สปั ดาหที่ 1 แนวการสอน รหสั วชิ า 08-212-205 เวลา 5 ช่ัวโมง ทฤษฎี 2 ชั่วโมง หนว ยที่ 1 พ้ืนฐานเพ่อื การจดั การสี ปฏบิ ตั ิ 3 ชั่วโมง ชือ่ บทเรียน บทที่ 1 พ้นื ฐานความรเู ก่ียวกับสเี พอื่ การจัดการสี ตอนท่ี 1 องคป ระกอบของการเห็นและรบั รูสีของมนุษย ตอนท่ี 2 ทฤษฎีสที ีเ่ กีย่ วขอ งกบั การจัดการสี ตอนที่ 3 รปู แบบสีท่เี ก่ียวขอ งกบั การจดั การสี จุดประสงคการสอน 1. นําความรูเกยี่ วกับพนื้ ฐานความรูเ กย่ี วกับสีเพอ่ื การจัดการสไี ปใชในการจดั การสี 1.1 อธบิ ายความรจู ําเปนเกยี่ วกบั องคประกอบของการเหน็ และการรบั รูสีของมนษุ ยได 1.2 อธิบายหลักการของสมบัติทางแสงของวัตถุที่มีผลตอการเหน็ สขี องมนษุ ยได 1.3 อธิบายหลักการผสมสีของแสงและการผสมสขี องหมึกพมิ พไ ด 1.4 อธิบายการจัดรปู แบบสจี ากการผสมสี การรับรูส ี และการเทียบสไี ด 2. มีทักษะในการผสมสีของหมกึ พมิ พแตล ะชนดิ เพื่องานจดั การสี 2.1 ผสมสีจากแหลงสตี างๆ ได 2.2 วิเคราะหค วามแตกตางของสที ่ไี ดจากการผสมสีจากแหลงตา งๆ ได 3. มคี วามรบั ผิดชอบ 3.1 เขาเรยี นและใหค วามรวมมือในกจิ กรรมการเรยี น 3.2 สงงานตรงตามเวลาท่ีกาํ หนด พืน้ ฐานความรเู กยี่ วกบั สเี พื่อการจดั การสี | 1
เนอื้ หาประกอบการเรียนการสอน 1. องคประกอบของการเหน็ และรบั รูสขี องมนษุ ย สี เปนสมบัติทางกายภาพของวัตถุธาตุ เราสามารถบอกลักษณะของสีที่เรามองเห็นได เชน ผมดํา เสื้อสีแดง ใบไมสีเขียว สีรุง ฯลฯ พจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2542 ให ความหมาย “สี” ไวดังนี้ 1) ลักษณะของแสงสวางท่ีปรากฏแกตาใหเห็นเปนสี ขาว ดํา แดง เขียว เปน ตน และ 2) สิ่งตางๆ ที่ทาํ ใหเปนสี ในทางวิทยาศาสตรกลาววา การรับรูสีมีองคประกอบ 3 อยาง ไดแก แสง วัตถุ และผูสังเกต ซ่ึงมีตาเปนอวัยวะรับรูดานการมองเห็น ระบบประสาทและสมองเปน สวนแปลความหมาย ภาพที่ 1.1 องคประกอบของการเหน็ ทมี่ า : https://www.quora.com/Is-there-any-connection-between-the-visible-color-of-something- and-its-absorption-emission-spectrum การรบั รมู ีองคป ระกอบ 3 อยา ง ไดแ ก ผสู งั เกต (ตาและสมอง) แสง และวัตถุมสี ี 2 | ระบบการจัดการสี
ภาพที่ 1.2 องคประกอบของการรับรสู ี ที่มา : http://i.livescience.com/images/i/000/047/984/original/color-vision-100427- 02.jpg?1324346140 1.1 ผูสังเกต (ตาและสมอง) ผสู ังเกตมตี าเปนอวยั วะทท่ี าํ หนา ทมี่ องเห็น ตาประกอบดว ยสว นสาํ คัญ 2 สว น สว นแรก เปน สวนรบั แสงทําใหเกิดภาพ ประกอบดวยเลนสและมา นตา สวนทีส่ อง เปนสวนรับภาพ เรียกวา เรตินา ประกอบดวยเซลล 2 ชนิดทําหนาท่ีรับแสง เซลลพวกหน่ึงมีรูปรางเปนแทงยาวกลม เรียกวา ร็อด (rod) หรือเซลลรูปแทง ทําหนาที่เม่ือมีแสงนอย และอีกพวกหน่ึงมีรูปรางคลายกรวย เรียกวา โคน (Cone) หรอื เซลลร ปู กรวย เซลลพวกหลังนีท้ ําหนาทเี่ มอื่ มีความสวางมาก และมคี วามสวางในการเห็น สี เซลลรูปกรวยแบงเปน 3 ชนิด ไดแก เซลลท่ีไวตอแสงในชวงความยาวคลื่นส้ัน เซลลที่ไวตอแสง พืน้ ฐานความรูเ กย่ี วกับสีเพอื่ การจดั การสี | 3
ในชวงความยาวคลื่นปานกลาง และเซลลท่ีไวตอแสงในชวงความยาวคลื่นยาวตามลําดับ นอกจากนี้ นกั วทิ ยาศาสตรย ังพบวา ตาคนเรามคี วามไวตอ แสงในชวงสีเขียวมากกวาแสงในชวงคล่ืนสีอ่ืนๆ นี่เปน เหตุผลหน่ึงที่กลองดิจิทัลและเคร่ืองกราดมีซีซีดีที่มีฟลเตอรสีเขียวเปนจํานวนมากสีนํ้าเงินและสีแดง เพอ่ื ใหกลองดิจทิ ัลและเคร่ืองกราดมคี วามไวแสงเหมือตาคน ภาพท่ี 1.3 สว นรับแสงและสวนรับภาพ ท่ีมา : https://hooptometrist.files.wordpress.com/2012/02/scientificamerican0409-56-i11.jpg เม่ือแสงสวางสองไปยงั วตั ถุแลวสะทอนเขาตา ตาไดรับแสงผานรูมานตาและเลนสไปที่เรตินา ซง่ึ มีเสน ประสาทท่ีสงสัญญาณไปยังสมองสวนที่เก่ียวกับการมองเห็น (visual cortex) กระบวนการน้ี ประกอบดวยปฏิกิริยาทางเคมีที่เปล่ียนแปลงเมื่อไดรับพลังงานแลวแปลงเปนสัญญาณไฟฟา และ ถายทอดสัญญาณไปยังเซลลประสาทไปสูสมองเพ่ือรับรูการเห็น การรับรูการเห็นนี้ยิ่งมีความซับซอน มากขึ้น เพราะมีผลตอ จติ ใจดวย คนเราเห็นสีบางสเี ราอาจเกิดความรูสึกพอใจสบายตา และบางสีอาจ ทําใหเรารูสึกเรงเรา ต่ืนเตน และบางสีทําใหเรารูสึกสงบนิ่ง ฯลฯ สิ่งเหลานี้นักวิทยาศาสตรก็ยังไมรู กลไกอยา งแนช ดั แตช างศลิ ปไ ดนํามาใชป ระโยชนมากมาย คนเราเห็นสไี ดปกติเม่ือตามีการทํางานท่ีปกติ มีบางกรณีของคนที่เซลลรูปกรวยบกพรอง จะ ทําใหเกิดสีผิดปกติไป เรียกอาการน้ีวา ตาบอดสี ซ่ึงเปนความผิดปกติที่ถายทอดไดทางพันธุกรรม ผทู าํ งานทต่ี องดูสี เชน งานกอ นพมิ พ ควรตรวจสายตากอนวา เห็นสปี กตหิ รอื ไม 4 | ระบบการจดั การสี
ภาพที่ 1.4 แผน ทดสอบตาบอดสี ที่มา : http://www.imageoptic.com/images/stories/Feed/cl.png ก.เปรียบเทียบการเห็นสขี องมนษุ ยก ับสุนัข พ้ืนฐานความรเู กี่ยวกบั สีเพอ่ื การจัดการสี | 5
ข. สที มี่ นุษยมองเหน็ ค. สที สี่ นุ ัขมองเห็น ภาพที่ 1.5 การเห็นสีของมนุษยแ ละสนุ ขั ท่มี า : ก. https://mypositivedogtrainingblog.files.wordpress.com/2013/11/129492-128724.jpg ข. http://www.woofipedia.com/images/uploads/ThinkstockPhotos-467385347.jpg ค. http://www.woofipedia.com/images/uploads/dog-vision-beach.jpg 1.2 วตั ถุมสี ี วัตถุเปนองคประกอบหน่ึงของการเห็นสี วัตถุแตละชนิดอาจจะตอบสนองตอแสงในลักษณะ ตา งๆ กัน เราเรียกวาวัตถุนั้นมีสมบัติทางแสงตางกัน ในหนวยนี้เลือกเฉพาะในสวนท่ีเกี่ยวของกับการ พิมพ นักศึกษาควรมีความรูเกี่ยวกับสมบัติทางแสงขอวัตถุท่ีเราพบเห็นในชีวิตประจําวัน และใน อุตสาหกรรมการพิมพ เพราะสมบัติทางแสงของวัตถุมีผลตอการเห็นสีโดยตรง สมบัติดังกลาวน้ี ไดแก 1.2.1 การสะทอ นแสง (reflection) เปนสมบตั ิทางแสงของวัตถุที่เราเห็นอยูท่ัวไป เม่ือมีแสงสองมายังวัตถุและสะทอนเขาตา เราจึงมองเห็นวัตถุนั้นได ถาเรามีผิวเรียบเปนเงา เชน กระจก โลหะขัดมัน กระดาษเคลือบผิว เปนตน การสะทอนแสงจะเปนระเบียบ ซ่ึงการสะทอนแสงท่ี เปนระเบียบนี้มีกฎเกณฑวา มุมสะทอนจะเทากับมุมตกกระทบถาเรามองวัตถุนั้นในมุมที่แสงสะทอน เขาตาพอดี เราจะเห็นวัตถุน้ันเหมือนกับเปนแหลงกําเนิดแสงและไมสามารถเห็นรายละเอียดตรงนั้น ได เชน แสงสะทอ นจากปกหนังสอื อาบมัน เราจะมองไมเหน็ ภาพบนปกน้ัน แตถาผิววัตถุนั้นขรุขระไม เรียบ การสะทอนแสงก็ไมเปนระเบียบแสงสะทอนไปในหลายทิศทาง เราจะเห็นวัตถุน้ันมีผิวดาน ไม เงามัน ในทางการพิมพไดมีการนําเอาความรูตรงนี้มาใชในการพิมพตกแตงผิวส่ิงพิมพ การเคลือบผิว ใหดูมันเงางามสสี ดใส หรือเคลือบผิวใหดดู า น ทาํ ใหอ านตัวหนงั สือไดงาย การใชหมึกพิมพท่ีเปนมุกให ดวู าว เปนตน ตลอดจนการผลติ กระดาษใหม ีผวิ มนั โดยการเคลอื บผิวและขัดผิวใหเรียบเพื่อใหดูเงามัน มผี ลใหสง่ิ พิมพทมี่ ภี าพสมี ีความเปรยี บตา งสงู ดูสสี ดข้นึ 6 | ระบบการจัดการสี
ภาพท่ี 1.6 การสะทอนแสงแบบมรี ะเบยี บและไมมรี ะเบยี บ ที่มา : http://sciencelearn.org.nz/var/sciencelearn/storage/images/contexts/light-and-sight/sci- media/images/types-of-reflection/685409-1-eng-NZ/Types-of-reflection.jpg 1.2.2 การกระเจิงแสง (scattering) เปนสมบัติทางแสงของวัตถุหรืออนุภาค เปน การสะทอนแสงท่ีไมเปนระเบียบการกระเจิงแสงที่คนเราคุนเคย ไดแก ปรากฏการณธรรมชาติตางๆ เชน สีของทองฟาซึง่ เปลี่ยนตามเวลา ตอนเชารุงอรุณ ทองฟาคอยๆ เปลี่ยนจากสีสม เหลือง ขาว ฟา ออน ฟาเขม เปน เพราะในบรรยากาศมีละอองน้าํ เลก็ ๆ แสงจากดวงอาทิตยมากระทบกับละอองน้ําทํา ใหเกิดการกระเจิงแสง อนุภาคเหลานี้กระเจิงแสงท่ีความยาวคล่ืนตางๆ ในมุมที่ไมเทากัน เราจึงเห็น ทองฟาเปล่ียนสีไปตามแสงที่สะทอนมาเขาตาเรา เมื่อมุมของแสงจากดวงอาทิตยเลื่อนจากขอบฟา สูงข้ึนๆ สีทองฟาจึงเปล่ียนตามไปดวย อุตสาหกรรมการพิมพไดใชความรูเกี่ยวกับการกระเจิงแสงใน การผลิตหมึกพิมพและการเคลือบผิว โดยการควบคุมขนาดอนุภาคของผงสีใหเกิดการกระเจิงแสง ตามทตี่ อ งการขนาดอนุภาคใหญจะกระเจิงแสงมากกวาอนุภาคขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังนําความรูน้ีมา ใชในการเลอื กใชกระดาษ เชน กระดาษท่ีไมเคลือบผิว และกระดาษท่ีเคลือบผิวดานท่ีมีสมบัติ ในการ กระเจิงแสงมาก เหมาะสาํ หรบั นํามาพิมพหนังสอื ทาํ ใหอ านไดง ายสบายตากวา กระดาษเคลอื บผวิ มนั พื้นฐานความรเู ก่ยี วกับสีเพอื่ การจดั การสี | 7
ภาพที่ 1.7 การกระเจิงแสง ทม่ี า : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/b/bd/Lambert2.gif 1.2.3 การสองผาน (transmission) วัตถุบางชนิดยอมใหสองผานตัววัตถุไปได หมด เชน แกว เรียกสมบตั ิ ทางแสงแบบนวี้ า โปรงใส (Transparent) ในทางการพิมพไดนําความรู นี้ มาใชในการผลิตภาพสี โดยใชหมึกพิมพแมสีน้ําเงินเขียว (Cyan, C) สีมวงแดง (Magenta, M) และสี เหลือง (Yellow, Y) ท่ีมีลักษณะใส เม่ือพิมพซอนกันจึงไดมีสีผสมมากมาย วัตถุบางอยางใหแสงผาน ไดบางสวน สมบัติทางแสงแบบนี้เรียกวา โปรงแสง (translucent) ไดแก กระจกฝา แสงทะลุผานได แตไมใส ไมสามารถมองเห็นรายละเอียดของอีกดานหน่ึง สําหรับวัตถุที่ไมยอมใหแสงผานไดเลย เรียกวา วตั ถุทึบแสง (opaque) ในทางการพิมพและบรรจุภัณฑ เราใชความรูสมบัติทางแสงดานการ สอ งผา นมาใชประโยชนไดมากมาย เชน การเลือกวสั ดมุ าทาํ หีบหอหรือนํามาตกแตงใหดูทึบเพื่อปดบัง ใหใ สเพอื่ ใหมองทะลุได ใหข นุ ใหแวววาวเพื่อตกแตง เปน ตน ภาพที่ 1.8 การสองผา น ท่ีมา : http://3.bp.blogspot.com/-3N4JXJ1I698/VqTRy9ykFPI/AAAAAAAAIj8/YQV95PHCNFE/s320/Transparent- Translucent-opaque-2.PNG 8 | ระบบการจัดการสี
