3๒๙0๙1 วชิ า วนิ ัย ฤดู ๓ ๑. เหมันตฤดู : ฤดูหนาว นับแตเดือนมาคสิระ (แรม ๑ คํ่า เดือน ๑๒ ถึง ขึน้ ๑๕ คํ่า เดือน ๔) ๒. คิมหฤดู หรือ คิมหันตฤดู : ฤดูรอน นับแตเดือนจิตตะ (แรม ๑ คํ่า เดือน ๔ ถึง ข้ึน ๑๕ คํ่า เดือน ๘) ๓. วัสสานฤดู หรือ วสั สนนั ตฤดู : ฤดูฝน นับแตเดือนสาวนะ (แรม ๑ คํ่า เดือน ๘ ถงึ ขน้ึ ๑๕ ค่ํา เดือน ๑๒) ๒. มาตราวัด สําหรับกําหนดระยะ คือ หาง ชิด สูง ตํ่า ยาว สั้น กวาง แคบ เดิมคงใชน้ิว เปน หลัก ในวธิ ีกระจายออกไป จับเอาเมลด็ ขาวเปน หลกั ดังนี้ ๗ เมล็ดขา ว เปน ๑ น้ิว ๑๒ น้วิ เปน ๑ คบื ๒ คืบ เปน ๑ ศอก ๔ ศอก เปน ๑ วา ๒๕ วา เปน ๑ อสุ ภะ ๘๐ อุสภะ เปน ๑ คาวุต ๔ คาวุต เปน ๑ โยชน อีกอยางหนึง่ กาํ หนดดังน้ี ๔ ศอก เปน ๑ ธนู / ๕๐๐ ธนู เปน ๑ โกสะ / ๔ โกสะ เปน ๑ คาวตุ / ๔ คาวุต เปน ๑ โยชน ๓. มาตราตวง มาตราตวงนี้ใชสําหรับวัดปริมาณจํานวนของสิ่งของ โดยใชภาชนะอยางใดอยางหนึ่งตัก ดังนี้ ๔ กํามอื (มฏุ ฐ)ิ เปน ๑ ฟายมือ ๒ ฟายมือ เปน ๑ กอบ (ปต ถะ) ๒ กอบ เปน ๑ ทะนาน (นาฬี) ๔ นาฬี เปน ๑ อาฬหก เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 301
๓3๐0๐2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี ๔. มาตราชงั่ ใชส าํ หรบั ชงั่ น้าํ หนกั ดังนี้ ๔ เมล็ดขาวเปลือก เปน ๑ กุญชา ๒ กญุ ชา เปน ๑ มาสก ๕ มาสก เปน ๒ อักขะ ๘ อักขะ เปน ๑ ธรณะ ๑๐ ธรณะ เปน ๑ ปะละ ๑๐๐ ปะละ เปน ๑ ตุลา ๒๐ ตุลา เปน ๑ ภาระ มาตรานีใ้ ชช ง่ั สงิ่ ของอยา งอ่ืนที่ไมใ ชท องและเงิน ๕ ธรณะ เปน ๑ สุวัณณะ ๕ สวุ ณั ณะ เปน ๑ นิกขะ มาตรานใี้ ชช ั่งทองและเงนิ ๕. มาตรารปู ย ะ สําหรับกาํ หนดตีราคาสนิ คา ดงั นี้ ๕ มาสก เปน ๑ บาท ๔ บาท เปน ๑ กหาปณะ ประโยชนข องการศึกษามาตรานี้ กเ็ พือ่ เปนอุปการะในการวินิจฉัย มาตราที่เหลือ คือ มาตราตวง มาตราช่ัง และมาตรารูปยะ รวมถึงมาตราพิเศษ นักศึกษาผูตองการความพิสดาร และความเปน ผฉู ลาดในพระวินยั พึงศึกษารายละเอียดเพิม่ เตมิ ในหนังสอื วนิ ัยมุขเลม ๑ เถดิ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 302
3๓0๐3๑ วชิ า วนิ ัย ¢ŒÍÊͺ¸ÃÃÁʹÒÁËÅǧ ËÅ¡Ñ Êμ٠ù¡Ñ ¸ÃÃÁª¹éÑ μÃÕ ÇÔªÒÇ¹Ô ÑºÑÞÞÑμÔ »‚ ¾.È. òõõö - òõõø เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 303
3๓0๐๒4 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 »Þ˜ ËÒáÅÐà©ÅÂÇªÔ ÒÇ¹Ô ÂÑ ºÑÞÞμÑ Ô ¹¡Ñ ¸ÃÃÁª¹éÑ μÃÕ Êͺã¹Ê¹ÒÁËÅǧ ÇѹàÊÒà ·Õè òô μÅØ Ò¤Á ¾.È. òõõø ๑. พระวนิ ยั คอื อะไร ? ภกิ ษุรกั ษาพระวนิ ยั แลว้ ยอ่ มไดอ้ านิสงสอ์ ะไร ? เฉลย คือพระพทุ ธบญั ญตั ิและอภสิ มาจาร ฯ ไดอ้ านิสงส์ คือไม่ตอ้ งเดือดรอ้ นใจ ไดร้ บั ความแช่มชนื ว่า ไดป้ ระพฤตดิ งี าม จะเขา้ หมภู่ กิ ษุผูม้ ศี ีลกอ็ งอาจไมส่ ะทกสะทา้ น ฯ ๒. ปจั จยั เครอื งอาศยั ของบรรพชิตเรยี กวา่ อะไร ? มีกอี ย่าง ? อะไรบา้ ง ? เฉลย เรยี กว่า นิสสยั ฯ มี ๔ อย่าง ฯ คอื ๑. เทยี วบณิ ฑบาต ๒. นุ่งห่มผา้ บงั สุกลุ ๓. อยู่โคนตน้ ไม้ ๔. ฉนั ยาดองดว้ ยนาํ มตู รเน่า ฯ ๓. สกิ ขาบททมี าในพระปาตโิ มกขม์ ีเท่าไร ? สกิ ขาบทวา่ ดว้ ยปาราชิกมีอะไรบา้ ง ? เฉลย มี ๒๒๗ สกิ ขาบท ฯ มี ๑. เสพเมถนุ ๒. ภกิ ษุถอื เอาของทเี จา้ ของเขาไมไ่ ดใ้ ห้ ไดร้ าคา ๕ มาสก ๓. ภกิ ษุแกลง้ ฆ่ามนุษยใ์ หต้ าย ๔. ภกิ ษุอวดอตุ ตรมิ นุสสธรรม (คอื ธรรมอนั ยงิ ของมนุษย)์ ทไี มม่ ใี นตน ฯ ๔. ในอทนิ นาทานสกิ ขาบท กาํ หนดราคาทรพั ย์ เป็นวตั ถแุ ห่งอาบตั ไิ วอ้ ย่างไรบา้ ง ? เฉลย ทรพั ยม์ รี าคาตงั แต่ ๕ มาสก ขนึ ไป เป็นวตั ถแุ ห่งอาบตั ปิ าราชกิ ทรพั ยม์ รี าคาตาํ กวา่ ๕ มาสก แต่สูงกว่า ๑ มาสก เป็นวตั ถแุ หง่ อาบตั ิถลุ ลจั จยั ทรพั ยม์ รี าคาตงั แต่ ๑ มาสก ลงไป เป็นวตั ถแุ ห่งอาบตั ทิ กุ กฏ ฯ 304
