รายงานวจิ ัยฉบบั สมบรู ณ์ การทอผ้าและลวดลายผา้ แบบของเจา้ นายเมอื งอุบลฯ Weaving and Textile Design of the Ubon City Court ผวู้ ิจัย : ผศ.ดร.สทิ ธิชัย สมานชาติ และคณะ โครงการนไ้ี ด้รับงบประมาณสนบั สนุนจากกรมสง่ เสริมวฒั นธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ประจาปงี บประมาณ ๒๕๕๗
รายงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ การทอผ้าและลวดลายผา้ แบบของเจา้ นายเมอื งอบุ ลฯ Weaving and Textile Design of the Ubon City Court ผวู้ ิจัย : ผศ.ดร.สทิ ธิชัย สมานชาติ และคณะ โครงการนไ้ี ด้รับงบประมาณสนบั สนุนจากกรมสง่ เสริมวฒั นธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ประจาปงี บประมาณ ๒๕๕๗
กิตตกิ รรมประกาศ รายงานโครงการวิจัยฉบับน้ี สาเร็จสมบูรณ์ไปได้ด้วยดี ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณอธิบดีกรมส่งเสริม วัฒนธรรมและคณะผบู้ ริหาร ในการจัดสรรทุนวิจัยแก่โครงการวจิ ัยในครงั้ น้ี ในด้านการพฒั นาคุณภาพงานวิจัย ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ดังนี้ อาจารย์กุลวดี เจริญศรี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ อาจารย์ชูพินิจ เกษมณี โดยเฉพาะอาจารย์สาวิตรี สุวรรณสถิตย์ ท่ีได้ให้ข้อแนะนา การแก้ไขงานวิจัยในการปรับปรุงการวิเคราะห์วิจัยหลักฐานผ้าทออย่างเป็นระบบ และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ ฝ่ายคลังขอ้ มูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรมทุกๆ ทา่ น ท่ีใหค้ าแนะนาในการปรับปรุง วธิ ีการดาเนิการวจิ ยั ท่ีชมุ ชนเจ้าของวฒั นธรรมมสี ว่ นรว่ ม ในด้านภูมิปัญญาการทอผ้าและการย้อมสีธรรมชาติต้องขอขอบพระคุณ คุณมีชัย แต้สุจริยา คุณ ประคอง บุญขจร คุณอุษา ศิลาโชติ คุณอัมรา กุก่อง คุณขนิษฐา ลาพรหมมา และคุณเตือนใจ แก้ววงศา ตลอดจนช่างทอผ้าทุกๆ ชุมชนท่ีได้แบ่งปันความรู้ ประสานงานและให้ความร่วมมือในการจัดเวทีชุมชน เพื่อท่ีจะขอข้ึนทะเบียนเพ่ือปกป้องมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรมของตนเอง ขอขอบพระคุณพิพิธภณั ฑสถาน แห่งชาติ อุบลราชธานี บ้านคาปุน หม่อมหลวงภูมิใจ ชุมพล อาจารย์บุญชัย ทองเจริญบัวงาม รวมท้ังวัดศรี อุบลรัตนารามและวัดเลียบ ขอขอบคุณ คุณเชาวนี เหล็กกล้า ภัณฑารักษ์และเจ้าหน้าท่ี พิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ อุบลราชธานี ท่ีอนุเคราะห์ภาพถ่ายผ้าทอเมืองอุบลฯ ขอขอบคุณผู้ช่วยวิจัย อาจารย์จุฑาทิพย์ นาม วงศ์ คุณปราโมทย์ จรุงทวีเวย์ ท่ีช่วยบันทึกข้อมูล ขอขอบคุณ นายมงคล บุญเสนอ และนักศึกษาสาขาสิ่งทอ และแฟชน่ั ทร่ี ว่ มชว่ ยกนั จัดทากราฟกิ ลายผ้า การลงพื้นที่ในการดาเนินการจัดเวทีชุมชน ผู้วิจัยขอขอบคุณความร่วมมือร่วมใจเครือข่ายงานวิจัยใน จังหวัดอุบลราชธานี ดังนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุปิยา ทาปทา และผู้ช่วยศาสตราจารย์ กาญจนา ชินนาค จากมหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี และเพื่อนอาจารย์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีทุกท่านๆ ที่ให้ความสนใจ เข้าร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์ ที่ได้ช่วยถ่ายภาพเก็บข้อมูลในชุมชนต่างๆ ขอขอบพระคุณกาลังใจจากอาจารย์ ปู่ธวัช-คณุ ย่า บุปผา คณิตกุล อาจารย์เพ็ญพรรณ สทิ ธไิ ตรย์ คุณแม่นภาพร สมานชาตแิ ละดวงวญิ ญาณคุณพ่อ จรูญ สมานชาติ ช่วยใหง้ านวจิ ยั ผา่ นพน้ อุปสรรคไปไดด้ ว้ ยดี การดาเนินการเก็บข้อมูลผ้าโบราณซึ่งได้ดาเนินการมาล่วงหน้าก่อนนี้หลายปีได้รับความอนุเคราะห์ จากปราชญ์ผู้เป็นทายาทเจ้านายเมืองอุบลฯ คือ ดร.บาเพ็ญ ณ อุบล และ ดร.สุนัย ณ อุบล ที่ล่วงลับไปแล้ว และเหนืออ่ืนใดงานวิจัยสาเร็จไปได้ด้วยดีคงด้วยพรจากดวงวิญญาณของเจ้านายเมืองอุบลฯ หม่อมเจ้าหญิง บุญจิราธร (ชุมพล) จฑุ าธชุ เจ้าพระประทมุ วรราชสรุ ิยวงศ์ (ท้าวคาผง) หม่อมเจียงคา ชมุ พล ณ อยุธยา หม่อม บุญยืน ชมุ พล ณ อยธุ ยา และเจา้ นายเมืองอบุ ลฯทกุ ๆ ท่าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สิทธชิ ัย สมานชาติ หวั หนา้ โครงการ/ผู้วิจัย
Abstract Title: Weaving and Textile Design of the Ubon City Court Researcher: Asst.Prof. Dr. Sitthichai Smanchat, Ms. Juthathip Namwong, and Mr. Pramote Charungtaveevet Institute: Ubonratchathani University, Thailand E-mail: [email protected] Among Isan traditional textiles in Thailand, we noticed that weaving and textile design of the Ubon city court is outstanding. In this paper, we concerned about the traditional textiles and intangible cultural heritage of the Ubon city textiles in Thailand. The objectives of this study are (1) to collect information of “weaving and textile design of the Ubon city court” for intangible cultural heritage of the Ubon city textiles in Thailand, (2) to evoke weaver communities to concern about the preservation of intangible cultural heritage of the Ubon city textiles, and (3) to get a cultural report for the registration of the intangible cultural heritage of the Ubon city textiles. After the investigation of the Ubon city textile samples from national museums, collectors, and textile productions, we found 6 kinds of traditional clothes, i.e., (1) ‘Yearabub-laos’ (Ubonratchathani brocade), (2) ‘Pha Sin’ of various patterns, (3) ‘Hua-sin’/ Waist bands of Ubon city court tubular skirts, (4) ‘Teen-sin’/ hem parts of Ubon city court tubular skirts, (5) ‘Phrea-khid’ /blankets, (6) ‘Phrea-sai-eain’ / loincloth. We also found other local cloths for the commoners. After cultural heritage meetings with weaver communities, we can evoke them to concern the preservation of their intangible cultural heritage of the Ubon city textiles. We also can get this cultural report for the registration of the intangible cultural heritage of the Ubon city textiles. Furthermore, we found that the inter-married of Ubon city court members and Siamese/Thai royal family (Bangkok) made the inter-combination design for their textiles. The Ubon city textile heritage also remind us of the association between the Ubon city court members and other ethnic groups that lived in the same area. Keywords: Weaving, Textile Design, Ubon City Court, Intangible Cultural Heritage
บทคัดย่อ หวั ข้อวิจัย : การทอผา้ และการออกแบบลวดลายผา้ แบบของเจ้านายเมืองอุบลฯ ผูว้ ิจยั : ผศ. ดร. สทิ ธชิ ัย สมานชาติ, นางสาวจุฑาทพิ ย์ นามวงษ์, และ นายปราโมทย์ จรุงทวเี วทย์ สถาบัน: มหาวิทยาลยั อบุ ลราชธานี อีเมล์ : [email protected] ในบรรดาผ้าทออีสานตามแบบประเพณีในประเทศไทย เราได้ข้อสังเกตว่า “การทอผ้าและการ ออกแบบผ้าทอแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ” มีความโดดเด่น ในโครงการวิจัยคร้ังน้ี เราตระหนักถึงผ้าทออันเป็น “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของผ้าทอเมืองอุบลฯ” โดยมีวัตถุประสงค์ในการวิจัยดังนี้ (๑) เพื่อรวบรวม ข้อมูลการทอผ้าและลวดลายผ้าแบบของเจ้านายเมืองอุบลฯ ซ่ึงเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของผ้าทอ เมืองอุบลฯ ในประเทศไทย (๒) เพ่ือกระตุ้นให้ชุมชนช่างทอผ้า ได้ตระหนักถึงการ “สงวนรักษา” มรดกภูมิ ปัญญาทางวัฒนธรรมของผ้าทอเมืองอุบลฯ (๓) เพ่ือได้มาซึ่งเอกสารรายงานท่ีจะใช้ในการย่ืนเสนอขอข้ึน ทะเบียนมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรมของผ้าทอเมืองอุบลฯ หลังจากการค้นคว้าตรวจสอบหลักฐานตัวอย่างผ้าทอแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ จากทั้งคลังสะสมของ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จากนักสะสมส่วนบุคคล จากแหล่งผลิตผ้าทอเมืองอุบลฯ เราได้พบผ้าทอตามแบบ ประเพณีน้ีจานวน ๖ ประเภทคือ (๑) “ผ้าเยียรบับลาว” (ผ้ายกเมืองอุบลราชธานี) (๒) “ผ้าซ่ิน” แบบต่างๆ ของเจ้านายเมืองอุบลฯ (๓) “หัวซ่ิน” แบบเจ้านายเมืองอุบลฯ (๔) “ตีนซิ่น” แบบเจ้านายเมืองอุบลฯ (๕) “แพรขดิ ” (๖) แพรไสเ้ อยี่ น/แพรไส้ปลาไหล/แพรอีโป้ ซ่งึ เราก็พบผ้าอน่ื ๆดว้ ยสาหรับสามัญชน หลงั จากการจัดเวทชี มุ ชนมรดกทางวัฒนธรรม ช่วยใหเ้ ราสามารถกระตุน้ ให้ชมุ ชนเกดิ จิตสานึกในการ “สงวนรักษา” มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของผ้าทอเมืองอุบลฯ ซึ่งเราก็สามารถได้รายงานวิจัยท่ีจะเป็น เอกสารประกอบในการยน่ื เสนอขอขึ้นทะเบยี นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของผา้ ทอเมืองอบุ ลฯ นอกจากนี้เราพบว่า การแต่งงานระหว่างสมาชิกของเจ้านายเมืองอุบลฯกับเจ้านายจากราชสานัก สยาม/ไทย (กรุงเทพฯ) ทาให้เกิดการผสมผสานการออกแบบสาหรับลวดลายผ้า มรดกศิลปะสิ่งทอของเมือง อุบลฯ ยังทาให้เราราลึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายเมืองอุบลฯกับกลุ่มชนเผ่าต่างๆท่ีอาศัยอยู่ในพ้ืนท่ี ใกล้เคยี งกนั คาสาคัญ : การทอผา้ การออกแบบลวดลายผ้า เจ้านายเมืองอุบลฯ มรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรม
สารบญั หนา้ กติ ติกรรมประกาศ ๑ บทคัดยอ่ (อังกฤษ/ ไทย) ๔ ๔ บทที่ ๑ บทนา ๑.๑ หลักการและเหตผุ ลท่ตี อ้ งจัดเกบ็ ข้อมลู ๗ ๑.๒ วตั ถุประสงค์ ๑.๓ ขอบเขต/วิธีการดาเนนิ การรวบรวมและจัดเก็บข้อมูล ๑๔ บทที่ ๒ แนวคิดทฤษฎแี ละงานวจิ ัยท่เี กยี่ วข้อง ๒๑ ๒๑ บทที่ ๓ วิธกี ารดาเนินการวจิ ยั ๒๔ ๓๕ บทที่ ๔ ภมู ิหลงั ดา้ นโบราณคดแี ละประวตั ศิ าสตร์ของเมืองอุบลฯ ๔.๑ ภมู หิ ลงั ดา้ นโบราณคดีและชุมชนของพน้ื ที่ เมืองอุบลฯ ๓๘ ๔.๒ ประวัติศาสตร์ของเมืองอุบลฯ ๓๘ ๔.๓ สภาพองคค์ วามร้ทู ่ีมีอยู่ ๔๑ ๔.๔ การกระจายตวั หรือปรากฏตัวของการทอผา้ และ ๕๐ การออกแบบลายผ้าแบบเจา้ นายเมืองอุบลฯ ๔.๔.๑ ภูมิศาสตร์และขอบเขตเมอื งอบุ ลฯ ๕๖ ๔.๔.๒ จดุ ภมู ศิ าสตร์ของแหล่งสืบทอดการทอผา้ แบบเจ้านายเมืองอุบลฯ ๕๖ ๔.๕ ชมุ ชน กลุ่มคน ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับผ้าทอแบบเจา้ นายเมืองอุบลฯ ๕๖ ๕๖ บทท่ี ๕ ภูมิปญั ญาการทอผา้ แบบของเจา้ นายเมืองอบุ ลฯ ๖๒ ๕.๑ ชือ่ ทป่ี รากฏในท้องถิน่ ๖๖ ๕.๒ ภูมปิ ญั ญากระบวนการผลิตและอปุ กรณ์การทอผา้ เมืองอบุ ลฯ ๘๔ ๕.๒.๑ เส้นใย ๙๐ ๕.๒.๒ สยี ้อมธรรมชาติ ๙๒ ๕.๒.๓ เทคนคิ การทอผ้าแบบของเจา้ นายเมอื งอุบลฯ ๕.๒.๔ เครอื่ งทอผา้ และอปุ กรณ์ ๙๕ ๕.๓ กระบวนการจดั การองค์ความรู้ ๙๖ ๕.๔ การจัดการแหลง่ ผลิต ๑๓๓ บทที่ ๖ ผ้าทอแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ : เอกลกั ษณ์ ววิ ัฒนาการและการฟืน้ ฟู ๖.๑ ผา้ เยียรบบั ลาว ๖.๒ ผา้ ซน่ิ แบบต่างๆ ของเจ้านายเมอื งอุบลฯ
๖.๒.๑ ผา้ ซ่นิ ยกดอกเงนิ ดอกคา ๑๓๕ ๖.๒.๒ ผา้ ซิ่นหม่คี น่ั ๑๓๖ ๖.๒.๓ ผา้ ซ่นิ หมรี่ วด ๑๓๖ ๖.๒.๔ ผ้าซิน่ ทวิ มกุ ๑๓๗ ๖.๒.๕ ผา้ ซน่ิ ทิว ๑๓๙ ๖.๒.๖ ซ่ินไหมกอ่ ม ๑๔๑ ๖.๓ ผา้ หัวซิ่น แบบเจา้ นายเมืองอุบลฯ ๑๖๓ ๖.๔ ผา้ ตีนซ่นิ แบบเจ้านายเมอื งอุบลฯ ๑๗๒ ๖.๕ ผ้าแพรขดิ ๑๙๘ ๖.๖ ผา้ แพรไส้ปลาไหล ๒๑๐ บทที่ ๗ คณุ คา่ งานช่างฝีมือดงั้ เดมิ และการสบื ทอด ๒๒๐ การทอผ้าแบบเจา้ นายเมืองอุบล ๒๒๐ ๗.๑ คณุ คา่ งานชา่ งฝมี ือดง้ั เดิม ๒๒๔ ๗.๒ การถ่ายทอดและสืบทอด ๒๒๖ บทท่ี ๘ การสงวนรกั ษา ผา้ ทอแบบเจา้ นายเมืองอุบลฯ ๒๒๖ ๘.๑ การดาเนินงานของผูว้ ิจัยกับชุมชน ๒๓๔ ๘.๒ แผนงานในการสงวนรกั ษา (การอนุรกั ษ์ ฟนื้ ฟู เผยแพร)่ ๒๔๗ บทที่ ๙ บทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ ๙.๑ สรุปผลการวจิ ัย ๒๔๗ ๙.๑.๑ สรุปผลดา้ นข้อมลู ๒๔๙ ๙.๑.๒ สรุปผลด้านการสร้างจติ สานกึ ๒๕๒ ๙.๒ ขอ้ เสนอแนะ ๒๕๒ ๙.๓ ตัวชวี้ ดั ความสาเรจ็ ของโครงการ ๒๕๗ ๙.๔ ตวั บ่งช้ีดา้ นการสง่ เสรมิ และพัฒนาการวจิ ยั ๒๕๘ การมีสว่ นร่วม ของชมุ ชน ๒๕๘ ๑. การประชมุ ปฏบิ ตั กิ ารทีมวจิ ยั ๒๕๙ ๒. การประสานงานกับหนว่ ยงานท่เี ก่ียวข้อง ๒๖๐ ๓. การลงพน้ื ทเ่ี กบ็ ขอ้ มลู ๒๖๐ ๓.๑ การจัดเวทีประชมุ กลุ่มย่อย ๒๖๑ ๓.๒ การสมั ภาษณเ์ จาะลึกเป็นรายบุคคล ๒๖๖ ๓.๓ การเวทีการพฒั นาแกนนาเยาวชน ๒๖๘ ๓.๔ การจดั เวทคี นื ขอ้ มลู ใหช้ มุ ชน ๓.๕ การร่วมสังเกตการทอผา้ และการออกแบบลวดลายผ้าแบบ ๒๖๘ เจา้ นายเมอื งอุบลฯ
๓.๖ การตดิ ตามงาน ๒๗๑ ๓.๗ การจดั เวทีเครือขา่ ย ๒๗๒ ๓.๘ การวเิ คราะหข์ ้อมลู ๒๗๓ ๓.๙ การเขยี นรายงาน ๒๗๔ บรรณานุกรม ๒๗๕ อกั ขราภธิ านศพั ท์ ภาคผนวก - ใบแสดงความยนิ ยอม - แบบบนั ทกึ ข้อมูลรายงานมรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม - ขอ้ มูลผ้ใู ห้ขอ้ มูล (ชื่อ-นามสกุล/ที่อยู่ ทั้งหมด) - ข้อมลู ผ้เู ก็บข้อมูล (ช่อื -นามสกลุ /ที่อยู่ ทั้งหมด) - ประวัติคณะผวู้ ิจัย