1.2.4 การดูดกลืนแสง (absorption) วัตถุทุกชนิดท่ีไดกลาวมาแลวมีสมบัติทาง แสงตางๆ กัน แตยังไมไดมกี ารกลาวถึงวา เหตุใดจึงเห็นเปนสีตางๆ การที่เราเห็นวัตถุมีสีตางๆ เพราะ วตั ถมุ ีการตอบสนองตอแสงท่ีความยาวชวงคล่ืนตางๆ ตางกัน วัตถุมีสีแดงเพราะวัตถุน้ันสะทองแสงสี แดง และดูดกลนื แสงสีเขยี วและสนี ้าํ เงินไว วตั ถมุ ีสีขาวเพราะสะทอนแสงสที กุ ความยาวคล่ืน วตั ถบุ างชนิดมสี มบัติพเิ ศษกลา วคือดดู กลืนแสงท่ีสองมากระทบ และสะทอนแสงท่ีมี ความยาวคลื่นท่ีตางกันออกไป เราเรียกวัตถุนี้มีสมบัติเรืองแสง (fluorescence) เชน การที่ทําให กระดาษขาวข้ึน เปนตน ก.วัตถสุ ีเขียว ข. วัตถสุ ีแดง ทม่ี า : ก. http://www.mstworkbooks.co.za/natural-sciences/gr8/images/gr8ec04-gd-0027.png ข. http://www.mstworkbooks.co.za/natural-sciences/gr8/images/gr8ec04-gd-0026.png ค. การดูดกลนื แสงสี และการสะทอนแสงสี ภาพท่ี 1.9 การดดู กลนื แสง และการสะทอ นแสง ทม่ี า : ค. https://s-media-cache- ak0.pinimg.com/originals/4b/2e/ff/4b2effa949c82ec38a1cf9d98e9e15b2.jpg พน้ื ฐานความรูเกีย่ วกบั สเี พอื่ การจัดการสี | 9
1.2.5 สเปกตรมั ของวัตถุ นักวิทยาศาสตรและวิศวกรไดนําสมบัติทางแสงของงวัตถุ มาใชประโยชนในอุตสาหกรรมและไดคิดคนประดิษฐอุปกรณตางๆ เพ่ือวัดและระบุสมบัติทางแสง ตางๆ ของวัตถุนั้นในเชิงตัวเลขและกราฟ เชน แสดงคาการสะทองแสงของวัตถุ หรือคาการสองผาน แสงของวัตถใุ นชว งความยาวคลน่ื ตัง้ แต 380-730 นาโนเมตรไดด ว ยกราฟ ภาพที่ 1.10 การสะทอนแสงในสเปกตรัมของหมึกพิมพ ที่มา : https://printcolormanagement.files.wordpress.com/2012/09/remission-curves-of-printing- inks.jpg นอกจากนี้ ขนาดของวัตถแุ ละสิ่งแวดลอมยงั มีผลตอ การมองเห็นสีของคนเราอีกดวย ซึ่งเปนผลทางดานจิตวิทยา ผูออกแบบงานพิมพตองมีความรูดานน้ีเพ่ือใชในงานออกแบบส่ิงพิมพให ไดผลตามที่ตองการ สําหรับผูทําหนาที่ดานควบคุมคุณภาพตองมีความรูเรื่องวัตถุและแสง เพื่อจัด สภาพในการดูภาพพมิ พส กี ับภาพปรูฟและการเทียบสี (Color matching) ใหถ ูกตอ ง ภาพที่ 1.11 วตั ถกุ ับแหลงแสงตางๆ ทม่ี า : http://blog.xrite.com/wp-content/uploads/2015/03/Lightbooths.jpg 10 | ระบบการจัดการสี
1.3 แสง แสงเปนพลังงานรปู หนง่ึ ซึ่งเปนพลังงานการแผรังสีที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอะตอมใน โครงสรางทางกายภาพของสสาร และแผออกจากตนกําเนิดไปในทุกทิศทางในรูปคล่ืนแมเหล็กไฟฟา ดวยอัตราความเร็วในอากาศ 300,000 กิโลเมตรตอวินาที นักวิทยาศาสตรไดจําแนกคลื่น แมเ หล็กไฟฟา ออกเปนคล่นื ประเภทตางๆ ตามลกั ษณะของคล่ืนประเภทหน่ึง คือ ความยาวคลื่น ซ่ึง เปน ระยะระหวางยอดคล่ืนท่ีอยูติดกัน ยกตัวอยางเชน ดวงอาทิตยมีความยาวคล่ืนจากสวนท่ีสั้นที่สุด คือ 0.000005 มิลลิเมตร เปนรังสีแกมมา ถึงสวนท่ีมีความยาวคลื่นยาวมาก คือคล่ืนวิทยุ ซึ่งมีความ ยาวคล่ืนยาว 10,000 เมตร คล่ืนแสงซึ่งตามมองเห็นไดเปนเพียงสวนหนึ่ง มีความยาวคล่ืนอยูในชวง ประมาณ 0.0004 มิลลิเมตร สีนํ้าเงิน ไปจนถึง 0.007 มิลลิเมตร ซ่ึงมีสีแดง การท่ีหนวยมิลลิเมตรมี ทศนิยมหลายตําแหนง ทําใหไมสะดวกในการใช จึงไมเปนท่ีนิยม นักวิทยาศาสตรจึงไดกําหนด นาโนเมตรขน้ึ โดย 1 นาโนเมตรเทา กับ 1/1,000,000,000 เมตร หรอื 1/1,000,000 มิลลิเมตร สมบัติ ของแสงทีเ่ กย่ี วของกบั อุตสาหกรรมการพิมพ ไดแก ภาพที่ 1.12 คล่นื แสงและความยาวคลืน่ ของรงั สีและแสง ท่ีมา : http://www.eyelighting.com/_CE/pagecontent/Images/Lamp%20Technology%20Education/ quality%20of%20a%20light%20source.jpg 1.3.1 ความยาวคลน่ื และสขี องแสง แสงในชวงความยาวคลื่น380-480 นาโนเมตร แสงสีนํ้าเงิน ชวงความยาวคลื่น 480-560 นาโนเมตรแสงสีเขียว ชวงความยาวคลื่น 560-590 นาโนเมตรแสงสีเหลือง ชวงความยาวคล่ืน 590-630 นาโนเมตรแสงสีสม และชวงที่มีความยาวคลื่น 630-780 นาโนเมตรแสงสีแดง สวนที่มีชวงความยาวคล่ืนส้ันกวาสีน้ําเงิน คือ รังสีเหนือมวงหรือ อัลตราไวโอเลต หรือที่เรารูจักในชื่อยอวา ยูวี (UV) และรังสีท่ีมีชวงความยาวคล่ืนยาวกวาแสงสีแดง เรยี กวา รงั สีใตแดงหรอื อินฟราเรด เรียกช่ือยอ วา ไออาร (IR) พนื้ ฐานความรเู กยี่ วกับสีเพ่ือการจดั การสี | 11
ในปจจุบันมีแหลงกําเนิดแสงที่นักวิทยาศาสตรประดิษฐขึ้นมากมาย ไดแก หลอด ไฟฟาชนิดตางๆ เชน หลอดทังสเตน หลอดฟลูออเรสเซนต หลอดตะเกียบประหยัดไฟ หลอดแสง จันทร หลอดไฟฟาประเภทที่ใชในอุปกรณดานการพิมพ ไดแก หลอดเมทัลเฮไลด หลอดซีนอน และ แหลง กาํ เนิดเลเซอร ฯลฯ ซ่งึ แสงท่ีไดจ ากแหลง กาํ เนดิ แสงตา งๆ น้ีมสี ีตา งๆ กัน ก.แสงธรรมชาติ ข. แสงประดิษฐ ภาพท่ี 1.13 ประเภทของแหลงกําเนดิ แสง ที่มา : ก. http://www.sparklebox.co.uk/blue/5961-5970/_wp_generated/ppee9590e9_1b.jpg ข. http://lohitsascience.weebly.com/uploads/2/2/6/0/22607136/6450205_orig.jpg 1.3.2 อุณหภูมิสีของแสง นักวิทยาศาสตรไดหาวิธีบอกลักษณะสีของแสงหลายวิธี ดวยกัน วิธีหน่ึงที่เขาใจกันงายและเปนท่ีนิยมกัน คือ อุณหภูมิสี (color temperature) ของแสง มี หนวยวัดเปน เคลวิน (K) โดยนักวิทยาศาสตรไดกําหนดวัตถุดํา (back body) มาตรฐานขึ้นมา เมื่อ ใหความรอนแกวัตถุดํามากข้ึนๆ วัตถุดําจะเกิดแสงสวางขึ้น สีของแสงจากวัตถุดําเปลี่ยนไปตาม อุณหภูมิของวัตถุดําเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิของวัตถุดําที่สูงข้ึน จากแสงสีแดงเปนสม เหลือง ขาว น้ํา เงิน สีของแสงจากวัตถุดําน้ีอาจเปรียบเทียบกับสีของแสงจากหลอดไฟฟาและแหลงกําเนิดแสง ธรรมชาติได เชน สีจากแสงเทยี นมสี เี หลอื งเหมอื นกับสขี องแสงจากวัตถุดําเม่ือมีอุณหภูมิ 1200K แสง จากหลอดฟลูออเรสเซนต มีความขาวที่เจือสีตางๆ เชน ขาวอุน (warm white) มีอุณหภูมิสี 3000K ขาวเย็น (cool white) มีอุณหภูมิ 4200K แสงจากดวงอาทิตยมีอุณหภูมิสีตางๆ จากเชา เท่ียง เย็น 2000K 65000K 2000K ตามลําดับ 12 | ระบบการจัดการสี
ภาพท่ี 1.14 อณุ หภมู สิ ขี องแสง ท่ีมา : http://www.shorescanada.com/content/media_production/Shores%20Canada%20Media%20- %20Color%20Temperature%20Chart%20%28on%20black%29.jpg มีการกําหนดภาวะแสงมาตรฐาน ISO ที่ใชในการดูภาพสีในอุตสาหกรรมการพิมพ กําหนดไวท่ี 5000K คนสวนใหญนิยมใชที่ 6500K ในงานท่ีมีความถูกตองของสีมีความสําคัญ จึงควร ระบุไวดวยวา ใชแ สงแบบใดในการดูสี พ้ืนฐานความรเู กีย่ วกบั สเี พื่อการจดั การสี | 13
ตารางที่ 1.1 อุณหภมู ิสีของแสงจากแหลงกาํ เนิดแสงตา งๆ แสง อุณหภมู ิ (K) แสงจากทองฟา โปรงยามเที่ยงวนั 12000 – 26000 แสงจากทองฟามเี มฆยามเท่ยี งคนื 6000 – 7000 แสงแดดยามเท่ียงวัน 5400 – 5800 แสงจากหลอดซีนอน 5290 – 6000 แสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต 3000 – 6500 แสงจากหลอดไฟทงั สเตน 2654 - 3400 ท่มี า : เอกสารการสอนชุดวิชาเทคโนโลยกี อ นพิมพ หนว ยที่ 1-7 ฉบับปรุงปรงุ หนา 7-10 1.3.3 การกระจายพลังงานในสเปกตรัม (Spectral Energy Distribution, SED) การกาํ หนดอุณหภมู สิ ชี ว ยใหเ รารูจกั สีของแสงในอีกรูปแบบหน่ึงและนํามาสื่อสารกันไดสะดวกขึ้น แต ในดานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี การกําหนดเพียงเทานี้ยังไมเพียงพอแกงานบางอยาง จึงไดมีการ กําหนดสมบัติของแสงใหละเอียดข้ึนอีก โดยดูจากปริมาณแสงในแตละความยาวคล่ืน คือ วัดปริมาณ แสงของแตละความยาวคล่ืนวามีสีมากนอยเพียงใด แลวแสดงดวยกราฟ เรียกวา Spectral Power Distribution Curve หรือ Spectral Energy Distribution (SED) ซึ่งสามารถนํามาใชประโยชนใน การคาํ นวณตางๆ และการใชสรา งอุปกรณทางวิทยาศาสตรมากมาย ตัวอยางเชน เคร่ืองวัดสเปกตรัม ของแสงและของวัตถุธาตุตางๆ ในกรณีของแหลงกําเนิดแสงสามารถแสดงในรูปของกราฟสเปกตรัม ของแสงเชนเดยี วกบั กรณีของวัตถดุ งั ไดกลาวมาแลวขางตน ภาพที่ 15 เปรยี บเทียบการกระจายพลังงานในสเปกตรัมของแหลงกําเนดิ แสงตา งๆ ท่มี า : http://image.slidesharecdn.com/colorcontrolinfoodbiotechnologynsl-13110587788786-phpapp01- 110719020248-phpapp01/95/color-control-in-food-amp-biotechnology-nsl-5-728.jpg?cb=1311041335 14 | ระบบการจดั การสี