3๓0๐5๓ วชิ า วนิ ยั ๕. ภกิ ษุโจทภกิ ษุอนื ดว้ ยอาบตั ปิ าราชิกอย่างไร ภกิ ษุผูโ้ จทจงึ ตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ? เฉลย ภกิ ษุโกรธเคือง แกลง้ โจทภกิ ษุอนื ดว้ ยอาบตั ปิ าราชกิ ไมม่ มี ลู และภกิ ษุโกรธเคอื ง แกลง้ หาเลสโจทภกิ ษุอนื ดว้ ยอาบตั ิปาราชกิ ฯ ๖. ภกิ ษุประพฤตอิ ยา่ งไร ชือวา่ ประทษุ รา้ ยตระกลู ? เฉลย ประจบคฤหสั ถ์ ฯ ๗. พระพทุ ธองคท์ รงอนุญาตใหภ้ กิ ษุขอจวี รต่อคฤหสั ถผ์ ูไ้ ม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา ไดใ้ นสมยั ใดบา้ ง ? เฉลย ในสมยั ทภี กิ ษุมจี วี รอนั โจรลกั ไป หรอื มจี วี รอนั ฉิบหายเสยี ฯ ๘. ภกิ ษุนําเกา้ อขี องสงฆไ์ ปใชใ้ นทแี จง้ เมอื หลกี ไปจากทนี นั พงึ ปฏบิ ตั อิ ย่างไร ? ถา้ ไม่ ปฏบิ ตั ิ อย่างนัน ตอ้ งอาบตั อิ ะไร ? เฉลย พงึ เกบ็ เอง หรอื ใชใ้ หผ้ ูอ้ นื เก็บ หรอื มอบหมายแก่ผูอ้ นื ฯ ตอ้ งอาบตั ิปาจติ ตยี ์ ฯ ๙. ในการรบั บณิ ฑบาต ภกิ ษุพงึ ปฏบิ ตั อิ ย่างไรจงึ ถกู ตอ้ งตามเสขิยวตั ร ? จงตอบมาเพยี ง ๒ ขอ้ เฉลย รบั โดยเคารพ แลดูแต่ในบาตร รบั แกงพอสมควรแก่ขา้ วสุก รบั แต่พอเสมอขอบ ปากบาตร ฯ (เลอื กตอบเพยี ง ๒ ขอ้ ) ๑๐. การเถยี งกนั ดว้ ยเรอื งอะไรจงึ จดั เป็นววิ าทาธกิ รณ์ ? เฉลย การเถยี งกนั วา่ สงิ นนั เป็นธรรมเป็นวนิ ยั สงิ นีไมใ่ ช่ธรรมไมใ่ ช่วนิ ยั ฯ ********* เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 305
3๓0๐๒6 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 »Þ˜ ËÒáÅÐà©ÅÂÇÔªÒÇ¹Ô ÂÑ ºÑÞÞμÑ Ô ¹¡Ñ ¸ÃÃÁªé¹Ñ μÃÕ Êͺã¹Ê¹ÒÁËÅǧ ÇѹÍÒ·Ôμ ·Õè õ μÅØ Ò¤Á ¾.È. òõõ÷ 306
วิชา วินัย 3๓0๐7๓ 307 เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1
3๓0๐๒8 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี ปญ หาและเฉลยวชิ าวินยั บญั ญัติ นกั ธรรมช้ันตรี สอบในสนามหลวง วันพธุ ที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๖ ๑. อกรณยี กจิ คอื กิจท่บี รรพชิตไมค วรทาํ มีกอ่ี ยา ง ? อะไรบา ง ? ๑. มี ๔ อยา่ ง ฯ คอื ๑. เสพเมถุน ๒. ลกั ของเขา ๓. ฆา่ สตั ว์ ๔. พดู อวดคณุ พเิ ศษทไี มม่ ใี นตน ฯ ๒. อาบตั ิ คืออะไร ? อาการท่ีภกิ ษุตองอาบัติมี ๖ อยา ง จงบอกมาสกั ๓ อยาง ฯ ๒. คอื โทษทเี กดิ เพราะความละเมดิ ในขอ้ ทพี ระพทุ ธเจา้ ทรงหา้ ม ฯ (เลอื กตอบเพยี ง ๓ ขอ้ ) ๑. ตอ้ งดว้ ยไมล่ ะอาย ๒. ตอ้ งดว้ ยไมร่ วู้ ่าสงิ นจี ะเป็นอาบตั ิ ๓. ตอ้ งดว้ ยสงสยั แลว้ ขนื ทาํ ลง ๔. ตอ้ งดว้ ยสาํ คญั ว่าควรในของทไี มค่ วร ๕. ตอ้ งดว้ ยสาํ คญั วา่ ไมค่ วรในของทคี วร ๖. ตอ้ งดว้ ยลมื สตฯิ ๓. ภกิ ษุพยายามฆาตนเอง แตท ําไมส าํ เร็จ จะตองอาบัตอิ ะไร ? ๓. ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ฯ ๔. ขอ ความวา ภิกษชุ ักสอื่ ใหชายหญิงเปนผัวเมยี กัน ตามสิกขาบทที่ ๕ แหงสงั ฆาทิเสส น้นั หมายถงึ การทาํ อยางไร ? ๔. หมายถงึ การทภี กิ ษุบอกความประสงคข์ องชายแกห่ ญงิ หรอื บอกความประสงคข์ องหญงิ แก่ ชายในความเป็นผวั เมยี ฯ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 308
3๓0๐9๓ วชิ า วนิ ัย ๕. ไตรจวี ร อตเิ รกจวี ร ไดแกจ วี รเชน ไร ? ๕. ไตรจวี ร ไดแ้ กจ่ วี ร ๓ ผนื ประกอบดว้ ย อตุ ตราสงค์ (ผา้ หม่ ) อนั ตรวาสก (ผา้ นุ่ง) และ สงั ฆาฏิ (ผา้ คลมุ หรอื ผา้ ทาบ) ฯ อตเิ รกจวี ร ไดแ้ กผ่ า้ มขี นาดกวา้ ง ๔ นิวยาว ๘ นิว ซงึ อาจ นําไปทาํ เป็นเครอื งนุ่งหม่ ได้ นอกจากผา้ ทอี ธษิ ฐาน ฯ ๖. ภิกษุขอจวี รตอสามีของนองสาวแลว ไดมา เธอจะตองอาบตั อิ ะไรหรือไม ? ๖. ถา้ สามขี องน้องสาวเป็นญาตกิ ด็ มี ใิ ชญ่ าตแิ ตป่ วารณากด็ ี ไมต่ อ้ งอาบตั ิ ถา้ มใิ ชญ่ าตแิ ละมไิ ด้ ปวารณา เป็นเพยี งน้องเขย ตอ้ งนิสสคั คยิ ปาจติ ตยี ์ เวน้ ไวแ้ ตส่ มยั (คอื ในเวลาจวี รถกู ขโมย หรอื เสยี หาย) ฯ ๗. มีผูนาํ อาหารบิณฑบาตมาถวายแกสงฆ ภกิ ษุแนะนําใหถ วายแกตนเองและไดม า เชน นี้จะตองอาบัตหิ รือไม ? ถาตอง จะตอ งอาบัตอิ ะไร ? ๗. ตอ้ งอาบตั ิ ฯ ตอ้ งอาบตั นิ ิสสคั คยิ ปาจติ ตยี ์ ฯ ๘. เสขยิ วตั ร คืออะไร ? โภชนปฏสิ งั ยตุ วา ดวยเรื่องอะไร ? ๘. คอื วตั รหรอื ธรรมเนียมทภี กิ ษุจาํ ตอ้ งศกึ ษา ฯ ว่าดว้ ยเรอื งการรบั และการฉนั อาหาร ฯ ๙. ภิกษุไมเอือ้ เฟอ ในเสขิยวตั ร ปฏิบัติผิดธรรมเนียมไป ตองอาบัตอิ ะไร ? ๙. ตอ้ งอาบตั ทิ ุกกฏ ฯ ๑๐. ภิกษุเถียงกันดวยเรอ่ื งอะไร จึงเรยี กวา วิวาทาธกิ รณ ? ๑๐. เถยี งกนั ดว้ ยเรอื ง สงิ นนั เป็นธรรมเป็นวนิ ยั สงิ นไี มใ่ ชธ่ รรมไมใ่ ชว่ นิ ยั ฯ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 309
