5๕๑1 วชิ า ธรรมวภิ าค ๑. รูปายตนะ อายตนะคอื รูป ๒. สทั ทายตนะ อายตนะคอื เสียง ๓. คนั ธายตนะ อายตนะคือกลิน่ ๔. รสายตนะ อายตนะคอื รส ๕. โผฏฐัพพายตนะ อายตนะคอื โผฏฐัพพะ ๖. ธมั มายตนะ อายตนะคือธรรมารมณ อายตนะภายนอก หมายถงึ สงิ ทถี ูกรบั รหู้ รอื สมั ผสั ไดด้ ้วยอายตนะภายในทงั ๖ อยา่ ง ไดแ้ ก่ ๑. รูป คอื สงิ ทสี ามารถเหน็ ไดด้ ว้ ยตา เรยี กว่า รูปายตนะ ๒. เสยี ง คอื สงิ ทสี ามารถไดย้ นิ ดว้ ยหู เรยี กว่า สทั ทายตนะ ๓. กลิ่น คอื สงิ ทสี ามารถสดู ดมไดด้ ว้ ยจมกู เรยี กวา่ คนั ธายตนะ ๔. รส คอื สงิ ทสี ามารถลมิ รสไดด้ ว้ ยลนิ เรยี กวา่ รสายตนะ ๕. โผฏฐัพพะ คอื สงิ ทสี ามารถสมั ผสั ไดด้ ว้ ยกาย เรยี กวา่ โผฏฐพั พายตนะ ๖. ธรรมารมณ คอื สงิ ทสี ามารถรสู้ กึ ไดท้ างใจ เรยี กว่า ธัมมายตนะ ทงั ๖ นี เรยี กอกี อย่างหนึงว่า อารมณ เพราะเป็นธรรมชาตเิ หนียวรงั จติ ใหเ้ ป็นไปต่าง ๆ ตามวสิ ยั ของตน อายตนะภายในกบั อายตนะภายนอก เป็นสงิ ทเี ชอื มต่อกนั เป็นคู่ ๆ ไป เช่น ตาคกู่ บั รปู หคู กู่ บั เสยี ง เป็นตน้ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 51
5๕๒2 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี วิญญาณ แปลว่า ความรูแจง เป็นระบบการรู้ของจติ หลงั จากทไี ด้สมั ผสั กบั อารมณ์หรอื สงิ ทมี ากระทบ เป็นระบบการรทู้ เี กดิ จากประสาทสมั ผสั มี ๖ ประการ - รทู้ างตาเพราะรปู มากระทบ เรยี กวา่ จกั ขวุ ญิ ญาณ - รทู้ างหเู พราะเสยี งมากระทบ เรยี กวา่ โสตวญิ ญาณ - รทู้ างจมกู เพราะกลนิ มากระทบ เรยี กว่า ฆานวญิ ญาณ - รทู้ างลนิ เพราะรสมากระทบ เรยี กวา่ ชวิ หาวญิ ญาณ - รทู้ างกายเพราะโผฏฐพั พะมากระทบ เรยี กว่า กายวญิ ญาณ (โผฏฐพั พะ คอื อารมณ์ทมี าถกู ตอ้ งกาย) - รทู้ างใจ เพราะอารมณ์ทเี กดิ กบั ใจมากระทบ เรยี กวา่ มโนวญิ ญาณ วญิ ญาณทงั ๖ ประการนี เป็นปจั จยั ใหเ้ กดิ นามรปู เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 52
5๕3๓ วชิ า ธรรมวิภาค สัมผัส หรอื ผัสสะ หมายถงึ การถูกตองกัน หรอื การกระทบกัน ระหว่างอายตนะ ภายในมตี าเป็นตน้ กบั อายตนะภายนอกมรี ปู เป็นตน้ และวญิ ญาณมจี กั ขวุ ญิ ญาณเป็นต้น เรยี กชอื ตามสงิ ทมี ากระทบอายตนะภายใน มี ๖ ประการ คอื ๑. ตา + รปู + จกั ขวุ ญิ ญาณ = จกั ขสุ มั ผสั ๒. หู + เสยี ง + โสตวญิ ญาณ = โสตสมั ผสั ๓. จมกู + กลนิ + ฆานวญิ ญาณ = ฆานสมั ผสั ๔. ลนิ + รส + ชวิ หาวญิ ญาณ = ชวิ หาสมั ผสั ๕. กาย + โผฏฐพั พะ + กายวญิ ญาณ = กายสมั ผสั ๖. ใจ + ธรรมารมณ์ + มโนวญิ ญาณ = มโนสมั ผสั การทจี ะเรยี กว่า ผัสสะ หรอื สัมผัส นัน ต้องมอี งคป์ ระกอบ ๓ อย่าง มาประกอบกนั คอื อายตนะภายใน อายตนะภายนอกหรอื อารมณ์ และวญิ ญาณ สัมผัส หรอื ผัสสะ ทงั ๖ นี เปนปจจัยใหเกิดเวทนา (ความรสู้ กึ สุข ทุกข์ หรอื ไม่สุข ไม่ ทกุ ข)์ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 53
5๕๔4 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 การกระทบของอายตนะภายในกับอายตนะภายนอกและวิญญาณ เรยี กว่า สัมผัส และสมั ผสั นีเองเป็นปจั จยั ใหเ้ กดิ เวทนา คอื เป็นสุขบา้ ง ทุกขบ์ า้ ง ไม่สุขไม่ทุกขบ์ า้ ง มชี อื เรยี ก ตามอายตนะภายใน เวทนา แปลว่า การเสวยอารมณ หมายถงึ การรบั รหู้ รอื ความรสู้ กึ ต่ออารมณ์ทมี ากระทบ (สมั ผสั ) แล้วเกดิ ความรูส้ กึ ตามปจั จยั ทมี ากระทบ ถ้าปจั จยั ดี กเ็ ป็นสุข ไม่ดกี ็เป็นทุกข์ ไม่ดไี ม่ชวั กร็ สู้ กึ เฉย ๆ ไมเ่ ป็นสขุ หรอื ทกุ ข์ มี ๖ อยา่ ง คอื - ความรสู้ กึ อารมณ์อนั มากระทบทางตา เรยี กวา่ จกั ขสุ มั ผสั สชาเวทนา - ความรสู้ กึ อารมณ์อนั มากระทบทางหู เรยี กว่า โสตสมั ผสั สชาเวทนา - ความรสู้ กึ อารมณ์อนั มากระทบทางจมกู เรยี กว่า ฆานสมั ผสั สชาเวทนา - ความรสู้ กึ อารมณ์อนั มากระทบทางลนิ เรยี กวา่ ชวิ หาสมั ผสั สชาเวทนา - ความรสู้ กึ อารมณ์อนั มากระทบทางกาย เรยี กว่า กายสมั ผสั สชาเวทนา - ความรสู้ กึ อารมณ์อนั มากระทบทางใจ เรยี กวา่ มโนสมั ผสั สชาเวทนา 54
5๕๕5 วชิ า ธรรมวิภาค ๑. ปฐวีธาตุ คือ ธาตุดิน ๒. อาโปธาตุ คอื ธาตุนํ้า ๓. วาโยธาตุ คือ ธาตุลม ๔. เตโชธาตุ คอื ธาตไุ ฟ ๕. อากาสธาตุ คือ ชอ งวางทมี่ อี ยูในรางกาย ๖. วญิ ญาณธาตุ คือ ธาตุรู (ความรู การรบั ร)ู ธาตุ แปลว่า สิ่งที่ทรงไว หมายถงึ สิ่งท่ีทรงสภาพเดิมของตนไว คอื เป็นของทมี อี ยู่ โดยธรรมดาของมัน เป็นไปตามเหตุปจั จัย ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีอัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ชีวะ มี ๖ ประการ ๑ - ๔. ธาตุ ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ วาโยธาตุ เตโชธาตุ ดูคําอธิบาย ในธาตุ กมั มฏั ฐาน ๔ ๕. อากาสธาตุ หมายถงึ ชองวางท่ีมีในรางกาย เช่น ชอ่ งหู ชอ่ งจมกู ชอ่ งปาก เป็นต้น ในอวยั วะเหล่านีลว้ นมอี ากาศอยใู่ นนนั แตเ่ ป็นสงิ ทกี าํ หนดรไู้ ดย้ าก เพราะไมอ่ าจมองเหน็ ไดด้ ว้ ย นยั น์ตา เป็นของทปี ระณีตเบาบาง แตอ่ าจจะรไู้ ดด้ ว้ ยการสมั ผสั ๖. วญิ ญาณธาตุ หมายถงึ ธาตุรู คอื มลี กั ษณะเป็นเครอื งรจู้ กั อารมณ์ เป็นความรแู้ จง้ ชดั ของจติ ทไี ดส้ มั ผสั กบั อารมณ์หรอื สงิ ทมี ากระทบ เป็นระบบการรทู้ เี กดิ จากประสาทสมั ผสั ธาตุทงั ๖ จดั เป็นรูปและนามได้ดงั นี ปฐวธี าตุ อาโปธาตุ วาโยธาตุ เตโชธาตุ (ธาตุดนิ นํา ไฟ ลม อากาศ) จดั เป็นรูป วญิ ญาณธาตุจดั เป็นนาม เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 55
5๕๖6 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 สัตตกะ : หมวด ๗ อปริหานิยธรรม ๗ ธรรม ๗ อยา งนี้ ตงั้ อยูในผูใด ผนู ้ันไมม คี วามเส่ือมเลย มีแตความเจรญิ ฝายเดียว อปริหานิยธรรม หมายถึง ธรรมไม่เป็นทตี งั แห่งความเสอื ม เป็นไปเพอื ความเจรญิ ฝา่ ยเดยี ว มี ๖ ประการ คอื ๑. หม่ันประชุมกันเนืองนิตย คอื ภกิ ษุต้องประชุมกนั เป็นนิตย์เพอื ทํากจิ เหล่านี คอื ประชุมกนั ทําอุโบสถสงั ฆกรรมทุกกงึ เดือน ประชุมกนั สวดมนต์ทําวตั รเช้า - เย็น และประชุมกนั เพอื ปรกึ ษาหารอื ในเรอื งต่าง ๆ ทเี ป็นประโยชน์แกห่ มคู่ ณะ เป็นตน้ ๒. เมื่อประชุมก็พรอมเพรียงกันประชุม เม่ือเลิกประชุมก็พรอมเพรียงกันเลิก และ 56
5๕7๗ วชิ า ธรรมวิภาค พรอมเพรียงกันชวยทํากิจที่สงฆจะตองทํา คอื เมือมกี ารประชุมก็ประชุมพร้อมกนั เมอื เลิก ประชมุ กเ็ ลกิ พรอ้ มกนั และมกี จิ ของสงฆเ์ กดิ ขนึ กพ็ รอ้ มเพรยี งชว่ ยกนั ทาํ ไมใ่ ชต่ ่างคนต่างทาํ ๓. ไมบญั ญัตสิ ง่ิ ท่ีพระพุทธเจาไมบ ญั ญตั ิขน้ึ ไมถอนสิ่งที่พระองคทรงบัญญัติไวแลว สมาทานศึกษาอยูในสิกขาบทตามที่พระองคทรงบัญญัติไว คอื ไม่เพกิ ถอนและไม่เพมิ เติม พทุ ธบญั ญตั ิ เอาใจใสป่ ระพฤตติ นปฏบิ ตั ติ ามพระพุทธบญั ญตั โิ ดยเครง่ ครดั ๔. ภิกษุรูปใดเปนผูใหญเปนประธานในสงฆ (พึง) เคารพนับถือภิกษุเหลาน้ัน เช่ือฟงถอยคําของทาน คอื ตอ้ งใหเ้ กยี รติ เคารพ และเชอื ฟงั พระเถระผใู้ หญท่ เี ป็นประธานสงฆ์ ๕. ไมลุอํานาจแกความอยากที่เกิดขึ้น คอื ต้องรู้จกั อดกลนั หกั ห้ามใจ ไม่ให้ตกไป ตามอาํ นาจแห่งกเิ ลสตณั หา รวมทงั อดทนและรกั ษาสมณสารูป ไม่แสดงอาการหรอื พูดแสดงความ อยากได้ ๖. ยินดีในเสนาสนะปา คอื เป็นผชู้ อบการอย่ใู นสถานทสี งบเงยี บ เป็นเหตุให้ได้ความ สงบทางกายและใจจนถงึ ความสงบกเิ ลสไดเ้ ป็นทสี ดุ ๗. ตั้งใจอยูวา เพ่ือนภิกษุสามเณรซ่ึงเปนผูมีศีล ซึ่งยังไมมาสูอาวาสขอใหมา ที่มา แลวขอใหอยูเปนสุข คือ ควรใฝ่ใจทีจะพบเห็นและสอบถามกบั ท่านผู้มีศลี และอาจาระบริสุทธิ น่าเลอื มใส ยนิ ดตี อ้ นรบั ภกิ ษุผมู้ ศี ลี และยนิ ดใี หผ้ ทู้ มี าอยแู่ ลว้ มคี วามสขุ ไมห่ วงทอี ยู่ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 อริยทรัพย ๗ ประการน้ี ดีกวา ทรัพยภายนอก มีเงิน ทอง เปน ตน ควรแสวงหาไวให มใี นสันดาน 57