1.3.4 ความสามารถในการปรากฏสี (color rendering) เปนสมบัติอีกขอหน่ึง ของแสงท่ีเขามาเก่ียวของกับอุตสาหกรรมท่ีมีการใชสี เม่ือเรามองเห็นสีสีหน่ึงภายใตแสงของ แหลงกําเนิดแสงตางๆ เราจะเห็นสีเดียวกันนั้นมีสีที่ตางกันออกไป เพราะหลอดไฟบางชนิด เชน หลอดโซเดียมท่ีใชตามถนนไมเหมาะกับการนํามาดูสี เพราะการปรากฏสีภายใตแสงสีเหลืองของ หลอดโซเดยี มนผ้ี ิดเพี้ยนไปจากสีทเ่ี ห็นในแสงขาวธรรมชาติ (daylight) ดังนน้ั เมื่อเราจะทําการเทียบสี หรือดูสีใหถูกตอง จึงจําเปนตองมีการกําหนดคุณสมบัติของแสงในขอนี้ดวยคณะกรรมการ CIE (The Commission International Del’ Eclairage) จึงกําหนดแสงมาตรฐานเพื่อใชระบุคุณสมบัติในการ ปรากฏสีของหลอดชนิดตางๆ เรียกวา ดัชนีการปรากฏสี (Color Rendering Index, CRI) ถาดัชนีมี คาสูง สมบัติในการปรากฏสีของหลอดชนิดนั้นจะถูกตองมากข้ึน เหมาะท่ีจะนํามาใชดูสี ตาม มาตรฐานระหวา งประเทศ ISO ไดก าํ หนดใหห ลอดไฟฟาท่ีใชด สู ีมคี า CRI มากกวา 90 ภาพท่ี 1.16 คา ดชั นีการปรากฏสตี า งกนั ทมี่ า : http://www.fusion-lamps.com/assets/img/CRI-comparison-apples.jpg 2. ทฤษฏสี ที ่ีเก่ยี วขอ งกับการจดั การสี การทําใหเกิดสีตางๆ สามารถทําไดหลายวิธี เชน จากการใชสีตางๆ มาผสมกันอยางที่ชาง วาดภาพสี หรือการทาสีบาน การยอมผาตางๆ เปนตน แตการสรางภาพสีในกระบวนการการ ถายภาพการพิมพ และภาพบนจอโทรทัศน การผสมสีใหเกิดสีตางๆ แตกตางไปจากวิธีการเอาสีมา ผสมกันในการยอ ม การทา การวาดดังกลาวขางตน ในกระบวนการผลิตภาพสีในการพิมพ แบงระบบ การผสมสีออกเปน 2 ระบบ คอื การผสมสีแบบบวก และการผสมสแี บบลบ 2.1 การผสมสีแบบบวก (additive color mixing) การผสมสีแบบบวก เปนการผสมสีของแสงเพราะเปนการรวมแสงเขาดวยกัน โดยแบงสีของ แสงในสเปกตรัมออกเปน 3 สี ไดแก สีนํ้าเงิน (blue, B) สีเขียว (green, G) และสีแดง (red, R) เรียกวา แมสีปฐมภูมิ คือเปนแมสีเริ่มตน ถานําแมสีของแสงท้ัง 3 สีมาฉายรวมบนจอสีขาว จะไดสี ผสมตางๆ พนื้ ฐานความรูเกี่ยวกบั สีเพือ่ การจดั การสี | 15
สนี ํ้าเงิน รวมกบั สีเขยี ว ได สีน้าํ เงินเขยี ว สนี า้ํ เงนิ รวมกบั สแี ดง ได สมี วงแดง สีเขยี ว รวมกบั สีแดง ได สเี หลอื ง สนี ํ้าเงิน รวมกับ สีเขยี ว รวมกับ สีแดง ได สีขาว สีท่ีไดจากการรวมของแมสีสองสีเปนสีเติมเต็มของแมสีท่ีเหลือ เนื่องจากเมื่อรวมกันแลวไดสี ขาว ดงั นน้ั สนี ้ําเงินเขยี วเปนสีเตมิ เต็มของสแี ดง สีมวงแดงเปนสีเติมเต็มของสีเขียว และสีเหลืองเปนสี เติมเตม็ ของสีน้าํ เงนิ ภาพที่ 1.17 การผสมสีทางแสง ท่ีมา : http://www.lenashore.com/wp-content/uploads/2010/09/rgb-lamps.jpg อุตสาหกรรมไดนําหลักการผสมสีแบบบวกมาใชแสดงภาพสีในจอภาพของเคร่ืองรับวิทยุ โทรทัศน และจอภาพของเครื่องคอมพิวเตอร จอภาพน้ีประกอบดวยจุดของสารเรืองแสง 3 สี คือ สี น้ําเงนิ สเี ขียว และสีแดง จุดมีขนาดเล็กมากจนตาไมสามารถแยกใหเห็นเปนจุดๆ ดวยตาเปลาได การ มองเห็นสีของภาพบนจอภาพเปนการเห็นแสงทผ่ี สมจากจุดภาพเลก็ ๆ ทั้งสามสีในอัตราสวนของความ เขม แสงในปรมิ าณตา งๆ 2.2 การผสมสีแบบลบ (subtractive color mixing) การผสมสีแบบลบ เปนการผสมสีของวัตถุธาตุเพราะเปนการผสมสีที่ใชหลักการกั้นหรือ ดดู กลืนบางสีออกแมสขี องระบบนเ้ี รยี กวา แมส ที ตุ ยิ ภูมิ เน่อื งจากเปนสที ่ีไดจากการผสมของแมสีปฐม ภมู ิ ไดแ ก สีน้าํ เงนิ เขียว (cyan, C) สีมวงแดง (magenta, M) และสเี หลือง (yellow, Y) ชา งพิมพและ ชางศิลปมักจะเรียกชื่อแมสีทุติยภูมิผิดเพ้ียนไปเพราะเรียกตามสีที่เห็นจากกลุมกอนของสีในกระปอง หลอดสี แทงสี โดยเรียกสีน้ําเงินเขียววาสีฟาหรือนํ้าเงินสีมวงแดงเรียกวาสีแดง แตสีเหลืองเรียก ตรงกัน ตัวอยางการผสมสีแบบลบ ไดแก การพิมพสอดสี ซ่ึงเปนการพิมพหมึกสีซอนทับกัน C M Y 16 | ระบบการจัดการสี
หมึกสีแตละชั้นทําหนาที่เปนแผนกรองแสงสีหรือฟลเตอรสี ท่ียอมใหแสงสีบางสีสองผานไดและก้ัน แสงสีบางสีไว ทําใหไ ดสตี างๆ สีนา้ํ เงินเขียว ซอนทับ สีมว งแดง ได สีนาํ้ เงิน สนี ํ้าเงินเขียว ซอนทบั สีเหลือง ได สเี ขยี ว สีมว งแดง ซอนทับ สเี หลอื ง ได สีแดง สนี ้ําเงนิ เขยี ว ซอ นทับ สีมว งแดง ซอนทับ สเี หลอื ง ได สดี าํ ภาพท่ี 1.18 การผสมสีแบบบวกและแบบลบ ทีม่ า : https://s-media-cache- ak0.pinimg.com/736x/26/8d/fb/268dfb16397574b24486c74834c2f18b.jpg 2.3 การดูดกลนื แสงของฟลเตอรสีนํ้าเงนิ เขียว สีมวงแดง และสีเหลือง แสงขาวประกอบดวยแสงสีแดง สีเขียว และสีนํ้าเงิน เมื่อสองผานฟลเตอรสีนํ้าเงินเขียว ซ่ึงมี สมบัติดูดกลืนแสงสีท่ีเปนคูเติมเต็ม (สีแดง) สวนท่ีเหลือคือแสงสีเขียวและสีน้ําเงินจึงสองผานมาได ผูสังเกตจึงมองเห็นแสงท่ีสองผานฟลเตอรเปนสีน้ําเงินเขียว ในทํานองเดียวกัน ฟลเตอรสีมวงแดงมี คุณสมบัติดูดกลืนแสงสีเขียว แตแสงสีแดงและสีน้ําเงินสองผานฟลเตอรสีมวงแดงมาได ทําใหตา มองเห็นสีมวงแดง และในทํานองเดียวกัน ฟลเตอรสีเหลืองมีสมบัติดูดกลืนแสงสีน้ําเงิน ยอมใหแสงสี แดงและสีเขยี วสอ งผานฟล เตอรสเี หลืองมาได ตาจึงมองเห็นเปนสีเหลือง เม่อื นําฟล เตอรส นี ้ําเงนิ มาซอ นทับฟลเตอรสมี ว งแดง แลวในแสงของสองไปยังฟลเตอร แสงที่ สามารถผา นฟลเตอร ทัง้ สอง ไดแก สีนํ้าเงิน เนื่องจากฟลเตอรสีน้ําเงินเขียวดูดแสงสีแดงไว และยอม ใหแสงสีเขียวและแสงสีน้ําเงินผาน และเม่ือแสงนั้นผานฟลเตอรสีมวงแดง ซ่ึงมีสมบัติดูดกลืนแสงสี เขียวได ดังน้ัน แสงสีน้ําเงินเทาน้ันท่ีผานออกมากได จึงทําใหเห็นฟลเตอรท้ังสองท่ีซอนกันเปน สนี ้ําเงิน พืน้ ฐานความรเู กย่ี วกบั สเี พอ่ื การจัดการสี | 17
ในทํานองเดยี วกนั หากนําฟลเตอรสีมวงแดงซอนทับกันฟลเตอรสีเหลือง แสงสีที่สามารถผาน ฟล เตอรท ้งั สอง ไดแ ก สีแดง เนื่องจากฟลเตอรสีมวงแดงดูดกลืนแสงสีเขียว และยอมใหแสงสีแดงและ แสงสีน้ําเงินผาน และเมื่อแสงท่ีเหลือสองผานฟลเตอรสีเหลืองซ่ึงดูดกลืนแสงสีนํ้าเงินไว จึงมีแตแสง เทาน้ันผา นออกมาได ทาํ ใหเปนฟล เตอรท ง้ั สองทซ่ี อนกนั เปนสแี ดง ในทํานองเดียวกัน หากนําฟลเตอรสีน้ําเงินเขียวมาซอนทับกับสีเหลือง แสงสีที่สามารถผาน ฟลเตอรทง้ั สอง ไดแ ก สีเขียว เนื่องจากฟล เตอรส ีนํ้าเงินเขียวไดดูดกลืนแสงสีแดงไว และยอมใหแสงสี เขียวและแสงสีนํ้าเงินผาน และเมื่อแสงทั้งสองผานฟลเตอรสีเหลืองซ่ึงจะดูดกลืนแสงสีน้ําเงิน ดังนั้น แสงสีเขยี วเทานน้ั ผา นออกมาได จึงเหน็ ฟล เตอรท ั้งสองทซี่ อ นทบั กันเปนสเี ขียว ภาพที่ 1.19 แสงท่สี อ งผา นฟลเตอรส ตี าง เมื่อมีแสงขาวตกกระทบ ทม่ี า : http://hyperphysics.phy-astr.gsu.edu/hbase/vision/imgvis/filterc.gif 18 | ระบบการจดั การสี
หลักการผสมสีแบบลบของฟลเตอรสีตางๆ น้ีสามารถนํามาใชกับการพิมพสอดสีของหมึก พิมพได เนอ่ื งจากสมบัตขิ องหมกึ พมิ พมคี วามโปรงใส จึงทําหนาที่เหมือนฟลเตอรที่วางอยูบนกระดาษ ขาว คําทําหนา ทดี่ ดู กลืนแสงบางสีท่ีตกกระทบ และยอมใหแ สงสีบางผาน ซ่ึงจะไปสะทอนกลับเม่ือตก กระทบบนกระดาษขาวและสะทอ นผา นช้ันหมึกพิมพอีกครัง้ กอนเขาสูตา ภาพท่ี 1.20 การสะทอนแสงสขี องหมึกพิมพทงั้ สามสี ท่ีมา : http://inventorartist.com/wp-content/uploads/2013/05/ReflectionDetail.png กลาวโดยสรปุ จะเห็นไดวา การผสมสีของแมสีปฐมภูมิไดแมสีทุติยภูมิ และการผสมสีของแม สีทุติยภูมิก็จะไดแมสีปฐมภูมิ ดังน้ันจึงเรียกแมสีที่อยูตรงกันของการผสมสีวาเปนสีคูเติมเต็ม (complementary color) ในการผสมสีแบบบวก หากนําแสงสีแดงไปผสมกับแสงสีเขียว จะไดแสงสี ขาว ในทาํ นองเดียวกัน ในการผสมสแี บบลบ หากพิมพหมึกพิมพสีนํ้าเงินเขียวไปทับลงบนหมึกพิมพสี แดงจะไดส ีดํา ถาพจิ ารณาแผนภมู ิการผสมสใี นภาพที่ 1.18 จะเหน็ วา สีแดงอยูตรงขามกบั สีนํ้าเงินเขยี ว ดงั นั้น สีแดงเปน สีคูเติมเต็มกบั สนี ํา้ เงนิ เขียว สเี ขียวอยูต รงขามกับสีมวงแดง ดงั นั้น สีเขยี วเปนสีคเู ติมเต็มกบั สีมว งแดง สีนา้ํ เงนิ ตรงขา มกบั สีเหลอื ง ดงั นั้น สนี ้ําเงนิ เปนสคี เู ตมิ เต็มกับสเี หลือง พืน้ ฐานความรเู ก่ียวกับสเี พ่ือการจัดการสี | 19
3. รูปแบบสที เี่ กยี่ วขอ งกับการจดั การสี (color model) สีตางๆ ทค่ี นเรามองเหน็ และใชง านเปนจาํ นวนมาก เมอื่ จะส่อื สารเรื่องสีในชีวิตประจําวันก็ใช วิธีบอกช่ือสี แตในอุตสาหกรรมการพิมพการบอกช่ือสีเพียงอยางเดียวยังไมเพียงพอที่จะส่ือสารกันได ถกู ตอ ง จําเปนตองมีการกําหนดระบบการจัดลําดับสีแบบตางๆ หรือมีคาตัวเลขข้ึน เพื่อความสะดวก และความถูกตอ งในการสอื่ สาร รปู แบบหรอื โมเดลสี (color model) ในปจ จุบันแบงออกเปน 3 แบบ ไดแ ก 3.1 รูปแบบสจี ากการผสมสี (color mixing) เปนรูปแบบท่ีแสดงความสัมพันธระหวางแมสี และการผสมกันของแมสี ตัวอยางการใชสี ระบบนใ้ี นอุตสาหกรรม ไดแ ก 3.1.1 สีของแสง (color light) ในเครอื่ งโทรทัศนแ ละหนาจอคอมพิวเตอรซึ่งมีสาร ฟอสฟอรท ่ีเรอื งแสงสปี ฐมภูมิ 3 สี ไดแก สีแดง สีเขียว และสีนํ้าเงิน จะแสดงภาพดวยการผสมสีแบบ บวกจากแมสี 3 สีจอภาพของโทรทัศนสีทั่วไปท่ีใชตามบานเรือน การแสดงสีเปนแบบแอนะล็อก คือ ความออ นเขมของสีแปรไปตามความแรงของสัญญาณไฟฟา สวนจอภาพของเคร่ืองคอมพิวเตอร การ แสดงสีขน้ึ อยูกบั จํานวนบิตของเครอ่ื งคอมพวิ เตอร ตัวอยางเชน หนาจอภาพทใ่ี ชทั่วไปในการพิมพเปน แบบ 8 บิต แตละชองสี สีแดง สีเขียว และสีน้ําเงิน มีคา 0-255 แสดงสีไดสีละ 256 ระดับ รวมการ ผสมท้ังสามสีแลวสามารถแสดงสีได 16.77 ลา นสี (28 x 28 x28) ภาพที่ 1.21 การเกดิ สขี องแสง ท่มี า : http://www.mediatrends.es/wp-content/uploads/2015/07/bits-color-750x342.jpg 3.1.2 สีหมึกพิมพชุด (process color) การพิมพภาพสอดสีใชแมสี 3 สี (สีนํ้าเงิน เขียว สีมวงแดง สีเหลือง) และสีดํา ผลิตสีตางๆ ดวยสวนผสมของแมสีทั้งสามในสัดสวนตางๆ สวนสี ดํานั้นทําใหภาพมีความเปรียบตางและมีความดํามากขึ้น นํ้าหนักสีตางๆ แสดงในรูปแบบของเม็ด สกรีน โรงพิมพหรือผูผลิตหมึกพิมพ มักจะจัดพิมพหนังสือตัวอยางสีท่ีแสดงแถบสีผสมของเม็ดสกรีน ของแมสีท้ังสาม และสีดํา ในสัดสวนเปอรเซ็นตเม็ดสกรีนตางๆ ต้ังแต 0 ถึง 100 เปอรเซ็นต บน กระดาษพิมพเคลือบผวิ กระดาษไมเคลือบผิว และบางคร้ังพิมพบนกระดาษหนังสือพิมพเพ่ือใหลูกคา 20 | ระบบการจดั การสี