3๓1๐๒0 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 310
3๓1๐๙1 วชิ า เรยี งความแกก ระทธู รรม เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 311
3๓๑1๐2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ขอบขายเนอื้ หา วชิ า เรียงความแกก ระทธู รรม 312
3๓1๑3๑ วชิ า เรยี งความแกกระทธู รรม วชิ า เรียงความแกก ระทูธ รรม ขอ ความเบ้ืองตน วชิ าเรยี งความแกก้ ระทู้ธรรมเป็นวชิ าแรกของการสอบธรรมสนามหลวง เพราะเป็น กระบวนการทแี สดงออกถงึ ความรู้ ความเขา้ ใจเชงิ บูรณาการในวชิ าทงั ๓ คอื วชิ าธรรม วชิ า พทุ ธ และวชิ าวนิ ยั ของผศู้ กึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรมแผนกธรรม อาจกล่าวไดว้ ่า เป็นเครอื งกาํ หนด ความรูค้ วามเขา้ ใจหรอื วดั ผลประเมนิ ผลการเรยี นรู้ในวชิ าทงั ๓ ดงั กล่าวเลยกว็ ่าได้ เพราะ การทจี ะเขยี นเรยี งความใหถ้ ูกตอ้ งตามหลกั เกณฑ์ขอ้ กําหนดของวิชานี ผูศ้ กึ ษาจําตอ้ งผ่าน ทกั ษะหรอื กระบวนการเรยี นรใู้ นวชิ าทงั ๓ ดงั กลา่ วนนั มาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะวชิ าธรรม เพราะ ชอื ของวชิ านีกบ็ ่งบอกอย่แู ลว้ ว่าเป็นวชิ าเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม หากผศู้ กึ ษาไม่มคี วามรคู้ วาม เขา้ ใจวชิ าธรรมหรอื ไมไ่ ดศ้ กึ ษาหลกั ธรรมเบอื งตน้ คอื ธรรมวภิ าคและคหิ ปิ ฏบิ ตั แิ ลว้ กย็ ากทจี ะ เขยี นเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรมไดด้ หี รอื อาจถงึ ขนั เขยี นไม่ได้เลยกม็ ี วชิ าเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม จงึ เป็นเสมอื นผลสมั ฤทธขิ องการเรยี นรวู้ ชิ าทงั ๓ โดยเฉพาะวชิ าธรรม องคค์ วามรทู้ กั ษะหรอื กระบวนการเรยี นรู้ ทไี ดจ้ ากการศกึ ษาวชิ านีจะทาํ ใหผ้ ศู้ กึ ษามคี วามสามารถในการแสดงธรรม บรรยายธรรม ปาฐกถาธรรม อธิบายธรรม หรอื บอกกล่าวพรําสอนธรรมแก่ผู้อนื ได้อย่าง มหี ลกั เกณฑ์ ซงึ จะชว่ ยใหก้ ารเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาเป็นไปอยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ล ประโยชนของการเรยี งความแกก ระทธู รรม ๑. สง่ เสรมิ พฒั นาการทางดา้ นจนิ ตนาการ ความคดิ รเิ รมิ สรา้ งสรรคข์ องผเู้ ขยี น ๒. ทําใหร้ กู้ ารจดั ลําดบั ความคดิ สามารถถ่ายทอดความรสู้ กึ นึกคดิ ของตนออกมาให้ ผอู้ นื เขา้ ใจตามตอ้ งการได้ ๓. ทาํ ใหร้ จู้ กั เลอื กถอ้ ยคาํ สาํ นวนโวหารมาใชไ้ ดถ้ กู ตอ้ งตามหลกั ภาษา ๔. สง่ เสรมิ ทกั ษะการเขยี นภาษาไทยไดถ้ กู ตอ้ งตามแบบนยิ ม ๕. ผเู้ รยี นไดท้ บทวนหลกั ธรรมทไี ดศ้ กึ ษามาแลว้ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 313
3๓๑1๒4 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ความหมายของคาํ วา “เรยี งความแกก ระทูธรรม” คําวา “เรยี งความแกก ระทธู รรม” ประกอบดวยคาํ ๔ คํา คอื ๑. เรียงความ หมายถึง การเอาถอยคํา สํานวน มาประกอบกันแตงเปนเรื่อง หรือ การนําคํา สํานวน หรือขอความ มาเรียงรอยใหเรียบรอย ถูกตองตามหลักภาษา อานแลว ไดใจความ ๒. แก หมายถึง ทําใหคลายจากลักษณะท่ีแนนหรือที่ติดขัดหรือท่ีเปนเงื่อนเปนปมอยู เชน แกปม แกเ งื่อน แกปญ หา แกกระทู เฉลย อธิบายใหเขาใจ เปนตน ๓. กระทู หมายถึง หัวขอ หรือ ขอความท่ีต้ังใหอธิบาย เชน กระทูธรรม กระทูถาม ในทน่ี ห้ี มายเอากระทูธรรม ไดแก หวั ขอธรรม ๔. ธรรม หมายถึง คุณความดี คําส่ังสอนในศาสนา หลักปฏิบัติในศาสนา ในท่ีน้ี หมายเอาพระธรรมคาํ ส่ังสอนของพระพุทธเจาที่ทรงภาษิตคอื ตรสั ไวดแี ลว เรียงความแกกระทูธรรม หมายถึง การแตงอธิบายความหัวขอธรรมภาษิต ใหกระจางแจง 314