สารบญั ภาพ หนา้ ภาพท่ี ๑-๑ พระราชหตั ถเลขาในรชั กาลที่ ๕ ๒ ภาพท่ี ๑-๒ พระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ ๕ ทรงพระอักษร ๒ ภาพท่ี ๔-๑ ภาพเขยี นก่อนประวตั ศิ าสตร์บริเวณผาแตม้ อาเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ๒๑ ภาพท่ี ๔-๒ ภาพหนิ แกะสลกั นนู ต่าเป็นภาพพระนารายณบ์ รรทมสินธุ์ พร้อมด้วย พระลักษมที ล่ี าโดมใหญ่ อาเภอนายืน จังหวดั อุบลราชธานี ๒๒ ภาพที่ ๔-๓ ภาพถ่ายเก่าสมยั รชั กาลท่ี ๕ ในเมืองอุบลฯ ในภาพการแตง่ กายของ กลุ่มชาติพันธุ์กูย ๒๒ ภาพที่ ๔-๔ ภาพถา่ ยเก่าสมัยรชั กาลท่ี ๕ ในเมอื งอุบลฯ ในภาพชาวบ้าน ใช้คุ (ตระกร้าสานลงชนั กนั นารว่ั ) วฒั นธรรมที่สืบทอดอยใู่ นกลมุ่ ชาติพันธก์ ยู ๒๓ ภาพท่ี ๔-๕ ภาพเก่า นกหสั ดลี งิ ค์ ในงานพระศพที่เจา้ นายเมืองอุบลฯ ใช้ตามธรรมเนยี มของ เจา้ ฟา้ เมืองเชยี งรุง้ ฯ ท่ีแสดงถึงการสืบเชือสายจากเจา้ ปางคา ๒๔ ภาพท่ี ๔-๖ ภาพแสดงการอพยพ ตงั ถ่นิ ฐานของสายตระกลู เจา้ นายเมอื งอุบลฯ ๒๕ ภาพที่ ๔-๗ ภาพพิมพข์ องฝรง่ั เศส บันทกึ งานขึนครองราชย์ของเจ้าเมืองอุบลฯ ๒๖ ภาพที่ ๔-๘ พระราชโองการแตง่ ตงั พระประทุมวรราชสุรยิ วงศ์ เป็นเจ้าเมอื งอบุ ลฯ ๒๗ ภาพท่ี ๔-๙ พระแกว้ สมบตั ิของเจา้ นายเมอื งอบุ ลฯ ๓๐ ภาพท่ี ๔-๑๐ พระมาลา หมวกยศของเจ้าเมืองอุบลฯ ๓๐ ภาพท่ี ๔-๑๑ เสือเขม็ ขาบพระราชทานสาหรับเจ้าเมอื งอุบลฯ ๓๐ ภาพที่ ๔-๑๒ พานหมากพลู ของเจา้ เมอื งอุบลฯ ๓๐ ภาพท่ี ๔-๑๓ รปู ปนั้ หุน่ จาลอง พระประทมุ วรราชสรุ ยิ วงศ์ (ท้าวคาผง) ในงานสักการะท้าวคาผง ๓๑ ภาพที่ ๔-๑๔ ตราประทบั เจา้ เมอื งอุบลฯ ๓๒ ภาพที่ ๔-๑๕ พระรูป พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงพชิ ติ ปรชี ากร ๓๓ ภาพที่ ๔-๑๖ พระรปู พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงสรรพประสิทธิประสงค์ ๓๓ ภาพที่ ๔-๑๗ ภาพถ่ายหม่อมเจียงคา ชมุ พล ณ อยุธยา ๓๔ ภาพท่ี ๔-๑๘ ภาพถา่ ยเข็มกลดั รปู หม่อมบุญยนื ๓๕ ภาพที่ ๔-๑๙ พระรปู หม่อมเจา้ หญิงบญุ จริ าธร (ชมุ พล) จุฑาธชุ ๓๕ ภาพท่ี ๔-๒๐ ภาพถ่ายในรชั สมยั รชั กาลที่๕ การแตง่ กายสตรีลกู หลานเจ้านาย เมอื งอบุ ลฯ ๓๖ ภาพท่ี ๔-๒๑ ในปีพทุ ธศักราช ๒๔๖๘ เมอื งอุบลฯ มีพืนที่ครอบคลุมจงั หวัดอุบลราชธานี ในอดตี เดมิ เป็นจงั หวดั ท่ใี หญท่ สี่ ดุ ของประเทศไทย ซง่ึ ปจั จบุ นั ไดแ้ บ่งพนื ที่เป็น จงั หวดั ยโสธรและจังหวัดอานาจเจรญิ ๓๘ ภาพที่ ๔-๒๒ แผนที่จงั หวัดอบุ ลราชธานี การกระจายตวั ของผา้ แบบเจา้ นายเมืองอุบลฯ ๓๙ ภาพที่ ๔-๒๓ บา้ นคาปุน แหล่งสบื ทอดภูมิปญั ญาผา้ ทอแบบเจ้านายเมอื งอบุ ลฯ ๔๑ ภาพท่ี ๔-๒๔ คุณมชี ัย แตส้ ุจรยิ า ผู้ออกแบบและพฒั นาผ้าแบบเจา้ นายเมืองอุบลฯ ไดเ้ ป็นตวั แทน ประเทศไทยไปร่วมงาน ASEAN Textile Exhibition ณ กรุงจาการ์ตา้ ประเทศ อนิ โดนเิ ซยี ๔๒ ภาพท่ี ๔-๒๕, ๔-๒๖, ๔-๒๗, ๔-๒๘ ศาลาการเปรยี ญวดั ประจาหมู่บา้ นหนองบ่อ ทางเดินหมู่บา้ น และศนู ย์เรียนรูภ้ มู ิปัญญาหมอ่ นไหม ๔๓ ภาพท่ี ๔-๒๙ การเกบ็ ข้อมูลและจดั เวทีชุมชน บ้านหนองบอ่ จังหวดั อุบลราชธานี ๔๔
ภาพที่ ๔-๓๐ การทอผ้าหัวจกดาว ๔๔ ภาพท่ี ๔-๓๑ การเก็บข้อมูลผ้าหวั จกดาว ผา้ แพรขดิ ผา้ ขาวมา้ เชิงขิด ณ กลุ่มแมบ่ ้านทอผ้า บา้ นหนองบ่อ ตาบลหนองบ่ออาเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ๔๔ ภาพที่ ๔-๓๒, ๔-๓๓, ๔-๓๔, ๔-๓๕, ๔-๓๖, ๔-๓๗ ภาพรวม การจดั เวทชี ุมชน บา้ นหนองบอ่ ตาบลหนองบ่อ อาเภอเมือง จงั หวดั อบุ ลราชธานี ๔๕ ภาพท่ี ๔-๓๘ หอไตรหนองขหุ ลุ (ซ้าย) ภาพที่ ๔-๓๙ อนสุ าวรยี ์พระอมรดลใจ (สุรยิ วงษ์-อม้ ) (ขวา) ๔๖ ภาพท่ี ๔-๔๐, ๔-๔๑, ๔-๔๒, ๔-๔๓ ภาพรวมการมสี ่วนรว่ มของชุมชน ศูนย์สตรีผา้ ไหม หมูบ่ า้ นลาดสมดี อาเภอตระการพืชผล จังหวดั อุบลราชธานี ท่ียังคงสืบทอดมรดกภูมิปัญญาการทอผา้ แบบเจ้านายเมืองอบุ ลฯ ๔๗ ภาพที่ ๔-๔๔, ๔-๔๕ ภาพรวมการมีสว่ นร่วมของชุมชน บา้ นบอน อาเภอสาโรง จังหวัดอุบลราชธานี ท่ียงั คงสบื ทอดมรดกภูมปิ ญั ญาการทอผ้าแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ ๔๘ ภาพที่ ๔-๔๖, ๔-๔๗ การเก็บข้อมูลชมุ ชน ณ ศูนยส์ ตรีผา้ ไหม หมบู่ า้ นปะอาว ๔๙ ภาพท่ี ๔-๔๘ ชมุ ชนทอผ้า บา้ นคาปุน ท่ีเขา้ ร่วมในการขอขึนทะเบยี นฯ ๕๐ ภาพท่ี ๔-๔๙ ชุมชนทอผ้า บา้ นหนองบ่อ ท่ีเขา้ ร่วมในการขอขนึ ทะเบียนฯ ๕๑ ภาพที่ ๔-๕๐, ๔-๕๑ ตัวแทนชมุ ชนทอผา้ บา้ นลาดสมดี ทีเ่ ข้ารว่ มในการขอขนึ ทะเบยี นฯ ๕๒ ภาพท่ี ๔-๕๒, ๔-๕๓ ชมุ ชนทอผา้ บ้านบอน ท่เี ข้ารว่ มในการขอขนึ ทะเบยี นฯ ๕๓ ภาพท่ี ๔-๕๔, ๔-๕๕ ตัวแทนชุมชนทอผา้ บา้ นปะอาว ทีเ่ ขา้ รว่ มในการขอขึนทะเบยี น ๕๔ ภาพท่ี ๕-๑ เส้นใยไหมดิบที่สาวแล้ว บา้ นหนองบ่อ อาเภอเมอื ง จังหวัดอบุ ลราชธานี ๕๖ ภาพที่ ๕-๒ จอ่ เลยี งไหม จังหวัดอุบลราชธานี ๕๖ ภาพที่ ๕-๓ แปลงปลูกหม่อนเพื่อเลียงไหม ศูนย์หมอ่ นไหม จงั หวัดอบุ ลราชธานี ๕๘ ภาพที่ ๕-๔ การคัดเลือกพนั ธุ์ไหม ทส่ี มบูรณ์เพ่ือไวผ้ สมพันธุ์ จงั หวดั อุบลราชธานี ๕๙ ภาพที่ ๕-๕ ไหมสาวใยรอบตวั เปน็ รงั ใน “จ่อ” ซ่ึงเป็นอปุ กรณท์ ่ีมโี ครงสร้างจักสานไม้ไผ่ ท่ชี ว่ ยในการโยงใยชว่ ยในการทารงั ของหนอนไหมได้ดขี นึ ๕๙ ภาพที่ ๕-๖ การใหใ้ บหม่อนเปน็ อาหารแก่หนอนไหม ๖๐ ภาพท่ี ๕-๗ วงจรชวี ิตไหม การเปลีย่ นแปลงจาก ไข่ มาเปน็ หนอน เป็นดกั แด้ และผีเสือ ๖๐ ภาพที่ ๕-๘ ภาพถา่ ยเก่าสมยั รชั กาลท่ี ๕ หญิงชาวอีสานน่งั สาวไหม ปี พ.ศ. ๒๔๔๙ ๖๑ ภาพที่ ๕-๙ การสาวไหมจากรังไหมท่ตี ้มนาอุ่นไว้ในหม้อ ๖๑ ภาพที่ ๕-๑๐ เสน้ ไหมพืนเมอื งท่กี วักทาไจแลว้ ๖๑ ภาพที่ ๕-๑๑ เส้นไหมท่ดี ่อง หรือฟอกกาวไหมออกแล้ว เสน้ จะนมิ่ สัมผัสลน่ื มอื ๖๒ ภาพท่ี ๕-๑๒ ตน้ คราม ๖๓ ภาพท่ี ๕-๑๓ เส้นไหมยอ้ มคราม ๖๓ ภาพที่ ๕-๑๔ เส้นไหมย้อมสีจากคร่ัง จงั หวัดอบุ ลราชธานี ๖๔ ภาพที่ ๕-๑๕ ไม้เขหรือแกแล และไหมย้อมจากไมเ้ ขหรอื แกแล ๖๔ ภาพที่ ๕-๑๖ มะเกลือใช้ยอ้ ม จะใหส้ ดี า ๖๕ ภาพที่ ๕-๑๗ การย้อมสีไหมจากมะเกลือ บ้านหนองบ่อ อาเภอเมอื ง จงั หวดั อบุ ลราชธานี ๖๕ ภาพที่ ๕-๑๘ การทอหวั ซ่นิ ลายจกดาว ท่ีใชก้ ารทอแบบการมัดปมเส้นพุ่งพเิ ศษดา้ นบน ซ่งึ สะดวกในการมัดปม ๖๖
ภาพท่ี ๕-๑๙ เราสามารถสังเกตเทคนิคการจกของ “หัวจกดาว” โดยดูจากเส้นพุ่งพเิ ศษ ท่ไี ม่ตอ่ เนื่องดา้ นในของผนื ผา้ ๖๖ ภาพท่ี ๕-๒๐ หวั ซิน่ ทีท่ อเทคนคิ จก ลวดลาย “ดอกแกว้ ทรงเครือ่ ง” ๖๗ ภาพท่ี ๕-๒๑ หวั ซิน่ ทท่ี อเทคนิค จก ลวดลาย “ดาว” หรอื เรียกวา่ “หวั จกดาว” ๖๗ ภาพท่ี ๕-๒๒ ผา้ ทอเทคนคิ ขิด ๖๘ ภาพท่ี ๕-๒๓ ผา้ ขิดตนี ซนิ่ ตวั อย่างผา้ จากคลงั สะสมของ ดร.บาเพญ็ ณ อุบล ๖๘ ภาพที่ ๕-๒๔ ตีนซิ่นลายปราสาทผึง ฝมี อื แม่สมหมาย ชา่ งทอบา้ นหนองบ่อ ๖๙ ภาพที่ ๕-๒๕ ตีนซน่ิ ฝมี อื แมส่ มหมาย ช่างทอบ้านหนองบ่อ ๖๙ ภาพท่ี ๕-๒๖ การมดั ลาหมีต่ ามจังหวะลวดลาย ฝีมือ ชา่ งทอบ้านคาปนุ ๖๙ ภาพท่ี ๕-๒๗ การคน้ ลาหม่ี แยกเปน็ ลาๆ ก่อนนาไปมดั ลาย บา้ นหนองบ่อ จังหวดั อุบลราชธานี ๗๐ ภาพท่ี ๕-๒๘ การมัดลวดลายไหมมดั หมี่ เพ่ือเตรยี มทอเป็นผนื ผา้ บา้ นคาปนุ จงั หวัดอุบลราชธานี ๗๐ ภาพท่ี ๕-๒๙ แม่อุษา ศลิ าโชติ ช่างฝมี อื บา้ นหนองบ่อทอผ้ามัดหม่ี ๗๑ ภาพท่ี ๕-๓๐ การทอผา้ มัดหม่ีค่ันลายปราสาทผึง ๗๑ ภาพที่ ๕-๓๐ ภาพเปรียบเทยี บ ภาพถา่ ยเก่า ประเพณีแหป่ ราสาทผึง ตวั ปราสาทผงึ และผ้ามดั หมค่ี น่ั ลายปราสาทผงึ ซงึ่ เป็นลวดลายเอกลักษณ์ของผา้ มัดหมี่เมืองอุบลฯ ๗๒ ภาพที่ ๕-๓๑ ภาพเปรียบเทียบ ภาพสมิ วัดแจ้ง คันทวยไมแ้ กะลายนาค และผ้ามัดหม่ีคัน่ ลายขอนาค หรือนาคนอ้ ย ซึง่ แสดงความสัมพันธก์ ันทางศิลปะและใช้สัญลักษณร์ ่วมกนั ๗๓ ภาพที่ ๕-๓๒ ภาพเปรียบเทยี บ รปู ร่างตวั พังพอน และผ้ามัดหมีค่ ่ันลายจอนฟอน (พงั พอน) ซึ่งเปน็ สัตวท์ อ้ งถ่ิน ๗๓ ภาพที่ ๕-๓๓, ๕-๓๔ ผา้ ซ่นิ ทวิ หวั จกดาว ๗๔ ภาพท่ี ๕-๓๕ ภาพลายเส้นการตเี กลียววนซ้าย และวนขวา ๗๕ ภาพที่ ๕-๓๖ เสน้ ไหมที่ควบเกลียวสอี ่อนและสีเขม้ เขา้ ดว้ ยกัน ๗๕ ภาพที่ ๕-๓๗ ชา่ งทอผ้า บา้ นคาปนุ กาลงั ควบเส้นไหม ๗๖ ภาพท่ี ๕-๓๘ ผา้ ซิ่นไหมก่อม หรือไหมเข็นก้อม เมืองอบุ ลฯ ๗๖ ภาพท่ี ๕-๓๙, ๕-๔๐ ผ้าซ่นิ แล้ และผา้ ซ่นิ แลห้ วั จกดาว ๗๗ ภาพท่ี ๕-๔๑, ๕-๔๒ ตัวอยา่ งผ้าโบราณ “ผา้ เยยี รบับลาว” เก็บรักษาไวท้ ่ี ดร.บาเพ็ญ ณ อุบล (สญู ไปกบั เหตุการณ์เพลงิ ไหม้ปี พ.ศ. ๒๕๕๓) ๗๘ ภาพที่ ๕-๔๓ ตวั อยา่ งผ้าโบราณ “ผ้าเยยี รบับลาว” เก็บรกั ษาไวท้ ี่วัดเลียบ อาเภอเมือง จงั หวัดอบุ ลราชธานี ๗๘ ภาพที่ ๕-๔๔ ผา้ ยกเมอื งอบุ ลฯ การฟ้นื ฟูของคณุ มชี ยั แตส้ จุ ริยา บา้ นคาปุน จังหวัดอบุ ลราชธานี ๗๙ ภาพที่ ๕-๔๕ ผ้ายกเมอื งอบุ ลฯ งานออกแบบของคณุ มีชัย แตส้ ุจริยา บา้ นคาปุน จังหวัดอบุ ลราชธานี ใช้ตะกอแนวดิง่ เกบ็ ลายทอไว้ชว่ ยในการทอผ้า ๗๙ ภาพที่ ๕-๔๖, ๕-๔๗, ๕-๔๘, ๕-๔๙ การทอผ้าเยยี รบับลาว เมอื งอุบลฯ ที่ประยกุ ต์ใช้เทคนิคการ “เกาะ/ลว้ ง” ผสมผสานในการทอผ้ายก เป็นผลงานการ ประยุกตแ์ ละฟ้ืนฟูลายผา้ โบราณ ของคุณมชี ัย แต้สุจริยา บ้านคาปนุ ๘๐ ภาพท่ี ๕-๕๐, ๕-๕๑ การทอผา้ ซ่นิ ทวิ มกุ จกดาว ทฟ่ี ื้นฟูขนึ ใหม่ ณ บา้ นคาปุน จังหวัดอบุ ลราชธานี ๘๑
ภาพที่ ๕-๕๒ กราฟแผนการทอผา้ ดว้ ยเทคนคิ การเหยยี บ แบบ ๔ ตะกอ เพ่ือทอผ้าสี่ตะกอ (ผา้ สีเ่ ขา) ๘๓ ภาพท่ี ๕-๕๓ ตัวอยา่ งผ้าทท่ี อดว้ ยการคาเพลา หรอื เหยยี บตะกอ ๘๓ ภาพที่ ๕-๕๔ ผา้ ผะเหวด ของเจา้ นายเมืองอบุ ลฯ ท่มี ีหลกั ฐานกระบวนการทอผ้า ภาพหญงิ น่งั กวักไหมอยู่บนเรือนชาน ๘๔ ภาพท่ี ๕-๕๕ หญงิ ชา่ งทอผา้ บา้ นคาปุน นง่ั กวักไหม ๘๔ ภาพท่ี ๕-๕๖ เครือ่ งทอผ้าแบบขาตังแบบไท-ลาว จดั แสดง ณ พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ อบุ ลราชธานี ๘๕ ภาพท๕ี่ -๕๗ เครือ่ งทอผา้ แบบขาตัง ที่ประยุกตจ์ ากแบบของเขมร บ้านคาปุน จังหวดั อุบลราชธานี ๘๖ ภาพท่ี ๕-๕๘ ภาพหญงิ กาลังนั่งเขน็ ฝา้ ยหรือควบไหม ฮปู แต้ม วดั ทุ่งศรเี มือง จัหวัดอบุ ลราชธานี ๘๗ ภาพท่ี ๕-๕๙ ชา่ งทอกาลงั ใชอ้ ุปกรณ์ควบเส้นไหม บ้านคาปนุ จังหวดั อบุ ลราชธานี ๘๗ ภาพท่ี ๕-๖๐, ๕-๖๑ อกั คอนไหม ท่ีแกะสลักเป็นหัวพญานาค ๘๘ ภาพท่ี ๕-๖๒ แปรงหวหี ูก ไว้หวเี ครอื เส้นยืน ๘๘ ภาพท่ี ๕-๖๓ หลกั ค้นเส้นยืน บา้ นคาปุน จังหวดั อุบลราชธานี ได้อนุรักษเ์ ครือ่ งมือทอผ้าเอาไว้ ๘๙ ภาพที่ ๕-๖๔, ๕-๖๕ กระสวยแบบเรอื ๑ หลอดและกระสวยแบบ ๒ หลอด ๘๐ ภาพที่ ๕-๖๖ กระสวยแบบเรือ ๑ หลอด แกะลายตกแต่งสวยงาม ของบ้านคาปุน ๘๑ ภาพท่ี ๖-๑ นทิ รรศการผา้ ทอแบบเจ้านายเมืองอบุ ลฯ ของ ดร.สนุ ยั ณ อุบล ณ ลานคาหอม พระตาหนกั ภพู าน จังหวัดสกลนคร ทม่ี ีการจดั แสดงผ้าแทบครบทกุ ประเภท ๙๕ ภาพท่ี ๖-๒ แผนภาพ แสดงหลักฐานพัฒนาการ ผ้าเยยี รบับลาว เมืองอบุ ลฯ ยุคแรก ๙๗ ภาพที่ ๖-๓ แผนภาพ แสดงหลักฐานพัฒนาการ ผา้ เยียรบบั ลาว เมอื งอบุ ลฯ ยุคที่สอง (แบบที่ ๑) ๙๘ ภาพท่ี ๖-๔ แผนภาพ เปรยี บเทยี บหลกั ฐานตวั อย่างผา้ โบราณ ผ้าเยยี รบับลาว เมืองอุบลฯ ยุคที่สอง (แบบท่ี ๑) ๙๙ ภาพที่ ๖-๕ ตวั อยา่ งผ้าเยยี รบับลาวโบราณ มรดกผ้าเจ้านายเมอื งอุบลฯ ของ ดร.บาเพญ็ ณ อบุ ล ปี ๒๕๕๑ ๑๐๐ ภาพท่ี ๖-๖ แผนภาพ แสดงหลักฐานเปรยี บเทยี บการผสมเทคนิคการทอ ผ้าเยียรบับลาว เมอื งอบุ ลฯ ยคุ ทสี่ อง (แบบที่ ๒) ๑๐๐ ภาพที่ ๖-๗ ตัวอยา่ งผา้ โบราณ ผา้ เยียรบับลาว เมืองอบุ ลฯ ยุคทส่ี อง (แบบท่ี ๒) พบเปน็ ผ้าหอ่ คัมภรี ์ วดั ศรีอุบลรตั นาราม ๑๐๑ ภาพที่ ๖-๘ ตัวอยา่ งผ้าโบราณ ผ้าเยียรบับลาว และผ้าเยยี รบบั ลาว ทีฟ่ ื้นฟู ออกแบบโดย นายมชี ยั แต้สุจรยิ า ๑๐๒ ภาพท่ี ๖-๙, ๖-๑๐, ๖-๑๑ คุณมชี ยั แต้สุจรยิ า กับผลงานผ้าเยยี รบับลาว ที่ฟน้ื ฟขู ึนใหม่ได้สาเร็จ ๑๐๓ ภาพท่ี ๖-๑๒ ภาพถา่ ยโบราณ เจ้านายฝ่ายหญงิ เมืองอุบลฯ ช่วงสมัยรชั กาลท่ี ๕ ทนี่ ุ่งผ้าซิ่นคล้ายกับผา้ โบราณ ท่ีเปน็ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ๑๓๓ ภาพที่ ๖-๑๓ ภาพถ่ายหม่อมเจียงคา ชมุ พล ณ อยุธยา เจ้านายฝ่ายหญิง เมืองอบุ ลฯ นงุ่ ผ้าซน่ิ ในชว่ งสมัยรชั กาลที่ ๕ ๑๓๔ ภาพท่ี ๖-๑๔ พระรปู หม่อมเจ้าหญงิ บญุ จริ าธร (ชมุ พล) จฑุ าธุช เจา้ นายฝา่ ยหญิง เมืองอบุ ลฯ ๑๓๕ ภาพท่ี ๖-๑๕ ผ้าซน่ิ ยกดอกเงินดอกคา ของหม่อมเจ้าหญิงบญุ จิราธร (ชมุ พล) จุฑาธุช ในคลังมรดกของ หมอ่ มหลวงภมู ิใจ ชุมพล ๑๓๕
ภาพที่ ๖-๑๖ ฮปู แต้มวัดท่งุ ศรเี มอื ง จังหวดั อุบลราชธานี หญงิ นงุ่ ผ้าซิน่ แบบซ่นิ หมี่คน่ั ๑๓๖ ภาพท่ี ๖-๑๗ ซ่นิ หมี่คนั่ ลายผาสาทเผง่ิ (ปราสาทผงึ ) ลายตุม้ ลายคลองเอีย ๑๓๖ ภาพท่ี ๖-๑๘ ผา้ ซ่ินหมร่ี วด (ซา้ ย) และภาพที่ ๖-๑๙ ผ้าซ่นิ หมร่ี วด ต่อหัวจกดาว (ขวา) บ้านลาดสมดี อาเภอตระการพืชผล จงั หวัดอุบลราชธานี ๑๓๗ ภาพที่ ๖-๒๐ ภาพถา่ ยเจ้านายเมอื งอุบลฯ นุง่ ซิ่นทิวมกุ ญาแม่พลับ ญาแม่พรกิ (ซ้าย) ภาพที่ ๖-๒๑ ผา้ ซิน่ ทวิ มุก ตอ่ หวั จกดาว จากคลงั สะสมของ ดร.บาเพญ็ ณ อุบล (ขวา) ๑๓๘ ภาพที่ ๖-๒๒ นางคาปนุ สีใส ผูม้ ผี ลงานดเี ด่นทางวฒั นธรรมด้านศิลปะผ้าทอ ๑๓๘ ภาพที่ ๖-๒๓ ซ่นิ ทวิ มุกจกดาวท่บี า้ นคาปนุ ได้ฟื้นฟูมรดกผา้ ทอแบบเจา้ เมืองอบุ ลฯ ๑๓๘ ภาพท่ี ๖-๒๔ ฮปู แต้มวัดทุ่งศรเี มอื ง จังหวัดอุบลราชธานี แสดงหลกั ฐานผา้ ซนิ่ ทิวทีส่ ตรชี าวเมอื งอบุ ลฯนุ่ง ๑๔๐ ภาพที่ ๖-๒๕ ตัวอยา่ งผ้าโบราณ “ซิ่นทิวหัวจกดาว” บ้านหนองบอ่ อาเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ๑๔๐ ภาพท่ี ๖-๒๖ ฮปู แต้มวดั ท่งุ ศรเี มอื ง แสดงหลักฐานผ้าซ่นิ มบั ไม/ซิ่นสไี พล ท่ีสตรีชาวเมืองอุบลฯนุ่ง ๑๔๑ ภาพท่ี ๖-๒๗ ตัวอย่างผา้ โบราณ “ซิ่นสีไพล” ฝีมือช่างทอผ้า จังหวัดอุบลราชธานี ๑๔๑ ภาพที่ ๖-๒๘ ตวั อย่าง ผา้ ซนิ่ แล้ บ้านลาดสมดี อาเภอตระการพชื ผล จงั หวัดอบุ ลราชธานี ๑๔๒ ภาพท่ี ๖-๒๙ ภาพขนาดใกล้ ผ้าท่หี มับไม (ควบเส้น) ๑๔๒ ภาพที่ ๖-๓๐ ภาพรวมการเปรยี บเทียบ ววิ ฒั นาการ หัวซ่นิ ลายจกดาว เมืองอบุ ลฯ ทีเ่ กีย่ วพันกับ ลายหนิ ดาว ลายดาวบนกลองมโหระทึก ลายดอกแก้ว (ดอกพิกลุ ) จักสานสรอ้ ยตัวลายดอกแก้ว ๑๖๔ ภาพท่ี ๖-๓๑ ภาพรวมเปรยี บเทียบ ตนี ซิน่ ลาย “กระจบั ย้อย” กบั “กระจบั ควาย” ที่เจา้ นายเมอื งอุบลฯ น่าจะประยุกตจ์ ากลายเชิงผ้าเบี่ยงของชาวภูไท ในท้องถิน่ ลมุ่ แม่นาโขง ๑๗๔ ภาพที่ ๖-๓๒ ภาพรวมเปรียบเทียบ ตนี ซน่ิ ลาย “ดอกก้านของ” กับ “ดอกปีบ” ทเ่ี จ้านายเมืองอบุ ลฯ น่าจะประยกุ ตจ์ ากลายทสี่ ัมพันธก์ ับตนี ซิ่นเดมิ ของราชสานกั ลา้ นช้าง แตเ่ รยี กขาน ดว้ ยพืชท้องถิน่ ๑๗๘ ภาพที่ ๖-๓๓ ภาพรวมเปรยี บเทียบ ลวดลาย “กรวยเชงิ ” กบั “ตีนตวย” ทีเ่ จา้ นายเมืองอบุ ลฯ นา่ จะประยุกตจ์ ากลายทรี่ าชสานักสยามใช้ เป็นสัญลักษณ์แบ่งแยกฐานานุศักดิ์ มาใช้ในความหมายเดยี วกัน ๑๘๕ ภาพที่ ๗-๑, ๗-๒, ๗-๓ ภูมิปญั ญาการสบื ทอด “ผา้ เยยี รบับลาว” โดยนายมชี ัย แตส้ จุ รยิ า บา้ นคาปนุ ๒๒๐ ภาพที่ ๗-๔: ภูมิปญั ญา “ผา้ ตีนตวย” และ “ผา้ ซน่ิ ทวิ มุกจกดาว” เมืองอุบลฯ และภาพที่ ๗-๕:รายละเอยี ดลวดลาย “ตีนตวย” ๒๒๑ ภาพท่ี ๗-๖, ๗-๗ ภาพบทความในนติ ยสารสกลุ ไทยของผูว้ ิจยั ทแี่ สดงหลกั ฐาน ความสัมพันธ์ของฮปู แต้มวดั ทุ่งศรเี มืองกบั ผ้าทอเมืองอุบลฯ ชว่ ยสง่ เสริมคณุ ค่า ผ้าทอและการท่องเทย่ี ว ๒๒๒ ภาพที่ ๗-๘ พิพธิ ภัณฑ์วัดบา้ นปะอาว จัดแสดงผา้ ทอเมอื งอบุ ลฯ ชว่ ยส่งเสริมคณุ ค่าผ้าทอ และการทอ่ งเท่ยี ว ของชุมชนและสร้างมูลค่าเพ่มิ แกผ่ า้ ทอของชุมชน ๒๒๓ ภาพที่ ๘-๑ กจิ กรรม การมสี ่วนรว่ มจากชมุ ชน ผา้ ทอเมืองอุบลฯ ณ บ้านหนองบอ่ อาเภอเมือง จงั หวัดอบุ ลราชธานี ๒๒๖
