45 รหัสวชิ า ค ๒๑๑๐๑ ค�ำ อธบิ ายรายวิชา ช่ือรายวชิ าคณิตศาสตร์ กลุ่มสาระการเรยี นรูค้ ณิตศาสตร์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๑ เวลา ๔๐ ช่วั โมง จำ�นวน ๑ หนว่ ยกิต …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ฝกึ ทกั ษะ การคิดค�ำนวณ ประยกุ ต์ใช้ วเิ คราะหแ์ ละแกป้ ัญหาคณติ ศาสตร์เก่ยี วกับจ�ำนวนตรรกยะ การใช้สมบัติ ของจ�ำนวนตรรกยะ เลขยกก�ำลงั ทมี่ เี ลขชกี้ �ำลงั เปน็ จ�ำนวนเตม็ บวกในการแกป้ ญั หาคณติ ศาสตรแ์ ละในชวี ติ จรงิ ใชค้ วามรทู้ าง เรขาคณติ และเครอ่ื งมอื เชน่ วงเวยี น และเสน้ ตรง รวมทง้ั โปรแกรม The Geometer’s Sketchpad หรอื โปรแกรมเรขาคณติ พลวตั อืน่ ๆ เพื่อสรา้ งรปู เรขาคณติ ความสัมพันธ์ระหว่างรปู เรขาคณิตสองมิติและรูปเรขาคณิตสามมิติ สง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นใชท้ กั ษะกระบวนการทางคณติ ศาสตร์ ในการแกป้ ญั หา ปลกู ฝงั ใหน้ กั เรยี นมคี วามมงุ่ มนั่ ในการ ท�ำงาน มวี นิ ัย ใฝ่เรยี นรู้ และพฒั นาความสามารถในการส่ือสาร ความสามารถในการคดิ ความสามารถในการแก้ปญั หาและ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี มาตรฐาน/ตวั ชีว้ ัด ค ๑.๑ ม.๑/๑ ม.๑/๒ ค ๒.๒ ม.๑/๑ ม.๑/๒ รวม ๒ มาตรฐาน ๔ ตวั ชว้ี ัด
46 รหสั วิชา ค ๒๑๑๐๒ ค�ำ อธบิ ายรายวิชา ชือ่ รายวิชาคณติ ศาสตร์ กลุม่ สาระการเรียนรูค้ ณติ ศาสตร์ ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี ๑ เวลา ๔๐ ชั่วโมง จ�ำ นวน ๑ หนว่ ยกิต …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… วเิ คราะห์ คดิ ค�ำนวณ แกป้ ญั หาคณติ ศาสตรเ์ กย่ี วกบั อตั ราสว่ น สดั สว่ นและรอ้ ยละ การใชส้ มบตั กิ ารเทา่ กนั สมบตั ิ ของจ�ำนวน สมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดยี ว ความสมั พนั ธเ์ ชงิ เสน้ กราฟ ความรทู้ างสถติ ิ การน�ำเสนอขอ้ มลู การแปลความหมาย ข้อมูลและน�ำไปใช้ในชวี ติ จรงิ ดว้ ยเทคโนโลยีที่เหมาะสม ส่งเสริมให้นักเรียนใช้ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ในการแก้ปัญหา ปลูกฝังให้นักเรียนมีความมุ่งมั่น ในการท�ำงาน มวี นิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้ และพฒั นาความสามารถในการสอื่ สาร ความสามารถในการคดิ ความสามารถในการแกป้ ญั หา และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี มาตรฐาน/ตัวชวี้ ัด ค ๑.๑ ม.๑/๓ ค ๑.๓ ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๓ ค ๓.๑ ม.๑/๑ รวม ๓ มาตรฐาน ๕ ตวั ช้ีวัด
47 ตัวชี้วดั สาระการเรียนร้คู ณิตศาสตร์ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ ๒ ชน้ั รหสั ตัวชว้ี ัด ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.๒ ค ๑.๑ ม.๒/๑ ๑. เข้าใจและใชส้ มบตั ิของ • เลขยกกำ�ลงั ท่ีมีเลขช้กี �ำ ลงั เปน็ จำ�นวนเตม็ เลขยกกำ�ลงั ท่มี ีเลขชีก้ �ำ ลัง • การนำ�ความรู้เกี่ยวกบั เลขยกกำ�ลงั ไปใช้ในการ เป็นจำ�นวนเต็มในการแก้ปัญหา แก้ปญั หา คณติ ศาสตรแ์ ละปญั หาในชวี ติ จรงิ ค ๑.๑ ม.๒/๒ ๒. เข้าใจจำ�นวนจริงและความ • จ�ำ นวนอตรรกยะ สมั พนั ธข์ องจ�ำ นวนจรงิ และใช้ • จำ�นวนจรงิ สมบัติของจำ�นวนจริงในการ • รากทีส่ องและรากท่ีสามของจำ�นวนตรรกยะ แก้ปัญหาคณิตศาสตร์และปัญหา • การนำ�ความร้เู ก่ียวกับจ�ำ นวนจริงไปใช้ ในชวี ติ จรงิ ค ๑.๒ ม.๒/๑ ๑. เขา้ ใจหลกั การการดำ�เนนิ การ • พหนุ าม ของพหุนามและใช้พหนุ าม • การบวก การลบ และการคณู ของพหนุ าม ในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ • การหารพหุนามด้วยเอกนามทมี่ ผี ลหารเป็นพหุนาม ค ๑.๒ ม.๒/๒ ๒. เขา้ ใจและใชก้ ารแยกตวั ประกอบ • การแยกตวั ประกอบของพหนุ ามดีกรสี องโดยใช้ ของพหุนามดีกรีสองในการแก้ - สมบัตกิ ารแจกแจง ปญั หาคณติ ศาสตร์ - ก�ำ ลังสองสมบูรณ์ - ผลตา่ งของกำ�ลงั สอง ค ๒.๑ ม.๒/๑ ๑. ประยุกต์ใช้ความรู้เรื่องพื้นท่ี • การหาพืน้ ท่ผี ิวของปริซมึ และทรงกระบอก ผิวของปริซึมและทรงกระบอก • การนำ�ความรู้เก่ยี วกบั พืน้ ทผี่ ิวของปริซึมและ ในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์และ ทรงกระบอกไปใชใ้ นการแกป้ ญั หา ปญั หาในชีวิตจริง ค ๒.๑ ม.๒/๒ ๒. ประยกุ ตใ์ ชค้ วามรเู้ รอ่ื งปรมิ าตร • การหาปรมิ าตรของปรซิ มึ และทรงกระบอก ของปริซึมและทรงกระบอกใน • การน�ำ ความร้เู กย่ี วกบั ปริมาตรของปรซิ มึ และ การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์และ ทรงกระบอกไปใชใ้ นการแก้ปัญหา ปญั หาในชวี ติ จรงิ
48 ช้นั รหสั ตวั ช้วี ัด ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๒ ค ๒.๒ ม.๒/๑ ๑. ใชค้ วามรู้ทางเรขาคณติ และ • การน�ำ ความรูเ้ กี่ยวกับการสร้างทางเรขาคณติ ไปใช้ เครอื่ งมอื เชน่ วงเวยี นและสนั ตรง ในชีวติ จริง รวมทัง้ โปรแกรม The Geometer’s Sketchpad หรือ โปรแกรมเรขาคณิต พลวตั อนื่ ๆ เพอ่ื สรา้ งรปู เรขาคณติ ตลอดจนนำ�ความรู้เกีย่ วกบั การ สร้างนไ้ี ปประยุกตใ์ ช้ในการ แก้ปัญหาในชวี ติ จริง ค ๒.๒ ม.๒/๒ ๒. นำ�ความรเู้ ก่ยี วกบั สมบตั ขิ อง • สมบตั ิเกีย่ วกับเส้นขนานและรปู สามเหลย่ี ม เส้นขนานและรูปสามเหลยี่ ม ไปใชใ้ นการแกป้ ญั หาคณติ ศาสตร์ ค ๒.๒ ม.๒/๓ ๓. เข้าใจและใช้ความร้เู ก่ยี วกบั • การเลื่อนขนาน การแปลงทางเรขาคณิต • การสะท้อน ในการแกป้ ัญหาคณิตศาสตร์ • การหมนุ และปัญหาในชีวติ จริง • การน�ำ ความร้เู กี่ยวกับการแปลงทางเรขาคณติ ไปใช้ในการแกป้ ัญหา ค ๒.๒ ม.๒/๔ ๔. เขา้ ใจและใช้สมบตั ิของ • ความเท่ากันทกุ ประการของรูปสามเหลยี่ ม รปู สามเหลย่ี มทเ่ี ทา่ กนั ทกุ ประการ • การนำ�ความรเู้ กีย่ วกบั ความเทา่ กันทุกประการไปใช้ ในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์และ ในการแก้ปญั หา ปัญหาในชวี ติ จรงิ ค ๒.๒ ม.๒/๕ ๕. เขา้ ใจและใช้ทฤษฎี • ทฤษฎีบทพที าโกรสั และบทกลบั บทพที าโกรสั และบทกลับ • การน�ำ ความรู้เกีย่ วกับทฤษฎีบทพีทาโกรัส ในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์และ และบทกลับไปใช้ในชีวิตจรงิ ปญั หาในชวี ิตจริง
49 ช้นั รหัสตัวช้ีวัด ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๒ ค ๓.๑ ม.๒/๑ ๑. เข้าใจและใชค้ วามรู้ทางสถติ ิ • การน�ำ เสนอและวิเคราะหข์ อ้ มูล ในการน�ำ เสนอขอ้ มลู และวเิ คราะห์ - แผนภาพจดุ ขอ้ มูลจากแผนภาพจดุ แผนภาพ - แผนภาพต้น - ใบ ต้น - ใบ ฮิสโทแกรม และคา่ กลาง - ฮิสโทแกรม ของขอ้ มลู และแปลความหมาย - คา่ กลางของข้อมูล ผลลพั ธ์ รวมทัง้ นำ�สถติ ไิ ปใช้ • การแปลความหมายผลลพั ธ์ ในชีวติ จริงโดยใชเ้ ทคโนโลยี • การน�ำ สถติ ไปใชใ้ นชีวิตจรงิ ที่เหมาะสม
50 รหัสวิชา ค ๒๒๑๐๑ ค�ำ อธบิ ายรายวชิ า ช่ือรายวชิ าคณิตศาสตร์ กล่มุ สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๒ เวลา ๔๐ ชัว่ โมง จำ�นวน ๑.๐ หน่วยกิต …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ฝึกทักษะการคิดค�ำนวณ วิเคราะห์และแก้ปัญหาคณิตศาสตร์เกี่ยวกับสมบัติของเลขยกก�ำลังท่ีมีเลขชี้ก�ำลัง เป็นจ�ำนวนเต็ม จ�ำนวนจริง ความสัมพันธ์ของจ�ำนวนจริง การใช้สมบัติของจ�ำนวนจริง หลักการด�ำเนินการของพหุนาม การแยกตวั ประกอบของพหนุ ามดกี รสี อง สถติ ิ การน�ำเสนอขอ้ มลู แผนภาพจดุ แผนภาพตน้ -ใบฮสิ โทแกรม คา่ กลางของขอ้ มลู และแปลความหมายผลลพั ธ์ ไปใชใ้ นชีวิตจรงิ ด้วยใช้เทคโนโลยที ่ีเหมาะสม สง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นใชท้ กั ษะกระบวนการทางคณติ ศาสตร์ ในการแกป้ ญั หา ปลกู ฝงั ใหน้ กั เรยี นมคี วามมงุ่ มนั่ ในการ ท�ำงาน มวี ินยั ใฝ่เรยี นรู้ และพัฒนาความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคดิ ความสามารถในการแกป้ ญั หาและ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี มาตรฐาน/ตวั ชวี้ ดั ค ๑.๑ ม.๒/๑ ม.๒/๒ ค ๑.๒ ม.๒/๑ ม.๒/๒ ค ๓.๑ ม.๒/๑ รวม ๓ มาตรฐาน ๕ ตวั ช้วี ดั
51 รหสั วิชา ค ๒๒๑๐๒ ค�ำ อธิบายรายวชิ า ชื่อรายวิชาคณติ ศาสตร์ กล่มุ สาระการเรียนร้คู ณติ ศาสตร์ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี ๒ เวลา ๔๐ ชั่วโมง จำ�นวน ๑.๐ หน่วยกิต …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ฝึกทักษะการคิดค�ำนวณ ประยุกต์ใช้และแก้ปัญหาคณิตศาสตร์เกี่ยวกับพ้ืนท่ีผิวและปริมาตรของปริซึมและ ทรงกระบอก การใชเ้ รขาคณิตและเครอ่ื งมอื เชน่ วงเวียนและสนั ตรง รวมทั้งโปรแกรม The Geometer’s Sketchpad หรอื โปรแกรมเรขาคณติ พลวตั อน่ื ๆ ในการสรา้ งรปู เรขาคณติ มสี มบตั ขิ องเสน้ ขนานและรปู สามเหลยี่ ม การแปลงทางเรขาคณติ สมบตั ขิ องรปู สามเหลี่ยมท่เี ทา่ กันทุกประการ ทฤษฎีบทพีทาโกรสั และบทกลบั ไปใชใ้ นชีวิตจริง ส่งเสริมให้นักเรียนใช้ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ในการแก้ปัญหา ปลูกฝังให้นักเรียนมีความมุ่งมั่น ในการท�ำงาน มวี นิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้ และพฒั นาความสามารถในการสอื่ สาร ความสามารถในการคดิ ความสามารถในการแกป้ ญั หา และความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี มาตรฐาน/ตัวชวี้ ดั ค ๒.๑ ม.๒/๑ ม.๒/๒ ค ๒.๒ ม.๒/๑ ม.๒/๒ ม.๒/๓ ม.๒/๔ ม.๒/๕ รวม ๒ มาตรฐาน ๗ ตวั ชี้วัด
52 ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ ชน้ั รหัสตวั ชว้ี ดั ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๓ ค ๑.๒ ม.๓/๑ ๑. เขา้ ใจและใชก้ ารแยกตวั ประกอบ • การแยกตวั ประกอบของพหนุ ามดีกรีสงู กวา่ สอง ของพหนุ ามท่ีมดี กี รีสูงกวา่ สอง ในการแกป้ ัญหาคณิตศาสตร์ ค ๑.๒ ม.๓/๒ ๒. เข้าใจและใช้ความรู้เก่ียวกับ • กราฟของฟงั กช์ ันกำ�ลงั สอง ฟงั กช์ นั ก�ำ ลงั สองในการแกป้ ญั หา • การน�ำ ความรู้เกย่ี วกบั ฟงั กช์ ันกำ�ลังสองไปใช้ในการ คณิตศาสตร์ แกป้ ญั หา ค ๑.๓ ม.๓/๑ ๑. เข้าใจและใชส้ มบัตขิ องการ • อสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดยี ว ไมเ่ ทา่ กนั เพอื่ วเิ คราะห์และ • การแก้อสมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดยี ว แก้ปัญหา โดยใช้อสมการเชิงเส้น • การนำ�ความร้เู กยี่ วกับการแกอ้ สมการเชิงเส้น ตัวแปรเดยี ว ตัวแปรเดยี วไปใชใ้ นการแกป้ ัญหา ค ๑.๓ ม.๓/๒ ๒. ประยกุ ตใ์ ชส้ มการกำ�ลงั สอง • สมการกำ�ลงั สองตวั แปรเดียว ตวั แปรเดยี วในการแก้ปญั หา • การแกส้ มการกำ�ลังสอง ตัวแปรเดยี ว คณิตศาสตร์ • การน�ำ ความรู้เกีย่ วกับการแกส้ มการก�ำ ลงั สอง ตัวแปรเดยี วไปใช้ในการแกป้ ัญหา ค ๑.๓ ม.๓/๓ ๓. ประยุกตใ์ ช้ระบบสมการ • ระบบสมการเชงิ เส้นสองตัวแปร เชิงเสน้ สองตวั แปรในการ • การแกร้ ะบบสมการเชงิ เสน้ สองตัวแปร แก้ปัญหาคณติ ศาสตร์ • การน�ำ ความร้เู กยี่ วกับการแก้ระบบสมการเชิงเส้น สองตัวแปรไปใช้ในการแกป้ ัญหา ค ๒.๑ ม.๓/๑ ๑. ประยกุ ตใ์ ช้ความรเู้ ร่ือง • การหาพนื้ ทีผ่ วิ ของพีระมิด กรวย และทรงกลม พ้นื ทผ่ี ิวของพรี ะมดิ กรวย • การนำ�ความร้เู ก่ยี วกบั พ้นื ที่ผวิ ของพีระมดิ กรวย และทรงกลมในการแก้ปัญหา และทรงกลมไปใชใ้ นการแกป้ ญั หา คณติ ศาสตรแ์ ละปัญหา ในชวี ิตจรงิ
