร้ังน้ี ท่านโกณฑัญญะ หัวหน้าคณะปัญจวัคคีย์ ได้ดวงตาเห็นธรรม (เกิด ธรรมจักษ)ุ พระพุทธเจ้าทรงเปลง่ อทุ านวา่ \"อญญาสิ วต โภ โกณฺฑญโฺ ญ อญญาสิ วต โภ โกณฺฑญโฺ ญ \" (โกณฑัญญะไดร้ ู้แลว้ หนอ โกณฑัญญะไดร้ ูแ้ ล้วหนอ) จากน้ันมา คำว่า \"อัญญา\"จงึ มารวมกับชื่อของท่าน ท่านอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระโสดาบัน และทูลขอบวชเป็นภิกษุในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงทำการบวชให้ ด้วยการเปล่งพระวาจาว่า \"ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันตถาคตกล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติ พรหมจรรย์เพื่อทำให้สุดทุกข์โดยชอบเถิด\" การบวชนี้เรียกว่า “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” ณ บัดน้ัน พระอัญญาโกณทัญญะจึงเป็นปฐมสาวกหรือพระสาวกรูปแรกในพระพุทธาศาสนา ได้รับการยกย่องจาก พระพุทธองค์ในภายหลังว่า ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย อัญญาโกญทัญญะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุท้ังหลายผู้เป็น สาวกของตถาคต (เอตทัคคะ) ด้านรัตตัญญู (ผู้รู้ราตรีนาน) หมายถึง ผู้ได้บรรลุธรรมก่อนใครในบรรดา สาวกของพระพุทธองค์หรือได้บวชก่อนใครอื่นในพระพุทธศาสนา ดังน้ัน ท่านจึงนับว่าเป็นพระสงฆ์องค์ แรกของพระพุทธศาสนา ทำให้พระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ได้เกิดขึ้นครบสมบูรณ์ ในกาลนน้ั พระพุทธองค์ทรงจำพรรษา ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงสั่งสอนปัญจวัคีย์ทั้ง 5 ด้วย ปกิณณ กธรรมเทศนา (ธรรมเบ็ดเตล็ด หรือธรรมระคนกัน) ต่อมาท่านวัปปะ ได้ดวงตาเห็นธรรมในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ท่านภัททิยะได้ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรมในวันแรม 2 ค่ำ เดือน 8 ท่านมหานามะได้ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรมในวันแรม 3 ค่ำ เดือน 8 และท่านอัสสชิ ได้ดวงตาเห็นธรรมในวันแรม 4 ค่ำ เดือน 8 แต่ ละท่านได้ทูลขออุปสมบท พระองคท์ รงประทานเอหิภิกขุอุปัมปทาให้ตามลำดบั คร้ันพระภิกษุปัญจวัคคีย์ มีอินทรีย์ มีศรัทธาแก่กล้า สมควรแก่การบรรลุธรรมเบ้ืองสูงแล้วทรงได้แสดง อนัตตลักขณสูตร คือพระ สตู รที่แสดงลักษณะแห่งเบญจขันธว์ ่า เป็นอนัตตา หลังได้ฟังอนัตตลักขณสูตร พระภิกษุปัญจวัคคีย์ได้พ้น

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 183 แล้วจากอาสวะ (กิเลสท่ีหมักหมม ดองอยู่ในสันดาน ไหลซึมซ่านไปย้อมจิตเมื่อประสบอารมณ์ต่าง ๆ) ไม่ ถอื มน่ั ดว้ ยอุปาทาน สำเรจ็ เปน็ พระอรหันต์ทงั้ หมดในวนั แรม 5 คำ่ เดอื น 8 นน่ั เอง ครง้ั น้ัน มพี ระอรหนั ต์เกดิ ขึ้นในโลก 6 องคแ์ ลว้ คอื พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า 1 กบั พระอรยิ สาวก 5 คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ 1 พระวัปปะ 1 พระภัททิยะ 1 พระมหานามาะ 1 พระอัสสชิ 1 รวมเป็น 