ปลาสม 77 ใบงานท่ี 5 ชอ่ื -สกลุ .......................................................................ช้ันป. ...............หมายเลข.......................... รายงานผลบทปฏิบตั กิ ารที่ 5 ทดลองการทาํ ปลาสม ผลการทดสอบ 1. คุณคา งทางโภชนาการของปลาสม ชนิดผลิตภัณฑ คณุ คาทางโภชนาการ (รอยละ) โปรตนี ไขมัน เถา ความชื้น หมายเหตุ ปลาสมหมักแบบ ธรรมชาติ ปลาสมหมักแบบ ใสก ลา เช้ือ 2. ผลการทดสอบเชื้อจลุ ินทรียท ั้งหมด ชนิดผลิตภณั ฑ ผลการทดสอบจํานวนเชอื้ จุลินทรียท ้ังหมด การเจอื จางที่ระดบั ตาง ๆ 10-3 10-4 10-5 10-6 ยอ มตดิ สีแกรม วาดภาพท่ีเหน็ ในกลอ งจลุ ทรรศน ป ล า ส ม ห มั ก แบบธรรมชาติ ป ล า ส ม ห มั ก แบบใสก ลา เช้ือ
78 บทปฏบิ ตั ิการที่ 5 3. การทดสอบทางประสาทสัมผัสของผลิตภณั ฑป ลาสม ลกั ษณะที่ประเมิน ปลาสมหมกั แบบ ปลาสม หมกั แบบ หมายเหตุ ธรรมชาติ ใสจ ลุ ินทรยี สี กลน่ิ รส เนื้อสัมผัส การยอมรบั 4.เขียนกราฟเสนเพื่อดูแนวโนมการเจริญของเช้ือ เชื้อจุลินทรีย Lactobacillus plantarum และ Pediococcus cerevisiae โดยใชโปรแกรมexcel
ปลาสม 79 สรุปผลการทดลองและวจิ ารณผลการทดลอง ................................................................................................................................. ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... คําถามทายบท 1. ปลาสม สม ฟก ตา งกันอยา งไร 2. การใสข าวสกุ ลงไปในการหมกั นน้ั ไปชว ยเรือ่ งอะไร 3. ระยะเวลาทเ่ี หมาะสมสําหรับการทําปลาสม พิจารณาจากอะไร
80 บทปฏิบัตกิ ารท่ี 5 เอกสารอา งอิง มาตรฐานผลติ ภัณฑช ุมชน 2548. มาตรฐานผลติ ภัณฑช ุมชนปลาสมเลขที่ 26/2548. สาํ นักงานมาตรฐานผลิตภณั ฑอ ุตสาหกรรม. ชุตนิ ุช สุจรติ . 2544. การเตรยี มกลาเชื้อผงสาํ หรับการผลิตปลาสม . รายงานการวจิ ยั ประจาํ ปง บประมาณผลประโยชนป 2543 จากสถาบนั เทคโนโลยีราชมงคล. พงษพันธุ ชมพเู พชร. 2546. รวยดวยปลา. กรุงเทพฯ: มตชิ น. 126 น. วิลาวณั ย เจริญจริ ะตระกลู . 2536. ผลิตภณั ฑอาหารหมกั จากจลุ นิ ทรยี . พมิ พค รัง้ ที่ 1 โครงการสนบั สนุนของคณะวทิ ยาศาสตร มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร. ทองคาํ คิมหะมานนท. 2538. การเปลีย่ นแปลงของจลุ ินทรียในระหวา งการผลติ ปลาหมัก (สัมฟก ). วทิ ยานพิ นธวทิ ยาศาสตรม หาบณั ฑติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร.
บทปฏบิ ัตกิ ารท่ี 6 ปลาแปงแดง 6.1 ปลาแปง แดง ปลาแปงแดง เปนผลิตภัณฑที่ไดจากการนําปลา เชน ปลาขาวเมา ปลาตาหวาน ปลาใบไม มาตัดหัวและทาย เอาเคร่ืองในออก แลเอาเฉพาะเนื้อเปนช้ิน ลางทําความสะอาด หมกั กับสว นผสม เตมิ สีจากขาวแดง หรืออังคัก๊ จนมรี สเปรีย้ ว กอ นบริโภคตองทําใหสุก ปลาแปงแดงเปนอาหารหมักที่มีตนกําเนิดจากบริเวณภาคใตของประเทศไทย แพรห ลายและรจู กั กันดีในจงั หวัดสงขลา นครศรีธรรมราช และสุราษฏรธานี ปลาแปงแดงเปน อาหารหมักทป่ี ระกอบดวยปลาทัง้ ตัวหรือช้นิ ปลาทถี่ กู ห่ันเปนทอน และอาจมีเม็ดขาวสุกปนอยู บาง ปลาแปง แดงสวนใหญจะมกี ล่นิ เปร้ียวเลก็ นอย 6.1.1 วตั ถดุ บิ ทใี่ ชในการทาํ ปลาแปง แดง วตั ถุดิบทใ่ี ชใ นการทาํ ปลาแปงแดง มดี งั นี้ 6.1.1.1 ปลา นิยมใชปลาทะเลขนาดตัวไมใหญมากนัก เชน ปลาขาง เหลือง ปลาทู ปลาตะเพียนทะเล ปลาตะโกก และปลาใบไม เปนตน ควรใชปลาสดจะทํา ใหไ ดร สชาติทด่ี ีและอรอ ย 6.1.1.2 ขาวเจา ขาวท่ีนํามาใชในการทําปลาแปงแดงนิยมหุงใหสุก คอนขางแฉะหรือเปนขาวตมเหลวคลายแปง ซึ่งจะมีนํ้าเปนสวนประกอบมากขึ้น และในการ ทําปลาแปง แดงบางสูตรมกี ารเติมน้ําตาลลงไปดว ย 6.1.1.3 เกลือแกง เปนสารปรุงแตงอาหารและใชถนอมอาหารมานานแลว ในการถนอมอาหารจะตองใชในปริมาณสูงพอสมควร เพ่ือใหมีผลไปขัดขวางการเจริญเติบโต ของจุลินทรีย ปริมาณของเกลือที่ใชในอาหารปลาหมักข้ึนอยูกับปจจัยท่ีสําคัญ คือ ความสด ของปลา สวนประกอบของน้ํา ไขมัน และโปรตีนในปลา ความสะอาดของปลา นอกจากนี้ ความสะอาดของเกลือ ความช้ืนและองคประกอบของเกลือเองก็มีสวนตอปริมาณและกล่ินรส
82 บทปฏิบัตกิ ารท่ี 6 ของอาหารหมักนั้น ๆ ดวย ในการทําอาหารปลาหมักที่มีการใชเกลือควรใชเกลือที่มี ความละเอียดพอดี การเติมเกลือในปริมาณท่ีพอเหมาะสม นอกจากจะเปนการปรุงรสและยัง ชวยใหแ บคทีเรียแลกตกิ เจริญไดดี และในขณะเดยี วกันจะชว ยยบั ย้ังการเจริญของจุลินทรียพวก ท่ีใหเนา เสยี และทําใหเกิดโรค ( มัทนา, 2538) 6.1.1.4 ขาวแดง เปนผลิตภัณฑที่ไดจากการหมักขาวกับเชื้อราท่ีมีช่ือ วิทยาศาสตรวา Monascus purpureus เปนเช้ือราในกลุม Ascomycetes เสนใยมีผนังก้ันมี เสนผาศนู ยก ลาง 2-5 ไมโครเมตร เมื่อเจริญบนอาหารแข็งเสนใยจะแนบชิดกับผิวอาหาร มีการ สืบพันธุท้ังแบบมีเพศและไมมีเพศ เช้ือราน้ีจะเจริญและยอยขาว ขณะเดียวกันสรางรงควัตถุ สีแดง สีเหลือง แลวแตสายพันธของ Monascus sp. ทําใหขาวมีลักษณะสีแดงเขมและมีกลิ่น เฉพาะ เมื่อนาํ ไปอบแปงกจ็ ะไดเ ปนขาวแดง ขาวแดงที่ใสในปลาแปงแดงเพ่ือใหปลาแปงแดงมีสีแดง และชวยใหปลาหมักมี กล่นิ หอม ดังนน้ั ตองเลือกขาวแดงท่มี ีคุณภาพดแี ละใหม 6.1.1.5 สีผสมอาหาร สีเปนสวนประกอบที่สําคัญอยางหนึ่งทําให ผูบริโภคเลือกซ้ืออาหาร การใชสีตาง ๆ เพื่อจูงใจใหสะดุดตาผูบริโภค สีท่ีไดจากเชื้อ Monascus purpureus นอกจากจะไดสีแดงแลว ภายในตัวของสารสีมีสารตานอนุมูลอิสระ อีก ดวย 6.1.2 จุลินทรยี ท่มี บี ทบาทตอการหมักปลาแปง แดง ในระยะเวลาของการหมักปลาแปงแดง ในระยะเวลาของการหมักปลาแปงแดง มักพบแบคทีเรียในสกุล Micrococcus, Staphyococcus และ Lactobacillus ซึ่งมีบทบาทใน การยอยสลายโปรตีนในเนื้อปลา (วิลาวัณย, 2536) นอกจากน้ีอาจพบแบคทีเรียในสกุลอ่ืน ๆ คือ Lactococcus, Leuconostoc และ Pediococcus ซ่ึงแบคทีเรียแลกติกกลุมน้ีจะเปลี่ยนน้ําตาล ในอาหารใหเปนกรดแลคติก และผลิตสารอีกหลายชนิดเพื่อเปนตัวยับยั้งการเจริญของ จลุ ินทรีย ทที่ ําใหอาหารเนา เสยี หรือกอ โรคทางเดินอาหาร (อรวินทร, 2532) 6.1.3 วิธกี ารทําปลาแปง แดง 3 กิโลกรัม 1 กิโลกรัม วัตถดุ บิ ในการทําปลาแปง แดง มดี งั น้ี 1. ปลา 2. เกลือ