53 ช้นั รหัสตวั ช้วี ดั ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.๓ ค ๒.๑ ม.๓/๒ ๒. ประยุกตใ์ ช้ความรู้เร่อื ง • การหาปรมิ าตรของพีระมดิ กรวย และทรงกลม ปรมิ าตรของพีระมิด กรวย • การนำ�ความรเู้ กย่ี วกับปริมาตรของพรี ะมิด กรวย และ และทรงกลมในการแก้ปญั หา ทรงกลมไปใช้ในการแก้ปญั หา คณติ ศาสตรแ์ ละปญั หาในชวี ติ จรงิ ค ๒.๒ ม.๓/๑ ๑. เข้าใจและใช้สมบตั ิของ • รูปสามเหล่ยี มท่ีคลา้ ยกัน ค ๒.๓ ม.๓/๒ รูปสามเหลยี่ มทีค่ ลา้ ยกัน • การน�ำ ความรเู้ กยี่ วกบั ความคลา้ ยไปใชใ้ นการแกป้ ญั หา ในการแกป้ ญั หาคณิตศาสตร์ และปญั หาในชวี ิตจริง ๒. เขา้ ใจและใช้ความรูเ้ กยี่ วกบั อตั ราส่วนตรีโกณมติ ิ ในการแกป้ ัญหาในชวี ิตจรงิ ค ๒.๒ ม.๓/๓ ๓. เขา้ ใจและใชท้ ฤษฎบี ทเกยี่ วกบั • วงกลม คอร์ด และเส้นสัมผสั ค ๓.๑ ม.๓/๑ วงกลมในการแก้ปัญหา • ทฤษฎบี ทเกีย่ วกับวงกลม คณติ ศาสตร์ ค ๓.๒ ม.๓/๑ ๑. เขา้ ใจและใชค้ วามรทู้ างสถติ ใิ น • ขอ้ มลู และการวิเคราะหข์ อ้ มูล การนำ�เสนอและวิเคราะห์ข้อมูล - แผนภาพกล่อง จากแผนภาพกลอ่ งและแปลความ • การแปลความหมายผลลพั ธ์ หมายผลลัพธร์ วมทงั้ นำ�สถิตไิ ปใช้ • การน�ำ สถิติไปใชใ้ นชวี ติ จริง ในชวี ติ จริงโดยใช้เทคโนโลยี ทเี่ หมาะสม ๑. เข้าใจเกี่ยวกับการทดลองสุ่ม • เหตกุ ารณจ์ ากการทดลองสุ่ม และน�ำ ผลทไี่ ดไ้ ปหาความนา่ จะเปน็ • ความน่าจะเปน็ ของเหตกุ ารณ์ • การนำ�ความรูเ้ กีย่ วกับความนา่ จะเป็นไปใช้ในชวี ติ จรงิ
54 รหสั วชิ า ค ๒๓๑๐๑ ค�ำ อธบิ ายรายวชิ า ชอื่ รายวิชาคณติ ศาสตร์ กล่มุ สาระการเรยี น รู้คณิตศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี ๓ เวลา ๔๐ ช่ัวโมง จำ�นวน ๑.๐ หน่วยกติ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ฝึกทักษะการคิดค�ำนวณ ประยุกต์ใช้ วิเคราะห์และแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ เกี่ยวกับการแยกตัวประกอบของ พหนุ ามทม่ี ดี กี รสี งู กวา่ สอง ฟงั กช์ นั ก�ำลงั สอง สมบตั กิ ารไมเ่ ทา่ กนั อสมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดยี ว สมการก�ำลงั สองตวั แปรเดยี ว ระบบสมการเชงิ เสน้ สองตัวแปร ส่งเสริมให้นักเรียนใช้ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ในการแก้ปัญหา ปลูกฝังให้นักเรียนมีความมุ่งม่ัน ในการท�ำงาน มวี นิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้ และพฒั นาความสามารถในการสอื่ สาร ความสามารถในการคดิ ความสามารถในการแกป้ ญั หา และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี มาตรฐาน/ตัวชี้วดั ค ๑.๒ ม.๓/๑ ม.๓/๒ ค ๑.๓ ม.๓/๑ ม.๓/๒ ม.๓/๓ รวม ๒ มาตรฐาน ๕ ตวั ชวี้ ัด
55 รหสั วชิ า ค ๒๓๑๐๒ คำ�อธบิ ายรายวชิ า ชอ่ื รายวิชาคณติ ศาสตร์ กลุม่ สาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี ๓ เวลา ๔๐ ชัว่ โมง จำ�นวน ๑.๐ หน่วยกติ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ฝกึ ทกั ษะการคดิ ค�ำนวณ ประยกุ ตใ์ ช้ วเิ คราะหแ์ ละแกป้ ญั หาคณติ ศาสตรเ์ กยี่ วกบั พน้ื ทผี่ วิ และปรมิ าตรของพรี ะมดิ กรวย ทรงกลม สมบัติของรูปสามเหลี่ยมท่ีคล้ายกัน อัตราส่วนตรีโกณมิติ ทฤษฎีบทเกี่ยวกับวงกลม ความรู้ทางสถิติ ในการน�ำเสนอและวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนภาพกล่อง การแปลความหมายผลลัพธ์ การทดลองสุ่ม ความน่าจะเป็นของ เหตกุ ารณ์ไปใชใ้ นชวี ติ จรงิ ดว้ ยเทคโนโลยี ส่งเสริมให้นักเรียนใช้ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ในการแก้ปัญหา ปลูกฝังให้นักเรียนมีความมุ่งมั่น ในการท�ำงาน มวี นิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้ และพฒั นาความสามารถในการสอื่ สาร ความสามารถในการคดิ ความสามารถในการแกป้ ญั หา และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี มาตรฐาน/ตวั ช้ีวัด ค ๒.๑ ม.๓/๑ ม.๓/๒ ค ๒.๒ ม.๓/๑ ม.๓/๒ ม.๓/๓ ค ๓.๑ ม.๓/๑ ค ๓.๒ ม.๓/๑ รวม ๔ มาตรฐาน ๗ ตัวช้ีวดั
56 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี สาระท่ี ๑ วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑ เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสิ่งไม่มชี ีวิตกบั ส่งิ มชี วี ิต และความสัมพนั ธร์ ะหว่างสง่ิ มชี วี ิตกบั สิง่ มชี วี ติ ตา่ ง ๆ ในระบบนิเวศ การถา่ ยทอดพลงั งาน การเปลย่ี นแปลงแทนท่ีในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปญั หาและผลกระทบที่มี ต่อทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม รวมทงั้ นำ�ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๒ เขา้ ใจสมบัตขิ องสิง่ มีชีวิต หนว่ ยพื้นฐานของสงิ่ มีชีวติ การล�ำ เลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ ความสัมพนั ธข์ องโครงสรา้ ง และหน้าทีข่ องระบบตา่ ง ๆ ของสตั วแ์ ละมนุษยท์ ท่ี ำ�งานสมั พันธก์ นั รวมทั้งน�ำ ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๓ เขา้ ใจกระบวนการและความสำ�คัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม สารพนั ธกุ รรม การเปล่ียนแปลงทางพันธกุ รรมทม่ี ีผลต่อสิง่ มีชีวติ ความหลากหลายทางชวี ภาพและ วิวฒั นาการของสง่ิ มชี วี ิต รวมทั้งนำ�ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ สาระท่ี ๒ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เขา้ ใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พันธ์ระหวา่ งสมบัติ ของสสาร กับโครงสร้าง และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลง สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาตขิ องแรงในชวี ติ ประจ�ำ วัน ผลของแรงทกี่ ระท�ำ ตอ่ วตั ถุ ลกั ษณะการเคลอ่ื นทแ่ี บบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมทงั้ น�ำ ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถา่ ยโอนพลังงาน ปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างสสารและพลงั งาน พลังงานในชีวติ ประจ�ำ วัน ธรรมชาตขิ องคลน่ื ปรากฏการณท์ เี่ กย่ี วขอ้ งกบั เสยี ง แสง และคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ รวมทงั้ น�ำ ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ สาระที่ ๓ วิทยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑ เขา้ ใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และววิ ัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ยิ ะ รวมทั้งปฏสิ ัมพนั ธ์ภายในระบบสุริยะท่ีสง่ ผลต่อสิง่ มีชวี ติ และการประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยอี วกาศ มาตรฐาน ว ๓.๒ เขา้ ใจองคป์ ระกอบและความสัมพนั ธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลย่ี นแปลงภายในโลก และบนผิวโลก ธรณพี ิบตั ภิ ยั กระบวนการเปลี่ยนแปลง ลม ฟ้า อากาศ และภมู อิ ากาศโลก รวมทัง้ ผลตอ่ สง่ิ มชี ีวิต และส่งิ แวดลอ้ ม
57 สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี เข้าใจแนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยเี พอื่ การด�ำ รงชวี ติ ในสังคมท่ีมีการเปลีย่ นแปลง มาตรฐาน ว ๔.๑ อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทกั ษะทางดา้ นวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตรอ์ ื่นๆ เพอ่ื แกป้ ญั หาหรอื พฒั นางานอยา่ งมคี วามคดิ สรา้ งสรรคด์ ว้ ยกระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม มาตรฐาน ว ๔.๒ เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยค�ำ นึงถึงผลกระทบต่อชวี ติ สงั คม และส่งิ แวดลอ้ ม เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำ�นวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอน และเป็น ระบบ ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรยี นรู้ การทำ�งาน และการแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ รเู้ ทา่ ทนั และมจี ริยธรรม
58 ตวั ชวี้ ดั สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๑ ชั้น รหัสตวั ช้ีวดั ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.๑ ว ๑.๒ ม.๑/๑ ๑. เปรียบเทียบรูปร่าง ลักษณะ • เซลลเ์ ปน็ หนว่ ยพนื้ ฐานของสง่ิ มชี วี ติ สงิ่ มชี วี ติ บางชนดิ มี และโครงสร้างของ เซลล์พืชและ เซลลเ์ พยี งเซลลเ์ ดยี ว เชน่ อะมบี า พารามเี ซยี ม ยสี ตบ์ าง เซลล์สัตว์รวมทั้ง บรรยายหน้าท่ี ชนดิ มหี ลายเซลล์ เชน่ พชื สตั ว์ ของผนงั เซลลเ์ ยือ่ หมุ้ เซลล์ • โครงสรา้ งพื้นฐานท่พี บทั้งในเซลล์พืชและเซลลส์ ตั ว์ ไซโทพลาซมึ นวิ เคลียส แวคิวโอล และสามารถสงั เกตได้ด้วยกล้องจลุ ทรรศน์ใชแ้ สง ไดแ้ ก่ ไมโทคอนเดรยี และคลอโรพลาสต์ เยื่อหุ้มเซลล์ไซโทพลาซึม และนิวเคลียส โครงสร้างที่ ว ๑.๒ ม.๑/๒ ๒. ใชก้ ลอ้ งจุลทรรศนใ์ ช้แสง พบในเซลล์พืชแต่ไม่พบในเซลล์สัตว์ ได้แก่ ผนังเซลล์ ศึกษาเซลล์และโครงสร้างต่างๆ และคลอโรพลาสต์ ภายในเซลล์ • โครงสร้างต่างๆ ของเซลล์มหี นา้ ทีแ่ ตกตา่ งกัน - ผนงั เซลลท์ �ำหน้าท่ใี หค้ วามแข็งแรงแกเ่ ซลล์ - เยอ่ื หุ้มเซลลท์ �ำหนา้ ทห่ี ่อหมุ้ เซลลแ์ ละควบคมุ การล�ำเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ - นิวเคลียส ท�ำหนา้ ที่ควบคุมการท�ำงานของเซลล์ - ไซโทพลาซมึ มีออร์แกเนลล์ท่ีท�ำหน้าทีแ่ ตกต่างกนั - แวคิวโอล ท�ำหน้าทเ่ี กบ็ น้�ำและสารตา่ งๆ - ไมโทคอนเดรีย ท�ำหนา้ ท่เี ก่ียวกบั การสลายสารอาหาร เพือ่ ใหไ้ ด้พลังงานแกเ่ ซลล์ - คลอโรพลาสตเ์ ปน็ แหลง่ ทีเ่ กดิ การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง
59 ช้ัน รหัสตวั ชี้วัด ตัวชี้วัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ม.๑ ว ๑.๒ ม.๑/๓ ๓. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง • เซลล์ของสง่ิ มชี ีวิตมรี ปู รา่ ง ลกั ษณะ ทหี่ ลากหลายและมี ว ๑.๒ ม.๑/๔ รูปรา่ งกบั การท�ำ หน้าท่ขี องเซลล์ ความเหมาะสมกับหน้าท่ีของเซลล์นั้น เช่น เซลล์ประสาท สว่ นใหญม่ เี สน้ ใยประสาทเปน็ แขนงยาว น�ำกระแสประสาท ว ๑.๒ ม.๑/๕ ไปยงั เซลล์อ่นื ๆ ทอ่ี ยไู่ กลออกไป เซลล์ขนราก เปน็ เซลล์ ผิวของรากท่ีมีผนังเซลล์และเย่ือหุ้มเซลล์ย่ืนยาวออกมา ลักษณะคล้ายขนเส้นเล็กๆ เพื่อเพ่ิมพื้นที่ผิวในการดูด น้�ำและธาตุอาหาร ๔. อธบิ ายการจดั ระบบของ • พชื และสตั วเ์ ปน็ สงิ่ มชี วี ติ หลายเซลล์ มกี ารจดั ระบบ โดย สง่ิ มชี วี ติ โดยเรม่ิ จากเซลลเ์ นอื้ เยอื่ เรมิ่ จากเซลล์ไปเปน็ เนอ้ื เยือ่ อวยั วะ ระบบอวัยวะและ อวยั วะ ระบบอวยั วะ จนเปน็ ส่ิงมีชีวิตตามลำ�ดับ เซลล์หลายเซลล์มารวมกันเป็น สง่ิ มีชีวิต เน้อื เยอ่ื เนื้อเยอื่ หลายชนดิ มารวมกนั และทำ�งานรว่ มกนั เปน็ อวยั วะ อวยั วะตา่ งๆ ท�ำ งานรว่ มกนั เปน็ ระบบอวยั วะ ระบบอวยั วะทกุ ระบบท�ำ งานร่วมกันเปน็ สงิ่ มชี วี ิต ๕. อธิบายกระบวนการแพร่ • เซลลม์ กี ารน�ำสารเขา้ สเู่ ซลลเ์ พอ่ื ใชใ้ นกระบวนการตา่ งๆ และออสโมซิสจากหลักฐานเชิง ของเซลล์และมีการขจัดสารบางอยา่ งท่เี ซลล์ไม่ตอ้ งการ ประจกั ษ์ และยกตวั อยา่ งการแพร่ ออกนอกเซลล์ การน�ำสารเข้าและออกจากเซลล์มี และออสโมซิสในชีวิตประจำ�วนั หลายวธิ ี เชน่ การแพร่ เป็นการเคลอ่ื นท่ขี องสารจาก บริเวณทม่ี คี วามเข้มขน้ ของสารสงู ไปส่บู ริเวณทีม่ ีความ เข้มข้นของสารต�ำ่ ส่วนออสโมซสิ เป็นการแพรข่ องนำ�้ ผา่ นเย่ือห้มุ เซลล์จากด้านท่มี คี วามเข้มข้นของสารละลายต�่ำ ไปยังดา้ นท่มี ีความเขม้ ขน้ ของสารละลายสูงกว่า
60 ช้นั รหัสตัวช้ีวดั ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๑ ว ๑.๒ ม.๑/๖ ๖. ระบปุ จั จัยที่จ�ำ เป็นในการ • กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื ท่ีเกดิ ขนึ้ สังเคราะห์ด้วยแสงและผลผลติ ที่ ในคลอโรพลาสต์ จ�ำเป็นต้องใช้แสงแก๊สคาร์บอนได- เกดิ ขน้ึ จากการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง ออกไซด์ คลอโรฟิลล์และน�้ำ ผลผลิตที่ได้จากการ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ สงั เคราะหด์ ้วยแสง ได้แก่ น้�ำตาลและแก๊สออกซเิ จน ว ๑.๒ ม.๑/๗ ๗. อธิบายความสำ�คัญของการ • การสงั เคราะหด์ ้วยแสง เปน็ กระบวนการที่ส�ำ คญั ต่อ ว ๑.๒ ม.๑/๘ สังเคราะห์ด้วยแสงของพืช สงิ่ มีชวี ติ เพราะเป็นกระบวนการเดยี วท่สี ามารถ ตอ่ สิง่ มีชวี ิตและสง่ิ แวดล้อม นำ�พลงั งานแสงมาเปลย่ี นเปน็ พลังงานในรูป ๘. ตระหนกั ในคุณคา่ ของพืช สารประกอบอินทรยี ์ และเก็บสะสมในรปู แบบตา่ งๆ ทม่ี ตี ่อสงิ่ มชี วี ิตและส่ิงแวดลอ้ ม ในโครงสรา้ งของพชื พชื จงึ เปน็ แหลง่ อาหารและพลงั งาน โดยการร่วมกนั ปลูกและดแู ล ทส่ี �ำ คญั ของสงิ่ มชี วี ติ อน่ื นอกจากนกี้ ระบวนการสงั เคราะห์ รกั ษาตน้ ไมใ้ นโรงเรียนและชมุ ชน ด้วยแสงยงั เปน็ กระบวนการหลัก ในการสรา้ งแกส๊ ออกซิเจนใหก้ ับบรรยากาศเพ่อื ใหส้ ง่ิ มีชีวติ อ่ืนใช้ใน กระบวนการหายใจ ว ๑.๒ ม.๑/๙ ๙. บรรยายลักษณะและหนา้ ท่ี • พชื มีไซเลม็ และโฟลเอ็ม ซ่ึงเป็นเนอ้ื เย่อื มลี ักษณะ ว ๑.๒ ม.๑/๑๐ ของไซเลม็ และโฟลเอม็ คลา้ ยทอ่ เรยี งตวั กนั เปน็ กลมุ่ เฉพาะท่ี โดยไซเลม็ ท�ำหนา้ ท่ี ๑๐. เขียนแผนภาพที่บรรยาย ล�ำเลยี งน�้ำและธาตุอาหาร มที ศิ ทางล�ำเลียงจากรากไปสู่ ทิศทางการล�ำ เลยี งสารใน ล�ำต้น ใบ และส่วนต่างๆ ของพืชเพอ่ื ใช้ในการสงั เคราะห์ ไซเล็มและโฟลเอ็มของพืช ด้วยแสงรวมถึงกระบวนการอ่ืนๆ ส่วนโฟลเอ็มท�ำหน้าท่ี ล�ำเลียงอาหารทไ่ี ดจ้ ากการสังเคราะหด์ ้วยแสง มที ศิ ทาง ล�ำเลียงจากบริเวณท่ีมีการสังเคราะห์ด้วยแสงไปสู่ส่วน ต่างๆ ของพืช
