2๑0๙1๙ วชิ า พทุ ธประวัติ มกฏุ พนั ธเจดยี ์ กรงุ กสุ นิ ารา แควน้ มลั ละ ๓. วันมาฆบูชา ตรงกบั วนั เพญ็ เดอื น ๓ (เดอื น ๔ ในปีทมี อี ธกิ มาส) เป็นวนั คลา้ ยวนั ที พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ แก่พระอริยสงฆ์อรหนั ตสาวก จํานวน ๑,๒๕๐ องค์ ซงึ มาประชุมกนั โดยมไิ ด้นัดหมาย ณ เวฬุวนั มหาวหิ าร กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ การประชุมกนั ในวนั นัน เรยี กว่า “จาตุรงคสันนิบาต” คอื การประชุมประกอบด้วยองค์สี วันมาฆบูชานี เรยี กอกี อยา่ งหนึงว่า “วันพระธรรม” ๔. วันอาสาฬหบูชา ตรงกบั วนั เพญ็ เดอื น ๘ กอ่ นวนั ปุรมิ พรรษา ๑ วนั คอื เป็นวันท่ี พระพุทธเจาทรงแสดงปฐมเทศนา คือ เทศนาคร้ังแรก ช่ือวา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โปรด ปญจวัคคยี สง ผลใหอญั ญาโกณฑญั ญพราหมณไดธรรมจักษุ คือ ไดดวงตาเห็นธรรม จึงขอบวช เปนพระสงฆรูปแรกในพระพุทธศาสนา และมีสังฆรัตนะเกิดขึ้นในโลกครบองค ๓ เปนคร้ังแรก วันอาสาฬหบูชา เรยี กอีกอยา งหนง่ึ วา “วันพระสงฆ” อนึ่ง วันที่เรียกวา วันพระพุทธ วันพระธรรม และวันพระสงฆ เปนการกําหนดโดย เอาเหตุการณที่เก่ียวของที่เปนหลักมากําหนดเปนชื่อเรียกเทานั้น คือ วันวิสาขบูชา เปนวันที่ เกี่ยวขอ งกับพระพทุ ธเจา จงึ เรยี กวา วันพระพุทธ วันมาฆบูชา เปนวันท่ีพระพุทธเจาทรงแสดง โอวาทปาติโมกข ซึ่งเปนหลักการของพระพุทธศาสนา จึงเรียกวา วันพระธรรม สวน วันอาสาฬหบูชา เปนวันท่ีพระพุทธเจาทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรโปรดปญจวัคคีย จนพระอัญญาโกณฑัญญะเกิดดวงตาเห็นธรรมและขออุปสมบท วันน้ีจึงเปนวันท่ีพระรัตนตรัย มีครบ ๓ บริบรู ณ จึงเรยี กวา วันพระสงฆ แตยงั ไมเปน ช่ือเรยี กท่ีแพรหลายในหมูชาวพุทธท่ัวไป เพราะเม่ือพิจารณาตามความเกย่ี วของแลว อาจมีนา้ํ หนกั นอ ยท่จี ะเรียกอยา งน้ันอยา งชัดเจน เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 201
2๒๐0๐2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 หมวดท่ี ๒ บญุ พิธี บญุ พิธี หมายถึง พิธีกรรมอันเกี่ยวกับการทําบุญหรือบําเพ็ญบุญในพระพุทธศาสนา มี ๒ ประเภท คอื ๑. พธิ ที าํ บญุ งานมงคล เชน ขึน้ บานใหม มงคลสมรส เปน ตน ๒. พธิ ีทําบญุ งานอวมงคล เชน ทําบญุ หนา ศพ ทาํ บุญอัฐิ เปน ตน การประกอบพธิ ีทาํ บญุ งานมงคล การประกอบพิธีทําบญุ งานมงคล สรุปไดดงั นี้ ๑. การกาํ หนดวนั เวลา หรือเรียกตามภาษาชาวบานวา การหาฤกษ หมายความวา ควรเลอื กหากาํ หนดวนั เวลาท่เี หมาะสมแกการประกอบพิธีมงคลนั้น ๆ โดยไมรีบดวนจนเกินไป จนกระทง่ั ตระเตรยี มอะไรไมทัน และโดยไมล าชาเกินไป จนกระท่ังเกดิ ความระอาใจที่จะตองเฝา รอคอยวันเวลา ๒. การอาราธนาพระสงฆ หรือ การนิมนตพระ หมายถึง การที่เจาภาพหรือผูแทน ไปติดตอเอง หรือทําหนังสืออาราธนา แจงความจํานงกับเจาอาวาสหรือพระภิกษุรูปใดรูปหน่ึง โดยใชคําวา “ขออาราธนาเจริญพระพุทธมนต” โดยมักนิยมอาราธนาพระสงฆเปนจํานวนค่ี คือ ๕ รูป ๗ รปู ๙ รปู วิธอี าราธนาพระสงฆโดยท่ัวไปมี ๒ วธิ ีคอื ๑) อาราธนาดวยวาจา ๒) ทําหนงั สอื ฎกี าอาราธนาเปนลายลักษณอักษร ๓. การตกแตงสถานท่ีประกอบพิธี หรือ การจัดสถานท่ีทําบุญ เนนความสะอาด เรยี บรอยเปนสาํ คัญ โดยจะตองประกอบดว ยสถานทส่ี ําคัญ ๓ แหง คอื ๑) สถานท่ตี ั้งโตะ หมบู ูชาพระรตั นตรัย ๒) สถานทีจ่ ัดเปน ท่นี ่ังของพระสงฆหรือที่เรียกวา อาสนส งฆ ๓) สถานท่นี ง่ั สาํ หรับเจา ภาพและผมู ารว มงาน สําหรับโตะหมูบูชาพระรัตนตรัย หรือเรียกส้ัน ๆ วา โตะหมูบูชา ปจจุบันนิยมมีเปน 202
2๒0๐3๑ วชิ า พทุ ธประวัติ หมู ๕ หมู ๗ และหมู ๙ คอื หมหู น่งึ ๆ ประกอบดวยโตะ ๕ ตวั ๗ ตัว และ ๙ ตัว ๔. การวงสายสิญจน คําวา สายสิญจน หมายถึง สายโยงแหงการรดน้ําพิธีหรือ เสนดายที่นํามาใชในพิธีรดน้ําเพ่ือความเปนสิริมงคลในงานมงคลตาง ๆ (สิญจน แปลวา การรดนํ้า การเทน้ํา) สายสิญจน คือสายที่ทําดวยดายดิบ โดยวิธีจับเสนดายในเข็ดเดียวกัน จับออกครั้งแรก เปน ๓ เสน มวนเขากลุมไว ถาตองการใหสายใหญ ก็จับอีกคร้ังหนึ่ง จะกลายเปน ๙ เสน การวงดายสายสิญจนในงานมงคล จะใชส ายสิญจน ๙ เสน ไมนิยมใชส ายสิญจน ๓ เสน ซงึ่ ใชใน พธิ เี บิกโลงศพ การวงดายสายสิญจน นิยมวงเฉพาะรอบฐานพระพุทธรูปท่ีโตะหมูบูชา หองประกอบ พิธี แลวโยงมาวงรอบภาชนะนาํ้ มนต วางกลมุ ดายสายสญิ จนใสพานไวดานซายของโตะหมูบูชา ดานขวาของอาสนสงฆ แตค วรมีศลิ ปะในการโยงโดยไมใหมีการขามสายสิญจนในเวลาจุดเทียน และมีขอ ท่ีควรถอื เปนเร่ืองระวงั คอื อยา ใหดายสายสิญจนขาดขณะทวี่ ง และสายสญิ จนท่ีวงรอบ พระพุทธรปู แลวนี้ จะขา มกรายดวยอวยั วะใด ๆ มิได ๕. การอัญเชิญพระพุทธรูปมาต้ังบนท่ีบูชา ควรจะทําเมื่อใกลจะถึงเวลาท่ีกําหนด ประกอบพิธี โดยไมกําหนดวาจะเปนพระพุทธรูปปางอะไร (บางตําราวา ควรเปน ปางมารวิชัย) หลักสําคัญคือ กอนจะอัญเชิญ คือ เคล่ือนยายพระพุทธรูปจากที่หนึ่งไปยังท่ีหน่ึง ควรจะนอมไหว ท้งั กอ นและหลงั อญั เชญิ หรือจะกราบกด็ ี ๖. การปูลาดอาสนสงฆ หรือ อาสนะของพระสงฆ หมายถึง ท่ีน่ังสําหรับพระสงฆ ท่ีประกอบพิธี ซงึ่ มีวธิ ีปลู าด ๒ วธิ ี คือ ๑) ปลู าดแบบยกพื้น ๒) ปูลาดบนพื้นธรรมดา ๗. การเตรียมเคร่ืองรับรองและไทยธรรม เครื่องรับรอง หมายถึง เครื่องตอนรับ พระสงฆตามแบบโบราณประเพณี เชน นํ้าดื่ม หมาก พลู เปนตน สวนไทยธรรม หมายถึง ส่ิงของท่จี ะถวายพระสงฆน อกจากภตั ตาหารคาวหวาน สว นใหญจะเปนสง่ิ ของเคร่ืองใชท่ีจําเปน สําหรับพระสงฆ โดยไมข ัดตอ พระธรรมวินยั ซึ่งเรียกวา ทานวตั ถุ ๑๐ ประการ ๘. การต้ังภาชนะสําหรับทําน้ํามนต ควรเตรียมภาชนะสําหรับใสน้ํามนตใหพรอม ถาไมมีครอบน้ํามนต จะใชบาตร หรือขันนํ้าพานรองแทนก็ได แตไมนิยมใชขันเงินหรือ ขันทองคํา เพราะเปนวัตถุอนามาส คือสิ่งไมควรจับตองสําหรับพระสงฆ สวนน้ําควรเปนนํ้า สะอาด เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 203
๒2๐0๒4 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ลําดับตอจากน้ีก็เปนการประกอบพิธีทําบุญงานมงคล คือ เจาภาพจุดธูปเทียนบูชา พระรัตนตรัย กลาวคําบูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศีล ๕ รับศีล อาราธนาพระปริตร จุดเทยี น นํามนต์ เมอื พระสงฆ์เจรญิ พระพุทธมนต์ถึงบทมงคลสูตรว่า อเสวนา จ พาลานํ... ถ้ามีการ ตักบาตรด้วยก็ให้ทําในขณะทีพระสงฆ์สวดบทพุทธชัยมงคลคาถาว่า พาห฿... พอพระ เจริญพระพุทธมนต์จบ ก็ยกอาหารคาวหวานประเคน เมือพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้ว พึงถวาย เครอื งไทยธรรม (ถ้าม)ี และเมอื พระสงฆ์อนุโมทนาเป็นภาษาบาลวี ่า “ยถา วาริวหา...” พงึ เรมิ กรวดนําอทุ ศิ สว่ นกศุ ลใหเ้ สรจ็ กอ่ นหรอื พรอ้ มกบั การทพี ระสงฆท์ งั นนั จะสวดพรอ้ มกนั วา่ สพพฺ ตี ิโย... แลว้ พงึ ประนมมอื รบั พรตลอดไปจนจบ แล้วกราบลาพระรตั นตรยั อกี ครงั และส่งพระสงฆ์กลบั เป็นอนั เสรจ็ พธิ ี วธิ ีการจัดและถวายขา วบชู าพระพุทธ โดยเหตุทีพระพุทธรูปนันเป็นเสมือนองค์แทนพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้านัน ทรงดํารงอยู่ในฐานะเป็นสงั ฆบดิ ร คอื ทรงเป็นพ่อของพระภกิ ษุสงฆ์ ดงั นัน การจดั สํารบั คาว หวานบชู าพระพทุ ธ จงึ นยิ มจดั ใหด้ กี ว่า ประณีตกว่าจดั ถวายพระสงฆ์ เพราะเป็นการบชู าพอ่ เมอื พระภกิ ษุสงฆเ์ จรญิ พระพทุ ธมนตใ์ กลจ้ ะจบหรอื จบแลว้ ใหจ้ ดั สาํ รบั คาวหวานไปตงั ทหี น้าบชู าพระโดยตงั บนโต๊ะทมี ผี า้ ขาวปรู อง หรอื ตงั ทพี นื มผี า้ ขาวปรู อง แลว้ กล่าวคาํ ถวายขา้ ว บูชาพระพุทธ โดยตงั นโม ๓ จบ แลว้ กล่าวคําบูชาขา้ วพระพุทธว่า อิมํ สูปพยฺชนสมฺปนฺนํ สาลนี ํ โภชนํ (โอทนํ) สอทุ กํ วรํ พทุ ธฺ สฺส ปูเชมิ แปลว่า ขาวสกุ แหงขา วสาลี อันสมบูรณ ดว ยแกงและกบั ขา ว พรอมดวยนํ้าอนั ประเสริฐนี้ ขา พเจา ขอบูชาพระพุทธเจา การลาขา้ วพระพุทธมหี ลกั ปฏบิ ตั โิ ดยผลู้ าพงึ เขา้ ไปนังคุกเข่าหน้าสาํ รบั ทหี น้าโต๊ะหมู่ บูชานันแล้วกราบ ๓ ครงั ก่อน แล้วกล่าวคําลาข้าวพระพุทธว่า เสสํ มงฺคลํ ยาจามิ แปลว่า ขา พเจา ทูลขอสง่ิ ทีเ่ หลืออันเปนมงคล แลว้ กราบ ๓ ครงั การประกอบพธิ ีทําบญุ งานอวมงคล ตามคตินิยมของชาวไทยมีพิธีทําบุญเพื่ออุทิศสวนกุศลใหแกผูตาย ท่ีเรียกวา ทําบุญ งานอวมงคล มี ๒ งาน คือ 204
