11.8 uwapl 11.9 ~ o n a x 5 q a Z d -:,I;12~ m a r a a z T ~ d u n ~ 5 ~ ~ u ~ ~ o u u ~ ~ ~ u 12.1 =iJwPdo7 12.2 ~ m p n u u w i u 12.2.1 d afu alfl, ~An n i n i - ~(Bniofoubnn) 12.2.2 i d 7 (Predators) 12.3 % % ~ ~ o u u ? d s u 12.3.1%%nMSX (Multinucteated Sphere Unknown) 12.3.2%%nSSO (Seaside oryanism) 12.3.31 %Bo~namiasis 12.3.4T ~ BDermo 12.3.5 %%nJuvenile Oyster Disease (JODI 12.4 uwa%d 12.5 b ~ f l ~ 1 % ~ 1 9 ~ 9
เอกสารหมายเลข 16 คมู อื ปฏิบตั กิ ารเพาะเลย้ี งสัตวนาํ้ ชายฝง มาโนช ขําเจรญิ สาขาวิชาเทคโนโลยีการประมง คณะวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยีการประมง มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรีวชิ ัย วิทยาเขตตรงั 2555
คาํ นาํ ปจ จุบนั การเพาะเลี้ยงสตั วน าํ้ ชายฝง นับวนั ยง่ิ มีความสาํ คญั เพ่มิ มากขึ้น เนอ่ื งจากประชากร ของประเทศไทย เพิ่มจํานวนขน้ึ เร่อื ยๆ พนื้ ท่ีท่เี คยเปน ทวี่ างเปลา หรือทําการเกษตรปจ จุบันกลับกลายมา เปน ที่ปลูกสรางอาคาร บานเรอื นเพือ่ การอยอู าศยั หรอื เพอื่ ประกอบธรุ กจิ ตางๆ ดงั นน้ั ผเู พาะเลี้ยงสัตว นํ้าจึงตองพยายามหาพน้ื ที่วางเปลาสาํ หรบั การเพาะเลยี้ งสตั วนํ้า บรเิ วณชายฝง หรือในทะเล จึงเปน ทางเลือกหนง่ึ ท่ผี เู พาะเล้ยี งสตั วน ํา้ นาํ มาใชป ระโยชน เชน มกี ารเพาะเล้ียงในบอ ในกระชัง เปนตน ตํารา คูมือปฏิบตั ิการเพาะเลี้ยงสัตวน้ําชายฝง เปนตาํ ราประกอบการเรียน ในหลักสตู รวิทยา ศาสตรบัณฑติ เพาะเลย้ี งสัตวน ้าํ สาขาวชิ าเทคโนโลยีการประมง คณะวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยีการ ประมง มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลศรีวชิ ยั วทิ ยาเขตตรงั ผูเขียนหวงั เปนอยางยงิ่ วา หนงั สือ คูม ือปฏิบัติการเพาะเลีย้ งสัตวน ้ําชายฝง คงจะเปน ประโยชนแ ก ผทู ีส่ นใจ เอกสารเลม นี้อาจมีขอผดิ พลาดบาง ผูเขยี นยนิ ดีรบั คาํ ตชิ มจากผูรูท ง้ั หลายเพ่ือ เปน ขอ มลู ในการพฒั นาปรบั ปรุงเอกสารเลม นีใ้ หดยี ่งิ ขน้ึ ตอ ไป ในการเรยี บเรยี งเอกสารเลมน้ี ผูเ ขยี นขอขอบพระคณุ คณาจารยท กุ ทาน ทไ่ี ดอ บรมส่งั สอน และผูเ ขียนตาํ ราทุกทาน ทขี่ า พเจา นํามาเปน เอกสารอางอิงประกอบการเรียบเรียง มาโนช ขําเจรญิ 2555
สารบญั หนา เรือ่ ง 1 4 บทปฏบิ ตั กิ ารท่ี 1 สํารวจนิเวศวิทยาปา ชายเลนและฟารม เล้ยี งสัตวน ้ําชายฝง บทปฏบิ ตั ิการที่ 2 เคร่อื งมอื และการใชเ คร่ืองมอื ทางวทิ ยาศาสตรที่สําคัญใน 8 10 การเพาะเลี้ยงสตั วน้ําชายฝง บทปฏบิ ตั ิการท่ี 3 การจับ และการขนสง สตั วน าํ้ 14 บทปฏบิ ตั ิการท่ี 4 การคดั แยกและการทําใหเชือ้ บริสทุ ธสิ์ ําหรับการเพาะเล้ยี ง 18 21 แพลงกตอนพืช 24 บทปฏิบัตกิ ารที่ 5 การเพาะเล้ียงแพลงกต อนพชื นา้ํ เคม็ 27 บทปฏบิ ตั ิการท่ี 6 การเพาะเล้ียงโรติเฟอรน ํา้ เค็ม 30 บทปฏบิ ตั กิ ารที่ 7 การเพาะฟกไขอารทีเ่ มยี 34 บทปฏิบัติการท่ี 8 การเพาะพนั ธปุ ลากะพงขาว 37 บทปฏบิ ัตกิ ารที่ 9 การอนุบาลลูกปลากะพงขาว 40 บทปฏิบตั กิ ารท่ี 10 การเลยี้ งปลากะพงขาวในบอดนิ 44 บทปฏิบัตกิ ารที่ 11 การเลี้ยงปลากะรงั ในกระชัง 46 บทปฏิบัตกิ ารที่ 12 การเพาะฟก กงุ ขาววานาไม 48 บทปฏิบัติการที่ 13 การอนบุ าลกงุ ขาววานาไม 50 บทปฏบิ ัตกิ ารท่ี 14 การเลีย้ งกงุ ขาวในบอ ดนิ 53 บทปฏิบตั ิการท่ี 15 การเพาะฟกและอนุบาลปทู ะเล 56 บทปฏิบตั ิการที่ 16 การเลีย้ งปทู ะเล 59 บทปฏบิ ตั กิ ารท่ี 17 การเลี้ยงหอยนางรม 62 บทปฏิบตั ิการที่ 18 การเลย้ี งหอยแมลงภู 65 บทปฏบิ ัตกิ ารที่ 19 การเพาะฟกและอนุบาลหอยหวาน 67 บทปฏิบตั กิ ารท่ี 20 การเลี้ยงหอยหวาน บทปฏิบตั กิ ารท่ี 21 การฟก ไขและอนุบาลหมกึ ทะเล เอกสารอางองิ ภาคผนวก
1 บทปฏบิ ตั กิ ารที่ 1 สาํ รวจนิเวศวทิ ยาปา ชายเลนและฟารมเลย้ี งสตั วนา้ํ ชายฝง บทนํา 1. ปา ชายเลน (mangroves) ปาชายเลน หรอื ปาโกงกาง หมายถึง กลมุ ของสงั คมพชื ซ่ึงข้นึ อยูในเขตนํ้าลงตํ่าสดุ และน้ําขน้ึ สูงสุด บริเวณชายฝงทะเล ปากแมน ํา้ หรืออา ว ซงึ่ มักจะอยดู า นในของหาดเลนขึ้นไป ประเทศไทยมแี นวชายฝง ทะเลยาว ประมาณ 2,600 กโิ ลเมตร มปี าชายเลนประมาณ 37 เปอรเซ็นต ไมในปา จะเปน ไมไมผลดั ใบ พชื พนั ธธุ รรมชาติ มีอยู 12 วงศใ หญๆ แบง เปน ชนดิ ไดประมาณ 50 ชนิด เจรญิ เติบโตกลายเปน ผูผลติ ของระบบนิเวศ และสามารถ ปรบั ตวั เพอ่ื การเจรญิ ในน้าํ เคม็ หรือนํ้าทวมถงึ เปนครงั้ คราวไดเปนอยา งดี แบงการเจรญิ ของพนั ธไุ มออกเปน เขตๆ ไดด ังนี้ 1. ใกลแมนาํ้ มากทส่ี ดุ ไดแก โกงกาง (rhizophora) และจาก (nipa) 2. ไมแ สม (avicennia) และประสกั (brugira) 3. ไมต ะบนู (xylocarpus) อยใู นดนิ เลนแข็ง แตถ าดนิ ไมแ ข็งจะมีพวกฝาด (lumnitzera) 4.ไมเ สม็ด (melaleuca) ขึน้ บนดินเลนทแี่ ข็ง น้ําทะเลทว มถงึ เฉพาะตอนระดับนาํ้ ขน้ึ สงู สดุ ปาเสมด็ จดั เปนเขตเชื่อมตอระหวา งปา ชายเลนกบั ปา บก นอกจากไมย ืนตน แลว ยงั มไี มล ม ลกุ อืน่ ๆอกี หลายชนิด เชน ปรงทอง เหงอื กปลาหมอ กาํ แพงเจด็ ชน้ั และหวายลงิ เปนตน ปาชายเลนแตกตา งจากปา บกอน่ื ๆ คอื ลกั ษณะการถายทอดพลงั งาน โดยหวงโซอ าหารเปนแบบเศษ อินทรยี จากการศึกษาในปาชายเลนของไทยพบวา มสี ัตวเ ลยี้ งลกู ดว ยนมอยปู ระมาณ 35 ชนิด นกมอี ยูประมาณ 42 ชนิด นอกนนั้ มแี มลงตางๆ ซง่ึ ไมน อยกวาปา บกทวั่ ๆ ไป 2.บอเลย้ี งสตั วน า้ํ บอเลี้ยงสัตวน ้ํา หมายถงึ บอ ดิน บอ ซเี มนตหรอื บอไฟเบอรก ลาส การแบง บอเลี้ยงสตั วนาํ้ ตามลกั ษณะการใชประโยชน - บอ เพาะพันธุ (Breeding pond) เปน บอ ทเ่ี ตรยี มใหสัตวนาํ้ ผสมพนั ธุหรอื วางไข - บอ เพาะฟกไข (Hatching pond) หมายถงึ บอ ท่ีใชฟ ก ไขส ัตวน ้าํ หลังจากที่ไขผสมกบั น้าํ เชอื้ แลว บอฟกไขจะมที ง้ั แบบบอดนิ บอซีเมนต หรอื บอ ไฟเบอรก ลาส ขึ้นอยกู บั ชนิดสัตวนาํ้ - บอ อนุบาล (Nursery pond) เปนบอทใ่ี ชเลยี้ งสตั วน้ําวยั ออ น เน่ืองจากสตั วน ้าํ ในระยะนมี้ คี วาม ออ นแอ ตองการความดูแลและความเอาใจใสทีด่ ี
2 - บอ เลย้ี ง (Rearing pond) หมายถึงบอทใี่ ชเ ลีย้ งสตั วน ้าํ ใหมีขนาดตามทีต่ ลาดตองการ บอเลย้ี งจะมี ทงั้ แบบบอดิน บอซเี มนต หรอื บอไฟเบอรก ลาส ขึ้นอยกู บั ชนิดสตั วน า้ํ - บอ จบั (Catching pond) เปนบอขนาดเลก็ ที่อยใู นบอเลยี้ ง พอถงึ ชว งจบั จะมีการปลอ ยนาํ้ ออก ปลา ก็จะมารวมกันในบอ นีซ้ ่ึงจะสะดวกในการจับ - บอ ตกตะกอน (Sedimentation pond) เปนบอ ทีใ่ ชเก็บน้ํา เพือ่ บาํ บดั กอ นจะนําไปใชเ ล้ยี งสตั วน า้ํ เชน การพกั น้ําใหตกตะกอน 2-3 วนั หรอื ในกรณีนํ้าประปาทีม่ ีคลอรนี ตกคา งอยูในนา้ํ - บอ เก็บหรือบอ พกั (Storage or Holding pond) เปนบอเกบ็ หรือพกั สตั วน ้ําทจ่ี ับมาไดจ ากบอ เพอ่ื รอ การจําหนา ย หรอื รอลูกคา มารบั - บอเก็บกกั ลกู สัตวน ํา้ (Stocking pond) เปนบอ สําหรับกักเก็บลกู สัตวน ้ําท่ีจะนาํ ไปเลยี้ งในบอเล้ียง เพ่ือตองการปรับสภาพใหเหมาะสม หรือรอไวกอ นที่บอเล้ยี งจะมคี วามพรอ ม การแบงบอ เลย้ี งสตั วน าํ้ ตามระบบการรับนาํ้ - บอตอ เนอ่ื งตา งระดบั (Barrage dam pond) เปนบอ เลยี้ งสตั วน้าํ ท่ีนาํ้ จากบอ ที่อยรู ะดบั สูง ไหลไปสู บอ เลี้ยงที่อยรู ะดบั ตาํ่ กวา - บอตอเนอ่ื งแบง แยก (Diversion pond) เปน บอท่อี าศยั การสูบนาํ้ หรอื รับน้ําจากแหลง นา้ํ ใกลเ คยี ง เชน แมนาํ้ ลาํ คลอง แลวมกี ารสรางระบบน้ําเขา ออก ดังน้ี - บอ ตอเน่ืองตดิ ตอ กนั (Linked pond) เปนบอทสี่ รา งเปนแถวใหน าํ้ เขา จากบอตน ๆ แลว ไหล ตอ ไปยังบอถดั ไปตามลาํ ดับ - บอ ตอเนื่องแบบขนาน (Parallel pond) เปน ระบบบอท่ีมรี ะบบน้าํ เขา และออกโดยแยกกนั แต ละบอ ภาพท่ี 1 ลกั ษณะของบอตอ เน่ืองแบบตา งๆ (1=บอ ตอเนอื่ งตางระดบั ,2-3=บอตอเน่อื งติดตอ กนั และ 4-5=บอตอ เนอื่ งแบบขนาน) (ท่มี า:Huet,1994)
3 วัตถุประสงค 1. เพอ่ื ใหนักศึกษาบอกชนิดพรรณไม สตั วปา สัตวนาํ้ ทีพ่ บในปา ชายเลน 2. เพื่อใหน กั ศึกษาสามารถทราบสว นประกอบของฟารม เลยี้ งสัตวน ้ําชายฝง อปุ กรณแ ละสารเคมี 1. ดินสอ 2. ยางลบ 3. ไมบ รรทดั 4. ใบรายงานผลการศกึ ษา วธิ กี ารศกึ ษา 1.ใหนกั ศึกษาสํารวจปา ชายเลนซงึ่ เปน สิ่งแวดลอ มบรเิ วณแหลง เล้ยี งสตั วน ้ําชายฝง 2. จดบนั ทึก พรรณไม สัตวน ้ํา สัตวป า ท่ีพบในปา ชายเลน ลงในใบรายงาน 3. สาํ รวจฟารมเลย้ี งกงุ ทะเล ฟารม เลย้ี งปลาทะเล และโรงเพาะฟก น้าํ กรอ ย และวาดแผนผงั ฟารม และ รายละเอยี ดสว นประกอบของฟารม ลงในกระดาษวาดภาพ