ภาพที่ ๘-๒, ๘-๓ กิจกรรม งานเปดิ บา้ นคาปนุ อาเภอวารินชาราบ จังหวัดอุบลราชธานี มีนกั ศึกษามาขอความรู้เรื่องการทอผา้ ไปจัดทารายงาน และมีคนรักผ้าจากชมรม- อนรุ ักษผ์ ้าไทยท่ัวประเทศมารว่ มงานจานวนมาก ๒๒๗ ภาพที่ ๘-๔, ๘-๕, ๘-๖, ๘-๗, ๘-๘ กิจกรรม งานเปดิ บ้านคาปนุ อาเภอวารนิ ชาราบ จังหวดั อบุ ลราชธานี มชี มุ ชนบา้ นหนองบ่อ มาฟอ้ นกลองตุ้ม มีกลุ่มคนรกั ผา้ ไทยมาร่วมงานถ่ายภาพเผยแพรผ่ ่าน Facebook ๒๒๘ ภาพที่ ๘-๙, ๘-๑๐ กิจกรรม เสวนาและนิทรรศการ “คณุ ค่าผ้าทอ เมืองอุบลฯ” โดยความรว่ มมอื กับ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั จังหวดั อบุ ลราชธานี โดยมตี ัวแทนชุมชนมารว่ มทัง กลมุ่ ทอผา้ ไหม กลุม่ ทอผา้ ฝ้าย และกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์ ๒๒๙ ภาพท่ี ๘-๑๑, ๘-๑๒, ๘-๑๓, ๘-๑๔, ๘-๑๕, ๘-๑๖ การนาเสนอ ผลงานวิจัยที่เกี่ยวกบั ผ้าทอแบบ เจา้ นายเมอื งอบุ ลฯ ในการประชุมวิชาการระดบั ประเทศ “ทอ้ งถิน่ อสี าน ในบรบิ ท อาเซยี น” ที่จัดโดยเครอื ขา่ ยมหาวิทยาลยั ราชภฏั กาฬสินธุ์ ณ โรงแรมรมิ ปาว จังหวัดกาฬสินธ์ุ ๒๓๐ ภาพท่ี ๘-๑๗, ๘-๑๘, ๘-๑๙, ๘-๒๐ กิจกรรมการจดั สมั มนา กับทางสานกั ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอบุ ลราชธานี โดย ดร.กิติรตั น์ สหี บัณฑ์ ได้จัดโครงการ สัมมนา เร่อื ง “ผ้าทอเมอื งอบุ ลฯ การอนรุ ักษ์และพฒั นา” ๒๓๑ ภาพที่ ๘-๒๑ หนา้ สือ่ ออนไลน์ Facebook: Chai Smanchat ประชาสมั พันธ์ นทิ รรศการถาวร ผา้ ทอเมืองอุบลฯ ในพิพธิ ภณั ฑ์วัดบ้านปะอาว ๒๓๒ ภาพท่ี ๘-๒๒, ๘-๒๓ เยาวชนชายเผยแพร่การนุง่ โสรง่ คาดผา้ แพรปลาไหล เยาวชนหญิงเผยแพร่การนุ่งซิ่นตามแบบเจ้านายเมืองอบุ ลฯ เบ่ยี งผา้ แพรขิด ในส่ือออนไลน์ Facebook ๒๓๒ ภาพที่ ๘-๒๔, ๘-๒๕ เยาวชนและชา่ งทอผ้าเมืองอุบลฯ ร่วมกันศึกษาผ้าทอโบราณ ณ พิพธิ ภัณฑ์แห่งชาติ อุบลราชธานี เยาวชนชว่ ยแมๆ่ ชา่ งทอผา้ คดั ลอกลายผา้ ๒๓๓ ภาพท่ี ๘-๒๖ เยาวชนและช่างทอผ้าเมืองอุบลฯ รว่ มกนั ศกึ ษาผา้ ทอโบราณเพื่อหาแนวทาง ประยกุ ต์ออกแบบลวดลายผา้ ของตนเอง ณ ห้องสมดุ ประชาชน จังหวัดอบุ ลราชธานี ๒๓๓ ภาพที่ ๘-๒๗ ครอบครวั บา้ นคาปุน แต่งกายดว้ ยผ้าทอเมืองอบุ ลฯ อันงดงามเปน็ เอกลกั ษณ์ ของผา้ ไหมบา้ นคาปนุ ๒๓๔ ภาพที่ ๘-๒๘, ๘-๒๙ โรงเรยี นม่วงสามสิบ รว่ มกับช่างทออาวุโส จดั หลกั สูตรการเรยี นทอผ้า ให้แก่นกั เรยี น ๒๓๕ ภาพที่ ๘-๓๐, ๘-๓๑, ๘-๓๒, ๘-๓๓, ๘-๓๔, ๘-๓๕ วดั ไชยมงคล จัด “งานจลุ กฐนิ ” โดยมชี มุ ชน ชา่ งทอผา้ บ้านหนองบ่อและอื่นๆ เขา้ ร่วมกจิ กรรมทอผ้าเอาบญุ สาธติ การสาวไหม รวมทงั การฟ้อนกลองตุ้มของเยาวชนทแี่ ตง่ กายดว้ ยผ้าทอเมืองอุบลฯ ๒๓๖
ภาพที่ ๘-๓๖, ๘-๓๗, ๘-๓๘, ๘-๓๙, ๘-๔๐, ๘-๔๑ กลุ่มมนู เมอื ง โดยนายมชี ยั แต้สจุ ริยา ร่วมกับ เทศบาลนครอบุ ลราชธานี จดั ขบวนอญั เชิญพระแก้วบุษราคัม ณ วัดศรีอุบลรัตนาราม และ จดั พิธี “สรงนาพระแกว้ บุษราคมั ” โดยมีชมุ ชนบา้ นคาปุนและกลุ่มคนรักผ้าทอ เมอื งอุบลฯ ร่วมแต่งกายผา้ ไทยในงาน ๒๓๗ ภาพท่ี ๘-๔๒, ๘-๔๓, ๘-๔๔ นิตยสารคดิ ฮอด และหนังสอื พมิ พ์ไทยโพสท์ เผยแพร่ประชาสมั พันธ์ การฟ้นื ฟู ผ้าเยยี รบบั ลาว ผ้าทอเมืองอุบลฯ ของคุณมชี ัย แต้สุจรยิ า แห่งบา้ นคาปุน ๒๓๘ ภาพท่ี ๘-๔๕, ๘-๔๕ เผยแพร่ภาพการแต่งกายดว้ ยผ้าทอเมอื งอุบลฯ ในFacebook สว่ นบุคคล ของคณุ อนงค์ ปลกู เจริญ และคุณบังอร สวุ รรณลีลา ทังสองเปน็ ผู้ชว่ ยอุปถัมย์ ผา้ ทอของเมืองอุบลฯ มายาวนาน ๒๓๙ ภาพที่ ๘-๔๖, ๘-๔๗ งานสกั การะท้าวคาผง จดั เรม่ิ ขบวนจาก วัดหลวง อาเภอเมือง จังหวัดอบุ ลราชธานี ๒๔๐ ภาพท่ี ๘-๔๘ งานสกั การะท้าวคาผง ที่ ดร.บาเพญ็ ณ อบุ ล (เสือพระราชทานสเี หลอื ง) ไดเ้ ป็น ผรู้ เิ ร่ิมใหภ้ าครฐั และเอกชนร่วมมือกันจดั งานขนึ ท่ีอนสุ าวรีย์ทา้ วคาผง ทงุ่ ศรเี มอื ง อาเภอเมือง จังหวดั อุบลราชธานี ๒๔๐ ภาพที่ ๘-๔๙, ๘-๕๐ การถวายขนั หมากเบ็ง เพ่ือสกั การะท้าวคาผง ณ อนุสาวรีย์ บริเวณทงุ่ ศรเี มือง อาเภอเมอื ง จังหวัดอุบลราชธานี ๒๔๑ ภาพท่ี ๘-๕๑ ผูว้ ิจยั ผ้อู านวยการ สานกั วฒั นธรรมจงั หวดั ฯ และคณะฯ มารว่ มถวายขันหมากเบง็ เพื่อสักการะทา้ วคาผง ณ อนุสาวรีย์ บรเิ วณทงุ่ ศรีเมือง จงั หวัดอบุ ลราชธานี ๒๔๒ ภาพท่ี ๘-๕๒ ผ้วู จิ ัยและทายาทเจา้ นายเมอื งอุบลฯ มารว่ มถวายขันหมากเบ็ง เพือ่ สักการะทา้ วคาผง ณ อนุสาวรยี ์ บรเิ วณท่งุ ศรเี มือง อาเภอเมือง จงั หวดั อบุ ลราชธานี ๒๔๒ ภาพท่ี ๘-๕๓, ๘-๕๔, ๘-๕๕, ๘-๕๖, ๘-๕๗, ๘-๕๘ กองทุนเครอื ข่ายแห่งบญุ หม่อมเจียงคาอนสุ รณ์ ทายาทเจ้านายเมอื งอบุ ลฯ หน่วยราชการ และเอกชน ร่วมถวายขนั หมากเบง็ เพื่อสักการะหม่อมเจียงคา ณ วดั สุทศั นาราม อาเภอเมือง จังหวดั อบุ ลราชธานี ๒๔๓ ภาพที่ ๘-๕๙, ๘-๖๐, ๘-๖๑ ขบวนการแต่งกายแบบเจ้านายเมอื งอุบลฯ โดยมหาวทิ ยาลยั อุบลราชธานี ดว้ ยการประสานงานของ อาเภอคาลา่ มุสิกา ใน งานสกั การะพระธาตุพนม จดั ขนึ ณ พระธาตุพนม จงั หวัดนครพนม ๒๔๔ ภาพที่ ๘-๖๒, ๘-๖๓ ต่าย อรทยั นอ้ งรอ้ งค่ายแกรมมโ่ี กลด์ ไดน้ าซน่ิ หวั จกดาว ตอ่ ตีนตวย เอกลักษณผ์ า้ ทอแบบเจ้านายเมอื งอุบลฯ มาน่งุ ในการรบั เสด็จสมเด็จ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ ณ วัดสุปฏั นารามวรวิหาร ๒๕๕๗ ๒๔๕ ภาพท่ี ๘-๖๔ พพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ ประจาจังหวดั อุบลราชธานี ทเี่ ป็นแหล่งเรยี นรู้ผา้ ทอเมืองอบุ ลฯ ๒๔๖ ภาพท่ี ๙-๑ ปา้ ยไวนิล โครงการมรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรม “ผ้าทอเมอื งอุบลฯ” ในการเสนอขอประกาศขึนทะเบยี นฯ ๒๔๗ ภาพท่ี ๙-๒ ภาพการเปรยี บเทยี บ มดั หมี่ค่ัน ลายปราสาทผึง ทีช่ า่ งทอประยกุ ต์มาจากรปู ทรง “ปราสาทผงึ ” ทช่ี าวเมืองอบุ ลฯ กบั หลักฐานภาพถ่ายงานบญุ นี ๒๔๘
ภาพที่ ๙-๓ ภาพรวมการจดั เวทชี มุ ชน เพ่ือสรา้ งจติ สานึกของชุมชน กลุ่มช่างทอผา้ ชาวเมืองอุบลฯ บา้ นหนองบ่อ อาเภอเมือง จังหวดั อบุ ลราชธานี มชี า่ งทอผา้ เขา้ รว่ มกจิ กรรมเวทชี มุ ชน โดยมีตวั แทน การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั และพฒั นาชมุ ชนมาร่วม กจิ กรรมด้วย ๒๕๐ ภาพที่ ๙-๔ ภาพรวมกจิ กรรมของคณะผ้วู ิจยั กับตวั แทนชา่ งทอผ้าและผ้ผู ลิตผา้ จากชุมชนตา่ งๆ จังหวดั อุบลราชธานี ร่วมกันเสวนาในกิจจกรรม “การสรา้ งสรรคค์ ณุ คา่ ผ้าทอ เมืองอุบลฯ” ที่ห้องสมดุ ประชาชนจงั หวดั อบุ ลราชธานี ๒๕๑ ภาพท่ี ๙-๕ ภาพรวมกจิ กรรมของผู้วิจัยในการร่วมจดั กิจกรรม “การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และพฒั นา ทักษะอาชีพ วัสดุทอ้ งถ่นิ และความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มคณุ คา่ ผา้ ทอเมอื งอบุ ลราชธานี” ทห่ี อ้ งสมุดประชาชน จงั หวดั อบุ ลราชธานี ๒๕๑ ภาพท่ี ๙-๖, ๙-๗ ผวู้ ิจัยและคณะ ต้อนรับหวั หน้าฝา่ ยประชาสมั พนั ธ์ กรมส่งเสริมวฒั นธรรม นาคณะส่ือมวลชน มาสารวจความพร้อมของชมุ ชนผา้ ทอเมอื งอุบลฯ ณ วัดทุง่ ศรเี มือง จังหวดั อบุ ลราชธานี ๒๕๒ ภาพท่ี ๙-๘ ผวู้ ิจยั และคณุ มีชัย แต้สจุ ริยา ในงานขนึ ทะเบยี นมรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม เมอ่ื วนั ท่ี ๙ กนั ยายน ๒๕๕๗ ณ กรมส่งเสรมิ วฒั นธรรม ๒๕๓ ภาพท่ี ๙-๙ ปลัดกระทรวงวฒั นธรรม ศาสตราจารย์ ดร. อภนิ ันท์ โปษยานนท์ เยีย่ มชมการ สาธิตผา้ ทอเมืองอุบลฯ โดยคณุ มีชยั แตส้ ุจรยิ า ให้การต้อนรับและมอบ “ผ้ากาบบัว”ซง่ึ เปน็ ตัวอยา่ งผ้าทอเมืองอุบลฯใหแ้ ก่ท่านปลดั กระทรวงฯ ในโอกาสงานขึนทะเบียนมรดก ภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม เม่ือวันที่ ๙ กนั ยายน ๒๕๕๗ ณ กรมส่งเสริมวฒั นธรรม ๒๕๔ ภาพที่ ๙-๑๐ ปลดั กระทรวงวฒั นธรรม ศาสตราจารย์ ดร. อภนิ ันท์ โปษยานนท์ มอบใบประกาศ ขึนทะเบยี นมรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรมผ้าทอเมืองอบุ ลฯ ให้แก่คุณมชี ัย แต้สจุ ริยา ตวั แทนชมุ ชน ๒๕๔ ภาพท่ี ๙-๑๑ คณะตัวแทนชมุ ชนผ้าทอเมืองอบุ ลฯ และผูว้ จิ ยั ในงานขึนทะเบียนมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรม ณ ศูนยว์ ฒั นธรรมแห่งประเทศไทย ในวันท่ี ๙ กนั ยายน ๒๕๕๗ ๒๕๕ ภาพที่ ๙-๑๒ คุณมีชยั แต้สุจริยา สาธติ ภมู ปิ ญั ญาผา้ ทอเมืองอบุ ลฯ ในงานขึนทะเบยี นมรดก ภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม เม่ือวันท่ี ๙ กนั ยายน ๒๕๕๗ ณ กรมส่งเสริมวฒั นธรรม ๒๕๕ ภาพท่ี ๙-๑๓ ตวั แทนชมุ ชน (นางอมรา กุก่อง นางขนิษฐา ลาพรหมมา และนางอุษา ศิลาโชต)ิ รับมอบใบประกาศขึนทะเบยี นมรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม “ผา้ ทอเมอื งอบุ ลฯ” จากกรมสง่ เสริมวฒั นธรรม ผ่านวฒั นธรรมจังหวัดอบุ ลราชธานี ๒๕๖ ภาพที่ ๙-๑๔ ภาพรวมพธิ มี อบใบขนึ ทะเบียนมรดกภูมิปญั ญาทางวฒั นธรรม ผา้ ทอเมืองอบุ ลฯ จากกรมสง่ เสริมวัฒนธรรม ผ่านวัฒนธรรมจงั หวดั อบุ ลราชธานี โดยมเี ครือขา่ ยคนรัก ผา้ เมอื งอบุ ลฯ มาร่วมแสดงความยนิ ดี อาทิ นายมชี ัย แต้สุจริยา ผศ.ร.อ. วราวธุ ผลานันต์ ผศ. กาญจนา ชนิ นาค ผศ. ดร. สุปยิ า ทาปทา รว่ มกบั ชมุ ชนและผวู้ จิ ัย ๒๕๖ ภาพท่ี ๙-๑๕ คณะผู้วิจยั และชุมชน บ้านคาปุน อาเภอวารนิ ชาราบ จงั หวดั อุบลราชธานี ผู้สบื ทอดมรดก ภูมิปญั ญาผ้าทอเมืองอบุ ลฯ และผ้าแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ ที่ร่วมกนั เสนอขอขนึ ทะเบียน Intangible Cultural Heritage ๒๕๗
ภาพท่ี ๙-๑๖ คณะผวู้ ิจยั และชมุ ชน บ้านหนองบ่อ อาเภอเมอื ง จังหวัดอุบลราชธานี ผสู้ ืบทอดมรดก ภมู ิปัญญาผ้าทอเมืองอบุ ลฯ และผ้าแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ ทร่ี ่วมกนั เสนอขอขึนทะเบียน Intangible Cultural Heritage ๒๕๗ ภาพท่ี ๑๐-๑, ๑๐-๒ กิจกรรม การมีสว่ นรว่ ม เปิดเวทีชุมชน การเตรยี มขนึ ทะเบยี นมรดกภูมิปัญญา ทางวฒั นธรรม ผา้ ทอเมืองอุบลฯ ณ บา้ นหนองบ่อ อาเภอเมือง จงั หวดั อุบลราชธานี กับช่างทอผา้ ๒๕๘ ภาพที่ ๑๐-๓ นางประคอง บญุ ขจร ผศ.กาญจนา ชินนาค (ขวา) และนางอษุ า ศลิ าโชติ (ซา้ ย) ยืนข้างผ้วู ิจัย ในกิจกรรม การประชุมกลมุ่ ย่อย เวทีชุมชน ผา้ ทอแบบเจา้ นายเมืองอุบลฯ ทบี่ รู ณาการกบั งานวิจัยของ ผศ.ดร.สปุ ิยา ทาปทา ๒๖๐ ภาพท่ี ๑๐-๔ กจิ กรรม สมั ภาษณ์เจาะลึก ดร. บาเพญ็ ณ อบุ ล ผา้ ทอแบบเจา้ นายเมอื งอุบลฯ ๒๖๑ ภาพท่ี ๑๐-๕ กิจกรรม สมั ภาษณ์เจาะลึกรายบคุ คล หม่อมหลวง ภูมใิ จ ชมุ พล ทายาทสายหม่อมบุญยืน ชมุ พล ณ อยุธยา ๒๖๒ ภาพท่ี ๑๐-๖ กจิ กรรม สมั ภาษณ์เจาะลึกรายบุคคล นายมชี ยั แต้สจุ ริยา ผ้สู ืบสานผ้าทอแบบเจ้านายเมืองอบุ ลฯ ๒๖๒ ภาพที่ ๑๐-๗ กิจกรรม สัมภาษณเ์ จาะลึกรายบคุ คล นายบุญชัย ทองเจรญิ บวั งาม ผา้ ทอแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ ๒๖๒ ภาพท่ี ๑๐-๘ กิจกรรม สมั ภาษณเ์ จาะลึกรายบุคคล นางผลา ณ อบุ ล และทายาท สายหมอ่ มเจยี งคา ชมุ พล ณ อยุธยา ๒๖๓ ภาพที่ ๑๐-๙ กิจกรรม สมั ภาษณเ์ จาะลึกรายบุคคล นางขนิษฐา ลาพรหมมา บ้านบอน อาเภอสาโรง จังหวัดอบุ ลราชธานี ๒๖๓ ภาพที่ ๑๐-๑๐ กจิ กรรม สัมภาษณเ์ จาะลึกรายบุคคล นางอมั รา กุก่อง บ้านลาดสมดี อาเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี ๒๖๓ ภาพที่ ๑๐-๑๑ กจิ กรรม สมั ภาษณ์เจาะลึกรายบุคคล นางเตือนใจ แก้ววงศา บ้านปะอาว จงั หวัดอุบลราชธานี ๒๖๔ ภาพท่ี ๑๐-๑๒ ภาพที่ ๑๐-๑๓ กิจกรรม สร้างแกนนาเยาวชน ผ้าทอเมอื งอุบลฯ โดยอดตี ผู้ว่า ราชการจังหวดั อุบลราชธานี และ นายกองค์การบริหารส่วนตาบล อดตี รอง อธิการบดี มหาวิทยาลยั อุบลราชธานี มารว่ มชว่ ยประสานงาน ๒๖๖ ภาพที่ ๑๐-๑๔ กิจกรรม สรา้ งแกนนาเยาวชน ออกแบบผา้ ทอแบบเจ้านายเมอื งอบุ ลฯ ณ พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ จังหวีดอุบลราชธานี ๒๖๗ ภาพที่ ๑๐-๑๕ กจิ กรรม สรา้ งแกนนาเยาวชน ออกแบบผา้ ทอแบบเจา้ นายเมอื งอุบลฯ ภาพที่ ๑๐-๑๖ กิจกรรม สร้างแกนนาเยาวชน ออกแบบผา้ ทอแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ ๒๖๗ ณ หอ้ งสมดุ ประชาชน จังหวดั อบุ ลราชธานี ภาพที่ ๑๐-๑๗ กิจกรรม สร้างแกนนาเยาวชน ออกแบบผา้ ทอแบบเจ้านายเมอื งอบุ ลฯ ๒๖๗ ภาพที่ ๑๐-๑๘ กิจกรรม คนื ข้อมลู เวทชี มุ ชน ผ้าทอแบบเจ้านายเมืองอบุ ลฯ ๒๖๘ ภาพที่ ๑๐-๑๙ กิจกรรม คนื ข้อมูลเวทชี มุ ชน ผ้าทอแบบเจา้ นายเมืองอบุ ลฯ ๒๖๙ ภาพท่ี ๑๐-๒๐ กิจกรรม คนื ข้อมลู เวทชี ุมชน ผา้ ทอแบบเจา้ นายเมืองอบุ ลฯ ๒๖๙ ภาพที่ ๑๐-๒๑ กิจกรรม สงั เกตการทอผา้ และออกแบบลายผ้ากบั ชา่ งทอผ้าอาวโุ ส ณ บา้ นหนองบ่อ ๒๗๐
ภาพที่ ๑๐-๒๒ กิจกรรม สงั เกตการทอผ้าและออกแบบลายผ้า ผา้ ทอแบบเจา้ นายเมอื งอุบลฯ นางอษุ า ศิลาโชติ นาชมและสาธิตภูมิปัญญาการทอผา้ ๒๗๐ ภาพที่ ๑๐-๒๓ กจิ กรรม ตดิ ตามความพร้อมในการขอขนึ ทะเบียน Intangible Cultural Heritage ผ้าทอเมืองอุบลฯ ณ บา้ นหนองบอ่ โดยมี อาจารย์สดุ สวาท สงปรีดา มารว่ มสงั เกตการณ์ และช่วยตอ้ นรบั ส่อื มวลชน ๒๗๑ ภาพที่ ๑๐-๒๔ กจิ กรรม ตดิ ตามความพร้อมในการขอขนึ ทะเบียน Intangible Cultural Heritage ผา้ ทอเมืองอุบลฯ ณ บ้านคาปุน โดยนายมชี ยั แต้สุจริยาและคณะช่างทอผา้ ไดช้ ว่ ย ตอ้ นรบั และให้สัมภาษณส์ ่ือมวลชน ขอ้ มูลการออกแบบผา้ ทอและภูมปิ ญั ญาในการ ทอผา้ ทบ่ี า้ นคาปุน ไดม้ ีการฟื้นฟู ทงั ผา้ ซ่นิ ทวิ มุกจกดาว และผา้ เยยี รบบั ลาว ๒๗๒ ภาพที่ ๑๐-๒๕ กิจกรรม เวทีเครือข่าย ด้วยกิจกรรมสมั มนา “การสรา้ งสรรคค์ ณุ คา่ ผา้ ทอเมืองอุบลฯ” ๒๗๓ ภาพที่ ๑๐-๒๖ กิจกรรม เวทเี ครือข่าย ด้วยกิจกรรมสมั มนา ผู้วจิ ยั นางอุษา ศิลาโชติ และ นางประคอง บญุ ขจร ๒๗๓ ภาพที่ ๑๐-๒๗ ขา่ วหนังสือพิมพ์ไทยรฐั การเตรยี มความพรอ้ มของชุมชนผู้สบื ทอดผา้ ทอเมืองอบุ ลฯ ๒๗๔