2๒0๐5๓ วชิ า พทุ ธประวัติ ๑. งานทําบุญหนาศพ ที่เรียกวา ทําบุญ ๗ วัน (สัตตมวาร) ๕๐ วัน (ปญญาสมวาร) ๑๐๐ วนั (สตมวาร) หรอื ทาํ บุญหนา วนั ปลงศพ (ฌาปนกิจศพ) ๒. งานทําบญุ อัฐิ การทําบุญหนาศพ เจาภาพอาราธนาพระสงฆ ๘ รูป หรือ ๑๐ รูป หรือเกินกวานั้นข้ึนไป แลวแตกรณี แตตองเปนจํานวนคู โดยใชคําอาราธนาวา “ขออาราธนาสวดพระพุทธมนต” โดยไมตองต้ังภาชนะสําหรับใสน้ํามนตและไมมีการวงดายสายสิญจน แตเตรียมสายโยงหรือ ภูษาโยงตอจากศพไวเพื่อใชบังสุกุล ซึ่งสายโยงก็คือดายสายสิญจนน่ันเอง ถาไมใชสายสิญจน กใ็ ชทําเปน แผนผา แทนเรยี กวา ภษู าโยง โดยมีหลักในการเดินสายโยงหรือภูษาโยง คือ ไมควร โยงในท่ีสูงกวาพระพุทธรูปท่ีต้ังในพิธี และไมควรปลอยใหลาดมากับพ้ืนท่ีเดินหรือนั่งเพราะ สายโยงน้เี ปนสายที่โยงตอมาจากศพหรือเปน สงิ่ เนอื่ งดว ยศพจงึ ตองโยงใหส มควร สว นการปฏิบตั ิบญุ กิจในเมื่อพระสงฆมาถึงตามกําหนดแลวก็ปฏิบัติคลายกับงานมงคล ในขั้นตอนนี้มีขอท่ีจะพึงปฏิบัติพิเศษอยูขอเดียว คือ การจุดธูปเทียนท่ีหนาศพ กับการจุด ธปู เทยี นท่โี ตะ บูชา บางแหงจุดท่โี ตะ บูชากอนแลว จุดท่หี นาศพภายหลัง บางแหงใหจุดที่หนาศพ กอนเพ่ือเปนการแสดงความเคารพและเปนการเตือนใหศพบูชาพระรัตนตรัย การสวด พระอภิธรรมหนา ศพนยิ มสวด ๓ คนื ๕ คนื หรือ ๗ คืน แลว แตกรณี ในการประกอบพิธีทําบุญครบ ๗ วัน ซึ่งเรียกวา สัตตมวาร นิยมอาราธนาพระสงฆ ๘ รูป เทานนั้ การจัดเคร่ืองไทยธรรมกจ็ ดั ๘ ท่ี และอาจมกี ารจัดสังฆทานประเภทมตกภัต ในการประกอบพิธีทําบุญครบ ๕๐ วัน ซึ่งเรียกวา ปญญาสมวาร และพิธีทําบุญครบ ๑๐๐ วัน ซ่ึงเรียกวา สตมวาร นิยมอาราธนาพระสงฆ ๑๐ รูป เทานั้น เปนสวนมากและนิยม ทอดผาบงั สกุ ุลดว ย เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 205
2๒๐0๔6 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี หมวดท่ี ๓ ทานพิธี ทานพธิ ี คอื ระเบียบพธิ ีเกี่ยวกบั การถวายทานแดพ ระสงฆ ผถู วายทาน เรียกวา ทายก (ชาย) และ ทายิกา (หญิง) ผรู บั ทานวัตถุ เรียกวา ปฏคิ าหก ส่ิงของทถี่ วาย เรียกวา ทานวตั ถุ มี ๑๐ ประการ คือ ๑. อนนฺ ํ ภตั ตาหาร ๒. ปานํ นาํ้ เครือ่ งด่มื ๓. วตถฺ ํ ผา ๔. ยานํ ยานพาหนะ ๕. มาลา มาลัยและดอกไมเครอื่ งบูชาตา ง ๆ ๖. คนฺโธ ของหอม หรือธปู เทียนบชู าพระ ๗. วเิ ลปนํ เครื่องลูบไล หรือ สุขภัณฑสําหรับชําระรางกายใหสะอาดมีสบู เปนตน ๘. เสยยฺ ํ เครอื่ งนอนท่ีสมควรแกสมณะ ๙. ตวสถํ ทีอ่ ยูอาศยั มีกฎุ ี เสนาสนะ และเครอ่ื งสําหรับเสนาสนะ มีเตียง โตะ เกาอ้ี เปนตน ๑๐. ปทีเปยฺยํ เครื่องตามประทีป มีตะเกียง นํ้ามันตะเกียง และไฟฟาท่ีสมควรแก สมณะ เปน ตน ทาน แบง ตามกาลเวลาท่ถี วาย มี ๒ อยาง การถวายทานในพระพุทธศาสนา เม่อื แบง ตามกาํ หนดระยะเวลาทถี่ วาย มี ๒ อยาง คือ ๑. กาลทาน ไดแก ทานท่ีถวายตามระยะเวลาที่มีพระพุทธานุญาตใหถวายได เชน กฐินทาน การถวายผากฐิน ซ่ึงมีกําหนดเวลาถวายภายใน ๑ เดือน หลังจากวันปวารณา ออกพรรษา คือ ตัง้ แตว นั แรม ๑ คา่ํ เดือน ๑๑ ถงึ วนั ข้ึน ๑๕ คํ่า เดอื น ๑๒ ๒. อกาลทาน คือ ทานท่ีสามารถถวายไดทุกฤดูกาล เชน ส่ิงของใชสอยสําหรับ พระภกิ ษสุ ามเณร ผาปา เสนาสนะ เปนตน เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 206
2๒0๐7๕ วชิ า พทุ ธประวตั ิ การถวายทาน มี ๒ อยาง การถวายทานในพระพุทธศาสนาเม่ือจําแนกตามลักษณะที่เจาะจงและไมเจาะจง มี ๒ อยา ง ๑. ปาฏิบคุ ลกิ ทาน หมายถึง การถวายทานเจาะจงเฉพาะพระภกิ ษสุ งฆรปู ใดรปู หนง่ึ ๒. สังฆทาน คอื การถวายแกส งฆใ หเ ปนของกลาง ไมเจาะจงภกิ ษุรูปใดรปู หน่ึง ทาน ๒ อยา งน้ี สังฆทานมอี านิสงสม ากกวาปาฏิบุคลกิ ทาน คําถวายสงั ฆทาน (ประเภททวั่ ไป) อิมานิ มยํ ภนฺเต ภตฺตานิ สปริวารานิ ภิกฺขุสงฆฺ สฺส โอโณชยาม สาธุ โน ภนฺเต ภิกฺขสุ งโฺ ฆ อิมานิ ภตฺตานิ สปริวารานิ ปฏคิ ฺคณหฺ าตุ อมฺหากํ ทฆี รตตฺ ํ หิตาย สุขาย. ขาแตพระสงฆผูเจริญ ขาพเจาท้ังหลาย ขอนอมถวาย ซ่ึงภัตตาหาร กับทั้ง บริวารทั้งหลายเหลานี้ แดพระภิกษุสงฆ ขอพระภิกษุสงฆ จงรับ ซึ่งภัตตาหาร กับท้ัง บริวารท้ังหลายเหลาน้ี ของขาพเจาทั้งหลาย เพ่ือประโยชน และความสุข แกขาพเจา ทงั้ หลาย สิ้นกาลนานเทอญ คาํ ถวายสงั ฆทาน (ประเภทมตกภตั อุทิศผูต าย) อิมานิ มยํ ภนเฺ ต มตกภตฺตานิ สปรวิ ารานิ ภกิ ขฺ สุ งฺฆสสฺ โอโณชยาม สาธุ โน ภนเฺ ต ภกิ ขฺ ุสงโฺ ฆ อิมานิ มตกภตฺตานิ สปรวิ ารานิ ปฏคิ คฺ ณหฺ าตุ อมหฺ ากเฺ จว มาตาปต ุอาทนี จฺ าตกานํ กาลกตานํ ทฆี รตตฺ ํ หติ าย สขุ าย. ขาแตพระสงฆผูเจริญ ขาพเจาทั้งหลาย ขอนอมถวาย ซึ่งมตกภัต (ภัตเพ่ือผูตาย) กับท้ังบริวารท้ังหลายเหลาน้ี แดพระภิกษุสงฆ ขอพระภิกษุสงฆ จงรับซ่ึงมตกภัต กับทั้ง บริวารทั้งหลายเหลาน้ี ของขาพเจาทั้งหลาย เพ่ือประโยชน และความสุข แกขาพเจา ท้ังหลายดวย แกญาติท้ังหลายมีบิดามารดาเปนตน ผูลวงลับไปแลวดวย ส้ินกาลนาน เทอญ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 207
เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 208 208
2๒0๐9๗ วชิ า พทุ ธประวตั ิ การกราบดวยเบญจางคประดิษฐนี้ ชายพึงนั่งคุกเขาตั้งฝาเทาชัน น่ังทับลงบนสนเทาทั้งคู เรียกการนั่งอยางน้ีวา น่ังทาเทพบุตร หรือ น่ังทาพรหม สําหรับหญิงพึงน่ังคุกเขาราบ คือ ไมต้ัง ฝา เทาชันแบบชาย เหยียดฝาเทาราบไปทางหลัง ใหปลายเทาท้ังสองทับกันเพียงเล็กนอย แลวน่ังทบั ลงบนฝาเทาทงั้ สองใหราบกับพ้ืนใหเขาทั้งสองชิดกนั ประนมมอื การนง่ั อยา งน้ี เรียกวา นงั่ ทาเทพธดิ า ๒. วิธีประเคนของพระ การประเคนของพระ คอื การถวายของใหพระภิกษุไดรับถึงมือดว ยอาการเคารพ วธิ ีการประเคนที่ถูกตอ งนั้น ตองประกอบดวยองค ๕ คือ ๑. ของทจ่ี ะประเคนนัน้ ตองไมใหญหรอื หนกั เกนิ ไป ๒. ผปู ระเคนตอ งอยูในหตั ถบาส คอื ตองอยหู า งจากพระผรู ับประเคนประมาณ ๑ ศอก ๓. นอมสิง่ ของเขา ไปถวายดวยความเคารพ ๔. กิรยิ าทน่ี อ มไปจะสง ใหดว ยมือ หรอื ส่ิงของท่ีเนื่องดวยกาย เชน ทพั พตี ักถวายก็ได ๕. พระภิกษุจะรับดวยมือก็ได หรือจะรับดวยของที่เนื่องดวยกาย เชน ผา หรือ บาตร ก็ได ๓. วิธีทาํ หนงั สอื อาราธนาและทําใบปวารณาถวายจตุปจจยั อาราธนาพระสงฆหรือการนิมนตพระสงฆไปประกอบพิธีตาง ๆ ทั้งงานมงคล และ อวมงคล ตองทําใหเปนกิจลักษณะ ถาทําเปนหนังสืออาราธนาเรียกวา “ฎีกาอาราธนา” หรือ “ฎีกานิมนต” ซ่งึ ตองระบจุ าํ นวนพระ ระบงุ าน ระบุสถานที่ ระบุวัน เดือน ป เวลา และระบุการ ไป – กลบั เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 209
เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 210 210
2๒1๐๙1 วชิ า พุทธประวัติ ๔. วิธีอาราธนาศีล อาราธนาพระปรติ ร และอาราธนาธรรม การอาราธนา คือ การเช้ือเชิญ หรือนิมนตพระสงฆ ใหยินดีในการประกอบ พุทธศาสนพิธีตาง ๆ ดวยถอยคําท่ีกําหนดเปนแบบ คําอาราธนาท่ีเกี่ยวของกับวิถีชีวิตของ ชาวพุทธ มอี ยู ๓ อยา ง คอื คําอาราธนาศลี คําอาราธนาพระปริตร คําอาราธนาธรรม วิธีอาราธนา ถาพระสงฆน่ังบนอาสนะ ผูอาราธนาควรเขาไปยืนระหวางเจาภาพกับแถวพระสงฆ ตรงกับรูปท่ี ๑ หรือที่ ๔ หางแถวพระสงฆพอสมควร ประนมมือไหวพระพุทธรูปกอน แลวยืน ประนมมอื ตงั้ ตวั ตรงกลาวคาํ อาราธนา ถาพระสงฆน่ังอาสนะต่ํา ผูอาราธนาตองเขาไปน่ังคุกเขาตรงหนาพระสงฆผูเปน ประธาน กราบพระท่ีโตะ บชู า ๓ ครั้ง แลวประนมมือกลาวคาํ อาราธนา หลักการอาราธนา พิธีเจริญพระพุทธมนต หรือ สวดพระพุทธมนต : อาราธนาศีล, อาราธนาพระปริตร ถามีเทศนตอจากเจริญพระพุทธมนต หรือสวดพระพุทธมนต ใหอาราธนาพระปริตรกอน แลว อาราธนาศลี และอาราธนาธรรม พธิ ีเทศน : อาราธนาศลี , อาราธนาธรรม พิธเี ล้ียงพระ, พธิ ีถวายทาน : อาราธนาศลี คาํ อาราธนาศลี ๕ มยํ ภนฺเต วิส฿ วิส฿ รกฺขณตฺถาย, ตสิ รเณน สห, ปฺจ สลี านิ ยาจาม. ทตุ ยิ มฺป มยํ ภนฺเต, วิส฿ วสิ ฿ รกฺขณตถฺ าย, ตสิ รเณน สห, ปจฺ สลี านิ ยาจาม. ตตยิ มปฺ มยํ ภนเฺ ต, วิส฿ วสิ ฿ รกฺขณตถฺ าย, ตสิ รเณน สห, ปจฺ สลี านิ ยาจาม. เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 211