3๓1๑5๓ วชิ า เรยี งความแกกระทธู รรม หลกั การเขียนเรียงความแกกระทูธรรม การเขียนเรยี งความแกก ระทูธ รรมจําเปน ตอ งคาํ นึงถงึ หลักสาํ คัญ ๓ ประการ คอื ๑. การตีความหมาย หมายถึง การใหคําจํากัดความของธรรมภาษิตนั้น ๆ วา มคี วามหมายวาอยางไร เชน กระทพู ุทธศาสนสุภาษติ วา สลี ํ โลเก อนุตฺตรํ ศลี เปนเย่ยี มในโลก ก็ตองใหคําจํากัดความของคําวา ศีล แปลวา ปกติ สงบเย็น หมายถึง การสํารวมระวัง รักษา กาย วาจา ใหเ รียบรอยเปน ปกติ เปนตน ๒. การขยายความใหชัดเจน หมายถึง การขยายเนื้อความของคําซ่ึงไดให ความหมายไวแลว เชน ขยายความวา ศลี มีกีป่ ระเภท ประโยชนข องการรกั ษาศีล เปนตน ๓. การตง้ั เกณฑอ ธบิ าย หมายถงึ การกาํ หนดหรือวางโครงรางท่ีจะอธิบายเน้ือความ ของกระทูธรรมภาษิตวามีอะไรเปนประเด็นท่ีจะอธิบายขยายความ มีอะไรเปนมูลเหตุทําให เกิดขึน้ มผี ลดหี รอื ผลเสยี อยา งไร มีขอเปรียบเทียบหรือมีตัวอยางมาประกอบใหเห็นเดนชัดขึ้น อยา งไร เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 315
3๓๑1๔6 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 องคประกอบของการเรยี งความแกกระทูธรรม การเรยี งความแกกระทธู รรมโดยทัว่ ไปจะตองมอี งคป ระกอบท่ีสาํ คัญ ๓ สวน คือ ๑. สวนท่ีเปนคํานํา (บทอุเทศ หรือ นิกเขปบท) คือ อารัมภบท ซึ่งเปนสวนเริ่มตน ท่ีสําคัญ การเขยี นอารมั ภบททด่ี จี ะสามารถชกั จูงจิตใจของผอู า นใหติดตามอานเรยี งความตอไป จนจบ ตวั อยาง บัดน้ี จะไดพรรณนาเน้ือความตามพุทธศาสนสุภาษิตท่ีไดลิขิตไว ณ เบ้ืองตน พอเปน แนวทางแหง การศึกษาและสมั มาปฏิบัตเิ ปนลําดบั ไป (หรอื ) บัดนี้ จะไดอธิบายขยายเนื้อความแหงกระทูธรรมสุภาษิตที่ไดลิขิตไว ณ เบ้ืองตน พอเปน แนวทางแหงการศกึ ษาและปฏิบตั สิ ืบตอ ไป (หรอื ) บัดน้ี จะขยายความแกกระทูธรรมภาษิตท่ีต้ังไว ณ เบ้ืองตน พอเปนแนวทางแหง การศึกษาและปฏิบัตเิ ปน ลําดบั ไป ๒. สวนที่เปนเน้ือหา (บทนิทเทส หรือ นิเทศ) หมายถึง สวนท่ีเปนประเด็นหลักท่ี จะตองอธิบายขยายความของกระทูธรรมน้ัน ๆ โดยการเรียงความแกกระทูธรรมจะตองมุงให เน้อื หาสาระทส่ี าํ คัญทําใหผูอา นไดรับคุณคาในดานหลักความประพฤติ กอใหเกิดพัฒนาการใน กระบวนการศึกษาปฏิบัติธรรมตามหลักไตรสิกขา บทนิทเทสสวนท่ีเปนเนื้อหานั้นควรเขียน ประมาณ ๑๕ – ๒๐ บรรทัด ๓. สวนที่เปนคําสรุป (ปฏินิทเทส) หมายถึง การรวบรวมใจความท่ีสําคัญของเนื้อ เร่อื งท่ีไดอ ธิบายมาตั้งแตตนมาสรปุ ไวอยา งยอ ๆ สวนทเี่ ปนคําสรุปนี้ควรเขียนประมาณ ๕ - ๗ บรรทดั 316
3๓1๑7๕ วชิ า เรยี งความแกกระทธู รรม โครงสรางของการเรียงความแกก ระทธู รรม เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 การเรียงความแกกระทูธรรมสําหรับนักธรรมและธรรมศึกษาช้ันตรี มีโครงสรางท่ี สาํ คญั ในการเขียน ๔ อยาง คอื ๑. กระทูตั้ง คือ กระทูธรรมที่เปนปญหาสําหรับใหเรียงความแกหรืออธิบาย ตองยกขน้ึ มาต้งั ไวก อ นจะเรยี งความแก โดยเขียนไวกงึ่ กลางหนากระดาษ ตวั อยางเชน ปาปานิ ปริวชฺเชยฺย. พึงละเวน บาปทงั้ หลาย. ๒. อารัมภบท คือ คําข้ึนตน หรือสวนที่เปนคํานํา เมื่อยกกระทูธรรมภาษิตข้ึนต้ังแลว เวลาจะเรยี งความแก ตองข้นึ อารมั ภบทกอ น ตัวอยางเชน บัดนี้ จะไดอธิบายขยายความตามภาษิตท่ีไดลิขิตไว ณ เบ้ืองตน พอเปนแนวทาง แหงการศกึ ษาและปฏบิ ัติ สืบไป คาํ วา บาป หมายถงึ .... ฯลฯ ๓. กระทูรับ คือ การเขียนเรียงความแกกระทูธรรมน้ันตองมีกระทูอื่นมารับหรือเช่ือม เพ่ือใหส มจรงิ กบั เน้ือความที่ไดอธบิ ายไว ทําใหเ นื้อความเดน ชดั ขึ้นโดยกระทูที่นํามารับน้ันตอง มีเนื้อความสอดคลองหรือเชื่อมกันกับกระทูต้ัง (ไมจําเปนตองเปนกระทูหมวดเดียวกัน) และ ตอ งบอกแหลง ท่ีมาของกระทูรับนน้ั ดว ย ดงั ตัวอยาง เชน บาปทงั้ หลายสาธุชนตอ งละเวนใหได เพราะเปน เหตุหรอื ตัวการสาํ คัญใหคนเราประสบ 317