5๕๘8 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 อริยทรัพย คอื ทรพั ยอนั ประเสรฐิ หรอื ทรัพยของพระอริยะ เป็นทรพั ยภ์ ายในจติ ใจ อนั ประเสรฐิ ซงึ ได้แก่คุณธรรมทที ําให้ผปู้ ระพฤตติ ามเป็นผปู้ ระเสรฐิ ดกี ว่าทรพั ยส์ นิ ภายนอก มเี งนิ ทองเป็นตน้ มี ๗ ประการ คอื ๑. สทั ธา หมายถงึ ความเชอื ในสงิ ทคี วรเชอื ๒. ศลี หมายถงึ การรกั ษากาย วาจา ใหเ้ รยี บรอ้ ย ๓. หิริ หมายถงึ ความละอายตอ่ บาปทจุ รติ ๔. โอตตปั ปะ หมายถงึ ความสะดุง้ กลวั ตอ่ บาป (ขอ้ ๓ และขอ้ ๔ ดคู าํ อธบิ ายในธรรมเป็นโลกบาล ๒) ๕. พาหุสัจจะ หมายถึง ความเป็นคนเคยได้ยนิ ได้ฟงั มามาก คอื ทรงจําธรรมและรู้ ศลิ ปวทิ ยามาก ๖. จาคะ การสละใหป้ นั สงิ ของของตนแกค่ นทคี วรใหป้ นั หมายถงึ การสละสงิ ของและ ความสขุ สว่ นตวั เพอื ประโยชน์สขุ ของผอู้ นื เป็นการกาํ จดั ความเหน็ แก่ตวั และความตระหนีใจแคบ ใหอ้ อกไปจากสนั ดาน ๗. ปญญา ความรอบรสู้ งิ ทเี ป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ หมายถงึ ความรอบรสู้ งิ ที ควรรู้ ความรคู้ วามเขา้ ใจถ่องแทใ้ นเหตุผล ความรจู้ กั แยกแยะได้ว่า สงิ ใดดี สงิ ใดชวั สงิ ใดเป็นคุณ สงิ ใดเป็นโทษ เป็นตน้ อริยทรพั ย ๗ จดั ลงในสกิ ขา ๓ ได้ ๒ สกิ ขา คอื ๑. ศลี หริ ิ โอตตปั ปะ และจาคะ จดั เป็น ศีลสิกขา ๒. สทั ธา พาหสุ จั จะ และปญั ญา จดั เป็น ปญญาสกิ ขา 58
5๕๙9 วชิ า ธรรมวภิ าค ๑. ธมั มัญุตา ความเปน ผูรจู กั เหตุ ๒. อตั ถญั ตุ า ความเปนผูรูจักผล ๓. อตั ตญั ตุ า ความเปนผรู ูจกั ตน ๔. มตั ตัญตุ า ความเปนผูรจู ักประมาณ ๕. กาลัญุตา ความเปน ผรู ูจกั กาล ๖. ปรสิ ัญุตา ความเปน ผรู ูจกั ชุมชน ๗. ปคุ คลปโรปรัญุตา ความเปนผรู ูจักบุคคลผยู ง่ิ หรอื หยอน สัปปุริสธรรม หมายถึง ธรรมของสัตบุรุษ หรอื ธรรมท่ีทําใหผูประพฤติตามเปน สัตบุรุษ ผู้ดํารงตนอยู่ในคุณธรรมเหล่านี เป็นผู้มคี ุณสมบตั ิของคนดี คนสงบ ทเี รียกกนั ว่า สตั บุรษุ ๑. ธัมมัญุตา ความเปนผูรูจักเหตุ คือ รู้ว่าสิงใดเป็นเหตุแห่งสุขควรทํา และ สงิ ใดเป็นเหตุแหง่ ทกุ ขค์ วรละเวน้ ๒. อตั ถญั ุตา ความเปนผูรูจักผล คอื รวู้ ่าผลทตี นไดร้ บั ไมว่ ่าจะดหี รอื ชวั เป็นสุขหรอื เป็นทกุ ข์ เกดิ ขนึ จากเหตุอะไร ๓. อตั ตัญุตา ความเปนผูรูจักตน คอื รจู้ กั การวางตวั ใหเ้ หมาะสมกบั วุฒภิ าวะและ ฐานะของตนไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง ไม่อวดดอื ถอื ดจี นดเู ป็นหยงิ ยโส และไมด่ ูถูกตวั เองเกนิ ไปจนทาํ ให้ ขาดความมนั ใจ ๔. มตั ตญั ุตา ความเปนผูรูจักประมาณ คอื รจู้ กั ความพอเหมาะพอดี ไม่มากหรอื น้อยเกนิ ไปในทกุ เรอื ง เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 59
๖6๐0 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๕. กาลญั ุตา ความเปน ผูรูจกั กาล คอื รจู้ กั เวลาทเี หมาะสมในการประกอบกจิ นนั ๆ รวมถงึ การรถู้ งึ คณุ คา่ ของเวลาทผี า่ นไป รจู้ กั ใชเ้ วลาอยา่ งคมุ้ ค่าและเป็นประโยชน์ ไม่ปล่อยเวลา ใหผ้ า่ นไปอยา่ งไรป้ ระโยชน์ ๖. ปริสัญุตา ความเปนผูรูจักชุมชน คอื รจู้ กั สงั คมทตี นอยอู่ าศยั สถานทที าํ งาน และ สงั คมทตี นจะต้องเขา้ ไปติดต่อสมั พนั ธ์ว่าเป็นอย่างไร รู้จกั ปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สงั คมชุมชนนัน ๆ ได้ ๗. ปุคคลปโรปรัญุตา ความเปนผูรูจักบุคคลผูย่ิงหรือหยอน คอื การรจู้ กั เลือก คบคนด้วยการศกึ ษา อุปนิสยั ใจคอ ความประพฤติ เป็นต้น แล้วรู้จกั ทจี ะเลือกว่า คนเช่นใด ควรคบ คนเชน่ ใดไมค่ วรคบ สปั ปุรสิ ธรรมเป็นธรรมทที ําใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั ติ ามเป็นผดู้ คี วรแก่การยกยอ่ งนับถอื และเป็นผทู้ ี น่าคบหาสมาคมดว้ ย สัปปรุ ิสธรรม ๗ (อีกอยางหน่งึ ) ๑. สัตบุรุษตองประกอบดวยธรรม๗ประการคือสัทธา หิริ โอตตัปปะพาหุสัจจะวิริยะ สติ และปญญา ๒. จะปรกึ ษาสิ่งใดกบั ใคร ๆ กไ็ มปรกึ ษาเพือ่ จะเบยี ดเบยี นตนเอง และผอู ่นื ๓. จะคิดสิง่ ใดก็ไมค ิดเพอื่ จะเบยี ดเบยี นตนเองและผอู ่ืน ๔. จะพูดสิง่ ใดก็ไมพูดเพ่อื จะเบียดเบียนตนเองและผูอ่นื ๕. จะทําส่งิ ใดกไ็ มท าํ เพือ่ จะเบยี ดเบยี นตนเองและผูอ่นื ๖. มีความเหน็ ชอบ คอื เหน็ วาทําดีไดด ี ทําชวั่ ไดช่วั เปน ตน ๗. ใหทานโดยเคารพ คือ เอ้ือเฟอแกของที่ตนใหและผูรับทานน้ัน ไมทําอาการดุจ ทิ้งเสยี ๑. ผเู้ ป็นสตั บรุ ษุ คอื คนดี ตอ้ งประกอบดว้ ยธรรม ๗ ประการ คอื สทั ธา หริ ิ โอตตปั ปะ พาหสุ จั จะ วริ ยิ ะ สติ และปญั ญา ๒. เมอื ปรกึ ษาหารอื แลกเปลยี นความเหน็ กบั ผอู้ นื กไ็ มป่ รกึ ษาเรอื งทจี ะทาํ ใหต้ นและ ผอู้ นื เดอื ดรอ้ น ๓. เมอื คดิ อะไรตามลาํ พงั กไ็ มค่ ดิ ในเรอื งทจี ะทาํ ลายประโยชน์ของผอู้ นื ๔. เมอื จะพดู กบั ผอู้ นื กใ็ ชถ้ อ้ ยคาํ ทไี พเราะเสนาะหู ไมพ่ ดู คาํ หยาบคาย ไมเ่ ป็นทสี บายหู ของผไู้ ดฟ้ งั ๕. เมอื จะทําสงิ ใด ก็ทําแต่สงิ ทเี ป็นประโยชน์ทงั ส่วนตนและส่วนรวม ไม่ทําในสงิ ที 60
๖6๑1 วชิ า ธรรมวภิ าค ตนเองและผอู้ นื จะไดร้ บั ความเดอื ดรอ้ น ๖. คนผู้เป็นสตั บุรุษ ย่อมเป็นผู้มีสมั มาทิฏฐิ มีความเห็นชอบ ถูกต้องตามทํานอง คลองธรรม ๗. สตั บุรุษย่อมให้ทานโดยเคารพ คือ เคารพในทานของตน มจี ิตยนิ ดีในทานของตน ไม่คดิ ว่าตนใหน้ ้อยหรอื มาก ไม่ดูหมนิ ทานทตี นให้ และเคารพในผู้ทตี นให้ทาน ด้วยแสดงอาการ เออื เฟือเผอื แผ่ ไมไ่ ดใ้ หด้ ว้ ยกริ ยิ าแบบใหอ้ ยา่ งเสยี ไมไ่ ด้ ๑. สติ ความระลกึ ได ๒. ธมั มวิจยะ ความสอดสองธรรม ๓. วริ ิยะ ความเพียร ๔. ปติ ความอ่ิมใจ ๕. ปสสัทธิ ความสงบใจจากอารมณ ๖. สมาธิ ความตัง้ ม่นั แหงจติ ๗. อเุ บกขา ความวางเฉย โพชฌงค หมายถึง ธรรมเปนองคแหงการตรัสรู คือ ธรรมทีเป็นองค์ประกอบ สนับสนุนให้ตรสั รู้ ให้บรรลุมรรคผล นิพพาน เป็นคุณธรรมทีปลุกเร้าใจให้รู้ ให้ตืน ให้เบิกบาน มี ๗ ประการ คอื ๑. สติสัมโพชฌงค หมายถงึ ธรรมเป็นองค์แห่งการตรสั รคู้ อื สติ ไดแ้ ก่ สตทิ รี ะลกึ ถงึ อารมณ์ในสตปิ ฏั ฐาน ๔ รวมถงึ การระลกึ ไดถ้ งึ สงิ ทเี ป็นอดตี ปจั จุบนั และอนาคต เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 61
6๖๒2 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๒. ธัมมวิจยสัมโพชฌงค หมายถึง ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือธัมมวิจยะ ความสอดสอ่ งธรรม คอื ความเป็นผฉู้ ลาดในการเลอื กเฟ้น คดั สรรธรรมทงั ทเี ป็นฝา่ ยดี และไม่ดี เมอื พจิ ารณาตรกึ ตรองธรรมด้วยปญั ญาแล้ว ก็บําเพ็ญธรรมฝ่ายดใี ห้เกิดมีในตน และละเว้น ธรรมทไี มด่ ที เี ป็นอกศุ ลไมใ่ หเ้ กดิ มขี นึ ๓. วิริยสัมโพชฌงค หมายถงึ ธรรมเป็นองค์แหง่ การตรสั รคู้ อื วริ ยิ ะ ความเพยี ร ไดแ้ ก่ ความเพยี รพยายามประคองจติ ปลุกเรา้ ใจใหเ้ ป็นไปในการละธรรมฝา่ ยไม่ดี และใหป้ ฏบิ ตั ใิ นธรรม ฝา่ ยดตี ามทไี ดเ้ ลอื กเฟ้นแลว้ ๔. ปติสัมโพชฌงค หมายถึง ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปีติ ความอิมใจ ได้แก่ ความเอบิ อมิ แช่มชนื ของจิตทตี ่อเนืองจากการละอกุศลธรรม ปฏิบตั ิแต่กุศลธรรมตามทไี ด้เพียร พยายามนนั เกดิ เป็นความสขุ ใจ พอใจกบั การปฏบิ ตั ติ น ๕. ปส สทั ธิสัมโพชฌงค หมายถงึ ธรรมเป็นองคแ์ หง่ การตรสั รคู้ อื ปสั สทั ธิ ความสงบในกาย และอารมณ์ ไดแ้ ก่ ความสงบระงบั ทงั ทางกายและทางจติ ของผมู้ ใี จประกอบดว้ ยปีติ ๖. สมาธสิ มั โพชฌงค หมายถงึ ธรรมเป็นองคแ์ หง่ การตรสั รคู้ อื สมาธิ ความตงั มนั แห่งจติ ไดแ้ ก่ ภาวะความตงั มนั แหง่ จติ ทเี ป็นผลสบื เนืองมาจากกายและใจทสี งบแลว้ ๗. อเุ บกขาสมั โพชฌงค หมายถงึ ธรรมเป็นองคแ์ หง่ การตรสั รคู้ อื อเุ บกขา ความวางเฉย ไดแ้ ก่ ตามเพง่ ดอู ยดู่ ว้ ยดี ซงึ จติ ทตี งั มนั เป็นสมาธแิ ลว้ อยา่ งนนั โพชฌงค์ ๗ ประการนี เมอื บคุ คลไดป้ ระกอบใหถ้ กู ตอ้ งเป็นความสามคั คธี รรมแลว้ ตา่ งก็ จะอดุ หนุนกนั และกนั ใหส้ าํ เรจ็ ประโยชน์อนั ยงิ ใหญ่ สามารถทาํ ใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั พิ น้ จากกเิ ลสทงั ปวงได้ ในทสี ดุ 62
6๖๓3 วชิ า ธรรมวิภาค อฏั ฐกะ : หมวด ๘ โลกธรรม ๘ ธรรมทีค่ รอบงําสตั วโลกอยู และสตั วโลกยอ มเปน ไปตามธรรมน้ัน เรยี กวา โลกธรรม ในโลกธรรม ๘ ประการน้ี อยางใดอยางหน่ึงเกิดข้ึน ควรพิจารณาวา สิ่งท่ีเกิดข้ึนแลว แกเรา ก็แตว า มันไมเ ท่ยี ง เปนทกุ ข มีความแปรปรวนเปน ธรรมดา ควรรูต ามท่เี ปนจริง อยา ให มนั ครอบงาํ จติ ได คือ อยา ยินดีในสว นท่ีนา ปรารถนา อยายนิ รา ยในสวนทไ่ี มนา ปรารถนา คาํ ว่า “โลกธรรม แปลว่า ธรรมที่มอี ยปู ระจําโลก หรอื ธรรมดาของโลก หมายถงึ ธรรมที มอี ยคู่ กู่ บั โลกและสตั ว์โลกย่อมเป็นไปตามธรรมนนั มี ๘ ประการ คอื มลี าภ เสอื มลาภ มยี ศ เสอื มยศ สรรเสรญิ นินทา สขุ ทกุ ข์ โลกธรรม ๘ ประการ โดยสรุปแบงเปน ๒ ฝา ย คอื ๑. ฝา ยอฏิ ฐารมณ คอื ฝา่ ยทนี ่าปรารถนา น่ายนิ ดี ไดแ้ ก่ มลี าภ มยี ศ สรรเสรญิ สขุ ๒. ฝา ยอนฏิ ฐารมณ คอื ฝา่ ยทไี มน่ ่าปรารถนา ไมน่ ่ายนิ ดี ไดแ้ ก่ เสอื มลาภ เสอื มยศ นินทา ทกุ ข์ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 63