6 ดว้ ยประการฉะน้ี ประวัติและบทบาทของพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ประวัตแิ ละบทบาทของพระสารีบตุ รและพระมหาโมคคัลลานะมีดงั นี้ เดิมท่านพระสารีบุตรมีนามว่า อุปติสสะ เป็นบุตรของวังคันตพราหมณ์ และนางสารี ในอุปติสส คาม หรือบางแห่งเรียก นาลันทา ใกล้กรุงราชคฤห์ ต่อมาได้ชวน โกลิตะสหายสนิทออกบวชในสำนัก ของสัญชัญปริพาชก เน่ืองจากเกิดความเบ่ือหน่ายในชีวิตฆราวาสขณะชมมหรศพ เกิดความคิดขึ้นว่า ชีวิตของฆราวาสหาแก่นสารไม่ได้ ไม่ถึงร้อยปีก็ตาย จึงควรออกบวชแสวงหาโมกขธรรม ซ่ึงพระวินัยปิฎก มหาวรรค มหาขันธกะได้กล่าวไว้วา่ ต่อมาอุปติสสปริพาชกได้พบพระอัสสชิขณะกำลังเดินบิณฑบาต เกิด ความเลื่อมใส จึงตดิ ตามไป เมื่อโอกาสเหมาะสม ได้เข้าไปถาม “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อินทรียข์ องทา่ นผอ่ งใส ยิ่งนัก ผิวพรรณของท่านก็บริสุทธิ์ ท่านบวชอุทิศใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน ท่านชอบใจธรรมของใคร” พระอัสสชิได้ตอบว่า “พระมหาสมณะศากยบุตร เสด็จออกผนวชจากศากยตระกูล เราบวชอุทิศพระผู้มี พระภาคเจ้าพระองค์นั้น พระองค์เป็นศาสดาของเรา เราชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ นั้น” อุปติสสปริพาชกถามต่อว่า “ก็พระศาสดาของท่านสอนเช่นไร แนะนำอย่างไร?” ท่านตอบว่า “เราเป็นผู้ใหม่ บวชได้ไม่นาน เพิ่งเข้าสู่พระธรรมวินัยน้ี ไม่อาจแสดงธรรมโดยพิศดารแก่ท่านได้ เราจะ กล่าวเพียงโดยย่อแก่ท่าน” อุปติสสปริพาชกเรียนว่า “จะน้อยหรือมาก นิมนต์กล่าวเถิด ท่านจงกล่าวแต่ ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการใจความอย่างเดียว ท่านจะทำพยัญชนะให้มากทำใม?” ท่านจึงแสดง ธรรมวา่ “เย ธมมฺ า เหตปุ ฺปภวา เตสํ เหตุํ ตถาคโต เตสญจฺ โย นิโรโธ เอวํวาที มหาสมโณต”ิ ธรรมใดเกดิ แตเ่ หตุ ตถาคตตรัสเหตุแหง่ ธรรมนน้ั และความดับแห่งธรรมนน้ั พระมหาสมณะมีปกติตรสั อย่างนี้ เพียงเท่านี้ ดวงตาเห็นธรรม อันปราศจากธุลไี ด้เกิดแก่อุปติสสปริพาชกว่า “ส่ิงใดส่ิงหนึ่ง มีความ เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา” จึงกราบเรียนพระอัสสชิว่า “ขอท่านอย่างได้ แสดงธรรมให้ย่ิงกว่าน้ีเลย จงงดไว้เพียงเท่านนี้” แล้วถามต่อว่า “พระศาสดาของเรา อยู่ท่ีไหนขอรับ” หลังจากทราบว่า พระบรมศาสดาประทบั อยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร กราบพระอัสสชิแล้ว ทา่ นไดน้ ำความ นี้ไปเล่าให้โกลิตปริพาชกสหายรักฟัง เพราะได้สัญญากันไว้ว่าใครได้สำเร็จอมตธรรมก่อน จะต้องบอกให้ อีกคนทราบ โกลิตปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นเดียวกัน ท้ังสองจึงเดินทางไปชวนอาจารย์สัญชัย