๑ บทท่ี ๑ บทนำ ๑.๑ หลกั กำรและเหตผุ ล ประเทศไทยประกอบด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมของภูมิปัญญาการทอผ้าและการ ออกแบบลวดลายผ้า ผ้าทอมือนับเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและหลักฐานแสดงถงึ ภูมิปญั ญาข้ันพ้ืนฐาน ที่สาคัญของอารยธรรมมนุษยชาติ ผ้าทอมือเป็นสื่อกลางของแบบแผนประเพณีและสัญลักษณ์ของ เผา่ พนั ธ์ุ เปน็ วัตถุอยู่กบั มนุษย์ตง้ั แต่เกิดจนตาย ซ่ึงกระบวนการผลิตผ้าทอมือน้ันแฝงไวด้ ้วยภมู ิปญั ญา และสร้างความภาคภมู ใิ จให้ชุมชน สาหรับประเทศไทย “ผ้าทอมือ” ยังคงเป็นส่วนหน่ึงของวิถีชีวิตตามรูปแบบวัฒนธรรมท่ีมี หลักฐานของการสืบทอดมาถึงปัจจุบัน การผลิตผ้าทอมือส่วนใหญ่ยังคงอยู่และสืบสานกันในรูปของ งานหัตถกรรมครอบครัว ซึ่งนับเป็นการใช้ทุนทางวัฒนธรรมในรูปแบบของ “มรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรม” (Intangible Cultural Heritage) อาทิ ภูมิปัญญาในการเลี้ยงไหม การสาวไหม การย้อม สีธรรมชาติ ทักษะวิธีการใช้อุปกรณ์ทอผ้า ทักษะการทอผ้า การออกแบบลวดลายท่ีมีสัญลักษณ์ เฉพาะชุมชน การใช้เทคนิควิธีการสร้างลวดลายผ้าทั้งก่อนทอและในขณะท่ีทอผ้า เป็นตน้ ในปัจจุบัน คาดว่าน่าจะมีชา่ งทอผ้าในชนบทหลายพันคน ที่สืบทอดมรดกภูมิปัญญาผ้าทอมืออันหลากหลายตาม ลกั ษณะวฒั นธรรมของแตล่ ะทอ้ งถ่ิน มรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรมเป็นสิง่ ท่ีชุมชนเจ้าของวัฒนธรรมต้องยอมรับว่าเป็นมรดกของ ตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมชนพ้ืนเมืองดั้งเดิม กลุ่มชน และปัจเจกชน ที่มีบทบาทสาคัญในการผลิต สงวนรักษา ธารงไว้ และสรา้ งสรรคใ์ หม่ซึ่งมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม การทอผา้ และการออกแบบ ลวดลายผ้าทอเมืองอุบลฯ ท่ีมีเอกลักษณ์เด่นชัดด้วยรูปแบบผ้าทอตามแบบของเจ้านายเมืองอุบลฯ นับเป็นภูมิปัญญาท่ีชุมชนชาวเมืองอุบลฯ ได้สืบทอดและผู้ถือครอง ได้มีเจตนาในการจะขอข้ึน ทะเบยี นเพอื่ การปกป้องคมุ้ ครองมรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม เมืองอุบลฯ ได้รับการสถาปนาเป็นเมืองในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ นับเป็นเมืองสาคัญชายแดนเขต จาปาศักด์ิท่ีราชสานักธนบุรีและรัตนโกสนิ ทร์ให้ความสาคัญหลายด้าน ประกอบกับกลุ่มเจา้ นายเมือง อุบลฯเองก็มีความสัมพันธก์ ันทางเครือญาตกิ ับเจ้านายในราชสานกั จาปาศักดอ์ิ ยา่ งแน่นแฟ้น โดยการ แตง่ งาน เจ้าเมอื งอบุ ลฯ คนแรกได้เจ้าคาโชน หลานเจ้าผู้ครองนครจาปาศักด์ิ มาเป็นชายา และต่อมา ก็มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติ กับกลุ่มเจ้านายระดับข้าหลวงต่างพระองค์จากราชสานักสยาม จึงทา ให้คนในกลุ่มเจ้านายเมืองอุบลฯ ฯ มีความภูมิใจท่ีจะรักษาสถานภาพไว้โดยเฉพาะ เพ่ือให้มองเห็นได้ ถึงความแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไป ซึ่งเห็นได้จากเสื้อผ้า การแต่งกาย (สุนัย ณ อุบลและคณะ, ๒๕๕๑) “เมอื งอุบลฯ” ในอดีตน้นั คือพ้ืนท่ีปจั จุบันของจังหวัดอบุ ลราชธานี จงั หวดั ยโสธร และจงั หวัด อานาจเจริญ เมืองอุบลฯ มีช่ือเสียงมานานด้านการทอผ้า ดังปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชหัตถเลขา ชมเชยความงดงามของผ้าเยียรบับลาว จากเมืองอุบลฯ ที่ส่งมาทูลเกล้า ฯ ถวายผ่านกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์
๒ ผู้สาเร็จราชการมณฑลอีสานในขณะนั้น ซึ่งปรากฏในพระราชหัตถเลขาตอบเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ร.ศ.114 ทห่ี อจดหมายเหตแุ ห่งชาติ ความว่า ภาพท่ี ๑-๑: พระราชหตั ถเลขาในรัชกาลที่ ๕, ภาพที่ ๑-๒: รัชกาลท่ี ๕ ทรงพระอกั ษร, ทีม่ าภาพ: หอจดหมายเหตุ ท่มี าภาพ: คลังสะสมของผู้วจิ ัย สิทธิชยั สมานชาติ จากหลกั ฐานพระราชหัตถเลขา สามารถถอดความ ตามตวั อักษรได้ดงั น้ี \"ถงึ สรรพสิทธิ ดว้ ยได้รบั หนงั สือลงวนั ที่ 13 มกราคม สง่ ผา้ เยยี รบบั ลาวมาใหน้ ้ันได้รบั แลว้ ผา้ นีท้ อดีมากเชยี งใหมส่ ู้ไม่ไดเ้ ลย ถา้ จะยุให้ทามาขายคงจะมผี ซู้ ือ้ ฉนั จะรบั เป็นนายหนา้ สว่ น ท่ีส่งมาจะให้ตัดเสอ้ื ถา้ มีเวลาจะถา่ ยรูปให้ดู แต่อยา่ ต้งั ใจคอยเพราะจะถา่ ยเมื่อใดบอกไม่ได้ จุฬาลงกรณ์ ปร. จากข้อความในพระราชหัตถเลขาได้แสดงถึงการไดร้ บั เกียรติอย่างสูงจากราชสานกั สยามทย่ี ก ย่องฝีมือการทอผ้าของชาวเมืองอุบลฯ ถือเป็นความภูมิใจของชาวจังหวัดอุบลราชานี จึงได้จัดแสดง พระราชหัตถเลขานี้ ไว้ในห้องจัดแสดงผ้าทอเมืองอุบลฯ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัด อุบลราชธานีจนถงึ ทกุ วันน้ี ในส่วนหลักฐานตัวอย่างผ้าโบราณของผ้าทอแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ ส่วนใหญ่ที่สามารถ สารวจพบได้ ดร.บาเพ็ญ ณ อุบล และเครือญาตสิ ายสกุลต่างๆ ได้รวบรวมนามามอบให้จัดแสดงไว้ใน ห้องผ้าทอเมืองอุบลฯ ของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดอุบลราชธานี บางส่วนลูกหลานทายาท เจา้ นายเมอื งอบุ ลฯ และผ้สู ืบทอดภูมิปญั ญาการทอผ้า รวมทั้งผู้ถือครอง ไดเ้ ก็บรกั ษาผา้ โบราณเหล่าน้ี เป็นอย่างดดี ้วยตระหนกั วา่ เป็นมรดกสง่ิ ทอทลี่ า้ คา่
๓ ส่วนของผู้สืบทอดการทอผ้าในปัจจุบันน้ัน ชุมชนหลักคือ บ้านคาปุน อาเภอวารินชาราบ ที่ พยายามฟื้นฟูผ้าทอโบราณคือผ้าเยียรบับลาว ผ้าซ่ินทิวมุกจกดาว ตามแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ ที่ พ ย า ย าม ย ก ร ะ ดั บ คุ ณ ภ า พ ผ้ า จ น ดี เลิ ศ ส ม ดั ง ที่ ผ้ า ท อ เมื อ งอุ บ ล ฯ ได้ เค ย ได้ รั บ ค า ช ม ไว้ ใน พ ร ะ ราชหัตถเลขา ชุมชนบ้านหนองบอ่ และชมุ ชนบา้ นปะอาว อาเภอเมือง เป็นชมุ ชนท่ีตง้ั อย่ใู นภมู ศิ าสตร์ ของศูนย์กลางชุมชนด้ังเดิมของเมืองอุบลฯ ในอดีต จึงมีการสืบทอดมรดกภูมิปัญญาผ้าทอเอกลักษณ์ ด้ังเดิมของเมืองอุบลฯ อาทิ ซ่ินหม่ีลายปราสาทผ้ึง หัวซิ่นจกดาว ผ้าแพรขิด ผ้าแพรไส้ปลาไหล ส่วน ชุมชนบ้านลาดสมดี อาเภอตระการพืชผล และชุมชนบ้านบอน อาเภอสาโรง จังหวัดอุบลราชธานี เป็นชุมชนท่ีสืบทอดการทอผ้าซิ่นแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ โดยเฉพาะ ผ้าซ่ินตีนตวย ผ้าซิ่นทิวมุก ผ้าซิ่นทิว โดยมีชุมชนทอผ้าอีกหลายชุมชนที่ยังคงร่วมสืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมแบบ พน้ื บา้ นไวไ้ ดอ้ กี หลายชมุ ชน นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือจากทางวัดและพระภิกษุสงฆ์ ในการอนุรักษ์ผ้าโบราณของเมือง อุบลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมรดกตกทอดมาในรปู แบบของ “ผ้าห่อคัมภีร์” ได้แก่ วดั ศรอี ุบลรัตนาราม วัด บ้านปะอาว ซ่ึงได้จัดแสดงผ้าโบราณเหล่าน้ีในอาคารพิพิธภัณฑ์ของวัด ส่วนมรดกผ้าโบราณของวัด เลยี บ นนั้ ไดจ้ ดั อนรุ ักษไ์ วใ้ นตเู้ กบ็ รักษาคัมภรี ์โบราณ ในส่วนเอกสารงานวิชาการเร่ืองเก่ียวกับผ้าทอเมืองอุบลฯ ท่ีมีอยู่ก่อนแล้วนั้นก็ได้นามาช่วย สนบั สนุน โดยส่วนข้อมูลผ้าแตล่ ะชนิดจาเปน็ จะต้องมีการค้นควา้ วเิ คราะห์หลักฐานผ้าโบราณเพม่ิ เติม ทั้งในด้านสัญลักษณ์ของลวดลายผ้า เทคนิควิธีการทอ สถานภาพผู้ใช้ผ้าในอดีต การรับและการส่ง อิทธิพลของลวดลายผ้าท่ีเป็นมรดกสิ่งทอทางวัฒนธรรมน้ีอย่างละเอียด รวมทั้งการรวบรวมรายชื่อ ชา่ งฝีมอื ทเ่ี ชยี่ วชาญงานดา้ นตา่ งๆ อีกดว้ ย ดังน้ันการจัดเวทีอย่างมีส่วนร่วม ในการรวบรวมภูมิปัญญาการทอผ้าและการออกแบบ ลวดลายผ้า ร่วมกับชุมชนผู้ถือครองและสืบทอดการทอผ้าเมืองอุบลฯ หรือผ้าทอตามแบบผ้าเจ้านาย เมอื งอุบลฯ น้ันนอกจากจะไดข้ ้อมูลผ้าในดา้ นต่างๆแล้ว กย็ งั จะเป็นการช่วยกระตุน้ ใหเ้ กดิ ความเข้าใจ ต่อการขึ้นทะเบียนเพ่ือปกป้องและคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ท่ีตนเองได้สืบทอดสงวน รักษาไว้ต่อจากบรรพบุรุษที่ได้วางรากฐานทางวัฒนธรรมของชาวเมืองอุบลฯ ทาให้เกิดความสุขและ ความภาคภูมิใจในวิถีชีวิตของตน ท้ังชุมชนช่างทอผ้า นักออกแบบลายผา้ กลุ่มผู้ใช้ผ้า กลุ่มผู้ถือครอง ผ้า กลุม่ ทายาทสกุลต่างๆ ท่ีสืบเช้ือสายจากเจา้ นายเมืองอบุ ลฯ ซงึ่ เป็นจดุ เชอื่ มในการเรียนรแู้ ละรักษา ภมู ิปัญญาไว้ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลก เพือ่ เป็นการเตรยี มความพร้อมในการขอขึ้นทะเบียนเพ่ือ ปกป้องและคุม้ ครองมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม (Intangible Cultural Heritage) ๑.๒ โจทยว์ ิจยั (๑) จะมีวิธีการ/กระบวนการอย่างไร เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่ตรงกับข้อเท็จจริงเก่ียวกับภูมิ ปัญญาการทอผ้าและลวดลายผ้าทอเมืองอุบลฯ อะไรคือแก่น อะไรคอื เปลือก อะไรคือปัจจัยเกี่ยวข้อง โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน เพ่ือท่ีจะนามาใช้ประโยชน์ในการปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทาง วฒั นธรรม
๔ (๒) จะมีวิธีการ/กระบวนการอยา่ งไร ในการกระตุ้นสานึกของเจา้ ของวัฒนธรรมให้มารว่ มกัน ปกป้องคุ้มครองและสืบทอดภูมิปัญญาการทอผ้าและลวดลายผ้าแบบของเจ้านายเมอื งอบุ ลฯ อนั เป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของตนเอง เพ่ือรับใช้คนในชุมชน/เจ้าของวัฒนธรรม โดยการร้ือฟ้ืน และสืบทอดนั้น จะต้องมีองค์ประกอบทั้งในส่วนที่เป็น “รูปแบบ” และ “คุณค่าและความหมาย” ของภูมิปัญญาผ้าทอเมืองอุบลฯ ที่มีเอกลักษณ์ลวดลายผ้าที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผ้าทอตามแบบ เจ้านายเมอื งอบุ ลฯ ๑.๓ วัตถุประสงค์ (กำรรวบรวมและจดั เก็บข้อมลู ) ๑. เพ่ือรวบรวมองค์ความรู้ ความเข้าใจเรื่องภูมปิ ัญญาการทอผ้าและออกแบบลวดลายผ้าทอ เมืองอุบลฯ กับชุมชนผู้สืบทอดและผู้ถือครอง ซ่ึงจะได้นาไปใช้ประกอบการขอขึ้นทะเบียนมรดกภูมิ ปญั ญาทางวัฒนธรรมของผ้าทอเมืองอุบลฯ ๒. เพื่อให้กระบวนการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลเก่ียวกับ ผ้าทอเมืองอุบลฯ ท่ีมีเอกลักษณ์ ลวดลายผ้าที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผ้าทอตามแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ ซึ่งจะช่วยกระตุ้น “ชุมชน” ชาวเมืองอุบลฯ ให้ตระหนักถึงความสาคัญของภูมิปัญญาการทอผ้า และให้เกิดจิตสานึกที่จะมีการ สรา้ งกจิ กรรม “สงวนรกั ษา” ภูมปิ ัญญาการทอผา้ ใหส้ บื ทอดต่อไปในบริบทท่เี หมาะสม ๓. เพื่อนาไปสู่การได้มาซึ่งเอกสารรายงานเพื่อท่ีจะเตรียมไว้ประกอบในการยื่นเสนอขอข้ึน ทะเบียน “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม” (Intangible Cultural Heritage) ของผ้าทอเมืองอุบลฯ ท้งั ในระดับประเทศไทยและของโลก ๑.๔ ขอบเขต/วิธกี ำรดำเนนิ กำรรวบรวมและจัดเก็บข้อมลู ทีมวิจัยได้กาหนดขอบเขต/วิธีการดาเนนิ การรวบรวมและจัดเกบ็ ข้อมลู เร่ืองภูมิปัญญาการทอ ผ้าและออกแบบลวดลายผา้ แบบของเจา้ นายเมืองอบุ ลฯ หรอื ผา้ ทอเมืองอบุ ลฯ ไวด้ งั นี้ (๑ ) ขอบ เขตพ้ื นท่ี โครงการจะดาเนิ นกิจกรรม ใน พื้น ที่ ๑ จังห วัด ในเขตภ าค ตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศไทย คอื จังหวัดอุบลราชธานี เพราะเป็นจังหวัดท่ีพ้ืนที่มีชุมชน/ หมู่บ้าน ที่เดิมข้ึนอยู่กับเจ้านายเมืองอุบลฯ โดยเฉพาะจังหวัดอุบลราชธานียังคงสามารถสืบทอดภูมิ ปัญญาผ้าทอเมืองอุบลฯ ท่ีมีเอกลักษณ์ลวดลายผ้าที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผ้าทอตามแบบเจ้านายเมือง อุบลฯไว้ได้ โดยในพื้นที่ยังมีปราชญ์ชาวบ้านท่ีมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการทอผ้าและออกแบบ ลวดลายผา้ แบบของเจ้านายเมืองอบุ ลฯ และคณะวิจัยมีเครือข่ายกับกลุ่มชุมชนผู้สืบทอดและถือ ครองภมู ิปญั ญาในพ้ืนท่ี (๒) แผนกจิ กรรมและวิธกี ารดาเนนิ การรวบรวมและจัดเกบ็ ข้อมูล ระยะเวลา (เดือนธนั วาคม ๒๕๕๖…ถึง พฤศจิกายน ๒๕๕๗..) กจิ กรรม/ข้ันตอนกำรดำเนินงำน ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒
๕ ๑. - การประชุมเชิงปฏิบัติการ ทมี วิจัย - ก า ร ป ร ะ ส า น ง า น กั บ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทาให้ ได้ ข้ อ มู ล จ า ก ป ร า ช ญ์ ช า ว บ้ า น ที่ มี ค ว า ม รู้ ค ว า ม เข้าใจในเร่ือง ผ้าทอเมือง อบุ ลฯ - ลงพ้ืนที่จัดเวทีกลุ่มย่อย เพื่อให้ได้ความรู้ความเข้าใจ ในเร่อื งผ้าทอเมอื งอบุ ลฯ ๒. - ลงพื้นที่จัดเวทีกลุ่มย่อย เพ่ือให้ได้ความรู้ความเข้าใจ ในเรอื่ งผ้าทอเมอื งอุบลฯ - ลงพ้ืนที่สัมภาษณ์เจาะลึก เป็ น ร า ย บุ ค ค ล เพ่ื อ ใ ห้ ไ ด้ ข้อมูลความรู้ความเข้าใจ ระดับลึกเพ่ิมขึ้นเร่ืองผ้าทอ เมืองอุบลฯ ๓. - ลงพ้ืนท่ีจัดเวทีคืนข้อมูล ให้ แ ก่ ชุ ม ช น โด ย มี ก าร แลกเปล่ียน และตรวจสอบ ข้อมูลความรู้เพ่ิมข้ึนเร่ืองผ้า ทอเมืองอุบลฯ และได้แนวทางการสืบทอด การทอผ้าและการออกแบบ ลวดลายผ้าแบบ ของผ้า เจ้านายเมอื งอบุ ลฯ ๔. -เขยี นรายงานวิจัยฉบบั สมบูรณ์ -ภาพนงิ่ และ ภาพเคลือ่ นไหว และ เทปเสยี งสัมภาษณ์ ***แผนงานอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตปุ ัจจยั ที่เกย่ี วขอ้ ง แต่ตอ้ งครบกระบวนการ
๖ ๑.๕ เป้ำหมำยและผไู้ ด้รบั ประโยชน์จำกผลงำน -กลุ่มชาวเมืองอุบลฯ ท่ีเป็นเจ้าของวัฒนธรรมเกิดความภาคภูมิใจที่ประเทศไทยให้ ความสาคัญกับผ้าทอเมืองอบุ ลฯและออกแบบลวดลายผา้ แบบของเจ้านายเมืองอบุ ลฯ เกิดการยอมรับ ในวฒั นธรรมของชมุ ชน ชว่ ยทาให้เกดิ ความรกั และภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเอง ในขณะเดียวกัน กเ็ ปน็ การอนุรกั ษ์และสบื สานวัฒนธรรมไทย -กลุ่มชาวเมืองอุบลฯ ท่ีเป็นเจ้าของวัฒนธรรมเกดิ ความภูมิใจในการสบื ทอด มรดกภมู ิปัญญา ทางวัฒนธรรมผ้าทอเมืองอุบลฯ และออกแบบลวดลายผ้าแบบของเจ้านายเมืองอุบลฯ ซึ่งในการสืบ ทอดจะครบเครื่องเรื่องสืบทอด ในการสืบทอดจะต้องมีองคป์ ระกอบทั้งในส่วนที่เป็น “รูปแบบ” และ “คณุ ค่าและความหมาย” ของการทอผ้าและออกแบบลวดลายผ้าแบบของเจ้านายเมืองอุบลฯ ซ่ึงใน การน้ี สามารถใชก้ ระบวนการเดียวกันในการฟนื้ ฟวู ัฒนธรรมอ่ืนๆ -ทีมนักวิจัย ได้เรียนรู้ท้ังในส่วนภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เช่น แนวคิดทฤษฎี “ต้นไม้แห่ง คุณค่า” และ “ตาข่ายความสัมพันธ์” ตลอดจนการจัดกระบวนการรวบรวมเก็บข้อมูลและการสืบ ทอดวัฒนธรรม ทาให้ได้รับประสบการณ์ตรง ช่วยให้เกิดความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเองและ สามารถนาความรูไ้ ปถา่ ยทอดตอ่ ได้ -ประเทศไทยมกี ารอนุรักษ์มรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรมของ “ผ้าทอเมืองอุบลฯ” ท่ีสมั พันธ์ เก่ียวข้องกับการทอผ้าและออกแบบลวดลายผ้าตามแบบของเจ้านายเมืองอุบลฯ ให้เป็นมรดกภูมิ ปญั ญาทางวฒั นธรรมของชาติ ทาให้ประเทศไทยเป็นดินแดนที่มคี วามหลากหลายทางมรดกภูมิปญั ญา ทางวฒั นธรรม นิยำมศพั ท์เฉพำะ ผ้าแบบของเจ้านายเมืองอุบลฯ = ผ้าทอเมืองอุบลฯ ที่สืบทอดลวดลายผ้าโบราณและเทคนิคการทอ ผ้าตามแบบอย่างของผา้ เจ้านายเมืองอุบลฯ ซงึ่ ปจั จุบันส่วนใหญอ่ ยใู่ นจังหวัดอบุ ลราชธานี ทุนทางวัฒนธรรม = เป็นทุนท่ีเก่ียวข้องกับคุณค่าความรู้ ภูมิปัญญาและงานสรา้ งสรรค์ท่ีเกิดจากการ คน้ พบโดยผูท้ รงความรู้ในท้องถนิ่ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม = การปฏิบัติ การเป็นตัวแทน การแสดงออก ความรู้ ทักษะ ตลอดจน เคร่อื งมือ วัตถุ สิ่งประดิษฐ์ และพื้นท่ที างวัฒนธรรมท่เี ก่ยี วเนอื่ งกบั สงิ่ เหลา่ น้ัน ซ่ึงชุมชน กลุ่มชน และ ในบางกรณีปัจเจกบุคคล ยอมรับว่าเป็นสว่ นหน่ึงของมรดกทางวัฒนธรรมของตน มรดกภูมปิ ัญญาทาง วัฒนธรรมซึ่งถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปยังคนอีกรุ่นหน่ึงน้ี เป็นสิ่งซ่ึงชุมชนและกลุ่มชนสร้างขึ้นใหม่ อย่างสม่าเสมอ เพื่อตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมของตน เป็นปฏิสมั พันธข์ องพวกเขาที่มีต่อธรรมชาติ และประวัติศาสตร์ของตน และทาให้คนเหล่าน้ันเกิดความรู้สึกมีอัตลักษณ์ และความต่อเนื่อง ดังนั้น จึงกอ่ ใหเ้ กิดความเคารพตอ่ ความหลากหลายทางวฒั นธรรม และการคิดสรา้ งสรรค์ของมนุษย์
๗ บทท่ี ๒ แนวคดิ ทฤษฎีและงานวจิ ัยท่ีเกี่ยวข้อง มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเป็นส่ิงท่ีจะต้องได้รับการยอมรับร่วมกับชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชุมชนพื้นเมืองด้ังเดิม กลุ่มชน และปัจเจกชน ท่ีมีบทบาทสาคัญในการผลิต สงวนรักษา ธารงไว้ และ สร้างสรรค์ใหม่ซ่ึงมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมผ้าทอเมืองอุบลฯ ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยมี ความสัมพันธ์ทางศิลปะกับการทอผ้าและการออกแบบลวดลายแบบผ้าของเจ้านายเมืองอุบลฯ ในภาค อสี านหรอื ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื เปน็ ภูมิปัญญาที่ชุมชนท่ีมคี วามตอ้ งการจะขึ้นทะเบียนเพ่อื การปกป้อง ค้มุ ครองมรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม โครงการวิจัยเรื่อง “การทอผ้าและลวดลายผ้าแบบของเจ้านายเมืองอุบล” เพ่ือจัดทาฐานข้อมูล มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (Intangible Cultural Heritage) “ผ้าทอเมืองอุบลฯ”โดยการมีส่วนร่วม ของชุมชน ทเ่ี ป็นผู้สืบทอดภูมปิ ัญญาการทอผ้า และผู้ถอื ครองมรดกภมู ิปัญญาการทอผ้า ท่ีมีความประสงค์ จะขอข้ึนทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (Intangible Cultural Heritage) โดยมีการศึกษาภูมิ ปัญญาการทอผ้าและการออกแบบผ้าแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ ท่ีครอบคลุมเนื้อหาตั้งแต่ภูมิปัญญาในการ ผลิตเส้นใย การย้อมสีธรรมชาติ เทคนิคกระบวนการทอผ้า การออกแบบลวดลายผ้า วิเคราะห์ต้นกาเนิด ลวดลายและความสัมพันธ์ที่มาของลักษณะลวดลายผ้า ท่ีอาจเป็นสิ่งแสดงความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ระหวา่ งชนเผ่าอ่ืนๆกับวัฒนธรรมของเจ้านายเมืองอุบลฯ ตลอดจนประวัติการต้ังถ่ินฐานของเจ้านายเมือง อบุ ลฯ ภูมิหลังของพื้นท่ีเมืองอุบลฯ อันจะเป็นสิ่งอธบิ ายเหตุผลของความสัมพันธ์ของผ้าเจ้านายเมืองอุบล ฯ กับผ้าด้ังเดิมของชนเผ่าด้ังเดิมในพืน้ ที่ นอกจากนีย้ ังศกึ ษาในเร่อื งของการมีส่วนร่วมของชมุ ชน เนอ่ื งจาก หลักการขอข้ึนทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของ UNESCO จาเป็นจะต้องให้ชุมชนผู้สืบทอด มรดกทางภูมิปัญญาเป็นผู้มีส่วนร่วมในการย่ืนเสนอขอขึ้นทะเบียน ผู้วิจัยและคณะได้ทบทวนแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวข้อง สามารถจัดหมวดไดเ้ ป็น ๓ หมวดโดยมรี ายละเอยี ดดงั น้ี ๑) ทฤษฎกี ารมีสว่ นร่วมของชมุ ชน และมรดกภมู ิปัญญาทางวฒั นธรรม ๒) เอกสารท่ีเกย่ี วข้องโดยตรงกบั ผา้ เจา้ นายเมืองอบุ ลฯ ๓) งานวจิ ยั ที่เกยี่ วขอ้ งกบั การทอผา้ และลวดลายผา้ ทอ ๒.๑) ทฤษฎีการมีสว่ นรว่ มของชุมชน และมรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม กอ่ นทผ่ี า้ จะเป็นผลติ ภัณฑอ์ ุตสาหกรรม ผา้ น้ันจัดเป็นมรดกทางวฒั นธรรม โดยมีหลักฐานแสดงถึง ภูมิปัญญาขั้นพ้ืนฐานท่ีสาคัญของอารยธรรมมนุษยชาติ ผ้าเป็นส่ือกลางของแบบแผนประเพณีและ สญั ลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ เป็นวัตถุอยู่กบั มนุษย์มาตง้ั แต่เกิดจนตาย นับเป็นหน่งึ ในปัจจยั ส่ีมาจนตราบเท่าทุก วนั นี้ สาหรับประเทศไทย “ผ้า” ยังคงเป็นสัญลักษณ์ท่ีมีหลักฐานและการทาสืบทอดถึงปัจจุบัน การ ผลิตส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในรูปของงานหัตถกรรมซ่ึงจัดเป็นทุนทางวัฒนธรรม ปัจจุบันคาดว่ามีช่างทอผ้าใน ชนบทจานวนหลายแสนคน และมีลายผ้าหลากหลายตามลักษณะวัฒนธรรมของแต่ละท้องถ่ิน (สุรศักด์ิ รอดเพราะบุญ, ๒๕๔๗)
๘ สาวิตรี สุวรรณสถิตย์ (๒๕๕๔) เผยแพร่เอกสารการประชุมเชิงปฏิบัติการ เนื่องในการเตรียมเข้า ร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ เรื่อง“ความเป็นมาของ อนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้” ช่วยให้ตระหนักและเข้าใจว่า มรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่จะต้องให้การมีส่วนร่วมยอมรับจากชุมชน โดยเฉพาะอย่างย่ิงชุมชน พ้ืนเมืองด้ังเดิม กลุ่มชน และปัจเจกชน ท่ีมีบทบาทสาคัญในการผลิต สงวนรักษา ธารงไว้ และสร้างสรรค์ ใหม่ซึ่งมรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม ตามอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พ.ศ. ๒๕๔๖ นิยามคาว่า \"มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้\" หมายถึง การปฏิบัติ การเป็นตัวแทน การแสดงออก ความรู้ ทักษะ ตลอดจนเครื่องมือ วัตถุ สิ่งประดิษฐ์ และพื้นท่ีทางวัฒนธรรมอันเป็นผลจากส่ิงเหล่าน้ัน ซ่ึงชุมชน กลุ่มชน และในบางกรณีปัจเจกบุคคลยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรมของตน มรดกทางวัฒนธรรม ท่ีจับตอ้ งไมไ่ ด้นี้ ถา่ ยทอดจากคนรุน่ หนงึ่ ไปยังคนอีกร่นุ หนึ่ง เป็นส่ิงซ่ึงชุมชนและกลุ่มชนสร้างข้นึ ใหม่อย่าง สม่าเสมอเพ่ือตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมของตน เป็นปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาท่ีมีต่อธรรมชาติและ ประวตั ิศาสตร์ของตน และทาให้คนเหลา่ นั้นเกดิ ความร้สู ึกมอี ัตลักษณแ์ ละความตอ่ เนื่อง ดังนั้นจึงก่อให้เกิด ความเคารพต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ เพ่ือให้เป็นไปตาม จุดประสงค์ของอนุสัญญาฉบับน้ี จะมีการพิจารณาเฉพาะมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ เท่าท่ี สอดคล้องกับบทบัญญัติท่ีมีอยูด่ ้านสิทธิมนุษยชนระหวา่ งประเทศเท่าน้ัน รวมท้งั ขอ้ กาหนดให้มกี ารเคารพ ซึ่งกนั และกันระหวา่ งชมุ ชนท้ังหลาย กลุ่มชน และปัจเจกบคุ คล และต่อการพฒั นาท่ียั่งยืน ก่อนท่ีจะมีอนุสัญญาของยูเนสโก ประเทศต่างๆ ไดพ้ ยายามสงวนรกั ษามรดกทางวัฒนธรรมให้คง อยู่ได้ ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกในโลกท่ีออกกฎหมายคุ้มครองสมบัติทางวัฒนธรรมเม่ือ พ.ศ. ๒๔๙๓ โดย คุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมท้ังประเภทที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ประเทศอื่นๆ อาทิ เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา ไทย ฝรัง่ เศส โรมาเนีย สาธารณรัฐเช็ก และโปแลนด์ต่างก็มีโครงการคล้ายกันใน เวลาต่อมา อนุสัญญาที่ยูเนสโกประกาศใน พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้เป็นผลเมื่อวันท่ี ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยกาหนดให้แต่ละประเทศท่ีเป็นภาคีได้จดั ทารายช่ือมรดกทางวัฒนธรรมท่ีจับต้องไมไ่ ด้ และดาเนินการ เพื่อให้มรดกทางวัฒนธรรมท่ีจับต้องไม่ได้ สามารถดารงสืบทอดอยู่ต่อไปในประเทศได้ นอกจากน้ียังเปิด ช่องให้ระดมเงินบริจาคระหว่างประเทศสมาชิกยูเนสโกมาใช้เพื่อการทานุบารุงมรดกทางวัฒนธรรมท่ีจับ ต้องไม่ได้ ท่ีขึ้นทะเบียนแล้วอกี ด้วย (Richard Kurin, ๒๐๐๔) กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้ดาเนินการศึกษาค้นคว้า อนุรักษ์ ส่งเสริม เผยแพร่ ฟื้นฟู และพัฒนาวัฒนธรรม โดยเฉพาะวัฒนธรรมพ้ืนบ้านมาอย่างต่อเน่ืองตลอดมา โดยการ กาหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ มาตรการ โครงการ และกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีจะตอบสนองต่อภารกิจ ดงั กล่าว ต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ – ปัจจุบัน กรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้ดาเนินการจัดเก็บข้อมูล และจัดทา ฐานข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ได้มีการจัดเก็บข้อมูลด้านศิลปะการแสดง จานวนกว่า ๓๕๐ เรื่อง ด้านงานช่างฝีมือดั้งเดิม จานวนกว่า ๕๐๐ เร่ือง และด้านมุขปาฐะ จานวนกว่า ๔๐ เร่ือง นอกจากน้ี ในปีงบประมาณ ๒๕๔๓ กรมส่งเสริมวัฒนธรรมสนับสนุนให้มีการจัดทาทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทาง
๙ วัฒนธรรมในระดับจังหวัด โดยให้ดาเนินการนาร่องในการทาทะเบียนสาขาศิลปะการแสดง งานช่างฝีมือ ดั้งเดิม วรรณกรรมพ้ืนบ้านและกีฬาภูมิปัญญาไทย เพ่ือเป็นการต่อยอดการดาเนินงาน กรมส่งเสริม วฒั นธรรมจึงกาหนดภารกิจในการปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรมข้ึน โดยมกี ิจกรรมสาคัญ คือ การขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เพื่อเป็นหลักฐานสาคัญของชาติและเป็นการส่งเสริม การมีสว่ นร่วมของชมุ ชนใหเ้ กิดความภาคภูมิใจในวฒั นธรรมของตน รวมท้ังเป็นการปกป้องคุ้มครองมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของชาติ อันจะนาไปสู่การสร้างความรู้ ความเข้าใจ เห็นคุณค่า ยอมรับในความหลากหลายทางวัฒนธรรม และการอยรู่ ว่ มกันอยา่ งสันติของคนในสงั คมต่อไป ความหมายการมีสว่ นรว่ ม “การมีส่วนร่วม” มีผู้นิยามความหมายไว้ในหลายลักษณะหลายรูปแบบและวัตถุประสงค์ท่ี แตกต่างกันไปตามเน้ือหาเฉพาะท่ีต้องการจะเน้น ซ่ึงในที่น้ีผู้ศึกษาได้รวบรวมความหมายของการมีส่วน ร่วมได้ ดงั น้ี ยุวัฒน์ วุฒิเมธี (๒๕๒๖ : ๖) ไดใ้ ห้ความหมายของ การมสี ว่ นร่วม ว่า การมสี ว่ นร่วม หมายถงึ การ เปิดโอกาสให้ประชาชน ได้มีส่วนร่วมในการคิดริเร่ิม การพิจารณา ตัดสนิ ใจร่วมปฏิบัติและร่วมรับผิดชอบ ในเร่ืองต่างๆ อันมีผลกระทบต่อประชาชนเอง มนุษย์ทุกคนต่างปรารถนาท่ีจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมี ความสุข ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม และเป็นที่ยอมรับของผู้อ่ืน พร้อมที่จะอุทิศตนเพ่ือกิจกรรมของ ชุมชน ขณะเดียวกันต้องยอมรับด้วย ความบริสุทธ์ใจว่ามนุษย์นั้นสามารถพัฒนาได้ ถ้ามีโอกาสและการ พฒั นาท่ถี ูกต้อง กาญจนา แก้เทพ และกนกศักดิ์ แก้วเทพ (๒๕๓๐ : ๔๐) ให้ความหมายของการมีส่วนร่วมของ ประชาชนในการพัฒนา คือการให้คนมีโอกาสหาทางเลือกเอง มีโอกาสจัดการด้วยตัวเองมีโอกาสใช้ เครอื่ งมอื ด้วยตนเอง สุริย์ ตันฑ์ศรีสุโรจน์ (๒๕๓๓ : ๘) ได้กล่าวถึง การมีส่วนร่วมมือร่วมปฏิบัติและร่วมรับผิดชอบ ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นของปัจเจกบุคคล หรือของกลุ่ม ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการดาเนินการและเปลี่ยนแปลงใน ทศิ ทางทตี่ ้องการ และเพ่อื บรรลเุ ปา้ หมายทกี่ าหนดไว้ โสภณ หมวดทอง (๒๕๓๓ : ๑๒) สรุปวา่ การมีส่วนร่วมของประชาชนในการทากิจกรรมต่างๆ ของชุมชนนนั้ มีปจั จยั ทางด้านสถานภาพทางสังคม เศรษฐกิจ อาชีพ และท่ีอยู่มาเกย่ี วข้องและกจิ กรรม ต่างๆ ของชุมชนจะได้รับความร่วมมอื บรรลคุ วามสาเร็จได้จะต้องได้รับความเหน็ พ้องต้องกนั ของชุมชนเป็น สว่ นมากหรือการดาเนนิ งานกิจกรรมในนามกลมุ่ องค์กรของชมุ ชน กลุ จันทร์ สิงห์สุ (๒๕๓๓ : ๑๖) ได้สรปุ ถงึ การมีสว่ นรว่ ม หมายถึง การทป่ี จั เจกบุคคลที่ดี กลุ่มคน หรือองค์กรประชาชน ได้อาสาเข้ามามีส่วนรว่ มในการตัดสนิ ใจ การดาเนนิ กิจกรรมการแบ่งปนั ผลประโยชน์ และการประเมนิ ผล พัฒนาดว้ ยความสมคั รใจ โดยปราศจากขอ้ กาหนดทีม่ าจาก บุคคลภายนอก และเปน็ ไปเพอื่ ตอบสนองความต้องการของสมาชิกในชมุ นุม รวมท้ังมีอานาจอิสระในการ แบ่งปันผลประโยชน์ ท่เี กิดจากการพัฒนาให้กับสมาชิกด้วยความพงึ พอใจ และผู้เข้ามามีสว่ นร่วมมี ความรสู้ ึกเป็นเจา้ ของโครงการดว้ ย ดุษฎี อายุวัฒน์ และคณะ (๒๕๓๕ : ๗) กล่าวว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นการเปิดโอกาส ให้ประชาชนเข้ามารว่ มในการดาเนินงานต้ังแต่กระบวนการเรม่ิ ตน้ จนถึงกระบวนการส้ินสุด โดยทก่ี ารเข้า ร่วมอาจจะเขา้ ร่วมข้ันตอนใดขั้นตอนหนึ่งหรือครบวงจรก็ได้ การเข้าร่วมท่ีมีท้ังรายบุคคล กลุ่มหรือองค์กร
๑๐ ซ่ึงมคี วามคิดเหน็ สอดคลอ้ งกนั การรบั ผดิ ชอบร่วมกันเพื่อดาเนินการพัฒนาและเปลีย่ นแปลงไปในทิศทางที่ ตอ้ งการ โดยกระทาผา่ นกลุ่มหรอื องค์กร เพ่อื ให้บรรลุถงึ การเปล่ยี นแปลงท่พี งึ ประสงค์ Soetjipto (สุพรชัย ม่ังมีสิทธิ์. ๒๕๓๘: ๒๕; อ้างอิงมาจาก Soetjipto. ๑๙๗๘) กล่าวว่า การมี ส่วนร่วมของประชาชน หมายถึง ประชาชนเป็นผู้นาการพัฒนาในข้ันตอนต่างๆ คือ การกาหนดเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ การจัดลาดับความสาคัญ การวางแผน การปฏิบัติตามแผน และเป็นผู้ได้รับประโยชน์ และความรู้ในการพฒั นาจากการศกึ ษาสรปุ ได้วา่ การมีสว่ นร่วมหมายถงึ กระบวนการที่ สมาชกิ ของกลุ่มมี อานาจในการตดั สนิ ใจดาเนนิ กิจกรรมใดๆ เพื่อการบรรลเุ ปา้ หมายและวัตถปุ ระสงค์ของกลุ่มร่วมกัน บรรจง กนะกาศัย (๒๕๔๐ : ๑๖) สรุปว่า การมีส่วนร่วมของประชาชน หมายถึง ความร่วมมือ ของประชาชน หรือกลมุ่ คนทเ่ี ห็นพ้องตอ้ งกันเข้ารว่ มกจิ กรรม เพอื่ ดาเนนิ การพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปใน ทศิ ทางทตี่ ้องการ โดยกระทาผ่านกลมุ่ หรือองคก์ ร เพือ่ บรรลถุ งึ การเปลี่ยนแปลงทีพ่ งึ ประสงค์ Erwin (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ๒๕๕๓: ๒๓๐; อ้างอิงมาจาก Erwin. ๑๙๗๖: ๔๔) กลา่ ววา่ กระบวนการใหป้ ระชาชนเข้ามามสี ่วนร่วมในการดาเนนิ งาน พัฒนาร่วมคิดร่วมตัดสินใจ แกป้ ญั หา ของตนเอง เน้นให้มีความคิดสร้างสรรค์และความชานาญของประชาชนเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน กับการใช้ วิทยาการท่เี หมาะสม โดยการสนบั สนนุ ตดิ ตามผลจากองคก์ ร และเจ้าหน้าที่ที่เก่ยี วข้อง ในการวิจัยเพื่อเตรียมการข้นึ ทะเบยี นมรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรมเป็นสิ่งท่ีจะต้องให้การมสี ่วน ร่วมยอมรบั จากชมุ ชน โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ชุมชนผ้สู ืบทอดและถือครองมรดกภมู ิปัญญาผ้าทอเมืองอุบลฯ โดยเปิดโอกาสให้ชุมชนไดร้ ่วมนาเสนอข้อมลู ภูมิปญั ญา วธิ ีการเทคนิคการทอผา้ ตรวจทานชอ่ื ลวดลายผ้า ดัง้ เดมิ รว่ มศึกษาลวดลายผา้ ในพิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติจงั หวัดอุบลราชธานี และคลังสะสมสว่ นบุคคล ชา่ งทอผ้า ชา่ งย้อมสีธรรมชาติ ช่างมดั หม่ี ชา่ งเกบ็ ลายขิด เยาวชนท่ีสนใจในการสืบทอดการทอผ้า รว่ ม เสนอความคิดเหน็ รว่ มสมั มนาในการอนรุ ักษแ์ ละพัฒนาผา้ ทอเมืองอุบลฯ “การมสี ่วนร่วมกบั ชมุ ชน” ได้ ช่วยให้ความรู้ที่เกิดขนึ้ ร่วมกันนั้นไดช้ ว่ ยกระตุน้ ใหเ้ กิด “ความตระหนักในคุณค่า” ของมรดกภมู ปิ ญั ญาทาง วัฒนธรรมของชุมชน ๒.๒) เอกสารทีเ่ กย่ี วข้องโดยตรงกับผ้าเจ้านายเมอื งอุบลฯ จากการค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยทีเ่ ก่ียวขอ้ ง ทาให้พบงานวิจัยทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั ผ้าทอแบบเจา้ ของ เจ้านายเมืองอุบลฯ โดยมีเน้ือหาและวัตถุประสงค์ การนาเสนอข้อมูลที่แตกต่างกันไป ผู้วิจัยพยายาม รวบรวมเอกสารทเี่ กี่ยวข้องโดยตรงกับผ้าเจ้านายเมอื งอุบลฯ ไดด้ งั นี้ สุนัย ณ อุบลฯ และคณะ (๒๕๓๗) เร่ือง “ผ้ากับวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ไท – ลาว สายเมือง อุบล” ได้นาเสนอ ประวัติการย้ายถิ่นฐานจาก สปป.ลาว สู่เมืองอุบลฯ และได้อธิบายลักษณะของผ้าซิ่น ของเจ้านายเมืองอุบลฯ เช่น ซิ่นลายสร้อยดอกหมาก ซิ่นมุก ซิ่นทิว ซน่ิ มบั ไม ซ่ินมัดหมี่ ฯลฯ โดยได้รบั ทุน สนับสนนุ จากสานักงานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาติ เอ่ียมกมล จันทะประเทศ (๒๕๓๘) เร่ือง “สถานภาพเจ้านายพ้ืนเมืองอุบลราชธานี ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๒๕-๒๔๗๖” วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม ได้นาเสนอหลักฐานการอพยพจากเมืองเวียงจันทน์ของพระวอ พระตา การตั้งเมือง หนองบัวลาภู การเดินทางอพยพลงใต้ด้วยเหตุการขัดแย้งกับเจ้าเมืองเวียงจันทน์ จนได้มาก่อตั้งเมือง อุบลฯ และความสัมพันธ์ของเจ้านายเมืองอุบลฯ กับเจ้านายเมืองจาปาศกั ด์ิ โดยได้รวบรวมจัดทาแผนผัง การสบื สายตระกูลตา่ งๆของเจา้ นายเมืองอบุ ลฯ อยา่ งละเอียดไว้ด้วยในภาคผนวก
๑๑ ณัฏฐภัทร จันทวิช และคณะ (๒๕๔๐) เรื่อง “ผ้าพื้นเมืองอีสาน” โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก สานักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวถึง ผ้าจังหวัด อุบลราชธานี ทีอ่ ยู่ในพิพิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติจังหวัดอุบลราชธานี โดยได้จาแนกผ้าทอมือทเ่ี ด่นๆ ออกเป็น ๔ กลุ่มใหญ่ๆ คือ (๑) แถบอาเภอชานุมาน (ขณะน้ีเเยกออกเป็นอาเภอหนึ่งของจังหวัดอานาจเจริญ) จะมี ความสามารถในการทอผ้าขิดเป็นพิเศษ สีสันและลวดลายของผ้าจะเป็นเอกลักษณ์ของชาวภูไท ท้ังนี้ เพราะประชาชนส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากชาวภูไท (๒) แถบอาเภอพิบูลมังสาหารและอาเภอตาลสุม เน่ืองจากเป็นอาเภอชายเเดนติดต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ฉะนั้นลวดลายของผ้าจึง ได้รับอิทธิพลจากเมืองปากเซและนครจาปาศักดิ์ (๓) แถบอาเภอวารินชาราบและอาเภอสาโรง การทอ ผ้าแถบน้ไี ด้รับอทิ ธพิ ลจากลวดลายผ้าของชาวกูย (สว่ ย) เน้ืองจากมพี ้ืนท่ีตดิ กับจงั หวดั ศรีสะเกษ (๔) แถบ อาเภอพนา อาเภอม่วงสามสิบ และอาเภอเมืองอุบลราชธานี มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ของผ้าทอเมือง อบุ ลฯ อย่างชดั เจน สมบูรณ์ สุวรรณกูฏและคณะ (๒๕๔๑) เรื่อง “เครือญาติสุวรรณกูฏ” ได้รวบรวมเรียบเรียง รายนามทายาทในสายสกลุ สวุ รรณกูฏ เครือญาตขิ องเจา้ นายเมืองอุบลฯ สุนัย ณ อุบลฯ (๒๕๔๒) ได้เรียบเรียงบทความ “ผ้าซิ่น” (ผ้านุ่ง) ตีพิมพ์เผยแพร่ใน “สารานุกรม วัฒนธรรมไทย ภาคอีสาน เล่ม ๔” ของมูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้เสนอถึง สว่ นประกอบของผ้าซ่ินว่ามี (๑) หัวซ่ิน และ (๒) ตัวซ่ิน (๓) ตีนซ่ิน และได้อธิบายลักษณะของผา้ ซิ่นต่างๆ ของเจา้ นายเมอื งอุบลฯ สิทธิชัย สมานชาติ (๒๕๔๒) เร่ือง “ผ้าซิ่นล่อง เจ้านายเมืองอุบล ฯ จังหวัดอุบลราชธานี” เป็น บทความสารคดีในนิตยสาร SILK กล่าวถึงองค์ประกอบผ้าซ่ิน ลวดลายท่ีเป็นลายแนวดง่ิ หรือ “ลายล่อง” การใชด้ นิ้ เงินหรอื แลง่ เงิน ทอผ้าของเจา้ นายเมอื งอุบลฯ บาเพ็ญ ณ อุบล (๒๕๔๗) เร่ือง “เล่าเร่ือง เมืองอุบลราชธานี” เป็นหนังสือท่ีได้รวบรวม ประวัติศาสตร์บอกเล่าให้เป็นบันทึกประวัติการเคล่ือนย้ายมาต้ังถ่ินฐานของเจ้านายเมืองอุบลฯ จัดพิมพ์ โดยมหาวทิ ยาลัยอบุ ลราชธานี อมั วัน ศรีวรมาศและคณะ (๒๕๕๒) เร่อื ง “สบื ค้นสายตระกลู หมอ่ มเจยี งคา ชุมพล ณ อยุธยา” ไดร้ วบรวมเรียบเรยี งสายสาแหรกจากหมอ่ มเจยี งคา ซ่ึงเปน็ ทายาทสายตระกูลเจ้านายเมืองอุบลฯ ระลึก ธานี และคณะ (๒๕๕๒) เรื่อง “อุบลราชธานีเมืองนักปราชญ์” จัดพิมพ์โดย สานัก วัฒนธรรมจงั หวัดอุบลราชธานี การนาเสนอภมู ิหลงั การอพยพย้ายถิ่นและการก่อต้ังเมอื งอุบลฯ ประวัติ ชวี ติ และผลงานของปราชญท์ เี่ ปน็ ช่างทอผา้ เมืองอุบลฯ รวมอยู่ด้วย สิทธิชัย สมานชาติ (๒๕๕๓) เรื่อง “ผ้าอีสานที่บันทึกไว้ในฮูปแต้ม: ผ้าซิ่นหมี่ค่ัน หัวจกดาว ใน ฮูปแต้มวัดทุ่งศรเี มือง” นาเสนอในนิตยสาร “สกุลไทย” ได้เสนอองค์ประกอบผา้ ซิ่น และได้นาหลักฐาน ผ้าท่ีพบในฮูปแต้ม รวมท้ังขอ้ สันนิษฐานท่มี าของลวดลายผ้ามัดหม่ีลายปราสาทผ้ึง ท่ีเป็นลายเอกลักษณ์ ของเมืองอบุ ลฯ
๑๒ สิทธิชัย สมานชาติ (๒๕๕๓) เร่ือง “ผ้าอีสานท่ีบันทึกไว้ในฮปู แต้ม: ผ้าซิ่นแหล้ ในฮูปแต้มวัดทุ่ง ศรีเมือง” นาเสนอในนิตยสาร “สกุลไทย” ได้เสนอหลักฐานผ้าซ่ินแหล้ ท่ีพบในฮูปแต้มวดั ทุ่งศรีเมือง ท่ี วาดไว้ในราวสมัยรัชกาลที่ ๔ ประกอบตวั อย่างผ้าท่ีเป็นเอกลักษณ์เมืองอุบลฯ ซ่ึงนิยมเย็บต่อหัวซ่ินลาย จกดาว สิทธิชัย สมานชาติ (๒๕๕๓) เรื่อง “ผ้าอีสานที่บันทึกไว้ในฮูปแต้ม: ผ้าซ่ินทิว ในในฮูปแต้มวัดทุ่ง ศรีเมือง” นาเสนอในนิตยสาร “สกุลไทย” ได้เสนอหลักฐาน “ผ้าซิ่นทิวท่ีวาดไว้ในฮูปแต้มวัดทุ่งศรีเมือง” โดยค้นพบหลักฐานตัวอย่างผ้าโบราณว่า ผ้าซ่ินทิวแบบดั้งเดิมมี ๒ โทนสีตามท่ีวาดไว้ในฮูปแต้ม คือ (๑) ซิ่นทิว โทนสีแดง (๒) ซน่ิ ทิว โทนสนี ้าเงนิ ท้งั นี้ในปจั จุบันสบื ทอดการทอเพยี งโทนสีแดง ๒.๓ งานวิจยั ที่เก่ียวข้องกบั การทอผา้ และลวดลายผา้ ทอ นอกจากการค้นคว้างานท่ีเกี่ยวข้องโดยตรงกับผ้าทอแบบเจ้าของเจ้านายเมืองอุบลฯ ในการวิจัย จาเป็นต้องศึกษางานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับ “การทอผ้าและลวดลายผ้า” ผู้วิจัยได้พยายามรวบรวมเอกสารท่ี เกีย่ วข้องได้ดังน้ี วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย (๒๕๑๖) ได้เผยแพร่หนังสือ “ผ้าอีสาน” จัดพิมพ์โดยคณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น ไดน้ าเสนอชอื่ ลวดลายผา้ ขิดและผ้ามัดหมีอ่ สี าน ทรงพันธ์ วรรณมาศ (๒๕๒๓) เขียนเร่ือง “ผ้าไทยลายอีสาน” ในเอกสารนิเทศการศึกษา หน่วย ศึกษานิเทศก์ กรมการฝึกหัดครู ได้วาดลายเส้นภาพเคร่ืองทอผ้าและอุปกรณ์ทอผ้า นับว่าเป็นฐานข้อมูล ด้านเครอ่ื งทอผา้ ชิ้นแรกของประเทศ เพียงจิตต์ มาประจง และคณะ (๒๕๒๙) เขียนหนังสือเรื่อง “ผ้าทอลายขิด” จัดพิมพ์โดยกรม ส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ได้สารวจการทอผ้าขิดในเขตจังหวัดอุบลราชธานีน้ีด้วย ซึ่ง ไดร้ ับมรดกภูมปิ ัญญามาจากกลุ่มชาวภไู ท วิบูลย์ ล้ีสุวรรณ และคณะ (๒๕๓๐) ได้เผยแพร่หนังสือ “ผ้าไทย : พัฒนาการทางอุตสาหกรรม และสังคม” โดยได้รับทุนสนับสนุนจากบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้นาเสนอภาพรวม ของการทอผา้ อสี าน ในแตล่ ะจังหวดั สมชาย นิลอาธิ (๒๕๓๑) ได้เผยแพร่หนังสือ “สมบัติชนบทอีสาน” มีการนาเสนอข้อมูลด้าน บทบาทผ้าในเชิงมานุษยวิทยา โดยเฉพาะวฒั นธรรมการทอผ้าฝ้าย ธวัช ปุณโณทก (๒๕๓๒) ได้เผยแพร่ผลงานเขียน “อีสาน: อดีต ปัจจุบัน และอนาคต” โดยได้ กลา่ วถงึ การต้งั ถน่ิ ฐานของชุมชนตา่ งๆในภาคอีสาน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย) วิลาวณั ย์ วีรานวุ ัตต์ิ (๒๕๓๓) “มดั หมี่ไหมไทยสายใยชนบท” ได้นาเสนอ ลวดลายผ้ามัดหมี่อสี าน ลวดลายต่างๆ ในการจัดแสดงนทิ รรศการผ้ามดั หมี่ของโครงการศิลปาชีพฯ
๑๓ สรุ ิยา สมุทคุปต์ิ และคณะ (๒๕๓๗) เร่ือง “แม่หญิงต้องตาหูก” เผยแพร่งานวิจัยในหนังสือ “ผ้า ไทย” นาเสนอข้อมูลด้านบทบาทผา้ ในเชงิ มานษุ ยวทิ ยา ท่มี บี ทบาทต่อคนอีสานตัง้ แตเ่ กดิ จนตาย อรไท ผลดี (๒๕๓๗) เร่ือง “ลวดลายของผ้าไท มรดกร่วมอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าไท” งานวิจัยที่รวบรวมเผยแพร่เนื่องในปีรณรงค์วัฒนธรรมไทย สานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้นาเสนอหลกั ฐานลวดลายทางโบราณคดี ทสี่ มั พันธ์กนั กับลายผา้ ไทย สิทธิชัย สมานชาติ (๒๕๔๕) เร่ือง “ผ้าไทย สายใยแห่งภูมิปัญญาสู่คุณค่าเศรษฐกิจไทย” จัดพิมพ์โดยสานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เน่ืองในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐ พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ได้รวบรวมข้อมูล เส้นใยไหม เส้นใยฝ้าย สีย้อม ธรรมชาติ เคร่ืองทอผ้าของกลุ่มชาติพันธ์ุต่างๆในประเทศไทย และอุปกรณ์ทอผ้า ที่ได้วาดลายเส้น ประกอบไวด้ ้วยอยา่ งละเอียด โดยมีข้อมลู เทคนิคการทอผ้าแบบต่างๆ สว่ นลวดลายผา้ ได้นาเสนอตัวอย่าง ลวดลายเอกลักษณ์ของชนเผ่าในพื้นที่ต่างๆ รวมท้ังมีภาคผนวกท่ีมีแหล่งค้นคว้าผ้าไทยในพิพิธภัณฑ์ผ้า ต่างๆ ในประเทศไทย การนาแนวคดิ และทฤษฎีไปใช้ในงานวจิ ัย ในงานวิจยั น้ัน จะได้นาไปใช้ประกอบในการอ้างอิงใน เน้ือหาเกย่ี วขอ้ งกบั ทฤษฎตี า่ งๆ ทั้ง ๓ หมวด ดังนี้ ๑) ทฤษฎกี ารมสี ่วนรว่ มของชุมชน และมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ผู้วิจัยได้นาไปประกอบแนวทางปฏิบัติงาน ในการจัดเวทีชุมชน ที่เปิดโอกาสให้ชุมชนผู้สืบทอด และถือครองภมู ิปัญญา ได้มสี ่วนรว่ มในการแลกเปล่ยี นเรียนรู้และการสร้างจิตสานึกการตระหนกั ถงึ คณุ ค่า ของภมู ปิ ญั ญาการทอผา้ เมืองอุบลฯ ๒) เอกสารทเี่ กย่ี วข้องโดยตรงกบั ผ้าทอแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ ผู้วจิ ัยได้ใช้อ้างอิงในการกล่าวถึงรายละเอียดผ้าทอแบบต่างๆ โดยได้วิจัยเพ่ิมเติมข้อมูลเน้ือหาอัน เป็นสว่ นความกา้ วหน้าของงานวิจัย ทไี่ ด้ตรวจทานใหมเ่ พมิ่ เติมเข้าไปด้วยในเนอื้ หา ๓) งานวิจัยทีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั การทอผ้าและลวดลายผ้าทอ ผู้วิจัยได้ใช้อ้างอิงเน้ือหาด้านเทคนิคการทอผ้าและอุปกรณ์ทอผ้าต่างๆ เพ่ือแสดงเนื้อหา รายละเอยี ดในงานวจิ ยั ให้สมบรู ณ์
๑๔ บทที่ ๓ วิธดี ำเนินกำรวิจัย ข้อมูล/องค์ความรู้เป็นส่วนสาคัญของงานการรวบรวมและการจัดเก็บ แต่เน่ืองจากการ รวบรวมจดั เกบ็ องค์ความรู้เก่ียวกับรายการมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรมเป็นข้อกาหนดเบ้ืองต้นของ การปกป้องคุ้มครองโดยชุมชน แต่ประเด็นสาคัญอีกประการหนึ่งคือกระบวนการได้มาซ่ึงข้อมูลและ กระบวนการกระตุ้นจิตสานึกเจ้าของวัฒนธรรมในความรักความภูมิใจในการสืบทอดและถือครอง มรดกภูมิปัญญาของกลมุ่ ตนเอง คาถามหลักการวิจัยคือ จะมีวิธีการ/กระบวนการอย่างไรในการที่จะได้มาซึ่งข้อมูลท่ีตรงกับ ข้อเท็จจริงเพ่ือที่จะนามาใช้ประโยชน์ในการปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และ นอกจากน้ีแล้ว จะมีวิธีการ/กระบวนการอย่างไรในการกระตุ้นสานึกของเจ้าของวัฒนธรรมร่วมกัน ปกป้องคมุ้ ครองและสบื ทอดมรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรมของตนเอง เพื่อใหข้ ้อมูลเหล่าน้ไี ด้รับใชค้ น ในชมุ ชน ปรัชญำและแนวคิดกำรพัฒนำวฒั นธรรมชุมชน การจัดกระบวนการเพื่อสร้างการเรียนรู้ และกระตุ้นสานึกงานด้านวฒั นธรรมเน้นให้เหน็ เป็น รูปธรรม เช่น ใช้แนวคิดเร่ือง “ต้นไม้แห่งคุณค่า” ของ กาญจนา แก้วเทพ (๒๕๓๘: ๒๓-๒๗) ได้แบ่ง วฒั นธรรมเป็น ๒ ส่วนใหญ่ๆ คือ (๑) ส่วนท่ีเรามองเห็นได้ ซึ่งเปรยี บได้กับ ส่วนลาตน้ ดอก ใบ ละผล ของต้นไม้ ส่วนน้ีเรียกว่าเป็นส่วนของ “รูปแบบ” ซึ่งเป็นส่วนท่ีมองเห็นสามารถสัมผัสจับต้องได้ (๒) ส่วนท่ีมองไม่เห็น เป็นส่วนที่อยู่ลึก เปรียบด่ังส่วนของต้นไม้ท่ีเป็นรากที่อยู่ใต้ดิน ต้องใช้การคิด ไตร่ตรองและวิเคราะห์จึงจะเข้าใจ ส่วนท่ีอยู่ใต้ดินน้ัน ได้แก่ ระบบคิด คุณค่า ซึ่งเป็นส่วน “เน้ือหา” ของวัฒนธรรมนั้นเวลาท่ีมองเหน็ การการทอผ้า เครื่องทอผา้ ลวดลายผา้ เราจะตอ้ งพิจารณาไตร่ตรอง และวิเคราะห์ลึกลงไปหาสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่สามารถสัมผัสได้ด้วยปัญญาและจิตใจ กล่าวคือมี คุณค่าอะไรอยู่เบ้ืองหลัง วัฒนธรรมการทอผ้านั้นเป็นตัวแทนที่จะส่ือความหมายหรอื ประเพณีใด เช่น ความรักของแม่กับลูกสาว ความกตัญญู ความอดทน ความเพียรท่ีจะสร้างคุณค่าของกุลสตรีผ่านการ ทอผ้า ส่วนลวดลายผ้าน้ัน มีคุณค่าในเชิงสัญลักษณ์ สื่อความรัก ความศรัทธา กับความกตัญญูต่อ บรรพชน ความภาคภูมิใจในฐานานุศักดิ์ของเจ้านายเมืองอุบลฯ ที่มีลวดลายเอกลักษณ์เฉพาะอันเกิด จากการประยุกต์ลวดลายราชสานักสยามในฐานะที่เจ้านายเมืองอุบลฯ ได้เกี่ยวดองกับเจ้านายของ ราชสานักสยาม และลวดลายผ้าที่ประยุกต์จากชนเผ่าในพ้ืนที่ใกล้เคียง โดยปรับปรุงจนกลายเป็น เอกลักษณท์ รงคุณค่าตามแบบเฉพาะของเมืองอบุ ลฯ นอกจากน้ีการท่ีเจ้าของวัฒนธรรมจะร่วมกันสืบทอดวัฒนธรรมนั้น การสืบทอดต้อง “ครบ เคร่อื งเรื่องสืบทอด” น่ันคือต้องศึกษากระบวนการผลติ วัฒนธรรม (production) และการผลิตซ้าเพ่ือ สืบทอดวัฒนธรรมนั้น (reproduction) ต้องศึกษาว่าวัฒนธรรมนั้นผลิตขึ้นมาได้อย่างไร ใครผลิตและ ดาเนินการอย่างไร ดังนั้นข้ันตอนการวิเคราะห์จึงไม่สามารถจะแยกวเิ คราะห์กิจกรรมย่อยๆ กิจกรรม ใดเพียงอันเดียวได้ เพราะสังคมประกอบข้ึนด้วยตาข่ายแห่งความสัมพันธ์ของปฏิบัติการทางสังคม ย่อยๆท่ีมีผลกระทบถึงกันตลอดเวลา จึงต้องวิเคราะห์หา “ความสัมพันธ์”ดังกล่าว สาหรับกรณีเมือง อบุ ลฯ ท่ีเราเลือกขอบเขตพ้ืนท่ีแบบเจาะจงในจังหวัดอุบลราชธานี ได้ข้อสังเกตถึงความเข้มแข็งความ พร้อมใจของชุมชนท้ังกลุ่มผู้สืบทอดการทอผ้า กลุ่มทายาทเจ้านายเมืองอุบลฯ ท่ีพยายามรักษา สถานภาพของตนเองไว้ และกล่มุ ผใู้ ช้ผ้าท่ชี ื่นชมผ้าทอตามแบบลวดลายของเจา้ นายเมืองอุบลฯ ทาให้ เป็นโอกาสให้ชุมชนการทอผ้าได้รื้อฟ้ืนการทอผ้าลวดลายชั้นสูงตามแบบของเจ้านายเมืองอุบลฯเพื่อ
