2๒5๔๙1 วชิ า วนิ ัย กณั ฑท่ี ๖ นิสสคั คิยปาจติ ตยี ๓๐ คําวา นิสสัคคิยปาจิตตีย ประกอบดวยคํา ๒ คํา คือ นิสสัคคิยะ แปลวา สิ่งของ อันควรสละ และ ปาจิตตีย แปลวา การละเมิดท่ีทําใหกุศลตกไป หมายถึง อาบัติปาจิตตีย ตองใหสละส่ิงของจึงแสดงอาบัติตก กลาวคือ ภิกษุเม่ือลวงละเมิดสิกขาบทใดสิกขาบทหน่ึงเขา แลว กอนท่ีจะแสดงอาบัติตอหนาสงฆ คณะหรือบุคคล ตองสละสิ่งของที่เปนเหตุใหตองอาบัติ เสียกอน จึงจะแสดงอาบัติตก ทรงบัญญัติข้ึนเพื่อปรับโทษแกภิกษุผูใชสอยเคร่ืองอุปโภคบริโภค เชน บาตร จีวร ผาปูนั่ง เปนตน ในทางท่ีไมเหมาะสม จัดเปน ๓ วรรค วรรคละ ๑๐ สิกขาบท ดังน้ี ก. จีวรวรรคที่ ๑ (หมวดวา ดว ยจวี ร) ๑. ภิกษุทรงอติเรกจีวรไดเพียง ๑๐ วัน เปนอยางยิ่ง ถาลวง ๑๐ วันไป ตอ งนสิ สัคคิยปาจิตตยี อตเิ รกจีวร คือ ผาท่นี อกเหนือจากผาท่ีอธิษฐานเปน ไตรจีวร มีขนาดอยางตํ่า ยาวประมาณ ๘ นิ้วพระสุคต กวางประมาณ ๔ นิ้วพระสุคต ภิกษุจะครอบครองผาอติเรกจีวรไว ไดเ ฉพาะในชว งกาลจีวร คอื ถา ภกิ ษุจาํ พรรษาแลวไมไดก รานกฐิน นบั ต้ังแต แรม ๑ คา่ํ เดือน ๑๑ ถึงขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื น ๑๒ ถา ไดก รานกฐิน จวี รกาลจะยดื ออกไปถึงข้นึ ๑๕ ค่ํา เดอื น ๔ รวม ๕ เดือน เม่ือพนเขตจีวรกาลแลว จะเก็บไวไดเพียง ๑๐ คืนเทานั้น หากเก็บไวเกินกวานี้ ตองนิสสัคคิยปาจิตตีย เวนไวแตกอนจะพนเขตกาลจีวรภิกษุไดทําวิกัปป คือ ทําใหเปนสอง เจา ของ ไมเปนอาบัติ การสละมี ๓ วิธี คอื สละแกสงฆ สละแกคณะ และสละแกบ ุคคล สิกขาบทนี้เปน อจิตตกะ แมน ับวนั ผดิ ปลอยใหลวง ๑๐ วัน ก็เปนอาบัติ ถาอติเรก จีวรสูญหายหรือพน จากการครอบครองของภิกษุกอนครบ ๑๐ วัน ไมเ ปน อาบตั ิ ภกิ ษุผูเ ปน อาทกิ ัมมกิ ะในสิกขาบทนี้ คือ พระอานนท ๒. ภกิ ษุอยูปราศจากไตรจีวร แมเพียงคืนเดียว ตองนิสสัคคิยปาจิตตีย เวนไว เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 251
๒2๕5๐2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 แตไ ดสมมติ ไตรจีวร แปลวา ผา ๓ ผืน คือ ๑) อันตรวาสก ผานุง (สบง) ๒) อุตตราสงค ผาหม (จีวร) และ๓) สังฆาฏิ ผาซอนหรือผาคลุม (ผาพาดบา) เปนผาท่ีทรงอนุญาตใหภิกษุ อธษิ ฐานเปนบรขิ ารประจําตัวตง้ั แตว นั บวช เรยี กวา จีวรอธิษฐาน หรือ ไตรครอง กไ็ ด กําหนดใหภิกษุอยูปราศจากไตรจีวรได คือ ท่ีอยูของภิกษุ เชน บริเวณวัด ในกุฏิ ซึ่งอยูในภายในสีมา ท่ีไดสมมติติจีวราวิปปวาส คือ สถานที่ท่ีอยูท่ีสมมติใหอยูปราศจาก ไตรจีวรได ไดแก ๑) สิง่ ปลูกสราง ไดแก กุฎี วิหาร ศาลา เรอื น เปนตน ถาภกิ ษุอยูรูปเดียวกําหนด เอาทัง้ หลังเปนเขต ถา อยู ๒ รูป กําหนดเฉพาะหองที่เก็บผา ถาอยูหลายรูปในหองเดียว กําหนด เอาหัตถบาส หา งจากตัวประมาณ ๑ ศอก ๒) โคนตนไม กําหนดเอาเคร่ืองลอม ถาไมมีเครื่องลอม กําหนดเอาบริเวณ เงาแดดเวลาเท่ยี ง ถา อยู ๒ รปู กําหนดเอาหัสถบาส ๓) ทแี่ จง กาํ หนดเอาหัตถบาส เงอื่ นไขท่ีภกิ ษุจะอยูปราศจากไตรจวี รได คอื ๑. จําพรรษาครบไตรมาส (๓ เดือนในพรรษา โดยไมข าดพรรษา) ๒. ไดกรานกฐนิ แลว ๓. อาพาธหนกั ไดรับสมมติ (ยกเวน ) จากสงฆ ๔. ในเขตท่ีสงฆสมมติติจีวราวปิ ปวาส เมื่ออยูนอกเขตกาลจีวร และพนเขตอานิสงสแหงกฐินแลว ภิกษุเก็บไตรจีวรไวใน ท่ีใด ตองกลับเขาไปในเขตนั้นกอนอรุณข้ึน ถาอรุณขึ้นแลวกลับเขามา ตองนิสสัคคิยปาจิตตีย เวน แตไ ดสมมติ คือ ไดร บั การตกลงจากสงฆใหอยูปราศจากไตรจีวรไดในคราวอาพาธหรือพนจาก กรรมสทิ ธิ์ของตนกอนอรณุ ขึ้น เชน ถกู ลักขโมยไป หรอื ภกิ ษถุ อนอธิษฐานกอน ไมเปน อาบัติ ๓. ถาผาเกิดข้ึนแกภิกษุ ภิกษุประสงคจะทําจีวร แตยังไมพอ ถามีที่หวังวาจะ ไดมาอีก พงึ เก็บผา นน้ั ไวไ ดเ พยี ง ๑ เดอื น เปนอยางย่ิง ถาเกบ็ ไวเ กิน ๑ เดือนไป แมถึงยัง มที ี่หวงั วาจะไดผา อยู ตองนิสสคั คิยปาจติ ตีย ผาที่เกิดข้ึนแกภิกษุในสิกขาบทน้ี หมายเอา อกาลจีวร ไดแก อติเรกจีวรท่ีไดมา นอกเขตจีวรกาลและนอกเขตอานิสงสกฐิน ซึ่งปกติภิกษุจะเก็บไวไดเพียง ๑๐ วัน (ตาม 252
2๒๕5๑3 วชิ า วนิ ัย สิกขาบทท่ี ๑) ถา ภกิ ษุประสงคจะทําจีวรตอ งทาํ ใหเ สรจ็ ภายใน ๑๐ ถาผาท่ไี ดมานั้นไมพอท่ีจะทํา ไตรจีวรผนื ใดผืนหนึง่ แตม หี วงั วา จะไดม าเพมิ่ อกี ภกิ ษุพึงเก็บผานั้นไวไดไมเกิน ๑ เดือน เพ่ือจะ ใหผา ที่ยังขาดครบบริบูรณ ถาเก็บไวเกินกําหนดน้ี แมมีหวังจะไดมาเพ่ิมอีก ตองอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย ยกเวน กอนถงึ อรณุ ท่ี ๓๑ ภกิ ษุอธษิ ฐานวกิ ปั ป หรือสละใหแกผ ูอ่นื เสียกอนไมเ ปน อาบัติ ๔. ภิกษุใชนางภิกษุณีท่ีมิใชญาติ ใหซักผาก็ดี ใหยอมผาก็ดี ใหทุบก็ดี ซ่ึงจีวร เกา ตอ งนิสสัคคิยปาจติ ตีย คาํ วา จวี รเกา หมายถงึ ผา ที่ใชนงุ หมแลว แมคราวเดยี ว คําวา ญาติ หมายถึง คนท่ีเก่ียวเนื่องกันโดยสายเลือดทางบิดาหรือมารดา เจด็ ชั่วโคตรโดยนับลาํ ดับเหนือขนึ้ ไปจากตวั เองสามช้นั และนบั ลาํ ดบั ตํ่าลงมาอกี สามชั้น รวมเปน ๗ ชั้น สวนสามี-ภรรยา เขย หรือสะใภ ถามิไดเก่ียวของกันดวยสายเลือด ๗ ชั่วโคตร ไมนับวาเปน ญาติ ภิกษุใชนางภิกษุณีท่ีมิใชญาติใหเอาจีวรเกาไปซัก หรือยอม หรือทุบอยางใด อยางหนึ่งตองนิสสัคคิยปาจิตตีย ถาใชใหทํา ๓ อยางพรอมกัน ทําอยางแรกเสร็จเปนนิสสัคคีย ทาํ ๒ อยางหลงั เสรจ็ เปนทุกกฏ ใชใหซักผาปนู งั่ ผา ปูนอน เปนอาบตั ทิ ุกกฏ ภิกษใุ ชใหซัก ยอ ม หรอื ทุบจีวรใหม หรือบรขิ ารอืน่ นอกจากจวี ร หรอื เขาทําเอง ภิกษุ ไมไดใ ช ไมเปนอาบัติ ภิกษผุ เู ปนอาทิกมั มิกะในสกิ ขาบทนี้ คือ พระอุทายี ๕. ภิกษุรับจีวรแตมือนางภิกษุณีที่มิใชญาติ ตองนิสสัคคิยปาจิตตีย เวนแต แลกเปลยี่ นกัน สิกขาบทน้ีทรงบัญญัติไวเพ่ือปองกันไมใหภิกษุเบียดเบียนนางภิกษุณีผูมีลาภ นอย ถาจะรบั ก็ทรงใหแลกเปลี่ยนดว ยของทีม่ ีราคาเทากนั ภิกษผุ เู ปน อาทิกมั มิกะในสกิ ขาบทน้ี คือ พระอทุ ายี ๖. ภกิ ษขุ อจีวรตอคฤหสั ถ ผไู มใ ชญ าติ ไมใชป วารณา (คือไมไดบอกใหขอ) ไดมา ตองนิสสัคคิยปาจิตตีย เวนไวแตสมัยท่ีจะขอจีวรได คือ เวลาภิกษุมีจีวรอันโจร ลักไปหรือ เวลาที่จีวรฉิบหาย คําวา ผูไมใชญาติ คือ ผูมิไดเกี่ยวของกันโดยสายเลือด ๗ ชั่วโคตร (มีอธิบาย เหมือนสิกขาบทที่ ๔) คําวา ไมใชปวารณา คือ คนที่มิไดออกปากบอกภิกษุใหขอวา “ถาพระคุณเจา เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 253
๒2๕5๒4 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ประสงคสง่ิ ใดสิ่งหน่ึง พงึ ขอจากขาพเจา” คาํ วา จวี ร ในทน่ี ี้ หมายถึง ไตรจีวร ภิกษุขอตอคฤหัสถที่ไมใชญาติ ไมใชปวารณา ตอ งทกุ กฏ ทกุ คร้ังที่ขอ ไดม าเปน นสิ สัคคยิ ปาจติ ตีย สกิ ขาบทน้ีเปน อจิตตกะ ตองอาบัติดวยอาการ ๓ อยา ง เรยี กวา ติกปาจติ ตยี คือ ๑. ถาเขามใิ ชญ าติ รอู ยูวามใิ ชญ าติ ๒. ถา เขามใิ ชญ าติ แตส งสยั วา เปน ญาติ ภกิ ษุขอไดมาเปน นสิ สคั คิยปาจิตตีย ๓. ถา เขามใิ ชญาติ แตเขา ใจวาเปนญาติ ถา เขาเปน ญาติ แตเ ขาใจหรือสงสยั วา ไมใ ชญ าติ ขอไดมา เปนทุกกฏ ภิกษุผูเปนอาทกิ ัมมกิ ะในสิกขาบทน้ี คือ พระอปุ นนั ทศากยบุตร ๗. ในสมัยเชนนั้น จะขอเขาไดก็เพียงผานุงผาหมเทาน้ัน ถาขอเกินกวานั้น ไดม า ตองนสิ สัคคยิ ปาจิตตีย สิกขาบทนี้มีเนื้อความตอจากสกิ ขาบทท่ี ๖ คําวา ในสมัยเชนน้ันกค็ อื ในคราวท่ีภิกษุ ถูกลกั ไตรจีวร หรือไตรจวี รชํารุดเสียหาย ดวยเหตอุ ยา งใดอยา งหนึ่ง ใชนุงหมไมได ทรงอนุญาตให ขอจากคฤหัสถท่ีไมใชญ าติ มใิ ชป วารณาได ตามกาํ หนดดังน้ี คือ ถาไตรจีวรหายหรอื ชาํ รดุ ๓ ผืน ขอไดเพียง ๒ ผืน ถาหายหรือชํารุด ๒ ผืน ขอไดผืนเดียว ถาหายหรือชํารุดผืนเดียว ไมท รงอนุญาตใหข อ ถา เกนิ กาํ หนดน้ี ตอ งทกุ กฏขณะขอ ไดมาเปน นสิ สัคคยิ ปาจิตตีย ภิกษผุ เู ปน อาทิกมั มิกะในสิกขาบทน้ี คอื พระฉพั พัคคีย ๘. ถาคฤหัสถท่ีมิใชญาติ ไมใชปวารณา เขาพูดวาเขาจะถวายจีวร แกภิกษุ ช่ือน้ี ภิกษุน้ันทราบความแลว เขาไปพูดใหเขาถวายจีวรอยางนั้นอยางนี้ ที่มีราคาแพง กวา ดกี วาทเ่ี ขากาํ หนดไวเดมิ ไดม า ตองนิสสัคคิยปาจติ ตยี ภิกษุทราบวาเขาจะถวายจีวรแกตน เขาไปพูดใหถวายจีวรที่มีราคาแพงกวา ดีกวา เขาจา ยทรัพยไ ปตามคําแนะนํา ตอ งทกุ กฏ ไดม า เปน นิสสัคคิยปาจติ ตยี ถาเขาปวารณาจะ ถวายจวี รท่ีมีราคามาก พดู ใหถ วายนอยลง ไมเปนอาบตั ิ ภิกษุผูเปนอาทิกัมมิกะในสิกขาบทน้ี คือ พระอปุ นันทศากยบุตร ๙. ถาคฤหัสถผูจะถวายจีวรแกภิกษุมีหลายคน แตเขาไมใชญาติ ไมใช ปวารณาภิกษุไปพูดใหเขารวมทุนเขาเปนอันเดียวกันใหซ้ือจีวรที่แพงกวา ดีกวาที่เขา กาํ หนดไวเดิม ไดม า ตอ งนิสสัคคยิ ปาจติ ตีย ภกิ ษรุ วู า จะมีคนถวายแกต นหลายคน จงึ เขา ไปพดู แนะนําใหเขารวมทุนกนั จัดซ้ือ จวี รทด่ี ีกวา แพงกวา ทีเ่ ขาตง้ั ใจไว ถา เขาทําตาม ตองทุกกฏ ไดม า เปน นิสสคั คิย-ปาจติ ตยี 254
2๒5๕5๓ วชิ า วนิ ัย ภกิ ษุผเู ปนอาทิกัมมกิ ะในสิกขาบทน้ี คอื พระอุปนันทศากยบุตร ๑๐. ถาใคร ๆ นําทรัพยมาเพ่ือจายคาจีวรแลวถามภิกษุวา ใครเปนไวยาวัจกรของ เธอ ถา ภกิ ษตุ อ งการจีวร ก็พงึ แสดงคนวัดหรอื อบุ าสกวา ผนู ้ีเปน ไวยาวัจกรของภิกษุท้ังหลาย ครน้ั เขามอบหมายไวยาวัจกรน้ันแลว สั่งภิกษุวา ถาตองการจีวรใหเขาไปหาไวยาวัจกร ภิกษุ นั้นพึงเขาไปหาเขาแลวทวงวา เราตองการจีวรดังนี้ ได ๓ คร้ัง ถาไมไดจีวรไปยืนแตพอเขา เห็นได ๖ ครัง้ ถา ไมไ ด ขนื ทวงเกิน ๓ ครง้ั ยนื เกิน ๖ คร้งั ไดมา ตอ งนสิ สัคคิยปาจติ ตีย ถาไปทวงและยืนครบกําหนดแลวไมไดจีวร จําเปนตองไปบอกเจาของเดิมวา ของนั้นไมส าํ เร็จประโยชนแ กตน ใหเขาเรียกเอาของเขาคืนมาเสยี ในการยืนน้ัน ทานใหยืนนิ่ง ๆ ใหเขาเห็น ไมพึงน่ังบนอาสนะ ไมพึงรับอามิส (ของถวาย) ไมพ งึ กลาวธรรมะ เม่ือเขาถามวา “มาธรุ ะอะไร” พึงกลาววา “ทานจงรูเองเถิด” ถานั่ง บนอาสนะ หรือรบั อามสิ หรอื กลา วธรรม ชอื่ วา ตัดโอกาสแหงการยืน คอื ไมนบั วายนื ทวง ๑ ครง้ั เทากับยนื ๒ ครัง้ ยนื ๒ คร้ัง เทากับทวง ๑ ครั้ง ภิกษุยืนทวงตามอัตรานี้ ไดมาไมเปนอาบัติ ถาไมไดตองบอกแกเจาของเดิม ถา ไมบอก ตองทุกกฏ เพราะวัตตเภท คือ ละเลยกิจวัตร ถายืนและทวงเกินกําหนด ไดมาตอง นสิ สคั คยิ ปาจติ ตีย ภกิ ษผุ เู ปน อาทิกมั มิกะในสิกขาบทนี้ คอื พระอปุ นันทศากยบุตร ข. โกสยิ วรรคที่ ๒ (หมวดวา ดว ยสนั ถตั ) ๑. ภิกษุหลอ สนั ถตั ดว ยขนเจียมเจอื ดว ยไหม ตองนิสสัคคิยปาจิตตยี สันถัต คือ อาสนะสําหรับรองน่ังชนิดหน่ึงท่ีใชกรรมวิธีการหลอ ไมใชทอ เหมือนกับผา ชนดิ อื่น คอื นาํ ขนเจยี ม (ขนสัตวป ระเภทกวาง เชน ขนแพะ ขนแกะ เปนตน) ปูลาด ลงแลวเอานํ้าขาวหรือของอื่นท่ีมียางเหนียวพอจะใหขนเจียมจับกันพรมลงบนขนเจียม แลวนํา ขนเจียมมาทับลงอีก เสร็จแลว ใชเคร่อื งรดี หรือทับ ทาํ ใหเปนแผน หนาหรือบางตามตองการ ภิกษุทําเองก็ดี ใชใหผูอื่นทําก็ดี ซ่ึงสันถัตเจือดวยไหมตั้งแตเริ่มทําจนเสร็จ หรือ ทาํ คางไวแลว ใชผอู ่นื ทาํ ตอ จนเสร็จ หรือใชผูอ่ืนใหทําคางไวตนทําตอจนเสร็จ เปนนิสสัคคิยปาจิตตีย หลอทําอยางอ่ืน นอกจากสันถัต เจือดวยไหม เปนทุกกฏ สิกขาบทน้ีมีจุดมุงหมายเพื่อปองกัน มใิ หต ัวไหมตอ งถกู ตม เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 255
เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 256 256
2๒5๕7๕ วชิ า วนิ ยั ภิกษผุ เู ปน อาทิกัมมกิ ะในสิกขาบทน้ี คอื พระฉพั พัคคีย ๘. ภิกษุรับเองก็ดี ใชใหผูอ่ืนรับก็ดี ซึ่งทองและเงิน หรือยินดีทองและเงินที่เขา เก็บไวเพอื่ ตน ตองนิสสคั คิยปาจิตตยี ทอง หมายเอา ทองคาํ แทง และทองคําทีท่ าํ เปนรูปพรรณ เชน ทําเปนสรอยคอ กําไล แหวน เครือ่ งประดบั ตาง ๆ เงิน หมายเอา เงินแทที่ทําเปนรูปพรรณ หรือยังไมทําเปนรูปพรรณและเงิน ประเภทตาง ๆ ท่ีมีการกําหนดราคาสําหรับใชจายซื้อขาย ถูกตองตามกฏหมาย เชน เงินบาทไทย เงินดอลลา ร เงินปอนด เงินกีบ เปนตน ทองและเงินดังท่ีกลาวมานี้ ทางวินัยเรียกวา รูปยะ จัดเปนวัตถุอนามาส ภิกษุ ไมควรจับตอง ถาจับตองเปนทุกกฏ ภิกษุรับหรือใชใหผูอื่นรับเอามาเปนของตน หรือยินดี คือ ถือกรรมสิทธ์ิเปนเจาของของนั้นเปนนิสสัคคีย ตองสละแกสงฆ สงฆพึงสละใหแกคฤหัสถผูใดผู หน่งึ ถาเขาไมรบั พึงใหเธอชวยท้ิง ถาเธอไมช วย สงฆพ งึ สมมติภกิ ษรุ ปู หนง่ึ เปน ผทู ง้ิ อาบัติในสิกขาบทน้ีเปนอจิตตกะ ไมรูก็เปนอาบัติ ถามีคฤหัสถนํารูปยะมามอบ ใหแกไวยาวัจกร แลวพูดวา “จงจัดหาของอันเปนกัปปยะ ถวายภิกษุ” ภิกษุยินดีในของท่ี เขาซ้ือถวายไมเ ปน อาบตั ิ แตห ามยินดใี นรูปยะนน้ั ภกิ ษพุ บทองและเงินตกอยใู นวดั ใหคนอื่นเก็บ ไวเพือ่ คืนเจาของไมเ ปนอาบัติ ถา ไมใหเก็บตอ งทุกกฏ ภกิ ษผุ เู ปนอาทิกัมมกิ ะในสิกขาบทนี้ คอื พระอปุ นนั ทศากยบุตร ๙. ภิกษุทําการซ้ือขายรูป ยะ คือ ของท่ีเขาใช เปนทองและเงิน ตอง นิสสคั คิยปาจิตตีย ทําการซ้ือขายรูปยะ หมายถึง การเอารูปยะกับรูปยะแลกเปลี่ยนกันหรือซ้ือขาย กนั เชน เอาเงินซอ้ื ทอง หรอื เอาทองแลกกับทอง เปนตน แตมตขิ องสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส หมายถงึ การเอารปู ย ะ จายซ้ือกัปปยบริขาร (ของท่ีควรใชสอย) ตาง ๆ ก็ดี จายเปนคาแรงคนทํางานตาง ๆ ก็ดี หรือจาย เปน คาอ่นื ๆ กด็ ี ชอื่ วา ทําการซอื้ ขายดวยรูปยะ ภิกษใุ ชธนบัตรซอื้ ของตามรานคา จัดเขาในสกิ ขาบทนด้ี วย รูปยะ หรือของที่ไดมาดวยการซื้อขายแลกเปล่ียนเชนน้ี เปนนิสสัคคีย ตองสละ แกส งฆ วิธสี ละเหมอื นสกิ ขาบทท่ี ๘ ภกิ ษุผเู ปนอาทิกัมมกิ ะในสกิ ขาบทนี้ คือ พระฉัพพคั คยี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 257
2๒๕5๖8 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๑๐. ภิกษแุ ลกเปลี่ยนสง่ิ ของกบั คฤหัสถ ตองนิสสัคคิยปาจิตตีย คําวา แลกเปล่ียนส่ิงของ คือ การแลกเอาหรือรับเอาของเปนกัปปยะ ดวยของเปน กัปปย ะเหมอื นกนั ไดม า เปน นสิ สัคคยี ตองสละแกส งฆแกค ณะหรือแกบ ุคคลก็ได ภิกษุผเู ปนอาทกิ มั มิกะในสิกขาบทน้ี คือ พระอปุ นันทศากยบุตร ค. ปต ตวรรคที่ ๓ (หมวดวาดว ยบาตร) ๑. บาตรนอกจากบาตรอธษิ ฐาน เรียกวา อติเรกบาตร อติเรกบาตรนั้น ภิกษุเก็บ ไวไ ดเพยี ง ๑๐ วนั เปน อยา งย่งิ ถา ใหลว ง ๑๐ วนั ไป ตอ งนสิ สัคคยิ ปาจิตตีย บาตรทที่ รงอนญุ าตใหใ ชม ี ๒ ชนิด คอื บาตรเหล็กและบาตรดนิ เผา มี ๓ ขนาด คอื ๑. ขนาดเลก็ ใสข า วเต็มบาตร ภิกษรุ ปู เดียวฉันอม่ิ ๒. ขนาดกลาง จขุ าวเตม็ บาตร ภกิ ษุ ๒ รปู ฉันอม่ิ หรือใสผา สงั ฆาฏไิ ด ๓. ขนาดใหญ จุขาวเต็มบาตร ภิกษุ ๔ รูป ฉนั อมิ่ บาตรทรงอนุญาตใหอธิษฐานมีไดใบเดียว เรียกวา บาตรอธิษฐาน นอกน้ัน จัดเปนอติเรกบาตร ทรงอนุญาตใหเก็บไวได ๑๐ วัน ถาเกิน ๑๐ วันไป เปนนิสสัคคีย ยกเวนแตได วกิ ปั ปหรือบาตรน้ันหาย หรอื ภิกษขุ าดกรรมสิทธ์ิ กอนครบ ๑๐ วัน ไมเปน อาบตั ิ ภกิ ษผุ ูเ ปน อาทกิ ัมมิกะในสิกขาบทน้ี คือ พระฉัพพัคคยี ๓. ภิกษุรับประเคนเภสัชทั้ง ๕ คือ เนยใน เนยขน นํ้ามัน น้ําผ้ึง น้ําออย แลว เก็บไวฉนั ไดเพยี ง ๗ วนั เปนอยา งย่ิง ถา ลว ง ๗ วนั ไป ตองนสิ สคั คิยปาจติ ตีย เภสัชทั้ง ๕ นั้น ถาเก็บไวนานเกินไปจะกลายเปนของเสีย เม่ือนํามาบริโภคแลว จะทําใหทองเสีย แมไมบริโภคเก็บไวก็จะมีกล่ินหื่น ทําใหท่ีอยูสกปรก ดวยเหตุนี้จึงทรงบัญญัติ หา มมิใหเ ก็บเภสชั ไวเ กนิ ๗ วัน เภสชั ที่เปน นิสสัคคียภกิ ษุสละแลว มีผูนํากลับมาถวายอีก ไมทรง อนญุ าตใหฉนั แตใ หน าํ ไปทําอยางอ่นื เชน ใชเปน เชอื้ ไฟทาแผล เปนตน ไมทรงหา ม อน่ึง เภสัชทั้ง ๕ นั้น ถาภิกษุรับประเคนไวเพ่ือบริโภคเก็บไวได ๗ วัน เกินน้ันเปน 258
2๒5๕๗9 วชิ า วนิ ยั นิสสัคคยี ถา รบั เพ่อื ทาํ อยา งอ่นื เกบ็ ไวเ กินกวา น้นั ไมเปนอาบตั ิ ภิกษุผเู ปน อาทกิ ัมมกิ ะในสิกขาบทน้ี คอื พระปลันทวัจฉะ ๔. เม่ือฤดูรอนยังเหลืออยูอีก ๑ เดือน คือ ต้ังแตแรม ๑ คํ่า เดือน ๗ จึงแสวงหา ผาอาบนํ้าฝนได เม่ือฤดูรอนยังเหลืออยูอีกกึ่งเดือน คือ ตั้งแตขึ้น ๑ ค่ํา เดือน ๘ จึงทํานุงได ถา แสวงหรือทํานุงใหล้ํากวากําหนดนน้ั เขา มา ตองนสิ สคั คิยปาจติ ตีย ผาอาบน้ําฝนนั้น จัดเปนบริขารพิเศษช่ัวคราวของภิกษุท่ีทรงอนุญาตใหอธิษฐาน ใชไดตลอด ๔ เดือน ของฤดูฝน ถาพน ฤดูฝนไปแลว ตอ งวกิ ปั ป ภกิ ษผุ ูเปน อาทิกมั มกิ ะในสกิ ขาบทนี้ คือ พระฉัพพัคคยี กําหนดเวลาเกย่ี วกบั ผาอาบนา้ํ ฝน ดงั น้ี - ต้ังแตแรม ๑ คํ่า เดือน ๘ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ํา เดือน ๘ (๓๐วันกอนถึงฤดูฝน) เปน เขตแสวงหา - ต้ังแตข้ึน ๑ คํ่า เดือน ๘ ถึงข้ึน ๑๕ คํ่า เดือน ๘ (๑๕ วันกอนถึงฤดูฝน) เปน เขตใหท ํานุง หมายถึง การเย็บ ยอม พนิ ทุ นุง แตย ังอธิษฐานเปนผาอาบนา้ํ ฝนไมไ ด - ตั้งแตแ รม ๑ คํา่ เดอื น ๘ ถึง ขึน้ ๑๕ ค่ํา เดือน ๑๒ ตลอดฤดูฝนใหอธิษฐาน ใชพนจากน้ีใหวกิ ัปป สิกขาบทน้ีเปนอจิตตกะ ภิกษุสําคัญวาถึงแลวดวยนับพลาดไป แสวงหา ผา อาบน้ําฝนในท่อี ยูของคฤหสั ถท มี่ ิใชญาติมิใชปวารณา แมเ ชน นี้ก็เปน อาบตั ิ ๕. ภิกษุใหจีวรแกภิกษุอ่ืนแลว โกรธ ชิงเอาคืนมาเองก็ดี ใชใหผูอื่นชิงมาก็ดี ตอ งนิสสัคคิยปาจติ ตยี การชิงเอาจีวรคืนเชนนี้ ไมจัดเปนอวหาร การลักขโมย เพราะภิกษุชิงเอาดวย สกสัญญา คือ สําคัญวาเปนของของตน และทานถือวาภิกษุรูปเดิมนั้น ยังมีกรรมสิทธ์ิ ครอบครองอยู หากจีวรท่ีชิงเอามาน้ันมีราคาเกิน ๕ มาสก ก็คงเปนนิสสัคคิยปาจิตตีย ไมเปน ปาราชิก ภิกษุใหบริขารอยางอ่ืนนอกจากจีวรแลว ชิงเอาคืนก็ดี ชิงเอาของท่ีตนใหทุกประเภทจาก อนปุ สัมบนั กด็ ี เปน ทกุ กฏ ภกิ ษุผเู ปน อาทิกัมมิกะในสิกขาบทน้ี คือ พระอปุ นนั ทศากยบุตร ๖. ภิกษุขอดายตอคฤหัสถทีไ่ มใ ชญ าติ ไมใชปวารณา เอามาใหชางหูกทอจีวร ไดมา ตอ งนสิ สัคคยิ ปาจิตตีย ภิกษุผเู ปน อาทิกมั มิกะในสกิ ขาบทน้ี คอื พระฉพั พัคคยี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 259
2๒๕6๘0 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๗. ถาคฤหัสถที่ไมใชญาติ ไมใชปวารณา สั่งใหชางหูกทอจีวร เพ่ือถวายแกภิกษุ ถาภิกษไุ ปกาํ หนดใหเขาทําใหด ขี ึ้นดวยจะใหรางวลั แกเขา ตอ งนสิ สคั คยิ ปาจิตตีย ภกิ ษผุ เู ปนอาทิกมั มกิ ะในสิกขาบทน้ี คอื พระอปุ นันทศากยบุตร ๘. ถา อีก ๑๐ วัน จะถึงวนั ปวารณา คือ ตั้งแตข้ึน ๖ คํ่า เดือน ๑๑ ถาทายก รีบจะ ถวายผา จํานาํ พรรษากร็ บั เก็บไวไ ด แตถาเกบ็ ไวเ กนิ กาลจวี รไป ตอ งนิสสัคคยิ ปาจิตตีย กาลจีวร คือ ถาจําพรรษาแลว ไมไดกรานกฐิน นับแตวันปวารณาไป เดือนหน่ึง คือ ตั้งแตแ รม ๑ คํ่า เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒ ถาไดก รานกฐนิ นบั แตวันปวารณา ไป ๕ เดอื น คือ ต้ังแตแ รม ๑ คํา่ เดอื น ๑๑ ถงึ กลางเดอื น ๔ ผาจํานําพรรษา คือ ผาท่ีทายกถวายแกภิกษุจําพรรษาครบไตรมาสแลวในชวง จวี รกาล เรียกวา ผาวสั สาวาสิกา ผาจํานําพรรษาหรือผาวัสสาวาสิกา ถาหากทายกมีความจําเปน เชน จะไปทัพ จะยายท่ีอยู เจ็บไข เปนตน จะถวายแกภิกษุกอนจะถึงกอนวันออกพรรษา ๑๐ วัน ทรงอนุญาต ใหร บั กอนได เรียกวา อจั เจกจวี ร คือ จวี รเรงดวนหรอื ผาทีเ่ ขาดว นถวาย อัจเจกจีวรน้ี ภิกษุเก็บไวไดตลอดกาลจีวร โดยไมตองวิกัปป ถาพนเขตกาลจีวร แลว ไมวิกัปป ผา นั้นเปน นิสสคั คีย ตอ งสละเสยี ๙. ภิกษุจําพรรษาในเสนาสนะปาซ่ึงเปนที่เปลี่ยว ออกพรรษาแลวอยากจะเก็บ ไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งไวในบาน เมื่อมีเหตุเก็บไวไดเพียง ๖ คืน เปนอยางยิ่ง ถาเก็บไว เกินกวานน้ั ตอ งนิสสคั คยิ ปาจิตตยี เวน ไวแ ตไ ดสมมติ เสนาสนะปา คือ เสนาสนะท่ีตั้งอยูหางไกลจากบาน ๕๐๐ ช่ัวธนู เทากับ ๒๕ เสน (๑ กิโลเมตร) จดั เปนเขตปา ในวินัยสงฆ ภิกษุท่ีอยูในปาเชนน้ี มักถูกโจรปลน ฉะนั้น จะทรงอนุญาตใหภิกษุเก็บไตรจีวร ผืนใดผืนหน่ึง ในบาน ๖ ราตรี ซ่ึงตามปกติ ภิกษุจะอยูปราศจากไตรจีวรไดเพียงราตรีเดียว (ตามสกิ ขาบทที่ ๒ จีวรวรรค) และสิกขาบทน้ีทรงอนุญาตเฉพาะเมื่อมีเหตุจําเปนเทาน้ัน ถาเก็บไว หรือปราศจาก ๖ ราตรี ผาน้นั เปนนสิ สัคคีย ตอ งสละเสีย ๑๐. ภกิ ษรุ ูอยู นอ มลาภท่เี ขาจะถวายสงฆมาเพ่ือตน ตองนิสสคั คยิ ปาจิตตีย ปจ จยั ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ เภสัช และกัปปยภัณฑอ่ืน ๆ ชื่อวา ลาภ ภิกษรุ อู ยวู า ลาภนั้นเขาตั้งใจนาํ ถวายแกส งฆ นอ ม คอื เอยปากขอตรงๆ ก็ดี พดู เลียบเคียงใหเ ขา 260
2๒๕6๙1 วชิ า วนิ ยั เปล่ยี นใจถวายตนแทนก็ดี ในขณะท่ีพดู เปนอาบตั ทิ ุกกฏ ถา ไดล าภน้นั มา ตองนสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ภิกษุนอมลาภเชนนั้นใหแกภิกษุอ่ืน เปนปาจิตตีย (ตามสิกขาบทที่ ๑๒ สหธรรมมกิ วรรคปาจติ ตยี ) นอ มลาภเชน นใ้ี หสงฆแ กห มูอื่นหรือแกเจดีย เปน ทกุ กฏ นอมลาภท่ีถวายเจดยี หรอื ถวายแกบคุ คลใหสับกันเสยี เปน ทุกกฏ สิกขาบทนี้เปนสจิตตกะ ไมเปนอาบัติแกผูไมรู ถาสงสัยแลวขืนทําเปนอาบัติ ทุกกฏ เขาปรึกษาใหค ําแนะนาํ ไมเปนอาบัติ ภิกษผุ เู ปนอาทิกัมมกิ ะในสกิ ขาบทนี้ คอื พระฉัพพคั คยี นสิ สคั คียปาจติ ตยี ๓๐ สกิ ขาบทน้ี ทานจดั เปน ๓ หมวด คอื หมวดที่ ๑ เปนนิสสัคคียโดยวัตถุ ตองสละแกสงฆ และสละเสียแลว จะนํามา ใชอีกไมได หมวดท่ี ๒ เปน นสิ สัคคยี โดยอาการของภิกษุ หมวดท่ี ๓ เปนนิสสคั คียโดยลวงเวลา ของที่เปนนิสสคั คยี โดยอาการและโดยลว งเวลา สละแกคณะหรือแกบุคคลก็ได เมื่อสละแลว นํากลับมาใชอีกได ยกเวนสิกขาบทที่ ๒ แหงปตตวรรค บาตรท่ีขอตอคนท่ี ไมใชญ าติ ไมใชป วารณา ตอ งสละแกสงฆ ของที่เปนนิสสัคคีย แตสญู หายไป ภกิ ษุแสดงแตอาบตั ิก็พน ได เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 261
2๒๖6๐2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 กัณฑที่ ๗ ปาจิตตีย ๙๒ คําวา ปาจิตตีย แปลวา การลวงละเมิดที่ทําใหกุศลจิตกลาวคือกุศลธรรมของผู จงใจลวงละเมิดใหตกไป หมายถึง ส่ิงท่ีทําใหจิตใจตกตํ่า เม่ือจิตใจตกต่ําก็ทําใหดําเนินทางผิด ตออริยมรรค ปาจิตตียจ ัดเปน อาบัติทีม่ ีสิกขาบทมากทส่ี ุดในบรรดาอาบัตทิ ั้งหลาย จดั เปนลหุกาบัติ มีโทษเบา และจัดเปนสเตกิจฉา ยังแกไขได ภิกษุตองเขาแลว ตองแสดงอาบัติตอหนาสงฆ ตอหนาคณะ หรือบุคคลอยางใดอยางหนึ่งก็พนได เรียกช่ืออีกอยางหน่ึงวา สุทธิกปาจิตตีย แปลวา ปาจิตตียล ว น ๆ ไมเ กย่ี วดว ยสิ่งของ มที ั้งหมด ๙ วรรค ๙๒ สิกขาบท ดังนี้ ๑. มุสาวาทวรรค หมวดวาดวยพดู ปด ๑. ภกิ ษุพูดปด ตอ งปาจิตตยี คาํ วา พดู ปด หมายถึง การกลาวเท็จทง้ั ท่ีรตู ัวอยู มี ๒ ลักษณะ คอื ๑) เรื่องจริงแตภิกษุจงใจพูด เขียน หรือแสดงทาทางอยางใดอยางหน่ึง ใหเขา เขาใจคลาดเคลอ่ื นจากความเปน จริง ชือ่ วา พูดปด ๒) ภิกษุรับคําของผูอ่ืนดวยความจริงใจ ภายหลังทําไมไดตามที่พูด เรียกวา “ปฏิสสวะ” ฝนคําที่รับปากเขาไว ปรับทุกกฏ ภิกษุพูดพล้ัง คือ พูดไปโดยไมทันยั้ง (ไมทันคิด) พดู พลาด คอื พูดดว ยความเขาใจผิดไมเปน อาบัติ ภกิ ษุผูเปนอาทกิ มั มกิ ะในสกิ ขาบทน้ี คอื พระหตั ถกศากยบตุ ร ๒. ภกิ ษดุ า ภิกษุ ตองปาจิตตีย คําดา หรือ โอมสวาท คือ คําพูดที่เสียดแทงใหผูอื่นเกิดความเจ็บใจ ซ่ึงมี ลักษณะ ๒ อยาง คือ ๑)แกลงพูดยกยอประชดประชัน ๒)พูดเหยียดหยาม กดใหตํ่าลงดวยคํา หยาบ ท้ัง ๒ อยา งนี้ ช่อื วา ดา ในสกิ ขาบทน้ี อักโกสวัตถุ คือ เร่ืองสําหรับยกข้ึนดา มี ๑๐ อยาง คือ ๑.ชาติกําเนิด ๒.ช่ือ ๓.โคตร ๔.การงาน ๕.ศลิ ปะ ๖.โรค ๗.รปู พรรณ ๘.กเิ ลส ๙.อาบตั ิ ๑๐.คาํ สบประมาทตา ง ๆ 262