184 ปริพาชก แต่สัญชัยปริพาชกมีทิฏฐิแรงกล้าและปฏิเสธคำเช้ือเชิญของท้ังสอง โดยถามว่า “ในโลกนี้คนโง่ หรือคนฉลาดมากกว่ากัน?” ทั้งสองตอบว่า “คนโง่มากกว่า” จึงกล่าวว่า “คนฉลาดจงไปหาสมณะ โคดม ส่วนคนโง่จงอยู่กับเรา พวกเธอจงไปเถิด” หลังจากน้ันทั้งสองได้ลาอาจารย์ไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พรอ้ มด้วยปริพาชกจำนวนมาก เปน็ เหตุใหส้ ัญชยั ปรพิ าชกอาเจียนออกมาเปน็ เลือด พระผู้มีพระภาคแสดงธรรมแก่บริษัท 4 ได้ทอดพระเนตรเห็นปริพาชกทั้ง 2 มาแต่ไกล ตรัสแก่ ภิกษุท้ังหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย สหายทั้งสองคือ อุปติสสะและโกลิตะกำลังมา นั่นจักเป็นคู่สาวกช้ันยอด เป็นคู่ที่เจริญของเรา” ทั้งสองได้ทูลขอบวช ทรงให้บวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ต่อมาภายหลังทั้งสองได้ สำเร็จเปน็ พระอรหันต์แลว้ ทรงยกย่องให้เปน็ พระสาวกเบื้องขวา เบ้อื งซ้าย (วิ.ม. (ไทย) 4/60-62/72-77) ประวตั แิ ละบทบาทของพระอานนท์ พทุ ธอนุชา จำเนียร ทองฤทธ์ (2548, หน้า 330-389) กล่าวว่า พระอานนทเถระเป็นพระโอรสของพระเจ้า สุกโกธนะ พระกนิฏฐภาดา (น้องชาย) ของพระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางกีสาโคตรมี แห่ง โกลิยวงศ์ ทรงประสูติในวัน เดือน ปี เดียวกันกับเจ้าชายสิทธัตถะ เรียกว่า สหชาติ แต่นับว่าเป็นพระอนุชาของ เจ้าชายสิทธัตถะ ถ้านับตามลำดับศากยวงศ์ ทรงออกพรรพชา และอุปสมบทพร้อมพระภัททิยะ พระอนุ รุทธ พระภัคคุ พระกิมพิละ และพระเทวทัต ณ แคว้นโกศล ที่อนุปิยนิคม (อนุปิยกัมพวัน) อุปสมบทด้วย เอหภิ ิกขอุ ุปสมั ปทา ท่านไดด้ วงตาเห็นธรรม คอื ได้บรรลเุ ป็นพระโสดาบนั จากการฟงั ธรรมของพระปุณณ มนั ตานบี ุตรเถระ ท่านได้ปฏิบตั หิ น้าทใ่ี นฐานะพทุ ธอุปฏั ฐาก หลงั พระพุทธองคท์ รงตรัสรู้มาแลว้ 20 พรรษา ตอ่ จาก พระนาคสมาละ พระนาคิตะ พระอุปวาณะ พระสุนักขัตตลิจฉวี พระจุนทสมนุทเทสกะ พระสาคตะ พระราธะ และพระเมฆิยะ เนื่องจากไม่มีผู้ปฏิบัติหน้าที่น้ีประจำ โดยท่านได้ขอและรับพร 8 ประการจาก พระพทุ ธองคก์ อ่ นจะรับหน้าท่นี ี้ คอื 1. ขอพระองคอ์ ย่าประทานจวี รอันประณีตแกข่ า้ พระองค์ 2. ขอพระองค์อยา่ ประทานบิณฑบาตอนั ประณีตแก่ขา้ พระองค์ 3. ขอพระองคอ์ ย่าโปรดใหข้ ้าพระองคอ์ ยู่ในพระคนั ถกฎุ ีร่วมกับพระองค์ 4. ขอพระองค์อย่างทรงพาขา้ พระองค์ไปในทีน่ มิ นต์ 5. ขอพระองค์จงเสด็จไปสสู่ ถานทขี่ า้ พระองค์รับนมิ นต์ไว้ 6. ขอพระองคใ์ ห้ข้าพระองคน์ ำพาพุทธบริษัททง้ั หลายผ้มู าจากทศิ ตา่ ง ๆ เขา้ เฝา้ ได้ทกุ เมื่อ 7. ถ้าความสงสัยของข้าพระองคเ์ กดิ ขึน้ เมื่อใด ขอใหข้ ้าพระองค์เข้าเฝ้าทลู ถามไดเ้ มือ่ นน้ั 8. ถ้าพระองค์ทรงแสดงธรรมเรื่องใดในท่ีลับหลังข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงแสดงธรรมเร่ืองน้ัน แก่ข้าพระองค์อกี ครงั้ หนึ่ง โดยท่านให้เห็นผลว่า พร 4 ขอ้ แรกเพ่ือป้องกันการนินทาจากผู้ไม่หวังดี กล่าวหาท่านว่าอุปัฏฐาก พระพุทธองค์เพราะลาภสักการะ ส่วนพร 3 ข้อหลัง เพ่ือป้องกันคนทั้งหลายที่จะกล่าวว่า “พระอานนท์