3๓๑1๖8 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ความทกุ ขค วามเดือดรอ นตาง ๆ ทัง้ ในโลกนีแ้ ละโลกหนา วธิ กี ารละบาปทง้ั หลาย ในขัน้ พื้นฐาน ก็คือ การมีสติ รักษาศีล เพราะศีลเปนเบื้องตนของกุศลธรรมทั้งหลายและเปนเย่ียมในโลก สมดงั พทุ ธศาสนสภุ าษติ ที่มาในขทุ ทกนิกาย ชาดก วา สีลํ โลเก อนตุ ฺตรํ. ศลี เปน เย่ยี มในโลก. คาํ วา ศีล หมายถึง .... ฯลฯ (อธบิ ายกระทูธรรมทน่ี าํ มารบั ประมาณ ๕ – ๑๐ บรรทดั ) ๔. คําสรุป คือ เมื่อเรียงความอธิบายไปอยางสมเหตุสมผลแลว ตองนําเอาประเด็น หลกั ของเนื้อหาท่ีกลาวมาแลวมาสรุป และยกกระทูต้ังมารับอีกครั้งหน่ึง จึงเปนอันจบ ตัวอยาง เชน เม่ือสาธุชนมารูวาบาปท้ังหลายเปนความช่ัวไมดี ที่มีผลตอผูประพฤติ โดยทําให จิตเศราหมอง กอใหเกิดความเดือดเนื้อรอนใจในภายหลังและติดตามใหผลตองไปเกิด ในทุคตภิ มู ิ ก็ควรละเวนบาปทงั้ หลายเสยี การละเวน บาปทเ่ี ห็นไดชัดก็คือ การตั้งใจรักษาศีลให บริสุทธ์ิ โดยมีหิริและโอตตัปปะเปนคุณธรรมประจําใจ ก็ช่ือวาละเวนบาปท้ังหลายได ดังที่ อธิบายมาก็สมตามกระทูธรรมภาษติ ที่ไดตงั้ ไว ณ เบ้ืองตน วา ปาปานิ ปริวชฺชเย. พงึ ละเวน บาปท้ังหลาย. มีอรรถาธบิ ายดังพรรณนามาฉะน.้ี 318
3๓1๑๗9 วชิ า เรยี งความแกกระทธู รรม ลําดับข้ันตอนของการเขยี นเรยี งความแกก ระทธู รรม ในการเขยี นเรยี งความแกกระทูธรรมเพ่ือการสอบธรรมสนามหลวง ทานกําหนดรูปแบบ ในการเขยี นไว ๗ ขนั้ ตอน คอื ๑. เขียนกระทูตั้งท่ีออกขอสอบ โดยเขียนคําบาลีกระทูธรรมไวก่ึงกลางหนากระดาษ เปนบรรทัดแรก และเขียนคาํ แปลเปน ภาษาไทยไวบ รรทดั ท่ี ๒ ๒. เขยี นอารัมภบทเปน ยอหนา ที่ ๑ ๓. เขียนบทนิทเทส คือ การตีความหมายของกระทูธรรม เชน ทาน แปลวา การให หมายถึง การสละและใหปน สง่ิ ของของตนเพ่อื เปน ประโยชนแกค นอื่น เปนตน เปน ยอ หนา ที่ ๒ ๔. เขียนอธิบายเชอ่ื มความเพอื่ นํากระทูอ ่นื มารับ เปนยอหนาท่ี ๓ ในระหวางเนื้อความ นี้ ถามีหัวขอธรรมหลายหัวขอท่ีจะตองอธิบายขยายความ เม่ือขึ้นหัวขอแตละหัวขอ ควรยอหนา เพื่อความสวยงามและสะดวกแกก ารตรวจทาน ๕. เขยี นกระทูรบั เปน ยอ หนาที่ ๔ โดยเขยี นคําบาลีกระทูธรรมไวกึ่งกลางหนากระดาษ เปนบรรทัดแรก และเขยี นคําแปลเปน ภาษาไทยไวบรรทัดที่ ๒ ๖. เขยี นอธบิ ายเนือ้ ความของกระทูรับ เปน ยอ หนาท่ี ๕ ๗. สรุป (ปฏินิทเทส) คือ สรุปสาระสําคัญของการพรรณนาเรียงความมาท้ังหมด ประมาณ ๕ - ๑๐ บรรทัด แลวตองนําเอาบาลีกระทูธรรมท่ีต้ังเปนปญหาใหเรียงความน้ัน พรอม ทงั้ คาํ แปลมาตั้งรบั อีกคร้ังหนึ่ง เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 319
3๓๑2๘0 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ตวั อยา งรปู แบบการเขยี นเรียงความแกกระทูธรรม ๑. เขียนกระทูตงั้ ทอี่ อกขอ สอบ (กระทูต้ัง) ...................................................... (คําแปล)......................................................... ๒. อารมั ภบท ณ บดั นี้ จะไดอธิบายขยายเนอ้ื ความธรรมภาษิตทไ่ี ดลิขติ ไว ณ เบือ้ งตน พอเปน แนวทาง แหง การศึกษาและปฏบิ ตั ิ สําหรับผสู นใจในทางธรรมเปน ลําดับไป ๓. อธบิ าย/ตคี วามหมายกระทูต งั้ คําวา ................................................................................................................... .................................................................................................................................ฯลฯ ๔. อธิบายเชือ่ มความเพ่อื นํากระทอู น่ื มารับ .............................................................................................................................. สมดังพทุ ธศาสนสุภาษิตทม่ี าใน.................................................