2๒6๖3๑ วชิ า วนิ ัย ภิกษุดาภิกษุโดยเจาะจงตัวเปนปาจิตตีย ไมเจาะจงตัวเปนทุกกฏ ดาแตมุงจะ ลอเลนเปนทุพภาสติ (อาบัตทิ พุ ภาสติ มเี ฉพาะในสกิ ขาบทนีเ้ ทา น้ัน) ภิกษผุ ูเปนอาทกิ มั มิกะในสกิ ขาบทน้ี คอื พระฉัพพคั คีย ๓. ภกิ ษพุ ูดสอ เสียดภิกษุ ตอ งปาจิตตยี ภิกษุจงใจพูดยุแหยใหผูอ่ืนแตกคอกัน เชน นําคําของฝายหนึ่งไปพูดใหอีกฝายหน่ึง ฟง แลว นําคําของฝา ยหลังกลบั ไปพูดใหฝา ยแรกฟง จนทาํ ใหเขาแตกสามัคคี ชอ่ื วา พูดสอเสียด ภิกษุสอเสียดภิกษุกับภิกษุใหแตกคอกัน เปนปาจิตตีย ถาฝายหน่ึงเปนภิกษุ อกี ฝา ยหน่ึงไมใ ชภิกษุ หรอื ไมใชภิกษุท้งั ๒ ฝาย เปนทุกกฏ พดู โดยไมไ ดตง้ั ใจจะใหเขาแตกแยก กนั ไมเ ปนอาบตั ิ ภิกษุผูเปนอาทิกัมมกิ ะในสิกขาบทนี้ คือ พระฉพั พคั คยี ๔. ภิกษุสอนธรรมแกอ นปุ สมั บนั ถาใหเขาวาพรอมกนั (กบั ตน) ตองปาจิตตยี อนุปสัมบัน คือ ผูท่ีไมไดรับการอุปสมบทเปนพระภิกษุหรือภิกษุณี ไดแก สามเณร สามเณรี และอุบาสก อุบาสกิ า ทงั้ ชายหญงิ ภกิ ษสุ อนอนุปสมั บนั ใหก ลา วธรรมเปน บท ๆ พรอมกับตนไมวาจะวาพรอมกันท้ังบท หรอื วาพรอมกันบางสว น คอื วา พรอมกนั หนึง่ อักขระ หรอื หนึง่ พยัญชนะ ตองปาจติ ตีย ภิกษุผูเปน อาทกิ มั มิกะในสกิ ขาบทน้ี คือ พระฉพั พัคคีย ๕. ภกิ ษนุ อนในทีม่ งุ ท่บี งั อนั เดียวกนั กบั อนปุ สมั บันเกนิ ๓ คืน ตองปาจิตตยี คําวา นอนรวม หมายถึง นอนในเคร่ืองลาดอันเดียวกัน หรือนอนในหอง เดยี วกนั ซ่งึ สามารถมองเห็นกนั ไดในเวลานอน สิกขาบทนี้ ทรงบัญญัติข้ึนเพื่อไมใหอนุปสัมบันเห็นกิริยานาเกลียดของภิกษุ ในขณะนอนหลับ เบื้องตน ทรงหามเด็ดขาดแตภายหลังจึงทรงผอนผันใหนอนรวมไดไมเกิน ๓ คืน ถานอนเกินกวาน้ี คือ แสงอรุณของวันท่ี ๔ ข้ึนไป ตองปาจิตตีย ถาออกไปกอนสวางและ กลบั มาเมอื่ สวา งแลว ไมเปนอาบัติ สกิ ขาบทนีเ้ ปน อจิตตกะ แมน บั ราตรพี ลาดกเ็ ปน อาบัติ อนุปสัมบันในสกิ ขาบทน้หี มายเอาเฉพาะผชู ายเทานน้ั ภิกษุผูเ ปนอาทิกัมมิกะในสิกขาบทนี้ คอื ภกิ ษุชน้ั นอกเมอื งอานงั วี ๖. ภิกษุนอนในที่มุงที่บงั อนั เดียวกับผหู ญิง แมค นื แรก ตองปาจิตตีย เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 263
๒2๖6๒4 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 หญิงในสิกขาบทนี้หมายเอาหญิงมนุษยต้ังแตแรกเกิด ภิกษุนอนรวมกับผูหญิง ไมว าจะนอนพรอ มกันกด็ ี นอนคนละครัง้ ก็ดี นอนแลวลกุ ขน้ึ แลวกลบั มานอนกด็ ี ตอ งปาจิตตีย ภกิ ษผุ เู ปนอาทิกมั มิกะในสิกขาบทน้ี คอื พระอนุรุทธะ ๗. ภิกษุแสดงธรรมแกหญิงเกิน ๖ คําขึ้นไป ตองปาจิตตีย เวนไวแตมีบุรุษผูรู เดียงสาอยดู ว ย หญงิ ในท่นี ห้ี มายเอาหญงิ มนษุ ยผ ูร เู ดยี งสาพอรเู ขาใจเน้อื ความได วรรคหน่งึ ๆ เรียกวา ๑ บาท และ ๑ บาท เทากับ ๑ คํา ๔ บาท/คํา เปน ๑ คาถา ภิกษุ แสดงธรรมเกิน ๖ คาํ คอื เกนิ ๖ บาท (เกิน ๑ คาถา กับ ๒ บาท) แกหญิงคนเดียวหรือหลายคน ท่ีไมมผี ูชายรูเดียงสาอยูดว ย ตอ งปาจติ ตยี ๘. ภิกษุบอกอุตตริมนุสสธรรมทม่ี ีจริงแกอนุปสัมบัน ตองปาจิตตีย การอวดอุตตริมนุสสธรรมท่ีตนมี เปนปาจิตตีย เพราะทานถือวาการโออวดเปน มลทินแหงพรหมจรรย ภิกษผุ ูเ ปน อาทกิ มั มกิ ะในสิกขาบทนี้ คอื ภิกษวุ ัคคมุ ทุ า ๙. ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่นแกอนุปสัมบัน ตองปาจิตตีย เวนไวแต ไดสมมติ อาบัติชั่วหยาบในสิกขาบทนี้ คือ อาบัติปาราชิกและสังฆาทิเสส ทรงบัญญัติไว เพอื่ ปองกันไมใ หภ กิ ษเุ อาความเสยี หายของภิกษุดวยกนั ไปประจานแกผูอ่ืน บอกอาบตั ิชั่วหยาบเปน ปาจิตตีย บอกอาบัตินอกนี้ เปน ทกุ กฏ อน่ึง แมภิกษุผูไดรับสมมติใหบอก ก็บอกไดเฉพาะเทาที่สงฆกําหนดเทานั้น คือ สงฆมอบหมายใหบอกอยางไร บอกแกใ คร ตอ งบอกอยา งนัน้ แกค นนั้น ภกิ ษผุ เู ปนอาทิกัมมิกะในสกิ ขาบทน้ี คือ พระฉัพพคั คยี ๑๐. ภิกษขุ ุดเองก็ดี ใชใ หผ ูอ ่นื ขุดกด็ ี ซงึ่ แผน ดนิ ตอ งปาจติ ตยี ในคัมภีรว ิภังคจําแนกแผนดินไว ๒ ประเภท คือ ๑) แผนดนิ แท (ชาตปฐพี) ไดแ ก ดนิ ลวน ไมม กี รวด หิน ทราย หรือของอ่ืนปน หรือ มีบางก็เพยี งบางสวน ๒) แผนดนิ ไมแท (อชาตปฐพ)ี ไดแ ก หิน ทราย หรอื กรวดลวน ๆ หรือมีดินปน นดิ หนอย ภกิ ษขุ ุดชาตปฐพจี งึ เปนอาบตั ิ ขุดอชาตปฐพไี มเ ปนอาบัติ 264
2๒๖6๓5 วชิ า วนิ ัย ๒. ภตู คามวรรค หมวดวา ดว ยการพรากภูตคาม ๑. ภิกษุพรากของเขยี วซง่ึ เกดิ อยูกบั ท่ี ใหห ลดุ จากที่ ตอ งปาจติ ตยี ของเขียวในสิกขาบทน้ี เรียกช่ือวา ภูตคาม หมายเอา ตนไมและพืชพันธุตางๆ ที่ เกดิ อยูกับท่ี ๕ ชนดิ คือ ๑. พืชทข่ี ยายพนั ธดุ ว ยเหงา หรอื หวั เชน ขม้นิ ขิง ขา เปนตน ๒. พืชทข่ี ยายพนั ธจุ ากลาํ ตน ดว ยการตอนกง่ิ หรอื ไปปลกู ได เชน ตนโพธิ์ตนไทร ๓. พืชทขี่ ยายพันธุดว ยตาหรือขอ เชน ออย มนั สาํ ปะหลงั ไมไผ เปนตน ๔. พชื ทีข่ ยายพันธดุ วยยอด เชน ผกั บงุ ลอม แมงลัก กะเพรา เปนตน ๕. พืชท่ขี ยายพนั ธดุ วยเมล็ด เชน ขาว ถ่ัว งา เปนตน ภิกษุ พราก คือ ขุด ถอน ตัดกิ่ง เด็ดยอด ของภูตคาม ท่ีเกิดอยูกับท่ีเองก็ดี ใชค นอืน่ พรากก็ดี ตอ งปาจิตตยี พรากพีชคาม คือ พืชพันธุอันถูกพราก จากท่ีแลวแตยังจะปลูก ไดอีก เปนทกุ กฏ ภิกษุผเู ปน อาทกิ มั มกิ ะในสิกขาบทน้ี คือ ภิกษุชาวเมืองอาฬวี ๒. ภิกษุประพฤติอนาจาร สงฆเรียกตัวมาถาม แกลงพูดกลบเกลื่อนก็ดี นิ่ง เสยี ไมพูดก็ดี ถาสงฆสวดประกาศหา มขอ ความนัน้ จบ ตอ งปาจิตตีย คําวา ภิกษุประพฤติอนาจาร คือ ประพฤติไมดีไมงามไมเหมาะสมแกสมณเพศ แยกเปน ๓ ประเภท คือ ๑. การเลนตา ง ๆ เชน เลนเหมอื นเด็ก ๒. การรอ ยดอกไม ๓. การเรยี นดิรจั ฉานวชิ า เชน ใบหวย ทาํ เสนห เปนตน ภกิ ษปุ ระพฤตอิ นาจารแลว ถูกซักถามในทามกลางสงฆ ไมใหการตามตรง กลับพูด เรื่องอ่นื กลบเกล่อื นเสีย ทรงอนญุ าตใหสงฆสวดอญั ญาวาทกรรม หรอื วเิ สสกกรรมแกเธอ หรือ เม่ือถูกซกั ถามแลว กลบั นิ่งเสยี ไมพดู ทรงอนุญาตใหสวดอเวหสกรรมแกเธอ ถาสงฆสวดประกาศ อยา งใดอยางหนึ่งจบ เปนปาจิตตีย ภกิ ษุประพฤตอิ นาจาร แตส งฆยงั ไมไดส วดกรรม เปนทกุ กฏ สิกขาบทน้ีทรงบัญญัติขึ้น เพื่อเปนแบบสําหรับไตสวนอธิกรณ ท่ีจําเลย ใหการโยกโย หรอื นั่งน่งิ ทําใหสงฆผพู จิ ารณาลําบากในการสอบสวน ภกิ ษผุ ูเ ปน อาทิกมั มิกะในสกิ ขาบทน้ี คือ พระฉันนะ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 265
๒2๖6๔6 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๓. ภิกษุติเตียนภิกษุอื่นท่ีสงฆสมมติ (แตงต้ัง) ใหเปนผูทําการกสงฆ ถาเธอทํา โดยชอบ ตเิ ตยี นเปลา ๆ ตองปาจิตตีย ภิกษุอื่นที่สงฆสมมติ หมายถึง ภิกษุผูมีความสามารถท่ีสงฆสมมติ คือ ลงมติ แตง ตั้งใหทาํ กิจสงฆซึง่ เปน ธรรมเนียมของสงฆที่จะแตงตั้งใหภิกษุรูปใดรูปหนึ่งรับทํากิจของสงฆ ถาภิกษุผูไดรับสมมตินั้นทําหนาที่ไดถูกตองชอบธรรมแลว แตภิกษุบางรูปไมพอใจ ติเตียนเธอ ตอหนาภิกษอุ ่ืนหรอื บนวา ตองปาจิตตยี ถาติเตียนหรือบนวาตอหนาอนุปสัมบัน ตองทุกกฏ ติเตียนภิกษุทําหนาที่ ไมช อบธรรมจริง ๆ ไมเ ปนอาบตั ิ ภกิ ษผุ เู ปนอาทกิ ัมมิกะในสิกขาบทนี้ คือ พระเมตตยิ ะและพระภุมมชกะ ๔. ภิกษุเอาเตียง ต่ัง ฟูก เกาอี้ ของสงฆไปตั้งในท่ีแจงแลว เม่ือหลีกไปจาก ท่นี ้ัน ไมเก็บเองก็ดี ไมใชใ หผอู ื่นเกบ็ ก็ดี ตองปาจติ ตยี สิกขาบทนี้นี้ทรงบัญญัติข้ึนเพ่ือใหภิกษุรูจักรับผิดชอบ และชวยกันดูแลของสงฆ ไมใหเสียหาย ภิกษุนําของอื่นที่มิใชของสงฆ หรือวัตถุอื่นจากท่ีระบุไว ออกไปแลวไมเก็บตอง ทกุ กฏ ภกิ ษุนง่ั อยูกอ น มีผูอื่นมานั่งภายหลัง ภิกษุลุกไปแลว แตเธอยังน่ังอยูก็ดี เกิดเหตุฉุกเฉิน ตอ งรีบไปกะทนั หนั กด็ ี ไมเ ปน อาบัติ ๕. ภกิ ษเุ อาที่นอนของสงฆปูนอนในกุฎีสงฆแลว เมื่อหลีกไปจากที่น่ัน ไมเก็บ เองก็ดี ไมใชใหผอู ่นื เกบ็ ก็ดี ไมมอบหมายแกผ ูอน่ื ก็ดี ตองปาจิตตีย ท่ีนอน ในที่น้ีหมายถึง ฟูก เสื่อ ผาปูนอน และของอยางอื่นที่ใชในการนอน ถาเปนของสงฆ ปนู อนในกุฎีสงฆแลวไมเก็บ เปนปาจิตตีย ปูนอนในกุฎีของบุคคลอ่ืนเปนทุกกฏ ปนู อนในกุฎขี องตนไมเ ปนอาบัติ ภิกษุผเู ปน อาทกิ ัมมกิ ะในสกิ ขาบทน้ี คอื พระสัตตรสวคั คีย ๖. ภิกษุรูอยูวากุฎีน้ีมีผูอยูกอน แกลงไปนอนเบียด ดวยหวังจะใหผูอยูกอน คับแคบใจเขา กจ็ ะหลีกไปเอง ตอ งปาจิตตยี ภิกษุรูอยวู า กุฎีหรือวิหารนั้นเปนของสงฆ และมีภิกษุแกกวาหรือมีภิกษุไขเขาอยู กอ น เขา ไปนอนเบยี ด หรอื นอนแทรกแซงใกลเ ตียงหรือต่ัง หรือใกลทางเขาออก โดยไมมีเหตุผล อยางอ่ืน เปนปาจิตตีย นอนเบียดในที่ของบุคคลท่ีไมใชของตน เปนทุกกฏ ถามีเหตุจําเปน เชน ปวยไข ไมส บาย มอี นั ตราย หรือนอนเบยี ดในทอ่ี ยูข องตนไมเ ปนอาบัติ ภิกษผุ ูเปนอาทิกัมมกิ ะในสิกขาบทน้ี คือ พระฉัพพคั คยี 266
2๒6๖7๕ วชิ า วนิ ัย ๗. ภิกษโุ กรธเคอื งภิกษุอน่ื ฉดุ คราออกจากกฎุ สี งฆ ตองปาจติ ตีย ภิกษุทําเองหรือใชใหผูอื่นทํา เปนปาจิตตีย ขนเอาเฉพาะบริขารออกไปเปน ทุกกฏ ถาฉุดคราสัทธิวิหาริกหรืออันเตวาสิกผูประพฤติช่ัวหยาบ หรือฉุดคราภิกษุสงฆผูไม สมควรจะใหอยอู อกจากสาํ นักของตน ไมเ ปน อาบตั ิ ภกิ ษผุ ูเ ปน อาทกิ ัมมกิ ะในสิกขาบทน้ี คือ พระฉัพพคั คีย ๘. ภิกษุนั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี บนเตียงก็ดี บนตั่งก็ดี อันมีเทาไมไดตรึงใหแนน ซ่ึงเขาวางไวบ นรา งรา น (สองชั้น) ในวิหารสงฆ ตอ งปาจิตตยี ในสิกขาบทนี้หมายเอาเตียงชนิด อาหัจจบาท คือ มีขาเสียบติดไวกับแมแครไมมี สลักยึดสามารถถอดได เมื่อนําไปพาดบนคาน ขาท้ัง ๔ ก็จะพนลงมาดานลาง ถานั่งกระแทกแรง ๆ ขาเตียงก็จะหลนลงมาถูกภิกษุที่อยูช้ันลาง ฉะน้ัน เพื่อปองกันอันตรายแกภิกษุท่ีอยูช้ันลาง จึงทรงบญั ญัตสิ กิ ขาบทนีไ้ ว ๙. ภิกษุจะเอาดินหรือปูนโบกหลังคากุฎี พึงโบกไดเพียง ๓ ช้ัน ถาโบกเกินกวา น้นั ตองปาจิตตีย ภิกษุสรางกุฎีเอาดินหรือปูนโบกหลังคากุฎีมากไป จะทําใหกุฎีรับน้ําหนักไมไหว เสีย่ งตอ อนั ตราย จงึ ทรงหามดว ยสกิ ขาบทนี้ ภิกษุผเู ปนอาทกิ มั มกิ ะในสกิ ขาบทน้ี คอื พระฉนั นะ ๑๐. ภิกษรุ อู ยู (วา ) นาํ้ มตี ัวสัตว เอารดหญาหรือดนิ ตอ งปาจิตตีย นํ้ามีตัวสัตว หมายถึง นํ้านั้นมีสัตวเล็ก ๆ เชน ลูกน้ํา ภิกษุรูอยูวา นํ้าน้ันมีตัว สัตวรดเองหรือใชใ หค นอื่นรดหญาหรอื ดนิ ตองปาจิตตีย สิกขาบทน้ีเปนสจิตตกะ แมนํ้ามีตัวสัตว ภกิ ษุสาํ คญั วาไมมี รดน้ําไป ไมเปนอาบตั ิ ภิกษุผเู ปนอาทกิ มั มิกะในสิกขาบทน้ี คอื พวกภกิ ษุชาวเมอื งอานงั วี ๓. โอวาทวรรค หมวดวาดว ยเรือ่ งส่ังสอนภกิ ษณุ ี ๑. ภกิ ษุทส่ี งฆไ มไ ดส มมติ(ไมไ ดแ ตงตั้ง)สั่งสอนภกิ ษุณีตอ งปาจิตตีย ภิกษุท่ียังไมไดรับสมมติจากสงฆ คือ ผูที่สงฆยังไมไดสวดแตงต้ังดวยญัตติ จตุตถกรรมวาจา สง่ั สอนครุธรรม ๘ ประการ แกนางภิกษุณี ตองปาจิตตีย ส่ังสอนธรรมอยางอ่ืน เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 267
2๒๖6๖8 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ตอ งทุกกฏ สั่งสอนภิกษุณีท่ีอุปสมบทในสงฆฝ ายเดียว ตองทกุ กฏ คุณสมบตั ขิ องภิกษผุ ทู ี่ควรไดร บั สมมตใิ หสอนนางภกิ ษณุ ี ๑) เปนผูมศี ีลสํารวมในพระปาติโมกข ๒) เปนพหูสูต มคี วามรดู ี ๓) รพู ระปาติโมกขทั้งของภกิ ษุ และของภิกษณุ ี โดยแจม แจง ๔) เปน ผูมีวาจาเรยี บรอ ย ๕) เปนผทู ภ่ี กิ ษุณชี น่ื ชอบในการแสดงธรรม ๖) เปน ผูสามารถสอนนางภิกษณุ ไี ด ๗) เปนผูไมเคยมีความสัมพันธฉันชูสาวกับภิกษุณี และไมเคยลวงครุธรรมกับ นางภกิ ษณุ ี ๘) มพี รรษาไมน อยกวา ๒๐ พรรษาขน้ึ ไป ภกิ ษผุ ูเ ปนอาทกิ มั มิกะในสกิ ขาบทนี้ คือ พระฉัพพัคคีย ๒. แมภิกษุทส่ี งฆส มมติแลว ต้งั แตอ าทติ ยอัสดง (ตกดนิ ) ไปสอนภิกษุณี ตอง ปาจิตตีย ภิกษุผเู ปน อาทิกัมมิกะในสิกขาบทน้ี คือ พระจูฬปน ถกเถระ ๓. ภกิ ษุเขาไปสอนภิกษุณถี ึงในท่อี ยู ตองปาจติ ตีย เวนไวแตภิกษุณีปวยไข ภกิ ษผุ ูเ ปนอาทกิ ัมมกิ ะในสกิ ขาบทน้ี คือ พระฉพั พคั คยี ๔. ภกิ ษตุ เิ ตยี นภิกษุอน่ื วา สอนภกิ ษณุ เี พราะเห็นแกล าภ ตองปาจิตตยี ภกิ ษุผเู ปน อาทกิ ัมมิกะในสกิ ขาบทน้ี คือ พระฉัพพคั คีย ๕. ภกิ ษใุ หจวี รแกน างภิกษุณีทไ่ี มใ ชญาติ ตองปาจิตตยี เวน ไวแตแลกเปล่ยี นกนั ๖. ภิกษุเย็บจีวรของนางภิกษุณีที่ไมใชญาติเองก็ดี ใชใหผูอ่ืนเย็บก็ดี ตอง ปาจิตตยี ภิกษผุ ูเ ปน อาทิกัมมกิ ะในสกิ ขาบทนี้ คอื พระอทุ ายี ๗. ภิกษุชวนนางภิกษุณีเดินทางดวยกัน แมสิ้นระยะบานหน่ึง ตองปาจิตตีย เวนไวแตท างเปลยี่ ว ๘. ภิกษุชวนนางภิกษุณีลงเรือลําเดียวกัน ข้ึนน้ําก็ดี ลองนํ้าก็ดี ตองปาจิตตีย 268
2๒6๖9๗ วชิ า วนิ ยั เวน ไวแ ตขา มฟาก ภิกษผุ ูเปน อาทกิ มั มกิ ะในสกิ ขาบทนี้ คอื พระฉัพพคั คีย ๙. ภิกษุรูอยูฉันของเคี้ยวของฉันที่นางภิกษุณีแนะนําใหคฤหัสถเขาถวาย ตอ งปาจิตตีย เวน ไวแ ตคฤหัสถเขาเรม่ิ ไวก อน คาํ วา แนะนําใหถวาย คือ เขาไมป ระสงคจ ะถวาย แตนางภิกษุณีไปพูดจาหวานลอม หรือบังคับใหเขาถวาย ภิกษุรับภัตตาหารเชนน้ี เปนทุกกฏ ถาฉันเปนปาจิตตีย ทุก ๆ คํากลืน เวนไวแตข องน้ันเขาต้งั ใจจะถวายภกิ ษุน้นั อยูแลว ภกิ ษุผูเปน อาทิกัมมิกะในสิกขาบทนี้ คอื พระเทวทัต ๑๐. ภกิ ษุนั่งกด็ ี นอนก็ดี ในทีล่ ับสองตอ สองกับภิกษณุ ีตองปาจิตตีย สิกขาบทในโอวาทวรรคนี้ทรงบัญญัติข้ึนเพื่อปองกันความประพฤติเสียหายของ ภกิ ษุอันจะเกิดจากการวางตนไมส มควรตอนางภกิ ษุณี ภิกษุผูเ ปนอาทกิ มั มิกะในสกิ ขาบทนี้ คือ พระอุทายี ขอควรรเู พิม่ เตมิ ๑) ภกิ ษณุ ีรปู แรกในพระพุทธศาสนา คือ พระนางปชาบดโี คตมี ๒) การบวชนางภิกษุณีนั้นตองบวชดวยสงฆสองฝาย คือ ฝายภิกษุสงฆและ ฝา ยภิกษณุ ีสงฆ เรียกวา อัฏฐวาจิกาอุปสมั ปทา ๓) ภิกษุณผี ูไดรบั อุปสมบทในภกิ ษุสงฆฝายเดียว หรือในภิกษุณีฝายเดียว เรียกวา เอกโตอุปสมั ปนนา ถา บวชครบสงฆส องฝาย เรยี กวา อุภโตอุปสัมปนนา (๑) ผูหญิงที่ไดรับการบรรพชาเปน สามเณร เรียกวา สามเณรี (๒) สามเณรีที่อยูระหวางการอบรมตน สมาทานศีล ๖ ขอ เปนเวลา ๒ ป เพื่ออุปสมบทเปนนางภิกษุณี กลาวคือ ผูท่ีจะบวชเปนนางภิกษุณีนั้น จะตองใหภิกษุสงฆสวดให สิกขาสมมติ คือ สวดใหสมาทานศีล ๖ คือ ต้ังแตขอ ๑ ปาณาติปาตา เวรมณี จนถึง ขอ ๖ วิกาลโภชนา เวรมณี ใหรกั ษาเครง ครดั ไมใ หขาดเปนเวลา ๒ ปเต็ม ถาลวงละเมิดขอใดขอหนึ่ง ตองสมาทานตั้งตนนับใหม เมื่อครบ ๒ ปแลว จึงขออุปสมบทเปนภิกษุณีได ในระหวางท่ี สมาทานสิกขาบท ๖ ประการ เครงครัดอยนู ้ี เรยี กวา สกิ ขมานา ๔) ภกิ ษุณถี อื ศลี ทง้ั หมด ๓๑๑ ขอ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 269
เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 270 270
2๒7๖1๙ วชิ า วนิ ัย ๓. ภิกษุรับนิมนตแหงหนึ่ง ดวยโภชนะทั้ง ๕ อยางใดอยางหน่ึง ไมไปฉันในที่ นิมนต ไปฉันเสียที่อ่ืน ตองปาจิตตีย เวนไวแตยกสวนท่ีรับนิมนตไวกอนน้ันใหแก ภิกษุอน่ื เสีย หรือหนา จีวรกาลและเวลาทําจีวร ในสิกขาบทน้ี ทรงบญั ญตั ิหามไมใ หภิกษุฉันปรัมปรโภชนะท่ีรับนิมนตซํ้าซอนกัน กลาวคือ ภิกษรุ บั นมิ นตใ นที่แหง หนง่ึ แลว คร้ันไดเวลา กลับไปฉันในอีกที่หน่ึงท่ีตนรับนิมนตไวที หลัง เชนน้ีเปนปาจิตตีย เวนไวแตวิกัปป คือ ยกใหแกภิกษุอื่น หรือในชวงที่ไดรับอานิสงส การจําพรรษา และอานสิ งสกฐิน (จีวรกาล) และในเวลาทีท่ าํ จีวร ๔. ภิกษุเขาไปบิณฑบาตในบาน ทายกเขาเอาขนมมาถวายเปนอันมาก จะรับไดเปนอยางมากเพียง ๓ บาตรเทาน้ัน ถารับเกินกวานั้น ตองปาจิตตีย และของท่ี รบั มามากเชน นีต้ อ งแบงใหภิกษอุ ื่น ขนม หมายถึง ขนมสดและขาวสัตตุผง สิกขาบทนี้ ทรงบัญญัติไวเพื่อจะใหภิกษุรูจักประมาณในการรับและเพื่อปองกัน ไมใหทายกสน้ิ เปลืองจนเกินไป ขนมท่ีภกิ ษุรับมาน้ัน ตองแบง ใหภ กิ ษอุ ่ืน ถา ไมแบง เปนทุกกฏ ๕. ภิกษุฉันคางอยูมีผูเอาโภชนะท้ัง ๕ อยางใดอยางหนึ่ง เขามาประเคน หา มเสยี แลว ลกุ จากทนี่ ่งั น้ันแลว ฉนั ของเค้ยี วของฉันซึ่งไมเปนเดนภิกษุไข หรือไมไดทํา วนิ ยั กรรม ตองปาจิตตีย คาํ วา หา มเสยี แลว คือ หามโภชนะที่เขาประเคน ตองพรอมดว ยลกั ษณะที่ทาน แสดงไว ๕ ประการ คือ ๑) กาํ ลงั ฉันอาหารอยู ๒) เขาเอาโภชนะมาถวายอกี ๓) เขาอยูในหัตถบาส ๔) เขานอมถวาย ๕) ภิกษุหามเสียภิกษุผูฉันเสร็จและหามเสียแลวเชนน้ี จะฉันไดเฉพาะของเปนเดน ซง่ึ มี ๒ อยางคอื (๑) ของภกิ ษุไขฉ ันเหลอื (๒) ของที่ภิกษุทําใหเ ปนเดน เหตุท่ีทรงบัญญัติหามไมใหภิกษุฉันอีก หลังจากที่บอกไมรับอาหารท่ีทายกเขา ประเคนในเรือน เพราะตองการใหรักษาน้ําใจของทายกผูมีศรัทธา เวนไวแตจะฉันของที่เปนเดน เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 271
2๒๗7๐2 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ของภิกษไุ ขแ ละของที่ทําวินัยกรรม คือ ภิกษุอื่นรับประเคนโภชนะอยางใดอยางหน่ึงแลว ตักเอา พอประมาณ แลว ยกสงใหภิกษุ ผูหา มอาหารท่นี ั่งอยูใ นระยะหัตถบาส พรอ มกับบอกวา “พอแลว” การทาํ เชน น้ี ชอื่ ทําวินัยกรรม ภกิ ษผุ หู า มภตั สามารถฉันไดอีก โดยไมต อ งอาบัติ ๖. ภิกษุรูอยูวา ภิกษุอ่ืนหามขาวแลว คิดจะยกโทษเธอ แกลงเอาของเคี้ยวของ ฉนั ทไี่ มเปน เดนภิกขไุ ขไปลอ ใหเ ธอฉนั ถาเธอฉันแลว ตองปาจิตตีย ความมุงหมายสิกขาบทน้ี เพ่ือหามภิกษุผูมีเจตนาไมดีแกลงหลอกภิกษุอ่ืนให สาํ คญั ผิด ไมเปนอาบตั แิ กภ ิกษุผูสาํ คญั ผิด ๗. ภิกษุฉันของเค้ียวของฉันท่ีเปนอาหารในเวลาวิกาล คือ ต้ังแตเท่ียงแลว ไปจนถงึ วันใหม ตอ งปาจิตตีย ของเคี้ยว ไดแ ก ผลไม เผอื ก มนั เปน ตน ของฉัน ไดแ ก โภชนะทงั้ ๕ รวมถงึ ของทบี่ รโิ ภคเปน อาหารดว ย ภิกษุผเู ปนอาทกิ มั มกิ ะในสกิ ขาบทนี้ คือ พระสัตตรสวัคคยี ๘. ภิกษุฉันของเคย้ี วของฉันทเ่ี ปนอาหารซ่ึงรับประเคนไวค า งคืน ตอ งปาจิตตีย การเก็บอาหารไวคางคืนเชนน้ี เรียกวา สันนิธิ แปลวา การส่ังสม ภิกษุฉัน ของท่เี ปนสนั นิธิ เปนปาจิตตียทุก ๆ คํากลืน ภิกษุผเู ปนอาทิกมั มกิ ะในสกิ ขาบทนี้ คอื พระเวพฏั ฐสลี ะ ๙. ภิกษุไมใชผูอาพาธ ขอโภชนะอันประณีต คือ ขาวสุกระคนดวยเนยใส เนยขน นํ้ามัน น้ําผ้ึง น้ําออย ปลา เนื้อ นมสด นมสม ตอคฤหัสถท่ีไมใชญาติ ไมใช ปวารณา เอามาฉัน ตองปาจิตตีย ภิกษผุ เู ปนอาทกิ มั มิกะในสิกขาบทนี้ คอื พระฉัพพัคคยี ๑๐. ภกิ ษุกลืนกินอาหารที่ไมมีผูให คือ ยังไมไดประเคนใหลวงทวารปากเขาไป ตอ งปาจิตตยี เวน ไวแตน ํา้ และไมสฟี น คําวา อาหาร ในสิกขาบทนี้ หมายเอา กาลิก คือ ของท่ีจะพึงกลืนกินท่ัวไป ๔ อยา ง คือ ๑) ยาวกาลิก คือ ของที่รับประเคนไวและฉันไดชั่วเวลาเชาถึงเท่ียงวันของวัน นน้ั ไดแ ก โภชนะทั้ง ๕ และผักผลไมต าง ๆ ๒) ยามกาลิก คือ ของที่รับประเคนไวและฉันไดช่ัววันหนึ่งกับคืนหน่ึง คือ 272
2๒7๗3๑ วชิ า วนิ ัย กอ นอรณุ ขน้ึ ไดแ ก นาํ้ ปานะ (นํ้าคน้ั ผลไมท่ที รงอนุญาต) ๓) สัตตาหกาลิก คอื ของทร่ี บั ประเคนไวแ ลว ฉนั ไดภายใน ๗ วัน ไดแก เภสัช ท้งั ๕ คือ เนยใส เนยขน นํา้ มัน น้ําผ้งึ นาํ้ ออ ย ๔) ยาวชีวิก คือ ของท่ีรับประเคนไวแลว ฉันไดตลอดไปไมจํากัดเวลา ไดแก ของท่ใี ชป รงุ เปน ยา นอกจากกาลกิ ทัง้ ๓ ขางตน เชน ขม้ิน ขงิ ขา เปนตน กาลิกท้ัง ๔ นั้น ตองประเคนเสียกอน จึงฉันได แมถารับประเคนแลว มีผูอ่ืน แตะตอ ง ก็ตอ งประเคนใหม ลกั ษณะของการประเคน ๕ อยา ง ๑) ของนั้นไมใ หญ หรอื หนักเกินไป คนเดียวกย็ กได ๒) ผปู ระเคนอยูในหัตถบาส คือ หา งไมเกนิ ๑ ศอก ๓) เขานอมเขา มาถวาย ๔) เขายื่นถวายดว ยมอื หรอื ของเน่ืองดว ยกาย ๕) ภิกษรุ บั ดวยมือ หรือรับดว ยผา หรอื ของอยา งอืน่ ภกิ ษุฉนั ของที่ยงั ไมไ ดประเคน เปนปาจิตตีย น้ําและไมช ําระฟน ไมต องประเคนก็ ฉนั ได น้ําในท่ีน้ี หมายถึง นํ้าเปลา ภิกษุอาพาธหนักเขาขั้นอันตราย ฉันของที่เปนยาที่ ไมไ ดรับประเคน เชน ถูกงูพิษกัด จะถอื เอายามหาวกิ ตั ิ ๔ อยา ง คือ มูตร คถู เถา ดนิ ฉันไมเปน อาบตั ิ ๕. อเจลกวรรค หมวดวา ดวยนกั บวชนอกศาสนา อเจลกวรรค แปลวา สิกขาบทหมวดที่วาดวยนักบวชนอกศาสนา ต้ังชื่อตามเนื้อหา ของสิกขาบทแรก ทเ่ี กยี่ วกบั การใหอาหารแกนักบวชเปลอื ย ๑. ภกิ ษุใหข องเค้ียวของฉัน แกนักบวชนอกศาสนาดวยมือของตน ตอ งปาจติ ตยี นักบวชนอกศาสนา หมายถึง นักบวชในศาสนาอ่ืนนอกจากพุทธศาสนา เชน อเจลกะ (พวกชีเปลือย) ปริพพาชก เปนตน ภิกษุใหของเค้ียวของฉันดวยมือของตนเปน ปาจติ ตีย ถา ใชใหค นอ่นื ใหหรือวางให หรอื ใหข องอยา งอื่นนอกจากของกิน ไมเปน อาบตั ิ สกิ ขาบทน้ีทรงบัญญตั เิ พื่อไมใ หผูอ่ืนมองวา ภิกษยุ อมตวั เปน คนรับใชหรือนับถือเขา ๒. ภิกษุชวนภิกษุอ่ืนไปเที่ยวบิณฑบาตดวยกัน หวังจะประพฤติอนาจาร ไลเธอ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 273
๒2๗7๒4 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 กลบั เสยี ตองปาจิตตยี หวังจะประพฤติอนาจาร คือ ภิกษุมีความคิดอยากจะสนุกสนานจะนั่งในที่ลับ กับหญิง หรือประพฤติสิ่งไมดีไมงามอยางใดอยางหน่ึง ไลเธอกลับกอน เพ่ือปกปดความช่ัวของตน เชนนี้ เปน ปาจิตตีย บอกใหเ ขากลบั ดวยเหตุอ่นื เชน บาตรเตม็ บอกใหกลบั ไมเ ปน อาบตั ิ ภกิ ษุผูเ ปนอาทิกัมมกิ ะในสิกขาบทน้ี คอื พระอุปนนั ทศากยบตุ ร ๓. ภิกษุสําเร็จการนั่งแทรกแซง ในสกุลที่เขากําลังบริโภคอาหารอยู ตองปาจติ ตีย การเขาไปน่ังพูดคุยในบานของคฤหัสถที่กําลังรับประทานอาหารกันอยู ถือเปน การเสยี มารยาท และไมเ หมาะสม จึงทรงบัญญตั ิสกิ ขาบทนี้หามไว ภกิ ษุผูเ ปนอาทิกัมมิกะในสิกขาบทน้ี คอื พระอุปนนั ทศากยบตุ ร ๔. ภิกษุน่ังในที่ลบั กับผหู ญงิ ไมม ผี ูชายอยูเปน เพอื่ น ตอ งปาจติ ตีย ภิกษุน่ังหรือนอนในท่ีลับตากับผูหญิงคนเดียว หรือหลายคนก็ตาม ตองอาบัติ ปาจติ ตีย ถายืนหรอื เดนิ หรอื มีผชู ายอยูด ว ยไมเปนอาบัติ ภกิ ษผุ เู ปน อาทิกัมมกิ ะในสกิ ขาบทนี้ คอื พระอุปนันทศากยบุตร ๕. ภกิ ษนุ ่ังในท่แี จง กบั หญงิ สองตอ สอง ตอ งปาจิตตยี ท่ีแจง คือ ที่สามารถมองเห็นได แตไมไดยินเสียงพูดคุยกัน ภิกษุน่ังหรือนอนกับ หญิงสองตอสองในท่แี จง ตอ งปาจิตตยี ถา มีคนอ่นื อยดู วยจะเปน ชายหรอื หญิงไมเปนอาบัติ ภกิ ษผุ ูเปน อาทกิ มั มิกะในสกิ ขาบทน้ี คือ พระอปุ นันทศากยบุตร ๖. ภิกษุรับนิมนตด วยโภชนะทง้ั ๕ แลว จะไปในท่อี ่นื จากที่นมิ นตนั้น ในเวลากอน ฉันก็ดี ฉันกลับมาแลวก็ดี ตองลาภิกษุท่ีมีอยูในวัดกอน จึงจะไปได ถาไมลากอน เท่ียวไป ตองปาจติ ตีย เวนไวแ ตส มยั คอื จวี รกาล และเวลาทําจีวร ทหี่ า มไปทอี่ ่ืนกอ นเวลาฉัน เพือ่ ปองกันไมใหไปชา หรือตามตัวไมพบ ที่หามไปที่ อื่นหลงั ฉันเพ่อื ไมใหถ อื โอกาสเท่ยี วไปและอาจมีผตู องการพบในเวลากลับ ฉะนั้น ถาจําเปนจะไป ก็ใหบอกแกภกิ ษรุ ปู อนื่ ไวก อ น ถาเท่ยี วไปในสมัยจีวรกาล หรอื เวลาทําจวี รไมตองอาบตั ิ ภิกษผุ เู ปนอาทิกัมมกิ ะในสิกขาบทน้ี คือ พระอุปนนั ทศากยบตุ ร ๗. ถาเขาปวารณาดวยปจจัย ๔ เพียง ๔ เดือน พึงขอเขาไดเพียงกําหนดนั้น เทาน้ัน ถาขอใหเกินกวากําหนดน้ันไป ตองปาจิตตีย เวนไวแตเขาปวารณาอีก หรือ ปวารณาเปน นติ ย 274
2๒7๗๓5 วชิ า วนิ ัย ปจ จยั ๔ ไดแก จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ทานแบงการปวารณาไวใน คัมภีรว ิภังค ๔ ประเภท คอื ๑. ปวารณากาํ หนดปจ จัย คือ ระบชุ อ่ื จํานวน ราคา และขนาด ของปจจัยท่จี ะใหข อ ๒. ปวารณากําหนดกาล คอื กาํ หนดระยะเวลาทีจ่ ะใหข อ ๓. ปวารณากาํ หนดท้ังปจจยั และกาล คอื ระบุปจจัยและกําหนดเวลา ๔. ปวารณาไมกําหนดท้ังปจจัยและกาล ขอนี้แมทายกจะไมกําหนดกาล แต ทรงอนุญาตใหขอไดเพียง ๔ เดือน เทานัน้ เกินนไ้ี มไ ด ทายกเขาปวารณากาํ หนดอยา งไร พึงใหข ออยา งนั้น ถาขอใหเกินกําหนดนั้น ถือเปน การขอเกนิ ศรัทธา ทาํ ใหเ ขาลาํ บากไดม าตอ งปาจติ ตีย ภิกษุผเู ปน อาทกิ มั มิกะในสิกขาบทนี้ คอื พระฉพั พัคคีย ๘. ภกิ ษไุ ปดูกระบวนทพั ซึ่งเขายกไปเพื่อจะรบกัน ตองปาจิตตีย เวนไวแ ตมีเหตุ เหตทุ ไ่ี ดร บั ยกเวน คือ ไปเหน็ โดยเหตุจําเปน อยา งอน่ื มใิ ชไ ปเพ่อื จะดเู ลน ภิกษุผูเ ปน อาทกิ ัมมกิ ะในสกิ ขาบทน้ี คือ พระฉพั พัคคีย ๙. ถามีเหตุท่ีจะตองไปมีอยู พึงไปอยูในกองทัพไดเพียง ๓ วัน ถาอยูใหเกิน กาํ หนดนนั้ ตอ งปาจติ ตีย การนับวันนั้น นับเอาเวลาที่ตะวันตกดินเปน ๑ วัน ถาอยูถึงวันท่ี ๔ พอตะวันตกดิน เปนปาจิตตีย ถาอยู ๓ วันเวนหน่ึงวัน กลับมาอยูใหมอีก ๓ วัน เชนน้ีก็ดี มีเหตุจําเปนออกไป ไมไดก็ดี ไมเ ปน อาบตั ิ ภกิ ษุผเู ปนอาทิกมั มิกะในสิกขาบทนี้ คอื พระฉพั พคั คยี ๑๐. ในเวลาที่อยูในกองทัพตามกําหนดน้ัน ถาไปดูเขารบกันก็ดี หรือไปดูเขา ตรวจพลก็ดี ดูเขาจัดกระบวนทัพก็ดี ดูหมูเสนาที่จัดเปนกระบวนแลวก็ดี ตองปาจิตตีย ภกิ ษุผูเปนอาทกิ มั มกิ ะในสกิ ขาบทนี้ คือ พระฉัพพัคคีย ๖. สรุ าปานวรรค หมวดวาดว ยด่ืมนํา้ เมา ๑. ภิกษดุ ่มื น้ําเมา ตอ งปาจิตตยี คําวา น้ําเมา เรยี กวา มัชชะ แปลวา นาํ้ อนั ยงั ผดู มื่ ใหเมา หมายเอา ๑. น้ําเมรัย คอื น้าํ เมาทีย่ ังไมไ ดกลนั่ หรือน้ําเมาท่เี กิดจากการหมัก เชน สาโท เปน ตน และ ๒. สรุ า คอื เมรัย เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 275
๒2๗7๔6 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ทีก่ ลน่ั แลว ฝน เฮโรอีน กัญชา ใบกระทอม ยาเสพติดใหโทษ ทุกชนิด จัดเขาในสิกขาบทนี้ ดว ย (พระศรีวสิ ทุ ธิญาณ (อุบล นนทฺ โก ป.ธ.๙). ๒๕๓๕ : ๕๑) ภกิ ษผุ ูเปนอาทกิ ัมมกิ ะในสิกขาบทน้ี คือ พระสาคตะ ๒. ภิกษจุ ้ภี ิกษุ ตองปาจติ ตยี จ้ีคนอืน่ นอกจากภกิ ษุ ตองทกุ กฏ ภกิ ษผุ ูเปน อาทกิ มั มกิ ะในสิกขาบทน้ี คอื พระฉพั พคั คีย ๓. ภิกษวุ า ยนา้ํ เลน ตอ งปาจิตตยี ลักษณะแหงอาบัติคือ วายนํ้าเลน ดําลง ผุดขึ้น วายไปในท่ีลึก พอที่จะดําไดมิดตัว เปนปาจิตตยี เลนอยา งอนื่ เชน เอามือกวักน้ํา พายเรอื เลน เปน ตน ตอ งทุกกฏ ภิกษุผเู ปนอาทกิ มั มกิ ะในสกิ ขาบทน้ี คอื พระสตั ตรสวัคคยี ๔. ภิกษุแสดงความไมเ ออ้ื เฟอ ในวนิ ยั ตอ งปาจติ ตยี ความไมเอื้อเฟอ ในวนิ ัย มี ๒ อยา ง คอื ๑) ไมเอื้อเฟอในบุคคล กลาวคือ เมื่อภิกษุกลาวตักเตือนดวยพระวินัย แลว ไมเ ช่ือฟง โตเถยี ง ดูหมนิ่ ดวยประการตา ง ๆ ๒) ไมเอือ้ เฟอ ในขอบัญญัติ กลา วคือ แสดงอาการท่ีไมเคารพ เชน อานหนังสือ คุยกัน เลน กัน ในขณะท่ีภิกษุอื่นอธบิ ายบทบัญญตั ิในพระวนิ ัย สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว เพ่ือปองกันไมใหภิกษุเปนคนหัวด้ือ ไมเคารพในกฏ ขอบังคบั ของหมูคณะ ภิกษุผเู ปนอาทกิ ัมมิกะในสิกขาบทนี้ คือ พระฉันนะ ๕. ภิกษุหลอนภิกษุใหกลวั ผี ตอ งปาจติ ตยี ภิกษุหลอน คือ พูดก็ดี แสดงทาทางก็ดี ขูใหผูอ่ืนตกใจกลัวก็ดี ผูถูกหลอนจะ ตกใจหรือไมกต็ าม ถาหลอนภกิ ษดุ วยกนั เปนปาจิตตยี หลอนผูอน่ื ทีม่ ิใชภ ิกษุเปนทุกกฏ ภกิ ษุผูเปนอาทกิ มั มิกะในสกิ ขาบทน้ี คอื พระฉพั พคั คยี ๖. ภิกษุไมเปนไข ติดไฟใหเปนเปลวเองก็ดี ใชใหผูอื่นติดก็ดี เพ่ือจะผิง ตอ งปาจิตตีย ติดเพ่อื เหตอุ น่ื ไมเปน อาบัติ เหตุที่ทรงหามกอไฟในสิกขาบทน้ี ก็เพ่ือปองกันไฟไหมกุฎีที่มุงดวยหญา ถากอไฟ 276
2๒7๗7๕ วชิ า วนิ ยั ในทส่ี าํ หรบั ผิงไฟหรอื กอเพ่ือเหตุอ่ืนท่ีไมใ ชเ พ่อื ผิง ไมเ ปนอาบตั ิ ๗. ภิกษุอยูในมัชฌิมประเทศ คือ จังหวัดกลางแหงประเทศอินเดีย ๑๕ วัน จึงอาบนํ้าไดหนหนึ่ง ถายังไมถึง ๑๕ วัน อาบนํ้า ตองปาจิตตีย เวนไวแตมีเหตุจําเปน ในปจ จันตประเทศ เชน ประเทศไทย อาบน้ําไดเปนนติ ย ไมเ ปนอาบัติ สิกขาบทน้ี ทรงบัญญัติหามเฉพาะในถ่ินทุรกันดาร ขาดแคลนนํ้า ถาอยูใน ประเทศทม่ี ีน้าํ อุดมสมบรู ณไมทรงหาม ถามเี หตจุ าํ เปน เชน รา งกายเลอะเทอะเปอ นมากอาบได ๘. ภิกษุไดจีวรใหม ตองพินทุดวยสี ๓ อยางคือ เขียวคราม โคลน ดําคลํ้า อยางใดอยางหน่ึงกอ น จึงนงุ หมได ถา ไมท ําพนิ ทุกอนแลว นงุ หม ตอ งปาจิตตยี การทําพินทุ หรือ พินทุกัปปะ คือ การทําจุดกลม ๆ อยางใหญเทาแววตานกยูง อยา งเล็กเทาหลังตัวเรือดไวทม่ี ุมจวี ร ดว ยสีเขยี วคราม โคลน หรอื สีดําคลํา้ มีจุดประสงคเ พื่อทําจวี รให เสยี สี หรือมตี าํ หนิ และเปนเครอื่ งหมายใหจาํ จีวรของตนไดไมหลงกบั ผอู นื่ วิธีทําพินทุ ใหใชสีตามกําหนด (ปากกาหรือดินสอก็ได) จุดทําวงกลมดําเต็มวง ๓ จดุ พรอ มกบั กลาวคําวา อิมํ พินฺทุกปฺป กโรมิ (๓ ครง้ั ) ๙. ภิกษุวิกัปปจีวรแกภิกษุ หรือสามเณรแลว ผูรับยังไมไดถอน นุง หมจีวรน้ัน ตองปาจิตตยี วิกัปป คือ การทําใหเปนของสองเจาของ เปนวิธีการทางวินัย เพ่ือปองกันอาบัติ ตามสกิ ขาบทที่วา ดวยการเกบ็ อติเรกจวี รหรืออตเิ รกบาตรไวเ กนิ ๑๐ วนั เพราะหากภิกษุตองการ เก็บอติเรกจีวรหรืออตเิ รกบาตรไวเกิน ๑๐ วัน โดยไมตองอาบัติ ตองทําการวิกัปปจีวรหรือบาตร ใหผ ูอ น่ื รวมเปนเจา ของ วธิ ีกปั ปมี ๒ อยาง คอื ๑. วกิ ปั ปตอหนา คอื วกิ ปั ปต อ หนา ผรู บั ๒. วิกัปปลับหลัง คือ วิกัปปใหแกภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ผูไมอยูในที่นั้น โดย เปลง วาจาวกิ ัปปออกช่ือภิกษนุ นั้ ตอหนา ภิกษอุ ื่น จีวรที่ภิกษุวิกัปปแลว ตองใหผูรับกลาวคําถอนเสียกอนจึงใชได ถาผูรับยังไมได ถอนนํามาใชสอย ตอ งปาจติ ตยี ภิกษผุ เู ปน อาทกิ ัมมกิ ะในสกิ ขาบทนี้ คอื พระอุปนันทศากยบุตร เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 277
๒2๗7๖8 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 วิธีวิกัปปตอ หนา ภิกษนุ าํ จีวรที่จะวกิ ปั ป วางไวในหัตถบาสระหวา งผใู หกับผรู บั นั่งกระโหยงประนมมือ กลาว คําบาลี พรอมคาํ แปลวา อิมํ จีวรํ ตุยฺหํ วิกปฺเปมิ. ขาพเจาขอวิกัปปจีวรน้ีแกทาน ถามีจีวรหลาย ผืนใหเปลีย่ น คาํ วา อิมํ จวี รํ เปน อมิ านิ จวี รานิ วิธีวิกัปปลับหลงั ทําเหมือนกับการวิกัปปตอหนา เพียงเปลี่ยนคําวา อิมํ จีวรํ จนฺทสารสฺส ภิกฺขุโน วิกปฺเปมิ. ขาพเจาขอวิกัปปจีวรน้ี แกภิกษุชื่อวา จันทสาระ ถาผูนั้นแกกวาเปลี่ยน จนฺทสารสฺส ภิกขฺ โุ น เปน อายสฺสมโต จนทฺ สารสฺส วธิ ถี อนวิกัปป ถาแกกวาใหวา “อิมํ จีวรํ มยฺหํ สนฺตกํ ปริภฺุช วิสชฺเชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหิ. จีวร ผนื น้ขี องขา พเจา ทา นจงใชส อย จงสละ หรอื จงทาํ ตามแตสมควรเถิด” ถา ออนกวาใหเ ปลี่ยนคําวา ปรภิ ฺุช เปน ปรภิ ุ ฺชถ คําวา วสิ ชเฺ ชหิ เปน วิสชเฺ ชถ และ คําวา กโรหิ เปน กโรถ การวกิ ัปปน ี้ เม่ือภิกษเุ ขา ใจดแี ลว จะกลา วคาํ วกิ ปั ปเปนภาษาไทยก็ได ๑๐. ภิกษุซอนบริขาร คือ บาตร จีวร ผาปูน่ัง กลองเข็ม ประคตเอว สิ่งใดส่ิงหน่ึง ของภกิ ษุอื่น ดว ยคิดจะลอ เลน ตอ งปาจติ ตยี ซอ นบริขารอยา งอ่นื นอกจากทร่ี ะบไุ วขางตน ก็ดี ซอนบริขารของสามเณรก็ดี เปน ทกุ กฏ ไมมเี จตนาจะลอ เลน เหน็ ของวางไมด ี ชวยเกบ็ ไวใ หไ มเ ปนอาบัติ ซอนไวด วยคิดจะลักเอา ปรบั อาบัติตามราคาของ ภิกษุผูเปนอาทกิ ัมมกิ ะในสกิ ขาบทน้ี คือ พระฉัพพัคคยี ๗. สัปปาณวรรค หมวดวา ดวยฉันน้ํามตี ัวสัตว ๑. ภกิ ษุแกลงฆาสัตวด ิรจั ฉาน ตองปาจติ ตยี แกลงฆา คือ จงใจฆาสัตวดิรัจฉานทุกชนิด ไมวาเล็กหรือใหญอยูในไขหรือใน ทองแม สัตวตาย เปน ปาจิตตีย ไมต าย แตบาดเจบ็ เปนทกุ กฏ ถา ฆา โดยไมตัง้ ใจ ไมเปน อาบตั ิ 278
2๒7๗9๗ วชิ า วนิ ยั ภิกษุผูเปน อาทกิ มั มิกะในสิกขาบทน้ี คือ พระอุทายี ๒. ภิกษรุ ูอ ยวู า น้ํามตี วั สัตว บรโิ ภคนา้ํ นัน้ ตองปาจติ ตยี คําวา บริโภค หมายถึง ดื่ม อาบ หรือใชท่ัวไป ถารูแลวบริโภค เปนปาจิตตีย ถา ไมร ู ไมเปนอาบัติ ภกิ ษผุ ูเ ปน อาทิกัมมิกะในสิกขาบทนี้ คอื พระฉพั พัคคีย ๓. ภิกษุรูอยูวา อธิกรณนี้สงฆทําแลวโดยชอบ เลิกถอนเสียกลับทําใหม (รือ้ ฟนใหม) ตองปาจิตตยี อธิกรณ คือ เรื่อง (คดีความ) ที่เกิดข้ึนแลว สงฆจะตองพิจารณาตัดสิน หรือ ดาํ เนนิ การใหเ รียบรอ ย มี ๔ เรอื่ ง คือ ๑) วิวาทาธิกรณ เรื่องถกเถยี งกนั เกยี่ วกับเรอื่ งธรรมวินยั ๒) อนวุ าทาธกิ รณ เร่ืองการโจทหรือกลา วหากนั ดว ยอาบตั ิ ๓) อาปตตาธิกรณ เร่ืองการตองอาบัติ การปรับอาบัติ การแกไขใหพนจาก อาบัติ ๔) กจิ จาธกิ รณ เร่ืองกจิ ธรุ ะตาง ๆ ที่สงฆต อ งทํา เชน ใหอุปสมบท ภิกษุรูอยูวา อธิกรณน้ัน สงฆตัดสินและดําเนินการถูกตองชอบธรรมแลว กลับร้ือฟน อธิกรณนั้นขึ้นมาเพ่ือใหสงฆพิจารณาใหม กอความลําบากแกสงฆ ตองปาจิตตีย ถาไมรู หรือ ร้อื ฟน ดวยเห็นวาอธิกรณนัน้ ตดั สินไมเ ปน ธรรมจรงิ ๆ ไมเปนอาบัติ ภกิ ษผุ เู ปนอาทกิ มั มิกะในสิกขาบทนี้ คอื พระฉพั พคั คีย ๔. ภกิ ษุรูอยู แกลงปกปดอาบตั ชิ ว่ั หยาบของภกิ ษุอื่น ตอ งปาจิตตยี คําวา อาบัติช่ัวหยาบ หมายถึง ปาราชิก ๔ และสังฆาทิเสส ๑๓ ปดไวดวยเกรงวา ตนจะยุงยาก พอทอดธุระวาจะไมบ อก ตอ งปาจิตตยี ปกปดอาบัตินอกน้ี ตอ งทุกกฏ ภิกษุผูเปนอาทกิ ัมมกิ ะในสิกขาบทน้ี คือ พระอปุ นันทศากยบตุ ร ๕. ภิกษุรูอยู เปนอุปชฌายะอุปสมบทกุลบุตรผูมีอายุหยอนกวา ๒๐ ป ตอง ปาจิตตีย เม่ือรูอยูวา กุลบุตรท่ีจะอุปสมบทใหนั้นมีอายุไมถึง ๒๐ ป แตยังฝนอุปสมบทให พระอปุ ช ฌายตองอาบัตปิ าจิตตีย พระคูสวดและพระน่ังอันดับทั้งหมดตองอาบัติทุกกฏ กุลบุตรท่ี อุปสมบทใหนั้น ก็ไมเปนภิกษุ เปนเพียงสามเณรเทาน้ัน การนับอายุนั้นทานใหนับวันเกิด เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 279
