101 101 เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1
1๑๐0๒2 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๓) ใหศ้ กึ ษาศลิ ปวทิ ยา ๔) หาคคู่ รองทสี มควรให้ ๕) มอบทรพั ยม์ รดกใหใ้ นสมยั บุตรธิดา เป็นความหวังของมารดาบิดา ท่านต้องลงทุนลงแรงเป็นอย่างมาก ในการเลยี งดู อบรมบ่มนิสยั สงั สอนเพอื ใหล้ ูกเป็นคนดี ลูกควรมสี ามญั สํานึกในการตอบแทน พระคณุ ทา่ น หน้าทขี องบตุ รธดิ าทพี งึ ปฏบิ ตั ติ ่อมารดาบดิ า มี ๕ ประการ คอื ๑) ทา่ นเลยี งเรามาตอ้ งเลยี งทา่ นตอบ ๒) ชว่ ยทาํ กจิ การงานของทา่ น ๓) ดาํ รงรกั ษาชอื เสยี งของวงศต์ ระกลู ๔) ประพฤตติ นใหด้ เี หมาะสมทจี ะรบั ทรพั ยม์ รดก ๕) เมอื ทา่ นถงึ แกก่ รรม ทาํ บญุ อทุ ศิ สว่ นกศุ ลใหท้ า่ น ๒. ทกั ขิณทศิ คอื ทศิ เบ้ืองขวา (ผคู้ วรเคารพ) ไดแ้ ก่ ครอู าจารย์ ทถี อื ว่าเป็นทศิ เบอื งขวา เพราะครอู าจารยเ์ ป็นผใู้ หค้ วามรคู้ วามถนดั ชาํ นาญในศลิ ปวทิ ยาอนั เป็นเครอื งมอื ในการทาํ มาหาเลยี งชพี ครอู าจารยจ์ งึ มคี วามสาํ คญั ในการสงั สอนหล่อหลอมเยาวชนใหเ้ ป็นคนเกง่ คนดี หนา ทข่ี องครอู าจารย ท่พี งึ อนุเคราะหศ ิษย มี ๕ ประการ คือ ๑) แนะนําดี คอื สอนในสงิ ทดี มี ปี ระโยชน์ พรอ้ มปฏบิ ตั ติ นใหเ้ ป็นตวั อยา่ งทดี ี ๒) ใหเ้ รยี นดี คอื สอนใหม้ คี วามเขา้ ใจในเนือหาอยา่ งถกู ตอ้ ง ๓) บอกศลิ ปะใหส้ นิ เชงิ ไมป่ ิดบงั อาํ พราง คอื ถ่ายทอดวชิ าความรโู้ ดยไม่ปิดบงั หรอื ขยกั ไว้ เพราะกลวั ว่าลกู ศษิ ยจ์ ะรทู้ นั ๔) ยกย่องใหป้ รากฏในเพอื นฝงู คอื ยกย่องความดคี วามสามารถของศษิ ยใ์ ห้ ปรากฏในหม่เู พอื นฝงู และสงั คม เพอื กระตุ้นและใหก้ าํ ลงั ใจการทาํ ความดแี ละรกั ษาความดไี ว้ ๕) ทาํ ความป้องกนั ในทศิ ทงั หลาย คอื ป้องกนั ไมใ่ หท้ าํ ความเสอื มเสยี ชอื เสยี งทงั แก่ ตนเองและสถาบนั ศิษย เมอื ไดร้ บั อปุ การคณุ จากครอู าจารยแ์ ลว้ ควรทจี ะมสี าํ นึกทดี ตี ่อทา่ น ไม่ประพฤติ ลว่ งเกนิ ทา่ นทงั ทางกาย วาจา ใจ ทงั ตอ่ หน้าและลบั หลงั หนา ที่อันศษิ ยพ ึงปฏบิ ัติตอ ครูอาจารย มี ๕ ประการ คือ ๑) ลกุ ขนึ รบั คอื ใหก้ ารตอ้ นรบั เมอื พบเหน็ ทา่ นทใี ดกแ็ สดงความเคารพ ๒) เขา้ ไปยนื คอยรบั ใช้ คอื เสนอตวั รบั ใชเ้ ป็นการแสดงนําใจใหท้ า่ นเหน็ 102
103 103 เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1
1๑0๐๔4 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ความรกั ใคร่ต่อกนั คอื เพอื นนันเอง การจะได้รบั ความรกั ใคร่จริงใจจากมติ ร เราก็ต้องรู้จกั ทาํ หน้าทเี ป็นเพอื นเป็นมติ รทดี ตี ่อผอู้ นื กอ่ น หนาทข่ี องมติ รที่พงึ ปฏิบตั ติ อ มิตร มี ๕ ประการ คอื ๑) ใหป้ นั คอื รจู้ กั แบ่งปนั เสยี สละ เออื เฟือเผอื แผต่ ่อกนั และกนั ๒) เจรจาถอ้ ยคาํ ไพเราะ คอื พดู จาดว้ ยถอ้ ยคาํ ทไี พเราะถกู ใจของกนั และกนั ๓) ประพฤตปิ ระโยชน์ คอื ทาํ ตวั ใหเ้ ป็นประโยชน์ ช่วยเหลอื เกอื กลู กนั ในกจิ การ ทจี าํ เป็น ไมเ่ ป็นคนตระหนแี รงและใจแคบ ๔) มตี นเสมอ คอื ทาํ ตวั เสมอตน้ เสมอปลายตอ่ กนั ทงั ต่อหน้าและลบั หลงั ๕) ไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความเป็นจรงิ คือ ไม่กล่าวคําให้ร้าย พูดแต่คําจริง ซอื สตั ยต์ อ่ กนั มิตร เมอื ได้รบั การปฏิบตั ิจากมติ รเช่นนี เป็นหน้าทขี องตนทจี ะต้องปฏิบตั ิตอบ ต่อมติ รในทางทถี กู ตอ้ ง หนาที่ของมติ รทีพ่ ึงปฏิบัติตอ มิตรดว ยกนั มี ๕ ประการ คอื ๑) รกั ษามติ รผปู้ ระมาทแลว้ คอื เมอื มติ รประมาทหรอื หลงผดิ ไปในทางใดทางหนึง กห็ าทางเตอื นสตใิ หเ้ หน็ ทางทถี กู ตอ้ ง ๒) รกั ษาทรพั ยส์ มบตั ขิ องมติ รผปู้ ระมาทแลว้ คอื รกั ษาทรพั ยข์ องเพอื นมใิ หเ้ สยี หาย หรอื ชว่ ยปกป้องรกั ษาสทิ ธใิ นทรพั ยข์ องเพอื นมใิ หถ้ กู โกง มใิ หถ้ กู เบยี ดบงั หรอื ลกั ขโมย ๓) เมือมิตรมีภัย เป็นทีพึงพํานักของมิตรได้ คือ ในคราวประสบภัยสามารถ ชว่ ยเหลอื เป็นทพี งึ ได้ ๔) ไม่ละทงิ มติ รในยามเกดิ ความวบิ ตั เิ ดอื ดรอ้ น คอื ไม่ละทงิ ในยามทกุ ขย์ าก คอื เมอื มติ รประสบความวบิ ตั กิ ไ็ มป่ ลกี ตวั ออกหา่ ง ๕) นับถอื ตลอดไปถงึ วงศาคณาญาตขิ องมติ ร คอื การแสดงความเคารพเออื เฟือ ตอ่ ผใู้ หญแ่ ละผนู้ ้อยในสกลุ ของมติ ร ๕. เหฏฐิมทิศ ทศิ เบอื งตํา (ผเู้ ป็นฐานกําลงั ) ไดแ้ ก่ ขา้ ทาส บรวิ าร บ่าวไพร่ หรอื ลูกจา้ ง ผนู้ ้อยกค็ วรทาํ หน้าทขี องตนใหเ้ ตม็ ความสามารถ ไมข่ าดตกบกพรอ่ ง หนา ทท่ี ่ีพงึ ปฏิบตั ิในฐานะเปน ลูกจาง มี ๕ ประการ คอื ๑) ลุกขนึ ทําการงานก่อนนาย คือ เริมทําการงานก่อนนาย ตรงต่อเวลา ทํางาน บางอยา่ งไดโ้ ดยไมต่ อ้ งรอคาํ สงั 104
1๑0๐๕5 วชิ า ธรรมวิภาค ๒) เลิกงานทีหลังนาย คือ ในบางครงั แม้หมดเวลางานแต่ยังไม่เสร็จเหลือเพียง เลก็ น้อย กค็ วรทาํ เสยี ใหเ้ สรจ็ ๓) ถอื เอาแต่ของทนี ายให้ คอื ไมล่ กั ขโมยของทนี ายไมไ่ ดใ้ ห้ เป็นคนดไี มม่ อื ไว ใจเรว็ ๔) ทํางานให้ดีขึน คือ ปรับปรุงตัวเองในการทํางานอยู่เสมอ ทังด้านความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ ๕) นําคุณความดขี องนายไปสรรเสรญิ ในทนี ัน ๆ คอื การนําความดขี องนายจา้ งและ กจิ การไปเผยแพรใ่ หค้ นอนื ไดร้ ู้ นายจาง หรอื ผบู้ งั คบั บญั ชา เป็นผใู้ หญ่จะดูเด่นเป็นสงา่ ได้ กเ็ พราะฐานคอื บรวิ าร จงึ ปฏบิ ตั หิ น้าทขี องนายใหเ้ หมาะสม หนาทขี่ องนายจา งท่พี ึงปฏิบตั ติ อลูกจา ง มี ๕ ประการ คอื ๑) จดั การงานใหท้ าํ ตามสมควรแกก่ าํ ลงั คอื ใหท้ าํ งานทเี หมาะสมแก่กาํ ลงั ทงั ทาง กายและความสามารถ วยั เพศ และสตปิ ญั ญา ๒) ใหอ้ าหารและรางวลั คอื ใหค้ า่ จา้ งทเี หมาะสมกบั งานทที าํ เพอื ใหเ้ ขาเป็นอย่ไู ด้ ไมเ่ ดอื ดรอ้ น และถา้ กจิ การดมี กี าํ ไรกค็ วรเพมิ รางวลั พเิ ศษให้ ๓) รกั ษาพยาบาลในเวลาเจ็บไข้ คอื เมอื ลูกจ้างเกดิ เจ็บป่วยหรอื เกิดอุบัติเหตุขนึ ในขณะปฏบิ ตั งิ าน นายจา้ งจะตอ้ งถอื เป็นธุระในการพาไปหาหมอ หรอื จดั ยา จดั คนใชด้ แู ลให้ ๔) แจกของมีรสแปลกให้กิน คือ เอือเฟือด้วยของกินในเวลาทมี ีหรือได้ของมี รสชาตแิ ปลก ๆ หรอื ทพี เิ ศษมา ๕) ปล่อยในสมยั คอื ปล่อยใหม้ กี ารหยุดงานในบางโอกาส เช่น ในเทศกาล เพอื การ พกั ผอ่ นหยอ่ นใจ เพอื เตมิ ไฟในการทาํ งาน ๖. อุปริมทิศ ทศิ เบอื งบน (ผูม้ คี ุณความดีสูง) ได้แก่ สมณพราหมณ์ บรรพชติ หรอื ภกิ ษุ คอื นักบวชในพระพุทธศาสนา เป็นผู้ดํารงอย่ใู นเพศภาวะทสี ูง ทําหน้าทอี บรม สงั สอน ประชาชน อทุ ศิ ตนเป็นผนู้ ําทางจติ ใจเผยแผพ่ ทุ ธธรรมเพอื ใหเ้ กดิ ประโยชน์สขุ แกม่ วลมนุษย์ หนาท่ีของสมณพราหมณที่พึงอนุเคราะหค ฤหัสถ มี ๖ ประการ คือ ๑) หา้ มมใิ หก้ ระทําความชวั คอื ชแี จงถงึ ผลชวั ทจี ะไดร้ บั หากขนื ทํา เตอื นสตมิ ใิ ห้ หลงระเรงิ ในอบายมขุ ๒) แนะนําใหต้ งั อยใู่ นความดี คอื บอกกล่าวผลดที จี ะไดร้ บั หากปฏบิ ตั ติ าม ๓) อนุเคราะหด์ ว้ ยนําใจอนั ดงี าม คอื สงเคราะห์ดว้ ยวตั ถุ ใหค้ าํ ปรกึ ษาแนะนําดว้ ย นําใจดงี าม เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 105
เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 106 106
1๑0๐7๗ วชิ า ธรรมวิภาค ๑. ด่ืมน้ําเมา คอื ชอบดมื สุรา เบยี ร์ ไวน์ สาโท อุ กระแช่ เป็นตน้ รวมถงึ เสพสงิ เสพตดิ ทมี ผี ลรา้ ยต่อร่างกาย เช่น บุหรี กญั ชา ฝิน ยาบ้า ยาอี สารระเหย เป็นต้น ดมื นําเมา มโี ทษ ๖ ประการ คอื ๑) เป็นตน้ เหตใุ หเ้ สยี ทรพั ย์ ๒) เป็นตน้ เหตุแหง่ การทะเลาะววิ าท ๓) เป็นตน้ เหตุแหง่ โรครา้ ยต่าง ๆ ๔) เป็นตน้ เหตใุ หถ้ กู ตเิ ตยี น ๕) เป็นตน้ เหตุใหไ้ มร่ จู้ กั อาย ๖) เป็นตน้ เหตุใหท้ อนปญั ญา ๒. เทีย่ วกลางคนื เป็นหนทางนําไปสคู่ วามเสอื ม ๖ ประการ คอื ๑) ชอื วา่ ไมค่ มุ้ ครองรกั ษาตน ๒) ชอื ว่าไมค่ มุ้ ครองรกั ษาลกู เมยี ๓) ชอื วา่ ไมร่ กั ษาทรพั ยส์ มบตั ิ ๔) เป็นทรี ะแวงสงสยั ของคนทงั หลาย ๕) มกั ถกู ใสค่ วาม ๖) ไดร้ บั ความลาํ บาก ๓. เที่ยวดูการละเลน มโี ทษ ๖ ประการ ตามประเภทของมหรสพทไี ปเทยี วดู คอื ๑) มกี ารเตน้ ราํ ทไี หนไปทนี นั ๒) มกี ารขบั รอ้ งทไี หนไปทนี นั ๓) มกี ารดดี สตี เี ปา่ ขบั ประโคมทไี หนไปทนี นั ๔) มเี สภาทไี หนไปทนี นั ๕) มกี ารบรรเลงเพลงทไี หนไปทนี นั ๖) มเี ถดิ เทงิ สนุกสนานทไี หนไปทนี นั ๔. เลนการพนัน : การพนนั เป็นการแขง่ ขนั กนั ดว้ ยทนุ ทรพั ย์ ทงั ทเี ป็นเงนิ ทองสงิ ของ มคี า่ อนื ๆ คนตดิ การพนนั ทา่ นวา่ ยากทจี ะตงั ตวั ได้ การพนันจึงใหโ ทษทนั ตา ๖ ประการ คือ ๑) เมอื ชนะยอ่ มกอ่ เวร ๒) เมอื แพย้ อ่ มเสยี ดายทรพั ย์ ๓) ทรพั ยย์ อ่ มฉบิ หาย เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 107