6๖4๔ คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ลักษณะตดั สินธรรมวนิ ยั ๘ ธรรมทไี มใ่ ชธ่ รรม ไมใ่ ชว่ นิ ยั ไมใ่ ชค่ าํ สอนของพระศาสดา และธรรมทเี ป็นธรรม เป็นวนิ ยั เป็นคาํ สอนของพระศาสดา มลี กั ษณะตดั สนิ ๘ ประการ คอื ๑. ธรรมเหลาใดเปนไปเพื่อความกําหนัดยอมใจ หมายถงึ กามคุณ ๕ คอื รปู เสยี ง กลนิ รส โผฏฐพั พะ อนั เป็นอารมณ์น่าใคร่น่าชอบใจ คําสอนใดทสี อนให้หมกมุ่นพวั พนั อยู่ใน กามคณุ ๕ นี พงึ รวู้ ่า ไมใ่ ชธ่ รรม ไมใ่ ชว่ นิ ยั ไมใ่ ชค่ าํ สอนของพระศาสดา ธรรมทเี่ ปนไป เพ่อื คลายความกาํ หนดั ซงึ เป็นธรรมทตี รงกนั ขา้ ม หรอื คาํ สงั สอน ทไี มใ่ หห้ มกมนุ่ พวั พนั ในกามคณุ ๕ เป็นธรรม เป็นวนิ ยั เป็นคาํ สอนของพระศาสดา 64
๖6๕5 วชิ า ธรรมวภิ าค ๒. ธรรมเหลาใดเปนไปเพ่ือความประกอบทุกข ได้แก่ สงั โยชน์ ๑๐ คือ กิเลส อนั ผกู มดั ใจสตั วไ์ วใ้ นวฏั ฏทกุ ข์ มสี กั กายทฏิ ฐิ ความเหน็ ว่าเป็นตวั ตน วจิ กิ จิ ฉา ความลงั เลสงสยั เป็นตน้ ทสี อนใหห้ มกมนุ่ พวั พนั อยใู่ นสงั โยชน์ ๑๐ นี พงึ รวู้ ่า ไมใ่ ชธ่ รรม ไมใ่ ช่วนิ ัย ไม่ใช่คาํ สอน ของพระศาสดา ธรรมท่เี ปน ไปเพือ่ ความปราศจากทกุ ข ซงึ เป็นธรรมทตี รงกนั ขา้ ม หรอื คาํ สงั สอน ทไี มใ่ หห้ มกมนุ่ พวั พนั อยใู่ นสงั โยชน์ ๑๐ จดั เป็นธรรม เป็นวนิ ยั เป็นคาํ สอนของพระศาสดา ๓. ธรรมเหลาใดเปนไปเพื่อความสะสมกองกิเลส หมายถึง การสะสมกองกเิ ลส คอื ราคะ โทสะ โมหะ ซึงเป็นเครอื งทาํ จิตใหเ้ ศรา้ หมองธรรมทสี อนใหห้ มกมุ่นพวั พนั อย่กู องกเิ ลส เหลา่ นี พงึ รวู้ า่ ไมใ่ ชธ่ รรม ไมใ่ ชว่ นิ ยั ไมใ่ ชค่ าํ สอนของพระศาสดา สว นธรรมที่เปนไปเพ่ือความไมสะสมกองกิเลส ซงึ เป็นธรรมทตี รงกนั ขา้ ม หรอื คําสงั สอนทีไม่ให้หมกมุ่นพวั พนั ในการสะสมกองกิเลส จัดเป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคําสอน ของพระศาสดา ๔. ธรรมเหลาใดเปนไปเพ่ือความมักมากอยากใหญ หมายถึง ความปรารถนา คณุ สมบตั ทิ ไี มม่ ใี นตน ปรารถนาเป็นคนมอี าํ นาจวาสนา ปรารถนาใหค้ นอนื รวู้ ่างานทสี าํ เรจ็ เพราะ อาศยั ตน คาํ สอนใดสอนใหห้ มกมุ่นพวั พนั อยใู่ นความปรารถนานี พงึ รู้ว่า ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วนิ ัย ไมใ่ ชค่ าํ สอนของพระศาสดา สวนธรรมที่เปนไปเพ่ือความอยากอันนอย ซึงเป็นธรรมทตี รงกนั ขา้ ม หรือ คาํ สงั สอนทไี ม่ใหห้ มกมุ่นพวั พนั ในความมกั มากอย่างใหญ่ จดั เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคาํ สอน ของพระศาสดา ๕. ธรรมเหลา ใดเปนไปเพื่อความไมสันโดษยินดีดวยของท่ีมีอยู หมายถงึ ตณั หา ความทะยานอยาก ดนิ รนกระเสอื กกระสนเพอื ให้ได้ยงิ ๆ ขนึ ไปไม่มที สี นิ สุด ธรรมทสี อนให้ หมกมนุ่ พวั พนั อยใู่ นความไมส่ นั โดษนี พงึ รวู้ ่า ไมใ่ ชธ่ รรม ไมใ่ ชว่ นิ ยั ไมใ่ ชค่ าํ สอนของพระศาสดา สวนธรรมที่เปนไปเพื่อความสันโดษ ซงึ เป็นธรรมทตี รงกนั ขา้ ม หรอื คําสงั สอนที ไมใ่ หห้ มกมนุ่ พวั พนั ในความสนั โดษ จดั เป็นธรรม เป็นวนิ ยั เป็นคาํ สอนของพระศาสดา ๖. ธรรมเหลาใดเปนไปเพ่ือความคลุกคลีดวยหมูคณะ หมายถงึ ความไมช่ อบอยใู่ นที อนั สงดั ชอบอย่ใู นทเี อกิ เกรกิ เฮฮาองึ คะนึงดว้ ยเสยี งต่าง ๆ ธรรมทสี อนใหห้ มกมนุ่ พวั พนั อยใู่ นความ คลกุ คลดี ว้ ยหมคู่ ณะนี พงึ รวู้ ่าไมใ่ ชธ่ รรม ไมใ่ ชว่ นิ ยั ไมใ่ ชค่ าํ สอนของพระศาสดา สวนธรรมท่ีเปนไปเพื่อความสงัดจากหมู ซงึ เป็นธรรมทตี รงกนั ขา้ มหรอื คําสงั เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 65
๖6๖6 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 สอนทไี มใ่ หห้ มกมุ่นพวั พนั ในความคลุกคลดี ว้ ยหม่คู ณะ จดั เป็นธรรม เป็นวนิ ัย เป็นคาํ สอนของ พระศาสดา ๗. ธรรมเหลาใดเปนไปเพ่ือความเกียจคราน หมายถงึ การไม่ประกอบความเพยี ร ๔ ประการ คําสอนใดสอนใหห้ มกมุ่นพวั พนั อยู่ในความเกยี จครา้ นขาดความเพยี ร พงึ รูว้ ่าไม่ใช่ธรรม ไมใ่ ชว่ นิ ยั ไมใ่ ชค่ าํ สอนของพระศาสดา สว นธรรมที่เปน ไปเพอื่ ความเพียร ซงึ เป็นธรรมทตี รงกนั ขา้ ม หรอื คาํ สงั สอนทใี ห้ ประกอบความเพยี รชอบ จดั เป็นธรรม เป็นวนิ ยั เป็นคาํ สอนของพระศาสดา ๘. ธรรมเหลาใดเปนไปเพื่อความเลี้ยงยาก หมายถึง เป็นผู้ไม่มคี วามยินดีด้วย ปจั จยั ๔ คอื เครอื งนุ่งหม่ อาหาร ทอี ย่อู าศยั ยารกั ษาโรค คาํ สอนใดทสี อนใหห้ มกมุ่นพวั พนั อยใู่ น ความเป็นผเู้ ลยี งยาก พงึ รวู้ า่ ไมใ่ ช่ธรรม ไมใ่ ชว่ นิ ยั ไมใ่ ชค่ าํ สอนของพระศาสดา สว นธรรมทเ่ี ปน ไปเพือ่ ความเล้ยี งงาย ซงึ เป็นธรรมทตี รงกนั ขา้ ม หรอื คาํ สงั สอนทใี ห้ ยนิ ดใี นปจั จยั ๔ ตามมตี ามได้ จดั เป็นธรรม เป็นวนิ ยั เป็นคาํ สอนของพระศาสดา พระพทุ ธเจา ทรงบญั ญตั ิหลักตดั สินพระธรรมวนิ ัยไวเ พื่อวัตถุประสงค ๒ ประการ คอื ๑. เพอื เป็นเครอื งชวี ดั ถงึ ความถกู ตอ้ งของพระธรรมวนิ ยั ของพระพุทธเจา้ นนั ว่า มลี กั ษณะ เป็นเชน่ นี เมอื มกี ารโต้แยง้ กนั ขนึ จกั เป็นเครอื งชขี าดถงึ ความเหน็ ผดิ หรอื เหน็ ถกู ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง ตามพระธรรมวนิ ยั ๒. เพอื เป็นเครอื งชใี หเ้ หน็ วา่ คาํ สอนของพระพุทธเจา้ เมอื กล่าวถงึ ผลกค็ อื เพอื ความสนิ ไป แหง่ ตณั หา และใหบ้ รรลุถงึ ผลขนั สงู สดุ คอื นพิ พาน 66
6๖7๗ วชิ า ธรรมวิภาค มรรค ๘ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ในมรรคมีองค ๘ นั้น ความเห็นชอบ ดําริชอบ จัดเขาในปญญาสิกขา วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ จัดเขาในสีลสิกขา เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ จัดเขาใน จิตตสิกขา มรรค หมายถงึ หนทางหรอื แนววธิ ปี ฏบิ ตั สิ าํ หรบั ดําเนินไปส่คู วามดบั ทุกข์ เป็นหนทาง ทที าํ ใหผ้ ดู้ าํ เนินตามเป็นพระอรยิ บุคคลได้ มรรค ๘ เรียกอีกย่างหนึงว่า อริยมรรค แปลว่า ทางอันประเสริฐ หรืออริย- อัฏฐังคิกมรรค แปลว่า ทางประกอบดวยองค ๘ อันประเสริฐ หรอื มัชฌิมาปฏิปทา ทางสาย กลาง หมายถงึ ขอ้ ปฏบิ ตั หิ รอื แนวทางการดาํ เนินชวี ติ ทเี ป็นกลาง ๆ ตามธรรมชาติ ไม่เอยี งเขา้ ไปหา หลกั สุดโต่งสองขา้ งคอื กามสุขัลลิกานุโยค การประกอบตนใหห้ มกมุน่ อย่ใู นกามสุข และอัตตกิล- มถานุโยค การประกอบความเพยี รดว้ ยการทรมานตนใหล้ าํ บาก มี ๘ ประการ คอื ๑. สมั มาทิฏฐิ ความเห็นชอบ หมายถงึ ความเหน็ ทถี ูกตอ้ ง ไดแ้ ก่ ปญั ญาอนั เหน็ แจง้ ในอรยิ สจั ๔ คอื เหน็ ทกุ ข์ เหน็ สมทุ ยั เหน็ นิโรธ เหน็ มรรค ๒. สมั มาสังกัปปะ ความดาํ รชิ อบ หมายถงึ ความดํารอิ นั ถกู ตอ้ ง ไดแ้ ก่ ความดาํ รใิ นอนั ออกจากกาม ในอนั ไมพ่ ยาบาท ในอนั ไมเ่ บยี ดเบยี น 67
6๖๘8 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๓. สัมมาวาจา วาจาชอบ หมายถึง วาจาทีถูกต้อง ได้แก่ การพูดจาทีเว้นจาก วจที จุ รติ ๔ คอื พดู เทจ็ พดู สอ่ เสยี ด พดู คาํ หยาบ พดู เพอ้ เจอ้ ๔. สัมมากัมมันตะ การงานชอบ หมายถงึ การงานทถี ูกต้อง ได้แก่ การงานทเี ว้น จากกายทจุ รติ ๓ คอื ฆา่ สตั ว์ ลกั ทรพั ย์ ประพฤตผิ ดิ ในกาม ๕. สัมมาอาชีวะ เล้ียงชีพชอบ หมายถงึ การเลยี งชพี ทถี ูกตอ้ ง ไดแ้ ก่ เวน้ การเลยี งชวี ติ ทมี โี ทษทงั ๒ ฝา่ ย คอื โทษทางโลก และโทษทางพระวนิ ยั บญั ญตั ิ รปู้ ระมาณในการแสวงหา การรบั และการบรโิ ภค ๖. สัมมาวายามะ พยายามชอบ หมายถึง ความเพยี รทถี ูกต้อง ได้แก่ ความเพยี รใน สมั มปั ปธาน ๔ คอื เพยี รระวงั ไมใ่ หบ้ าปเกดิ ขนึ เพยี รละบาปทเี กดิ ขนึ แลว้ เพยี รใหก้ ศุ ลเกดิ ขนึ เพยี รรกั ษากศุ ลทเี กดิ ขนึ แลว้ ๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ หมายถึง ความระลึกทีถูกต้อง ได้แก่ ความระลึกได้ใน สตปิ ฏั ฐาน ๔ คอื กาย เวทนา จติ ธรรม ๘. สัมมาสมาธิ ตั้งใจม่ันชอบ หมายถงึ ความตงั ใจทถี ูกต้อง ได้แก่ ความตงั ใจมนั ในการเจรญิ ฌาน ๔ คอื ปฐมฌาน ทตุ ยิ ฌาน ตตยิ ฌาน จตุตถฌาน ธรรม ๘ ประการนี เป็นสามัคคธี รรมต่างสนับสนุนซึงกนั และกนั ทําให้มกี ําลงั มาก สามารถให้ผู้ปฏิบัติบรรลุผลชนั สูง คือ อริยมรรค อรยิ ผล และพระนิพพานได้ โดยสมควร แกก่ ารปฏบิ ตั ิ อน่ึง ตองระลึกไวเสมอวา มรรคมีองค ๘ มิใชทาง ๘ สาย แตเปนทางสายเดียว ท่ีประกอบดวยองคประกอบ ๘ อยาง ซงึ เป็นหนทางดบั ทุกข์ (ดบั สมุทยั = เหตุแห่งทุกข)์ ดงั ที กลา่ วไวใ้ นอรยิ สจั ๔ 68
6๖9๙ วชิ า ธรรมวภิ าค นวกะ : หมวด ๙ ๑. โกธะ โกรธ ๒. มกั ขะ ลบหลูคุณทา น ๓. อสิ สา รษิ ยา ๔. มัจฉริยะ ตระหนี่ ๕. มายา มารยา ๖. สาเถยยะ โออวด ๗. มุสาวาท พูดปด ๘. ปาปจ ฉา ปรารถนาลามก ๙. มิจฉาทฏิ ฐิ เห็นผดิ มละ แปลว่า มลทิน หมายถึง กิเลสท่ีเปนเคร่ืองทําชีวิตจิตใจของคนเราใหมัวหมอง เปน ดุจสนมิ กัดกรอนใจไมใหบ ริสุทธ์ิ มี ๙ ประการ คอื ๑. โกธะ หมายถงึ ความโกรธ เป็นความขนุ่ แคน้ หรอื ขดั เคอื งของจติ ในเรอื งทไี มถ่ กู ใจ ไมช่ อบใจตน เมอื ความโกรธเกดิ ขนึ ควรระงบั ดวยเมตตา ความรักใครอ ยากใหเ ขาเปน สขุ ๒. มักขะ หมายถึง ความลบหลู่คุณท่าน คือ การไม่รู้จักบุญคุณทีผู้อืนทําไว้แก่ตน เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 69
๗7๐0 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 เป็นผูข้ าดกตญั ูกตเวทติ าธรรม เมอื ความคดิ ลบหลู่บุญคุณท่านเกดิ ขนึ ควรลบลางดวยกตัญู กตเวทติ า รูคณุ แลวทาํ ตอบแทน ๓. อสิ สา หมายถงึ ความรษิ ยา คอื ความอจิ ฉาตารอ้ น เมอื เหน็ ผอู้ นื ไดด้ กี ท็ นอย่ไู ม่ได้ ไม่ อยากให้ผู้อนื ได้ดีไปกว่าตน คอยแต่จะกีดกันความดีของเขา เมือความริษยาเกิดขนึ ควรชําระ ดว ยมทุ ิตา รูจักแสดงความยนิ ดีตอ ผอู ่นื ๔. มัจฉริยะ หมายถึง ความตระหนี คอื ความเสยี ดายหวงแหนไม่กล้าสละสงิ ของ ของตนแกผ่ อู้ นื เป็นผทู้ มี จี ติ ใจคบั แคบ เมอื ความตระหนีเกดิ ขนึ ควรกาํ จัดดว ยทานหรือบริจาค ๕. มายา หมายถงึ ความมมี ารยา คอื การเป็นคนเจา้ เล่ห์ เหลยี มจดั ชอบหลอกลวงผอู้ นื เมอื ความมมี ารยาเกดิ ขนึ ควรแกด ว ยอาชชวะ ความเปนคนซื่อตรง ๖. สาเถยยะ หมายถึง ความมกั โอ้อวด คือการพูดอวดสรรพคุณของตนเองว่าดี อย่างนนั อย่างนี เพอื ใหผ้ อู้ นื ชนื ชมยกยอ่ งตนว่าเป็นคนเก่งคนดี เมอื ความอวดดเี กดิ ขนึ ควรละ ดวยอตั ตัญตุ า รจู กั ประมาณตนและอปจายนะ ความออ นนอม ถอมตน ๗. มุสาวาท หมายถงึ ความพดู ปดมดเทจ็ คอื การพดู เพอื ใหผ้ อู้ นื เขา้ ใจคลาดเคลอื น ไปจาก ความเป็นจรงิ เมอื มนี สิ ยั เป็นคนพดู เทจ็ ควรแกดวยสัจจวาจา การเปน ผูช อบกลา วแตความจรงิ ๘. ปาปจ ฉา หมายถงึ ความปรารถนาอนั ลามก คอื ความอยากไดข้ องของผอู้ นื มาเป็น ของตนในทางทไี ม่ชอบธรรม ดว้ ยการหลอกลวงตม้ ตุ๋นเขา เมอื มีความอยากไดใ้ นทางทชี วั เกดิ ขนึ แกดวยความสนั โดษ ยนิ ดีในส่ิงท่ีตนพงึ มีพึงได ๙. มิจฉาทิฏฐิ หมายถึง ความเห็นผิด คอื ความเห็นทผี ดิ ไปจากคลองธรรม เมอื เกิด ความเหน็ ผดิ ขนึ ควรแกด วยสัมมาทิฏฐิ มคี วามเห็นถูกตอ งตามคลองธรรม ธรรม ๙ อย่างนี เรยี กว่าเป็นมลทนิ ของคนเรา เพราะเมอื เกดิ ขนึ ในใจแล้วย่อมทาํ ใหจ้ ติ ใจ ของคนเราเศรา้ หมอง มองไมเ่ หน็ บาปบญุ คุณโทษ ประโยชน์และมใิ ชป่ ระโยชน์ 70
7๗๑1 วชิ า ธรรมวภิ าค ทสกะ : หมวด ๑๐ ๑. ปาณาตบิ าต ฆา สตั ว ๒. อทินนาทาน ลกั ทรัพย ๓. กาเมสมุ จิ ฉาจาร ประพฤตผิ ิดในกาม ๔. มสุ าวาท พดู เทจ็ ๕. ปสณุ วาจา พดู สอ เสียด ๖. ผรสุ วาจา พูดคําหยาบ ๗. สัมผปั ปลาปวาจา พูดเพอเจอ ๘. อภชิ ฌา โลภอยากไดของเขา ๙. พยาบาท พยาบาทปองรา ยเขา ๑๐. มจิ ฉาทิฏฐิ เหน็ ผิดจากทํานองคลองธรรม อกุศลกรรมบถ แปลว่า ทางแหงอกุศล หมายถงึ ทางทําชวั เป็นทางนําไปส่คู วามเสอื ม ความทุกข์ หรอื ทุคติ ซึงตรงกบั ขอ้ ย่อยของทุจรติ ๓ คือ กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ รวมแลว้ มี ๑๐ ประการ คอื เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 71
7๗๒2 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๑. ปาณาติบาต หมายถึง เจตนาทีทําให้สัตว์ทียังเป็นอยู่ให้เสียชีวิต สตั ว์ในทีนี หมายเอาทงั มนุษยแ์ ละสตั วด์ ริ จั ฉาน ถา้ มเี จตนาฆา่ สตั วน์ นั ใหต้ าย เรยี กว่า ฆา่ สตั ว์ ๒. อทินนาทาน หมายถึง การลักทรพั ย์ รวมไปถึงการเบียดบงั ฉ้อ โกง ทําลาย ทรพั ยส์ นิ ของผอู้ นื ใหเ้ สยี หาย เป็นตน้ ทรพั ยใ์ นทนี ีหมายเอาทงั สงั หารมิ ทรพั ย์ ทรพั ยท์ เี คลอื นทไี ด้ เช่น เงนิ ทอง และอสงั หารมิ ทรพั ย์ ทรพั ยท์ เี คลอื นทไี มไ่ ด้ เชน่ บา้ น ทดี นิ ถา้ มเี จตนาถอื เอาสงิ ของนนั มา เรยี กวา่ ลกั ทรพั ย์ ๓. กาเมสุมิจฉาจาร หมายถงึ การล่วงละเมดิ ค่คู รองผอู้ นื รวมถงึ การมเี พศสมั พนั ธ์กบั คู่ครองผู้อนื และกบั บุคคลต้องห้ามทไี ม่ควรละเมิด ถ้ามีเพศสมั พนั ธ์กบั บุคคลต้องห้าม เรยี กว่า ประพฤตผิ ดิ ในกาม ๔. มุสาวาท หมายถงึ การพูดโกหก พูดหลอกลวงให้ผู้อนื หลงเชอื เป็นการพูดทใี ห้ คลาดเคลอื นจากความเป็นจรงิ ตงั ใจจะใหเ้ ขาเขา้ ใจผดิ ไปจากความจรงิ ๕. ปสุณวาจา หมายถงึ การพูดยุยงใหเ้ ขาแตกรา้ วผดิ ใจกนั เป็นการนําเอาเรอื งของ อกี ฝา่ ยหนึงไปบอกอกี ฝา่ ยหนึง เป็นการพดู ยุยงใหเ้ ขาแตกความสามคั คกี นั เพอื ใหเ้ ขาโกรธกนั หรอื เพอื ใหเ้ ขารกั ตน ๖. ผรุสวาจา หมายถงึ การพดู คาํ หยาบคาย เป็นคําพดู ทที ําใหผ้ รู้ บั ฟงั หรอื ผทู้ ตี นพดู ใส่ ไดร้ บั ความเจบ็ แคน้ เจบ็ ใจ หรอื เจตนาในการพดู มุ่งทาํ ลายแผ่ไปเผาผลาญจติ ใจของผฟู้ งั ๗. สัมผัปปลาปะ หมายถงึ การพูดเพอ้ เจ้อ เป็นการพดู เหลวไหลไม่เป็นประโยชน์ ไม่มี เหตุมผี ล พดู หาแกน่ สารอะไรไมไ่ ด้ ๘. อภิชฌา หมายถงึ ความโลภอยากได้ของเขา เป็นความคดิ เพ่งเล็งอยากได้ของผูอ้ นื คดิ เอาแตไ่ ดข้ องผอู้ นื มาเป็นของตน เชน่ คดิ ว่าทาํ อยา่ งไรหนอของนีจะพงึ เป็นของเรา ๙. พยาบาท หมายถึง ความคิดพยาบาทปองร้ายคนอืน เป็นความผูกใจเจ็บและ อยากแกแ้ คน้ คอื เป็นอาการทใี จเกดิ ความขดั เคอื งเคยี ดแคน้ คดิ อยากใหผ้ อู้ นื ประสบความพนิ าศ ๑๐.มิจฉาทิฏฐิ หมายถึง ความเห็นผิดจากคลองธรรม เป็นความเห็นผิดจากหลัก ความจรงิ เช่น เหน็ ว่า บาปบุญคุณโทษไม่มผี ลใหไ้ ดด้ หี รอื ชวั การทําดหี รอื ชวั จะใหผ้ ลกต็ ่อเมอื มผี รู้ เู้ หน็ เป็นตน้ บุคคลผู้ทําอกุศลกรรมบถทงั ๑๐ อย่างนี แม้ข้อใดขอ้ หนึง ท่านกล่าวว่ามีทุคติ คือ อบายภูมิเป็นทีหวังในโลกหน้า เมือขณะยงั มีชีวิตอยู่ก็จะประสบความทุกข์ยากลําบากใน การดาํ เนนิ ชวี ติ 72
7๗3๓ วชิ า ธรรมวภิ าค กศุ ลกรรมบถ ๑๐ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 กศุ ลกรรมบถ แปลว่า ทางแหงกุศล หรอื ทางแหงความดี หมายถงึ กรรมดที นี ําสตั ว์ไปสู่ สคุ ติ คอื ไปเกดิ เป็นมนุษย์ ไปสสู่ วรรค์ หรอื ถงึ พระนพิ พาน มที งั หมด ๑๐ ประการ คอื เวน้ จากการฆ่าสตั ว์ เวน้ จากการลกั ทรพั ย์ เวน้ จากการประพฤตผิ ดิ ในกาม เวน้ จากการพดู เทจ็ เวน้ จากการพดู ส่อเสยี ด เวน้ จากการพดู คาํ หยาบ เวน้ จากการพดู เพอ้ เจอ้ ไมโ่ ลภอยากไดข้ องเขา ไมพ่ ยาบาทปองรา้ ยเขา เหน็ ชอบตามทาํ นองคลองธรรม กุศลกรรมบถ เป็นกรรมฝ่ายดี จึงมคี ําอธิบายทตี รงกนั ขา้ มกบั อกุศลกรรมบถซึงเป็น กรรมฝา่ ยชวั 73
7๗๔4 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี ๑. ทานมยั บญุ สาํ เร็จดวยการบริจาคทาน ๒. สีลมยั บญุ สําเร็จดวยการรกั ษาศีล ๓. ภาวนามัย บญุ สําเร็จดว ยการเจริญภาวนา ๔. อปจายนมัย บุญสําเร็จดวยการประพฤติถอมตนตอผใู หญ ๕. เวยยาวัจจมยั บญุ สําเร็จดว ยการชวยขวนขวายในกิจที่ชอบ ๖. ปตติทานมัย บญุ สาํ เร็จดวยการใหส วนบุญ ๗. ปตตานุโมทนามัย บุญสาํ เรจ็ ดว ยการอนโุ มทนาสวนบุญ ๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสาํ เรจ็ ดว ยการฟง ธรรม ๙. ธมั มเทสนามยั บุญสําเรจ็ ดว ยการแสดงธรรม ๑๐. ทิฏชุ กุ รรม การทาํ ความเหน็ ใหต รงกัน บญุ กริ ิยาวตั ถุ หมายถงึ สงิ อนั เป็นทตี งั แหง่ การบาํ เพญ็ บุญ เรอื งทจี ดั ว่าเป็นการทาํ บุญ หรอื หลกั การสรา้ งคณุ ความดใี นพระพทุ ธศาสนา มี ๑๐ ประการ คอื ๑ – ๓. ทานมยั สีลมยั ภาวนามยั (ดคู าํ อธบิ ายในบญุ กริ ยิ าวตั ถุ ๓) ๔. อปจายนมัย หมายถงึ การทําบุญด้วยการประพฤตถิ ่อมตนต่อผใู้ หญ่ เป็นการแสดง ความเคารพนบั ถอื ยาํ เกรงตอ่ ผใู้ หญด่ ว้ ยความจรงิ ใจ เรยี กงา่ ย ๆ กค็ อื การเป็นคนมสี มั มาคารวะ ๕. เวยยาวัจจมัย หมายถงึ การทําบุญด้วยการขวนขวายช่วยเหลอื ในกจิ ทถี ูกต้อง เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 74