๒2๗8๘0 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 เปนหลัก แตก ใ็ หน ับรวมในครรภอ ีก ๙ เดอื นได ๖. ภิกษรุ อู ยู ชวนพอคาผูซอนภาษีเดินทางดวยกัน แมสิ้นระยะบานหนึ่ง ตอง ปาจติ ตยี พอคาผูซอนภาษี คือ ผูลักซอนของตองหาม หรือของเถ่ือนเขามา ถาภิกษุ ชักชวนกันเดินในหมูบาน หรือในเขตชุมชน เดินทางส้ินระยะจากบานหลังหนึ่งสูบานหลังหนึ่ง หรอื ชวั่ ระยะไกบ ินตก เปน ปาจิตตีย ทุก ๆ ระยะ ถา เดินในปา เปนอาบตั ทิ ุก ๆ ก่ึงโยชน ๗. ภกิ ษชุ วนหญงิ เดินทางดวยกัน แมสน้ิ ระยะบา นหนง่ึ ตอ งปาจติ ตีย ในสกิ ขาบทน้หี มายเอาเฉพาะหญิงมนุษยผรู เู ดียงสา ๘. ภิกษุกลาวคัดคานธรรมเทศนาของพระพุทธเจา ภิกษุอื่นหามไมฟง สงฆส วดประกาศขอ ความนน้ั จบ ตอ งปาจติ ตยี ภิกษุอวดดี กลาวคัดคานคําสอนของพระพุทธเจา วาไมถูกตอง กอใหเกิด ความสับสนในหมูภิกษุ ภิกษุอ่ืนที่รูพึงหามปราม (ถาไมหามตองทุกกฏ) เธอไมฟง สงฆพึงสวด ประกาศหาม ถา เธอเลกิ เสยี ถอื วาดี ถา ไมเลิกสงฆสวดประกาศจบ เปนปาจิตตีย และจะตองถูกสงฆ ขับออกจากหมู (ลงอุกเขปนียกรรม) จัดเปนอุกขิตตกบุคคล ภายหลังเม่ือเธอเลิกเสีย หันมา ประพฤตดิ ี สงฆส วดประกาศระงับโทษจงึ เขาสมาคมอีกได ภกิ ษผุ เู ปน อาทกิ มั มิกะในสิกขาบทนี้ คอื พระอรฏิ ฐะ ๙. ภิกษุคบภิกษุเชนนั้น (ผูกลาวคัดคานธรรมเทศนาของพระพุทธเจา) คือ รว มกนิ ก็ดี รว มอโุ บสถสงั ฆกรรมกด็ ี รวมนอนก็ดี ตองปาจติ ตีย ภิกษใุ ดคบกบั ภิกษุที่เปน อุกขติ ตกบุคคล คือ ผูที่สงฆยกออกจากหมู เพราะกลาว คดั คา นคาํ สอนของพระพุทธเจา ดว ยอาการ ๓ อยา ง คือ ๑. รวมกิน ไดแ ก การคบดวยอาการ ๒ อยาง คือ ๑.๑ อามสิ สมโภค คบหาดว ยอามิส ๑.๒ ธมั มสมโภค คบหาดว ยการเรียนธรรมสอนธรรม ๒. รว มอยู คือ รว มทาํ อโุ บสถ รว มสังฆกรรม รวมปวารณา ๓. รวมนอน คือ นอนในที่มุงท่ีบงั อันเดยี วกนั คบดวยอาการอยา งใดอยา งหนง่ึ ตองปาจิตตีย ถาคบภิกษุผูท่ีสงฆยกโทษแลวไม 280
281 281 เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1
2๒๘8๐2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ภกิ ษุทาํ ไขสือ คือ รูแลว แตแกลงทําเปนไมรู แสรงพูดขึ้นในขณะฟงปาติโมกขวา ขาพเจาเพ่ิงรูวาการทําอยางน้ี เปนอาบัติ ถาภิกษุอื่นรูอยูวา ภิกษุรูปนั้นเคยฟงพระปาติโมกข มากอน เชนน้ี ภิกษุน้ันตองอาบัติตามสิกขาบทที่ตนละเมิด และสงฆพึงสวด “โมหาโรปนกรรม” คือ สวดประกาศเพิ่มโทษ ปรับอาบัตปิ าจติ ตยี แกเธออีก โทษฐานเพราะแกลง ไขสือ ภิกษุผูเปนอาทิกัมมิกะในสกิ ขาบทน้ี คอื พระฉพั พคั คีย ๔. ภกิ ษุโกรธ ใหป ระหารแกภ กิ ษอุ ่ืน ตอ งปาจิตตยี ใหประหาร คือ การทํารายรางกายดวยอวัยวะสวนใดสวนหนึ่งของรางกาย โดยวิธีอยางใดอยา งหนึ่ง คือ ชกดวยกําปน ตีดวยไม ขวางดวยกอนหิน เปนตน ดวยความโกรธ ทาํ เองหรือใชใ หผ ูอืน่ ทาํ กเ็ ปนอาบตั เิ ชนกนั ภิกษุผเู ปน อาทกิ ัมมิกะในสิกขาบทน้ี คือ พระฉัพพัคคีย ๕. ภิกษุโกรธ เงือ้ มือดุจใหประหารแกภกิ ษุอืน่ ตอ งปาจิตตีย เงื้อมือดุจใหประหาร คือ เงื้อมือ เงื้อไมทําทาจะชกหรือตีดวยกิริยาทาทางของ คนโกรธทําแกภิกษุ เปนปาจิตตีย ทําแกบุคคลอื่นนอกจากภิกษุ เปนทุกกฏ ถาทําโดยไมโกรธ ไมเปน อาบตั ิ ภิกษผุ ูเปนอาทิกัมมิกะในสิกขาบทนี้ คือ พระฉพั พคั คีย ๖. ภิกษุโจทฟองภิกษุอื่นดวยอาบัติสังฆาทิเสสไมมีมูล (คือ ไมไดเห็นเอง ไมไดฟ งมา และไมไ ดส ังสยั ) ตอ งปาจติ ตีย โจทดวยอาบัติสังฆาทิเสสไมมีมูล ตองปาจิตตีย ตามสิกขาบทนี้ แตถาโจทดวย อาบัติอยางอ่ืนท่ีต่ํากวาสังฆาทิเสสไมมีมูลความจริง ตองอาบัติปาจิตตีย เพราะพูดมุสา (ตามสกิ ขาบทที่ ๑ มสุ าวาทวรรค) ภิกษุผูเปนอาทกิ ัมมกิ ะในสิกขาบทนี้ คอื พระฉัพพคั คยี ๗. ภกิ ษแุ กลง กอ ความรําคาญใหเกดิ แกภ ิกษุอนื่ ตองปาจติ ตยี คําวา แกลงกอความรําคาญ คือ หาเรื่องแกลงพูดใหเขาเกิดความกังวลใจ อยูไมเปนสุข เชน พูดวา ในเวลาท่ีทานอุปสมบท ทานแนใจไดอยางไรวา การอุปสมบทน้ัน ถึงพรอมดวยสมบัติทุกประการ ถาขาดหรือบกพรองไปอยางเดียว ทานก็ไมเปนพระแลว ทําให ภกิ ษนุ ัน้ เกดิ ความกงั วลสงสยั เชนนี้ เปน ปาจติ ตีย ภิกษผุ เู ปนอาทกิ มั มิกะในสกิ ขาบทนี้ คือ พระฉัพพัคคยี 282
2๒8๘3๑ วชิ า วนิ ัย ๘. เม่ือภิกษุวิวาทกันอยู ภิกษุไปแอบฟงความ เพ่ือจะไดรูวา เขาวาอะไรตนหรือ พวกของตน ตองปาจติ ตีย การแอบฟงความลับของผูอ่ืน ทางโลกถือวา เปนกิริยาท่ีไมเหมาะสม เปนการ ละเมิดสิทธสิ วนบุคคล จงึ ทรงบญั ญัติหามไวใ นสิกขาบทน้ี ภิกษุแอบฟงความที่ภิกษุวิวาทกัน เพ่ือเก็บมาเปนเคร่ืองโตเถียง เพื่อหาโทษ ใสกัน หรอื เพอ่ื เปนเครอื่ งมือยุยงใหแตกกัน ตอ งปาจติ ตีย ถา ไมไดต้งั ใจแอบฟง ไมตองอาบตั ิ ภกิ ษุผูเปนอาทิกัมมิกะในสกิ ขาบทน้ี คอื พระฉัพพัคคยี ๙. ภกิ ษใุ หฉันทะ คือ ความยอมใหท าํ สงั ฆกรรมทีเ่ ปน ธรรมแลว ภายหลังกลับ ตเิ ตียนสงฆผทู าํ สังฆกรรมนน้ั ตอ งปาจติ ตีย การทําสังฆกรรมน้ัน ทรงอนุญาตใหภิกษุทุกรูปประชุมพรอมกันในเขตสีมา ถาภิกษุบางรูปไมสามารถเขารวมสังฆกรรมได ใหนําฉันทะของภิกษุนั้นมา หากไมนํามา สงั ฆกรรมทสี่ งฆท าํ นนั้ ใชไ มไ ด ภิกษุใหฉันทะแลว ภายหลังกลับติเตียนสังฆกรรมท่ีสงฆทําถูกตองแลว เปนปาจิตตยี ติเตยี นสังฆกรรมท่ที าํ ไมถ กู ตอ ง ไมเปนอาบัติ ภกิ ษผุ เู ปน อาทิกมั มิกะในสิกขาบทน้ี คอื พระฉัพพคั คีย ๑๐. เมื่อสงฆกําลังประชุมกันตัดสินขอความขอหน่ึง ภิกษุใดอยูในท่ีประชุมนั้น จะหลีกไปในขณะท่ตี ัดสินขอน้ันยังไมเสร็จ ไมใ หฉ นั ทะลกุ ขน้ึ เสยี ตอ งปาจิตตยี ลุกไปเสียเพ่ือตองการจะใหกรรมเสีย พอละหัตถบาสไป ตองปาจิตตีย ลุกไป เพราะเหตุอยางอื่น เชน ลุกไปเพราะสงฆทํากรรมไมเปนธรรม เพราะเกรงจะเกิดการทะเลาะ วิวาท ปวดปสสาวะ อุจจาระ ลุกไปโดยต้ังใจจะกลับมาอีก หรือภิกษุเปนไขนั่งตอไปไมไหว เปนตน ไมเ ปน อาบัติ ภิกษผุ ูเปนอาทกิ มั มิกะในสกิ ขาบทน้ี คือ พระฉัพพัคคีย ๑๑. ภิกษุพรอมกับสงฆใหจีวรเปนบําเหน็จแกภิกษุรูปใดรูปหน่ึงแลว ภายหลัง กลบั ติเตยี นภกิ ษุอนื่ วา ใหเ พราะเห็นแกหนากัน ตอ งปาจติ ตยี มีธรรมเนียมอยูวา เมื่อลาภเกิดข้ึนแกสงฆ ไมสามารถท่ีจะแจกใหท่ัวถึงกันได ถาเปน บณิ ฑบาตหรอื เภสัช เก็บไวนานจะเสยี ทรงอนุญาตใหแจกตามลําดับ ถาเปนของท่ีเก็บไว ได เชน จีวร เปนตน ทรงอนุญาตใหเก็บไวจนกวาจะครบจํานวนภิกษุ จึงแจกกันได ถาจีวรแจก กันแลว เหลือเศษหรือจีวรนอย ไมพอแจกทรงอนุญาตใหสงฆอปโลกน ยกใหภิกษุผูทํากิจสงฆ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 283
2๒๘8๒4 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 เชน ผจู ัดการเสนาสนะ เปนตน ในสกิ ขาบทน้ี หมายเอาการใหจีวรเปนบําเหนจ็ ภิกษผุ ูเ ปน อาทกิ มั มกิ ะในสิกขาบทน้ี คือ พระฉัพพคั คีย ๑๒. ภิกษุรูอยู นอมลาภที่ทายกเขาตั้งใจจะถวายสงฆ มาเพ่ือบุคคล ตองปาจิตตีย ภิกษผุ เู ปนอาทิกมั มิกะในสิกขาบทนี้ คอื พระฉัพพัคคีย ๙. รตนวรรค หมวดวาดวยรตั นะ ๑. ภิกษุไมไดรับอนุญาตกอน เขาไปในหองท่ีพระเจาแผนดินเสด็จอยูกับ พระมเหสี ตอ งปาจิตตีย ภิกษผุ ูเ ปน อาทกิ มั มกิ ะในสกิ ขาบทนี้ คือ พระอานนท ๒. ภิกษุเห็นเคร่ืองบริโภคของคฤหัสถตกอยู ถือเอาเปนของเก็บไดเองก็ดี ให ผูอนื่ ถือเอาก็ดี ตองปาจิตตีย เวนไวแตของน้ันตกอยูในวัด หรือในที่อาศัย ตองเก็บไวให เจาของถา ไมเก็บ ตองทกุ กฏ เครื่องบรโิ ภคของคฤหัสถในสิกขาบทน้ี ทานหมายเอา รัตนะ คือ ของมีราคา ๑๐ ประการ ไดแ ก แกวมุกดา มณี ไพฑูรย สังข ศิลา ประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม โมรา รวมถึงของมี ราคาอยางอื่น ภิกษุเก็บเอง หรือใชใหผูอ่ืนเก็บเอาของเชนนั้น ในที่นอกเขตวัดตองปาจิตตีย ภายในเขตวัดไมตองอาบตั ิ ไมเ ก็บเปน ทุกกฏ ๓. ภิกษุไมบอกลาภิกษุอ่ืนที่มีอยูในวัดกอน เขาไปในบานในเวลาวิกาล ตอง ปาจติ ตีย เวนไวแตมีกจิ ดวน เวลาวิกาล ในสิกขาบทนี้ คัมภีรวิภังคกําหนดเอาตั้งแตเท่ียงวันไปจนถึง รุงอรณุ ของอกี วัน เหมือนกบั สกิ ขาบททว่ี า ดว ยการฉนั ภตั ตาหารในเวลาวิกาลในโภชนวรรค มีกจิ ดว น เชน ไฟไหมว ัด งพู ิษกดั เขาไปเพื่อหาคนมาชวย เปนตน ไมเปนอาบัติ ภิกษุผเู ปนอาทกิ ัมมกิ ะในสกิ ขาบทน้ี คอื พระฉัพพัคคีย ๔. ภิกษุทํากลองเข็ม ดวยกระดูกก็ดี ดวยงาก็ดี ดวยเขาก็ดี ตองปาจิตตีย ตอ งตอ ยกลองนน้ั เสียกอน จงึ แสดงอาบตั ิตก สิกขาบทน้ี มีชื่อเรียกวา เภทนกปาจิตตีย คือ อาบัติปาจิตตียที่ตองตอย (ทุบท้ิง 284
2๒8๘๓5 วชิ า วนิ ัย หรือทาํ ลาย) วัตถใุ หแ ตกเสียกอน จงึ จะแสดงอาบัติตก มีสกิ ขาบทนส้ี กิ ขาบทเดียว ใชกระดกู งา หรือเขา ทาํ บรขิ ารอยางอ่ืนใชสอย เปน ทกุ กฏ ๕. ภิกษุจะทําเตียงหรือตั่ง พึงทําใหมีเทาเพียง ๘ นิ้วพระสุคต เวนไวแตแมแคร ถาทําใหเกนิ กําหนดน้ี ตอ งปาจติ ตีย ตอ งตัดใหไดป ระมาณเสียกอน จึงแสดงอาบัตติ ก ขนาด ๑ น้ิวพระสุคต เทากับ ๓ น้ิวของคนปานกลางในบัดน้ี (พระไตรปฎกฉบับ ภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เลม ๒. ๒๕๓๙ : ๑๐๘) ภิกษุทําเองก็ดี ใชใ หผอู ืน่ ทาํ ก็ดี ใหเกนิ ประมาณ เปนปาจติ ตยี ถา ผอู ืน่ นํามาถวายแลว ใชสอย เปนทกุ กฏ สิกขาบทนี้ มีชื่อเรียกวา เฉทนกปาจิตตีย คือ อาบัติปาจิตตียที่ตองตัดวัตถุ เสียกอนจงึ แสดงอาบตั ติ ก ภิกษุผูเปนอาทิกมั มิกะในสิกขาบทน้ี คอื พระอุปนนั ทศากยบตุ ร ๖. ภิกษุจะทําเตียงหรือตั่งหุมนุน ตองปาจิตตีย ตองรื้อเสียกอน จึงแสดง อาบัตติ ก สิกขาบทน้ี มีชื่อเรียกวา อุททาลนกปาจิตตีย คือ อาบัติปาจิตตียที่ตองรื้อถอน นุนเสยี กอน จงึ แสดงอาบตั ติ ก ทําใชเอง เปนปาจิตตีย ทําใหผูอื่นเปนทุกกฏ ทําอยางอ่ืนนอกจากเตียงและต่ัง เปนทุกกฏเชน กัน ภิกษผุ ูเปนอาทิกัมมิกะในสิกขาบทน้ี คือ พระฉพั พคั คยี ๗. ภิกษุทําผาปูน่ัง (ผานิสีทนะ) พึงทําใหไดประมาณ ประมาณนั้นยาว ๒ คืบ พระสุคต กวางคืบคร่ึง ชายคืบครึ่ง ถาทําใหเกินกําหนดน้ี ตองปาจิตตีย ตองตัดใหได ประมาณเสียกอน จงึ แสดงอาบตั ิตก ผาปูนั่ง เรียกอีกอยางหน่ึงวา ผานิสีทนะ เบ้ืองตนทรงอนุญาตใหทํา ขนาดยาว ๒ คืบพระสุคต กวาง ๑ คืบคร่ึงพระสุคตเทาน้ัน ตอมา ปรากฏขนาดท่ีทรงกําหนดน้ัน ไมพอนัง่ สําหรบั ภกิ ษตุ วั ใหญ จึงทรงอนุญาตใหต อ ชายไดอกี คืบหน่งึ ภกิ ษุผูเ ปน อาทกิ มั มิกะในสกิ ขาบทนี้ คอื พระฉัพพัคคยี ๘. ภิกษุทําผานุงปดแผลพึงทําใหไดประมาณ ประมาณน้ันยาว ๔ คืบพระสุคต กวาง ๒ คืบ ถาทําใหเกินกําหนดนี้ ตองปาจิตตีย ตองตัดใหไดประมาณเสียกอน จึงแสดง อาบตั ติ ก เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 285
