สารานกุ รมไทยส�ำ หรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ เลม่ ôôò๑ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร หนงั สือแหลง่ ความรู้อา่ นไดท้ ง้ั ครอบครวั
ôñ
ISBN 978-616-7709-16-1 © โครงการสารานุกรมไทยสำ� หรับเยาวชน โดยพระราชประสงคใ์ นพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั พิมพค์ ร้ังท่ี ๑ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำ� นวน ๑๕,๐๐๐ เล่ม พิมพค์ ร้ังที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำ� นวน ๓,๐๐๐ เล่ม ส�ำนักงาน อาคารโครงการสารานุกรมไทยฯ สนามเสือป่ า ถนนศรีอยธุ ยา เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐ โทรศพั ท์ ๐-๒๒๘๐-๖๕๐๒, ๐-๒๒๘๐-๖๕๐๗, ๐-๒๒๘๐-๖๕๑๕, ๐-๒๒๘๐-๖๕๓๘, ๐-๒๒๘๐-๖๕๔๑ โทรสาร ๐-๒๒๘๐-๖๕๘๐, ๐-๒๒๘๐-๖๕๘๙ e-mail: [email protected] http://kanchanapisek.or.th/kp6 www.saranukromthai.or.th
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชปรารภวา่ การเรียนรูใ้ นเรื่องราวและวชิ าการสาขาตา่ งๆโดย กวา้ งขวาง เป็นเหตุใหเ้ กิดความรู้ ความคิด และความฉลาด ซ่ึงเป็นปัจจยั สำ� คญั ท่ีสุดสำ� หรับชีวติ ช่วย ใหบ้ ุคคลสามารถสร้างประโยชนส์ ุข สร้างความเจริญมน่ั คงใหแ้ ก่ตนเอง ท้งั แก่สงั คมและบา้ นเมืองอนั เป็น ท่ีพ่ึงอาศยั ได้ ทุกคนจึงควรมีโอกาสท่ีจะศึกษาหาความรู้ไดต้ ามความประสงคแ์ ละกำ� ลงั ความสามารถ โดยทว่ั กนั ทรงพระราชดำ� ริว่า หนงั สือประเภทสารานุกรมน้นั บรรจุสรรพวิชาการอนั เป็ นสาระไวค้ รบ ทุกแขนง เม่ือมีความตอ้ งการหรือพอใจจะเรียนรู้เรื่องใด กส็ ามารถคน้ หาอ่านทราบโดยสะดวก นบั วา่ เป็นหนงั สือที่มีประโยชนเ์ ก้ือกลู การศึกษาเพม่ิ พนู ปัญญาดว้ ยตนเองของประชาชนอยา่ งสำ� คญั โดยเฉพาะ ในยามท่ีมีปัญหาการขาดแคลนครูและสถานท่ีเล่าเรียนเช่นขณะน้ี หนงั สือสารานุกรมจะช่วยคล่ีคลายให้ บรรเทาเบาบางลงไดเ้ ป็นอยา่ งดี จึงมีพระราชดำ� รัสใหต้ ้งั โครงการสารานุกรมไทยสำ� หรับเยาวชนฯ เพอ่ื ดำ� เนินการสร้างหนงั สือสารานุกรมฉบบั ใหม่ชุดหน่ึง มีความมุ่งหมายท่ีจะนำ� วชิ าการแขนงต่าง ๆ ท่ีควร ศึกษาออกเผยแพร่แก่เยาวชนใหแ้ พร่หลายทว่ั ถึง เพื่อเยาวชนจกั ไดห้ าความรู้ช่วยตวั เองไดจ้ ากการอ่าน หนงั สือ และเพอื่ ใหไ้ ดป้ ระโยชนอ์ นั กวา้ งขวางยง่ิ ข้ึน ทรงกำ� หนดหลกั การทำ� คำ� อธิบายเรื่องต่าง ๆ แต่ละ เรื่องเป็นสามตอนหรือสามระดบั สำ� หรับใหเ้ ดก็ รุ่นเลก็ อ่านเขา้ ใจไดร้ ะดบั หน่ึง สำ� หรับเดก็ รุ่นกลางอ่าน เขา้ ใจไดร้ ะดบั หน่ึง และสำ� หรับเดก็ รุ่นใหญร่ วมถึงผใู้ หญอ่ ีกระดบั หน่ึง เพอื่ อำ� นวยโอกาสใหบ้ ิดามารดา สามารถใชห้ นงั สือน้ีเป็นเครื่องมือแนะนำ� วชิ าแก่บุตรธิดา และใหพ้ แี่ นะนำ� วชิ าแก่นอ้ งเป็นลำ� ดบั กนั ลง ไป นอกจากน้ี เมื่อเร่ืองหน่ึงเร่ืองใดมีความเกี่ยวพนั ต่อเนื่องถึงเร่ืองอ่ืน ๆ กใ็ หอ้ า้ งอิงถึงเรื่องน้นั ๆ ดว้ ย ทุกเร่ืองไป ดว้ ยประสงคจ์ ะใหผ้ ศู้ ึกษาทราบตระหนกั วา่ วชิ าการแต่ละสาขามีความสมั พนั ธ์เก่ียวเนื่อง ถึงกนั พึงศึกษาใหค้ รบถว้ นทวั่ ถึง พระตำ� หนักจติ รลดารโหฐาน
คำ� แถลง สารานุกรมไทยส�ำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงคใ์ นพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว เล่มน้ี เป็ นเล่มท่ี ๔๑ ซ่ึงคณะกรรมการโครงการสารานุกรมไทยส�ำหรับเยาวชนฯ ไดร้ ่วมกนั จดั ทำ� ข้ึนตาม พระราชประสงคข์ องพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ท่ีจะใหม้ ีสารานุกรมแบบไทยพิมพเ์ ป็นชุด โดยเนน้ ความรู้ท่ีเกิดข้ึนและมีอยใู่ นประเทศไทย จดั ท�ำโดยคนไทย เพื่อใหค้ นไทยทุกเพศทุกวยั ไดม้ ีโอกาสอ่าน อนั เป็นการเพิ่มพนู และส่งเสริมความรู้ข้นั พ้นื ฐานในวชิ าการสาขาต่าง ๆ ในการจดั ทำ� สารานุกรมน้ี ไดเ้ รียบเรียงเน้ือหาของเรื่องต่าง ๆ แบ่งเป็ น ๓ ระดบั ความรู้ โดย ประสงคใ์ หค้ วามรู้ความเขา้ ใจแก่เดก็ รุ่นเลก็ ระดบั หน่ึง เดก็ รุ่นกลางระดบั หน่ึง และเดก็ รุ่นใหญ่ รวมท้งั ผใู้ หญ่ที่สนใจทวั่ ไปอีกระดบั หน่ึง ท้งั น้ี ไดเ้ รียบเรียงเน้ือหาใหเ้ หมาะสมสำ� หรับผอู้ ่านแต่ละรุ่นหรือแต่ละ ระดบั และพิมพด์ ว้ ยตวั อกั ษรขนาดต่าง ๆ กนั ในแต่ละเร่ืองเร่ิมตน้ ดว้ ยเน้ือหาของเด็กรุ่นเลก็ ถดั ไป เป็ นของเด็กรุ่นกลาง สุดทา้ ยจึงเป็ นของเด็กรุ่นใหญ่และผูใ้ หญ่ อีกท้งั ยงั มีวตั ถุประสงคใ์ ห้ผูใ้ หญ่และ เดก็ รุ่นใหญ่ไดม้ ีโอกาสอธิบายแก่เดก็ รุ่นเลก็ หรือเดก็ รุ่นกลาง ใหม้ ีความเขา้ ใจในเร่ืองและเน้ือหาในกรณี ที่เดก็ รุ่นเลก็ หรือเดก็ รุ่นกลางไม่เขา้ ใจโดยถ่องแท้ นอกจากน้ี โครงการฯ ยงั ไดพ้ ยายามจดั ใหม้ ีเน้ือเรื่องของสาขาวิชาต่าง ๆ เขา้ ไวใ้ นเล่มเดียวกนั เพื่อให้ผูท้ ่ีสนใจเน้ือเร่ืองในสาขาวิชาใดแลว้ ไดม้ ีโอกาสอ่านหรืออา้ งอิงเน้ือเรื่องในสาขาวิชาอ่ืน ๆ ประกอบไปดว้ ย เพ่ือใหเ้ กิดความหลากหลายของความรู้ ที่ผอู้ ่านสามารถเลือกอ่านไดต้ ามความตอ้ งการ ในการจดั ทำ� หนงั สือสารานุกรมไทยฯ ต้งั แต่เล่ม ๒๖ เป็นตน้ ไป โครงการฯ ไดเ้ ปลี่ยนแปลง รูปแบบภายในเล่มให้น่าสนใจย่ิงข้ึน โดยเปลี่ยนแปลงขนาดตวั อกั ษรของเน้ือหาส่วนเด็กกลางและ เดก็ โตใหม้ ีขนาดใหญ่ข้ึน เพ่อื ใหส้ ะดวกในการอ่าน นอกจากน้ีเพื่อใหผ้ อู้ ่านไดศ้ ึกษาหรือคน้ ควา้ ไดง้ ่าย และรวดเร็วข้ึน โครงการฯ จึงไดใ้ ส่เลขหนา้ รวมท้งั ใส่ชื่อผเู้ ขียนไวใ้ นหนา้ แรกของทุกเร่ืองดว้ ย สารานุกรมไทยสำ� หรับเยาวชนฯ เลม่ ๔๑ น้ี ไดพ้ มิ พข์ ้นึ คร้ังแรกใน พ.ศ. ๒๕๕๙ มเี ร่ือง ๙ เรื่อง คือ ประเพณีลอยกระทง ละครดึกดำ� บรรพ์ โนรา ภูมิลกั ษณ์เด่นในประเทศไทย ทะเลไทย ชา วสั ดุทาง วศิ วกรรมกบั การกีฬา เทคโนโลยชี ีวภาพทางการแพทย์ และโรคหวั ใจพกิ ารแต่กำ� เนิด สารานุกรมไทยสำ� หรับเยาวชนฯ ชุดน้ี ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ โมสรไลออนส์สากลใน ประเทศไทย มีส่วนร่วมจดั หาทุนทูลเกลา้ ฯ ถวายสมทบ เพือ่ ดำ� เนินการจดั พมิ พต์ ้งั แต่แรกเริ่มโครงการฯ นอกจากน้ี สโมสรไลออนส์ยงั ไดม้ ีส่วนช่วยนำ� หนงั สือสารานุกรมไทยฯ ฉบบั พระราชทาน ไปมอบใหแ้ ก่ โรงเรียนตา่ ง ๆ ทวั่ ประเทศ คอื เล่ม ๑-๒๕ จำ� นวนฉบบั ละ ๖,๐๐๐ เล่ม เล่ม ๒๖-๓๑ จำ� นวนฉบบั ละ ๗,๕๐๐ เล่ม เล่ม ๓๒-๓๕ จำ� นวนฉบบั ละ ๘,๐๐๐ เลม่ เลม่ ๓๖-๔๐ จำ� นวนฉบบั ละ ๘,๔๐๐ เล่ม เพ่ือ เป็ นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิม พระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธนั วาคม ๒๕๕๔ และต้งั แต่เล่ม ๔๑ เป็นตน้ ไป จำ� นวนฉบบั ละ ๘,๓๐๐ เล่ม บดั น้ี การจดั ทำ� สารานุกรมไทยสำ� หรับเยาวชนฯ เล่ม ๔๑ ไดส้ ำ� เร็จเรียบร้อยลงอีกเล่มหน่ึงแลว้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ โปรดกระหม่อมใหค้ ณะกรรมการโครงการฯ ดำ� เนินการเผยแพร่แก่ประชาชน ตามพระราชประสงค์ พลอากาศเอก (กำ� ธน สินธวานนท์) ประธานโครงการสารานุกรมไทยส�ำหรับเยาวชนฯ