75 75 เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1
เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 76 76
7๗๗7 วชิ า ธรรมวภิ าค เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 นาถกรณธรรม คอื ธรรมทําท่ีพึ่ง หรอื ธรรมที่สรางที่พ่ึงใหแกตน หมายความว่า ธรรมทงั ๑๐ ประการนี เมอื ผใู้ ดปฏบิ ตั ติ ามดว้ ยความเคารพ ย่อมเป็นทพี งึ ของผนู้ นั ได้ มี ๑๐ ประการ คอื ๑. ศีล การรกั ษากายวาจาใหเ้ รยี บรอ้ ย ๒. พาหุสัจจะ ความเป็นผไู้ ดส้ ดบั ตรบั ฟงั มามาก ๓. กัลยาณมิตตตา ความเป็นผู้มเี พอื นทดี ีงาม หมายถึง การคบกลั ยาณมติ ร คือ การมสี ตั บรุ ษุ เป็นเพอื น ๔. โสวจัสสตา การเป็นผูว้ ่านอนสอนง่าย หมายถงึ ความเป็นผูร้ ู้จกั ฟงั เหตุผล เป็นคน ไมห่ วั ดอื ไมก่ ระดา้ งกระเดอื งดอื ดงึ เชอื ฟงั คาํ สงั สอนของอาจารย์ ตลอดจนคาํ สอนของสตั บรุ ษุ ๕. กิงกรณีเยสุ ทักขตา ความขยันเอาใจใส่ในกิจธุระของเพือนภิกษุสามเณร หมายถงึ เมอื มกี จิ ธุระอยา่ งใดอยา่ งหนึงของผอู้ นื เกดิ ขนึ ไมว่ ่าจะใหญห่ รอื น้อยกต็ าม กไ็ มน่ งิ ดูดาย ชว่ ยขวนขวาย ชว่ ยทาํ ตามกาํ ลงั ความสามารถ โดยไมถ่ อื ว่าเป็นธุระไมใ่ ช่ ๖. ธัมมกามตา ความเป็นผใู้ คร่ในธรรมทชี อบ หมายถงึ เป็นผู้ใคร่รใู้ คร่เหน็ อยาก ศกึ ษาหาความรู้ และปฏบิ ตั ติ ามธรรมวนิ ัยนันอย่างเคร่งครดั อนึง คําว่า ธรรมในทนี ี หมายถึง ธรรมทดี ที ชี อบ ซงึ เป็นคาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ 77
7๗๘8 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี ๗. วริ ิยะ ความเพยี รเพอื ละความชวั ประพฤตคิ วามดี ๘. สันโดษ ยินดีด้วยผ้านุ่ง ผ้าห่ม อาหาร ทนี อน ทีนัง และยา ตามมตี ามได้ คือ พงึ พอใจในปจั จยั ๔ ซงึ เป็นสงิ ทไี ดม้ าดว้ ยความมานะพยายามในทางสจุ รติ ของตน ๙. สติ ความระลกึ ไดก้ อ่ นทาํ พดู คดิ ไมป่ ระมาทเลนิ เลอ่ ๑๐. ปญญา รอบรใู้ นกองสงั ขารตามเป็นจรงิ อยา่ งไร ๑. อปั ปจฉกถา ถอยคําที่ชักนําใหม คี วามปรารถนานอ ย ๒. สนั ตุฏฐกิ ถา ถอยคาํ ทช่ี ักนําใหสนั โดษยินดีดวยปจจยั ตามมีตามได ๓. ปวิเวกกถา ถอ ยคําทช่ี ักนําใหสงดั กายสงัดใจ ๔. อสงั สัคคกถา ถอยคาํ ท่ีชักนําไมใ หคลุกคลีดว ยหมูคณะ ๕. วริ ยิ ารัมภกถา ถอ ยคําท่ีชักนาํ ใหป รารภความเพยี ร ๖. สีลกถา ถอยคาํ ท่ีชกั นาํ ใหตงั้ อยใู นศีล ๗. สมาธิกถา ถอยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหท ําใจใหส งบ ๘. ปญ ญากถา ถอ ยคําทชี่ ักนําใหเ กดิ ปญญา เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 78
7๗9๙ วชิ า ธรรมวภิ าค ๙. วิมตุ ตกิ ถา ถอ ยคาํ ทีช่ กั นาํ ใหท าํ ใจใหหลุดพนจากกเิ ลส ๑๐. วมิ ตุ ตญิ าณทัสสนกถา ถอยคําท่ีชักนําใหเกิดความรูความเห็นในความท่ีใจพน จากกิเลส กถาวตั ถุ แปลว่า เรอ่ื งท่คี วรพูด หรอื ถอยคาํ ที่ควรพดู หมายถงึ เรอื งทคี วรนํามาสนทนา กนั ในหมภู่ กิ ษุ เพราะเป็นเรอื งทกี อ่ ใหเ้ กดิ แต่คณุ ประโยชน์ทงั แก่ผพู้ ดู และผฟู้ งั มี ๑๐ ประการ คอื ๑. อปั ปจฉกถา ถอ ยคําท่ีชกั นําใหม ีความปรารถนานอย หมายถงึ เรอื งทพี ดู ชกั นํา ใหพ้ อใจในปจั จยั ๔ เพยี งเพอื ทจี ะใชส้ อยบรโิ ภคพอยงั อตั ภาพใหเ้ ป็นไปเทา่ นนั ๒. สันตุฏฐิกถา ถอยคําที่ชักนําใหสันโดษยินดีดวยปจจัย ๔ ตามมีตามได หมายถงึ เรอื งทพี ูดชกั นําใหย้ นิ ดพี อใจดว้ ยปจั จยั ของตนทงั หมด แมจ้ ะมากน้อยเท่าใด กย็ นิ ดี พอใจในสงิ นนั ๓. ปวิเวกกถา ถอยคําที่ชกั นําใหสงดั กาย สงัดใจ หมายถงึ เรอื งทพี ดู ชกั นําใหย้ นิ ดี ในเสนาสนะทสี งดั สงบเงยี บ ไมพ่ ลุกพลา่ น เพอื เป็นเหตุใหจ้ ติ สงบตงั มนั ๔. อสังสัคคกถา ถอยคําท่ีชักนําไมใหคลุกคลีดวยหมูคณะ หมายถงึ เรอื งทพี ูด ชกั นําไมใ่ หค้ ลกุ คลกี บั ผอู้ นื ดว้ ยเรอื งทไี มเ่ ป็นประโยชน์ ๕. วิริยารมั ภกถา ถอ้ ยคาํ ทชี กั นําใหป้ รารภความเพยี ร หมายถงึ เรอื งทพี ดู ชกั นําใหท้ าํ ความเพยี ร ๔ อยา่ ง คอื เพยี รระวงั ไมใ่ หค้ วามชวั เกดิ ขนึ เพยี รละความชวั ทเี กดิ ขนึ แล้ว เพยี รทาํ ความดใี หเ้ กดิ ขนึ และเพยี รรกั ษาความดที เี กดิ ขนึ นนั ๖. สีลกถา ถอยคําท่ีชักนําใหต้ังม่ันอยูในศีล หมายถงึ เรอื งทพี ดู ชกั นําใหเ้ หน็ โทษ ของความผดิ ทางกาย วาจา แมเ้ พยี งเลก็ น้อย แลว้ ตงั ใจสมาทานรกั ษาศลี นนั อยา่ งเครง่ ครดั ๗. สมาธิกถา ถอยคําที่ชักนําใหทําใจใหสงบ หมายถงึ เรอื งทพี ูดชกั นําใหบ้ าํ เพญ็ เพยี รทางจติ เพอื ใหใ้ จตงั มนั แน่วแน่ไมฟ่ ุ้งซา่ น ๘. ปญญากถา ถ้อยคําทีชักนําให้เกิดปญั ญา หมายถึง เรืองทีพูดชักนําให้เกิด ความรอบรใู้ นสงิ ทคี วรรคู้ วรเหน็ ตามความเป็นจรงิ ๙. วมิ ุตติกถา ถอ ยคําท่ชี ักนําใหท ําใจใหพ นจากกิเลส หมายถงึ เรอื งทพี ดู ชกั นําให้ จติ หลดุ พน้ จากกเิ ลสทงั ปวง วมิ ตุ ตกิ ถาเป็นถอ้ ยคาํ ทชี กั นําใหท้ าํ ใจพน้ จากกเิ ลส จดั เป็นอรยิ มรรค ๑๐. วิมุตติญาณทัสสนกถา ถอยคําที่ชักนําใหเกิดความรูความเห็นในความท่ีใจ พนจากกิเลส หมายถงึ ถ้อยคําทชี กั นําใหเ้ กดิ ฉันทะในการปฏบิ ตั ดิ ว้ ยวธิ ตี ่าง ๆ เช่น การเจรญิ สติปฏั ฐาน เป็นต้น วิมุตติญาณทสั สนกถา เป็นถ้อยคําทชี กั นําให้เกิดความรู้ความเห็นทพี ้น จากกเิ ลส จดั เป็นอรยิ ผล เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 79
8๘๐0 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 อนุสสติ แปลว่า ความระลึกได ความระลึกถึงเนือง ๆ หรอื อารมณท่ีควรระลึกถึงอยู เนอื งๆ อนุสสตทิ งั ๑๐ เป็นอารมณ์ของสมถกรรมฐาน เพอื ทาํ ใจใหส้ งบจากนิวรณ์ ๑. พุทธานุสสติ คือ ความระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าอยู่เนือง ๆ หมายถึง การสาํ รวมจติ น้อมระลกึ ถงึ พระพทุ ธคณุ ทงั ๙ โดยนยั วา่ อติ ปิ โส ภควา อรหํ ... เป็นตน้ เป็นอารมณ์ ๒. ธัมมานุสสติ คอื ความระลกึ ถงึ พระคุณของพระธรรมอย่เู นือง ๆ หมายถงึ การสาํ รวม จติ น้อมระลกึ ถงึ พระธรรมคุณทงั ๖ โดยนยั วา่ สวฺ ากฺขาโต ภควา ธมฺโม ... เป็นตน้ เป็นอารมณ์ ๓. สังฆานุสสติ คือ ความระลึกถึงพระคุณของพระอริยสงฆ์อยู่เนือง ๆ หมายถึง การสาํ รวมจติ น้อมระลกึ ถงึ พระสงั ฆคณุ ทงั ๙ โดยนยั ว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ... เป็นต้น เป็นอารมณ์ ๔. สีลานุสสติ คอื ความระลกึ ถงึ ศลี อยเู่ นือง ๆ หมายถงึ การนึกถงึ ศลี ทตี นสมาทาน แลว้ ว่า มคี วามบรสิ ทุ ธดิ ี หรอื ด่างพรอ้ ยไปบา้ งหรอื ไม่ ๕. จาคานุสสติ คอื ความระลกึ ถงึ ทานทตี นเคยบรจิ าคอย่เู นือง ๆ หมายถงึ การระลกึ ถงึ ความเสยี สละสงิ ของ หรือความสุขของตนแก่ผูอ้ นื เมอื นึกขนึ ได้ครงั ใดทําให้เกดิ ความปีติ ปราโมทยป์ รารถนาจะสละอกี 80
8๘1๑ วชิ า ธรรมวภิ าค ๖. เทวตานุสสติ คอื ความระลกึ ถงึ คณุ ทที าํ ใหเ้ ป็นเทวดาอย่เู นือง ๆ หมายถงึ การระลกึ ถงึ คณุ ธรรม คอื ทาน ศลี ภาวนา ศรทั ธา วริ ยิ ะ หริ ิ โอตตปั ปะ ปญั ญา เป็นตน้ เป็นเหตุทาํ ใหค้ นเป็น เทวดาโดยกาํ เนดิ เทวดาโดยสมมติ เทวดาโดยความบรสิ ทุ ธจิ ากกเิ ลส ๗. มรณัสสติ คอื การระลึกถึงความตายอนั จะมาถงึ ตนอยู่เนือง ๆ หมายถงึ การใชส้ ติ พจิ ารณากาํ หนดความตายเป็นอารมณ์ นึกถงึ ความตายทจี ะพงึ มแี กต่ น จนจติ สงบคลายความยดึ มนั ถอื มนั ในจติ ๘. กายคตาสติ คือ การระลึกทวั ไปในกาย ให้เห็นเป็นของไม่สวยไม่งาม น่าเกลียด โสโครก หมายถงึ การใชส้ ตพิ จิ ารณาถงึ อวยั วะส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกายทงั ของตนและของผอู้ นื ใหเ้ หน็ เป็นของไมส่ วยงาม น่าเกลยี ด ไมค่ วรยดึ มนั ถอื มนั เหน็ สภาพของกายตามกฎของไตรลกั ษณ์ ๙. อานาปานัสสติ คอื การระลกึ ลมหายใจเขา้ ออก หมายถงึ การกาํ หนดลมหายใจเขา้ และออก เช่น ขณะทหี ายใจเขา้ กร็ วู้ ่ากาํ ลงั หายใจเขา้ เมอื หายใจออกกร็ วู้ ่าหายใจออก ใชส้ ตจิ บั อยทู่ ลี มหายใจ ๑๐.อุปสมานุสสติ คอื การระลกึ ถงึ ธรรมเป็นทรี ะงบั กเิ ลส หมายถงึ การระลกึ ถงึ คุณ ของพระนพิ พานซงึ เป็นธรรมทสี งบระงบั จากกเิ ลสทงั ปวง อนุสสติ ๑๐ เมอื แยกเป็นอารมณ์อดตี ปจั จุบนั อนาคต ไดด้ งั นี ขอ้ ๑ - ๖ และ ๑๐ เป็นอารมณ์อดตี เพราะเป็นอารมณ์ทอี ยหู่ า่ งและนอกตวั ของผรู้ ะลกึ ขอ้ ๘ - ๙ เป็นอารมณ์ในปจั จุบนั เพราะมอี ยใู่ นตวั ของผรู้ ะลกึ ขอ้ ๗ เป็นอารมณ์อนาคต เพราะจกั มาถงึ ผรู้ ะลกึ ในกาลขา้ งหน้า เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 81
8๘๒2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ปกิณณกะ : หมวด อปุ กิเลส ๑๖ อุปกิเลส แปลวา โทษเคร่ืองเศราหมอง หมายถึง กิเลสโทษที่ทําใจใหเศราหมองขุนมัว และ รบั คุณธรรมไดย าก มี ๑๖ ประการ คือ ๑. อภชิ ฌาวิสมโลภะ หมายถงึ ความโลภไมส่ มาํ เสมอคอื ความเพง่ เลง็ เป็นความโลภมาก อยากไดส้ งิ ของของผอู้ นื โดยไมเ่ ลอื กวา่ จะไดม้ าโดยวธิ ใี ด มงุ่ แตจ่ ะเอาใหไ้ ดอ้ ยา่ งเดยี ว ๒. โทสะ หมายถงึ ความขดั เคอื งใจ ความไม่พอใจ เป็นความรา้ ยกาจทที าํ ใหใ้ จเดอื ดรอ้ น เมอื เกดิ ความรสู้ กึ เชน่ นีกบั ใครอย่างรุนแรง ย่อมคดิ หาทางทาํ ลายหรอื ประทุษรา้ ย คดิ ลา้ งผลาญ ผนู้ นั ๓. โกธะ หมายถึง ความโกรธ เป็นความขุ่นแค้นหรอื ขดั เคืองของจิตในเรอื งทไี ม่ถูกใจ ไมช่ อบใจ โดยยงั ไมไ่ ดป้ ระทษุ รา้ ยผอู้ นื แต่อาจสะสมเพมิ พนู ขนึ เป็นเหตุใหล้ ุอาํ นาจโทสะได้ ๔. อุปนาหะ หมายถงึ ความผกู โกรธ เป็นการผกู ใจเจบ็ เกบ็ ความโกรธนนั ไวใ้ นใจ ไมร่ ลู้ มื จนอาจกลายเป็นพยาบาทได้ ควรระงบั ดว้ ยเมตตาและกรณุ า ๕. มักขะ หมายถงึ ความลบหลู่คุณท่าน คอื การไม่รจู้ กั บุญคุณทผี อู้ นื ทาํ ไว้กบั ตน เป็น คนอกตญั หู รอื เนรคณุ 82
๘8๓3 วชิ า ธรรมวภิ าค ๖. ปลาสะ หมายถงึ ตเี สมอคอื ยกตนเทยี มท่าน เป็นความคดิ ตีเสมอกบั ผู้อนื ทงั ที ตวั เองด้อยกว่าเขาทุกดา้ น หรอื ความทะนงใจฮกึ เหมิ เหน็ ไปว่าอะไร ๆ ตนก็เสมอกบั ผอู้ นื หรอื ดกี วา่ ผอู้ นื ทกุ อยา่ ง แกด้ ว้ ยความออ่ นน้อมถ่อมตน ๗. อสิ สา หมายถงึ ความรษิ ยา เป็นความอจิ ฉาตารอ้ น เมอื เหน็ ผอู้ นื ไดด้ กี วา่ ตน ควรระงบั ดว้ ยมทุ ติ า พลอยยนิ ดไี ปกบั ความสาํ เรจ็ ของผอู้ นื ๘. มัจฉริยะ หมายถงึ ความตระหนี เป็นความเสยี ดายหวงแหนไมก่ ลา้ สละสงิ ของของตน แกผ่ อู้ นื ควรระงบั ดว้ ยทาน การให้ หรอื จาคะ การเสยี สละ ๙. มายา หมายถงึ ความมมี ารยา เป็นคนเหลยี มจดั ชอบหลอกลวงผอู้ นื เมอื ความมมี ารยา เกดิ ขนึ ควรระงบั ดว้ ยอาชชวะ ความเป็นคนซอื ตรง ๑๐. สาเถยยะ หมายถงึ ความมกั อวด เป็นคนขโี มโ้ ออ้ วดสรรพคุณของตนเองว่าดอี ยา่ งนนั อย่างนี เพือให้ผู้อืนชืนชมยกย่องตนว่าเป็นคนเก่งคนดี เมือความอวดดีเกิดขนึ ควรระงบั ดว้ ยอตั ตญั ตุ า รจู้ กั ประมาณตน และอปจายนะ ความออ่ นน้อมถ่อมตน ๑๑. ถมั ภะ หมายถงึ ความหวั ดอื เป็นคนอวดดอื ถอื รนั เป็นคนหวั แขง็ ว่ายากสอนยาก คอื เป็นผแู้ ขง็ กระดา้ ง ควรระงบั ดว้ ยโสวจสั สตา ความเป็นผวู้ า่ นอนสอนงา่ ย ๑๒. สารัมภะ หมายถงึ ความแขง่ ดี เป็นคนไม่รจู้ กั ประมาณตน คดิ ชงิ ดี ชงิ เด่นกบั เขา คอื การไม่ยอมลดละ มุ่งแต่จะเอาชนะกนั ควรระงบั ด้วยอตั ตญั ุตา ความรูจ้ กั ประมาณตน และ มตั ตญั ตุ า ความรจู้ กั พอเหมาะพอดี ๑๓. มานะ หมายถงึ ความถอื ตวั เป็นคนถอื ตวั ว่าวเิ ศษวโิ สกว่าผอู้ นื มมี านะเย่อหยงิ จองหองลาํ พองตวั ซงึ เป็นเหตใุ หเ้ ป็นคนกระดา้ ง ไมอ่ อ่ นน้อมเพอื ฟงั โอวาทของใคร ๆ ๑๔. อตมิ านะ หมายถงึ ความดหู มนิ เป็นความคดิ ทดี ูถูกดูหมนิ ผอู้ นื ถอื ตวั ว่าดกี ว่าเขา โดยเห็นเขาเลวกว่าตนไปหมด วางกริ ยิ าไม่เหมาะสมไม่ควรต่อผอู้ นื ควรระงบั ดว้ ยอปจายนะ และคารวตา รจู้ กั เคารพใหเ้ กยี รตผิ อู้ นื ๑๕. มทะ หมายถึง ความมวั เมา เพลดิ เพลนิ จนลมื ตวั จนเป็นเหตุให้เสยี การเสยี งาน คนมวั เมาอย่กู บั ลาภ ยศ สขุ สรรเสรญิ จงึ เป็นคนฟุ้งเฟ้อ เหอ่ เหมิ การมวั เมาเชน่ นีย่อมใกลต้ ่อ ความเสอื มและความฉบิ หาย เมอื ความมวั เมากเิ ลสเกดิ ขนึ ควรระงบั ดว้ ยการเจรญิ สติ ๑๖. ปมาทะ หมายถึง ความประมาทเลินเล่อ เป็นความสะเพร่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ปราศจากความระวงั ระไวไมท่ นั คดิ ยงั ขาดความละเอยี ดรอบคอบ ความประมาท แกไ้ ขไดด้ ว้ ยสติ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 83
8๘4๔ คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 โพธปิ กขยิ ธรรม ๓๗ โพธิปก ขยิ ธรรม แปลวา่ ธรรมอันเปน ฝกฝายแหง การตรัสรู หมายถงึ ธรรมที เกอื หนุนแกก่ ารตรสั รู้ กล่าวคอื องคธ์ รรม ๓๗ ประการนี เมอื สามคั คพี รอ้ มเพรยี งกนั แลว้ ยอ่ ม เป็นหนทางนําผปู้ ฏบิ ตั ใิ หบ้ รรลุมรรคผลไดอ้ ยา่ งแน่นอน เรยี กอกี อยา่ งว่า อภิญญาเทสติ ธรรม หมายถงึ ธรรมท่ีพระพทุ ธองคไดท รงแสดงไวดว ยพระปญ ญาอนั ยง่ิ สาํ หรบั คาํ อธบิ ายไดอ้ ธบิ ายไวแ้ ลว้ พงึ ดใู นหมวดธรรมนนั ๆ 84
๘8๕5 วชิ า ธรรมวิภาค คิหิปฏบิ ตั ิ คาํ ว่า คิหิปฏิบัติ แปลว่า ขอปฏิบัติของคฤหัสถ หมายถงึ หลกั ธรรมอนั เป็นขอ้ ปฏบิ ตั ิ สาํ หรบั คฤหสั ถ์ คอื ผอู้ ยคู่ รองเรอื น ผไู้ มใ่ ชน่ กั บวช ประกอบดว้ ยหวั ขอ้ ธรรม ดงั นี จตกุ กะ : หมวด ๔ กรรมกิเลส ๔ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 กรรมกิเลส แปลว่า กรรมเครื่องเศราหมอง หมายถึง การกระทําทเี ป็นเหตุแห่ง ความเศรา้ หมองกาย วาจา ใจ กรรมกเิ ลสนผี ใู้ ดทาํ แมข้ อ้ ใดขอ้ หนึง มผี ลทาํ ใหข้ อ้ ปฏบิ ตั ขิ องผนู้ นั เศรา้ หมองผดิ จากครรลองคลองธรรมอนั ดงี ามของมนุษย์ มี ๔ อยา่ งคอื ๑. ปาณาติบาต การทําชวี ติ สตั วใ์ หต้ กล่วงไป หมายถงึ การฆา่ สตั ว์ การตดั รอนชวี ติ สตั ว์ รวมถงึ การทาํ รา้ ยเบยี ดเบยี นใหไ้ ดร้ บั ความเดอื ดรอ้ น ๒. อทินนาทาน การถอื เอาสงิ ของทเี จา้ ของไมไ่ ดใ้ หด้ ว้ ยอาการขโมย หมายถงึ การตดั กรรมสทิ ธขิ องผอู้ นื ทกุ อยา่ ง เชน่ ลกั ปลน้ จี กรรโชค ฉกชงิ วงิ ราว ทจุ รติ คอรปั ชนั เป็นตน้ ๓. กาเมสุมจิ ฉาจาร การประพฤตผิ ดิ ในกาม หมายถงึ การรกั ใครไ่ ดเ้ สยี กบั หญงิ -ชาย ทอี ยู่ 85
8๘๖6 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ในความหวงหา้ มของผอู้ นื หรอื การประพฤตนิ อกใจคคู่ รองของตน ๔. มสุ าวาท การพดู ปด หมายถงึ การพดู ไมจ่ รงิ โดยมเี จตนาใหผ้ อู้ นื เขา้ ใจผดิ เชน่ รแู้ ต่ บอกไมร่ ู้ เหน็ แต่บอกไมเ่ หน็ เป็นตน้ ผูม้ ุ่งหวังความเจรญิ ความสุขของตนและส่วนรวมไม่ควรทํากรรมกเิ ลสทงั ๔ อย่างนี ซงึ เป็นกรรมทนี กั ปราชญไ์ มส่ รรเสรญิ เลย อบายมขุ แปลว่า ทางแหงความเสอื่ ม หรอื เหตเุ ปนเคร่ืองฉิบหาย ผใู้ ดประพฤตติ นในทาง ทงั ๔ สายนี ชอื ว่า กาํ ลงั เดนิ ทางไปส่คู วามฉิบหาย ความพนิ าศ คอื เป็นเหตุย่อยยบั แห่งทรพั ย์ สมบตั มิ ี ๔ ประการ คอื ๑. ความเปน นกั เลงหญิง คอื เป็นคนมกั มากในกามารมณ์ เป็นคนเจา้ ชู้ มใี จจดจ่ออยกู่ บั การเสพกามไม่ว่างเว้น โดยไม่เลือกว่าลูกเขาเมียใคร โดยทสี ุดแม้โสเภณี หากเป็นหญิงที ประพฤตติ นเชน่ นี เรยี กว่า แพศยา ๒. ความเปนนักเลงสุรา คอื เป็นคนติดสุรายาเมา อนั เป็นเหตุให้เป็นคนขาดสติ สามารถประกอบกรรมชวั ไดท้ กุ อยา่ ง อกี ทงั ทรพั ยส์ นิ เงนิ ทองกย็ อ่ ยยบั ฉบิ หายไป ๓. ความเปนนักเลงเลนการพนัน คอื เป็นคนชอบการพนันขนั ต่อชอบการเสยี งโชคและ การแขง่ ขนั โดยหวงั วา่ จะไดท้ รพั ยส์ มบตั มิ ากจากการลงทนุ น้อย ๔. การคบคนชว่ั เปน มิตร คอื เป็นคนไม่รจู้ กั การเลอื กคบเพอื น การคบคนไมด่ เี ป็นเพอื น เป็นจุดเรมิ ตน้ ทชี กั นําใหเ้ ราไปสทู่ างเสยี หายไดท้ ุกทาง อบายมขุ ทงั ๔ อยา่ งนี เป็นทางแหง่ ความเสอื มทรพั ยส์ มบตั ิ เกยี รตยิ ศและชอื เสยี ง ทงั ของ ตนและวงศต์ ระกลู ผหู้ วงั ความเจรญิ ไมค่ วรประพฤติ 86