1๑0๐๘8 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๔) ไมม่ ใี ครเชอื ถอื ถอ้ ยคาํ ๕) เป็นทหี มนิ ประมาทของเพอื น ๖) ไมม่ ใี ครประสงคแ์ ตง่ งานดว้ ย ๕. คบคนชว่ั เปน มิตร มโี ทษตามบุคคลทคี บ ๖ ประเภท คอื ๑) นําใหเ้ ป็นนกั เลงการพนนั คอื คบนกั เลงการพนนั กช็ กั ชวนในทางเล่นการพนนั ๒) นําใหเ้ ป็นนกั เลงเจา้ ชู้ คอื คบคนเจา้ ชู้ กช็ กั ชวนในทางเจา้ ชู้ ๓) นําใหเ้ ป็นนกั เลงเหลา้ คอื คบคนขเี หลา้ เมายา กช็ กั ชวนดมื สุรา เครอื งดองของ มนึ เมาอนื ๆ รวมถงึ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษทกุ ชนิด ๔) นําให้เป็นคนลวงเขาด้วยของปลอม คอื คบคนขฉี ้อหลอกลวง ก็ชกั ชวนให้ หลอกลวงผอู้ นื หากนิ ๕) นําใหเ้ ป็นคนลวงเขาซงึ หน้า คอื คบคนขโี กง กช็ กั ชวนใหค้ ดโกงผอู้ นื ดว้ ยวธิ ตี า่ ง ๆ ๖) นําใหเ้ ป็นคนหวั ไม้ คอื คบนักเลงหวั ไม้ กช็ กั ชวนเทยี วเกะกะระราน ทะเลาะ ววิ าทผอู้ นื ทวั ไป ๖. เกียจครานการทํางาน : ความเกยี จครา้ นเป็นอุปสรรคทขี ดั ขวางความเจรญิ ก้าวหน้า อนั ยงิ ใหญข่ องมนุษย์ ผทู้ ไี มป่ ระสบความสาํ เรจ็ ในชวี ติ หน้าทกี ารงาน หรอื ไดร้ บั ความยากลําบาก เพราะเรอื งตา่ ง ๆ กเ็ พราะมคี วามเกยี จครา้ นเป็นตวั คอยฉุดรงั ใหจ้ มปลกั อยกู่ บั ความลม้ เหลว ขอ อางของคนเกยี จคราน มี ๖ ประการ คอื ๑) มกั อา้ งว่าหนาวเกนิ ไป แลว้ ไมย่ อมทาํ การงาน ๒) มกั อา้ งวา่ รอ้ นเกนิ ไป แลว้ ไมย่ อมทาํ การงาน ๓) มกั อา้ งวา่ เวลาเยน็ เกนิ ไป แลว้ ไมย่ อมทาํ การงาน ๔) มกั อา้ งวา่ เชา้ เกนิ ไป แลว้ ไมย่ อมทาํ การงาน ๕) มกั อา้ งวา่ หวิ เกนิ ไป แลว้ ไมย่ อมทาํ การงาน ๖) มกั อา้ งว่ากระหายเกนิ ไป แลว้ ไมย่ อมทาํ การงาน 108
1๑0๐9๙ วชิ า ธรรมวภิ าค ¢ŒÍÊͺ¸ÃÃÁʹÒÁËÅǧ ËÅÑ¡Êμ٠ùѡ¸ÃÃÁªÑé¹μÃÕ ÇÔªÒ¸ÃÃÁÇÔÀÒ¤ »‚ ¾.È. òõõö - òõõø เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 109
๑1๑1๐0 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 »Þ˜ ËÒáÅÐà©ÅÂÇªÔ Ò¸ÃÃÁ ¹Ñ¡¸ÃÃÁª¹éÑ μÃÕ Êͺã¹Ê¹ÒÁËÅǧ Çѹ¾ÄËÊÑ º´Õ ·Õè òò μØÅÒ¤Á ¾.È. òõõø ๑. บพุ พการี และ กตญั ูกตเวที หมายถงึ บคุ คลเช่นไร ? เฉลย บพุ พการี หมายถงึ บคุ คลผูท้ าํ อปุ การะก่อน กตญั ูกตเวที หมายถงึ บคุ คลผูร้ ู้ อปุ การะทที ่านทาํ แลว้ และ ตอบแทน ฯ ๒. พระธรรม คอื อะไร ? มีคุณต่อผูป้ ฏบิ ตั อิ ยา่ งไร ? เฉลย พระธรรม คือคาํ สงั สอนของพระพทุ ธเจา้ ฯ มคี ุณ คือย่อมรกั ษาผูป้ ฏบิ ตั ิไมใ่ หต้ กไปในทชี วั ฯ ๓. บญุ กริ ิยาวตั ถุ คอื อะไร ? โดยย่อมเี ท่าไร ? อะไรบา้ ง ? เฉลย คือสงิ เป็นทตี งั แห่งการบาํ เพ็ญบญุ ฯ มี ๓ ฯ คือ ๑. ทานมยั บญุ สาํ เรจ็ ดว้ ยการบรจิ าคทาน ๒. สลี มยั บญุ สาํ เรจ็ ดว้ ยการรกั ษาศีล ๓. ภาวนามยั บญุ สาํ เรจ็ ดว้ ยการเจรญิ ภาวนา ฯ ๔. ธรรมดจุ ลอ้ รถนําไปสูค่ วามเจริญ เรยี กวา่ อะไร ? จงบอกมาสกั ๒ ขอ้ เฉลย เรยี กวา่ จกั ร ฯ ไดแ้ ก่ ๑. ปฏริ ูปเทสวาสะ อยูใ่ นประเทศอนั สมควร ๒. สปั ปรุ สิ ูปสั สยะ คบสตั บรุ ุษ ๓. อตั ตสมั มาปณิธิ ตงั ตนไวช้ อบ ๔. ปพุ เพกตปญุ ญตา ความเป็นผูไ้ ดท้ าํ ความดไี วใ้ นปางก่อน ฯ (เลอื กตอบเพยี ง ๒ ขอ้ ) 110
1๑1๑1๑ วชิ า ธรรมวภิ าค ๕. บคุ คลผูร้ กั ษาความยุตธิ รรมไวไ้ ด้ ควรเวน้ จากธรรมอะไร ? ธรรมนนั มีอะไรบา้ ง ? เฉลย ควรเวน้ จากอคติ ๔ ฯ มี ๑. ความลาํ เอยี งเพราะรกั ใคร่กนั เรยี กว่า ฉนั ทาคติ ๒. ความลาํ เอยี งเพราะไม่ชอบกนั เรยี กวา่ โทสาคติ ๓. ความลาํ เอยี งเพราะเขลา เรยี กว่า โมหาคติ ๔. ความลาํ เอยี งเพราะกลวั เรยี กว่า ภยาคติ ฯ ๖. กรรมอนั เป็นบาปหนักทสี ุด หา้ มสวรรค์ หา้ มนิพพาน คอื กรรมอะไร ? จงยกตวั อยา่ งสกั ๓ ขอ้ เฉลย คอื อนนั ตรยิ กรรม ฯ มี ๑. มาตฆุ าต ฆ่ามารดา ๒. ปิตฆุ าต ฆ่าบดิ า ๓. อรหนั ตฆาต ฆ่าพระอรหนั ต์ ๔. โลหติ ปุ บาท ทาํ รา้ ยพระพทุ ธเจา้ จนถงึ ยงั พระโลหติ ใหห้ อ้ ขนึ ไป ๕. สงั ฆเภท ยงั สงฆใ์ หแ้ ตกจากกนั ฯ (เลอื กตอบเพยี ง ๓ ขอ้ ) ๗. อานิสงสแ์ หง่ การฟงั ธรรม มอี ะไรบา้ ง ? เฉลย มี ๑. ผูฟ้ งั ธรรมย่อมไดฟ้ งั สงิ ทยี งั ไมเ่ คยฟงั ๒. สงิ ใดไดเ้คยฟงั แลว้ แต่ไมเ่ ขา้ ใจชดั ยอ่ มเขา้ ใจสงิ นนั ชดั ๓. บรรเทาความสงสยั เสยี ได้ ๔. ทาํ ความเหน็ ใหถ้ กู ตอ้ งได้ ๕. จติ ของผูฟ้ งั ยอ่ มผอ่ งใส ฯ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 111
๑1๑1๐2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี คหิ ปิ ฏบิ ตั ิ ๘. ธรรม ๔ ประการ ทีเป็ นไปเพอื ประโยชน์เกอื กูลเพือสุขในปจั จุบนั เรียกว่าอะไร ? มี อะไรบา้ ง ? เฉลย เรยี กว่า ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถประโยชน์ ฯ มี ๑. อฏุ ฐานสมั ปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยความหมนั ในการประกอบกจิ อนั ควร ๒. อารกั ขสมั ปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยการรกั ษา ทงั ทรพั ยแ์ ละการงานของตน ไมใ่ ห้ เสอื มไป ๓. กลั ยาณมติ ตตา ความมเี พอื นเป็นคนดี ไมค่ บคนชวั ๔. สมชวี ติ า ความเลยี งชวี ติ ตามสมควรแก่กาํ ลงั ทรพั ยท์ หี าได้ ฯ ๙. มติ รมีหลายจาํ พวก อยากทราบว่ามิตรแท้ ๔ จาํ พวกมีอะไรบา้ ง ? เฉลย มี ๑. มติ รมอี ปุ การะ ๒. มติ รร่วมสุขร่วมทกุ ข์ ๓. มติ รแนะประโยชน์ ๔. มติ รมคี วามรกั ใคร่ ฯ ๑๐. บตุ รธิดาพงึ ปฏบิ ตั ติ อ่ มารดาบดิ าอย่างไร ? เฉลย พงึ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งนี ๑. ท่านไดเ้ลยี งมาแลว้ เลยี งทา่ นตอบ ๒. ทาํ กจิ ของทา่ น ๓. ดาํ รงวงศส์ กลุ ๔. ประพฤตติ นใหเ้ป็นคนควรรบั ทรพั ยม์ รดก ๕. เมอื ทา่ นลว่ งลบั ไปแลว้ ทาํ บุญอทุ ศิ ใหท้ ่าน ฯ ********* เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 112
1๑1๑3๑ วชิ า ธรรมวิภาค »˜ÞËÒáÅÐà©ÅÂÇÔªÒ¸ÃÃÁ ¹Ñ¡¸ÃÃÁª¹éÑ μÃÕ Êͺã¹Ê¹ÒÁËÅǧ Ç¹Ñ È¡Ø Ã ·èÕ ó μÅØ Ò¤Á ¾.È. òõõ÷ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 113
๑1๑1๐4 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 114
1๑1๑5๑ วชิ า ธรรมวิภาค เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 115
๑1๑1๐6 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ปญหาและเฉลยวชิ าธรรม นกั ธรรมชนั้ ตรี สอบในสนามหลวง วนั จนั ทร ที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๖ ๑. หิริ และ โอตตัปปะ ไดชื่อวา ธรรมเปนโลกบาล เพราะเหตุไร ? ๑. เพราะเป็นคณุ ธรรมทาํ บุคคลใหร้ งั เกยี จ และเกรงกลวั ต่อบาปทจุ รติ ไมก่ ลา้ ทาํ ความชวั ทงั ใน ทลี บั และทแี จง้ ฯ ๒. การทําบญุ โดยยอมีกอี่ ยา ง ? อะไรบาง ? ๒. มี ๓ อยา่ ง ฯ คอื ทาน ศลี ภาวนา ฯ ๓. เหตใุ หเกดิ ทุกขใ นอริยสจั คืออะไร ? ๓. คอื ตณั หา ความทะยานอยาก ฯ ๔. อภิณหปจจเวกขณ คือขอที่ควรพิจารณาเนือง ๆ ๕ อยาง ทรงสอนใหพิจารณา อะไรบาง ? ๔. ทรงสอนใหพ้ จิ ารณา ๑. ความแก่ วา่ เรามคี วามแกเ่ ป็นธรรมดาไมล่ ่วงพน้ ความแกไ่ ปได้ ๒. ความเจบ็ ไข้ วา่ เรามคี วามเจบ็ ไขเ้ ป็นธรรมดาไมล่ ่วงพน้ ความเจบ็ ไขไ้ ปได้ ๓. ความตาย วา่ เรามคี วามตายเป็นธรรมดาไมล่ ่วงพน้ ความตายไปได้ ๔. ความพลดั พราก ว่าเราจะตอ้ งพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจทงั สนิ ๕. กรรม วา่ เรามกี รรมเป็นของตวั เราทาํ ดจี กั ไดด้ ี ทาํ ชวั จกั ไดช้ วั ฯ ๕. ขันธ ๕ ไดแกอะไรบาง ? ยอเปน ๒ อยางไร ? ๕. ไดแ้ ก่ รปู ขนั ธ์ เวทนาขนั ธ์ สญั ญาขนั ธ์ สงั ขารขนั ธ์ และวญิ ญาณขนั ธ์ ฯ อยา่ งนี คอื รปู ขนั ธ์ คงเป็นรปู เวทนาขนั ธ์ สญั ญาขนั ธ์ สงั ขารขนั ธ์ และวญิ ญาณขนั ธ์ ๔ ขนั ธน์ ีเป็นนาม ฯ 116
1๑1๑7๑ วชิ า ธรรมวิภาค ๖. บรรพชิตผูพจิ ารณาเนอื ง ๆ วา วันคืนลว งไป ๆ บัดน้เี ราทําอะไรอยู จะไดร บั ประโยชนอะไร ? ๖. จะไดร้ บั ประโยชน์ คอื เป็นผไู้ ม่ประมาท มคี วามเพยี ร งดเวน้ สงิ ทเี ป็นโทษทาํ ในสงิ ทเี ป็น ประโยชน์ ฯ ๗. จงใหความหมายของคําตอ ไปนี้ ง. กามฉันท ฯ ก. พาหุสจั จะ ข. อกสุ ลมลู ค. อินทรยี สงั วร ฆ. อนัตตตา ๗. ก. ความเป็นผศู้ กึ ษามาก ข. รากเหงา้ ของอกศุ ล ค. ความสาํ รวมอนิ ทรยี ์ ฆ. ความเป็นของไมใ่ ชต่ น ง. ความพอใจรกั ใครใ่ นอารมณ์ทชี อบใจมรี ปู เป็นตน้ ฯ คิหปิ ฏิบตั ิ ๘. มติ รแท มกี ่ีจาํ พวก ? อะไรบาง ? ๘. มี ๔ จาํ พวก ฯ คอื ๑. มติ รมอี ปุ การะ ๒. มติ รรว่ มสขุ รว่ มทกุ ข์ ๓. มติ รแนะประโยชน์ ๔. มติ รมคี วามรกั ใคร่ ฯ ๙. คุณธรรมเปนเคร่ืองยึดเหน่ียวใจของผูอื่นไวไ ด มีอะไรบา ง ? ๙. มี ๑. ทาน ใหป้ นั สงิ ของของตนแกผ่ อู้ นื ทคี วรใหป้ นั ๒. ปิยวาจา เจรจาวาจาทอี อ่ นหวาน ๓. อตั ถจรยิ า ประพฤตสิ งิ ทเี ป็นประโยชน์แกผ่ อู้ นื ๔. สมานตั ตตา ความเป็นคนมตี นเสมอไมถ่ อื ตวั ฯ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 117
1๑๑1๒8 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๑๐. ศีลที่คฤหัสถควรรักษาเปนนิตย คอื ศีลอะไร ? ไดแกอ ะไรบาง ? ๑๐. คอื ศลี ๕ ฯ ไดแ้ ก่ ๑. เวน้ จากทาํ ชวี ติ สตั วใ์ หต้ กล่วงไป ๒. เวน้ จากถอื เอาสงิ ของทเี จา้ ของไมไ่ ดใ้ หด้ ว้ ยอาการแหง่ ขโมย ๓. เวน้ จากประพฤตผิ ดิ ในกาม ๔. เวน้ จากพดู เทจ็ ๕. เวน้ จากดมื นําเมา คอื สรุ าและเมรยั อนั เป็นทตี งั แหง่ ความประมาท ฯ 118
1๑1๑9๗ วชิ า พทุ ธประวตั ิ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 119
๑1๑2๘0 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ขอบขา ยเนอ้ื หา วิชา พทุ ธประวตั ิ 120