2๒๘8๔6 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ผา นุง ปดแผลน้ี ทรงอนุญาตสําหรับผูอาพาธ คือ เปนโรคอีสุกอีใส โรคมีนํ้าหนอง หรือโรคฝด าษ ใชนุงเพ่อื ปด บาดแผลภิกษตุ องทําใหไดป ระมาณตามท่ีกําหนด หากทําใหเกินตอง ปาจติ ตีย ตอ งตัดใหไ ดป ระมาณเสยี กอน จึงแสดงอาบัตติ ก ภกิ ษุผเู ปน อาทกิ มั มิกะในสิกขาบทน้ี คือ พระฉพั พัคคีย ๙. ภิกษุทําผาอาบน้ําฝน พึงทําใหไดประมาณ ประมาณนั้นยาว ๖ คืบพระสุคต กวาง ๒ คืบคร่ึง ถาทําใหเกินกําหนดน้ี ตองปาจิตตีย ตองตัดใหไดประมาณเสียกอน จงึ แสดงอาบตั ติ ก ภกิ ษุผูเปนอาทกิ มั มิกะในสกิ ขาบทน้ี คือ พระฉพั พัคคีย ๑๐. ภกิ ษุทําจีวรใหเทา จวี รพระสุคต (จีวรของพระพุทธเจา ) ก็ดี เกินกวา นัน้ ก็ดี ตอง ปาจิตตีย ประมาณจีวรของพระสุคตน้ัน ยาว ๙ คืบพระสุคต กวาง ๖ คืบ ตองตัดใหได ประมาณเสยี กอ น จึงแสดงอาบัตติ ก ภิกษผุ ูเ ปน อาทกิ มั มิกะในสกิ ขาบทน้ี คอื พระนนั ทะ สิกขาบทตั้งแต ๗ - ๑๐ จัดเปน เฉทนกปาจิตตีย ตองตัดใหไดประมาณ เสยี กอน จงึ จะแสดงอาบตั ิตก สรปุ ปาจติ ตยี การละเมิดสิกขาบทในปาจิตติยกัณฑน้ี ใหตองอาบัติปาจิตตียเสมอกัน แตมีความ เสยี หายเกดิ ขึ้นยง่ิ หยอนกวากัน ดงั น้ี หมวดที่ ๑ ลวงเขา แลว ทาํ ใหเ ปน คนเลว เชน พูดปด พดู สอเสยี ด ดม่ื สรุ าเมรัย หมวดที่ ๒ ลวงเขาแลวทําใหเปนคนดุราย เชน ดา ใหประหาร เง้ือมือดุจประหาร ฆา สัตวดริ จั ฉาน เปน ตน หมวดท่ี ๓ ลวงเขาแลวทําใหเสียหาย เชน นอนรวมในเขตหลังคาเดียวกันกับหญิง น่ังทล่ี บั กับหญิง เดนิ ทางกับผซู อ นภาษี หมวดที่ ๔ ลวงเขาแลวสอใหเปนคนซุกซน เชน วายนํ้าเลน หลอนใหกลัว ซอนของ เพือ่ ลอเลน แกลงพดู ใหเ กิดความราํ คาญ หมวดที่ ๕ ลวงเขาแลวสอใหคนเปนเสียกิริยา เชน นอมลาภ ฉันปรัมปรโภชนะ เขาไปนั่งแทรกแซงในบานที่เขากําลังบริโภคอาหาร ใชจีวรที่ไมไดถอนวิกัปป ติเตียนพระที่ทํา 286
2๒8๘7๕ วชิ า วนิ ัย กิจสงฆ เปนตน หมวดที่ ๖ ลวงเขาแลว สอ ใหเ หน็ ความสะเพรา เชน เอาของสงฆไปใชแลวไมเก็บ เอานํ้า มตี ัวสตั วร ดหญา บริโภคนา้ํ มีตัวสตั ว หมวดที่ ๗ ลวงเขาแลวทําใหเสียธรรมเนียม เชน นอนรวมกับอนุปสัมบัน ขุดดิน พราก ภตู คาม ฉนั อาหารในเวลาวกิ าล เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 287
๒2๘8๖8 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 กัณฑท ี่ ๘ ปาฏเิ ทสนียะ ๔ และเสขยิ วัตร ๗๕ ปาฏิเทสนยี ะ ๔ ปาฏิเทสนียะ แปลวา อาบัติท่ีตองแสดงคืน เปนช่ือของอาบัติท่ีภิกษุตองเขาแลว จะตองแสดงคืน จัดเปนลหุกาบัติ มีโทษเบา เปนสเตกิจฉา สามารถแกไขไดดวยการแสดง อาบตั ิตอ หนา ภกิ ษอุ นื่ มีท้ังหมด ๔ สิกขาบท ดังนี้ ๑. ภิกษุรับของเค้ียวของฉันแตมือนางภิกษุณี ผูไมใชญาติ ดวยมือของตนมา บริโภค ตอ งปาฏิเทสนยี ะ ของเคี้ยว ไดแก ของที่จัดเปนยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก ยาวชีวิก ภิกษุรับ ประเคนไวดว ยต้งั ใจวาจะฉนั เปน ทกุ กฏ ฉนั เขาไปเปนปาฏเิ ทสนยี ะทุก ๆ คาํ กลืน สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไวเพื่อไมใหภิกษุเบียดเบียนนางภิกษุณีผูมีลาภนอย หาม เฉพาะการรบั จากมือโดยตรง ถา นางภิกษณุ ีใชใ หผ อู นื่ ถวาย รับได ไมเปนอาบัติ ๒. ภิกษุฉันอยูในท่ีนิมนต ถามีนางภิกษุณีมาส่ังทายกใหเอาส่ิงน้ันส่ิงนี้มาถวาย เธอพงึ ไลนางภิกษุณีนน้ั ใหถ อยออกไปเสยี ถาไมไ ล ตองปาฏเิ ทสนียะ สกิ ขาบทน้ที รงบัญญัตไิ วเพ่ือปองกันไมใหภิกษุถูกตําหนิ เพราะการที่นางภิกษุณี ทาํ ตัวเจากี้เจาการใหทายกถวายของอยางน้ันอยางน้ี แกภิกษุรูปใดรูปหน่ึง ยอมจะทําใหคนมอง ไมดี และเขาใจผดิ วา ภกิ ษกุ บั นางภกิ ษณุ มี อี ะไรกันแบบชูสาว ๓. ภิกษุไมเปนไข เขาไมไดนิมนต รับของเคี้ยวของฉันในสกุลที่สงฆสมมติ (ยอมรบั รว มกัน) วาเปนเสขะ มาบรโิ ภค (ฉนั ) ตองปาฏเิ ทสนียะ ตระกูลท่ีไดรับสมมติวา เสขะ ทานหมายเอาตระกูลท่ีมีศรัทธามาก แตบริจาค ทรัพยทําบุญหมดส้ิน ประสบปญหาทางเศรษฐกิจยากจน ไดรับความลําบากในการกิน การอยู ตระกูลเชนนี้ทรงบัญญัติหามภิกษุบิณฑบาต เวนไวแตเขานิมนตหรือภิกษุอาพาธรับได เพราะ ไมตองการใหเ บยี ดเบยี นเขาใหลําบากซํา้ ลงไปอีก ๔. ภกิ ษุอยใู นเสนาสนะปาเปน ท่ีเปลย่ี ว ไมเปนไข รับของเคี้ยวของฉันที่ทายก 288
289 289 เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1
๒2๘9๘0 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ผอู ่นื มี ๑๖ สกิ ขาบท หมวดท่ี ๔ ช่ือวา ปกิณณกะ วาดวยกิริยามารยาทในการถายอุจจาระ ปสสาวะ และ บว นน้ําลาย มี ๓ สกิ ขาบท เสขยิ วตั รทัง้ ๗๕ สิกขาบทน้ี ทรงกําหนดใหส ามเณรศึกษาและปฏบิ ัตติ ามดว ย หมวดที่ ๑ สารูปะ (วาดวยขอ ประพฤตใิ นเวลาเขา บา น) ในสารูปหมวดท่ี ๑ มีทั้งหมด ๒๖ สิกขาบท จดั เปนคู ๆ ได ๑๓ คู ดังน้ี ¾ คทู ่ี ๑ (๑ – ๒) ภิกษุพงึ ทาํ ความศกึ ษาวา เราจกั นงุ - หมใหเ รยี บรอย นุงใหเรียบรอย ไดแก นุงสบงใหไดปริมณฑล เบ้ืองบนสูงเพียงเอวใหปดสะดือ ชายเบื้องลางใหอ ยรู ะดับประมาณครึ่งแขง หมใหเรียบรอย ไดแก หมจีวรใหไดปริมณฑล ทํามุมผาท้ัง ๒ ใหเสมอกัน ไมป ลอ ยใหผ าเลอื้ ยหนาเลือ้ ยหลัง ธรรมเนียมในปจจุบัน ถาอยูในบริเวณวัด ใหหมเฉวียงบา โดยปดบาและแขนซาย เปด บา ขา งขวา ถา ออกนอกวดั ใหห มคลุมปดบาและแขนท้ัง ๒ ขาง สูงปดหลุมคอ ชายอยูระหวาง ครง่ึ แขง ¾ คูที่ ๒ (๓ – ๔) ภกิ ษุพึงทําความศกึ ษาวา เราจักปด กายดวยดี ไป – น่งั ในบา น เมื่อนุงหมเรียบรอยแลว เวลายืน เดิน น่ังในบานตองระมัดระวัง อยาใหผาเลื่อนลง ตอ งคอยชักปกปดอวยั วะทก่ี ําหนดใหปด ¾ คูท่ี ๓ (๕ – ๖) ภกิ ษุพงึ ทาํ ความศึกษาวา เราจักระวงั มือเทาดวยดี ไป – นัง่ ในบาน คอื หา มเลนมือ เลนเทาขณะอยูในบาน เชน กระดิกมือ กระดิกเทาเลน เปนตน ซึ่งสอ ใหเหน็ การไมสํารวม ¾ คทู ี่ ๔ (๗ – ๘) ภกิ ษพุ งึ ทาํ ความศกึ ษาวา เราจกั มีตาทอดลง ไป – นง่ั ในบาน คือ ทอดสายตาตา่ํ ลงหางตวั ประมาณหน่ึงวา มิใหสอดสา ยสายตาหันมองโนนมองน่ี 290
2๒9๘๙1 วชิ า วนิ ยั ¾ คทู ่ี ๕ (๙ – ๑๐) ภิกษุพึงทาํ ความศกึ ษาวา เราจกั ไมเ วิกผา ไป – นงั่ ในบา น การเวกิ ผา คือการถกชายจวี รขน้ึ พาดบา เปด ใหเห็นสีขางดูไมงาม ¾ คทู ่ี ๖ (๑๑ – ๑๒) ภกิ ษุพงึ ทาํ ความศกึ ษาวา เราจักไมห วั เราะ ไป – นง่ั ในบา น การหวั เราะเฮฮา หรอื การกระซิกกระซีเ้ พือ่ ใหค ร้ืนเครงเปนการเสยี สงั วร ¾ คทู ่ี ๗ (๑๓ – ๑๔) ภิกษพุ งึ ทําความศึกษาวา เราจกั ไมพดู เสยี งดัง ไป – นั่ง ในบาน พูดเสียงปกติธรรมดา คือ นั่งหางกัน ๖ ศอก ไดยินชัดเจนไมใหเปลงเสียงดังหรือ ตะโกน แตพดู ไมลออกเสียงเพ่อื แสดงธรรมไมผ ิด ¾ คทู ่ี ๘ (๑๕ – ๑๖) ภิกษพุ ึงทาํ ความศกึ ษาวา เราจักไมโคลงกาย ไป – นงั่ ในบาน หามไมใหโคลงกายไปมา เวลาเดิน ยืน หรือนั่ง ตองต้ังตัวใหตรง แตมิใชนั่งเบงตัว เพ่ืออวดตวั เอง ¾ คูท ่ี ๙ (๑๗ – ๑๘) ภกิ ษุพึงทาํ ความศึกษาวา เราจกั ไมไกวแขน ไป – นงั่ ในบาน หามกางแขนออกแกวงไกว เพอื่ แสดงตนใหดดู ี หรือเพื่อแสดงลีลานวยนาด ใหหอย แขนแนบลาํ ตัวตามปกติ ถากางแขนออกเพราะจาํ เปน ไมต อ งอาบัติ ¾ คูท ่ี ๑๐ (๑๙ – ๒๐) ภกิ ษุพึงทําความศกึ ษาวา เราจักไมส่ันศรี ษะ ไป – นงั่ ในบา น หามไมใหเ ดินหรอื นั่งคอพับ เอียงไปขางใดขางหน่ึง ตองตั้งศีรษะใหตรง การพยักหนา ในขณะพดู ก็จดั เปนการสน่ั ศรี ษะเหมือนกนั ¾ คูท่ี ๑๑ (๒๑ – ๒๒) ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราจักไมเอามือค้ํากาย ไป – น่ัง ในบา น หามไมใหเอามือเทาสะเอว ไมนั่งเทาแขน ไมเทาศอกบนโตะ หรือนั่งคํ้าคาง เปน ตน เพราะดูไมง าม ¾ คูที่ ๑๒ (๒๓ – ๒๔) ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราจักไมเอาผาคลุมศีรษะ ไป – นง่ั ในบาน หา มไมใ หเอาผาคลุม โพกหรอื มัดศรี ษะเหมือนฆราวาส ¾ ขอท่ี ๒๕ ภิกษุพงึ ทําความศึกษาวา เราจักไมเดนิ กระโหยง เทาในบา น คือหามเดินเขยงเทา ทําตัวใหสูง รวมถึงการเดินอยางอื่น ท่ีไมใชการเดินเหยียบ ตามปกติ เชน การเดนิ ตะแคงเทา การเดนิ ลากสน เปน ตน เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 291
2๒๙9๐2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ¾ ขอ ท่ี ๒๖ ภกิ ษพุ งึ ทําความศกึ ษาวา เราจักไมน งั่ รัดเขาในบา น หา มมใิ หน งั่ ยอง ๆ เอามอื รดั เขา หรอื เอาผารดั รอบ เพราะดไู มงาม ขอท่ี ๑ – ๒ ตองถือปฏิบัติท้ังในวัดและในบาน ต้ังแตขอ ๓ – ๒๖ ตองถือปฏิบัติ เครง ครัดในบาน แตถาเขาจัดทพี่ ักแรมในบา น ภกิ ษจุ ะปฏิบตั ติ นเหมอื นอยใู นวดั กไ็ ด หมวดท่ี ๒ โภชนปฏสิ ังยุต (วาดวยการรบั และฉันภตั ตาหาร) มีทัง้ หมด ๓๐ สกิ ขาบท ดงั นี้ ๑. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ คือ รับบิณฑบาต ดวยความเต็มใจ ไมแสดงอาการดหู มนิ่ ดูแคลน ๒. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เมื่อรับบิณฑบาตเราจักแลดูแตในบาตร คือ ในขณะทร่ี ับบิณฑบาต หา มมองดูหนาทายก หรอื มองไปทางอ่ืน ใหมองดูแตในบาตรเทานั้น ๓. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราจักรับแกงพอควรแกขาวสุก คือเวลารับ บณิ ฑบาต ทานหามรบั แตรายทีม่ กี ับขา ว โดยผานทายกผใู สแตขาวเปลาไปเสีย และเวลารับกับขาว กใ็ หรับแตพ อดีกับขาวสกุ รับอาหารมากกวา ขาวไมค วร ๔. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราจักรับบิณฑบาตแตพอเสมอขอบปากบาตร คือ ขอบบาตรนน้ั หมายเอาขอบลา ง ภิกษุรับเอาเกินของปากบาตร เพราะโลภเปนอาบัติ ถารับดวย อาการรกั ษาศรทั ธา หรือเพอื่ อนุเคราะหด ว ยเมตตา ไมถ ือวาผดิ ๕. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราจักฉันบิณฑบาตโดยเคารพ คือ ฉันเพ่ือยังชีพให เปน อยู ไมแสดงอาการรงั เกยี จวา เปน ของท่ีไมด ี ไมอ รอย ไมช อบ ๖. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เม่ือฉันบิณฑบาต เราจักแลดูแตในบาตร คือ ขณะ ฉันหามแลดูสง่ิ อืน่ เพราะการมองดโู นนดนู ่ี ขณะกําลงั เคย้ี วอยูในปากเปนกริ ิยาท่ีไมงาม ๗. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราจักไมขุดขาวสุกใหแหวง คือ หามไมใหหยิบ ขาวในที่เดยี ว จนเปน หลุมลึกลงไป ๘. ภกิ ษุพงึ ทาํ ความศึกษาวา เราจักฉันแกงพอสมควรแกขาวสุก คือ หามไมให ฉันเฉพาะแกง ใหฉันขาวกบั อาหารพอ ๆ กัน และไมฉันแบบตะกละตะกลาม ๙. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราจักไมฉันขยุมขาวสุกแตยอดลงไป คือ เมื่อมี 292
2๒9๙3๑ วชิ า วนิ ยั ขา วพูนเปน ยอดตองเกลย่ี ใหเ สมอกนั แลว จงึ ฉนั ๑๐. ภกิ ษพุ ึงทาํ ความศึกษาวา เราจกั ไมกลบแกงหรือกับขาวดวยขาวสุก เพราะ อยากไดมาก คอื เมอื่ ฉันในกจิ นิมนตทายกจะคอยอังคาส คือ เติมของฉันถวาย หามมิใหเอาขาว สกุ กลบแกง ๑๑. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราไมเจ็บไข จักไมขอแกงหรือขาวสุก เพ่ือ ประโยชนแกตนมาฉัน คือ ถา ขอกบั ญาตหิ รือผูปวารณาได หรือขอมาใหภกิ ษผุ อู าพาธกไ็ ด ๑๒. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราจักไมดูบาตรของผูอ่ืนดวยคิดจะยกโทษ คือ ไมแลดูบาตรของภิกษุสามเณรอื่นดวยคิดจะตําหนิวาฉันมาก ฉันมูมมาม เปนตน ถาแลดูดวยคิด จะใหของฉนั ทีเ่ ขายังไมม ี ควรอยู ๑๓. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราไมทําคําขาวใหใหญนัก ของอยางอ่ืนที่ไมใช ขา วก็หา ม ไมใ หทาํ คาํ ใหญ เพราะทําใหดูไมงาม ๑๔. ภิกษุพึงทําความศกึ ษาวา เราจักทําคาํ ขา วใหกลมกลอม คือ ทําใหเปนคําขนาด พอดปี าก ๑๕. ภกิ ษพุ งึ ทําความศึกษาวา เม่ือคําขาวยังไมถึงปาก จักไมอาปากไวคอยทา คือ ไมใหอา ปากไวก อนสงขา วเขา ปาก เมื่อยกคําขาวมาจอท่ีปากแลวจึงอารับได และขณะที่เคี้ยวอยู หามอา ปาก ใหห บุ ปากเคี้ยว ๑๖. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เมื่อฉันอยู เราจักไมเอามือสอดเขาปาก คือ หา มเอาน้ิวมอื ลว งเขาไปในปาก หรือดดู เลยี นว้ิ มือ เพราะทําใหด สู กปรก ๑๗. ภกิ ษพุ ึงทําความศึกษาวา เมื่อคําขาวอยูในปาก เราจักไมพูด คือ ขณะท่ีเค้ียว อาหารอยู หามพูด เพราะจะทําใหเหน็ อาหารท่ีอยใู นปาก และอาหารอาจรว งจากปาก ดนู าเกลียด ๑๘. ภกิ ษุพึงทาํ ความศึกษาวา เราจักไมโยนคําขาวเขา ปาก คือ ไมโยนคําขาวแลวอา ปากรบั เพราะเปน กิริยาทซ่ี ุกซน ๑๙. ภิกษพุ ึงทําความศึกษาวา เราจักไมฉันกัดคําขาว กัดของอ่ืน เชน ขนมแข็ง หรือ ผลไม ไมหาม ขอ นี้บัญญตั เิ พอื่ มิใหฉนั มูมมาม ๒๐. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราจักไมฉันทํากระพุงแกมใหตุย หามฉันอมไว มาก ๆ จงึ เคี้ยว เพราะเวลาเคย้ี วจะทําใหแ กมตยุ ออกมา ดไู มง าม ๒๑. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราจักไมฉันพลางสะบัดมือพลาง ขอน้ีทาน หามสะบดั มอื เมื่อมีขาวสุกติดมือใหลางดวยนํา้ ๒๒. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราจักไมฉันโปรยเมล็ดขาว คือ หามไมใหทําขาว เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 293