2๒๑1๐2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี คาํ อาราธนาพระปริตร วปิ ตตฺ ิปฏิพาหาย สพฺพสมฺปตตฺ ิสิทฺธิยา สพฺพทกุ ฺขวินาสาย ปริตตฺ ํ พฺรถู มงคฺ ลํ วปิ ตฺตปิ ฏิพาหาย สพพฺ สมปฺ ตตฺ ิสิทธฺ ยิ า สพฺพภยวนิ าสาย ปริตฺตํ พรฺ ถู มงคฺ ลํ วปิ ตตฺ ปิ ฏิพาหาย สพฺพสมปฺ ตตฺ ิสทิ ฺธิยา สพพฺ โรควินาสาย ปรติ ฺตํ พฺรถู มงฺคลํ. คําอาราธนาธรรม พรฺ หมฺ า จ โลกาธปิ ตี สหมปฺ ติ กตอฺ ชฺ ลี อนธฺ วิ รํ อยาจถ สนตฺ ธี สตตฺ าปปฺ รชกขฺ ชาตกิ า เทเสตุ ธมมฺ ํ อนกุ มปฺ ม ํ ปช.ํ ๕. วธิ ีกรวดนํา้ การกรวดนํ้า หมายถงึ การบรรจงเทนําสะอาดทเี ตรยี มไวใ้ นภาชนะนําใหห้ ยดลงบน ภาชนะรองหรอื ทใี ดทหี นึง เพอื อุทศิ ส่วนกุศลไปใหแ้ ก่ผู้ล่วงลบั ไปและเพือเป็นสกั ขพี ยานใน การบาํ เพญ็ กศุ ล หลกั การกรวดนํา เตรยี มนําสะอาดใสค่ ณฑี หรอื แกว้ หรอื ภาชนะอยา่ งอนื พอพระสงฆ์ เรมิ อนุโมทนาดว้ ยบทว่า ยถา วาริวหา..... ใหเ้ รมิ รนิ นํา โดยตงั ใจนึกอทุ ศิ ส่วนกศุ ล มอื ขวาจบั ภาชนะใส่นํา มอื ซา้ ยประคอง ไม่ควรใชน้ ิวมอื รอง เวลารนิ ไม่ใหน้ ําขาดสาย พอพระสงฆ์ ว่าบท สพฺพีตโิ ย ... พงึ รนิ นําใหห้ มดแลว้ ประนมมอื รบั พรตอ่ ไป คํากรวดนํา้ แบบส้ัน อิทํ เม ญาตนี ํ โหตุ, สุขิตา โหนตฺ ุ ญาตโย. ขอผลบญุ นี้ จงสําเร็จแกญาตทิ ง้ั หลายของขาพเจา ขอใหญาตทิ ัง้ หลายจงมีความสุขเถดิ . เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 212
2๒1๑3๑ วชิ า พุทธประวัติ ¢ŒÍÊͺ¸ÃÃÁʹÒÁËÅǧ ËÅ¡Ñ Êμ٠ùѡ¸ÃÃÁªÑ¹é μÃÕ ÇÔªÒ¾·Ø ¸»ÃÐÇμÑ Ô »‚ ¾.È. òõõö - òõõø เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 213
2๒๑1๒4 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 »Þ˜ ËÒáÅÐà©ÅÂÇÔªÒ¾·Ø ¸»ÃÐÇÑμÔ ¹Ñ¡¸ÃÃÁª¹Ñé μÃÕ Êͺã¹Ê¹ÒÁËÅǧ Ç¹Ñ ÈØ¡Ã ·Õè òó μÅØ Ò¤Á ¾.È. òõõø ๑. พทุ ธประวตั ิ คอื อะไร ? มีความสาํ คญั อยา่ งไรจงึ ตอ้ งเรยี นรู้ ? เฉลย คอื เรอื งทพี รรณนาความเป็นไปของสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ฯ มคี วามสาํ คญั ในการศึกษาและปฏบิ ตั พิ ระพทุ ธศาสนา เพราะแสดงพระพทุ ธจรยิ าใหป้ รากฏ ฯ ๒. เจา้ ชายสทิ ธตั ถะทรงปรารภถงึ อะไร จงึ เสด็จออกบรรพชา ? และทรงบรรพชาไดก้ ปี ีจงึ ตรสั รู้ ? เฉลย ทรงปรารภถงึ ความแก่ ความเจบ็ ความตาย และสมณะฯ ทรงบรรพชาได้ ๖ ปี ฯ ๓. ผูป้ ระกาศตนเป็นอบุ าสกดว้ ยการถงึ รตั นะ ๒ เป็นครงั แรก คอื ใคร ? ไดพ้ บพระพทุ ธเจา้ ทไี หน ? เฉลย คอื ตปสุ สะ และภลั ลกิ ะ ฯ ทใี ตต้ น้ ราชายตนะ ฯ ๔. พระพทุ ธเจา้ ประสูติ ตรสั รู้ ปรนิ ิพพานทใี ตต้ น้ ไมอ้ ะไร ? เฉลย ประสูติและปรนิ ิพพาน ใตต้ น้ สาละ ฯ ตรสั รู้ ใตต้ น้ โพธิ (อสั สตั ถพฤกษ)์ ฯ ๕. ปญั จวคั คีย์ ไดแ้ กใ่ ครบา้ ง ? ทา่ นเหลา่ นันอปุ สมบทดว้ ยวธิ อี ะไร ? เฉลย ไดแ้ ก่พระอญั ญาโกณฑญั ญะ พระวปั ปะ พระภทั ทยิ ะ พระมหานามะ และ พระอสั สชิ ฯ ดว้ ยวธิ เี อหภิ กิ ขอุ ปุ สมั ปทา ฯ ๖. อนุปพุ พกี ถา ๕ วา่ ดว้ ยเรอื งอะไร ? ทรงแสดงครงั แรกแกใ่ คร ? เฉลย วา่ ดว้ ยทาน ศีล สวรรค์ โทษแหง่ กาม และอานิสงสแ์ ห่งการออกจากกาม ฯ แก่ยสกลุ บตุ ร ฯ 214
2๒1๑5๓ วชิ า พทุ ธประวตั ิ ๗. สถานทถี วายพระเพลงิ พระพทุ ธสรรี ะ ชือว่าอะไร ? ตงั อยูใ่ นเมืองอะไร ? เฉลย ชอื ว่า มกฏุ พนั ธนเจดยี ์ ฯ เมอื งกสุ นิ ารา ฯ ๘. ใครถวายบณิ ฑบาตแด่พระพทุ ธองคก์ อ่ นตรสั รู้ และกอ่ นปรนิ ิพพาน ? เฉลย ก่อนตรสั รู้ คอื นางสุชาดา ก่อนปรนิ ิพพาน คือนายจนุ ทะ ฯ ศาสนพธิ ี ๙. การแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ คอื อะไร ? เฉลย คอื การประกาศตนของผูแ้ สดงว่า ยอมรบั นบั ถอื พระพทุ ธศาสนาประจาํ ชวี ติ ของตน ฯ ๑๐. วนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา กาํ หนดไวก้ วี นั ? มีวนั อะไรบา้ ง ? เฉลย ๔ วนั ฯ มวี นั วสิ าขบูชา วนั อฏั ฐมบี ูชา วนั อาสาฬหบูชา และวนั มาฆบูชา ฯ ********* เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 215
2๒๑1๒6 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 »Þ˜ ËÒáÅÐà©ÅÂÇªÔ Ò¾Ø·¸»ÃÐÇμÑ Ô ¹¡Ñ ¸ÃÃÁª¹Ñé μÃÕ Êͺã¹Ê¹ÒÁËÅǧ Ç¹Ñ àÊÒà ·Õè ô μØÅÒ¤Á ¾.È. òõõ÷ 216
2๒1๑7๓ วชิ า พทุ ธประวัติ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 217
2๒๑๒1๒๑8๒ คมูคอืูมกอื ากราศรกึศษกึ าษนากั นธกั รธรรมรชมน้ั ชตนั้ รตีรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ปญ หาและเฉลยวิชาพุทธประวัติ นักธรรมชน้ั ตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๑๕ ตลุ าคม พ.ศ.๒๕๕๖ ๑. คนในชมพูทวปี แบง ออกเปนกี่วรรณะ ? อะไรบาง ? ๑. แบ่งเป็น ๔ วรรณะ ฯ คอื วรรณะกษตั รยิ ์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศทู ร์ ฯ ๒. พระพทุ ธบดิ าทรงมพี ระนามวา อะไร ? ทรงปกครองแควน อะไร ? เมอื งหลวงชอ่ื อะไร ? ๒. พระนามว่าพระเจา้ สทุ โธทนะ ฯ แควน้ สกั กะ ฯ ชอื กบลิ พสั ดุ์ ฯ ๓. อสติ ดาบส อาฬารดาบส และอุทกดาบส มีความเก่ยี วขอ งกับพระมหาบุรษุ อยางไร ? ๓. อสติ ดาบส เป็นผคู้ นุ้ เคยเป็นทเี คารพนับถอื ของศากยสกุล ในเวลาทพี ระมหาบุรษุ ประสตู ิ ใหมๆ่ ทา่ นไดไ้ ปเยยี ม และไดพ้ ยากรณ์ทาํ นายพระลกั ษณะของพระมหาบุรษุ ว่ามคี ตเิ ป็น ๒ กอ่ นคนอนื ทงั หมด อาฬารดาบสและอุทกดาบส เป็นผทู้ พี ระองคไ์ ดเ้ คยอย่อู าศยั ศกึ ษาลทั ธิ ของทา่ นทงั ๒ ฯ ๔. เม่ือเจาชายสิทธัตถะประสูติได ๕ วัน พระราชบิดาโปรดใหทําอะไรเพ่ือพระราชกุมาร บา ง ? ๔. โปรดให้ชุมนุมพระญาติวงศ์ และเสนามาตย์พร้อมกบั เชญิ พราหมณ์ร้อยแปดคนมาฉัน โภชนาหาร แลว้ ทาํ มงคลรบั พระลกั ษณะ และขนานพระนามวา่ สทิ ธตั ถกมุ าร ฯ ๕. พระมหาบุรษุ ทรงทอดพระเนตรเห็นคนแกค นเจบ็ คนตาย และบรรพชิตแลว ทรงดําริ อยา งไร ? ๕. เมอื ทรงเหน็ คนแกค่ นเจบ็ คนตายแลว้ ทรงน้อมเขา้ มาเปรยี บกบั พระองคเ์ องเกดิ ความสงั เวช ว่า เราจะตอ้ งแกต่ อ้ งเจบ็ ตอ้ งตายเชน่ กนั เมอื ทรงเหน็ บรรพชติ ทรงดาํ รวิ ่า สาธุโขปพฺพชฺชา บวชดนี กั แล ฯ 218
2๒1๑9๓ วชิ า พุทธประวัติ ๒๑๓ วชิ า พุทธประวัติ ๖. พระมหาบรุ ุษเสด็จประทบั บําเพ็ญเพยี รจนถึงตรสั รู ณ ตําบลใด ? ๖. ณ ตาํ บลอรุ เุ วลาเสนานคิ ม ฯ ๗. เม่ือพระศาสดาเสด็จไปเมืองพาราณสีเพื่อโปรดปญจวัคคีย ทรงพบใครในระหวาง ทาง ? และหลงั สนทนากันแลวผูนัน้ ไดบ รรลุผลอะไร ? ๗. ทรงพบอปุ กาชวี ก ฯ ไมไ่ ดบ้ รรลุผลอะไร ฯ ๘. บุคคลผแู สดงตนเปนอุบาสกดวยการถงึ รตั นะ ๒ และรตั นะ ๓ เปน คนแรกคือใคร ? ๘. ผถู้ งึ รตั นะ ๒ คอื ตปุสสะและภลั ลกิ ะ ฯ ผถู้ งึ รตั นะ ๓ คอื บดิ าพระยสะ ฯ ศาสนพิธี ๙. บญุ พิธมี กี ่อี ยาง ? อะไรบา ง ? ๙. มี ๒ อยา่ ง ฯ คอื ๑. การทาํ บุญงานมงคล ๒. การทาํ บุญงานอวมงคล ฯ ๑๐. การแสดงความเคารพพระสงฆม ีก่วี ิธี ? อะไรบาง ? ๑๐. มี ๓ วธิ ี ฯ คอื ๑. ประนมมอื เรยี กวา่ อญั ชลี ๒. ไหว้ เรยี กวา่ นมสั การ ๓. กราบ เรยี กวา่ อภวิ าท ฯ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 219
2๒๑2๒0 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 220
วิชา วินัย 2๒๑2๙1 221 เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1
2๒๒2๐2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ขอบขายเน้ือหา วชิ าวนิ ัย : วินัยบัญญัติ 222
2๒2๒3๑ วชิ า วนิ ัย กัณฑท่ี ๑ อุปสัมปทา คําวา อุปสัมปทา แปลวา ความถึงพรอม การเขาถึง การยอมรับ แปลทับศัพทวา อุปสมบท ซ่ึงนํามาเรียกการรับกุลบุตรผูเขามาบวชเปนพระภิกษุในพระพุทธศาสนาวา การอุปสมบท คอื การบวชเปนภิกษุ หรอื การไดรับอนญุ าตใหเปน ภกิ ษุ วิธอี ปุ สมบท วธิ อี ปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนา โดยท่ัวไปมี ๓ วิธี คือ ๑. เอหิภิกขุอุปสัมปทา คือ การอุปสมบทเปนภิกษุ โดยพระพุทธเจาเปนผูบวชให โดยการเปลงพระวาจาวา ทานจง เปนภิกษุมาเถิด พรอมกับการเปลงพระวาจาน้ัน บุคคลนั้น กส็ ําเร็จเปนภกิ ษุโดยสมบูรณ ๒. ติสรณคมนูปสัมปทา คือ การอุปสมบทดวย การเปลงวาจาถึงไตรสรณคมน หมายถึง การอุปสมบทดวย การเปลงวาจาขอถึงพระรัตนตรัยเปนสรณะที่พึ่ง ที่ระลึกวา พุทฺธํ สรณํ คจฉฺ ามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฆฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ ทุติยมฺป ฯลฯ ตติยมฺป ฯลฯ เปนวิธีอุปสมบท ที่พระพุทธเจาทรงอนุญาตใหพระสาวกบวชกุลบุตรในคร้ังพุทธกาล ตอมา เมื่อทรงอนุญาต การอปุ สมบทดวยญัตติจตุตถกรรมวาจาแลว ก็ทรงอนุญาตใหการอุปสมบทดวยติสรณคมนูปสัมปทา เปน การบวชสําหรบั สามเณรสบื มาจนถึงปจ จบุ ัน แตเ รียกวา ปพ พัชชา หรอื บรรพชา ๓. ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา คือ การอุปสมบทดวยญัตติจตุตถกรรม หมายถึง หมูสงฆเปนผูบวชใหดวยการสวดตั้งญัตติ คือ คําประกาศใหสงฆทราบเพ่ือทํากิจรวมกัน ๑ ครั้ง และสวดอนุสาวนา คือ คําสวดประกาศเพ่ือขอมติอนุมัติในกิจน้ัน ๆ จากสงฆ ๓ คร้ัง เปนวิธี อปุ สมบทท่ที รงอนุญาตใหส งฆกระทําตั้งแตครั้งพุทธกาลจนถึงปจ จบุ ันน้ี วิธีอุปสมบททั้ง ๓ อยางนี้ เปนวิธีที่ใชเปนหลัก แตยังมีวิธีอุปสมบทแบบยอยๆ ที่ ทรงประทานเฉพาะแกบ ุคคลอีก ๕ วิธี รวมท้ังหมดเปน ๘ วิธี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 223
๒2๒2๒4 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 อนึ่ง ปจจุบันมีเฉพาะการอุปสมบทดวยวิธีที่ ๓ เทานั้น และเรียกวา การบรรพชา อุปสมบท และเรียกวิธีบวชสามเณรวา การบรรพชา (จะเห็นวาวิธีเรียกการบวชเปนสามเณร และการบวชเปนพระภิกษุจะตางกัน คือ บรรพชาใชสําหรับบวชสามเณร สวนบรรพชา อุปสมบท ใชเรียกการบวชเปนพระภิกษุ เหตุที่มีคําวา บรรพชา เรียงไวขางหนาอุปสมบท เน่ืองจากผูอุปสมบทเปนภิกษุทุกคนจะตองผานกระบวนการบวชเปนสามเณรเสียกอนแลวจึงจะ เขาสูกระบวนการอุปสมบทเปนพระภิกษุได จนกระท่ังบางครั้งนักปราชญโบราณจะกลาววา “พระภิกษุทุกรูปจะตองเคยบวชเณรมากอน แตผูที่เคยบวชเณรไมจําเปนตองเคยบวชเปนพระ มากอ น” วธิ กี ารอปุ สมบทดวยญตั ตจิ ตุตถกรรม การอุปสมบทดวยญตั ตจิ ตุตถกรรม มขี อกําหนดและระเบียบวธิ ใี นการอุปสมบทสรุปได ดังนี้ สมบัตขิ องการอปุ สมบท ๕ ประการ การอุปสมบทดวยวิธีญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทาตองประกอบดวยองคประกอบ หรือที่ เรยี กวา สมบัติ ๕ ประการ จึงถือวา เปน การอปุ สมบทท่ถี ูกตองสมบูรณ ดงั นี้ ๑. วตั ถุสมบตั ิ หมายถึง คุณสมบัติของผอู ุปสมบท ๕ คอื 224
2๒2๒5๓ วชิ า วนิ ัย ๑.๑ ตอ งเปนมนุษยผ ชู าย ๑.๒ มีอายคุ รบ ๒๐ ปบ รบิ รู ณ นบั แตป ฏสิ นธิ ๑.๓ ไมเปนบคุ คลวบิ ัติ เชน ถูกตอน แปลงเพศ เปนตน ๑.๔ ไมเ คยทําความผิดอยา งรา ยแรงในพระพุทธศาสนา เชน ฆา บดิ ามารดา เปนตน ๑.๕ ไมเคยทําความเสียหายอยางหนักในพระพุทธศาสนา เชน ตองอาบัติ ปาราชิก เปนตน ๒. ปรสิ สมบตั ิ คือ ความถึงพรอมแหงภิกษบุ รษิ ัท หมายถงึ ภิกษุทําการอุปสมบท ตองมีจํานวนครบตามท่ีกําหนด คือ ในปจจันตประเทศหรือทองถิ่นทุรกันดารหาภิกษุยาก อยา งนอยตอ งมภี ิกษุ ๕ รูป ในมัชฌิมประเทศ หรือมธั ยมประเทศ คอื ถน่ิ เจริญอยางนอยจะตองมี พระภิกษุ ๑๐ รูป รวมพระอุปชฌายดวย ถาขาดหรือหยอนโดยไมครบองคกําหนดเรียกวา ปริสวิบตั ิ มผี ลใหก ารอุปสมบทนั้นไมสาํ เรจ็ ๓. สีมาสมบัติ ความถึงพรอมแหงสีมา หมายถึง ในการอุปสมบทน้ัน สงฆตอง พรอ มกันทาํ ในเขตทก่ี ําหนดเรียกวา สีมา คือ สถานที่ประชุมทําสังฆกรรมนั้นตองไดมาตรฐานถูกตอง ตามพระธรรมวนิ ัยไดข นาดถูกตองมีนิมิตไมเสยี เปนตน ๔. บพุ กจิ หมายถึง กจิ ท่จี ะตองทําใหแ ลว เสร็จกอนการอปุ สมบท มี ๔ ประการ คอื ๔.๑ ตรวจตราผอู ุปสมบทตอ งมีคณุ สมบตั ิครบ ๔.๒ มอี ปุ ช ฌายรบั รอง หรอื ชักนาํ เขา หมู ๔.๓ ตรวจดูบริขารท่ีจําเปน มีบาตรและจีวรเปนตน ตองพรอม ถาขาด ผูเปน อุปชฌายตองจัดหา ๔.๔ ผอู ุปสมบทตอ งเปลง วาจาขออุปสมบทดว ยตนเอง ๕. กรรมวาจาสมบัติ คือ การสวดประกาศรับเขาหมูคือเปนภิกษุ โดย พระกรรมวาจาจารยจะสวดประกาศใหสงฆฟง วาจาที่สวดประกาศน้ันเรียกวา ญัตติจตุตถ- กรรมวาจา แปลวา การสวดประกาศในทามกลางสงฆโดยมีวาจาครบ ๔ รวมท้ังญัตติ คือ ครั้งท่ี ๑ สวดญัตติ คือ คําประกาศใหสงฆทราบเพื่อทํากิจของสงฆรวมกัน อีก ๓ คร้ัง เรียกวา อนุสาวนา แปลวา วาจาขอความเห็น คือตั้งญัตติแลวสวดอนุสาวนา ๓ หน ในระหวาง สวดอนุสาวนา ถา มีภิกษุรูปหนึ่งคัดคานข้ึน การใหอุปสมบทน้ันเสียไปทันที ถาทุกรูปน่ิงถือ ๒วา๒ย๔อมรบั การอุปสมบทครัง้ นนั้ ถอื วาสาํ เรจ็ หากสมคบูมอืัตกิขารอศใกึ ดษขานอกั หธนรร่ึงมบชนั้กตพรีรอง ถือวา การบวชดวยญัตติจตุตถกรรมน้ี การบวชใชไมไ ด เปนอุปสมบทวบิ ตั ิ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 225
เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 226 226
2๒2๒7๕ วชิ า วนิ ัย สงฆมี ๒ ประเภท ๑. อริยสงฆ หมายถึง พระภิกษุผูเปนอริยบุคคลตั้งแตพระโสดาบันจนถึง พระอรหนั ต ๒. สมมติสงฆ หมายถงึ ภกิ ษตุ งั้ แต ๔ รูปข้ึนไปที่สมมติข้ึนเพื่อทํากิจน้ันๆ เรียก อกี อยา งหนึ่งวา การกสงฆ (พระสงฆผ ูทาํ กจิ ) มี ๔ ประเภท คอื ๒.๑ จตุวรรค คือ ภิกษุมีจํานวน ๔ รูป ทําสังฆกรรมไดทุกอยาง ยกเวน ปวารณาใหผากฐิน อปุ สมบท และอพั ภาณ (จตุ แปลวา ๔) ๒.๒ ปญจวรรค คือ ภิกษุมีจํานวน ๕ รูปข้ึนไป ทําสังฆกรรม คือ ทําปวารณาให ผาพระกฐิน และใหอ ปุ สมบทในปจ จันตประเทศได (ปญ จ แปลวา ๕) ๒.๓ ทสวรรค คือ ภิกษุมีจํานวน ๑๐ รูปข้ึนไป ทําสังฆกรรมไดทุกอยาง และ ใหอ ุปสมบทในมธั ยมประเทศได (ทส แปลวา ๑๐) ๒.๔ วีสตวิ รรค คอื ภิกษมุ จี าํ นวน ๒๐ รปู ข้ึนไป ทําสังฆกรรมไดทุกอยางและ ทาํ อัพภาณได (วีสติ แปลวา ๒๐) อฏั ฐวาจกิ าอปุ สมั ปทา (การบวชภิกษุณี) อัฏฐวาจิกาอุปสัมปทา คือ การอุปสมบทมีวาจา ๘ คือ บวชดวยญัตติ จตุตถกรรมวาจา ๒ ครั้ง จากสงฆสองฝาย คือ จากภิกษุณีสงฆคร้ังหน่ึงจากภิกษุสงฆครั้งหน่ึง (พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยุตโต) ๒๕๓๘ - ๔๓๑) เปนวิธกี ารบวชทีใ่ ชบ วชเปนภิกษุณี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 227
เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 228 228
2๒2๒9๗ วชิ า วนิ ยั มนุษย ภิกษุน้ันเปนปาราชิก หาสังวาสมิได” จัดเปนมูลบัญญัติ ตอมา มีภิกษุเสพเมถุนกับ นางลิง จึงทรงบัญญัติเพ่ิมเติมข้ึนอีกวา “อน่ึง ภิกษุเสพเมถุนธรรม โดยที่สุด แมกับสัตวดิรัจฉาน ตวั เมีย ภิกษุน้นั เปน ปาราชิก หาสงั วาสมิได” เชนน้ี จดั เปน อนบุ ัญญตั ิ สิกขาบทหน่ึง ๆ ทรงปรับโทษไวหนักบาง เบาบาง ตามสมควรแกความผิด เรียกวา อาบตั ิ อาบัติ โทษท่ีเกิดจากการละเมิดสิกขาบทที่พระพุทธเจาทรงบัญญัติไว เรียกวา อาบัติ แปลวา ความตอง คือ ตองไดรับโทษหรือถูกปรับโทษตามความหนักเบาแหงการกระทําผิด พุทธบญั ญตั ินนั้ ๆ อาบัติ กลาวโดยช่ือมี ๗ อยาง คือ ปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย ปาฏเิ ทสนียะ ทุกกฏ และทพุ ภาสิต อาบัติ กลาวตามโทษ มี ๓ สถาน คอื ๑. โทษอยางหนกั ตองเขาแลว ขาดจากความเปนภิกษุ ไดแ ก อาบตั ปิ าราชกิ ๒. โทษอยา งกลาง ตองเขา แลวตอ งอยูกรรมจงึ พนได ไดแ ก อาบตั ิสงั ฆาทเิ สส ๓. โทษอยางเบา ตองเขาแลวตองแสดงอาบัติตอภิกษุอ่ืนจึงพนได ไดแก อาบัติ ๕ อยา งทเี่ หลือ ประเภทของอาบัติ ๑. จัดตามวิธีแกไข มี ๒ อยาง คอื ๑.๑ อาบตั ทิ แ่ี กไ ขไมได เรยี กวา อเตกิจฉา ไดแ ก อาบตั ปิ าราชิก ๑.๒ อาบตั ทิ ่แี กไ ขได เรียกวา สเตกจิ ฉา ไดแก อาบตั ิ ๖ อยา งทเ่ี หลือ ๒. จัดตามความหนกั – เบา มี ๒ อยาง คอื ๒.๑ ครุกาบัติ อาบตั ิหนัก ไดแ ก อาบัตปิ าราชิก และ สงั ฆาทเิ สส ๒.๒ ลหกุ าบตั ิ อาบตั เิ บา ไดแ ก อาบตั ทิ ่เี หลือ ๓. จดั ตามความชวั่ หยาบ มี ๒ อยาง คือ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 229
เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 230 230
2๒3๒๙1 วชิ า วนิ ยั อาการทต่ี องอาบัติ ๖ อยาง ภิกษทุ ่ีลว งละเมดิ อาบตั ิ มีสาเหตุ ๖ ประการ คอื ๑. ตองดวยไมล ะอาย (อลชั ชิตา) ๒. ตองดว ยความไมรู (อัญญาณตา) ๓. ตอ งดว ยสงสยั แลว ขืนทํา (กกุ กุจจปกตา) ๔. ตองดว ยเขา ใจวา ควรทาํ ในส่ิงที่ไมค วรทํา (อกปั ปเย กปั ปยสัญญติ า) ๕. ตอ งดวยเขา ใจวา ไมค วรทาํ ในสิ่งทีค่ วรทํา (กปั ปเย อกปั ปย สญั ญิตา) ๖. ตอ งดว ยหลงลืมสติ (สตสิ ัมโมสา) หลักการปฏบิ ตั ใิ นการออกจากอาบัติ ๑. เปน หนาทข่ี องภิกษผุ ลู วงละเมดิ จะตองทาํ คืนดว ยวธิ ีนนั้ ๆ ๒. เปน หนา ทข่ี องภิกษผุ ูรูเ ห็น จะตักเตือนดว ยจิตเมตตา เมื่อเธอปด บังไมทาํ คนื ๓. เปน หนาทข่ี องสงฆ จะทําตามสมควรแกธรรมวินัย ในเมือ่ เธอดื้อดึง อาการที่ทรงบญั ญัตพิ ระวินัย ๑. เมอ่ื มเี รือ่ งเสยี หายเกดิ ขึ้น ทรงรับสั่งใหประชมุ สงฆ ๒. ตรสั ถามภกิ ษผุ ูก อเหตุ ใหยอมรบั ตามเปน จรงิ ๓. ทรงชีโ้ ทษแหง การประพฤตเิ ชนนั้น แลวจงึ แสดงอานสิ งสแหง การสาํ รวม ๔. ทรงบัญญตั สิ กิ ขาบทหามภกิ ษทุ ําเชน นนั้ อกี และวางโทษไวแ กผ ลู วงละเมิด อานสิ งสแหง การปฏบิ ตั ติ ามพระวนิ ัย ภกิ ษุผูเ ครงครดั ในพระวินัย รกั ษาไวด ว ยดี ยอมไดร บั อานสิ งส ๓ ประการ คอื ๑. ไมเ กิดวิปฏิสาร คือ ไมม ีความเดอื ดรอ นใจภายหลัง ๒. ไดรับความแชมชื่นใจ มีจิตใจเบิกบาน เพราะรูสึกวาตนไดประพฤติดีงาม เม่ือ ระลึกถงึ ศลี ของตนเมือ่ ใดก็เบิกบานใจตลอดเวลา ๓. มคี วามองอาจในหมภู กิ ษผุ มู ีศลี ไมสะทกสะทาน เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 231
๒2๓3๐2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 จดุ มงุ หมายของการบญั ญัตพิ ระวนิ ยั ๘ อยา ง ๑. เพอื่ ปอ งกนั ไมใ หเปน คนเห้ียมโหด เชน หามฆา ๒. เพือ่ ปองกันการหลอกผูอ นื่ เลี้ยงชพี ๓. เพื่อปองกนั ไมใ หเปน คนดรุ าย ๔. เพื่อปอ งกันไมใหเปนคนประพฤติเลวทราม ๕. เพอ่ื ปองกนั ไมใหเ ปนคนประพฤติเสียหาย ๖. เพ่ือปอ งกันไมใหเลนซุกซน ๗. เพอ่ื ใหส อดคลอ งกับความนยิ มของคนสมยั นน้ั ๘. เพื่อใหเ ปนธรรมเนียมของภกิ ษุ ประโยชนของการบญั ญตั ิพระวินยั ๑. เพอ่ื ความดงี ามแหงสงฆ ๒. เพ่ือความอยผู าสุกแหง สงฆ ๓. เพื่อขมบุคคลผูเกอ ยาก (หนาดา น) ๔. เพือ่ ความผาสกุ ของภิกษุผูมีศลี เปนทร่ี ัก ๕. เพอ่ื กําจดั อาสวะอันจะเกดิ ข้นึ ในปจจุบนั ๖. เพอื่ ปด กนั้ อาสวะที่จะเกดิ ขึน้ ในอนาคต ๗. เพ่ือยังผูทไ่ี มเล่อื มใสใหเ ล่ือมใส ๘. เพอ่ื ยงั ผูท ่เี ล่ือมใสแลวใหเล่อื มใสย่งิ ขน้ึ ๙. เพื่อความต้งั มนั่ แหง พระสัทธรรม ๑๐. เพื่อเอือ้ เฟอแกพระวินยั ขอ ๑, ๒ ทรงบญั ญัตเิ พ่อื ประโยชนแ กหมคู ณะ ขอ ๓, ๔ ทรงบญั ญัตเิ พือ่ ประโยชนแ กบุคคล ขอ ๕, ๖ ทรงบัญญัติเพ่อื ประโยชนแ กความบรสิ ทุ ธห์ิ รือแกชวี ิต ขอ ๗, ๘ ทรงบญั ญัติเพ่อื ประโยชนแ กประชาชน ขอ ๙, ๑๐ ทรงบญั ญัติเพ่ือประโยชนแ กพ ระศาสนา 232
2๒3๓3๑ วชิ า วนิ ัย มังสะ (เนอ้ื ) ๑๐ อยา งท่หี ามภกิ ษฉุ นั เน้อื สัตวท่ีทรงบัญญัตหิ ามไมใหภิกษุฉนั ๑๐ อยา ง ไดแก ๑. เนอื้ ชา ง ๒. เนื้อมา ๓. เนอื้ สนุ ัข ๔. เนื้องู ๕. เนอื้ ราชสหี (สงิ โต) ๖. เนอ้ื หมี ๗. เนอ้ื เสอื โครง ๘. เนื้อเสอื ดาว ๙. เนอื้ เสอื เหลือง ๑๐. เนอ้ื มนษุ ย ภิกษุฉนั เน้ือ ๙ อยางแรก ตองอาบัติทกุ กฏ ฉันเนอ้ื มนษุ ยตองอาบัติถุลลจั จัย อนึ่ง เน้ือสตั วด ิบและเนื้ออุททิสสมังสะ (เนื้อท่ีเขาฆาเจาะจงเพื่อถวายแกตน) ภิกษุฉัน ตองอาบัตทิ กุ กฏ ถา ไมรู ไมเห็น ไมส งสัย ฉันไมเปน อาบัติ วนิ ยั ๒ ประเภท วนิ ยั แบงเปนประเภทตามผรู กั ษามี ๒ ประเภท คอื ๑. อาคารยิ วินัย วนิ ยั สาํ หรับผคู รองเรอื น ไดแ ก ศลี ๕ ศลี ๘ ๒. อนาคารยิ วนิ ยั วินยั ของนักบวช ไดแก ศลี ๑๐ ศีล ๒๒๗ ศลี ๓๑๑ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 233
2๒๓3๒4 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 กัณฑท ่ี ๓ สกิ ขาบท พระบัญญัติ ไดแก มูลบัญญัติและอนุบัญญัติที่ทรงบัญญัติไวแตละขอ เรียกวา สิกขาบท คือ ขอทต่ี องศกึ ษา หรอื บทแหงการศกึ ษา มี ๒ อยาง คือ ๑. อาทิพรหมจริยกาสิกขา ไดแก สิกขาบทท่ีทรงบัญญัติเปนพุทธอาณา สําหรับ ปองกันความประพฤติเสียหาย หมายถึง ศีล ๒๒๗ ที่มาในพระปาติโมกข ทรงอนุญาตใหสวดในท่ี ประชมุ สงฆทุกกึง่ เดือน ๒. อภิสมาจาริกาสิกขา ไดแก สิกขาบทที่ทรงบัญญัติเปนอภิสมาจารเปนหลัก การศึกษาอบรมในฝายขนบธรรมเนียมท่ีชักนําความประพฤติความเปนอยูของสงฆไดดีงามมีคุณคา ยงิ่ ขึ้น เปนสิกขาบทท่ีมานอกพระปาตโิ มกข สกิ ขาบทที่มาในพระปาติโมกข ทา นแสดงไว ๒ นัย ดังนี้ ๑. ตามบาลีพระสูตร ทุติยปณณาสก ติกนิบาต อังคุตตรนิกายมี ๑๕๐ สิกขาบท คือ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ นิสสัคคิยปาจิตตีย ๓๐ สุทธิปาจิตตีย ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ และ อธกิ รณสมถะ ๗ ๒. ในพระปาตโิ มกขท ่ีสวดกันอยใู นคมั ภรี วิภงั คแหง สกิ ขาบทแสดงไว มี ๒๒๗ สิกขาบท โดยเพ่ิมอนิยต ๒ และเสขิยวตั ร ๗๕ การปรับอาบตั ิ ๒ อยาง ๑. ปรับอาบัติโดยตรง ไดแก สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข ๔ อยาง คือ ปาราชิก สงั ฆาทเิ สส ปาจติ ตยี ปาฏเิ ทสนียะ ๒. ปรับอาบัติโดยออม ไดแก สิกขาบทท่ีมานอกพระปาติโมกข ๓ อยาง คือ ถุลลัจจัย ทกุ กฏ ทุพภาสิต 234
2๒3๓๓5 วชิ า วนิ ยั การปรับอาบตั โิ ดยตรง จะปรบั ก็ตอ เม่ือภิกษุละเมิดจนถึงท่ีสุดแหงสิกขาบท เชน ภิกษุ แกลงฆามนุษยใหตายตองปาราชิก การปรับโดยออมจะปรับเมื่อภิกษุละเมิด แตยังไมถึงท่ีสุด เชน แกลงฆามนุษย แตไมตายเพียงบาดเจ็บ จะปรับอาบัติปาราชิกไมได ตองลดโทษลงมา เปน ถลุ ลัจจัย ทุกกฏ ตามสมควรแกค วามผดิ ชื่อวา ปรับโดยออ ม อาบตั ิโดยออมทัง้ ๓ นั้น เปนอาบัติท่ีลดโทษมาจากอาบตั ิท่ีปรับโดยตรง คือ ๑. ถลุ ลัจจัย ทกุ กฏ ลดลงมาจากปาราชิกและสังฆาทเิ สส ๒. ทกุ กฏอยา งเดียว ลดลงมาจากปาจิตตีย เวน แตโ อมสวาทสกิ ขาบท และปาฏเิ ทสนียะ ๓. ทุพภาสติ ลดลงมาจากปาจิตตยี เฉพาะโอมสวาทสิกขาบท สวนอนิยตสิกขาบท เปนสิกขาบทท่ีแฝงอยูเหมือนกาฝาก ไมไดปรับอาบัติเหมือน สกิ ขาบทอนื่ ๆ เสขิยวัตรแตล ะขอ ถา ไมเอ้อื เฟอประพฤตติ าม ทา นปรบั อาบัตทิ กุ กฏ อุทเทส สิกขาบทท่ีมาในพระปาติโมกขน้ัน จัดเขาเปนหมวดหมูตามชนิดของอาบัติ เรียกวา อุทเทส มี ๙ คือ ๑. นิทานุทเทส วิธีทภี่ ิกษุผูฟงปาติโมกขควรปฏบิ ัติกอนสวดสิกขาบท ๒. ปาราชกิ ทุ เทส หัวขอ วา ดวยปาราชิก ๔ ๓. สังฆาทเิ สสทุ เทส หวั ขอวา ดว ยสังฆาทิเสส ๑๓ ๔. อนยิ ตุทเทส หัวขอวาดวยอนยิ ต ๒ ๕. นิสสัคคิยทุ เทส หวั ขอ วาดว ยนสิ สัคคิยปาจิตตยี ๓๐ ๖. ปาจิตตยิ ทุ เทส หวั ขอ วา ดว ยสุทธปิ าจิตตยี ๙๒ ๗. ปาฏิเทสนยี ทุ เทส หวั ขอ วาดวยปาฏเิ ทสนียะ ๔ ๘. เสขิยทุ เทส หัวขอวา ดว ยเสขิยวัตร ๗๒ ๙. อธกิ รณสมถทุ เทส หวั ขอ วา ดว ยอธกิ รณสมถะ ๗ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 235
2๒๓3๔6 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี อนั ตราย ๑๐ อันตราย คอื เหตุขัดของท่ีทรงอนญุ าตใหสวดปาติโมกขยอได มี ๑๐ อยา ง คือ ๑. พระราชาเสดจ็ มา ๒. โจรปลน ๓. ไฟไหม ๔. นํา้ หลากมา ๕. คนมามาก ๖. ผเี ขา ภิกษุ ๗. มีสตั วรา ยมา ๘. มีงูเลอ้ื ยมา ๙. มเี ร่ืองเปน เรื่องตายเก่ยี วกบั ภิกษุ ๑๐. มอี ันตรายแกพรหมจรรย เชน มีคนมาจบั ภิกษุ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 236
2๒3๓7๕ วชิ า วนิ ัย กัณฑที่ ๔ ปาราชกิ ๔ ปาราชิก แปลวา ผูพายแพ หาสังวาสมิได คือ ไมมีสิทธิของความเปนภิกษุในการ เขารวมอุโบสถ ปาวารณา และทําสังฆกรรมเหมือนกับภิกษุอื่น จัดเปน ครุกาบัติ มีโทษ รายแรงที่สุด เทียบเทากับโทษประหารชีวิต ภิกษุลวงละเมิดเขาแลวตองขาดจากความเปน ภิกษุในทันที แมเธอจะปกปดอาบัติไว นุงหมผากาสาวพัสตรอยูในเพศบรรพชิต ก็ไมถือวาเปน ภกิ ษุ และเม่อื สกึ ออกไปแลว จะกลบั มาบวชเปน ภิกษอุ กี กไ็ มไ ด แมป กปด แลวมาบวชใหมก็ไมเ ปน ภิกษุ อาบตั ิปาราชกิ นี้ ภกิ ษุพึงทําการศึกษาใหเขาใจชัดเจนและพึงระมัดระวังสํารวมใหมาก อยาไดลว งละเมิด มีท้งั หมด ๔ สกิ ขาบท คือ ๑. ภกิ ษเุ สพเมถนุ (รวมประเวณี มีเพศสัมพนั ธ) ตอ งปาราชิก ๒. ภกิ ษุลักเอาทรัพยของผอู ื่น มรี าคาตงั้ แต ๕ มาสกข้นึ ไป ตองปาราชกิ ๓. ภิกษุแกลง ฆามนษุ ยใ หต ายตอ งปาราชกิ ๔. ภิกษุพดู อวดอตุ ริมนุสสธรรมท่ไี มม ใี นตนตองปาราชกิ ๑. ภกิ ษเุ สพเมถุนตองปาราชกิ ภกิ ษุเสพเมถุน คอื มเี พศสมั พนั ธก บั มนษุ ย อมนุษย หรอื กบั สัตวด ิรัจฉานอยางใด อยางหน่ึง ไมวาจะเปน เพศชาย เพศหญิง เปนอุภโตพยัญชนก (คนสองเพศ) หรือเปนบัณเฑาะก กต็ าม โดยการสอดอวัยวะเพศของตนใหลํ้าเขาไปในชองอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก ทางใด ทางหน่ึง เพียงชั่วเมล็ดงาหน่ึงแมจะมีอะไรสวมไว ไมวาผูน้ันจะมีชีวิตหรือตายแลว ตองอาบัติ ปาราชิก ภิกษุถูกลักหลับ รูสึกตัวข้ึนยินดีในการสัมผัส หรือภิกษุถูกขมขืน แตยินดีกับการ สมั ผัสในขณะใดขณะหนงึ่ ตองปาราชิก ถาไมยินดไี มเ ปน อาบตั ิ ภิกษุอา ปากอมอวยั วะเพศของชายอ่นื แมเ ปน เด็กตองปาราชิก ภิกษุหลังออนกมลงอมอวัยวะเพศของตน หรือมีอวัยวะเพศยาวสอดเขาไปใน ทวารหนักของตน ตองปาราชิก อน่ึง ภิกษุยินยอมใหบุรุษอ่ืนเสพเมถุนทางทวารหนักของตน หรือถูกบุรุษขมขืน หรอื ลกั หลับทางทวารหนกั หรอื ชอ งปาก เกิดความยนิ ดี ตอ งปาราชกิ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 237
2๒๓3๖8 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 อาการทปี่ รบั อาบตั ริ องลงมา ภกิ ษเุ สพเมถุนในทางทวารทัง้ ๓ ของมนษุ ย อมนุษย หรือของสัตวดิรัจฉานที่ตายแลว แตทวารนั้นขาดว่ินเวาแหวงไปหมดจนไมเหลือรูปทรงปรากฏ หรือเสพในอวัยวะเพศของชาย ตองถุลลจั จัย เสพในอวัยวะอื่นนอกจากทวารทั้ง ๓ น้ัน เชน สะดือ รักแร ซอกคอ เปนตน หรือกับ สิง่ ที่ไมม ีชีวิต เชน ตกุ ตา เปนตน ตองทุกกฏ แตถาเปนอวัยวะของมนุษยผูหญิง ตองสังฆาทิเสส เพราะจับตองกายหญิง องคแ หง การเสพเมถนุ ๒ อยาง การเสพเมถนุ จะถือวา สาํ เรจ็ คอื ตองอาบัติ ประกอบดวยองค ๒ อยาง คอื ๑. มีจิตคดิ จะเสพ (เสวนจติ ฺต)ํ ๒. ยังมรรคใหถงึ มรรค (มคเฺ คน มคฺคปฏิปาทน)ํ ผูย กเวนไมต อ งอาบัติ อาบตั ใิ นสกิ ขาบทน้ี เปน สจติ ตกะ ไมเ ปน อาบตั แิ กผไู มม ีเจตนา คอื ๑. ภกิ ษถุ ูกลกั หลับ ไมรูสึกตวั ๒. ภิกษุถกู ขมขืน แตไ มยินดี ๓. ภิกษวุ กิ ลจรติ เปนบา ๔. ภกิ ษุเพอจนไมมีสติ ๕. ภิกษุกระสับกระสา ยเพราะเวทนากลา (ไดรบั ความทรมานอยา งแรงกลา) ๖. ภกิ ษุผูเปนตนบญั ญตั ิ เรียกวา อาทกิ มั มิกะ (ไดแกพ ระสทุ ิน) ภิกษุ ๔ ประเภทหลังนี้ (ขอ ๓ - ๖) ไดรับยกเวนไมตองอาบัติทุกสิกขาบท แตภิกษุท่ีเปน อาทกิ มั มกิ ะไดรบั ยกเวน เฉพาะสิกขาบททตี่ นเปนตน เหตเุ ทาน้ัน ๒. ภิกษุลักเอาทรัพยของผอู น่ื มรี าคาต้งั แต ๕ มาสกข้นึ ไป ตองปาราชกิ ทรัพยในท่ีนี้มี ๒ ประเภท คือ ทรัพยที่เคลื่อนท่ีได เรียกวาสังหาริมทรัพย และ 238
2๒3๓9๗ วชิ า วนิ ยั ทรัพยที่เคลื่อนที่ไมได เรียกวา อสังหาริมทรัพย โดยตรงหมายเอาท่ีดินอยางเดียว โดยออม หมายเอาสิ่งปลูกสรางบนทด่ี ินดว ย สังหารมิ ทรัพย เปนอาบัติเม่ือทรพั ยท่ีถอื เอาน้ันเคลื่อนจากฐาน อสังหาริมทรัพย เปนอาบตั เิ มื่อเจาของสละกรรมสิทธ์ิ อวหาร ๑๓ อวหาร คือ อาการท่ีจัดวาเปนการลักทรัพย ซ่ึงมีความหมายและเขตกําหนดใหตอง อาบัติถึงท่ีสดุ มี ๑๓ อยา ง ดังนี้ ๑. ลัก ภิกษุมีจิตคิดจะลักขโมย ถือเอาทรัพยน้ัน ขณะท่ีทําของใหพนจากที่ ตองอาบตั ิ ๒. ชงิ ๓. ลกั ตอน ๔. แยง ๕. ลักสบั ๖. ตู ๗. ขูฉ อ ๘. ยักยอก ๙. ตระบัด ๑๐. ปลน ๑๑. หลอกลวง ๑๒. กรรโชก ๑๓. ลักซอ น สาณัตติกะ ตอ งอาบตั ิเพราะสง่ั สิกขาบทนี้เปนสาณัตติกะ คือ สั่งใหผูอื่นทําก็เปนอาบัติ ฉะน้ัน ภิกษุลักเองก็ดี ใชให ผอู ืน่ ลกั ก็ดี ดวยอวหารอยา งใดอยางหนึง่ ตามกาํ หนดราคาทรพั ยท ่ที าํ ใหต อ งอาบตั ิ ดังนี้ ๑. ถา ทรพั ยนนั้ มีราคาตัง้ แต ๕ มาสก (เทา กับ ๑ บาท) ข้ึนไป เม่ือจับตองเปนทุกกฏ ทาํ ใหไหวตองถุลลัจจัย ทําใหเ คล่อื นที่ตอ งปาราชกิ ๒. ถา ทรพั ยนัน้ มีราคาหยอนกวา ๕ มาสก แตม ากกวา ๑ มาสก ภิกษุจับตองก็ดี ทําให ไหวก็ดี ตอ งทกุ กฏ ทาํ ใหเ คลอ่ื นจากที่ ตอ งถลุ ลัจจัย ๓. ทรัพยมีราคา ๑ มาสกลงมา จับตองก็ดี ทําใหไหวก็ดี ทําใหเคล่ือนจากท่ีก็ดีตอง ทกุ กฏ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 239
เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 240 240
2๒4๓๙1 วชิ า วนิ ัย องคแ หง การฆา การฆาจะถือวา ถงึ ท่สี ุดนัน้ ตอ งประกอบดว ยองค ๕ ประการ คือ ๑. ผูถูกฆา เปนมนุษยมีชวี ติ ๒. รูวา มีชวี ติ ๓. มีจิตคดิ จะฆา ๔. พยายามฆา ดวยวิธใี ดวธิ หี นึ่ง ๕. มนุษยนั้นตาย อาการที่ไมตองอาบัติ สกิ ขาบทนเี้ ปนสจิตตกะ ไมเ ปนอาบัติแหงภิกษผุ ู ภิกษุผูเปนอาทิกัมมิกะ ๑. ไมจ งใจ คือไมม ีเจตนา ๒. ไมรู ๓. ไมป ระสงคจะใหตาย และภิกษุอีก ๔ ประเภท ที่ไดรับการยกเวนในทุกสิกขาบท ในสกิ ขาบทน้ี คอื พระฉัพพคั คยี ๔. ภกิ ษุพูดอวดอุตตริมนสุ สธรรมทไ่ี มม ีในตน ตอ งปาราชิก อุตตรมิ นสุ สธรรม คือ ธรรมอันยอดยิ่งของมนุษย เรียกงาย ๆ วา คุณวิเศษหรือ ธรรมวิเศษ ไดแก ฌาน วิโมกข สมาธิ สมาบัติ มรรค ผล โดยยอมี ๒ คือ ฌาน ๔ และ โลกุตตรธรรม ๙ การอวดอุตตริมนุสสธรรม คือ การกลาวอวดนอมเขามาในตน อวดจังๆ วา ขาพเจา ไดถ ึงธรรมอยางนน้ั อยางนี้ มาแตค รง้ั นั้น ครง้ั นี้ ภิกษุพูดโกหกวา ขาพเจาไดบรรลุธรรมอยางน้ัน อยางน้ี เมื่อนั้น เม่ือนี้ ถาผูฟง เขาใจคําพูดน้ัน แมคนเดียวจะเชื่อหรือไมเชื่อก็ตาม ภิกษุนั้นตองปาราชิก ถาผูฟงไมเขาใจ ตองถุลลัจจัย ภิกษุพูดอวดโดยออม โดยอางรูปพรรณสัณฐาน บริขารหรือสถานที่ เชนวา ภิกษรุ ูปรา งเชน นน้ั ถอื บาตรหมจีวรเชนนั้นอาศัยอยูในวัดน้ัน ไดบรรลุธรรม โดยประสงคใหผูฟง เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 241
2๒๔4๐2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 เขา ใจวาคนท่พี ดู ถงึ นัน้ คือตน ถาผูฟง เขา ใจ ตอ งถุลลัจจยั ถาไมเขา ใจตองทุกกฏ ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรมที่มีในตน อวดแกภิกษุไมเปนอาบัติ อวดแกผูอ่ืนที่ ไมใ ชภ ิกษุ ตอ งปาจติ ตีย ภิกษุผูเปนอาทิกัมมิกะในสิกขาบทนี้ คือเหลาภิกษุอยูจําพรรษาท่ีใกลฝงแมนํ้า วัคคุมทุ า องคแหง การอวดอุตตริมนุสสธรรม การพูดอวดอุตตริมนุสสธรรม จะถือวาเปนอาบัติน้ัน ตองประกอบดวยองค ๕ ประการ คอื ๑. อวดอตุ ตรมิ นสุ สธรรมทีไ่ มมีในตน ๒. อวดเพอื่ หวังลาภ หวังใหเ ขาสรรเสรญิ ๓. พดู ระบถุ งึ ตนเอง ไมอา งผูอ่ืน ๔. ผูฟงเปน มนษุ ย ๕. ผฟู งเขา ใจคําพดู นัน้ สิกขาบทน้ี เปนสจติ ตกะ ไมเ ปนอาบตั ิแกภิกษุ ๒ ประเภท คือ ๑. ผพู ดู ดว ยสาํ คัญวา ไดบ รรลุ ๒. ผูไมม ปี ระสงคจ ะอวดอาง สรปุ อาบตั ิปาราชกิ ๑. อาบัติปาราชกิ ท้ัง ๔ ขอ นน้ั ภิกษลุ วงละเมิดขอใดขอหน่ึง ยอมขาดจากความเปน ภิกษุ หาสงั วาสมิได คอื ไมม สี ิทธ์เิ ชน กับภิกษอุ ่ืน ๒. แมจะอุปสมบทอีก ก็ไมเปนภิกษุชอบดวยพระวินัยตลอดชาติ แตบรรพชาเปน สามเณร หรอื ถอื ตนเปน อบุ าสกได ๓. อาบัติปาราชิกน้ี เปนอเตกิจฉา แกไขไมได เปนอนวเสสา ไมมีสวนเหลือ และ เปน มูลเฉท ตดั รากเหงา ผตู องเขาแลว ยอมเปนดจุ ตาลยอดดว น หรือดุจใบไมเ หลืองหลดุ จากขัว้ ๔. สิกขาบทที่ ๑ ท่ี ๔ ทําเองจึงตองอาบัติ ส่ังผูอื่นทําไมเปนอาบัติ สิกขาบทท่ี ๒ ท่ี ๓ ทาํ เองก็ตอ งอาบตั ิ ส่ังผอู ื่นทาํ ก็ตอ งอาบตั ิ สกิ ขาบทที่ ๒ ที่ ๓ ท่ี ๔ ตอ งอาบตั เิ พราะพดู ดว ย ๕. อาบัตปิ าราชิกท้ัง ๔ สิกขาบท เปน สจิตตกะ ไมเปนอาบตั แิ กผ ไู มมเี จตนา 242