และชางออกแบบไดเห็นตัวอยางสีที่ไดจากการพิมพจริง ปจจุบันนี้การพิมพสีคุณภาพสูงเรียกวาไฮไฟ แมสที ่ีใชพ ิมพส อดสเี พ่มิ ขึ้นเปน 6-7 สี เพ่อื ใหพมิ พภ าพสที ี่มีสสี ดใสมากขึ้น ภาพท่ี 1.22 การเกิดสขี องหมึกพิมพ ทมี่ า : https://c1.staticflickr.com/3/2227/2211243285_7648c657e8_z.jpg?zz=1 ภาพที่ 1.23 color chart ทีม่ า : http://www.pantone.com/images/pages/19890/Pantone-Extended-Gamut-Guide-Proces- Colors.jpg พื้นฐานความรูเกยี่ วกบั สเี พ่ือการจัดการสี | 21
3.1.3 สีหมึกพิมพพิเศษ (spot color) สีประเภทน้ีผสมแบบนําเนื้อสีมาผสม รวมกันแบบการผสมสที า ระบบนี้ตอ งใชแ มสีจาํ นวนมาก อาจมีแมส ี 8-14 สีหรอื มากกวานี้ จํานวนแม สีไมมขี อจาํ กัด ขนึ้ อยูกับสารสที สี่ ามารถผลติ มาได ระบบผสมสที ี่นกั ออกแบบสวนใหญรูจักและนิยมใช กนั มากคือ ระบบสีแพนโทน นอกจากนี้บริษทั ผูผ ลิตหมึกพิมพก ส็ รางระบบของตนเองดว ย ที่มา : http://www.alloutgraphics.com/products/graphics/spot-process.jpg ทมี่ า : https://www.weddingpaperdivas.com/img/misc/spot-color.jpg ท่มี า : https://xchange-wpengine.netdna-ssl.com/wp-content/uploads/PMS_Spot_Color.jpg ภาพท่ี 1.24 การผสมสีของหมกึ พิมพชุด กับ หมกึ พิมพพ เิ ศษ 3.2 รูปแบบสจี ากการรบั รูสี (color perception) เปน รูปแบบสที ีต่ องมีตัวอยางสีไวอางอิง เชนเดียวกับระบบการผสมสี การจัดวางสี พิจารณา จากลักษณะสีท่ีปรากฏ และการรับรขู องคน เมือ่ คนเราเห็นสี และจะบอกลักษณะสีน้ันๆ สามารถบอกไดเปน 3 ลักษณะ คือ สีสัน (hue) ซึ่งเปนลักษณะหนึ่งของสี เชน สีเขียว สีแดง สีมวง สีเหลือง สีสม ลักษณะที่สอง คือ การสวางสี 22 | ระบบการจดั การสี
(lightness) เปนลักษณะท่ีบอกถึงความสวาง-มืดของสี ลักษณะท่ีสาม คือ ความอิ่มตัวสี (saturation) เปนลักษณะที่บอกถึงความมีเนื้อสีมากนอย เปนความสดใสของสี ระบบสีมันเซลล (Munsell) เปน ระบบหนงึ่ ทจี่ ัดเรียงสโี ดยใชหลักการน้ี มันเซลลเปนครูสอนศิลปะ และไดคิดจัดระบบ สีในเชิงการรับรสู เี ปน คนแรก ในป ค.ศ. 1905 เขาไดจัดทําสื่อการสอนเพื่อสอนนักเรียนศิลปะ เพราะ ตองการมีระบบสีที่สามารถระบุสีเปนคาตัวเลข และมีตัวอยางสีในการอางอิงตามลักษณะสีท้ัง 3 ประการที่กลาวมาแลว และอีก 10 ปตอมา เขาก็ไดจัดทําแผนที่สีช่ือวา Atlas of Munsell Colors มันเซลลไดจัดสีในรูปแบบสามมิติ เร่ิมจากสีสันเรียกวา มันเซลล ฮิว (Munsell hue) ประกอบดวยสี หลัก 5 สี ไดแก สีแดง (R) สีเหลือง (Y) สีเขียว (G) สีน้ําเงิน (B) และสีมวง (P) และสีผสมระหวางสี หลกั เรียงกันในรูปแบบวงกลม ในแนวแกนตั้ง เขาจัดความสวางเร่ิมจากขาว (0) และเทาระดับความ เขมตางๆ 8 ระดับ เรียงกันจนถึงดํา (10) เรียกวามันเซลลวาลู (Munsell value) บอกดวยคา 1 ถึง 10 ใชต ัวยอ N (neutal) หมายถึง สีกลาง คือ ไมมีสีสัน และในแนวสุดทายซ่ึงเปนรัศมีจากแกนกลาง (สีเทา) ไปสเู สน รอบวง เปนความอิ่มตวั สี เรียกวา มันเซลล โครมา (Munsell chroma) ความอิ่มตัวสี ในแตละสีสนั ไมเ ทากนั บางสสี นั มีความอมิ่ ตวั สีถึงคา 14 บางสสี นั มคี วามอ่ิมตวั สีเพยี งคา 8 หรือ 10 ภาพท่ี 1.25 Munsell Color system ท่มี า : http://www.paintbasket.com/munsell/munsell_print.jpg การบอกตาํ แหนงสี (color notation) บอกเปน HV/C เชน 5R4/6 หมายถึง คาสีสัน 5R คา ความสวางสี 4 และคาอิ่มตัวสี 6 ภายหลังไดมีผูปรับปรุงระบบนี้ตอมา และยอมรับเปน มาตรฐานสากลระหวางประเทศ (ISO standard) พ้ืนฐานความรูเ กี่ยวกับสเี พื่อการจัดการสี | 23
ภาพท่ี 1.26 การบอกตําแหนงสีของระบบสีมนั เซลล ที่มา : http://www.proyectacolor.cl/wp-content/uploads/2009/09/munsell1.gif นอกจากระบบมันเซลลแลว ยังมีผูคิดคนระบบอื่นๆ อีกแตไมเปนท่ียอมรับกวางขวาง เชน ประเทศสวีเดนไดคิดระบบ NCS (Natural Color System) ซ่ึงใชหลักการรับรูสีและสีคูตรงขาม (opponent colors) และเปนที่นิยมใชในกลุมนักออกแบบและอุตสาหกรรมในประเทศแถบ สแกนดิเนเวีย ภาพท่ี 1.27 รูปแบบสีระบบ NCS ที่มา : http://www.huevaluechroma.com/pics/7.39.jpg ตวั อยางรูปแบบสที ่ีมฐี านจากการรบั รูสีและนาํ มาใชใ นโปรแกรมงานกอนพิมพ ไดแ ก HSL เปนรูปแบบสีท่ีมีวัตถุประสงคท่ีอธิบายสีตามการรับรูของคน มีองคประกอบ คือ สีสัน (hue) ความอ่ิมตัว (saturation) และความสวาง (lightness) แสดงดวยแผนภูมิ 3 มิติ มีลักษณะ คลา ยรปู แบบของมนั เซลล สสี ันอยทู เ่ี สนรอบวงของวงกลม ความอิ่มตัวอยูในแนวรัศมี สีท่ีมีเน้ือสีนอย 24 | ระบบการจัดการสี
อยูใกลแกน ระยะหางจากแกนสัมพันธกับปริมาณของเนื้อสี ความสวางมืดของสีอยูตรงแกนกลาง บอกถึงปริมาณแสงที่สะทอนจากสี มีคา 0-100 ดําถึงขาว การควบคุมองคประกอบ 3 เปนอิสระแก กนั สามารถเปลย่ี นแปลงองคป ระกอบหนงึ่ ๆ ไดโ ดยไมมผี ลกระทบตอกัน ภาพท่ี 1.28 รูปแบบสีแบบ HSL ทมี่ า : http://opticalenquiry.com/paint/wp-content/uploads/2013/05/color.007.png HSB ประกอบดวย สีสัน (hue) ความอิ่มตัว (saturation) และความสวาง (brightness) คลา ยกับ HSL แตร ูปแบบนีเ้ ชื่อมโยงกบั ระบบ RGB การแสดงสสี นั อยูในรูปสัดสวน RGB ความอ่ิมตัวสี อยใู นรูปของสีเติมเต็ม เชน ความอิม่ ตัวของสีเขียว ดูวามีสีมวงแดงปนอยูมากนอยเพียงไร ถาอิ่มตัวสูง จะไมมสี ีตรงขามปนอยูเลย รูปแบบน้มี ีในโปรแกรมใชง านทม่ี ีการใชสี เชน color picker ภาพท่ี 1.29 รปู แบบสีแบบ HSB ทม่ี า : http://www.tigercolor.com/Images/ColorMode.jpg พ้นื ฐานความรูเ ก่ยี วกับสีเพือ่ การจดั การสี | 25
3.3 รูปแบบสจี ากการเทยี บสี (color matching) เปนรูปแบบสีท่ีมีพ้ืนฐานจากการเทียบสีโดยใชฟงกชันทางคณิตศาสตรกําหนดข้ึนโดย คณะกรรมการ CIE ซง่ึ ไดกําหนดระบบสีไวห ลายระบบ ไดแก 3.3.1 ระบบ CIE Yxy เปนเหมือนแผนที่สี เรียกวา แผนภูมิโครมาติก xy (chromaticity diagram) เปนรูปคลายเกือกมา ดังภาพที่ 30 ประกอบดวยแกนพิกัด x, y ซ่ึงเปนคา สัมประสิทธ์ิของสี และ Y เปนคาความสวางสีอยูในแกนตั้งฉากกับระนาบ xy เสนโคงในกราฟเปน ขอบเขตสีท่ตี าสามารถมองเห็นได มคี วามยาวคล่ืนต้ังแต 380 ถึง 780 นาโนเมตร แผนภูมิน้ีใชในการ บอกตําแหนงของสีและขอบเขตสี (color gamut) คาสีท่ีไดจากการวัดดวยเครื่องสเปกโตรโฟโต มิเตอร นอกจากนี้ยังใชในการคํานวณและแปลงคาสีในระบบการจัดการสี ระบบนี้มีขอดอยท่ี มาตราสวน (scale) ไมเทากันตลอด ทําใหไมเหมาะที่จะใชแสดงความแตกตางสี จึงไดมีการพัฒนา ดดั แปลงแผนภมู ิสีนี้ ภาพท่ี 1.30 ระบบ CIE Yxy ทม่ี า : http://i.imgur.com/6Aw1tE1.jpg 3.3.2 ระบบ CIE LUV หรือ CIE L* u* v* พัฒนามาจาก CIE Yxy เพื่อดัดแปลง แผนภูมิใหมีมาตราสวนที่แสดงความแตกตางสีไดเทากันในทุกพ้ืนที่ ระบบน้ีนิยมใชในอุตสาหกรรม เกี่ยวกับแสง และมอนิเตอร ภาพที่ 1.31 ระบบ CIE LUV ท่ีมา : http://dl.ledtronics.com/ImagesAll/CIE1976.jpg 26 | ระบบการจัดการสี
3.3.3 ระบบ CIELAB หรือ CIE L* a* b* เปนแผนภูมิสามมิติ มแี กน a*+ เปน คา สัมประสทิ ธขิ์ องสีแดง a*- เปนคา สัมประสิทธ์ขิ องสเี ขยี ว b*+ เปนคา สัมประสทิ ธิ์ของสเี หลอื ง b*- เปน คาสมั ประสทิ ธข์ิ องสีน้ําเงิน L* เปน คาความสวา งสี 0 คือดํา ถึง 100 คอื ขาว อยูในแกนตั้งฉากกบั ระนาบ a*b* ก. ข. ภาพท่ี 1.32 ระบบ CIELAB ท่มี า : ก. http://www.rehab.research.va.gov/jour/05/42/5/bicchierinif04.jpg ข. http://www.angelfire.com/ga/huntleyloft/charts/CIELAB.jpg แผนภูมินี้พัฒนาขึ้นเพื่อใชแสดงความแตกตางสี สรางมาจากพัฒนาสีคูตรงขามกับ นักวิทยาศาสตรชาวเยอรมันช่ือ แฮรริง ซึ่งกลาววาระบบการเห็นสีของคนเราเปนแบบสีคูตรงขาม ไดแก สีแดงเปนสีคูตรงขามกับสีเขียวหมายความวาเราไมสามารถเห็นสีแดงและสีเขียว ณ ท่ีเดียวกัน สีคูตรงขามอีกคูหนึ่งคือ สีเหลืองและสีน้ําเงิน นักวิทยาศาสตรอีกหลายคนไดมีสวนรวมกันพัฒนา ระบบ CIELAB นี้เพื่อใหมีแผนภูมิแสดงสีท่ีมีมาตราสวนท่ีเทากันและมีตําแหนงของสีกลาง คือ สีเทา อยูตรงกลางของสีตางๆ สามารถแสดงความแตกตางสีตรงกับการรับรูของคนจึงเปนที่นิยมใชกันใน อุตสาหกรรมการผลิตทเ่ี กี่ยวกับสี เชน สง่ิ ทอ สที าพน้ื การผลิตภาพสี เปนตน เอกสารอางองิ : พรทวี พึง่ รัศมี, 2549, เทคโนโลยกี ารผลิตภาพพิมพสี, เอกสารการสอนชุดวิชาเทคโนโลยกี ารพมิ พ หนว ยท่ี 1-7 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, พิมพท่ี โรงพมิ พม หาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช นนทบุรี หนา 7-5 – 7-21 พ้ืนฐานความรเู กย่ี วกบั สเี พอ่ื การจดั การสี | 27