สารานุกรมไทยสำ� หรบั เยาวชน โดยพระราชประสงคใ์ เนลพม่ ระ๔บ๑าทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ประเพณีลอยกระทง ๗ ละครดึกดำ� บรรพ ์ ๓๓ โนรา ๖๓ ภมู ิลกั ษณ์เด่นในประเทศไทย ๑๐๑ ทะเลไทย ๑๒๓ ชา ๑๕๕ วสั ดทุ างวศิ วกรรมกบั การกฬี า ๑๘๑ เทคโนโลยชี ีวภาพทางการแพทย ์ ๒๐๓ โรคหวั ใจพกิ ารแต่กำ� เนิด ๒๓๑
6
ประเพณีลอยกระทง7 ผู้ช่วยศาสตราจารย์สมชาย นิลอาธิ ผู้เขยี น ส่วนเดก็ เลก็ ศาสตราจารย์กติ ตคิ ุณ สุมน อมรววิ ฒั น์ ผู้เรียบเรียง ชีวติ ของคนไทยผกู พนั อยกู่ บั แมน่ ้ำ� ลำ� คลอง สายน้ำ� นำ� ความชุ่มเยน็ หลอ่ เล้ยี งไร่นา ป่ า สวนใหอ้ ดุ มสมบรู ณ์ เป็นแหลง่ สำ� คญั ของการทำ� มาหากิน และเป็นเสน้ ทางใหผ้ คู้ นสญั จรติดตอ่ ไปมาหากนั น้ำ� คอื สิ่งจำ� เป็นของชีวติ คนไทยจึงสร้างถ่ินท่ีอยแู่ ละรวมกนั อยเู่ ป็น ชุมชนใกลแ้ มน่ ้ำ� ชาวบา้ นบชู าพระแมค่ งคา ดว้ ยถอื วา่ เป็นท่ีพ่งึ พาอาศยั เกิด ประเพณีเกี่ยวกบั น้ำ� เช่น การขอฝน งานบญุ บ้งั ไฟ การแขง่ เรือเพอื่ เส่ียงทาย น้ำ� และประเพณีท่ีนิยมจดั กนั แพร่หลายคอื ประเพณีลอยกระทง วนั เพญ็ เดือน ๑๒ หรือวนั ข้ึน ๑๕ ค่ำ� เดือนพฤศจิกายน สายน้ำ� เป่ียมฝง่ั พระจนั ทร์เตม็ ดวงกระจา่ งฟา้ ในคนื ทธี่ รรมชาตสิ วยงามเชน่ น้ี ชาวบา้ น ซ่ึงส่วนใหญเ่ ป็นเกษตรกรมเี วลาวา่ งรอการเกบ็ เก่ียว จึงจดั ประเพณีลอยกระทง เพอื่ รำ� ลกึ ถงึ บญุ คณุ ของแมน่ ้ำ� และขอขมาที่ไดท้ ำ� ใหล้ ำ� น้ำ� มสี ่ิงสกปรก
8 บางชุมชนลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทท่ีหาดทรายริมฝ่ัง แมน่ ้ำ� นมั มทานที บชู าทา้ วพกาพรหมซ่ึงเป็นแมก่ าเผอื ก แมข่ องพระพทุ ธเจา้ ๕ พระองคใ์ นอดีตชาติ การลอยกระทงจึงถือเป็นงานบุญอยา่ งหน่ึง มีการ ประดษิ ฐก์ ระทงจากวสั ดธุ รรมชาติ เชน่ กาบกลว้ ย ซ่งึ บางทกี ม็ ใี บตองพบั เยบ็ ซอ้ น กนั เป็นรูปดอกบวั ประดบั ดว้ ยดอกไมส้ ดและธูปเทยี น เมอ่ื ถงึ วนั เพญ็ เดอื น ๑๒ ชาวบา้ นพากนั ไปท่ีทา่ น้ำ� จดุ เทียนสวา่ ง และยกกระทงข้นึ อธิษฐาน เสร็จแลว้ บรรจงวางกระทงลงลอยไป ประเพณีลอยกระทงแสดงถงึ วฒั นธรรมของคนไทยทม่ี คี วามสมั พนั ธ์ และผกู พนั กบั ธรรมชาติ เกิดการสร้างสรรคศ์ ิลปะและงานประดิษฐท์ ี่งดงาม ตลอดจนการจดั พธิ ีกรรมเรียบงา่ ย สร้างบรรยากาศที่ร่ืนเริงในครอบครัวและ ชุมชน ประเพณีลอยกระทงในวนั เพญ็ เดือน ๑๒ ถือเป็นเอกลกั ษณ์ของชุมชนไทย