61 ช้ัน รหัสตวั ชีว้ ดั ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.๑ ว ๑.๒ ม.๑/๑๑ ๑๑. อธิบายการสืบพันธแุ์ บบ • พืชดอกทุกชนิดสามารถสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศได้และ บางชนิดสามารถสืบพนั ธแ์ุ บบไม่อาศัยเพศได้ อาศยั เพศ และไม่อาศยั เพศ ของพชื ดอก ว ๑.๒ ม.๑/๑๒ ๑๒. อธิบายลักษณะ โครงสร้าง • การสืบพันธแุ์ บบอาศัยเพศ เปน็ การสบื พนั ธทุ์ ่ีมี ของดอกทม่ี สี ว่ นทำ�ใหเ้ กิด การผสมกันของสเปริ ์มกับเซลล์ไข่ การสบื พันธ์ุ การถ่ายเรณู รวมทง้ั บรรยาย แบบอาศยั เพศของพชื ดอกเกิดขึน้ ท่ีดอก การปฏสิ นธขิ องพชื ดอก การเกดิ ผล โดยภายในอับเรณูของส่วนเกสรเพศผู้มีเรณูซึ่งทำ�หน้าที่ และเมลด็ การกระจายเมล็ด และ สรา้ งสเปริ ม์ ภายในออวุลของสว่ นเกสรเพศเมยี การงอกของเมลด็ มถี ุงเอม็ บรโิ อ ทำ�หนา้ ทส่ี ร้างเซลล์ไข่ ว ๑.๒ ม.๑/๑๓ ๑๓. ตระหนกั ถงึ ความส�ำ คญั • การสืบพันธุ์แบบไมอ่ าศยั เพศเป็นการสืบพันธท์ุ พี่ ืช ของสตั ว์ทีช่ ว่ ยในการถา่ ยเรณู ตน้ ใหมไ่ มไ่ ดเ้ กดิ จากการปฏสิ นธริ ะหวา่ งสเปริ ม์ กบั เซลลไ์ ข่ ของพืชดอก โดยการไม่ทำ�ลาย แตเ่ กดิ จากส่วนต่างๆ ของพชื เชน่ ราก ลำ�ตน้ ใบ มกี าร ชวี ติ ของสตั วท์ ชี่ ว่ ยในการถา่ ยเรณู เจรญิ เติบโตและพฒั นาข้นึ มาเปน็ ต้นใหม่ได้ • การถา่ ยเรณคู อื การเคลอื่ นยา้ ยของเรณจู ากอบั เรณไู ปยงั ยอดเกสรเพศเมีย ซึง่ เก่ยี วขอ้ งกบั ลกั ษณะและโครงสรา้ ง ของดอก เช่น สีของกลีบดอก ตำ�แหน่งของเกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย โดยมีสิ่ง ท่ีช่วยในการถ่ายเรณู เช่น แมลง ลม • การถา่ ยเรณจู ะนำ�ไปสู่การปฏิสนธิซงึ่ จะเกิดขึ้นที่ ถุงเอ็มบริโอภายในออวุล หลังการปฏิสนธิจะได้ ไซโกต และเอนโดสเปิร์ม ไซโกตจะพฒั นาตอ่ ไปเป็นเอ็มบริโอ ออวลุ พัฒนาไปเป็นเมลด็ และรงั ไข่พฒั นาไปเปน็ ผล • ผลและเมล็ดมีการกระจายออกจาก ตน้ เดมิ โดยวธิ ีการตา่ งๆ เม่อื เมล็ดไปตกในสภาพแวดลอ้ มที่ เหมาะสมจะเกิดการงอกของเมล็ด โดยเอม็ บริโอ ภายในเมลด็ จะเจรญิ ออกมา ในระยะแรกจะอาศยั อาหาร ที่สะสมภายในเมล็ด จนกระทัง่ ใบแทพ้ ฒั นา จนสามารถ สังเคราะหด์ ้วยแสงไดเ้ ต็มทแ่ี ละสรา้ งอาหารได้เอง ตามปกติ
62 ช้ัน รหัสตวั ชี้วัด ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ว ๑.๒ ม.๑/๑๔ ๑๔. อธิบายความส�ำ คัญของธาตุ • พืชตอ้ งการธาตอุ าหารท่ีจ�ำ เปน็ หลายชนดิ ใน อาหารบางชนดิ ที่มผี ลตอ่ การ การเจรญิ เติบโตและการดำ�รงชวี ติ เจรญิ เติบโตและการด�ำ รงชีวติ • พืชต้องการธาตุอาหารบางชนิดในปริมาณมากได้แก่ ของพชื ไนโตรเจน ฟอสฟอรสั โพแทสเซยี ม แคลเซยี ม แมกนเี ซยี ม ว ๑.๒ ม.๑/๑๕ ๑๕. เลอื กใช้ปุย๋ ท่ีมธี าตุอาหาร และก�ำ มะถัน ซึง่ ในดินอาจมีไมเ่ พียงพอส�ำ หรบั การ เหมาะสมกบั พืชในสถานการณ์ เจริญเติบโตของพชื จึงตอ้ งมีการใหธ้ าตอุ าหารในรูปของ ทก่ี �ำ หนด ปุย๋ กบั พชื อย่างเหมาะสม ว ๑.๒ ม.๑/๑๖ ๑๖. เลอื กวิธีการขยายพนั ธุ์พชื ให้ • มนษุ ยส์ ามารถนำ�ความรเู้ รอื่ งการสบื พนั ธุ์แบบ ว ๑.๒ ม.๑/๑๗ เหมาะสมกับความต้องการของ อาศยั เพศและไม่อาศยั เพศ มาใช้ในการขยายพนั ธุ์ ว ๑.๒ ม.๑/๑๘ มนษุ ยโ์ ดยใช้ความรเู้ กี่ยวกบั เพือ่ เพิ่มจ�ำ นวนพืช เช่น การใช้เมล็ดทไ่ี ด้จากการสืบพันธุ์ การสบื พันธ์ขุ องพชื แบบอาศยั เพศมาเพาะเลย้ี ง วธิ กี ารนจี้ ะไดพ้ ชื ในปรมิ าณมาก ๑๗. อธิบายความสำ�คัญของ แตอ่ าจมลี กั ษณะทแี่ ตกตา่ งไปจากพอ่ แม่ สว่ นการตอนกง่ิ เทคโนโลยกี ารเพาะเลยี้ ง การปักช�ำ การต่อก่ิง การตดิ ตา การทาบก่ิง เนื้อเยื่อพชื ในการใชป้ ระโยชน์ การเพาะเลย้ี งเนอื้ เยอื่ เปน็ การน�ำ ความรเู้ รอื่ งการสบื พนั ธุ์ ด้านต่างๆ แบบไมอ่ าศัยเพศ ของพชื มาใชใ้ นการขยายพนั ธ์ุ ๑๘. ตระหนักถึงประโยชน์ของ เพือ่ ใหไ้ ด้พชื ทมี่ ีลกั ษณะเหมอื นต้นเดิม ซ่งึ การขยายพนั ธ์ุ การขยายพันธพ์ุ ืชโดยการ แต่ละวิธีมีข้ันตอนแตกต่างกัน จึงควรเลือกให้เหมาะสม นำ�ความร้ไู ปใชใ้ นชวี ิตประจ�ำ วนั กบั ความตอ้ งการของมนุษย์โดยตอ้ งคำ�นงึ ถึงชนดิ ของพชื และลกั ษณะการสบื พันธุ์ของพชื • เทคโนโลยีการเพาะเล้ยี งเน้ือเยอื่ พชื เปน็ การน�ำ ความรู้ เกี่ยวกับปัจจัยท่ีจำ�เป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชมาใช้ ในการเพม่ิ จ�ำ นวนพืช และทำ�ใหพ้ ืชสามารถเจรญิ เตบิ โต ไดใ้ นหลอดทดลอง ซง่ึ จะได้พืชจ�ำ นวนมากในระยะเวลาส้ัน และสามารถนำ�เทคโนโลยีการเพาะเล้ียงเน้ือเยื่อมา ประยุกต์เพ่อื การอนุรักษพ์ ันธกุ รรมพชื ปรับปรงุ พันธพุ์ ชื ทม่ี ีความส�ำ คัญทางเศรษฐกจิ การผลติ ยาและสารส�ำ คัญ ในพชื และอื่นๆ
63 ชน้ั รหัสตวั ชี้วดั ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.๑ ว ๒.๑ ม.๑/๑ ๑. อธบิ ายสมบัติทางกายภาพ • ธาตุแตล่ ะชนดิ มีสมบตั เิ ฉพาะตัวและมสี มบัติ บางประการของธาตโุ ลหะ อโลหะ ทางกายภาพบางประการเหมอื นกันและบางประการ และก่ึงโลหะ โดยใช้หลกั ฐาน ต่างกัน ซ่ึงสามารถน�ำมาจัดกลุ่มธาตุเป็นโลหะ อโลหะ เชงิ ประจกั ษ์ทไี่ ด้จากการสงั เกต และกง่ึ โลหะ ธาตุโลหะมีจดุ เดอื ด จุดหลอมเหลวสงู และการทดสอบ และใชส้ ารสนเทศ มีผวิ มนั วาว น�ำความร้อน น�ำไฟฟ้า ดงึ เปน็ เส้นหรือ ท่ีไดจ้ ากแหลง่ ขอ้ มูลตา่ งๆ ตีเป็นแผน่ บางๆได้และ มคี วามหนาแนน่ ท้งั สูงและต�่ำ รวมทั้งจัดกลมุ่ ธาตุเปน็ โลหะ ธาตอุ โลหะมจี ดุ เดือด จดุ หลอมเหลวตำ�่ มีผิวไม่มนั วาว อโลหะและก่ึงโลหะ ไม่น�ำความร้อน ไม่น�ำไฟฟ้า เปราะ แตกหักง่ายและ มีความหนาแน่นต่�ำ ธาตุกึ่งโลหะมีสมบัติ บางประการ เหมือนโลหะ และสมบัติบางประการเหมือนอโลหะ ว ๒.๑ ม.๑/๒ ๒. วเิ คราะห์ผลจากการใช้ธาตุ • ธาตโุ ลหะ อโลหะ และกงึ่ โลหะ ทส่ี ามารถแผร่ ังสีได้ ว ๒.๑ ม.๑/๓ โลหะ อโลหะ กงึ่ โลหะและธาตุ จดั เปน็ ธาตุกัมมนั ตรังสี กมั มันตรังสีท่ีมีตอ่ สิ่งมชี วี ติ • ธาตุมที ง้ั ประโยชน์และโทษ การใชธ้ าตุโลหะ อโลหะ สิง่ แวดล้อมเศรษฐกจิ และสงั คม กงึ่ โลหะ ธาตกุ มั มนั ตรงั สคี วรค�ำ นงึ ถงึ ผลกระทบตอ่ สง่ิ มชี วี ติ จากขอ้ มูลทีร่ วบรวมได้ ส่ิงแวดล้อม เศรษฐกจิ และสงั คม ๓. ตระหนักถงึ คุณคา่ ของ การใช้ธาตุโลหะ อโลหะ กงึ่ โลหะ ธาตกุ มั มนั ตรงั สโี ดยเสนอ แนวทางการใชธ้ าตอุ ยา่ งปลอดภยั คุ้มคา่ ว ๒.๑ ม.๑/๔ ๔. เปรียบเทยี บจุดเดือด • สารบริสทุ ธป์ิ ระกอบด้วยสารเพยี งชนิดเดยี ว จุดหลอมเหลวของสารบรสิ ุทธ์ิ สว่ นสารผสมประกอบดว้ ยสาร ตง้ั แต่ ๒ ชนิดขึ้นไป และสารผสม โดยการวดั อุณหภมู ิ สารบรสิ ทุ ธแิ์ ต่ละชนดิ มสี มบัติบางประการท่ีเป็น เขยี นกราฟแปลความหมายขอ้ มลู ค่าเฉพาะตวั เช่น จุดเดอื ดและจุดหลอมเหลวคงท่ี จากกราฟ หรอื สารสนเทศ แต่สารผสมมีจุดเดอื ด และจุดหลอมเหลวไม่คงท่ี ขึน้ อย่กู ับชนิดและสดั สว่ นของสารทีผ่ สมอยดู่ ว้ ยกัน
64 ชนั้ รหสั ตัวชีว้ ดั ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ม.๑ ว ๒.๑ ม.๑/๕ ๕. อธิบายและเปรยี บเทียบ • สารบริสุทธิ์แตล่ ะชนดิ มีความหนาแน่น หรือ ว ๒.๑ ม.๑/๖ ความหนาแน่นของสารบรสิ ทุ ธ์ิ มวลต่อหน่ึงหน่วยปรมิ าตรคงท่เี ปน็ คา่ เฉพาะ และสารผสม ของสารนนั้ ณ สถานะและอณุ หภมู ิหนง่ึ แตส่ ารผสม ๖. ใชเ้ ครือ่ งมือเพ่อื วดั มวลและ มคี วามหนาแนน่ ไมค่ งทข่ี น้ึ อยกู่ บั ชนดิ และสดั สว่ นของสาร ปรมิ าตรของสารบริสุทธแิ์ ละ ทผี่ สมอยู่ดว้ ยกนั สารผสม ว ๒.๑ ม.๑/๗ ๗. อธิบายเก่ียวกับความสัมพนั ธ์ • สารบรสิ ุทธิแ์ บ่งออกเป็นธาตุและสารประกอบ ระหวา่ งอะตอมธาตแุ ละ ธาตปุ ระกอบด้วยอนุภาคท่ีเลก็ ทส่ี ดุ ท่ยี งั แสดงสมบตั ิ สารประกอบ โดยใชแ้ บบจำ�ลอง ของธาตุนัน้ เรยี กว่า อะตอม ธาตุแตล่ ะชนดิ ประกอบดว้ ย และสารสนเทศ อะตอมเพียงชนดิ เดยี วและไม่สามารถแยกสลายเป็น สารอนื่ ไดด้ ว้ ยวธิ ที างเคมี ธาตเุ ขยี นแทนดว้ ยสญั ลกั ษณธ์ าตุ สารประกอบเกิดจากอะตอมของธาตตุ ัง้ แต่ ๒ ชนดิ ขน้ึ ไป รวมตัวกันทางเคมีในอัตราสว่ นคงท่ีมีสมบตั แิ ตกต่างจาก ธาตทุ ี่เปน็ องคป์ ระกอบ สามารถแยกเป็นธาตุไดด้ ว้ ยวิธี ทางเคมีธาตุและสารประกอบสามารถเขียนแทนไดด้ ว้ ย สตู รเคมี ว ๒.๑ ม.๑/๘ ๘. อธิบายโครงสรา้ งอะตอม • อะตอมประกอบดว้ ยโปรตอน นิวตรอน และ ท่ีประกอบดว้ ยโปรตอน นวิ ตรอน อเิ ล็กตรอน โปรตอน มีประจไุ ฟฟ้าบวก ธาตชุ นดิ และอเิ ลก็ ตรอน โดยใชแ้ บบจ�ำ ลอง เดียวกนั มีจ�ำ นวนโปรตอนเท่ากันและเป็นค่าเฉพาะ ของธาตุนนั้ นิวตรอนเป็นกลางทางไฟฟา้ สว่ นอิเลก็ ตรอน มีประจุไฟฟา้ ลบ เมือ่ อะตอมมีจำ�นวน โปรตอนเทา่ กับจำ�นวนอิเล็กตรอนจะเปน็ กลางทางไฟฟา้ โปรตอนและนิวตรอนรวมกันตรง กลางอะตอมเรียกว่า นิวเคลยี สส่วนอเิ ลก็ ตรอน ว ๒.๑ ม.๑/๙ ๙. อธบิ ายและเปรยี บเทยี บ • สสารทุกชนิดประกอบดว้ ยอนุภาค โดยสารชนดิ การจัดเรียงอนุภาค เดียวกนั ทีม่ สี ถานะของแขง็ ของเหลว แกส๊ จะมีการ แรงยึดเหนยี่ วระหว่างอนุภาค จัดเรียงอนุภาค แรงยึดเหนยี่ วระหว่างอนภุ าคการ และการเคลอ่ื นทีข่ องอนภุ าค เคล่อื นที่ของอนภุ าคแตกตา่ งกนั ซึ่งมผี ลต่อรูปรา่ ง ของสสารชนิดเดียวกนั ใน และปริมาตรของสสาร สถานะของแข็ง ของเหลว และ • อนุภาคของของแข็งเรยี งชดิ กัน มีแรงยดึ เหนย่ี ว แก๊ส โดยใช้แบบจ�ำ ลอง ระหว่างอนภุ าคมากท่สี ดุ อนุภาคส่ันอยู่กบั ทท่ี �ำ ให้ มรี ูปรา่ งและปริมาตรคงที่ • อนุภาคของของเหลวอย่ใู กลก้ ัน มแี รงยึดเหน่ยี ว ระหว่างอนุภาคนอ้ ยกวา่ ของแขง็ แตม่ ากกวา่ แก๊ส
65 ชนั้ รหัสตัวช้วี ดั ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ม.๑ อนุภาคเคล่อื นที่ได้แตไ่ มเ่ ปน็ อสิ ระเท่าแก๊ส ทำ�ใหม้ รี ูปร่าง ไม่คงท่แี ตป่ รมิ าตรคงที่ • อนภุ าคของแก๊สอย่หู ่างกันมาก มีแรงยดึ เหนยี่ วระหว่าง อนุภาคน้อยทีส่ ุด อนุภาคเคล่อื นทีไ่ ด้อย่างอิสระทุกทศิ ทาง ท�ำ ให้มรี ูปร่างและปรมิ าตรไมค่ งที่ ว ๒.๑ ม.๑/๑๐ ๑๐. อธิบายความสมั พันธ์ • ความร้อนมีผลต่อการเปลยี่ นสถานะของสสาร เม่อื ให้ ระหว่างพลังงานความร้อน ความร้อนแกข่ องแข็ง อนุภาคของของแขง็ จะมพี ลงั งาน กับการเปล่ียนสถานะ และอุณหภมู ิเพม่ิ ขึ้นจนถงึ ระดบั หนง่ึ ซง่ึ ของแข็งจะใช้ ของสสาร โดยใชห้ ลกั ฐาน ความรอ้ นในการเปลีย่ นสถานะเป็นของเหลว เรยี กความรอ้ น เชงิ ประจกั ษ์และแบบจ�ำ ลอง ท่ใี ชใ้ นการเปลยี่ นสถานะจากของแข็งเปน็ ของเหลววา่ ความร้อนแฝงของการหลอมเหลว และอุณหภูมิขณะเปล่ียน สถานะจะคงท่ี เรยี กอุณหภมู นิ ว้ี ่าจดุ หลอมเหลว • เมอื่ ใหค้ วามรอ้ นแก่ของเหลว อนภุ าคของของเหลว จะมพี ลังงานและอณุ หภมู ิเพม่ิ ขนึ้ จนถึงระดับหน่งึ ซึง่ ของเหลวจะใชค้ วามร้อนในการเปลี่ยนสถานะเปน็ แก๊ส เรยี กความรอ้ นทใ่ี ชใ้ นการเปลย่ี นสถานะจากของเหลวเปน็ แกส๊ วา่ ความรอ้ นแฝงของการกลายเปน็ ไอและอณุ หภมู ขิ ณะเปลยี่ น สถานะจะคงที่ เรียกอณุ หภูมินีว้ ่าจดุ เดอื ด • เมอ่ื ทำ�ให้อณุ หภมู ิของแก๊สลดลงจนถึงระดับหนึ่ง แกส๊ จะเปล่ียนสถานะเปน็ ของเหลว เรยี กอุณหภมู ินีว้ ่า จดุ ควบแน่น ซ่ึงมอี ณุ หภูมิเดียวกบั จดุ เดือดของของเหลวนน้ั • เมื่อทำ�ให้อุณหภูมิของของเหลวลดลง จนถึงระดับหน่ึง ของเหลวจะเปล่ียนสถานะเป็นของแข็งเรียกอุณหภูมินี้ว่า จดุ เยอื กแขง็ ซงึ่ มอี ณุ หภมู เิ ดยี วกบั จดุ หลอมเหลวของของแขง็ น้ัน
66 ช้นั รหัสตวั ช้วี ดั ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๑ ว ๒.๒ ม.๑/๑ ๑. สรา้ งแบบจ�ำ ลองทอ่ี ธบิ าย • เมื่อวัตถอุ ย่ใู นอากาศจะมแี รงท่ีอากาศกระท�ำ ต่อวตั ถุ ความสัมพันธ์ระหว่างความ ในทกุ ทศิ ทาง แรงทอี่ ากาศกระท�ำ ตอ่ วตั ถขุ นึ้ อยกู่ บั ขนาดพน้ื ท่ี ดันอากาศกับความสูงจาก ของวัตถุน้นั แรงท่ีอากาศกระทำ�ตงั้ ฉากกบั ผวิ วตั ถุ พ้ืนโลก ตอ่ หนึง่ หนว่ ยพ้ืนทเี่ รียกว่า ความดนั อากาศ • ความดนั อากาศมีความสมั พนั ธก์ บั ความสงู จากพืน้ โลก โดยบรเิ วณทสี่ งู จากพนื้ โลกขนึ้ ไปอากาศเบาบางลงมวลอากาศ น้อยลง ความดันอากาศก็จะลดลง ว ๒.๓ ม.๑/๑ ๑. วิเคราะหแ์ ปลความหมาย • เม่ือสสารไดร้ บั หรอื สญู เสยี ความร้อนอาจทำ�ให้สสารเปลี่ยน ว ๒.๓ ม.๑/๒ ข้อมลู และคำ�นวณปริมาณ อณุ หภูมเิ ปลี่ยนสถานะ หรือเปล่ียนรปู รา่ ง ความรอ้ นทที่ �ำ ใหส้ สารเปลยี่ น • ปริมาณความร้อนท่ีทำ�ให้สสารเปลี่ยนอุณหภูมิข้ึนกับมวล อุณหภูมิและเปลี่ยนสถานะ ความร้อนจ�ำ เพาะ และอณุ หภมู ทิ เี่ ปลยี่ นไป โดยใชส้ มการ Q=mc∆t • ปรมิ าณความรอ้ นทท่ี �ำ ใหส้ สารเปลย่ี นสถานะขน้ึ กบั มวลและ และ Q=mL ความรอ้ นแฝงจ�ำ เพาะ โดยขณะทสี่ สารเปลย่ี นสถานะอณุ หภมู ิ ๒. ใช้เทอร์มอมิเตอร์ในการ จะไม่เปล่ียนแปลง วดั อุณหภมู ิของสสาร ว ๒.๓ ม.๑/๓ ๓. สรา้ งแบบจ�ำ ลองทอี่ ธบิ าย • ความรอ้ นท�ำ ใหส้ สารขยายตวั หรือหดตวั ไดเ้ นือ่ งจาก ว ๒.๓ ม.๑/๔ การขยายตัวหรือหดตัวของ เมอื่ สสารได้รบั ความรอ้ นจะท�ำ ใหอ้ นุภาคเคลอื่ นท่เี ร็วขนึ้ สสารเนอื่ งจากไดร้ ับหรือ ทำ�ให้เกิดการขยายตัว แต่เม่ือสสารคายความรอ้ น สญู เสียความรอ้ น จะทำ�ใหอ้ นภุ าคเคลื่อนทชี่ า้ ลง ทำ�ใหเ้ กิดการหดตัว ๔. ตระหนกั ถึงประโยชน์ • ความรเู้ รอ่ื งการหดและขยายตวั ของสสารเนอื่ งจากความรอ้ น ของความรขู้ องการหดและ นำ�ไปใช้ประโยชน์ไดด้ า้ นตา่ งๆ เช่น การสรา้ งถนน ขยายตัวของสสารเน่ืองจาก การสร้างรางรถไฟ การทำ�เทอร์มอมเิ ตอร์ ความร้อน โดยวิเคราะห์ สถานการณป์ ญั หา และเสนอ แนะวิธีการน�ำ ความรู้มา แก้ปัญหาในชีวิตประจำ�วนั
67 ช้ัน รหสั ตัวช้ีวดั ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ว ๒.๓ ม.๑/ ๕. วิเคราะหส์ ถานการณ์ • ความร้อนถา่ ยโอนจากสสารท่ีมอี ุณหภูมสิ งู กว่าไปยงั สสาร การถ่ายโอนความรอ้ นและ ทม่ี อี ณุ หภมู ติ ำ่� กวา่ จนกระทง่ั อณุ หภมู ขิ องสสาร ทง้ั สองเทา่ กนั ค�ำ นวณปรมิ าณความร้อน สภาพทส่ี สารทง้ั สอง มอี ณุ หภมู เิ ทา่ กนั เรยี กวา่ สมดลุ ความรอ้ น ทีถ่ ่ายโอนระหวา่ งสสาร • เมอ่ื มีการถ่ายโอนความร้อนจากสสารทม่ี อี ุณหภมู ิตา่ งกนั จนเกิดสมดุลความร้อนโดย จนเกิดสมดลุ ความร้อน ความรอ้ นท่ีเพ่ิมข้ึนของสสารหนงึ่ ใชส้ มการ จะเทา่ กบั ความรอ้ นทลี่ ดลงของอกี สสารหนงึ่ ซงึ่ เปน็ ไปตามกฎ Q_(สญู เสีย )=Q_ได้รบั การอนุรักษ์พลังงาน ว ๒.๓ ม.๑/๖ ๖. สรา้ งแบบจ�ำ ลองทอ่ี ธบิ าย • การถ่ายโอนความร้อนมี ๓ แบบ คือ การน�ำ ความร้อน ว ๒.๓ ม.๑/๗ การถ่ายโอนความร้อนโดย การพาความรอ้ นและการแผ่รังสคี วามรอ้ น การนำ�ความร้อน การนำ�ความร้อน เป็นการถา่ ยโอนความรอ้ นท่อี าศยั ตัวกลาง โดยที่ตัวกลาง การพาความรอ้ น การแผร่ งั สี ไมเ่ คล่ือนทก่ี ารพาความร้อนเป็นการ ถา่ ยโอนความรอ้ นที่ ความรอ้ น อาศัยตวั กลาง โดยทีต่ ัวกลางเคลือ่ นทไ่ี ปดว้ ย สว่ นการแผ่รังสี ๗. ออกแบบ เลอื กใชแ้ ละ ความร้อนเป็นการถ่ายโอนความร้อนที่ไม่ต้องอาศัยตวั กลาง สรา้ งอปุ กรณ์เพ่อื แกป้ ัญหา • ความร้เู กย่ี วกับการถ่ายโอนความร้อนสามารถนำ�ไป ในชวี ติ ประจ�ำ วนั โดยใชค้ วาม ใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจำ�วนั ได้ เชน่ การเลือกใช้วสั ดุ รู้เกย่ี วกบั การถ่ายโอน เพอื่ นำ�มาท�ำ ภาชนะบรรจุอาหาร เพือ่ เกบ็ ความรอ้ น หรือ ความร้อน การออกแบบระบบระบายความร้อนในอาคาร
68 ชั้น รหสั ตวั ช้วี ัด ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.๑ ว ๓.๒ ม.๑/๑ ๑. สร้างแบบจ�ำ ลองท่ีอธิบาย • โลกมีบรรยากาศหอ่ หุ้ม นกั วิทยาศาสตรใ์ ช้ ว ๓.๒ ม.๑/๒ การแบ่งชน้ั บรรยากาศและ สมบตั แิ ละองคป์ ระกอบของบรรยากาศในการ เปรียบเทียบประโยชนข์ อง แบง่ บรรยากาศของโลกออกเปน็ ชน้ั ซงึ่ แบ่ง บรรยากาศแตล่ ะช้นั ได้หลายรูปแบบตามเกณฑท์ ่แี ตกต่างกัน โดยทวั่ ไปนกั วทิ ยาศาสตรใ์ ชเ้ กณฑก์ ารเปลยี่ นแปลง อุณหภมู ิตามความสงู แบง่ บรรยากาศไดเ้ ป็น ๕ ชน้ั ไดแ้ ก่ ชน้ั โทรโพสเฟยี ร์ ชน้ั สตราโตสเฟยี ร์ ชน้ั มีโซสเฟียร์ ชน้ั เทอร์โมสเฟยี ร์ และช้นั เอกโซสเฟยี ร์ • บรรยากาศแต่ละชั้นมีประโยชน์ต่อส่ิงมีชีวิตแตก ตา่ งกนั โดย ช้ันโทรโพสเฟียร์ มีปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศที่ส�ำคัญต่อการด�ำรง ชวี ิตของสิ่งมีชีวิต ชน้ั สตราโตสเฟยี ร์ ช่วยดูดกลืนรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ไม่ ใหม้ ายงั โลกมากเกินไป ช้ันมีโซสเฟียร์ ชว่ ยชะลอวตั ถุนอกโลกทีผ่ า่ นเข้ามา ใหเ้ กดิ การเผา ไหมก้ ลายเปน็ วตั ถขุ นาดเลก็ ลดโอกาสทจ่ี ะท�ำความ เสยี หายแก่ส่งิ มชี ีวิตบนโลก ช้ันเทอร์โมสเฟียร์สามารถสะท้อนคล่ืนวิทยุและช้ัน เอกโซสเฟียร์เหมาะส�ำหรับการโคจรของดาวเทียม รอบโลกในระดับต�่ำ ๒. อธิบายปัจจัยที่มผี ลตอ่ การ • ลมฟา้ อากาศเปน็ สภาวะของอากาศในเวลาหนงึ่ เปลยี่ นแปลงองคป์ ระกอบของลม ของพืน้ ท่หี นง่ึ ท่มี ีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ฟา้ อากาศ จากขอ้ มลู ทร่ี วบรวมได้ ข้ึนอย่กู ับองค์ประกอบลมฟา้ อากาศ ไดแ้ ก่ อณุ หภมู อิ ากาศ ความกดอากาศ ลม ความชน้ื เมฆ และหยาดนำ้� ฟา้ โดยหยาดน�ำ้ ฟา้ ท่ีพบบอ่ ย ในประเทศไทย ไดแ้ ก่ ฝน องค์ประกอบ ลมฟ้าอากาศเปลย่ี นแปลงตลอดเวลาข้ึนอยู่กับ ปัจจยั ต่างๆ เชน่ ปรมิ าณรงั สจี ากดวงอาทติ ย์และ ลกั ษณะพนื้ ผวิ โลกสง่ ผลตอ่ อณุ หภมู อิ ากาศ อณุ หภมู ิ อากาศและปริมาณไอน�ำ้ สง่ ผลตอ่ ความชื้น ความกดอากาศสง่ ผลต่อลม ความช้นื และลม ส่งผลต่อเมฆ
69 ชั้น รหสั ตัวช้ีวัด ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.๑ ว ๓.๒ ม.๑/๓ ๓. เปรยี บเทียบ • พายฝุ นฟ้าคะนอง เกิดจากการทีอ่ ากาศที่มีอุณหภมู แิ ละ กระบวนการเกิดพายุฝน ความชน้ื สงู เคล่อื นที่ขึ้นสรู่ ะดบั ความสงู ท่ีมอี ุณหภูมิต่ำ� ลง ฟ้าคะนองและพายุหมุน จนกระทั่งไอน้�ำในอากาศเกดิ การควบแนน่ เป็นละอองนำ้� เขตร้อน และผลท่ีมีตอ่ และเกิดต่อเน่ืองเป็นเมฆขนาดใหญ่ พายุฝนฟ้าคะนอง ท�ำให้ สง่ิ มชี วี ติ และสง่ิ แวดลอ้ ม เกิดฝนตกหนกั ลมกรรโชกแรง ฟ้าแลบ ฟา้ ผา่ ซง่ึ อาจกอ่ ใหเ้ กดิ รวมทั้งนำ�เสนอแนวทาง อนั ตรายต่อชวี ติ และทรพั ยส์ ิน การปฏิบัติตนให้เหมาะ • พายุหมุนเขตร้อนเกิดเหนือมหาสมุทรหรือทะเลที่น้�ำมีอุณหภูมิสูง สม และปลอดภัย ตงั้ แต่ ๒๖-๒๗ องศาเซลเซยี สขน้ึ ไป ท�ำใหอ้ ากาศทมี่ อี ณุ หภมู แิ ละ ความชนื้ สงู บรเิ วณนน้ั เคลอื่ นทสี่ งู ขนึ้ อยา่ งรวดเรว็ เปน็ บรเิ วณกวา้ ง อากาศจากบริเวณอ่ืนเคล่ือนเข้ามาแทนที่และพัดเวียนเข้าหา ศนู ยก์ ลางของพายุ ยง่ิ ใกลศ้ ูนยก์ ลาง อากาศจะเคล่อื นทีพ่ ดั เวียน เกือบเป็นวงกลมและมีอัตราเร็วสูงท่ีสุด พายุหมุนเขตร้อนท�ำให้ เกิดคล่ืนพายุซัดฝั่งฝนตกหนัก ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และทรพั ย์สนิ จึงควรปฏิบตั ิตนใหป้ ลอดภยั โดยติดตามขา่ วสาร การพยากรณอ์ ากาศ และไม่เขา้ ไปอยใู่ นพน้ื ทีท่ ่ีเสี่ยงภัย ว ๓.๒ ม.๑/๔ ๔. อธิบายการพยากรณ์ • การพยากรณอ์ ากาศเปน็ การคาดการณล์ มฟา้ อากาศทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ อากาศ และพยากรณอ์ ากาศ ในอนาคต โดยมกี ารตรวจวดั องค์ประกอบ ลมฟ้า อากาศ อย่างง่ายจากข้อมูล การส่อื สารแลกเปล่ยี นขอ้ มลู องค์ประกอบลม ฟ้า อากาศ ทรี่ วบรวมได้ ระหว่างพืน้ ท่ี การวิเคราะหข์ ้อมลู และสร้างค�ำ พยากรณอ์ ากาศ ว ๓.๒ ม.๑/๕ ๕. ตระหนักถงึ คุณคา่ • การพยากรณ์อากาศสามารถนำ�มาใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ เช่น ของการพยากรณอ์ ากาศ การใชช้ ีวิตประจำ�วัน การคมนาคม การเกษตร การป้องกันและ โดยนำ�เสนอแนวทาง เฝ้าระวงั ภยั พิบัตทิ างธรรมชาติ การปฏบิ ตั ติ นและการใช้ ประโยชน์จาก ค�ำ พยากรณอ์ ากาศ
70 ชน้ั รหสั ตวั ชว้ี ัด ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ม.๑ ว ๓.๒ ม.๑/๖ ๖. อธิบายสถานการณ์ • ภูมิอากาศโลกเกิดการเปลยี่ นแปลงอยา่ งต่อเนือ่ งโดยปจั จัย และผลกระทบการ ทางธรรมชาติแตป่ ัจจบุ นั การเปลี่ยนแปลงภูมอิ ากาศ เปลย่ี นแปลงภมู อิ ากาศโลก เกิดขนึ้ อย่างรวดเรว็ เน่อื งจากกจิ กรรมของมนษุ ย์ในการ จากข้อมูลท่ีรวบรวมได้ ปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกสบู่ รรยากาศ แก๊สเรือนกระจก ที่ถูกปลดปลอ่ ยมากทีส่ ุด ได้แก่ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ซง่ึ หมุนเวยี นอยู่ในวัฏจักรคาร์บอน ว ๓.๒ ม.๑/๗ ๗. ตระหนกั ถงึ ผลกระทบ • การเปลย่ี นแปลงภูมอิ ากาศโลกกอ่ ให้เกดิ ผลกระทบต่อ ของการเปลี่ยนแปลง ส่งิ มชี วี ติ และส่งิ แวดลอ้ ม เชน่ การหลอมเหลวของน�้ำแขง็ ภูมิอากาศโลก โดยน�ำ เสนอ ขว้ั โลก การเพม่ิ ขึ้นของระดับทะเล การเปล่ียนแปลงวัฏจกั รน�้ำ แนวทางการปฏิบัติตน การเกดิ โรคอบุ ตั ใิ หมแ่ ละอบุ ตั ซิ ำ้� และการเกดิ ภยั พบิ ตั ทิ างธรรมชาติ ภายใตก้ ารเปลย่ี นแปลง ที่รุนแรงข้ึน มนุษย์จึงควรเรียนรู้แนวทางการปฏิบัติตนภายใต้ ภมู ิอากาศโลก สถานการณ์ดงั กลา่ ว ทง้ั แนวทางการปฏบิ ตั ิตนให้เหมาะสมและ แนวทางการลดกจิ กรรมทส่ี ง่ ผลตอ่ การเปลย่ี นแปลงภมู อิ ากาศโลก
71 ชน้ั รหัสตัวชี้วดั ตัวชี้วัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ม.๑ ว ๔.๑ ม.๑/๑ ๑. อธิบายแนวคิดหลัก • เทคโนโลยีเปน็ สิง่ ท่มี นษุ ยส์ รา้ งหรือพัฒนาขนึ้ ซง่ึ อาจเป็นได้ ของเทคโนโลยีในชีวิต ทัง้ ช้นิ งานหรอื วธิ ีการ เพือ่ ใชแ้ กป้ ัญหาสนองความต้องการ ประจำ�วันและวิเคราะห์ หรอื เพมิ่ ความสามารถในการทำ�งานของมนุษย์ สาเหตหุ รอื ปจั จยั ทส่ี ง่ ผล • ระบบทางเทคโนโลยีเปน็ กล่มุ ของส่วนตา่ งๆ ตง้ั แต่สองสว่ น ต่อการเปลยี่ นแปลง ขนึ้ ไปประกอบเขา้ ดว้ ยกนั และท�ำ งานรว่ มกนั เพอื่ ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ ของเทคโนโลยี โดยในการทำ�งานของระบบทางเทคโนโลยจี ะประกอบไปด้วย ตวั ป้อน (input) กระบวนการ (process) และผลผลิต (output) ทสี่ มั พนั ธก์ นั นอกจากนร้ี ะบบทางเทคโนโลยอี าจมขี อ้ มลู ยอ้ นกลบั (feedback) เพ่ือใช้ปรับปรุงการทำ�งานได้ตามวัตถุประสงค์ซึ่ง การวเิ คราะหร์ ะบบทางเทคโนโลยชี ว่ ยใหเ้ ขา้ ใจ องคป์ ระกอบและ การทำ�งานของเทคโนโลยีรวมถึงสามารถปรับปรุงให้เทคโนโลยี ท�ำ งานไดต้ ามต้องการ • เทคโนโลยมี กี ารเปลย่ี นแปลงตลอดเวลาตง้ั แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จบุ นั ซง่ึ มสี าเหตหุ รอื ปจั จยั มาจากหลายดา้ น เชน่ ปญั หาความตอ้ งการ ความก้าวหนา้ ของศาสตรต์ ่างๆ เศรษฐกจิ สังคม ว ๔.๑ ม.๑/๒ ๒. ระบปุ ญั หาหรอื ความ • ปัญหาหรือความต้องการในชีวิตประจำ�วันพบได้จากหลาย ตอ้ งการในชวี ติ ประจ�ำ วนั บรบิ ทข้นึ กับสถานการณ์ทปี่ ระสบ เชน่ การเกษตร การอาหาร รวบรวม วิเคราะห์ข้อมลู • การแกป้ ญั หาจ�ำ เปน็ ตอ้ งสืบคน้ รวบรวมขอ้ มลู ความรู้ และแนวคิดท่ีเก่ียวข้อง จากศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพ่ือนำ�ไปสู่การออกแบบแนวทาง กับปัญหา การแก้ปัญหา
72 ชนั้ รหสั ตัวชี้วดั ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.๑ ว ๔.๑ ม.๑/๓ ๓. ออกแบบวธิ ีการแกป้ ญั หา • การวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บและตดั สนิ ใจเลอื กขอ้ มลู ว ๔.๑ ม.๑/๔ โดยวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บและ ที่จำ�เป็นโดยคำ�นึงถึงเง่ือนไข และทรัพยากรที่มีอยู่ ตดั สนิ ใจเลือกข้อมลู ทจี่ ำ�เป็น ช่วยให้ได้แนวทางการแกป้ ญั หาท่เี หมาะสม ว ๔.๑ ม.๑/๕ นำ�เสนอแนวทางการแกป้ ัญหา • การออกแบบแนวทางการแก้ปญั หาทำ�ได้ ใหผ้ ูอ้ ่ืนเขา้ ใจวางแผนและ หลากหลายวธิ ี เชน่ การรา่ งภาพ การเขยี นแผนภาพ ดำ�เนนิ การแกป้ ัญหา การเขียนผังงาน • การกำ�หนดขั้นตอนและระยะเวลาในการทำ�งาน ก่อนดำ�เนินการแก้ปัญหาจะช่วยให้ทำ�งานสำ�เร็จ ไดต้ ามเปา้ หมายและลดขอ้ ผดิ พลาดของการท�ำ งาน ท่อี าจเกดิ ข้ึน ๔. ทดสอบ ประเมินผล และระบุ • การทดสอบและประเมินผลเป็นการตรวจสอบ ขอ้ บกพร่องที่เกิดขึ้น พรอ้ มทงั้ ชิ้นงานหรือวิธีการว่าสามารถแก้ปัญหาได้ตาม หาแนวทางการปรับปรงุ แกไ้ ข วตั ถุประสงค์ภายใตก้ รอบของปญั หา เพื่อหา และนำ�เสนอผลการแกป้ ัญหา ขอ้ บกพรอ่ ง และด�ำเนนิ การปรบั ปรงุ โดยอาจทดสอบ ซ�ำ้ เพื่อใหส้ ามารถแก้ปญั หาได้ • การน�ำเสนอผลงานเปน็ การถ่ายทอดแนวคิด เพื่อใหผ้ ู้อ่ืนเขา้ ใจเกย่ี วกบั กระบวนการท�ำงานและ ชิ้นงานหรือวิธีการท่ีได้ซึ่งสามารถท�ำได้หลายวิธี เช่น การเขยี นรายงาน การท�ำแผน่ น�ำเสนอผลงาน การจัดนทิ รรศการการน�ำเสนอผ่านส่ือออนไลน์ ๕. ใช้ความรู้และทักษะเก่ียวกับ • วัสดุแต่ละประเภทมีสมบัติแตกต่างกัน เช่น ไม้ วัสดุอุปกรณ์เคร่ืองมือกลไกไฟฟ้า โลหะ พลาสติก จงึ ต้องมกี ารวเิ คราะห์สมบัติ หรืออเิ ล็กทรอนกิ สเ์ พอ่ื แก้ปัญหา เพ่ือเลอื กใช้ใหเ้ หมาะสมกับลกั ษณะของงาน ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง เหมาะสม • การสร้างช้ินงานอาจใช้ความรู้เร่ืองกลไก ไฟฟ้า และปลอดภัย อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เชน่ LED บซั เซอรม์ อเตอรว์ งจรไฟฟา้ • อุปกรณ์และเครื่องมือในการสร้างช้ินงานหรือ พัฒนาวิธกี าร มหี ลายประเภท ตอ้ งเลอื กใช้ให้ถกู ตอ้ ง เหมาะสม และปลอดภยั รวมท้ังรจู้ กั เก็บรกั ษา
73 ชัน้ รหัสตัวชว้ี ัด ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ม.๑ ว ๔.๒ ม.๑/๑ ๑. ออกแบบอลั กอริทมึ ท่ใี ช้ • แนวคดิ เชงิ นามธรรม เปน็ การประเมนิ ความส�ำ คญั ว ๔.๒ ม.๑/๒ แนวคดิ เชงิ นามธรรมเพอ่ื แกป้ ญั หา ของรายละเอียดของปัญหา แยกแยะ ส่วนที่เป็น หรืออธบิ ายการทำ�งาน สาระสำ�คญั ออกจากสว่ นที่ไมใ่ ช่สาระสำ�คัญ ว ๔.๒ ม.๑/๓ ทพี่ บในชีวิตจริง • ตวั อยา่ งปัญหา เชน่ ตอ้ งการปูหญา้ ในสนามตาม พนื้ ที่ทีก่ �ำ หนด โดยหญา้ หน่ึงผนื มีความกว้าง ๕๐ เซนตเิ มตร ยาว ๕๐ เซนติเมตร จะใช้หญา้ ทั้งหมด ก่ีผืน ๒. ออกแบบและเขียนโปรแกรม • การออกแบบ และเขยี นโปรแกรมทม่ี กี ารใชต้ วั แปร อยา่ งงา่ ยเพื่อแกป้ ัญหาทาง เงอ่ื นไขวนซ้�ำ คณิตศาสตร์หรอื วิทยาศาสตร์ • การออกแบบอลั กอรทิ มึ เพอ่ื แกป้ ญั หาทางคณติ ศาสตร์ วิทยาศาสตร์อย่างงา่ ย อาจใชแ้ นวคดิ เชงิ นามธรรม ในการออกแบบ เพอื่ ใหก้ ารแกป้ ญั หามปี ระสทิ ธภิ าพ • การแกป้ ญั หาอยา่ งเปน็ ขนั้ ตอนจะชว่ ยใหแ้ กป้ ญั หา ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ • ซอฟตแ์ วรท์ ใ่ี ชใ้ นการเขยี นโปรแกรม เชน่ Scratch, python, java, c • ตัวอยา่ งโปรแกรม เช่น โปรแกรมสมการ การเคล่อื นท่ี โปรแกรมค�ำ นวณหาพื้นท่ี โปรแกรม คำ�นวณดชั นมี วลกาย ๓. รวบรวมข้อมลู ปฐมภมู ิ • การรวบรวมขอ้ มูลจากแหลง่ ข้อมูลปฐมภูมิ ประมวลผล ประเมนิ ผล ประมวลผลสรา้ งทางเลือก ประเมนิ ผลจะท�ำ ให้ได้ น�ำ เสนอข้อมลู และสารสนเทศ สารสนเทศ เพ่ือใชใ้ นการแก้ปญั หาหรอื การตดั สนิ ใจ ตามวตั ถปุ ระสงคโ์ ดยใชซ้ อฟตแ์ วร์ ได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ หรอื บรกิ ารบนอนิ เทอร์เนต็ ท่ี • การประมวลผล เป็นการกระท�ำ กบั ข้อมูล หลากหลาย เพ่อื ให้ได้ผลลัพธท์ ม่ี คี วามหมายและมีประโยชน์ ต่อการนำ�ไปใช้งาน สามารถทำ�ได้หลายวิธี เช่น คำ�นวณอตั ราสว่ น ค�ำ นวณค่าเฉลีย่ • การใชซ้ อฟต์แวรห์ รอื บรกิ ารบอินเทอรเ์ น็ต ท่หี ลากหลายในการรวบรวม ประมวลผลสร้าง ทางเลือก ประเมนิ ผล น�ำ เสนอ จะช่วยใหแ้ กป้ ญั หา ได้อย่างรวดเรว็ ถูกต้อง และแมน่ ย�ำ
ช้นั รหสั ตวั ชว้ี ัด 74 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.๑ • ตัวอยา่ งปัญหา เน้นการบูรณาการกับวิชาอน่ื เชน่ ตัวชี้วดั ตม้ ไขใ่ หต้ รงกบั พฤตกิ รรมการบรโิ ภค คา่ ดชั นมี วลกาย ว ๔.๒ ม.๑/๔ ของคนในท้องถ่ิน การสร้างกราฟ ผลการทดลอง ๔. ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ และวเิ คราะหแ์ นวโนม้ อย่างปลอดภยั ใช้ส่อื และ แหล่งข้อมลู ตามข้อก�ำ หนด • ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เชน่ และข้อตกลง การปกปอ้ งความเปน็ ส่วนตัวและอัตลกั ษณ์ • การจัดการอัตลักษณ์ เช่น การต้งั รหัสผ่าน การปกปอ้ งขอ้ มูลสว่ นตวั • การพิจารณาความเหมาะสม ของเนื้อหา เช่น ละเมดิ ความเปน็ สว่ นตวั ผู้อนื่ อนาจาร วจิ ารณ์ผูอ้ ืน่ อยา่ งหยาบคาย • ข้อตกลง ขอ้ กำ�หนดในการใชส้ ือ่ หรอื แหล่งขอ้ มลู ตา่ งๆ เชน่ Creative commons
75 รหัสวชิ า ว ๒๑๑๐๑ ค�ำ อธบิ ายรายวชิ า ชอ่ื รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ ๑ เวลา ๔๐ ช่วั โมง จ�ำ นวน ๑ หน่วยกิต …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… วเิ คราะห์ เปรยี บเทียบ หน้าท่ี รปู รา่ งลกั ษณะและโครงสร้างของเซลล์พชื และเซลล์สัตว์ ความสมั พันธร์ ะหวา่ ง รูปรา่ งกับการท�ำหนา้ ทข่ี องเซลล์ การจัดระบบของส่ิงมชี วี ิต กระบวนการแพร่และออสโมซิส ความส�ำคัญของการสังเคราะห์ ด้วยแสง การถ่ายเรณูการปฏิสนธิของพืชดอก ความส�ำคัญของธาตุอาหารต่อการเจริญเติบโตของพืช ความส�ำคัญของ เทคโนโลยกี ารเพาะเลยี้ งเนือ้ เย่ือพชื ในการใช้ประโยชน์ สมบัตทิ างกายภาพของธาตุโลหะ อโลหะ และกง่ึ โลหะ โครงสร้าง อะตอม การจดั เรยี งอนภุ าค แรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งอนภุ าคการเคลอื่ นทข่ี องอนภุ าค ของแขง็ ของเหลวและแกส๊ ความสมั พนั ธ์ ระหว่างพลังงานความร้อนกับการเปลี่ยนสถานะของสสาร ความหนาแน่น จุดเดือด จุดหลอมเหลวของสารบริสุทธิ์ และ สารผสม โดยใช้แบบจ�ำลองและหลักฐานเชิงประจักษ์ ใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ ในการเลอื กใชป้ ยุ๋ วิธกี ารขยายพนั ธ์ุพชื ส่งเสริมให้ผเู้ รยี น มีทักษะในการคดิ การแกป้ ญั หา การใชเ้ ทคโนโลยี การสอื่ สารใหผ้ ู้อน่ื ตระหนักถงึ ความส�ำคัญ ของพืชและสัตว์ที่มีต่อส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เห็นคุณค่าของการใช้ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะธาตุกัมมันตรังสี มีการใช้ ทกั ษะชวี ติ ในการน�ำความรไู้ ปใชอ้ ธบิ ายสงิ่ ทพี่ บในชวี ติ ประจ�ำวนั เพอื่ ใชส้ ารอยา่ งปลอดภยั มวี นิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้ มงุ่ มน่ั ในการท�ำงาน ร่วมกันปลูกและดูแลรักษาต้นไม้ในโรงเรียนและชุมชน มีจิตสาธารณะ ใช้ชีวิตอยู่อย่างพอเพียง สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้ อย่างมคี วามสุข มาตรฐาน/ตวั ชี้วัด ว ๑.๒ ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๓ ม.๑/๔ ม.๑/๕ ม.๑/๖ ม.๑/๗ ม.๑/๘ ม.๑/๙ ม.๑/๑๐ ม.๑/๑๑ ม.๑/๑๒ ม.๑/๑๓ ม.๑/๑๔ ม.๑/๑๕ ม.๑/๑๖ ม.๑/๑๗ ม.๑/๑๘ ว ๒.๑ ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๓ ม.๑/๔ ม.๑/๕ ม.๑/๖ ม.๑/๗ ม.๑/๘ ม.๑/๙ ม.๑/๑๐ รวม ๒ มาตรฐาน ๒๘ ตวั ชี้วัด
76 รหสั วชิ า ว ๒๑๑๐๒ คำ�อธิบายรายวชิ า ชื่อรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๑ เวลา ๔๐ ชัว่ โมง จำ�นวน ๑ หนว่ ยกิต …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… วเิ คราะห์ เปรยี บเทยี บ ค�ำ นวณ ปรมิ าณความรอ้ นที่ทำ�ให้สสารเปลย่ี นอณุ หภมู ิและเปลี่ยนสถานะ โดยใช้สมการ Qขอ=งmสสcΔารtเ นแื่อลงะจาQก=ไmด้รLับกหารรือถสา่ ูญยเโสอียนคคววาามมรร้ออ้ นนจกนาเรกถิด่าสยมโดอลุนคคววาามมรรอ้ ้อนนโโดดยยใกชา้สรมนกำ�าครวQามสญู รเ้อสยี น=Qกทา่ีไดรร้ พบั ากคาวราขมยรา้อยนตวั กหารรือแหผด่รตังสัวี ความรอ้ น ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งความดันอากาศกบั ความสูงจากพืน้ โลก การแบ่งชัน้ บรรยากาศ กระบวนการเกิดพายุ ฝน ฟ้าคะนองและพายุหมุนเขตร้อน ปัจจัยที่มีผลต่อการเปล่ียนแปลงองค์ประกอบของลม ฟ้า อากาศ การพยากรณ์อากาศ สถานการณแ์ ละผลกระทบการเปลย่ี นแปลงภมู อิ ากาศโลกทมี่ ตี อ่ สง่ิ มชี วี ติ และสง่ิ แวดลอ้ ม โดยใชห้ ลกั การท�ำ งาน บทบาทของ คอมพวิ เตอร์ทีใ่ ช้เป็นเครอ่ื งมือในการท�ำ งาน อำ�นวยความสะดวก และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสบื เสาะหาความรู้ เครื่องมอื วดั และการสรา้ งแบบจำ�ลอง สรา้ งชน้ิ งานทเ่ี กดิ จากการเรยี นรเู้ รอื่ งของกลไกลไฟฟา้ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ น�ำ เสนอผลงานโดยใชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์ สร้างงานกราฟิก ออกแบบอัลกอริทึม ใช้โปรแกรมจากซอฟต์แวร์อย่างง่ายหรือท่ีให้บริการบนอินเทอร์เน็ตมาประยุกต์ใช้ ในการทำ�งานด้านการออกแบบอย่างสร้างสรรค์ แก้ปัญหาในชีวิตประจำ�วันทางวิทยาศาสตร์หรืออธิบายการทำ�งานท่ีพบ ในชีวิตจริง ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถในการคิด การแก้ปัญหา ตระหนักถึงผลกระทบของการเปล่ียนแปลง ภูมิอากาศโลก การเลือกใช้เทคโนโลยีในการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ สามารถส่ือสารให้ผู้อ่ืนเข้าใจถึงประโยชน์ของการหด และขยายตวั ของสสาร การถา่ ยโอนความร้อนมา การใชท้ ักษะชีวิตในการน�ำ ความรมู้ าใช้เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจ�ำ วนั หรือ อธิบาย การทำ�งานทพ่ี บในชีวิตจริง มีวินัยใฝ่เรียนรู้ มุ่งม่นั ในการทำ�งาน อยูอ่ ยา่ งพอเพียง มีจติ สาธารณะ สามารถอยรู่ ว่ มกับ ผู้อื่นอยา่ งมคี วามสุข มาตรฐาน/ตวั ชี้วดั ว ๒.๒ ม.๑/๑ ว ๒.๓ ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๓ ม.๑/๔ ม.๑/๕ ม.๑/๖ ม.๑/๗ ว ๓.๒ ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๓ ม.๑/๔ ม.๑/๕ ม.๑/๖ ม.๑/๗ ว ๔.๑ ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๓ ม.๑/๔ ม.๑/๕ ว ๔.๒ ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๓ ม.๑/๔ รวม ๕ มาตรฐาน ๒๔ ตัวชวี้ ัด
77 ตัวชวี้ ัดสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ ๒ ชั้น รหัสตวั ชวี้ ดั ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.๒ ว ๑.๒ ม.๒/๑ ๑. ระบอุ วยั วะและบรรยายหนา้ ท่ี • ระบบหายใจมีอวัยวะตา่ งๆ ทเี่ ก่ยี วข้อง ไดแ้ ก่ จมูก ท่อ ของอวยั วะท่เี ก่ยี วข้อง ลม ปอด กะบงั ลม และกระดกู ซโี่ ครง ในระบบหายใจ • มนุษย์หายใจเข้า เพื่อนำ�แก๊สออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย ว ๑.๒ ม.๒/๒ ๒. อธบิ ายกลไกการหายใจ เพอ่ื น�ำ ไปใชใ้ นเซลล์และหายใจออก เพอื่ ก�ำ จดั เข้าและออก โดยใช้แบบจำ�ลอง แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย รวมทง้ั อธบิ ายกระบวนการ • อากาศเคลอ่ื นท่เี ข้าและออกจากปอดได้เนื่องจากการ แลกเปลย่ี นแกส๊ เปลยี่ นแปลงปริมาตรและความดนั ของอากาศภายใน ว ๑.๒ ม.๒/๓ ๓. ตระหนกั ถึงความส�ำ คญั ของ ชอ่ งอกซ่ึงเกย่ี วข้องกับการท�ำ งานของกะบงั ลม ระบบหายใจโดยการบอกแนวทาง และกระดูกซ่โี ครง ในการดแู ลรกั ษาอวยั วะในระบบ • การแลกเปลยี่ นแกส๊ ออกซเิ จนกบั แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ หายใจให้ท�ำ งานเป็นปกติ ในรา่ งกาย เกดิ ขน้ึ บรเิ วณถงุ ลมในปอดกบั หลอดเลอื ดฝอย ทถ่ี ุงลม และระหวา่ งหลอดเลือดฝอยกับเน้ือเยอ่ื • การสบู บุหร่ี การสูดอากาศที่มีสารปนเปือ้ น และการ เปน็ โรคเกย่ี วกบั ระบบหายใจบางโรคอาจท�ำ ให้ เกิดโรคถุงลมโป่งพอง ซง่ึ มผี ลให้ความจุอากาศของปอด ลดลง ดงั น้ันจึงควรดแู ลรักษาระบบหายใจใหท้ ำ�หนา้ ท่ี เป็นปกติ ว ๑.๒ ม.๒/๔ ๔. ระบอุ วยั วะและบรรยายหนา้ ท่ี • ระบบขับถ่ายมีอวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ ไต ท่อไต ว ๑.๒ ม.๒/๕ ของอวยั วะในระบบขบั ถา่ ยในการ กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ โดยมีไต ท�ำหน้าที่ กำ�จัดของเสียทางไต ก�ำจัดของเสยี เชน่ ยเู รยี แอมโมเนีย กรดยูรกิ รวมทง้ั ๕. ตระหนักถึงความสำ�คัญของ สารทร่ี ่างกายไม่ตอ้ งการออกจากเลอื ด และควบคุมสาร ระบบขบั ถา่ ยในการก�ำ จดั ของเสยี ที่มีมากหรอื นอ้ ยเกินไป เช่น น�้ำโดยขบั ออกมาในรูปของ ทางไต โดยการบอก ปัสสาวะ แนวทางในการปฏิบตั ิตน • การเลือกรับประทานอาหาร ท่ีเหมาะสม เช่น ทีช่ ่วยใหร้ ะบบขับถา่ ย รับประทานอาหารที่ไม่มีรสเค็มจัด การด่ืมน�้ำสะอาด ทำ�หน้าทไี่ ด้อย่างปกติ ให้เพียงพอ เป็นแนวทางหนึ่งท่ีช่วยให้ระบบขับถ่ายท�ำ หน้าท่ไี ด้อย่างปกติ
78 ชน้ั รหสั ตวั ช้ีวัด ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.๒ ว ๑.๒ ม.๒/๖ ๖. บรรยายโครงสร้างและหน้าท่ี • ระบบหมุนเวียนเลือดประกอบด้วย หัวใจหลอดเลือด ของหวั ใจ หลอดเลือด และเลอื ด และเลอื ด • หวั ใจของมนษุ ย์แบง่ เปน็ ๔ หอ้ ง ไดแ้ ก่ หวั ใจ หอ้ งบน ๒ หอ้ ง และห้องล่าง ๒ หอ้ ง ระหว่างหัวใจห้องบน และหวั ใจห้องล่างมีล้นิ หวั ใจกน้ั ว ๑.๒ ม.๒/๗ ๗. อธบิ ายการทำ�งานของระบบ • หลอดเลอื ด แบง่ เปน็ หลอดเลอื ด อารเ์ ตอรี หลอดเลอื ด หมนุ เวยี นเลอื ดโดยใชแ้ บบจ�ำ ลอง เวน หลอดเลอื ดฝอย ซึ่งมีโครงสรา้ งต่างกนั • เลือด ประกอบด้วย เซลล์เม็ดเลือด เพลตเลตและ พลาสมา • การบีบและคลายตัวของหัวใจทำ�ให้เลือดหมุนเวียน และล�ำ เลยี งสารอาหาร แกส๊ ของเสยี และสารอน่ื ๆ ไปยัง อวัยวะและเซลล์ต่างๆ ท่ัวรา่ งกาย • เลือดท่มี ีปริมาณแก๊สออกซเิ จนสูงจะออกจากหวั ใจ ไปยังเซลลต์ า่ งๆ ทั่วรา่ งกาย ขณะเดยี วกัน แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ จากเซลลจ์ ะแพรเ่ ข้าสู่เลอื ด และล�ำ เลยี งกลบั เขา้ สหู่ วั ใจและถกู สง่ ไปแลกเปลย่ี นแกส๊ ท่ปี อด ว ๑.๒ ม.๒/๘ ๘. ออกแบบการทดลองและ • ชพี จรบอกถึงจงั หวะการเต้นของหวั ใจซ่งึ อตั รา ทดลองในการเปรียบเทยี บ การเต้นของหัวใจในขณะปกติและหลังจากท�ำ กิจกรรม อัตราการเต้นของหัวใจขณะปกติ ตา่ งๆ จะแตกตา่ งกนั สว่ นความดนั เลอื ด ระบบหมนุ เวยี น และหลงั ท�ำ กิจกรรม เลอื ดเกดิ จากการท�ำ งานของหัวใจและหลอดเลอื ด
79 ช้นั รหัสตัวชีว้ ดั ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๒ ว ๑.๒ ม.๒/๙ ๙. ตระหนักถงึ ความส�ำ คญั • อตั ราการเตน้ ของหัวใจมคี วามแตกตา่ งกนั ของระบบหมนุ เวียนเลือด ในแต่ละบุคคล คนท่เี ปน็ โรคหวั ใจและหลอดเลือด โดยการ บอกแนวทางในการ จะส่งผลทำ�ใหห้ ัวใจสูบฉดี เลือดไม่เปน็ ปกติ ดแู ลรักษาอวัยวะในระบบ • การออกก�ำ ลังกาย การเลอื กรบั ประทานอาหาร หมนุ เวยี นเลอื ดใหท้ �ำ งานเปน็ ปกติ การพักผ่อน และการรกั ษาภาวะอารมณ์ใหเ้ ป็นปกติ จึงเปน็ ทางเลือกหน่ึงในการดแู ลรักษาระบบ หมนุ เวยี นเลือดใหเ้ ปน็ ปกติ ว ๑.๒ ม.๒/๑๐ ๑๐. ระบอุ วยั วะและบรรยาย • ระบบประสาทสว่ นกลาง ประกอบด้วยสมองและ ว ๑.๒ ม.๒/๑๑ หนา้ ทขี่ องอวยั วะในระบบประสาท ไขสันหลงั จะทำ�หน้าท่รี ว่ มกับเส้นประสาทซึ่งเปน็ สว่ นกลางในการควบคมุ การ ระบบประสาทรอบนอกในการควบคุมการท�ำ งาน ว ๑.๒ ม.๒/๑๒ ท�ำ งานต่างๆ ของร่างกาย ของอวยั วะต่างๆ รวมถึงการแสดงพฤติกรรม ว ๑.๒ ม.๒/๑๓ ๑๑. ตระหนักถึงความส�ำ คัญ เพือ่ การตอบสนองต่อส่งิ เร้า ของระบบประสาทโดยการบอก • เมอ่ื มสี งิ่ เรา้ มากระตนุ้ หนว่ ยรบั ความรสู้ กึ จะเกดิ กระแส แนวทางในการดูแลรกั ษา รวมถงึ ประสาทสง่ ไปตามเซลลป์ ระสาทรบั ความรสู้ กึ ไปยงั ระบบ การป้องกันการกระทบกระเทือน ประสาทส่วนกลาง แล้วส่งกระแสประสาทมาตามเซลล์ และอนั ตรายตอ่ สมองและไขสนั หลงั ประสาทสั่งการไปยงั หน่วยปฏิบตั งิ าน เช่น กลา้ มเนอ้ื • ระบบประสาทเป็นระบบทม่ี ีความซับซ้อนและ มีความสัมพันธ์กับทุกระบบในร่างกาย ดังน้ันจึงควร ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุท่ีกระทบกระเทือนต่อสมอง หลกี เลยี่ งการใชส้ ารเสพตดิ หลีกเลย่ี งภาวะเครียด และ รับประทานอาหารท่ีมีประโยชน์เพื่อดูแลรักษาระบบ ประสาทใหท้ �ำ งานเป็นปกติ ๑๒. ระบอุ วยั วะและบรรยายหนา้ ท่ี • มนุษยม์ รี ะบบสบื พันธุท์ ปี่ ระกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ของอวัยวะในระบบสืบพันธ์ุของ ทที่ �ำหน้าทเ่ี ฉพาะ โดยรังไข่ในเพศหญงิ จะท�ำหนา้ ท่ี เพศชายและเพศหญิงโดยใช้ ผลติ เซลลไ์ ข่ ส่วนอัณฑะในเพศชายจะท�ำหนา้ ที่ แบบจำ�ลอง สรา้ งเซลล์อสจุ ิ ๑๓. อธิบายผลของฮอร์โมนเพศ ชายและเพศหญิงท่ีควบคมุ การเปลย่ี นแปลงของรา่ งกาย เมื่อเขา้ สวู่ ยั หนุ่มสาว
80 ชน้ั รหัสตัวชวี้ ัด ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๒ ว ๑.๒ ม.๒/๑๔ ๑๔. ตระหนกั ถงึ การเปลย่ี นแปลง • ฮอรโ์ มนเพศ ทำ�หน้าท่คี วบคมุ การแสดงออก ของรา่ งกายเม่ือเข้าสู่วัยหนมุ่ สาว ของลักษณะทางเพศท่แี ตกต่างกัน เมื่อเขา้ สวู่ ัยหนุ่มสาว โดยการดูแลรักษารา่ งกายและ จะมกี ารสร้างเซลลไ์ ข่และเซลลอ์ สุจิ การตกไข่ จิตใจของตนเองในชว่ งทม่ี ี การมีรอบเดอื น และถ้ามกี ารปฏสิ นธขิ องเซลลไ์ ขแ่ ละ การเปลี่ยนแปลง เซลลอ์ สจุ ิ จะท�ำ ใหเ้ กิดการตั้งครรภ์ ว ๑.๒ ม.๒/๑๕ ๑๕. อธบิ ายการตกไข่ การมี • การมปี ระจ�ำ เดอื นมคี วามสัมพนั ธก์ บั การตกไข่ ประจ�ำ เดอื น การปฏิสนธแิ ละ โดยเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของระดับ การพฒั นาของไซโกต จนคลอด ฮอรโ์ มนเพศหญงิ เป็นทารก • เมอื่ เพศหญิงมีการตกไข่และเซลล์ไขไ่ ดร้ ับการปฏิสนธิ ว ๑.๒ ม.๒/๑๖ ๑๖. เลอื กวิธีการคุมก�ำ เนดิ กบั เซลลอ์ สจุ จิ ะท�ำ ใหไ้ ดไ้ ซโกต ไซโกตจะเจรญิ เปน็ เอม็ บรโิ อ ทีเ่ หมาะสมกับสถานการณ์ และฟตี สั จนกระทงั่ คลอดเปน็ ทารก แตถ่ า้ ไมม่ กี ารปฏสิ นธิ ท่ีก�ำ หนด เซลลไ์ ข่จะสลายตวั ผนงั ด้านในมดลกู รวมทง้ั หลอดเลือด ว ๑.๒ ม.๒/๑๗ ๑๗. ตระหนกั ถงึ ผลกระทบ จะสลายตวั และหลดุ ลอกออก เรียกวา่ ประจำ�เดือน ของการตั้งครรภ์กอ่ นวัยอันควร • การคุมกำ�เนิดเป็นวิธีป้องกนั ไมใ่ หเ้ กิดการตั้งครรภ์ โดยการประพฤติตน โดยปอ้ งกนั ไม่ใหเ้ กดิ การปฏสิ นธิ หรือไม่ใหม้ กี ารฝงั ตวั ใหเ้ หมาะสม ของเอ็มบรโิ อ ซง่ึ มหี ลายวิธี เชน่ การใชถ้ งุ ยางอนามยั การกนิ ยาคมุ ก�ำ เนดิ ว ๒.๑ ม.๒/๑ ๑. อธิบายการแยกสารผสม • การแยกสารผสมใหเ้ ป็นสารบรสิ ุทธิท์ �ำ ไดห้ ลายวธิ ี โดยการระเหยแหง้ การตกผลกึ ขึ้นอยกู่ บั สมบตั ขิ องสารนั้นๆ การระเหยแห้งใช้ การกลน่ั อยา่ งงา่ ย โครมาโทกราฟี แยกสารละลายซ่ึงประกอบด้วยตัวละลายท่ีเป็นของแข็ง แบบกระดาษ การสกัดด้วยตัว ในตวั ท�ำ ละลายทเ่ี ปน็ ของเหลว โดยใชค้ วามรอ้ นระเหยตวั ทำ�ละลาย โดยใช้หลกั ฐาน ท�ำ ละลายออกไปจนหมด เหลอื แตต่ วั ละลาย การตกผลกึ เชิงประจักษ์ ใชแ้ ยกสารละลายทปี่ ระกอบดว้ ยตวั ละลายทเี่ ปน็ ของแขง็
81 ชน้ั รหัสตัวช้ีวดั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ม.๒ ว ๒.๑ ม.๒/๒ ๒. แยกสารโดยการระเหยแห้ง ในตวั ท�ำละลายทีเ่ ป็นของเหลว โดยท�ำใหส้ ารละลาย การตกผลกึ การกล่นั อยา่ งงา่ ย อมิ่ ตวั แลว้ ปล่อยให้ตวั ท�ำละลายระเหยออกไปบางสว่ น โครมาโทกราฟีแบบกระดาษ ตวั ละลายจะตกผลึกแยกออกมาการกล่นั อยา่ งงา่ ย การสกัดด้วยตวั ทำ�ละลาย ใช้แยกสารละลายท่ปี ระกอบดว้ ย ตวั ละลาย และตวั ท�ำละลายทเ่ี ปน็ ของเหลวท่ีมจี ดุ เดอื ดตา่ งกนั มาก วธิ ีน้จี ะแยกของเหลวบริสทุ ธอ์ิ อกจากสารละลาย โดยใหค้ วามร้อนกับสารละลาย ของเหลวจะเดือดและ กลายเป็นไอ แยกจากสารละลายแลว้ ควบแนน่ กลบั เป็น ของเหลวอีกคร้งั ขณะท่ีของเหลวเดือด อณุ หภมู ิของไอ จะคงที่ โครมาโทกราฟแี บบกระดาษเปน็ วธิ กี ารแยกสาร ผสมทมี่ ปี รมิ าณนอ้ ย โดยใชแ้ ยกสารทม่ี สี มบตั กิ ารละลาย ในตวั ท�ำละลายและการถูกดดู ซับด้วยตัวดูดซบั แตกต่างกนั ท�ำใหส้ ารแต่ละชนดิ เคลอื่ นท่ีไปบนตัวดูดซบั ได้ต่างกนั สารจงึ แยกออกจากกันไดอ้ ัตราสว่ น ระหวา่ งระยะทางทีส่ าร องคป์ ระกอบแตล่ ะชนดิ เคลอ่ื นทไ่ี ดบ้ นตวั ดดู ซบั กบั ระยะ ทางที่ตัวท�ำละลายเคลื่อนที่ได้เป็นค่าเฉพาะตัวของสาร แต่ละชนิดในตัวท�ำละลายและตวั ดดู ซบั หนึง่ ๆ การสกัด ด้วยตัวท�ำละลายเปน็ วิธกี ารแยกสารผสมท่มี สี มบตั ิ การละลายในตัวท�ำละลายทีต่ ่างกนั โดยชนดิ ของตัว ท�ำละลายมผี ลต่อชนดิ และปริมาณของสารทส่ี กัดได้ การสกดั โดยการกลนั่ ดว้ ยไอน้ำ� ใชแ้ ยกสารท่รี ะเหยง่าย ไม่ละลายน้�ำและไม่ท�ำปฏิกิริยากับน�้ำออกจากสารที่ ระเหยยาก โดยใชไ้ อนำ้� เป็นตัวพาเปน็ ตวั พา
ชนั้ รหัสตวั ช้ีวัด 82 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ม.๒ ว ๒.๑ ม.๒/๓ • ความรู้ด้านวิทยาศาสตรเ์ กี่ยวกบั การแยกสาร ตวั ชว้ี ัด บูรณาการกับคณิตศาสตร์ เทคโนโลยี โดยใช้ ๓. น�ำ วธิ กี ารแยกสารไปใช้ กระบวนการทางวิศวกรรม สามารถน�ำ ไปใช้ แกป้ ัญหาในชวี ติ ประจำ�วัน แก้ปัญหาในชีวติ ประจำ�วันหรอื ปัญหาทพี่ บ โดยบูรณาการวิทยาศาสตร์ ในชุมชนหรอื สรา้ งนวตั กรรม โดยมขี นั้ ตอน ดังน้ี คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยแี ละ - ระบปุ ญั หาในชวี ติ ประจ�ำ วนั ทเี่ กย่ี วกบั การแยกสาร วศิ วกรรมศาสตร์ โดยใชส้ มบตั ทิ างกายภาพ หรอื นวตั กรรมทตี่ อ้ งการ พฒั นา โดยใชห้ ลักการดงั กล่าว - รวบรวมข้อมูลและแนวคิดเกี่ยวกับการแยกสาร โดยใช้สมบัติทางกายภาพทสี่ อดคลอ้ งกบั ปัญหา ท่ีระบุ หรอื นำ�ไปส่กู ารพัฒนานวตั กรรมน้ัน - ออกแบบวิธีการแก้ปัญหาหรือพัฒนานวัตกรรม ท่ีเกี่ยวกับการแยกสาร ในสารผสม โดยใช้สมบัติ ทางกายภาพ โดยเชอื่ มโยงความรูด้ า้ นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และกระบวนการทาง วิศวกรรม รวมท้ังกำ�หนดและควบคุมตัวแปรอย่าง เหมาะสม ครอบคลุม - วางแผนและดำ�เนินการแก้ปัญหาหรือพัฒนา นวตั กรรม รวบรวมขอ้ มลู จดั กระท�ำ ขอ้ มลู และเลอื ก วธิ กี ารสอื่ ความหมายทเ่ี หมาะสมในการน�ำ เสนอผล - ทดสอบ ประเมนิ ผล ปรบั ปรงุ วธิ กี ารแกป้ ญั หาหรอื นวตั กรรมท่ีพัฒนาข้นึ โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ทีร่ วบรวมได้ - นำ�เสนอวธิ ีการแกป้ ญั หา หรือผลของนวตั กรรม ที่พัฒนาข้ึน และผลท่ีได้โดยใช้วธิ ีการสื่อสารที่ เหมาะสมและน่าสนใจ
83 ชน้ั รหัสตวั ช้วี ดั ตวั ชวี้ ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ม.๒ ว ๒.๑ ม.๒/ ๔. ออกแบบการทดลองและ • สารละลายอาจมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลวและ ทดลองในการอธิบายผลของ แกส๊ สารละลายประกอบดว้ ยตวั ท�ำละลายและตวั ละลาย ชนดิ ตวั ละลายชนดิ ตวั ทำ�ละลาย กรณีสารละลายเกิดจากสารที่มีสถานะเดยี วกัน สารทีม่ ี อุณหภูมิท่ีมีต่อสภาพละลายได้ ปริมาณมากท่ีสุดจัดเป็นตัวท�ำละลาย กรณีสารละลาย ของสาร รวมทัง้ อธบิ ายผล เกดิ จากสารทม่ี สี ถานะตา่ งกนั สารทมี่ สี ถานะเดยี วกนั กบั ของความดันท่มี ีตอ่ สภาพ สารละลายจัดเปน็ ตวั ท�ำละลาย ละลายได้ของสาร โดยใช้ • สารละลายทต่ี วั ละลายไม่สามารถละลายในตัว สารสนเทศ ท�ำละลายได้อกี ท่อี ุณหภมู ิหน่งึ ๆ เรยี กว่า สารละลายอิ่มตัว • สภาพละลายได้ของสารในตัวท�ำละลาย เป็นค่าที่บอก ปริมาณของสารที่ละลายได้ในตัวท�ำละลาย ๑๐๐ กรัม จนได้สารละลายอ่ิมตัว ณ อุณหภูมิและความดันหน่ึงๆ สภาพละลายได้ของสารบ่งบอกความสามารถในการ ละลายไดข้ องตวั ละลายในตวั ท�ำละลาย ซง่ึ ความสามารถ ในการละลายของสารขึ้นอยู่กับชนิดของตัวท�ำละลาย และตัวละลาย อณุ หภมู ิและความดนั • สารชนดิ หน่ึงๆ มสี ภาพละลายได้แตกต่างกนั ในตวั ท�ำ ละลายทแ่ี ตกตา่ งกนั และสารตา่ งชนดิ กนั มสี ภาพละลาย ได้ในตัวท�ำละลายหนงึ่ ๆ ไม่เท่ากนั • เมื่ออุณหภูมิสูงข้ึน สารส่วนมาก สภาพละลายได้ ของสารจะเพิ่มข้ึน ยกเว้นแก๊สเม่ืออุณหภูมิสูงขึ้นสภาพ การละลายได้จะลดลง ส่วนความดันมีผลต่อแก๊ส โดย เม่ือความดนั เพ่ิมขน้ึ สภาพละลายไดจ้ ะสูงข้ึน • ความรเู้ กย่ี วกบั สภาพละลายไดข้ องสาร เมอื่ เปลย่ี นแปลง ชนดิ ตัวละลาย ตัวท�ำละลาย และอณุ หภมู สิ ามารถน�ำไป ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ�ำวัน เช่น การท�ำน้�ำเช่ือมเข้ม ขน้ การสกดั สารออกจากสมุนไพรให้ไดป้ รมิ าณมากท่ีสุด
