การหมักไวนผ ลไม 129 ปกติในการเฟอรเมนต น้ําตาลจะเปนตัวบงบอกปริมาณ alcohol จาก Gaylussac equation C6H12O6 2C2H5OH + 2CO2 + 62 kcal น้ําตาล reducing sugar 200 กรัม/ลิตร ให 96.3 กรัม/ลิตร ≅ 12.2% by volume หรอื 12.2% โดยปรมิ าณ ฉะนนั้ จึงเติมนาํ้ ตาล 200 กรัม/ลติ ร ของน้ําผลไม ดังน้นั จึงตองเตมิ นํ้าตาลเพ่ิม = 200-46.9 กรัม/ลติ ร = 153.1 กรัม/ลติ ร นาํ้ สบั ปะรด 1 ลิตร เติมนํ้าตาล 153.1 กรัม นํ้าสับปะรด 70 ลิตร เติมนา้ํ ตาล 153.1 x 70 = 1071.7 กรัม = 10.72 กก. นํ้าตาลทราย 1 กก. จะมปี รมิ าตรเพ่ิมขนึ้ 0.625 ลิตร นํ้าตาลทราย 10.72 กก. จะมปี รมิ าตรเพ่มิ ขึ้น 0.625 x 10.72 ลิตร = 6.6898 ลติ ร 8. เติม Diammonium phosphate {(NH4)2HPO4} เปนแหลงไนโตรเจน และ ฟอสฟอรัสปริมาณ 0.5 - กรัม/ลิตร ตัวอยางถามีน้ําสับปะรด 70 ลิตร ตองเติม 70 กรัม (ประดิษฐ, 2545) 9. เตมิ KMS เพือ่ ฆาจลุ ินทรียท ่ีปนเปอนอกี 100 ppm ในนาํ้ สบั ปะรด 10. เติม pectinase enzyme ใหไวนใส 0.1 มิลลิกรัม/ลิตร หรือ bentonite ซึ่งตอง ทดลองหาปริมาณ bentonite ท่ีเหมาะสมกอน แลวท้ิงไว 1 คืน เพ่ือให KMS หมดฤทธ์ิและน้ํา สบั ปะรดใส 11. เติมกลาเช้ือ 2-5% ของน้ําสับปะรด ซึ่งเตรียมโดยค้ันนํ้าสับปะรด 400 มล. ตมใหเดือด 10 นาที แลวบรรจุในขวดที่ลวกนํ้ารอน ทิ้งใหเย็นและเติมเช้ือยีสต S. cerevisiae บม ไว 1 คนื บนเครอ่ื งเขยาถามี เน่ืองจากชวงน้ีตองการปริมาณเซลยีสต จึงมีการเติมอากาศเพื่อ เช้ือจะไดเ จริญแตกหนออยางรวดเรว็ 12. ใส air lock ที่ปากขวดโดยไมใ หอ ากาศเขา แตใ หคารบ อนไดออกไซดอ อก 13. บมไวท อ่ี ุณหภูมิไมเกิน 20°ซ 14. วัด% แอลกอฮอลโ ดยใช Ebulliometer (ไพบูลย และพฒั นา, 2548)
130 บทปฏิบตั ิการที่ 10 15. หยุดกระบวนการหมัก (Stop fermentation) โดยใชความเขมขน KMS 150 ppm 16. ดูดเอาสวนน้ําที่ใสดานบนของน้ําหมักออก (rack) เพ่ือแยกเอา Autolysed yeast ออก เนือ่ งจาก Autolysed yeast ทาํ ใหเ กดิ กลนิ่ กาซไขเนา (H2S) ควรทาํ หลาย ๆ ครงั้ 17. การบม (aging) เพ่อื กาํ จดั กลน่ิ กา ซไขเ นาและสรา ง ester จาก acid-alcohol 18. เติมโปแตสเซียมซอรเบท (Potassium sorbate) แลวบรรจุขวดท้ิงไว 1 คืน ออกจําหนายได การเติมโปแตสเซียมชอรเบท ข้ึนอยูกับเปอรเซ็นตแอลกอฮอลดังแสดงใน ตารางที่ 10.3 ตารางท่ี 10.2 ปริมาณโปแตสเซยี มซอรเ บททีเ่ ติมในไวนท ่ีมปี รมิ าณแอลกอฮอลตา งกัน % alcohol ปริมาณ กรัม/ลิตร 10 200 11 170 12 135 13 95 14 50 ท่ีมา : Stanbury และ Whitaker (1984) วเิ คราะห และวจิ ารณผลการทดลอง (มาตรฐานผลิตภัณฑช มุ ชนไวนผ ลไม, 2546) สังเกตการเปล่ียนแปลงลักษณะทางกายภาพ (สี กล่ิน) ทางฟสิกส และเคมี ทุก สัปดาห ปริมาณน้ําตาล และ pH เริ่มตน ระหวางการหมักทุก 7 วัน และหลังการหมัก ปริมาณ กรด
การหมักไวนผ ลไม 131 ใบงานท่ี 10 ช่อื -สกลุ ...................................................................ชนั้ ท่ี...........................เลขที.่ .................. บทปฏิบตั กิ ารท่ี 10 การทําไวนผ ลไม ผลการทดลอง 1.ลกั ษณะทางกายภาพของไวนส ับปะรด ระยะเวลา เปอรเ ซ็นต สี กล่ิน รส pH หมัก น้ําตาล 0 7 14 สรปุ ผลการทดลองและวิจารณผ ลการทดลอง ................................................................................................................................. ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................
132 บทปฏบิ ตั ิการท่ี 10 คําถามทา ยบท 1. ทําอยา งไรในการเกบ็ รักษาไวนใ หยาวนานทส่ี ดุ 2. การใสเ ช้อื เริ่มตน 1 เปอรเ ซน็ ต เหมาะสมในการทําสบั ปะรดหรือไม เอกสารอา งองิ ประดิษฐ ครุวณั ณา. 2545. สาโทและสาเก ไวน ศาสตรแ ละศิลป. มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร. กรงุ เทพฯ. มาตรฐานผลติ ภณั ฑช มุ ชน 2546. มาตรฐานผลิตภัณฑช ุมชนไวนเลขท่ี 2/2546. สาํ นักงานมาตรฐานผลติ ภณั ฑอุตสาหกรรม. ไพบลู ย ดา นวิรทุ ัย และพัฒนา เหลา ไพบลู ย. 2548. ไวนผ ลไมและสาโท ผลิตดว ย ความมั่นใจไดอ ยา งไร. ขอนแกน: คลังนานาวิทยา. Stanbury, P.F. and Whitaker, A.1984. Principle of Fermentation Technologyh. Pergamon Press: Oxford. 178-208 p.
บทปฏิบตั ิการท่ี 11 การตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล 11.1 การตรวจสอบคุณภาพของเคร่อื งดื่มแอลกอฮอล ในปจจุบันมีกฎหมายควบคุมไวน ซึ่งกําหนดปริมาณแอลกอฮฮล SO2 Volatile acid การปนเปอนของสารตองหามพวก Monochloroacetic Acid และยังมีกฎซ่ึงกําหนดขึ้นเพื่อ ปองกันการกระทําท่ีผิดกฎหมายในเรื่องการใชน้ํา น้ําตาล แอลกอฮอล หรือการ Blending ดังน้ันการตรวจวิเคราะหจึงมีความสําคัญ ทําใหสามารถผลิตไวนท่ีมีองคประกอบในรูปแบบ เดยี วกนั ได โดยเร่ิมจากทุกข้ันตอนในการผลติ ตองมกี ารวิเคราะหใ นหอ งปฏิบตั กิ ารและการชิม 11.1.1 การวิเคราะหองคป ระกอบองไวน กระบวนการในการตรวจวิเคราะหคุณภาพของเครื่องดื่มแอลกอฮอลมีขั้นตอน ดงั นี้ 11.1.1.1 การสุมตัวอยาง โดยท่ัวไปนํ้าไวนจะมีลักษณะเปนเนื้อเดียวกัน ยกเวนสวนบนของภาชนะที่ใชหมัก ซึ่งจะมีชองวางของอากาศอยู และไวนบริเวณผิวหนานี้มี องคประกอบที่แตกตางจากไวนดานลางของภาชนะบรรจุ เน่ืองจากมีปริมาณ Volatile acid และ SO2 ที่สูงกวา ดังน้ันในการเก็บตัวอยางควรใชสายยางหรือแทงแกวกลวงที่สะอาดจุมลง ไปใหป ลายสายยางหรอื แทง แกว อยบู ริเวณสวนกลางของภาชนะบรรจุ แกวงปลายสายยางหรือ แทงแกวเล็กนอย เพื่อกวนใหไวนผสมเปนเนื้อเดียวกัน แลวจึงดูดตัวอยางไวนขึ้นมา ปริมาณที่ สุมควรแปรผันตามขนาดหรือปริมาณไวนในภาชนะบรรจุ ควรเก็บตัวอยางในขวดแกวหรือ ขวดพลาสติกทีส่ ะอาดและแหง และควรบรรจุตัวอยา งใหเต็มขวด 11.1.1.2 การตรวจวิเคราะหองคประกอบของไวน มักตรวจวิเคราะห องคประกอบดงั น้ี คือ
134 บทปฏบิ ตั ิการที่ 11 (1) Total Soluble Solid (TSS) โดยท่ัวไปการวิเคราะหหาคา TSS ของนํ้าองุนกอนหมักหรือระหวางการหมักไวน ทําได 2 วิธี คือ Hydrometer และ Refractometer (2) น้ําตาล ไวนแตละชนิดจะมีปริมาณนํ้าตาลแตกตางกัน เชน Dry wine ปริมาณน้ําตาล 0.1% Red wine มีปริมาณนํ้าตาล 1-1.5% เปนตน การตรวจวิเคราะห นํ้าตาลในไวนทําได 2 วิธี คือ วิธีของ Lane และ Lynon method โดยนําตัวอยางไวนมาไตเตรท กบั Fehling solution ในสภาพทเี่ ปน ดา งแลวเปรียบเทียบกับน้ําตาลมาตรฐานที่ทําปฏิกิริยาพอดี กับสารละลาย Fehling solution และวิเคราะหน้ําตาลโดยวิธี Rapid Method เปนการหาปริมาณ นํา้ ตาลโดยประมาณซึง่ จะใชเม็ดยา Clinic test ระยะเวลาในการวเิ คราะหส นั้ มาก (3) ปริมาณกรดทั้งหมด โดยการไตเตรทกับ NaOH และตอง ไตเตรทแบบซอ นซ่ึงมวี ธิ ีการคาํ นวณ ดงั น้ี กรดทัง้ หมด (กรมั /100 มล. Tartaric acid) = VN × N×75×100 = 0.075 VN 1,000× VE กรดทงั้ หมด (กรมั /100 มล. Citric acid) = VN × N×75×100 = 0.070 VN 1,000× VE เมอ่ื VN = ปรมิ าตรของ 0.1 N NaOH ท่ีใชทง้ั หมด N = Normality ของ NaOH (0.1 N) VE = ปริมาตรของไวนห รอื น้ําผลไมตวั อยา งที่นาํ มาไตเตรท (4) คา ความเปนกรด–ดาง (pH) ไวนทวั่ ไปจะมีคา pH = 3.5 ± 0.2 (5) Volatile Acidity (AV) นําตัวอยางไวนไปกล่ันกอนโดยเก็บ distillate มา 100 มล. แลวนํา distillate มาตมไลกาซ CO2 โดยใหเดือดประมาณ 30 วินาที จากนั้นนาํ มาไตเตรทกับ 0.1 N NaOH %VA = VN × N ×60 ×100 = 0.060 VN 1,000 × VE (6) แอลกอฮอล (Alcohol) การวิเคราะหปริมาณแอลกอฮอลทําได 2 วธิ ี ดงั น้ี คือ
การตรวจสอบคุณภาพของเครอื่ งดื่มแอลกอฮอล 135 1) ใชวิธี Ebulliometric Analysis ซึ่งมีขอจํากัด คือ ตัวอยางที่ นํามาวิเคราะหจะตองมีปริมาณแอลกอฮอลที่เหมาะสม คือ 5% โดยปริมาตร และปริมาณ นา้ํ ตาลนอยกวา 2% 2) ใชวิธี Hydrometric analysis โดยนําตัวอยางมากลั่นกอน จากนน้ั นาํ ไป distillate วดั % แอลกอฮอลโ ดยใช alcohol hydrometer 11.1.2 การประเมินคา ทางประสาทสมั ผสั การประเมินคาทางประสาทสัมผัสของการชิมไวนมีข้ันตอน (ประดิษฐ และ วิภา, 2543) ดงั น้ี 11.1.2.1 การเลือกแกวไวน ลักษณะของแกวไวนท่ีดี และขนาดบรรจุของ แกวไวน ดงั น้ี (1) ลักษณะของแกว ไวนทดี่ ี มีดังน้ี 1) ตวั แกว ใสไ วนค วรมที รงแบบดอกทวิ ลิปและบาง 2) แกว ใสไมม ีลวดลายหรือพิมพดอกใด ๆ ท้ังสน้ิ 3) มีกา นแกวยาวไดสัดสว นประมาณ 5–6 ซม. 4) มีขนาดบรรจุไดมาตรฐาน 5) ตองสะอาด ไมม ีฝุน กล่ินสาบ หรือรอยลิปตกิ ส (2) ขนาดบรรจขุ องแกวไวน แกว ไวนม าตรฐานสากลมีรูปราง ลกั ษณะดงั ภาพที่ 11.1 สาํ หรับบรรจเุ ปนดังน้ี 1) แกวสําหรับไวนหวานแอลกอฮอลสูงและไวนพอรท ควรมคี วามจุประมาณ 100 มล. 2) แกวสําหรับไวนฟองหรือแชมเปญควรมีความจุ ประมาณ 150 มล. 3) แกว สําหรบั ไวนขาวควรมคี วามจปุ ระมาณ 250 มล. 4) แกวไวนเ อนกประสงคควรมีความจุประมาณ 200 มล. ควรรินไวนใ สแกวไมเกินครงึ่ หนึ่งของความจุของแกว ฉะนั้นแกว 1 ใบจะรินไวน ใสป ระมาณ 40-70 มล. ในการชมิ ซา ๆ ปรมิ าณจะลดลงเหลอื 20–40 มล.
136 บทปฏิบตั กิ ารท่ี 11 ภาพที่ 11.1 ลกั ษณะแกวไวนทีไ่ ดม าตรฐาน 11.1.2.2 จาํ นวนไวนท ่ใี ชช มิ ขึน้ อยูกบั จาํ นวนผชู มิ การชมิ แตละคร้ังควรมี ไวนใ หเปรยี บเทยี บหรอื ใหคะแนน 6-10 ชนิด 11.1.2.3 กับแกลม ควรจัดแบบธรรมดา จืด ไมมีกลิ่นรุนแรง เชน ขนมปง กรอบ ไสกรอก แฮม เบคอน 11.1.2.4 เวลาท่ีเหมาะในการชิมไวน มีอยู 2 ชวง คือ ชวงเชา ระหวาง 10 : 00-12 : 00 น. กบั ชวงเยน็ ระหวา ง 16 : 00–18 : 00 น. ซ่งึ เวลาดงั กลา วคนเรมิ่ มคี วามรูส ึกหวิ เลก็ นอย ความรสู ึกนชี้ วยใหการชิมไวนม ปี ระสิทธภิ าพมากทส่ี ุด เพราะประสาททุกสวนในการ รบั รู สี กลิน่ และรส ทาํ งานไดเตม็ ท่ี 11.1.2.5 อุณหภูมิของไวนท่ีชิม อุณหภูมิของไวนมีความสําคัญมาก โดยเฉพาะไวนท่ีมีคุณภาพยอดเย่ียม ถาอุณหภูมิของไวนไมไดท่ีจะทําใหกลิ่นและรสไมดี เทา ทค่ี วร (1) ไวนฟอง แชมเปญ และไวนหวาน ควรแชใหเย็นประมาณ 5 0ซ. (2) ไวนข าว ไมห วาน และไวนโรเซค วรแชใหเย็นประมาณ 10 0ซ. (3) ไวนแ ดงรสออ น (light red wine) ควรแชเ ยน็ ประมาณ 15 0ซ.
การตรวจสอบคณุ ภาพของเคร่อื งดมื่ แอลกอฮอล 137 (4) ไวนแ ดงหรือพอรท (port wine) ควรแชเยน็ ประมาณ 20 0ซ. 1 สําหรับไวนขาวควรนําออกจากตูเย็นและเปดจุกต้ังไวในหองประมาณ 2 -1 ชั่วโมง ที่ตองทําเชนนี้เพื่อใหกล่ินไมดีในไวนระเหยออกไป อากาศจะทําปฏิกิริยากับไวน เล็กนอย ทําใหไ วนมกี ลนิ่ และรสดขี ึ้น ควรมถี ังนา้ํ แขง็ สําหรบั แชไ วน 11.1.2.6 หลักในการชิมไวน ถอื หลัก 3 ด คือ ดู ดม และด่มื (1) การดู ใหดูความใสและสีของไวน ไวนจะตองใสเปน ประกาย และสจี ะตอ งเปนไปตามมาตรฐาน (2) การดม ใหดมกล่ินของไวน โดยหมุนไวนในแกวเบา ๆ แลว สูดดมวามีกลิ่นผลไมน้ัน ๆ หรือเปลา กลิ่นแรงแคไหน กล่ินไมประสงค เชน กล่ินนํ้าสมสายชู กล่นิ oxidation มหี รอื ไมและมากนอ ยเพียงไร (3) การด่ืม ในท่ีน้ีหมายถึงการจิบ จิบครั้งแรกเปนการลางปาก พยายามใชล้ินเขี่ยไวนใหกระจายท่ัวปาก หรือเคี้ยวไวนแลวบวนทิ้ง จิบครั้งที่ 2 และ 3 เพื่อ พิจารณารสชาติของไวน ปรมิ าณแอลกอฮอล และไวนมีความกลมกลอ มหรอื ไม จากการ ดู ดม ดื่ม จึงนํามาประเมินผลโดยรวมวาคุณภาพที่ชิมน้ันถูกใจหรือไม เหมาะสมกบั ราคาหรอื เงนิ ที่เราจะตอ งจา ยไปเพ่ือซ้อื มาหรอื ไม 11.1.3 การทดสอบเครอ่ื งดื่มแอลกอฮอล การทดสอบเคร่อื งดื่มแอลกอฮอล ดงั นี้ 11.1.3.1 วสั ดอุ ุปกรณ มีดงั นี้ (1) ตวั อยางไวน (2) Fehling solution (3) NaOH 0.1 N (4) ฟนอลทาลีน (5) บิวเรตพรอ มขาตั้ง (6) ปเปต (7) ขวดรูปชมพู (8) Ebulliometer (9) แกว ไวน
138 บทปฏิบตั กิ ารที่ 11 11.1.3.2 วิธกี ารทดลอง ดงั นี้ (1) นําตัวอยางไวนมาตรวจวิเคราะหหาปริมาณน้ําตาล ความ เปนกรด-ดาง ปริมาณกรดท้ังหมด และปริมาณแอลกอฮอล (AOAC, 2000 และ มาตรฐาน ผลิตภัณฑชมุ ชนไวน, 2546) (2) นําตัวอยางไวนมาประเมินคาทางประสาทสัมผัส โดยใชใบ ใหคะแนนท่ีออกแบบโดยคณาจารยที่สอนวิชาการผลิตไวนและการปลุกองุนของมหาวิทยาลัย แหงรัฐแคลิฟอรเนีย เมืองเดวิส สหรัฐอเมริกา Davis Scorecard ไดแสดงไวในการทดลองนี้ พรอมทง้ั คาํ อธิบายวิธีการใหคะแนนสาํ หรบั ไวนดว ย (Steinkraus, 1996) 11.1.4 การวเิ คราะหหาปริมาณแอลกอฮอลโ ดยวิธี Ebulliometric analysis ในการหาปริมาณแอลกอฮอลโดยวิธีนี้ อาศัยหลักการวัดจุดเดือด (boiling point) ของสารตัวอยางที่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับจุดเดือดของนํ้าบริสุทธ์ิ โดยถาปริมาณของ แอลกอฮอลในสารตัวอยางเพิ่มข้ึน จะทําใหจุดเดือดของสารตัวอยางลดลงจากจุดเดือดของนํ้า บริสุทธิ์มากข้ึน เคร่ืองมือสําหรับวัดปริมาณแอลกอฮอล โดยอาศัยหลักการน้ี เรียกวา อีบูลลิโอ มิเตอร โดยมลี ักษณะตามภาพที่ 11.2 เครอื่ งมอื นี้นยิ มนําไปใชใ นโรงงานอตุ สาหกรรมผลิตไวน ผลไม สุรากลั่นและอุตสาหกรรมผลิตเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอลอื่น ๆ เน่ืองจากเปนเคร่ืองมือที่ ใชไ ดส ะดวกและรวดเร็วในการวเิ คราะห 11.1.4.1 วัสดอุ ปุ กรณ มดี งั น้ี (1) ชุดเครือ่ งอีกบลู ลโิ อมิเตอร (2) กระบอกตวง ขนาด 50 มลิ ลิลติ ร 11.1.4.2 สารเคมี มดี งั นี้ (1) น้ํากลั่นบริสทุ ธิ์ (2) น้าํ เย็นหรอื นา้ํ แข็ง (3) โซเดียมไฮดรอกไซด 1 เปอรเ ซ็นต (นํา้ หนกั ตอปรมิ าตร) 11.1.4.3 วธิ กี าร ดงั นี้ (1) หาจดุ เดือดของนา้ํ บรสิ ุทธ์ิ ดังน้ี
การตรวจสอบคณุ ภาพของเครอื่ งดืม่ แอลกอฮอล 139 1) ตวงนํ้าบริสุทธิ์ 30 มิลลิลิตร หรือใชหลอดท่ีมากับ เครอื่ งมือโดยตวงใหถึง “EAU” ใสล งใน Boiling chamber (A) 2) ใสเทอรโมมเตอร © ใหปลาอยูเหนือนํ้าใน Boiling chamber 3) ตมกระท่ังเดือดดวยตะเกียงแอลกอฮอล (B) เม่ือถึงจุด เดอื ดอุณหภมู ิจะคงที่ อานอุณหภูมิจดุ เดอื ดของน้ําบริสุทธจ์ิ ากเทอรโมมเิ ตอร 4) จุดเดือดของนํ้าบริสุทธ์ิที่อานได นําไปต้ังในแผนอาน เปอรเซ็นตแอลกอฮอล (Dosage de I’ Alcohol dans les Vins) โดยตั้งจุดเดือดของน้ําบริสุทธิ์ที่ อานได (ดูสเกลดานใน) ใหตรงกับ 0.0 % แอลกอฮอล (ดูสเกลดานนอก) หรือตําแหนงท่ีมี เคร่ืองหมาย ดงั ภาพที่ 11.3 (2) หาจดุ เดอื ดของสารตัวอยา ง ดังนี้ 1) ตวงสารตัวอยาง 50 มิลลิลิตร หรือใชหลอดท่ีมากับ เครื่องมือโดยตวงใหถึงขดี “VIN” ใสลงใน Boiling chamber 2) เตมิ นํา้ เย็นหรือนํ้าแขง็ ลงไปในสว นควบแนน (D) 3) ใสเทอรโมมิเตอร ใหอยูในระดับเดียวกันกับ 2) ของขอ (1) 4) ตมจนกระทั่งเดือดเดวยตะเกียงแอลกอฮอล เม่ือถึงจุด เดอื ดอุณหภมู จิ ะคงท่ปี ระมาณ 15-30 วินาที อา นจดุ เดือดของสารตัวอยาง 5) อานเปอรเซ็นตของแอลกอฮอลของสารตัวอยาง (ดูสเกล ดานนอก) ท่ีอยูตรงกับจุดเดือดของสารตัวอยาง (ดูสเกลดานใน ) จากแผนอานเปอรเซ็นต แอลกอฮอล
140 บทปฏบิ ตั ิการที่ 11 ที่มา : Steinkraus (1996)
การตรวจสอบคุณภาพของเครอ่ื งด่ืมแอลกอฮอล 141 11.1.5 ขอ ควรปฏิบัตใิ นการใชเ ครื่อง Ebulliometer ขอควรปฏิบตั ิ มดี งั นี้ 1. ควรลางทําความสะอาด Boiling chamber ทุกครั้งท่ีเปลี่ยนวิเคราะหสาร ตวั อยาง 2. ในสวนของ Boiling chamber ถามีคราบของสารตัวอยางติดอยูใหลางทํา ความสะอาดดว ยสารละลาย 1 เปอรเ ซน็ ต โซเดยี มไฮดรอกไซด 3. ถา สารตัวอยา งมีน้ําตาลมากกวา 2 เปอรเ ซ็นต จะมีผลตอ เปอรเซ็นตแ อลกอฮอล ท่ีหาได โดยมีผลทําใหจุดเดือดลดลงซึ่งจะทําใหวัดปริมาณแอลกอฮอลไดมากกวาที่เปนจริง วิธกี ารแกไ ขทาํ ไดโ ดย 3.1 กลั่นแยกแอลกอฮอลออกมากอน จากน้ันนําสวนท่ีกล่ันได (distillate) ไป หาจดุ เดอื ดหรือ 3.2 เจือจางสารตัวอยางใหมีปริมาณของน้ําตาลนอยกวา 2 เปอรเซ็นต แลวจึง นําไปหาจุดเดือดหรือ 3.3 หาปริมาณนํ้าตาลรีดิวสในหนวย เปอรเซ็นต (นํ้าหนักตอปริมาตร) แลว นาํ มาคูณดวย 0.05 (คา คงที่) จากนน้ั นําไปหักลบออกจากเปอรเ ซ็นตแอลกอฮอลท ห่ี าได 4. ในกรณีที่สารตัวอยางเมื่อตมแลวเกิดฟองใหปองกันโดยการเติม Tween 80 ปอ งกนั การเกดิ ฟองชนิดอนื่ ลงไป 1-2 หยด กอ นเริ่มตน การหาจุดเดือด
142 บทปฏิบตั กิ ารที่ 11 ใบใหค ะแนนการชมิ ไวน ไวน............................................................................ วนั เดอื นป. ................................................. ช่ือ/นามสกุล....................................................... หมายเลขไวน ความใส 2 สี 2 กล่นิ 4 กลิ่นนํ้าสม สายชู 2 กรดท้งั หมด 2 ความหวาน 1 ตัวตน 1 รส 2 ความเฝอ น 2 คณุ ภาพโดยทั่วไป 2 คะแนนรวม 20 สรุปผลการทดลองและวจิ ารณผลการทดลอง ......................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ....................................................................................
การตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองด่มื แอลกอฮอล 143 คาํ อธิบายวิธีใหคะแนนในใบชิมไวน ความใส 2 ขนุ 0 ใส 1 ใสเปน ประกาย 2 พอใช 1 ดเี หมาะสมแลว 2 สี 2 ไมด ี ไมเ หมาะ 0 มแี ตบ อกไมไ ดว าเปน มบี อกกลน่ิ ผลไมได ผลไมอ ะไร 1 2–4 ตามความแรง กลนิ่ 4 ไมมีกล่ินผลไมเ ลย 0 ของกลน่ิ ผลไม ไมส ามารถบอกได 2 กลนิ่ น้ําสมสายชู 2 กล่นิ แรงมาก 0 สงสัยวาอาจมี 1 ดเี หมาะสมแลว 2 กรดทัง้ หมด 2 มากหรอื นอ ยเกนิ ไป 0 มากหรอื นอยไปเล็กนอย 1 ตวั ตน (บอด)ี้ 1 คลายนาํ้ ประปา เปน ไวนก รดและ กลมกลอ มดี 2 ผสมแอลกอฮอล 0 แอลกอฮอลแ ละสารสกัด รส 2 จากการหมกั 1 ไมม ีหรอื นอยมาก 2 ความเฝอ น 2 ใชไ มไ ด 0 พอใชได 1 ไวนขาว................. พอสมควร 2 ความเฝอ น 2 มาก 0 เลก็ นอ ย 1 ถกู ใจ 2 ไวนแดง................. คณุ ภาพโดยทว่ั ไป 2 ไมมี 0 มากหรือนอ ยไป 1 ไมถกู ใจไมสมควรซ้ือ 0 พอใช 1 หมายเหตุ เปน ไวนท มี่ ีคุณภาพดเี ดน และไมม ลี กั ษณะดอ ย 17-20 คะแนน เปนไวนม าตรฐานไมมีอะไรทเ่ี ดน และดอ ย 13-16 คะแนน เปนไวนท่ยี อมรบั โดยผบู ริโภคมลี กั ษณะดอ ยบางเล็กนอย 9-12 คะแนน เปนไวนทผี่ ูบรโิ ภคไมยอมรับ 5-8 คะแนน เปน ไวนเสยี 1-4 คะแนน
144 บทปฏบิ ตั กิ ารท่ี 11 ใบงานที่ 11 ชอ่ื -สกลุ .................................................................ชน้ั ท่.ี ..........................เลขท.ี่ ........................ บทปฏบิ ตั กิ ารที่ 11 การตรวจคุณภาพของเครอื่ งด่ืม ผลการทดลอง 1. การตรวจวิเคราะหอ งคป ระกอบของไวน ตัวอยา ง ปรมิ าณนา้ํ ตาล คา ความเปน ปรมิ าณ ปริมาณแอลกอฮอล กรด-ดาง กรดทั้งหมด 1 2 3 4 5 6
การตรวจสอบคุณภาพของเคร่อื งด่ืมแอลกอฮอล 145 2. การประเมินทางประสามสมั ผัสของไวน ไวน. ....................................................... วนั เดือนป...................................................ช่อื /นามสกุล............................................................. หมายเลขไวน 1 2 3 4 5 6 ความใส 2 สี 2 กลิน่ 4 กลน่ิ นํา้ สมสายชู 2 กรดท้ังหมด 2 ความหวาน 1 ตัวตน 1 รส 2 ความเฝอ น 2 คณุ ภาพโดยทวั่ ไป 2 คะแนนรวม 20 สรุปผลการทดลองและวจิ ารณผ ลการทดลอง ................................................................................................................................. ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................
146 บทปฏบิ ตั กิ ารท่ี 11 คําถามทายบท 1. ตัวตนของไวนหมายถงึ อะไร 2. ไวนช นดิ ใดจะไดค ะแนนมากเม่อื มคี วามเฝอ นพอดี 3. ทาํ ไมไมใ ช hand refactometer ในการวัดเปอรเ ซน็ น้ําตาล เอกสารอา งองิ ประดษิ ฐ ครวุ ณั ณา และวภิ า สุโรจนะ เมธากลุ . 2543. การฝกอบรมเชงิ ปฏิบตั กิ ารเร่อื ง เครือ่ งด่ืมแอลกอฮอลจ ากผลติ ผลเกษตร. สถาบนั คน ควาและพัฒนาผลติ ภณั ฑ อาหาร.มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ: 80 น. Steinkraus, K.H. 1996. Handbook of Indigenous Fermented Foods. Marcel Dekker Inc, New York.
บทปฏบิ ัตกิ ารที่ 12 การหมักนาํ้ สม สายชู 12.1 การหมักนํ้าสมสายชู นํ้าสมสายชูจัดเปนเคร่ืองปรุงรสอาหารชนิดหน่ึง โดยนํามาประกอบอาหารที่ ตองการรสเปรี้ยว และใชเปนวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารประเภทอื่น ๆ เชน ซอสพริก น้ําสลัด เพื่อใชในกาสรางรสชาติ และชวยถนอมอาหาร การจําแนกประเภทและกรรมวิธี การผลิตมีดงั นี้ น้ําสมสายชูหมัก หมายถึง ผลิตภัณฑท่ีไดจากการนําวัตถุดิบท่ีเหมาะสม เชน ธัญพืช ผลไม นํ้าตาล หรือกากน้ําตาล มาหมักกับสาเหลา แลวนํามาหมักกับเชื้อน้ําสมสายชู ตามกรรมวธิ ีธรรมชาติ (มาตรฐานผลติ ภณั ฑช มุ ชนนาํ้ สม สายชูหมัก, 2547) 12.1.1 การจาํ แนกประเภทของน้าํ สมสายชู ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 204 (พ.ศ. 2543) เร่ือง น้ําสมสายชู ได จัดประเภทของน้ําสม สายชูไว 3 ชนิด ดังน้ี 12.1.1.1 น้ําสมสายชูหมัก เปนผลิตภัณฑที่ไดจากการนําธัญพืช ผลไม หรือนํ้าตาล มาหมักกับสาเหลา แลวหมักตอกับเช้ือน้ําสมสายชูตามกรรมวิธีธรรมชาติ กระบวนการหมกั จะเปลี่ยนน้ําตาลที่มีอยูใ นอาหารเหลานใี้ หเปนแอลกอฮอล โดยอาศัยยีสตที่มี ตามธรรมชาติ เพ่ือใหน้ําสมสายชูที่หมักมีกลิ่นหอมและรสชาติเฉพาะ จากน้ันจะอาศัย แบคทีเรียตามธรรมชาติหรือเติมหัวเชื้อนํ้าสมลงไป จะทําหนาที่เปล่ียนแอลกอฮอลใหเปน กรดอะซิตริก นํ้าสมสายชูหมักจะมีสีเหลืองออนตามธรรมชาติ มีรสหวานของนํ้าตาลที่ตกคาง มีกล่ินของวัตถุดิบท่ีใชในการหมัก ใส ไมมีตะกอนยกเวนตะกอนท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ และตอ งมปี รมิ าณกรดอะซติ รกิ ไมนอยกวารอ ยละ 4 12.1.1.2 นํ้าสมสายชูกล่ัน เปนผลิตภัณฑที่ไดจากการนําแอลกอฮอลกลั่น มาเจือจาง (dilute distilled alcohol) แลวหมักกับเช้ือน้ําสมสายชู เมื่อหมักแลวนําไปกลั่นอีก
148 บทปฏบิ ตั กิ ารที่ 12 หรือไดจากการนํานํ้าสมสายชูหมักมากล่ัน น้ําสมสายชูจะตองมีลักษณะใส ไมมีตะกอนและมี ปรมิ าณกรดอะซติ กิ ไมน อ ยกวารอยละ 4 12.1.1.3 น้ําสมสายชูเทียม เปนผลิตภัณฑท่ีไดจากการนําเอากรดอะซิติก ซ่ึงสังเคราะหข้ึนทางเคมี เปนกรดอินทรียมีฤทธ์ิเปนกรดออน มีความเขมขนประมาณรอยละ 95 มาเจอื จางจนไดป ริมาณกรดรอ ยละ 4-7 มลี ักษณะใสไมม ีสี ในที่น้ีจะกลาวถึงน้ําสมสายชูหมักซ่ึงเปนผลิตภัณฑที่ไดจากการนําวัตถุดิบ เชน องุน แอปเปล เมล็ดธัญพืช ผลไมพื้นเมืองตาง ๆ นํ้าตาล หรือกากน้ําตาล โดยนําไปหมักกับ ยีสตหรือราใหไดแอลกอฮอลกอน แลวจึงหมักตอจนไดกรดอะซิติก น้ําสมสายชูจะมีชื่อเรียก ตามวัตถุดิบที่ใชในการหมัก เชน ไวนวินีการ (wine vinegar) ผลิตจากองุน ไซเดอรวินีการ (cider vinegar) ผลิตจากแอปเปล มอลตวินีการ (malt vinegar) ผลิตจากมอลตท่ีไดจาก ขาวบารเลย หรือเมล็ดธัญพืช เวยวินีการ (whey vinegar) ผลิตจากเวย ฟรุตวินีการ (fruit vinegar) ผลิตมาจากผลไมทม่ี ีมากในแตละประเทศ และไรซว ินกี าร (rice vinegar) ผลิตจากขาว เปน ตน สําหรับน้ําสมสายชูหมักที่นิยมบริโภคกันในแตละทองถ่ินของประเทศไทยมัก เปน นา้ํ สม สายชูหมักจากพืชตระกูลตาล ไดแก น้ําสม ตาลโตนด น้ําสมจาก และน้าํ สม มะพราว 12.1.2 กระบวนการหมักนา้ํ สม สายชู กระบวนการหมกั นํ้าสมสายชูสามารถแบง ไดเปน 2 ขนั้ ตอน ดังน้ี 12.1.2.1 ข้ันตอนการผลิตแอลกอฮอล นําน้ําผลไมหรือน้ําตาลมาหมักกับ ยสี ตในสภาพทไ่ี มใ ชออกซิเจน เพอ่ื ใหไดแอลกอฮอลแ ละกา ซคารบ อนไดออกไซด ดงั สมการ C6H12O6 Saccharomyces cerevisiae 2CO2 + 2C2H5OH ซ่ึงเปนปฏิกิริยาเชนเดียวกับการหมักแอลกอฮอลโดยท่ัวไป สําหรับเช้ือยีสตที่ใช ก็เปนชนิดเดียวกัน ไดแก Saccharomyces cerevisiae var. ellipsoideus อุณหภูมิที่เหมาะสม คือ 23-26 องศาเซลเซียส โดยควบคุมไมใหเกิน 40 องศาเซลเซียส เน่ืองจากการสราง แอลกอฮอลจะหยุดลง (วราวฒุ ิ และ รุง นภา, 2532) 12.1.2.2 ข้ันตอนการผลิตนํ้าสมสายชู เม่ือหมักนํ้าตาลเปล่ียนเปน แอลกอฮอลอยางสมบูรณ แลวแยกยีสตและสวนตะกอนออก แลวหมักตอดวยเชื้อนํ้าสมสายชู
การหมกั นํ้าสมสายชู 149 ซึ่งเปนแบคทีเรียท่ีทําใหเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันกับแอลกอฮอลไดกรดอะซิตริกและน้ํา ดัง สมการ C2H5OH + O2 acetic acid bacteria CH3COOH + H2O ปฏิกิริยาน้ีมีอะซิตัลดีไฮด (acetaldehyde) เปนสารอินเตอรมีเดียท ผลิตภัณฑท่ีได นอกจากกรดอะซติ ิกแลวยงั มอี ัลดีไฮด เอสเทอร และอะซโิ ตนเกิดขึ้นบา งเล็กนอย จุลินทรียที่ใชในการผลิตน้ําสมสายชู เรียกรวมกันวา แบคทีเรียท่ีผลิตกรดอะซิติก (acetic acid bacteria) ที่ใชกันมาก คือ Acetobacter และ Gluconobacter บางชนิด แบคทีเรีย Acetobacter พบมากในธรรมชาติมีรูปรางเปนแทงส้ันหรือโคงเล็กนอย อาจจะไมเคล่ือนท่ีหรือ เคล่ือนที่ไดดวยแฟลกเจลลาท่ีอยูรอบเซลล ไมมีเอนโดสปอร การติดสีแกรมเปล่ียนแปลงได โดยเมื่ออายุนอยจะยอมติดสีแกรมลบ ปจจุบันนิยมใชพวก Gluconobacter เน่ืองจาก ไมสามารถออกซิไดซกรดอะซิติกตอใหเปนกาซคารบอนไดออกไซดและนํ้าเหมือนกับ Acetobacter บางชนดิ จงึ ไมท าํ ใหเกิดการสญู เสยี กรดอะซติ รกิ ทีเ่ กดิ ข้นึ จากการหมัก (Adams & Moss, 1995) ดังสมการ CH3COOH + 2O2 2CO2 + 2H2O แบคทีเรียท่ีผลิตนํ้าสมสายชูจะเจริญอยูในของเหลวและในสวนท่ีของเหลวสัมผัส กบั อากาศอาจเกิดการออกซิไดซตอเปนคารบอนไดออกไซดได ดังน้ันวิธีการปองกันอาจจะทํา โดยเก็บนํ้าสมสายชูในภาชนะใหเ ตม็ และปด สนิท การหมักนาํ้ สมสายชูจะเกดิ ไดดีเม่อื มีปรมิ าณแอลกอฮอลรอยละ 6-8 แตถาปริมาณ แอลกอฮอลส งู ถงึ รอยละ 12 หรอื ตํา่ เพียงรอ ยละ 1-2 การหมกั เกิดขน้ึ ชา ระหวา งการหมักจะเกิด ความรอนขึ้นจึงตองมีการลดอุณหภูมิและควบคุมใหอยูในชวง 21-32 องศาเซลเซียส ซ่ึงเปน อุณหภมู ทิ ่เี หมาะสม ตามทฤษฎีการใชน้ําตาล 100 สวนจะถูกเปล่ียนเปนแอลกอฮอล 51 สวน กับกาซ คารบอนไดออกไซด 49 สวน แตในทางปฏิบัติจริงจะไดแอลกอฮอลเพียง 45-47 สวน เทานั้น น้ําตาลสวนที่หายไปจะถกู ยีสตนาํ ไปใชหรอื ถกู เปล่ยี นเปนสารอืน่ ดงั นั้นเมอื่ เร่ิมจากวัตถุดิบซ่ึง มนี ้าํ ตาลรอ ยละ 10 ภายหลังการหมักดว ยยสี ตจะมแี อลกอฮอลเพียงประมาณรอยละ 4.6
150 บทปฏิบตั ิการที่ 12 สวนในข้ันตอนการหมักกรดอะซิตริก การใชแอลกอฮอล 100 สวน จะหมักได กรดอะซิตริก 130 สวน แตในทางปฏิบัติจริงจะไดเพียง 120 สวนเทาน้ัน กลาวคือ เมื่อเริ่มหมัก วัตถุดิบที่มีนํ้าตาล 100 สวน ถาหากควบคุมสภาวะตาง ๆ เหมาะสมจะไดกรดอะซิตริก 50-55 สว น ดังนัน้ ในการผลิตน้ําสม สายชูใหมปี รมิ าณกรดอะซิตรกิ ตามมาตรฐานรอ ยละ 4 จะตองเร่มิ ผลติ จากวตั ถุดบิ ท่ีมนี ํา้ ตาลอยา งนอ ยรอยละ 8 12.1.3 การผลติ น้ําสมสายชใู นระดับอตุ สาหกรรม ในการผลิตนํ้าสมสายชูในระดับอุตสาหกรรม มีการออกแบบพัฒนาถังหมัก และ การควบคุมกระบวนการหมักอยางตอเน่ือง เพื่อใหไดผลิตภัณฑสูงตามตองการและประหยัด พลงั งาน ดังตัวอยา งตอไปน้ี 12.1.3.1 การผลิตนาํ้ สม สายชูแบบดั้งเดิม การผลิตน้ําสมสายชูแบบดั้งเดิม เปนการผลิตโดยปลอยใหกระบวนการหมักเกิดขึ้นอยางชา ๆ โดยใชนํ้าสมสายชูเกาประมาณ 1/3 เปนเชื้อเร่ิมตน และเติมไวนลงในภาชนะปากกวางแตตื้นหรือใสในถังหมักไมใหเต็มถัง เชื้อน้ําสมสายชูจะเจริญเปนแผนฟลมบาง ๆ ท่ีผิวหนา เรียกวา หัวนํ้าสม (mother of vinegar) เชื้อนํ้าสมสายชู ไดแก Acetobacter aceti var. xylinum ซ่ึงจะออกซิไดซแอลกอฮอลในไวนให เปนกรดอะซิตริกโดยใชเวลาประมาณ 5 สปั ดาห 12.1.3.2 การผลิตนํ้าสมสายชูแบบเร็ว การผลิตนํ้าสมสายชูแบบเร็วเปน การเรงกระบวนหมัก โดยการเพ่ิมออกซิเจนและปริมาณหัวเช้ือน้ําสมใหมีโอกาสสัมผัสและ เกิดการหมักอยางมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งไดมีการพัฒนาถังปฏิกรณชีวภาพที่ใชสําหรับการ หมกั นํา้ สมหลายรูปแบบ ตัวอยางที่นยิ มใช คือ (1) ถังหมักแบบถังกรองเติมอากาศ (trickling process) โดยท่ี แบคทีเรียผลิตนํ้าสมสายชูจะยึดติดกับผิวของวัสดุที่มีรูพรุน เชน ขี้เล่ือย ซังขาวโพด กานองุน แลวคอย ๆ ปลอยสารละลายท่ีมีแอลกอฮอลผานวัสดุหมักซ่ึงมีอากาศอยูรอบ ๆ แอลกอฮอลจะ ถูกออกซิไดซเปนกรดอะซิตริก ใชเวลาในการหมัก 4-10 วัน ไดนํ้าสมสายชูท่ีมีความเขมขน ของกรดอะซติ รกิ ประมาณรอ ยละ 11 แลวนาํ มาเจือจางดว ยน้าํ ใหมคี วามเขมขน ตามตองการ (2) ถังหมักแบบฟริงสอะซิเทเตอร (Fring’s acetator) วิธีการน้ีเปน การหมักนํ้าสมสายชูในถังหมัก โดยใชอาหารเหลวและมีระบบการควบคุมกระบวนการหมัก ไดแก ระบบการใหอากาศ การกําจัดฟอง และระบบควบคุมอุณหภูมิอยางอัตโนมัติ วิธีน้ี
การหมักน้ําสม สายชู 151 ตองการเครื่องมือเติมอากาศที่ทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพ โดยใชเวลาในการหมักประมาณ 36 ชั่วโมง เมอ่ื สนิ้ สดุ กระบวนการหมักจะตอ งนํานํา้ สม สายชูที่ไดไปบมเก็บไวเปนระยะเวลา 2-3 เดอื น เพ่ือใหนํ้าสมสายชูมีคุณภาพที่ดีข้ึน โดยการสรางเอสเทอรจากแอลกอฮอลที่เหลืออยู และเพ่ือใหสารแขวนลอยและแบคทีเรียท่ีผลิตกรดอะซิตริกที่ปนมาเกิดการตกตะกอน ใน ขั้นตอนการตกตะกอนอาจจะเติมสารท่ีทําใหใส (fining agent) เชน เบนโทไนต เคซีน เจลาติน แทนนิน และไขขาว เปนตน ซึ่งทําใหเกิดการตกตะกอนไดรวดเร็วขึ้น แลวจึงนําไปกรอง เพอื่ ใหไ ดน ํ้าสม สายชทู ่ีใสบรสิ ุทธิต์ อ ไป 12.1.4 การผลิตน้ําสมสายชูจากแหลง ตาง ๆ การผลิตนาํ้ สมสายชจู ากแหลงตาง ๆ ไดแ ก กลวยน้าํ วา และผลไม เปน ตน 12.1.4.1 การทดลองท่ี 1 การหมักน้ําสมสายชูจากกลวยน้ําวา หมักแบบ ธรรมชาติ วัตถดุ บิ ในการทดลอง 1. กลว ยนํ้าวา สุก จํานวน 2 หวี 2. น้ําตาลทรายจาํ นวน 4-5 ชอนโตะ 3. ขวดโหลหรือภาชนะท่เี ปน แกว สามารถบรรจุได 4-5 ลติ ร 4. นํ้าสะอาดจํานวน 3-4 ลิตร ขั้นตอนในการทํา 1. ปอกกลวยนํ้าวาสุกจัดใสกะละมัง จากน้ันนําไปปนในเครื่องปน ใหละเอยี ด แลวนําลงใสใ นขวดโหลทีไ่ ดเตรยี มไว 2. ใสน้ําตาลทรายและนํ้าตาลงไป ปดฝาขวดโหลดใหสนิทหมักไว ประมาณ 15 วนั ก็จะไดน าํ้ สม ทีม่ ีความเปรี้ยวตามทต่ี องการ 3. เมอื่ ไดความเปรยี้ วจากกลวยนา้ํ วาแลว จะตอ งกรองน้ําสม ออกจาก ขวดโหลดโดยใชผาขาวบางในการกรอง แลวใสขวดโหลเก็บไวใชไดตอไป จะเก็บในตูเย็น หรอื ในหองอณุ หภมู ิปกติก็ไดนํ้าสมสายชูทีไ่ ดจากการหมักกลว ยนํา้ วา
152 บทปฏบิ ตั ิการท่ี 12 12.1.4.2 การทดลองที่ 2 การหมักโดยใชผลไม กับหัวเช้ือ Acotabacter aceti TISTR -354 วัตถุดิบในการทดลอง 1. กลว ยนา้ํ วา สกุ จาํ นวน 2 หวี 2. นาํ้ ตาลทรายจํานวน 4-5 ชอน 3. ขวดโหลหรือภาชนะท่ีเปน แกว สามารถบรรจไุ ด 4-5 ลิตร 4. น้ําสะอาดจาํ นวน 3-4 ลติ ร 5. เช้ือ Acotabacter aceti TISTR -354 นํามาหมักในน้ําผลไม เชน ในนา้ํ มะพราวกอน เพ่อื ใหเ ปนหัวเชื้อน้ําสม ขน้ั ตอนในการทํา 1. ปอกกลวยน้ําวาสุกจัดใสกะละมัง จากนั้นนําไปปนในเคร่ืองปน ใหล ะเอียด แลวนาํ ลงใสใ นขวดโหลท่ไี ดเ ตรยี มไว 2. ใสนํ้าตาลทรายและนํ้าตาลงไป ปดฝาขวดโหลดใหสนิทหมักไว ประมาณ 5 วนั ทาํ ใหเ ปนไวนผลไมก อน 3. หลังจากน้ันนําไวนผลไมท่ีไดผสมกันในอัตราสวน 1 : 1 และ หมกั 3-4 วัน ท่ีอณุ หภมู ิหอ ง จึงไดนํ้าสมสายชูหมักจากไวนผลไมภายในเวลา 6-7 วันตอรุน ได กรดน้ําสม 6.5-7% จากนั้นนาํ มากรองหรือไมไ ดก รองกไ็ ด 4. นาํ มาตมฆาเชอ้ื 70 องศาเซลเซียส 2 นาที 5. นํามาบรรจขุ วดเปนน้ําสม สายชหู มกั จากไวนผ ลไม ท่ปี อ งกันการ ปนเปอ นจากจุลนิ ทรยี อืน่ ๆ ไดอ ีกดว ย 12.1.5 การวิเคราะหน้าํ สมสายชู (มาตรฐานผลิตภัณฑชุมชนนาํ้ สมสายช,ู 2547) การวิเคราะหน ํา้ สมสายชู (โดยนาํ นํา้ สมสายชทู งั้ สองการทดลองมาวิเคราะห) ดงั น้ี 1. วิเคราะหท างกายภาพ เชน สี กลิ่น ส่ิงแปลกปลอม เปน ตน 2. วัดความเปนกรดโดยเครื่องวดั พีเอชมิเตอร 3. การวิเคราะหหาปรมิ าณกรดท้งั หมด ปเปตนํ้าสมสายชูตัวอยางมา 10 มิลลิลิตร ใสในถวยกระเบื้อง ถานํ้าสมสายชู ตัวอยางมีสี เติมนํ้ากลั่น (ท่ีตมและปลอยทิ้งไวใหเย็น) ลงไปใหสีเจือจาง หยอดฟนอลทาลีนลง
การหมักน้ําสม สายชู 153 ไป 2-3 หยด แลวนําไปไตเตรทกับสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซดความเขมขน 0.5 โมลาร คนขณะไตเตรทจนไดจดุ ยุติเปนสีชมพูออน จดปริมาตรของสารละลายดางที่ได ทําการทดลอง ซ้ํา 3 ครั้ง คํานวณหาคาเฉล่ียของดาท่ีใช และคํานวณหาเปอรเซ็นตของกรดทั้งหมดในรูป อะซิตริก 1 มิลลิลิตร ของสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด ความเขมขน 0.5 โมลาร ทําปฏิกิริยา สมมูลกบั กรดอะซิตรกิ 0.0300 กรมั หรือเปอรเซน็ ตกรดท้งั หมดในรูปของกรดอะซิตริก (นํา้ หนักตอปรมิ าตร) = ปริมาตรดา งทใ่ี ชในการไตเตรต x 0.3 นํา้ สมสายชูจะมีปริมาณกรดท้ังหมดไมนอยกวา 4 เปอรเซ็นต แลวนํ้าสมสายชูที่มี คณุ ภาพดีจะมปี รมิ าณกรดทั้งหมดอยางนอย 5 เปอรเซ็นต ในรุปกรดอะซติ ริก
154 บทปฏิบตั กิ ารท่ี 12 ใบงานท่ี 12 ชอื่ -สกุล..........................................................................ชน้ั ท่.ี ............หมายเลข...................... บทปฏบิ ตั กิ ารท่ี 12 การหมักน้ําสมสายชู ผลการทดสอบ 1.ลักษณะของนาํ้ สม สายชู น้าํ สมสายชู สี ลกั ษณะทางกายภาพ กลนิ่ พเี อช ลักษณะปรากฏ ส่ิงแปลกปลอม การหมักนาํ้ สมสายชู จากกลวยนํ้าวา ก า ร ห มั ก โ ด ย ใ ช ผลไม กับหัวเช้ือ Acotabacter aceti TISTR -354 สรปุ ผลการทดลองและวจิ ารณผลการทดลอง ................................................................................................................................. ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................
การหมักนํ้าสมสายชู 155 คาํ ถามทา ยบท 1. จงอธบิ ายการกระบวนการหมักน้ําสมสายชู 2. ขอควรระวงั ในการหมกั น้ําสมสายชูไดแ กอ ะไรบาง 3. การทดสอบน้ําสมสายชูแทและเทยี มมกี ารทดสอบอยา งไร อธิบาย เอกสารอางองิ มาตรฐานผลิตภัณฑชุมชน 2547. มาตรฐานผลติ ภัณฑชุมชนนาํ้ สม สายชหู มักเลขที่ 326/2547. สํานักงานมาตรฐานผลิตภณั ฑอ ุตสาหกรรม. วราวุฒิ ครสู ง และรุง นภา พงศสวัสดิ์มานติ . 2532. เทคโนโลยกี ารหมกั ในอตุ สาหกรรม. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร. Adams, M.R., and Moss, M.O. 1995. Food Microbiology. Cambridge : The Royal Society of Chemistry.
บทปฏบิ ัติการท่ี 13 การศึกษานอกสถานท่ีเกย่ี วกบั อาหารหมัก 13.1 การศึกษานอกสถานทเี่ กีย่ วกับอาหารหมัก ผลิตภัณฑอาหารหมักที่มีการศึกษานอกสถานท่ี เลือกผลิตภัณฑอาหารหมักจาก ปลาและสัตวน ้ํา และผลิตภณั ฑอ าหารหมกั จากถ่ัวเหลือง 13.1.1 อาหารหมักพืน้ บา น ผลิตภัณฑอาหารหมกั พนื้ บานสวนใหญในจังหวัดตรังมีดวยกันหลากหลาย แตใน การไปศึกษานอกสถานท่ีน้ันพิจารณาจากสินคาท่ีไดมาตรฐาน และการรวมตัวกันเขมแข็ง เพ่ือ จะไดเปนแบบอยางในการรวมตัวของชุมชนนั้น ๆ ซ่ึงชวยทําใหคนในชุมชนมีอาชีพ ใชเวลา วา งใหเปนประโยชน และไดร ับประทานอาหารทีม่ คี ุณภาพ ปลอดภยั ผลิตภัณฑอาหารหมักจากปลาและสัตวน้ํา วิธีการหมักท่ีใชกันมานาน คือ การใส เกลือแลวหมัก ซ่ึงกรรมวิธีในการหมักผลิตภัณฑสัตวนํ้าที่ปฏิบัติตอกันมาตั้งแตสมัยโบราณ พอจะแบง ออกไดเ ปน 3 ประเภท คือ 13.1.1.1 การหมักท่ีใชเกลือมากหรืออาหารหมักท่ีเค็มจัด ไดแก นํ้าปลา น้ําบูดู กะป ไตปลาดอง ปลาทูเค็ม ปูเค็ม เปนตน กรรมวิธีในการหมักและปริมาณเกลือท่ีใชแตกตาง กนั ตามวตั ถุดิบและผลิตภัณฑท ี่ตอ งการ (นฤมล, 2550) (1) นํ้าปลา ปลาที่นิยมใชมาก คือ ปลาไสตัน ปลาสรอย ปลากะตัก วธิ ีการหมักโดยคราว ๆ คือ นําปลามาคลุกเคลากับเกลือในอัตราสวนประมาณ 3 สวน ตอเกลือ 1 สวน หมักนาน 16-18 เดือน จนเนื้อปลายอยสลายออกมาเปนของเหลวสีเหลืองออนหรือ น้ําตาลแดง แยกเอาสวนท่ีเปนน้ําใสออกมา กรองแลวบรรจุใสขวด สวนกากที่เหลือ อาจจะ นํามาตม กับน้าํ เกลอื แลว หมักท้ิงไวอีกประมาณ 6-9 เดือน จะไดน้ําปลาท่คี ุณภาพรองลงไป
158 บทปฏบิ ตั กิ ารที่ 13 (2) น้าํ บดู ู บริโภคกันมากในภาคใตของประเทศ ระดับครัวเรือนมากกวา เปนอุตสาหกรรม มีลักษณะคลายนํ้าปลา แตคอนขางขน เพราะมีสวนของเนื้อปลาที่ยอยแลว ผสมอยู ใชเวลาหมกั 3-6 เดือน มกั นําไปตมกอ นบรรจขุ วด (3) กะป วัตถุดิบที่ใช คือ กุงฝอย เคยฝอย หรือกุงตัวเล็ก ๆ คลุกเคลา กบั เกลือ ประมาณรอยละ 15-30 ของกุง หมักกับเกลอื ประมาณ 1-2 วัน นํากุงมาเกลี่ยบนเสื่อไม ไผแลว นาํ ออกผึ่งแดดใหแ หง พอหมาด ๆ ตาํ ใหละเอยี ด บรรจุลงโอง หรือไหอัดใหแนนหมักท้ิง ไวจนมีกลนิ่ หอม โดยทว่ั ไประยะเวลาหมักประมาณ 4-8 เดือน 13.1.1.2 การหมักท่ีใชเกลือ และมีขาวหรือแปงเปนสวนประกอบ ผลิตภัณฑ ประเภทน้ีมีหลากหลายชนิด เชน ปลารา ปลาจอม กุงจอม ปลาเจา กุงเจา ปลาสม กุงสม ปลาแปงแดง สมฟกหรือแหนมปลา เปนตน ปลาท่ีใชในการทําผลิตภัณฑประเภทนี้สวนมาก เปนปลานํ้าจืดและเปนปลาท่ีมีขนาดเล็ก การเติมขาวหรือแปง ข้ึนกับชนิดผลิตภัณฑที่ตองการ อาจใชในรปู ของขาวค่ัวในการทาํ ปลารา ขาวสกุ ในการทาํ ปลาสม และแหนมปลา ขา วหมากใน การทําปลาเจา ขาวแดงหรืออังคักในการทําปลาแปงแดง ขาวเปนแหลงคารโบไฮเดรตและ สารอาหาร ชวยใหจุลินทรียในการเจริญเติบโตโดยเฉพาะอยางย่ิงแบคทีเรียแลตติก การท่ี แบคทีเรียแลคติกเจริญไดดีน้ันจะทําใหอาหารหมักมีรสเปร้ียว ซึ่งความเปรี้ยวหรือปริมาณกรด ที่สรางขึ้นน้ี จะชวยปองกันจุลินทรียที่ทําใหเกิดการเนาเสียและจุลินทรียกอโรคบางชนิดได ความเปรี้ยวจะตา งกนั ไปตามลักษณะชนดิ ของผลิตภณั ฑแ ละระยะเวลาในการหมกั ปลาราและนํ้าปลารา มีการพัฒนารูปแบบ โดยการบรรจุภาชนะปดสนิท หรือทํา เปน ปลารา ผง สงจําหนา ยตา งประเทศ สวนผลิตภัณฑอาหารหมักอื่น ๆ มีการจําหนายแพรหลาย ไดแก ปลาสม และ ปลาสม ฟก 13.1.1.3 การหมักท่ีใชเกลือ และมีผักหรือผลไมเปนสวนประกอบ อาหารหมัก ประเภทนี้ไมค อยแพรหลาย นิยมกันมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางทองถ่ินเทานั้น ไดแก เค็มบักนัด หรือเค็มหมักนัด (หรือเค็มสับปะรด) โดยมีการใชปลาสวาย หรือปลาเทโพ แล หั่น เปนชิ้นบาง ๆ นํามาคลุกกับเกลือ หมักท้ิงไว 1 คืน แลวนํามาผสมกับสับประรดที่สับเปนช้ิน เล็ก ๆ โดยใชทั้งน้ํา และเน้ือสับปะรด บรรจุใสขวด หมักประมาณ 3 เดือน ปลาหมักกับผลไม อกี ชนดิ หนง่ึ ไดแก ปลาหมํ่า ใชป ลานวลจันทร หรือปลาตะเพียน เฉพาะสวนเนื้อผสมกับเกลือ เติมขาวคั่วและสับปะรด ระยะเวลาหมักประมาณ 1 เดือน ถาใชไตปลาแทนเน้ือปลา ใชเวลา หมักนาน 3 วนั เรยี กวา หมํา่ ไตปลา
การศกึ ษานอกสถานท่ี 159 13.1.2 ผลติ ภัณฑอาหารหมกั จากถวั่ เหลือง ซีอ๊ิวและเตาเจ้ียว นําถ่ัวเหลืองที่น่ึงแลวผสมกับแปงสาลี หรือแปงขาวเจา เติมเชื้อ รา ท้ิงไว 3-4 วัน จนเชื้อราเจริญท่ัวกอนถั่วเรียกวา โคจิ (koji) จากน้ันเติมน้ําเกลือความเขมขน ปริมาณ 20% หมักนาน 3-6 เดือน แยกสวนท่ีเปนนํ้า จําหนายซีอิ๊ว สวนกาก อาจเติมนํ้าเกลือ แลวหมกั เปนซอี ๊ิวช้นั สอง เตา เจ้ียว มีวิธกี ารคลายกัน แตเ ตมิ นํ้าเกลอื นอ ยกวา หรือบางแหงอาจนํากากที่เหลือ จากการผลิตซีอิ๊วมาขายเปนเตา เจ้ยี ว แตป จจุบันนี้การผลิตซีอวิ๊ และเตาเจย้ี ว มกั ใชเ ช้ือราบรสิ ทุ ธิ์ ในชวงการหมักในนํ้าเกลืออาจมีการเติมเชื้อยีสต หรือเช้ือแบคทีเรียแลกติก เพ่ือชวยใหมีกลิ่น รสดขี ึน้ อาหารหมักพ้ืนบานในจังหวัดตรังท่ีพานักศึกษาไปดูงานนอกสถานท่ีนั้น ได พิจารณาแลวพบวา ผลิตภัณฑอาหารหมัก จังหวัดตรัง (นํ้าปลา) กลุมแมบานเกษตรหยงสตาร วสิ าหกิจชุมชนแมบ า นเกษตรกรหยงสตารตําบลทาขาม อําเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง มีดวยกัน หลายผลิตภัณฑ ไดแก น้ําปลา กะป กุงแหง เปนตน สวนผลิตภัณฑเตาเจ้ียวเกษตรวิสาหกิจ ชุมชนแมบ านเกษตรกรวดั กลางพัฒนา ตําบลนาโยงเหนือ อําเภอนาโยง จังหวัดตรัง 13.1.3 ชนิดอันตรายทีส่ าํ คัญของอาหารหมกั ชนิดอันตรายท่ีสําคัญของอาหารหมักและมาตรการควบคุม เฉพาะผลิตภัณฑที่ ตอ งไปดูงานเทานนั้ ดงั แสดงในตารางที่ 13.1
160 บทปฏบิ ตั กิ ารที่ 13 ตารางที่ 13.1 ประเภทอาหารและการควบคุมผลติ ภณั ฑหมกั ดองทีเ่ ปนตวั แทนในการไปดูงาน นอกสถานที่ ประเภทอาหาร ชนิดอันตรายทีส่ ําคญั การควบคมุ 1. ผลิตภณั ฑสตั วน ้ํา ชวี ภาพ - คดั เลอื กวตั ถดุ บิ 1.1 ความเคม็ สูง นํา้ ปลา เคมี - เกลอื เมด็ เสริมไอโอดีน ปลารา กะป - Histamine ในน้ําปลา 1.2 ความเคม็ ตํา่ - ใชปลาสด มีการควบคมุ อณุ หภมู ิใน - ปลาสม ชวี ภาพ การขนสง และเกบ็ รักษา - สัมฟก - Salmonella - พยาธิ - กระบวนการหมกั ทีถ่ ูกตอง ควบคมุ 2. ผลิตภัณฑจ ากถว่ั เหลือง pH < 4.5 ซอี วิ้ เตา เจย้ี ว เคมี - ไดเมทธลิ ไนโตรชามนี ในปลารา - สขุ ลกั ษณะตาม GMP ทมี่ า : จันทนา (2549) - Borax ในปลาสม ฟก - ใชวตั ถเุ จือปนอาหารท่ไี ดรับ ชีวภาพ อนญุ าตและในปริมาณทีก่ ฎหมาย - จุลินทรียกอ โรค กาํ หนด เคมี - กระบวนการฆา เช้อื - สารกําจัดศัตรูพืช เชน DDT ในถ่ัว เหลือง - คดั เลอื กวัตถดุ ิบ - เกลือ 13.1.4 ความปลอดภัยของอาหารหมักและปจ จัยสําคัญ ในกระบวนการผลิต ความปลอดภัยของอาหารหมัก เกดิ จากหลายสาเหตุ (จันทนา, 2549) ดงั ตอไปน้ี 13.1.4.1 อันตรายทางชีวภาพ (Biological Hazard) หมายถึง อาหารที่มี เชื้อจุลินทรียปนเปอน อันตรายทางชีวภาพน้ี ไดแก เชื้อจุลินทรีย ปรสิต และไวรัส เปนเรื่องที่ จัดการไดยาก จุลินทรียท่ีตรวจพบ คือ Clostrium botulinum Salmonella sp. และ E. coil ซ่ึง เช้ือเหลา น้สี ามารถตรวจพบในอาหารแมป ระเทศทเ่ี จรญิ แลว
การศึกษานอกสถานที่ 161 13.1.4.2 อันตรายทางเคมี (Chemical Hazard) หมายถึง อันตรายที่เกิดจาก สารเคมีที่อยูในธรรมชาติ เชน ในดิน นํ้า ซึ่งอาจจะมาจากสารฆาแมลง สารเคมีทุกชนิดท่ีมี การปนเปอนมากับอาหารท้ังที่ตั้งใจใชเพ่ือการเล้ียง หรือดูแลสุขภาพสัตว และที่อาจจะ ปนเปอนเขาไปโดยไมเจตนา แตหาสารที่อนุญาตใหใสในอาหารไดน้ัน คือ วัตถุเจือปนใน อาหาร และตอ งมีการจํากัดปริมาณการใสลงในอาหาร และหา มเกินปรมิ าณทกี่ ําหนดไว 13.1.4.3 อนั ตรายทางกายภาพ (Physical Hazards) หมายถึง อันตรายทเี่ กดิ จาก วัตถุปนปลอม เชน เกิดจากมีเศษแกว เศษกระดูก ลวดเย็บกระดาษ น็อต และตะปู ไมหรือ โลหะปนเปอนอยูในอาหาร ซ่ึงการผลิตขายจําเปนที่จะตองดูแลไมใหมีสิ่งตาง ๆ ปนเปอนมา อยา งเด็ดขาดเพราะมผี ลตอสขุ ภาพของผบู ริโภค ในอาหารหมักของไทย สวนใหญแลวเกิดรสเปรี้ยว มักเกิดจากกระบวนการหมัก จากกลุมแบคทีเรียแลตติก เน่ืองจากอาหารหมักน้ันไดมีการเติมแหลงคารโบไฮเดรต ซึ่งเปน แหลงคารบอนใหกับเชื้อกลุมแบคทีเรียแลกติก ทําใหอาหารมีฤทธิ์เปนกรด ปองกันการเจริญ ของจุลินทรียที่ทําใหอาหารเกิดการเนาเสีย ซึ่งแบคทีเรียแลกติกยังสามารถสรางสารไปยับยั้ง การเจริญของจุลินทรียอื่น ๆ รวมท้ังจุลินทรียกอโรคได สารเหลาน้ี ไดแก ไนซิน ซึ่งเปนสาร จากแบคเทริโอซิน ท่ีสรางโดย Lactococcus lactis ซ่ึงสามารถยับย้ังแบคทีเรีย แกรมบวก รวมท้ัง Clostridium botulinum และ Listeria sp., Bacillus sp. และ Staphylococcus aureus โดย สวนใหญนํามาใชในอาหารบรรจุกระปองเพ่ือยับย้ังการงอกสปอรของแบคทีเรียกลุม Clostridium sp. และ Bacillus sp. (Jay, 1992) สวนไพมาริซินที่สรางโดย Streptomyces natalensis นํามาใชกับเนยแข็งรวมท้ัง ผิวหนาของไสกรอกชนิดแหงเพื่อปองกันเชื้อรา ซ่ึงสารแบคเทริโอซินชนิดน้ีมีผลตอ การสังเคราะหโปรตีนในเซลลของเช้ือราแตไมมีผลยับยั้งแบคทีเรีย อาหารหมักท่ีไมผานกระบวนการหมักแลคติก มีการใชเกลือปริมาณสูงเพ่ือยับย้ัง การเจริญของจลุ ินทรยี ๆ ทไ่ี มพงึ ประสงค เชน ปดู องเค็ม นา้ํ ปลา บดู ู ไตปลา เปน ตน 13.1.5 การศึกษานอกสถานทเี่ กีย่ วกับอาหารหมัก ส่งิ ทีต่ อ งปฏิบัตเิ มือ่ ออกไปศึกษานอกสถานท่ี 1. เม่ืออาจารยแจงใหนักศึกษาทราบวาจะไปชมโรงงานที่มีการผลิตผลิตภัณฑ หมักชนิดใด นกั ศกึ ษาควรอา นบททวนข้นั ตอนการผลติ ผลติ ภณั ฑน ัน้ ใหเขา ใจ 2. นักศึกษาควรแตงชดุ นักศกึ ษา หรือ ชดุ ท่เี หมาะสมสําหรบั การไปดงู าน อันนี้
162 บทปฏิบตั กิ ารท่ี 13 อาจเปลีย่ นแปลงไดตามความเหมาะสม และมาใหต รงเวลา 3. นํากลองถายรูป หากสถานที่ท่ีไปเยี่ยมชมนั้นสามารถใหถายรูปได จะไดนํามา ทํารายงาน และ สมุดจดไปดวยเพ่ือจดขอมูลสําคัญ ๆ เพื่อนํากลับมาทํารายงานสงอาจารยใน ช่ัวโมงตอ ไป 4. เม่ือเท่ียวชมโรงงานควรจะติดตามผูพาชม และซักถามเฉพาะผูพาชมเทานั้น ไมซักถามเจาหนาท่ีท่ีกําลังปฏิบัติงานอยู เพราะอาจทําใหเขาบกพรองหนาที่ท่ีกําลังปฏิบัติการ อยู 5. เมื่อเยียมชมจบแลว ใหนักศึกษาคัดเลือกตัวแทนเพื่อกลาวคําขอบคุณ และเชิญ ใหอาจารยมอบของทร่ี ะลึกเพื่อเปนการขอบคณุ ณ สถานท่ี ๆ เราไปเยียมชม 6. ทํารายงานสง โดยจับประเด็นโดยเนน ในเร่ือง วัตถุดิบ กระบวนการผลิต บรรจุภัณฑ การเก็บรักษา เปนตน ตลอดจนสอบถามในเร่ืองมาตรฐานในการตั้งโรงงานใน เร่ือง GMP และสิง่ แวดลอมเปน อยางไร
การศกึ ษานอกสถานที่ 163 ใบงานท่ี 13 ชอื่ -สกุล..........................................................................ชั้นท่ี.............หมายเลข...................... บทปฏิบตั ิการที่ 13 การศกึ ษานอกสถานที่ 1.บนั ทกึ ขอ มลู ท่ไี ดไปศึกษานอกสถานท่ี ................................................................................................................................. ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... 2. ปญหาและขอเสนอแนะในการไปศึกษานอกสถานที่ ................................................................................................................................. ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................
164 บทปฏบิ ตั กิ ารท่ี 13 คาํ ถามทายบท 1. งบลงทุนในการผลติ ภัณฑแ ตล ะชนิดมีอะไรบาง 2. หากมปี ญ หาในการทําผลิตภัณฑกลมุ แมบ านจะทําอยางไร 3. ผลติ ภัณฑท ผ่ี ลิตสงตรวจเพื่อขอเอกสารมาตรฐาน มผช ทาํ อยางไร เอกสารอางองิ จนั ทนา สงวนรงุ วงศ. 2549. คมู ือการประยกุ ตใ ช GMP และ 5 ส ในอตุ สาหกรรมอาหาร. พงษวรินการพมิ พ จาํ กัด กทม. 137 น. นฤมล อัศวเกศมณี. 2550. การเกบ็ ถนอมสัตวนา้ํ . มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สงขลา. โรงพิมพ ภาพพมิ พ. 382 น. Jay, J.M. 1992. Modern Food Microbiology (4th edition). New York : Chapman Hall.
เอกสารหมายเลข 18
i 2i oil 2 oil oil i el 3n- 5n- 5n- oil 3n. \\D w 5n- w h, 3 3 5 oil tf: 2D -'D 3 3 te oil U? ee 3 r3 9D 2 3 2 oil d 3 el r+?
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387