4 บทปฏบิ ัติการท่ี 2 เคร่อื งมอื และการใชเ ครอ่ื งมอื ทางวทิ ยาศาสตรทีส่ ําคญั ในการเพาะเลยี้ งสัตวน้ําชายฝง บทนํา เครอื่ งวดั ความเค็ม reflecto-salinometer เปนการวดั ดชั นกี ารหกั เหของแสงของของเหลวทบ่ี รรจใุ นเครื่องมอื ทใ่ี ชท เ่ี รยี กวา reflecto- salinometer คาความเคม็ ท่วี ดั ดวยวธิ ีนใี้ หค วามละเอียด +1 ถึง +2 สว นในพนั สว น (กรมควบคุมมลพิษ และ สมาคมวิศวกรสิง่ แวดลอ มแหง ประเทศไทย, 2541) เนื่องจากการหกั เหของแสงในตัวกลางหนง่ึ ๆ ข้นึ กบั คา อณุ หภมู ิ ดงั นนั้ จึงไมควรวางเครอ่ื งมอื ในที่ ทีม่ อี ณุ หภมู ิสงู หรือต่ําเกนิ ไป เชน วางตากแดด เปนตน การวัดความเคม็ ดว ย reflecto-salinometer ภาพที่ 2 เคร่ืองวดั ความเคม็ reflecto-salinometer แผนวงกลมขาวดาํ secchi disc เปนการวัดความโปรงแสงของนํ้า ระยะความลึกของนํ้าที่สามารถมองเห็นวัตถุซ่ึงเปนแผนวงกลม (Secchi disk) ที่หยอนลงไปในน้ํา จนถึงระดับที่มองไมเห็นแผนวัตถุดังกลาว หากแหลงน้ํามีความโปรงแสงอยู ระหวาง 30 – 60 เซนติเมตร นับวามีความเหมาะสมตอการเจริญเติบโตของสัตวนํ้า ถามีมากกวา 60 เซนติเมตร แสดงวาแหลงน้ําน้ันขาดความอุดมสมบูรณ ถา มีคา นอ ยกวา 30 เซนติเมตร แสดงวามีความขุนมากหรือมีปริมาณ แพลงกต อนมากเกินไปไมเ หมาะสมสาํ หรบั การเลี้ยงสัตวน ํ้า
5 ภาพท่ี 3 แผนวงกลมขาวดาํ (Secchi disc) กลอ งจลุ ทรรศนแ บบประกอบ ( compound microscope) กลองชนิดน้ีอาจเรียกวา กลองจุลทรรศน กําลังขยายสูง เปนกลองที่สามารถมองสิ่งมีชีวิตท่ีไม สามารถมองเห็นดวยตาเปลาได หรือสามารถใชในการจําแนกชนิดของแพลงกตอนและนับจํานวนแพลงกตอน ในเวลาเดียวกัน ชุดเลนสใกลวัตถุ มีกําลังขยาย 10 เทา หรือ 12.5 เทา เลนสวัตถุมีกําลังขยาย 10, 20, 40 และ 100 เทา กลองจุลทรรศนกาํ ลงั ขยายตํา่ หรือกลอ งสเตริโอ ( Stereoscopic microscope) นิยมใชด ตู วั อยางขนาดใหญ เพราะมีกําลังขยายระดบั ต่ําจนไปถึงระดบั ปานกลาง เสมือนเปนตัวเชื่อม ระหวา งเลนสม ือถอื (hand lens) และกลองกําลังขยายสงู เชน กลอ งจุลทรรศนแบบประกอบ โดยมีเลนสตาขยาย 10 เทา หรอื 15 เทา กาํ ลังขยายเลนสวัตถุ 1 เทา จนถึง 8 เทา วตั ถุประสงค 1. เพอ่ื ใหนักศึกษารูจกั เครอื่ งมือทางวทิ ยาศาสตรท ่ีสาํ คญั ทใ่ี ชใ นการเพาะเลยี้ งสตั วน ํ้าชายฝง 2. เพือ่ ใหนักศกึ ษามที กั ษะในการใชเ ครอ่ื งมอื ทางวทิ ยาศาสตรทส่ี าํ คัญในการเพาะเลยี้ งสตั วน า้ํ ชายฝง อปุ กรณแ ละสารเคมี 1.เครอื่ งมือวัดความเคม็ reflecto-salinometer 2.กระดานขาวดํา secchi disc 3.กลองจลุ ทรรศนแ บบประกอบ compound microscope 4.กลองจลุ ทรรศนก ําลังขยายตาํ่ หรอื กลองสเตรโิ อ Stereoscopic microscope 5.สไลด
6 6.จานเพาะเลยี้ งเช้อื 7.cover slide 8.ตัวอยา งแพลงกตอนพชื 9.ตวั อยางแพลงกต อนสัตว วธิ กี ารศกึ ษา เครอื่ งวดั ความเคม็ reflecto-salinometer 1 ตรวจสอบสเกล (scale) ของเคร่ืองวดั ใหอ ยทู รี่ ะดบั 0 โดยครง้ั แรกหยดนํ้ากล่ันลงบนแผน ปรซิ ึมเพื่อลาง ความเคม็ ท่อี าจตกคางอยู เสร็จแลว หยดน้าํ กล่นั ลงไปบนแผน ปรซิ มึ อีกครงั้ 2. ปด แผน ทาบปรซิ มึ ยกเครอ่ื งวดั ขึน้ สองไปยังบรเิ วณท่มี แี สงสวา ง ถา สเกลของเครอ่ื งวดั ไมอ ยทู ่ีระดับ 0 ปรบั ปุม ปรับความเคม็ ทอ่ี ยดู า นบนเพื่อใหเ คร่ืองอานคา ความเค็มไดเ ทากับ 0 ppt 3. เปดแผน ทาบปริซึมแลว ใชก ระดาษหรือผา นมุ ๆ เชด็ นํ้าทเี่ หลอื ออก แลว หยดน้าํ ตัวอยางท่ีตอ งการวดั ลง ไปบนปริซมึ ปดแผน ทาบปริซึม อา นคาทว่ี ดั ไดโ ดยยกเครอ่ื งวดั ข้นึ สองไปยงั บริเวณทมี่ แี สงสวา งบันทกึ ผล 4. เมือ่ วดั ตัวอยา งเสรจ็ แลว ใหหยดนาํ้ กลน่ั ลงบนแผนปริซมึ อีกคร้งั หน่งึ เพอ่ื ทําความสะอาดกอ นเกบ็ เขาท่ี แผนวงกลมขาวดาํ secchi disc 1.นาํ แผน วงกลมขาวดาํ หยอ นลงไปในบอ เลย้ี งสัตวน ํ้าที่ตองการวดั ความโปรงใส 2. หยอ นแผน วงกลมขาวดําจนไปถงึ ระดับท่ีสายตามองเห็นเลอื นลาง 3.ดงึ แผน วงกลมขาวดาํ ข้ึนมาวัดความยาวจากตวั แผนวงกลมขาวดาํ ไปตามเสนเชอื กถงึ ระดบั ผิวนํา้ ทีไ่ ดท ํา เครื่องหมายไว บันทกึ ผล กลอ งจลุ ทรรศนแบบประกอบ ( compound microscope) 1.ทําการเรียนรูเกี่ยวกับสวนประกอบ ของกลองจุลทรรศน วิธีการขนยายกลอง การเปดปดกลองจุลทรร อยางถูกวธิ 2.นํานํ้าตัวอยางท่มี แี พลงกต อนพชื โดยใชห ลอดหยดดูด หยดลงบนสไลด1-2 หยด ใชแผนปดสไลดปดบน ตัวอยา ง 3 นําไปวางบนแทนวางตัวอยาง หลังจากน้ันใชเลนดใกลวัตถุ โดยเร่ิมจากกําลังขยายตํ่าสุด จนไปถึง กําลังขยายสงู สุด ซง่ึ ตอ ง ใชน า้ํ มนั หยดลงบนสไลดกอนการดกู ลองจุลทรรศน 4.ทําการปรับภาพความคมชัดดวยลอปรับหยาบและลอปรับละเอียด หลังจากน้ันวาดรปู แพลงกตอนพืชท่ี พบลงในใบรายงาน 5.ปดสวิทกลองจุลทรรศนแ ละเก็บอยางถูกวธิ ี
7 กลองจลุ ทรรศนกาํ ลงั ขยายต่ําหรอื กลอ งสเตรโิ อ ( Stereoscopic microscope) 1.ทําการเรียนรูเกี่ยวกับสวนประกอบ ของกลองจุลทรรศน วิธีการขนยายกลอง การเปดปดกลองจุลทรร อยา งถกู วธิ 2.นําน้าํ ตัวอยางที่มแี พลงกต อนสตั ว ใสใ นจานเพาะเล้ียงเช้ือประมาณ 10-20 ml. 3 นําไปวางบนแทนวางตัวอยาง ปรับภาพความคมชัดดวยลอปรับหยาบและลอปรับละเอียด หลังจากน้ัน วาดภาพแพลงกต อนสตั วทีพ่ บลงในใบรายงาน 5.ปด สวทิ กลองจลุ ทรรศนแ ละเก็บอยา งถกู วธิ ี
8 บทปฏบิ ตั ิการท่ี 3 การจับ และการขนสงสัตวน ้ํา บทนํา การจบั สัตวน ํ้า การจับสตั วนาํ้ มีหลายวธิ ี ควรเลือกใชว ธิ ีทเ่ี หมาะสมกบั ประเภทของสัตวนาํ้ ซง่ึ มวี ิธีการจบั ดงั นี้ 1.สวิง สว นใหญใ ชก บั สัตวน ้ําทีเ่ ล้ยี งในบอขนาดเลก็ หรือในกระชัง สวิงท่ีใชมีหลายขนาด มีท้ังรูปทรงกลม และสีเ่ หล่ยี ม ทาํ จากเนือ้ อวนทไ่ี มมีปมเพื่อไมใหส ตั วน้ําบาดเจ็บขณะจบั สัตวนํ้า 2. อวนทบั ตล่ิงหรืออวนลอมจบั เปนการจับสตั วนํา้ เพ่อื การคดั ขนาด ความกวางของตาอวนจึงมีหลายขนาด เพ่อื จับสัตวนํ้าใหไ ดต ามขนาดท่ีตอ งการ และสัตวนํา้ ขนาดเล็กไมบ อบชาํ้ 3.การสูบน้ําแหงหรือการปลอยนํ้าออกจากบอใหแหง เปนวิธีการจับสัตวนํ้าท่ีมีอยูในบอทั้งหมด หรือเปน การเตรยี มบอ เพือ่ เลย้ี งในรุนตอไป การขนสงสตั วน ํา้ การขนสง สัตวน ํา้ มชี ีวิตมี 2 แบบ คอื 1.ระบบเปด หมายถึง การขนสงสัตวน้ํามีชีวิต หรือไขสัตวนํ้า ที่ไดรับการผสมแลว โดยบรรจุในภาชนะ ตางๆ เชน กะละมัง ถัง ลัง หรือภาชนะอื่นๆ ท่ีไมไดปดมิดชิด ซึ่งอาจมีการใหออกซิเจนเพ่ิมเติม หรือไมก็ได แลว แตความเหมาะสม บางกรณีใชวิธีลากกระชังไปตามลาํ นํา้ 2. ระบบปด หมายถึง การขนสง สตั วน ้าํ มีชีวติ หรอื ไขส ตั วน ้ํา ทไี่ ดร บั การผสมแลว โดยบรรจุในภาชนะที่ ปดมิดชิด มีปริมาณน้ํา และออกซิเจนที่ใสเพ่ิมเติมลงไป อยูในระดับที่เพียงพอ ซึ่งปจจุบันการขนสงในระบบนี้ นิยมใชถ ุงพลาสติกอดั ออกซิเจน ผูกหรอื รดั ปากถงุ ใหแ นน การเตรยี มการขนสง 1.การจับสัตวนํ้าเพื่อการขนสง ตองทําอยางระมัดระวัง เพื่อปองกันไมใหสัตวน้ําไดรับความบอบชํ้า เกิด บาดแผลหรอื ออ นเพลยี 2. ขังปลาไวประมาณ 2-3 วัน กอนการขนสง โดยใหน้ําสะอาดไหลผาน เพ่ือขจัดดิน หรือโคลนท่ีติดอยู ตามตัว เหงอื กสัตวนาํ้ และเพอื่ รอเวลาใหอาหารและของเสียทอ่ี ยูใ นระบบทางเดินอาหารถูกขบั ออกไป 3. ควรงดอาหารกอนการขนสง 1-2 วนั เพือ่ ปอ งกันไมใหสตั วนํ้าขับถา ยของเสยี ขณะขนสง 4. ไมค วรขนสง ปลาทอ่ี อนแอ มบี าดแผล บอบช้ํา หรอื เปนโรค 5. การยกหรอื ขนยา ยภาชนะบรรจุ ควรทาํ อยา งระมัดระวงั
9 วัตถุประสงค 1.เพอื่ ใหน ักศษึ ามีทักษะเกี่ยวกบั การเตรียมปลากอนการขนสง 2.เพ่อื ใหนกั ศึกษามีทกั ษะเก่ียวกับการขนสงแบบปด อปุ กรณและสารเคมี 1.อวนทบั ตลิง่ 2.สวิง 3.ถงั ขนยายปลา 4.ลกู ปลากะพงขาว 5.ถงุ พลาสติกขนาดความจุ 20 ลิตร 6.ยางเสน 7.ถงั เกบ็ ออกซิเจน 8.ยาเหลือง วธิ กี ารศึกษา การเตรียมลกู ปลาเพ่ือการขนสง 1.ลดนาํ้ บออนบุ าลลกู ปลากะพงขาวลงครงึ่ บอ 2.ใชอวนทบั ตลงิ่ ลากในบออนบุ าลลกู ปลาอยางระมัดระวงั เพื่อไมใ หลกู ปลาบอบชาํ้ 3. นําลกู ปลามาพักในบอซิเมนตในโรงเพาะฟกสตั วนา้ํ กรอยพรอ มทงั้ ใหแ อรปมตลอด 4.ไมตอ งใหอ าหารลกู ปลาเปน เวลา 1 วนั เพอื่ รอการบรรจุถุงตอ ไป การขนสง แบบปด 1.ใชถุงพลาสตกิ ขนาดจุนํา้ 20 ลติ ร 2.มดั มุมถุงเพื่อไมใ หเกดิ มมุ อับในถงุ ชน้ั ใน 3. เติมน้าํ ในถุง 1 ใน 4 หรอื 1 ใน 3 ของถงุ พรองทั้งใสย าเหลืองเพอื่ ใชฆ า เช้ือ 10 ppm. 4. นบั จํานวนลกู ปลาใสใ นถุงพลาสติกและทําการไลอ ากาศออกใหหมด 5. เติมออกซิเจนในถุงใหแนน 6. ทาํ การหมุนปากถุงใหเปน เกลียวจนเขา เปน รูปกนหอย และ มดั ปากถุงดวยยางเสน