ปลาแปงแดง 83 3. ขาวแดง 3 กิโลกรมั การหมักปลาแปงแดงเปนการหมักดองที่ไมใชออกซิเจน จัดเปนการหมักเพ่ือให ไดกรดแลกติก โดยปกติการหมักเพื่อใหเกิดกรดแลกติกนี้ มีสวนประกอบท่ีสําคัญ ก็คือ แบคทีเรียท่ีสรางกรดแลกติก ไดแก homofermetative lactic acid bacteria อาหารเน้ือสัตวอาศัย การหมักเพื่อใหไดกรดแลกติกที่รูจักกัน ไดแก แหนม ไสกรอกอีสาน สําหรับปลา ไดแก ปลาสม เปนตน จะเห็นไดวาอาหารดังกลาวมีสวนประกอบที่เหมือนกัน คือ ขาว เพราะขาวท่ี ผสมลงไปเพอื่ ชว ยใหเ กิดการเปลย่ี นแปลงในกระบวนการหมักเร็วขึน้ ในปจจุบันการหมักปลาแปงแดงสามารถหมักได 2 วิธี คือ การหมักปลาแปงแดง โดยใชขาวแดง และการหมักปลาแปงแดงโดยใชลูกแปงรวมกับสีผสมอาหาร ซ่ึงมีขบวนการ หมักดงั นี้ 6.1.3.1 การหมักปลาแปงแดงโดยใชขาวแดง การหมักปลาแปงแดงเร่ิม จากการนําปลามาทําความสะอาด ลางไขมันออก หากปลาตัวใหญมีการห่ันเปนช้ิน ๆ นําปลา มาคลุกกับเกลอื โดยใชอ ัตราสวน 4 : 1 โดยนํ้าหนัก แลวหมักเกลือไว 2 คืน หลังจากน้ันนําปลา มาหมักกับขาวแดงที่เตรียมไว หมักจนครบระยะเวลา 3-5 วัน จึงส้ินสุดกระบวนการหมัก ดัง ภาพท่ี 6.1
84 บทปฏิบตั ิการท่ี 6 นาํ ปลามาลา งทาํ ความสะอาด ทิ้งใหส ะเด็ดนา้ํ นํ้าเกลือ ตอ ปลาสด ในอัตราสวน 1:4 คลุกเคลา ใหเ ขา กัน นําขา วแดงบด มาคลกุ เคลา ใหเขากัน บรรจใุ นขวดปด หมกั 3-5 วัน ปลาแปง แดง ภาพท่ี 6.1 แสดงกระบวนการหมกั ปลาแปงแดงโดยใชขา วแดง ท่ีมา :พจนยี (2545) 6.1.3.2 การหมักปลาแปงแดงโดยใชลูกแปงรวมกับสีผสมอาหาร กระบวนการหมักปลาแปงแดงเร่ิมในลักษณะที่คลายคลึงกันกับขอ 6.1.3.1 แต ขาวเจาหุงสุก จะผานการหมักกับลูกแปง 2 วัน หมักจนครบระยะเวลา 15 วัน แลวจึงเติมสีผสมอาหาร จากนน้ั หมักตอ ไปอกี 2 วนั จึงสนิ้ สดุ กระบวนการหมกั ดังภาพที่ 6.2
ปลาแปง แดง 85 นาํ ปลามาลา งทาํ ความสะอาด ทงิ้ ใหสะเด็ดนา้ํ นํา้ เกลือ ตอ ปลาสด ในอตั ราสวน 1:4 คลุกเคลาใหเ ขา กนั ทง้ิ ไว 2 คนื เติม ขาวนึ่งสุก + ลูกแปง หมกั ไว 2 คนื คลุกเคลา ใหเ ขา กนั บรรจใุ นภาชนะปด สนทิ (หมกั 15 วัน) ผสมสี (หมักทิ้งไว 2 คืน) ปลาแปงแดง ภาพท่ี 6.2 แสดงกระบวนการหมักปลาแปง แดงโดยใชลกู แปงรว มกับสีผสมอาหาร ทมี่ า : พจนยี (2545) 6.1.4 วิธีการทดลอง วิธีการทดลอง ดังนี้ 1. โดยการผลิตปลาแปงแดงสองสูตร ซึ่งทั้งโดยสูตรที่ 1 เปนการหมักแบบปกติ โดยใชวตั ถุดิบทีช่ าวบานหมักตามธรรมดา 2. โดยสตู รท่ี 2 การผลิตปลาแปงแดงดว ยถัว่ แดงและนาํ้ ตาลสดใชวตั ถุดิบจากขาว เจา เปนขา วซอ มมอื ซึง่ ในการเตรยี มขา วซอ มมอื และมีการเตรียมสีจากถั่วแดง โดยตมจนเปอย และบดละเอยี ด ดงั ภาพท่ี 6.2 และ 6.3
86 บทปฏิบัติการที่ 6 ปลาหมกั ท่ีเตรียมมาแลว ขา วหงุ แฉะทิ้งไว 1 คืน นา้ํ ตาลสด เคลาเขา ดวยกั้น บรรจปุ ดฝาใหแ นน หมักบม 4-5 คนื ผสมสผี สมอาหารจากถ่วั แดง ปลาแปงแดง ภาพที่ 6.3 แสดงการหมักปลาแปง แดงโดยใชน้ําตาลสดเปนตัวกระตนุ ใหเกดิ กรดแลกติก โดยเรว็ โดยใชน้าํ ตาลสด 1/2 ถว ยตวงตอปลา 1 กก. ที่มา : พจนีย (2545) ปลาหมกั ที่เตรยี มมาแลว ขาวซอมมอื บดละเอียด ขาวหุงแฉะท้งิ ไว 1 คืน เคลา เขา ดว ยก้ัน บรรจปุ ด ฝาใหแนน หมกั บม 4-5 คืน ผสมสผี สมอาหาร ปลาแปง แดง ภาพท่ี 6.4 แสดงการหมักปลาโดยใชขาวซอมมอื บดละเอยี ด ทมี่ า : พจนีย (2545)
ปลาแปง แดง 87 6.1.5 การวิเคราะห (มาตรฐานผลิตภณั ฑช ุมชนปลาแปงแดง, 2548) การวเิ คราะห ดงั น้ี 1. ลกั ษณะทางกายภาพ ไดแ ก สี กลนิ่ รสชาติ และส่ิงแปลกปลอม เปนตน 2. ลักษณะทางเคมี ไดแก ความเปน กรด – ดาง สารเจือปน เปนตน 3. ลักษณะทางจลุ นิ ทรีย ไดแก รา และยีสต จุลินทรียท ง้ั หมด เปน ตน
88 บทปฏิบตั กิ ารท่ี 6 ใบงานท่ี 6 ชอื่ -สกลุ .....................................................................ชั้นป..................หมายเลข.......................... รายงานผลบทปฏิบตั กิ ารท่ี การทาํ ปลาแปง แดง ผลการทดสอบ คุณคา งทางโภชนาการของปลาแปง แดง ชนิดผลติ ภณั ฑ คุณคาทางโภชนาการ (รอ ยละ) โปรตีน ไขมัน เถา ความชน้ื หมายเหตุ ปลาแปงแดงหมัก แบบธรรมชาติ ปลาสมหมักแบบ ใชนา้ํ ตาล ปลาสมหมักแบบ ใ ช ข า ว ซ อ มื อ บดละเอียด
ปลาแปงแดง 89 2. ผลการทดสอบเช้ือจุลินทรยี ทง้ั หมด ชนิดผลิตภัณฑ ผลการทดสอบจํานวนเชอ้ื จลุ ินทรยี ท ้ังหมด การเจือจางที่ระดบั ตา ง ๆ 10-3 10-4 10-5 10-6 ยอ มตดิ สีแกรม วาดภาพที่เหน็ ในกลอ งจลุ ทรรศน ป ล า แ ป ง แ ด ง ห มั ก แ บ บ ธรรมชาติ ป ล า แ ป ง แ ด ง ห มั ก แ บ บ ใ ช น้ําตาล ป ล า แ ป ง แ ด ง ห มั ก แ บ บ ใ ช ข า ว ซ อ ม มื อ บดละเอยี ด 3. การทดสอบทางประสาทสมั ผัสของผลิตภัณฑป ลาแปงแดง ลักษณะทีป่ ระเมนิ ปลาแปง แดงหมัก ปลาแปง แดงหมัก ปลาแปง แดงหมักแบบ แบบธรรมชาติ แบบ ใชข า วซอมมอื บดละเอยี ด สี กล่ิน ใชนาํ้ ตาล รส เนือ้ สมั ผัส การยอมรับ
90 บทปฏบิ ตั กิ ารที่ 6 สรุปผลการทดลองและวิจารณผ ลการทดลอง ................................................................................................................................. ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... คําถามทายบท 1. การเพิม่ มลู คาคณุ คาทางโภชนาการในปลาแปง แดงทําไดอยางไรบาง 2. ปญหาที่พบในการผลติ ปลาแปงแดงในปจจุบนั ไดแกอะไรบา ง เอกสารอางองิ พจนยี ทรพั ยส มาน. 2545. การปรบั ปรุงคุณภาพอาหารทองถิ่นภาคใต: ปลาแปงแดง. วิทยานิพนธว ทิ ยาศาสตรม หาบัณฑิต สาขาจลุ ชีววทิ ยา มหาวิทยาลยั ทักษณิ . มทั นา แสงจนิ ดาวงษ. 2538. จลุ ชวี วทิ ยาของผลติ ภัณฑป ระมง. ภาควิชาผลติ ภณั ฑป ระมง คณะประมง มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร. 240 น. วิลาวัณย เจรญิ จริ ะตระกลู . 2536. ผลิตภัณฑอ าหารหมักจากจลุ นิ ทรยี . พมิ พค ร้ังที่ 1 โครงการสนบั สนุนของคณะวทิ ยาศาสตร มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร. อรวินท เสาหรัชตนันท. 2532. สารกนั เสยี ในอาหารจากแบคทีเรียกลุม สารกรดแลคติก. ว. อาหาร. 19(3) : 202-206.
บทปฏบิ ัติการที่ 7 การดองผัก 7.1 การดองผกั การดองผัก เพื่อการยืดอายุการเก็บรักษาไวใชในระหวางท่ีไมใชฤดูกาลเปนการ ถนอมอาหารของผลิตภัณฑนั้น ๆ หรือเพื่อการบริโภคในระหวางการเดินทางไกลผลิตภัณฑที่ ไดจากการดองนั้นจะมีลักษณะใกลเคียงกับวัตถุดิบกอนการแปรรูป การดองผักหรือผลไมอาจ เติมสารท่ีชว ยในการรักษา เชน กรด ปรมิ าณพอเหมาะทจี่ ะหยดุ การเจรญิ เติบโตของ จุลนิ ทรียที่ ทําใหเสื่อมเสีย จะเติมเกลือในปริมาณเหมาะสมเพ่ือเลือกแบคทีเรียท่ีผลิตกรดแลกติกให เจริญเติบโต และเปล่ียนน้ําตาลในผักผลไมใหเปนกรดแลกติก กระบวนการดองมีสิ่งสําคัญใน การทาํ ลายเช้ือรา ยสี ต และแบคทีเรีย (ราณ,ี 2552) 7.1.1 วัตถุดิบทใี่ ชในการทําผักดอง ผลิตภณั ฑผกั ดองทีเ่ กิดจากการหมักของจุลนิ ทรีย ผักดองประเภทน้ีไดจากการเติม เกลือลงไปในผกั เกลอื ทเ่ี ติมลงไปอาจเตมิ ในรูปเกลอื ปน หรอื นํา้ เกลอื โดยเติมลงไปในปรมิ าณ ท่ีเหมาะสมกับการเติบโตของจุลินทรียท่ีตองการใหมีบทบาทในการหมัก โดยสวนใหญใน การหมักจึงศึกษากะหล่าํ ปลีดอง และแตงกวาดอง มากกวา ผกั ดองอื่น ๆ วัตถดุ ิบท่ใี ชใ นการหมกั กะหล่ําปลดี อง 1. กะหล่ําปลีดอง ท่ีใชในการดองตองโตเต็มที่ และคัดเลือกเอาแตเฉพาะท่ีสด และไมมีรอยช้ํา ซึ่งสวนประกอบของกะหล่ําปลีดองแตกตางกันขึ้นกับสายพันธุและสภาพใน ระหวางการเติบโต พบวาปริมาณน้ําตาลจะอยูระหวาง 2.9-6.4 เปอรเซนต การท่ีมีปริมาณ นํา้ ตาลมากจะสง ผลทาํ ใหก ารหมักไดกรดสงู มากเกินไป 2. เกลือ ปริมาณเกลือท่ีใชในการหมักกะหลํ่าปลีดองอยูระหวาง 2.25-2.5 เปอรเซ็นต การเติมเกลือลงไปทําใหของเหลวในผักไหลออกมาก ซ่ึงของเหลวท่ีไหลออกมา นั้นประกอบดวยนํ้าตาลและสารอาหารอื่น ๆ การเติมเกลือชวยควบคุมจุลินทรียในการหมัก
92 บทปฏบิ ตั กิ ารที่ 7 เน่ืองจากเปนสภาวะที่แบคทีเรียแลกติกชอบในขณะที่จุลินทรียอ่ืน ๆ ท่ีไมตองการจะถูกยับยั้ง ดวยเกลอื 7.1.2 จุลินทรียทีเ่ กย่ี วของกบั การทาํ ผกั ดอง ในระยะแรกของการหมักจะมีแบคทีเรียตาง ๆ มากมายหลายชนิดเติบโตขึ้นมา แบคทีเรียเหลาน้ีมาจากกะหล่ําปลี น้ํา แตชนิดที่เดน ไดแก พวกผลิตกรด ซ่ึงจุลินทรียที่ เกี่ยวของกับการดองเปนจุลินทรียที่ไมตองการอากาศในการเจริญเติบโต เน่ืองจากการดอง สวนมากจะใชจุลินทรียที่มีตามธรรมชาติ จึงตองมีการปรับสภาวะแวดลอม เพื่อใหเหมาะแก การเจริญของจุลินทรียเหลานี้ โดยเติมเกลือลงไปในปริมาณที่เหมาะสม และบรรจุผักผลไมลง ไปใหแนน ท่ีสุด ใหเหลือชอ งวางทม่ี ีอากาศนอ ยที่สุด ซ่ึงสภาวะเหลาน้จี ะชวยกาํ จดั จลุ นิ ทรียอื่น และกช็ ว ยสงเสริมการเจรญิ ของแบคทีเรียท่ีผลติ กรดแลกติก กระบวนการดองทต่ี องการเปลีย่ นแปลงน้าํ ตาลในผลไมใ หเปนกรดแลกติกจะเปน แบคทีเรียใน family Lactobacteriaceae แบคทีเรียเหลาน้ีจะใชนํ้าตาลและสารอาหารท่ีมีในผัก ผลไมเปนแหลงอาหารในการเจริญเติบโตและผลิตกรดแลกติกออกมา จุลินทรียที่เก่ียวของกับ การดองเปนจุลินทรียที่ไมตองการอากาศในการเจริญเติบโต เนื่องจากการดองสวนมากจะใช จุลินทรียท่ีมีตามธรรมชาติ จึงตองมีการปรับสภาวะแวดลอมเพ่ือใหเหมาะแกการเจริญของ จุลินทรียเหลานี้โดยเติมเกลอื ลงไปในปรมิ าณท่เี หมาะสมและบรรจผุ กั ผลไมลงไปใหแนนที่สุด ใหเหลือชองวางที่มีอากาศนอยที่สุด ซึ่งสภาวะเหลานี้จะชวยกําจัดจุลินทรียอื่นและก็ชวย สงเสริมการเจริญของแบคทเี รียท่ีผลติ กรดแลกติก Family Lactobacteriaceae ที่เก่ียวของกับการดอง ไดแก Leuconostoc, Lactobacillus และ Pediococcus ระหวางกระบวนการดองจุลินทรียท่ีเจริญพวกแรกเปน แบคทีเรียคือ Leuconstoc mesenteroides จากนั้นแบคทีเรียท่ีผลิตกรดแลกติกเจริญเติบโตและ ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สลับซับซอนในผักและผลไมการเจริญของแบคทีเรียที่ผลิตกรด แลกติกแตละชนิดข้ึนอยูกับปริมาณจุลินทรียต้ังตนที่มีในวัตถุดิบ ความเขมขนของเกลือและ น้าํ ตาล และอุณหภมู ิ Lactobacillus plantarum เปนแบคทีเรียทีผ่ ลติ กรดในปรมิ าณสงู และกรด สว นมากเปนกรดแลคติก Pediococcus cerevisiae ก็เชนเดียวกัน Lactobacillus brevis สําคัญ ตอกล่ินรสของผักและผลไมดอง
การดองผัก 93 กะหล่ําปลีดองท่ีดีควรมีสีออน ๆ กรอบ มีกรดประมาณ 1.7 เปอรเซ็นต สะอาด มี กล่ินกรดและกลิ่นหอม จากการศึกษาพบวา กะหลํ่าปลีดองโดยเฉล่ียจะมีพีเอช 3.4-3.6 กรด แลกติก 1.25 เปอรเซ็นต กรดอะซติ ริก 0.3 เปอรเซน็ ต เอทานอล 0.58 เปอรเซน็ ต 7.1.3 วิธีการหมักกะหลํ่าปลดี อง นํากะหลํ่าปลีดองที่โตเต็มท่ี หัวกะหล่ําปลีมีรูปกลม มาตัดสวนใบขางนอกที่มีสี เขียวหรือที่สกปรกออกท้ิง หลังจากน้ันตัดแกนกลางกะหลํ่าปลีออกท้ิง เหลือแตกาบใบ ลาง ดวยน้ําสะอาด การลางน้ีนอกจากชวยลดจํานวนจุลินทรียที่ไมตองการลงแลว ยังเปนการเพิ่ม แบคทีเรียแลกติกมากขึ้นดวย นํากะหล่ําปลีมาตัดเปนชิ้นเล็ก ๆ ขนาดประมาณ 0.08-0.16 เซนติเมตร นํากะหล่ําปลีที่ไดใสในถังหมัก เติมเกลือใหมีความเขมขนประมาณ 2.25-2.5 เปอรเ ซน็ ต คลกุ เคลากะหลํ่าปลีและเกลือใหเ ขา กันดี หลังจากเติมเกลือลงไปจะเริ่มมีนํ้าซึมออก จากกะหล่ําปลี ภายในไมก ี่ชวั่ โมงจะมนี ้ําเกลือและการหมักจะเกิดข้ึน หลังจากบรรจุกะหลํ่าปลี และเกลือลงถังหมักเรียบรอยแลว จะปดทับผิวหนาถังหมักดวยแผนพลาสติกคลุมออกมานอก ถงั หมกั กดทับใหชิ้นกะหลา่ํ ปลจี มในนาํ้ เกลือท้งั หมด ซึง่ จะเปนการปองกันไมใหกะหลํ่าปลีดํา และเกิดการเปลี่ยนแปลงกลิ่นรสไปในทางท่ีไมตองการ การหมักที่ไมมีอากาศเปนสภาพท่ี เหมาะสมสําหรบั แบคทเี รยี แลกติกซง่ึ ท่มี บี ทบาทในการหมกั ดังกลา ว 7.1.4 การทดลองการหมกั ผกั ดอง ทดลองการหมกั ผกั ดองจะดองผักสองชนดิ ไดแก กะหล่ําปลีดอง และ กมิ จิ ดังน้ี 7.1.4.1 การทดลองท่ี 1 การหมกั กะหล่ําปลดี อง วัตถุดิบ 1. กะหลํา่ ปลที ่ีโตเตม็ ท่ี 2. เกลอื เม็ดทผ่ี สมไอโอดนี อุปกรณท ่ีใชในการหมัก 1. ขวดแกว ปดสนิท 2. ภาชนะที่ทาํ การผสม วธิ ีการหมัก ดงั ภาพท่ี 7.1
94 บทปฏิบตั กิ ารท่ี 7 กะหล่ําปลี ลางทําความสะอาด ตัดสว นทีไ่ มตอ งการทงิ้ ห่ันเปนชนิ้ เลก็ ๆ เติมเกลอื ใช 2.25-2.5 เปอรเซ็นต คลุกเคลา ใหเ ขา กัน บรรจุใสใ นขวดแกว ปดสนทิ ปดทับผิวหนา ดวยพลาติก เตมิ น้ําหรอื นํา้ เกลือบนแผน พลาสติกใหนาํ้ หนักกดทบั ชน้ิ กะหลา่ํ ปลใี หจ มในนํา้ เกลือ หมักทิง้ ไวใ นอุณหภูมติ า่ํ ๆ กะหลํา่ ปลีดอง ภาพท่ี 7.1 แสดงข้นั ตอนกรรมวิธกี ารผลิตผลิตภัณฑผกั ดอง ท่มี า : ดดั แปลงจากราณี (2552) 7.1.4.2 การทดลองท่ี 2 การหมกั กิมจิ ดงั แสดงภาพท่ี 7.2 ดงั น้ี วัตถุดิบ 1. ผักกาดขาว 2. กระเทยี ม 3. หัวไชเทา 4. แครอท 5. ตน หอม 6. พรกิ แหงเกาหลี
การดองผกั 95 อปุ กรณท ี่ใชใ นการหมัก 1. ขวดแกว ปด สนทิ 2. ภาชนะท่ที ําการผสม ผกั กาดขาว ลา งทาํ ความสะอาด ตัดสว นท่ีไมต องการทงิ้ ตดั เปน ทอ น ๆ ขนาด 4 น้ิว ในเกลือ 30 % เปนเวลา 2 ชวั่ โมง หมักแหง ตนหอมกับเกลือที่สะอาด 2 ชัว่ โมง โดยโรยเกลอื บน ตน หอมทล่ี า งสะอาดปราศจากดนิ หรอื สิง่ สกปรก ขดู หัวไชเทาและแครอทดว ยเคร่อื งขูด ผสมผกั กาดขาว ตนหอม หวั ไชเทา แครอทและพริกเกาหลี ชมิ รสและปรับรสชาติดว ยเกลอื นํ้าตาลและผงปรุงรส บรรจใุ นขวดท่ีสะอาดผา นการลวกดว ยนา้ํ รอ น จะไดก มิ จิ ภาพที่ 7.2 แสดงข้ันตอนกรรมวธิ ีการผลิตกิมจิ ที่มา : ดัดแปลงจากราณี (2552)
96 บทปฏบิ ตั ิการที่ 7 7.1.5 วิธีการวิเคราะห วธิ กี ารวเิ คราะหท างกายภาพ ทางเคมี และทางจลุ ชีววิทยา ดงั น้ี 7.1.5.1 การวิเคราะหทางกายภาพ หาส่ิงปลอมปนแปง ตามวิธี มอก.1080- 2535 ดังนี้ (1) สิ่งแปลกปลอม ตามวิธี มอก.1080-2535 (2) คา aw ตามวิธี AOAC (2000) (3) ความชนื้ ตามวธิ ี AOAC (2000) (4) วดั สี โดยใช เคร่อื งวัดสี Color-spectrophotometer รุน Ultrascan XE/IX7 โดยวัดคา L*, a* และ b* 7.1.5.2 การวิเคราะหทางเคมี หาปริมาณเกลือโซเดียมคลอไรด ตามวิธี AOAC (2000) ดังนี้ (1) คา pH ตามวิธี มอก.1080-2535 (2) ปริมาณกรดแลคตกิ โดยวิธี titration (3) สีสังเคราะหโ ดยวิธี paper chromatography 7.1.5.3 การวิเคราะหทางจุลชีววิทยา หาจํานวนจุลินทรียท้ังหมดตอ ตัวอยา ง 1 กรมั ตามวิธี AOAC (2000) ดังนี้ (1) ปริมาณยสี ตและรา ตอตัวอยา ง 1 กรัม ตามวิธี AOAC (2000) (2) Staphylococcus aureus ตอตัวอยาง 0.1 กรัม ตามวิธี AOAC (2000)
การดองผัก 97 ใบงานท่ี 7 ชื่อ-สกลุ .....................................................................ช้ันป..................หมายเลข.......................... รายงานผลบทปฏิบตั ิการท่ี 7 เร่อื ง ปฏบิ ัติการดองผกั ผลการทดสอบ 1. ผลการทดลองทางกายภาพของผักดอง ชนิดผลติ ภณั ฑ ทางกายภาพ aw ความชืน้ วัดสี ลกั ษณะ หมายเหตุ โดยรวม ผักกะหลาํ่ ปลดี อง กมิ จิ 2. ผลทางเคมี ชนดิ ผลิตภัณฑ ทางดา นเคมี pH ปริมาณกรด สี หมายเหตุ แลกตกิ ผักกะหลา่ํ ปลดี อง กิมจิ
98 บทปฏบิ ัตกิ ารที่ 7 3. ผลการทดสอบทางจุลชีววทิ ยา ชนิดผลิตภัณฑ ผลการทดสอบจาํ นวนเชือ้ จุลนิ ทรียท ้ังหมด การเจอื จางที่ระดับตาง ๆ 10-5 10-6 ยอ มติดสีแกรม วาดภาพท่ีเหน็ ในกลองจลุ ทรรศน 10-3 10-4 แบคทเี รยี ทงั้ หมด ยสี ต รา Staphylococcus sp. สรปุ ผลการทดลองและวจิ ารณผ ลการทดลอง ................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... .....................................................................................................................................................
การดองผัก 99 คําถามทายบท 1. ในการลางผักท่ีจะนํามาใชในการดองควรลางดวยสารอะไรบาง เพ่ือชวยลด ปรมิ าณยาฆาแมลงและพยาธิ 2. การเนา เสยี ของผกั ดองในการหมกั เกิดจากสาเหตใุ ดบาง 3. หากตองการใหผ กั และผลไมม ีความกรอบ ควรทาํ อยางไร เอกสารอางอิง ราณี สุรกาญจนกุล. 2552. ปฏิบตั ิการเทคโนโลยขี องผลไมแ ละผกั . ภาควชิ าเทคโนโลยี อาหาร คณะวิทยาศาสตร มหาวทิ ยาลยั รามคําแหง. 204 น. AOAC. 2000. Official Methods of Analysis of the Association of Official Analytical Chemists. (17thedition). Gaithersburg, MD, USA. 1018 p.
บทปฏบิ ตั กิ ารท่ี 8 การผลติ เตาเจ้ยี ว 8.1 การเตรยี มเช้ือเร่มิ ตน กลาเชื้อ หรือเชื้อเริ่มตน (starter) หมายถึงเช้ือที่ใชเร่ิมตนในการหมัก ซึ่งมักใช เช้ือจุลินทรียที่อยูในระยะ log phase นอกจาน้ียังมีการเตรียมเช้ือจุลินทรียท่ีเก็บไวในรูปเซลล คงทน เชน ในลูกแปงขาวหมากจะมี Chalamyldospore ของเช้ือ Amylomyces rouxii ซึ่งเปน สปอรท ี่มีผนังหนา ทําใหค งทนตอสภาพแวดลอมไมเหมาะสมไดดี โดยเฉพาะสภาพท่ีแหงแลง ลูกแปงขาวหมากสามารถเก็บไดนานถึง 6 เดือน และยังสามารถใชเปนเชื้อเร่ิมตนในการหมัก ได (วิลาวลั ย, 2536) 8.1.1 ขัน้ ตอนการเตรียมกลา เชอ้ื เตา เจย้ี ว ขั้นตอนการเตรียมกลาเชื้อ Aspergillus oryzae มีดังนี้ 1. ช่งั ขาวสาร 30 กรัม ใสใ นถงุ รอนขนาด 8 x 12 นิว้ 2. ใสนาํ้ ลงในขา วสาร 5 ซีซี 3. ใสคอขวด อดุ ดวยสาํ ลี ปดดว ยกระดาษ 4. เอาไปนึ่งฆาเชื้อในหมอความดัน โดยใชความดัน 15 ปอนดตอตารางน้ิวนาน 15 นาที 5. เอาออกจากหมอทง้ิ ใหเยน็ 6. เข่ยี เชือ้ Aspergillus oryzae ใสในถงุ ขาว 7. บม ไวท ีอ่ ณุ หภมู ิหองนาน 5 วนั 8. นํามาอบท่อี ณุ หภมู ิ 45 องศาเซลเซียส นานประมาณ 6 ชั่วโมง ใหมีความชื้นตํ่า กวา 10 เปอรเซ็นต หรือเอามาผสมกับแปงมันสําปะหลังที่เตรียมเอง โดยเอามันสําปะหลังมา ปอกเปลือก แลวหั่นเปนช้ินบาง ๆ เอาไปตากแดดใหแหง จากน้ันนํามาบดจะไดแปงมัน สาํ ปะหลงั ใชผสมกบั กลาเชือ้ โดยใชอ ตั ราสวนกลาเชือ้ ตอ แปงมันสําปะหลังเทากับ 1 : 10 และ
102 บทปฏิบตั กิ ารที่ 8 กลาเช้ือน้ี 100 กรัม ใชหมักถ่ัวเหลือง 5 กิโลกรัม กลาเช้ือท่ีไดน้ีจะเก็บไดนาน โดยไม เปลย่ี นแปลงถา ควบคุมความช้ืนใหต ่ํากวา 10 เปอรเซน็ ต 9. เก็บกลาเช้ือไว 1 สัปดาห ถาเหมือนเดิม แสดงวากระบวนการทํากลาเชื้อ ถูกตอง 10. รายงานลกั ษณะของกลาเช้อื ทีไ่ ด 8.1.2 การเตรียมโคจิ การเตรยี มโคจิ มีขน้ั ตอน (วารณุ ี, 2545) ดงั นี้ 1. นาํ ถว่ั เหลือง 1 กโิ ลกรัม คัดเอาเมด็ ลีบ เม็ดเสยี และเศษดินทรายท้ิง 2. ลา งใหส ะอาด 3. ตมจนถ่ัวเหลืองมีสีน้ําตาลแดง หรือนําไปนึ่งที่ความดัน 10 ปอนดตอตารางน้ิว นาน 1 ช่ัวโมง เมื่อบด้ี วยมอื พบวา ถว่ั ถกู บี้แบนท้ังเปลอื กและเน้อื ถ่ัวยังอยคู าน้วิ มือ 4. นาํ มาสะเดด็ นํา้ และท้งิ ใหเยน็ 5. คลุกกับแปง สาลี 300 กรมั และสปอรของเชื้อรา 4.3 กรัม 6. นาํ มาแผล งในกระดง หรอื ตะกราพลาสติกหนาประมาณ 2-3 นว้ิ 7. บมที่อุณหภูมหิ อ งเปน เวลา 2-3 วนั จะไดโ คจิ 8.1.3 การหมกั โคจใิ นนาํ้ เกลือ การหมกั โคจใิ นน้าํ เกลือ มีขน้ั ตอนดังน้ี 1. นาํ โคจิมาบีใ้ สถ ังหมักหรอื ไห 2. ใสน้าํ เกลอื ท่มี คี วามเขมขน 17-22 เปอรเซ็นต ลงไป 2 กิโลกรัม ปดปากไหให สนทิ 3. นําไปบมที่กลางแดด โดยคนทุกวันในสัปดาหแรกและลดลงเหลือคนทุก สปั ดาหจนครบ 2 เดือน จะไดเ ตา เข้ยี วดิบเกรด 1 8.1.4 การทดลองผลิตเตา เจีย้ ว การทดลองผลติ เตา เจ้ยี ว ตอ งเตรยี มวสั ดุอปุ กรณ และวธิ กี ารทดลอง ดงั นี้
การผลิตเตาเจี้ยว 103 8.1.4.1 วสั ดุอุปกรณ มีดังน้ี (1) ปลายขา ว (2) น้าํ กลั่น (3) ถงุ รอนขนาด 8 x 12 นิ้ว (4) คอขวด (5) ลาํ สี (6) กระดาษหนังสือพมิ พ (7) หนงั ยาง (8) เครอ่ื งช่ัง (9) หมอ วดั ความดันไอนา้ํ (10) หมอตม (11) หวงเขยี่ เช้ือ (12) ตะเกยี งแอลกอฮอล (13) เชอ้ื Aspergillus oryzae (14) ถ่ัวเหลือง (15) แปง สาลี (16) ไห (17) กระดง หรือตะกราพลาสตกิ (18) เกลอื (19) ขวดพรอมฝา (20) กระดาษวดั pH 8.1.4.2 วิธกี ารทดลอง ดังน้ี (1) เตรียมกลา เชื้อ A. oryzae แลวบันทกึ ลักษณะของกลา เชอ้ื ต้ังแต วนั ท่ี 1 ถงึ วันท่ี 5 (2) เตรียมโคจิ แลว บันทกึ ลกั ษณะของโคจิตง้ั แตวนั ที่ 1 ถึงวนั ท่ี 3 (3) หมักโคจิในน้ําเกลือ แลววัดพีเอชทุกวันในสัปดาหแรกและ บันทึกลกั ษณะของโคจิ
104 บทปฏบิ ตั กิ ารท่ี 8 (4) ตรวจสอบคุณภาพของโคจิท่หี มกั ในนํ้าเกลอื (เตาเจี้ยวดิบเกรด 1) โดยนํามาตรวจสอบทางกายภาพ (ลกั ษณะเนอ้ื ถ่วั ส)ี และประเมินคาทางประสาทสัมผัสโดย การชิม (มาตรฐานผลติ ภัณฑชมุ ชนเตา เจีย้ ว, 2547)
การผลิตเตาเจยี้ ว 105 ใบงานที่ 8 ชื่อ-สกุล.....................................................................ชน้ั ป. .................หมายเลข.......................... รายงานผลบทปฏิบตั กิ ารที่ 8 การทาํ เตา เจีย้ ว ผลการทดสอบ 1.ลักษณะของเช้อื เร่ิมตน วนั ที่ ลักษณะของเชอ้ื เรม่ิ ตน 1 2 3 4 5 2. ลักษณะของโคจิ ลกั ษณะของเชอ้ื เริม่ ตน วนั ที่ 1 2 3 3. พีเอชของโคจิท่ีหมกั ในนา้ํ เกลือ วันที่ ลกั ษณะของเชอ้ื เร่ิมตน 1 2 3 4 5 6 7
106 บทปฏบิ ตั ิการท่ี 8 ลักษณะเตา เจ้ียว 4. ลักษณะของเตาเจยี้ ว ลักษณะตรวจสอบ สี กลิน่ รส เนอ้ื สมั ผัส การแยกชั้น สรปุ ผลการทดลองและวิจารณผลการทดลอง ................................................................................................................................. ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... คาํ ถามทายบท 1. เชอื้ เร่ิมตน เมือ่ ไร 2. โคจคิ ืออะไร 3. การหมกั แบบพ้นื เมืองตางกบั การหมกั แบบนี้อยางไร อธบิ าย
การผลิตเตาเจ้ยี ว 107 เอกสารอางองิ มาตรฐานผลติ ภัณฑช ุมชน 2547. มาตรฐานผลติ ภณั ฑช มุ ชนเตาเจยี้ วเลขท่ี 288/2547. สาํ นักงานมาตรฐานผลติ ภณั ฑอุตสาหกรรม. วลิ าวัณย เจริญจริ ะตระกูล. 2536. ผลติ ภณั ฑอาหารหมกั จากจุลนิ ทรีย. พิมพคร้งั ที่ 1 โครงการสนบั สนุนของคณะวทิ ยาศาสตร มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร. วารุณี ประดิษฐศรีกุล. 2545. คมู ือบทปฏิบัติการ วชิ า เทคโนโลยีหมกั ดอง. คณะวชิ าเทคโนโลยีการอาหาร วิทยาเขตพระนครศรีอยุธยา หนั ตรา สถาบันเทคโนโลยรี าชมงคล.
บทปฏิบัตกิ ารท่ี 9 ขา วหมาก 9.1 ขาวหมาก ขา วหมากคอื ของหวานชนดิ หนงึ่ ท่ีมมี าแตค รัง้ โบราณ เกดิ จากการนําขาวเหนียวที่ นึ่งจนสุกมาเคลากับลูกแปง ลูกแปงซ่ึงเปนหัวเช้ือชวยในการหมักขาวเหนียวนึ่ง โดยเปลี่ยน ขาวเหนียวนึ่งใหกลายเปนน้ําตาลและแอลกอฮอล เน่ืองจากหัวเชื้อแปงขาวหมากมีจุลินทรีย หลายชนดิ ซ่ึงชว ยทําการยอยสลายแปงในขา วเหนียวนงึ่ ใหกลายเปนน้ําตาล และเปลี่ยนน้ําตาล ใหเ ปน แอลกอฮอล ขาวหมากเปนอาหารหมักพื้นบานของไทย ทําจากขาวเหนียวท้ังขาวเหนียว ธรรมดา และขาวเหนียวดํา แตขาวเหนียวดํามักไมคอยพบบอยนัก ในการทําขาวหมากจะตอง ใชลูกแปงขาวหมาก ซ่ึงมีลักษณะเปนกอนแปงครึ่งวงกลม สีขาวนวล นํ้าหนักเบา ในลูกแปง ขาวหมากจะมีเช้ือราสกุล Mucor sp., Amylomyces sp. ซึ่งสามารถสรางเอนไซมอมิเลสออกมา ยอ ยแปงในขาวเหนียวใหเปนน้ําตาล น้าํ ตาลหรอื นาํ้ หวานทีไ่ ดจ ากการยอ ยขาวเหนยี วน้ี เรียกวา นํ้าตอย มีความหวานประมาณ 30-40 องศาบริกซ นํ้าตอยนี้จะมีรสหวานจัดและซานิด ๆ เนือ่ งจากคารบอนไดออกไซดทีเ่ กิดระหวางการหมกั จุลินทรียในลูกแปงมีท้ังเชื้อรา ยีสต และแบคทีเรีย เปนกลาเชื้อ (mixed culture) ในลูกแปงแตละชนิดน้ันจะมีความแตกตางกันทั้งชนิดและปริมาณของจุลินทรีย เชน ลูกแปง เหลาจะพบเช้ือราทั้ง Rhizopus spp. และ Amylomyces rouxii ยีสต S. cerevisiae และ แบคทีเรียพวกที่สรางกรดแลกติก และกรดอะซีตริก แตแบคทีเรียเหลานี้จะพบไดนอยจาก เคร่ืองเทศที่ใส เชน ขิง ชะเอม อบเชย ดอกจันทร และลูกจันทร มีฤทธิ์ยับย้ังการเจริญของ แบคทีเรียพวกน้ีไดอยางมีประสิทธิภาพ (อรนุช, 2530) ลูกแปงทําหนาท่ีเปล่ียนแปงใหเปน น้ําตาล แลวเปล่ียนนํ้าตาลใหเปนแอลกอฮอลไปดวย ลูกแปงที่ดีจะโปรงเบา สีขาวนวล ไมมี รอยแตกราว กอนแปงเปนรูพรุน ซึ่งเกิดจากการฟูของแปงขณะบม เมื่อขย้ีจะยุยเปนผงละเอียด ไมมีกล่นิ เหมน็ เปรีย้ ว มีรปู รา งและขนาดตาง ๆ
110 บทปฏิบตั ิการที่ 9 9.1.1 วตั ถุดบิ ทีใ่ ชใ นการทาํ ขาวหมาก วัตถุดิบท่ีใชในการทําขาวหมาก แบงออกได 3 อยางดวยกัน คือ วัตถุดิบหลัก ลูกแปง และภาชนะทใี่ สขา วหมาก 1. ขาวเหนยี ว ควรใชข าวเหนยี วอยา งดี 2. ลูกแปงขาวหมาก ประกอบดวยจุลินทรียท่ีพบในลูกแปง ไดแก ราพวก Mucor Rhiaopus Amylomyces ยีสต Endomycopsis Hansenula และ Saccharomyces sp. 3. นาํ้ ตองใชน ํา้ สะอาด 4. ภาชนะใสข าวหมาก นยิ มใชใ บตอง หรอื กลอ งพลาสติก 9.1.2 วตั ถุดิบท่ีใชใ นการทําลกู แปง วัตถดุ ิบทีใ่ ชใ นการทําลกู แปง มีดงั น้ี 9.1.2.1 แปง ใชไดทั้งแปงขาวเหนียว และแปงขาวเจา แตผลการศึกษา พบวา ลกู แปงท่ีผลติ โดยใชแปง ขา วเจาลว น ๆ จะมคี ุณภาพดกี วา ทผ่ี ลติ ดวยแปงขา วเหนียว 9.1.2.2 สมุนไพร เปนองคประกอบที่สําคัญ ซึ่งแตละสูตรจะมีการผลิตลูก แปง ท่ีแตกตางกนั ไป แตมกั จะเกบ็ เปนความลับท่ีถายทอดกันเฉพาะในครัวเรือน ขอควรสังเกต คือ ชนิดและปริมาณของสมุนไพร สมุนไพรท่ีเปนของแหง ตองแหงสนิทปราศจากการเจริญ ของเช้อื รา ความเกา ใหมข องสมนุ ไพรมีผลตอการทําลูกแปงเชนกัน สตู รท่ใี ชใ นการทําลกู แปง มีดว ยกนั หลายสตู ร เชน ตารางที่ 9.1 และ 9.2
ขาวหมาก 111 ตารางที่ 9.1 สูตรตาํ รบั ลกู แปง ขา วหมาก สตู รที่ 1 องคประกอบ ปริมาณ (กรมั ) ชะเอม 180 พริกไทย 60 ดีปลี 120 กระเทียม 420 ขิง 120 ขา 60 ขาวเจา 1,200 หมายเหตุ หนวยเดมิ เปนตาํ ลงึ และชง่ั ท่มี า : กฤษณามรวสิ ิฐ (2549) ตารางท่ี 9.2 สตู รตํารับลกู แปง ขา วหมาก สตู รท่ี 2 องคป ระกอบ ปริมาณ (กรัม) ชะเอม 15 พรกิ ไทย 7 (เมลด็ ) ดปี ลี 60 กระเทยี ม 15 ขิงแหง 15 ขาแหง 15 ขาวเจา 1,500 หมายเหตุ หนวยเดิมเปนบาท ที่มา : พิไลพรรณ (2553)
112 บทปฏิบตั ิการที่ 9 9.1.3 วธิ กี ารทําแปงขา วหมาก วธิ ีการทาํ แปงขาวหมาก มีลําดับข้ันตอน (ดัดแปลงจากการทําแปงขาวหมากแบบ ไทย ๆ , 2535) ดังน้ี 1. ขา วเหนียวอยา งดี 2. ลา งและแชน้ําคางคืนหรอื อยา งนอ ยประมาณ 3 ชวั่ โมง 3. เอาขึ้นจากนํ้า สะเด็ดนํ้ารองดวยผา ขาวบาง สะเดด็ นํ้าใหแหงมากท่ีสุด เพราะถา ขาวเปย กหรอื แฉะจะมเี ชื้อแบคทเี รยี ทาํ ใหขา วหมากเปรย้ี วไดงา ย 4. นําขา วเหนียวมานึง่ จนขาวเหนียวสกุ ทว่ั ถงึ กัน 5. นาํ นาํ้ 250 มลิ ลิลิตร นําขา วเหนียวมาผลดั ขา วเหนยี วใหท วั่ ถึงกัน 6. นําขา วเหนยี วมาน่งึ ใหสุกอกี ครง้ั 7. ทงิ้ ไวใ หเย็น 8. เกลี่ยขาวใหก ระจายหนาเทา ๆ ไวในถาด เพือ่ ใหเ ย็น 9. โรยและคลุกลูกแปงขาวหมาก โดยการนํามาบดละเอียดดวยโกรง แลวรอนเอา เศษท่ีไมตองการออกกอนนํามาโรยลงในขาวเหนียวท่ีเตรียมไว โดยมีอัตราสวนดังน้ี 3 ฝา ใช ขาวเหนียว 2 ลิตร และหากใชลูกแปง 6 ฝา ใชขาวเหนียว 4 ลิตร (อัตราสวนการใชลูกแปงตอ ขาวเหนียวนี้ แลวแตวาเราจะนําลูกแปงขาวหมากมาจากที่ไหน ซ่ึงเวลาตอนซื้อน้ันจะตองถาม วาอตั ราสว นในการใชล ูกแปงตอขา วเหนียวเปนอยางไร) 10. ใสนํ้าตาลทรายแดง โดยโรยใหทั่ว (กระจายเทา ๆ กัน) หากตองการให ขาวหมากมีความหวานมาก ๆ ก็ใสนํ้าตาลใหมาก แตหากตองการใหมีความหวานพอดี ก็แค โรยนํา้ ตาลใหเทาถึงกัน 11. บรรจุใสภาชนะท่ีแหงและสะอาด เชน กลอง หรือหอใบตองใหขาวเรียงตัว กันหลวม ๆ ไมก ดแนน ไมควรหนามาก และใหมีที่วา งเหนือภาชนะเพอื่ ใหม อี ากาศเพียงพอ 12. เก็บไวในที่รมประมาณ 2-3 วัน จนเปนขาวหมากท่ีมีรสหอมหวานชวน รับประทาน
ขา วหมาก 113 ขา วเหนียว ลางนา้ํ ใหสะอาด นํามาแชน ้ําดวยน้ําสะอาด แชนา้ํ 3-12 ชว่ั โมง หรือ หนง่ึ คนื นึง่ นํานํ้ามาผลัดใหท่ัวถงึ ขาวเหนยี วแลวนํานึ่งอกี รอบ ท้ิงไวใ หเ ย็น นําลกู แปง มาบดใหละเอียด แลวโรยบนหนาขาวเหนยี ว โรยนา้ํ ตาลทรายแดงลงไปดา นบนขา วเหนยี วแบบบาง ๆ หมักไว 2-3 วนั ขาวหมาก ภาพที่ 9.1 ข้นั ตอนการทําขา วหมาก ที่มา : พไิ ลพรรณ (2553) 9.1.4 วสั ดุอุปกรณ วสั ดอุ ุปกรณ มดี งั นี้ 1. ลกู แปงขาวหมาก 2. ปลายขา วเจา 1 ลติ ร 3. เคร่อื งเทศ ขิง ขา ชะเอม และ ดีปลี 4. กระดง
114 บทปฏบิ ตั ิการที่ 9 5. ใบตอง 6. กระสอบ 7. ขาวเหนยี วพันธุเขย้ี วงู 8. Ebulliometer 9. เคร่ืองชง่ั 10. ปเ ปด 9.1.5 วิธีการทําลกู แปง ขา วหมาก วธิ ีการทําลกู แปงขาวหมาก มลี าํ ดบั ขน้ั ตอน ดังนี้ 1. เตรียมแปงโดยใชแปงขาวเจา นํามารอนใหแปงเปนเน้ือเดียวกัน เอาเศษขยะ ตา ง ๆ ทไ่ี มต องการออก 2. บดสมุนไพรชนิดแหงใหละเอียด นําไปบด และ นําไปอบแหงโดยใชอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซยี ส 3. ผสมแปงและสมุนไพรกับลูกแปงเกา โดยมีอัตราสวนดังน้ี ลูกแปงเกา 5 กรัม ตอ แปง 1 กิโลกรัม 4. การนวดแปงใหเขากับสมุนไพร นํานํ้าตมที่เย็นแลวมาเติมลงไปในปริมาณที่ เหมาะสมเม่ือนวดแปงแลวจะปนเปนกอนได ปริมาณนํ้าท่ีใชนั้นกําหนดไดไมแนนอนขึ้นกับ ความแหงของแปงทใ่ี ช ซ่ึงตองอาศัยประสบการณของผูผลิต เชน แปงที่ใชมีความช้ืนประมาณ 8% และสมุนไพรแหง พบวาเมื่อนวดแปง 100 กรัมกับน้ํา 80-85 มิลลิลิตร แปงท่ีนวดไดจะมี ความชืน้ ประมาณ 45-46% ซึง่ เปนระดับความช้นื ท่เี หมาะสมท่ีสุด โดยปนแปงใหเ ปนกอ นได 5. เมื่อนวดแปงจนเหนียวแลวจึงปนเปนกอนกลมขนาดเทา ๆ กัน พบวาการหมัก แปงท่ีนวดแลวไวประมาณ 6-12 ช่ัวโมง แลวจึงนํามาปนจะไดลูกแปงที่มีคุณคาดีกวาปนโดย ไมหมกั แปง 6. เรียงลูกแปงบนกระดงหรือภาชนะกั้นโปรงอ่ืน ๆ ใหแตละลูกหางกันเล็กนอย เนื่องจากจุลินทรียเจริญจะทําใหลูกแปงฟูขึ้น สวนของลูกแปงดานที่ติดกับภาชนะจะแบนราบ ตามผิวทส่ี มั ผัส โดยทีด่ า นบนยังคงรูปรางโคงเปน คร่งึ วงกลม 7. เมอื่ เรยี งลกู แปง เต็มภาชนะแลว โรยผงลูกแปงที่เตรียมไวลงบนผิวของลูกแปง ที่ปนใหม โดยใชผงลูกแปงประมาณ 15 กรัม ตอสูตรท่ีใชแปง 1 กิโลกรัม คลุมภาชนะดวยผา หนา ๆ โดยไมใ หผาสมั ผสั กบั ผิวลกู แปง บม ประมาณ 48 ชั่วโมงนําไปตากแดดใหแหงแลวเก็บ
ขา วหมาก 115 ในภาชนะทปี่ ด ฝาไดส นิท การทล่ี กู แปง ไดรบั แสงแดดโดยตรง จะทาํ ใหป รมิ าณจุลนิ ทรียลดลง ไปบาง ซ่ึงเปนผลจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ดังน้ันจึงควรตากลูกแปงโดยมีแผนกระจกใส กั้นแสงอยดู านบน หรือการอบในตูอบ (สพุ ัฒน และคณะ, 2545) 9.1.6 การทดลองทาํ ลูกแปง (มาตรฐานผลิตภณั ฑชุมชนขา วหมาก, 2546) การทดลองทําลกู แปง (นภา, 2534) ดงั น้ี 1. หาวัตถุดิบในการทําลูกแปง ทั้งสองสูตรมาทาํ การทดลอง 2. ทําตามวิธกี ารทําลกู แปง ทไ่ี ดกลา วไวแ ลวขางตน 3. เปรียบเทียบลูกแปงทั้งสองสูตรที่ไดทําการทดลอง โดยนํามาทําแปงขาวหมาก ในการทดลองที่ 9.1.7 อีกครั้ง (ใชลูกแปง ที่ผลิตขึน้ เอง) 4. ทดสอบลูกแปงท่ีผลิตข้ึนเองจาก ลูกแปงสงขลา นครศรีธรรมราช และตรัง แลวนาํ ไปวเิ คราะห ดังนี้ 4.1 ดา นกายภาพ ไดแ ก กลิน่ สี ลกั ษณะท่วั ไป และทดสอบชิม 4.2 ดานจลุ ชิ วี วทิ ยา ตรวจแบคทีเรียทั้งหมด ดูขนาด และ รูปรางของแบคทีเรีย ดานเคมี ตรวจหาพีเอช ปรมิ าณแอลกอฮอล เปน ตน 5.สรปุ ผลการทดลองและอภปิ รายผลการทดลอง 9.1.7 การทดลองทําแปง ขาวหมาก การทดลองทําแปงขาวหมาก จากลูกแปงท่ีไดทําไวแลวในขอท่ี 9.1.6 (ไพบูลย และคณะ, 2548) ดงั นี้ 1. ทาํ ตามวธิ ีการทีไ่ ดก ลาวไวแ ลว 2. นําลูกแปงของจังหวัดตาง ๆ ไดแก สงขลา นครศรีธรรมราช และตรัง โดย นาํ มาทาํ แปงขาวหมาก 3. ใชวัตถุดิบขาวเหนียวขาวเปนตัวควบคุม และใชขาวพันธุพื้นเมืองเปนชุด ทดลอง โดยทําการทดลองซ้ํา 3 ชดุ การทดลอง 4. การทดลองนําลูกแปงที่มีการผลิตแตกตางกันของแตละจังหวัดนํามาศึกษา การแปงขาวหมาก และ การทําลูกแปง ตามวิธีการทําของแตละชนิด โดยมีการวิเคราะหผล ขาวหมาก 4.1 ดานกายภาพ ไดแ ก กลนิ่ สี ลักษณะทว่ั ไป และทดสอบชิม
116 บทปฏิบตั กิ ารที่ 9 4.2 ดานชีววิทยา ตรวจแบคทีเรียทั้งหมด ดูขนาด และ รูปรางของแบคทีเรีย ดานเคมี ตรวจหาพเี อช ปรมิ าณแอลกอฮอล เปน ตน 4.3 สามารถนําไปดัดแปลงทําเปนอาหาร หรือ พัฒนาเปนผลิตภัณฑควบคูกับ อะไรไดอ ีกบา ง 5. สรุปผลการทดลองและอภปิ รายผลการทดลอง
ขาวหมาก 117 ใบงานท่ี 9 ช่อื -สกุล.....................................................................ชน้ั ป. .................หมายเลข.......................... รายงานผลบทปฏบิ ตั ิการที่ 9 การทําลกู แปงและแปง ขา วหมาก ผลการทดสอบ ทดสอบชิม 1. การทดสอบลูกแปงที่ผลิตเอง ลูกแปง ดานกายภาพ กลิ่น สี ลกั ษณะทัว่ ไป ผ ลิ ต ลู ก แ ป ง จ า ก ลู ก แปง ตรัง ผลิตลูกแปงจากลกู แปง นครศรฯี ผลติ ลูกแปง จากลูก แปงสงขลา 2. ดานชีววทิ ยาของลูกแปง ทผี่ ลติ เอง ปริมาณแอลกอฮอล ลูกแปง ดา นชีววทิ ยา แบคทีเรยี รปู รางของ พีเอชในนา้ํ หมัก ทั้งหมด แบคทเี รยี ที่ ท่อี อกจากแปง ตรวจเจอในลกู ขาวหมาก แปง ผ ลิ ต ลู ก แ ป ง จ า ก ลู ก แปงตรัง ผ ลิ ต ลู ก แ ป ง จ า ก ลู ก แปงนครศรฯี ผ ลิ ต ลู ก แ ป ง จ า ก ลู ก แปง สงขลา
118 บทปฏิบตั กิ ารท่ี 9 3. ลักษณะทางกายภาพแปง ขาวหมากท่ผี ลิตไดจากลูกแปง แปงขา วหมาก ลกั ษณะทางกายภาพ แปงขาวหมากผลิตข้ึน กลิ่น สี ลกั ษณะทั่วไป ทดสอบชิม จากมลี ูกแปง ตรงั แปงขาวหมากผลติ ขน้ึ จากมลี กู แปงนครศรฯี แปงขา วหมากผลติ ขึ้น จากมีลูกแปงสงขลา 4. ลักษณะทางชีวภาพของแปง ขาวหมากทผ่ี ลิตไดจากลกู แปง แปง ขาวหมาก แบคทีเรีย ลักษณะทางชีววิทยา ปริมาณแอลกอฮอล ท้ังหมด รูปรางของ พีเอชในนํา้ หมกั แปง ขา วหมากผลิตขึ้น แบคทเี รียที่ ท่อี อกจากแปง จากมีลกู แปงตรัง ตรวจเจอในแปง ขาวหมาก แปงขาวหมากผลิตขึน้ ขาวหมาก จากมีลูกแปงนครศรีฯ แปง ขาวหมากผลิตข้ึน จากมลี กู แปง สงขลา
ขา วหมาก 119 สรุปผลการทดลองและวจิ ารณผ ลการทดลอง ................................................................................................................................. ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... คาํ ถามทายบท 1. ลกู แปง ขาวหมาก มีจุลนิ ทรียช นิดใด 2. หากตองการปรับปรงุ ใหข าวหมากมคี วามหวานจะทาํ อยา งไร 3. หากตอ งการใหไดขา วหมากท่มี ีความสม่าํ เสมอในการผลิตจะทาํ อยา งไร
120 บทปฏบิ ตั ิการท่ี 9 เอกสารอา งอิง “การทําขา วหมากแบบไทย ๆ”. มตชิ นบทเทคโนโลยีชาวบา น (ปที่ 4 ฉบับท่ี 49 ฉบับ 49 มิถนุ ายน 2535) กฤษณามรวิสฐิ , ขนุ . 2494. ขาวหมาก. สามติ สาร. 7(2): 75-79. พไิ ลพรรณ พงษบ ูล. 2523. การศกึ ษาชวี วิทยาของลกู แปงขาวหมาก. รายงานการวจิ ยั สาํ นักงานคณะกรรมการวิจยั แหงชาติ. สพุ ฒั น กมุ พทิ ักษ และกําพล กาหลง. 2545. อุ สาโท น้าํ ตาลเมา เหลา ตม เหลา พ้นื บา น ไทย. เกษตรธรรมชาติ. 8: 12-17. ไพบูลย ดา นวิรทุ ัย และพัฒนา เหลาไพบลู ย. 2548. ไวนผ ลไมและสาโท ผลิตดว ย ความมน่ั ใจไดอ ยา งไร. ขอนแกน: คลังนานาวิทยา. นภา โลท อง. 2535. กลา เชือ้ อาหารหมกั และเทคโนโลยกี ารผลติ . ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร. พมิ พที่ พบั ยลิชซ่งี กทม. 159 น. มาตรฐานผลติ ภัณฑช มุ ชน 2546. มาตรฐานผลติ ภณั ฑชุมชนขา วหมากเลขที่ 162/2546. สํานกั งานมาตรฐานผลิตภัณฑอ ุตสาหกรรม. อรนชุ อุตรภชิ าติ. 2530. การคัดเลอื กแบคทเี รยี แลกตกิ ซ่งึ สามารถยบั ยัง้ การเจรญิ ของ เชือ้ ซลั โมเนลลาและการผลติ กลา เชอื้ ผงเพ่ือใชหมักแหนม. วิทยานิพนธ วิทยาศาสตรม หาบณั ฑิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.
บทปฏบิ ัติการที่ 10 การหมักไวนผลไม 10.1 การหมักไวนผ ลไม ไวนผลไมเ ปนเคร่ืองด่มื แอลกอฮอลท ี่ไดจากการหมกั นํ้าผลไมกบั เช้ือยีสตซ ง่ึ โดยสวนใหญแ ลวไวนท ่ีผลติ กันแตเ ดมิ จะใชอ งุน ซึง่ เปน ผลไมท ม่ี รี สชาตฝิ าด สสี นั สวย และมี สรรพคุณทางยา แตองนุ ไมส ามารถปลูกไดท่ัวไปในประเทศไทย ดว ยเหตุผลดังกลาวจึงไดมี การนําผลไมทม่ี อี ยใู นทองถนิ่ มาผลติ กนั มากขึน้ ในประเทศ แตผลไมท ี่นาํ มานน้ั ตอ งมีรสชาติ และสสี ัน ทีมีลกั ษณะคลา ย ๆ กับองนุ หรอื อาจมีสรรพคณุ ทางยา มาใชใ นการทาํ ไวน เชน ไวนมะเมา ไวนกระเจย๊ี บ และ ไวนมงั คุด ซง่ึ เมือ่ นํามาใชในการทําไวนม สี สี ัน และความ อรอยไมแ พ ไวนท่ที ํามาจากองุนเชน กนั 10.1.1 ชนิดของไวน การแบง ชนดิ ของไวน มีวธิ ีการแตกตางกันหลายวิธีดงั นี้ 10.1.1.1 การแบงไวนต ามเปอรเซ็นตข องแอลกอฮอล ดงั น้ี (1) ไวนธรรมดา (natural wine) คือ ไวนท่ีมีแอลกอฮอล ประมาณ 9-14% (2) ไวนอยางแรง (desert and Appetizer wine) คือ ไวนที่มี แอลกอฮอลประมาณ 15-21% 10.1.1.2 การแบงไวนต ามความหวาน แบง ได 2 ชนิด คือ (1) ไวนชนิดท่ีไมหวาน (dry wine) ปริมาณนํ้าตาลนอยกวา 1% ผทู ่ชี อบด่มื ไวนช นิดน้มี ักผานการดม่ื ไวนม ามากพอควรแลว (2) ไวนหวาน ( sweet wine) ปริมาณนํ้าตาลประมาณ 14% ผูที่ ชอบด่มื มกั จะเปน ผหู ญงิ หรือผูทห่ี ดั ด่มื ไวนใหม ๆ
122 บทปฏบิ ตั กิ ารท่ี 10 10.1.1.3 การแบง ไวนต ามปรมิ าณคารบอนไดออกไซด แบง ได 2 ชนดิ คอื (1) ไวนชนิดท่ีไมมีกาซคารบอนไดออกไซด (still wine หรือ table wine) คือไวนท ี่ไดจ ากการหมักท่ัวไป (2) ไวนท่ีมี CO2 (sparkling wine) เปนไวนที่ผานการหมัก 2 ขน้ั ตอน คือ การหมักคร้ังแรกเชน เดยี วกบั ไวนธ รรมดา แตหมกั ครงั้ ท่ี 2 ปรมิ าณ CO2 จะถกู เกบ็ ไวในขวดเพอื่ ใหเ กดิ ความซา เม่อื เปด และรนิ ไวน 10.1.1.4 การแบงไวนต ามลักษณะสี แบงได 3 ชนดิ คือ (1) ไวนแ ดง (red wine) คอื ไวนท ท่ี ําจากองนุ แดง (2) ไวนขาว (white wine) คือ ไวนที่มีสีใสทําจากองุนขาว อาจจะออกสีเหลอื งหรอื น้ําตาลก็ได (3) ไวนสีชมพู (pink wine) คือ ไวนท่ีไดจากไวนแดงผสมกับ ไวนขาว หรือาจเปนไวนแดงแตสอี อนกวา 10.1.1.5 ไวนชนดิ อื่น ๆ ไดแ ก (1) ไวนด อกไม เชน ไวนกหุ ลาบ ไวนดอกเข็ม (2) ไวนชนิดเติมเครื่องดื่มสมุนไพร หรือสารที่ใหกล่ัน เชน Vermouth ของอติ าลี 10.1.2 กระบวนการผลติ ไวน กระบวนการผลติ ไวน มดี ังนี้ 10.1.2.1 การคัดเลือกผลไม ผลไมท่ีจะนํามาทําไวนควรมีคุณสมบัติดังน้ี คือ มีความสุกพอดี ไมเนาเสยี มีกลน่ิ หอม มสี ีทน่ี ารับประทาน 10.1.2.2 การเตรียมน้ําหมัก การเตรียมนํ้าผลไมสําหรับการหมักไวน ผลไม เปนขั้นตอนท่ีสําคัญมากในการทําไวนผลไม เพราะคุณภาพของน้ําหมักมีผลตอลักษณะ และคณุ ภาพของไวนท หี่ มักไดท งั้ หมด วธิ กี ารเตรยี มน้ําหมกั สามารถทําได 2 วธิ ี คือ (1) การหมักท้ังผล ผลไมท่ีเหมาะสมในการหมักท้ังผล คือ ผลไมที่ตองการสกัดสีออกจากผิวของผลไม หรือผลไมที่มีความนุม เละ เตรียมโดยการแช ผลไมนนั้ ๆ ลงในนํ้าในปริมาณทเ่ี หมาะสม
การหมกั ไวนผ ลไม 123 (2) การหมกั เฉพาะนํา้ ผลไม ผลไมโ ดยทั่วไปจะทําการบีบคั้นน้ํา ออกจากผลไม โดยการบีบอัด แลวผสมนํ้าตามความเหมาะสมเมื่อสกัดนํ้าผลไมไดแลวเตรียม นํ้าหมักโดยการทําลายเชื้อจุลินทรียที่มีในธรรมชาติของผลไม และปรับปริมาณสารอาหารให พอดีกับความตองการของยีสตที่จะใชในการหมัก วิธีการทําลายจุลินทรียสามารถทําได 2 วิธี คอื 1) การตม ผลไมที่จะเตรียมนํ้าหมักโดยวิธีการตม ควรเปน ผลไมท มี่ ีความแขง็ และตอ งการสกดั สีของผลไม การตมมีผลเสยี ตอ คณุ ภาพของนาํ้ หมกั ดังนี้ 1. เกิดปญ หาทําใหไ วนข ุน ยากในการทําใหใสได 2. ความรอนทําใหกลิ่นและรสชาติของนํ้าผลไมโดย ธรรมชาตสิ ญู เสยี 3. การตมผลไม ทําใหเกิดกล่ินสุก (cooked) ของผลไม ทําใหไ วนมกี ลน่ิ และรสชาติท่เี ปลี่ยนไปจากธรรมชาติ ในทางตรงกันขาม การตมผลไมกอนการหมักไวน ก็มีขอดีบางอยาง เชน ชวย ทาํ ใหการสกดั สารอาหารทีเ่ ปน ประโยชนต อ การเจรญิ ของยสี ต และสารอาหารท่เี ปนประโยชน ตอผูบริโภคไวนผลไมไดมากกวาการไมตม ซึ่งจะชวยทําใหไดไวนผลไมที่มีความเขมขน (body) สงู 2) การใชสารเคมี สารเคมีท่ีนิยมใชในการทําลายจุลินทรีย ท่ีไมตองการกอนการหมักไวน คือ โซเดียม หรือโปแตสเซียมเมตาไบซัลไฟท ในปริมาณ ระหวาง รอยละ 0.01–0.02 ขึ้นอยูกับชนิดของผลไมที่จะนํามาทําไวน ถาเปนผลไมที่สกปรก มาก และเนา เสียงาย ควรใชในปริมาณท่มี ากกวาผลไมทีส่ ะอาด ขอดขี องการใชสารเคมี คอื ชวยทําใหเ กดิ การสรา งสารกลเี ซอรอล (glycerol) ใน ปริมาณที่เหมาะสม จะชวยปรับปรุงคุณภาพของไวนในดานความเขมขนของไวน และทําให ไวนมีรสชาติท่ีกลมกลอม ชวยปองกันการเปล่ียนแปลงสี กล่ิน และรสของไวนในระหวาง การหมักและเก็บบม ชวยรักษาปริมาณวิตามินซีท่ีมีในน้ําหมัก อยางไรก็ตาม สารประกอบ ซัล ไฟทก็มีขอเสีย คือ ถาใชในปริมาณมากจะทําใหเกิดความเปนพิษ และยังเปนสารฟอกสีกับ ผลไมบางชนิด
124 บทปฏบิ ตั กิ ารท่ี 10 10.1.3 ปจ จยั ท่ีมีผลตอ การหมักไวน ปจจัยทีม่ ีผลตอ การหมกั ไวน มดี งั นี้ 10.1.3.1 การใชจลุ นิ ทรยี ในการหมกั ไวน มีการใช 2 วิธี คือ (1) ใชจุลินทรียธรรมชาติ ไดมีการศีกษายีสตในผลไมตาง ๆ พบวาในผลไมมียีสตนอย สวนใหญจะพบที่ผิวผลไมภายนอก โดยเฉพาะผลไมท่ีสุกจัด มีรส หวาน เมื่อค้ันเอาน้ําผลไมปลอยทิ้งไว น้ําผลไมจะเกิดการหมักเองโดยจุลินทรียท่ีติดมากับ ผลไม แตชนิดและปริมาณของจุลินทรียเหลาน้ีไมแนนอน แตกตางตามสภาวะแวดลอม อณุ หภมู ิและความช้นื เปน ตน ซง่ึ ทาํ ใหไวนท ่ีไดม ีคุณภาพไมสม่ําเสมอ (2) ใชจุลินทรียบริสุทธ์ิที่คัดเลือกแลว ไดแก เชื้อยีสต สวนใหญ จะเปนยีสตสายพันธุ Saccharomyces cerevisiae เช้ือยีสตที่ใชในการหมักมีสภาพการเก็บรักษา 2 แบบ คอื เชอื้ สดเพาะเลี้ยงบนอาหารเลย้ี งวนุ (nutrient agar) และสภาพผงแหง ซึ่งสามารถเก็บ ไดน านและมีประสทิ ธภิ์ าพทีด่ ีกวา ยีสตสด 10.1.3.2 สภาวะของกระบวนการหมักไวน มดี ังนี้ (1) อณุ หภูมิ ในข้ันตอนระหวางการหมกั จะมพี ลงั งานความรอ น เกิดขึ้น