วิธกี ารสอนและ 1. อาจารยบ รรยายประกอบการซักถาม โดยการใชส ือ่ การสอน กิจกรรม 2. นกั ศึกษาปฏบิ ัตงิ านตามงานท่ีมอบหมาย งานเด่ียว คร้งั ที่ 1 ส่ือการสอน 3. นกั ศึกษาแบงกลมุ อภปิ รายในหองเรียน 4. อาจารยและนักศกึ ษารวมกนั สรปุ บทเรยี น งานท่ไี ดร ับ หนังสอื อางอิง แสดงทายแนวการสอน มอบหมาย เอกสารใช เอกสารสําเนา เรือ่ ง พื้นฐานความรูเกีย่ วกบั สีเพอื่ การ ประกอบ จัดการสี การวัดผล วัสดุและอุปกรณ 1. เครื่องคอมพวิ เตอรแบบพกพา หมายเหตุ โสตทัศน 2. เคร่อื งฉายภาพ (Projector) 3. สอื่ Power Point เร่ือง พื้นฐานความรูเ กี่ยวกับสเี พ่อื การจดั การสี 4. กระดานขาว (White board) ใหนกั ศึกษานําภาพลายเสนการต นู เพื่อการระบายสมี าคนละ 1 ภาพ โดยนํา ภาพทน่ี าํ มาปฏบิ ตั ิงานดังนี้ 1. สาํ เนาภาพการตูนเพ่ือการระบายสี 1 ภาพ 2 แผน ขนาด A4 2. ระบายสตี ามใจดวยมอื โดยใชอุปกรณระบายสีตามทตี่ ัวเองหามา เชน ดนิ สอสี สเี ทียน สเี มจกิ สีชอลก เปน ตน 3. ระบายสีดว ยโปรแกรมคอมพวิ เตอรท ี่ใชในการระบายสใี หตรงกบั สที ่ที าํ การระบายดว ยมือ แลว พรนิ้ ตสอี อกมา 4. แบง กลุม ละ 5-7 คน เพือ่ ทําการอภปิ รายผลของงานทีไ่ ด โดยเพ่ือทาํ การ เปรียบเทียบงาน 2 แผน ท่ีไดจากการระบายสดี ว ยมอื และอปุ กรณ คอมพิวเตอร 5. นําเสนอความรทู ไี่ ดใ นแตละกลุม 6. สรุปผลของการเรียนรู 1. สังเกตพฤตกิ รรมการมสี วนรว มในการเรียน 2. ประเมินผลงานท่ีไดรับมอบหมายจากใบงาน 3. ประเมนิ ผลจากการตอบคาํ ถาม/การอภิปรายผล 28 | ระบบการจดั การสี
ใบงานที่ 1 การวิเคราะหแ หลง กําเนดิ สเี พอ่ื การจดั การสี 1. วตั ถปุ ระสงค 1.1 เพอ่ื เขาใจความแตกตางของสที ไ่ี ดจากแหลงตา งๆ 1.2 เพอ่ื วเิ คราะหเ ปรียบเทยี บสที เี่ กดิ ขึ้นจรงิ จากแหลงตา งๆ เพ่อื การจดั การสี 2. วิธกี ารปฏบิ ัติงาน/มอบหมายงาน 2.1 งานเดี่ยว 2.2 ระบายสลี งในกระดาษภาพลายเสน สําหรับระบายภาพ 2.3 นําภาพเขาคอมพวิ เตอร เพ่ือทําการระบายสีลงในโปรมแกรมคอมพิวเตอรและสัง่ ปริ้นต 2.4 แบงกลมุ นักศกึ ษา 5-7 คน อภิปรายผล/วิเคราะหผ ล 2.5 นาํ เสนอผลงาน/ความรู 2.6 สรปุ ผลของความรเู พอ่ื นําความรไู ปใชตอไป 2.7 มอบหมายงานเพ่ือการคนควาขอ มลู ในเรือ่ ง กระบวนการทาํ งานของระบบการจดั การสี สําหรบั การเรยี นการสอนในคร้ังตอไป 3. การสง งานและการใหค ะแนน 3.1 ใหนักศกึ ษาสงทายช่ัวโมง 3.2 ตรวจเชค็ เปน รายบคุ คลจากการระบายสีท้งั 2 ภาพๆ ละ 1 แผน ขนาด A4 3.3 ตรวจเช็คเปน รายกลมุ จากการอภปิ รายและการนําเสนอ 3.4 การเขา เรียนและใหค วามรว มมือในกิจกรรมการเรยี นการสอน พ้ืนฐานความรเู กย่ี วกบั สีเพื่อการจดั การสี | 29
สัปดาหท ่ี 2 แนวการสอน รหัสวชิ า 08-212-205 เวลา 5 ชั่วโมง ทฤษฎี 2 ชวั่ โมง หนวยที่ 1 พื้นฐานเพื่อการจัดการสี ปฏบิ ัติ 3 ช่ัวโมง ชื่อบทเรียน บทที่ 2 หลกั การของระบบการจัดการสี ตอนท่ี 1 ความหมายและความสําคัญของการจัดการสี ตอนท่ี 2 หลกั การและกระบวนการของระบบการจดั การสี จดุ ประสงคการสอน 1. นาํ ความรเู ก่ยี วกับหลักการของระบบการจดั การสีเพ่ือไปใชในการจดั การสี 1.1 อธบิ ายความหมายและความสําคัญของการจดั การสีได 1.2 อธบิ ายหลกั การและกระบวนการของการระบบการจดั การสีได 1.3 อธบิ ายหลักการของโมดลู การจดั การสีได 1.4 แยกแยะความแตกตา งของคาสที ีองิ อปุ กรณกับคาสที ่ไี มอิงอปุ กรณได 2. มีทกั ษะในแปลงคาแตล ะชนิดของอปุ กรณเพือ่ งานจัดการสี 2.1 ทําการแปลงคา สจี ากแหลงสที ี่องิ อปุ กรณห น่ึงไปยังแหลงสีที่องิ อุปกรณอน่ื ได 2.2 การแปลงคา สจี ากแหลง สีท่ีองิ อุปกรณไปยังแหลง สที ่ีไมอิงอปุ กรณอนื่ ได 3. มคี วามรับผิดชอบ 3.1 เขา เรียนและใหค วามรว มมอื ในกิจกรรมการเรยี น 3.2 สงงานตรงตามเวลาที่กําหนด หลักการของระบบการจัดการสี | 31
เนื้อหาประกอบการเรียนการสอน 1. ความหมายและความสาํ คญั ของการจดั การสี เทคโนโลยีของยุคท่ีมีการใชระบบคอมพิวเตอรในงานกอนพิมพ ในกระบวนการผลิตภาพสีมี การใชอุปกรณตาง ๆ เขามาเกี่ยวของมากมาย อุปกรณนําเขาที่ใช เชน เคร่ืองกราด กลองถายภาพ ดิจิทัล โปรแกรมคอมพิวเตอร เชน โปรแกรมสรางภาพ โปรแกรมตกแตงภาพ โปรแกรมจัดประกอบ หนา และอุปกรณพิมพผลออกที่ใช เชน จอภาพ เคร่ืองพิมพประเภทตาง ๆ เครื่องอิมเมจเซตเตอรที่ จะพิมพผลออกมาเปนฟลม หรือเครื่องเพลทเชตเตอรท่ีจะพิมพผลออกมาเปนแมพิมพ การแสดงและ ผลิตภาพสีของแตละอุปกรณมีขอจํากัดมากมายที่ทําใหอุปกรณเหลาน้ัน ไมสามารถแสดงสีหรือผลิต ภาพสีไดเ หมอื นกัน ระบบการจดั การสีจงึ ไดร ับการพัฒนาข้นึ เพ่อื ชว ยแกปญหาดงั กลา ว ภาพที่ 2.1 กระบวนการผลติ ภาพสที ีม่ กี ารใชอุปกรณต างๆ ท่มี า: https://i-msdn.sec.s-msft.com/dynimg/IC151168.gif การจัดการสีในยุคแรกยังเปนระบบปด โดยมีบริษัทผูผลิตหลายบริษัทพัฒนาข้ึน เชน บริษัท อัก๊ ฟา มีระบบโฟโตทูน (Fototune) บริษัทโกดัก มีระบบเคซีเอ็มเอส (Kodak Color Management System, KCMS) เปนตน ระบบดังกลาวมีการใชงานเฉพาะ และยังไมมีมาตรฐานใหสามารถใชงาน รวมกันได จนกระทั่ง ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536) บริษัทแอปเปลคอมพิวเตอร) ซึ่งเปนบริษัทผูผลิต คอมพิวเตอรแมคอินทอช ไดพัฒนาโมดูลจัดการสีคัลเลอรซิงค 1.0 (ColorSync 1.0) ข้ึน ซึ่งเปน โปรแกรมจัดการสีแบบงายอยูในระดับระบบปฎิบัติการ โดยมีโพรไฟล (profile) ของอุปกรณตางๆ ท่ี เก่ียวของกับกระบวนการผลิตสี เชน เคร่ืองกราด จอภาพ และเคร่ืองพิมพ ซึ่งเปนขอมูล คุณลักษณะเฉพาะในการผลิตสีของแตละอุปกรณ แตมีขอจํากัดของโมดูลจัดการสีคัลเลอรซิงค 1.0 ตรงทีส่ ามารถใชใ นระบบสี RGB เทานั้น และสวนแปลงคาสียังทํางานไดชา ท้ังยังไมสามารถใชงานใน โปรแกรมอ่ืนๆ ที่ใชท่ัวไปในงานกอนพิมพ จึงไดมีการพัฒนาคัลเลอรซิงครุนตอๆ มา ใหมี 32 | ระบบการจัดการสี
ความสามารถในการแปลงคาสีใหมีความถูกตองมากข้ึน และทํางานไดรวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังไดมี การพัฒนารูปแบบมาตรฐานของไฟลท่ีอธิบายคุณลักษณะการผลิตสีของอุปกรณท่ีใชในระบบการ จัดการสี ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของบริษัทผูผลิตอุปกรณตาง ๆ จัดตั้งข้ึนเปน International Color Consortium (ICC) หรือเรือกวา ไอซีซี และกําหนดใหมีรูปแบบมาตรฐานคุณลักษณะเฉพาะในการ ผลิตสีของอปุ กรณต าง ๆ เปนมาตรฐานเดียว เรยี กวา ไอซซี ีโพรไฟล จึงเปนแรงกระตุนใหมีการพัฒนา ระบบการจัดการสีกันมากข้นึ ภาพท่ี 2.2 ตราสญั ลกั ษณขององคกร ICC ทีม่ า: http://www.color.org/ICC_V4_Logo_300dpi.jpg 1.1 ความหมายของระบบการจัดการสี ไอซีซี ไดอ ธิบายความหมายของการจัดการสี (color management) ไววา เปนกระบวนการ ท่ีใชในการเชื่อมโยงคุณลักษณะสีของอุปกรณตาง ๆ ที่ใชในการผลิตภาพสี ตั้งแตอุปกรณนําเขา (input device) และอุปกรณสงผลออก (output device) ใหม ีขอ มูลอางอิงรวมกัน กลาวโดยนัยแลว ระบบการจัดการสี (color management system, CMS) หรือเรือกสั้น ๆ วา ซีเอ็มเอส เปนระบบท่ี มหี นาท่ีจัดการและควบคุมการะบวนการผลิตภาพสีของทุกอุปกรณที่ใชในการงานกอนพิมพ ไมวาจะ เปนเคร่ืองกราด กลอ งถายภาพดจิ ทิ ลั จอภาพ และเคร่ืองพิมพใหมีเอกภาพ กลาวคือ การแสดงสีและ ผลิตภาพสีของอุปกรณตาง ๆ มีความใกลเคียงกัน หรือมีความแตกตางในการผลิตภาพสีนอยลงและ ควบคุมการผลิตภาพสีใหเปนไปตามท่ีตองการ โดยประกอบดวยสวนของซอฟตแวรท่ีกําหนด คุณลักษณะการผลิตสีของอุปกรณ (device profile) และโมดูลจัดการสี (color management module, CMM) ซง่ึ ทาํ หนาทเ่ี ปนตวั กลางแปลงคา สใี นขอบเขตสีของอุปกรณที่ใช โดยเปรียบเทียบสี และปรับสีใหแตล ะอุปกรณสามารถแสดงสีอยางมเี อกภาพ หวั ใจสาํ คญั ของการจดั การสี คือ การแปลง คา สีเปน รปู แบบสีมาตรฐานที่ไมอ ิงอปุ กรณ คอื รูปแบบสีของซไี ออี เพ่ือใหการปรบั เปล่ียนคาสีระหวาง กันมีความถูกตองแนนอน ทําใหอุปกรณตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับการผลิตสีสามารถแสดงขอบเขตสีได ใกลเคยี งกนั มากที่สุด หลักการของระบบการจัดการสี | 33
ภาพที่ 2.3 อปุ กรณในการผลิตภาพสีตอ งผานกระบวนการจัดการสี ทม่ี า: https://community.coreldraw.com/cfs-file/__key/communityserver-discussions-components- files/809/0131.Basic-color-management-.jpg การควบคุมคุณภาพงานกอนพิมพของงานพิมพสีโดยใชระบบการจัดการสีน้ีจะทําไดดี เมื่อมี การปรับตั้งอปุ กรณตา ง ๆ ใหท ํางานตามมาตรฐาน เพอื่ ใหม ีสภาพการทํางานท่ีคงที่ หากมีตัวแปรท่ีทํา ใหคณุ ภาพเปลย่ี นแปลงไป เชน ชนดิ หมกึ พมิ พ ชนดิ วัสดุใชพิมพ หรอื แมแ ตช างพมิ พเ อง ก็อาจจะมีผล ตอ คุณภาพสที ีไ่ ดด ว ย 1.2 ความสําคัญของระบบการจัดการสี การควบคมุ การผลิตภาพสีใหเ ปน ไปตามตองการและไดคุณภาพที่ถูกตองเปนสิ่งทาทาย ไมวา จะเปนการควบคุมสีบนจอภาพทุกจอภา การควบคุมสีของภาพท่ีไดจากการกราดกับภาพพิมพท่ีได หรอื การควบคุมสรี ะหวางภาพพิมพจ ากเครื่องพิมพต าง ๆ การควบคมุ การภาพในงานกอนพมิ พจ ะตองการใหการผลิตสีมีความถูกตองต้ังแตเครื่องกราด จอภาพและเครือ่ งพมิ พทีต่ อ พว ง สามารถแสดงสีหรือผลิตสีไดใกลเคยี งกัน หรือลดความแตกตางของสี ที่จะเกิดขึ้นใหมีนอยท่ีสุด ระบบจัดการสีจึงไดรับการพัฒนาขึ้น และมีความสําคัญตอการควบคุม คุณภาพในงานกอนพมิ พด ังน้ี 1.2.1 ชวยลดปญหาความแตกตางกันในการผลิตสีของอุปกรณในงานกอนพิมพ การผลิตสีดวยระบบจัดพิมพอิเล็กทรอนิกสในยุคแรก ๆ ยังเปนระบบปด มีอุปกรณท่ีใชไมมากนัก สวนใหญเปนระบบจัดพิมพท่ีมีประสิทธิภาพสูง (high-end system) อุปกรณที่ใชท้ังหมดผลิตจาก 34 | ระบบการจัดการสี