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 185 บำรุงพระบรมศาสดาเพ่ืออะไร เพราะพระองค์ไม่ทรงอนุเคราะห์ด้วยกิจเพียงเท่าน้ี” ส่วนพรข้อสุดท้าย เพ่ือกันและกันว่า “ถ้าหากมีผู้ถามว่า พระคาถานี้ พระสูตรน้ี และชาดกนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ณ ที่ไหน ถ้าตอบไม่ได้ เขาจะติเตียนได้ว่า เรื่องเพียงเท่าน้ีท่านยังไม่รู้ ท่านตามเสด็จพระบรมศาสดาอยู่ ตลอดกาลนาน เปรยี บเสมือนเงาตามตัวไปทำไม” ท่านได้ปฏิบัติหน้าท่ีเป็นพุทธอุปัฏฐากได้อย่างไม่บกพร่อง ไม่มีใครเทียบได้ แม้กระทั่งชีวิตท่าน สามารถสละแทนพระพุทธองค์ได้ เช่น ในคร้ังท่ีพระเทวทัตได้สมคบกับพระเจ้าอชาตศัตรูปล่อยช้างนาฬา คิรีเพ่ือหวังปลงพระชนม์ โดยมอมเหล้าจนเมา ท่านรีบออกไปขวางหน้าช้างนาฬาคิรีไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ ทำอนั ตรายแกพ่ ระพุทธองค์ โดยไม่เหน็ แก่ชีวติ ของตนเองเลย การท่ีท่านได้รับพร 8 ประการจากพระพุทธองค์นั้น นับเป็นการบรรลุผลแห่งบารมีท่ีท่านได้ บำเพญ็ มาตลอดหน่ึงแสนกปั ดว้ ยความปรารถนาตำแหนง่ พุทธอุปัฏฐากน่ันเอง ตอ่ มาพระพุทธองค์ไดท้ รงแตง่ ต้งั พระอานนท์ในฐานะเอตทัคคะ 5 ประการคอื 1. เปน็ พหสู ตู คือ เป็นผู้สดับรบั ฟงั มาก ศกึ ษาเล่าเรียนมาก 2. เปน็ ผมู้ สี ติ คือ มีความระลกึ ดี มีสติสัมปชญั ญะอยเู่ สมอ 3. เป็นผ้มู คี ติ คอื มีแนวทาง กล่าวคือได้หลกั เพียงข้อเดียว กเ็ ขา้ ใจได้หลายทาง 4. เป็นผู้มีธิติ คือ ความทรงจำเป็นเลิศ มีความม่ันคง มีปัญญา และมีความอดทนกล่าวคือมีควม เพียงในการเรยี น การทอ่ งจำ และการอปุ ฏั ฐาก 5. เป็นพทุ ธอุปฏั ฐาก คอื เป็นเลศิ ในการปฏิบตั หนา้ ทีร่ ับใช้พระพุทธเจ้า ท่านได้รับยกย่องไม่เฉพาะจากพระพุทธองค์เท่าน้ัน ท่านยังได้รับยกย่องจากพระมหาเถระ ทั้งหลาย เช่น พระสารีบุตร พระอัครสาวกเบ้ืองขวา เป็นต้น ท่านมีคุณูปการมากมาย จะไม่ขอกล่าว รายละเอียดทั้งหมดในที่น้ี ผู้สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมพึงศึกษาเองได้จากพระไตรปิฎก และหนังสือที่ เกี่ยวขอ้ งตอ่ ไป หลังพุทธปรินิพพาน ท่านได้รับคัดเลือกจากคณะสงฆ์ให้เป็นผู้วิสัชชนา (ตอบคำถาม) เก่ียวกับ พระสูตรในพระไตรปิฎกในคราวปฐมสังคายนา เพราะคณะสงฆ์เห็นว่า ท่านได้สดบั รับฟังมามากและคอย ติดตามพระบรมศาสดามาตลอด การทำสังคายนาจะกระทำไม่ได้เลยถ้าขาดพระอานนท์ แม้ท่านยังเป็น พระเสขบุคคลอยู่ก็ตาม (แต่ท้ายท่ีสุด ท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ก่อนวันสังคายนา) เนื่องจากท่านได้ ศึกษาเล่าเรียนนวังคสัตถุศาสตร์คือ คำสอนของพระพุทธองค์ 9 อย่างไว้อย่างครับถ้วน คือ สุตฺตํ เคยฺยํ เวยฺยากรณํ คาถา อุทานํ อิติวุตฺตกํ ชาตกํ อพฺภูตธมฺมํ เวทลฺลํ ที่สำคัญท่ีสุดคือได้ศึกษาเล่าเรียนจากพระ โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยตรง เป็นที่ประจักษ์ต่อพุทธบริษัททั้ง 4 จำนวนมาก หามีพระภิกษุองค์ ใดเทียบได้ และท่านได้เล่าเรียนจากพระภิกษุรูปอ่ืนบ้าง เช่น พระสารีบุตรเถระ โดยมีรายละเอียดใน ขทุ ทกนกิ าย เถรคาถา ติงสนิบาต ว่า


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook