Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ป่าปุ่ง ป่าทาม ภาคอีสาน

ป่าปุ่ง ป่าทาม ภาคอีสาน

Description: ป่าปุ่ง ป่าทาม ภาคอีสาน

Search

Read the Text Version

ปา่ บงุ่ ป่าทาม ภาคอสี าน 51 2. สงั คมพชื ป่าทาม (lowland floodplain ดนิ เหนยี ว (clay) และมีอนิ ทรยี วัตถคุ อ่ นข้างสงู ทีไ่ หลมา forest) ทับถมพร้อมตะกอนดนิ ในชว่ งฤดนู �ำ้ หลาก ดินจงึ มีความ อุดมสมบูรณค์ ่อนข้างสูง ในฤดแู ลง้ พบเศษซากพชื ที่รว่ ง หรอื “ปา่ ทาม” เป็นสงั คมพชื ทเี่ ปน็ ป่าไม้ (for- หล่นมาสะสมอยบู่ ริเวณพื้นดินเป็นจำ� นวนมากและสลาย est/timberland) พรรณไมเ้ ดน่ สว่ นใหญ่ไมผ่ ลัด ตัวเป็นอินทรยี วตั ถุขนาดเล็กผสมลงในดนิ ไดอ้ ย่างรวดเรว็ ใบ ประกอบไปดว้ ยไมต้ ้น ไม้พุ่ม ไม้พุ่มรอเลอ้ื ย และ ไมส่ ะสมตัวเปน็ ช้นั หนา ปกตไิ ม่มีไฟป่าเกิดขนึ้ ไม้เลอ้ื ย ข้ึนอยอู่ ยา่ งหนาแนน่ พบบรเิ วณท่ีราบทเ่ี รียก วา่ ทาม ปกตทิ ามจะอย่หู ลังคนั ดินธรรมชาติลงมาจน อทิ ธิพลของการเปลยี่ นแปลงทางนำ้� และน้�ำลน้ ตลิ่ง จรดเขตบงุ่ /บงึ หรืออาจอยูห่ น้าคนั ดนิ ธรรมชาตติ ่อจาก บ่อย ทำ� ให้ภมู ิประเทศไม่ราบเรียบ มเี นินดิน-ทล่ี มุ่ ต�่ำ ที่ ชายฝ่ังยืน่ ออก (point bar) ขน้ึ มาจรดคันดินธรรมชาติ มีระดับความสงู ลดหลน่ั กันไป ประกอบกบั อทิ ธพิ ลการ กไ็ ด้ โดยจะมีน�้ำท่วมขังปกติยาวนาน 1-3 เดือน หาก เลือกตกตะกอนของอนุภาคดินเหนยี ว ทรายแป้ง และ ท่วมขังยาวนานมากกว่าน้ีสังคมพชื จะมีไมต้ น้ และไม้พมุ่ ทราย ที่จะกระจายในภูมปิ ระเทศที่แตกต่างกนั สง่ ผล ขึน้ ปกคลมุ เบาบางลง เริม่ มีสภาพเป็นทงุ่ หญา้ และไม้ ทำ� ให้ชนดิ พันธ์ไุ มข้ ้นึ เป็นกลมุ่ /หมไู่ ม้ ตาม ช่วงความ ลม้ ลุกเขา้ มาแทนที่มากขน้ึ แลว้ ถกู แทนที่ดว้ ยสงั คมพืช ตอ้ งการทางนิเวศวทิ ยา (ecological amplitude) ในบึง ในทส่ี ดุ ดินในป่าทามเป็นดินตะกอนทีม่ ีอนภุ าค เฉพาะตวั ของแต่ละชนิด ดิน (particles) ส่วนใหญเ่ ปน็ ดินร่วน (loam) และ สงั คมพืชปา่ บงุ่ ป่าทาม รมิ แม่น้�ำสงคราม, มีสังคมย่อย 2 แบบ คอื สงั คมพืชปา่ ทาม เป็นสีเขยี วอ่อนของเรือน ยอดไผ่กะซะท่เี ป็นพืชเด่น (ด้านซ้ายของภาพ), สงั คมพืชในบงึ เป็นบรเิ วณทางนำ�้ เก่าหรือทล่ี มุ่ ต่ำ� มนี ้�ำขังยาวนาน (ช่วงกลางซา้ ยของภาพ) บริเวณนาขา้ วและกล่มุ ต้นไม้สเี ขียวเขม้ ดา้ นขวาของภาพ เป็นเขตลานตะพักล�ำนำ�้ เก่า ทีน่ ำ้� ท่วมขึ้นไปถงึ ในบางปี มรี อ่ งรอยสังคมพชื ดั่งเดมิ เป็นปา่ เตง็ รัง (อ.อากาศอำ� นวย จ.สกลนคร, ก.ค. 2560)

52 ป่าบุ่งป่าทาม ภาคอีสาน ความหลากหลายของพรรณไมเ้ ฉพาะที่พบในสังคม (Mitragyna diversifolia), จาน/ทองกวาว (Butea พชื ป่าทามรวมกันทั่วภาคอสี านท่พี บจากการสำ� รวจ monosperma), เปอื ยกระแด้ง (Terminalia cam- คร้ังนี้ 173 ชนดิ แบง่ เปน็ ไมต้ ้น 61 ชนดิ , ไม้พ่มุ -ไม้พมุ่ bodiana), ทองหลางน้�ำ (Erythrina fusca), กะสนิ / รอเล้อื ย 66 ชนดิ , และไม้เลอ้ื ย 46 ชนิด ในจ�ำนวนนี้ รวงผึ้ง (Schoutenia glomerata), ไผ่กะซะ (Bam- โดยประมาณ 40 % เปน็ กลมุ่ ที่มี ระดับความซ่อื สัตย์ busa cf. flexuosa), หลู ิง (Hymenocardia punc- (fidelity) สูงต่อระบบนิเวศป่าทาม กลา่ วคอื เปน็ พืช tata), อินถวาน้อย (Kailarsenia lineata), เบ็นน�้ำ ท่ีชอบข้นึ เฉพาะกับระบบนเิ วศปา่ ทาม แตจ่ ะหายาก (Combretum trifoliatum), นาวน�้ำ (Artabotrys หรือไมพ่ บเลยในปา่ ชนดิ อืน่ ๆ เพราะมีการปรบั ตวั ให้ spinosus), หมากกะดัน/มะดัน (Garcinia schom- มกี ารเจริญเติบโต มีความทนทาน และการสืบพนั ธ์ทุ ี่ burgkiana), ฝา้ ยน�้ำ (Mallotus thorelii), เครอื กระพี้ ตอ้ งอาศยั นำ�้ ท่วมเปน็ เวลายาวนานพอ เช่น กระเบานำ้� (Dalbergia entadioides), เขทาม (Maclura thore- (Hydnocarpus castanea), แห/่ สะตือ (Crudia chry- lii), กระจับเครอื (Hiptage triacantha), เครือตายดบิ santha), กระโดนน้�ำ/จกิ นา (Barringtonia acutan- (Phyllanthus harmandii), ดีปลาข่อ (Sauropus gula), แสง/ชุมแสง (Xanthophyllum lanceatum), heteroblastus), เสยี วนอ้ ย (Phyllanthus taxodii- หมากแซว/มะกอกน�้ำ (Elaeocarpus hygrophilus), folius), มันแซง (Dioscorea oryzetorum), หวายนำ�้ ขามแป (Cathormion umbellatum), ท่ม/กระทุ่มนา (Calamus godefroyi) เปน็ ตน้ (แสดงในตารางบัญชี รายชอื่ ของภาคผนวก) ภายในพื้นที่บงุ่ ทาม มีภูมิประเทศทไ่ี ม่ราบเรยี บเกดิ จากการกดั เซาะ การเปลีย่ นแปลงทางน้�ำบอ่ ยครั้ง ทำ� ใหเ้ กิดพนื้ ที่ลมุ่ ต�่ำ ท่รี าบ และเนนิ ดนิ สลับซับซ้อน เปน็ สาเหตุให้พรรณไม้ข้ึนเรียงตวั ตามชว่ งความต้องการทาง นิเวศวิทยาทแ่ี ตกตา่ งกนั ไป

ปา่ บงุ่ ปา่ ทาม ภาคอสี าน 53 โครงสร้างช้นั เรอื นยอดของปา่ ทามท่สี มบรู ณจ์ ะมี แนวเช่ือมต่อระหว่างสงั คมพืช (transition zone) ไม้ต้นและไม้ต้นขนาดเล็กเปน็ ไมเ้ ดน่ ทีส่ ุด เรือนยอดช้ัน พรรณไมท้ ีเ่ ข้ามาปกคลมุ เปน็ กล่มุ ไม้เลอ้ื ย บนสูงไดถ้ ึง 20 เมตร แต่ค่อนข้างโปร่งและไม่ต่อเนอื่ ง ไม้พ่มุ รอเล้อื ย ไม้พมุ่ เตยี้ และไมล้ ม้ ลุก เชน่ บกั นอดน�้ำ/ กันทางดา้ นราบ เน่ืองจากไม้ต้นส่วนใหญม่ กี ่งิ ก้านนอ้ ย สลอดน้ำ� , เครอื ตายดิบ, เครอื กระพ้,ี หลู งิ , กระจบั เครือ, พมุ่ ใบบาง และมคี วามหลากชนิดน้อย ดว้ ยเรอื นยอด ดปี ลาขอ่ , อ�ำไอ,่ เสียวน้อย, โสนน้อย, โสนแดง/เสง้ ใหญ,่ ดา้ นบนท่โี ปรง่ จงึ ท�ำให้ป่าด้านล่างหนาแน่นไปด้วยไม้พ่มุ ยอน้�ำ, ยอพญาไม้, เบน็ น�้ำ, เขทาม, นาวน�้ำ, คอมนำ�้ , ไม้พมุ่ รอเลอ้ื ย และเถาวลั ย์ ข้ึนต่อเน่อื งลดหล่ันกัน ย่ิง หนามกะจาง, แซง, แฝก และ หญ้า ชนดิ ต่างๆ เปน็ ตน้ ท�ำให้การแบง่ โครงสร้างชน้ั เรือนยอดไมช่ ัดเจน ป่าทาม พรรณไม้ในกลมุ่ น้ีจะช่วยยดึ เกาะตลิ่งลดการพงั ทลาย สามารถแบ่งชนั้ เรือนยอดเปน็ 2 ชน้ั เรือนยอด ดงั น้ี ได้เปน็ อยา่ งดี 1) เรือนยอดชนั้ บน มคี วามสูง 7–20 เมตร ในพน้ื ทีท่ ี่ปา่ เส่ือมโทรมมาก จากการถกู ตัดไมใ้ หญ่ ประกอบด้วยไมต้ ้น และไมพ้ ุ่มทีม่ ีอายุมาก พรรณไมเ้ ดน่ ออกไปมาก การเล้ยี งสตั ว์อย่างหนัก หรือเคยถกู ทำ� การ ได้แก่ คางฮุง/คาง, จาน/ทองกวาว, แก/สะแกนา, ไผ่ป่า, เกษตรมากอ่ น ไผ่กะซะ (พบเฉพาะในเขตลุม่ น้ำ� สงคราม เปือยนำ้� /ตะแบกนา, ท่ม/กระทุม่ นา, กระโดนน้�ำ/จกิ และลุ่มนำ้� โมง) หรอื ไผ่ปา่ จะขึ้นปกคลุมหนาแน่นเป็น นา, หวา้ นา, ฝา้ ยนำ้� , ค�ำไก่/ประคำ� ไก่, กา้ นเหลอื ง, แสง/ ไม้เด่นแทน และปา่ จะดูแหง้ แล้งเกดิ ไฟไหม้ได้ง่ายเมือ่ เข้า ชุมแสง, แห/่ สะตือ, สะมัง/เฉียงพร้านางแอ, กระเบา สฤู่ ดูแล้ง สำ� หรับป่าท่มี ีไม้ต้นคงเหลืออยูบ่ า้ ง โดยไม้ไผ่ นำ�้ , คันก้อง, แดงสะแง, เปือยกระแด้ง, หมากเมา่ ทาม, ยังไมเ่ ข้ามาปกคลุมหนาแนน่ มากนกั จะมีเถาวัลยห์ รือไม้ ขกี้ ะลุ่ย เป็นต้น พุม่ รอเลอื้ ยเข้ามาต้งั ตัวได้อย่างรวดเรว็ และพันเรอื นยอด ไม้ต้นทีเ่ หลือจนหนาแน่น ซึง่ หากมมี ากเกนิ ไปจะยิง่ ทำ� ให้ 2) เรอื นยอดช้นั ไม้พมุ่ มีความสูง 1–7 เมตร ปา่ มีการฟืน้ ฟตู วั เองไดช้ ้าลง ประกอบด้วยไมพ้ ุ่ม ไม้พุม่ รอเลื้อย และไมต้ น้ ที่ยงั มีอายุ นอ้ ย พรรณไม้เดน่ ได้แก่ หลู ิง/แฟบน�ำ้ , ขอ่ ย, ขอ่ ยนำ้� , เมื่อเข้าสูฤ่ ดูนำ�้ ลง ซ่ึงจะอยู่ในช่วงต้นฤดหู นาว ขามแป, คัดเค้า, นาวน�ำ้ , มะดนั , ฝ้ายน�้ำ, ผา้ ฮ้าย, (ปลายตลุ าคม-พฤศจิกายน) ตามพื้นปา่ จะปรากฏกล้า หมาว้อ, เครือกระพ,้ี เหมอื ดแอ, หมากเลบ็ แมว/เลบ็ - ไม้ และไมพ้ ุ่มเตยี้ ท่ยี ดื ความสูงไม่ทนั น�้ำ ตอ้ งจมอยูใ่ ต้ เหย่ียว, เครือกล้วยน�้ำ/นมแมว, เปล้าทาม, หนามซายซ้,ู น�้ำตลอดฤดนู ้�ำหลาก แล้วสามารถมีชวี ิตอยู่รอดมา เสยี ว, มูก/โมกบา้ น, เปือยน�้ำสงคราม, ส่าเหล้า, พรกิ ปา่ , ได้ จะแตกใบใหมเ่ จรญิ เติบโตตอ่ ไป เพราะชว่ งเวลานี้ ปอทาม, ขา้ วจี,่ ข้าวสาร, เข็มนำ�้ , อนิ ถวาน้อย, ก้ามป,ู ยงั มคี วามชน้ื ในดินเพียงพอต่อไปอีก 1-2 เดอื น และ หมักขะแม และไผ่กะซะ เปน็ ตน้ มีปยุ๋ จากดินใหมท่ ี่อุดมสมบูรณ์ ในเขตทีโ่ ลง่ แจง้ จะพบ พรรณไมล้ ้มลกุ ทงี่ อกขน้ึ มาในช่วงนเ้ี ช่นเดียวกนั ใช้ พรรณไมเ้ ลือ้ ย สามารถข้นึ แทรกภายในป่าทบึ และ เวลา 1-2 เดอื นก็สามารถออกดอกและผล แลว้ แห้งตาย ตามแนวชายป่าได้ดี ในปา่ ทามพบได้มากถงึ 46 ชนดิ เม่อื ความชนื้ ในดนิ หมดไปในชว่ งฤดูร้อน (กุมภาพันธ์- ทพี่ บบอ่ ย เชน่ เครอื ตาปลา/เถาวลั ย์เปรียง, ผีพ่วน, เมษายน) ท้งิ ไว้เพยี งเมล็ดตกลงดนิ รอให้น้�ำหลากมา เบ็นน้ำ� , เครือทะมอง/ถอบแถบน�้ำ, หนามกระทงิ , พัดพากระจายพนั ธ์อุ อกไป แลว้ จะกลบั มางอกใหม่หลงั ตนี ซน่ิ เหยี้ น, เครือปลอก, ตาไก้/ก�ำแพงเจ็ดชน้ั , หมาก- จากน้�ำลดอีกครงั้ เป็นเชน่ นี้ทุกๆ ปี เช่น ผกั กาดฮ้อ, ข้อี ้น, เครอื ซดู , เครอื ไพสง, ไข่แข,้ ฮิ้นแฮด/รสสคุ นธ์, ผักฮอ้ นแฮ้น, ผกั บอ่ , กะเม็ง, ผักขีข้ ม, กก และ หญา้ เครอื ไส้ไก่ และท่ชี าวอสี านนิยมกนิ คือ มันแซง เปน็ ต้น ชนดิ ต่างๆ เป็นตน้ ตามชายปา่ ทาม ท่ีโลง่ แจง้ ต่อกบั พืน้ ที่บุ่ง (สังคมพืชในบึง) หรือรมิ ตล่ิงแม่น้�ำด้านบน เรยี กวา่

54 ปา่ บุ่งปา่ ทาม ภาคอสี าน โครงสร้างด้านตั้งของสังคมพชื ปา่ ทาม ทมี่ ีตน้ คางฮงุ /คาง (Albizia lebbekoides) และ จาน/ทองกวาว (Butea monosperma) เปน็ พรรณไม้เดน่ , สูงไดถ้ ึง 20 เมตร มสี ภาพปา่ รกไปดว้ ยไม้พุ่มและเถาวัลย์ (อ.ชุมพวง จ.นครราชสมี า) สงั คมพืชปา่ ทาม ทมี่ ีต้นคาง และทองกวาวเปน็ พรรณไมเ้ ดน่ เหน็ ไม้พ่มุ ดา้ นลา่ งเปน็ ไผก่ ะซะ (Bambusa cf. flexuosa) ซง่ึ เปน็ ไม้พุ่มเดน่ ของเขตลมุ่ น้ำ� สงคราม, ถ่ายจาก อ.ทา่ อเุ ทน จ.นครพนม สังคมพชื ปา่ ทาม ทม่ี ตี ้นทม่ /กระทมุ่ นา (Mitragyna diversifolia) เป็นพรรณไม้เดน่ พบบริเวณทโี่ ลง่ รมิ บึงหรอื ท่ชี ้ืนแฉะไดง้ า่ ย, ถา่ ยจาก อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ

ปา่ บุง่ ป่าทาม ภาคอสี าน 55 พนื้ ที่ชายป่าปา่ ทาม ปกคลมุ หนาแนน่ ไป ดว้ ยไมพ้ ุ่ม ไม้พุ่มรอเลอ้ื ย ไมล้ ม้ ลกุ ในภาพ คอื เครอื ตายดิบ (Phyllanthus harmandii) และ แฝก (Chrysopogon nemoralis), ถ่าย จาก ป่าทามริมแม่นำ้� สงคราม อ.ศรสี งคราม จ.นครพนม, ช่วงเดอื นมนี าคม พ้นื ที่ชายปา่ ปา่ ทาม ริมฝั่งล�ำสะแทด (สาขาหนึ่งของแมน่ ำ�้ มูล) ปกคลุมหนาแน่นไป ดว้ ย นาวนำ�้ (Artabotrys spinosus) และ เครอื กระพ้ี (Dalbergia entadioides), ถ่าย จาก อ.เมอื งยาง จ.นครราชสีมา, ชว่ งต้นเดอื น พฤษภาคม สภาพป่าทาม ตามรมิ แมน่ �้ำชี มตี น้ คางฮุง และท่ม/กระทุม่ นา ต้นสงู ใหญ่กว่า 20 เมตร, ถ่ายจาก อ.เชยี งขวัญ จ.ร้อยเอ็ด, ช่วงเดอื น สิงหาคม สภาพป่าทาม ท่ีเส่อื มโทรมริมแม่นำ�้ สงคราม มไี ผก่ ะซะขน้ึ หนาแนน่ สูง 5-7 เมตร เห็นยอด ตน้ คางฮุง (สเี ขียวเข้ม) ขน้ึ แทรกห่างๆ ซงึ่ เป็นไม้ เดน่ ด่ังเดมิ ของป่าแถบนี้ที่กำ� ลงั เจรญิ เตบิ โตขนึ้ มาทดแทน, ถา่ ยจาก อ.นาทม จ. นครพนม, ช่วง เดอื นกรกฎาคม เร่ิมมีน�ำ้ หลากแลว้

56 ป่าบุ่งป่าทาม ภาคอสี าน สงั คมพืชเขตเช่อื มตอ่ ป่าบก-ป่าบุ่งป่าทาม (tran- การจำ� แนกสังคมพชื บริเวณน้ีสามารถพิจารณา sition zone of lowland floodplain forest - ได้จาก ชนดิ ไม้ดชั นี (index species) ที่เปน็ ไม้เดน่ terrestrial forest) ของสังคมพชื บรเิ วณน้นั วา่ มาจากปา่ ชนดิ ใด โดยปกติ เรือนยอดช้ันบน ไม้เด่น และโครงสรา้ งปา่ เปน็ ไปในรูป เปน็ สงั คมพืชทม่ี ีปจั จยั สง่ิ แวดล้อมอยู่ในรอยเช่อื มต่อ แบบของป่าบก ขณะทชี่ นิดพนั ธุ์ของปา่ ทามส่วนใหญ่ ระหวา่ งปา่ บกกบั ป่าบุง่ ปา่ ทาม ไมเ่ ป็นสงั คมพืชปา่ บงุ่ เปน็ ไม้พมุ่ ไม้เล้อื ย หรือไม้ต้นทีเ่ ขา้ ไปขึ้นเปน็ ไมช้ นั้ รอง ปา่ ทามทแี่ ท้จริง จงึ ไม่นับรวมให้เปน็ สงั คมพชื ย่อยใน ปะปนเท่านน้ั ป่าบุ่งป่าทาม โดยป่าบกที่พบในภาคอีสานในเขตน้ีปกติ มี 2 ชนิด คอื ปา่ ดงดิบแล้ง (semi-evergreen forest) - ปา่ ดงดบิ แล้งก่ึงป่าทาม ชนดิ ไม้ดชั นขี องปา่ ดง และ ป่าเต็งรัง (deciduous Dipterocarp forest) แนว ดิบแลง้ ไดแ้ ก่ ยางนา, ตะเคยี น, น้�ำจ้อย, หมากพบั , รอยเช่ือมต่อจะพบอยู่ตามพน้ื ทช่ี ายขอบระหว่างพน้ื ที่ มะเกลือ, ส�ำโรง, หมี/่ หมีเหมน็ , หวดข่า/มะหวด, ประด่,ู บ่งุ ทามกับท่รี าบน้�ำท่วมถึงท่มี ีระดบั สูงขึ้นไป หรือต่อ มะพอก (Parinari anamensis) เปน็ ต้น พชื ดชั นีของ กับ คนั ดนิ ธรรมชาติริมแม่น�้ำ (natural levee) เนนิ ดนิ ป่าทามทสี่ ามารถเข้าไปพบในปา่ ดงดิบแลง้ บริเวณท่มี ี บนลานตะพกั ลำ� นำ�้ เกา่ (river terrace) หรอื ทรี่ าบลกู น้ำ� ทว่ มขังไมน่ าน เชน่ ฝา้ ยน�้ำ, หลู งิ , หมาวอ้ , เกียงปนื , คล่นื (undulating plain) กไ็ ด้ โดยเปน็ เขตทมี่ นี ้�ำท่วม คดั เคา้ , ตีนจ้�ำ, ตีนไก,่ เสียว, คางฮงุ , กระเบาน้�ำ, แสง/ ขังปกตนิ อ้ ยกว่า 1 เดือน หรอื ไม่ท่วมทกุ ปี ท�ำให้พรรณ ชุมแสง, หวา้ นา เปน็ ตน้ ไมใ้ นป่าบกสามารถเข้ามาตัง้ ตวั ได้ในปีท่นี �้ำนอ้ ย หรอื ปี ใดที่น�ำ้ ทว่ มสงู จนมิดยอดกลา้ ไม้ป่าบก ทีม่ ักจะไมท่ นน�้ำ - ปา่ เตง็ รังกึง่ ป่าทาม พืชดชั นขี องป่าเต็งรัง เชน่ ทว่ มได้นานกจ็ ะตายไป ในทางตรงกนั ข้ามชนดิ พันธ์พุ ืช ซาด/ยางเหยี ง, สะแบง/กราด, พะยอม, หนามพมิ าน/ ป่าทามกบั ได้รับโอกาสใหเ้ ข้ามาตั้งตวั ได้สลบั กัน จงึ ทำ� ให้ กระถนิ พมิ าน, หนามแท่ง, เหมอื ดโลด (Aporosa สงั คมพืชบรเิ วณนม้ี ีการผสมระหวา่ งชนดิ พันธ์พุ ืชป่าบก octandra), เหมือดหอม (Symplocos racemosa), และป่าทาม มะพอก (Parinari anamensis) เป็นตน้ พชื ดัชนขี อง ป่าทามทีส่ ามารถเข้าไปพบในเขตป่าเตง็ รงั ที่มีนำ�้ ท่วมขัง การเกิดแนวรอยต่อของปา่ บกกับปา่ ทามเป็นไปได้ ไม่นาน เช่น ไผก่ ะซะ, เสยี วน้อย, เสยี ว, หลู ิง, เกยี งปืน, สองทาง ขน้ึ อยู่กบั ลักษณะเน้อื ดนิ ดงั นี้ หากเปน็ ดนิ ตานา, เปลา้ ทาม, ตนี ไก่, ทม่ , เปือยน�้ำ, หว้านา เป็นตน้ เหนียว ดินรว่ น ดินรว่ นเหนยี วปนทราย ดนิ ร่วนปนทราย เรามักจะพบ ป่าดงดิบแลง้ กง่ึ ป่าทาม ทม่ี ีไม้ ยางนา (Dipterocarpus alatus) ข้ึนผสมกับ ข่อย (Streblus asper) เป็นไมเ้ ดน่ แต่ถา้ เป็นดนิ ทราย ดนิ ลกู รงั ท่สี ลาย มาจากศลิ าแลง หรอื ดินรว่ นปนทราย และอาจจะมีน้ำ� ท่วมได้ยาวนาน 1 ถึง 2 เดอื นก็ได้ เรามักพบ ป่าเต็งรัง ก่งึ ปา่ ทาม โดยมไี ม้ ซาด/ยางเหยี ง (Dipterocarpus obtusifolius) หรอื สะแบง/ยางกราด (Dipterocarpus intricatus) เปน็ ไม้เดน่

ปา่ บุ่งปา่ ทาม ภาคอสี าน 57 ป่าดงดิบแลง้ กง่ึ ปา่ ทาม มกั จะพบตาม คันดนิ ธรรมชาตริ มิ แม่นำ�้ หรอื ในภาพเป็น ลานตะพักล�ำนำ้� เก่า (river terrace ) ที่ หลงเหลือจากการกัดเซาะของล�ำนำ�้ ท่ีตวดั โค้ง มสี ภาพคลา้ ยเกาะกลางท่งุ น้�ำทว่ ม, ถา่ ยจาก อ.อากาศอ�ำนวย จ.สกลนคร ปา่ ดงดิบแลง้ กง่ึ ปา่ ทาม บริเวณขอบ บงึ หนองหาน จ.สกลนคร ไม้เด่นเรอื น ยอดดา้ นบนเปน็ ยางนา แตไ่ มพ้ ุ่มด้านลา่ ง เป็นไผป่ ่า และหมาวอ้ ปา่ เตง็ รงั กงึ่ ป่าทาม มีไมเ้ ด่นเรือน ยอดดา้ นบนเป็นซาด/ยางเหยี ง แต่ ไมพ้ มุ่ ดา้ นล่างเป็นไผก่ ะซะ, ถา่ ยจาก อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ป่าเต็งรังก่งึ ป่าทาม พบตามลาน ตะพกั ลำ� นำ้� เก่าและท่ีราบลกู คล่ืนท่อี ยู่ ติดต่อกบั เขตพ้ืนทบ่ี ุง่ ทาม ไม้เดน่ ชั้นบน เปน็ ซาด/ยางเหียง สว่ นไม้พมุ่ ช้นั ล่างเปน็ ไผ่ปา่ , ถา่ ยจาก อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร

58 ปา่ บุ่งป่าทาม ภาคอสี าน

ปา่ บุง่ ป่าทาม ภาคอสี าน 59 การใช้ประโยชนพ์ รรณไม้ ปา่ บงุ่ ปา่ ทาม นอกจากจะมีเอกลกั ษณ์เฉพาะ ตัวดา้ นสภาพภูมปิ ระเทศและสภาพแวดลอ้ มอัน เปน็ ปัจจัยต่อการตั้งอยไู่ ดข้ องป่าแลว้ พืชพรรณ ในปา่ ชนดิ นย้ี ังเป็นชนดิ พนั ธท์ุ ม่ี คี วามเฉพาะ เจาะจงทนทานตอ่ สภาพนำ้� ทว่ มไดเ้ ป็นอยา่ งดี จากการสำ� รวจการใชป้ ระโยชน์จากพรรณไมใ้ น ปา่ บุ่งปา่ ทาม ใน 4 ล่มุ นำ�้ หลกั ของภาคตะวันออก เฉียงเหนอื ทพี่ บปา่ บุ่งป่าทามจ�ำนวนมาก มพี ชื ประมาณ 150 ชนิด ท่ีชาวบา้ นท่ีอาศัยอยู่รอบ สัมภาษณข์ ้อมลู การใชป้ ระโยชนด์ ้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (knowledge ปา่ บุ่งป่าทามมีองค์ความรู้ในการน�ำมาใช้ประโยชน์ sharing) ระหว่างผูใ้ ห้ขอ้ มูล จากพชื ทั้งหมดท่สี �ำรวจพบ 232 ชนิด เกือบทกุ ชนดิ เป็นพืชท้องถ่นิ หรอื พืชพ้นื เมืองของประเทศไทย มีเพยี ง ได้บ้าง นี่แหละคอื การเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรงแล้ว 7 ชนิดเป็นพชื ต่างถน่ิ กระจายพันธุม์ าจากต่างประเทศ บอกเล่าสบื ตอ่ สะสมกนั มายาวนาน จนเปน็ เอกลักษณ์ แลว้ แพร่กระจายไปในพื้นที่ชมุ่ น�้ำท่วั ประเทศรวมท้งั เขา้ เฉพาะของชาวอสี านในเขตนี้ อย่างไรกต็ ามในปจั จุบัน ส่ปู า่ บงุ่ ปา่ ทามด้วย คนรนุ่ ใหม่ส่วนใหญ่ท่ีมีอายนุ อ้ ยกว่า 40 ปลี งมา มอี งค์ ความร้เู หล่านล้ี ดน้อยลงไปมาก เนอื่ งจากมีวิถีชวี ติ ท่ี การใช้ประโยชนจ์ ากพรรณไม้โดยชมุ ชนรอบปา่ บ่งุ เปลี่ยนแปลงไป สงั เกตได้จากผู้ให้ข้อมูลท่นี ่าเชอ่ื ถอื ได้ ปา่ ทามในภาคอสี านมกี ารสืบตอ่ องคค์ วามรูก้ ันมาอย่าง ในการส�ำรวจขอ้ มูลคร้งั น้สี ่วนใหญม่ ีอายมุ ากกว่า 60 ปี ยาวนาน แมว้ า่ ในปจั จุบันจะสูญหายไปบ้าง แตย่ ังพอมี ข้ึนไป ซึ่งท่านทั้งหลายได้เคยมวี ิถชี วี ิตผูกพันกบั การ แหล่งขอ้ มูลให้ได้ศกึ ษาอยูบ่ ้างจากชุมชนท่หี า่ งไกลความ เข้าไปใช้ประโยชนจ์ ากปา่ บุ่งป่าทามในอดีต หรือบาง เจริญ ท่ีผูค้ นยังมคี วามจำ� เป็นตอ้ งพ่งึ พาพรรณไม้จาก ท่านยังคงเข้าไปท�ำมาหากนิ ในปา่ บ่งุ ปา่ ทามจนกระท่ัง ปา่ บงุ่ ป่าทามมาใชด้ �ำรงชวี ติ เพื่อลดคา่ ใชจ้ ่าย และเกบ็ ทกุ วนั น้ี ถือไดว้ ่าเป็นกลมุ่ คนรนุ่ สดุ ทา้ ยทม่ี ปี ระสบการณ์ หามาใช้สอยได้งา่ ย องค์ความร้เู หลา่ นี้มีคณุ คา่ หาได้ ตรง และยงั สามารถให้ขอ้ มลู ได้ดที ส่ี ุด กอ่ นท่ีจะสญู หาย ยาก และเปน็ เอกลกั ษณ์ประจ�ำของแต่ละท้องถิน่ อสี าน ไปในอีกไมช่ า้ แตกตา่ งจากองค์ความรู้ด้านพรรณไมใ้ นพนื้ ทีป่ า่ บก ซง่ึ มี พรรณพืชจำ� นวนมากไม่เหมอื นกัน มขี ้อสงั เกตในส่วนค�ำบรรยายพรรณไมใ้ นแต่ละชนดิ ส่วนขอ้ มูลการใช้ประโยชน์ ซึ่งระบทุ ่มี าของผูใ้ ห้ข้อมลู การใช้ประโยชนจ์ ากพรรณไมใ้ นปา่ บุง่ ป่าทามมี เป็นตวั เลขในเคร่อื งหมายวงเล็บ นั้น การปรากฏตวั เลข ลักษณะวธิ ีการใช้ท่ีสอดคลอ้ งกับวถิ ีชีวติ ความเป็นอยู่ ของแหล่งทีม่ าขอ้ มูลจำ� นวนมาก แสดงให้เห็นวา่ การ ของคนในเขตทรี่ าบลมุ่ ริมนำ้� โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การเก็บ ใชป้ ระโยชน์ในรปู แบบนน้ั เปน็ องค์ความรทู้ ีใ่ ชต้ รง หาพชื ผกั มาเปน็ อาหาร และวสั ดจุ ากพืชมาท�ำเครอ่ื งมือ กนั หรือแพร่หลายในชมุ ชนหลายแหง่ ซึ่งอาจจะเปน็ หาปลา หรือเคร่อื งมือต่างๆ ใชใ้ นชวี ติ ประจ�ำวนั ล้วน ไปไดว้ า่ การใช้ประโยชน์ในรูปแบบนัน้ มคี วามน่าเช่ือ แตเ่ กดิ ข้นึ จากการเรียนรู้ถูกผิดว่า พืชชนดิ ใดกินได้ หรอื ถือหรือมขี อ้ สรปุ ท่เี หน็ พ้องตรงกันว่ามปี ระสทิ ธิภาพ กินไมไ่ ด้ เหมาะสำ� หรบั การปรุงอาหารแบบใด หรอื และพบวา่ รปู แบบการใชป้ ระโยชนพ์ ชื แตล่ ะชนิดใน ใชร้ กั ษาอาการเจ็บไขไ้ ดป้ ว่ ยอะไรบ้าง หรอื วสั ดใุ ดมี แต่ละชมุ ชนจะมอี งคค์ วามร้คู ลา้ ยคลึงกนั ตาม ชมุ ชนท่ี คุณสมบตั ิอยา่ งไร แล้วเหมาะสมตอ่ การนำ� มาใชท้ ำ� อะไร อยูใ่ กลเ้ คียงกัน พื้นท่ีลมุ่ น้ำ� เดยี วกนั และชาตพิ ันธดุ์ ้าน

60 ปา่ บ่งุ ปา่ ทาม ภาคอีสาน ภาษาทีใ่ กล้ชิดกัน ตามลำ� ดบั แสดงให้เหน็ ว่าชมุ ชนทอี่ ยู่ คน 7 ชาตพิ ันธทุ์ างภาษา (ภาษาไทลาว, ไทญอ้ , ภไู ท, ใกลเ้ คยี งกนั และอาศยั อยู่ในล่มุ นำ�้ เดียวกนั จะมีอิทธิพล ไทด่าน/ไทเลย, ไทโคราช, เขมร, สว่ ย) ครอบคลุมพืน้ ที่ ตอ่ การถา่ ยทอดองคค์ วามรแู้ กก่ นั ไดม้ ากกว่า แมจ้ ะมี ลมุ่ น้ำ� มลู ล่มุ นำ้� ชี ลุ่มน้ำ� สงคราม และลุ่มน้ำ� โมง จาก ความแตกตา่ งทางดา้ นภาษาก็ตาม เพราะการเดนิ ทาง 12 จงั หวดั ของภาคอสี าน แบง่ เปน็ กลมุ่ การใช้ประโยชน์ ไปมาหาสกู่ ันบอ่ ยครัง้ และความคลา้ ยคลึงกันของชนดิ 6 ด้าน ทจี่ ะกล่าวต่อไป ส�ำหรบั การค้นหารายละเอยี ด พันธ์พุ ชื ว่ามีพชื ชนดิ ใดบา้ งในแตล่ ะกล่มุ การใช้ประโยชน์ท้ัง 6 ด้าน และกล่มุ การใช้ประโยชน์ย่อย ผู้อา่ นสามารถ การรวบรวมองคค์ วามรดู้ ้านการใช้ประโยชนไ์ ด้ คน้ หาได้จากดชั นีการใชป้ ระโยชน์ทภี่ าคผนวกทา้ ยเลม่ ท�ำการรวมรวมจากทัง้ หมด 27 ชมุ ชน จากผใู้ หข้ อ้ มูล 88 การเรยี กชอ่ื ทอ้ งถิ่น จะแตกต่างกนั ชดั เจนระหวา่ งชาติพันธ์ุที่พดู ภาษาตระกลู ไท-ลาว และภาษา ตระกลู มอญ-เขมร โดยชาวเขมรและชาวส่วยหรอื กูย ท่ี อ.ทา่ ตมู จ.สุรนิ ทร์ ใช้ภาษาตระกลู มอญ-เขมร จะเรยี กชอื่ พืช ค่อนข้างคล้ายคลงึ กนั สว่ นชาวอสี านในชมุ ชนอน่ื ทสี่ ำ� รวจข้อมลู ใช้ภาษาตระกลู ไท-ลาว จะมีความผนั แปรตามกล่มุ ภาษายอ่ ย ดงั น้ี ชาวไทโคราช ใช้ภาษาไทโคราช (สว่ นใหญ่อยูใ่ น จ.นครราชสีมา) จะเรยี กชอ่ื พชื สว่ นใหญ่คล้ายกับ ภาษาไทกลาง และบางส่วนเรยี กชือ่ คลา้ ยภาษาไทลาว และภาษาเขมรทีอ่ าศัยอยู่ในภาคอีสานอีกด้วย ส่วนชาวไทลาว ไทด่าน ไทญ้อ และภไู ท (เปน็ ประชากรส่วนใหญข่ องภาคอสี าน) ใช้ภาษาไทลาว ท่ีมีคำ� และส�ำเนียงแตกต่างกนั เลก็ น้อย มกี ารเรียกชอื่ พชื คล้ายกนั มาก โดยชุมชนทีอ่ ยูใ่ กลช้ ิดกันจะเรียกชอ่ื พืชส่วนใหญ่ตรงกนั มีเพยี งการออกสำ� เนยี งต่างกนั เลก็ นอ้ ย โดยเฉพาะ พืชทีม่ ีการใช้ประโยชนอ์ ย่างแพรห่ ลายหรือพบเห็นไดง้ า่ ยมักจะเรยี กชือ่ ได้ตรงกนั เชน่ มนั แซง (Dioscorea oryzeto- rum), กระโดน/กระโดนน้�ำ (Barringtonia acutangula), แสง (Xanthophyllum lanceatum), เสยี ว (Phyllan- thus angkorensis), ทม่ (Mitragyna diversifolia), คางฮงุ (Albizia lebbeckoides), ขา้ วจ่ี (Grewia hirsuta), กะดนั /หมากกะดนั (Garcinia schomburgkiana) เปน็ ตน้ อยา่ งไรกต็ ามการเรียกชอื่ ทอ้ งถนิ่ ของพืชแตล่ ะชนิดสว่ นใหญ่มคี วามผันแปรมากทง้ั ชอ่ื และการออกเสยี ง เนอื่ งจากไม่มกี ารสะกดค�ำอยา่ งเป็นทางการ และการถา่ ยทอดการเรยี กชอ่ื /การออกเสียงเปน็ การบอกต่อๆ กนั ไป จงึ เกิดเสียงเพ้ยี นไปเรอ่ื ยๆ โดยเฉพาะชนิดพืชท่คี นส่วนน้อยรจู้ ัก พืชไม่มีประโยชน์ หรอื พืชหายาก แมแ้ ต่คนในหมบู่ า้ น เดยี วกนั ยงั เรียกชอ่ื ต่างกนั เชน่ ฝา้ ยน้�ำ (Mallotus thorelii) ชาวไทลาวท่บี ้านหนองแวง อ.กนั ทรารมย์ จ.ศรสี ะเกษ เรยี กว่า “เนียมชา้ ง/นามช้าง/ฝ่ายนำ�้ /ฝา้ ยน�้ำ” และใน ต.บ้านเกง้ิ อ.เมอื ง จ.มหาสารคาม เรียกวา่ “ฝา้ ยน้�ำ/ล�ำชา้ ง” ส่วนชาวไทโคราช ทบ่ี า้ นสุกร อ.ชมุ พวง จ.นครราชสมี า เรยี กวา่ “ฝ้ายน้�ำ/คันชง่ั ” ดังนนั้ การจำ� แนกชนดิ พันธ์ุพชื ด้วยนักพฤกษศาสตรใ์ ห้ถูกต้องตรงกันก่อนดำ� เนินการสัมภาษณ์ผใู้ ห้ขอ้ มูลในทอ้ งถ่นิ ตา่ งๆ จงึ มีความส�ำคญั มาก ตอ่ การศกึ ษาดา้ นพฤกษศาสตร์พน้ื บ้าน

ป่าบงุ่ ปา่ ทาม ภาคอีสาน 61 1. ดา้ นอาหาร แบง่ ตามประเภทของอาหาร งา่ ยเมอ่ื เข้าไปในป่าบ่งุ ปา่ ทาม เชน่ หมากกะดนั /มะดัน, หมากแซว/มะกอกนำ้� , หมากเมา่ ทาม, ผีพว่ น, หวา้ , 1.1 ผักแนม-แกลม้ : ซ่ึงอาจใชก้ ินแบบสด ลวก ต้ม หวดข่า/มะหวด, สัง, และข้าวจ่ี เปน็ ตน้ ผลไม้บางชนิดท่ี นึง่ ปิ้ง หรือยา่ ง ก็ได้ แลว้ น�ำมากนิ แกล้มกับ แจ่ว (น�้ำ มรี สเปร้ยี วอมหวานและปนฝาด หรือมเี น้อื น้อยและแขง็ พรกิ ) ป่น ซบุ (เครื่องจ้ิมชนดิ หนง่ึ ของชาวอสี าน) ปลา ซ่งึ รสชาติอาจไม่ถกู ปากคนร่นุ ใหม่นัก เชน่ หลู ิง, คันกอ้ ง, ปง้ิ -ปลาเผา ลาบ กอ้ ย หรือกับขา้ วอืน่ ๆ ก็ได้ ซึ่งในป่า โก/ตะโกนา, น�้ำจ้อย, เครอื กล้วยน้อย/นมแมว และ สงั / บงุ่ ปา่ ทามมผี ักพืน้ บ้านมากถึง 73 ชนิด พืชผกั ส่วนใหญ่ มะสัง เปน็ ตน้ ไมพ่ บตามท้องตลาดทั่วไป คนในอดตี เทา่ น้ันที่เคยเก็บ สว่ นยอด ใบอ่อน หรอื ช่อดอกอ่อนมากิน เมือ่ ครงั้ ทีพ่ ืช 1.3 พชื ผกั ส�ำหรบั ท�ำอาหารคาว-หวาน-หมักดอง : ผกั จากตลาดสดในเมอื งยังเขา้ มาไมถ่ ึง สว่ นใหญม่ รี สมนั มกี ารสำ� รวจพบ 39 ชนิด สว่ นใหญ่มีชนดิ ทคี่ ล้ายกบั ผกั ปนฝาด บางชนดิ มีรสขม หรือเปรี้ยว เช่น เครอื - แนมและผลไมป้ า่ ทีก่ ล่าวไปแลว้ เพราะบางชนดิ นอกจาก ตายดิบ, เครือไพสง, นาวน�ำ้ , หลู ิง, หมาก กะดัน, ดีปลาขอ่ , ดอกแคป่า, เหมอื ด- จะใช้กินเปน็ ผักหรือผลไม้แลว้ ยังสามารถปรุงเป็น แอ, แก, คางฮ่งุ , มนั กะทาด, ตานา, อาหารหรือใชป้ รงุ แตง่ กลน่ิ และรสชาติอาหาร ผกั ฮิน้ , ผกั พีพวย, กระจบั เล็ก, ไดอ้ กี ด้วย ตวั อย่างอาหารทปี่ รงุ จากพรรณ บัวแบ, ตีนจำ�้ , เบ็นน้�ำ, ไม้ในปา่ บุ่งปา่ ทาม เชน่ คัดเคา้ , สัง เปน็ ต้น - ส้มตำ� ผัก-ผลไม้ปา่ เช่น และยังมีผักปา่ ส้มตำ� ผพี ่วน, สม้ ต�ำหมาก พืน้ บา้ นอกี กะดัน, สม้ ต�ำหมาก ไม่นอ้ ยท่ีมี เมา่ ทาม, ส้มต�ำ รสชาตดิ ี มรี ส ไหลบวั , สม้ ต�ำถั่ว- หวานมนั หรอื หอมไม่ ฝักพรา้ , ส้มต�ำบักลุมพกุ , แพ้รสชาตขิ องผักตามท้อง สม้ ตำ� ลกู โก เป็นต้น ตลาดเลย เชน่ ผกั อีทก, ผกั - อาหารประเภทต้ม-ผดั -แกง- กาดฮอ้ , ฝักพรา้ , แสง, หน่อออ่ นของ หมก เช่น ต้มปลาใสใ่ บหลู งิ , ต้มปลา แฝก, หน่อหรือแขนงของ ไผก่ ะซะ ส่วน ใส่ใบ/ลูกหมากกะดนั , ผดั เผด็ หนนู าใส่ยอด ผักปา่ ในปา่ ทามทนี่ ยิ มนำ� ไปขายในทอ้ งตลาด เชน่ ดอกโสนน้อย, สายบัว, หนอ่ ไมไ้ ผป่ า่ , ยอด หนามพงุ ดอ, แกงอ่อมกบใส่ผกั ฮ้อนแฮ้น, แกงอ่อม กระโดนน้�ำ, ผักกนั จ้อง, ผักแว่นใบมนั เป็นตน้ ปลาใสผ่ ักข้ีขม, แกงออ่ มกบใส่ยอดดปี ลาขอ่ , แกงออ่ ม ปลาใสห่ นอ่ แฝก, และหมกหนอ่ ไม้ เป็นต้น 1.2 ผลไมป้ า่ : พืชท่ตี ิดผลในป่าบงุ่ ป่าทาม และ สามารถกนิ เปน็ ผลไม้ป่าได้มีมากถึง 41 ชนิด ทีช่ าวบ้าน - อาหารประเภทขนมหวาน เช่น มันแซงต้มใส่น้�ำ ให้ขอ้ มลู วา่ กนิ ได้ สว่ นใหญม่ ีรสชาตเิ ปรีย้ วอมหวาน บ้าง กะทิ (ของหวานมนั แซง), ขนมขา้ วตดหมา, ขนมดอก- ก็มีรสฝาดปนแม้ว่าจะสุกแลว้ กต็ าม หลายชนดิ มีเนอ้ื บาง โสนน้อย, ผลกระจับเล็กตม้ น้�ำตาล, เมล็ดบัวต้มน้ำ� ตาล เมลด็ ใหญ่ แตค่ นเฒ่าคนแกท่ ี่ให้ข้อมลู บอกวา่ “กินได้ เป็นตน้ เพราะในอดตี ไม่มีผลไมต้ ลาดรสชาตดิ ีให้เลือกกิน มีอะไรกนิ ได้ก็กินไปตามที่มี จิม้ เกลือนดิ หน่อยก็อร่อย - อาหารหมกั ดอง เชน่ สม้ ผกั ดองจากยอดออ่ นของ แลว้ ส�ำหรบั คนในชนบท” ผลไมท้ ย่ี ังนยิ มกนิ และหาได้ ผกั ก่าม กุ่มนำ�้ และผกั กาดนา ส่วนผลไมด้ องที่นิยมท�ำ กนิ และทำ� ขายท่วั ไปคอื หมากกะดนั และหมากแซว ซงึ่ ทำ� กันมากอยู่ทจี่ งั หวัดอบุ ลราชธานี

62 ปา่ บงุ่ ปา่ ทาม ภาคอีสาน 2. ดา้ นสมนุ ไพร ถกู แบ่งตามอาการเจบ็ ป่วยได้ 30 ประเภท ในหัวข้อ ต่อไปนจ้ี ะขอยกตัวอย่างเพยี ง 4 กลมุ่ อาการเจบ็ ป่วยส่วน การส�ำรวจเกบ็ ข้อมูลองค์ความรู้ดา้ นยาสมุนไพร ใหญ่ ทีช่ าวบา้ นนำ� พรรณไม้มาใช้ รายละเอยี ดทัง้ 30 ทีม่ าจากปา่ บุง่ ปา่ ทาม ผใู้ ห้ขอ้ มลู ส่วนใหญ่เป็นผสู้ ูง กลมุ่ สามารถคน้ หาไดจ้ ากดัชนีการใชป้ ระโยชน์ในภาค อายมุ ากกว่า 60 ปี และเคยใช้ยาสมุนไพรมากอ่ นทัง้ ผนวกท้ายเลม่ เก็บหามาใชไ้ ด้เองงา่ ยๆ จากอาการที่เคยเจ็บไข้อยเู่ ปน็ ประจำ� หรอื การรับยาจากหมอยาสมุนไพรพื้นบ้านใน 2.1 กลมุ่ อาการปวดเม่ือย-ขอ้ -เอน็ -กระดกู /ฟกชำ้� ท้องถิน่ ขอ้ มลู ในการส�ำรวจน้ียงั ไดร้ ับจากหมอยาพ้ืน /กระษยั เสน้ : มีชนิดพืชที่นำ� มาใชร้ ักษา 29 ชนดิ เชน่ บ้านประเภทต่างๆ ทอ่ี ยู่ในชมุ ชนรอบป่าบ่งุ ปา่ ทามอีก เครือตาปลา, เครือกล้วยน้อย, ผีพว่ น, ผ้าฮา้ ย, ฝ้ายน้�ำ, ด้วย เช่น หมอยาสมนุ ไพร หมอนำ�้ มนั หมอมนต-์ เป่า จาน, ยอน�้ำ, พลับพลงึ ป่า เป็นต้น ทถ่ี ือว่าเสาะหาได้ยากนัก คงเหลอื อยใู่ นบางชุมชน และ ไม่เกนิ 1-2 คนในแต่ละตำ� บลเทา่ นนั้ ซ่งึ เป็นทน่ี า่ เสียดาย 2.2 กล่มุ บ�ำรุงก�ำลงั -ธาตุ แก้ออ่ นเพลีย หรอื ยาอายุ อย่างย่งิ ทีบ่ างท่านได้เพง่ิ เสยี ชวี ติ ไป บางทา่ นเร่มิ มีอาการ วฒั นะ : มชี นดิ พืชทน่ี �ำมาใช้รักษา 24 ชนิด เช่น ข่อย, หลงลืม หรอื ใหส้ มั ภาษณไ์ ดไ้ ม่นานนักจากปญั หาสขุ ภาพ เครอื กลว้ ยนอ้ ย, เครือไพสง, เครือกระพ,ี้ เครือหางหน,ู จงึ นบั ไดว้ ่าองคค์ วามรเู้ หลา่ น้กี �ำลงั จะสญู หายไปเพราะ หลู งิ , ตาไก,้ ตนี ซิ่นเหย้ี น, ยอน้�ำ, ยอเบยี้ เปน็ ต้น ส่วนใหญ่ไม่มที ายาทสบื ทอดความรตู้ อ่ ไป การรวบรวม องค์ความรดู้ ้านยาสมุนไพร พบพรรณไมม้ ากถงึ 96 ชนิด 2.3 กลุ่มบำ� รงุ น�ำ้ นม/อยไู่ ฟ/การคลอด/ประจ�ำ เดอื น : มชี นิดพชื ท่นี ำ� มาใช้รกั ษา 19 ชนดิ เชน่ กระเบา- นำ�้ , เครือกล้วยนอ้ ย, ต้องแล่ง, เบน็ น้�ำ, น้�ำจอ้ ย, ช้อง- แมว, หนามคอง, ทม่ , คดั เค้า เป็นตน้ 2.4 กลมุ่ อาการท้องเสีย/ท้องร่วง/บิด : มีชนดิ พชื ทน่ี �ำมาใช้รกั ษา 18 ชนดิ เชน่ แก, เบ็นนำ้� , เปล้าทาม, กระโดนน้�ำ, ตอ้ งแล่ง, เหมอื ดแอ, หว้า, หูลงิ , เสยี วนอ้ ย, บกั ลุมพกุ เปน็ ต้น

ป่าบุ่งปา่ ทาม ภาคอีสาน 63 3. ดา้ นเชือ้ เพลงิ กลมุ่ คร้งั นี้หมายถึงเครือ่ งมอื เครือ่ งใช้ในชีวิตประจำ� วัน ตา่ งๆ เชน่ เครื่องเรอื น (เฟอร์นเิ จอร์) เคร่ืองมือทางการ การใช้ประโยชน์ทัง้ หมดอยู่ในรปู แบบของ ไมฟ้ ืน เกษตร เครื่องครวั หรอื ด้ามเครื่องมอื ตา่ งๆ ที่ใช้เนอื้ ไม้ หรือ เผาถ่าน โดยส�ำรวจพบชนิดพนั ธไ์ุ มท้ ี่ใช้ทำ� เชื้อเพลิง มาเป็นส่วนประกอบหลัก ไมร่ วมการน�ำไมไ้ ผแ่ ละเถาวัลย์ ไดท้ ง้ั ส้ิน 55 ชนิด ซง่ึ ในปัจจบุ นั ยงั คงมกี ารใช้อยู่ เพราะ มาใช้ในงานจักสานหตั ถกรรมซ่งึ ไดถ้ ูกจัดไวเ้ ป็นการใช้ การเข้าไปตดั ไมใ้ นปา่ บุ่งป่าทามหลายทอ้ งทย่ี ังคงทำ� ได้ ประโยชน์ด้านวัสดใุ นหวั ขอ้ ถดั ไป ชนดิ ไม้ทสี่ ำ� รวจพบการ งา่ ย และชว่ ยประหยดั คา่ ใชจ้ ่ายซือ้ แกส๊ หงุ ตม้ หรอื บาง ประโยชน์มที ั้งสิ้น 33 ชนดิ ยกตัวอย่างตามประเภทการ คนได้ยดึ เปน็ อาชพี หลกั ในการหาไมฟ้ นื และเผาถา่ ยขาย ใช้งาน ดงั น้ี ไม้ฟืนที่หาได้จากป่าบงุ่ ป่าทาม ส่วนใหญเ่ ปน็ ไม้ต้นและ ไม้พุ่มท่ีมีเนอื้ ไม้เกือบทกุ ชนดิ เพราะเป็นไมโ้ ตเร็วตัดฟัน 4.1 งานกอ่ สรา้ งท่ีตอ้ งรองรับน�ำ้ หนกั มากหรอื ทงั้ กงิ่ และตน้ ออกมาตากแดดแล้วใช้ได้เลย หรือเถาวัลย์ ทนทานต่อแรงบบี อดั ไดด้ ี : จ�ำเปน็ ต้องใช้เนื้อไมท้ ี่มี ขนาดใหญ่ทม่ี เี นือ้ แข็งกส็ ามารถใชท้ ดแทนกันได้ในกรณีท่ี ความแข็งแรง โครงสร้างทีใ่ ชเ้ น้อื ไม้แบบนี้ เช่น เสา ขาดแคลน สว่ นไมท้ จี่ ะเลอื กมาเผาถ่านน้นั จะเลอื กจาก คาน ตง พน้ื กระดาน วงกบ เกา้ อ้ี โต๊ะ ชนิดไมท้ นี่ ิยม ไม้ที่มีขนาดใหญเ่ ทา่ ทอ่ นแขนข้ึนไป และมเี น้อื ค่อนขา้ ง ใช้จะเปน็ ไมต้ น้ ขนาดใหญ่ ได้แก่ แห่/สะตือ, สะมงั / แขง็ -แขง็ มาก เพ่ือได้ถ่านทใ่ี ห้ไฟแรงไม่มอดง่าย ตวั อย่าง เฉยี งพร้านางแอ, ตะเคยี น/ตะเคียนทอง, มันปลา/ ชนิดพันธ์ุไม้ทน่ี ำ� มาเผาถ่านได้คณุ ภาพดี เชน่ แก/ กนั เกรา, เปอื ยน�้ำ/ตะแบกนา, หว้า, น�้ำจ้อย, โก/ตะโก- สะแกนา, หว้า, เสยี ว, สะมัง/เฉียงพร้านางแอ, เหมอื ด นา เป็นตน้ สำ� หรับงานตอ่ เรอื ตอ่ รถ ต่อเกวียน หรือ แอ, หมากกะดนั /มะดัน, เปือยน้ำ� /ตะแบกนา, น�้ำจ้อย, ดา้ มเครื่องมือ ซึง่ ต้องการเนื้อไม้ทเี่ หนียวและแขง็ แรง แห่/สะตือ, ขามแป, โก/ตะโกนา, เปือยกระแดง้ , เครอื เช่นเดยี วกนั นอกจากชนดิ ไม้ที่กลา่ วไปแล้ว ยังนิยม ทะมอง/ถอบแถบเครอื และ ไมยราบยกั ษ์ เป็นต้น เนื้อไมข้ องไมต้ ้นขนาดเลก็ หรือไม้พ่มุ บางชนิดอีกดว้ ย ไดแ้ ก่ ขามแป, เหมือดแอ, เสียว, ลมุ ไซย/ธนนไชย, 4. ด้านไม้ก่อสร้างหรือเคร่ืองมอื เปอื ยกระแด้ง, บกั ลุมพกุ , เครอื กระพ้ี เป็นต้น เปน็ การใชป้ ระโยชนจ์ ากไมต้ ้นหรือไม้พุ่มท่ีใหเ้ น้อื 4.2 งานกอ่ สรา้ งทใ่ี ช้งานในร่มและไม่จำ� เปน็ ต้อง ไม้ อาจจะเป็นไม้เนอ้ื แขง็ หรือออ่ นกไ็ ด้ แต่ชาวบา้ น รบั น้�ำหนักมาก : สว่ นของโครงสร้างอาคาร เชน่ โครง- สามารถนำ� มาใชป้ ระโยชน์ให้เหมาะสมกบั ลักษณะการ เคร่า จนั ทัน แป ฝา หรอื เฟอรน์ เิ จอรท์ ่วั ไป จะใช้เนื้อไมท้ ่ี ใช้งานได้ เชน่ การก่อสรา้ งอาคารบ้านเรือน โรงเรือน มีความแข็งแรงปานกลาง และมกั จะไม่ทนทานตอ่ การผุ การเกษตร ต่อเรอื ตอ่ เกวียน ตวั ถังยานพาหนะ สว่ น พังหากใชง้ านท่ตี อ้ งถกู แดดถกู ฝน เช่น ยางนา, กระเบา- การใช้ประโยชนเ์ พ่อื ท�ำเปน็ เครือ่ งมือนัน้ ในการจดั น้�ำ, อะราง, หว้านา, ค�ำไก,่ คนั กอ้ ง, คางฮงุ , ท้งิ ถ่อน, ก้านเหลอื ง, กระโดนน้�ำ, แดงสะแง, ขกี้ ะลุ่ย เปน็ ตน้

64 ปา่ บุ่งปา่ ทาม ภาคอสี าน 4.3 เคร่อื งมือทางการเกษตรบางชนดิ ท่ีต้องการ สวิง กระบงุ ตะกร้า กระโซว่ ิดนำ้� ชนิดเถาวลั ยท์ ี่ใช้ เชน่ เน้อื ไมท้ ีน่ �้ำหนักเบาแต่มคี วามเหนียว : ทนทานต่อแรง ผีพ่วน, เครอื กล้วยน้อย, เบน็ น้�ำ, เครอื ซดู เปน็ ตน้ บดิ ได้ดี อยา่ งเชน่ แอก และ ผานหัวหมทู ่ตี ิดอยู่ปลายคัน ไถ ชาวบา้ นจะนยิ มใชเ้ นื้อไม้ ทม่ /กระทุ่มนา และ แสง/ 5.3 วสั ดทุ ี่ใชแ้ ทนเชือกหรอื น�ำเสน้ ใยมาคว่ันเชอื ก ชุมแสง : เช่น เครอื ตาปลา, เครอื ทะมอง, เครอื ปลอก, เครือซูด, ฮ้ินแฮด, ปอทาม, ขา้ วจ,่ี โสนน้อย เปน็ ต้น 5. ดา้ นวสั ดุ 5.4 วัสดทุ ี่ใชฟ้ อกหรอื ยอ้ ม : พชื ทใี่ ช้ยอ้ มเสน้ ไหม/ เปน็ การใชป้ ระโยชน์จากพืชท่ไี ม่ไดม้ าจากเนอ้ื ไม้ ฝ้าย เช่น แกน่ เขทาม หรือแกน่ เหมอื ดแอ ใชย้ ้อมไหม/ ของต้นไมห้ รือไมพ้ มุ่ แตไ่ ด้มาจากเถาวัลย์ ก่งิ กา้ นของ ฝ้าย ให้สีเหลอื ง, เปลือก เปอื ยน�้ำ ใชย้ อ้ มไหมให้สีม่วง ไมต้ น้ หรอื ไมพ้ ่มุ น้ำ� มันยาง ชัน สารให้สีหรอื ฝาดใน คลำ�้ , เปลอื ก หว้า ใช้ย้อมไหม/ฝ้าย ใหส้ ีแดงอมมว่ ง, การฟอกย้อม เปลือกและเส้นใย เพือ่ ใช้เปน็ วสั ดุในงาน เปลือก คางฮงุ ใช้ย้อมไหมใหส้ ีกากี, ผลดบิ ของ โก/ตะโก หตั ถกรรม งานจกั สาน งานประดิษฐ์ของเลน่ หรือเป็น นา ใชย้ ้อมฝ้ายใหส้ ดี �ำ, ใบ เหมือดแอ ใช้เปน็ สารชว่ ยย้อม วสั ดุสนับสนุนในงานก่อสร้าง ตอ่ เรอื ตอ่ ยานพาหนะ ใหส้ ตี ดิ ฝ้าย/ไหมได้ดี, พืชทใ่ี ช้ย้อมแหเพ่อื ใหเ้ ส้นด้ายของ ชนิดพชื ท่ถี กู นำ� มาใชป้ ระโยชนแ์ ละถูกจัดอยใู่ นกลมุ่ น้ี แหแข็งแรงทนทาน ไมพ่ นั กันงา่ ย เช่น เปลือก กระโดนน�้ำ พบพรรณไมท้ ัง้ สิน้ 72 ชนิด ยกตวั อย่างตามประเภทการ และ หว้า, ฝักสดของ ขามแป, ยอดอ่อน หนามกะจาง, ใชง้ านสว่ นใหญ่ตอ่ ไปนี้ ผลดบิ โก/ตะโกนา, ใบและกงิ่ อ�ำไอ่ หรอื เครอื ตายดบิ ผสมกบั เลอื ดววั -ควาย เป็นต้น 5.1 วัสดทุ ีใ่ ช้ในงานก่อสรา้ งหรือตอ่ เรือ : คอื น�ำ้ มัน ยางจาก ยางนา ใช้ในการผสมสีนำ้� มันทาบา้ นหรือผสม 6. การใชป้ ระโยชน์ด้านอ่ืน ทีน่ อกเหนือจากท้งั กบั ชันในการอุดรอยร่ัวและตอกหมนั เรือ 5 ข้อทก่ี ล่าวมาขา้ งต้น ได้แก่ 5.2 วัสดทุ ใี่ ช้ในการจักสานเคร่อื งหัตถกรรม : เชน่ 6.1 พชื ทีเ่ หมาะสมตอ่ การปลูกประดับหรือปลกู ไม้ไผป่ ่า และ หวายน้�ำ ซง่ึ มีเน้ือเหนียวน�ำมาจกั เส้น ตอกสานเคร่อื งจักสานไดท้ ั่วไป, ก้านชอ่ ดอกของ ผือ เปน็ แนวรว้ั : ทีเ่ ปน็ พรรณไม้ดอกหอม ได้แก่ เครือกล้วย หญ้าฮังกา และกา้ นของ คล้า ใชใ้ นการทอเส่อื หรอื น้อย/นมแมว, มกู /โมกบา้ น, กะสิน/รวงผ้ึง, คดั เค้า, สานกระตบ๊ิ ขา้ ว, เถาวัลย์เนื้อเหนยี วและแขง็ แรงจำ� นวน มันปลา/กันเกรา, อนิ ถวานอ้ ย เป็นต้น พืชท่เี ป็นไมต้ น้ มากในปา่ บงุ่ ปา่ ทาม ทีน่ ิยมใชท้ �ำโครง/กง หรือขอบ มีพุ่มใบสวยงามเหมาะสมตอ่ การปลูกประดบั สถานท่ี- เคร่ืองจักสานต่างๆ เชน่ เครอ่ื งมือหาปลาชนดิ ต่างๆ สวน-ข้างทาง ไดแ้ ก่ กะสนิ , แสง/ชมุ แสง, มนั ปลา, จาน/ทองกวาว, เปือยน้�ำ/ตะแบกนา, เปือยน�้ำสงคราม ไม้ตะเคียน นยิ มใช้ท�ำเรอื เป็นต้น พชื ท่เี ปน็ ไม้พมุ่ มพี ุ่มใบแน่นสวยเหมาะสมต่อ

ป่าบ่งุ ป่าทาม ภาคอีสาน 65 การปลกู เปน็ แนวร้วั ได้แก่ ข่อย, มูก, เสียว และ คดั เคา้ มนต์ให้เด็กแรกเกิด, ดอก จาน ใชร้ ้อยมาลยั ตกแต่งใน เปน็ ตน้ งานเทศนม์ หาชาต,ิ ถ่านของไม้ เสยี ว บดใหล้ ะเอียดผสม ดนิ ปะสวิ ใสบ่ ง่ั ไฟ เปน็ ต้น 6.2 พชื ท่เี หมาะสมต่อการปลูกเพ่ือการอนรุ กั ษด์ นิ และน�้ำ : พชื ท่ปี ลกู ช่วยปอ้ งกันดนิ พังทลาย ได้แก่ แฝก, 6.5 พืชมีพิษ : เช่น เนอ้ื ในผลสุก กระเบาน�้ำ กนิ เสียว, บักนอดนำ�้ เป็นตน้ พชื ท่ีนำ� มาหมกั เปน็ ปุ๋ยได้ ไดแ้ ตผ่ ลดบิ กนิ แลว้ อาจเมา, น้�ำยางและเกสรของ นำ�้ - ได้แก่ ผักตบชวา และ กระเฉดตน้ หรือปลกู เพ่อื ปรบั ปรงุ เกล้ยี ง เปน็ พิษหากโดนผิวหนังหรือเนอื้ เย้อื อ่อนจะมี ดนิ แลว้ ไถกลบเป็นปยุ๋ พืชสด คือ โสนน้อย เป็นตน้ อาการคันถึงแพ้รนุ แรง, ผล ใบและเถาของ ไขแ่ ข้ หรือ ใบของ ก้านเหลือง หรอื เมลด็ กระเบาน้�ำ ท่จี ะมพี ิษเบ่อื 6.3 พชื ทเ่ี ปน็ อาหารหรือยาของสัตว์ : เชน่ แฝก, เมา แตใ่ ชเ้ ปน็ สารไล่แมลง/หอยเชอรี่ ได้, เมล็ดแก่ดบิ แซง, พงั โพดใหญ,่ ผักตบชวา, ยอพญาไม้, กระดูกอึ่ง, ของ ฝักพรา้ มฤี ทธเิ์ มาจะต้องท�ำให้สุกกอ่ นกิน, ปลาย ก้ามป,ู เครือหนุ แป, ไผป่ ่า, ไผ่กะซะ, ฝ้ายน้�ำ, ท้งิ ถ่อน, หนามสดี ำ� ของตน้ หนามพงุ ดอ มพี ิษ เมอ่ื ถูกแทงแล้ว ฝกั พร้า, เครือกระพี้ เป็นตน้ ปลายหนามสีดำ� จะหกั คา ปวดมากและอกั เสบ, นำ้� ใน เนือ้ ผลของ เครอื หุนแป/เถาคนั ขาว ทำ� ให้เนื้อเยอื่ ออ่ น 6.4 พชื ท่ใี ช้ในการประกอบพธิ ีหรือประเพณี : เชน่ คนั คลา้ ยถูกน�้ำยางของต้นบอน ดอก บวั หลวง ใชบ้ ชู าพระ, ก่ิง หนามพรม ใช้ท�ำพธิ เี ปา่

66 ปา่ บงุ่ ป่าทาม ภาคอสี าน การอนรุ กั ษป์ ่า ขณะทปี่ ่าบุ่งปา่ ทามได้ถูกบุกรุกพื้นที่เพือ่ เปลย่ี นมาทำ� นา ข้าวเพ่อื การคา้ การส่งออกของประเทศ และการตดั ต้นไม้ สถานการณ์ปา่ ไม้ ขนาดใหญอ่ อกไปใช้ รวมถึงการเผาถา่ นอีกดว้ ย โดยใน ช่วงตั้งแต่ พ.ศ. 2520 เปน็ ตน้ มา ชมุ ชนในล่มุ น�้ำสงคราม การใชป้ ระโยชนใ์ นพื้นทปี่ ่าบงุ่ ป่าทาม มีการเปลี่ยน ตอนล่างไดข้ ยายการทำ� นาปรงั เขา้ ไปสพู่ ้นื ทร่ี าบลุ่มในเขต แปลงตามยคุ สมัยการพฒั นาด้านเศรษฐกิจ-สังคม ใน ปา่ บงุ่ ปา่ ทาม ตามมาด้วยการส่งเสรมิ การปลกู มะเขือ- ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ท่ีพัฒนาไปตามกระแส เทศในปี พ.ศ. 2521 ขณะที่ในลุ่มน�้ำมูลในเขตจังหวดั เศรษฐกิจแบบทนุ นยิ มจนถงึ ในปัจจบุ นั สภาพของ นครราชสีมา ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2493 เปน็ ต้นมา การขยาย ป่าบ่งุ ป่าทามเกือบท้ังหมดในภาคอีสานมิได้มีความ พน้ื ท่ีปลกู ปอแก้วและนาข้าวเป็นสาเหตหุ นึง่ ทสี่ ำ� คัญของ อดุ มสมบรู ณต์ ามธรรมชาติเฉกเช่นสภาพป่าเมอ่ื กอ่ น การสูญเสยี พ้นื ที่ปา่ บงุ่ ปา่ ทาม และเมอ่ื ประมาณปี 2530 ปี พ.ศ. 2500 โดยคาดว่าในอดตี ภาคอีสานเคยมพี นื้ ท่ี ในพ้นื ทล่ี มุ่ น�้ำมลู ไดม้ ีการส่งเสริมการปลูกยูคาลิปตัส ป่าบุ่งป่าทามประมาณ 4 ล้านไร่ แตป่ ัจจบุ นั เหลอื อยู่ ตามคันนาแลว้ ตอ่ มาได้ขยายเขา้ สูพ่ นื้ ทป่ี ่าบุ่งปา่ ทาม ไมเ่ กนิ 150,000 ไร่ และสว่ นใหญม่ ีสภาพเส่ือมโทรม อยา่ งรวดเรว็ จนถึงปัจจุบัน ล่าสดุ เม่อื ปี 2554-2557 มี กรมส่งเสรมิ คณุ ภาพส่งิ แวดลอ้ ม (2549) ไดร้ วบรวมการ โครงการรบั จำ� นำ� ข้าวที่ทำ� ให้ราคาข้าวกลับมาสงู อกี คร้ัง เปลยี่ นแปลงของพ้นื ท่ีชมุ่ น�ำ้ ซึง่ รวมถงึ พนื้ ทป่ี า่ บงุ่ ป่าทาม ท่นี าในพืน้ ทีบ่ ุ่งทามทีเ่ คยรกร้างกลายเป็นปา่ ทก่ี �ำลังฟืน้ ในล่มุ นำ้� สงครามไว้ว่า ตัง้ แตใ่ นปี พ.ศ. 2500 เปน็ ตน้ ตัวถูกถางกลบั มาเป็นแปลงนาอกี ครั้ง เหล่านี้คอื ผลพวง มา เป็นช่วงทปี่ ระเทศไทยมีการพฒั นาสภาพเศรษฐกจิ จากความพยายามพัฒนาประเทศของรัฐบาล และความ และสงั คมไปอย่างรวดเรว็ ตามแผนพฒั นาเศรษฐกิจและ เปลีย่ นแปลงของสงั คมตลอดมา สังคมแหง่ ชาติ มีการสร้างถนนเช่ือมระหว่างชุมชนกบั เมอื ง มีการเปลย่ี นแปลงเทคโนโลยที างการประมงโดย นำ� ไนลอนมาปรับใช้แทนวัสดจุ ากธรรมชาติ มีการใชเ้ รือ เคร่ืองยนต์จบั ปลา และม่งุ เน้นการท�ำประมงเพื่อการคา้

ป่าบุง่ ปา่ ทาม ภาคอีสาน 67 เหตุการณต์ า่ งๆ สง่ ผลกระทบต่อความอดุ มสมบูรณ์ ปัจจยั คุกคาม และความหลากหลายทางชีวภาพของระบบนเิ วศปา่ บุ่งปา่ ทามในพ้นื ท่ภี าคตะวนั ออกเฉียงเหนือลดลงจนมี ในปัจจุบนั แม้ว่ากระแสการอนรุ กั ษท์ รัพยากร สภาพปา่ อย่างทเ่ี ปน็ อยูใ่ นปจั จุบัน คือเหลือเพยี งไมไ้ ผ่ ธรรมชาติจะได้รับความส�ำคญั มากยิง่ ขึน้ ทง้ั ในสว่ น ไมพ้ ่มุ และเถาวัลย์ ทีป่ กคลมุ เปน็ ส่วนใหญ่ ส่วนต้นไม้ ภาครฐั เอกชน จนถึงภาคประชาชน ร่วมกบั การเพิ่ม ขนาดใหญห่ ลงเหลอื ให้เห็นเพยี งตอไม้และแขนงท่ีแตก กระบวนการมีสว่ นรว่ มของทกุ ภาคส่วนในการเขา้ มา ใหมจ่ �ำนวนมาก หรือมีเพยี งต้นไม้ขนาดเล็กที่มีเถาวัลย์ จดั การทรัพยากรธรรมชาติ ท�ำใหร้ ปู แบบของการเข้าใช้ ปกคลุมหนาแน่น บางแหง่ มีสภาพเปน็ ทุ่งหญา้ อนั เกิด ประโยชนใ์ นพืน้ ทป่ี ่าบุ่งปา่ ทามบางชุมชนมีการควบคุม จากทุ่งนาทีป่ ล่อยให้รกรา้ ง แล้วววั -ควายเขา้ มาแทะเลม็ ดแู ลกนั บา้ ง แต่สว่ นใหญจ่ ะเปน็ การควบคมุ เรือ่ งการทำ� หนกั มากจนยากท่ีตน้ ไมจ้ ะเจรญิ เติบโตกลับมาเปน็ ป่า ประมงในเขตป่าบ่งุ ป่าทามและในลำ� น้�ำ ยังคงมีอกี หลาย ทส่ี มบูรณ์ดังเดมิ ได้ นอกจากดา้ นป่าไมแ้ ล้ว ทรัพยากร กิจกรรมหรือโครงการทีเ่ ข้าไปใช้ประโยชนพ์ นื้ ท่ปี ่า อนั ประมงก็ถดถอยลงเร่อื ยๆ ตามกนั จากผลของการใช้ สรา้ งผลกระทบที่เสียหายตอ่ พรรณพืช ดนิ และสภาพ ประโยชนจ์ ากทรพั ยากรธรรมชาตทิ ่ีเกินความพอดี ภมู ปิ ระเทศให้เหน็ อยูเ่ สมอ ซ่งึ อาจจะท�ำไปด้วยเจตนา หรอื ความรู้เท่าไมถ่ ึงการณ์กต็ าม เพราะป่าบงุ่ ปา่ ทามมี ในอดตี พืน้ ที่ปา่ บุ่งป่าทาม เป็นพ้นื ท่ที ค่ี นสว่ นใหญไ่ ม่ ปัจจัยแวดล้อมทกี่ �ำหนดการเกิดป่าท่ซี ับซอ้ นกว่าป่าบก ใหค้ วามสำ� คัญเน่ืองจากเปน็ ที่ดินลุ่มต่ำ� มีน้�ำท่วมซ้ำ� ซาก ทัว่ ไป และปา่ หลายแหง่ ทีเ่ ปน็ พ้นื ท่สี าธารณะประโยชน์ และล�ำนำ�้ มีการกัดเซาะเปลี่ยนทิศอยบู่ อ่ ยคร้งั การตง้ั ใกลแ้ หลง่ ชุมชน งา่ ยตอ่ การเข้าถงึ ได้ง่าย หน่วยงาน บา้ นเรือนอยอู่ าศัยเป็นเร่ืองยากล�ำบาก ชาวบ้านจะใช้ ตา่ งๆ และประชาชนจงึ มคี วามต้องการมากที่จะเข้าไป ปา่ บุง่ ปา่ ทามในการหาปลาหรอื ตดั ไม้ใช้สอยในครวั เรอื น ใช้ประโยชนใ์ นรปู แบบต่างๆ ปจั จยั ทค่ี กุ คามต่อความ เปน็ ส่วนใหญ่ อาจจะมกี ารเขา้ ไปปลูกข้าว ปลูกผกั ในชว่ ง สมบูรณ์ของปา่ บงุ่ ปา่ ทามในปัจจบุ นั สามารถแบง่ ได้ ฤดนู ้ำ� ลดบา้ งแตไ่ มม่ ากนัก เพราะชาวบา้ นส่วนใหญ่อยู่ เป็น 3 ส่วน ดังน้ี อาศยั และมที ดี่ ินทำ� กนิ อยู่ในเขตทีด่ อนรอบพ้นื ท่ีบุ่งทาม ทดี่ นิ ในเขตป่าบุง่ ปา่ ทามบางสว่ นได้รับเอกสารรบั รอง 1. ปจั จยั คกุ คามทีเ่ กิดข้นึ โดยโครงการของภาครฐั สทิ ธิทดี่ นิ ทำ� กินในรูปแบบต่างๆ แต่ยงั มอี กี จ�ำนวนมาก การพฒั นาพนื้ ที่ หรือท่ดี นิ สาธารณะสมบตั ิใน เปน็ ทดี่ นิ สาธารณะประโยชน์ทม่ี หี นว่ ยงานของรัฐหลาย ปจั จุบันเกิดขึ้นมากมายหลายโครงการ จากงบประมาณ หน่วยงานดแู ลรว่ มกนั 1 จงึ เปน็ ชอ่ งวา่ งในการหาผรู้ ับ ท่ีกระจายลงสู่ท้องถ่ิน ท�ำให้องคก์ รปกครองสว่ นท้องถน่ิ ผดิ ชอบตอ่ การดูแลรกั ษาปา่ บงุ่ ป่าทามโดยตรงได้ยาก หรือสว่ นภมู ิภาคต่างมีอสิ ระมากข้ึนในการจดั ทำ� โครงการ นอกจากน้ียงั มีที่ดินในเขตป่าบงุ่ ป่าทามบางส่วนทมี่ กี าร ตา่ งๆ โดยเฉพาะโครงการท่เี ก่ียวกับการกอ่ สร้างเข้าไป เข้าใชป้ ระโยชน์ แตย่ งั ไมไ่ ดร้ ับเอกสารรับรองสทิ ธิทำ� กิน ในเขตทีด่ ินสาธารณะประโยชน์ทีเ่ ป็นป่าบงุ่ ปา่ ทาม ซึง่ แตอ่ ยา่ งใด เปน็ เพียงการเสียภาษีบำ� รุงทอ้ งที่ (ภ.บ.ท. 5) หลายโครงการมไิ ด้ผ่านการพจิ ารณาถงึ ผลกระทบด้าน หรอื ทีช่ าวบา้ นเรยี กกันวา่ “ภาษีดอกหญา้ ” สงิ่ แวดล้อมอยา่ งรอบครอบ จนสง่ ผลเสยี ตอ่ ระบบนิเวศ เชงิ อรรถ 1 หนว่ ยงานและผูเ้ กี่ยวขอ้ งทม่ี ีหนา้ ท่ีรบั ผดิ ชอบดแู ลรักษาทีด่ ินสาธารณะประโยชนต์ ามระเบียบกระทรวงมหาดไทย วา่ ด้วยการ ดแู ลรักษาและคุม้ ครองป้องกนั ท่ดี ินอันเป็นสาธารณะสมบตั ขิ องแผ่นดนิ พ.ศ. 2544 มที ้ังหมด 9 หนว่ ยงาน คือ กรมการปกครอง กรมท่ดี นิ องคก์ ารบริหารส่วนตำ� บล เทศบาล องคก์ ารบริหารสว่ นจงั หวัด นายอำ� เภอ กำ� นนั -ผูใ้ หญ่บา้ น นายกเทศมนตรี และ นายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจังหวดั

68 ป่าบุ่งป่าทาม ภาคอีสาน ปา่ บุ่งป่าทาม และความเสื่อมโทรมของทรัพยากรป่าไม้ สถานทร่ี าชการ การถางป่าเพ่ือปลูกไม้เศรษฐกิจ เช่น ดนิ น้ำ� ตลอดจนความอุดมสมบรู ณข์ องปลาในธรรมชาติ ยคู าลปิ ตสั กระถินเทพา กระถนิ ณรงค์ เป็นตน้ รูปแบบ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ โครงการหรือกจิ กรรมท่ีหน่วยงาน การด�ำเนินกจิ กรรมเหล่าน้จี ะตอ้ งถางท�ำลายปา่ ไม้ และ ราชการเข้าไปด�ำเนินการเอง แบ่งตามระดบั ความเสยี พรรณไมน้ ้�ำในบึงทมี่ ีการกอ่ ตัวมายาวนานจะต้องถูก หายตอ่ ระบบนิเวศป่าบงุ่ ป่าทาม ดังน้ี ทำ� ลายออกไป ด้วยการไถ ปรบั พื้นท่ี ถมดินทบั ขดุ ดนิ หรือถอนเหง้า ตอไมเ้ ดมิ ออกไป นเี้ ป็นการเปล่ยี นแปลง 1.1 กิจกรรมท่ีเปน็ การทำ� ลายพนื้ ทีป่ า่ บุ่งป่าทาม ที่ดินป่าไม้และสงั คมพชื ธรรมชาตไิ ปโดยสน้ิ เชิง โดยสิน้ เชงิ ยากทจ่ี ะฟน้ื ฟตู ัวเองกลับมาดงั เดิม : ได้แก่ การสรา้ งถนนรกุ เข้าปา่ การถมทีด่ ิน การขดุ สระน�้ำ การ 1.2 กจิ กรรมที่สง่ ผลกระทบตอ่ ระบบนเิ วศปา่ บงุ่ ขุดขยายหนองนำ�้ การขดุ แต่งตลง่ิ ล�ำน�ำ้ การสรา้ ง ปา่ ทามแบบค่อยเปน็ คอ่ ยไป : หรือผลกระทบยงั ไม่ แสดงออกอย่างชัดเจนในชว่ งแรก ไดแ้ ก่ การสร้างพนัง กน้ั นำ�้ การสร้างตล่งิ คอนกรตี หรอื แบบหินทง้ิ การสร้าง เข่อื น/ฝายทดน�้ำ สง่ิ กอ่ สร้างเหล่านจี้ ะท�ำให้เกิดการ เปลย่ี นแปลงทางนำ้� และรูปแบบการไหลของน�ำ้ - การสร้างประตูกั้นลำ� น�ำ้ /ฝายทดน้�ำ ท�ำใหน้ ำ�้ ท่วม พืน้ ที่ท้ายเขอื่ นยาวนานมากขนึ้ ชนดิ พืชท่ที นน้ำ� ทว่ มได้ ไม่นานจะตายไป เหลือเพียงนอ้ ยชนิดทท่ี นการแชน่ �ำ้ ไดด้ ี หมายความว่าสังคมพชื ปา่ ทามทีม่ ีไม้ต้น ไม้พุ่มเปน็ สว่ น ใหญจ่ ะถูกทำ� ลายกลายสภาพเปน็ สงั คมพชื ในบงึ สงั คม พชื ป่าทามจะมีการเคล่อื นย้ายข้ึนไปตามแนวระดับความ สงู ของน้ำ� ทีเ่ หมาะสมต่อพืชแตล่ ะชนดิ ขอ้ น้ีอาจเป็นผล ดีหากได้เวนคืนพ้นื ที่ท้ายเขือ่ นไว้รองรับการขยายตวั ของ แนวปา่ ออก แต่ถ้าเปน็ พ้ืนท่ีของชาวบ้านทีท่ �ำกนิ อยแู่ ล้ว หรอื แนวขอบระดับนำ�้ ท้ายเข่อื นเป็นทดี่ อนไมม่ ีน้�ำท่วม ยาวนานในระดบั ที่เหมาะสม พรรณไม้ป่าทามกจ็ ะไม่ สามารถเข้าไปขน้ึ ได้ - การสรา้ งเขื่อนกกั เกบ็ นำ้� ขนาดใหญ่ ในเขต พน้ื ทตี่ ้นน้�ำ เชน่ เขอ่ื นทีม่ ขี นาดความจตุ งั้ แต่ 100 ล้าน ลูกบาศก์เมตร ขึน้ ไป เขอื่ นจะกกั เก็บนำ้� ในชว่ งฤดูน�ำ้ ท่วม หลากเอาไวไ้ ด้มาก ท�ำใหร้ ะดับนำ�้ ในฤดนู ำ้� หลากลดลง และไมท่ ว่ มพื้นท่ีป่าบุ่งปา่ ทามยาวนานเหมือนแตก่ ่อน เม่อื เทยี บกบั การทปี่ ลอ่ ยใหน้ ้�ำไหลอย่างเป็นธรรมชาติ ปรากฏการณน์ ีท้ �ำใหร้ ะบบนิเวศป่าบุ่งป่าทามค่อยๆ เปลย่ี นแปลง โดยชนดิ พชื ป่าบกจะเข้ามาเติบโตปะปน ในปา่ บุง่ ปา่ ทามมากย่ิงขน้ึ หรืออาจส่งผลกระทบในทาง อ้อมเมือ่ นำ�้ ท่วมน้อยลงจงึ มีการบกุ รกุ ปา่ เพอื่ ท�ำการ เกษตรมากย่ิงขนึ้ ก็ได้

ปา่ บงุ่ ป่าทาม ภาคอสี าน 69 - การสร้างพนงั กน้ั น้ำ� ทำ� ใหพ้ ้นื ท่ีหลงั คนั กน้ั นำ้� ไม่มี ประชากรและความตอ้ งการทรพั ยากรธรรมชาตทิ ัง้ น�ำ้ ท่วมหรือช่วงเวลาทว่ มส้ันลง ซ่ึงชนิดพนั ธ์ุพชื ปา่ บก ต้นไม้ ดนิ ทราย น้ำ� และสัตว์น้ำ� ตอ่ การด�ำรงชีพ ย่งิ ไป จะเข้ามาแทนที่ หรอื อาจถกู เปล่ยี นไปเป็นพ้นื ท่ีทำ� การ กว่านน้ั คอื การเกบ็ หาเพ่อื การคา้ ขายท่ีทวขี ึ้นในชว่ ง 50 เกษตรก็ได้ ส่วนพ้ืนที่ด้านในผนงั กนั น�ำ้ จะถกู น้ำ� ทว่ มสูง ปีมาน้ี ได้ทำ� ใหเ้ กดิ การเข้าไปตกั ตวงทรัพยากรจากป่าบุ่ง และยาวนานมากขึน้ ชนดิ พนั ธพ์ุ ชื ทที่ นน�้ำท่วมได้นานจะ ปา่ ทามโดยภาคประชาชน จนเกนิ กำ� ลังทป่ี ่าจะรองรับได้ ยงั คงอยู่และมีจ�ำนวนมากขึน้ ทดแทนชนิดพันธทุ์ ่ไี มท่ น ปา่ บ่งุ ปา่ ทามในทกุ วนั นี้จงึ มคี วามเส่อื มโทรมลงอยา่ งท่ี ต่อการแชน่ ำ้� ไดน้ านที่จะออ่ นแอและลม้ ตายลงไป เห็น กิจกรรมทเี่ กิดขึน้ ไดแ้ ก่ - การสร้างเขือ่ นหรือตล่ิงคอนกรีต ทำ� ให้เกดิ การ 2.1 การตดั ตน้ ไม้ : เพ่ือน�ำไปสร้างบา้ นเรอื น เปน็ กัดเซาะของตลง่ิ ฝั่งตรงกนั ขา้ ม หรือพ้นื ท่ตี อนลา่ งลงไป วสั ดุ ไม้ฟนื หรอื เผาถา่ น เพ่อื การใช้สอยในครวั เรอื นหรือ เพื่อการค้าก็ตาม โดยตัดออกไปมากเกนิ กว่าทีต่ น้ ไม้จะ อย่างไรกต็ ามสิง่ กอ่ สรา้ งเหลา่ น้ีมีผลดตี ่อความ เจรญิ เติบโตได้ทนั ป่าบุ่งป่าทามที่เห็นในปัจจบุ นั จึงถูก ตอ้ งการท่จี ะป้องกันทรพั ยส์ นิ และการเพ่มิ ผลผลติ ปกคลมุ หนาแน่นไปด้วยไม้ไผ่ เถาวัลย์ และไม้พมุ่ ตน้ ไม้ ทางการเกษตร และสรา้ งรายได้แกช่ มุ ชน ส�ำหรับขอ้ ใหญ่ในอดีตทเ่ี คยมีอย่างมากมาย เคยมีเรอื นยอดสูงขน้ึ เสียทจี่ ะเกิดขึ้นเป็นสิง่ ทีช่ ุมชนตอ้ งยอมรบั ใหไ้ ดต้ ่อความ ไปปกคลุมดา้ นบน เหลือเพียงตอไม้และหนอ่ แขนงขนาด เปลย่ี นแปลงทจี่ ะเกดิ ขนึ้ การพจิ ารณาด�ำเนนิ โครงการ เล็กเท่านนั้ ใดๆ กต็ าม ควรจะค�ำนึงถงึ การพฒั นาท่คี วบคไู่ ปกับการ รกั ษาสมดลุ ของสิง่ แวดล้อมไปพร้อมกนั 2. ปัจจัยท่ีเกิดขึ้นโดยกิจกรรมภาคประชาชน การใชป้ ระโยชน์จากปา่ บ่งุ ป่าทาม โดยชาวบ้าน ที่อาศยั อย่รู อบปา่ มมี านานแต่โบราณแล้ว เรื่องนเ้ี ป็น ท่ียอมรบั กนั อย่างแนน่ อน แต่เม่อื การเพ่มิ ขึน้ ของ

70 ปา่ บงุ่ ป่าทาม ภาคอสี าน 2.2 การปลอ่ ยปศุสัตว์เขา้ ไปหากนิ : เป็นอีกสาเหตุ หนึ่งท่เี ปน็ การรบกวนการเจริญเติบโตของตน้ ไม้โดยตรง เนอ่ื งจากการแทะเลม็ ยอดไม้ ใบไม้ และการเหยยี บย่�ำ ท�ำลายกลา้ ไม้ ท�ำให้ต้นไมท้ ่ถี ูกรบกวนอยตู่ ลอดเวลา แคระแกรนและอ่อนแอตายงา่ ย กลา้ ไมไ้ ม่สามารถเจรญิ เตบิ โตขน้ึ ไปเปน็ ต้นไม้สงู ใหญด่ งั เดิมได้ โดยเฉพาะ ชว่ งเวลา 3 เดอื นหลงั ฤดูน้ำ� ลด เป็นช่วงท่ีรากไมก้ ำ� ลัง อ่อนแอสงู สดุ ต่อการเหยยี บย�ำ่ ตน้ ไม้และเมลด็ ไมจ้ �ำนวน มากก�ำลังเจรญิ เติบโตและงอกขน้ึ มาใหม่ การปล่อยสัตว์ เข้าไปช่วงนจ้ี ะย่ิงเป็นการท�ำลายพรรณพืชและท�ำลาย กลไกการซ่อมแซมตวั เองของปา่ อยา่ งยง่ิ 2.3 ไฟปา่ : เกดิ ขนึ้ จากการเผาไร่นาในพน้ื ทเี่ กษตร ข้างเคียงแล้วขาดการควบคุม ลุกลามเข้าส่ปู า่ หรือบางที เกดิ จากความตั้งใจจุดขึน้ เพื่อการลา่ สัตว์แล้วไม่ดบั ให้ เรียบร้อย โดยเฉพาะปา่ บุง่ ป่าทามทีม่ ไี ม้ไผแ่ ละเถาวลั ย์ หนาแน่นหรือทงุ่ หญา้ ไฟปา่ จะมีความรุนแรงยิ่งขน้ึ ทำ� ลายพรรณไม้ตา่ งๆ แม้วา่ พชื หลายชนิดสามารถทน ไฟแตกหนอ่ ใหม่ไดภ้ ายหลงั แต่กเ็ ป็นการกลบั มาเรม่ิ ต้น นบั หน่งึ ใหม่ในการเจริญเติบโต เพราะลำ� ต้นเดิมทใ่ี ชเ้ วลา เจรญิ เติบโตมานานถกู ท�ำลายไป การฟ้ืนฟูตัวเองของปา่ ให้กลบั มาสมบูรณ์ดงั เดมิ จงึ เป็นไปได้ยากมากในพ้ืนท่ีที่ ปล่อยให้เกิดไฟป่าอยู่เสมอ 2.4 การบกุ รกุ ท่ดี นิ ป่าไม้ : เปน็ ปัญหาทเี่ กดิ ข้ึนไป ท่ัวประเทศรวมถึงในพ้ืนทปี่ ่าบุง่ ป่าทาม ด้วยความเหน็ แก่ตัวเฉพาะบคุ คล จนละเมดิ กฎระเบยี บของบ้านเมือง ประกอบกับการปล่อยปละละเลยของหนว่ ยงานภาครัฐ ท่ดี ูแลที่ดินสาธารณะประโยชน์ของชาติ จงึ มีสว่ นในการ เอาเป็นเย่ยี งอย่างขยายพืน้ ทีบ่ ุกรกุ ให้กวา้ งออกไป 2.5 การขุดทรายหรือบ่อดนิ นีเ้ ปน็ การเปล่ียนแปลง ป่าไม้ไปโดยสิ้นเชงิ ยากที่ป่าจะฟื้นฟูตวั เองได้ เนื่องจาก สภาพดินเดมิ ทอ่ี ดุ มสมบรู ณห์ ายไป และบอ่ ท่ลี ึกมาก มขี อบบอ่ ชนั ทำ� ให้เกดิ ปัญหาการพังทลายของขอบบ่อ ขยายตัวออกไป หรอื ทำ� ใหข้ อบตลงิ่ แม่น�ำ้ พังในกรณที ่ีมี การดดู ทรายในแม่น้ำ� หรอื ท�ำให้ทางน้ำ� เปลี่ยนทศิ ซึง่ จะ สรา้ งปญั หาใหแ้ ก่ชมุ ชนที่อยรู่ ิมนำ�้ ต่อไป เหมอื งทรายริมแม่น�้ำมูล อ.ชมุ พวง นครราชสีมา

ป่าบงุ่ ปา่ ทาม ภาคอสี าน 71 3. ปจั จัยท่เี กดิ ขน้ึ โดยธรรมชาติ ข้อเสนอแนะแนวทางการอนุรักษ์ ตามธรรมชาติแลว้ สภาพภูมิประเทศและระบบนเิ วศ เปน็ เรือ่ งยากยิง่ ทก่ี ารกระทำ� ใดๆ ในการเข้าไปใช้ ปา่ บุ่งปา่ ทามมีการเปลย่ี นแปลงอย่างคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป ประโยชน์ในพน้ื ทปี่ ่าบุง่ ปา่ ทามจะไมส่ รา้ งผลกระทบต่อ ตลอดเวลา เช่น การกัดเซาะและพังทลายของตล่ิงลำ� น้�ำ ระบบนเิ วศปา่ ไมเ้ ลย ไม่วา่ จะเปน็ ดิน น�้ำ ต้นไม้ และ ทีละนอ้ ยๆ จนกระทงั่ ล�ำน�้ำเร่มิ มกี ารเปลยี่ นทศิ ทางการ สตั ว์ป่า ลว้ นแลว้ แตม่ คี วามสมั พันธเ์ ก่ียวข้องต่อกัน ไหลเกิดเปน็ ล�ำน�้ำสายใหม่ แล้วล�ำน�ำ้ สายเกา่ จึงกลาย อยา่ งหลีกเลี่ยงไมไ่ ด้ เพราะสิ่งเหลา่ น้ีเปน็ สิ่งแวดล้อม สภาพเปน็ กุด-รอ่ ง ซึ่งมีความสัมพันธก์ ับสภาพภูมิอากาศ ของกนั และกันและเกอื้ กูลต่อกนั หรือที่เราเรียกว่า อันเป็นแหล่งให้น้�ำฝนและก่อใหเ้ กิดความแห้งแล้งสลบั “ระบบนเิ วศ ” (ecosystem) แต่คำ� ว่า “การอนรุ ักษ”์ กนั ไป แต่ในปจั จุบนั เป็นทท่ี ราบกนั ดวี ่า การเปลี่ยนแปลง (Conservation) มิได้หมายความวา่ การเก็บรกั ษาไว้ สภาพภูมอิ ากาศ (climate change) ทเี่ กิดขน้ึ จาก แตเ่ พียงอย่างเดียว โดยไมถ่ กู นำ� มาใช้ให้เกดิ ประโยชน์ ฝมี อื มนษุ ย์จากกิจกรรมการพฒั นาดา้ นต่างๆ นน่ั เอง ที่ การอนรุ กั ษ์ที่ถกู ตอ้ งคอื การรจู้ กั นำ� ทรัพยากรมาใช้ ส่งผลกระทบตอ่ สภาพภมู ิอากาศท่แี ปรปรวน มกี าร ประโยชน์อยา่ งชาญฉลาด โดยยงั สามารถรกั ษาความ เปลีย่ นแปลงอยา่ งรวดเร็วและรนุ แรงมากยง่ิ ข้นึ กว่าแต่ อดุ มสมบรู ณ์และสมดุลระหวา่ งการเกบ็ เก่ียวผลผลติ ก่อน ไมว่ า่ จะเป็นปรากฏการณฝ์ นตกหนกั และกระจกุ ออกมาใช้กับอตั ราก�ำลังผลติ ตามธรรมชาตขิ อง ตัว เกิดน�้ำทว่ มฉบั พลนั และรุนแรง ซ่งึ ทำ� ให้อตั ราการ ทรพั ยากรนั้นไว้ได้ ดงั นน้ั การจัดการปา่ บุ่งปา่ ทามให้ กดั เซาะพงั ทลายของตลิง่ ตามล�ำนำ้� รนุ แรงยง่ิ ข้นึ เมือ่ ตล่งิ มีประสทิ ธภิ าพ จงึ ต้องค�ำนงึ ถึงเสน้ ระดับความพอดีหรือ พงั ทลายทำ� ใหพ้ รรณไมต้ ่างๆ ลม้ ลงหรือถกู กระแสนำ�้ เขา้ เสน้ สมดลุ นเ้ี ปน็ สำ� คญั โดยผู้ทีจ่ ะจดั การได้ดจี ำ� เปน็ ตอ้ งมี กระแทกแลว้ ถูกนำ้� พัดพา บางส่วนจะถกู ดินตะกอนท่พี ัง ความรู้และมปี ระสบการณ์ต่อระบบนเิ วศป่าบุ่งปา่ ทามที่ ทลายทับถมจนตายได้ หากเป็นปรากฏการณค์ วามแหง้ ค่อนขา้ งซับซ้อนกว่าป่าบกท่วั ไป แล้งต้นไมก้ จ็ ะออ่ นแอลงจากการขาดน�้ำและเกดิ ไฟป่าได้ งา่ ย ส่งเสรมิ ใหต้ ้นไม้ยิง่ มโี อกาสตายไดส้ งู แนวทางทจี่ ะได้น�ำเสนอตอ่ ไปอาจใชเ้ ปน็ ประโยชน์ ต่อการจดั การปา่ บ่งุ ปา่ ทามใหม้ ีประสทิ ธิภาพ เกดิ ผล เสียหายนอ้ ยทส่ี ุด ทั้งน้ีขน้ึ อยกู่ บั สภาพพ้ืนที่ สภาพ ป่า สภาพปญั หา และสภาพเศรษฐกจิ -สังคมของแต่ละ ปัจจยั คกุ คามต่างๆ ทีก่ ล่าวมามากมายน้ัน มีส่วน ทอ้ งถนิ่ ผู้นำ� ไปใช้อาจจะตอ้ งประยกุ ตใ์ ช้วิธีการต่างๆ ให้ ในการรบกวนไมม่ ากกน็ ้อย บางปจั จยั ก็รุนแรงกระท่งั เหมาะสมกับพนื้ ท่ีของตนเอง เพื่อสามารถรกั ษาป่าบงุ่ เป็นการท�ำลายป่าบ่งุ ป่าทามโดยตรง ซง่ึ ในแตล่ ะ ปา่ ทามใหค้ งอยอู่ ยา่ งสมบูรณ์ตลอดไป พ้ืนท่ยี อ่ มมปี ัจจยั เหลา่ น้ไี ม่นอ้ ยไปกว่า 1 ปจั จยั อย่าง แน่นอน ปา่ บุ่งป่าทามจงึ มีสถานการณอ์ นั นา่ เปน็ หว่ ง 1. กำ� หนดพน้ื ทปี่ า่ บุ่งปา่ ทามใหเ้ ปน็ ปา่ อนุรกั ษ์ อยา่ งยง่ิ จากปญั หาการคุกคามรอบด้าน หากยงั ไม่มี ของชุมชน : โดยการรังวัด กำ� หนดขอบเขต แล้วขอ หน่วยงานใดหรอื ประชาชนยงั ไม่ตระหนักทจี่ ะช่วยกัน อนุญาตกรมการปกครองและกรมที่ดิน เข้าใชป้ ระโยชน์ แก้ไขปญั หาท่เี กดิ ขึ้น ปา่ บุ่งป่าทามทีเ่ หลอื อยูใ่ นภาค เปน็ พน้ื ทส่ี าธารณะประโยชน์เพอื่ การรกั ษาระบบนเิ วศ ตะวนั ออกเฉียงเหนอื จะตอ้ งสูญส้นิ ไปอยา่ งแน่นอนใน ปา่ บุ่งปา่ ทามและการรกั ษาสิง่ แวดล้อม ส�ำหรับในอดตี ไม่ชา้ แล้วสง่ ผลกระทบเป็นลูกโซ่ตอ่ สิง่ มีชวี ติ ต่างๆ ที่ ประเทศไทยเคยประกาศพนื้ ที่ชมุ่ น้�ำทเี่ ปน็ ป่าบงุ่ ป่าทาม ต้องพ่งึ พาอาศยั ป่าอย่างหลกี เลี่ยงไม่ไดต้ ่อไป ใหเ้ ป็นพืน้ ท่ีช่มุ น�้ำทีม่ คี วามสำ� คญั ระดบั ชาติตามมตคิ ณะ รฐั มนตรีมาแล้วกต็ าม แต่กย็ งั ไมส่ ามารถดำ� เนนิ การ คุ้มครองพื้นทไ่ี ดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพเพราะไม่มีกฎหมาย

72 ปา่ บงุ่ ปา่ ทาม ภาคอีสาน มาควบคมุ บงั คบั ใช้ และทส่ี ำ� คัญคอื มิไดเ้ ปน็ พื้นทอ่ี นุรักษ์ ท่เี กดิ จากความรูส้ กึ มสี ่วนร่วมเป็นเจ้าของจากชาวบา้ น ในการจัดการ เหมอื นการจัดการในรูปแบบ ป่าชมุ ชน 2. จัดตงั้ คณะกรรมการรว่ มกนั ดูแลและพิจารณา แนวทางการจัดการป่าชมุ ชน : โดยการคดั เลือกหรอื การเลือกตงั้ ข้นึ มาจากบคุ คลหลากหลายดา้ นสาขา อาชพี ทีเ่ กีย่ วข้องกับปา่ บงุ่ ป่าทาม ไดแ้ ก่ ผูน้ ำ� ชมุ ชน (กำ� นนั -ผใู้ หญบ่ ้าน) องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น/ ภูมิภาค ครอู าจารย์ หรอื ปราชญ์ชาวบ้านในชุมชนทมี่ ี ผลงานดา้ นการอนุรกั ษ์ส่งิ แวดลอ้ ม ตวั แทนกลมุ่ บุคคลท่ี มีอาชีพเก่ียวขอ้ งกบั ปา่ บุ่งปา่ ทาม และนักวชิ าการดา้ น ส่ิงแวดล้อม/ปา่ ไม้ 3. ก�ำหนดมาตรการในการจัดการป่าชุมชน : ให้อยู่ ภายใตก้ ฎระเบียบกระทรวงมหาดไทย วา่ ดว้ ยการดูแล รกั ษาและคมุ้ ครองป้องกันท่ดี ินอันเป็นสาธารณะสมบัติ ของแผน่ ดิน พ.ศ. 2544 และอยู่บนพน้ื ฐานการจดั การ สิ่งแวดล้อมและระบบนเิ วศปา่ บงุ่ ป่าทามที่เหมาะสม ดังน้ี 3.1 ก�ำหนดแนวทางและนโยบายในการขออนญุ าต เขา้ ท�ำโครงการของภาครฐั /เอกชนในพ้นื ทปี่ ่า เพอ่ื เป็นการกลน่ั กรอง พิจารณากิจกรรมท่อี าจส่งผลกระทบ เสียหายต่อระบบนเิ วศปา่ ไมใ้ หน้ ้อยทสี่ ดุ

ปา่ บ่งุ ปา่ ทาม ภาคอีสาน 73 3.2 กำ� หนดแนวทางและนโยบายในการเขา้ ใช้ ช่วยเพม่ิ รายไดใ้ หแ้ ก่ชาวบา้ น ส�ำหรับในพน้ื ท่ปี ่าบุ่งปา่ ประโยชน์ในภาคประชาชน ดังน้ี ทามโดยปกติจะมีบริเวณทีเ่ ปน็ ทุ่งหญ้า ซึง่ คณะกรรมการ สามารถกำ� หนดใหเ้ ปน็ บรเิ วณที่เลย้ี งสตั ว์ร่วมกันอย่าง - ก�ำหนดขนาดต้นไมแ้ ละปรมิ าณการเกบ็ หาไดใ้ น ถาวรตลอดทง้ั ปไี ด้ แล้วทำ� รั้วกั้นไว้รอบ ส่วนพนื้ ทท่ี ่ี แตล่ ะครัวเรือน : เชน่ กรณีพน้ื ทปี่ า่ เสอ่ื มโทรมมาก มี จะก�ำหนดให้เป็นป่าไม้ควรทจี่ ะก�ำหนดชว่ งเวลาให้ป่า ไม้ตน้ เหลอื อยู่น้อยมาก อาจจำ� เป็นตอ้ งสงวนการตดั ฟัน พกั ฟ้ืน งดการปลอ่ ยสตั วล์ งไปหากิน เชน่ ช่วงเดอื น ต้นไม้ใหญ่ตามขนาดท่กี �ำหนดออกมาใชเ้ พือ่ งานก่อสรา้ ง กันยายน-กุมภาพันธ์ ซึ่งเปน็ ช่วงฤดูนำ้� ทว่ มและต่อไปอกี สาธารณะประโยชนเ์ ทา่ นน้ั หรอื ห้ามทุกกรณีจนกว่า ประมาณ 3 เดือนหลังฤดูนำ้� ลดลงตำ�่ กว่าตลง่ิ จะเป็นช่วง ปา่ จะฟื้นฟูตวั เองได้ แต่สำ� หรับไม้ไผ่ ไม้พุ่ม เถาวัลย์ ที่พรรณไม้ต่างๆ ไดเ้ จริญเตบิ โตแตกยอดใหม่ ออกดอก ไมล้ ้มลกุ เห็ด หรือแมลงต่างๆ ยงั คงใหเ้ ก็บหามาใชไ้ ด้ ตดิ ผลได้มาก ซง่ึ จะชว่ ยเพมิ่ โอกาสการขยายพนั ธ์แุ ละ แตใ่ ห้กำ� หนดปริมาณต่อครวั เรือน การเจริญเตบิ โต - ก�ำหนดการใชป้ ระโยชนแ์ ละส�ำรวจพนั ธพุ์ ชื 4. ก�ำหนดมาตรการลงโทษผูฝ้ า่ ฝนื ระเบยี บ/กตกิ า หายากใกล้สญู พนั ธ์ุในป่าชมุ ชน : จัดท�ำบญั ชีจำ� นวน และผู้มีอำ� นาจหนา้ ทีใ่ นการควบคุมดูแล : ใหเ้ ป็นไป ต้นไม้และจุดทพี่ บไม้หายาก เพอื่ เก็บ/สงวนรกั ษา ตามระเบียบทชี่ ดั เจน เพ่ือเป็นการบังคับใช้กติกาใหเ้ กิด พนั ธกุ รรมใหส้ ามารถขยายพนั ธ์ุตามธรรมชาตไิ ด้ดี หากมี ข้นึ เป็นรปู ธรรมทช่ี ดั เจน มีประสทิ ธิภาพ โดยมีระดับของ ปรมิ าณมากเพียงพอจึงจะอนุญาตใหใ้ ช้ประโยชนไ์ ด้ เช่น บทลงโทษ เช่น การตักเตอื นในชั้นต้น การปรบั ลดสิทธิ ตะเคียน, ยางนา, ทะลอก, กะสนิ /รวงผึง้ , แหน่ อ้ ย, แห่/ ในการเข้าใชป้ ระโยชน์ การปรบั เปน็ ทรัพยส์ ิน และการ สะตือ เปน็ ต้น ด�ำเนนิ คดที างกฎหมาย เป็นตน้ - ควบคุมการเล้ยี งสัตว์ : การเลี้ยงสัตวเ์ ป็นปัจจยั 5. การปลกู ฟน้ื ฟูปา่ : ในพ้ืนท่ที ่ปี า่ มีไมต้ ้น และ คกุ คามตอ่ ความสมบรู ณข์ องพรรณพืชโดยตรง ตามที่ ไม้พุ่มข้ึนเบาบาง-หนาแน่น ให้ปล่อยให้มกี ารฟืน้ ฟู กลา่ วมาแลว้ แตก่ ็เป็นเรอื่ งยากท่จี ะหา้ มการเล้ยี งสตั ว์ ป่าตามธรรมชาติต่อไป เพียงแต่ควบคมุ การเกดิ ไฟป่า ในเขตปา่ บงุ่ ปา่ ทาม เพราะเปน็ อาชพี หลักอยา่ งหนึง่ ท่ี

74 ปา่ บงุ่ ปา่ ทาม ภาคอสี าน และการเลยี้ งสัตว์ แต่ส�ำหรับในพ้นื ทป่ี า่ บงุ่ ป่าทามท่มี ี ป่าบุ่งป่าทาม ท่ีก�ำลังฟื้นฟูตัวเองตามธรรมชาติ หลังถูก สภาพเสือ่ มโทรมมากจนกลายเปน็ ทงุ่ หญ้าโล่งเตยี นเกิด ท้ิงร้างจากการท�ำนาเป็นเวลาประมาณ 10 ปี, อ.วารินช�ำราบ ไฟไหมห้ รือสัตวเ์ ขา้ ไปแทะเล็มบ่อยครัง้ จนยากทปี่ ่าจะมี จ.อบุ ลราชธานี การฟ้ืนฟตู ัวเองได้ และชมุ ชนมีความต้องการทจี่ ะฟน้ื ฟู ใหก้ ลบั มาเปน็ ป่าไมด้ ังเดมิ จะต้องมกี ารป้องกันไฟป่า และปศสุ ัตว์เป็นอนั ดับแรก แล้วจึงเตรียมกลา้ ไม้ท่เี ปน็ ชนดิ พนั ธุ์ไม้ป่าบุ่งปา่ ทาม เลือกปลูกชนิดไมใ้ หเ้ หมาะ สมกับระดับความลกึ ปกติของน้ำ� ในฤดนู �้ำหลาก และ ชว่ งเวลาการปลกู ทเ่ี หมาะสมคือไมค่ วรเกนิ ระยะเวลา 1 เดอื นหลังน�ำ้ ลดเพอ่ื ยงั คงมคี วามช้นื ในดนิ เพียงพอ และต้นไม้มชี ว่ งเวลายดื กงิ่ ก้านให้สูงพน้ ระดับนำ้� ก่อน ฤดูน้�ำหลากในปตี ่อไป ท้ังนกี้ ลา้ ไม้ทจ่ี ะนำ� มาปลูกจะ ตอ้ งมคี วามสงู มากกวา่ 1 เมตร และทสี่ ำ� คญั อีกอย่าง หนึง่ คือ ห้ามการไถพรวนและการตดั ฟนั ตน้ ไมห้ รอื ตอ ไม้ตน้ -ไม้พุ่ม และกลา้ ไม้ที่ขน้ึ อยเู่ ดิมออกไป เพราะ พรรณไม้เหลา่ น้ตี ้ังตัวไดแ้ ลว้ พร้อมจะเจริญเตบิ โตได้ อย่างรวดเร็วกว่าต้นไมท้ ปี่ ลูกลงไปใหม่ 1 กล้าไม้ใหม่ ใหป้ ลกู โดยวิธีการขุดหลุมแทรกตามพน้ื ทีโ่ ลง่ ชนดิ พันธ์ุ ไมต้ น้ ทคี่ วรปลกู ในป่าบุ่งปา่ ทามแบง่ ตามพนื้ ทีเ่ ขตระดับ ความลึกของนำ้� /ระบบนิเวศย่อยของปา่ บงุ่ ปา่ ทาม และ พชื ที่ส�ำคญั มีดงั นี้ - เขตสังคมพชื ในบึง/พน้ื ท่บี ่งุ เป็นเขตทีม่ ีน้�ำท่วม ยาวนาน ไมส่ ามารถปลกู ปา่ ได้ ให้ปลอ่ ยให้พรรณไมน้ ้ำ� เข้ามาปกคลุมตามธรรมชาติ - เขตปา่ ทาม เป็นเขตท่มี ีน้�ำท่วมสงู ปกติ 1-5 เมตร เปน็ ประจ�ำทกุ ปแี ละจะทว่ มอยู่นาน 1-3 เดอื น ได้แก่ พน้ื ทร่ี าบท่อี ยูด่ า้ นหลงั คันดนิ ธรรมชาติรมิ ฝัง่ แมน่ �ำ้ ต้นไม้ ทโ่ี ตเรว็ และเหมาะสม เช่น คางฮงุ /คาง, แก/สะแกนา, ท่ม/กระทมุ่ นา, กระโดนน�้ำ/จิก, เปอื ยน�้ำ/ตะแบกนา, สะมงั /เฉียงพร้านางแอ, ฝา้ ยนำ้� , ผ้าฮ้าย, หว้านา เป็นตน้ - เขตทีด่ อนหรอื รอยตอ่ กับป่าบก เป็นเขตท่มี ี น้ำ� ทว่ มสงู ปกตไิ มเ่ กนิ 1 เมตร และไมเ่ กิน 1 เดอื น ได้แก่ บนคันดินธรรมชาตริ ิมฝัง่ แม่น�ำ้ หรือพื้นทป่ี า่ บงุ่ ป่าทาม ท่ตี ่อกบั ปา่ บก ชนิดพนั ธุ์ไมท้ เ่ี หมาะสมในเขตน้เี หมอื น กบั ชนิดท่ีกล่าวไปในเขตป่าทาม และทเ่ี พ่ิมเติมอีก เชน่ ตะเคยี น, ยางนา, อะราง, หมี/่ หมเี หม็น, หว้า, หวดขา่ /

ปา่ บงุ่ ป่าทาม ภาคอสี าน 75 มะหวด, โก/ตะโกนา, มะเกลือ เปน็ ต้น - ปลูกพชื หายาก การปลูกปา่ นอกจากการเลือก ชนิดไม้เบิกน�ำ/ไมโ้ ตเร็ว เพือ่ การฟ้ืนฟูความอดุ ม สมบูรณใ์ หป้ า่ อย่างรวดเรว็ แล้ว หากเลอื กปลูกชนดิ พนั ธุ์ไม้หายากเพม่ิ ลงไปในถ่ินอาศยั เดมิ จะเป็นการ ช่วยอนุรกั ษพ์ นั ธุกรรมพืชหายากของแตล่ ะทอ้ งถิน่ ได้ อกี ดว้ ย พรรณไม้บางชนิดนอกจากเป็นพืชหายากแลว้ ยังมีทรงต้น-พ่มุ สวยงาม หรือดอกสวยมีกลน่ิ หอม เหมาะสมท่จี ะปลกู เป็นไมป้ ระดบั ตามบ้านเรือน สถาน ทรี่ าชการ หรอื ข้างถนนในชุมชน เชน่ ตะเคยี น, ยางนา, ทะลอก, กะสนิ /รวงผึ้ง, ข้ีเถ้า/แดงสะแง, แสง/ชุมแสง, แสงคำ� ทาม, เปือยน�้ำศรสี งคราม, แห/่ สะตอื , แห่นอ้ ย, มนั ปลา/กนั เกรา เปน็ ตน้ เชิงอรรถ 1 ปา่ บุ่งป่าทามริมแม่น�ำ้ มลู ท่ี อ.วารนิ ช�ำราบ จ.อุบลราชธานี ท่เี คยถกู ทำ� นาข้าวแลว้ ปลอ่ ยให้ทิ้งรา้ ง ไวป้ ระมาณ 10 ปี โดยไมม่ กี ารรบกวนจากการเลยี้ ง สัตว์ สามารถฟื้นฟตู ัวเองใหก้ ลบั มาเปน็ ปา่ หนาแนน่ ได้ สงู 4-6 เมตร พืชสว่ นใหญ่เป็นไมพ้ ่มุ และไม้เลื้อย มีไม้ ตน้ ขึน้ แทรกห่างๆ ไมพ้ ุม่ เชน่ หูลิง, ฝ้ายน�้ำ, ผา้ ฮา้ ย, อนิ ถวานอ้ ย, เครอื กระพี้, เปลา้ ทาม, ไผป่ ่า เป็นต้น ไม้เล้ือย เช่น เครอื ตาปลา, เครือตายดบิ , กระจับเครือ, หนามกระทิง, เบ็นน�้ำ, อำ� ไอ่ เป็นต้น ไมต้ น้ เช่น แก, คางฮุง, ทม่ , กระโดนน�้ำ, เปือยนำ้� เป็นตน้



พรรณไม้

เน้อื ในของผลสกุ เปลอื กลำ� ตน้

ป่าบุ่งปา่ ทาม ภาคอีสาน 79 กระเบาน้�ำ ชอ่ื ทอ้ งถ่ินอืน่ : กระเบา กระเบาใหญ่ กระเบานำ�้ กาหลง (ภาคกลาง), หัวค่าง (ประจวบคีรีขนั ธ์), กระเบาค่าง (ยะลา), กระเบาแดง (ตรงั ), กระเบา กระเบาน�ำ้ เบา (อสี าน), กระเบาขาว กระเบาลงิ บักขแ้ี ขว้ (อ.เมอื ง มหาสารคาม), กระเบา กระเบาตกึ (เขมร-อีสานและตะวนั ออก) Hydnocarpus castanea Hook. f. & Thomson (วงศ์ Achariaceae) ชื่อพ้อง : Hydnocarpus anthelminthicus Pierre ex Laness. ไมต้ น้ สูงถึง 30 ม. เปลือกเรียบ สนี ้�ำตาลออ่ น กงิ่ อ่อนมีขนสีนำ�้ ตาลแดง กง่ิ แกเ่ กลีย้ ง ใบเด่ียว เรียงสลับ รูปขอบ ขนาน กวา้ ง 4-8 ซม. ยาว 10-30 ซม. ปลายมนหรอื แหลม โคนใบมนและเบ้ียว แผ่นใบหนาและเรยี บแบน ผิวเกล้ียงทัง้ สองดา้ น เสน้ แขนงใบข้างละ 5-10 เสน้ กา้ นใบยาว 1-2 ซม. ใบออ่ นมสี แี ดงหรอื อมชมพู ดอกออก เป็นกระจกุ มี 1-2 ดอก ตามซอกใบหรือก่ิงเกา่ กลบี เลยี้ งและกลีบดอกสีเหลืองครมี มอี ยา่ งละ 5 กลบี มกี ลิ่น หอม กลบี ดอกรปู ขอบขนานแกมรี ยาว 1.2 ซม. ขอบกลบี มว้ นเข้าดา้ นในตามแนวยาว และกลบี มกั จะบานพับ กลับ เกสรเพศผู้ 4 เกสร รงั ไข่รปู ไข่ มขี นหนาแนน่ ผลรปู ทรงกลม เส้นผ่านศนู ย์กลาง 10-12 ซม. ผิวเรยี บ เปลือกแขง็ มขี นสีนำ�้ ตาลแดงหนาแน่น เมล็ดรูปทรงหลายเหลยี่ ม มีจำ� นวนมาก มเี นื้อหุ้มเมลด็ สีขาว-เหลอื ง อ่อน ก้านผลยาว 2-3 ซม. ถน่ิ อาศัย ข้ึนในทร่ี าบนำ�้ ทว่ มถงึ หรอื ในปา่ บุ่งป่าทาม โดยเฉพาะตามรมิ แมน่ ำ้� ลำ� คลอง ทีค่ วามสงู จากระดับน้�ำ ทะเลไมเ่ กิน 500 ม. ออกดอกเดอื นธนั วาคม-เมษายน ผลแก่เดือนเมษายน-สิงหาคม การกระจายพันธ์ุ พบทัว่ ประเทศไทย แต่ค่อนขา้ งหายาก ต่างประเทศพบในเมยี นมารต์ อนใต้ ลาว เวียดนาม กมั พูชา คาบสมุทรมาเลเซีย สมุ าตรา และบอรเ์ นยี ว การใชป้ ระโยชน์ อาหาร เนื้อรอบเมลด็ ของผลสกุ สีขาว-เหลืองอ่อน กนิ ได้รสมันจดื คล้ายเผอื กตม้ (เน้ือสีขาวเรียกกระเบาขา้ ว เจา้ เน้ือสเี หลืองอ่อนเรียกกระเบาขา้ วเหนยี ว ซ่งึ จะมเี น้ือเหนยี วกนิ อรอ่ ยกว่ากระเบาขา้ วเจ้า) ต้องกนิ ผลสกุ ที่ รว่ งหล่นตามธรรมชาติ แตถ่ า้ กินผลดิบอาจจะเมา (1, 4, 6, 9, 11, 12, 15, 17).--- ยอดอ่อน รสเปรย้ี ว เปน็ ผัก สดกนิ แกล้มลาบ ก้อย ปิ้งปลา หรือนำ้� พรกิ (18).--- สมนุ ไพร แกน่ กระเบานำ�้ +กระพ้ี+กรวยปา่ +ทันน้�ำ/ช้อง แมว+สะมงั /เฉียงพรา้ นางแอ เขา้ ยาร่วมกนั ต้มนำ้� ด่มื บำ� รุงแมล่ กู อ่อน/อยู่ไฟ (6, 17).--- แกน่ ตากแหง้ ตม้ น�้ำอาบ แก้ผ่นื คัน (9).--- แกน่ ตม้ น�้ำดื่มแกป้ วดเมื่อยและเป็นยาอายวุ ฒั นะ (1, 18).--- แกน่ กระเบานำ้� +เครอื ขมนิ้ /แฮ้ม +รากแห้วหมู รกั ษาโรคอุปทม (กามโรค-หนองใน) (12).--- กิ่งกระเบาน้ำ� +แกน่ มะสงั ต้มนำ�้ ด่ืมรักษาโรคประจ�ำ เดอื นออกมากผดิ ปกติ (12).--- เมล็ดต�ำกบั ข้ีซี (ชันของตน้ เต็ง: Shorea obtusa) ผสมกระเทียม ใช้ทารกั ษาโรค กลาก-เกล้ือน (6, 7, 8, 12, 18).--- เมลด็ บดเข้ายาอืน่ ๆ รกั ษาโรคเรอ้ื น (7, 18, 12).--- เมลด็ เข้ายาอืน่ ๆ ถา่ ย พยาธติ ัวจีด๊ (6).--- เน้ือในผลดบิ และเมลด็ ใชเ้ บอื่ ปลา ท�ำใหป้ ลาเมา (8).--- เมล็ดมฤี ทธ์เิ บือ่ เมาใช้ท�ำยาฆา่ แมลง (17).--- เช้ือเพลงิ ไม้ใช้ท�ำฟืนหรอื เผาถา่ น (11, 18).--- ก่อสร้างหรือเครือ่ งมือ เน้ือไม้แขง็ แปรรูปทำ� เฟอรน์ เิ จอรห์ รือสรา้ งบา้ นเรอื น (11, 18, 20).--- วสั ดุ เนื้อผลสุกใชเ้ ก่ียวเบด็ ล่อปลาใหญ่ เช่น ปลาซวย (คลา้ ย ปลาสวาย) และปลาโพง (12, 15, 17).--- ด้านอืน่ เนื้อในผลเม่อื รว่ งลงน้�ำปลาจะมากิน เช่น ปลาตะเพยี นแดง ปลาตะเพยี นขาว ปลาโพง และปลาซวย เปน็ ตน้ หากปลากินเข้าไปมากและคนจับปลาเหลา่ นี้มากนิ กอ็ าจจะเมา ดว้ ย (20, 18).--- เน้อื ผลสกุ เปน็ อาหารของลิง (12, 11)



ปา่ บุ่งป่าทาม ภาคอสี าน 81 ผักกันจ้อง ชือ่ ท้องถ่นิ อื่น : ตาลปตั รฤาษี นางกวัก (ภาคกลาง), บวั ค้วก (ภาคเหนอื ), บวั ลอย (แม่ฮอ่ งสอน), บอนจีน (ปตั ตาน)ี , ผกั กนั จอ้ ง ผกั คันจอ้ ง ผักก้านจอง (อสี าน) Limnocharis flava (L.) Buchenau (วงศ์ Alismataceae) ชือ่ พ้อง : - ไม้น้�ำลม้ ลกุ มีรากยึดติดกับพ้นื ดนิ ทอ้ งน้�ำ ตน้ สงู 40-100 ซม. ก้านใบและกา้ นชอ่ ดอกเป็นสามเหลี่ยม ใบยน่ื พ้นนำ้� รปู ไขก่ ว้าง ยาว 10-25 ซม. ปลายกลมหรือมีตง่ิ แหลม โคนใบกลมหรอื หยกั รูปหัวใจ เนอ้ื ใบอ่อนนุ่ม เกลย้ี งและ มไี ขเคลือบนวลไม่ติดนำ้� เส้นแขนงใบออกจากโคนใบขา้ งละ 3-5 เส้น เส้นใบย่อยเรยี งตามแนวขวางจ�ำนวน มาก กา้ นใบยาว 15-80 ซม. โคนกา้ นใบสีม่วงอมนำ�้ ตาลและมีกาบ ช่อดอกแบบช่อซร่ี ม่ ออกที่ยอด มี 3-12 ดอก ก้านชอ่ ยาว 10-60 ซม. กลีบเล้ยี งสีเขยี ว มี 3 กลีบ กลบี ดอกสเี หลือง มี 3 กลีบ รูปไข่กว้างเกอื บกลม ยาว 2-2.5 ซม. เมอื่ ดอกบานกวา้ ง 3-5 ซม. เกสรเพศผสู้ ีเหลอื ง มีจำ� นวนมาก รปู แถบยาว ผลแตกแนวเดยี วจากด้าน ใน รปู ครงึ่ วงกลม ผลย่อยยาว 1-1.6 ซม. มเี มล็ดจำ� นวนมากรูปตัวยู ถิ่นอาศัย ข้นึ ตามพื้นทีช่ ืน้ แฉะ นาขา้ ว หรือขอบบึง ทีร่ ะดบั น�้ำลึกไมเ่ กนิ 50 ซม. ในท่ีโลง่ แจง้ ออกดอกและผล ตลอดปี การกระจายพนั ธ์ุ ผกั กนั จอ้ งเป็นพืชทมี่ ีถนิ่ กำ� เนิดอยใู่ นเขตร้อนของทวีปอเมริกา ปจั จุบนั กลายเปน็ วชั พืชในนา ข้าว พบท่ัวประเทศไทย และเขตร้อนท่ัวโลก การใชป้ ระโยชน์: อาหาร ชอ่ ดอกออ่ น ใบอ่อน และก้านออ่ น มเี นอ้ื กรอบ รสขมเล็กนอ้ ย เปน็ ผักสดกินแกล้มสม้ ตำ� หรือลวกจมิ้ น�้ำพรกิ หรอื ย่างกินกบั ลาบปลาตอง (26, 27)

ชอ่ ดอก ผลออ่ น

ป่าบุ่งปา่ ทาม ภาคอีสาน 83 ผักคะนองม้า ชอื่ ทอ้ งถน่ิ อน่ื : เต่าเกยี ด (ปทมุ ธาน)ี , ผักคางไก่ (แมฮ่ อ่ งสอน), ผกั คะนองม้า ผกั เลบ็ ม้า (หนองคาย, นครพนม), ผกั ผอ่ ง (อ.ศรีเชียงใหม่ หนองคาย) Sagittaria guayanensis Humb., Bonpl. & Kunth subsp. lappula (D. Don) Bogin (วงศ์ Alismataceae) ชื่อพอ้ ง : - ไม้นำ�้ ลม้ ลุก มีอายุหลายปี มีล�ำต้นเป็นเหงา้ ส้ันอย่ใู ตด้ นิ ท้องนำ�้ (ลกั ษณะท่ัวไปคลา้ ย บวั สาย Nymphaea pubescens) ใบเดีย่ ว ออกเปน็ กระจุก ชูใบขน้ึ มาลอยทผ่ี วิ น้ำ� ใบรปู กลมแกมรปู หัวใจ เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง 5-10 ซม. ปลายใบกลม โคนใบหยักเวา้ ลึกคลา้ ยรูปหวั ใจแกมเง่ยี งลูกศร ขอบใบเรยี บ ผิวใบดา้ นบนสีเขยี ว เกลีย้ ง เปน็ มันเงา ดา้ นลา่ งมขี นส้นั หรือเกล้ียง เสน้ แขนงใบออกจากโคนขา้ งละ4-5 เส้น เนอ้ื ใบหนามองเหน็ เสน้ ใบยอ่ ย ไม่ชัด กา้ นใบยาวถงึ 40 ซม. เป็นสามเหล่ยี ม สีขนสัน้ หรือเกลย้ี ง โคนก้านมีกาบ ชอ่ ดอกออกเปน็ กระจกุ 1-6 ชั้น แตล่ ะชั้นมี 2-3 ดอก ชู่ขึน้ มาเหนอื ผิวนำ�้ กลบี เลีย้ งและกลบี ดอกมีอยา่ งละ 3 กลบี กลบี เลยี้ งสเี ขยี ว กลีบ ดอกสีขาว รูปไขก่ วา้ งกลบั ยาว 8-10 มม. เกสรเพศผู้สีเหลือง มี 6 หรือมากกวา่ ผลสเี ขยี ว ทรงกลม เส้นผ่าน ศูนยก์ ลาง 0.5-1.8 ซม. มีผลย่อยอัดกันแน่นจ�ำนวนมากและมกี ลบี เลย้ี งตดิ คงทน จมลงอย่ใู ต้น้�ำ เมล็ดมี จำ� นวนมากและขนาดเลก็ กว้างประมาณ 1.5-2 มม. ถิ่นอาศยั ขนึ้ ในนำ�้ ตามขอบบงึ หรอื ทงุ่ นาทีม่ นี ้ำ� น่งิ หรือไหลเอือ่ ย และมีระดบั ความลึกไม่เกนิ 50 ซม. ในทีโ่ ลง่ แจ้ง ทคี่ วามสูงจากระดับน้�ำทะเลไมเ่ กนิ 500 ม. ออกดอกชว่ งเดือนพฤษภาคม-กนั ยายน และผลแก่ช่วงมถิ ุนายน- ธนั วาคม การกระจายพนั ธ์ุ พบทัว่ ประเทศไทย และเขตรอ้ น-กง่ึ เขตร้อนในทวปี แอฟรกิ าและเอเชยี การใชป้ ระโยชน์ อาหาร ยอดอ่อน เป็นผักสดกินแกลม้ ลาบ ซบุ ปิ้งปลา หรือจ้ิมน�ำ้ พริก (26, 27)

เมล็ด หัวใตด้ นิ

ปา่ บุ่งป่าทาม ภาคอสี าน 85 พลับพลึงป่า ช่ือทอ้ งถน่ิ อน่ื : กระเทียมช้าง (กรุงเทพฯ), พลับพลงึ พลบั พลงึ ป่า (อ.มญั จาคีรี ขอนแก่น), ก�ำพรงึ (เขมร-อ.ท่าตูม สรุ ินทร์), นงิ งอย (ส่วย-อ.ทา่ ตมู สรุ ินทร์) Crinum amoenum Roxb. ex Ker Gawl. (วงศ์ Amarylidaceae) ชอ่ื พ้อง : - ไม้ล้มลกุ อายุหลายปี มหี วั ใตด้ นิ พักตวั ในฤดูแลง้ หวั กลมสขี าว (คลา้ ยหอมหวั ใหญ)่ กว้าง 5-8 ซม. ใบเรยี งเวียน รอบเปน็ กระจกุ ชิดผวิ ดนิ และแผก่ วา้ ง ใบรูปแถบ กวา้ ง 3-7 ซม. ยาว 30-60 ซม. ปลายใบเรียวแหลม โคนใบ แผเ่ ปน็ กาบเชอื่ มต่อกบั หวั ผิวใบเกล้ยี ง เนอื้ หนาน่มุ มองเห็นเสน้ ใบทเ่ี รยี งตามแนวยาวจ�ำนวนมากไม่ชดั แผ่นใบ เป็นรอ่ งรางน�ำ้ ชอ่ ดอกคล้ายซรี่ ่ม ก้านช่อดอกกลมแบน กว้าง 1.5-2 ซม. ยาว 30-50 ซม. มดี อกยอ่ ย 8-16 ดอก มกี ล่ินหอม ไม่มีกา้ นดอก (พลบั พลงึ บ้าน Crinum asiaticum จะมีกา้ นดอกยาว 1-2 ซม. และมใี บทีก่ ว้าง มากกว่า 10 ซม.) กลบี ดอกเปน็ หลอดสีเขียวอ่อนหรอื สมี ว่ งแดง กว้าง 0.5 ซม. ยาว 5-10 ซม. ปลายหลอด แยกออก 6 แฉก สขี าว รูปแถบแกมรี ยาว 5 ซม. เกสรเพศผู้ 6 เกสร มกี ้านสีแดงอมมว่ ง ยาว 3-4 ซม. ผลคอ่ น ข้างกลม ตดิ เปน็ กลุม่ อยทู่ ป่ี ลายก้านช่อดอกเกา่ เสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 2-3 ซม. ภายในมีเมลด็ รูปหลายเหลย่ี ม 1-3 เมลด็ ถ่ินอาศยั ขึน้ ตามทุ่งหญา้ ป่าผลัดใบ หรือชายป่าดงดบิ ในปา่ บุง่ ป่าทามมกั จะพบตามโคกหรือคนั ดินธรรมชาตใิ กล้ ตล่ิงท่ีมนี ้�ำทว่ มไม่นาน ในที่โล่งแจง้ หรือทีร่ ่มรำ� ไร ท่คี วามสูงจากระดับน�้ำทะเลไม่เกิน 1,500 ม. ออกดอกช่วง เดอื นธนั วาคม-กรกฎาคม ผลแก่ชว่ งเดอื นมีนาคม-กันยายน การกระจายพนั ธุ์ พบทัว่ ประเทศไทย ต่างประเทศพบท่อี ินเดยี เนปาล ศรีลังกา เมยี นมาร์ ลาว กัมพูชา และ เวยี ดนาม การใชป้ ระโยชน์ อาหาร ผลสุกกินเปน็ ผลไม้ (4).--- สมนุ ไพร ใบนำ� มารองแคร่ไมไ้ ผ่ แลว้ ก่อไฟใตแ้ คร่ แกฟ้ กช้�ำ ช้�ำใน (10).--- ด้านอ่ืน หวั คนั เปน็ พิษ กินไม่ได้ (2)

ยอดออ่ น

ปา่ บุง่ ป่าทาม ภาคอีสาน 87 ลุมไซย ชอ่ื ทอ้ งถนิ่ อนื่ : พังพวยนก พังพวยป่า ลันไชย (ราชบรุ ี, ภาคใต)้ , รวงไซ รางไซ (อุบลราชธาน)ี , ลังไซ (ปราจนี บุรี), ศรีธนนไชย ธนนไชย ลมุ ไซย (นครราชสีมา) Buchanania siamensis Miq. (วงศ์ Anacardiaceae) ชื่อพ้อง : - ไม้ตน้ สูง 5-10 ม. เปลือกแตกเป็นรอ่ งต้ืนตามยาว-แตกสะเกด็ ตามยาว แตกกิ่งเปน็ กระจกุ รอบข้อ ก่งิ ออ่ นมีขน สั้นนุ่มสนี �้ำตาล ใบเด่ยี ว เรียงเวยี นเป็นกระจุกแนน่ ชว่ งปลายกง่ิ และมักจะชูตั้งขน้ึ รปู ไขก่ ลับหรอื รปู ใบพาย ยาว 4-8 ซม. ปลายมนหรอื เวา้ ต้ืน โคนใบสอบ ผิวใบอ่อนด้านล่างมขี นสั้น ใบแกเ่ กลย้ี ง แผน่ ใบหนา เส้นแขนง ใบขา้ งละ 9-13 เสน้ ก้านใบยาว 1-5 มม. ใบอ่อนสนี ำ�้ ตาลแดง ชอ่ ดอกแบบแยกแขนง ออกตามซอกใบใกล้ปลาย กงิ่ ยาว 4-8 ซม. มีขนส้นั หนาแนน่ ดอกขนาดเล็ก สขี าวหรอื อมเหลอื ง ดอกบานกว้าง 3-5 มม. กลีบเลยี้ งและ กลีบดอกมอี ยา่ งละ 5 กลบี ผลกลมเบี้ยวหรอื คล้ายรปู หัวใจ กวา้ ง 1-1.5 ซม. แบนดา้ นขา้ งเล็กนอ้ ย ผลออ่ นสี เขยี วอ่อน เม่อื สกุ เปล่ียนเป็นสีชมพู-สีดำ� มีเมลด็ เดยี ว แข็ง ถน่ิ อาศยั ขน้ึ ตามท่งุ หญ้า ปา่ ผลดั ใบ และปา่ บุ่งปา่ ทาม ชอบขึน้ ในท่ีโลง่ แจ้ง บนท่ีราบดินตะกอนหรอื พื้นทีด่ ินเค็ม ที่ความสูงจากระดบั น�้ำทะเลไม่เกิน 200 ม. ออกดอกชว่ งเดอื นธนั วาคม-มนี าคม ผลแก่ช่วงเดือนกุมภาพันธ-์ พฤษภาคม การกระจายพันธุ์ พบในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ภาคตะวนั ออก และภาคตะวนั ตกต้ังแตจ่ ังหวัดกาญจนบุรลี งมา ถึงประจวบครี ขี นั ธ์ ตา่ งประเทศพบในลาว เวียดนาม และกมั พชู า การใช้ประโยชน์ อาหาร เมลด็ และผลออ่ นกินกบั ปลาแดกบอง (2, 1).--- สมุนไพร ยางทารักษาโรคปากเปอ่ื ย แผลรอ้ นใน ภายในปาก (1).--- ก่อสรา้ งหรือเครอื งมือ เน้อื ไมท้ ำ� แอกไถนา ล้อเกวียน หรือเครื่องมอื การเกษตร (1)

ผลสุก ใบแกก่ ่อนรว่ ง ยางเมื่อถกู อากาศจะเป็นสดี ำ�

ป่าบุ่งปา่ ทาม ภาคอสี าน 89 น�้ำเกล้ียง ชื่อท้องถ่ินอ่ืน : รักขาว น�้ำเกลย้ี ง ปูนผง (ปราจีนบรุ ี), เดาองุ ะ (มลาย-ู ยะลา), รกั (ปราจนี บุร,ี สระบรุ ี, สุราษฎร์ธาน)ี , ฮักขีห้ มู ฮักหมู (เชยี งใหม่), รกั น้ำ� (ชัยภูม)ิ , ฟกั ฟา้ กกกนิ คน (ศรสี ะเกษ, ยโสธร), น้�ำเกลย้ี ง (ร้อยเอ็ด, อ.มญั จาครี ี ขอนแก่น), สวายกะก๊ิด (เขมร-อ.ท่าตมู สุรินทร์), กตู า๊ (ส่วย-อ.ทา่ ตมู สรุ นิ ทร์) Semecarpus cochinchinensis Engl. (วงศ์ Anacardiaceae) ช่ือพ้อง : - ไมต้ ้น สูง 5-15 ม. เปลอื กสนี �้ำตาล เรยี บและมีช่องอากาศจำ� นวนมากหรือแตกเป็นรอ่ งตามแนวยาว ก่งิ อ่อนและ ชอ่ ดอกมขี นส้นั หนาแน่น ใบเดี่ยว เรียงเวยี นเปน็ กระจกุ ท่ปี ลายกง่ิ รูปไข่กลบั หรือรูปใบหอกกลบั ยาว 8-24 ซม. ปลายมนหรอื กลม โคนใบสอบ ผวิ ใบด้านล่างมีขนสน้ั หนานุม่ สนี ำ้� ตาลติดคงทน แผน่ ใบหนา เสน้ แขนง ใบขา้ งละ 10-20 เสน้ ก้านใบยาว 0.5-2.5 ซม. ใบแก่กอ่ นร่วงมสี เี หลือง ชอ่ ดอกแบบแยกแขนง ออกท่ีปลาย ก่ิง ยาว 30-40 ซม. ดอกขนาดเล็ก สีขาวอมเขยี ว ดอกบานกวา้ ง 3 มม. กลบี เลีย้ งและกลีบดอกมอี ยา่ งละ 5 กลบี ผลคอ่ นข้างกลม เส้นผา่ นศูนย์กลาง 1 ซม. มีขนสัน้ หรือเกลยี้ ง เม่อื สุกสเี ขียวอมด�ำ มี 1 เมล็ด โคนผลมี ฐานรองผลทีบ่ วมพองและฉ่�ำน�้ำ รปู กรวย สงู 1-2 ซม. สเี ขียวเขม้ เมอื่ สกุ สีเหลอื งอมสม้ ถิน่ อาศยั ขึน้ ตามปา่ ผลัดใบ ปา่ แคระบนเขาหนิ ปูน และป่าบงุ่ ปา่ ทาม ทีค่ วามสูงจากระดบั น้�ำทะเลไม่เกิน 500 ม. ผลดั ใบหมดตน้ ก่อนออกดอกๆ ช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ผลแก่ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน การกระจายพันธุ์ พบทั่วทกุ ภาคของประเทศไทย ตา่ งประเทศพบในลาว เวียดนาม กมั พชู า และเกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย การใชป้ ระโยชน์ เช้อื เพลงิ ไม้ท�ำฟืนและเผาถา่ น (15).--- ด้านอ่นื น้�ำยางและเกสรเปน็ พิษหากโดนผวิ หนังหรือเน้ือเย้ือออ่ น จะมีอาการคนั -แพร้ ุนแรง ยางทแี่ ห้งมีสดี ำ� จะไมม่ ีพิษ (4, 10, 13, 14, 15)