8๘7๗ วชิ า ธรรมวภิ าค ๑. อุฏฐานสมั ปทา ความถงึ พรอมดว ยความขยนั หม่ันเพยี ร ๒. อารกั ขสัมปทา ความถึงพรอมดว ยการรกั ษา ๓. กัลยาณมิตตตา การคบเพอื่ นทด่ี ี ๔. สมชีวติ า การเลย้ี งชีพทีเ่ หมาะสม ทิฏฐธมั มิกัตถประโยชน แปลวา่ ธรรมที่เปน ไปเพื่อประโยชนในปจจุบัน หมายถงึ ธรรม ทเี ป็นไปเพอื ความสขุ และประโยชน์เกอื กลู ในปจั จุบนั คอื ประโยชน์ในชาตนิ ี มี ๔ ประการ คอื ๑. อุฏฐานสัมปทา ความถึงพรอมดวยความขยันหม่ันเพียร หมายถงึ หมนั เพยี รใน การทาํ งานเลยี งชวี ติ กด็ ี ในการศกึ ษาเลา่ เรยี นกด็ ี ในการทาํ ธรุ ะหน้าทขี องตนกด็ ี ๒. อารักขสัมปทา ความถึงพรอมดวยการรักษาสิ่งของที่หามาได หมายถึง รกั ษา ทรพั ยท์ แี สวงหามาไดด้ ว้ ยความหมนั ไมใ่ หเ้ ป็นอนั ตรายหรอื สญู หาย ใชส้ งิ ทหี ามาไดอ้ ย่างมปี ระโยชน์ และคมุ้ คา่ ๓. กัลยาณมิตตตา ความเปนผูมีคนดีเปนเพ่ือน หมายถึง การคบคนดีเป็นเพอื น เพราะคนดยี อ่ มแนะนําสงิ ทเี ป็นประโยชน์ ไมแ่ นะนําสงิ ทเี ป็นโทษให้ไดร้ บั ความเสยี หาย ๔. สมชีวตา ความเล้ียงชีวิตเหมาะสม หมายถงึ ความเลยี งชวี ิตตามสมควรแก่กําลงั ทรพั ย์ทหี ามาได้ ไม่ฟุ่มเฟือยเกินไป ไม่ฝืดเคืองจนดูเป็นคนตระหนี ได้แก่ การปฏิบตั ิตามหลัก เศรษฐกจิ พอเพยี งนนั เอง ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน จดั เป็น หัวใจเศรษฐี มชี อื ย่อว่า อุ อา กะ สะ เพราะทาํ ใหผ้ ูท้ ี ปฏบิ ตั ติ ามสามารถกอ่ รา่ งสรา้ งตวั จนมฐี านะทมี นั คงเป็นเศรษฐไี ด้ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 87
8๘8๘ คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี ๑. สัทธาสมั ปทา ถึงพรอ มดว ยศรทั ธา ๒. สลี สัมปทา ถงึ พรอ มดวยศลี ๓. จาคสมั ปทา ถึงพรอมดวยการบริจาค ๔. ปญ ญาสัมปทา ถึงพรอมดวยปญญา สัมปรายิกัตถประโยชน แปลว่า ธรรมท่ีเปนไปเพื่อประโยชนเบื้องหนา หมายถึง ธรรมทเี ป็นไปเพอื ความสขุ และประโยชน์เกอื กลู ในภายหน้าหรอื ภพหน้า มี ๔ ประการ คอื ๑. สทั ธาสมั ปทา ความถงึ พรอ มดวยศรัทธา หมายถงึ ความเชอื ดว้ ยปญั ญา เชอื ในสงิ ทคี วรเชอื หลงั จากทใี ชป้ ญั ญาพจิ ารณาไตร่ตรองตรวจสอบแลว้ เช่น เชอื เรอื งกรรมคอื การกระทาํ และเชอื เรอื งผลของกรรม เป็นตน้ ๒. สีลสัมปทา ความถึงพรอมดวยศีล หมายถึง เป็นผู้รกั ษาศลี ให้บรสิ ุทธิ งดเว้น การประพฤตผิ ดิ ทางกาย วาจา ควบคมุ การประพฤตทิ างกาย วาจาใหเ้ รยี บรอ้ ย ๓. จาคสัมปทา ความถึงพรอมดวยการบริจาคทาน หมายถงึ ความเป็นผเู้ สยี สละวตั ถุ สงิ ของ และประโยชน์สขุ สว่ นตวั เพอื ประโยชน์สขุ ของคนอนื และสว่ นรวม ๔. ปญญาสัมปทา ความถึงพรอมดวยปญญา หมายถึง เป็นผู้รู้ทวั ในเหตุผล รู้ถึง บาปบุญคณุ โทษ ประโยชน์และสงิ ทไี มเ่ ป็นประโยชน์ รสู้ งิ ทคี วรทาํ หรอื ไม่ควรทาํ ตลอดจนมคี วามรวู้ ่า กเิ ลสเป็นเหตใุ หท้ าํ ความชวั ตา่ ง ๆ เป็นตน้ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 88
8๘9๙ วชิ า ธรรมวภิ าค เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 มิตตปฏิรูป หมายถึง คนเทียมมิตร คือ มิตรเทียม ไมเปนมิตรแท เป็นบุคคลที ไมค่ วรคบคา้ สมาคมดว้ ย ควรหลกี เลยี ง มี ๔ จาํ พวก คอื ๑. คนปอกลอก มลี กั ษณะ ๔ คอื ๑) คดิ เอาแตไ่ ดฝ้ า่ ยเดยี ว ๒) เสยี น้อยคดิ เอาใหไ้ ดม้ าก ๓) เมอื มภี ยั แกต่ วั จงึ รบั ทาํ กจิ ของเพอื น ๔) คบเพอื นเพราะเหน็ แกป่ ระโยชน์ของตวั ๒. คนดแี ตพดู มลี กั ษณะ ๔ คอื ๑) เกบ็ เอาของล่วงแลว้ มาปราศรยั ๒) เกบ็ เอาเรอื งทยี งั ไมม่ มี าปราศรยั ๓) สงเคราะหด์ ว้ ยสงิ ทหี าประโยชน์มไิ ด้ ๔) ออกปากพงึ มไิ ด้ คอื ยามเพอื นเดอื ดรอ้ นขอความชว่ ยเหลอื มกั มขี อ้ อา้ งเสมอ ๓. คนหวั ประจบ มลี กั ษณะ ๔ คอื ๑) จะทาํ ชวั กค็ ลอ้ ยตามไมห่ า้ มปรามการทาํ ชวั ของเพอื น ๒) จะทาํ ดกี ค็ ลอ้ ยตาม ไมม่ หี ลกั การของตวั เองเป็นคนโลเล ๓) ต่อหน้าสรรเสรญิ ๔) ลบั หลงั นนิ ทา ๔. คนชักชวนในทางฉบิ หาย มลี กั ษณะ ๔ คอื ๑) ชกั ชวนดมื นําเมา ๒) ชกั ชวนเทยี วกลางคนื ๓) ชกั ชวนใหม้ วั เมาในการเล่น ๔) ชกั ชวนเล่นการพนนั 89
9๙๐0 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 มิตรแท ตรงกบั คาํ ว่า สุหทมิตร แปลว่า มิตรท่ีจริงใจ หมายถงึ มติ รผมู้ คี วามจรงิ ใจ ต่อกนั ถอื เป็นกลั ยาณมติ ร คอื มติ รทดี งี าม ควรคบหาสมาคมดว้ ย มี ๔ ประเภท คอื ๑. มิตรมอี ุปการะมาก มลี กั ษณะ ๔ คอื ๑) ป้องกนั เพอื นผปู้ ระมาทแลว้ ๒) ป้องกนั ทรพั ยส์ มบตั ขิ องเพอื นผปู้ ระมาทแลว้ ๓) เมอื มภี ยั เป็นทพี งึ พาํ นกั ได้ ๔) เมอื มธี ุระ ชว่ ยออกทรพั ยใ์ หเ้ กนิ กว่าทอี อกปาก ๒. มติ รรวมสุขรวมทกุ ข มลี กั ษณะ ๔ คอื ๑) ขยายความลบั ของตนแกเ่ พอื น ๒) ปิดความลบั ของเพอื นมใิ หแ้ พรง่ พราย ๓) ไมล่ ะทงิ ในยามวบิ ตั ิ ๔) แมช้ วี ติ อาจสละแทนได้ ๓. มติ รแนะประโยชน มลี กั ษณะ ๔ คอื ๑) หา้ มไมใ่ หท้ าํ ความชวั ๒) แนะนําใหต้ งั อยใู่ นความดี ๓) ใหฟ้ งั สงิ ทยี งั ไมเ่ คยฟงั ๔) บอกทางสวรรคใ์ ห้ ๔. มติ รมีความรกั ใคร มลี กั ษณะ ๔ คอื ๑) ทกุ ข์ ๆ ดว้ ย ๒) สขุ ๆ ดว้ ย ๓) โตเ้ ถยี งคนทพี ดู ตเิ ตยี นเพอื น ๔) รบั รองคนทพี ดู สรรเสรญิ เพอื น 90
9๙1๑ วชิ า ธรรมวภิ าค ๑. ทาน ใหป นสิ่งของของตนแกคนอนื่ ท่คี วรใหปน ๒. ปยวาจา เจรจาดวยวาจาทอ่ี อ นหวาน ๓. อัตถจรยิ า ประพฤติสิ่งที่เปนประโยชนแกผ ูอ่ืน ๔. สมานตั ตตา ความเปน คนมตี นเสมอไมถอื ตัว สังคหวัตถุ คือ คุณธรรมเครื่องสงเคราะหตอกัน หมายถึง เป็นธรรมสําหรับ ยดึ เหนียวนําใจของกนั และกนั ชว่ ยประสานความสามคั คขี องคนทุกระดบั ใหร้ กั ใคร่สามคั คมี ใิ ห้ แตกแยกกนั เรยี กอกี อยา่ งว่า หลักการสงเคราะหกนั มี ๔ ประเภท คอื ๑. ทาน ใหป้ นั สงิ ของของตนแก่คนอนื ทคี วรใหป้ นั หมายถงึ การช่วยเหลอื เกอื กูลกนั ดว้ ย วตั ถสุ งิ ของบา้ ง ดว้ ยการใหค้ ตธิ รรมตา่ ง ๆ บา้ ง รวมถงึ การใหอ้ ภยั ทาน ๒. ปยวาจา เจรจาดวยวาจาที่ออนหวาน หมายถงึ พูดแต่คาํ ทเี ป็นประโยชน์ คําสุภาพ ไพเราะน่าฟงั ไมห่ ยาบโลน หรอื คาํ พดู ทแี สดงความเหน็ อกเหน็ ใจใหก้ าํ ลงั ใจกนั ๓. อัตถจริยา ประพฤติส่ิงท่ีเปนประโยชนแกผูอ่ืน หมายถงึ ทาํ ประโยชน์แก่เขาดว้ ยการ ช่วยเหลือในกิจธุระของผู้อืน และขวนขวายช่วยเหลือกิจการ ซึงรวมถึง การช่วยบําเพ็ญ สาธารณประโยชน์ทางสงั คมดว้ ย ๔. สมานัตตตา ความเปนคนมีตนเสมอไมถือตัว หมายถงึ ความเป็นผวู้ างตนเหมาะสม คอื เป็นผรู้ จู้ กั การวางตวั ใหถ้ ูกตอ้ งต่อสถานที บุคคล และสงั คมนนั ๆ วางตวั ไดเ้ สมอตน้ เสมอปลาย และเสมอภาคกบั ทกุ คน สงั คหวตั ถุ ๔ นี เรยี กกนั ทวั ไปว่า หลักธรรมของนักสังคมสงเคราะห หรอื หลักธรรมสมาน ไมตรรี ะหวางมติ รกบั มิตร ซงึ มคี าํ จาํ กดั ความใหค้ ลอ้ งจองกนั ว่า “โอบออมอารี วจไี พเราะ สงเคราะหช ุมชน วางตนเหมาะสม” เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 91
เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 92 92
9๙๓3 วชิ า ธรรมวิภาค ความปรารถนาท่สี มหวงั ไดโดยยาก ๔ ความปรารถนาหรอื ความตอ งการอยากได กลาวโดยสรุป มี ๔ ประการ คือ ๑. อยากไดส้ มบตั ิ ๒. อยากไดเ้ กยี รตยิ ศชอื เสยี ง ๓. อยากใหม้ อี ายยุ นื ๔. เมอื ตายกอ็ ยากไปสวรรค์ ความปรารถนาอยากได้ทงั ๔ อย่างนี จะสําเรจ็ ไดด้ ้วยการประพฤตติ นอยใู่ นหลกั เบญจศลี คอื ศลี ๕ หาสาํ เรจ็ ไดด้ ว้ ยการบวงสรวงออ้ นวอนหรอื ดว้ ยเหตอุ นื กห็ าไม่ ธรรมใหเ ปน เหตใุ หส มหมาย ๔ ธรรมทงั ๔ อย่างนี เป็นคุณเครอื งใหส้ มหมายคอื ใหส้ ําเรจ็ ตามความปรารถนา ทงั ในภพนี และภพหน้า ความปรารถนาสว่ นใหญ่ทีคนอยากไดค้ อื ลาภ ยศ อายุ และสวรรค์ เมอื ได้ปฏบิ ตั ิ ตามธรรมเหล่านีย่อมสาํ เรจ็ ไดโ้ ดยงา่ ย หรอื แมแ้ ต่ปญั ญาอย่างเดยี ว เมอื ฝึกฝนใหเ้ กดิ มใี นตน ยอ่ มใหผ้ ลไดท้ งั ทรพั ยท์ เี ป็นโลกยิ ะและทรพั ยท์ เี ป็นโลกตุ ตระ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 93
9๙๔4 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ตระกลู อันมั่งค่งั จะตง้ั อยไู มไ ดนานเพราะสถาน ๔ ตระกลู อนั มงั คงั มสี มบตั มิ ากเป็นเศรษฐี จะตงั อยไู่ มไ่ ดน้ านเพราะเหตุ ๔ อยา่ ง คอื ๑. ไมแ สวงหาพสั ดุทีห่ ายแลว คอื ขา้ วของเครอื งใชต้ ่าง ๆ สญู หาย กไ็ มพ่ ยายามคน้ หา ใหไ้ ดก้ ลบั คนื มา เมอื เป็นเชน่ นบี อ่ ยเขา้ ทรพั ยส์ มบตั กิ ห็ มดลงไปเรอื ย ๆ ๒. ไมบูรณะพัสดุที่คร่ําครา คอื ไมร่ จู้ กั ซ่อมแซม ดูแลรกั ษาสงิ ของเครอื งใชต้ ่าง ๆ ทเี ก่า มอี ายกุ ารใชง้ านมานานหรอื ชาํ รดุ ทรดุ โทรม เป็นเหตใุ หส้ นิ เปลอื งอกี ทางหนึง ๓. ไมรูจักประมาณในการบริโภคสมบัติ คือไม่รู้จักประมาณในการกินการบริโภค ใชจ้ ่ายอยา่ งฟุม่ เฟือย ๔. ตงั้ สตรีหรอื บรุ ุษทุศลี ใหเปนแมเรอื นพอเรือน คอื ไม่รจู้ กั เลอื กคคู่ รองมาร่วมชวี ติ ขอ้ นนี บั เป็นสาํ คญั เพราะถา้ ไดค้ คู่ รองไมด่ มี แี ต่ผลาญสมบตั อิ ยา่ งเดยี ว ไม่ชา้ ไมน่ านกจ็ ะเป็นเหตุ ทาํ ใหต้ ระกลู ทมี งั คงั มาแตเ่ ดมิ ตอ้ งล่มจมไปในทสี ดุ ผู้หวังความมันคงแห่งวงศ์ตระกูล ควรเว้นจากเหตุทัง ๔ อย่างนี ซึงเป็นทางแห่ง ความฉิบหาย 94