ซึ่งเปนผลจากการท่ียีสตใชน้ําตาลซูโครสในการหมักไวน ความรอนมีผลตอการเจริญ ของยีสต การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของน้ําหมักและอัตราการหมักของเอทานอล ยีสตจะ สามารถเจริญไดดีท่ีอุณหภูมิคอนขางสูง แตถาใชอุณหภูมิที่สูงมากเกินไปจะทําใหการเจริญ ของยีสตและอัตราการผลิตเอทานอลต่ํากวาที่อุณหภูมิการหมักปกติ โดยทั่วไปจะควบคุม อณุ หภูมใิ หอยรู ะหวาง 18-20 องศาเซลเซยี ส (2) pH มีความสําคัญมากตอการเจริญของยีสต อัตราการหมัก ไวน อัตราการผลิตเอธานอล และการสรางสารพลอยไดอ่ืน ๆ ตลอดจนควบคุมการปนเปอน ของจุลินทรยี ทไี่ มตอ งการ (3) ในสภาวะที่มีอากาศ ยีสตจะสามารถแบงตัวในระยะเจริญ เม่ือเวลาผานไปภายใน 24 ช่ัวโมง การเจริญของยีสตในชวงนี้จะใหปริมาณแอลกอฮอลท่ีนอย มาก ยีสตจะผลิตกรดนํ้าสม ทําใหไวนมีรสเปรี้ยวและมีกลิ่นบูด แตในสภาวะไมมีอากาศยีสต จะแบง เซลลไดน อยกวา แตจะใหแ อลกอฮอลไดดกี วา (4) ความเขมขนเอทานอล ในระหวางกระบวนการหมัก ความเขม ขนของเอทานอลจะสูงขน้ึ เรอื่ ย ๆ ซึง่ จะสามารถยบั ย้ังการเจรญิ ของยีสตได
การหมกั ไวนผลไม 125 10.1.4 การทําใหไ วนม คี ุณภาพดี การทําใหไวนม คี ณุ ภาพดี มีดังนี้ 10.1.4.1 การตกตะกอน กระบวนการตกตะกอนของไวนที่ดีสามารถเพิ่ม คุณภาพของไวนไดมาก การตกตะกอนไวนเปนการเติมสารที่มีคุณสมบัติในการกําจัดหรือลด ปรมิ าณสารแขวนลอยทีไ่ มพงึ ประสงคใ นไวน และสามารถชว ยใหไดไวนท ่ใี ส มสี แี ละกล่นิ ทด่ี ี ขึ้น สารท่ีใชในการตกตะกอนไวนควรเปนสารที่ไดจากธรรมชาติ เชน gelatin, tannin หรือ bentonite เปนตน ความขุนที่เกิดขึ้นในไวนเกิดจากเนื้อองุน ยีสต แบคทีเรีย สารแขวนลอย อ่ืน ๆ และสารท่ีเกิดประจุข้ึนระหวางกระบวนการเก็บบมไวน ซึ่งสารเหลาน้ีจะอยูในรูปของ โปรตีนเพคติน หรือสารท่ีเกิดจากการสลายสารในกลุม polyphenol การดูดซับหรือการซึมซับ ของสารที่ใชในการตกตะกอนไวนกับสารแขวนลอย จะไดกลุมสารที่มีขนาดใหญข้ึนงายตอ การกรอง 10.1.4.2 การกรอง เปนข้ันตอนท่ีมีความสําคัญในการเพิ่มคุณภาพของ ไวน ซึ่งใชว ิธีการกรองแบบ microfiltration ทําใหความเขมขน ของสแี ละกล่ินของไวนลดลงได ซ่ึงขน้ึ อยูกับความดนั และอัตราการไหลของไวน 10.1.4.3 การบม เปนชว งเวลาสาํ คญั ทที่ าํ ใหไ วนมีคุณภาพ การบมชวยให ไวนม ีกล่ินหอมและมีรสชาตทิ ดี่ ีข้ึน ไวนทุกชนิดควรมีการบมใหเ พยี งพอ เพอื่ ใหเ กิดการพัฒนา ของกลิ่นหอมที่สมบูรณท่ีสุด ไวนแตละชนิดจะมีระยะเวลาในการบมไมเทากัน ภาชนะในการ บมอาจใชขวดแกว ถังสแตนเลส แตมีขอเสีย คือ ราคาแพง สําหรับในระดับอุตสาหกรรม การ บมไวนน ยิ มใชถ งั ไมโ อค ในระหวา งการบมจะเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมีอยางชา ๆ เพื่อเปล่ียนแปลงสาร ท่มี ีในไวนใหอยูใ นลักษณะที่สมดลุ เปนผลทาํ ใหเกิดการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นรส 10.1.5 วัสดอุ ุปกรณ วัสดอุ ปุ กรณ มีดังตอไปนี้ 1. เชือ้ Sacchromyces cerevisiae สายพันธุท ่ีเหมาะในการทําไวน 2. สับปะรด 3. KMS 4. NaOH 0.1 N 5. hand refactometer
126 บทปฏิบตั ิการที่ 10 6. (NH4)2HPO4 7. สายยาง 8. ขวดแกวปากแคบ 9. ผา ขาวบาง 10. บวิ เรตพรอ มขาตั้ง 11. มีด เขียง 12. หมอตมน้ํา 13. เครอ่ื งช่ัง 10.1.6 ขนั้ ตอนการทําไวน ขน้ั ตอนการทาํ ไวน ดังน้ี 1. เลือกสับปะรดสุกเหลือง ลาง, ตัดหัวทายของผลสับปะรด ปอกเปลือกแลวเอา ตาออกตดั เปน ทอนโดยผา 4 ตามยาว แลว ห่ันเปนทอ น นําไปชง่ั 2. จากขอ 1 นํามาคาํ นวณหาปริมาณ KMS ซึง่ ใช ppm (mg/กก.) 3. เตมิ KMS ที่คาํ นวณไดจากขอ 2 แลวสับสบั ปะรด 4. ค้ันเอาแตน้ําสับปะรดโดยใชผาขาวบาง แลวชั่งนํ้าหนักน้ําสับปะรดท่ีได กรอง นํ้าสับปะรดใสลงในถังปากแคบที่ลางและฆาเช้ือดวยนํ้ายา KMS 500 ppm หรือลวกดวย นํ้ารอ น 5. วัดเปอรเซ็นต Acidity โดยเอาน้ําสับปะรด 10 มล. เติมน้ํากลั่นใหครบ 50 มล. แลวไตเตรทกบั NaOH 0.1 N ถาไดปริมาณกรดมากกวา 0.6% ใหเ จอื จาง แตถา ไดน อยกวา 0.6% ใหเ ตมิ กรดซิตรกิ เพม่ิ จนได 0.6% ตัวอยาง สมมุติวาไดคา Acidity = 0.1540 = Total Acid ในสับปะรด = 0.15 g ตอ 100 มล. 6. คํานวณหาปรมิ าณกรดซติ รกิ 6.1 คํานวณหาปริมาณกรดซิตริกท่เี ติมตอ น้ําผลไมเปนแกลลอน 1 แกลลอน = 4536 มล. ∴ ตอ งเตมิ กรดซติ รกิ = (0.6-0.15) × 4536 = 20.412 กรมั /แกลลอน 100 1 แกลลอน = 4.536 ลติ ร
การหมกั ไวนผ ลไม 127 นํา้ สับปะรดท่เี ตมิ น้าํ แลว 70 ลิตร = 70 = 15.42 แกลลอน เติมกรดซิตรกิ 4.536 = 15.42 X 20.412 = 314.42 กรมั /แกลลอน 6.2 คาํ นวณหาปริมาณกรดซิตริกทเี่ ติมตอนาํ้ ผลไมเ ปนลิตร ตอ งเตมิ กรดเพ่ิม 0.45 กรัม ตอ 100 มล. ของนํา้ สับปะรด ฉะน้ัน 1 ลติ ร เติมกรด 0.45 ×1000 กรมั = 4.5 กรมั = 315.0 กรัม 100 ถา 70 ลติ ร เติมกรด 4.5 x 70 หมายเหตุ ขอ 5-6 อาจเตมิ น้าํ หลังจากทราบคา acidity กอน โดยเตมิ ใหมกี ารคาํ นวณ นํา้ : นาํ้ ผลไม 0.9-0.6 : 0.6 0.3 : 0.6 3 :6 ฉะนัน้ ตองเตมิ นา้ํ 3 กก. ลงในน้ําผลไม 6 กก. 7. วัด °Brix (องศาบริกซ) แลวเปดตารางดูคาความหนาแนน เพ่ือเปล่ียนคาเปน ปริมาณนา้ํ ตาลทม่ี ีในนาํ้ สับปะรด
128 บทปฏบิ ตั ิการท่ี 10 ตารางท่ี 10.1 คา Refrctometer number-density conversion to sugar (กรมั /ลติ ร) °Brix density density to sugar 4 1016 46.1 5 1020 56.5 6 1024 66.9 7 1028 77.4 8 1032 87.8 9 1036 98.2 10 1040 108.7 11 1044 119.2 12 1048 129.6 13 1052 140.1 14 1057 153.2 15 1061 163.7 16 1065 174.2 17 1070 187.3 18 1075 200.5 19 1079 211.0 20 1084 224.2 ท่ีมา : Stanbury และ Whitaker (1984) ตัวอยา ง ถา วดั ได 6°Brix จะไดน้ําตาล = 66.9 กรัม/ลิตร แตจ ะตอ งหักน้ําตาลออกไปอีก ถาได คาดังตอไปน้ี ถา คา Total Acidity : Substrate from sugar (กรมั /ลติ ร) <0.6% = 6 กรัม/ลิตร : 20 กรมั /ลติ ร 0.6-0.9% = 6-9 กรัม/ลิตร : 25 กรัม/ลิตร ลบออกจาก 66.9 >0.9% = 9 กรมั /ลติ ร : 30 กรมั /ลิตร จากขอ 6 ได Total Acidity = 0.15% ดงั นน้ั มนี า้ํ ตาล = 66.9- 20 = 46.9
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387