บริษัทผูผลิตรายเดียว จํากัดการผลิตอยูที่อุปกรณใดอุปกรณหนึ่ง คุณภาพงานที่ไดอยูในระดับท่ีนา พอใจไดโดยไมใชระบบการจัดการสี เนื่องจากบริษัทผูผลิตไดปรับต้ังมาตรฐาน (calibration) ของ ฮารด แวรและซอฟตแวรจากโรงงานท่ีผลิต โดยใชตารางแปลงคาสี (color look-up table) ที่ชดเชย คุณลักษณะของแตละอุปกรณใหสามารถแสดงสีไดใกลเคียงกัน ซึ่งใหความถูกตองในการผลิตสี ระหวางอุปกรณไดเพียงพอ เนื่องจากอุปกรณที่ผลิตจากบริษัทเดียวกันจะไดรับการปรับตั้งมาตรฐาน ใหแสดงสีท่ีใกลเ คียงกนั ไดง า ย แตการใชตารางแปลงคาสีจะใชไดดีสําหรับอุปกรณที่ใชงานใหม ๆ เม่ือ อุปกรณใชงานนานขึ้น การผลิตสีของอุปกรณอาจผิดเพ้ียนจากเดิม จะทําใหการใชตารางแปลงคาสี ใหผ ลอางอิงท่ีไมแนน อนได ปจจุบันระบบจัดพิมพอิเล็กทรอนิกสท่ีใชเปนระบบเปดมากข้ึน มีการพัฒนาภาษา มาตรฐานใหอุปกรณที่ผลิตจากตางบริษัทสามารถเช่ือมตอเปนระบบเดียวกันและทํางานดวยกันได นอกจากน้ีไดม ีการใชระบบเครอื ขายระยะไกลในการจัดพมิ พมากข้นึ โดยสรา งงานตนฉบับจากสถานท่ี หน่ึง แตสง ขอ มลู ไปพมิ พอ ีกสถานท่ซี ง่ึ อยหู างออกไปได ปญหาที่เกิดข้ึนก็คือ อุปกรณท่ีนํามาใชมาจาก บริษัทผูผลิตตาง ๆ ใชเทคโนโลยีแตกตางกัน จึงมีความแตกตางกันในสีท่ีผลิตไดโดยเฉพาะเร่ือง ขอบเขตสี ตัวอยางเชน อุปกรณนําเขามีหลายประเภท ต้ังแตเคร่ืองกราด คุณภาพสูง เครื่องกราด คณุ ภาพปานกลาง กลองถายดิจิทัล อาจจะใหขอมูลสีนําเขาตางกัน สวนอุปกรณสงผลออกมีประเภท ตาง ๆ มากมาย แตละประเภทแมเปนเครื่องประเภทเดียวกันแตผลิตจากบริษัทผูผลิตตางกันก็ใหสี แตกตางกนั ได จึงมีผลใหส ีของภาพพิมพแ ตกตางกนั ดว ย ภาพที่ 2.4 การเช่ือมตอ เปนระบบเดียวกนั และทาํ งานดว ยกัน ทีม่ า: https://www.eizoglobal.com/solutions/graphics/design_and_printing_workflow.jpg หลกั การของระบบการจัดการสี | 35
ระบบการจัดการสีจะมาชวยลดปญหาความแตกตางกันในการผลิตสีของอุปกรณ ตา ง ๆ ไดดงั นี้ 1.2.1.1 การผลิตสีของแตละอุปกรณในงานกอนพิมพใชระบบสีไม เหมือนกัน กลาวคือ อุปกรณ เชน กลองถายภาพดิจิทัล เครื่องกราด จอภาพคอมพิวเตอร จะทํางาน โดยใชระบบสอี ารจีบี (RGB) โดยการทํางานในกลองถายภาพดจิ ิทัล เคร่ืองกราดจะมีแผงซีซีดีรับแสงสี แดง สีเขียว สีนํ้าเงิน แลวเก็บขอมูลภาพเปนขอมูลสี RGB เมื่อนําเขาระบบคอมพิวเตอรมาแสดงผล บนจอภาพ ซ่ึงแสดงสีดวยระบบสี RGB เชนกัน คือใชสารเรืองแสงสีแดง สีเขียว และสีนํ้าเงิน ใหเกิด เปน สีตาง ๆ บนจอภาพ ขณะทใี่ นการพิมพบนเครื่องพิมพทั้งระบบดิจิทัล หรือเคร่ืองพิมพแบบเดิมจะ พิมพโดยใชระบบสี CMY หรือระบบสี CMYK คือ การใชหมึกพิมพสีนํ้าเงินเขียว สีมวงแดง สีเหลือง หรอื มกี ารพมิ พสดี าํ เพม่ิ เติม เพื่อใหเ กิดเปนสตี า ง ๆ บนแผนพมิ พ การที่อุปกรณต าง ๆ ดงั กลาวทํางานในระบบสที แี่ ตกตางกันมผี ลใหขอบเขต สีทผี ลิตไดแ ตกตางกันดวย ขอบเขตสี หมายถึง จํานวนสีท้ังหมดท่ีอุปกรณสามารถผลิตได สวนใหญสี ทีผลิตจากระบบสี RGB ท่ีไดจากเครื่องกราด หรือจอภาพ มักจะมีขอบเขตสีกวางกวาสีที่ผลิตไดจาก ระบบสี CMYK ที่ไดจากเครื่องพิมพดังภาพท่ี 2.5 ขอมูลสีบางสีที่นําเขาดวยเคร่ืองกราดอาจจะไม สามารถแสดงไดทั้งหมดบนจอภาพและขอมูลสีบางสีท่ีแสดงบนจอภาพก็ไมสามารถพิมพไดดวย เคร่ืองพิมพ ดวยเหตุน้ีสีของภาพพิมพจากเคร่ืองมีความแตกตางจากสีที่มองเห็นบนจอภาพ คอมพวิ เตอรและขอมูลสีท่ีนําเขา สูร ะบบคอมพิวเตอร ดังภาพท่ี 2.6 ภาพที่ 2.5 ขอบเขตสขี องอุปกรณท ่ีผลิตดว ยระบบสี RGB กบั อปุ กรณที่ผลิตดวยสรี ะบบ CMYK ท่มี า: http://pirate.shu.edu/~mckenndo/Gamuts_files/image002.gif 36 | ระบบการจดั การสี
ภาพที่ 2.6 สีภาพโหมด RGB (จอภาพคอมพวิ เตอร) กับ สีภาพโหมด CMYK (เครื่องพิมพ) ที่มา: http://3.bp.blogspot.com/-ujUK5S- _Mf0/UyRLagRuwII/AAAAAAAADjM/GT7WQJHPqDA/s1600/RGB-vs-CMYK-Comparison-created.jpg 1.2.1.2 การผลิตสีของอุปกรณท่ีใชระบบสีเดียวกันแตใหสีไมเหมือนกัน อุปกรณในงานกอนพิมพที่ใชระบบสีเดียวกันก็ยังใหผลการผลิตสีตางกันได เชน จอภาพท่ีใชระบบสี RGB แสดงภาพสีจากไฟลขอมูลงานพิมพเดียวกัน แตบนจอภาพตางชนิดกัน ก็มีผลใหแสดงสีไม เหมือนกันได เนื่องจากจอภาพบางจอใชหลอดซีอารท่ี (cathode ray tube, CRT) บางจอภาพใช แอลซีดี (liquid crystal display, LCD) หรือแมจอภาพเดียวกัน เม่ือปรับเปลี่ยนคาในการต้ัง โปรแกรมควบคุมการแสดงบนจอภาพ ก็ยังมีผลใหแสดงสีแตกตางกันไดดวยเชนกัน หรือเมื่อใชงาน จอภาพไประยะหนึ่ง การแสดงสขี องจอภาพเปลีย่ นแปลงไปไดเชน กนั ดังภาพที่ 2.7 และ ภาพที่ 2.8 ภาพท่ี 2.7 เปรียบเทยี บภาพบนจอ CRT vs LCD ท่ีมา: https://www.computerhope.com/issues/pictures/crt-vs-lcd.jpg หลักการของระบบการจัดการสี | 37
ภาพท่ี 2.8 เปรยี บเทียบภาพบนจอ LCD vs LED ทม่ี า: https://i2.wp.com/www.techdim.com/wp-content/uploads/2018/02/LED-vs-LCD- Monitor.jpg?fit=750%2C350&ssl=1 นอกจากนี้เคร่ืองพิมพท่ีใชระบบสี CMYK หากใชเทคโนโลยีการพิมพ ไมเหมอื นกนั ชนดิ ของวสั ดุใชพ มิ พและหมกึ พมิ พแ ตกตางกัน สีของภาพพิมพท่ีไดจะไมเหมือนกัน เชน เครืองพิมพปรูฟดิจิทัล มีประเภทตาง ๆ มากมายใหเลือกใช เคร่ืองพิมพแตละประเภทใชหมึกพิมพ ตางกัน เชน เคร่ืองพมิ พพ นหมึกใชหมกึ พิมพเหลว เคร่ืองพิมพเลเซอรใชโทนเนอร เปนตน นอกจากนี้ ยังมีการใชชนิดของสารใหส ีท่แี ตกตา งกันในเครอื่ งพมิ พแตละประเภทดวย เชน บางเครื่องพิมพใชหมึก พิมพประเภทผงสี บางเครื่องพิมพใชหมึกพิมพประเภทสียอม เปนตน รวมทั้งชนิดวัสดุใชพิมพที่ใช ตางกัน ปจจัยตาง ๆ ดังกลาวนี้มีผลใหเคร่ืองพิมพปรูฟดิจิทัลตางประเภทกันพิมพภาพสีออกมาไม เหมือนกัน แมวาจะพิมพจากสัญญาณขอมูลภาพเดียวกัน และเคร่ืองพิมพปรูฟดิจิทัลกับเคร่ืองพิมพ จริง จะใหคุณภาพยิ่งแตกตางกันสูงมาก โดยสีท่ีพิมพจากเคร่ืองพิมพปรูฟดิจิทัลจะมีขอบเขตสี มากกวา เครื่องพิมพจริง ภาพที่ 2.9 ชนดิ ของวัสดใุ ชพ ิมพแ ละหมึกพมิ พแตกตางกนั สขี องภาพพิมพท่ีไดจ ะไมเหมือนกัน ท่ีมา: http://www.graphicmonthly.ca/images/2014/oce.png 38 | ระบบการจดั การสี
ร ะ บ บ ก า ร จั ด ก า ร สี จ ะ กํ า ห น ด คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ เ ฉ พ า ะ ใ น ก า ร ผ ลิ ต สี ข อ ง เครื่องพิมพปรูฟดิจิทัล แลวนํามาปรับขอบเขตสีบนจอภาพ เพ่ือใหจอภาพแสดงสีไดเหมือนกับแผน พิมพ หรือปรับขอบเขตสีของเคร่ืองพิมพ 2 เครื่องพิมพใหเหมือนกันหรือใกลเคียงกันได ทําใหการ ผลติ สขี องเคร่ืองพิมพปรูฟดิจิทัลใหพิมพสีไดเหมือนกับแผนพิมพดวยเครื่องพิมพจริงได จึงสามารถใช เครอ่ื งพมิ พปรูฟดจิ ิทลั ในการทาํ ปรูฟสีได 1.2.1.3 อุปกรณตาง ๆ ใชแหลงกําเนิดแสงตางกันในการมองเห็นสี ในการ มองเห็นสีจะตองมีองคประกอบ 3 สวน คือ วัตถุมีสี ตา และแหลงกําเนิดแสง อุปกรณตาง ๆ จะใช แหลงกําเนิดแสงแตกตางกัน เชน แหลงกําเนิดแสงในจอภาพเปนแหลงกําเนิดแสงที่ใหแสง เพ่ือให มองเห็นสีของภาพ เมื่อเปรียบเทียบกับภาพพิมพจะสะทอนแสงจากแหลงกําเนิดแสงที่สองตนฉบับ เพ่ือใหมองเห็นสีของภาพ ดังน้ัน ชองทางของแสงท่ีเขาสูตาและแปลผลเปนการมองเห็นสีมีความ แตกตางกัน คาการสองสวางจากอุปกรณท่ีเปลงแสงกับวัตถุที่สะทอนแสงไมเหมือนกันการทําใหสีท่ี ผลิตจากจอภาพและแผน พมิ พม ีความครบถวนเหมือนกันจงึ ไมสามารถทาํ ได ภาพท่ี 2.10 แหลง กาํ เนดิ แสงตางกัน ท่ีมา: http://12style.nl/wp-content/uploads/2016/10/lichtkleuren_plaatjebijgastblog1.png 1.2.1.4 การทํางานของโปรแกรมคอมพิวเตอรตางโปรแกรมที่ใชในขั้นตอน งานกอ นพิมพ ขอมลู สขี องภาพท่ีนําเขาจากการกราดภาพตนฉบับ มักเปนขอมูลสีในระบบสี RGB แต เมอ่ื จะพมิ พกต็ องมกี ารแปลงขอมูลสีใหเปนขอมูลสีในระบบสี CMYK การแปลงขอมูลสีมักจะเปนการ แปลงขอ มลู สใี นโปรแกรมในงานกอนพิมพ เชน โปรแกรมตกแตงภาพ หรือโปรแกรมจัดประกอบหนา ซึ่งหากมีการใชโปรแกรมตางกันในการจัดทํางานกอนพิมพจะมีผลทําใหขอมูลสีหลังการแปลงคาแลว ตางกนั เชน การแปลงคา สขี องภาพจากระบบสี RGB เปน ระบบสี CMYK ในโปรแกรมโฟโตชอปกับใน โปรแกรมตกแตงภาพอื่น ซึ่งตองใชการคํานวณของโปรแกรม อาจมีผลใหขอมูลสีของภาพมีความ หลกั การของระบบการจัดการสี | 39