วา ๕. กระทูรบั (กระทรู บั ) ...................................................... (คาํ แปล)......................................................... ๖. อธิบายเนือ้ ความกระทูรับ คาํ วา............... หมายถึง................................................................................... ............................................................................................................................. ฯลฯ ๗. สรปุ ความ สรุปความวา........................................................................................................ .......................................................................................................................... ............. ตามท่ไี ดพรรณนามา กส็ มดวยกระทูธรรมภาษิตทไ่ี ดลขิ ติ ไว ณ เบือ้ งตน วา (กระทูต ้ัง) ...................................................... (คาํ แปล)......................................................... มอี รรถาธิบายดังพรรณนามาดวยประการฉะน้ี 320
3๓2๑1๙ วชิ า เรยี งความแกกระทธู รรม เกณฑการตรวจใหคะแนนของสนามหลวงแผนกธรรม สนามหลวงแผนกธรรมไดกําหนดแนวทางการตรวจวิชาเรียงความแกกระทูธรรม สําหรบั กรรมการพิจารณาใหค ะแนนไว ๗ ขอ ดงั นี้ ๑. แตง ไดค รบตามกาํ หนด คอื ต้งั แต ๒ หนา กระดาษ ขน้ึ ไป เวนบรรทัด ๒. อางสุภาษติ เชอ่ื มไดตามกฎ คอื ๑ สุภาษิต พรอมบอกที่มาไดถ ูกตอ ง ๓. เชือ่ มความกระทไู ดด ี ๔. อธิบายความสมกับกระททู ตี่ ั้งไว ๕. ใชสาํ นวนสภุ าพเรียบรอ ย ๖. ใชต ัวสะกดการันตถูกตอ งตามหลกั ภาษา ๗. สะอาด ไมเ ปรอะเปอ น เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 321
๓3๒2๐2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี ตัวอยา ง พุทธศาสนสุภาษติ ท่คี วรทองจํา ๑. อตั ตวรรค หมวดตน ๑. อตตฺ า หิ อตตฺ โน นาโถ. ตนแล เปน ท่พี ่ึงแหงตน. ๒. อตตฺ นา โจทยตตฺ าน.ํ ทมี่ า : ขุททกนกิ าย ธัมมบท ๓. อตตฺ านํ นาตวิ ตเฺ ตยยฺ . จงเตอื นตนดวยตนเอง. ที่มา : ขุททกนกิ าย ธมั มบท บุคคลไมค วรลมื ตน. ท่ีมา : ขุททกนกิ าย ชาดก ติงสกนบิ าต ๒. อปั ปมาทวรรค หมวดความไมป ระมาท ๑. อปปฺ มาโท อมตํ ปท.ํ ความไมประมาทเปน ทางไมต าย. ๒. อปปฺ มาทํ ปสสํ นตฺ .ิ ทมี่ า : ขทุ ทกนิกาย อุทาน ๓. อปปฺ มาเทน สมปฺ าเทถ. บัณฑติ ยอ มสรรเสริญความไมป ระมาท. ทีม่ า : สงั ยุตตนกิ าย สคาถวรรค ทานทัง้ หลายจงยงั ความไมประมาทใหถึงพรอม. ท่มี า : ทีฆนกิ าย มหาวรรค เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 322
3๓2๒3๑ วชิ า เรยี งความแกก ระทธู รรม ๓. กมั มวรรค หมวดกรรม ๑. สกุ รํ สาธนุ า สาธ.ุ ความดอี ันคนดีทํางาย. ๒. อกตํ ทุกกฺ ฏํ เสยโฺ ย. ที่มา : ขุททกนกิ าย อุทาน ๓. กมมฺ นุ า วตตฺ ตี โลโก. ความชัว่ ไมท าํ เสียเลยดีกวา . ทีม่ า : สงั ยุตตนิกาย สคาถวรรค สัตวโลกยอมเปน ไปตามกรรม. ทีม่ า : มชั ฌิมนกิ าย มชั ฌิมปณ ณาสก ๔. กเิ ลสวรรค หมวดกิเลส ๑. นตถฺ ิ กามา ปรํ ทกุ ขฺ .ํ ทุกข (อน่ื ) ย่ิงกวากาม ยอมไมมี. ๒. โลโภ ธมมฺ านํ ปรปิ นโฺ ถ. ท่มี า : ขทุ ทกนกิ าย ชาดก เอกาทสกนบิ าต ๓. อวชิ ชฺ านวิ ตุ า โปสา. ความโลภเปนอนั ตรายแหงธรรมทั้งหลาย. ทม่ี า : สังยตุ ตนิกาย สคาถวรรค คนทง้ั หลายอนั อวชิ ชาหมุ หอ ไว. ทมี่ า : อังคุตตรนกิ าย จตุกกนิบาต ๕. โกธวรรค หมวดโกรธ ๑. น หิ สาธุ โกโธ. ความโกรธไมดีเลย. ทีม่ า : ขทุ ทกนกิ าย ชาดก ฉักกนบิ าต ๒. โกธํ ฆตวฺ า สขุ ํ เสต.ิ ฆา ความโกรธไดอยเู ปน สุข. ทม่ี า : สงั ยุตตนิกาย สคาถวรรค ๓. โกธโน ทพุ พฺ ณโฺ ณ โหต.ิ คนมักโกรธยอมมผี วิ พรรณเศราหมอง. ทมี่ า : องั คุตตรนิกาย สตั ตกนิบาต เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 323