9 ส่วนเดก็ กลาง ศาสตราจารย์กติ ตคิ ุณ สุมน อมรววิ ฒั น์ ผู้เรียบเรียง ในวนั เพญ็ เดือน ๑๒ เป็นช่วงที่น้ำ� เตม็ ตล่ิง เหมาะสำ� หรับการจดั พธิ ีกรรมท่ีเกี่ยวกบั น้ำ� สภาพภมู ิประเทศของไทยในทกุ ภาคลว้ นมีแมน่ ้ำ� ลำ� คลองไหลผา่ นเมืองและชุมชน อกี ท้งั ส่วนใหญย่ งั มหี ว้ ย หนอง คลอง บงึ อยใู่ นทกุ อำ� เภอและหมบู่ า้ น สายน้ำ� จึงหลอ่ เล้ยี งชีวติ ของคนไทยใหไ้ ดอ้ าศยั ดื่มกิน ใชส้ อย และประกอบอาชีพท้งั ทางดา้ นการเกษตร การเล้ยี งสตั ว์ รวมไปถึงการติดต่อเดินทางไปมาหาสู่กนั ยามใดแหง้ แลง้ ลำ� น้ำ� ลดลงจนแหง้ ขอด ท้งั คนและสตั วก์ เ็ ดือดร้อนแสนสาหสั ยามใดฝนฟ้าตกตามฤดูกาล แม่น้ำ� ลำ� หว้ ยมีน้ำ� เป่ี ยมฝ่ัง แผน่ ดินชุ่มเยน็ ทกุ คนกส็ ดช่ืนรื่นเริง ผลติ ผลในไร่นาอดุ มสมบรู ณ์ คนไทยจึงมคี วามเช่ือใน ความสำ� คญั ของน้ำ� ต่อชีวติ และเกิดประเพณีบูชาน้ำ� ประดุจเทพเจา้ ซ่ึงกค็ ือ พระแม่คงคา มี การประดิษฐด์ อกไมธ้ ูปเทียนวางบนวสั ดทุ ่ีลอยน้ำ� ได้ เช่น กาบกลว้ ยที่เจียนใหไ้ ดร้ ูปทรง พบั ใบตองเยบ็ โดยรอบเป็นกลบี ดอกบวั วางดอกไมส้ ีสวย ปักเทยี นจดุ ไฟสวา่ งวบิ วบั ลอยน้ำ� ไป บชู าพระแมค่ งคา เกิดประเพณีที่เป็นเอกลกั ษณข์ องชุมชนไทย คอื ประเพณีลอยกระทง ประเพณีลอยกระทง หรือการลอยประทีปจดั ข้นึ ในคนื วนั เพญ็ เดือน ๑๒ ซ่ึงเป็น ช่วงเวลาท่ีมนี ้ำ� เตม็ ฝั่ง ดงั มสี ำ� นวนไทยวา่ เดือน ๑๑ น้ำ� นอง เดือน ๑๒ น้ำ� ทรง
10 ความหมายและจุดประสงคข์ องการลอยกระทงมีที่มาจากความเชื่อแบบพราหมณ์ วา่ เป็นการลอยเคราะห์ ลอยโศก และลา้ งบาป แตโ่ ดยทว่ั ไปเช่ือวา่ การลอยกระทงน้นั เพอ่ื เป็น การบชู าพระเกศาธาตุทพ่ี ระธาตเุ จดียจ์ ฬุ ามณีในสวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์ บชู ารอยพระพทุ ธบาทบน หาดทรายฝั่งแมน่ ้ำ� นมั มทานที และขอขมาแมน่ ้ำ� ท่ีไดท้ ิง้ ส่ิงสกปรกลงไปตลอดปี นอกจากน้ี ภายในกระทงท่ีประดิษฐข์ ้นึ อยา่ งสวยงามน้นั บางคร้งั ยงั ใส่เงินเหรียญบาทลงไป เพอ่ื เป็นการ ทำ� ทานอทุ ิศส่วนบญุ แกญ่ าติท่ีลว่ งลบั ไปแลว้ ดว้ ย หนุ่มสาวยคุ ใหมถ่ อื วา่ ประเพณีลอยกระทงเป็นพธิ ีกรรมท่ีต้งั จิตอธิษฐานเสี่ยงทาย