๒2๙9๒4 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 หกลงในบาตรหรอื บนพ้นื ๒๓. ภกิ ษุพึงทําความศกึ ษาวา เราจกั ไมฉนั แลบลิ้น เพราะเปนกิรยิ าท่ีนาเกลยี ด ๒๔. ภิกษพุ ึงทาํ ความศกึ ษาวา เราจักไมฉนั ดังจบั ๆ ๒๕. ภิกษพุ งึ ทําความศึกษาวา เราจักไมฉันดงั ซดู ๆ ๒๖. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราจักไมฉันเลียมือ คือแลบล้ินเลียอาหารท่ีติดมือ หรอื ตดิ ชอ นสอ มเขาปาก ๒๗. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราจักไมฉันขอดบาตร คือขาวเหลือนอยไมพอคํา หา มไมใหต ะลอมรวมเขาฉนั ๒๘. ภิกษพุ งึ ทาํ ความศกึ ษาวา เราจกั ไมฉ นั เลียรมิ ฝปาก ๒๙. ภกิ ษุพึงทาํ ความศกึ ษาวา เราจกั ไมเ อามือท่เี ปอนจบั ภาชนะนํ้า ๓๐. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราจักไมเอานํ้าลางบาตร ท่ีมีเมล็ดขาวเทในบาน แมไ มมีเมล็ดขา วกไ็ มควรเท ควรเทในทท่ี ่ีควรเท หมวดท่ี ๓ ธมั มเทสนาปฏิสังยตุ (วา ดวยการแสดงธรรม) มี ๑๖ สิกขาบท ดงั นี้ ๑. ภิกษพุ ึงทาํ ความศกึ ษาวา เราจกั ไมแ สดงธรรมแกค นไมเ ปนไข มรี ม ในมอื ๒. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราจักไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไข มีไมพลอง ในมอื ๓. ภกิ ษุพึงทาํ ความศกึ ษาวา เราจกั ไมแ สดงธรรมแกคนไมเปนไข มอี าวุธ ในมอื ๔. ภิกษพุ งึ ทาํ ความศกึ ษาวา เราจกั ไมแสดงธรรมแกคนไมเ ปนไข มีศสั ตราในมือ ๕. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราจักไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไข สวมเขียงเทา คือ สวมรองเทา มีสน ๖. ภิกษพุ งึ ทําความศึกษาวา เราจักไมแ สดงธรรมแกคนไมเปนไข สวมรองเทา ๗. ภิกษพุ ึงทําความศกึ ษาวา เราจักไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไข ผูไปในยาน คือ อยูระหวางเดินทางดวยยานพาหนะ ถาน่ังในรถหรือเรือลําเดียวกัน แสดงได แตถาไมไดนั่งในยาน เดยี วกนั หามแสดง 294
2๒9๙๓5 วชิ า วนิ ยั ๘. ภกิ ษพุ งึ ทําความศกึ ษาวา เราจกั ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไข อยบู นทน่ี อน ๙. ภกิ ษพุ งึ ทาํ ความศึกษาวา เราจกั ไมแ สดงธรรมแกคนไมเ ปนไข นงั่ รัดเขา ๑๐. ภกิ ษพุ งึ ทําความศึกษาวา เราจักไมแสดงธรรมแกค นไมเ ปนไข พนั ศีรษะ ๑๑. ภกิ ษพุ งึ ทําความศึกษาวา เราจักไมแสดงธรรมแกคนไมเ ปนไข คลมุ ศรี ษะ ๑๒. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เรานั่งอยูบนดิน จักไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไข นง่ั บนอาสนะ ๑๓. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เรานั่งบนอาสนะตํ่า จักไมแสดงธรรมแก คนไมเปนไข นั่งบนอาสนะสูง ๑๔. ภิกษุพงึ ทําความศกึ ษาวา เรายนื อยู จกั ไมแ สดงธรรมแกคนไมเปนไข นั่งอยู ๑๕. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราเดินไปขางหลัง จักไมแสดงธรรมแกคนไม เปนไข ผูเดนิ ไปขางหนา ๑๖. ภิกษุพึงทําความศึกษาวา เราเดินไปนอกทาง จักไมแสดงธรรมแกคน ไมเ ปนไข ผูไ ปในทาง ท้ัง ๑๖ สิกขาบทนี้ เปนขอหามไมใหภิกษุแสดงธรรมแกผไู มทําความเคารพใน พระธรรม ภิกษผุ ไู มเ อื้อเฟอ ตองอาบัติทุกกฏในทุกสกิ ขาบท หมวดที่ ๔ ปกณิ ณกะ (วา ดว ยเรอื่ งเบ็ดเตล็ด) มี ๓ สกิ ขาบท ดงั นี้ ๑. ภกิ ษพุ งึ ทาํ ความศกึ ษาวา เราไมเปน ไข จักไมยืนถายอจุ จาระ ถา ยปสสาวะ ๒. ภกิ ษพุ งึ ทําความศึกษาวา เราไมเปนไข จักไมยืนถายอุจจาระ ถายปสสาวะ บว นเขฬะ (เสมหะหรือเสลด, นํ้าลาย) ลงในของเขยี ว ของเขียวในสิกขาบทน้ี ไดแก พืช ผัก หญา หรือขาวกลา เปนตน ที่เขาปลูกไวเพ่ือ นาํ ไปใชประโยชน ของเขียวท่คี นไมตอ งการ ไมจัดเขา ในสกิ ขาบทน้ี ๓. ภิกษพุ งึ ทาํ ความศึกษาวา เราไมเปนไข จักไมยืนถายอุจจาระ ถายปสสาวะ บว นเขฬะ ลงในน้าํ ในนาํ้ ในสิกขาบทนี้ หมายเอา นํ้าทเ่ี ขาตองใชส อย น้าํ ที่ไมม ีคนใช ไมเ ปน อาบตั ิ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 295
๒2๙9๔6 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 กัณฑท่ี ๙ อธิกรณสมถะ ๗ อธิกรณ คือ เรื่องที่เกิดขึ้นแลว สงฆจะตองดําเนินการใหเรียบรอย แบงเปน ๔ ประเภท คือ ๑. ความเถียงกันวา สิ่งน้ันเปนธรรมเปนวินัย ส่ิงน้ีไมใชธรรมไมใชวินัย เรียก วิวาทาธิกรณ คือ เรือ่ งท่ภี กิ ษโุ ตเถียงกนั เกย่ี วกับพระธรรมวนิ ยั วา ถกู หรือผิด ใชหรือไมใ ช ๒. ความโจทกันดวยอาบัตินั้น เรียก อนุวาทาธิกรณ คือ เรื่องที่ภิกษุโจท (หรือกลาวหา) กันดว ยอาบัติ การโจทกันดวยอาบัตินี้ พระพทุ ธองคทรงอนุญาตใหทําแกภิกษุผูไมมียางอาย คือ ตองอาบัติแลววางเฉยเสีย เพ่ือใหสงฆวินิจฉัยปรับโทษตามอาบัติ อนุวาทาธิกรณน้ี เมื่อเกิดข้ึนแลว สงฆจ ะตอ งวนิ ิจฉยั วา จริงตามท่ีโจทหรอื ไม ๓. อาบตั ทิ ั้งปวง เรียก อาปต ตาธกิ รณ การปรับอาบัติ และวิธีการออกจากอาบัติ เปนเรื่องท่ีภิกษุผูตองอาบัติจะตอง ทําคืน กลาวคือ ทําตัวเองใหพนจากอาบัติ โดยการแสดงอาบัติบาง อยูกรรมบาง ลาสิกขาบาง ตาม โทษแหงอาบัติที่ตนลวงละเมดิ ๔. กจิ ท่ีสงฆจะพึงทํา เรยี ก กิจจาธิกรณ คอื เรือ่ งท่เี กี่ยวกบั กิจตา ง ๆ ของพระสงฆ เชน การใหอ ปุ สมบท การกรานกฐิน การลงอโุ บสถ เปนตน กจิ จาธกิ รณน้ี เมอ่ื เกิดข้นึ แลว สงฆจะตอ งทําใหเสร็จ อธกิ รณทง้ั ๔ นี้ เมื่อเกิดข้ึนแลว เปนหนาที่ของสงฆที่ตองจัดตองทําแกไขใหเรียบรอย และใหถ ูกตอ งตามหลักที่พระพุทธองคทรงบัญญัติไว ท่เี รยี กวา อธิกรณสมถะ ๗ 296
2๒9๙7๕ วชิ า วนิ ยั อธิกรณสมถะ ๗ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 อธิกรณสมถะ คือ ธรรมเครือ่ งระงับอธิกรณ หรือ วธิ รี ะงับอธกิ รณ มี ๗ อยา ง คอื ๑. สัมมุขาวินัย คือ วิธีระงับในที่พรอมหนา ไดแก การระงับที่พรอมดวยองค ๔ ประการ คอื ๑) สงฆป ระชมุ กันครบกําหนด (พรอ มหนา สงฆ) ๒) บคุ คลท่ีเก่ียวขอ งในเร่ืองน้ัน (พรอมหนา บคุ คล) ๓) ยกเร่ืองท่ีเกดิ ข้ึนแลวมาวนิ ิจฉยั (พรอมหนาวตั ถุ) ๔) ผลการวนิ ิจฉยั ถกู ตอ งตามพระธรรมวนิ ัย (พรอมหนาธรรม) สมั มขุ าวินัยใชร ะงับอธกิ รณไ ดทกุ เรื่อง ๒. สติวินัย คือ วิธีระงับโดยยกสติขึ้นเปนหลัก กลาวคือ สวดประกาศใหสมมติ แดพระอรหันตวาเปนผูมีสติสมบูรณ เปนผูไดรับการยกเวนจากอาบัติทุก ๆ อยาง เพื่อระงับ อนวุ าทาธกิ รณในกรณีทม่ี ผี โู จทดวยอาบัตทิ ่เี ธอลวงละเมดิ ในขณะเปนบา ๓. อมฬู หวินัย คือ วิธรี ะงบั โดยการสวดประกาศสมมติใหแกภิกษุผูหายเปนบา แลว เพือ่ ระงบั อนุวาทาธิกรณในกรณีท่ีมผี โู จทดว ยอาบัติทเี่ ธอลว งละเมิดในขณะเปน บา ๔. ปฏญิ ญาตกรณะ คือ วิธีระงับตามคํารับสารภาพของจําเลย กลาวคือ จําเลย ยอมรับสารภาพวาตองอาบัติเชนใด ก็ใหปรับอาบัติตามที่รับ การปลงอาบัติ จัดเปน ปฏญิ ญาตกรณะดว ยวธิ ีน้ี ใชระงบั เฉพาะอาปตตาธกิ รณ ๕. เยภุยยสิกา คือ วิธีระงับดวยถือเสียงขางมาก คือ ตัดสินตามเสียงขางมาก (ระบบประชาธิปไตย) สงฆจะใชวธิ ีนีใ้ นกรณีที่บุคคลหลายฝา ยมคี วามเห็นไมต รงกนั 297
2๒๙9๖8 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๖. ตัสสปาปยสิกา คือ กิริยาที่ลงโทษแกผูผิด หรือ วิธีระงับดวยการลงโทษแก ผูทําผิดจริง ซึ่งเบื้องตนไมยอมรับ ตอเม่ือพิจารณาตัดสินแลวจึงยอมรับ เปนวิธีเพ่ิมโทษ แกภิกษุ ผูประพฤติผิดอีกโสดหน่ึงจากความผิดเดิม เชนเดียวกับคนทําความผิดหลายคร้ัง ตองรับโทษเพิ่ม ตามกฏหมายของบานเมือง ๗. ติณวัตถารกวินัย คือ ระเบียบดังกลบไวดวยหญา หรือ วิธีระงับดุจใชหญา กลบไวในลักษณะแบบประนีประนอม ไดแก กิริยาที่ใหประนีประนอมกันท้ังสองฝาย ไมตอง ชําระสาวหาความ เดิมวิธีน้ี สําหรับใชในเร่ืองที่ยุงยากและเปนเรื่องสําคัญอันจะเปนเคร่ือง กระทบกระเทอื นไปทั่ว เชน เรอ่ื งภิกษชุ าวเมืองโกสัมพแี ตกสามัคคีกันเปนตวั อยาง วิธรี ะงับอธกิ รณ อธกิ รณสมถะ ๗ อยางน้ี กาํ หนดใหใชระงบั อธิกรณ ๔ อยา งได ดงั นี้ ๑. สัมมุขาวินัย ใชร ะงบั อธิกรณไดท้ัง ๔ อยาง ๒. สติวินัย อมฬู หวนิ ัย และ ตัสสปาปย สกิ า ใชร ะงับไดเฉพาะอนุวาทาธิกรณ ๓. ปฏญิ ญาตกรณะ และ ติณวัตถารกวนิ ยั ใชระงบั อาปตตาธกิ รณแ ละอนุวาทาธิกรณ ๔. เยภยุ ยสิกา ใชระงับเฉพาะววิ าทาธกิ รณ 298
2๒9๙๗9 วชิ า วนิ ัย กัณฑท ี่ ๑๐ มาตรา กิรยิ ากําหนดประมาณ เรียกวา มาตรา ในพระวินัยบัญญตั มิ บี างสิกขาบทระบุถึงมาตราไว ซึ่งในวนิ ัยมุขทา นแจกเปน ๕ ประเภท คือ ๑. มาตราเวลา หลักแหงมาตรา กําหนดเอาการหมุนเวียนแหงพระอาทิตยรอบโลกครั้งหน่ึงเปน วันหน่ึง นับต้ังแตเห็นแสงอาทิตยเร่ือ ๆ ซึ่งเรียกวา อรุณ มีท้ังวิธีกระจายออก และวิธีผนวกเขา จะกลา วเฉพาะวิธหี ลังกําหนดตามโคจรแหงพระจันทร ดงั น้ี ๑๕ วนั บา ง ๑๔ วนั บา ง เปน ๑ ปกษ ๒ ปกษ เปน ๑ เดอื น ๔ เดอื น เปน ๑ ฤดู ๓ ฤดู เปน ๑ ป เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 299
3๒๙0๘0 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี ๑๕ วนั บาง ๑๔ วันบา ง พระจันทรโคจรรอบโลก ๑ หน ใน ๒๙ วันครึ่ง จะนับ ๒๙ วัน เปน ๑ เดือน ก็หยอนไป จะนับ ๓๐ วัน เปนเดือนก็ย่ิงไป จึงตองนับ ๕๙ วัน เปน ๒ เดือน แลวแบงเดือนหน่ึงใหมี ๓๐ วัน อกี เดอื นหนึ่งใหมี ๒๙ วัน เพราะเหตุน้นั ๑ ปกษ จงึ มี ๑๕ วนั บาง ๑๔ วนั บา ง ในช่ัวพระจันทรโคจรรอบโลกน้ัน ถึงจักรราศีหางจากพระอาทิตยออกเพียงใด ก็ยิ่ง สวา งขึน้ เพียงนัน้ จนแลเหน็ สวา งเต็มดวง เรียกวา พระจันทรเพ็ญ วันที่พระจันทรสวางเต็มดวง เรียกวา วันปุรณมี หรือ วันเพ็ญ สวนปกษที่พระจันทรโคจรหางจากพระอาทิตย เรียกวา ศุกลปก ษ แปลวา ซกี มืด ๒ ปกษนับเปน ๑ เดือน เดือนนั้น ตัง้ ช่ือตามดาวฤกษ ท่วี าพระจันทรโคจรถึงวนั เพญ็ เวลาเทีย่ งคืน ดังนี้ เดือนทัง้ ๑๒ มชี ือ่ เรยี กอยา งนี้ มาคสริ มาส เดือน ๑ (อาย) ปุสสมาส เดอื น ๒ (ย่ี) มาฆมาส เดอื น ๓ ผคั คุณมาส เดอื น ๔ จติ ตมาส เดอื น ๕ เวสาขมาส หรอื วิสาขมาส เดอื น ๖ เชฏฐมาส เดอื น ๗ อาสาฬหมาส เดอื น ๘ สาวนมาส เดอื น ๙ ภทั ทปทมาส เดอื น ๑๐ อสั สยุชมาส หรอื ปฐมกตั ตกิ มาส เดือน ๑๑ กตั ติกมาส เดือน ๑๒ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 300
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334