แตกตางกันไดเม่ือนําไปใชงานข้ันตอไป หรือขอมูลสีท่ีกําหนดในโปรแกรมตกแตงภาพโดยตรง เชน ขอมูลสี CMYK แตเมื่อนําไปใชพิมพบนแผนพิมพอาจจะไดคาสีที่แตกตางจากขอมูลสีท่ีนําเขาได เชน กัน ระบบการจัดการสีจึงมีความสําคัญอยางยิ่งในงานกอนพิมพที่ตองใช อุปกรณตางๆ ในการผลิตสี เพื่อชวยใหสามารถใชอุปกรณจากตางผูผลิตกันโดยไมจํากัดที่ผูผลิต รายเดยี ว ซงึ่ โดยระบบการจัดการสีจะมีกระบวนการปรับขอบเขตสีของอุปกรณตางๆ เพื่อใหสามารถ แสดงสหี รอื ผลิตสีไดใ กลเคยี งกัน ดังจะกลาวถึงตอไป 1.2.2 ชวยควบคุมคุณภาพการแสดงสีของจอภาพกอนส่ังพิมพผลออกไปยัง อุปกรณพิมพผลออก ในกระบวนการผลิตสิ่งพิมพในยุคที่ใชระบบจัดพิมพดิจิทัล ผูปฏิบัติงานอาจจะ กราดภาพตนฉบับดวยเคร่ืองกราด และใชระบบคอมพิวเตอรในการตกแตงภาพและจัดประกอบหนา โดยกําหนดรายละเอียดขอมูลการพิมพ ทั้งสีและรูปแบบสิ่งพิมพที่ตองการพิมพในระบบคอมพิวเตอร ขอ มูลงานพิมพจะยังอยูในระบบคอมพิวเตอรจนกวาจะพิมพผลออกเปนฟลม หรือแมพิมพ หรือพิมพ ออกมาดวยเคร่ืองพิมพดิจิทัลที่ตอพวงอยู ในการตรวจสอบคุณภาพสี ผูปฏิบัติงานสวนใหญมักจะ พิจารณาสีงานพิมพจ ากจอภาพกอน แลวจึงสั่งพิมพ อาจจะมีการถายเปนฟลมหรือแมพิมพกอนนําไป พิมพจ ริงดวยเครอื่ งพมิ พ หรอื มกี ารสั่งพิมพไ ปยังเคร่ืองพิมพปรูฟหรือเคร่ืองพิมพดิจิทัลท่ีพิมพภาพบน วัสดุใชพิมพโดยตรง ปญหาที่เกิดข้ึนก็คือ อุปกรณตาง ๆ ท่ีใชในการผลิตสีมีความแตกตางกันใน ขอบเขตสีที่ผลิตได ทําใหสีของภาพพิมพมีความแตกตางจากสีที่มองเห็นบนจอภาพคอมพิวเตอร จึง ตองการระบบการจัดการสีเพ่ือใหผูปฏิบัติงานสามารถเทียบสีใหจอภาพแสดงสีไดใกลเคียงกับสีที่จะ พิมพ ชวยใหสามารถใชจอภาพในการแสดงสีของภาพพิมพจริง และปรับแกไขสีใหถูกตองตาม ตอ งการไดบนจอภาพ รวมทงั้ ชว ยใหก ารส่ือสารขอมูลสีระหวางผูปฏิบัติงานในข้ันตอนงานกอนพิมพมี ความแนนอนยง่ิ ขึ้น หากไมมีระบบการจัดการสี การตรวจสอบคุณภาพสีจากจอภาพอาจใหความไม แนน อน หรอื ไมสามารถจําลองสีท่ีไดจากเครื่องพิมพได จะตองทําการปรูฟสีมากอนหรือตองพิมพจริง มากอน จึงจะทราบคณุ ภาพสีที่ไดว า เปน ไปตามตองการหรือไม ซ่ึงจะตอ งเสยี คา ใชจ ายเพิม่ ขนึ้ 1.2.3 ชวยใหสามารถใชเคร่ืองพิมพปรูฟดิจิทัลในการทําแผนปรูฟสีที่ใชควบคุม ภาพงานพิมพสี ในงานกอนพิมพจะเก่ียวของ กับอุปกรณอิเล็กทรอนิกสมากมาย ผูปฏิบัติงานไม สามารถเขา ไปควบคมุ การทาํ งานภายในของอปุ กรณเ หลา นนั้ เพือ่ ผลิตสีใหไดตามตองการ ไมวาจะเปน เคร่ืองกราด จอภาพ หรือเครื่องพิมพปรูฟดิจิทัล จะทํางานดวยกลไกการทํางานของตัวเครื่อง ผูปฏิบตั ิงานสามารถทําไดเพียงการปรบั ตั้งคา ในโปรแกรมควบคมุ การทํางานของอปุ กรณเทานั้น แตใน 40 | ระบบการจดั การสี
ขั้นงานพิมพท่ีใชเครื่องพิมพจริง มีปจจัยตาง ๆ มากมายที่มีผลตอสีของภาพเพื่อใหไดคุณภาพตามท่ี ตองการ เชน เครื่องพิมพ วัสดใุ ชพมิ พ หมึกพิมพ ชา งพมิ พสามารถปรับตั้งเคร่ืองพิมพใหปรับจายหมึก ตามท่ตี องการเลอื กใชวัสดใุ ชพ ิมพ และหมึกพิมพใ หพมิ พส ตี ามที่ตอ งการได วิธีการควบคุมคุณภาพการผลิตภาพสีในงานกอนพิมพโดยการใชระบบการจัดการสี เขามาชวย จะทําใหสามารถทราบลักษณะภาพสีท่ีจะไดจากเครื่องพิมพลวงหนากอนจากเครื่องพิมพ ปรฟู โดยทาํ แผนปรูฟดิจิทัลออกมาใหสามารถเทียบสีไดใกลเ คยี งกบั ภาพพมิ พจ ริงจากเคร่ืองพิมพจ รงิ โดยสรุปแลว การควบคุมคุณภาพของสีท่ีมีการใชอุปกรณตาง ๆ ที่หลากหลายใหมี การผลิตภาพสีไดใกลเคียงกันตั้งแตเครื่องกราด จอภาพคอมพิวเตอร และเครื่องพิมพปรูฟดิจิทัลที่ตอ พวง ระบบจัดการสีจะเปนเคร่ืองมือหน่ึงชวยใหอุปกรณตาง ๆ ท่ีใชสามารถแสดงสีหรือผลิตภาพสีได ใกลเคียงกัน หรือลดความแตกตางที่จะเกิดขึ้นใหมีนอยท่ีสุด จึงชวยใหการสื่อสารขอมูลสีระหวาง ผปู ฏิบตั งิ านในชน้ิ งานเดียวกันไดตรงกนั และทาํ ใหสามารถควบคุมคุณภาพในงานกอนพิมพไดแนนอน ข้นึ 2. หลกั การและกระบวนการของระบบการจดั การสี 2.1 หลักการของระบบการจัดการสี เดมิ ในกระบวนการผลติ ภาพสีจากอุปกรณหน่ึงไปยังอีกอุปกรณหน่ึง โดยท่ียังคงสีภาพใหเปน สีเดียวกันได จะตองมีการแปลงขอมูลสีระหวางอุปกรณตนทาง (source device) ไปยังอุปกรณ ปลายทาง (destination device) โดยใชตารางแปลงคาสี หรือสมการทางคณิตศาสตรเขามาชวย หากมีหลายอุปกรณท่ีใชในกระบวนการผลิตภาพสี จะตองใชตารางหลายตารางหรือการแปลงขอมูล ดวยสมการหลายสมการ เชน ถามีการใชอุปกรณในระบบจัดพิมพดิจิทัล 8 อุปกรณดังภาพ จะ ตองการตารางแปลงคาสีท้ังหมด 28 ตารางเพื่อแปลงคาสีระหวางอุปกรณตนทางไปยังอุปกรณ ปลายทางแตล ะคู ดงั ภาพที่ 2.11 หลักการของระบบการจัดการสี | 41
ภาพท่ี 2.11 การแปลงขอมลู สีระหวางอุปกรณใ นการผลติ ภาพสแี บบเดมิ ท่มี า: Kondres%2C%20Lana%2C%20Upravljanje%20bojom%20u%20procesu%20reprodukcije%20slike.pdf อุปกรณในงานกอนพิมพที่ใชในการผลิตสีจะใชระบบสีตางกันตามที่กลาวมาแลว การแปลง ขอมูลสีจะแปลงคาสีจากระบบสีหนึ่งไปยังอีกระบบสีหนึ่ง โดยใชตารางแปลงคาสีหรือสมการทาง คณิตศาสตรตามโปรแกรมที่ใชงานอาจทําใหขอมูลสีผิดเพี้ยนไปได เน่ืองจากตารางแปลงคาสีหรือ สมการทางคณิตศาสตรที่แตละโปรแกรมพัฒนาข้ึนนั้นอาจมีความแตกตางกันได และยิ่งบางคร้ังอาจ ตองมกี ารแปลงคา สกี ลบั มาระหวา งระบบสี 2 ระบบ ขอมูลสีก็จะยิ่งผิดเพ้ียนมากข้ึน เชนการแปลงคา สีจากระบบสี RGB เปน CMYK ในอุดมคติ ควรจะไดคา ดังภาพที่ 2.12 (ก) แตในโปรแกรม Photoshop เมื่อใหแปลงคาสี RGB เปนคาสี CMYK จะไดคาตามภาพที่ 2.12 (ข) ท้ังน้ีเน่ืองจาก ระบบสที ี่ใชในอปุ กรณตา ง ๆ เปนระบบสีที่อิงอุปกรณ จะแปรเปล่ียนตามอุปกรณ และยังมีขอบเขตสี ที่ตา งกันดวย 42 | ระบบการจัดการสี
ก. การแปลงคาสี RGB เปน คา สี CMYK ในอุดมคติ ข. การแปลงคา สี RGB เปน คาสี CMYK จากโปรแกรม Photoshop ภาพท่ี 2.12 เปรียบเทียบการแปลงคาสี RGB เปนคาสี CMYK ทั้ง 2 แบบ ในการควบคุมคุณภาพการผลิตสี ระบบการจัดการสีใชการทํางานใน 2 สวน คือ ระบบสีที่ เช่ือมโยงคุณลักษณะการผลิตสีของอุปกรณโดยใชขอมูลอางอิงรวมกัน หรือท่ีเรียกกันวา พีซีเอส (profile connection space, PCS) และโมดูลจัดการสี หรือท่ีเรียกกันวา ซีเอ็มเอ็ม (color management module, CMM) เพ่ือแปลงคาขอมูลสีระหวางอุปกรณท่ีเก่ียวของกับการผลิตสีให แสดงสีใกลเคียงกนั หลกั การของระบบการจัดการสี | 43
2.1.1 ระบบสีท่ีเชื่อมโยงคุณลักษณะการผลิตสีของอุปกรณ เปนการทํางานโดย การแปลงขอมูลสีใหอยูในระบบสีอางอิงในมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งจะชวยใหแตละอุปกรณที่ใชในการ ผลิตภาพสีมีการแปลงขอมูลสีของอุปกรณใหเปนขอมูลสีในระบบสีมาตรฐานเพียงคร้ังเดียว เพ่ือใช เปนตัวกลางในการถายโอนขอมูลสีจากอุปกรณหน่ึงไปยังอีกอุปกรณหนึ่ง ซ่ึงระบบสีมาตรฐานท่ีใชนี้ เปนระบบสีท่ีไมอิงอุปกรณ (independent color) คือ คาสีในระบบซีไออี เชน CIE XYZ, CIE LAB การแปลงคาสีท่ีอิงอุปกรณ (dependent color) จากระบบสีท่ีอุปกรณใชผลิตสีเปนคาสีท่ีไมอิง อุปกรณ จะทําใหการใชอุปกรณตาง ๆ ท่ีใชระบบสีตางกันหรือมาจากตางผูผลิต มาตอพวงกันเปนไป ไดงาย และทําใหการแปลงคาสีระหวางอุปกรณท่ีใชในระบบจัดพิมพดิจิทัลมีนอยลง จากตัวอยางใน ภาพที่ 2.13 ท่ีมีอุปกรณตาง ๆ ที่ใชในระบบจัดพิมพดิจิทัล 8 อุปกรณ จะใชตารางแปลงคาสีหรือ สมการคณติ ศาสตรแ ปลงคา สขี องอปุ กรณไปยังระบบสีมาตรฐานเพยี ง 8 ตาราง ภาพท่ี 2.13 การทํางานของระบบการจัดการสที เ่ี ชอ่ื มโยงขอมลู สรี ะหวา งอุปกรณตา งๆ ท่มี า: ICC Specification ICC.1:2004-10 Profile Version 4.2.0.0 , http://www.color.oreg 2.1.2 โมดูลจัดการสี เปนกลไกในการแปลงขอมูลสีระหวางอุปกรณตนทางกับ อุปกรณป ลายทาง โดยใชการเชื่อมโยงคุณลักษณะการผลิตสขี องอุปกรณท่ีอยูในระบบสีมาตรฐานหรือ พีซีเอส (Profile Connection Space) และมีการเทียบขอมูลสีของอุปกรณในกรณีท่ีอุปกรณตนทาง 44 | ระบบการจดั การสี
และอุปกรณปลายทางมีขอบเขตการผลิตที่ไมเทากัน จึงตองการปรับขอบเขตสี (gamut mapping) ของสองอปุ กรณใหแสดงสไี ดใกลเคียงกนั มากทส่ี ุด ภาพที่ 2.14 การทํางานของระบบการจดั การสีท่ีแปลงขอมลู สรี ะหวางอปุ กรณต นทางกบั อปุ กรณป ลายทาง ที่มา: https://encrypted- tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQU6YeiHJg7OyPB4JHG9kA9bMFABKVLeIzdTshrGwweJquHvwxE ภาพที่ 2.15 อปุ กรณตน ทาง ผานระบบคาสี CIE LAB กอนสง ไปสูอุปกรณป ลายทาง ทมี่ า: 2014_pic4press_v4_PPA_Rebrand_Final_4.pdf ในการทาํ งานของระบบจัดการสีเพื่อควบคุมคุณภาพงานกอนพิมพ คาสีของอุปกรณ นาํ เขาท่สี งไปยงั อปุ กรณพ มิ พผลออก จะมีการแปลงคาสีท่อี ุปกรณต า ง ๆ ผลิตไดไปเปนขอมูลที่มีอยูใน ระบบสีมาตรฐานท่ีเปนระบบสีที่ไมอิงอุปกรณ ซ่ึงขอมูลสีน้ีจะแสดงถึงคุณลักษณะการผลิตสีของ อุปกรณตาง ๆ ซึ่งไอซีซีไดนิยามวา โพรไฟลสี (color profile) โมดูลจัดการสีจะแปลงคาโพรไฟลสี ของอุปกรณนําเขาเปนคาสีในปริภูมิสีที่ใชทํางาน (working color space) ในโปรแกรมตกแตงภาพ เชน Photoshop เมื่อมีการเปล่ียนแปลงขอมูลสีในโปรแกรมตกแตงภาพ และตองการแสดงขอมูลสี บนจอภาพใหเห็นทันที ตองมีการแปลงคาสีเปนคาสีในระบบสีท่ีใชในจอภาพ ในการแปลงคาสีน้ี ตอ งการโพรไฟลส ีของจอภาพและโพรไฟลสขี องงานพิมพสุดทาย เพื่อใหจอภาพแสดงสีไดใกลเคียงกับ งานพิมพจริง จนกวาจะสงออกไปยังอุปกรณพิมพผลออก ก็จะมีการแปลงเปนคาสีในระบบของ หลักการของระบบการจัดการสี | 45