2๒4๔3๑ วชิ า วนิ ยั กัณฑท ่ี ๕ สังฆาทิเสส ๑๓ สงั ฆาทิเสส คือ หมวดอาบัติที่ตองอาศัยสงฆในข้ันตอนการพนจากอาบัติ ท้ังในกรรม เบ้ืองตนและกรรมเบ้ืองปลาย หมายความวา ภิกษุเม่ือตองอาบัตินี้แลว ประสงคจะทําตนให บริสทุ ธต์ิ องดําเนนิ การตามข้นั ตอนการออกจากอาบตั โิ ดยอาศยั สงฆเทาน้ัน คอื สงฆเ ปน ผูลงโทษ ใหอยกู รรมและสงฆเ องเปนผูระงับอาบัติ อาบัติสังฆาทิเสสจัดเปนครุกาบัติ มีโทษหนักรองจากปาราชิก แตเปน สเตกิจฉา คือ อาบัติที่แกไขได มีท้งั หมด ๑๓ สิกขาบท ดังนี้ ๑. ภกิ ษแุ กลงทาํ ใหนา้ํ อสจุ เิ คล่อื น ตองสังฆาทเิ สส เวนไวแ ตฝ น ภิกษมุ ีความจงใจใหนํ้าอสุจิเคลื่อน ดวยความพยายามอยางใดอยางหนึ่ง นํ้าอสุจิ มีปริมาณเทา แมลงวนั ตัวเดียวกนิ อ่มิ ตองสังฆาทิเสส ถา พยายามแลวแตอ สจุ ิไมเ คลือ่ น ตองถลุ ลจั จยั สิกขาบทนี้ เปน อนาณัตตกิ ะทาํ เองจงึ เปน สัง่ ใหผูอ่ืนทําไมได แตถาสั่งใหผูอื่นทําให ไมพนอาบตั ิ และเปนสจิตตกะคือไมเปน อาบตั แิ กผูไมต ัง้ ใจทาํ ภกิ ษุผูเ ปนอาทกิ ัมมกิ ะในสิกขาบทน้ี คือ พระอทุ ายี ๒. ภิกษมุ ีความกําหนัดอยู จบั ตอ งกายหญงิ ตองสงั ฆาทเิ สส ภิกษุจับตองกายหญงิ แมเ พยี งปลายขน ตองอาบตั สิ ังฆาทิเสส หญิง ในสิกขาบทนี้ หมายเอา หญิงมนุษยโดยท่ีสุดแมหญิงทารกท่ีเกิดใน วันนัน้ ภิกษจุ บั ตองกายหญงิ โดยรูอยูวา เปนหญงิ หรอื สงสัยวาเปนหญิงก็ตาม กายตอกายสัมผัส กนั แมเพยี งปลายขน ตอ งสังฆาทิเสส ภกิ ษมุ ีความกําหนัดจบั ตองกายหญิง แตเขาใจวาไมใชผูหญิงก็ดี จับตองดวยขาง หนึ่งเปนกาย ขางหนึ่งเปนของเนื่องดวยกายก็ดี จับตองกายบัณเฑาะก หญิงอมนุษย หรือศพของ หญิงมนุษยก ด็ ี ตองถลุ ลัจจยั ภิกษุมีความกําหนัดจับตองกายบัณเฑาะก แตเขาใจวาไมใชบัณเฑาะกก็ดี จับตอง กายหญิงดวยของเน่ืองดวยกายทั้งสองทางก็ดี จับกายมนุษยผูชายก็ดี สัตวดิรัจฉานตัวผูหรือตัว เมียกด็ ี จะเขาใจวา เปนอะไรก็ตาม ตอ งทุกกฏ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 243
๒2๔4๒4 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ภิกษุจับกายมารดา หรือพ่ี-นองสาว ดวยความรักตองทุกกฏ เพราะหญิงเปน วัตถุอนามาส คอื ผูทีภ่ ิกษุไมค วรจบั ตอง หญิงจับตองกอน และภิกษุยินดีใหสัมผัส ตองสังฆาทิเสส ถาไมยินดี ไมเปน อาบัติ ภิกษุจับผูหญิงคนเดียว ครั้งเดียว ไมปลอยตลอดเวลาตลอดคืนเปนอาบัติ ตัวเดยี ว ถา จบั แลว ปลอ ย เปนอาบัติเทาจํานวนครั้งที่จับ ภิกษุจับหญิงหลายคนในขณะเดียวกัน เปน อาบัติเทาจาํ นวนคน สิกขาบทน้ี เปนสจิตตกะ ไมเปน อาบัตแิ กภิกษุไมเ จตนา ไมรู และไมมคี วามกําหนัด ภิกษุผเู ปน อาทกิ ัมมิกะในสกิ ขาบทนี้ คอื พระอทุ ายี ๓. ภิกษมุ ีความกาํ หนดั อยู พูดเกย้ี วหญงิ ตองสงั ฆาทิเสส หญิง ในสิกขาบทน้ี หมายเอา หญงิ มนษุ ยผ รู ูเ ดยี งสาพอจะเขาใจถอยคําท่ีเก้ียวน้ันได ภิกษุมีความใครในกามพูดเก้ียวหญิง ประเลาประโลมในเชิงชูสาว กลาวคําลามกเกาะแกะถึง ทวารหนกั ทวารเบา และกริยาแหงการรวมประเวณี (เมถุนธรรม) ตอ งสงั ฆาทเิ สส พูดเกาะแกะถึงอวัยวะตั้งแตไหปลาราลงมาถึงหัวเขา ภายในสีขางทั้งสองเขาไป เปนถุลลัจจยั พดู เกาะแกะถงึ อวยั วะเหนือไหปลาราข้นึ ไป ใตเขาลงมา และนอกสีขางทั้งสองออกไป เปนทุกกฏ ภิกษุพูดเก้ียวบัณเฑาะก ลวนลามถึงทวารหนัก และกริยาแหงการรวมประเวณี เปน ถุลลัจจยั เกาะแกะถงึ อวยั วะนอกนีก้ ด็ ี พูดเก้ียวบุรุษหรือสตั วเ ดรัจฉานกด็ ี เปนทุกกฏ อนง่ึ ภิกษุพูดเก้ียวหญิง แตเ ขา ใจวาไมใชหญิง เปน ถลุ ลัจจัย ภิกษพุ ูดเก้ยี วบณั เฑาะก แตเ ขาใจวาไมใ ชบ ัณเฑาะก เปน ทุกกฏ สิกขาบทน้ไี มเปนอาบตั แิ กภิกษุผูกลา วมุงธรรมและมงุ จะส่ังสอน ๔. ภิกษุมีความกําหนดั พูดลอใหห ญงิ บาํ เรอตนดว ยกาม ตอ งสงั ฆาทเิ สส พูดลอ หมายถึง พูดหวานลอมชักชวนหญิงใหรวมประเวณีกับตน ถาหญิงฟงรู ความ ตองสาฆาทเิ สส ถา ฟง ไมเ ขาใจไมต องอาบตั ิ ภิกษผุ เู ปนอาทกิ มั มิกะในสิกขาบทนี้ คือ พระอุทายี 244
2๒4๔๓5 วชิ า วนิ ัย ๕. ภกิ ษชุ กั สื่อใหช ายหญิงเปน ผัวเมียกัน ตองสังฆาทเิ สส ภิกษุชักสื่อ คือ ทําตัวเปนพอส่ือใหชายหญิงเปนสามี - ภรรยากัน หรือใหไดเสียกัน ชว่ั คราวกด็ ี สามีภรรยาหยาขาดกันแลว ภกิ ษชุ ักส่ือใหเขาคืนดีกนั ก็ดี ตองสังฆาทเิ สส ภิกษผุ ูเ ปนอาทกิ มั มกิ ะในสกิ ขาบทน้ี คอื พระอุทายี การชักส่ือมี ๓ ลกั ษณะ คือ ๑) ภกิ ษุรบั คาํ ของผูวาน (ตอ งทุกกฏ) ๒) นาํ ความนน้ั ไปบอกแกอีกฝา ยหน่งึ (เปนถุลลัจจัย) ๓) กลบั มาบอกแกผ ูว าน (ตองสงั ฆาทิเสส) แตม ตขิ องสมเดจ็ พระมหาสมณเจาฯ กาํ หนดไว ๒ อยา ง คอื ๑) ภิกษถุ กู เขาวานแลว รบั คาํ (เปน ถุลลจั จัย) ๒) นาํ คํานั้นไปบอกแกอกี ฝา ยหนึง่ (เปน สงั ฆาทเิ สส) ภิกษุหลายรูปถูกวานแลวรับคํา แมภิกษุรูปเดียวนําคําน้ันไปบอก ตองอาบัติ สังฆาทเิ สสทง้ั หมด อาบัติในสิกขาบทนี้เปนสาณัตติกะ สั่งใหทําตองอาบัติ เปนอจิตตกะ แมไมรูทํา กเ็ ปน อาบตั ิ ๖. ภิกษสุ รา งกฎุ ีท่ตี อ งกอ และโบกดว ยปูนหรือดนิ ซ่งึ ไมมใี ครเปน เจา ของ จาํ เพาะ เปนท่ีอยูของตน ตองทําใหไดประมาณ โดยยาว ๑๒ คืบพระสุคต โดยกวางประมาณ ๗ คืบ วัดในรวมใน และตองใหสงฆแสดงที่ใหกอน ถาไมใหสงฆแสดงท่ีใหกอนก็ดี ทําใหเกิ น ประมาณก็ดี ตอ งสังฆาทิเสส ถาภิกษุตองการจะสรางกุฎีเปนท่ีอยูของตน แตไมมีเจาภาพสรางถวาย จึงอยากจะสรางเอง พึงใหแผวถางที่ใดที่หนึ่งที่ตนตองการ เสร็จแลวจึงเขาไปหาสงฆ แจงความประสงคของตน ใหสงฆทราบและขอใหสงฆไปตรวจดูท่ีน้ัน และสวดญัตติประกาศ อนุมัติใหแกตนเรียกวา ใหสงฆแสดงที่ให สงฆพึงแสดงหรืออนุมัติท่ีที่ไมมีเจาของจับจอง ไมมี อนั ตราย และเปน ท่ีมีบรเิ วณรอบ คอื เม่อื สรา งกฎุ ีเสร็จแลวตองมีลานรอบกฎุ ี หางจากฝาดานนอก ประมาณชั่ววัวเทียมเกวียนเดินวนรอบได และกุฎีตองสรางใหไดขนาดท่ีกําหนด คือดานยาววัด ได ๑๒ คืบพระสุคต โดยวัดจากฝาดานนอก ดานกวางวัดได ๗ คืบพระสุคต โดยวัดจากฝา ดานใน จุดประสงคของการกําหนดประมาณเทาน้ี ก็เพ่ือไมใหภิกษุรบกวนชาวบานในการขอ มากเกินไป และเพอ่ื ใหเหมาะสมกบั สมณะผูสันโดษ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 245
2๒๔4๔6 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 สิกขาบทนภ้ี กิ ษุตอ งอาบตั ิสงั ฆาทิเสสใน ๒ กรณี คือ ๑) ไมใหส งฆแ สดงทใ่ี ห (ตองเพราะไมท ํา) ๒) ทาํ เกินประมาณ (ตองเพราะทํา) ภิกษตุ อ งทุกกฏใน ๒ กรณี คอื ๑) ทาํ ในท่ีมอี ันตรายหรือมเี จา ของ ๒) ไมมบี ริเวณรอบนอก ภกิ ษุผเู ปน อาทิกมั มิกะในสกิ ขาบทน้ี คือ ภิกษทุ ้ังหลายชาวเมอื งอาฬาวี ๗. ถาท่ีอยูที่จะสรางนั้น มีทายกเปนเจาของ ทําใหเกินประมาณน้ีได แตตองให สงฆแ สดงทใี่ หกอน ถาไมใหสงฆแ สดงทใ่ี หกอ น ตองสงั ฆาทเิ สส สกิ ขาบทน้ีเหมือนกับสิกขาบทท่ี ๖ ตางกันแตมีเจาภาพสรางถวายสามารถสรางเกิน ประมาณที่กําหนดได แตต องใหส งฆตรวจดูทีแ่ ละสวดญัตติประกาศอนุมัติกอนจงึ สรา งได ภิกษุผเู ปนอาทิกมั มิกะในสิกขาบทน้ี คือ พระฉันนะ ๘. ภกิ ษโุ กรธเคอื ง แกลง โจทภกิ ษอุ ่นื ดว ยอาบัติปาราชิก ตอ งสงั ฆาทเิ สส การโจท คือ การฟองกลาวหากันดวยเรื่องละเมิดสิกขาบทคืออาบัติอยางใดอยางหน่ึง จัดเปน อนุวาทาธิกรณ ซ่ึงพระพุทธองคทรงอนุญาตใหภิกษุโจทภิกษุไดในการณที่มีภิกษุด้ือดาน ตองอาบัติแลวไมทําคืน (ไมยอมปลงอาบัติ ไมแสดงอาบัติ) แมผูอื่นตักเตือนก็ไมฟง จึงใหโจท ฟอ งเธอในทามกลางสงฆ เพอ่ื เหน็ แกพระศาสนาเปนทม่ี าของการบัญญัติสิกขาบทน้ี ภิกษุแกลงโจท คือ กลาวใสความภิกษุที่ตนเกลียดชังวาตองอาบัติปาราชิก โดยไมมีมูล คือไมไดเห็นเอง ไมมีคนบอก ไมไดนึกสงสัย รังเกียจ โจทเองก็ดี สั่งใหผูอ่ืนโจทก็ดี โจทตามคําสัง่ ของผอู น่ื ก็ดี ตองอาบัตสิ ังฆาทเิ สส ท้ังผสู ง่ั และผูโจทก เรือ่ งมีมลู หลกั ฐานยอ หยอ น แตภ ิกษุโจททําใหร ัดกุมนาเช่ือถือนั้น เชน ไดยินเขาพูด มา แตโจทวาไดเหน็ เอง เชนนี้ตอ งสังฆาทิเสส อน่ึง แมภิกษุผูเปนจําเลยตองอาบัติปาราชิกแลว แตภิกษุไมรู แกลงโจทเธอดวย อาบัตปิ าราชิกไมมีมูล ตองสงั ฆาทเิ สสเชนกนั ถาโจทตามอาการท่ีไดเห็นไดยินหรือนึกสงสัยรังเกียจ ไมวาเร่ืองน้ันจะจริงหรือ ไมจ รงิ ก็ตาม ไมเ ปน อาบตั ิ ภกิ ษุผูเปนอาทิกัมมิกะในสิกขาบทน้ี คือ พระเมตติยะและพระภุมมชกะ 246