10 บทปฏบิ ตั กิ ารที่ 4 การคดั แยกและการทําใหเช้ือบรสิ ทุ ธส์ิ าํ หรับการเพาะเลย้ี งแพลงกตอนพชื บทนํา การแยกเชือ้ (Isolation) การคัดแยกแพลงกตอนพืช เปนวิธีการคัดแพลงกตอนพืชเซลลเดียวจากนํ้าทะเลธรรมชาติซ่ึงมี ปะปนกันอยูหลายชนิดเพ่ือใหไดชนิดท่ีตองการ และทนตอสภาพแวดลอม ในการเพาะเล้ียงในหองปฏิบัติการ เทคนิคหลกั ๆ ในการแยกเชอื้ แพลงกต อนมดี วยกัน 3 วิธี ดงั นี้ 1. เทคนิคการลางเซลลดวยไมโครปเปต(Micropipette washing) เปนวิธีการแยกเช้ือท่ีใหที่สุด เหมาะสําหรับการแยกเชอ้ื สาหรายขนาดเล็กซ่ึงตองอาศัยดูดวยกลอ งจุลทรรศนและจําเปนตองอาศัยปเปตขนาด เลก็ (Micropipette) ดดู สาหรา ยทีละเซลลห รือจาํ นวนเซลลไ มมากนกั แลว ลา งดว ยนาํ้ กลั่นหลายๆคร้ัง 2.เทคนิคอะตอมไมเซอร(Atomizer technique) เปนวิธีคอนขางงายซ่ึงวีเดอรแมน และคณะ ได พัฒนาข้ึนมาใชเมื่อป พศ.1964 เทคนิคนี้สามารถใชท้ังการแยกเชื้อและการทําใหเช้ือบริสุทธ์ิ ลางสาหราย จาํ นวน 8-9 มลิ ลลิ ติ รดว ยวิธกี ารปน ใหต กตะกอน 3.การเลือกใชส ตู รอาหาร(Selective media) เปนวธิ ที ่ีเหมาะกับสาหรายขนาดใหญ ทําโดยการเลือก ช้ินสวนสาหรายท่ีตองการเลี้ยง ทําการขจัดสิ่งมีชีวิตท่ีเกาะบนเสนสาหรายออกใหหมด ใสตัวอยางสาหรายใน ภาชนะทีม่ สี ารอาหารผสมดวยเจอมาเนียมไดออกไซด 10 มิลลกิ รัม/ลิตร นอกจากน้ียงั มเี ทคนิคอน่ื ๆ อกี ที่ไดพ ัฒนาหรือดัดเปลง ดังน้ี 4. การเพาะบนอาหารวุน(Agar pour plate)โดยผสมตัวอยางน้ําเล็กนอยกับอาหารวุน ซ่ึงเจือจางยัง ไมแข็งตัวดีนัก เขยาใหเขากันดี เทอาหารวุนลงบนจานแกว ทิ้งไวจนวุนแข็งตัว ภายใน 5-7วันจะมีสาหรายขึ้น บนอาหารวุน ใชม ีดทีส่ ะ อาดตัดวุนเปนชน้ิ เลก็ ๆนําไปเลย้ี งในหลอดแกว ที่มีสารละลายอาหาร 5.ดุลยภาพทางออสโมติก(Osmotic balance)เปนวิธีอาศัยดุลยภาพออสโมติกของสาหรายในการ แยกชนิด โดยการลางสาหรายดวยสารละลายละลายเกลือที่มีความเขมขนทางออสโมติกตางกันสลับกับลาง ตัวอยางในนํา้ กล่ันหลายครงั้ 6.โครงสรางของการสืบพันธุ(Reproductive structures)เปนวิธีที่อาศัยโครงสรางการสืบพันธุของ สาหรา ยไดแก สปอร ซสิ ต เตตราสปอร และอ่นื ๆ เพอ่ื ใชป ระโยชนในการแยกเช้อื สาหรายเพ่ือทาํ เช้ือสาหรายให บริสุทธ์ิ
11 ภาพที่ 3 การแยกเช้อื ดวยเทคนิคการลางเซลลด วยไมโครปเปต (ก) การทาํ ไมโครปเ ปต (ข) การดดู เซลลจากจานแกว (ทีม่ า:ลัดดา, 2540) การทําใหเชอื้ สาหรายบรสิ ุทธ(ิ์ Purification) เมือ่ ไดเ ช้ือสาหรา ยที่มสี าหรายชนิดเดียวซ่ึงเติบโตดแี ลว ขั้นตอ ไปเปนการทาํ ใหสาหรายปลอด จากเช้อื เชน แบคทีเรยี ซงึ่ เรยี กวาaxenic cultureมวี ิธที ําดงั ตอไปนี้ 1.การลา งดว ยเทคนคิ การปน ใหต กตะกอน(Washing by centrifugating technique) การแยกเชื้อ แบคทีเรยี ออกจากสาหรายสามารถทําไดดว ยการปน ใหตกตะกอนแลวลา งดว ยสารละลายทผี่ านการฆาเชอื้ แลว 2.เทคนิคทางปฏชิ ีวนะ(Antibiotics technique) ยาปฎชิ ีวนะไดแก เพนนิซลิ นิ สเตรพโตมัยซิน เตตรา ซัยคลนิ กานามยั ซนิ และอนื่ ๆ ใชในการฆาเชอื้ แบคทเี รียทีป่ นอยใู นอาหารเลย้ี งสาหรา ยได แตต อ งใชในปริมาณ ที่พอเหมาะ 3.เทคนคิ การใชแสงอุลตรา ไวโอเลต(UV Light technique) ใชแ สงอุลตรา ไวโอเลตมาใชกาํ จดั แบคทเี รยี เนื่องจากสาหรายสว นมากมีความทนทานตอ แสงชนดิ น้ี เทคนคิ แบบนี้เหมาะอยางยงิ่ กบั สาหรา ยชนิดท่ี มเี มือกหนาๆ หมุ เซลล
12 4.เทคนคิ การกรอง(Filter technique) ใชเครื่องกรองชนดิ มิลลพิ อร หรอื membrane filter)แยก สาหรา ยชนดิ เสนออกจากแบคทเี รีย วตั ถุประสงค 1. เพ่อื ใหนกั ศึกษามีทกั ษะในการแยกเชื้อแพลงกต อนพชื ทีใ่ ชอ นบุ าลสัตวน้าํ กรอ ย 2. เพอื่ ใหน กั ศึกษามีทกั ษะในการทาํ ใหเชอ้ื แพลงกต อนบรสิ ุทธ์ิ อปุ กรณแ ละสารเคมี 1.หลอดแกว capillary pipette 2.forcep 3.หมอ นงึ่ ฆาเชือ้ 4.หลอดทดลอง 5.อาหารเล้ยี งเชอ้ื 6.จานเพาะเลยี้ งเชื้อ 7.อาหารเหลวสูตร คอนเวยแ ละวันเน 8.กลองจลุ ทรรศน 9.ปเ ปต 10.Loop วธิ กี ารศกึ ษา การแยกเช้ือแพลงกตอนพืช 1.รวบรวมแพลงกต อนจากทะเลนาํ มาสองดดู ว ยกลอ งจลุ ทรรศนเ พื่อหาชนดิ ของแพลงกต อนพืชทีต่ องการ 2.ใชหลอดแกว capillary pipette เผาไฟแลว ดึงปลายใหเ รียวแหลม หกั ปลายเพือ่ ใชส าํ หรับดดู เซลลแ พลงก ตอนทต่ี องการเพียงเซลลเ ดียว 3.นาํ เซลลท่ีไดม าลา งในน้าํ เลีย้ งท่ีนึ่งฆา เชอื้ แลว บนสไลดก ระจกเพือ่ ลางสงิ่ สกปรกออก ทําซาํ้ หลาย ๆ ครั้ง แลว จึงนาํ เซลลท ีไ่ ดใ สใ นหลอดแกวทม่ี นี าํ้ เลย้ี งแพลงกต อนพชื จํานวน 1 หลอดตอ 1 เซลล 4.นาํ ไปตั้งไวท แี่ สงประมาณ 3,000 ลกั ซ และอณุ หภูมิประมาณ 25 องศาเซลเซยี ส แพลงกต อนจะเพิ่ม จํานวนขึน้ สงั เกตจากสที เี่ กดิ ข้ึน
13 การทําใหเชอ้ื สาหรา ยบรสิ ทุ ธ์ิ 1.เตรยี มวนุ 1.5-2.0 กรมั ผสมกับนาํ้ ทะเลทเ่ี ตรยี มไว 100 มิลลลิ ติ ร โดยใหความรอ นจนวุนละลาย นาํ ไปฆา เช้อื ดวยหมอ นึง่ ความดนั ทรี่ ะดบั อณุ หภมู ิ 120 องศาเซลเซยี ส ความดนั 15 ปอนดต อตารางนว้ิ นาน 15 นาที ทง้ิ ไวพออนุ อยา ใหเ ยน็ จนวนุ แข็งตวั 2.นาํ ไปเตมิ สูตรอาหารของคอนเวย และวลั เน อัตราสวน 2 มิลลลิ ติ ร ตอ วนุ 1 ลติ ร ผสมกนั แลว เทวนุ ใส จานแกว ประมาณ 2/3 ของจานแกว พอวนุ แขง็ ตัว ใหว างจานแกวควาํ่ ลงรอจนไมมลี ะอองนํ้า 3.ใชป เปตทีป่ ลอดเช้อื ดูดแพลงกต อนจากการแยกเช้ือมาหยดลงบนวนุ 1 หยด แลว ใช loop ท่ฆี าเช้ือแลว แตะแพลงกตอนทห่ี ยด ลากกลับไปกลับมา 4. นําจานวุนไปวางที่มีแสงในหอ งปฏบิ ตั กิ าร รอจนกระทั่งสังเกตเหน็ เปนจดุ สขี องแพลงกตอนขึน้ เลือก โคโลนเี ดยี่ วไปตรวจดว ยกลอ งจุลทรรศน 5. หากเปน ชนดิ ที่ตอ งการใช loop แตะโคโลนนี น้ั ไปลากบนวุนชดุ ใหม และรอใหเ จรญิ เตบิ โตขน้ึ อีก ทาํ ซา้ํ จนไมพ บแบคทีเรยี หรอื ราขึน้ ในวุนเลย จงึ นําเช้อื ทไ่ี ดไ ปใชใ นการเพาะและขยายพนั ธตุ อ ไป
14 บทปฏบิ ตั ิการท่ี 5 การ เพาะเลีย้ งแพลงกต อนพชื นํ้าเคม็ บทนํา ชนดิ ของแพลงกต อนพชื ทนี่ ยิ มเล้ียงเพอื่ อนบุ าลลกู สตั วน ํ้าในปจจุบนั แพลงกตอนทีม่ อี ยใู นทะเลจะมีความสาํ คัญตอสัตวน ํ้าวยั ออน เชน ลกู กงุ ลกู ปลาและลกู หอย เปน ตน เน่ืองจากลกู สัตวน ้าํ วัยออนจะดํารงชวี ติ โดยการกนิ แพลงกต อนพชื เปน อาหาร เปน ท่ี ยอมรบั กันวาแพลงกตอนพชื เปน อาหารทมี่ คี ุณคาทางโภชนาการสงู ทเ่ี หมาะสมกบั สัตวน าํ้ วัยออน ใน ปจจบุ นั การเพาะเล้ยี งสัตวน ํา้ มีเพมิ่ มากขึน้ ฉะนน้ั เพอื่ ใหม ีแพลงกต อนพชื เพยี งพอกบั ความตองการทาํ ใหตอ งมกี ารเพาะเลี้ยงแพลงกตอนพชื ขน้ึ หลายชนดิ แพลงกต อนพืชท่มี ีการเพาะเล้ยี งและมีความสําคญั ตอสัตวน้าํ วยั ออนไดแ ก. คลอเรลลา (Chlorella sp.) เตตราเซลมิส (Tetraselmis sp.)ไอโซไครซสิ (Isochrysis sp.) คโี ตเซอรอส (Chaetoceros sp.) สเกลโี ตนมี า (Skeletonema sp.) การเตรยี มนาํ้ การเตรยี มนา้ํ ทะเลใชสาํ หรับหองปฏบิ ัตกิ าร นําน้าํ ทะเลมาปรบั ความเคม็ ใหม คี วามเคม็ อยใู นชว ง ท่เี หมาะสม 25-28 ppt หลงั จากนนั้ นาํ นํ้าทะเลมากรองดว ยถงุ กรองขนาดตา 20 ไมครอน กรองจนนํา้ สะอาด นาํ นํ้าทะเลใสในภาชนะเครื่องแกว เชน ขวดรปู ชมพู ปด ดวยกระดาษตะกว่ั นําไปฆาเชื้อดว ยหมอ นึ่งความดัน 15 ปอนด/ตารางนวิ้ ท่อี ุณหภูมิ 121OC เปนระยะเวลานาน 15 นาที ทิ้งไวใ หเยน็ นาํ ไปใชตอไป การเตรยี มนํ้าทะเลใชสําหรบั ขยายปรมิ าณมาก (mass culture) น้าํ ทะเลท่ใี ชสาํ หรบั การเพาะเลยี้ งแพลงกต อนพชื ในปรมิ าณมาก สามารถใชน ้าํ ทะเลทผี่ านการฆา เชือ้ ดว ยแสงอลั ตราไวโอเลต (UV) การตมหรือการฆา เชอื้ ดวยคลอรนี ทรี่ ะดับความเขมขน 25-30 ppm (สวน ในลาน) แลว ใหอ ากาศจนกวา คลอรนี สลายหมดไป สูตรอาหาร 3.1 สูตรอาหารสําหรบั การเพาะเลย้ี งในหอ งปฏิบตั ิการ - สูตรอาหารของคอนเวยห รือวัลเน (Conway Medium หรือ Walne) สารละลายสว นที่ 1 -โซเดยี มไนเตรท (NaNO 3) 200.00 กรัม -โซเดยี มอีดที เี อ (Na2EDTA) 90.00 กรมั
15 - กรดบอรคิ (H3BO3) 67.20 กรัม -โมโนโซเดยี มไฮโดรเจนออรโ ธฟอสเฟต (NaH2PO4.H2O) 20.00 กรมั กรัม -เฟอรร กิ คลอไรด (FeCl3.6H2O) 2.60 กรัม มลิ ลลิ ติ ร -แมงกานสี คลอไรด (MnCl2.4H2O) 0.72 -สารละลายสตู ร A (สารประกอบโลหะปรมิ าณนอ ย) 2 -สารละลายสูตร B (สารประกอบซลิ เิ กต) 2 มิลลลิ ิตร เติมนา้ํ กลั่นจนไดป ริมาตร 2 ลิตร ใชสารละลายทเี่ ตรยี มได 1 มิลลลิ ิตร ใสในนํา้ ความเคม็ 25 พพี ที ี อบฆา เช้อื และทงิ้ ไวใ หเย็น ปรมิ าตร 1 ลติ ร แลว เติมสารละลายวติ ามนิ ลงไป 0.1 มิลลลิ ิตร (ตอ งเติมสารละลายลงในนาํ้ ทอ่ี ณุ หภมู หิ องเพอื่ ไมใ หว ติ ามนิ สลายตวั เพราะโดนความรอน) สารละลายสูตร A ประกอบดว ย - ซงิ คคลอไรด (ZnCl2) 2.10 กรมั - โคบอลทคลอไรด 6 ไฮเดรต (CoCl2.6H2O) 2.00 กรมั - แอมโมเนยี โมลบิ เดท 4 ไฮเดรต ((NH4)6Mo7O2.4H2O) 0.90 กรมั - คอปเปอรซลั เฟต (CuSO4.5H2O) 2.00 กรมั เตมิ นํา้ กลนั่ จนไดป รมิ าตร 100 มิลลลิ ิตร สารละลายสตู ร B ประกอบดว ย - โซเดียมเมตาซลิ เิ กต 9 – ไฮเดรต (Na2SiO3.9H2O) 15.00 กรัม เตมิ นํ้ากลัน่ จนไดปรมิ าตร 1 ลิตร สารละลายวติ ามิน ประกอบดว ย - วิตามินบี 1 (Vitamin B1) 200 มลิ ลกิ รมั - วิตามินบี 12 (Vitamin B12) 10 มลิ ลกิ รัม เติมนํ้ากลั่นจนไดปริมาตร 1 ลิตร 3.2 สตู รอาหารสําหรบั การเพาะเลย้ี งในปริมาณมาก (mass culture) - สูตรของซาโตะ และซาริกาวา (Sato and Serikawa Medium) นิยมใชส ําหรบั การเพาะเลยี้ งสาหราย กลมุ ไดอะตอม - โปแตสเซียมไนเตรท (KNO3) 100.0 กรัม