84 ชน้ั รหัสตวั ช้ีวดั ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๒ ว ๒.๑ ม.๒/๕ ๕. ระบุปริมาณตัวละลายใน • ความเขม้ ข้นของสารละลาย เป็นการระบุปรมิ าณ สารละลาย ในหนว่ ยความเขม้ ขน้ ตวั ละลายในสารละลาย หนว่ ยความเขม้ ข้น เป็นร้อยละปริมาตรต่อปริมาตร มีหลายหนว่ ย ทน่ี ิยมระบุเป็นหนว่ ยเป็นร้อยละ มวลต่อมวล และมวลต่อปรมิ าตร ปริมาตรตอ่ ปริมาตร มวลต่อมวลและมวลตอ่ ปรมิ าตร ว ๒.๑ ม.๒/๖ ๖. ตระหนักถึงความสำ�คัญของ • รอ้ ยละโดยปรมิ าตรตอ่ ปรมิ าตร เปน็ การระบปุ รมิ าตรตวั การนำ�ความรู้เรื่องความเข้มข้น ละลายในสารละลาย ๑๐๐ หน่วย ปรมิ าตรเดียวกัน นยิ ม ของสารไปใช้ โดยยกตวั อย่างการ ใชก้ ับสารละลายทเี่ ป็นของเหลวหรอื แกส๊ ใช้สารละลายในชีวิตประจำ�วัน • ร้อยละโดยมวลต่อมวล เป็นการระบุมวลตัวละลาย อย่างถูกตอ้ งและปลอดภยั ในสารละลาย ๑๐๐ หน่วย มวลเดียวกันนิยมใช้กับ สารละลายที่มีสถานะเป็นของแขง็ • รอ้ ยละโดยมวลตอ่ ปรมิ าตร เปน็ การระบมุ วล ตวั ละลายในสารละลาย ๑๐๐ หน่วยปรมิ าตร นยิ มใชก้ บั สารละลายทีม่ ตี วั ละลายเปน็ ของแขง็ ในตวั ทำ�ละลายท่เี ปน็ ของเหลว • การใชส้ ารละลายในชีวิตประจำ�วัน ควรพจิ ารณา จากความเข้มขน้ ของสารละลาย ขึน้ อยกู่ ับจุดประสงค์ ของการใช้งาน และผลกระทบตอ่ สง่ิ ชีวิตและ สง่ิ แวดล้อม ว ๒.๒ ม.๒/๑ ๑. พยากรณ์การเคลือ่ นท่ี • แรงเป็นปรมิ าณเวกเตอร์ เม่อื มีแรงหลายๆ ว ๒.๒ ม.๒/๒ ของวัตถุทเี่ ปน็ ผลของแรงลัพธ์ แรงกระทำ�ต่อวัตถแุ ลว้ แรงลัพธท์ ีก่ ระท�ำ ต่อวัตถุ ท่ีเกิดจากแรงหลายแรงท่ีกระทำ� มคี ่าเปน็ ศนู ย์ วัตถจุ ะไมเ่ ปล่ยี นแปลงการเคลอ่ื นที่ แต่ถา้ ตอ่ วัตถใุ นแนวเดียวกันจาก แรงลัพธท์ ่ีกระท�ำ ตอ่ วัตถมุ ีคา่ ไมเ่ ป็นศูนย์วตั ถจุ ะ หลกั ฐานเชิงประจักษ์ เปลย่ี นแปลงการเคลอื่ นท่ี ๒. เขียนแผนภาพแสดงแรงและ แรงลัพธ์ท่ีเกิดจากแรงหลายแรง ทก่ี ระทำ�ตอ่ วตั ถใุ นแนวเดยี วกัน
85 ช้ัน รหสั ตวั ช้วี ัด ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.๒ ว ๒.๒ ม.๒/๓ ๓. ออกแบบการทดลองและ • เมอ่ื วตั ถอุ ยใู่ นของเหลวจะมแี รงท่ขี องเหลวกระท�ำต่อ ทดลองด้วยวิธีทีเ่ หมาะสมในการ วตั ถใุ นทกุ ทศิ ทาง โดยแรงทขี่ องเหลวกระท�ำ ตง้ั ฉากกบั อธบิ ายปจั จยั ที่มผี ลตอ่ ความดัน ผวิ วตั ถตุ อ่ หนงึ่ หนว่ ยพนื้ ทเ่ี รยี กวา่ ความดนั ของของเหลว ของของเหลว • ความดันของของเหลวมคี วามสมั พันธก์ ับความลึก จากระดับผิวหน้าของของเหลว โดยบรเิ วณที่ลึกลงไป จากระดับผิวหน้าของของเหลวมากขน้ึ ความดนั ของ ของเหลวจะเพิ่มข้ึน เนื่องจากของเหลวท่อี ยู่ลึกกวา่ จะมนี ้ำ� หนักของของเหลวดา้ นบนกระท�ำมากกวา่ ว ๒.๒ ม.๒/๔ ๔. วิเคราะห์แรงพยุงและการจม • เมื่อวตั ถอุ ยใู่ นของเหลว จะมแี รงพยุงเน่ืองจาก ว ๒.๒ ม.๒/๕ การลอยของวตั ถุ ในของเหลวจาก ของเหลวกระท�ำตอ่ วตั ถโุ ดยมีทิศขน้ึ ในแนวด่งิ การจม หลักฐานเชิงประจกั ษ์ หรือการลอย ของวตั ถขุ ึน้ กับน้�ำหนกั ของวตั ถุและ แรงพยุง ถ้าน้�ำหนักของวตั ถุ ๕. เขียนแผนภาพแสดงแรง แรงพยงุ ของของเหลวมคี า่ เทา่ กัน ท่ีกระทำ�ตอ่ วัตถุในของเหลว วัตถุจะลอยนง่ิ อยูใ่ นของเหลว แตถ่ ้านำ�้ หนกั ของ วตั ถมุ ีค่ามากกว่าแรงพยงุ ของของเหลววัตถุจะจม ว ๒.๒ ม.๒/๖ ๖. อธบิ ายแรงเสียดทานสถติ และ • แรงเสียดทานเปน็ แรงทีเ่ กดิ ขึ้นระหว่างผิวสมั ผัส แรงเสียดทานจลน์จากหลักฐาน ของวัตถุ เพ่ือต้านการเคลอื่ นท่ขี องวตั ถนุ ัน้ โดยถา้ เชงิ ประจกั ษ์ ออกแรงกระทำ�ต่อวัตถุท่ีอยู่นงิ่ บนพน้ื ผิวให้เคลอ่ื นท่ี แรงเสยี ดทานกจ็ ะต้านการเคล่อื นทีข่ องวตั ถุ แรงเสียดทานที่เกิดขนึ้ ในขณะท่ีวตั ถุยังไม่เคล่ือนที่ เรียกแรงเสยี ดทานสถิต แต่ถา้ วตั ถุก�ำ ลังเคลอ่ื นท่ี แรงเสยี ดทานก็จะท�ำ ใหว้ ตั ถุน้นั เคล่ือนทชี่ า้ ลงหรอื หยุดน่ิง เรยี กแรงเสียดทานจลน์ ว ๒.๒ ม.๒/๗ ๗. ออกแบบการทดลองและทดลอง • ขนาดของแรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุข้ึนกับ ดว้ ยวธิ ที ีเ่ หมาะสม ในการอธบิ าย ลักษณะผิวสัมผัสและขนาดของแรงปฏิกิริยาต้ังฉาก ปจั จัยท่มี ีผลต่อขนาดของ ระหว่างผวิ สมั ผสั แรงเสยี ดทาน
86 ชั้น รหัสตัวชวี้ ดั ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๒ ว ๒.๒ ม.๒/๘ ๘. เขยี นแผนภาพแสดงแรง • กจิ กรรมในชีวติ ประจ�ำวันบางกจิ กรรมต้องการ เสยี ดทานและแรงอ่ืนๆ แรงเสยี ดทาน เช่น การเปดิ ฝาเกลยี วขวดนำ�้ การใช้ ท่ีกระท�ำ ตอ่ วัตถุ แผ่นกันล่ืนในห้องน�ำ้ บางกจิ กรรมไม่ตอ้ งการ ว ๒.๒ ม.๒/๙ ๙. ตระหนักถึงประโยชนข์ อง แรงเสียดทาน เชน่ การลากวัตถบุ นพน้ื การใชน้ �้ำมัน ความรเู้ ร่ืองแรงเสียดทาน หล่อลน่ื ในเครือ่ งยนต์ โดยวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหา • ความรู้เรอ่ื งแรงเสยี ดทานสามารถน�ำไปใชป้ ระโยชน์ และเสนอแนะวิธกี าร ในชวี ิตประจ�ำวันได้ ลดหรือเพ่ิมแรงเสียดทานที่เป็น ประโยชน์ต่อการทำ�กจิ กรรม ในชวี ติ ประจำ�วนั ว ๒.๒ ม.๒/๑๐ ๑๐. ออกแบบการทดลองและ • เมอื่ มแี รงท่กี ระทำ�ตอ่ วัตถโุ ดยไม่ผ่านศนู ยก์ ลาง ทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการ มวลของวตั ถุจะเกิดโมเมนต์ของแรง ท�ำ ให้วตั ถุ ว ๒.๒ ม.๒/๑๑ อธิบายโมเมนต์ของแรง เม่ือวัตถุ หมุนรอบศูนย์กลางมวลของวัตถนุ ั้น ว ๒.๒ ม.๒/๑๒ อยู่ในสภาพสมดุลต่อการหมุน • โมเมนต์ของแรงเป็นผลคูณของแรง ทีก่ ระทำ�ต่อวัตถุ และค�ำ นวณโดยใชส้ มการ M = Fl กบั ระยะทางจากจดุ หมนุ ไปตง้ั ฉากกบั แนวแรง เมอื่ ผลรวม ของโมเมนตข์ องแรงมีคา่ เป็นศูนยว์ ตั ถุ จะอยู่ในสภาพ สมดลุ ตอ่ การหมุน โดยโมเมนต์ของแรงในทศิ ทวนเข็มนาฬิกาจะมขี นาดเทา่ กบั โมเมนตข์ องแรง ในทิศตามเข็มนาฬกิ า • ของเล่นหลายชนดิ ประกอบดว้ ยอุปกรณห์ ลายส่วน ทใี่ ชห้ ลกั การโมเมนตข์ องแรง ความรเู้ รอ่ื งโมเมนตข์ องแรง สามารถนำ�ไปใชอ้ อกแบบและประดษิ ฐข์ องเล่นได้ ๑๑. เปรยี บเทยี บแหล่งของ • วตั ถทุ มี่ มี วลจะมีสนามโนม้ ถว่ งอยโู่ ดยรอบแรงโนม้ ถ่วง สนามแมเ่ หลก็ สนามไฟฟา้ และ ท่ีกระทำ�ต่อวัตถุที่อยู่ในสนามโน้มถ่วงจะมีทิศพุ่งเข้าหา สนามโนม้ ถ่วง และทิศทาง วัตถุทเ่ี ป็นแหลง่ ของสนามโน้มถ่วง ของแรงที่กระท�ำ ตอ่ วัตถทุ ีอ่ ยู่ • วตั ถทุ มี่ ปี ระจไุ ฟฟา้ จะมสี นามไฟฟา้ อยโู่ ดยรอบแรงไฟฟา้ ในแต่ละสนามจากข้อมลู ที่ ท่ีกระทำ�ต่อวัตถุท่ีมีประจุจะมีทิศพุ่งเข้าหาหรือออกจาก รวบรวมได้ วตั ถุท่มี ีประจุทเี่ ป็นแหลง่ ของสนามไฟฟา้ ๑๒. เขยี นแผนภาพแสดงแรง • วตั ถุที่เปน็ แมเ่ หลก็ จะมสี นามแม่เหลก็ อยู่โดยรอบ แม่เหลก็ แรงไฟฟา้ และ แรงแม่เหล็กท่กี ระท�ำ ตอ่ ข้ัวแมเ่ หลก็ จะมที ิศพุ่งเขา้ หา แรงโน้มถว่ งทกี่ ระทำ�ต่อวัตถุ หรือออกจากข้ัวแมเ่ หล็กท่เี ป็นแหลง่ ของสนามแมเ่ หลก็
87 ช้ัน รหัสตวั ชวี้ ดั ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๒ ว ๒.๒ ม.๒/๑๓ ๑๓. อธบิ ายและค�ำนวณอตั ราเรว็ • การเคล่ือนทข่ี องวัตถุเปน็ การเปลย่ี นต�ำแหน่งของวตั ถุ ว ๒.๒ ม.๒/๑๔ และความเร็วของการเคล่ือนที่ เทยี บกบั ต�ำแหนง่ อา้ งองิ โดยมปี รมิ าณทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การ ของวัตถุ โดยใช้สมการและจาก เคลื่อนท่ีซึ่งมีทั้ง ปริมาณสเกลาร์และปริมาณเวกเตอร์ หลักฐาน เชงิ ประจักษ์ เช่น ระยะทาง อัตราเรว็ การกระจัด ความเรว็ ปริมาณ ๑๔. เขียนแผนภาพแสดงการ สเกลาร์เป็นปริมาณที่มีขนาด เช่น ระยะทาง อัตราเร็ว กระจดั และความเร็ว ปรมิ าณเวกเตอรเ์ ปน็ ปรมิ าณทม่ี ที ง้ั ขนาดและทศิ ทาง เชน่ การกระจัด ความเร็ว • เขียนแผนภาพแทนปริมาณเวกเตอร์ได้ด้วยลูกศร โดยความยาวของลูกศรแสดงขนาดและหัวลูกศรแสดง ทิศทางของเวกเตอรน์ ั้นๆ • ระยะทางเป็นปรมิ าณสเกลารโ์ ดยระยะทางเปน็ ความยาวของเส้นทางทเ่ี คลื่อนทีไ่ ด้ • การกระจัดเปน็ ปริมาณเวกเตอรโ์ ดยการกระจดั มีทิศช้ีจากต�ำแหน่งเร่ิมต้นไปยังต�ำแหน่งสุดท้ายและมี ขนาดเท่ากับระยะทส่ี ้ันที่สุดระหว่างสองต�ำแหนง่ น้ัน • อตั ราเรว็ เปน็ ปรมิ าณสเกลารโ์ ดยอตั ราเรว็ เปน็ อตั ราสว่ น ของระยะทางตอ่ เวลา • ความเรว็ ปริมาณเวกเตอรม์ ที ิศเดยี วกบั ทศิ ของการ กระจัด โดยความเรว็ เป็นอตั ราส่วนของการกระจัด ตอ่ เวลา
88 ชน้ั รหัสตัวชี้วดั ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.๒ ว ๒.๓ ม.๒/๑ ๑. วเิ คราะหส์ ถานการณ์และ • เม่ือออกแรงกระท�ำ ต่อวัตถุแล้วท�ำ ใหว้ ตั ถเุ คล่ือนที่ ค�ำ นวณเกีย่ วกับงานและกำ�ลงั โดยแรงอย่ใู นแนวเดยี วกบั การเคล่อื นท่ีจะเกิดงาน ทเี่ กิดจากแรงทกี่ ระทำ� ตอ่ วตั ถุ งานจะมีค่ามากหรือนอ้ ยขน้ึ กับขนาดของแรงและ โดยใชส้ มการและจากขอ้ มูล ระยะทางในแนวเดียวกบั แรง ท่รี วบรวมได้ ว ๒.๓ ม.๒/๒ ๒. วเิ คราะห์หลกั การทำ�งานของ • งานท่ีทำ�ในหนึง่ หน่วยเวลา เรยี กวา่ กำ�ลังหลกั การ ว ๒.๓ ม.๒/๓ เครื่องกลอย่างง่ายจากขอ้ มลู ของงานนำ�ไปอธิบายการทำ�งานของเครือ่ งกล ว ๒.๓ ม.๒/๔ ท่ีรวบรวมได้ อยา่ งงา่ ยไดแ้ กค่ านพน้ื เอยี งรอกเดย่ี วลม่ิ สกรูลอ้ และเพลา ๓. ตระหนักถงึ ประโยชนข์ อง ซงึ่ น�ำ ไปใชป้ ระโยชน์ดา้ นต่างๆ ในชีวิตประจำ�วัน ว ๒.๓ ม.๒/๕ ความรขู้ องเคร่อื งกลอยา่ งงา่ ย โดยบอกประโยชนแ์ ละการ ประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ ประจ�ำ วนั ๔. ออกแบบและทดลอง ด้วยวิธี • พลังงานจลนเ์ ป็นพลงั งานของวตั ถุ ทเ่ี คลอ่ื นที่ ท่ีเหมาะสมในการอธิบายปัจจัยท่ี พลังงานจลนจ์ ะมคี า่ มากหรือนอ้ ยขึน้ กบั มวลและ มผี ลตอ่ พลงั งานจลนแ์ ละพลงั งาน อตั ราเรว็ สว่ นพลงั งานศกั ยโ์ นม้ ถว่ งเกยี่ วขอ้ งกบั ต�ำ แหนง่ ศกั ย์โนม้ ถว่ ง ของวตั ถุ จะมคี ่ามากหรอื น้อยขนึ้ กับมวลและต�ำ แหน่ง ของวตั ถุ เมือ่ วตั ถุอยู่ในสนามโน้มถ่วง วตั ถุจะมีพลังงาน ศกั ยโ์ น้มถว่ ง พลงั งานจลน์และ พลังงานศักย์โน้มถ่วง เปน็ พลังงานกล ๕. แปลความหมายข้อมูลและ • ผลรวมของพลังงานศักยโ์ น้มถ่วง และพลงั งานจลน์ อธบิ ายการเปลย่ี นพลงั งานระหวา่ ง เป็นพลงั งานกล พลังงานศกั ย์โน้มถว่ งและพลงั งานจลน์ พลังงานศกั ย์โนม้ ถว่ งและพลังงานจลน์ ของวัตถุหนึ่งๆ สามารถเปลี่ยนกลับไปมาได้โดยผลรวม ของวัตถุ โดยพลังงานกลของวัตถุ ของพลังงานศักย์โน้มถ่วง และพลังงานจลน์มีค่าคงตัว มีค่าคงตัวจากขอ้ มลู ท่ีรวบรวมได้ นน่ั คือพลังงานกลของวตั ถมุ ีค่าคงตัว