1๑2๑๙1 วชิ า พทุ ธประวัติ ปรุ ิมกาล บทท่ี ๑ ชมพูทวปี และประชาชน ชมพูทวีป คือ บริเวณพื้นที่ท่ีเรียกในปจจุบันนี้วา ประเทศอินเดีย รวมท้ังบางสวนของ ประเทศเนปาล ปากีสถาน และบังคลาเทศ ตั้งอยูทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (ทิศพายัพ) ของประเทศไทย ทิศเหนือมีเทือกเขาหิมาลัยกั้น ทิศตะวันตกและทิศตะวันออกจรดมหาสมุทรอินเดีย ภูมิประเทศ ตรงกลางมีภูเขาวินทยะต้ังเปนแนวจากทิศตะวันตกมาทางทิศตะวันออก ตั้งแตคร้ังดึกดําบรรพ ชมพูทวีปเปนประเทศท่ีอุดมสมบูรณกวาประเทศอ่ืน ๆ เหตุที่ไดช่ือวาชมพูทวีป สันนิษฐานวา เปน เพราะมไี มหวา มาก ชนท่ีปกครองชมพูทวีปมี ๒ กลุม แตไมไดปกครองในคราวเดียวกัน กลุมท่ีปกครองมา กอ น คือ พวกมลิ กั ขะ หรือ ดราวิท เปนเจาของถิ่นเดิม เปนผูปกครองดินแดนน้ีมากอน แตเปน ชนชาติท่ีไมรูจักขนบธรรมเนียม และวิธีการปกครองท่ีจะทําใหบานเมืองดําเนินไปสูความเจริญ ทั้งไมมีความรูในกลยุทธและศาสตรตาง ๆ จึงไมสามารถตั้งบานเมืองใหเปนปกแผนแผไพศาล ไปได กลุมท่ีปกครองตอมา คือ พวกอริยกะ หรือ อารยัน เปนชนชาติท่ีเฉลียวฉลาดใน ขนบธรรมเนียมรูจักวิธีการปกครองบานเมือง เปนผูมีอํานาจมาก รูจักกลอุบายและยุทธศาสตร ในการเมืองเปนอยางดี ชนชาติอริยกะแตเดิมไมใชเปนผูอยูในชมพูทวีปโดยตรง แตไดอพยพลง มาจากแผน ดินขา งเหนอื ขา มภูเขาหิมาลัยรกุ ไลพ วกมลิ กั ขะซึง่ เปนเจาของถ่ินเดิมใหรนถอยลงไป ขางใต แลวเขาครอบครองเปน เจา ของแทนกลมุ เดิม และพฒั นาดินแดนใหเจรญิ เปน ลําดบั มา ชมพูทวีป แบงเปน ๒ เขต คือ รอบในเรียกวา มัชฌิมชนบท หรือ มัธยมประเทศ แปลวา ประเทศทามกลางเปนเขตท่ีอยูของพวกอริยกะ สวนรอบนอกเรียกวา ปจจันตชนบท หรือ ปจจันตประเทศ แปลวา ประเทศชายแดน เปนเขตที่อยูของพวกมิลักขะ เทียบใน ปจจบุ ัน หากเปน ประเทศไทยทงั้ ประเทศ มัชฌมิ ชนบทก็เทียบไดเทา กับเขตกรุงเทพมหานครและ ปริมณฑล สวนปจจันตชนบทก็เทียบไดเทากับจังหวัดตาง ๆ หรือหากเทียบเปนจังหวัดหนึ่ง มัชฌิมชนบทก็เทียบไดเทากับเขตตัวเมืองหรือตัวจังหวัด สวนปจจันตชนบทก็เทียบไดเทากับ อาํ เภอตา ง ๆ ทีห่ างจากตัวเมืองออกไปน่นั เอง เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 121
๑1๒2๐2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี มูลเหตุแบงเปน ๒ เขต สันนิษฐานวา นาจะเปนเพราะเพื่อความสะดวก ในการปกครอง หรือยึดถือเอาที่อยูของชนทั้ง ๒ กลุม เปนเกณฑ คือ พวกอริยกะอยูเขตใน ไดแก มัชฌิมชนบท พวกมิลักขะอยเู ขตนอก ไดแก ปจ จนั ตชนบท อาณาเขตของมัชฌิมชนบทมีการขยายออกตามยุคตามสมัยของผปู กครอง ถาผูปกครอง มีอํานาจมากก็สามารถขยายอาณาเขตของตนออกไปกวางขวาง ถาผูปกครองมีอํานาจนอยก็จะ ถกู รุกรานใหถอยรน อาณาเขตของตนเขา มา บางคราวกอ็ าจเปน เมืองขึ้นของผปู กครองท่ีมีอํานาจ มากกวา อาณาเขตมัชฌิมชนบทตามทีป่ รากฏในพระบาลี จัมมขันธกะ มหาวรรค (พระไตรปฎก เลม ที่ ๕) ดงั น้ี ๑. ทิศบรู พา นับตง้ั แตมหาศาลนครเขา มา ๒. ทิศอาคเนย นบั ตั้งแตแมน ํา้ สัลลวตีเขา มา ๓. ทิศทักษิณ นับตั้งแตเ สตกัณณิกนคิ มเขามา ๔. ทศิ ปจจิม นบั ต้งั แตถนู คามเขามา ๕. ทศิ อุดร นับต้ังแตภูเขาอสุ รี ธชะเขามา ในเขตทงั้ ๕ น้ี เรียกวา มัชฌมิ ชนบท เขตนอกจากท่ีกําหนดน้ี เรียกวา ปจจันตชนบท การแบง เปนเขตที่เพยี งทราบกันตามที่ปรากฏในคัมภรี ท ่ีกลาวถงึ ในครงั้ พุทธกาลเทาน้ัน ตอมาเม่ือมี การเปลี่ยนแปลงชื่อของบานเมืองก็อาจจะทําใหช่ืออาณาเขตตาง ๆ เปล่ียนแปลงไปบาง แตถึงอยางนั้น อาณาเขตของมัชฌิมชนบทน้ันก็ยังมีปรากฏอยูในแผนท่ีประเทศอินเดียเร่ือยมา โดยในป พ.ศ. ๒๔๕๔ มอี าณาเขต ดังนี้ ๑. ทศิ บรู พา นบั ต้งั แตจงั หวดั เบงคอลเขา มา ๒. ทศิ ทกั ษณิ นับต้ังแตจงั หวัดเดกกันเขามา ๓. ทิศปจจมิ นบั ตงั้ แตจ ังหวดั บอมเบเขามา ๔. ทศิ อุดร นับตง้ั แตจังหวัดเนปาลเขามา (ประเทศเนปาล) เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 122
1๑2๒3๑ วชิ า พุทธประวัติ อาณาจกั รตา ง ๆ มัชฌิมชนบทเปนสถานท่ีมีอาณาเขตเจริญรุงเรืองมาก ประชาชนนิยมถือเปนท่ีชุมนุม ของเหลา นักปราชญ เพราะเปนสถานทตี่ ัง้ อยูทา มกลางและเปน ทีต่ ้ังของเมืองหรือนครใหญ ๆ ชมพูทวีปแบงอาณาจักรออกเปนหลายอาณาจักร แตอาณาจักรท่ีใหญ ๆ ในคร้ังพุทธกาล ปรากฏในพระบาลี อุโปสถสูตร ติกนิบาต อังคุตตรนิกาย (พระไตรปฎก เลมท่ี ๒๐) แบงเปน ๑๖ แควน คือ อังคะ มคธะ กาสี โกสละ วชั ชี มัลละ เจตี วังสะ กุรุ ปญจาละ มัจฉะ สุรเสนะ อัสสกะ อวันตี คันธาระ กัมโพชะ และที่ปรากฏในพระสูตรอื่น ๆ ท่ีไมซํ้ากันอีก ๕ แควน คือ สักกะ โกลิยะ ภคั คะ วเิ ทหะ องั คตุ ตราปะ ถา จดั ทงั้ ๕ แควน นเ้ี ขาดวยรวมเปน ๒๑ แควน อาณาจักรทัง้ ๒๑ แควน มพี ระเจา แผนดนิ ปกครอง ดาํ รงพระยศเปนมหาราชบาง เปนเพยี ง ราชาบาง เปนเพียงอธิบดีบาง สวนระบบการปกครอง บางแควนผูปกครองโดยตรงเปนผูมีอํานาจ สิทธ์ิขาดเพียงผูเดียวบาง ปกครองโดยสามัคคีธรรมบาง และบางคราวอาจต้ังตนเปนอิสระข้ึน โดยลาํ พงั บางคราวก็ตกไปอยใู นอํานาจของผูอื่น เปนไปตามยุคตามสมัย แลวแตแควนใดจะมี กําลงั เหนอื กวา วรรณะ ๔ ประชาชนชาวชมพทู วปี แบงออกเปน ๔ จําพวก เรยี กวา วรรณะ ๔ คอื ๑. วรรณะกษัตริย ไดแ ก พวกผูปกครอง (กษตั ริย) มีหนาที่ในการปกครองบานเมือง ๒. วรรณะพราหมณ ไดแก พวกผูเลาเรยี น มหี นา ทีใ่ นการศึกษาส่ังสอนและทาํ พธิ ีกรรม ๓. วรรณะแพศย ไดแก พวกพลเรือน มหี นา ท่ที าํ มาคา ขาย ทาํ เกษตรกรรม ๔. วรรณะศูทร ไดแ ก พวกคนงาน มีหนา ทรี่ บั จา งทําการงานตาง ๆ เปน กรรมกร ในบรรดาวรรณะทั้ง ๔ จําพวก กษัตรยิ และพราหมณจัดวาเปนชนชาติท่ีสูง แพศย จดั เปนชนชาตสิ ามญั ศทู รจดั เปนชนชาตทิ ตี่ ่ํา กษัตริยถือวาพวกของตนเปนชนชาติ (วรรณะ) สูง พราหมณก็ถือวาพวกของตนเปน ชนชาติ (วรรณะ) ท่ีสูงเหมือนกัน ตางก็มีมานะในการถือตัวชนชาติ (วรรณะ) และโคตร (ตระกูล) ของตน รังเกียจคนท่ีมีชนชาติและโคตร (ตระกูล) ท่ีต่ํากวาจะไมยอมแตงงานหรืออยูกินเปน สามีภรรยากับคนท่ีเปน ชนชาตชิ ้นั ตาํ่ แมแตผทู ม่ี ชี าติ (วรรณะ) เดียวกัน แตต างตระกูลกัน ก็จะ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 123
๑1๒2๒4 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ไมยอมแตงงานหรืออยูกินเปนสามีภรรยาดวย จะตองแตงงานหรืออยูกินเปนสามีภรรยาดวย ชนชาติ (วรรณะ) และโคตร (ตระกลู ) เดยี วกนั กับตน นอกจากชนในวรรณะทั้ง ๔ นั้นแลว ยังมีชนอีกพวกหน่ึงที่ถูกแยกออกจากชนใน วรรณะท้ัง ๔ นั้นอีก โดยถูกจัดเปนพวกชนที่เลวลงไปอีก เชน พราหมณซึ่งจัดเปนชาติสูง แต แตงงานหรืออยูกินเปนสามีภรรยากับศูทร ซ่ึงจัดเปนชาติต่ํา เม่ือมีบุตรออกมา บุตรนั้นจะถูก จัดเปนอีกจําพวกหนึ่งเรียกวา จัณฑาล ผูที่เกิดจากมารดาบิดาตางวรรณะกันเชนน้ีถือวาเปน พวกท่ีเลวทราม ทงั้ เปน ทีด่ หู มิ่นดแู คลนของชนที่มีชาตสิ กลุ อกี ดวย การศึกษาของชนในวรรณะ ๔ เหลาน้ัน ยอมเปนไปตามหนาที่ของตนที่จะตองศึกษา คอื ๑. กษัตริยศกึ ษาในดา นการปกครองบา นเมอื งและการยุทธวิธีตา ง ๆ ๒. พราหมณศ ึกษาในลัทธศิ าสนา พธิ ีกรรมและวทิ ยาการตาง ๆ ๓. แพศยศึกษาในศลิ ปะ กสกิ รรมและพาณชิ ยกรรม ๔. ศทู รศึกษาในวิชาการงานท่ีจะพงึ ทําดว ยเร่ียวแรงของตน ความคดิ เห็น คนในยคุ สมัยกอนที่พระพุทธศาสนาจะเกิดข้ึนมีคนสนใจในวิชาธรรมมาก จึงเกิดมีเจา ลัทธิตาง ๆ มากมาย และการปรารภถึงความเกิด ความตาย และสุขทุกข ไปตาง ๆ กัน สรุปเปน ๒ จาํ พวก คอื จําพวกที่ ๑ เห็นวา ตายแลว เกิด จาํ พวกท่ี ๒ เห็นวา ตายแลว สูญ ในจาํ พวกที่เห็นวา ตายแลว เกิดนน้ั ยงั มคี วามเห็นแยกออกอีกเปน ๒ อยาง คือ ๑. เห็นวาชาติน้ีเกิดเปนอะไร ชาติตอไปก็เปนอยูอยางน้ัน ไมแปรผันไป เชน ชาตินี้ เกิดเปนมนษุ ย ชาตหิ นาก็เกดิ เปน มนษุ ยอกี ๒. เห็นวาชาติน้ีเกิดเปนอะไร ชาติตอไปอาจเกิดเปนอยางนั้น แปรผันไปได เชน ชาตนิ เี้ กิดเปน มนุษย ชาติหนาอาจจะเกดิ เปนอยา งอน่ื เชน สัตวดริ ัจฉาน เปนตน 124
1๑2๒5๓ วชิ า พทุ ธประวัติ ในจาํ พวกที่เห็นวาตายแลว สญู นน้ั ยงั มีความเห็นท่ีแยกออกอกี เปน ๒ อยาง คอื ๑. เห็นวา ตายแลว สญู โดยประการท้ังปวง (หายไปท้งั หมดไมม อี ะไรเหลืออย)ู ๒. เห็นวาตายแลวสญู ในบางสิ่งบางอยา ง (หายไปบางอยาง บางอยา งเหลืออยู) ชนทั้ง ๒ จาํ พวกดงั กลา วแลว นน้ั ยงั ปรารภสุขทุกขตา งกนั คือ ๑. เห็นวา สุขทุกขไมมเี หตปุ จ จยั สัตวจ ะไดสขุ หรือไดท ุกขก ็ไดเ อง ๒. เหน็ วาสุขทกุ ขมีเหตปุ จ จัย สัตวจะไดส ุขหรือทกุ ขเพราะเหตุปจ จยั ชนจาํ พวกหลงั น้ี ยังมีความเหน็ ผดิ แผกออกไปอีก ๒ อยาง คอื ๑. เห็นวาสุขทุกขไมมีมาเพราะเหตุภายนอก มีเทวดาเปนผูประสิทธิ์ประสาทใหตน ไดร บั ๒. เหน็ วาสุขทกุ ขม ีมาเพราะเหตภุ ายในคอื ตัวกรรม เมื่อมีความเห็นผิดกันเชนนั้นแลว ตางคนก็ประพฤติไปตามความเห็นของตน คอื ๑. พวกที่เหน็ วาตายแลวเกิดอีกเห็นวา จะประพฤติอยางไรจึงจะไปเกิดในสวรรคและ สคุ ติ ก็ประพฤติอยา งนน้ั ๒. พวกที่เห็นวาตายแลวสูญเห็นวา ตนอยากจะประพฤติอยางไร ก็ประพฤติไปตาม ความเหน็ ของตน ไมต อ งเกรงกลวั อะไร ขอใหรอดพน จากชาติน้ีเทา นัน้ ๓. พวกท่เี หน็ วาสขุ ทกุ ขไมมเี หตุปจ จัย กไ็ มตองทํากิจการงานอยางไร คอยแตจะเส่ียง โชคเทาน้นั ๔. พวกทเี่ ห็นวาสขุ ทุกขมเี พราะภายนอกคือเทวดาเทาน้ัน ก็พากันบวงสรวงเทวดาให ประสิทธป์ิ ระสาทความสขุ ใหตน ๕. พวกที่เห็นวา สุขทุกขมีมาเพราะเหตุภายในคือกรรมน้ัน เห็นวากรรมใดเปนเหตุแหง สุข กท็ าํ แตกรรมนัน้ เหตุทม่ี ีความเหน็ ไปคนละอยาง ก็เนอ่ื งจากในเวลาน้ันคณาจารยเจาลัทธิมีมากดวยกัน ตางก็ถือกันวา การส่ังสอนธรรมเปนธุระอันประเสริฐ และยังมีเกียรติยศยิ่งกวาพระเจาแผนดิน หรือเสมอพระเจา แผน ดิน ฉะนน้ั จงึ ตอ งแสวงหาช่ือเสียงและเกียรติยศ สละสมบัติออกประพฤติ พรตตา ง ๆ กนั ไป เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 125