3๓๒2๒4 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี ๖. ขันติวรรค หมวดความอดทน ๑. ขนตฺ ิ หติ สขุ าวหา. ความอดทนนาํ มาซง่ึ ประโยชนส ุข. ๒. ขนตฺ พิ ลา สมณพรฺ าหมฺ ณา. ทมี่ า : สวดมนตฉบบั หลวง ๓. มนาโป โหติ ขนตฺ โิ ก. สมณพราหมณมีความอดทนเปนกาํ ลงั . ทม่ี า : อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ผูมคี วามอดทนยอมเปน ที่ชอบใจ (ของผอู ่ืน). ท่ีมา : สวดมนตฉ บบั หลวง ๗. จติ ตวรรค หมวดจิต ๑. จติ ตฺ ํ ทนตฺ ํ สขุ าวหํ จิตที่ฝกแลว ยอ มนําสขุ มาให. ๒. วหิ ฺ ตี จติ ตฺ วสานวุ ตตฺ ี. ท่ีมา : ขทุ ทกนิกาย ธัมมบท ผูประพฤตติ ามอํานาจจติ ยอมลาํ บาก. ท่มี า : ขุททกนกิ าย ชาดก ทกุ นิบาต ๘. ชยวรรค หมวดชนะ ๑. ชยํ เวรํ ปสวต.ิ ผูชนะยอมกอ เวร. ๒. สพพฺ ทานํ ธมมฺ ทานํ ชนิ าต.ิ ที่มา : สงั ยุตตนิกาย สคาถวรรค ๓. อสาธ฿ สาธนุ า สาธ.ุ การใหธ รรมยอมชนะการใหท ง้ั ปวง. ท่มี า : ขุททกนิกาย ธัมมบท พึงชนะคนไมดดี ว ยความดี. ทมี่ า : ขุททกนิกาย ธมั มบท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 324
3๓2๒๓5 วชิ า เรยี งความแกกระทธู รรม ๙. ทานวรรค หมวดทาน ๑. ททํ มติ ตฺ านิ คนถฺ ต.ิ ผใู หยอมผูกมติ รไมตรีไวไ ด. ที่มา : สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค ๒. มนาปทายี ลภเต มนาป. ผใู หส ่งิ ท่ีชอบใจ ยอมไดสงิ่ ที่ชอบใจ. ทีม่ า : อังคุตตรนิกาย ปญจกนบิ าต ๓. ททโต ปุ ญฺ ํ ปวฑฒฺ ต.ิ เมื่อให บญุ ก็เพม่ิ ขึน้ . ท่มี า : ทีฆนิกาย มหาวรรค ๑๐. ทุกขวรรค หมวดทุกข ๑. สงขฺ ารา ปรมา ทกุ ขฺ า. สังขารท้งั หลายเปน ทุกขอ ยา งยิ่ง. ทมี่ า : ขทุ ทกนิกาย ธมั มบท ๒. ทฬิททฺ ยิ ํ ทกุ ขฺ ํ โลเก. ความจนเปนทกุ ขในโลก. ท่มี า : องั คุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ๓. ทุกขฺ ํ เสติ ปราชโิ ต. ผูแพย อ มอยูเ ปนทุกข. ทมี่ า : สงั ยุตตนกิ าย สคาถวรรค ๑๑. ธัมมวรรค หมวดธรรม ๑. มโนปพุ พฺ งคฺ มา ธมมฺ า. ธรรมทัง้ หลายมีใจเปน หัวหนา. ๒. ธมมฺ จารี สขุ ํ เสต.ิ ที่มา : ขทุ ทกนิกาย ธมั มบท ๓. น ทุคคฺ ตึ คจฉฺ ติ ธมมฺ จาร.ี ผปู ระพฤติธรรมอยูเ ปน สขุ . ทม่ี า : ขุททกนิกาย ธมั มบท ผปู ระพฤติธรรมไมไปสูทคุ ติ. ทมี่ า : ขทุ ทกนกิ าย ชาดก ทสกนิบาต เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 325
๓3๒2๔6 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี ๑๒. ปกิณณกวรรค หมวดเบ็ดเตล็ด ๑. อาโรคยฺ า ปรมา ลาภา. ความไมมีโรคเปน ลาภอนั ประเสริฐ. ท่ีมา : ขุททกนกิ าย ธัมมบท ๒. วโส อสิ สฺ รยิ ํ โลเก. อํานาจเปนใหญใ นโลก. ท่ีมา : สังยตุ ตนิกาย สคาถวรรค ๓. อกุ ฺกฏเ สรู มจิ ฉฺ นตฺ .ิ ในเวลาคับขัน ยอมตอ งการคนกลา. ท่มี า : ขุททกนิกาย ชาดก เอกนิบาต ๑๓. ปญญาวรรค หมวดปญ ญา ๑. ปฺ า นรานํ รตน.ํ ปญ ญาเปนรตนะของนรชน. ทม่ี า : สงั ยุตตนิกาย สคาถวรรค ๒. ปฺ า ว ธเนน เสยโฺ ย. ปญญาเทียวประเสรฐิ กวา ทรัพย. ที่มา : มัชฌมิ นกิ าย มัชฌมิ ปณ ณาสก ๓. ปฺ าย ปรสิ ชุ ฌฺ ต.ิ คนยอมบริสทุ ธ์ดิ ว ยปญ ญา. ทม่ี า : ขทุ ทกนิกาย สุตตนบิ าต ๑๔. ปมาทวรรค หมวดประมาท ๑. ปมาโท มจจฺ โุ น ปท.ํ ความประมาทเปน หนทางแหง ความตาย. ๒. เย ปมตตฺ า ยถา มตา. ทม่ี า : ขทุ ทกนิกาย ธมั มบท ผปู ระมาทแลว เหมือนคนตายแลว . ทีม่ า : ขทุ ทกนิกาย ธัมมบท ๓. มา ปมาทมนยุ ุ เฺ ชถ. อยามวั ประกอบความประมาท. ท่มี า : ขุททกนกิ าย ธมั มบท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 326