16 - ไดโซเดยี มไฮโดรเจนออรโ ธฟอสเฟต (Na2HPO4) 10.0 กรมั - โซเดยี มเมตาซิลิเกต 9 – ไฮเดรต (Na2SiO3.9H2O) 5.0 กรัม - เฟอรกิ คลอไรด (FeCl3) 2.5 กรมั ใชนา้ํ ทะเลปรมิ าตร 1 ลูกบาศกเ มตร 100.00 กรัม - สตู รสาํ หรบั การเพาะเลย้ี งสาหรา ยสีเขยี ว 15.00 กรัม 5.00 กรัม - แอมโมเนยี มซลั เฟต ((NH4)2SO4) - แคลเซียมซูปเปอรฟอสเฟต (16-20-0) - ยูเรยี (CO(NH2)2) ใชน ํา้ ทะเลปรมิ าตร 1 ลกู บาศกเ มตร วตั ถุประสงค 1. เพอ่ื ใหน ักศกึ ษามีทกั ษะในการขยายแพลงกตอนในหองปฏบิ ัตกิ าร 2. เพือ่ ใหนกั ศึกษามีทกั ษะในการขยายแพลงกตอนนอกหองปฏบิ ตั ิการ อปุ กรณแ ละสารเคมี 1.ขวดรปู ชมพปู รมิ าตร 1,000 ml. 2.หมอนงึ่ ความดนั 3.สตู รอาหารเหลวคอนเวยแ ละวันเน 4.หวั เช้ือไดอะตอม 5.สตู รอาหารเหลวซาโตะ และซารกิ าวา 6.ถงั ไฟเบอรปริมาตรความจุ 1 ตัน วธิ กี ารศกึ ษา การขยายแพลงกต อนในหองปฏบิ ัติการ 1. ใสนาํ้ ทะเลทผ่ี านการกรองความเค็ม 25-28 ppt ในภาชนะปริมาตร 900 มิลลิลิตร ปดดว ยกระดาษตะกว่ั นาํ ไปฆา เชอื้ ดว ย หมอ น่ึงความดนั (autoclave) ท่ีระดับความดนั 15 ปอนตต อ ตารางน้วิ ท่ีอณุ หภมู ิ 121 องศา เซลเซยี ส เปน ระยะเวลา 15 นาที 2. รอจนกวาอณุ หภูมแิ ละความดนั ลดลงปกติ นาํ ออกมาจากหมอ นง่ึ ความดนั เติมสารอาหารสตู รคอนเวย และวลั เน 1 มิลลลิ ิตร/ลติ ร และเติมหวั เชื้อแพลงกตอน 100 มลิ ลลิ ติ ร
17 3 นําไปใหอ ากาศและวางที่มแี สงประมาณ 3,000-5,000 ลกั ซ อุณหภมู ิ 22-26 องศาเซลเซยี ส เปน ระยะเวลาประมาณ 3 วัน แพลงกต อนกจ็ ะขยายเตม็ ภาชนะ จงึ นาํ แพลงกตอนทีไ่ ดไปขยายใหมปี ริมาณมาก ตอ ไป การขยายแพลงกตอนในปรมิ าณมาก 1. เตรยี มนาํ้ ทะเลทส่ี ะอาดผา นการกรอง และการฆาเชื้อแลว ความเค็มอยูระหวาง 25-28 ppt (สว นในพัน) 2. เตมิ ปุย ใชส ูตรอาหารซาโตะและซาริกาวา เตมิ แพลงกต อนในอตั ราสว น 1:50 ใหอากาศ และตงั้ ทิ้งไวใ น ทีม่ ีแสงนาน 3-5 วัน จึงนาํ ไปใชงาน
18 บทปฏบิ ตั ิการที่ 6 การเพาะเลี้ยงโรติเฟอรน ํา้ เคม็ บทนํา โรตเิ ฟอรเ ปน แพลงกต อนสัตวใ นไฟลมั Rotifera ชนิดโรตเิ ฟอรทนี่ ยิ มเลยี้ งมี 1 ชนดิ คือ Brachionus plicatilis Mueller (นํ้ากรอ ย-น้ําเค็ม) ซง่ึ เปน อาหารทีเ่ หมาะอยางย่งิ สาํ หรับอนบุ าลลกู สตั วน้ํา เชน ลกู กุงทะเลในระยะไมซิส โรติเฟอรแ พรพนั ธุไ ดร วดเรว็ ดวยวธิ ีสืบพันธแุ บบไมม เี พศทเ่ี รยี กวา พารเธโนเจเนซิส โดยจะมีไข 1-2 ฟอง (ขนาดกวา ง 80-100 ไมครอน ยาว 110-130 ไมครอน) ไขนจ้ี ะฟก เปน โรตเิ ฟอรเ พศเมีย (amictic females) ซ่ึงจะเจรญิ เปน ตวั เต็มวัย และจะสืบพันธแุ บบไมมเี พศไดเ พียงอยา งเดยี ว ในสภาวะแวดลอ ม เหมาะสม เชน มีอาหารอดุ มสมบรู ณ อณุ หภมู ิน้ํา และความเขม แสงสวา ง ความเค็มของนา้ํ เหมาะแกก าร เจรญิ เติบโต ถา สภาวะแวดลอมเปลย่ี นไปจากเดมิ เชนอาหารลดลง หรอื อณุ หภมู ิของนํ้าเยน็ ลง โรตเิ ฟอรจะ สืบพันธุแ บบมีเพศโดยโรตเิ ฟอรเ พศเมยี (amictic female) จะผลติ mictic females ซงึ่ สามารถสืบพนั ธแุ บบมี เพศไดเพียงอยา งเดยี วจากไข ท่ผี ลิตจากการสบื พันธุแบบไมม เี พศ เมอ่ื ฟกเปน ตวั จะเปน โรติเฟอรเ พศผูแ ละเมื่อ ผสมพันธุก ับเพศเมียจะวางไขจ าํ นวน 1-2 ฟอง ไขทเี่ กดิ จากการสบื พนั ธแุ บบมเี พศเปน ไขระยะพกั ตวั (resting eggs) คือไมเ จรญิ เปน ตัวออ นทันที แตจ ะพกั ตวั อยูใ นน้าํ รอจนกระท่งั สภาพแวดลอมของนํ้าเหมาะสมแกการ เจรญิ เติบโตอกี คร้ังจงึ จะฟกออกเปนโรติเฟอรเ พศเมีย (amictic female) ซ่งึ สามารถสบื พนั ธแุ บบไมมเี พศ และ วงจรชวี ิตของโรตเิ ฟอรจะเรมิ่ ตนใหมอกี ครัง้ หนง่ึ ฉะนน้ั ผเู ลย้ี งจึงตอ งพยายามรกั ษาสภาพแวดลอ มของนํา้ ให เหมาะสมอยตู ลอดเวลาเพื่อใหโ รติเฟอรสบื พนั ธแุ บบไมมเี พศ หรอื แบบพารเธโนเจเนซสิ อยเู สมอ เพราะการ สืบพันธุแบบนีจ้ ะไดจ าํ นวนโรติเฟอร หนาแนนมากกวาการสบื พันธุแ บบมีเพศ ความยาวลาํ ตวั ของโรติเฟอรม ตี ัง้ แต 100 ไมครอน ถงึ 400 ไมครอน ฉะนั้นจงึ แบง โรติ เฟอรออกได 2 สายพันธุ คือ สายพันธแุ อล (L-type) เปนสายพันธขุ นาดใหญ มคี วามยาวลําตวั 230-320 ไมครอน และสายพนั ธขุ นาดเลก็ เรียกวา สายพนั ธุเ อส (S-type) มีความยาวลําตัว 140-220 ไมครอน สายพันธทุ ้ัง 2 แบบนี้มี คุณสมบตั เิ ฉพาะสายพนั ธคุ ือ จะไมเ ปล่ียนลักษณะขา มกนั ไปมา อัตราการเจรญิ เตบิ โตของโรตเิ ฟอรช นดิ B. plicatilis ข้นึ อยูกบั ขนาดลาํ ตวั ถา โรตเิ ฟอรม ีขนาดใหญ เทาใด อตั ราการเจรญิ เติบโตจะชา ลง อัตราการเจริญเตบิ โตของโรติเฟอรสายพนั ธเุ อสประมาณ 0.69 ไมครอนตอ วนั สวนสายพันธแุ อล ประมาณ 0.40 ไมครอนตอวนั B.plicatilis ซ่งึ เปนโรติเฟอรอาศยั อยูใ นนํ้ากรอยจนถงึ นา้ํ เค็ม สามารถอยูไ ดในนา้ํ ที่มอี ณุ หภูมหิ ลายระดับ (Eurythermal) แตอ ณุ หภมู ิน้ําทเ่ี หมาะสมจะอยูในชว ง ระหวา ง 22-30๐C
19 ความเค็มทีเ่ หมาะสมแกก ารเจริญเตบิ โตของ B. plicatilis อยใู นชว งระหวา ง 10 สวนในพัน แต แมวานาํ้ ท่ีมีความเคม็ ต่ํา ๆ เชน 3.7 สวนในพนั หรอื ความเคม็ สูง ๆ เชน 98 สวนในพนั โรตเิ ฟอรก ส็ ามารถอยไู ด แตก ารเจรญิ เตบิ โตจะไมด เี ทา ที่ควร คา pH ของนา้ํ กม็ ผี ลตอ การดาํ รงชวี ติ ของโรตเิ ฟอรเ ชน เดยี วกนั ชว ง pH ที่เหมาะสมคอื ระหวา ง 7.5 ถึง 8.0 ขอ ดีของการเลย้ี งโรติเฟอรเ พื่ออนบุ าลลูกสตั วน ํา้ โดยเฉพาะสตั วน ํา้ เคม็ 1. มีขนาดเลก็ ขนาดลําตวั ตัง้ แต 0.06 - 1.00 มิลลเิ มตร ท้ังนขี้ นึ้ อยูกับสายพันธทุ ต่ี างกัน 2. มีคณุ คาอาหารสงู เมอ่ื คดิ เปนรอยละของนา้ํ หนักแหง มโี ปรตีน 58 - 72% ไขมัน (lipid) 21-31% เมือ่ เลย้ี งดว ยคลอเรลลาอยา งเดยี ว แตถ า เลยี้ งดว ยคลอเรลลากบั ยสี ตจะมโี ปรตนี เพ่ิมข้ึนเปน 63 - 67% และมี ไขมนั 20 - 22% 3. เคลอ่ื นไหวชา 4. สามารถเลยี้ งไดปรมิ าณมาก 5. สามารถแพรพนั ธไุ ดร วดเรว็ จงึ เพมิ่ จาํ นวนมากในระยะเวลาสัน้ ๆ 6. เปน ตวั นาํ ทด่ี ขี องอาหารเสรมิ และยา เชน กรดไขมนั หรอื สารปฏิชวี นะได ซึ่งเมือ่ นําโรติ เฟอรไปเลยี้ งลกู สตั วน้ํา จะทาํ ใหล กู สัตวน ํ้าเติบโตเรว็ และอัตราการรอดตายสูง ประเภทการเลย้ี งโรตเิ ฟอร การเลยี้ งโรตเิ ฟอรใ หไ ดปรมิ าณมากๆ แบงออกตามความจุของถงั เลย้ี งและวธิ ีการเก็บผลผลิตได 2 ประเภทคอื ก การเลีย้ งแบบเปล่ียนถัง ข การเลยี้ งแบบเก็บผลผลติ เพยี งบางสวน วตั ถุประสงค 1. เพ่ือใหนักศึกษามีทกั ษะเก่ยี วกับการเพาะเล้ียงคลอเรลลา เพอื่ ใชเ ปนอาหารของโรตเิ ฟอร 2. เพอ่ื ใหนกั ศึกษามที กั ษะในการเพาะขยายโรติเฟอร อปุ กรณแ ละสารเคมี 1.ถังไฟเบอรขนาดความจุ 1 ตัน 2.หัวเชอื้ คลอเรลลา 3.หวั เช้ือโรตเิ ฟอร
20 4.สตู รอาหารเพาะเลย้ี งสาหรายสีเขยี ว . วธิ กี ารศกึ ษา 1.ทาํ ความสะอาดถงั ไฟเบอรปริมาตรความจุ 1 ตัน 2.เตมิ นาํ้ ทะเลทผ่ี า นการฆาเชือ้ ดว ยคลอรนี แลว ความเค็ม 20 ppt. ปริมาตร 250 ลิตร พรอ มกบั เตมิ ปยุ สูตร เพาะเลยี้ งสาหรายสเี ขียว ดูจากบทปฏิบตั กิ ารที่ 5 3.ทาํ การเพาะเชือ้ คลอเรลลา ในอัตราสว นสตอค:น้าํ ทะเล เทา กับ 1:10 ทิ้งไวประมาณ 3 - 4 วัน คลอเรลลากจ็ ะขยายเตม็ หรอื ความหนาแนนของคลอเรลลาเทา กับ 1-2x107 เซลลต อ มิลลลิ ิตร 4. เตมิ หัวเชื้อโรตเิ ฟอรล งในถังไฟเบอรใ หไดจ ํานวนตวั 10-20 ตวั /มลิ ลลิ ติ ร เมือ่ ความหนาแนน ของโรติ เฟอรเ กนิ กวา 100 ตัวตอมลิ ลิลิตร ทาํ การกรองโรตเิ ฟอรไ ปใชเ ลยี้ งลกู สตั วนํา้
21 บทปฏบิ ัติการท่ี 7 การเพาะฟก ไขอ ารท ่ีเมยี บทนาํ ตามปกติโดยทวั่ ไปแลว ไขจะมลี กั ษณะเปนเซลล (cell) เดียว แตไ ขอ ารทเี มยี นน้ั ไมไ ดม เี ซลลเ ดยี ว โดย เซลลน ้ันไดพ ฒั นาเจรญิ เตบิ โตขน้ึ จนเปนตวั ออน (Embryo) ในระยะท่มี ีลกั ษณะคลา ยรปู ถว ย (gastrula stage) ซ่งึ มเี ซลลประมาณ 3,000-4,000 เซลลแ ลว หยดุ การเจรญิ เตบิ โตเปน การชั่วคราว (non-differentiated cell) แลว สรา งเปลือกแขง็ ขึ้นมาหุม เพอ่ื ปอ งกันตวั ออ นระยะดังกลา วไว เปลอื กของไขนนั้ มรี ูพรุนซึ่งจะเปน ทางผา นของ อากาศ และนา้ํ และยงั ชว ยพยงุ ใหไ ขล อยน้ํา เปลอื กของไขม ีสีน้าํ ตาลเพราะมีสวนประกอบของสารพวกฮมี าตนิ (haematine) ซ่งึ มีสีนาํ้ ตาลหรอื แดง ขนาดของไขอารท เี มยี อยรู ะหวาง 200-300 ไมครอนข้ึนอยกู บั สายพนั ธุ และสภาวะแวดลอม ลกั ษณะของไขอ ารท ีเมีย (cysts morphology ) ไขโ ดยท่วั ไปนัน้ จะมเี ซลล( cell)เดียว แตไขอ ารท เี มยี นน้ั มีหลายเซลล( cell) ซง่ึ เจรญิ เติบโต จนกระท่ังเปน ตวั ออ น (embryo) ในระยะหนึง่ ทเี่ รียกวาระยะ แกสตรลู า (gastrula stage) แลว จงึ มีการสราง เปลือกขน้ึ มาหมุ ตัวออ นในระยะดงั กลาว ทั้งน้ีเพราะมีปจ จยั บางอยา งไมเ หมาะสม เปลอื กของไขอ ารท เี มยี แบง ไดเปน 3 ชัน้ คอื 1. Chorion คอื สว นทอ่ี ยนู อกสุด เปน ชน้ั ทีม่ ีความแขง็ และหนากวา ชนั้ อ่นื ๆ มีสารประเภท lipoproteins, chitin และ haematine เปน สวนประกอบ หนาทสี่ ําคญั ของ chorion คอื ปอ งกนั ตวั ออนจาก อันตรายภายนอก 2. Outer cuticular membrane มีหนา ท่ีสาํ หรับปองกนั ตัวออ น จากการซมึ เขา ของกา ซ ตาง ๆ ทํา หนา ทเี่ หมือนเยื่อกรอง (semipermeable membrane) ซ่ึงจะกรองเฉพาะส่งิ ท่ีตองการใหเ ขา ไปเทา นั้น 3. The embryonic cuticle เปนเยอื่ บางใสแตมีความยืดหยนุ มาก หอ หุมตวั ออนอยโู ดยมี inner cuticular membrane (hatching membane) ก้ันอยูอกี ชัน้ หนึง่ ขอควรคาํ นงึ ในการเพาะฟกไขอ ารท ีเมีย 1 ในการเพาะฟก ไขอารทเี มยี ควรใชถ งั รปู ทรงกระบอก กน ถงั มลี ักษณะเปน กรวยเพราะจะ ทาํ ใหส ามารถใหอ ากาศไดอยางทว่ั ถึง 2 อารท ีเมยี ทจ่ี ะนาํ ไปใหแ กล ูกสัตวน ้าํ วัยออน ควรเปน อารท เี มียทเ่ี พิง่ ฟก (Instar I) เพราะตวั ออนระยะนเ้ี ปน ชวงทม่ี ีไขแดงเกบ็ สะสมอยู
22 ปจ จยั สาํ คัญทม่ี ีผลตอ การเพาะฟก 1 ความหนาแนน ของไขอ ารท เี มยี ความหนาแนนของไขอ ารทีเมียทเี่ หมาะสมอยปู ระมาณ 2 กรมั ตอนา้ํ ทะเล 1 ลิตร 2 แสง อัตราการฟกของไขอารทีเมยี ในสภาพทีม่ ีแสงสวา ง มอี ตั ราการเพาะฟก สูงกวา ไขท ี่เพาะฟก ในท่ีมดื 3 ความเปนกรด-ดาง (pH) น้ําท่ใี ชใ นการเพาะฟก ควรปรับใหมคี วามเปน ดางออ น ๆ ระหวาง 7.5-9 ชว งทเ่ี หมาะสมท่สี ดุ ประมาณคา pH ประมาณ 8.5 4 อุณหภูมิ นํ้าทใี่ ชเ พาะฟก ไขอ ารทเี มยี อุณหภมู อิ ยใู นชวงระหวาง 20-34๐C แตถา อณุ หภมู ิสงู ขึ้น การฟก ออกเปน ตัวจะเรว็ ขน้ึ 5 ความเคม็ ตามปกตคิ วามเคม็ ที่ใชอยใู นชว งระหวา ง 10-30 สว นในพนั 6 ออกซิเจน ปรมิ าณออกซเิ จนควรอยใู นระดับอยา งนอ ย 2 มิลลกิ รัมตอ ลติ ร (สวนในลา น; ppm) เพ่อื ใหป ระสิทธภิ าพในการเพาะฟก สูงสุด (ปกติ 4-6 สว นในลาน) วตั ถุประสงค 1. เพ่ือใหน ักศึกษามที กั ษะเกย่ี วกับการเพาะฟก อารท เี มยี 2. เพอื่ ใหนักศกึ ษามีทกั ษะในการเกบ็ เกยี่ วอารทีเมยี อุปกรณและสารเคมี 1.ขวดโหลแกว ขนาดปรมิ าตร 10 ลติ ร 2.น้ําทะเลความเค็ม 20 ppt. 3. หัวทราย 4.สายแอรปม 5.สวงิ กรองอารท ีเมยี 6.ไขอารท ีเมยี 7.สวงิ กรองอารท เี มีย 8. ฟอรม าลนี
23 วิธกี ารศึกษา 1.ทาํ ความสะอาดขวดโหลแกวขนาดความจุ 10 ลติ ร 2.เตมิ นา้ํ ที่ผานการฆาเช้ือแลว ความเคม็ 20 ppt.ลงในขวดโหลแกว ใหไดป ริมาตร 8 ลิตร 3.นําไขอ ารทีเมยี (ประมาณ 1-5 กรมั /นาํ้ 1 ลติ ร) ใสล งในขวดโหลแกว ซึ่งไดเตรียมน้ําความเค็มท่ี เหมาะสมไวกอ นแลว และใหอ ากาศตลอดเวลา 4.ใชร ะยะเวลาเพาะฟก ประมาณ 15-48 ชั่วโมง ไขจ ะฟก ออกเปน ตัว 5.ทําการเกบ็ เกยี่ วอารท เี มยี โดยนําขวดโหลท่ีใชเ ทปพลาสติกปด ดา นขา งเหลอื ดานลางไวป ระมาณ 1นว้ิ เพือ่ ใหแสงเขา ทางดานลา ง นํามาเปลย่ี นกบั ขวดโหลแกว ท่ีใชเ พาะฟก ไขอ ารทเี มยี หยุดการใหอากาศแลวปด ฝา ขวดโหลแกวดวยวตั ถทุ ึบแสง ตวั ออนของอารท เี มยี จะมารวมกันอยทู กี่ นขวดโหลแกว ซึ่งถาใชแ สงสวางลอดว ย จะทาํ ใหตวั ออ นมารวมกนั ทก่ี น ขวดโหลเรว็ ข้นึ 6.ใชส ายยางขนาดเล็ก หรือสายแอรป ม ดดู ตวั อารท ีเมียบริเวณกน ขวดโหลแกว โดยใชส วงิ อารทเี มยี กรอง เอาตวั อารทีเมยี 7.นาํ อารทเี มยี ไปฆา เชอื้ ดวย ฟอรม าลิน 50-100 ppm.แชเ ปน ระยะเวลา 6 -12 ชั่วโมง
24 บทปฏบิ ตั ิการท่ี 8 การเพาะพันธปุ ลากะพงขาว บทนํา การเพาะพนั ธปุ ลากะพงขาวในประเทศไทยมดี วยกนั 3 วธิ ี 1 การเพาะพนั ธโุ ดยวิธีผสมเทียม วธิ ีนี้เปนวธิ ีดั้งเดมิ ทป่ี ระสบความสาํ เร็จเปน ครั้งแรก ในการเพาะขยายพนั ธปุ ลากะพงขาว การ เพาะพนั ธโุ ดย ทาํ การคดั เลอื กพอแมพ นั ธทุ จ่ี ับไดจากแหลง วางไข มาทําการเพาะพันธโุ ดยจะคัดปลาเพศเมยี ทไ่ี ข แกพ รอ มจะผสมพนั ธุกบั เพศผูท่มี นี ํ้าเชือ้ ดี แลว จะนําไปรีดไขผ สมกบั นาํ้ เช้ือ เปน การเพาะพนั ธโุ ดยวธิ กี ารผสม เทียม ในการตรวจดวู า เพศเมยี มีไขสมบรู ณพ รอมทจี่ ะผสมไดหรือไมน ้ัน จะใชส ายยางขนาดเลก็ ดูดเอาไข บางสวนออกมาทําการตรวจดู ไขปลากะพงขาวท่ีสามารถผสมเทยี มไดจะมลี กั ษณะฟองไขก ลมผวิ เตง ตึง ไม ตดิ กนั มีความเปนมัน และลน่ื มสี ีเหลอื งออนและใส เปน ไขท ม่ี คี ณุ สมบตั ลิ อยตวั ไดดีในน้าํ ที่มีความเคม็ ในชว ง 25-32 ppt. การรีดไขแ ตละคร้ังจะไดไ ขประมาณ 250,000-400,000 ฟอง/ตัว ไขท ีผ่ สมแลว จะถูกลําเลยี งไปฟก และอนุบาลทบี่ อเพาะฟก ตอ ไป 2 การเพาะพันธโุ ดยวธิ ธี รรมชาติ การเพาะพนั ธุวธิ ีนจ้ี ะตอ งเลยี้ งปลากะพงขาวไวส ําหรับเปนพอแมพนั ธุ โดยพอ แมพ ันธตุ องมีอายุ ประมาณ 3 ป และนา้ํ หนกั ตวั 3 กิโลกรมั ขึ้นไป การเลยี้ งพอ แมพ ันธตุ องใหอาหารที่มคี ณุ คา สมา่ํ เสมอ คณุ สมบัติของนํ้าในบอเลย้ี งตอ งดีพอ หรืออาจจะเลยี้ งพอ แมพ นั ธุในกระชังกไ็ ด พอถงึ ฤดทู ปี่ ลาสบื พนั ธวุ างไข (เมษายน-ตลุ าคม) จะทาํ การคดั เลอื กปลากะพงขาวเพศเมยี ที่มที อ งอมู น่ิมและขยายกางออก ซึ่งแสดงวา มไี ขแก ปลาเพศผทู ม่ี นี าํ้ เชอื้ สมบรู ณ ปลอ ยในบอ เพาะพนั ธใุ นอตั ราสวนเพศผูและเพศเมีย 1:1 บอเพาะพนั ธขุ นาด 120- 150 ตนั จะปลอยปลาประมาณ 12-15 คู การเพาะพนั ธตุ องมีการปลอยนา้ํ ทะเลท่ีสะอาดไหลลงบอ อยูเสมอ เพ่ือ รักษาคุณสมบตั ขิ องน้าํ ในบอ ใหดีอยตู ลอดเวลา ปลากะพงขาวที่มีไขแกสมบรู ณก จ็ ะวางไขทกุ เดือนตลอดฤดกู าล วธิ นี ้ีเปน การเพาะพันธปุ ลากะพงขาวไดผ ลดมี าก สามารถวางไขไ ดเดอื นละหลายลานฟอง 3 การเพาะพนั ธโุ ดยวธิ ีการฉดี ฮอรโ มนกระตนุ วธิ นี ้คี ลา ยกับวธิ ที ่ี 2 โดยจะตองเลยี้ งพอ แมพ นั ธเุ อาไวใหม ีอายุ 3 ป และมนี ้ําหนกั 3 กโิ ลกรมั ขน้ึ ไป เชนกัน และเมื่อถงึ ฤดูวางไขจ ะทาํ การฉดี ฮอรโ มนสังเคราะห Puberogen ใหแ กป ลาเพศเมยี ทม่ี ไี ขแ กในอตั รา 50 หนวย/กโิ ลกรัมของนํ้าหนักแมพ ันธุ และฉีด Puberogen ใหแ กป ลาเพศผูในอตั รา 25-30 หนว ย/กิโลกรัม ของน้าํ หนักปลา หลังจากนนั้ จึงนําปลาท่ีฉดี ฮอรโ มนแลว ปลอยรวมกันในบอ เพาะพันธขุ นาด 120-150 ตนั
25 จํานวน 12-15 คู ผลของการใชฮ อรโ มนกระตุน จะทําใหปลากะพงขาววางไขไ ด เชน เดยี วกบั วธิ ีที่ 2 โดยจะได ไขปลาหลายลา นฟองเชน เดยี วกัน การฟก ไข ไขของปลากะพงขาวเปน ไขล อยนาํ้ ปลากะพงขาวจะวางไขใ นตอนกลางคนื การเก็บรวบรวมไขก ็ สามารถเกบ็ รวบรวมไดในตอนเชา ไขจะถกู รวบรวมโดยการใชสวิงชอ น หรือการใชผาอวนขนาดใหญร วบรวม ไขจ ากบอ เพาะพันธุปลา แลว นําไขท รี่ วบรวมไดไ ปลางนา้ํ ใหสะอาด นาํ ไปฟก ในถงั อตั ราสวน ไขป ลา 50,000- 80,000 ฟอง/นํ้าทะเล1ตนั ลกู ปลาท่ีฟกออกจากไขจ ะถกู เลยี้ งจนอายุ 20-22 วัน ปลาก็จะโตมีขนาดไมเ ทา กนั และจะเร่มิ กนิ กันเอง จึงทําการคัดขนาดดว ยกะละมงั พลาสตกิ เจาะรูขนาดตา ง ๆ กนั ปลาขนาดใหญค วามยาว ประมาณ 0.5 เซนตเิ มตรขนึ้ ไป ก็แยกไปเล้ียงดว ยอัตราปลอ ย 3,000-4,000 ตัว/นาํ้ ทะเล 1 ตนั สวนปลาขนาด เลก็ กวาขนาด 0.5 เซนตเิ มตร ก็จะเลยี้ งดว ยอัตราปลอย 8,000-10,000 ตัว/นาํ้ ทะเล 1 ตนั การคดั ขนาดลูกปลา จะตอ งทําการคดั ทกุ ๆ 4-5 วัน วตั ถุประสงค 1. เพ่ือใหน ักศกึ ษามที กั ษะเกีย่ วกับการเพาะพนั ธปุ ลากะพงขาว 2. เพ่อื ใหน ักศึกษามีทกั ษะการฟก ไขปลากะพงขาว อุปกรณแ ละสารเคมี 1.บอ ซเิ มนตขนาดความจุ 10 ตนั 2.ถังไฟเบอรข นาดความจุ 2 ตัน 3.พอ แมพันธุป ลากะพงขาว 4.ฮอรโมนสงั เคราะห Puberogen และ ยาเสริมฤทธิ์ 5.สายแอรป ม 6.หัวทราย 7.อวนลากจบั พอแมปลา 8.สวงิ จบั ปลา 9.สวิงกรองไขปลา 10. แกว ดูไขปลา
26 วธิ กี ารศกึ ษา การเพาะพนั ธปุ ลากะพงขาว 1.ทําการฉดี ฮอรโ มนสังเคราะห Puberogen และยาเสริมฤทธิ์ ใหแ กปลาเพศเมยี ท่มี ีไขแ กในอตั รา 50 หนวย/กโิ ลกรมั ของนํา้ หนักแมพ ันธุ และฉีด Puberogen และยาเสริมฤทธิ์ ใหแ กป ลาเพศผใู นอตั รา 25-30 หนว ย/กโิ ลกรมั ของนํ้าหนกั ปลา 2.นาํ ปลาทฉ่ี ีดฮอรโ มนแลว ปลอ ยรวมกนั ในบอ เพาะพันธุขนาด 10 ตนั จาํ นวน 4 คู โดยใหแ อรป ม ตลอด 3.ทําการตรวจสอบการวางไขข องแมพนั ธปุ ลากระพงขาวโดยการใชแกวใส ตกั น้าํ ในบอเพาะพนั ธุปลา ข้ึนมาดู โดยใหแสงผา น หากพบมีไขปลาอยใู นนาํ้ แสดงวา ปลาไขแ ลว 4.ทําการจบั พอแมพ นั ธอุ อกจากบอ เพาะพนั ธุ หลงั จากนัน้ ทําการรวบรวมไขป ลาโดยการปลอย น้ําออกจาก บอ แลว ใชสวงิ อวนตาถ่ีหรือผาโอลอ นแกว รองรบั ไข การฟก ไข 1.เตรยี มถังฟก ไขขนาดความจุ 2 ตนั เติมน้าํ ทะเลความเค็ม 20 ppt.ที่ผา นการฆาเช้อื ดว ยคลอรนี แลว ให แอรปมเบาๆ ตลอด 2.นาํ ไขทรี่ วบรวมไดไ ปลา งน้ําใหส ะอาด นําไปใสในถงั ฟก ไขอัตราสวน ไขปลา 50,000-80,000 ฟอง/ นาํ้ ทะเล1ตนั เพมิ่ ความแรงของแอรป มเพือ่ ไมใ หไ ขปลาจมอยบู ริเวณพน้ื กนบอ แตไ มแ รงจนเกนิ ไปอาจทาํ ใหไ ข แตกได 3.ทําการฟกไขเปนระยะเวลา 12-24 ช่ัวโมงไขกจ็ ะฟกออกเปน ตวั ทง้ั หมด ในระหวางนตี้ องคอยดแู ลแอร ปม ไมใ หเ บาหรอื แรงเกนิ ไป