89 ชน้ั รหสั ตวั ชว้ี ดั ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๒ ว ๒.๓ ม.๒/๖ ๖. วเิ คราะหส์ ถานการณ์และ • พลังงานรวมของระบบมคี า่ คงตวั ซงึ่ อาจเปลีย่ น อธิบายการเปล่ยี นและ จากพลงั งานหนง่ึ เป็นอกี พลังงานหนึง่ เชน่ พลังงาน ว ๓.๒ ม.๒/๑ การถ่ายโอนพลังงานโดยใช้กฎ กลเปลี่ยนเปน็ พลงั งานไฟฟา้ พลังงานจลนเ์ ปลยี่ นเปน็ การอนรุ ักษพ์ ลังงาน พลังงานความร้อน พลงั งานเสยี ง พลงั งานแสง ว ๓.๒ ม.๒/๒ เน่อื งมาจากแรงเสียดทาน พลงั งานเคมใี นอาหาร ๑. เปรียบเทยี บกระบวน เปลีย่ นเปน็ พลังงานทีไ่ ปใช้ในการท�ำ งานของสิ่งมชี ีวติ การเกดิ สมบตั ิและการใช้ • นอกจากน้ีพลงั งานยังสามารถถ่ายโอนไปยงั อกี ระบบ ประโยชน์ รวมท้ังอธิบายผล หนงึ่ หรอื ได้รับพลังงานจากระบบอ่ืนได้ เชน่ กระทบจากการใช้เชอื้ เพลิง การถา่ ยโอนความร้อนระหวา่ งสสาร การถา่ ยโอน ซากดึกด�ำ บรรพ์จากข้อมูล พลงั งานของการส่นั ของแหลง่ กำ�เนิดเสยี งไปยัง ท่ีรวบรวมได้ ผ้ฟู งั ท้งั การเปลี่ยนพลังงานและการถา่ ยโอนพลังงาน ๒. แสดงความตระหนกั ถงึ พลงั งานรวมทง้ั หมด มคี ่าเท่าเดิมตามกฎการอนุรักษ์ ผลจากการใชเ้ ช้ือเพลงิ พลงั งาน ซากดกึ ดำ�บรรพ์ โดยน�ำ เสนอ แนวทางการใชเ้ ชือ้ เพลงิ • เช้ือเพลิงซากดึกด�ำบรรพ์เกิดจากการเปลี่ยนแปลง ซากดกึ ด�ำ บรรพ์ สภาพของซากส่ิงมีชีวิตในอดีตโดยกระบวนการทางเคมี และธรณีวิทยา เชอื้ เพลิงซากดึกด�ำบรรพ์ ได้แก่ ถา่ นหิน หนิ นำ้� มนั และปโิ ตรเลยี ม ซง่ึ เกดิ จากวตั ถตุ น้ ก�ำเนดิ และ สภาพแวดล้อม การเกิดท่ีแตกตา่ งกนั ท�ำใหไ้ ด้ชนดิ ของ เชือ้ เพลงิ ซากดึกด�ำบรรพ์ทีม่ ลี ักษณะสมบัติและ การน�ำไปใชป้ ระโยชน์แตกตา่ งกัน ส�ำหรับปโิ ตรเลียม จะต้องมกี ารผา่ นการกลั่นล�ำดบั ส่วนกอ่ นการใชง้ าน เพอ่ื ให้ได้ผลิตภณั ฑท์ ่เี หมาะสมตอ่ การใชป้ ระโยชน์ เชอ้ื เพลงิ ซากดกึ ด�ำบรรพ์ เปน็ ทรพั ยากรทใี่ ชแ้ ลว้ หมดไป เนอื่ งจากตอ้ งใชเ้ วลานานหลายลา้ นปี จงึ จะเกดิ ขนึ้ ใหมไ่ ด้ • การเผาไหม้เชอ้ื เพลงิ ซากดึกด�ำ บรรพใ์ นกิจกรรมต่างๆ ของมนษุ ยจ์ ะท�ำ ใหเ้ กดิ มลพษิ ทางอากาศ ซงึ่ สง่ ผลกระทบ ต่อสง่ิ มีชวี ิตและสง่ิ แวดลอ้ ม นอกจากนี้ แก๊สบางชนดิ ทเ่ี กดิ จากการเผาไหมเ้ ชอื้ เพลิงซากดกึ ด�ำ บรรพ์ เชน่ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และไนตรัสออกไซด์ ยังเป็น แก๊สเรือนกระจกซึ่งส่งผล ให้เกิดการเปล่ียนแปลงภูมิ อากาศของโลกรุนแรงข้ึน ดังน้ัน จึงควรใช้เชื้อเพลิง ซากดึกดำ�บรรพ์
90 ชน้ั รหสั ตวั ชว้ี ัด ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ม.๒ โดยค�ำ นงึ ถงึ ผลทเี่ กดิ ขน้ึ ตอ่ สง่ิ มชี วี ติ และสงิ่ แวดลอ้ ม ว ๓.๒ ม.๒/๓ เชน่ เลอื กใชพ้ ลงั งานทดแทน หรอื เลอื กใชเ้ ทคโนโลยี ทลี่ ดการใชเ้ ชอ้ื เพลงิ ซากดกึ ดำ�บรรพ์ ว ๓.๒ ม.๒/๔ ๓. เปรยี บเทียบข้อดีและข้อจ�ำ กดั • เชอ้ื เพลิงซากดึกด�ำบรรพ์เป็นแหลง่ พลงั งาน ว ๓.๒ ม.๒/๕ ของพลงั งานทดแทน แตล่ ะประเภท ทสี่ �ำคญั ในกจิ กรรมตา่ งๆ ของมนษุ ยเ์ นอ่ื งจากเชอื้ เพลงิ จากการรวบรวมขอ้ มลู และน�ำ เสนอ ซากดกึ ด�ำบรรพม์ ปี รมิ าณจ�ำกดั และมกั เพมิ่ มลภาวะ แนวทางการใชพ้ ลังงานทดแทน ในบรรยากาศมากขนึ้ จึงมีการใชพ้ ลังงานทดแทน ที่เหมาะสมในท้องถ่นิ มากขนึ้ เชน่ พลงั งานแสงอาทติ ย์ พลงั งานลม พลงั งาน น�้ำ พลังงานชีวมวล พลังงานคล่ืน พลังงานความ ร้อนใต้พภิ พ พลงั งานไฮโดรเจน ซึ่งพลงั งานทดแทน แตล่ ะชนดิ จะมขี อ้ ดีและขอ้ จ�ำกัดทแี่ ตกต่างกนั ๔. สรา้ งแบบจ�ำ ลองท่อี ธบิ าย • โครงสร้างภายในโลกแบง่ ออกเป็นช้ัน โครงสร้างภายในโลกตาม ตามองค์ประกอบทางเคมี ไดแ้ ก่ เปลือกโลก องคป์ ระกอบทางเคมจี ากข้อมลู ซึ่งอยู่นอกสดุ ประกอบด้วยสารประกอบ ท่ีรวบรวมได้ ของซลิ กิ อนและอะลูมเิ นยี มเปน็ หลัก เนอ้ื โลก คอื สว่ นทอี่ ยู่ใต้เปลอื กโลกลงไปจนถึง แก่นโลก มอี งค์ประกอบหลักเป็นสารประกอบ ของซลิ กิ อน แมกนเี ซยี มและเหลก็ และแกน่ โลก คือส่วนทอ่ี ยู่ใจกลางของโลก มอี งคป์ ระกอบหลกั เป็นเหลก็ และนกิ เกิลซง่ึ แตล่ ะช้ันมีลกั ษณะ แตกตา่ งกนั ๕. อธบิ ายกระบวนการผพุ งั • การผุพังอยู่กบั ที่การกรอ่ นและการสะสมตวั อยู่กับท่ีการกร่อนและการสะสมตัว ของตะกอนเปน็ กระบวนการเปลย่ี นแปลง ของตะกอนจากแบบจ�ำ ลองรวมทงั้ ทางธรณวี ทิ ยา ทที่ �ำใหผ้ ิวโลกเกดิ การเปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่างผลของกระบวนการ เป็นภูมลิ ักษณ์แบบต่างๆ โดยมีปัจจยั ส�ำคัญ คอื ดังกล่าวท่ีทำ�ให้ผิวโลกเกิดการ น้ำ� ลม ธารน้ำ� แขง็ แรงโน้มถ่วงของโลก เปลยี่ นแปลง สิ่งมีชวี ิต สภาพอากาศ และปฏิกิรยิ าเคมี
91 ช้นั รหัสตัวชีว้ ัด ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๒ ๖. อธิบายลักษณะของชน้ั หนา้ • การผุพังอยูก่ ับที่คือ การทห่ี นิ ผุพังท�ำลายลง ตดั ดินและกระบวนการเกิดดนิ ด้วยกระบวนการตา่ งๆ ได้แก่ ลม ฟา้ อากาศกบั น�้ำฝน ว ๓.๒ ม.๒/๖ จากแบบจ�ำลอง รวมทงั้ ระบปุ ัจจยั และรวมท้ังการกระท�ำของต้นไมก้ ับแบคทเี รยี ที่ท�ำใหด้ นิ มีลักษณะและสมบัติ ตลอดจนการแตกตวั ทางกลศาสตร์ ซ่ึงมกี ารเพิ่ม แตกต่างกนั และลดอุณหภูมิสลับกัน เปน็ ต้น • การกรอ่ น คอื กระบวนการหนงึ่ หรอื หลายกระบวนการ ทที่ �ำให้สารเปลือกโลกหลุดไป ละลายไปหรอื กร่อนไป โดยมีตัวน�ำพาธรรมชาติ คอื ลม น�ำ้ และธารน�้ำแขง็ ร่วมกบั ปัจจยั อื่นๆ ไดแ้ ก่ ลม ฟา้ อากาศ สารละลาย การครูดถู การน�ำพา ทัง้ นไี้ ม่รวมถงึ การพงั ทลายเปน็ กลมุ่ ก้อน เช่น แผ่นดินถล่ม ภเู ขาไฟระเบิด • การสะสมตัวของตะกอน คอื การสะสมตวั ของวตั ถุ จากการน�ำพาของน้�ำ ลม หรอื ธารนำ้� แข็ง • ดนิ เกดิ จากหนิ ทผี่ ุพังตามธรรมชาติ ผสมคลกุ เคลา้ กบั อนิ ทรียวัตถทุ ไ่ี ด้ จากการเนา่ เปอ่ื ยของ ซากพชื ซากสัตว์ทบั ถมเป็นชั้นๆ บนผวิ โลก ช้นั ดนิ แบ่งออกเป็นหลายชัน้ ขนานหรือเกือบขนาน ไปกับผิวหน้าดินแต่ละชั้น มีลักษณะแตกต่างกัน เนอ่ื งจากสมบตั ทิ างกายภาพ เคมชี วี ภาพและลกั ษณะ อืน่ ๆ เชน่ สี โครงสรา้ ง เนือ้ ดิน การยึดตัว ความเป็นกรด-เบส สามารถสังเกตได้จากการส�ำรวจ ภาคสนาม การเรียกช่ือช้ันดินหลักจะใช้อักษรภาษา อังกฤษตัวใหญ่ ไดแ้ ก่ O,A,E,B,C,R • ชัน้ หน้าตัดดนิ เป็นช้ันดินท่มี ลี กั ษณะปรากฏ ใหเ้ ห็นเรยี งล�ำดับเปน็ ชั้นจากชนั้ บนสดุ ถงึ ชั้นล่างสดุ • ปัจจัยท่ีท�ำให้ดินแต่ละท้องถิ่นมีลักษณะและสมบัติ แตกต่างกัน ได้แก่ วัตถตุ น้ ก�ำเนิดดิน ภมู ิอากาศ สงิ่ มีชวี ติ ในดิน สภาพภูมปิ ระเทศ และระยะเวลาในการเกดิ ดนิ
92 ชั้น รหสั ตัวชวี้ ัด ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ม.๒ ว ๓.๒ ม.๒/๗ ๗. ตรวจวดั สมบตั ิบางประการ • สมบตั ิบางประการของดนิ เชน่ เนื้อดิน ความช้นื ดนิ ว ๓.๒ ม.๒/๘ ของดนิ โดยใช้เครือ่ งมือ คา่ ความเปน็ กรด-เบส ธาตอุ าหารในดินสามารถ ทีเ่ หมาะสมและน�ำ เสนอ นำ�ไปใช้ในการตัดสินใจถึงแนวทางการใช้ประโยชน์ท่ีดิน แนวทางการใชป้ ระโยชน์ดิน โดยอาจน�ำ ไปใชป้ ระโยชนท์ างการเกษตรหรอื อนื่ ๆ ซงึ่ ดนิ จากขอ้ มูลสมบัติของดนิ ทไ่ี มเ่ หมาะสมตอ่ การท�ำ การเกษตร เชน่ ดนิ จดื ดนิ เปรยี้ ว ดนิ เคม็ และดนิ ดาน อาจเกิดจากสภาพดนิ ตามธรรมชาติ หรอื การใชป้ ระโยชนจ์ ะตอ้ งปรบั ปรงุ ใหม้ สี ภาพเหมาะสม เพ่อื นำ�ไปใช้ประโยชน์ ๘. อธบิ ายปจั จยั และกระบวนการ • แหล่งน�้ำผิวดินเกิดจากน�้ำฝนที่ตกลงบนพื้นโลกไหล เกิดแหล่งน�้ำผิวดินและแหล่งน้�ำ จากที่สงู ลงส่ทู ่ีตำ่� ดว้ ย แรงโนม้ ถ่วง การไหลของน้ำ� ท�ำให้ ใตด้ นิ จากแบบจ�ำลอง พื้นโลกเกิดการกัดเซาะเป็นร่องน�้ำ เช่น ล�ำธาร คลอง และแม่น�้ำ ซ่ึงร่องน�้ำจะมีขนาดและรูปร่างแตกต่างกัน ข้ึนอยู่กับปริมาณน�้ำฝน ระยะเวลาในการกัดเซาะ ชนิด ดินและหิน และลกั ษณะภูมิประเทศ เช่น ความลาดชนั ความสูงต่�ำของพ้ืนที่ เมื่อน�้ำไหลไปยังบริเวณที่เป็นแอ่ง จะเกดิ การสะสมตวั เปน็ แหลง่ นำ�้ เชน่ บงึ ทะเลสาบ ทะเล และมหาสมุทร • แหลง่ นำ้� ใตด้ นิ เกดิ จากการซมึ ของนำ�้ ผวิ ดนิ ลงไป สะสม ตวั ใตพ้ นื้ โลก ซงึ่ แบง่ เปน็ นำ�้ ในดนิ และนำ�้ บาดาล นำ�้ ในดนิ เป็นน้�ำที่อยู่ร่วมกับอากาศตามช่องว่างระหว่างเม็ดดิน ส่วนน�้ำบาดาลเป็นน้�ำท่ีไหลซึมลึกลงไปและถูกกักเก็บไว้ ในช้ันหนิ หรือช้ันดนิ จนอม่ิ ตัวไปดว้ ยนำ�้
93 ช้นั รหสั ตวั ชี้วัด ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.๒ ว ๓.๒ ม.๒/๙ ๙. สร้างแบบจ�ำลองท่ีอธิบายการ • แหลง่ นำ�้ ผวิ ดนิ และแหลง่ นำ้� ใตด้ นิ ถกู น�ำมาใชใ้ นกจิ กรรม ว ๓.๒ ม.๒/๑๐ ใช้น�้ำและน�ำเสนอแนวทาง ต่างๆ ของมนุษย์ส่งผลต่อการจัดการ การใช้ประโยชน์ การใชน้ ้ำ� อย่างยงั่ ยนื ในทอ้ งถ่นิ น้�ำและคุณภาพของแหล่งน�้ำ เน่ืองจากการเพ่ิมขึ้นของ ของตนเอง จ�ำนวนประชากร การใชป้ ระโยชน์ พน้ื ทใี่ นดา้ นตา่ งๆ เชน่ ภาคเกษตรกรรม ภาคอตุ สาหกรรมและการเปลยี่ นแปลง ภูมิอากาศ ท�ำให้เกิดการเปล่ียนแปลงปริมาณน�้ำฝนใน พน้ื ทลี่ มุ่ นำ้� และแหลง่ นำ้� ผวิ ดนิ ไมเ่ พยี งพอส�ำหรบั กจิ กรรม ของมนุษย์ น้�ำจากแหล่งน้�ำใต้ดินจึงถูกน�ำมาใช้มากข้ึน ส่งผลให้ปริมาณน�้ำใต้ดินลดลงมาก จึงต้องมีการจัดการ ใช้น�้ำอย่างเหมาะสมและย่ังยืน ซ่ึงอาจท�ำได้โดยการ จดั หาแหลง่ นำ�้ เพอื่ ใหม้ แี หลง่ นำ้� เพยี งพอส�ำหรบั การด�ำรง ชวี ติ การจดั สรรและการใช้น้�ำอย่างมีประสิทธภิ าพ การ อนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งน�้ำ การป้องกันและแก้ไขปัญหา คณุ ภาพน�้ำ ๑๐. สร้างแบบจ�ำลองท่ีอธิบาย • นำ้� ท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถลม่ หลมุ ยบุ แผ่นดินทรุด กระบวนการเกดิ และผลกระทบ มีกระบวนการเกิดและผลกระทบที่แตกต่างกัน ซ่ึงอาจ ของน�้ำท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง สร้างความเสยี หายร้ายแรงแกช่ วี ิตและทรพั ยส์ ิน ดินถล่ม หลุมยุบ แผน่ ดนิ ทรดุ • นำ้� ทว่ ม เกดิ จากพน้ื ทหี่ นงึ่ ไดร้ บั ปรมิ าณนำ�้ เกนิ กวา่ ทจ่ี ะ กกั เกบ็ ได้ ท�ำใหแ้ ผน่ ดนิ จมอยใู่ ตน้ ำ้� โดยขนึ้ อยกู่ บั ปรมิ าณ น�้ำและสภาพทางธรณีวิทยาของพน้ื ที่ • การกัดเซาะชายฝั่ง เป็นกระบวนการเปล่ียนแปลง ของชายฝั่งทะเลที่เกิดข้ึนตลอดเวลาจากการกัดเซาะ ของคลื่นหรือลม ท�ำให้ตะกอนจากท่ีหน่ึงไปตกทับถม ในอีกบรเิ วณหนง่ึ แนวของชายฝง่ั เดิมจงึ เปลีย่ นแปลงไป บรเิ วณทม่ี ตี ะกอนเคลอื่ นเขา้ มานอ้ ยกวา่ ปรมิ าณทต่ี ะกอน เคล่อื นออกไปถอื วา่ เปน็ บรเิ วณทมี่ กี ารกดั เซาะชายฝั่ง
94 ชน้ั รหสั ตัวชี้วัด ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๒ • ดินถล่ม เป็นการเคลื่อนท่ีของมวลดินหรือหินจ�ำนวน มากลงตามลาดเขา เนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลกเป็น หลัก ซ่ึงเกิดจากปัจจัยส�ำคัญ ได้แก่ ความลาดชันของ พน้ื ท่ี สภาพธรณวี ทิ ยา ปรมิ าณนำ้� ฝน พชื ปกคลมุ ดนิ และ การใชป้ ระโยชนพ์ ้ืนท่ี • หลมุ ยบุ คอื แอง่ หรือหลุมบนแผน่ ดินขนาดตา่ งๆ ทอ่ี าจเกดิ จากการถลม่ ของโพรงถำ้� หนิ ปนู เกลอื หนิ ใตด้ นิ หรือเกดิ จากน้�ำพัดพาตะกอนลงไปในโพรงถำ�้ หรื อธารน�้ำใต้ดนิ • แผน่ ดินทรดุ เกิดจากการยุบตวั ของชน้ั ดินหรือหนิ ร่วน เม่อื มวลของแข็งหรือของเหลวปริมาณมากทร่ี องรับอยู่ ใต้ช้ันดินบริเวณน้ันถูกเคลื่อนย้ายออกไปโดยธรรมชาติ หรอื โดยการกระท�ำของมนุษย์ ว ๔.๑ ม.๒/๑ ๑. คาดการณ์แนวโน้ม • สาเหตุหรอื ปัจจัยต่างๆ เชน่ ความกา้ วหน้าของ ว ๔.๑ ม.๒/๒ เทคโนโลยที จี่ ะเกดิ ขึน้ ศาสตร์ ต่างๆ การเปลย่ี นแปลงทางดา้ นเศรษฐกิจ สงั คม โดยพจิ ารณาจากสาเหตุหรือ วฒั นธรรม ท�ำใหเ้ ทคโนโลยมี กี ารเปลยี่ นแปลงตลอดเวลา ปจั จยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ การเปลย่ี นแปลง • เทคโนโลยแี ตล่ ะประเภทมผี ลกระทบตอ่ ชวี ติ สงั คม และ ของเทคโนโลยี และวเิ คราะห์ สิ่งแวดล้อมท่ีแตกต่างกัน จึงต้องวิเคราะห์เปรียบเทียบ เปรียบเทยี บ ตดั สนิ ใจเลือกใช้ ข้อดีข้อเสียและตดั สินใจเลอื กใช้ใหเ้ หมาะสม เทคโนโลยโี ดยค�ำนงึ ถงึ ผลกระทบที่เกดิ ขึน้ ต่อชวี ิต สังคมและสง่ิ แวดลอ้ ม ๒. ระบุปญั หาหรือความตอ้ งการ • ปัญหาหรอื ความต้องการในชุมชนหรือทอ้ งถ่นิ ในชุมชนหรอื ทอ้ งถนิ่ สรปุ กรอบ มหี ลายอยา่ งขน้ึ กบั บรบิ ท หรอื สถานการณท์ ป่ี ระสบ เชน่ ของปญั หา รวบรวม วิเคราะห์ ด้านพลังงาน สงิ่ แวดลอ้ มการเกษตร การอาหาร ข้อมลู และแนวคดิ ทเ่ี กี่ยวข้องกบั • การระบุปัญหาจ�ำเป็นต้องมีการวิเคราะห์สถานการณ์ ปัญหา ของปัญหา เพ่ือสรุปกรอบของปัญหาแล้วด�ำเนินการ สบื คน้ รวบรวมขอ้ มลู ความรจู้ ากศาสตรต์ า่ งๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง เพอื่ น�ำไปสกู่ ารออกแบบแนวทางการแกป้ ัญหา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391