9๙5๕ วชิ า ธรรมวิภาค ๑. สัจจะ ซื่อสัตยต อ กัน ๒. ทมะ รจู ักขมจิตของตน ๓. ขนั ติ อดทนอดกล้ัน ๔. จาคะ เสยี สละแกก นั ฆราวาสธรรม หมายถงึ หลักของการครองเรือน หรอื คุณธรรมสําหรับการดําเนินชีวิต ของฆราวาส มี ๔ อยา่ ง คอื ๑. สัจจะ ความซื่อสัตยตอกัน หมายถงึ เป็นผรู้ กั ษาสจั จะความจรงิ เสมอ คอื มคี วาม ซอื ตรง ซอื สตั ย์ จรงิ ใจตอ่ กนั ลกั ษณะโดยรวมคอื เป็นคนเทยี งตรงเทยี งธรรม ๒. ทมะ รูจักขมจิตของตน หมายถงึ ความข่มใจข่มอารมณ์ไว้ได้ คอื รู้จกั ควบคุม ตวั เอง ไมใ่ หห้ นุ หนั พลนั แล่นไปกบั การกระทาํ หรอื คาํ พดู ทเี ตม็ ไปดว้ ยโทสะ แต่รจู้ กั ปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั ผอู้ นื ได้ รวมถงึ การรจู้ กั ปรบั ปรงุ แกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งของตนใหด้ ขี นึ ๓. ขนั ติ ความอดทนอดกลั้น หมายถงึ ความหยดุ ยงั ใจไมใ่ หห้ วนั ไหว เมอื ประสบกบั สงิ ทไี ม่ดี รวมถงึ การอดทนต่อการประกอบหน้าทกี ารงาน มุ่งมนั ทําไปไม่หวนั ไหวต่ออุปสรรค ปญั หา ๔. จาคะ สละใหปนสิ่งของของตนแกคนทคี่ วรใหป น หมายถงึ ความเสยี สละแกก่ นั เป็นผมู้ นี ําใจเออื เฟือเผอื แผ่ โอบออ้ มอารตี ่อผอู้ นื ไมเ่ ป็นคนมจี ติ ใจคบั แคบ ฆราวาสธรรมเป็นธรรมทนี ํามาซงึ ความสุขความเจรญิ แก่ผู้ปฏิบตั ิตามได้ ทําให้ชวี ิต การครองเรอื นเป็นไปดว้ ยความราบรนื อยกู่ นั ยดื ยาว ไมม่ กี ารทะเลาะเบาะแวง้ กนิ แหนงแคลงใจ ต่อกนั เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 95
9๙๖6 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ปญ จกะ : หมวด ๕ ประโยชนเ กิดแตก ารถือเอาโภคทรัพย ประโยชนเกดิ แตการถือโภคทรพั ย หมายถงึ หลกั การใชจ้ ่าย ถอื ครองโภคทรพั ยท์ หี า มาได้ ดว้ ยความขยนั หมนั เพยี รและโดยชอบธรรม เพอื ใหเ้ กดิ ประโยชน์ มหี ลกั ปฏบิ ตั ิ ดงั นี ๑. บํารุงตัวเอง เลี้ยงดูมารดาบิดา บุตรและภรรยา รวมถึงคนในปกครองให้มี ความสขุ สบายตามสมควรแกอ่ ตั ภาพ ๒. เลี้ยงเพ่ือนฝูงใหเปนสุข คอื ควรบํารงุ มติ รสหายและผรู้ ่วมกจิ การงานใหเ้ ป็นสุข ซงึ เน้นการเออื เฟือเกอื กลู กนั ๓. บําบัดอันตรายท่ีเกิดแตเหตุตางๆ คือ การใช้จ่ายทรพั ย์เพอื ป้องกนั ภยนั ตราย อนั เกดิ จากภยั ต่าง ๆ เชน่ อคั คภี ยั อทุ กภยั เป็นตน้ ๔. ทาํ พลี ๕ อยาง คอื การใหส้ งิ ของแกผ่ อู้ นื โดยไมค่ ดิ มลู คา่ ๕ อยา่ ง คอื ๑) ญาตพิ ลี สงเคราะหญ์ าติ ๒) อตถิ พิ ลี ตอ้ นรบั แขก 96
9๙๗7 วชิ า ธรรมวิภาค ๓) ปุพพเปตพลี ทาํ บุญอทุ ศิ แกผ่ ลู้ ่วงลบั ๔) ราชพลี ถวายเป็นของหลวง บาํ รงุ ประเทศ การเสยี ภาษอี ากร ๕) เทวตาพลี ทาํ บุญบชู าอทุ ศิ ใหเ้ ทวดาและสงิ ศกั ดสิ ทิ ธทิ นี บั ถอื ๕. บริจาคทานในสมณพราหมณผูประพฤติชอบ คือ อุปฏั ฐากบํารุงพระภิกษุ สามเณร ผปู้ ระพฤตดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบ เป็นเนือนาบุญของโลก ดว้ ยปจั จยั ๔ ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี : เจตนางดเวน จากการทําสิ่งมชี วี ิตใหตกไป ๒. อทนิ นาทานา เวรมณี : เจตนางดเวน จากการถือเอาส่ิงของท่ีเขาไมไดใ ห ๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี : เจตนางดเวน จากการประพฤตผิ ิดในกาม ๔. มสุ าวาทา เวรมณี : เจตนางดเวน จากการพูดเทจ็ ๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา : เจตนางดเวนจากการด่ืมสุราและเมรัย เวรมณี อนั เปน ท่ตี ง้ั แหง ความประมาท ศลี แปลวา่ ปกติ หมายถงึ การควบคมุ ความประพฤตกิ าย วาจา ใหเ้ ป็นปกติ คอื งดเวน้ จากการประพฤตชิ วั ทางกายและวาจา ศลี ๕ ชอื ว่า นิจศีล เพราะเป็นศลี ทรี กั ษาเป็นนิตยแ์ ลว้ จะกอ่ ใหเ้ กดิ ความสงบสุขทงั แก่ ตนเองและสงั คม ชอื ว่า มนษุ ยธรรม เพราะเป็นธรรมประจาํ โลกทมี นุษยท์ กุ เชอื ชาตจิ ําเป็นตอ้ งมี ไวป้ ระจาํ ตวั เพอื ใหเ้ กดิ ความสนั ตสิ ขุ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 97
๙9๘8 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการทําชีวิตสตั ว์ให้ตกล่วงไป หมายถึง เวน้ จากการฆ่าสตั ว์ รวมถงึ การทาํ รา้ ยเบียดเบยี นสตั ว์ทุกชนิด จุดมุ่งหมายเพอื ปลูกเมตตาจติ ใน สรรพสตั วท์ กุ ทวั หน้า ไมใ่ หเ้ ป็นคนโหดรา้ ย ๒. อทินนาทานา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการถือเอาสงิ ของทเี จ้าของเขาไม่ได้ให้ ด้วยอาการแห่งขโมย หมายถึง เว้นจากการลักทรพั ย์ทุกชนิด คอื ไม่ถือเอาสิงของทไี ม่มผี ู้ให้ ดว้ ยอาการแหง่ โจร รวมถงึ การฉุดชงิ วงิ ราว ฉ้อโกง ทจุ รติ คอรปั ชนั ๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม หมายถึง หา้ มการประพฤตเิ ป็นชใู้ นค่คู รอง คอื สามหี รอื ภรรยาของผอู้ นื หรอื หญงิ ชายทมี ผี ปู้ กครอง รวมถงึ การประพฤตินอกใจค่คู รองของตน จุดมุ่งหมายเพอื ป้องกนั ความแตกร้าวในครอบครวั ทําให้เกดิ ความไมว่ างใจตอ่ กนั ๔. มุสาวาทา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการพูดเท็จ หมายถึง เว้นจากการพูดโกหก หลอกลวงใหผ้ อู้ นื เขา้ ใจผดิ จากความจรงิ หรอื พดู โกหกหลอกลวงผอู้ นื ใหเ้ สยี ประโยชน์ ๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการดมื นําเมา คอื สุราและ เมรยั อนั เป็นทตี งั แหง่ ความประมาท หมายถงึ การงดเวน้ ไมด่ มื นําเมา หรอื หา้ มดมื นําเมา ทเี รยี กว่า มัชชะ ซึงได้แก่สุราและเมรัย รวมถึงการไม่เสพยาเสพติดทุกชนิด จุดมุ่งหมายเพือป้ องกัน ความประมาทขาดสติ มิจฉาวณิชชา แปลว่า การคาขายท่ีผิด หมายถึง การคา้ ขายทไี ม่ชอบธรรม หรอื 98
9๙9๙ วชิ า ธรรมวภิ าค การค้าขายทขี ดั ต่อศลี ธรรมอนั ดงี าม การค้าขายทงั ๕ ชนิดนี อุบาสกและอุบาสกิ าควรงดเว้น เพราะการคา้ เหล่านเี ป็นการเลยี งชวี ติ ทผี ดิ ตอ่ ศลี ธรรม มี ๕ ประการ คอื ๑. คาขายศัตราวุธทุกชนิด หมายถงึ คา้ ขายศตั ราวุธทุกชนิด ทใี ชเ้ ป็นเครอื งทาํ ลาย ลา้ งชวี ติ มนุษยแ์ ละสตั ว์ เชน่ หอก ดาบ แหลน ปืน เป็นตน้ ๒. คาขายมนุษย หมายถงึ การคา้ ขายมนุษย์ เพอื เป็นทาส หรอื การล่อลวงหญงิ สาว เพอื ใหบ้ รกิ ารทางเพศ เป็นตน้ ๓. คา ขายสัตวและเนื้อสัตวท่ีฆาเพื่อเปนอาหาร หมายถงึ คา้ ขายสตั วแ์ ละเนือสตั ว์ ทฆี า่ เพอื เป็นอาหาร ๔. คาขายนํ้าเมา หมายถงึ การคา้ ขายนําเมา คอื สุราและเมรยั รวมถงึ การคา้ ขาย ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษทกุ ชนิด ๕. คาขายยาพิษ หมายถึง การค้าขายยาหรือสารพิษทีอาจทําให้มนุษย์และสตั ว์ เป็นอนั ตรายจนถงึ แกค่ วามตายหากสมั ผสั หรอื รบั ประทาน การคา้ ขายทงั ๕ ชนดิ นี อบุ าสกอบุ าสกิ าไมค่ วรคา้ ขาย ควรงดเวน้ โดยเดด็ ขาด เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 อุบาสก อุบาสิกา คอื ชายหรือหญิงผู้นังใกล้พระรตั นตรยั หรอื ชายหรือหญิง ผู้เข้าถึง พระรตั นตรยั ยอมรบั นบั ถอื พระรตั นตรยั เป็นทพี งึ เป็นแนวทางในการดาํ เนนิ ชวี ติ ของตน สมบัติของอุบาสก คือ คุณธรรมประจําตวั ของอุบาสก - อุบาสิกา ซึงเรียกอกี อย่างว่า อปุ าสกธรรม มี ๕ ประการ คอื 99
1๑๐0๐0 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๑. ประกอบดวยศรัทธา คอื มศี รทั ธาตงั มนั ไมห่ วนั ไหวคลอนแคลนในพระรตั นตรยั ๒. มีศีลบริสุทธิ์ คือ รักษาศีลตามภูมิของตน คือ ศีล ๕ ศีล ๘ หรืออุโบสถศีลให้ บรสิ ทุ ธอิ ยเู่ สมอ ๓. ไมถือมงคลต่ืนขาว คอื เชอื แต่กฎแห่งกรรมทวี ่า ทําดไี ดด้ ี ทาํ ชวั ไดช้ วั ไม่เป็นคนหู เบาเชอื งา่ ยโดยขาดการพจิ ารณา ไมถ่ อื โชคถอื ลาง ไมเ่ ชอื ขา่ วลอื ๔. ไมแ สวงหาเขตบุญนอกพุทธศาสนา คอื ไม่เชอื ถอื หรอื ยนิ ดใี นการปฏบิ ตั กิ จิ หรอื พธิ ีกรรมต่าง ๆ อนั ไม่ใช่หลกั พธิ กี รรมทางพระพุทธศาสนา โดยแสวงหาแต่ทกั ขเิ ณยยบุคคล คอื พระภกิ ษุผปู้ ฏบิ ตั ดิ ี ปฏบิ ตั ชิ อบ ซงึ เป็นเนือนาบุญอนั ยอดเยยี มของโลก ๕. บําเพ็ญบุญแตในพระพุทธศาสนา คือ สนับสนุนกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา แสวงหาแต่การทาํ บุญในพระพทุ ธศาสนา พุทธศาสนิกชนผูป้ ระกอบด้วยคุณธรรมเหล่านี ถอื ว่าปฏิบตั ติ วั ได้ถูกต้องเหมาะสมและ เป็นศาสนทายาททดี ขี องพระพุทธเจา้ จงึ ไดช้ อื วา่ อบุ าสก – อบุ าสกิ า 100
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334