3๓2๒7๕ วชิ า เรยี งความแกก ระทธู รรม ๑๕. ปาปวรรค หมวดบาป ๑. ทกุ โฺ ข ปาปสสฺ อจุ จฺ โย. การส่งั สมบาปนาํ ทกุ ขมาให. ที่มา : ขุททกนกิ าย ธัมมบท ๒. นตถฺ ิ ปาป อกพุ พฺ โต. บาปไมมีแกผ ไู มทํา. ท่ีมา : ขทุ ทกนิกาย ธัมมบท ๓. น ฆาสเหตปุ กเรยยฺ ปาป. ไมค วรทําบาปเพราะเหน็ แกกิน. ที่มา : ขทุ ทกนกิ าย ชาดก นวกนบิ าต ๑๖. ปุญญวรรค หมวดบุญ ๑. ปุ ฺ โจเรหิ ทรู ห.ํ บญุ อนั โจรนาํ ไปไมไ ด. ทม่ี า : สังยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค ๒. ปุ ฺ สขุ ํ ชวี ติ สงขฺ ยมหฺ .ิ บญุ นาํ สขุ มาใหในเวลาสน้ิ ชวี ิต. ที่มา : ขทุ ทกนิกาย ธมั มบท ๓. สโุ ข ปุ ฺ สสฺ อจุ จฺ โย. ความสงั่ สมบุญนําสขุ มาให. ท่ีมา : ขุททกนกิ าย ธมั มบท ๑๗. วาจาวรรค หมวดวาจา ๑. อภตู วาที นริ ยํ อเุ ปต.ิ คนพูดไมจรงิ ยอ มเขา ถงึ นรก. ที่มา : ขุททกนกิ าย ธมั มบท ๒. นามนุ ฺ กทุ าจน.ํ ในกาลไหนๆ ก็ไมควรกลาววาจาไมนา พอใจ. ที่มา : ขทุ ทกนิกาย ชาดก นวกนบิ าต ๓. น หิ มุ เฺ จยยฺ ปาปก .ํ ไมควรเปลงวาจาชั่วเลย. ที่มา : ขุททกนิกาย ชาดก นวกนิบาต เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 327
๓3๒2๖8 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี ๑๘. สัจจวรรค หมวดความสัตย ๑. สจจฺ ํ เว อมตา วาจา. คาํ สัตยแ ลเปน วาจาไมตาย. ๒. สจเฺ จน กติ ตฺ ิ ปปโฺ ปต.ิ ที่มา : สังยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค ๓. สจจฺ มนรุ กเฺ ขยยฺ . คนไดเกยี รติเพราะความสัตย. ทม่ี า : สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค พงึ ตามรักษาความสัตย. ที่มา : มชั ฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณณาสก ๑๙. สติวรรค หมวดสติ ๑. สติมโต สทา ภทฺท.ํ คนผมู ีสติมีความเจรญิ ทุกเมือ่ . ทม่ี า : สงั ยุตตนิกาย สคาถวรรค ๒. สตมิ า สขุ เมธต.ิ คนมสี ติยอมไดร ับความสุข. ทมี่ า : สังยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค ๓. สติมโต สุเว เสยฺโย. คนมสี ติ เปนผูประเสริฐทุกวนั . ทีม่ า : สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค ๒๐. สีลวรรค หมวดศีล ๑. สุขํ ยาว ชรา สลี .ํ ศีลนําสขุ มาใหตราบเทา ชรา. ๒. สีลํ โลเก อนตุ ฺตรํ. ที่มา : ขุททกนิกาย ธมั มบท ศีลเปน เย่ยี มในโลก. ท่ีมา : ขุททกนกิ าย ชาดก เอกนบิ าต เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 328
3๓2๒9๗ วชิ า เรยี งความแกกระทธู รรม ¢ÍŒ Êͺ¸ÃÃÁʹÒÁËÅǧ ËÅ¡Ñ ÊÙμùѡ¸ÃÃÁª¹éÑ μÃÕ ÇªÔ ÒàÃÕ§¤ÇÒÁá¡¡Œ ÃзŒ¸Ù ÃÃÁ »‚ ¾.È. òõõö - òõõø เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 329
๓3๒3๘0 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ¡ÃзŒÙ¸ÃÃÁ ¹Ñ¡¸ÃÃÁªÑé¹μÃÕ Êͺã¹Ê¹ÒÁËÅǧ Ç¹Ñ ¾Ø¸ ·èÕ òñ μÅØ Ò¤Á ¾.È. òõõø สโขุกาโธสงทฆฺ มุ สเฺ ฺสมธโสคามจโครฺค.ี ความพรอ้ มเพรยี งของหมู่ ใหเ้ กดิ สุข. ข.ุ ธ. ๒๕/๔๑. ข.ุ อติ .ิ ๒๕/๒๓๘. องฺ. ทสก. ๒๔/๘๐ -------------------- แตง่ อธิบายใหส้ มเหตสุ มผลอา้ งสุภาษิตอนื มาประกอบดว้ ย ๑ ขอ้ และบอกชอื คมั ภรี ท์ มี า แห่งสุภาษติ นนั ดว้ ย สุภาษติ ทอี า้ งมานนั ตอ้ งเรยี งเชอื มความใหต้ ดิ ต่อสมเรอื งกบั กระทูต้ งั ชนั นีกาํ หนดใหเ้ขยี นลงในใบตอบตงั แต่ ๒ หนา้ (เวน้ บรรทดั ) ขนึ ไป -------------------- ใหเ้ วลา ๓ ชวั โมง 330
3๓๒3๙1 วชิ า เรยี งความแกก ระทธู รรม ¡Ãз¸ÙŒ ÃÃÁ ¹¡Ñ ¸ÃÃÁªÑ¹é μÃÕ Êͺã¹Ê¹ÒÁËÅǧ Çѹ¾ÄËÑʺ´Õ ·Õè ò μØÅÒ¤Á ¾.È. òõõ÷ หริ โิ อตตฺ ปปฺ ย เฺ ว โลกํ ปาเลติ สาธกุ .ํ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 331
๓3๒3๘2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 กระทูธรรม นักธรรมชน้ั ตรี สอบในสนามหลวง วนั อาทิตย ที่ ๑๓ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๖ โกโธ ทมุ เฺ มธโคจโร. ความโกรธเปน อารมณของคนมปี ญญาทราม. (พทุ ธ) ข.ุ ชา.ทสก. ๒๗/๒๘๐ --------------- แต่งอธบิ ายใหส้ มเหตุสมผล อา้ งสุภาษติ อนื มาประกอบดว้ ย ๑ ขอ้ และบอกชอื คมั ภรี ์ ทมี าแหง่ สภุ าษติ นนั ดว้ ย สภุ าษติ ทอี า้ งมานนั ตอ้ งเรยี งเชอื มความใหต้ ดิ ต่อสมเรอื งกบั กระทตู้ งั ชนั นี กาํ หนดใหเ้ ขยี นลงในใบตอบตงั แต่ ๒ หน้า (เวน้ บรรทดั ) ขนึ ไป ---------------- ใหเ้ วลา ๓ ชวั โมง 332
333 333 เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1
เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 334 334
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334