27 บทปฏบิ ัตกิ ารท่ี 9 การอนบุ าลลูกปลากะพงขาว บทนาํ การอนุบาลลกู ปลากะพงขาว ในการอนบุ าลลูกปลากะพงขาววยั ออนสงิ่ ทีส่ าํ คัญอยางยงิ่ คอื การเตรยี มอาหารลูกปลาวยั ออน อาหารทใ่ี หในระยะแรกทลี่ ูกปลาเร่ิมกินอาหารคือ แพลงกต อนสตั วทมี่ ีขนาดเลก็ มาก มีช่ือวา โรติเฟอร ซงึ่ ลกู ปลาวยั ออ นชอบกิน และทาํ ใหล ูกปลาโตเรว็ และแขง็ แรง ในระยะทใี่ หโ รติเฟอรแ กล กู ปลา ควรใส Chlorella ลง ไปดว ย เพ่อื จะไดเ ปน อาหารของโรตเิ ฟอร และโรติเฟอรสามารถขยายพันธุในบอได เร่มิ ใหอารทเี มียแกลกู ปลา อายุประมาณ 10-14 วัน เมอื่ ลกู ปลาอายุประมาณ 22-25 วันขึน้ ไปใหกนิ กุงเคย และเน้อื ปลาสดสบั ละเอยี ด ตารางที่1 อาหารทีใ่ ชสําหรบั ในการอนบุ าลลกู ปลากะพงขาวในชวงอายุ 1- 45 วัน (ท่มี า:สโมสรนสิ ิต คณะประมง, 2531) อายุ (วนั ) ชนดิ ของอาหารที่ใชใ นการอนุบาลลกู ปลากะพงขาวอายุ 1-45 วนั (%) 1 Chlorella Rotifer Artemia Mysid Fish meat 2-4 5-9 ----- 10-14 15-21 75 25 - - - 22-25 26-30 - 100 - - - 30-45 - 75 25 - - - 25 75 - - - - 50 25 25 - - 25 25 50 - - - 25 75 ในกรณีที่หา Mysid ไมไดก็ใชลูกนํ้า หรือ Artemia ตัวเต็มวัยแทน ในการอนุบาลลูกปลาน้ันจะทํา การเปลี่ยนถายนํ้า 2 ใน 3 ของปริมาณนํ้าทง้ั หมด พรอมท้ังดูดตะกอนทุกวัน นํ้าท่ีใชอนุบาลลูกปลา มีความเค็ม ในชว ง 25-30 ppt ลกู ปลาทีท่ าํ การอนบุ าล 30-35 วนั จะมขี นาด 1-1.5 เซนตเิ มตร และบางตัวมีขนาด 1-2 นว้ิ 1 สภาพแวดลอมอน่ื ๆ ทตี่ อ งระมัดระวงั ในการอนุบาลลกู ปลากะพงขาววัยออน
28 1.1 อุณหภูมิ ปกติอุณหภูมิในบอ อนบุ าลปลาวยั ออน เฉลี่ยประมาณ 27๐C 1.2 แสงสวาง ปกติลูกปลาจะเคล่ือนที่เขาหาแสงแตแสงสวางที่จาเกินไป จะมีผลตอระบบสายตา ของลูกปลา 1.3 โรค โรคท่เี กิดข้ึนกับปลาเทาทปี่ รากฏมีโรคจากโปรโตซัว (Ciliated Protozoa) ทําใหปลาเกิด อาการระคายเคอื ง มเี มอื กหุม เหงอื กทําใหหายใจไมส ะดวก วิธกี ารแกไขใชฟ อรมาลีนเขมขน 500 ppm แชนาน 10-15 นาที ติดตอ กัน 2-3 วนั 2 การคดั ขนาด การคดั ขนาดลกู ปลาเปน เรื่องท่จี ําเปน มาก มีผลตออตั ราการรอดของลูกปลากะพงขาว ถาไมคดั ขนาดลกู ปลาจะกนิ กันเอง จะเริ่มคดั ขนาดเม่อื ลูกปลาอายไุ ด 2 สัปดาห ทําไดโ ดยวธิ งี ายๆคอื ใชภ าชนะทเ่ี จาะรู ซ่ึงมหี ลายขนาดดว ยกนั แยกปลาที่มีขนาดเดยี วกนั ไวดว ยกนั วตั ถปุ ระสงค 1. เพอื่ ใหนกั ศึกษามีทกั ษะเก่ยี วกับการอนบุ าลลกู ปลากะพงขาวระยะหลงั ฟก จนถึงอายุ 45 วนั 2. เพ่อื ใหนักศกึ ษามที กั ษะเกีย่ วกับการคัดขนาดลกู ปลา อปุ กรณแ ละสารเคมี 1. บอ ซเิ มนตท ีม่ ีขนาดกวาง 1 เมตร ยาว 4 เมตรสูง 1 เมตร 2. กะละมงั พลาสตกิ เจาะรสู ําหรับคดั ขนาดลูกปลา 3. ลกู ปลากะพงขาว 4. อาหารลกู ปลากะพงขาวไดแ ก โรตเิ ฟอร อารทเี มยี ปลาสดสับ 5. อุปกรณเ ปลยี่ นถายนํา้ วธิ กี ารศกึ ษา 1.ทาํ ความสะอาดบอซเิ มนตท่มี ขี นาดกวา ง 1 เมตร ยาว 4 เมตรสงู 1 เมตร เตมิ น้าํ ที่ผานการฆา เช้อื ดว ย คลอรนี แลว ใหม ีควาสงู ประมาณ 50 เซนตเิ มตร 2.นาํ ลกู ปลาท่ีฟก ออกจากไขป ลอ ยลงในบอทีเ่ ตรียมไว เรม่ิ ใหอ าหารในวนั ท่ี 2 ในเมอื้ เย็นหลังจากฟกออก จากไข โดยใหอ าหารตามตาราง1ในบทนํา
29 3. ลกู ปลาท่ฟี ก ออกจากไขจะเลย้ี งจนอายุ 20-22 วนั ปลาก็จะโตมขี นาดไมเทา กันและจะเรม่ิ กินกันเอง จงึ ทําการคัดขนาดดว ยกะละมงั พลาสติกเจาะรขู นาดตาง ๆ กัน ปลาขนาดใหญค วามยาวประมาณ 0.5 เซนติเมตร ขนึ้ ไป ก็แยกไปเลย้ี งดว ยอตั ราปลอ ย 3,000-4,000 ตัว/นํา้ ทะเล 1 ตัน สว นปลาขนาดเลก็ กวา ขนาด 0.5 เซนตเิ มตร ก็จะเลย้ี งดว ยอัตราปลอ ย 8,000-10,000 ตัว/น้าํ ทะเล 1 ตัน การคัดขนาดลูกปลาจะตอ งทาํ การคัดทกุ ๆ 4-5 วัน 4. เร่มิ การเปลย่ี นถายน้ําเมือ่ ลูกปลาอายปุ ระมาณ 1 สัปดาห โดยเปลีย่ นถายนา้ํ วันละประมาณ 20 เปอร เซ็นและอตั ราเปลี่ยนถายนาํ้ มากข้นึ เมื่อลกู ปลาเรม่ิ กินปลาสดสบั อายุประมาณ 22 วนั ขึ้นไป 5. อนุบาลเปน ระยะเวลา 45 วันจะไดล ูกปลาขนาด 1 เซนตเิ มตร หรอื ทเ่ี รยี กวา ปลาขนาดใบมะขาม
30 บทปฏบิ ัตกิ ารท่ี 10 การเล้ียงปลากะพงขาวในบอดนิ บทนํา การเลี้ยงปลากะพงขาวในบอ ดนิ 1 แหลง พันธุป ลา การรวบรวมลูกพันธุปลาจากแหลงน้ําธรรมชาติ มีจํานวนท่ีไมแนนอน ปริมาณลูกปลาท่ีรวบรวม ไดมีปริมาณท่ีไมมากพอกับความตองการเล้ียง ดังน้ันแหลงลูกพันธุท่ีสําคัญ ไดแก ลูกพันธุปลาจากหนวยงาน ในสงั กดั กรมประมงหรอื โรงเพาะฟกปลากะพงขาวของเอกชน 2 การเลอื กสถานท่สี รา งบอ การเล้ียงปลากะพงขาว ผูเล้ยี งจะตองพิจารณาถึงสถานทีใ่ นการสรา งบอเพอื่ ใหค วามเหมาะสมกับ สภาพของปลา ท่เี ล้ียง สิ่งสําคญั ทีผ่ เู ลย้ี งควรพิจารณามดี ังน้ี ดิน คุณสมบัติของดินท่ีความเหมาะสมที่ใชในการสรางบอเล้ียง ควรจะเปนบอดินเหนียว หรือดิน เหนยี วปนทราย แหลงนํา้ ควรอยูใกลแ หลงนาํ้ เปน สาํ คัญ เพราะในการเล้ียงปลาจะตองมีการเปล่ียนถายน้ําอยูเสมอ ๆ ตอ งมีน้ําใชตลอดป คุณภาพของนา้ํ จะตองดีและมคี วามเหมาะสม แหลง ชมุ ชน สถานท่เี ลี้ยงปลากะพงขาวทด่ี ี ควรอยใู กลแ หลง ชุมชนพอสมควร แตจ ะตอ งอยู หา งไกลจากโรงงานอตุ สาหกรรมที่มีการปลอยนาํ้ เสียลงในแมน ้าํ ลาํ คลอง การคมนาคม สถานที่เลี้ยงปลากะพงขาวที่ดี ควรมีการคมนาคมขนสงที่สะดวก เพราะสะดวกใน การติดตอ สื่อสารตา ง ๆ สภาพสงั คม สภาพของสังคมในบริเวณทเ่ี ลยี้ งปลากะพงขาว มีความเหมาะสม ไมม โี จรผรู า ยชุก ชมุ 3 การเตรยี มบอ 3.1 บอ ใหม หมายถึงบอท่เี พิ่งทําการขดุ เสร็จใหม ๆ ยงั ไมไ ดมกี ารเลยี้ งสัตวน ้าํ ชนิดใด ๆ มากอ น ในการเตรยี มบอ โดยวธิ ีน้ี จะตองกระทําตามขั้นตอนท่ีควรพจิ ารณาถึงความเหมาะสมดังนี้ 1 การปรบั คา ความเปนกรด-ดา ง ใหมคี วามเหมาะสม โดยการใชป ูนขาวเพื่อปรับคา pH ของดินให สูงข้ึน ปริมาณท่ใี ชข้ึนอยกู บั คา pH ของดนิ แตโดยทว่ั ไปใชใ นปริมาณ 100 กก./ไร ตามคาํ แนะนาํ ของกรม ประมง โดยโรยปนู ขาวใหทั่วบอ 2 การตากบอ ซงึ่ จะใชร ะยะเวลาประมาณ 1 เดือนขึ้นไป
31 3.2 บอเกา ในการเตรยี มบอทเ่ี คยเลยี้ งสัตวนํ้ามาแลว จะเร่ิมจากการสบู นา้ํ จากบอ ใหหมด ขุดลอก เลน และกาํ จดั เศษวชั พชื และศัตรูของปลาออก ตากบอ ทง้ิ ไวใหแหง ในกรณีท่ีไมส ามารถจะสบู นาํ้ ออกจากบอ ใหห มดได ใหใชโลต นิ๊ ในอัตราสวน 10 กโิ ลกรัมตอ พน้ื ทบ่ี อ 1 ไร ระดับนํ้า 30-50 เซนตเิ มตร ปลาทไ่ี ม ตองการจะตายในที่สุด จบั ปลาเหลานนั้ ใหหมดไปจากบอ สบู น้ําเขาใหไ ดร ะดบั แลวปลอ ยทง้ิ ไวเ ปนระยะเวลา 1 สปั ดาห จึงระบายน้ําออกแลวใสนาํ้ ใหมจ ะไดนา้ํ ท่ใี ชงานไดทันที 4 อตั ราการปลอ ยลูกปลากะพงขาว การปลอ ยลูกปลากะพงขาวนั้น ควรปลอ ยปลาในอัตราความหนาแนน ท่ีมคี วามเหมาะสม ในการ เลี้ยงปลาแบบผสมผสาน ถา จะปลอ ยปลากะพงขาวควรไดคํานงึ ถงึ จํานวนปลาชนดิ อื่น ๆ ที่มีในบอ อัตราการ ปลอ ยลงเลีย้ งรวมประมาณ 10-50 ตัวตอพืน้ ท่ี 1 ไร สวนการเลย้ี งปลากะพงขาวเพียงชนดิ เดยี ว อัตราการปลอ ย ปลาลงเลย้ี งจะปลอ ยปลาไดป ระมาณ 5-20 ตวั ตอตารางเมตร 5 อาหารและการใหอ าหาร อาหารที่ใชเล้ียงปลากะพงขาวในปจจุบัน ไดแก ปลาเปด หรือปลาสด ซึ่งเปนอาหารชนิดเดียวกับ การเลี้ยงในกระชัง ขนาดของอาหารมีความสําคัญมาก เพราะปลากะพงขาวจะกินอาหารท่ีมีขนาดพอดีกับปาก โดยวธิ ีการฮุบอาหารบนผวิ นาํ้ เม่อื อาหารตกลงสพู นื้ บอ ปลากะพงขาวจะไมก นิ อาหารเหลา นั้น ทําใหน้ําเนาเสีย ได หลักการใหอาหารปลากะพงขาว จึงพอจะสรุปไดด ังน้ี 1 ใหอาหารวันละ 1-2 ครงั้ ตรงตามเวลา 2 ใหอาหารเปน ที่ เชน บริเวณที่ใกลกบั ประตูนา้ํ หรือบรเิ วณทอ ระบายน้ําเขา 3 หลีกเลย่ี งการใหอาหารบรเิ วณมุมบอท้ังส่ี เพราะจะทําใหเกดิ การหมกั หมมของอาหาร ทเ่ี หลือไดงาย 4 ใหอ าหารปลาครง้ั ละนอ ย ๆ รอจนอาหารหมดกอนจงึ ใหตออีกเชน นี้เรือ่ ยไป 5 ปริมาณอาหารทใี่ หจ ะสงั เกตไดจ ากปลาจะไมข ้ึนมากินอาหารอีก จึงหยุดใหอ าหาร นอกจากปลาเปดแลว เกษตรกรยังสามารถใหปลาเล็ก ๆ หรือกุงที่มีอยูในบอ อาหารผสม หรือ อาหารเมด็ ลอยนาํ้ ก็สามารถท่ีจะเปนอาหารใหกับปลากะพงขาวไดดี ถาหากปลาอดอาหารพบวาปลากะพงขาว จะกินกันเองดว ย 6 การเปลยี่ นถายน้ํา ที่นิยมใชมี 2 วธิ ดี วยกนั คอื 6.1 การเตมิ นาํ้ เขาทกุ ๆ วัน 6.2 การถายนา้ํ เกา ออกประมาณ 50-75 เปอรเ ซน็ ต แลว ระบายน้ําใหมเขาสบู อ ซึง่ นยิ มมาก เม่ือ น้ําเริม่ เสยี
32 7. การจับปลากะพงขาว อวนเปนอุปกรณจบั สัตวน ํา้ ท่ีนิยมใชกันมากท่ีสุด การจับปลากะพงขาวในบอ ดิน เมื่อระยะเวลาใน การเลย้ี งเขาสูเดอื นท่ี 4 เปน ตนไป จะสามารถใชอ วนลากตามความยาวของบอได ผลผลิตของปลากะพงขาวในบอดิน ผลผลิตโดยทั่วไปในระยะเวลาการเล้ียง 6 เดือนจะใหผลผลิต ประมาณ 400 กิโลกรัมตอพนื้ ทีข่ องบอ 1 ไร วตั ถุประสงค 1. เพ่อื ใหน ักศึกษามีทกั ษะเกีย่ วกบั การเล้ียงปลากะพงขาว 2. เพ่อื ใหน กั ศึกษาฝก การทํางานเปน ทีม ฝกความอดทน อปุ กรณแ ละสารเคมี 1.บอดินขนาดพื้นท่ี 1 ไร 2.ลูกปลากะพงขาวขนาด 3 น้วิ 3.อาหารเม็ดเลก็ ลอยนํา้ 4 อาหารเมด็ ขนาดกลางลอยนา้ํ 5.อาหารเม็ดขนาดใหญช นดิ ลอยนา้ํ 6.ปูนขาว 7.ปุยยเู รยี วธิ กี ารศกึ ษา 1.ทาํ การเตรยี มบอดนิ เล้ียงปลากะพงขาวตามวธิ ีการในบทนํา และก้นั คอกเพ่อื ไมใ หลกู ปลากระจดั กระจาย ไปทั่วบอ ใหล กู ปลาอาศยั อยดู า นใดดา นหนงึ่ ของบอ เพอื่ สะดวกตอการจัดการ 2.ทาํ สีนํา้ ดวยปยุ ยเู รยี เพือ่ ไมใหสาหรายขนึ้ บรเิ วณพื้นกน บอ ใชร ะยะเวลา 1-2 สัปดาห 3.นาํ ลูกปลาขนาดความยาวประมาณ 3 นิ้วสมุ ตัวอยา งมาชง่ั วดั บันทึกผลและปลอยในคอกทีไ่ ดเตรยี มไว ในอัตราสว น 5 ตัว/ตารางเมตร 4.ใหอ าหารปลากะพงขาววนั ละ 2 ม้ือเชาเยน็ โดยใหจ นปลาอิม่ ทําการจดบนั ทึกน้าํ หนักอาหารจนสน้ิ สุด การศกึ ษาเปน ระยะเวลา 6 เดอื น