๑1๒2๔6 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี ลทั ธพิ น้ื เมอื ง คนพ้ืนเมืองซึ่งสงเคราะหเ ขา ในวรรณะ ๔ ได ถือตามลัทธิของพราหมณ ประพฤติตาม คําสั่งสอนในไตรเพทและเพทางคอันเปนคัมภีรซึ่งถือวาโลกธาตุท้ังปวงเปนของเทวดาสราง มีเทวดาประจําอยูในธาตุตา ง ๆ เชน ดนิ นา้ํ ไฟ ลม ถา ใครปรารถนาผลอันใด ทําการเซนสรวง เทวดาน้ัน ก็จะไดรับผลตามประสงค และทําพิธีเพ่ือสวัสดิมงคลดวยการบูชายัญ คือ ติดเพลิง แลวก็ฆาสัตวท้ิงเขากองเพลิงน้ัน แลวก็กราบไหวบูชาเทวดาท่ีตนนับถือน้ัน ๆ และยังมีวิธี ประพฤติวัตรเปนการทําบุญเรียกวา “ตบะ” คือ การทรมานรางกายใหไดรับความลําบาก เรยี กวา “ยางกิเลส” เชน ถือการยืนกับเดินเปนวัตร ไมนั่งไมนอน กินแตผลไม ไมกินขาวและของ อื่น โดยถือวาถาสิ้นชีวิตลงดวยการประพฤติอยางน้ีแลว เทวดาเห็นความเพียรนั้นก็ประสิทธิ์พรให สมความปรารถนา สรปุ ช่อื แควนและชอื่ เมอื งหลวง ท่ี ชอ่ื แควน ชือ่ เมืองหลวง ที่ ชอื่ แควน ช่อื เมืองหลวง ๑ อังคะ จาํ ปา ๙ กรุ ุ อินทปตถะ ๒ มคธะ ราชคฤห ๑๐ ปญ จาละ กัมปล ละ ๓ กาสี พาราณสี ๑๑ มัจฉะ สาคละ ๔ โกศล สาวัตถี ๑๒ สรุ เสนะ มถุรา ๕ วชั ชี เวสาลี ๑๓ อัสสกะ โปตนะ หรือ โปตลิ ๖ มัลละ กสุ นิ ารา – ปาวา ๑๔ อวนั ตี อุชเชนี ๗ เจตี โสตถิวดี ๑๕ คันธาระ ตกั กสิลา ๘ วังสะ โกสมั พี ๑๖ กัมโพชะ ทวารกะ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 126
1๑2๒7๕ วชิ า พทุ ธประวัติ นอกจากแควน ๑๖ แควน น้แี ลว ยงั มีแควน ปรากฏในคัมภีรต า งๆ อกี คือ ท่ี ชอ่ื แควน ช่ือเมืองหลวง ๑ สักกะ กบลิ พสั ดุ ๒ โกลิยะ เทวทหะ หรอื รามคาม ๓ ภัคคะ สงุ สุมารคีระ ๔ วิเทหะ มิถลิ า ๕ องั คตุ ราปะ เปน แตน คิ ม ชื่ออาปณะ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 127
๑1๒2๖8 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 บทที่ ๒ สักกชนบทและศากยวงศ สักกชนบท หรือ แควนสักกะ ตั้งอยูในชมพูทวีปตอนเหนือแหงประเทศหิมพานต ทไี่ ดชอ่ื วา สักกชนบท เพราะถือเอาภมู ิประเทศท่ีตั้งถิน่ ฐานเปน ชื่อ เนอ่ื งจากท่ีเดมิ นั้นเปนดงไม สักกะหรือสากะ (ไมใชดงไมสัก) มีตํานานเลาวา พระเจาโอกกากราชไดเสวยราชสมบัติในนคร ตําบลหน่ึง (ไมป รากฏชือ่ ) มีพระราชบตุ ร ๔ พระองค และพระราชธดิ า ๕ พระองค ทีป่ ระสตู ิจาก ครรภของพระมเหสีซงึ่ เปน พระราชภคินีของพระองค เม่ือพระมเหสีทิวงคต พระเจาโอกกากราช ไดพ ระมเหสพี ระองคใหม และไดประสูติพระโอรสอีกพระองคหนึ่ง พระเจาโอกกากราชมีความปติ ปราโมทยเปนอยางยิ่ง จึงพลั้งพระวาจาพระราชทานพรใหวาจะขออะไรก็จะประทานให พระมเหสีจึงทูลขอราชสมบัติใหแกพระราชโอรสของพระองค พระเจาโอกกากราชทรงหามเสีย พระนางเจากไ็ มฟ งยังขืน กราบทูลวงิ วอนอยูเปน หลายครั้งหลายคราว ครั้นพระเจาโอกกากราช จะไมพระราชทานพระราชสมบัติก็กลัวจะเสียสัตย จึงไดพระราชทานพระราชสมบัติใหแก พระโอรสนั้น และมีพระราชดํารัสสั่งใหพระราชบุตร ๔ พระองค พาพระเชษฐภคินีและ พระกนิษฐภคินี ๕ พระองค ไปสรางพระนครอยูใหม พระราชบุตรท้ัง ๔ พระองคน้ันก็กราบทูล ลาพระเจาโอกกากราชพาพระเชษฐภคินีและพระกนิษฐภคินีท้ัง ๕ พระองค ไปสรางพระนครอยู ในดงไมสักกะ ซึ่งเปนท่ีอยูของกบิลดาบส ในประเทศหิมพานต จึงขนานนามพระนครที่สรางใหม ใหสมกับเปนทีอ่ ยูของกบิลดาบสวา “กบลิ พสั ดุ” ภายหลัง กษตั ริยทงั้ ๔ พระองค เกรงจะเส่ือมเสียขัตติยวงศ จึงไดทรงอภิเษกสมรสกับ พระกนิษฐภคินีท้ัง ๔ พระองค ยกเวนพระเชษฐภคินีพระองคเดียว แลวก็พากันไป ครองบานเมืองสบื ศากยวงศมาเปน ลาํ ดบั ฝา ยพระเชษฐภคนิ นี ั้น ตอมา มีความปฏิพัทธ รักใคร กับพระเจากรุงเทวทหะ จึงไดอภิเษกสมรสกับพระเจากรุงเทวทหะ ตั้งเปนโกลิยวงศสืบมาเปน ลําดับเหมอื นกนั สกั กชนบท ตามตํานานมีเพยี ง ๓ พระนคร คอื ๑. พระนครเดิมของพระเจาโอกกากราช ๒. พระนครกบลิ พสั ดุข องพวกศากยวงศ ๓. พระนครเทวทหะของพวกโกลยิ วงศ 128
1๑2๒9๗๑๑๒๒๗๗ ววชิ ชิาาพวพชิุทาุทธธปพปรุทะรธวะปัตวริัตะิวัติ ๑๒๗ ตามทสี่ ันนิษฐาน ศากยกมุ ารเหลานั้นไมนา จะสรางแตเพียงนครกบิลพัสดุเทานั้น คงจะ สรา งอีก ๓ พระนคร เพราะตา งคตู า งอยูครองนครหนึ่ง แตในตํานานกลาวแคบเกินไป โดยนัยน้ี นา จะมีถึง ๖ พระนคร แตไ มป รากฏในตาํ นาน วิธีการปกครอง การปกครองของพระนครเหลานี้ไดกลาวไวชัด แตตามสันนิษฐานโดยประเพณีแลว ปกครองโดยสามัคคีธรรมเหมือนธรรมเนียมที่ใชในแควนวัชชีและแควนมัลละ ในแควนวัชชี มีเจาวงศห นึง่ เรียกวา “ลจิ ฉวี” เปน ผปู กครอง ในแควนมลั ละกม็ เี จาวงศหน่ึง เรียกวา “มัลละ” เปนผูปกครอง แตวาเจาท้ังสองวงศนั้นไมไดเรียกเจาวงศใดวงศหนึ่งวา “ราชา” เลย คงเรียกวา ลลจิ จิ ฉฉววี ีแแลละะเรเรียยี กกววาามมัลัลละะเสเมสอมกอันกันแตแถตาถมาีเหมตีเหุอตยุอางยหานงห่ึงอนยึ่งาองยใดาเงกใดิ เขก้ึนิดเขชึ้นนเมชีกนารมสีกงาครรสางมคเรปานม ตเปน นเตจนาทเั้งจสา อทงัง้ วสงอศงน วั้นงศกนป็ ้นัระกช็ปุมรปะชรกึมุ ษปารึกชษวายกชนัวยจัดกทนั าํจตัดาทมาํ สตมาคมวสรมแคกวเรหแตกทุ เหเี่ กติดุทขเี่ น้ึกดิ ขนึ้ ศากยวงศ เหตทุ ่ีไดนามวาศากยะนั้น สันนิษฐานวานาจะไดช่ือตามชนบท แตในอรรถกถาอธิบาย วา เพราะความสามารถแหงราชโอรสทั้ง ๔ พระองค ของพระเจาโอกกากราช ท่ีมาสราง พระนครอยูใหมในพระนครน้ัน ทําการปกครองโดยความรุงเรืองเปนอันดี พระเจาโอกกากราช ผูเปนพระราชบิดาจึงออกพระโอษฐชมวา เปนผูมีความสามารถ (สักกา หรือ ศากฺย ในภาษา สนั สกฤต) สรุปท่ไี ดน ามวา “ศากยวงศ” เพราะเหตุ ๓ ประการ คือ ๑. เพราะกษัตรยิ วงศนีต้ ั้งอยูในสักกชนบท ๒. เพราะกษตั รยิ ว งศน ี้สมสูก ันเองระหวางพน่ี อ ง (อภิเษกสมรส) ที่เรยี กวา “สกสงั วาส” ๓. เพราะกษัตริยวงศนี้ถือเอาพระราชดํารัสของพระเจาโอกกากราชที่ออกพระโอษฐ ชมวา “สักกา” แปลวา เปน ผูอ าจหาญ มีความสามารถ พระโคตร (ตระกูลหรือสกุล) ของพวกศากยะน้ัน มีโคตรเรียกวา “โคดม” แต ในปพพัชชาสูตร มหาวรรค สุตตนิบาต ขุททกนิกาย พระบาลีสุตตันตปฎก (พระไตรปฎก เลมที่ ๒๕) วาเปน “อาทิตตโคตร” ซึ่งแปลวา เปนเช้ือสายของพระอาทิตย โดยนําเนื้อหา เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 129
1๑๒3๘0 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ของประวัติพระพุทธองค ตอนท่ี พระมหาบุรุษเสด็จออกบรรพชา ตรัสตอบแกพระเจาพิมพิสาร วา ออกจากสกุลของพวกท่ีมี ช่ือวาศากยะโดยชาติ ช่ือวาอาทิตยโดยโคตร ท้ัง ๒ ช่ือนี้ จึงสนั นษิ ฐานวาคงเปน อนั เดียวกนั สกุลของพระศาสดานั้น ครองนครกบิลพัสดุสืบมาแตคร้ังพระราชโอรสของ พระเจาโอกกากราชเปนเช้ือสายมาโดยลําดับจนถึงพระเจาชยเสนะ พระเจาชยเสนะทรงมีพระราชบุตร และพระราชธิดา ๒ พระองค คือ พระเจาสีหหนุกุมารและพระนางยโสธรา เม่ือพระเจาชยเสนะ ทิวงคตแลว สีหหนุกุมารไดเสวยราชสมบัติสืบพระราชวงศ ตอมาพระเจาสีหหนุได พระนางกัญจนา ผูเปนพระกนิษฐภคินีของพระเจาอัญชนะผูครองกรุงเทวทหะมาเปนพระมเหสี มีพระราชบุตรและพระราชธิดา ๗ พระองค เปนพระราชบุตร ๕ พระองค คือ พระเจาสุทโธทนะ พระเจาสุกโกทนะ พระเจาอมิโตทนะ พระเจาโธโตทนะ และพระเจาฆนิโตทนะ เปนพระราชธิดา ๒ พระองค คือ พระนางปมิตา และพระนางอมิตา สวนพระนางยโสธราผูเปนกนิษฐภคินีของพระเจาสีหหนุน้ัน ไดเปนพระมเหสีของ พระเจาอัญชนะในกรุงเทวทหะ มีพระราชบุตรและพระราชธิดา ๔ พระองค เปนพระราชบุตร ๒ พระองค คือ พระเจาสุปปพุทธะ และพระเจาทัณฑปาณิ เปนพระราชธิดา ๒ พระองค คือ พระนางมายา และพระนางประชาบดี หรอื พระนางโคตมี สวนสุทโธทนะราชกุมารของพระเจาสีหหนุในกรุงกบิลพัสดุ ก็ไดพระนางมายาผูเปน พระราชธิดาของพระเจาอัญชนะในกรุงเทวทหะเปนพระมเหสี ครั้นพระเจาสีหหนุทิวงคตแลว พระเจาสุทโธทนะก็ไดเสวยราชสมบัติสืบตอมา เม่ือพระนางมายาทิวงคตแลว พระเจาสุทโธทนะ ก็ไดพระนางประชาบดี หรอื พระนางโคตมีผูเปนพระราชธิดาของพระเจาอัญชนะในกรุงเทวทหะ เปน พระมเหสี (นองสาวพระนางมายา) ศากยวงศกับโกลิยวงศ ทั้ง ๒ จึงเกี่ยวเนื่องกัน ดวยการทํา อาวาหมงคลและวิวาหมงคลซ่ึงกันและกัน โดยปราศจากความรังเกียจต้ังตนแตพระเชษฐภคินี ของพระราชกุมารท่ีเปนพระราชโอรสของพระเจาโอกกากราช ซ่ึงไดเปนพระมเหสี ของ พระเจากรงุ เทวทหนะน้ัน จนถงึ พระสทิ ธตั ถราชกุมารของพระเจาสุทโธทนะก็ไดอภิเษกสมรสกับ พระนางยโสธราหรอื พมิ พา ทเ่ี ปนฝา ยโกลยิ วงศใ นกรุงเทวทหะอีกเปนลําดับ 130
1๑3๒1๙ วชิ า พุทธประวตั ิ บทท่ี ๓ พระศาสดาประสตู ิ นบั ตงั้ แตพ ระเจาสุทโธทนะกับพระนางเจา มายา ไดเสวยสริ ริ าชสมบตั ิโดยสุขสบายตลอดมา พระโพธิสัตวก็ไดจุติจาก ดุสิตเทวโลก มาปฏิสนธิในพระครรภ เมื่อเวลาใกลรุงคืนวันเพ็ญแหง อาสาฬหบูชา (วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ํา เดือน ๘ ประกา) กอนพุทธศก ๘๑ ป เกิดแผนดินไหว ในคืนน้ัน พระนางเจามายาทรงสุบินวา มีพญาชางเผือกชูดอกบัวขาว ทําประทักษิณเวียน พระแทนที่บรรทม ๓ รอบ แลว ปรากฏเสมือนเขา ไปสพู ระอุทร ทางเบื้องขวาของพระนาง คร้ันเวลารุงเชา พระนางเจามายาจึงกราบทูลเรื่องสุบินนิมิตแกพระราชสวามี พระเจาสุทโธทนะ จึงรับส่ังใหพราหมณโหราจารยมาเขาเฝาเพื่อทูลพยากรณ พวกพราหมณาจารยท้ังหลายก็ทูล พยากรณวา พระสุบินนิมิตของพระราชเทวีเปนมงคลนิมิตปรากฏ พระองคจะไดพระราชปโยรส เปนอัครมหาบุรุษมีบุญญาธิการย่ิง เม่ือ พระครรภถวนทศมาสจวนจะประสูติ พระนางเจามายา ปรารถนาจะเสด็จไปประพาสลุมพินีวัน อันเปนสถานที่ตั้งอยูในระหวางทางแหงกรุงกบิลพัสดุ และ กรุงเทวทหะตอกัน จึงทูลลาพระราชสวามี พระเจาสุทโธทนะก็ทรงอนุโลมใหสมประสงค โดยมิได ขดั พระอัธยาศยั ครั้นถึงมงคลสมัยวิสาขมาส วันเพ็ญเดือน ๖ (วันศุกรขึ้น ๑๕ คํ่า เดือน ๖ ปจอ) กอน พทุ ธศก ๘๐ ป ในเวลาเชา พระนางเจา สริ มิ หามายาก็เสดจ็ โดยทางสถลมารคถึงปาลมุ พินี ในขณะน้ัน พระนางเจาก็ประชวรพระครรภจะประสูติ อํามาตยจึงจัดที่ประสูติถวายท่ีรมสาลพฤกษ พระศาสดาไดประสูติจากพระครรภพระมารดาในท่ีนั้น ฝายพระเจาสุทโธทนะทรงทราบขาว จงึ ตรัสส่ังใหเ สด็จคนื สพู ระราชนเิ วศน ในวันที่พระราชกุมารประสูตินี้ มีสิ่งบังเกิดรวมวันกับพระราชกุมาร เรียกวา สหชาติมี ๗ คอื ๑. พระนางยโสธรา พระชายา ๒. พระอานนท พทุ ธอปุ ฐาก ๓. ฉนั นอาํ มาตย ๔. กาฬุทายีอาํ มาตย ๕. มากณั ฐกอัศวราช มา พระท่นี ั่งประจาํ พระองค ๖. ตน พระศรมี หาโพธ์ทิ ป่ี ระทับน่ังตรสั รู ๗. ขุมทรัพยทงั้ ๔ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 131