๑๕ สนองตอบแก่กลุ่มผู้ใช้ผ้าท้ังในกรุงเทพฯ และจังหวัดอ่ืนๆ ในภาคอีสานท่ีชื่นชมความงามของผ้าและ รู้สึกว่าผา้ ได้ช่วยยกสถานภาพของกลุ่มตนให้สูงขึ้นราวกับเป็นเจ้านาย ช่างทอผ้าก็มีความภาคภูมิใจที่ มฝี มี อื ทอผา้ ลายช้นั สูง ทเี่ ป็นการผลิตซา้ ทางวัฒนธรรม (reproduction) ด้วยกระแสความนยิ มผ้าทอ ตามแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ ทาให้ช่างทอผ้าพ้ืนท่ีอื่นๆที่มีเทคนิควิธีการทอผา้ คล้ายกันนาลวดลายผ้า เมืองอุบลฯ ไปทอลอกเลียนแบบ จึงเป็นปัจจัยกระตุ้นทาให้เกิดการตื่นตัวของกลุ่มผู้สืบทอดและถือ ครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมผ้าทอเมืองอุบลฯ มีความต่ืนตัวในการที่จะขอข้ึนทะเบียนเพ่ือ ปกปอ้ งมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรมของตน และตระหนกั ในคุณคา่ ภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของตน สาหรับการฟื้นฟูภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมขึ้นมาใช้ประโยชน์ จาเป็นต้องมีการศึกษาว่า ตาข่ายแห่งความสัมพันธ์ท่ีเกี่ยวข้องนั้นมีอะไรบ้างและมีรูปแบบความสัมพันธ์กันอย่างไร ซึ่งท่ีพบเห็น เป็นส่วนมากในปัจจุบันคือการสืบทอดภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมในส่วนเฉพาะรูปแบบเท่าน้ัน ส่วน คณุ ค่านั้นแทบไม่มีการสบื ทอด เป็นสง่ิ ที่จะไดต้ ั้งข้อสังเกตในการวิจยั -รูปแบบกิจกรรม/เวทมี เี ป้าหมายและหลายรูปแบบ เช่น -๑- การสัมภาษณ์เจาะลึก เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่เจ้าของวัฒนธรรม เพ่ือ รวบรวมข้อมูลระดับลึก กระตุ้นสานกึ และหาแนวทางการพัฒนา/สืบทอดวฒั นธรรมเพอ่ื รับใช้เจ้าของ มรดกทางวฒั นธรรม -๒- การสนทนากลุ่มย่อย เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่เจ้าของวัฒนธรรม เพ่ือเก็บ รวบรวมและตรวจสอบข้อมูล กระตุ้นสานึก สร้างสานึกร่วมแลกเปล่ียนข้อมูลและเป็นการสร้างการ เรียนรู้เพิ่มเตมิ องคค์ วามรู้ให้แก่เจ้าของมรดกทางวฒั นธรรม และหาทางการพฒั นา/สืบทอดวัฒนธรรม เพื่อรับใชเ้ จ้าของวฒั นธรรม -๓- เวทีคนื ขอ้ มูลใหช้ มุ ชน เป็นเวทีคืนข้อมูลให้ชุมชนเพ่ือสรา้ งความมัน่ ใจให้เจา้ ของ วัฒนธรรม เพื่อเก็บรวบรวมและตรวจสอบข้อมูล กระตุ้นจิตสานึก สร้างสานึกร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล และเป็นการสร้างการเรียนรู้ เพ่ิมเติมองค์ความรู้ให้กับเจ้าของวัฒนธรรม สร้างและพัฒนาเครือข่าย และหาแนวทางพัฒนา/สืบทอดวัฒนธรรม เพื่อรับใช้เจ้าของมรดกทางวัฒนธรรม ท่ามกลางกระแส โลกท่เี ปลยี่ นแปลงไป ความสาคัญอยู่ที่คาถามในการจัดกิจกรรม/เวที ส่ิงสาคัญนอกจากกระบวนการ/รูปแบบ ดังกล่าวแล้ว ส่ิงสาคัญอีกประการหน่ึงคือ คาถามที่ใช้มีความสาคัญมาก เพราะการต้ังคาถามเป็น กระบวนการเพื่อให้เป้าหมายได้คิดวเิ คราะห์เพื่อหาคาตอบ และเนื่องจากคาถามแต่ละคาถามมหี น้าท่ี แตกต่างกัน เช่น บางคาถามเพื่อต้องการคาตอบทันที แต่บางคาถามถามโดยไม่ต้องการคาตอบทันที แต่ต้องการให้กลุ่มเป้าหมายได้ฉุกคิด ซึ่งคาถามประเภทเพ่ือให้ฉุกคิดน้ีจะเป็นคาถามที่จะทาให้เกิด การกระตนุ้ สานกึ ไม่มีสูตรสาเร็จการท่ีจะใช้เคร่ืองมือไปเก็บรวบรวมข้อมูล และกระตุ้นสานึกให้เจ้าของภูมิ ปญั ญาทางวัฒนธรรมมีความรู้ความเข้าใจและเหน็ คณุ ค่าในภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรมของตนเอง ดงั นั้น ในการเก็บรวบรวมข้อมูล และการกระตุ้นสานึกเร่ือง “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม: ผ้าทอเมือง อุบลฯ” ที่มีเอกลักษณ์ลวดลายผ้าท่ีเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผ้าทอตามแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ ในครั้งนี้ ทางทีมวิจยั ได้มีการนาความรู้ ประสบการณ์ และบทเรียนจากงานวจิ ัยทีผ่ ่านมาดังกล่าวขา้ งต้นเพ่ือมา ปรบั ใชเ้ ป็นแนวทางการดาเนินงานโดย -การเก็บรวบรวมข้อมลู และการกระตุ้นสานึกร่วม เน้นที่การสรา้ งกระบวนการเพ่ือการเรยี นรู้ รว่ มกันโดยให้กลุ่มเปา้ หมายมีสว่ นร่วม
๑๖ -การสร้างกระบวนการเรียนรู้ การกระตุ้นสานึกร่วม และการหาแนวทางการสืบทอด เรื่อง ผ้าทอเมืองอุบลฯ ที่มีเอกลักษณ์ลวดลายผ้าที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผ้าทอตามแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ จะได้ใช้แนวคิด “ต้นไม้แห่งคุณค่า” และ “ตาข่ายความสัมพันธ์” มาเป็นเคร่ืองมือและเป็นกรอบใน การต้งั คาถามเพอ่ื ตอบโจทย์วจิ ยั -รูปแบบการจัดเวทีมีท้ังการสัมภาษณ์เจาะลึก การสนทนากลุ่มย่อย การประชุม และการ สงั เกต เปน็ ตน้ จากประสบการณ์การทางานวิจัยท่ีชุมชนมีส่วนร่วม คณะทางานโครงการนี้ และโครงการอ่ืน จะพยายามมีการประชุมร่วมกันเพ่ือแลกเปล่ียนประสบการณ์ และสรุปบทเรียนที่ผ่านมาร่วมกัน พร้อมกับหาแนวทาง/เตรียมการอย่างคร่าวๆในขั้นต้น จากนั้นจะพัฒนารายละเอียดกระบวนการใน ระหวา่ งดาเนินกจิ กรรม โดยอาจจะตอ้ งมีการปรับกระบวนการ เทคนิค และ/หรือคาถามให้สอดคล้อง เหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่/เวที ทั้งนี้คณะทางานโครงการจะพิจารณาให้สอดคล้องกับ หลกั การทว่ี างไว้ และสามารถตอบวตั ถปุ ระสงค์และโจทย์วิจยั คำถำมหลกั (ในการเปดิ เวทีร่วมกับชมุ ชน) ๑.ยังมชี ุมชนชาวเมืองอบุ ลฯ ท่ียังสืบทอดภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมการทอผ้าและลวดลายผ้า แบบของเจา้ นายเมืองอบุ ลฯ ทีใ่ ดบา้ ง -ชมุ ชนชาวเมืองอุบลฯ คิดว่า ภูมิปัญญาการทอผ้าและลวดลายผา้ แบบของเจ้านายเมืองอุบล ฯ ยงั มีความสาคัญตอ่ วิถีชวี ิตของพวกเขาและความเป็นชาวเมืองอบุ ลฯ อย่างไรบา้ ง -หากจาเปน็ ต้องเลิกทา จะสง่ ผลกระทบอยา่ งไรบ้างต่อชวี ิตพวกเขา ๒.ภูมิปัญญาการทอผ้าและลวดลายผ้าแบบของเจ้านายเมืองอุบลฯ มีความหลากหลาย เพียงใด -สามารถจัดประเภทเทคนิคการทอผ้าตามแบบสากลได้ก่ีแบบ และชาวเมืองอุบลฯ เรียกใน ภาษาตนเองวา่ อยา่ งไรและหมายความวา่ อยา่ งไร -เรียกกระบวนการทอผ้าและอุปกรณ์การทอผ้าในภาษาถ่ินชาวเมืองอุบลฯ ของตนเองว่า อยา่ งไร และมีภมู ปิ ัญญาในกระบวนการทอผ้าในแต่ละขน้ั ตอนอยา่ งไร -ชุมชนชาวเมืองอุบลฯ ท่ีเกี่ยวข้อง มีแนวคิดในการจาแนกความหลากหลายของประเภทผ้า อย่างไรบ้าง -ชุมชนสามารถจัดหมวดการออกแบบลวดลายผ้าตามแนวคิดของตนเองอย่างไร และต้ังชื่อ ลวดลายอย่างไรในภาษาถิ่นชาวเมอื งอบุ ลฯ มคี วามหมายอย่างไร -ชมุ ชนมคี ตคิ วามเชื่อในลวดลายผา้ อย่างไรบ้าง และยังคงสบื ทอดความเช่อื น้ันหรือไม่ -ประเภทเทคนคิ วธิ ีการทอผา้ กระบวนการทอผ้า ที่ชมุ ชนอยากปกปอ้ งคุ้มครองไว้ -ประเภทลวดลายผ้า และชนดิ ผา้ ของชาวเมอื งอุบลฯ ทชี่ มุ ชนอยากปกปอ้ งคุม้ ครองไว้ -ท่ีผา่ นมาการทอผ้าและลวดลายผ้าแบบของเจา้ นายเมืองอบุ ลฯมีอปุ สรรคและปัญหาอย่างไร ๓.ชุมชนชาวเมืองอุบลฯ คิดว่าการปกป้องคุ้มครองจะมีประโยชน์ หรือโทษต่อชุมชนอย่างไร บ้าง ๔.จากประสบการณ์ของชุมชนชาวเมืองอุบลฯ แนวทางการปกป้องคุ้มครอง น่าจะเป็น อยา่ งไรบา้ ง
๑๗ หลักกำรสำคญั ในกำรวำงแผนทำกจิ กรรม การทาวิจัยครัง้ นีผ้ ้ศู ึกษาใช้หลักในการวางแผนดาเนินกิจกรรม ดังน้ี ๑. ทำควำมเข้ำใจโครงกำรและเป้ำหมำยกำรทำงำนคร้ังน้ีอย่ำงชัดเจน ซึ่งเป้าหมายการ ทางานวิจัยคร้งั น้ีคอื การสร้างความม่ันใจให้กับเจ้าของวัฒนธรรม (คนในชุมชน) โดยใช้หลักการรื้อฟ้ืน วัฒนธรรม “สิทธิของเจ้าของวัฒนธรรม” ที่ให้เจ้าของวัฒนธรรมเป็นผู้ตัดสินใจ ดังน้ันในการคิด กิจกรรมต่างๆ น้ันต้องถือเป้าหมายโครงการเป็นหลัก เช่นเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ให้คนในชุมชนร่วมเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง โดยการใช้แนวคิดการมีส่วนร่วมท่ีต้องให้คนในชุมชนมี ส่วนรว่ มคดิ ตดั สนิ ใจ ร่วมวางแผน รว่ มปฏิบตั ิ ร่วมรับผลประโยชน์และร่วมตดิ ตามประเมินผล ๒. ชี้ชัดวัตถุประสงค์และกระบวนกำรดำเนินกิจกรรม การคิดวางแผนกิจกรรม ต้องตอบ คาถามแรกๆ ว่า กิจกรรมนั้น ทาเพื่ออะไร ทาเพ่ือใคร เมื่อตอบคาถามดังกล่าวได้แล้ว จึงคิดต่อว่า กิจกรรมนั้นทาอย่างไร ด้วยกระบวนการ วิธีการอย่างไร และจะให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามามีส่วนร่วมได้ อย่างไร สุดท้ายจึงคิดว่าจะใช้เครื่องมืออะไรเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าวข้างต้น และเครื่องมือน้ันจะใช้ อย่างไร ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกลุ่มเปา้ หมาย ๓. ทบทวนไตร่ตรอง เมื่อได้ดาเนินการทากิจกรรมเรียบร้อยแล้ว ต้องทบทวน สรุปกิจกรรม ท่ีทาไปว่าเหมาะสมหรือไม่ มีจุดอ่อนตรงไหน และจะปรับอะไรบ้าง จากนั้นนาไปทดลองใหม่จาก ปรัชญาแนวคิดการพัฒนาวัฒนธรรมชุมชนและหลักการสาคัญในการวางแผนกิจกรรมข้างต้นน้ัน ผวู้ ิจยั ได้นามาเปน็ กรอบแนวทางในการดาเนนิ การวางแผนและกระบวนการจัดกิจกรรมเวที กระบวนกำรเกบ็ ข้อมลู ในการเก็บข้อมูลจะมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน และตามหลักการของยูเนสโกหรือการ เคลื่อนไหวทางสังคมและวัฒนธรรมโดยทั่วไป กระบวนการเก็บข้อมูลยังเป็นกลวิธีในการกระตุ้น จิตสานึกและความสนใจของชุมชนในการที่จะปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของ ตนเอง ในการต้ังคาถาม จะคานึงว่ากระบวนการเก็บข้อมูลลักษณะใดท่ีจะนาไปสู่การได้ข้อมูลที่จะ นามาใช้ประโยชน์ในการปกป้องคุ้มครองภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เพ่ือให้ได้ข้อเท็จจริง เกิดความ เข้าใจความสาคัญและภูมิหลังของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม อีกทั้งยังเป็นแนวทางในการกระตุ้น จิตสานกึ ของชมุ ชนอกี ดว้ ย ในการเก็บข้อมูล คณะทางานโครงการจะตระหนักว่าเราอาจปรับเปล่ียนกระบวนการและ เทคนิคในการเกบ็ ขอ้ มลู โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับหลกั การที่ได้กาหนดไว้แล้ว ภายในขอบเขตของ โจทยแ์ ละคาถามหลัก ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลเพ่อื เสนอ “ผา้ ทอเมืองอบุ ลฯ” ทม่ี ีเอกลักษณล์ วดลายผ้าท่ีเกย่ี วข้อง สัมพันธก์ ับผา้ ทอตามแบบเจ้านายเมืองอบุ ลฯ เป็นมรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม ได้วางแผนงานไว้ ดงั นี้
๑๘ กระต้นุ ให้ มีกำรแลก เปล่ียนข้อมลู กระบวนกำร ใหช้ มุ ชนมี ส่วนรว่ ม เพิม่ เติม ตั้งคำถำม ควำมเข้ำใจ/ สรุปประเดน็ ขอ้ มูล เน้ือหำ วเิ ครำะหเ์ รยี บเรียง นำไปใชเ้ สนอ กำรขอขึ้นทะเบยี น Intangible Cultural Heritage ๑.) กระบวนการประกอบทมี ผดู้ าเนินการโครงการ -มีนักวิชาการท่ีมีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาการทอผ้าและลวดลายผ้า แบบของเจา้ นายเมอื งอบุ ลฯ เป็นหัวหนา้ โครงการ หรอื ผรู้ ว่ มโครงการ -มีตัวแทนเครือข่าย ผู้นากลุ่มช่างทอผ้า ประธานกลุ่มรัฐวิสาหกิจชุมชนหรือชมรมที่ทางาน เกี่ยวข้องกับการศึกษาและพัฒนาภมู ิปัญญาการทอผ้าและลวดลายผา้ แบบของเจ้านายเมืองอุบลฯ ซึ่ง ผู้ร่วมโครงการเหล่าน้ีจะต้องมีความสนใจในเร่ืองที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลโดยชุมชนมีส่วนร่วมและ สามารถจดั เวลาเข้าร่วมได้ ๒.) การประชมุ คณะผ้ดู าเนนิ งานโครงการ -ทาความเข้าใจในเรือ่ งแผนการทางานรว่ มกัน -กาหนดขอบเขตพน้ื ที่ศกึ ษา และแนวทางการทางานรว่ มกบั ชมุ ชนที่จะเขา้ มามสี ่วนร่วม -พจิ ารณาขอบเขตความหมายของการทอผา้ และลวดลายผ้าแบบของเจา้ นายเมืองอุบลฯ ที่จะนาลงไปรวบรวมฐานความรูใ้ นเชงิ ลึกร่วมกบั ปราชญ์ทอ้ งถิ่นและสมาชิกช่างทอผ้า -มอบหมายให้ผู้ช่วยวิจัย ทาหน้าที่เลขานุการ (จดบันทึกการประชุม) เหรัญญิก (ดูแลการใช้ จา่ ยเงินของโครงการ) และตดิ ตามงานและชว่ ยประสานงานกับท้องถ่นิ -แบ่งงานระหวา่ งผรู้ ่วมดาเนนิ การโครงการ ตามความถนดั -กาหนดตวั บคุ คลท่จี ะทาหน้าทเ่ี ป็นนกั วิจัยและผูป้ ระสานงานในการจัดเวทขี องแต่ละชุมชน -รว่ มกนั กาหนดแผนงานและกจิ กรรมในการเก็บข้อมูลโดยรวม
๑๙ -วางแผนกาหนดวันและประเดน็ ท่จี ะประชมุ เชงิ ปฏิบตั ิการการถอดองค์ความรู้การทอผา้ และ ลวดลายผ้าแบบของเจ้านายเมอื งอุบลฯ กบั ผู้รว่ มดาเนนิ การโครงการทั้งหมด (รวมท้งั นักวจิ ยั ทอ้ งถนิ่ ) ๓.) จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการของผู้ร่วมดาเนินการโครงการท้ังหมด เพ่ือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ในเรอื่ งตา่ งๆ ไดแ้ ก่ -ความเปน็ มาและวัตถปุ ระสงค์ของโครงการฯ -หลกั การการจดั เกบ็ และรวบรวมขอ้ มูล -ฐานความรู้เกยี่ วกบั การทอผ้าและลวดลายผา้ แบบของเจา้ นายเมืองอบุ ลฯ -คาถามหลักและประเด็นศึกษา -เทคนคิ การให้ชมุ ชนมสี ว่ นรว่ ม และระดับการมีสว่ นรว่ มของชมุ ชน -สภาพพน้ื ท่ีและชมุ ชนที่เก่ียวข้อง -ปรึกษาหารือประเดน็ ในการเปดิ เวทรี วบรวมความรูก้ บั ชมุ ชน -เตรียมตัวหาข้อมูลคาตอบลว่ งหน้าหากชมุ ชนจะถามวา่ ไดป้ ระโยชนอ์ ะไร -อธิบายเก่ียวกับการปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (โดยคานึงถึงภาษาท่ีจะ สื่อสารให้ชุมชนเข้าใจง่ายคือ ภาษาไท-ลาว (ภาษาอีสาน) และภาษาไทยกลาง) โดยผู้ร่วมโครงการ ทีม่ าจากชมุ ชน (จากการเปิดเวทีพูดคุยกับชุมชนชาวเมืองอุบลฯ ที่สืบทอดภูมิปัญญาการทอผ้าและลวดลาย ผ้าแบบของเจ้านายเมืองอุบลฯ ในจังหวัดอุบลราชธานี ในเบ้ืองต้นพบว่าชุมชนมีความต่ืนตัวและ ประสงคท์ ่จี ะให้มกี ารขน้ึ ทะเบยี นการปกป้องคมุ้ ครองมรดกภมู ิปัญญาทางวฒั นธรรม “ผ้าเมืองอุบลฯ” และพยายามใหข้ ้อมลู มาในเบ้ืองต้น) ๔.) ลงพ้ืนทเ่ี ก็บข้อมูลภาคสนามโดยการจัดเวทใี ห้ชุมชนมีส่วนรว่ ม ตามลาดบั แผนงาน -พูดคุยแลกเปล่ียนกับสมาชิกชุมชนท้ังท่ีเกี่ยวข้องโดยตรงกับการทอผ้าและลวดลายผ้าแบบ ของเจ้านายเมืองอุบลฯ และผู้สนใจในชุมชนตามประเด็นท่ีกาหนดไวแ้ ละที่เกิดขึ้นเพ่ิมเติมในระหว่าง ปฏิสัมพนั ธ์ -พยายามหมายตาผู้ที่มีข้อมลู ความรูเ้ ฉพาะด้าน และให้เป็นแกนนาในด้านนั้นในท้องถ่ิน ของ แต่ละชุมชน -พจิ ารณาประเดน็ วิจัยและพยายามหาทางยอ่ ยประเด็นการศกึ ษาให้เปน็ คาถามท่ชี มุ ชนเข้าใจ งา่ ย -บันทึกเสยี ง ภาพน่ิง หรือภาพเคลอื่ นไหวในการเก็บขอ้ มูลการทอผา้ และลวดลายผ้าแบบของ เจา้ นายเมืองอุบลฯ โดยแยกเปน็ ประเด็นย่อยต่างๆ -บันทึกภาพบรรยากาศโดยรวมในการลงพืน้ ท่ภี าคสนามเพอื่ เปน็ หลักฐาน ๕.) การตดิ ตามงาน -จัดให้มีการประชุมทีมวิจัยอย่างสม่าเสมอ และพยายามมีการรายงานความก้าวหน้าผลงาน ดาเนนิ การ เพราะหากมปี ัญหา จะไดแ้ ก้ไขได้ทันท่วงทแี ละสามารถปรบั เปลี่ยนประเด็นย่อยตามความ เหมาะสมและแสวงหากลวิธใี นการดึงดูดความสนใจของชุมชนและพยายามบันทึกการสัมภาษณ์แบบ ไมเ่ ปน็ ทางการ และสงั เกตสภาพการณ์ทว่ั ไปดว้ ย หมายเหตุ การจัดประชุมคณะดาเนินการโครงการอย่างสม่าเสมอ มีการติดตามงานและ กระตนุ้ ให้นกั วิจยั ในชมุ ชนรายงาน ทง้ั ทเี่ ป็นลายลกั ษณ์อักษรหรอื ด้วยวาจาในทปี่ ระชมุ