ป่าบุ่งป่าทาม ภาคอสี าน 91 นาวน้�ำ ชอ่ื ทอ้ งถ่ินอืน่ : นาวน�ำ้ (เลย, อุบลราชธาน,ี ยโสธร), หวั ชุม (อบุ ลราชธาน)ี , เดา๊ ะกระไบย (เขมร-อ.ท่าตมู สุรินทร)์ , ลมงัว (ส่วย-อ.ท่าตมู สรุ นิ ทร์), นมควาย ลำ� ควาย นมงวั (นครราชสมี า, อ.สว่างวรี ะวงศ์ อุบลราชธาน)ี , ห�ำปู๋ (อ.กันทรารมย์ ศรีสะเกษ) Artabotrys spinosus Craib (วงศ์ Annonaceae) ชอื่ พ้อง : - ไม้พ่มุ รอเลื้อย ยาวถึง 10 ม. กิ่งแก่และโคนลำ� ต้นมีหนามยาว 2-3 ซม. ก่ิงออ่ น ก้านใบและดอกมขี นส้นั ใกล้ ปลายก่งิ มตี ะขอ ใบเด่ยี ว เรียงสลบั รูปไขก่ ลับ ยาว 5-12 ซม. ปลายใบกลม มน หรือหยักเป็นตง่ิ สั้นๆ โคนใบ มนหรือสอบ ผิวใบเรยี บเกลี้ยง มเี ส้นแขนงใบข้างละ 7-10 เสน้ กา้ นใบยาว 0.5-1 ซม. ดอกเดีย่ วออกตามตะขอ กา้ นดอกยาว 2-3 ซม. กลบี เลยี้ งสีเขยี ว มี 3 กลบี รูปไขป่ ลายแหลมและกระดกกลบั กลบี ดอก 6 กลีบ สีเขียว เมือ่ ใกล้รว่ งเปลย่ี นเปน็ สีเหลือง มกี ลน่ิ หอมแรงชว่ งหวั คำ�่ รูปขอบขนาน ยาว 1.5-2 ซม. ดอกบานกวา้ ง 2.5-3 ซม. (คลา้ ย การเวก Artabotrys hexapetalus ทีป่ ลกู ตามบา้ น แต่การเวกมีกลีบดอกยาว 3-4.5 ซม.) โคน กลบี คล้ายช้อนโอบรอบเกสร ผลรปู รี ยาว 2.5-3 ซม. ปลายแหลม โคนสอบไมม่ ีก้าน ตดิ เปน็ กล่มุ ๆ ละ 5-10 ผล ผลออ่ นสีเขยี วผิวเกลี้ยงมนั เงา มจี ดุ ประสขี าวจำ� นวนมาก เม่ือสกุ เป็นสีเหลอื ง ถ่ินอาศัย ข้นึ ตามชายป่าบุ่งปา่ ทาม หรอื ตามเกาะแกง่ หรอื ตลง่ิ ริมแมน่ ้�ำ ลำ� คลอง ทีค่ วามสูงจากระดบั น�้ำทะเล ไมเ่ กนิ 200 ม. ออกดอกช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม ผลแกช่ ว่ งเดอื นมิถุนายน-ธนั วาคม การกระจายพนั ธุ์ พบทัว่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต่างประเทศพบในลาว กมั พชู า และเวียดนามตอนใต้ การใชป้ ระโยชน์ อาหาร ยอดออ่ น เป็นผักสดรสฝาดมนั กนิ แกล้มนำ�้ พรกิ ลาบ ก้อย (1, 2, 3, 4, 15).--- ผลออ่ นรสเปร้ียวอม ฝาดจ้ิมเกลอื ผลสุกรสหวานกินเปน็ ผลไม้ (1).--- สมุนไพร แกน่ ตม้ น้ำ� ดืม่ รักษาโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต (2).--- เช้ือเพลงิ ไม้ทำ� ฟืน (17).--- วัสดุ เถาเนื้อเหนียวใช้ทำ� โครงลอบ ไซ (1).--- ดา้ นอนื่ ปลูกเปน็ ไมป้ ระดบั หรือ ปลกู ใหเ้ ลื้อยทำ� รว้ั ดอกส่งกล่นิ หอมเย็นแบบดอกการเวกชว่ งหวั ค�่ำ เก็บมาบูชาพระ (1, 4, 9, 15, 17)



ป่าบุง่ ปา่ ทาม ภาคอสี าน 93 ห�ำอีปู่ ชื่อท้องถ่นิ อ่นื : นมแมวใบหนา (ภาคใต้), ห�ำอีปู่ (อุบลราชธานี), จเรย (เขมร-อ.ท่าตูม สุรนิ ทร์) Uvaria argentea Blume (วงศ์ Annonaceae) ช่ือพอ้ ง : Cyathostemma argentatum (Blume) J.Sinclair ไม้พุม่ รอเลอื้ ย ยาว 2-5 ม. ก่ิงออ่ น ก้านใบ ชอ่ ดอก และดอกมขี นส้นั สีสนมิ หนาแนน่ ก่ิงมีชอ่ งอากาศเป็นจุดสี ขาว ใบเด่ยี ว เรยี งสลบั รปู ขอบขนาน ยาว 5-15 ซม. ปลายใบกลม มน หรอื เว้าบ๋มุ โคนใบมนหรอื เวา้ เล็กน้อย เนอ้ื ใบหนา ด้านล่างมีขนสั้นประปราย-เกล้ยี ง มเี ส้นแขนงใบข้างละ 9-12 เสน้ ปลายเสน้ โคง้ จรดกันชัดเจน กา้ น ใบยาว 3-5 มม. ดอกออกเปน็ ชอ่ กระจกุ ออก 1-4 ดอกตอ่ กระจกุ ออกตรงขา้ มกับตำ� แหน่งใบ กา้ นดอกยาว 1 ซม. กลีบเล้ยี งสเี ขยี วอ่อน มี 3 กลีบ แนบชดิ กบั กลบี ดอก กลบี ดอก 6 กลีบ สแี ดงอมม่วง รปู ไขก่ วา้ ง ยาว 5-8 มม. ปลายแหลม ดอกบานกว้าง 1 ซม. ดอกเม่ือบานเตม็ ทแี่ ลว้ ขอบกลีบยังคงซอ้ นกนั คลา้ ยบาตร ผลรูปทรง กระบอกมรี อยหยกั คอดเลก็ นอ้ ย กว้าง 2 ซม. ยาว 3-4 ซม. ปลายทง้ั สองด้านมน กา้ นผลยาว 2-4 ซม. ตดิ เปน็ กลมุ่ ๆ ละ 10-18 ผล ผวิ มขี นสน้ั หนาแน่น เม่อื สุกเปน็ สเี หลืองมีเมลด็ สนี ำ้� ตาลเขม้ จำ� นวนมากเรียง 2 แถว ถิน่ อาศัย ขึ้นตามที่โลง่ แจ้งหรอื ชายปา่ บงุ่ ป่าทาม หรอื ตามรมิ แมน่ ำ้� ล�ำคลอง ทค่ี วามสงู จากระดับน้�ำทะเลไม่เกนิ 700 ม. ออกดอกชว่ งเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ผลแก่ช่วงเดอื นกรกฎาคม-ตลุ าคม การกระจายพันธ์ุ พบในภาคใต้ ภาคตะวนั ออก และถือวา่ หายากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบเฉพาะในเขต ลมุ่ น้�ำมูล ต่างประเทศพบในบังคลาเทศ เมยี นมาร์ มาเลเซีย ชวา และบอร์เนียว และน่าจะพบในลาวและกัมพูชา ด้วย การใช้ประโยชน์ อาหาร ผลดิบรสเปรยี้ วจ้มิ พรกิ เกลือ ผลสกุ รสหวาน กนิ เปน็ ผลไม้ (4, 6, 8, 9).--- วสั ดุ ผลออ่ นใช้ท�ำเปน็ เหยื่อ ลอ่ ปลา (6)

ดอก

ปา่ บงุ่ ป่าทาม ภาคอีสาน 95 ตีนไก่ ชอ่ื ทอ้ งถิน่ อืน่ : เครอื อเี กงิ (อ.ชุมพวง นครราชสีมา), โคยลิง เดือยไก่ (อ.เมือง สกลนคร), ติดตอ่ ตีนไก่ โปรงก่ิว (อสี าน), จงึ จา๊ บ เจงิ จา๊ บ (เขมร-อ.ท่าตูม สุรินทร)์ , เล็บไก่ (สว่ ย-อ.ท่าตูม สรุ นิ ทร)์ Dasymaschalon lomentaceum Finet & Gagnep. (วงศ์ Annonaceae) ชอ่ื พ้อง : - ไมพ้ มุ่ สงู 1-3 ม. กิ่งอ่อน กา้ นใบ ชอ่ ดอก และดอกมีขนสีนำ้� ตาลแดง ใบเดี่ยว เรยี งสลบั รปู ขอบขนานหรอื แกม รูปไข่ ยาว 5-14 ซม. ปลายแหลมยาว โคนเว้าตืน้ แผ่นใบดา้ นล่างมีนวล เนือ้ ใบหนา เส้นแขนงขา้ งละ 7-9 เสน้ ปลายเส้นไมโ่ คงจรดกัน ก้านใบยาว 2.5-5 มม. กา้ นดอกยาว 0.5-1.3 ซม. กลีบเลี้ยงสีเขยี วออ่ น มี 3 กลีบ กลบี ดอกสีครีมอมเหลือง-อมชมพู มี 3 กลบี มขี นประปราย กลบี เน้อื หนาแนบติดกนั รูปกรวยแหลม ยาว 1.5-2 ซม. ไมบ่ ดิ เปน็ เกลยี ว และบานออกเพยี งเลก็ นอ้ ย ผลรปู ทรงกระบอกมรี อยคอด 2-4 ขอ้ กว้าง 6 มม. ยาว 1.5-2.5 ซม. ปลายหยักเป็นต่ิงส้นั มีขนประปราย ตดิ เป็นกลมุ่ ๆ ละ 4-10 ผล ก้านชอ่ ผลยาว 3-8 มม. ผลสุกสแี ดง มี 2-5 เมล็ด/ผล ถ่ินอาศัย ข้ึนตามทโี่ ลง่ แจง้ หรือชายป่าเบญจพรรณ ป่าดงดบิ แล้ง และป่าบงุ่ ป่าทาม ทค่ี วามสงู จากระดับน�้ำทะเล ไม่เกนิ 350 ม. ออกดอกชว่ งเดือนเมษายน-สงิ หาคม ผลแก่ชว่ งเดือนมถิ นุ ายน-ตุลาคม การกระจายพันธ์ุ พบทว่ั ไปในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ยกเวน้ ลมุ่ น้�ำโมง ภาคตะวนั ออก และภาคตะวนั ตกเฉยี ง ใต้ ตา่ งประเทศพบในลาวตอนใต้ และกมั พชู า การใชป้ ระโยชน์ อาหาร ผลสกุ สีแดง รสหวานอมเปรีย้ ว กินเปน็ ผลไม้ (3, 4)

ผลสกุ

ป่าบุง่ ปา่ ทาม ภาคอสี าน 97 เครือกล้วยน้อย ชือ่ ทอ้ งถนิ่ อ่ืน : นมแมว (ภาคกลาง), กะหวนั (ไทโคราช-อ.ชมุ พวง นครราชสีมา), หัวส่มุ (ไทโคราช-อ.เมอื งยาง นครราชสมี า), กล้วยน้อย เครือกลว้ ยนอ้ ย (อสี าน), กล้วยนำ้� (อ.เชยี งขวัญ ร้อยเอด็ ), หมากอร่อย (อ.พรรณานคิ ม สกลนคร), หมากกล้วยเหน็ หมากกลว้ ยนอ้ ย (ไทญอ้ -อ.ศรสี งคราม จ.นครพนม), กลว้ ยทาม (อ.บ้านดงุ อดุ รธาน,ี อ.เจรญิ ศลิ ป์ สกลนคร), โอเซล็ อูเซ็ล (เขมร-อ.ทา่ ตูม สรุ นิ ทร์), กะวนั (ส่วย-อ.ท่าตูม สรุ นิ ทร์) Uvaria siamensis ( Scheff.) L.L. Zhou, Y.C.F. Su & R.M.K. Saunders (วงศ์ Annonaceae) ชอ่ื พอ้ ง : Melodorum siamense (Scheff.) Bân ไมพ้ ุ่มรอเลอื้ ย ยาวไดถ้ ึง 7 ม. ตามก่งิ ออ่ น ใบ กา้ นใบ ดอก และชอ่ ดอกมขี นกระจุกรปู ดาวสีน้ำ� ตาลแดง ใบเด่ียว เรยี งสลบั ใบรปู รี หรือรปู ขอบขนาน ยาว 8-15 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบมนหรอื เว้าเล็กน้อย แผ่นใบ หนาเรียบ ผิวใบดา้ นลา่ งมขี นกระจกุ ประปราย เสน้ แขนงใบขา้ งละ 9-11 เส้น (ปลายเส้นโคงจรดกนั ) ก้านใบ ยาว 3-5 มม. ชอ่ ดอกออกตรงขา้ มใบ มี 1-3 ดอก/ชอ่ ก้านดอกยาว 5-8 มม. กลีบเลีย้ ง 3 กลีบ สเี ขยี วออ่ น กลีบดอก 6 กลีบ สเี หลืองนวล รูปไขก่ วา้ ง ยาว 1 ซม. ปลายแหลม ดอกบานกว้าง 2 ซม. มกี ล่ินหอมเยน็ ผลทรงกลมหรอื แกมรี เสน้ ผ่านศูนยก์ ลาง 1.5-2 ซม. ปลายมตี ง่ิ สน้ั หรอื กลม มขี นสัน้ หนาแนน่ ก้านผลยาว 3-5 มม. ตดิ เปน็ กลุ่มๆ ละ 2-10 ผล กา้ นชอ่ ผลยาว 1-2 ซม. ผลสุกสเี หลือง มี 2-4 เมลด็ /ผล ถ่ินอาศยั ขนึ้ ตามทีโ่ ลง่ แจง้ หรอื ชายปา่ ดงดบิ แล้ง และป่าบุ่งป่าทาม ท่คี วามสงู จากระดบั น้�ำทะเลไมเ่ กนิ 300 ม. ออกดอกชว่ งเดอื นเมษายน-สิงหาคม ผลแก่ช่วงเดือนมิถุนายน-ตลุ าคม การกระจายพันธุ์ พบทุกภาคของประเทศไทย ต่างประเทศพบท่เี มยี นมาร์ ลาว กัมพูชา เวียดนาม และคาบสมทุ ร มาเลเซีย การใช้ประโยชน์ อาหาร ผลอ่อนมีรสฝาด ผลสกุ สีเหลอื งรสหวานหอม กนิ เป็นผลไม้ (1, 3, 4, 9, 10, 11, 14, 15, 17, 19, 21, 23, 24, 25).--- สมุนไพร แก่นตากแหง้ ตม้ น�้ำดม่ื เป็นยาบำ� รุงหวั ใจ (1).--- ทัง้ ต้นตม้ น้�ำด่มื แก้ปวดเม่ือย (11, 13).--- เถาตากแห้งตม้ นำ้� ดมื่ รักษาโรคกระเพาะ (19, 23).--- เถาเขา้ ยาอ่นื ๆ รักษาโรคอุปทม (กามโรค) (11).--- รากต้มน้ำ� ดืม่ บ�ำรุงน�ำ้ นมในแมล่ กู อ่อนหรอื อยู่กำ� (อยูไ่ ฟ) (11, 10).--- รากต้มน้ำ� ดมื่ เปน็ ยาบำ� รงุ ก�ำลงั (23).--- วสั ดุ เถาเนื้อเหนยี วใช้ท�ำขอบตะกร้า ขอบกระบงุ ขอบสวิง กงลอบ กงไซ (11, 14, 15, 17, 19, 23, 24).--- ด้านอืน่ ดอกมกี ลิ่นหอมเย็น น�ำมาบชู าพระ หรอื ปลกู ประดบั (1, 4, 9, 10, 11, 12, 13, 14, 17, 21, 23) ลอบ



ป่าบุ่งป่าทาม ภาคอีสาน 99 ต้องแล่ง ชอื่ ท้องถน่ิ อืน่ : นมน้อย (เพชรบูรณ)์ , นำ�้ น้อย (เลย), ก้ามปู (อ.เมอื ง มหาสารคาม), ต้องแดง้ ตอ้ งแลง่ (อ.เมือง มหาสารคาม, อุบลราชธานี), นำ�้ เต้าแล้ง (นครราชสีมา, อ.สว่างวีระวงศ์ อุบลราชธาน)ี Polyalthia evecta (Pierre) Finet & Gagnep. (วงศ์ Annonaceae) ชือ่ พ้อง : - ไม้พ่มุ สงู 0.3-1 ม. ตามกิง่ อ่อน กา้ นใบ กลบี เลี้ยง และกลีบดอกดา้ นนอกมขี นสัน้ สนี ำ�้ ตาลอ่อน ใบเด่ยี ว เรยี งสลบั ใบรูปหอกกลับ ยาว 7-14 ซม. ปลายใบมนหรอื เรียวแหลม โคนใบรปู ลม่ิ หรือมน ผิวใบดา้ นล่างมีขนประปราย- เกล้ยี ง เส้นแขนงใบขา้ งละ 9-15 เส้น มองเห็นไม่ชัดเจน ปลายเส้นโคงจรดกนั ก้านใบบวม ยาว 5 มม. ดอกเดี่ยวออกตรงขา้ มใบ ก้านดอกยาว 3-4 ซม. สแี ดง กลีบเลย้ี ง 3 กลีบ สเี ขยี วอ่อน ยาว 2-4 มม. กลบี ดอก 6 กลีบ สเี หลืองนวล รูปขอบขนาน ปลายแหลม-มน แบง่ เปน็ 3 กลีบอยูว่ งนอก ยาว 0.6-0.8 ซม. ปลายกลีบ มว้ นกลับเลก็ น้อย และ 3 กลีบอย่วู งในยาว 1-1.3 ซม. ดอกบานปลายกลีบดอกวงในยงั คงแตะกนั เลก็ นอ้ ย กว้าง 0.8 ซม. ผลทรงกลม เสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 0.6 ซม. ปลายมตี ง่ิ ส้นั หรือกลม มขี นสั้นประปราย-เกลีย้ ง กา้ นผล ยาว 2 ซม. สแี ดงเรอื่ ติดเปน็ กลุ่มๆ ละ 3-8 ผล กา้ นชอ่ ผลยาว 2-3 ซม. ผลสุกสแี ดง-ด�ำ มี 1 เมล็ด/ผล ถ่นิ อาศัย ข้นึ ตามทีโ่ ลง่ แจง้ หรอื ชายป่าดงดิบแล้ง ปา่ ผลัดใบ และป่าบงุ่ ปา่ ทามบริเวณใกล้เนินดินหรือรอยต่อกบั ปา่ ดงดิบแล้ง/ป่าเตง็ รัง ทีเ่ ปน็ ดนิ รว่ นปนทราย ท่ีความสงู จากระดบั นำ�้ ทะเลไม่เกนิ 300 ม. ออกดอกชว่ งเดอื น กุมภาพันธ์-กันยายน ผลแก่ช่วงเดือนเมษายน-พฤศจกิ ายน การกระจายพันธุ์ พบในภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ของประเทศไทย ตา่ งประเทศพบทล่ี าว กัมพูชา และเวียดนาม ตอนใต้ การใช้ประโยชน์ อาหาร ผลสุกสแี ดงเข้ม-ด�ำ รสหวานอมฝาด กนิ เปน็ ผลไม้ (6, 8, 11).--- สมนุ ไพร ทุกสว่ นตม้ นำ�้ ดมื่ ชว่ ย บำ� รุงน้�ำนมในแม่ลูกออ่ น ทำ� ใหม้ นี ำ้� นมมาก (6, 7, 9, 11, 12).--- ท้งั ต้นเขา้ ยาอืน่ ๆ รกั ษาอาการปวดเม่อื ย (11). --- ผลสุกกนิ รกั ษาอาการทอ้ งร่วง (12)