๑1๓3๐2 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 เหตุท่ปี ระสูตทิ ีล่ มุ พนิ ี การท่ีพระนางเจามายา ตองมาประสูติพระมหาบุรุษที่ปาลุมพินี มีขอสันนิษฐานเปน ๒ อยาง คอื ๑. เพราะพระนางเจาปรารถนาจะเสด็จพระราชอุทยานลุมพินี คร้ันไปถึงแลวเกิด ประชวรพระครรภ เสด็จกลับไมท ัน จึงประสูตพิ ระราชโอรส ๒. พระคันถรจนาจารย (พระอาจารยผูแตงคัมภีร) ไดกลาวถึงเหตุที่พระนางเจา ตองประสตู ิพระราชโอรสท่ีพระราชอุทยานลุมพินีวันน้ันวา พระนางมีพระประสงคจะเสด็จเยี่ยม สกุลของพระองคในกรุงเทวทหะ ครั้นเสด็จถึงที่น่ัน เกิดประชวรพระครรภจึงประสูติพระราชโอรส ซ่ึงอันน้ีเทียบไดกับธรรมเนียมพราหมณ เม่ือภรรยามีครรภแลว หาไดคลอดที่เรือนของสามีไม ตอ งกลบั ไปคลอดทเ่ี รือนแหง สกลุ ของตน อภินหิ ารของพระมหาบรุ ษุ เปนธรรมดาอยูเองทท่ี านผเู ปนพระมหาบุรษุ ซงึ่ อบุ ตั ิข้ึนมาเพ่ือเปนประโยชนแกโลก จะตอง มีอภินหิ ารตา ง ๆ ฉะนั้น พระคนั ถรจนาจารยจ ึงกลาวอภนิ หิ ารของพระมหาบรุ ุษไว ดังน้ี ๑. ตง้ั แตครัง้ อยใู นสวรรคช ั้นดุสติ เทวดาไดอ าราธนาใหเสดจ็ ลงมาสูมนษุ ยโลก เพื่อจะ ไดนําเวไนยสตั วใหพน จากโอฆสงสาร ๒. เมื่อเสด็จลงสพู ระครรภนั้น ปรากฏแกพระมารดาในสุบินนิมติ เห็นพระยาชา งเผอื ก ๓. เมื่อเสด็จอยใู นพระครรภน น้ั บรสิ ุทธิส์ ะอาดปราศจากมลทินเครื่องแปดเปอ น ๔. เมื่ออยูในพระครรภน้ัน ไมคุดคูเหมือนทารกอ่ืน น่ังขัดสมาธิเปนอยางดี ทําให พระมารดาทอดพระเนตรไดถนดั ๕. เวลาประสูติ พระมารดาประทับยืน หาไดน่ังเหมือนกับสตรีอื่นไม และตัว ของพระองคไมเ ปรอะเปอ นดว ยครรภม ลทิน ๖. เมื่อเวลาประสูติ มีเทวดาคอยรักษา มีธารน้ํารอนนํ้าเย็นตกลงมาจากอากาศ มาสนานพระองค ๗. พอประสูติแลวทรงดําเนินไปได ๗ กาว แลวเปลงพระวาจาเปนบุรพนิมิต แหงโพธิญาณ ซ่ึงเรียกวา อาสภิวาจา ความวา “เราเปนยอด เปนผูเจริญท่ีสุด เปนผู ประเสริฐท่ีสุดแหงโลก การเกิดของเราครั้งนี้เปนคร้ังสุดทาย ภพใหมไมมีอีกแลว” และ 132
1๑3๓3๑ วชิ า พทุ ธประวัติ พรรณนารปู กายสมบัติของพระองควา มีลักษณะตองตามมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ ท่ีรจนาไว ในคัมภีรของพราหมณ ในตําราของพราหมณน้ัน มีคําทํานายวาบุรุษผูมีลักษณะถูกตองดวย มหาบรุ ุษ ลักษณะ ๓๒ ประการ มคี ติเปน ๒ ประการ คอื ๑. ถาอยูครองฆราวาส จักไดเปนพระเจาจักรพรรดิมีมหาสมุทร ท้ัง ๔ เปน ขอบเขต ๒. ถาออกบรรพชา จกั ไดต รัสรพู ระสัมมาสมั โพธญิ าณเปนศาสดาเอกของโลก อสติ ดาบสเขา เฝา เมอ่ื พระราชกมุ ารประสตู ิแลว ได ๓ วนั อสติ ดาบส (หรอื กาฬเทวลิ ดาบส) ซง่ึ อาศัยอยู ขางภูเขาหิมพานต เปนผูท่ีคุนเคยและเปนที่นับถือของราชสกุล พอไดทราบขาววา พระราชโอรส ของพระเจาสุทโธทนะประสูติใหม จึงเขาไปเยี่ยมพระเจาสุทโธทนะทรงปฏิสันถารเปนอยางดี ตรัสเชื้อเชญิ ใหเ ขาไปขางในอุมพระราชโอรสออกมาเพ่ือจะไดนมัสการพระดาบส ฝายพระดาบส เห็นพระราชโอรสมีลักษณะตองตามมหาบุรุษลักษณพยากรณศาสตร ซ่ึงมีคําทํานายไวโดย คติ ๒ อยางดังกลาวแลว ก็เกิดความเคารพนับถือในพระโอรสน้ันยิ่งขึ้น จึงลุกขึ้นถวายอภิวาทที่ พระบาทพระราชกุมารดวยเศียรเกลาของตน แลวไดทํานายพระลักษณะของพระราชกุมารนั้นไว ตามตํารามหาบุรุษลักษณพยากรณ กอนถวายพระพรลากลับไปท่ีอยูของตน ฝายพระเจาสุทโธทนะ พรอ มดวยบรรดาราชสกลุ เม่ือไดเ ห็นพระดาบสซึ่งเปนที่เคารพนับถือของตนกราบลงที่พระบาท ของพระราชกุมารนั้น ก็แสดงอาการนับถือดวยการยกพระหัตถถวายอภิวันทนาการนับเปน คร้ังที่ ๑ ทงั้ ไดฟ งพยากรณด ว ย กเ็ กิดความเล่ือมใสในพระราชกุมารนั้นมากขึ้น บรรดาราชสกุล ทั้งหลายจึงยอมถวายพระราชโอรสของตน เพ่ือจะใหเปนบริวารของ พระราชกุมารนั้นตอไป ฝายพระเจาสุทโธทนะผูเปนพระราชบิดาก็ไดพระราชทานพ่ีเล้ียงนางนมมาคอยระวังรักษาเปน นิตยกาล ขนานพระนาม เม่ือพระราชกุมารประสูติแลวได ๕ วัน พระเจาสุทโธทนะโปรดใหประชุมพระญาติและมุข อํามาตยราชบริพาร เพ่ือประกอบพระราชพิธีถวายพระนามพระราชโอรส ตามขัตติยราชประเพณี และไดเชิญพราหมณาจารย ๑๐๘ คน มาฉันโภชนาหารภายในพระราชนิเวศน ใหพราหมณ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 133
๑1๓3๒4 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 เหลา น้นั เลอื กสรรผูเ ช่ียวชาญ ในไตรเพทเพยี ง ๘ คน ใหน่ังเหนืออาสนะสูง แลวใหเชิญพระราช โอรสไปยังท่ีประชมุ พราหมณเ พ่ือพิจารณาพระลกั ษณะ พราหมณ ๘ คนที่ไดรับการยกยองจากพราหมณทั้งหลายในคร้ังนั้น คือ (๑) รามพราหมณ (๒) ลักษณพราหมณ (๓) ยัญญพราหมณ (๔) ธุชพราหมณ (๕) โภชพราหมณ (๖) สุทัตต- พราหมณ (๗) สุยามพราหมณ (๘) โกณฑัญญพราหมณ พราหมณ ๗ คนแรก เห็นพระลักษณะพระราชกุมารบริบูรณแลว จึงยกน้ิวมือข้ึน ๒ น้ิว ทํานายวา พระราชกุมารน้ีมีคติเปน ๒ คือ ถาอยูครองฆราวาสจักไดเปนพระเจาจักรพรรดิ ถา ออกบรรพชาจักไดตรัสรูเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา แตโกณฑัญญพราหมณ ซึ่งมีอายุนอยกวา พราหมณท้งั ๗ คนนั้น ไดยกน้ิวมือเพียงนิ้วเดียว ยืนยันพยากรณเปนแมนม่ันวา พระราชกุมาร ผูบริบูรณ ดวยพระมหาบุรุษลักษณะเชนนี้มีคติเปนหนึ่ง คือจะตองเสด็จออกบรรพชาและ ตรัสรูเปน พระสัมมาสัมพทุ ธเจา แนนอน จะอยคู รองฆราวาสวสิ ยั หาเปน ไปไมได ครัน้ ทํามงคลลักษณะแลว จึงไดขนานพระนามวา “สิทธัตถะ” แปลวา ผูมีความตองการ สําเร็จ หรือ ผูสําเร็จประโยชนตามตองการ แตมหาชนนิยมเรียกตามพระโคตรวา “พระโคตมะ หรือโคดม” (ในคัมภีรอรรถกถากลาววา พระเจาสุทโธทนะทรงตั้งช่ือของพระราชกุมาร ๒ ช่ือ คือ สิทธัตถะ ช่ือหน่ึง และอีกชื่อหน่ึงคือ อังคีรส เสนอใหพราหมณท้ัง ๑๐๘ คน เลือกขนาน พระนาม ในที่สุดพราหมณเหลานั้นตกลงขนานพระนามพระราชกุมารวา “สิทธัตถะ” และเปน พระนามท่ีทราบกันโดยทั่วไป แตพระนาม อังคีรส ก็มีปรากฏใชแทนพระองคในพระไตรปฎก บางแหง) พระมารดาทิวงคต สว นพระนางเจาสริ ิมหามายา เมื่อประสูตพิ ระราชโอรสแลวได ๗ วัน ก็เสด็จทิวงคต ไปอุบัติเปนเทวดาในดุสิตเทวโลกตามประเพณีพระพุทธมารดา เพ่ือไมใหสัตวอ่ืนมารวม พระครรภ พระเจาสุทโธทนะจึงมอบภาระการบํารุงรักษาพระสิทธัตถกุมารใหเปนภาระแก พระนางประชาบดโี คตมี พระมาตจุ ฉา ซ่ึงตอมา พระเจาสุทโธทนะทรงยกข้ึนเปนพระมเหสีของ พระองค แมตอมา พระนางเจาจะมีพระราชบุตรองคหนึ่ง คือ พระนันทกุมาร และพระราชบุตรี องคหนึ่ง คือ พระนางรูปนันทา ถึงกระน้ัน พระนางก็มิไดทรงทํานุบํารุงใหย่ิงไปกวาพระสิทธัตถะ กมุ ารเลย 134
1๑3๓5๓ วชิ า พุทธประวัติ ไดปฐมฌานในวนั แรกนาขวญั ตอมาวันหนึ่ง เปนวันพระราชพิธีวัปปมงคลแรกนาขวัญ พระเจาสุทโธทนะเสด็จไป ในพระราชพิธีแรกนาขวัญ โปรดใหเชิญพระราชกุมารไปดวย และใหจัดที่ประทับสําหรับพระราช กุมารภายใตรมไมหวา (ชมพูพฤกษ) คร้ันถึงเวลาพระเจาสุทโธทนะทรงแรกนา บรรดาพระพี่เล้ียง พากันหลีกหนีมาดูพิธีกันหมด คงปลอยใหพระราชกุมารประทับ ณ ภายใตรมไมหวาตามลําพัง พระองคเดียว เมื่อพระราชกุมารประทับอยูตามลําพัง มีความสงัด ก็ทรงนั่งขัดสมาธิเจริญอานาปาน- สติกัมมัฏฐานยังปฐมฌานใหเกิดข้ึน ขณะน้ันเปนเวลาบาย เงาตนไมท้ังหลายยอมเคลื่อนไป ตามแสงตะวนั แตเงาตน ชมพูพฤกษกลับตรงอยูดุจในเวลาเที่ยง มิไดเอนเอียงไปตามแสงตะวัน ปรากฏเปนอัศจรรยอยางยิ่ง พวกพี่เลี้ยงกลับมาเห็นตางพิศวง และนํากราบทูลพระราชบิดา พระเจาสุทโธทนะรีบเสด็จกลับมาโดยเร็ว คร้ันไดทอดพระเนตรเห็นปาฏิหาริยเชนน้ัน กย็ กพระหตั ถถวายอภวิ ันทนาการ ซงึ่ นับเปน คร้งั ท่ี ๒ ตอจากคร้งั เมอ่ื อสิตดาบสเขา เฝา ศกึ ษาศิลปวทิ ยา เมื่อพระสิทธัตถราชกุมารทรงเจริญวัย มีพระชนมายุได ๗ พรรษา พระราชบิดา โปรดใหขุดสระโบกขรณี ๓ สระ คอื ๑. สระปลูกปทมุ บวั ทอง ๒. สระปลกู ปณุ ฑริกบัวขาว ๓. สระปลกู อบุ ลบัวขาบ ครั้นเม่ือพระราชกุมารเจริญพระชนมควรท่ีจะศึกษาศิลปวิทยาได พระราชบิดาจึงทรง มอบไวในสํานัก ครูวิศวามิตร พระราชกุมารทรงเรียนไดวองไวจนส้ินความรูของพระอาจารย ตอ มา ไดแ สดงศิลปธนใู หปรากฏในหมพู ระญาติ แสดงความแกลว กลาสามารถเปน เย่ยี ม อภเิ ษกสมรส เม่ือพระราชกุมารทรงเจริญวัย มีพระชนมายุได ๑๖ พรรษา ควรมีพระเทวีไดแลว เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 135