๒๐ บทบำทและท่ำทีของนกั วิจัย ๑.บทบาทเป็นผู้สารวจและร่วมเรยี นรู้มรดกทางวฒั นธรรมท่ีมีอยู่ในชุมชน โดยเฉพาะต้องทา ความเข้าใจ “รูปแบบ” และ “คุณค่า/เน้ือหา/ความหมาย” ของภูมิปัญญาการทอผ้าและการ ออกแบบลวดลายผา้ แบบเจ้านายเมืองอบุ ลฯ ๒.บทบาทในการอธิบายและสร้างความเข้าใจเรื่อง “รูปแบบ” และ “คุณค่า/เนื้อหา/ ความหมาย” ของภูมิปัญญาการทอผ้าและลวดลายผ้าแบบของเจ้านายเมืองอุบลฯ ให้แก่ กลมุ่ เปา้ หมายใหช้ ัดเจน ๓.บทบาทของการต้ังคาถาม ๔.บทบาทเปน็ ผู้สรปุ ประเด็นและภาพรวมให้ชดั เจน ๕.บทบาทในการเป็นผ้จู ดั เงอ่ื นไขเพื่อให้เอ้ืออานวยต่อชาวบ้าน ชมุ ชนเจ้าของวฒั นธรรม ๖.บทบาทเปน็ ผ้หู นุนเสริม ตอกย้าใหก้ าลังใจ ๗.ท่าทีไม่ดูถูก/ไม่เปรียบเทียบวัฒนธรรมชุมชน และไม่มองวัฒนธรรมแบบสุดข้ัวด้านใดด้าน หนงึ่ แตจ่ ะต้องพจิ ารณามองตามความเป็นจริงด้วยใจที่เท่ยี งธรรม
๒๑ บทที่ ๔ ภมู หิ ลังด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ของเมืองอุบลฯ ๔.๑ ภมู ิหลงั ด้านโบราณคดีและชุมชนของพืน้ ท่ีเมืองอบุ ลฯ พ้ืนท่ีแผ่นดินซ่ึงเป็นท่ีต้ังจังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน มีความเป็นมาอันยาวนาน มีความสาคัญต่อ วิวัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นอย่างมาก อารยธรรมปากมูลได้ต้ังมั่นท่ีลุ่มแม่น้ามูล และลุ่มแม่น้าชี ตอนล่าง เป็นอู่อารยธรรมอันเก่าแก่ ร่องรอยชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ที่ปรากฏชัดเจน ได้แก่ ภาพเขียนก่อน ประวัติศาสตร์บริเวณผาขาม ผาแต้ม ผาหมอนและผาหมอนน้อย อาเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่ง มกั จะเรียกรวมเป็นช่ือแหล่งท่องเที่ยวว่า “ผาแตม้ ” กลุ่มภาพเขียนสีก่อนประวัตศิ าสตร์เป็นแนวยาวประมาณ ๙๐๐ เมตร ประกอบด้วย ภาพสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น ช้าง ปลาบึก เต่า ตะพาบน้า นอกจากน้ัน ยังมีภาพ เครอื่ งมือในการจบั ปลา ภาพวตั ถุ ภาพคน และภาพฝ่ามอื เปน็ ตน้ ภาพที่ ๔-๑ ภาพเขยี นกอ่ นประวัติศาสตรบ์ ริเวณผาแต้ม อาเภอโขงเจยี ม จงั หวดั อบุ ลราชธานี ทีม่ าภาพ: สิทธิชยั สมานชาติ, ๒๕๕๓. นักวิชาการทางโบราณคดีเชื่อว่า ภาพเขียนเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการเกษตรกรรม อันได้แก่ การ ประมง การทานา การเล้ียงสัตว์ นอกจากนั้นยังมีคอกหิน มีลักษณะคล้ายเป็นที่ประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับ ความอุดมสมบูรณ์ ภาพเขียนหน้าผาก็ดี คอกหินก็ดี แสดงให้เห็นถึงอาชีพ ความเชื่อของชุมชนในยุคก่อน ประวัติศาสตร์ ร่องรอยทางวัฒนธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์บนผืนดินเมืองอุบลราชธานีได้เหลือไว้จนเข้าสู่ยุค ประวัตศิ าสตร์ การปรับปรนทางวัฒนธรรมของตนเองซ่ึงเปน็ วฒั นธรรม ไต-ลาว วัฒนธรรมทไ่ี ดร้ บั จากภายนอก นั้นเป็นวัฒนธรรมที่ได้รบั มาจากพ้ืนที่ฝ่ังซ้ายของแม่น้าโขง คือ เวยี ดนาม จาม ขอม วฒั นธรรมจากภูมิภาคอื่น ของสยามประเทศ เช่น วัฒนธรรมทวารวดีจากลุ่มแม่น้าเจ้าพระยา การปรับปรน และการเกล่ือนกลืนทาง วัฒนธรรมได้เกิดมีในผืนดินน้ีเป็นเวลายาวนาน ทาให้ผู้คนในถิ่นเดิมสั่งสมประสบการณ์ สร้างฐานรองรับการ เติบโตของชุมชน บ้านเมืองให้มีวิวัฒนาการเด่นชัด จนเกิดแคว้นเจนละอันเป็นต้นเค้าของอาณาจักรขอม โบราณ (ระลกึ ธานแี ละคณะ, ๒๕๕๒ : ๓) แหล่งอารยธรรมทวารวดีท่ีบ้านเปือยหัวดง อาเภอลืออานาจ จังหวัดอานาจเจริญ (เดิมเป็นจังหวัดอ บุลราชธานี) มีเสมาหนิ บา้ นเปือยหัวดง ซึ่งเป็นเสมาหินสมัยทวารวดรี ุ่นแรก อายุประมาณพทุ ธศตวรรษ ที่ ๑๒
๒๒ ตลอดจนการพบจารึกของพระเจ้าจิตรเสนหลายหลัก รวมทั้งการค้นพบวฒั นธรรมที่ผสมผสานระหว่างเจนละ กับทวารวดีในหลายๆ แห่งบริเวณลุ่มแม่น้าชี นักวิชาการจึงได้ต้ังสมมติฐานว่า อาณาจักรเจนละยุคแรกเกิดที่ อบุ ลราชธานี ในปจั จบุ นั นี่เอง (ธิดา สาระยา, ๒๕๓๖ : ๑๐-๑๕) ภาพท่ี ๔-๒ ภาพหนิ แกะสลกั นนู ตา่ เปน็ ภาพพระนารายณบ์ รรทมสินธุ์ พรอ้ มดว้ ย พระลกั ษมี ท่ลี าโดมใหญ่ อาเภอนายืน จังหวดั อุบลราชธานี ท่มี าภาพ: กรมสง่ เสริมการปกครองทอ้ งถน่ิ , ๒๕๕๔. (http://info.dla.go.th) การค้นพบภาพหินแกะสลักนูนต่าเป็นภาพพระนารายณ์บรรทมสินธ์ุ พร้อมด้วยพระลักษมีท่ีลาโดม ใหญ่ อาเภอน้ายืน จังหวัดอุบลราชธานี ความยาวของหินท่ีแกะสลักประมาณ ๔ เมตร ภาพหนิ แกะสลักนี้ จม อยู่ใต้น้าท้ังหมด ซ่ึงจะมองเห็นได้เฉพาะในฤดูแล้งที่น้าลด ภาพหินแกะสลักนารายณ์บรรทมสินธุ์ชี้ถึงคติความ เชอื่ ตามศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู อันแสดงถึงภูมิภาคแหง่ น้ีมีความเชือ่ ถอื ในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู มาก่อน นอกจากวัฒนธรรมโบราณข้างต้นดังกล่าวแล้ว ยังพบหลักฐานว่าก่อนการอพยพลงมาตั้งถิ่นฐานของ กลุ่มเจ้านายเมืองอุบลฯ น้ัน ในบริเวณพื้นท่ีนี้เป็นเขตที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ “กยู ” (คนไทยเรียกชาวกูย ว่า “เขมรป่าดง” แต่ “ชาวกยู ” เรียกเรียกตัวองว่า “กยู ” หรือ “โกย” ซึ่งแปลว่า “คน” ส่วนคาวา่ \"สว่ ย\" น้ัน ชาวกูยไม่ค่อยยอมรับชื่อนี้ ซึ่งคาว่า “ส่วย” มาจากการท่ีกลุ่มน้ีหาของป่าส่งให้ราชสานัก เป็นการส่งส่วยหรือ ภาษ)ี ในบางเอกสารโบราณบันทึกว่า “ข่า” กเ็ ปน็ อีกชื่อทีน่ ับชาวกยู รวมอยู่ในกล่มุ “ขา่ ” น้ดี ว้ ย ภาพที่ ๔-๓ ภาพถ่ายเกา่ สมยั รชั กาลท่ี ๕ ในเมืองอุบลฯ ในภาพการแต่งกายของ กลุม่ ชาติพันธุ์กูย ทม่ี าภาพ: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
๒๓ ในเอกสารหลักฐานกฎหมายอยุธยาฉบับ พ.ศ. ๑๙๗๔ ( ไพฑูรย์ มีกุศล , ๒๕๐๐: ๑๗) ได้กล่าวถึง กษัตริย์ของเขมรท่ีนครธม ได้ทรงขอให้เจ้ากูยแห่งตะบองขะมุย ที่มีเมืองสาคัญอยู่ตอนใต้ของเมืองนครจาปา ศักด์ิ ได้ส่งทหารไปช่วยพระองค์ปราบขบถ เม่ือสาเร็จแล้วประมุขของทั้งสองฝ่ายได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ จึง กล่าวได้ว่าชนชาวกูยเคยมีการปกครองอย่างอิสระในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ เคยส่งทูตมาค้าขายกับราช สานักอยุธยา และช่วยกษัตริย์เขมรแห่งนครธมปราบขบถได้สาเร็จ ต่อมาผู้ปกครองชาวกูย ถูกเขมร ปราบปรามได้ และถูกรวมอยูใ่ นภายใต้การปกครองของเขมรเร่ือยมา จากหลกั ฐานของนายปอล เลวี ซึ่ง เป็นชาวฝรั่งเศส (อา้ งถึงใน จิตร ภูมศิ ักด,์ิ ๒๕๓๕) ได้ขุดค้นร่องรอยอารยธรรมบริเวณมลูไพร (มลูไพร=ป่าใบ พลู) ทางภาคเหนือของเขมร พบว่า ชาวกูยเป็นกลุ่มข่า ท่ีเขมรเรียกว่า กุย หรือสาแร เปือร์ลาวใต้ พวกนี้ คงจะต้องจบั ชา้ งศึกใหเ้ จ้านายเขมร นอกจากนั้นก็ยังตอ้ งถูกเกณฑไ์ ปทาหน้าทส่ี กัดหิน ขุดสระน้ามหมึ าทมี่ อี ยู่ มากมายในบริเวณนครธมและที่อื่นๆ ชาวกูย ในภาษาไทยเรียกพวกน้ีว่า “ส่วย” (จิตร ภูมิศักด์ิ, ๒๕๓๕ : ๔๗) ซง่ึ มีอย่เู ป็นจานวนมากทางตอนเหนือของกัมพูชาและแขวงจาปาศกั ด์ิ สาละวัน ศรสี ะเกษ สุรนิ ทร์ และ อัตตะปือ พวกนี้ต่อเนื่องเข้ามาทางภาคอีสานของไทย เขตจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และ บุรีรัมย์ ส่วนมากอยู่ใต้น้ามูล และจากการศึกษาของเลวี (อ้างใน ไพฑูรย์ มีกุศล, ๒๕๓๕: ๑๒๐) พบว่า สาเหตุที่ชาวกูยอพยพเข้าสู่ท่ีราบสูงโคราชหรือภาคอีสานของไทย มาจากการเปล่ียนแปลงทางการเมืองท่ี เกิดขึ้น เม่ือเจ้าสร้อยสมทุ รพุทธางกูรไดส้ ถาปนาอาณาจกั รจาปาศักดิ์ (แควน้ จาปาสัก) ในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๒๒ ชาวกูยที่อยู่ในเขตนครจาปาศักดิ์ จึงได้อพยพหนีภัยทางการเมืองข้ามลาน้าโขงเข้าสู่ภาคอีสาน ทางแก่ง สะพือ และแยกย้ายไปตั้งบ้านเรือนตามสถานท่ีต่างๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นท่ีน่าสังเกตว่าชาวไทย – กูย เหล่าน้ี ส่วนใหญ่มักจะต้ังหลักแหล่งอยู่ระหว่างแม่น้ามูลกับเทือกเขาดงรัก ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะบริเวณ ดังกล่าวมีป่าและน้าอุดมสมบูรณ์ ซ่ึงสะดวกในการเล้ียงช้างก็เป็นได้ ( สมทรง บุรุษพัฒน์, ๒๕๓๘ : สารานุกรมกล่มุ ชาติพันธใ์ุ นประเทศไทย: กูย) จากการศึกษาหลักฐานผ้าทอเมืองอบุ ลฯ พบวา่ เทคนคิ การทอผ้ามคี วามสัมพันธก์ ับผ้าของชาวกูย โดย พบว่ายังคงมีคนเชื้อสายกูยอาศัยอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี และรอยต่อระหว่างจังหวัดศรีสะเกษท่ีมี ความสัมพนั ธเ์ ปน็ เครือญาติกับช่างทอผ้าทีส่ ืบทอดการทอผา้ แบบเจ้านายเมอื งอบุ ลฯ สันนิษฐานได้วา่ คนกลุ่มนี้ ส่วนหนึง่ น่าจะเคยอยูอ่ าศยั ในฐานะบา่ วหรือเป็นแรงงานใหแ้ ก่เจ้านายเมืองอุบลฯ ภาพที่ ๔-๔ ภาพถ่ายเก่าสมยั รัชกาลที่ ๕ ในเมืองอุบลฯ ในภาพ ชาวบา้ น ใช้คุ (ตระกร้าสานลงชนั กนั นารวั่ ) วฒั นธรรมทส่ี ืบ ทอดอยู่ในกลุ่มชาตพิ ันธุ์กยู ที่มาภาพ: หอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ
๒๔ ๔.๒ ประวัติศาสตรข์ องเมืองอบุ ลฯ ประวัติ เจ้านายเมืองอบุ ลฯ มีความเป็นมาของตระกูลเจา้ นายเมืองอุบลราชธานี มีการสบื เชอ้ื สายจาก เจ้านครเชยี งรงุ้ แสนหวฟี า้ ราวปี พ.ศ. ๒๒๒๘ จนี ฮ่อธงขาวยกทัพมาปล้นเชยี งรงุ้ ทาใหเ้ จ้าเชยี งรุ้ง มเี จ้าแสนหวี ฟ้า เจา้ ปางคา ได้อพยพไพร่พลไปพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พระเจา้ สรุ ิยวงศาธรรมิกราชแหง่ เวยี งจนั ทน์ซงึ่ เปน็ ญาติทางฝ่ายมารดา (บาเพ็ญ ณ อบุ ล และคนงึ นติ ย์ จนั ทรบุตร, ๒๕๓๕: ๕) พระเจา้ สุรยิ วงศาธรรมิกราช ให้ การต้อนรบั เป็นอยา่ งดี โปรดใหน้ าไพร่พลไปตั้งที่เมืองหนองบัวลุ่มภู เมอื งนี้ จงึ อย่ใู นฐานะพิเศษ คอื ไม่ต้องส่ง สว่ ย บรรณาการ มีสิทธ์ิสัง่ สมไพร่พลอยา่ งเสรเี ป็นอสิ ระ ไม่ขึน้ ต่อเวียงจันทน์ มีชื่อว่า \"นครเขื่อนขนั ธก์ าบแกว้ บัวบาน\" สันนิษฐานวา่ นา่ จะมฐี านะเปน็ เมืองลูกหลวง ต่อมาพระเจา้ สรุ ยิ วงศาธรรมกิ ราชให้ เจ้าอนิ ทกุมาร เสก สมรสกบั พระราชธดิ าพระองค์หนงึ่ ไดโ้ อรสคอื เจา้ คา หรอื เจ้าองค์นก ให้เจา้ นางจนั ทกุมารี เสกสมรสกับ พระ อปุ ยวุ ราช ได้โอรสคือ เจ้ากงิ กศี ราช และ เจ้าอินทโสม ซึ่งตอ่ มา คอื บรรพบุรุษของเจ้านายหลวงพระบาง สว่ น เจา้ ปางคาใหเ้ สกสมรสกับพระราชนัดดา ไดโ้ อรส คือ เจา้ พระตา เจ้าพระวอ ภาพท่ี ๔-๕ ภาพเก่า นกหัสดลี ิงค์ ในงานพระศพที่เจา้ นายเมอื งอบุ ลฯ ใชต้ ามธรรมเนยี มของเจ้าฟา้ เมอื งเชยี งรุง้ ฯ ท่ีแสดงถึงการ สบื เชือสายจากเจา้ ปางคา ทม่ี าภาพ: หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ
๒๕ ประวัตคิ วามเป็นมาของเมืองอุบลราชธานี เร่มิ ต้นขนึ้ ราวปี พ.ศ. ๒๓๑๐ เม่ือพระตา พระวอเกิดความ ขดั แยง้ กับเจ้าสริ บิ ุญสาร เจ้าผู้ครองนครเวียงจันทนใ์ นยุคตอ่ มา ซงึ่ พระตา พระวอ เคยไดใ้ ห้ความชว่ ยเหลือสูร้ บ จนไดเ้ ปน็ กษตั รยิ ์ การแยกตวั ออกมาจากการอยู่ใต้อานาจของเวยี งจนั ทน์เข้ามาต้ังตวั อยู่ฝั่งขวาแมน่ ้าโขง สรา้ ง เมืองและตัง้ ชื่อเมืองในเชิงสัญลกั ษณ์ถึงความเปน็ อิสระและความเจริญรุ่งเรืองวา่ “นครเข่อื นขันธ์กาบแกว้ บัว บาน” (เตมิ วิภาคยพ์ จนกจิ , ๒๕๓๐: ๑๐๙) ทาให้เวยี งจันทนไ์ ม่อาจยินยอมได้ จงึ ปราบปรามและติดตามกาจดั เรื่อยมาจนพระตาตายในทรี่ บ แมห้ นีมาพ่ึงเมืองนครจาปาศักด์ทิ ่ีเปน็ เอกราชจากเวียงจนั ทน์ก็ตาม ยงั ไม่พน้ การ คุกคาม จนพระวอถูกจับได้และประหารชีวติ ทาให้ต้องหันมาพงึ่ พระบรมโพธสิ มภารของกรงุ ธนบรุ ี ภาพที่ ๔-๖ ภาพแสดงการอพยพ ตังถิ่นฐานของสายตระกลู เจ้านายเมืองอบุ ลฯ ทีม่ าภาพ: http://www.buapit.ac.th/manus/.htm ๑๙/๙/๕๒ อา้ งแลว้ ใน สมศรี ชยั วณิชยา, ๒๕๕๖: ๑๔๖
๒๖ ในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช บ้านเมอื งค่อนข้างสงบทรงมีนโยบายท่จี ะ จัดตั้งเมืองให้มากข้ึน ทั้งนี้เพ่ือเป็นการรวบรวมไพร่พลให้เป็นปึกแผ่น เพื่อความสงบสุข สมเด็จฯ กรมพระยา ดารงราชานุภาพได้ทรงกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า \"…รัชกาล ท่ี ๑ ถึงรัชกาลที่ ๓ ให้เจ้าเมืองร้าง เที่ยวเกลียกล่อมหา ผู้คนมาเป็นพลเมือง โดยไม่ต้องใช้อานาจ อาจทาได้ด้วยยินดีด้วยกัน ทุกฝ่ายก็สาเร็จประโยชน์ ถึงความมุ่ง หมาย เจ้าเมืองไหนเกลียกล่อมคนมาได้มาก ก็ได้ทรัพย์เศษส่วนและได้ผู้คนสาหรับอาศัยใช้สอยมากขึน ก็เต็ม ใจขวนขวาย ตังบ้านเมือง ฝ่ายราษฎรที่ไปเที่ยวหลบลี เดือดร้อนลาบากมากอยู่ เมื่อรู้ว่าบ้านเมืองเรียบร้อย อย่างเดิม ก็ยินดีที่จะกลับมา โดยมาก……\" คงจะเป็นเพื่อสนองตอบพระบรมราโชบาย ในการต้ังเมืองดังกล่าว มาแล้ว และเพื่อความอุดมสมบูรณ์ในการประกอบอาชีพของ ไพร่บ้านพลเมือง \"….ในปี พ.ศ.๒๓๒๙ ( จุล ศักราช ๑๑๔๘ ปีมะเมีย นพศก) พระประทุมจึงย้ายครอบครัวไพร่พลมาตังอยู่ ณ ตาบลแจระแม คือตาบล ทีต่ ังอยูท่ างทิศเหนอื เมอื งอบุ ลฯ ในปจั จุบนั …..\" พระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคาผง) ผู้ก่อตั้งเมืองอุบลราชธานี เป็นบุตรของพระตาและนางบุศดี เกิดเม่ือปี พ.ศ.๒๒๕๒ ที่นครเวียงจันทน์ เสกสมรสกับเจ้านางตุ่ย ธิดาอุปราช (ธรรมเทโว) อนุชา ของพระเจ้า องค์หลวง (ไชยกุมาร) เจ้านครจาปาศักด์ิ ได้รับแต่งต้ังเป็น พระประทุมสุรราช เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๓ อันเป็น ตาแหนง่ นายกกองใหญค่ ุมเลก (ไพร่) อยู่ท่ีบา้ นดู่ บา้ นแก ขึ้นกับนครจาปาศักด์ิ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๒๙ ไดย้ ้าย ครอบครวั และไพร่พลจากบา้ นดู่ บ้านแก มาตั้งบา้ นเมืองใหม่ท่ตี าบลห้วยแจระแม ภาพท่ี ๔-๗ ภาพพิมพ์ของฝรัง่ เศส บนั ทกึ งานขนึ ครองราชย์ ของเจ้าเมืองอบุ ลฯ ทมี่ าภาพ: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343