33 5.อาหารทใี่ หเ ปลย่ี นขนาดอาหารตามอายุของปลากะพงขาวโดยปลาตัง้ แตเ ร่มิ เลยี้ งจนอายุ 2 เดือนให อาหารเมด็ เลก็ ลอยน้ํา ปลาอายุ 2-4 เดอื นใหอาหารขนาดกลางลอยน้ํา ปลาอายุ 4-6 เดอื น ใหอ าหารอาหารเมด็ ขนาดใหญชนดิ ลอยนํ้า 6.ชั่งนํ้าหนักวัดความยาวปลากะพงขาวทกุ ๆ 2 สัปดาห 7. การจดั การดานการเปลยี่ นถา ยนา้ํ เร่มิ เลย้ี ง -2 เดอื น ๆ ละ 2 ครง้ั อายุ 2-4 เดอื น สัปดาหล ะ1 ครั้ง อายุ 4- 6 เดอื น สัปดาหล ะ 2 คร้งั โดยถา ยน้าํ 50 เปอรเ ซ็นต
34 บทปฏบิ ตั กิ ารท่ี 11 การเลี้ยงปลากะรงั ในกระชงั บทนาํ การเลอื กสถานทีต่ ้งั กระชัง ตาํ แหนงท่ีตั้งกระชัง จุดทต่ี ้งั กระชงั ในทะเล ตอ งเปน จุดท่กี ําบงั ลมไดด ี จดุ ทตี่ ง้ั กระชังควรมภี เู ขา เกาะแกง บดบงั ทิศทางของลมทัง้ สองชนดิ น้ีได ความลกึ ของนํา้ กระชังเลย้ี งปลากะรังมกั จะสรา งใหม ีความลกึ 2 เมตร ดงั นนั้ เมื่อน้าํ ลดลงต่ําสดุ ความลกึ ของนาํ้ ควรลึกมากกวา 2 เมตร คุณสมบัติของนํ้า คุณสมบัติของน้ําที่สําคัญคือ ความเค็มของน้ํา ไมต่ํากวา 15 ppt. ปริมาณ ออกซิเจนท่ีละลายในน้าํ ไมควรตา่ํ กวา 3 ppm. ตลอดท้งั วัน และอณุ หภมู ขิ องน้าํ ท่ีมีความเหมาะสมอยรู ะหวา ง 25 - 30 องศาเซลเซียส ควรใกลแหลงลกู พันธุเนื่องจากลูกพนั ธปุ ลา ในการเลยี้ งปลาชนิดนี้ตองรวบรวมจากธรรมชาติเปน หลกั การอยใู กลแหลงลูกพันธจุ ะชว ยใหสามารถซอ้ื ลกู ปลาทม่ี คี ณุ ภาพดี และราคาถูก ควรใกลแ หลงอาหาร แหลง อาหารในท่นี หี้ มายถงึ แพปลา การอยใู กลแ หลงอาหารจะสามารถซ้ือ ปลาทส่ี ด ๆ ใหปลาในกระชงั กนิ ไดทุก ๆ วนั และไดปลาทม่ี รี าคาถูก หลกี เลยี่ งสภาพสังคมทไี่ มด ี หากติดตง้ั กระชงั ในแหลงทส่ี ภาพสังคมไมดี มีการลักขโมยอยูเปน ประจําปลากะรังท่ีมรี าคาท่ดี ี มีขนาดใกลจาํ หนาย อาจจะถกู ลักขโมยไปได วธิ กี ารเลย้ี งปลากะรังในกระชัง อัตราการปลอยปลา กรมประมงไดแ นะนําอัตราในการปลอ ยปลากะรงั ทม่ี ีขนาดความยาว 7-8 เซนติเมตร ในอตั รา 15 ตัวตอ ตารางเมตร ในตา งประเทศซง่ึ เปนเพ่ือนบา นเรานนั้ ไดแ นะนําอตั ราปลอ ยปลาชนดิ นี้ 60 ตวั ตอลกู บาศกเมตร สาํ หรบั อัตราปลอ ยทเี่ หมาะสม ในบานเรานน้ั ข้ึนอยกู บั สถานทเ่ี ลย้ี ง ขนาดของปลาท่ี เริม่ ปลอ ย และรูปรา งของกระชัง ในท่นี ข้ี อแนะนําใหป ลอ ยปลาขนาด 100 กรมั ขน้ึ ไป อัตราตั้งแต 15 ตัว ตอ ตารางเมตร ถงึ 60 ตวั ตอตารางเมตร ทง้ั นข้ี นึ้ อยกู ับปจ จยั ดงั กลา ว การใหอาหารปลากะรัง อาหารทใี่ ชเล้ยี งปลากะรงั ไดแก พวกปลาเปดและปลาหลงั เขียวฯลฯ ควร เปนอาหารทสี่ ด นํามาหั่นใหพ อดีกับขนาดของปากปลา การประมาณการใหอาหาร ใชว ธิ กี ารสังเกต โดยคอยๆ โยนใหทลี ะนอ ย เมอ่ื หมดแลวหวา นใหใหม จนปลาไมก นิ อาหาร หากสภาพแวดลอ มปกติ ควรเพิม่ อาหารทกุ ๆ วนั ปลากะรงั จะลดการกินอาหาร เมือ่ มีคลน่ื ลมแรง และวันที่มฝี นตก แตล ะวนั จะใหอาหารปลาวันละ 1-2 ครัง้ ตรงตามเวลาทกุ ๆ วัน
35 การดแู ลรกั ษากระชงั เนอื้ อวนเปน สว นทชี่ ํารุด เสยี หายไดโ ดยงา ยที่สุด ควรตรวจดอู ยางสมาํ่ เสมอ เมื่อใชกระชงั ไปนาน ๆ จะทําใหต ะไครน า้ํ เพรยี ง จบั เนอื้ อวน ดังนน้ั ควรทําความสะอาด กระชังอยา งนอยเดอื น ละ 2 ครั้ง หรือเปล่ยี นเนอื้ อวนเกาออก นําเนอื้ อวนใหมเขา แทน การเจริญเตบิ โตของปลา ระยะเวลาในการเลยี้ งปลากะรงั นัน้ ไมแ นน อน ข้ึนอยกู บั ขนาดของปลาที่ ปลอย และขนาดทีจ่ บั ขาย สาํ หรบั อัตราแลกเนอ้ื นนั้ อยูในชวง 3-8 :1 ซงึ่ ขึน้ อยูก บั ชนดิ ของอาหารปลาท่เี ล้ยี ง การจบั และการลําเลยี ง จะเร่มิ จบั ปลาเมื่อปลามีขนาดตามท่ตี ลาดตองการ ซ่งึ มกั จะอยูในชว ง 0.5- 1.5 กโิ ลกรมั การลําเลยี งปลาขนาดใหญ โดยใชร ถยนต ภายในรถยนตม ีถงั พลาสติกขนาดความจุ 60 ลติ ร บรรจุ น้ําเต็มถัง ใชแอรป มเปาใหอากาศตลอดเวลา ปลาขนาด 600-800 กรัม บรรจุปลาลงไป 10-15 ตวั ตอ ถัง วตั ถุประสงค 1. เพอื่ ใหน ักศกึ ษามที กั ษะเก่ียวกับการเลี้ยงปลากะรังในกระชัง 2. เพอ่ื ใหน กั ศึกษามที กั ษะในการซอมแซมและดแู ลกระชัง อปุ กรณแ ละสารเคมี 1.กระชงั เลีย้ งปลากะรังกวางxยาวxสูง 3x3x2.5 ตารางเมตร 2.ลกู ปลากะรังขนาด 4 – 5 นิ้ว 3. ปลาสด 4.ฟอรมาลนิ 5.อปุ กรณต รวจวดั คณุ ภาพนํา้ วธิ กี ารศกึ ษา 1.เตรยี มกระชังสาํ หรับเลี้ยงปลากะรังขนาด กวา งxยาวxสงู 3x3x2.5 ตารางเมตร 2.นาํ ลูกปลากะรังขนาดความยาวใกลเคียงกันประมาณ 4 – 5 น้ิว แชปลาในนํ้ายาฟอรมาลีน 37 เปอรเซ็นต ความเขม ขน 100 ppm. เปนเวลา 30 นาที นําไปปลอยในกระชงั อตั ราการปลอ ยลงเล้ยี งในกระชังประมาณ 20 ตัว ตอตารางเมตร 3.ใหอาหารปลากะรังโดยใชปลาสดสับเปนชิ้นเล็ก ๆ ใหขนาดพอดีกับปลา อาจจะตองมีการผสมวิตามิน ผสมใหกนิ สปั ดาหล ะครัง้ ใหอาหารใหท กุ วัน ๆ ละ 1 – 2 ครง้ั ตอนนาํ้ ข้นึ
36 4.การดูแลรักษา ในชวงการเล้ียงตองมีการคัดขนาด และแยกเอาปลาท่ีมีขนาดแตกตางกันออกไปไวในแต ละกลุมทุก ๆ สัปดาห หรือทุกๆ 10 วัน ตอ งหม่ันตรวจสอบรอยร่ัวหรือขาดบอย ๆ ถาหากกระชังมีรอยขาดอาจ เน่อื งมาจากเศษไมเขา ไปติดตาอวน จะตองซอ มแซมแกไ ขทันที และทําความสะอาดทุก ๆ 1 เดอื น 5. เลีย้ งเปน ระยะเวลา 8-10 เดือนสามารถจับขายได 6.เกบ็ ขอ มูลนาํ้ หนัก และความยาวของปลากะรงั ทุกๆ 1 เดือน จดบนั ทกึ นํา้ หนกั อาหารทใี่ หป ลากะรังเพอ่ื หาอัตราการเปลย่ี นอาหารเปน เนือ้ และตรวจวัดคุณภาพน้าํ ท่สี าํ คญั ทกุ ๆ 2 สัปดาห
37 บทปฎบิ ตั กิ ารท่ี 12 การเพาะฟกกุงขาววานาไม บทนาํ การเลี้ยงพอ แมพันธกุ ุงขาว เน่ืองจากพอแมพันธุกุงขาวนําเขามาจากตางประเทศ สวนใหญมาจากประเทศไตหวัน จีน และ สหรฐั อเมริกา อาจจะมกี ารนาํ เขาจากประเทศอน่ื ๆ บาง โดยเฉพาะประเทศแถบอเมรกิ าใต พอ แมพันธุที่นําเขา มาจากประเทศไตห วนั ลกั ษณะสําคัญคอื สวนหัวจะโตกวาพอ แมพนั ธุจากแหลงอน่ื ๆ สําหรับการใหอาหารพอแมพันธุกุงขาว ประกอบดวยอาหารสําเร็จรูป อาหารสดจําพวกหอยและ หมึก ในระหวางการเล้ียงจะตองมีการเปลี่ยนถายน้ํา 100 เปอรเซ็นต เน่ืองจากการใหอาหารสดนํ้าจะเสียไดงาย เมอื่ พอแมกุงอายุประมาณ 8 เดือน นํา้ หนกั ประมาณ 40 กรัมเปนอยางตาํ่ สําหรับแมพันธุ สวนพอพันธุควรจะมี อายุมากกวาแมพันธุเพราะกุงตัวผูท่ีมีอายุมากกวาจะผสมพันธุดีกวาตัวผูที่อายุนอย โดยท่ัวไปจะมีการตัดตากุง เพศเมียเพ่อื ใหม ีการฟอรมไข แตถา เปน กุงเพศเมียที่มอี ายุประมาณ 10 เดอื น ไขจะเรม่ิ ฟอรมโดยไมตองตัดตา ในระยะที่เล้ียงพอแมพันธุชวงแรกจะใชหมึก มีหอยบาง เชน หอยแครง สวนเพรียงจะนิยมใหเปน อาหารเมื่อเขาระยะจะฟอรมไข และหลังจากตัดตา เพราะพิสูจนแลววาการใหกินเพรียงมากจะทําใหการฟอรม ไขด ขี ้นึ ดวย ตามปกตจิ ะตองใหอาหารสดวันละ 10-15 เปอรเ ซ็นต ของน้าํ หนักตัว การผสมพันธแุ ละการวางไข ใชวธิ กี ารบบี ตาหรอื ตัดตา (eyestalk ablation) เพ่ือเรง ใหแ มกุงมีการพฒั นาไขเ รว็ ขึน้ จากการบีบตา จะไปยบั ยง้ั gonad inhibiting hormone ทาํ ใหความถ่ีในการวางไข (spawning) เพ่ิมขึ้นโดยรอบของการวางไขจ ะ ใชเวลา 3 วนั การผสมพนั ธุนยิ มใชว ธิ ที างธรรมชาติ (natural mating) 100 เปอรเซ็นต สว นการผสมเทยี ม (artificial insemination) นยิ มใชใ นการคดั เลือกสายพันธุ (selective breeding) นิยมปลอยกงุ เพศผแู ละ เมยี รวมในบอเดียวกนั ในอัตราสว น 1:1 วิธนี ้ีแมก งุ จะเครยี ดนอย ประเทศในแถบอเมริกาใต และอเมริกาใชว ธิ นี ี้ กนั มาก สวนวธิ กี ารแยกเล้ียงกงุ เพศเมยี และเพศผู เมือ่ กงุ เพศเมียไขส กุ พรอ มแลว จงึ ยา ยไปใสล งในบอกุง เพศผู วิธนี ีก้ ุง จะเครยี ดกวา เพราะตองจับแมก ุงหลายครงั้ การทาํ งานกม็ ากข้นึ ดว ย วธิ ีนน้ี ิยมปฏบิ ตั ิในประเทศแถบ เอเชยี และออสเตรเลีย