๑1๓3๔6 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 พระราชบิดาตรัสสั่งใหสรางปราสาท ๓ หลัง เพ่ือเปนที่ประทับของพระราชโอรสใน ๓ ฤดู คือ ฤดหู นาว ฤดรู อ น และฤดฝู น ตกแตงปราสาท ๓ หลังนนั้ อยางงดงามสมพระเกียรติเปนที่สบายใน ฤดูนั้น ๆ แลว ทรงขอพระนางยโสธราหรือพิมพา พระราชบุตรีของ พระเจาสุปปพุทธะ ในเทวทหนคร ซ่ึงประสูติแตพระนางอมิตาพระกนิษฐภคินีของพระองค มาอภิเษกเปน พระชายา พระสิทธัตถราชกุมารเสด็จอยูบนปราสาททั้ง ๓ น้ัน ตามฤดูทั้ง ๓ บําเรอดวยดนตรี ลวนสตรีประโคม ไมมีบุรุษเจือปน เสวยสุขสมบัติท้ังกลางวันกลางคืน จนมีพระชนมายุ ๒๙ พรรษา มพี ระโอรสที่ประสูติแตพ ระนางยโสธราพระองคหน่ึง ทรงพระนามวา ราหุลกมุ าร พระประยูรญาติ พ ร ะ สิ ท ธั ต ถ ร า ช กุ ม า ร ท ร ง เ ส ว ย สุ ข ส ม บั ติ ต้ั ง แ ต ท ร ง พ ร ะ เ ย า ว ต ล อ ด จ น ถึ ง มีพระชนมายุ ๒๙ พรรษา เพราะพระองคเปนพระกุมารผูสุขุมาลชาติ ทั้งพระประยูรญาติ ก็ได สดบั คําทํานายของอสติ ดาบสวามีคติเปน ๒ ฉะน้ัน พระประยูรญาติท้ังหลายจึงมีความหวังท่ีจะ ใหท รงครองฆราวาสสมบตั มิ ากกวาการเสดจ็ ออกบรรพชา จึงตอ งคดิ ผกู ดวยกามสุขตาง ๆ พระญาติวงศของพระเจา สทุ โธทนะมพี ระราชบุตรและราชบตุ รี ดงั น้ี ๑. พระเจาสุกโกทนะ มพี ระราชบตุ รองคห น่งึ ทรงพระนามวา “อานนท” ๒. พระเจาอมิโตทนะ มีพระราชบุตร ๒ พระองค ทรงพระนามวา “มหานามะ” และ “อนรุ ุทธะ” มพี ระราชบุตรี ๑ พระองค ทรงพระนามวา “โรหิณี” ๓. พระนางเจา อมติ า อภิเษกสมรสกับพระเจาสุปปพุทธะ มีพระราชบุตร ๑ พระองค ทรงพระนามวา “เทวทัต” มพี ระราชบุตรี ๑ พระองค ทรงพระนามวา “ยโสธรา” หรือ “พิมพา” ซ่ึง เปนพระชายาของพระสทิ ธตั ถราชกมุ าร (นอกจากนี้ไมปรากฏ) 136
1๑3๓7๕ วชิ า พทุ ธประวัติ บทที่ ๔ เสดจ็ ออกบรรพชา พระสทิ ธัตถราชกุมารเสวยสขุ สมบตั ิอยใู นฆราวาสสมบัติจนพระชนมายุได ๒๙ พรรษา ต้ังแตนั้นมาก็เสด็จออกบรรพชา ประพฤติพระองคเปนบรรพชิต แสวงหาสัมมาสัมโพธิญาณ สมตามคาํ ทาํ นายแหงมหาบรุ ุษลักษณะพยากรณ มูลเหตุทท่ี าํ ใหพ ระสิทธัตถราชกุมารเสดจ็ ออกบรรพชานั้น พระคันถรจนาจารยกลาวไว ๒ นัย ดงั น้ี ๑. กลาวตามนัยมหาปทานสูตร แหงพระบาลีสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค (พระไตรปฎกเลม ท่ี ๑๐) วา ไดทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูต ๔ คือ คนแก คนเจ็บ คนตาย และสมณะ อนั เทวดาสรางนิมิตไวในระหวางทาง เม่ือคราวเสด็จประพาสพระอุทยานถึง ๔ วาระ โดยลําดับกัน เมื่อไดทอดพระเนตรเห็นเทวทูต ๓ ขางตน คือ คนแก คนเจ็บ และคน ตาย ก็ทรงสังเวชสลดในพระหฤทัย เพราะเปนส่ิงที่พระองคไมเคยพบเห็นมาแตกอน คร้ันได ทอดพระเนตรเหน็ สมณะเขา กท็ รงคิดพอพระทัยในการบรรพชา ๒. กลาวตามนัยปาสราสิสูตร แหงพระบาลีสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก (พระไตรปฎกเลมท่ี ๑๒) วา ทรงปรารภความแก ความเจ็บ ความตาย อันครอบงํามหาชน อยูทุกคนไมลวงพนไปได เพราะโทษที่ไมไดรับคําสั่งสอนของนักปราชญ และทรงระลึก ถึงพระองควาจะตองเปนไปอยางนั้น จึงควรที่จะแสวงหาเครื่องพนจากความแก ความ เจ็บ และความตาย ท้ัง ๓ นี้เสีย ครั้นแลวทรงดําริตอไปวา สภาวะท้ังปวงยอมมีของท่ีเปน ขา ศึกแกกัน เชน มรี อนแลว ก็มเี ยน็ แก มีมดื แลวตอ งมสี วางแก บางทอี าจจะมอี ุบายแกท กุ ขท ั้ง ๓ ไดบาง การที่จะแสวงหาอุบายเคร่ืองแกทุกขท้ัง ๓ นั้นเปนของยากย่ิง ซํ้ายังอยูในฆราวาสวิสัย อันเปนที่คบั แคบและเปน ที่ตง้ั แหงอารมณอ นั ทําใจใหเศราหมองดุจเปน ที่มาแหง ธลุ ี บรรพชาเปน ชองวางพอท่ีจะแสวงหา อุบายเปนเคร่ืองแกทุกขน้ันได เม่ือทรงปรารภดังนี้แลว ก็ทรงมี พระอัธยาศยั นอ มไปในบรรพชา อยางไรก็ตาม ความเห็นของพระอาจารยทั้ง ๒ นัยน้ัน ก็ลงรอยเปนอันเดียวกันวา พระมหาบุรุษทรงเสด็จออกบรรพชา เพราะปรารภถึงความเกิด ความแก และความตาย และเสดจ็ ออกบรรพชาจากศากยสกลุ เมือ่ พระชนมายุ ๒๙ พรรษา เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 137
๑1๓3๖8 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 เวลาเสด็จออกบรรพชาของพระมหาบุรษุ ตามทที่ านแสดงไว มี ๓ นัย ดังน้ี ๑. พระมัชฌิมภาณกาจารย (พระอาจารยผูสังคายนาพระบาลีมัชฌิมนิกาย) แสดงวา ในเวลาทพ่ี ระองคย ังหนมุ มีพระเกศาดําสนิทดอี ยู เสดจ็ ออกซึง่ พระพักตรข องพระมารดา (พระนางปชาบดี) และพระบิดาซ่ึงทรงรักใครมาก ไมปรารถนาจะใหเสด็จออกบรรพชา มีพระพักตรอันอาบดวย นํา้ พระเนตร ทรงโศกเศรา กนั แสงอยู พระองคท รงปลงพระเกศาอันดําสนิทและพระมัสสุ (หนวดเครา) น้ันเสีย แลว ทรงครองผากาสาวะอธษิ ฐานเพศเปน บรรพชิตในท่ีนนั้ ๒. พระอรรถกถาจารยแสดงวา เสด็จหนีออกในเวลากลางคืน ทรงมากัณฐกะมีนายฉันนะ ตามเสดจ็ ครัน้ ถงึ ฝงแมน ้าํ อโนมา ตรัสสั่งนายฉันนะใหนํามากลับ สวนพระองคทรงตัดพระเมาลี ดว ยพระขรรค อธิษฐานเพศบรรพชติ ในทีน่ นั้ ๓. เสด็จออกสรงนํ้าศักด์ิสิทธ์ิชลาลัย ตามความนิยมของผูปรารถนาจักรพรรดิราช แลวไมเสด็จกลับคืนครอบครองราชสมบตั ิอกี ทรงแสวงหาอบุ ายเครื่องแกท ุกข ๓ อยา ง พระเมาลีของพระองคตามท่ที า นแสดงไวมี ๒ นัย ดงั น้ี ๑. พระมัชฌิมภาณกาจารยแสดงวา ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุเสียท้ังส้ิน แปลวา โกนเสีย ความในขอนตี้ รงกบั เรือ่ งที่พระนนั ทพุทธอนชุ าซึง่ มีรูปรางคลา ยพระพทุ ธองค เดินมา ภิกษุ ทั้งหลายเห็นเขานึกวาเปนพระบรมศาสดาจึงลุกข้ึนยืนรับ แตคร้ันเขามาใกลจึงรูวาเปน พระนนั ทพุทธอนุชา ๒. พระอรรถกถาจารยแสดงวา ทรงตัดดวยพระขรรคในคราวเดียวเทาน้ัน พระเกศาเหลือ ยาวประมาณ ๒ องคุลี แลวทรงมวนกลมเปนทักษิณาวัฏ ต้ังอยูเทาน้ันไมยาวขึ้นอีก ตราบเทา เขา สูวาระเสดจ็ ดับขนั ธปรนิ พิ พาน ความในขอนี้ตรงกับพระพุทธรูปโบราณ มีพระเกตุมาลาเปน ตัวอยาง ซงึ่ มีพระเกศาสงู ดูเปน ท่ีเกลา พระเมาลี ผากาสายะหรอื กาสาวะ คือ ผา ท่ียอ มดว ยรสฝาดอันเกิดแตเปลือกไม สีเหลืองหมนเปน ของบรรพชติ พวกอื่นใชเหมือนกัน เดิมมีเพียง ๒ ผืน คือ (๑) ผาอุตตราสงค คือ ผาหมหรือจีวร (๒) ผาอนั ตรวาสก คือ ผา นุงหรอื สบง ตอ มาทรงอนุญาตใหใชผาทาบ ซึ่งเรียกวาสังฆาฏิ เขาอีก ผืนหนึ่ง เปน ๓ ผืนดวยกัน เรียกวา “ไตรจีวร” เมื่อคราวเสด็จออกบรรพชานั้น ตามคําของ พระอรรถกถาจารยกลา ววา ฆฏกิ ารพรหมนาํ มาถวายพรอมกับบาตร 138
1๑3๓9๗ วชิ า พทุ ธประวัติ ปญ จวคั คียออกบวช ฝายโกณฑัญญพราหมณผูเปนหนึ่งในพราหมณ ๘ คน ที่รวมคณะถวายคําทํานาย พระลักษณะของพระมหาบุรุษ ซึ่งยังมีชีวิตอยูเพียงคนเดียว ไดทราบขาววา พระมหาบุรุษ เสด็จออกบรรพชาแลว ก็ดีใจ เพราะตรงกับคําทํานายของตน จึงรีบไปหาบุตรของเพื่อน พราหมณ ท้ัง ๗ คน ชักชวนใหออกบวชดวยกัน แตบุตรพราหมณทั้ง ๗ คน หาไดพรอมใจกัน ท้ังหมดไม ยินดีออกบวชเพียง ๔ คน คือ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ รวมโกณฑัญญะดว ย เปน ๕ คน จึงไดนามวา “ปญจวัคคีย” แปลวา พวก ๕ เพราะมีจํานวน ๕ คน ชวนกนั ออกสืบหาตามพระมหาบรุ ุษ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 139
1๑๓4๘0 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 บทท่ี ๕ ตรสั รู นับตั้งแตพระมหาบุรุษเสด็จออกบรรพชาแลว ก็เสด็จพักแรมอยูท่ีอนุปยอัมพวัน แขวงมัลลชนบท สิ้นเวลา ๗ วัน แลวจึงเสด็จจาริกไปจนเขาเขตมคธชนบท ในปพพัชชาสูตร และ ในอรรถกถากลาววา ไดเสด็จผานมัณฑวบรรพต กรุงราชคฤห และในที่นั้นเอง พระเจาพิมพิสารได เสด็จมาเขาเฝา ตรัสถามถึงชาติสกุล และตรัสชักชวนใหอยูกับพระองคจะพระราชทาน พระราชอิสรยิ ยศให แตพระมหาบุรุษไมทรงรับ ทรงแสดงความประสงคว า จะแสวงหาสัมมาสัมโพธิญาณ พระเจาพมิ พิสารทรงอนุโมทนาแลว ตรัสขอปฏิญญาวา ถา ตรัสรูแลวขอใหเสด็จมาโปรดพระองคบาง พระมหาบุรษุ กท็ รงรบั ปฏิญญา ทรงศึกษาลัทธิของสองดาบส พระมหาบุรุษเม่ือเสด็จออกจากมัณฑวบรรพตแลว ก็เสด็จไปสูสํานักอาจารยท้ัง ๒ ซ่ึงมหาชนนับถือวาเปนสํานักของคณาจารยผูใหญ คือ สํานักอาฬารดาบส กาลามโคตร ทรงศึกษาอยูไมนาน ก็ไดสําเร็จสมาบัติ ๗ คือ รูปฌาน ๔ กับอรูปฌาน ๓ ก็ส้ินความรู อาฬารดาบส ทรงเห็นวาสมาบัติ ๗ ไมใชทางตรัสรู จึงลาขอไปพํานักศึกษาอยูในสํานัก อุททกดาบสรามบุตร (บางแหงใชคําวา อุทกดาบส) ไดสําเร็จอรูปฌานท่ี ๔ ครบสมาบัติ ๘ ก็สิ้น ความรูของอุททกดาบส คร้ันทรงไตถามถึงธรรมวิเศษขึ้นไป อาจารยอุททกดาบสก็ไมสามารถจะ บอกไดพระมหาบรุ ษุ ทรงเห็นวา ธรรมเหลานไ้ี มใชทางตรัสรู จึงเสด็จอําลาออกจากสํานักอุททกดาบส จาริกไปในเขตมคธชนบทถึงตําบลอุรุเวลาเสนานิคม ไดทอดพระเนตรเห็นพื้นที่ราบร่ืน แนวปาเขียวสด เปนที่เบิกบานใจแมน้ําไหลผาน มีน้ําใสสะอาด มีทาน้ําร่ืนรมย โคจรคาม คือหมูบาน ที่อาศัยเที่ยว ภิกขาจารก็ต้ังอยูใกลไมหางไกลโดยรอบ ทรงดําริเห็นวา เปนสถานท่ีท่ีควรเปนที่อาศัยของกุลบุตร ผูต อ งการบาํ เพ็ญความเพียรได จงึ ประทบั อยู 140
1๑4๓๙1 วชิ า พทุ ธประวตั ิ ทรงบาํ เพ็ญทุกกรกริ ยิ า ตั้งแตน้ัน พระมหาบุรุษก็ทรงบําเพ็ญทุกกรกิริยา คือ การทรมานพระกายให ลําบาก ซงึ่ เปนกจิ ยากที่บคุ คลจะทําได แตพ ระองคทรงกระทาํ อยถู ึง ๓ วาระ ดังนี้ วาระท่ี ๑ ทรงกดพระทนตดวยพระทนต กดพระตาลุดวยพระชิวหาไวใหแนน จนพระเสโทไหลออกจากพระกัจฉะ ก็ไมสําเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ คร้ันทรงเห็นวา การกระทําอยา งน้ันไมใชทางตรสั รู จงึ ทรงเปล่ยี นวธิ อี ่นื ตอ ไป วาระที่ ๒ ทรงผอนกลั้นลมอัสสาสะปสสาสะ เมื่อลมเดินโดยทางชองพระนาสิก และชองพระโอษฐไมไดสะดวก ก็เกิดเสียงดังอูทางชองพระกรรณท้ัง ๒ ขาง ทําใหปวดพระเศียร เสียดพระอุทร รอนในพระกายเปนกําลัง ก็ไมสําเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ คร้ันทรงเห็นวา การกระทาํ อยา งนน้ั ไมใ ชท างตรสั รู จงึ ทรงเปลยี่ นวธิ ีอ่ืนตอ ไป วาระที่ ๓ ทรงอดพระกระยาหาร เสวยแตวันละนอย ๆ บาง เสวยพระกระยาหาร ท่ีละเอียดบาง จนพระวรกายเห่ียวแหง พระฉวีวรรณเศราหมอง พระอัฐิปรากฏทั่วกาย มีพระกําลังนอย จะเสด็จไปทางไหนก็ซวนเซลม จนมหาชนทักกันไปตาง ๆ ก็ไมสําเร็จ พระสมั มาสมั โพธญิ าณ อุปมา ๓ ขอ เมื่อพระมหาบุรุษทดลองถึง ๓ วาระแลว ก็มิไดตรัสรูสัมมาสัมโพธิญาณอยางใดเลย ทรงดําริวา แมปฏิบัติถึงข้ันอุกฤษฏอยางน้ีแลว ไฉนหนอยังไมบรรลุพระโพธิญาณ ขณะนั้น สมเด็จอมรินทราธิราช (ทาวสักกะหรือพระอินทรจอมเทพแหงสวรรคชั้นดาวดึงส) ทรงทราบ ขอปริวติ กของพระมหาบุรุษ จึงทรงพิณทิพยใหพระมหาบุรุษสดับพิจารณาเปรียบเทียบ ๓ สาย คือ สายหน่ึงตึงนัก พอดีดไปหนอยก็ขาด สายหน่ึงหยอนนัก ดีดเขาก็ไมมีเสียง อีกสายหน่ึง ไมต งึ ไมหยอ นพอปานกลาง ดีดเขาก็บนั ลอื เสยี งไพเราะ ก็ทรงถือเอาเสียงพณิ เปน นมิ ิต อน่ึง อุปมาเปรียบเทียบ ๓ ขอ ซึ่งพระองคไมเคยไดสดับมากอน ก็ไดปรากฏแจมแจง ข้นึ แกพ ระองค คอื ขอที่ ๑ สมณพราหมณเหลาใดเหลาหนึ่งมีกายไมไดหลีกออกจากกาม และมีความ พอใจรักใครในกาม แมไดเสวยทุกขเวทนาอันแรงกลาซึ่งเกิดจากความเพียรก็ดี ไมไดเสวยก็ดี ก็ไมสามารถตรัสรูได เหมือนไมสดอันชุมดวยยางและท้ังแชอยูในนํ้า บุรุษตองการไฟ ก็มิอาจสี ใหเกิดไฟขนึ้ ได บรุ ษุ น้นั ตองเหน็ดเหน่อื ยเปลา เพราะไมน ้นั ยังสดมยี างอยู ท้งั แชไ วใ นนํ้า เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 141