2๒4๔7๕ วชิ า วนิ ยั ๙. ภกิ ษุโกรธเคือง แกลง หาเลศโจทภกิ ษอุ ่นื ดว ยอาบัติปาราชกิ ตองสังฆาทเิ สส คาํ วา แกลง หาเลศ หมายถึง เร่ืองท่ียกขึ้นอางเพ่ือกลาวหาหรือฟองภิกษุอ่ืน แบง เปน ๒ ลกั ษณะ คอื ๑) ยกเอาความผิดของผูอื่นมาเปนเลศโจท กลาวคือ อางเอาชาติกําเนิด ช่ือ ตระกูล รูปลักษณ อาบัติ บาตร จีวร พระอุปชฌาย พระอาจารย และเสนาสนะ ๑๐ อยางน้ี อยางใดอยางหนึ่ง ของภิกษุอื่นข้ึนมาโจท เชน ภิกษุผูโจทกเห็นภิกษุรูปอื่นตองอาบัติปาราชิก ครนั้ ไปพบภกิ ษผุ ูอนื่ มชี ่อื เหมือนกนั มาจากตระกลู เดียวกัน หรือมีรูปรางเหมือนกัน ก็ยกเอาเร่ือง นน้ั ข้ึนโจท เพือ่ ทําใหภกิ ษุทั้งหลายเขา ใจวาเปนเธอเชน นี้ ตอ งสงั ฆาทเิ สส ๒) ยกเอาความผดิ เล็กนอยท่ีเธอทํา มาเปนเลศโจทใหรายแรงถึงปาราชิก เชน ภกิ ษุ ผโู จทกเ หน็ เขาอาบัติปาจติ ตีย แตโ จทวาเขาตอ งอาบตั ิปาราชกิ เชนน้ี ตอ งสังฆาทิเสส ภิกษผุ เู ปนอาทกิ ัมมกิ ะในสกิ ขาบทนี้ คือ พระเมตตยิ ะ และพระภมุ มชกะ ๑๐. ภิกษุพากเพียร เพื่อจะทําลายสงฆใหแตกกัน ภิกษุอื่นหามไมฟง สงฆ สวดกรรมเพือ่ ใหละขอทปี่ ระพฤตนิ ัน้ ถาไมละตองสังฆาทเิ สส คําวา สงฆ หมายถึง ภิกษุท้ังหมูท่ีอยูโดยพรอมเพรียงกัน คือ มีสังวาสเสมอ กนั อยูในสมี าเดยี วกัน ภิกษุใดพยายามทําเพื่อใหสงฆต้ังแต ๔ รูปขึ้นไป ที่อยูในสีมาเดียวกัน แตกแยก กันเปนฝกฝาย ไมท าํ อุโบสถรวมกันดวยวิธีการอยางใดอยางหนึ่ง ภิกษุอ่ืนรูเขาพึงกลาวหามเสีย (ถาไมหามตองทุกกฏ) ภิกษุนั้นแมถูกภิกษุอื่นหามแลว คร้ังที่ ๑ ครั้งท่ี ๒ และครั้งท่ี ๒ เลิกลม ความพยายามเสีย ไมเปนอาบตั ิ ถาไมเลิกตอ งอาบัติทกุ กฏ จากนนั้ ภิกษุทัง้ หลายพึงนําตัวเธอเขาสูทามกลางสงฆ สงฆวากลาวตักเตือนเธอ ๓ ครั้ง ถา เธอเลกิ เสียไมเปน อาบัติ ถาไมเลิกตอ งทุกกฏ ตอจากน้ัน สงฆพงึ สวดสมนุภาสนแกเธอ คอื สวดคําประกาศหามไมใ หด ้ือรัน้ โดยสวดญัตติ ๑ ครัง้ สวดกรรมวาจา ๓ ครั้ง เม่ือสงฆสวดจบ ญตั ติ ยงั ไมล ะตองทกุ กฏ จบกรรมวาจา ๒ คร้ัง ยังไมละตอ งถลุ ลัจจัย จบกรรมวาจาคร้ังที่ ๓ เปน สงั ฆาทิเสส ๑๑. ภกิ ษปุ ระพฤตติ ามภิกษุผูทําลายสงฆนั้น ภิกษุอื่นหามไมฟง สงฆสวดกรรม เพอื่ จะใหละขอท่ปี ระพฤตินัน้ ถา ไมละ ตองสังฆาทิเสส ภิกษใุ ดเขาขา ง สนบั สนุน สมรูร ว มคิด หรอื พดู ปกปองภิกษุผูทําลายสงฆ ภิกษุนั้น ชื่อวา ประพฤติตามภิกษุผูทําลายสงฆ การปรับอาบัติและการสวดสมนุภาสน มีอธิบายเหมือน เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 247
๒2๔4๖8 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 สกิ ขาบทท่ี ๑๐ ตา งแตว า ถาภิกษุผูประพฤติตาม มีหลายรูป คือ ตั้งแต ๔ รูปขึ้นไป สงฆตองแยก สวดสมนุภาสน แกพวกเธอคราวละไมเกิน ๓ รูป เพราะสงฆไมสามารถทํากรรมแกสงฆ ผดิ ระเบยี บพระวนิ ัย ภิกษุผูเปนอาทิกัมมิกะ คือ พระโกกาลิกะ พระ กฏโมรกติสสกะ พระขนั ฑเทวบุตร และพระสมุททัต ๑๒. ภิกษุวายากสอนยาก ภิกษุอ่ืนหามไมฟง สงฆสวดกรรมเพ่ือใหละขอที่ ประพฤตนิ ้นั ถาไมล ะ ตอ งสงั ฆาทิเสส ภิกษุทําตัวเปนคนหัวดื้อ ไมเช่ือฟงคํากลาวตักเตือนอันชอบพระธรรมวินัยของ ภิกษุอ่ืน กลับกลาวยอกยอนภิกษุทั้งหลายไมใหกลาวสอนตน ดวยประการตาง ๆ ภิกษุอื่นรูเขา พึงหามเธอเสีย ถาไมฟงทรงอนุญาตใหสงฆสวดสมนุภาสนแกเธอ การปรับอาบัติ และข้ันตอน การสวดสมนภุ าสน เหมือนกับสกิ ขาบทท่ี ๑๐ ภกิ ษผุ ูเปนอาทกิ มั มกิ ะในสกิ ขาบทนี้ คอื พระฉันนะ ๑๓. ภิกษุประทุษรายตระกูล คือ ประจบคฤหัสถ สงฆขับไลเสียจากวัด กลับ วากลาวติเตียนสงฆ ภิกษุอ่ืนหามไมฟง สงฆสวดกรรมเพ่ือใหละขอที่ประพฤตินั้น ถาไมละ ตอ งสงั ฆาทิเสส คําวา ประทุษรายตระกูล คือ เขาไปประจบเขาดวยกิริยาทําตนอยางคฤหัสถ เอาใจเขาตาง ๆ เชน ใหของกํานัลเล็ก ๆ นอย ๆ หรือยอมใหเขาใชสอย เพื่อมุงใหเขาชอบตน เปนสวนตัว เปนเหตุใหเขาคลายศรัทธาในพระพุทธศาสนา ละเลิกการทําบุญ ภิกษุประพฤติ เชน น้ี ชื่อวา ประทษุ รายตระกลู อนงึ่ ภิกษปุ ระพฤตเิ ลวทรามทําตัวไมควรแกสมณเพศ เชน ทําตัวสุงสิงกับหญิงสาว ในตระกูล เลนพนัน เลนซุกซน เลนตลกคะนอง รองรําทําเพลงตาง ๆ ภิกษุประทุษรายตระกูล ก็ดี ประพฤตเิ ลวทรามเชน นี้ก็ดี ทรงอนญุ าตใหสงฆลงโทษดว ย ปพ พาชนียกรรม คือ ขับไลออกจาก อาวาส ภกิ ษนุ ั้นกลบั วากลาว ติเตียนสงฆวา มีอคติ ตัดสินไมยุติธรรม ภิกษุอ่ืนหามไมฟง สงฆพึง สวดสมนุภาสนประกาศหาม ข้ันตอนการสวดและการปรบั อาบัติ เชน เดียวกบั สิกขาบทท่ี ๑๐ ภิกษผุ ูเ ปน อาทกิ ัมมิกะในสกิ ขาบทนี้ คอื พวกพระธสั สชแิ ละพระปุนมี สกุ ะ 248
2๒4๔9๗ วชิ า วนิ ัย สรุปอาบตั ิสงั ฆาทเิ สส อาบัติสังฆาทิเสสทงั้ ๑๓ ขอน้ี แบง เปน ๒ สว น ดังน้ี ๑. สิกขาบทท่ี ๑ - ๙ เรียกวา ปฐมาปตติกะ คือ ตองอาบัติสังฆาทิเสสทันทีใน ขณะท่สี าํ เรจ็ ๒. สิกขาบทที่ ๑๐- ๑๓ เรียกวา ยาวตติยกา คือ ตองอาบัติสังฆาทิเสส ตอเม่ือ สงฆสวดกรรมวาจาครบ ๓ ครงั้ วุฏฐานวิธี วุฏฐานวธิ ี คือ วิธอี อกจากอาบตั ิสงั ฆาทิเสส มีข้ันตอนดังน้ี ๑. เมอื่ ภกิ ษุตองอาบัตสิ ังฆาทิเสสแลว จะตองแจงความนั้นแกสงฆ ๔ รูปข้ึนไป แลว ขอประพฤตวิ ตั ร ช่ือ มานตั ๒. เม่ือภิกษุอนุญาตแลว พึงประพฤติมานัตน้ันใหถูกตอง ๖ ราตรี เสร็จแลวจึงขอ อัพภาน ตอสงฆว สี ตวิ รรค (๒๐ รูป) เมอื่ สงฆส วดอพั ภานระงบั อาบตั ิแลว ถอื เปนผูบริสุทธิ์ ๓. แตถาภิกษตุ อ งอาบัตแิ ลว ปกปดไวไมบอกแกภิกษุดวยกัน ปลอยใหวันเวลาลวงไป เทาใดตองอยูปริวาสประพฤติวัตรตาง ๆ เทากับวันเวลาที่ตนปกปดอาบัติไว (ปริวาส แปลวา การอยูชดใช นิยมเรียกวา การอยูกรรม) เสร็จแลว จึงประพฤติวัตรชื่อมานัตน้ันตอไป ตามท่ี พระวินัยกําหนด อาบัติสังฆาทิเสส จัดเปน ครุกาบัติ เพราะเปนอาบัติหนัก แตสามารถแกไขได จัดเปนทุฏลุ ลาบตั ิ เพราะมเี รอ่ื งหยาบคายอยมู าก อนยิ ต ๒ อนิยต แปลวา ไมแนนอน กลาวคือ ไมแนวาจะปรับอาบัติแกภิกษุผูลวงละเมิด ดวยอาบัติปาราชิก สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย กันแน ทรงบัญญัติไวเพื่อเปนหลักวินิจฉัยตัดสิน อนุวาทาธิกรณ (เร่ืองที่โจทกันดวยอาบัติ) อันไมแนนอนเก่ียวกับผูซึ่งเปนตนเรื่องที่ตองให พระวนิ ัยธรพจิ ารณาพยาน เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 249
2๒๔5๘0 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 เกณฑก ารปรบั อาบตั ิมี ๒ ขอ คอื ๑. ภิกษุน่ังในท่ีลับตากับหญิงสองตอสอง ถามีคนที่ควรเชื่อไดมาพูดดวยธรรม (อาบัติ) ๓ อยาง คือ ปาราชิก หรือสังฆาทิเสส หรือปาจิตตียอยางใดอยางหน่ึง ภิกษุรับ อยางใดใหปรบั อยา งนนั้ หรอื เขาวาจําเพาะธรรม (อาบตั ิ) อยา งใดใหป รบั อยา งนน้ั ภิกษุน่ังหรือนอนในท่ีลับตากับหญิงตามลําพังสองตอสอง ถามีคนท่ีควรเชื่อไดมา กลา วโทษเธอดว ยอาบตั ิ ๓ อยางวา เธอตองอาบตั ิปาราชกิ สังฆาทิเสส หรือปาจิตตียอยางใดอยางหนึ่ง หรือสองอยาง หรือสามอยาง ถาไมมีพยานหรือผูโจทกมิไดระบุชัดวาทําอะไรกันบาง พระวินัยธร (ผตู ัดสนิ ทางวนิ ยั สงฆวาผิดหรือถูก คลายกับพิพากษา) ควรปรับอาบัติตามคํายอมรับของภิกษุ ถาผู โจทกมีพยานหลักฐานและระบุชัดเจนวา ภิกษุทําอยางนั้นตองอาบัตินั้น แมภิกษุไมรับ พระวินัยธร กค็ วรพจิ ารณาตามรูปความและฟง คําของพยานแลวปรบั อาบัตติ ามสมควร ๒. ภิกษุน่ังในท่ีลับหูกับหญิงสองตอสอง ถามีคนท่ีควรเช่ือไดมากลาวขึ้นดวย ธรรม ๒ อยาง คือ สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย อยางใดอยางหนึ่ง ภิกษุยอมรับอยางใดใหปรับ อยา งน้ัน หรอื เขาวา จําเพาะธรรมอยา งใดใหปรบั อยางนั้น สิกขาบทนมี้ คี ําอธบิ ายเหมอื นสิกขาบทแรก ตา งกันแตน่งั ในที่ลบั หู และกลาวโทษ เพียงสังฆาทเิ สส หรือปาจติ ตยี เทา น้นั (โอกาสที่จะเสพเมถุนหรือฆามีนอย จึงไมมีการกลาวอาง วาเปนอาบตั ิปาราชิก) ภิกษุผเู ปนอาทิกัมมกิ ะใน ๒ สิกขาบทนี้ คอื พระอทุ ายี สรปุ อนิยต ทล่ี บั มี ๒ อยาง ๑. ทม่ี ีวัตถุกาํ บงั มองไมเห็น พอจะเสพเมถนุ ได เรยี กวา ทล่ี บั ตา ๒. ท่แี จง แตห างกนั จนไมส ามารถไดย ินคําทพี่ ูดได เรียกวา ที่ลบั หู วธิ ีปรบั อาบตั ิ สกิ ขาบทท้งั ๒ นี้ ไมใชอาบัติแผนกหน่ึง แตเปนแบบสําหรับพิจารณาอธิกรณเก่ียวกับ ผหู ญิง ๑. ถาไมมีผูอนื่ เปนพยาน ควรปรบั อาบัติตามคาํ ใหก ารของภิกษุ ๒. ถามีพยานหลักฐานพอเชื่อถือได แมภิกษุจะไมยอมรับ ก็ใหปรับอาบัติตาม หลักฐานนัน้ ๆ ได 250
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334