38 การรวบรวมไขแ ละนอเพลียสกุงขาวแวนาไม อาจจะใชก ุงตัวเมยี 1 ตัวตอถัง (ถงั ไฟเบอรค วามจุ 250 ลิตร ) ซ่งึ ตอ งสน้ิ เปลอื งแรงงานมาก วธิ นี ้ี นยิ มปฏบิ ตั กิ ันในการวิจยั เพอื่ คดั เลือกทางพันธกุ รรม สว นใหญน ยิ มปลอยกงุ ตวั เมยี รวมกนั ในถังเดียวกนั อาจจะ มากถึง 30 ตวั วธิ นี ี้ใชแรงงานนอยกวา นิยมกันมากและประหยดั หลังจากแมก ุง วางไขแลว 4-6 ชวั่ โมง ใชไ อโอดีนฆาเช้อื ภายนอกที่อาจจะปนเปอ นไขแ ลว นาํ ไขไ ป ฟกในถัง สําหรับแมก ุงน้ําหนกั 45 กรมั จะสามารถผลิตไขประมาณ 200,000 ฟอง/คร้งั หรือมากกวา ซ่งึ สามารถ ผลติ นอเพลยี สไดป ระมาณ 100,000 ตัว/ครั้งหรือมากกวา ในแตล ะวนั จะมแี มก งุ ทไ่ี ดรับการผสมพนั ธปุ ระมาณ 8-10 เปอรเซน็ ต แมก ุงแตล ะชดุ จะใชใ นการผลติ ลูกกุงนานประมาณ 3-4 เดือน แมก งุ 1 ตวั จะสามารถผลติ นอ เพลยี สไดป ระมาณ 1,000,000 ตวั หรือมากกวา ถาสภาพแวดลอ มทุกอยางเหมาะสม วตั ถุประสงค 1. เพือ่ ใหนักศึกษามีทกั ษะการเพาะพนั ธกุ ุง ขาววานาไม 2. เพ่อื ใหนกั ศึกษามที กั ษะการฟก ไขกงุ ขาววานาไม อุปกรณแ ละสารเคมี 1. ถงั ไฟเบอรข นาดความจุ 250 ลิตร 2. แมก งุ ท่ผี านการผสมพันธุ และการกระตนุ ใหร ังไขพ ัฒนา 3.แอรป ม 4.สวงิ จับแมพ ันธุ 5.น้ําทะเลความเค็ม 25 ppt. วธิ กี ารศกึ ษา 1.เตรยี มถังไฟเบอรข นาดความจุ 250 ลิตร เติมนํา้ ทะเลความเคม็ 25 ppt. ทผี่ านการฆาเชอื้ แลว ดว ยคลอรนี ลงไปในถงั 200 ลิตรใหอากาศตลอดเวลา 2.หลงั จากน้นั นาํ แมกงุ ท่ีผานการผสมพันธุ และการกระตุนใหร ังไขพฒั นาโดยการบบี ตา จนรงั ไขพฒั นา ไปจนถึงระยะที่ 3 และ 4 ใสลงในถงั ไฟเบอรท ี่เตรยี มไวถ งั ละ 1 ตัว 3.สงั เกตุดูวากงุ วางไขห รือยงั ปกตกิ งุ จะวางไขประมาณ 1 คนื หากพบวากุงวางไขแ ลว ทาํ การจับแมพนั ธุ กงุ ออกจากถังไฟเบอร 4.ทําการปรบั ความแรงของแอรป ม เพ่อื ใหไ ขกุงไมกองอยทู ี่กน ถงั หรอื ไมแ รงจนทาํ ใหไขแ ตกได
39 5.คอยดแู ลถังฟก ไขจ นกวาไขจะฟก เปนตวั ภายในเวลาประมาณ 12 ชั่วโมง หลงั จากนน้ั นาํ ลกู กงุ ขาววานา ไมระยะนอเพยี สไปอนุบาลตอ ไป
40 บทปฏบิ ตั ิการที่ 13 การอนุบาลกงุ ขาววานาไม บทนาํ การเตรียมน้ํา สําหรับอนบุ าลลกู กงุ ใชน ้ําเค็มจากนาเกลอื ท่มี คี วามเค็มระหวาง 80-100 พีพีที นาํ นํ้าเค็มดงั กลาวมาผสมกบั นาํ้ จืดใหไ ด ความเคม็ 27 พีพีที ถาเปน การอนบุ าลในชว งฤดรู อน แตถ า เปนฤดกู าลอนื่ ๆจะใชความเคม็ 30 พพี ีที ใชคลอรนี ผงอยใู นรูป Calcium hypochlorite (มสี ว นประกอบของคลอรนี 60 เปอรเซน็ ต) เตมิ ลงไปใหไ ดค วามเขม ขน 20 พพี ีเอ็ม (ประมาณ 50 กรมั ตอนาํ้ 1 ลกู บาศกเ มตร) เปด เคร่ืองใหอากาศผสมคลอรนี ผงใหท ว่ั ทิ้งไวน าน 5 วันจน คลอรนี สลายตัวหมดแลว ดดู นา้ํ สว นทีใ่ สเขาไปในบอพกั เติมเกลอื แรล งไปเพอ่ื ใหแ นใจวามแี รธ าตทุ ีส่ าํ คญั ครบถว น ทิง้ ไวอ กี 1 วัน หลังจากนนั้ ใหน ้ําผา นเครื่องโอโซน เพอ่ื ฆาเชื้อโรคทีอ่ าจจะหลงเหลอื อยูในนํ้า น้าํ ท่ี ผานเครื่องโอโซนแลว เปน เวลานาน 6 ชว่ั โมงจะนําไปใชใ นการอนุบาลลกู กุง การใหอ าหารลกู กุง ใชบ อกลมขนาดความจุ 2.7 ลูกบาศกเมตร (ตนั ) หลงั จากเติมน้ําเตม็ ทแ่ี ลว จะมีปรมิ าตรน้ํา 2.5 ลกู บาศกเ มตร เม่อื เร่ิมอนบุ าลลกู กุงจะใชร ะดับนํ้าสงู เพยี ง 30 เซน็ ตเิ มตรแลว คอยๆ เพม่ิ ระดับน้าํ เรื่อยๆ จนมี ปริมาตร 2.5 ลกู บาศกเ มตร สาํ หรบั ในชวงฤดรู อนจะเร่มิ อนุบาลทร่ี ะดบั นา้ํ 50 เซน็ ตเิ มตร แลว คอ ยๆ เพม่ิ ปริมาณนํ้า อณุ หภมู ทิ ีเ่ หมาะสมอยรู ะหวาง 28-30 องศาเซลเซยี ส นํานอเพลยี สใสล งไปในบออนุบาลรูปทรงกลม ขนาดความจุ 2.7 ลกู บาศกเมตรในอตั ราความหนาแนน บอ ละ 500,000 ตัว เรมิ่ ใหอ าหารหลังจากน้ัน 4-6 ชัว่ โมง หรือเม่อื นอเพลยี สเริ่มเขาสรู ะยะซเู อยี 1 โดยใหแ พลงกต อนคี โตเซอรอส (Chaetoceros sp.) ความหนาแนน 6,000 – 10,000 เซลล/CC เร่มิ ตน ท่ีปริมาณ 20 ลติ รแลว คอ ยๆ เพิ่มปรมิ าณทลี ะนอย โดยสังเกตจากการกินอาหาร และการพัฒนาของลูกกุงประกอบดวย มีการเสริมอาหาร สําเร็จรูปสําหรับลกู กงุ วยั ออนบางเลก็ นอย - เมื่อลูกกุงเร่ิมเขาระยะซูเอีย 2 เริ่มเสริมอารทีเมียเปนอาหารดวยปริมาณ 10 กรัมตอบอ แลวคอยๆ เพ่ิมปริมาณโดยสังเกตการณกินอาหาร และการเจริญเติบโตของลูกกุงประกอบในการตัดสินใจเพิ่มอาหาร ตัว ออนอารท ีเมยี จะนาํ มาแชในน้ําอนุ กอ นแลว นาํ ไปแชเยน็ เพ่อื ลดการเคล่ือนไหวลูกกุงจะไดกินสะดวกขึ้น ลูกกุง จะพัฒนาจากซูเอีย 1 จนถึงไมซิสใชเวลานานประมาณ 5 วัน เมื่อลูกกุงเขาสูระยะโพสลาวาร 1-2 (พี 1-2) จะ เสรมิ สาหรา ยสไปรไู ลนา ผงลงไปดวย และเร่มิ ลดคีโตเซอรอส
41 การควบคุมคณุ ภาพน้ํา พีเอชทเ่ี หมาะสมในการอนบุ าลลกู กุง ขาวระหวาง 7.8-8.5 อณุ หภูมนิ ้ําทีเ่ หมาะสมระหวาง 28-32 องศาเซลเซียส ในระหวา งการอนุบาลจะมกี ารตรวจวดั ปริมาณแอมโมเนียดว ย เร่ิมมีการเปล่ียนถายน้ํา เมื่อลูกกุงอยูในระยะไมซิส 2-3 โดยเร่ิมเปลี่ยนถายน้ําเล็กนอยตามความ เหมาะสม การอนบุ าลตั้งแตระยะนอเพลียสจนถึงระยะพี 1-2 ใชน้าํ ความเค็มปกติ แตเ มอ่ื ลูกกงุ เขาสูระยะตั้งแต พี 3-4 จะเริ่มลดความเค็มของน้ํา เพื่อลดปริมาณเช้ือแบคทีเรียวิบริโอ และกําจัดลูกกุงที่ออนแอ ไมแข็งแรง ออกไป ลูกกงุ ท่เี หลอื จะมเี ฉพาะตัวทแ่ี ขง็ แรงเทา น้นั การลดความเค็มของน้ํามีการลดในตอนเชาประมาณ 5 พีพี ที และตอนเย็น 5 พพี ีที ดงั น้นั ภายในวนั ที่ 3 จะสามารถลดความเค็มใหเ หลือ 5 พพี ีที ลกู กุงจะอยใู นระยะพี 7-8 ถาตอ งการนําลกู กงุ ไปเล้ียงทน่ี าํ้ ความเคม็ สงู กวา 5 พีพีที กป็ รบั เพม่ิ ความเคม็ ข้ึนมาใหมตามท่ี ตองการ อตั รารอดสําหรบั อนุบาลลูกกงุ โดยเฉลย่ี ประมาณ 40 เปอรเซน็ ต อายทุ เี่ หมาะสมสําหรับลกู กงุ ลูกกงุ ขาวทเ่ี หมาะสมเพ่ือนาํ ไปเลยี้ งในบอ ควรมอี ายุไมต ํา่ กวา ระยะพี 12 เนื่องจากลกู กงุ ตัง้ แตระยะ พี 10 จะมกี ารพฒั นาเหงือกสมบูรณ ในกรณที ีต่ องการเล้ยี งในนา้ํ ท่ีมคี วามเคม็ ตาํ่ ควรจะอนุบาลใหลกู กงุ มีอายุ มากกวา พี 12 อตั รารอดจะสูงข้ึน ความสมบรู ณแ ข็งแรงของลกู กุง ขน้ึ อยกู บั ปจจยั ตา งๆ คอื 1. ความสมบรู ณข องแมก งุ แมกุงทีก่ ินเพรยี งมากตวั จะหนาและมสี ีแดงสด นอเพลยี สจะมีสแี ดง แข็งแรง 2. ชนิดของอาหารท่ีใชในการอนุบาล การใหอาหารที่ดีมีคุณคาสูง เชน Artemia ในปริมาณท่ี พอเพียง ลูกกงุ จะแข็งแรงดกี วาการใหกินอาหารชนดิ อื่นในปริมาณท่ีมาก 3. การเปลี่ยนถายนํ้า การอนุบาลลูกกุงขาวตองการเปลี่ยนถายนํ้ามาก โดยเฉพาะน้ําที่มีคุณภาพดี ปราศจากเชอื้ โรค วตั ถุประสงค 1. เพือ่ ใหนักศกึ ษามีทกั ษะการอนบุ าลลกู กงุ ขาววานาไม 2. เพือ่ ใหนักศกึ ษามที กั ษะการเพาะแพลงกต อนพชื และสตั วเพือ่ อนุบาลลูกกุงขาววานาไม อุปกรณแ ละสารเคมี 1.บอ ซิเมนตข นาดความจุ 3 ตนั 2.ลูกกงุ ขาววานาไมระยะ Nauplius
42 3.ฟอรมาลิน 4. ผา ใบ 5.แพลงกต อนพชื และแพลงกต อนสตั ว 6.อาหารเม็ดสําเรจ็ รูป 7.อปุ กรณใหอากาศ 8.อปุ กรณเปลยี่ นถายนา้ํ วธิ กี ารศกึ ษา 1.เตรยี มบอ อนุบาลซ่งึ เปนบอ ซเิ มนตข นาดความจุ 3 ตัน โดยทาํ ความสะอาดบอดว ยผงซักฟอก ลา งให สะอาดดวยน้าํ จืดแลวตากบอไว 2 ถึง 3 วนั ทาํ ความสะอาดอปุ กรณต าง ๆ ท่จี ะนาํ ไปใชในโรงเพาะฟก เชน สปริงหัวฟู (Air stone) สายยาง แกว บกิ เกอร กะละมงั ถงั พลาสติก ผากรองตาง ๆ ใหส ะอาด แชดวยนา้ํ ยาฆาเชือ้ โรค เชน นา้ํ ยาฟอรมาลินเขม ขน 500 ถงึ 1,000 สว นในลา นสว น 1 คืน แลวลางน้ํายาดว ยน้าํ จืดใหส ะอาดตากให แหง สําหรบั หัวทรายควรใหมี 1 ถึง 2 หัวตอ พน้ื ที่ 1 ตารางฟตุ คลมุ บอดว ยผาใบใหม ดิ ชดิ เพอ่ื ควบคมุ อณุ หภมู ิ ของนํา้ ในบอ ใหเปลยี่ นแปลงนอ ยทีส่ ดุ ลางบอ ดว ยนา้ํ สะอาดอีกคร้งั หนงึ่ แลว ใชฟ อรม าลนิ เขมขน 1,000 ถึง 2,000 สว นในลานสวน ฉีดพน จนทว่ั บออนบุ าล ปดท้ิงไว 1 วนั 2.สบู น้าํ ทะเลทฆ่ี า เช้อื ดว ยคลอรนี แลว ลงบอประมาณ 80 เปอรเ ซน็ ตข องบอ หลังจากนน้ั เปาลมลงในน้ํา ควบคมุ อุณหภมู นิ า้ํ ใหไ ด 30 ถงึ 33 องศาเซลเซยี ส ตลอดระยะการอนบุ าล 3.คดั เลอื ก Nauplius ตวั ท่ีแขง็ แรง ปลอยลงในบอ ที่เตรยี มไวอ ตั ราการปลอ ย ประมาณ 100 ตวั ตอ ลิตร 4. เร่มิ ใหอ าหารหลังจากนน้ั 4-6 ช่ัวโมง หรือเมื่อนอเพลยี สเริ่มเขาสรู ะยะซูเอยี 1 โดยใหแพลงกตอนคโี ตเซ อรอส (Chaetoceros sp.) ความหนาแนน 6,000 – 10,000 เซลล/CC เรมิ่ ตน ทป่ี รมิ าณ 20 ลติ รแลว คอยๆ เพิ่ม ปรมิ าณทลี ะนอ ย โดยสังเกตจากการกินอาหาร และการพฒั นาของลูกกุงประกอบดวย มีการเสริมอาหาร สําเร็จรูปสาํ หรบั ลกู กุง วยั ออนบา งเลก็ นอ ย 5. เม่ือลูกกุงเร่ิมเขาระยะซูเอีย 2 เริ่มเสริมอารทีเมียเปนอาหาร แลว คอยๆเพ่ิมปริมาณโดยสังเกตการณกิน อาหาร และการเจรญิ เติบโตของลูกกงุ ประกอบในการตดั สินใจเพม่ิ อาหาร ลกู กงุ จะพัฒนาจากซูเอีย 1 จนถึงไม ซสิ ใชเวลานานประมาณ 5 วนั 6. ระยะ Mysis 1 ถึง Mysis 3 เปลี่ยนถายนํ้า 30 เปอรเซ็นต ในตอนเชา อาหารที่ใหเปนอาหารเสริม ในชวงบาย (อาจจะใหไขต ุนผสมนมวันละ 3 ถึง 4 คร้งั ) ระยะ Mysis 3 จะใหอ ารท ีเมยี บาง 7. ระยะ Postlarva ในระยะท่กี งุ เขา สูร ะยะ Postlarva ท่ี 1-5 อาหารทใ่ี หจ ะเปน พวกอารท เี มียและอาหาร เสริม หรอื ใหไ ขต ุน ผสมนมผง ระยะ Postlarva ที่ 5-10 จะใหอารทีเมยี และอารท ีเมยี แผน อตั ราสว น 10 กรัม ตอ
43 Postlava 1,000,000 ตัว หรือใหไ ขตนุ เปน อาหารเสริมดวย ระยะ Postlarva ที่ 10-15 เปน ตนไป จะเร่มิ ให อาหารเม็ดสําเรจ็ รูป อัตรา 10 ถึง 50 กรมั ตอ Postlarva ที1่ 5 1,000,000 ตวั สว นอารท ีเมียยงั คงใหต อไป 8.การเปลีย่ นนา้ํ โดยทว่ั ไปจะเปลี่ยนนาํ้ 20 ถงึ 30 เปอรเ ซน็ ต เมอื่ กุงเขา ระยะ Mysis 1 และ เปลี่ยนนา้ํ ทกุ วนั จนกงุ เขาระยะ Postlarva 8 เมื่อกุง เขา ระยะ Postlarva 10 ระยะน้ีจะเปลี่ยนน้าํ วันละ 20 เปอรเซน็ ต
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387