๑1๔4๐2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ขอท่ี ๒ สมณพราหมณเหลาใดเหลาหนึ่งแมมีกายหลีกออกจากกามแลว แตยังรักใคร พอใจในกามนั้นอยู แมไดเสวยทุกขเวทนาอันแรงกลาซ่ึงเกิดจากความเพียรก็ดี ไมไดเสวยก็ดี ก็ไมสามารถตรัสรูได เหมือนไมส ดอนั ชมุ ดว ยยาง แมบุคคลตัง้ ไวบนบก กไ็ มอ าจสีใหเกดิ ไฟได ขอที่ ๓ สมณพราหมณเหลาใดเหลาหนึ่ง มีกายหลีกออกจากกามแลว ท้ังละความพอใจ รกั ใครใ นกามเสียได ถึงจะไดเ สวยทุกขเวทนาอยางนั้น ซ่ึงเกิดจากความเพียรก็ตาม ไมไดเสวยก็ตาม กส็ ามารถท่ีจะตรสั รูได เหมือนไมแ หง ท่ไี กลจากนา้ํ ซึง่ บคุ คลวางไวบ นบก ก็สามารถสีใหเ กิดไฟได อปุ มาท้ัง ๓ ขอนี้ ไดเ ปน กําลงั สนับสนนุ พระหฤทยั ใหพระองคท รงมุงมั่นในการทําความเพียร ทางจิตวา จะเปนทางใหบรรลุพระสัพพัญุตญาณเปนแน คร้ันตกลงพระหฤทัยเชนน้ันแลว กเ็ ริม่ เสวยพระกระยาหารตามปกติตอไปอกี ปญ จวัคคยี หลกี หนี ปญจวัคคีย คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ซึ่งเคยไดยิน ไดฟงวา พระมหาบุรุษมีคติเปน ๒ อยาง คือ ถาครองฆราวาสจะไดเปนพระเจาจักรพรรดิราช ถาออกบรรพชาจะไดเปนศาสดาเอกของโลก เมื่อเห็นพระมหาบุรุษเสด็จออกบรรพชา ก็มี ความหวังวาคงจะไดตรัสรูแลวสอนตนบาง จึงไดพากันออกบรรพชาตามเฝาปฏิบัติตลอดมา เมื่อเห็นพระมหาบุรุษทรงเลิกบําเพ็ญเพียรทุกกรกิริยา กลับมาเสวยพระกระยาหารตามปกติ เชนน้ัน จึงมีความคิดเห็นพรอมกันวา พระองคทรงคลายจากความเพียรเวียนมาเปนคนมักมาก เสียแลว พระองคจะไมไดบรรลุธรรมพิเศษอยางใดอยางหน่ึงเปนแนแท จึงเกิดความเบ่ือหนายใน การปฏิบัติรับใช พากันหลีกหนีจากพระองคไปอยู ณ ปาอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี หรือเมืองสารนาถในปจ จุบัน การที่ปญจวัคคียมาอยูเฝาปฏิบัติก็ดี การที่หลีกไปเสียก็ดี เปนประโยชนในการเผยแผ พระศาสนาของพระพทุ ธองคในกาลตอ มา กลา วคือ ๑. การที่มาอยูเฝาปฏิบัติก็เทากับไดมาเปนพยานวา อัตตกิลมถานุโยค คือ การประกอบความเพยี รดวยการทําความลําบากแกต นนน้ั พระองคเ คยประพฤตมิ าแลว ไมมีใคร ประพฤติไดยิง่ กวานี้ ถงึ กระน้ัน กห็ าใชทางท่จี ะใหรูธรรมวิเศษอยางใดไม ๒. การหลกี หนีไปเสียจากทนี่ ั้น เทา กับเปดโอกาสใหพ ระองคไ ดร บั ความสงัดมากย่ิงขึ้น ไมมีใครทาํ อันตรายความสงัดของพระองค เปน ผลใหพระองคตรัสรูเร็วขึน้ 142
1๑4๔3๑ วชิ า พุทธประวัติ ตรัสรู เม่อื พระมหาบุรุษเสวยพระกระยาหาร ทาํ ใหพระกายของพระองคมีกําลังดีขึ้นอยางเดิม ก็ทรงเร่ิมทําความเพียรทางจิตตอไป นับแตบรรพชามาลวงแลวได ๖ ป จึงไดตรัสรู พระอนุตตรสัมมาสมั โพธิญาณ คอื ไดพระปญญารูธรรมพิเศษเปนเหตุใหพอพระหฤทัยวา “รูละ” ในราตรีวสิ าขปณุ ณมีดถิ เี พ็ญ (ตรงกับวนั พธุ ข้ึน ๑๕ คํ่า เดือน ๖) ณ ใตรมไมอัสสัตถโพธิพฤกษ (คาํ วา อัสสตั ถะแปลวา ตน โพ คําวา โพธิพฤกษ แปลวา ตน ไมเปนที่ตรัสรู หรือ ตนพระศรีมหาโพธ์ิ พระสิทธัตถพุทธเจาของเราตรัสรู ณ ตนอัสสัตถะ ซึ่งพระโบราณาจารยแปลตรงกับภาษาไทยวา ตน โพ) กอ นพทุ ธศก ๔๕ ป ธรรมเปนเครื่องตรัสรูของพระองค ท่ีพระมัชฌิมภาณกาจารยแสดงวา พระองค ทรงเจริญสมถภาวนา ทําจิตใหเปนสมาธิ จนบรรลุฌานที่ ๑ (ปฐมฌาน) ฌานท่ี ๒ (ทุติยฌาน) ฌานท่ี ๓ (ตติยฌาน) และฌานท่ี ๔ (จตุตถฌาน) แลว ยังญาณอันเปนตัวปญญา ๓ ประการให เกดิ ข้นึ ในยามทั้ง ๓ แหง ราตรีเปนลาํ ดับกนั คือ ๑. ในปฐมยาม ยังปุพเพนิวาสานุสสติญาณใหเกิดขึ้น ญาณน้ีทําใหพระองคสามารถ ระลกึ ถงึ ชาติหนหลังไดเ ปน อเนกชาติ ๒. ในมชั ฌิมยาม ยังจุตูปปาตญาณใหเกิดข้ึน ญาณน้ีทําใหพระองคสามารถรูการจุติ และอบุ ัติ (การเวียนวายตายเกิด) ของสัตวท ั้งหลาย วาจะดหี รือชว่ั กเ็ ปนดวยอาํ นาจของกรรม ๓. ในปจฉมิ ยาม ยงั อาสวกั ขยญาณใหเ กิดขนึ้ ญาณนีท้ ําใหพระองคสามารถเปนผูสิ้น อาสวะกิเลส คือทรงรูแจงอริยสัจ ๔ อันไดแก ทุกข ความไมสบายกาย สบายใจ สมุทัย เหตุให เกิดทกุ ข นโิ รธ ความดบั ทุกข มรรค ขอ ปฏบิ ัตใิ หถ ึงความดบั ทกุ ข เหตกุ ารณจวนจะตรัสรู ในราตรีลวงเขาวันข้ึน ๑๔ คํ่า เดือน ๖ ขณะทรงบรรทมหลับ ทรงพระสุบินนิมิต ๕ ประการ คือ ๑. ทรงพระสุบินวา ขณะพระองคทรงบรรทมหงายเหนือพื้นปฐพี พระเศียรหนุน เขาหิมพานตเปนพระเขนย พระหัตถซายหยั่งลงในมหาสมุทรทิศตะวันออก พระหัตถขวาและ พระบาทท้งั คูหยง่ั ลงในมหาสมทุ รทางทิศใต เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 143
๑1๔4๒4 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๒. ทรงพระสุบนิ วา หญา แพรกเสนหน่งึ งอกจากพระนาภี สงู ขนึ้ ไปจนถึงทองฟา ๓. ทรงพระสุบินวา หมูหนอนเปนอันมาก ขาวบาง ดําบาง ไตขึ้นมาแตพื้นพระบาทท้ังคู ปกปดลาํ พระชงฆหมด และไตข้ึนมาถงึ พระชานมุ ณฑล ๔. ทรงพระสุบินวา ฝูงนก ๔ จําพวก มีสีตาง ๆ กัน คือ เหลือง เขียว แดง ดํา บินมา แตทศิ ทง้ั ๔ ลงมาจบั แทบพระบาทแลว กลับกลายเปนสขี าวไปสิน้ ๕. ทรงพระสุบินวา เสด็จข้ึนไปเดินจงกรมบนยอดภูเขา อันเต็มไปดวยมูลคูถ แตมูลคูถ นั้นมไิ ดเ ปอ นพระยคุ ลบาท ครนั้ ทรงตนื่ จากบรรทม ทรงดํารถิ ึงขอความในพระมหาสุบินท้ัง ๕ แลวทรงทํานายดวย พระปรีชาญาณของพระองคเ องวา ขอท่ี ๑ พระองคจะไดตรสั รเู ปน พระสัมมาสัมพุทธเจา เปนผูเลิศในโลก ขอ ที่ ๒ พระองคจ ะไดป ระกาศสัจธรรม แสดงมรรคผล นิพพาน แกเทพยดาและมนุษย ท้ังมวล ขอ ท่ี ๓ คฤหสั ถและพราหมณท ้งั หลายจะเขา มาสูสาํ นักของพระองคเปน อันมาก ขอ ที่ ๔ ชาวโลกทั้ง ๔ เหลา คือ กษัตริย พราหมณ แพศย ศูทร เม่ือมาสูสํานักของ พระองคแลว จะรทู ัว่ ถงึ ธรรมอนั บรสิ ทุ ธิ์หมดจด ขอที่ ๕ แมพระองคจะพรอมมูลดวยลาภสักการะตาง ๆ ท่ีชาวโลกทุกทิศนอมนํามาถวาย ดวยความศรัทธาเล่อื มใส พระองคก ม็ ไิ ดมพี ระหฤทัยขอ งอยใู หเ ปน มลทินแมแตนอย ครน้ั พระองคทรงพยากรณในพระสุบินนิมิตดังนี้แลว ก็ทรงทําสรีรกิจ สรงพระกายหมดจดแลว ก็เสดจ็ ไปประทบั ณ ควงไมโพธพิ ฤกษ ในยามเชาแหง วนั ขนึ้ ๑๔ ค่ํา เดอื น ๖ ประกา เชาวันนั้น นางสุชาดา ผูเปนบุตรีกุฎมพีใหญแหงชาวบานเสนานิคม ตําบลอุรุเวลา ปรารถนาจะทําการบวงสรวงเทวดา จึงใชใหนางปุณณทาสี สาวใชไปปดกวาดบริเวณควงไมโพธิพฤกษ สวนตนเองตระเตรียมหุงขาวมธุปายาส เสร็จแลวจัดลงในถาดทองเพื่อเตรียมไปบวงสรวงบูชา เทวดา ณ ควงไมโพธพิ ฤกษ ฝายนางปุณณทาสีเห็นพระมหาบุรุษมีรัศมีกายแผซานออกเปนปริมณฑล ก็นึกวา เทวดาคงมานัง่ รอรบั เคร่ืองสังเวย จงึ รีบกลับมาบอกนางสชุ าดา ครนั้ แลว นางสุชาดาแตงกายงาม ดวยอาภรณ ยกขาวมธุปายาสข้ึนเหนือเศียรเกลาไปสูโพธิพฤกษพรอมบริวาร ครั้นเห็นพระมหาบุรุษ งดงามเชนน้ัน สําคัญวาเปนรุกขเทวดา จึงเขาไปถวายขาวมธุปายาสดวยความเคารพย่ิง ขณะน้ัน บาตรดินซ่ึงฆฏิการพรหมถวายไวแตวันบรรพชาเกิดอันตรธานหายไป พระมหาบุรุษ ทรงทอดพระเนตรดูนางสุชาดา เพ่ือใหรูวาพระองค ไมมีบาตรจะรับขาวมธุปายาส 144
1๑4๔5๓ วชิ า พทุ ธประวตั ิ นางสุชาดา ทราบชัดโดยอาการ จึงนอมถวายพรอมท้ังถาด กมลงอภิวาทถวายบังคมลง กลบั ไปสเู คหาของตนดวยความสขุ ใจเปนลน พน พระมหาบุรุษเสด็จลุกจากท่ีประทับ ทรงถือถาดขาวมธุปายาส เสด็จไปยังฝงแมนํ้า เนรัญชรา ประทับนั่งใตรมไมนิโครธ (ตนไทร) ทรงปนขาวมธุปายาสได ๔๙ ปน เสวยหมดแลว ทรงถือถาดลงสูแมนํ้า ทรงอธิษฐานเส่ียงพระบารมีวา ถาจะไดบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ (บรรลโุ พธญิ าณ คอื ตรสั รูเ ปนพระพุทธเจา ) ขอใหถ าดนจี้ งลอยทวนกระแสนํ้าข้ึนไปเถิด แลว ทรงลอยถาดนั้นลงในแมน้ํา ขณะน้ัน อานุภาพแหงพระบารมีไดแสดงใหเห็นเปนอัศจรรย กลาวคือ ถาดน้ันไดลอยทวนกระแสนํ้าขึ้นไปประมาณ ๑ เสน แลวจมสูนาคพิภพของ พญากาฬนาคราช คร้ันทรงทอดพระเนตรเห็นเปนนิมิตเชนนั้น ทรงแนพระทัยวา จะไดตรัสรูเปน พระสัพพัญพู ทุ ธเจาแนนอน จึงเสด็จไปยงั สาลวัน (ปาไมรงั )ตามแนวริมฝงแมนํ้าเนรัญชรา ประทับ พกั ภายใตรมไมสาลพฤกษ พอเวลาพระอาทิตยตะวันบาย เสด็จไปสูควงไมอัสสัตถโพธิพฤกษ ไดรับ หญาคาซ่ึงโสตถิยพราหมณนอมถวาย ๘ กํา ทรงนําหญาคาน้ันไปปูลาดเปนรัตนบัลลังก เสด็จประทับบนรัตนบัลลังกน้ัน หันพระปฤษฎางคไปทางลําตนโพธิพฤกษ ผินพระพักตรไปยัง ปราจีนทิศ ทรงต้ังสัตยาธิษฐานวา “ถายังมิไดตรัสรูอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด จัก ไมลุกขึ้นเพียงน้ัน แมเน้ือและโลหิตจะแหงเหือดไป เหลือแตหนัง เอ็น และกระดูก ก็ตามที” ดงั น้แี ลว จึงทรงเริ่มบาํ เพญ็ สมาธิจิตตอ ไป ทรงชนะพญามาร ขณะนั้น วสวัตดีมาราธิราช (พญามารผูสถิต ณ สวรรคช้ันปรนิมมิตวสวัตดี) เกรงวา พระมหาบุรุษจะพนจากอํานาจของตน จึงยกพหลพลพยุหเสนามารมาผจญ แสดงฤทธิ์โดย ประการตาง ๆ เพื่อใหพระมหาบุรุษตกพระทัยกลัวเสด็จหนีไป พระมหาบุรุษทรงนึกถึง พระบารมี ๑๐ ทศั คอื ๑. ทาน การเสยี สละ ๒. ศีล การรักษากายวาจาใหเปนปกติ ๓. เนกขัมมะ การปลกี ตัวออกจากกามมุงบรรพชา ๔. ปญญา ความรอบรใู นส่งิ ท่ีควรรู เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 145