อุปกรณพิมพผลออกในขณะท่ีตกแตงภาพ ผูปฏิบัติงานสามารถเลือกสภาพการผลิตสีใหถูกตองตาม การใชงาน และวัตถุประสงคท่ีถูกตองได เชน จะใชวัสดุใหพิมพชนิดใด พิมพบนเคร่ืองพิมพชนิดใด เปนตน การที่มีโพรไฟลสีของอุปกรณตาง ๆ ใหใชในการจัดการสี ทําใหผูปฏิบัติงานไมตองใชการเดา วาสีท่ีพิมพไดจากเครื่องพิมพจะเปนอยางไร ซึ่งเปนวิธีการท่ีดีสําหรับการควบคุมคุณภาพงานกอน พิมพท ีไ่ ดจ ากระบบงานกอ นพมิ พดิจิทัล ระบบสีที่ใชในอุปกรณแตละอุปกรณ หรือสภาพการผลิตสีแตละอุปกรณไม เหมือนกัน ทําใหขอบเขตการผลิตสีไมเทากัน การสงผานคาสีจากอุปกรณหนึ่งเพ่ือแสดงผลยังอีก อุปกรณหน่ึง จึงตองมีการปรับขอบเขตสี โดยใชโพรไฟลสีของอุปกรณน้ัน เพื่อใหอุปกรณท้ังสอง สามารถผลิตสีใหมีความใกลเคียงกัน ตัวอยางเชน เมื่อจะพิมพดวยเครื่องพิมพใด คาสีทีเคร่ืองพิมพ สามารถพิมพไดจะถูกนํามาแปลงเปนคาสีในระบบสี CIE ซึ่งไดเปนโพรไฟลสีของเครื่องพิมพน้ัน และ ใชโพรไฟลสีของเคร่ืองพิมพเทียบกับโพรไฟลสีของจอภาพมาปรับขอบเขตสี เพ่ือใหจภาพแสดงสีได ใกลเคยี งกบั งานพิมพจากเคร่ืองพิมพน้ัน การใชคาสีในระบบสีท่ีไมอิงอุปกรณเปนตัวกลางในการปรับ ขอบเขตสีนี้ เพื่อใหคาสีท่ีสรางไวเม่ือนําไปใชแสดงออกในอุปกรณใดแลวจะเห็นเปนสีเดียวกัน แตกตางจากคาสีในระบบที่อิงอุปกรณ เชน ระบบสี CMYK หรือระบบสี RGB ซ่ึงเม่ือไปแสดงผลบน วัสดใุ ชพ ิมพใ ดหรืออปุ กรณแ สดงผลตางกันจะเห็นสีตา งกันได ภาพท่ี 2.16 การทํางานของระบบการจดั การสใี หจอภาพแสดงภาพของภาพพมิ พ ท่มี า: เอกสารการสอนชดุ วิชาเทคโนโลยกี อ นพมิ พ, 2549 : 15-16 2.2 กระบวนการจัดการสี จากหลกั การของระบบการจัดการสีท่ีกลาวขางตน สามารถกลาวไดวา ระบบการจัดการสีจะ ใชควบคุมคุณภาพการผลิตสีในงานกอนพิมพของระบบจัดพิมพดิจิทัลได แตการใชงานระบบการ จัดการสีเพ่ือควบคุมคุณภาพใหไดผลที่ดีและมีความแนนอน จะมีกระบวนการในการจัดการสี 46 | ระบบการจัดการสี
ประกอบดวย การปรับต้ังมาตรฐานอุปกรณ (device calibration) การกําหนดคุณลักษณะเฉพาะ ของอุปกรณ (device characterization) และการแปลงคาสีและเทียบสีระหวางอุปกรณ (color matching) ภาพที่ 2.17 กระบวนการจดั การสี 2.2.1 การปรับตั้งมาตรฐานอุปกรณ (device calibration) เปนการปรับการ ทาํ งานของอุปกรณใ หอ ยูส ถานะท่คี วบคุมได ตัวแปรตา ง ๆ ทีเ่ ก่ียวของกับการทํางานของอุปกรณ เชน สภาพแสงแวดลอ ม วัสดุที่ใช จะตองไดร ับการควบคมุ ใหอ ยสู ภาพปกติถูกตอง เพ่ือใหการใชงานระบบ การจัดการสีสามารถควบคุมคุณภาพการผลิตสีไดถูกตอง การปรับตังมาตรฐานของอุปกรณเปนสิ่ง สําคัญในกระบวนการควบคุมคุณภาพงานกอนพิมพดวยระบบการจัดการสี เนื่องจากเปนการทําให แนใจไดวาอุปกรณทํางานอยางปกติและถูกตองเปนบรรทัดฐาน การผลิตสีของอุปกรณคงท่ีสม่ําเสมอ เม่ือใชงานอุปกรณไประยะหน่ึงอาจทําใหความสามารถในการผลิตสีเปล่ียนไป ดังนั้นจึงควรปรับต้ัง มาตรฐานอปุ กรณเ ปน ระยะ ๆ หรือทกุ คร้ังท่ีมีการเปล่ียนแปลงสภาพแวดลอมในการทํางาน เพ่ือปรับ ใหอุปกรณทํางานไดมาตรฐานเหมือนสภาพปกติ เชน จอภาพอาจแสดงสีผิดเพ้ียนไปเน่ืองจากการใช งานไปนาน ๆ จึงควรปรับตั้งมาตรฐานจอภาพเปนระยะ ๆ ใหสามารถแสดงสีไดใกลเคียงกับสภาพ ปกติ เปนตน 2.2.2 การกําหนดคุณลักษณะเฉพาะของอุปกรณ (device characterization) ระบบการจดั การสจี ะสามารถทาํ งานไดจะตองทราบคุณลักษณะเฉพาะในการผลิตสีของอุปกรณตางๆ ท่ีเก่ียวของในระบบการจัดการสี การกําหนดคุณลักษณะเฉพาะของอุปกรณจะไดเปนโพรไฟลสีของ หลกั การของระบบการจัดการสี | 47
อปุ กรณซ่งึ จะไดก ลา วถึงตอ ไป โพรไฟลสีจะกําหนดคุณลักษณะเฉพาะในการผลิตสีที่แตกตางจากคาสี มาตรฐานอางองิ ซงึ่ คา สีมาตรฐานอา งอิงนีเ้ ปนคา สีของแถบสมี าตรฐานและขน้ึ กับระบบการจัดการสีท่ี ใช ในสภาพท่มี ีการใชร ะบบการจัดการสอี ยา งสมบรู ณ ภาพสีตนฉบับคอมพิวเตอร ภาพสีท่ีบนจอภาพ และภาพพมิ พส อี อกจากเครื่องพิมพ จะตองมีสีใกลเคียงกัน การกําหนดคุณลักษณะเฉพาะในการผลิต สีของอุปกรณหรือการสรางโพรไฟลสีอุปกรณ จะตองใชเคร่ืองวัดสีและเครื่องสเปกโตรโฟโตมิเตอรวัด คาสีท่ีแตและอุปกรณผลิตได ขอมูลที่ไดจะอยูในรูปแบบของโพรไฟลไอซีซี บริษัทผูผลิตระบบการ จดั การสีมักจะมีโพรไฟลสีของอุปกรณท่ใี ชกนั แพรหลายท่ัวไปใหเลือกใชอยูในโปรแกรม อยางไรก็ตาม อาจจําเปนตองสรางโพรไฟลสีของอุปกรณท่ีใชข้ึนใหมดวยโปรแกรมในระบบการจัดการสี เพื่อใหเกิด ความถกู ตองในการจัดการสีย่ิงขึ้น เชน จอภาพคอมพิวเตอรอาจผลิตสีผิดเพี้ยนจากจอภาพมาตรฐาน ทวั่ ไปได หากมอี ายใุ ชง านมากขนึ้ 2.2.3 การแปลงคาสีและเทียบสีระหวางอุปกรณ (color matching) เปนการ แปลงขอมูลระหวางอุปกรณที่ใชการผลิตสี ตามท่ีไดกลาวมาแลววา อุปกรณตาง ๆ ในงานกอนพิมพ แมจะไดมีการปรับตั้งมาตรฐานอุปกรณแลว ก็ยังไมสามารถแสดงสีหรือผลิตสีของขอบเขตสีที่เทากัน ได และระบบการจัดการสกี ไ็ มสามารถทาํ ใหอุปกรณใ ด ๆ แสดงสีหรือผลติ สที น่ี อกเหนือจากขอบเขตสี ของอุปกรณนน้ั ผลติ ได จึงตอ งการเทียบสีของอุปกรณตาง ๆ ที่ใชแปลงขอมูลสีระหวางกัน โดยนําเอา คุณลักษณะเฉพาะการผลิตสีของอุปกรณท่ีตองการแปลงขอมูลสีมาใชในการปรับขอบเขตสีของ อปุ กรณท ่ีมีขอบเขตสที ีผ่ ลิตไดมากกวา เพื่อปรับการแสดงสีของอุปกรณตาง ๆ ใหออกมาใกลเคียงกัน ในการปรบั ขอบเขตสอี ุปกรณจะมีคาํ ส่งั ของการปรับขอบเขตสี (rendering intent) หลายลักษณะให เลือกใช ซ่ึงจะไดกลาวถึงตอไป ทั้งน้ีเพ่ือใหอุปกรณตาง ๆ ที่จะใชในการผลิตสีสามารถผลิตสีได ใกลเ คียงกันมากท่ีสุด ซึ่งมักจะใชโพรไฟลสีของเคร่ืองพิมพท่ีจะพิมพจริงเปนหลัก และปรับขอบเขตสี ของอุปกรณอนื่ ๆ เชน จอภาพ เครอ่ื งพิมพปรูฟ ลดลงมาใหใ กลเ คียงกับการผลิตสีของเครื่องพิมพจริง จะชวยทําใหสามารถจําลองสีภาพพิมพสีทืจะออกมาไดบนจอภาพ หรือบนแผนปรูฟที่ไดจาก เคร่ืองพิมพปรูฟ ดังน้ันการเทียบสีระหวางอุปกรณท่ีมีการแปลงขอมูลที่จะเปนการปรับขอบเขตสีให อยภู ายในขอบเขตสีทอี ุปกรณท้ังสองอปุ กรณผลิตไดใกลเคยี งกัน เอกสารอา งองิ : ผกามาศ ผจญแกลว และอมรรัตน อัคควฒั น, 2549, การควบคุมคณุ ภาพงานกอ นพิมพดวยระบบการ จัดการสี, เอกสารการสอนชุดวชิ าเทคโนโลยีการพิมพ หนว ยท่ี 8-15 ฉบบั ปรับปรุงคร้ังที่ 1, โรงพมิ พม หาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช, นนทบรุ ี, : 15-6 – 15-20 48 | ระบบการจดั การสี
วิธกี ารสอนและ 1. อาจารยบรรยายประกอบการซกั ถาม โดยการใชส่ือการสอน กจิ กรรม 2. นกั ศึกษาปฏบิ ัตงิ านตามงานทมี่ อบหมาย งานเดี่ยว ครัง้ ที่ 2 สอื่ การสอน 3. นักศกึ ษาแบงกลุม อภปิ รายในหอ งเรยี น 4. อาจารยและนักศกึ ษารวมกันสรปุ บทเรยี น งานทไ่ี ดร ับ หนงั สอื อา งอิง แสดงทา ยแนวการสอน มอบหมาย เอกสารใช เอกสารสาํ เนา เรื่อง หลกั การของระบบการจัดการสี การวัดผล ประกอบ หมายเหตุ วสั ดุและอุปกรณ 1. เครือ่ งคอมพิวเตอรแบบพกพา โสตทัศน 2. เคร่ืองฉายภาพ (Projector) 3. ส่อื Power Point เร่ือง หลักการของระบบการจัดการ สี 4. กระดานขาว (White board) 5. เครื่องสเปกโทรโฟโตมิเตอร ใหนักศึกษานําภาพลายเสนการต นู ท่รี ะบายสีไว คนละ 2 แผน ในใบงานคร้ังที่ 1 มาทุกคน โดยนาํ ภาพท่นี าํ มาปฏบิ ตั ิงานดังนี้ 1. วัดคาสีโหมดสี RGB ของภาพท้ัง 2 แผน จํานวน 5 สีๆ ละ 1 ตําแหนง ในจดุ ท่ตี รงกัน ดวยเครือ่ งสเปกโทรโฟโตมเิ ตอร แลวบนั ทึกผล 2. วัดคา สีโหมดสี CMYK ของภาพท้ัง 2 แผน จาํ นวน 5 สๆี ละ 1 ตําแหนง ในจุดเดมิ ทต่ี รงกนั ดว ยเครื่องสเปกโทรโฟโตมิเตอร แลว บันทกึ ผล 3. วดั คา สีโหมดสี L*a*b* ของภาพทง้ั 2 แผน จาํ นวน 5 สีๆ ละ 1 ตาํ แหนง ในจดุ เดมิ ที่ตรงกัน ดวยเคร่ืองสเปกโทรโฟโตมเิ ตอร แลวบนั ทกึ ผล 4. แบงกลมุ ละ 5-7 คน เพ่ือทาํ การอภปิ รายผลของงานทีไ่ ด โดยทําการ เปรยี บเทียบของโหมดสีทั้ง 3 โหมดสี ท่ไี ดจ ากวัดคาสีของระบบสีท่ีไมอ ิง อปุ กรณกบั ระบบสที ี่อิงอปุ กรณ 5. นาํ เสนอความรูทไี่ ดในแตล ะกลุม 6. สรุปผลของการเรียนรู 1. สังเกตพฤติกรรมการมสี วนรว มในการเรยี น 2. ประเมนิ ผลงานที่ไดรบั มอบหมายจากใบงาน 3. ประเมินผลจากการตอบคําถาม/การอภิปรายผล หลกั การของระบบการจดั การสี | 49
ใบงานท่ี 2 การวเิ คราะหระบบสีที่เชอื่ มโยงสขี องอุปกรณใ นการจัดการสี 1. วตั ถุประสงค 1.1 เพ่ือเขา ใจความแตกตางของระบบสีท่ไี ดจากอุปกรณแหลง กําเนิดสีตางๆ 1.2 เพอ่ื วเิ คราะหร ะบบสที ีเ่ ช่ือมโยงสขี องอุปกรณในการจัดการสี 2. วธิ กี ารปฏิบตั ิงาน/มอบหมายงาน 2.1 งานเดย่ี ว วัดคาสโี หมดสี RGB, CMYK, L*a*b* ของภาพท้งั 2 แผน จํานวน 5 สีๆ ละ 1 ตําแหนง ในจุดท่ีตรงกนั ดวยเคร่อื งสเปกโทรโฟโตมเิ ตอร แลว บนั ทกึ ผล 2.2 แบง กลมุ นักศึกษา 5-7 คน อภิปรายผล/วเิ คราะหผ ล 2.3 นาํ เสนอผลงาน/ความรู 2.4 สรปุ ผลของความรเู พือ่ นําความรูไ ปใชตอไป 2.5 มอบหมายงานเพ่ือการคนควา ขอมูลในเรือ่ ง อปุ กรณตางๆ ทใ่ี ชในการนําเขาภาพของ ระบบการจดั การสี สาํ หรบั การเรียนการสอนในครัง้ ตอไป 3. การสงงานและการใหค ะแนน 3.1 ใหนกั ศึกษาสง ทายชวั่ โมง 3.2 ตรวจเชค็ เปนรายบุคคลจากการบนั ทกึ คาสขี อง 3 โหมดสี RGB, CMYK, L*a*b* 3.3 ตรวจเช็คเปน รายกลุม จากการอภิปรายและการนําเสนอ 3.4 การเขา เรียนและใหความรว มมือในกิจกรรมการเรยี นการสอน โหมดสี RGB Color Model L* a* b* Color Model CMYK Color Model สีที่ R G B L a b C M Y K 1 2 3 4 5 50 | ระบบการจดั การสี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388