1๑๔4๔6 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี ๕. วริ ิยะ ความเพยี ร ๖. ขนั ติ ความอดทน ๗. สจั จะ ความซ่ือสตั ย ๘. อธษิ ฐาน ความตง้ั ใจอยา งม่นั คง ๙. เมตตา ความปรารถนาดีตอผอู ื่น ๑๐. อเุ บกขา ความวางจติ เปน กลาง ที่ทรงบําเพ็ญมาแตอดีต ทรงอาง นางสุนธรา เจาแมมหาปฐพีเปนสักขีพยาน เส่ียง พระบารมี ๑๐ ทัศนั้น เขาชวยผจญตอสูพญามารกับเสนาใหปราชัยไปในเวลาพระอาทิตย ยังไมทันอัสดงคต พระองคทรงเริ่มเจริญสมถภาวนาทําจิตใหเปนอัปปนาสมาธิจนไดบรรลุ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน แลวยังฌานอันเปนองคแหงปญญา ๓ ประการ ใหเกดิ ข้นึ ในยามทั้ง ๓ คอื ๑. ครัน้ ลว งเขา ปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาน สามารถระลึกอดีตชาติ ท่ีพระองคท รงเวยี นวายตายเกิดมาแลวได ๒. คร้ันถึงมัชฌิมยาม ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณหรือทิพพจักขุญาณ สามารถหยั่งรู การเวียนวายตายเกดิ ของสัตวท้ังปวงได ๓. ในปจ ฉมิ ยาม ทรงบรรลอุ าสวกั ขยญาณ สามารถทาํ กิเลสท้งั ปวงใหหมดสิ้นไป ดวยพระปญ ญาพจิ ารณาในปจ จยาการแหงปฏจิ จสมปุ ปบาท โดยอนโุ ลมและปฏโิ ลม (ตามลําดับ และทวนลําดับ) ก็ทรงบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา ในเวลา รุงอรุโณทัย ในวนั วสิ าขปรุ ณมี ขึน้ ๑๕ คํ่า ดถิ ีเพ็ญกลางเดอื น ๖ ประกา เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 146
1๑4๔7๕ วชิ า พุทธประวตั ิ ปฐมโพธกิ าล บทท่ี ๖ ปฐมเทศนาและปฐมสาวก พระมหาบุรุษไดบําเพ็ญเพียรทางใจ จนไดบรรลุธรรมพิเศษคืออริยสัจ ๔ ณ ภายใต ตนอสั สัตถะ ซงึ่ ตอมาเรียกวา ตนพระศรมี หาโพธ์ิ ใกลร มิ ฝงแมน้ําเนรัญชรา ในตําบลอุรุเวลาเสนานิคม แควนมคธ เม่ือพระองคไดตรัสรูแลว ก็ไดประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขในสถานท่ีตาง ๆ รวม ๗ สัปดาห เรยี กวา สตั ตมหาสถาน คือ สปั ดาหที่ ๑ ทรงประทับบนรัตนบัลลังกใตตนพระศรีมหาโพธ์ิ ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทตลอด ยาม ๓ แหง ราตรีแลว ทรงเปลงพระอุทานในยามละครั้ง ดงั น้ี ในปฐมยามวา เม่ือใด ธรรมท้ังหลายปรากฏแกพราหมณผูมีความเพียรเพงอยู เมอื่ น้นั ความสงสัยของพราหมณน ้ันยอมสิ้นไป เพราะมารูแจงวา เกิดแตเ หตุ ในมัชฌิมยามวา เม่ือใด ธรรมทั้งหลายปรากฏแกพราหมณผูมีความเพียรเพงอยู เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวงของพราหมณนั้นยอมส้ินไป เพราะมารูความส้ินแหงปจจัย ทัง้ หลาย วา เปน เหตุสน้ิ แหงผลทงั้ หลายดว ย ในปจฉิมยามวา เมื่อใด ธรรมท้ังหลายปรากฏแกพราหมณผูมีความเพียรเพงอยู เมื่อน้ันพราหมณนั้นยอมกําจัดมารและเสนามารเสียได ดุจพระอาทิตยอุทัยกํา จัด ความมืดทาํ อากาศใหสวางฉะน้นั สปั ดาหท่ี ๒ ครนั้ ลว ง ๗ วนั แลว พระองคเสดจ็ ลงจากรัตนบลั ลงั ก ไปประทับทางทิศอีสานแหงตน พระศรีมหาโพธิ์ ยืนจองพระเนตรดูตนพระศรีมหาโพธ์ิ โดยมิไดกระพริบพระเนตรตลอด ๗ วัน สถานทน่ี ้ันจงึ ไดนามวา อนิมสิ สเจดยี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 147
๑1๔4๖8 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 สปั ดาหท ่ี ๓ คร้ันลวง ๗ วัน เสด็จออกจากอนิมิสสเจดีย มาหยุดในระหวางตน พระศรีมหาโพธิ์กับ อนิมิสสเจดีย ทรงเนรมิตที่จงกรมข้ึน เสด็จจงกรมอยูที่น้ีเปนเวลา ๗ วัน สถานท่ีน้ัน จงึ ไดนามวา รตั นจงกรมเจดีย สปั ดาหท ี่ ๔ ครั้นลวง ๗ วัน เสด็จออกทางทิศปจจิมหรือทิศพายัพแหงตนพระศรีมหาโพธิ์ ประทับนั่งขัดสมาธิในเรือนแลว ซึ่งเทวดาเนรมิตถวาย ทรงพิจารณาพระอภิธรรมปฎก ตลอด ๗ วนั สถานทน่ี ัน้ จึงไดน ามวา รตั นฆรเจดยี สัปดาหท ่ี ๕ คร้ันลวง ๗ วัน เสด็จไปประทับภายใตรมไทรอันเปนที่พักของคนเลี้ยงแกะ ซ่ึงได ชื่อวา อชปาลนิโครธ ตั้งอยูในทิศบูรพาแหงตนพระศรีมหาโพธิ์ คร้ังน้ัน ธิดาของพญามาร วสวัตดี ๓ นาง คือ นางตัณหา นางราคา นางอรดี เห็นวาบิดาของตนมีความเสียใจเพราะ ทําลายพระพุทธองคไมได จึงขออาสาเขาชวยบิดา ไดเขาไปประเลาประโลมพระพุทธองค แตก ลบั ถูกพระพทุ ธองคขบั ไลใหห นไี ป คร้ังน้ัน มีพราหมณผูหนึ่งมีนิสัยเปนหุหุกชาติ ชอบตวาดขมขูผูอื่นดวยคําวา “หึหึ” เขามาเฝาทูลถามธรรมท่ีทําบุคคลใหเปนพราหมณ พระองคทรงยกเอาธรรมท่ีทําบุคคลใหเปน สมณะในพระพุทธศาสนาแตใชโ วหารเปน พราหมณวา “พราหมณผูใดมีบาปอันลอยเสียแลว ไมมีกิเลสเปนเครื่องขูคนอ่ืนวา “หึหึ” ซึ่งนับวาเปนคําหยาบ ไมมีกิเลสอันยอมจิต สํารวมดีถึงท่ีสุดแหงไตรเพท มีพรหมจรรยอยูจบแลว ไมมีกิเลสเคร่ืองฟูแลว ควร เรียกวา พราหมณ” 148
1๑4๔9๗ วชิ า พทุ ธประวตั ิ สปั ดาหท่ี ๖ คร้ันลวง ๗ วัน ก็เสด็จไปประทับอยู ณ ภายใตรมไมจิกซึ่งไดนามวามุจลินท ซ่ึงตั้งอยูทางทิศอาคเนยแหงตนพระศรีมหาโพธิ์ ทรงเสวยวิมุตติสุข ณ ท่ีน้ันแลว เปลงอุทานวา “ความสงัดเปนสุขของผูมีธรรมอันสงบอันไดสดับไว ยินดีอยูในท่ีสงัด รูเห็นตามจริง อยางไร ความไมเบียดเบียนในสัตวทั้งหลาย ความปราศจากกําหนัด คือความลวงกาม ได ดวยประการท้ังปวง เปนสุขในโลก การทําอัสมิมานะคือความถือตัวตนใหหมดไปได เปน สุขอยา งยงิ่ ” ตอนน้ี พระอรรถกถาจารยแสดงวา เม่ือพระองคประทับอยูท่ีน้ัน ฝนตกพรําเจือกับ ลมหนาวตลอด ๗ วัน พญานาคช่ือวามุจลินท ซึ่งมาวงขนดหางเปน ๗ รอบ แผพังพานปก พระองคไวเพื่อมิใหฝนและลมถูกตองพระองค เม่ือฝนหายแลวก็คลายขนดออก จําแลงเพศเปน มาณพมายนื เฝา พระองคอ ยูเ ฉพาะพระพกั ตร สปั ดาหท่ี ๗ ครนั้ ลว ง ๗ วนั เสดจ็ ไปยังตนไมเกต (ราชายตนะ) ทางทศิ ทักษณิ แหง ตน พระศรมี หาโพธ์ิ เสวยวมิ ตุ ติสุขอยทู ีน่ ั้น ๗ วนั ครง้ั น้ัน มีพาณิช ๒ คนพ่ีนอง ช่ือวา ตปุสสะและภัลลิกะ เดินทาง มาแตอุกกลชนบท ไดเห็นพระศาสดาเขา จึงพรอมใจกันนําขาวสัตตุผงสัตตุกอนซ่ึงเปนเสบียง ของคนเดินทางเขาไปถวาย แลวจึงยืนอยู ณ สวนขางหนึ่งพระองคทรงรับและเสวยเสร็จแลว พาณิชทั้ง ๒ คนพ่ีนองก็แสดงตนเปนอุบาสก ขอถึงพระพุทธกับพระธรรม ท้ัง ๒ วาเปนที่พึ่งที่ ระลึก นบั วา เปน ปฐมอบุ าสกผูถ ึงพระรตั นะ ทงั้ ๒ คือ พระพทุ ธและพระธรรมในพระพุทธศาสนา เรียกวา เทววาจิกอุบาสก กอนอุบาสกทั้ง ๒ จะกลับไป ไดทูลขอปูชนียวัตถุเพื่ออภิวาทบูชา ในกาลตอไป พระองคทรงยกพระหัตถปรามาส (ลูบ) พระเศียร พระเกศธาตุ ๘ เสน ไดติด พระหัตถลงมา จึงทรงประทานพระเกศธาตุ ทงั้ ๘ เสนแกอบุ าสก ทงั้ ๒ นั้นไป บุคคลที่เปรยี บดวยดอกบวั ๔ เหลา เมื่อประทับอยูใตตนราชายตนะสิ้น ๗ วันแลว จึงเสด็จกลับไปสูตนอชปาลนิโครธอีก ทรงพิจารณาถึงธรรมที่พระองคไดตรัสรูแลววาเปนธรรมละเอียดสุขุมคัมภีรภาพย่ิงยากท่ีสัตว เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 149
1๑๔5๘0 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ผยู ังติดอยูในกามจะรูตามได ก็ทรงปลงพระทัยในอันจะทรงส่ังสอนธรรมโปรดเวไนยสัตวตอนน้ี พระอรรถกถาจารยแสดงวา ทาวสหัมบดีพรหมทราบขอปริวิตกของพระองค จึงลงมาทูล อาราธนาใหแ สดงธรรม โดยอา งวาสตั วที่มีกเิ ลสเบาบางอาจรูธรรมที่ทรงแสดงนั้นก็มี พระศาสดา ทรงเหน็ ตามดว ย จึงรับคาํ อาราธนาของทาวสหมั บดพี รหมนน้ั ซึ่งเปรียบไดกบั ดอกบวั ๔ เหลา คอื ๑. อุคฆฏิตัญู ผูสามารถจะตรัสรูตามไดฉับพลัน คือผูมีอินทรียแกกลา เปนผูท่ี พงึ สอนใหร ูไดง าย รธู รรมพเิ ศษไดฉับพลัน เปรียบเหมือนดอกบัวอันอยูเหนือนํ้า เมื่อถูกแสง พระอาทติ ยจะบาน ณ วนั น้ี ๒. วิปจิตัญู ผูจะตรัสรูตามเม่ือไดรับคําแนะนําในโอกาสตอไป คือผูมีคุณสมบัติ เชนนั้นพอปานกลาง ไดอบรมในปฏิปทาอันเปนเบ้ืองตน จนมีนิสัยแกกลาก็สามารถจะบรรลุ ธรรมพิเศษไดด ุจเดยี วกนั เปรียบเหมือนดอกบัวอันอยูเสมอนํา้ จะบาน ณ วันพรุงนี้ ๓. เนยยะ ผูต้ังใจเพียรพยายามปฏิบัติตามโอวาท ก็มีโอกาสจะตรัสรูได คือผูมี คุณสมบัติเชนนั้นแตยังออน หรือหาอุปนิสัยไมไดเลย ก็ยังควรไดรับคําแนะนําในธรรมเบื้องตน ไปกอน เพ่อื บํารงุ อปุ นิสยั เปรยี บเหมือนดอกบัวยังไมข้ึนจากน้ํายังตั้งอยูภายในนํ้า จะบาน ณ วนั ตอ ๆ ไป ๔. ปทปรมะ ผูยากทีจ่ ะสง่ั สอน คอื ผูท ไี่ มใ ชเวไนยสตั ว ไมส ามารถรับคาํ แนะนํา ส่ังสอน ไดเปรยี บเหมือนดอกบัวทีย่ ังจมอยูในโคลนตม ยอมเปน ภกั ษาแหงปลาและเตา โปรดปญจวคั คีย คร้ันพระองคทรงอธษิ ฐานในพระหฤทยั เพอื่ จะทรงแสดงธรรมเชนน้ันแลว ทรงพิจารณา ถงึ บคุ คลผสู มควรจะรับฟงธรรมเทศนาเปน ปฐม ทรงปรารถถงึ อาฬารดาบส กาลามโคตรและ อุททกดาบส รามบุตร ผูซึ่งเคยเปนอาจารยส่ังสอนลัทธิในกาลกอน แตปรากฏวาอาจารย ทง้ั ๒ น้นั สิน้ ชีพแลว ภายหลังทรงระลกึ ถึงปญจวคั คียผ ูมีอุปการะแกพระองคม ากอ น ไดอุปฏฐาก พระองคสมัยเม่ือทรงบําเพ็ญทุกกรกิริยา ซึ่งในเวลานี้ไดหลีกไปอยูปาอิสิปตนมฤคทายวัน แขวง เมอื งพาราณสี จงึ ตกลงพระหฤทยั วาจะแสดงธรรมแกปญจวัคคีย จากนั้น พระองคก็เสด็จออกจากตนไมอชปาลนิโครธ ในเวลาเชาข้ึน ๑๔ คํ่า เดือน อาสาฬหมาส (เดือน ๖) ทรงดําเนินไปโดยมรรคาที่จะไปสูเมืองพาราณสีอันเปนนครหลวง แหง กาสชี นบท ครน้ั เสด็จถึงระหวา งแมน ้ําคยากับตน พระศรมี หาโพธต์ิ อ กัน ทรงพบอุปกาชวี กผูหนง่ึ 150
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334