ในการลอยกระทงวา่ จะลอยคกู่ นั ไปตามสายน้ำ� หรือไม่ วนั ลอยกระทงจึงนบั เป็นช่วงเวลาแห่ง ความสนุกสนานรื่นเริง งานวนั ลอยกระทงมีลกั ษณะแตกตา่ งกนั ไปในแตล่ ะภาคของประเทศไทย ในภาค เหนือ จดั งานในวนั ข้ึน ๑๕ ค่ำ� เดือน ๑๒ ท่ีเรียกวา่ งานยเ่ี ป็ง แปลวา่ งานวนั เพญ็ เดือนย่ี เน่ืองจากทางภาคเหนือนบั เดือนเร็วกวา่ ภาคกลาง ๒ เดือน มีการทำ� บุญตกั บาตรพระอปุ คุต ประดบั ตกแตง่ บริเวณวดั ใหส้ วยงาม มีการจุดโคมไฟและดอกไมไ้ ฟ ทำ� กระทงดอกไมแ้ ละ ถว้ ยประทปี ทท่ี ำ� ดว้ ยดนิ เผาใส่น้ำ� มนั มะพรา้ ว วางตนี กาทำ� ดว้ ยฝา้ ยฟั่นเกลยี วจดุ บชู าตามทต่ี า่ งๆ ส่วนกระทงน้นั ชาวบา้ นนิยมนำ� ไปลอยในแมน่ ้ำ� กระทงดอกไม้ หนุ่มสาวต้งั จิตอธิษฐานก่อนจะลอยกระทง ถว้ ยประทีป
11 การไหลเรือไฟของภาคอีสาน เป็นประเพณีที่จดั ข้ึนในวนั เพญ็ เดือน ๑๑ ซ่ึงคลา้ ยกบั การลอยกระทง ในภาคอสี าน มปี ระเพณีที่คลา้ ยกบั การลอยกระทงอยบู่ า้ ง คอื การไหลเรือไฟ ใน วนั เพญ็ เดือน ๑๑ มีการลอยเรือไฟทำ� ดว้ ยไมไ้ ผ่ เป็นงานของชุมชนหมบู่ า้ น ส่วนชาวบา้ น แตล่ ะครอบครวั มกั ทำ� กระทงกาบกลว้ ยขนาดเลก็ ทำ� พธิ ีลอยไปตามน้ำ� ในเทศกาลน้ียงั มกี าร แขง่ เรือและพธิ ีกรรมตา่ ง ๆ ท่ีรำ� ลกึ ถงึ บรรพบรุ ุษอกี ดว้ ย ในภาคใต้ มีประเพณีเกี่ยวกบั น้ำ� เช่น ประเพณีลากพระหรือชกั พระ ในวนั ออก พรรษา กลางเดือน ๑๑ และพิธีลอยแพลอยเคราะห์ เพื่อใหส้ ายน้ำ� พดั พาสิ่งชว่ั ร้ายออกไป ในภาคกลาง มีประเพณีลอยกระทงท่ีสนุกครึกคร้ืนมาก จดั ข้นึ ในวนั เพญ็ เดือน ๑๒ งานลอยพระประทีปน้นั มกี ระทงหลวงขนาดใหญ่ ซ่ึงทำ� เลยี นแบบเขาพระสุเมรุ ต้งั อยบู่ นเรือ หรือแพ ตกแต่งดว้ ยเครื่องสด ประดบั ดวงไฟงดงาม ส่วนกระทงของชาวบา้ นมีขนาดเลก็ และรูปแบบอสิ ระแลว้ แตจ่ ะคดิ ประดิษฐ์ ทำ� จากกาบกลว้ ย ใบตอง ใส่ดอกไมส้ ด และปักเทยี น เพอื่ จดุ ไฟสวา่ งยามลอยลงแมน่ ้ำ� การลอยกระทงเป็นประเพณีไทยที่มีคณุ คา่ ทางวฒั นธรรมและศาสนา รวมถึงเป็น การแสดงความสามารถทางศลิ ปะที่คนไทยไดส้ ร้างสรรคส์ ืบทอดมายาวนาน สมควรท่ีอนุชน พงึ รกั ษาประเพณีอนั ดีงามน้ีไวต้ ลอดไป
12 ส่วนเดก็ โต ผู้ช่วยศาสตราจารย์สมชาย นิลอาธิ ผู้เขยี น ๑. คตคิ วามเช่ือเกย่ี วกบั นำ�้ งานบุญบ้งั ไฟ เพอ่ื เส่ียงทายน้ำ� ฝนจากผฟี ้าพญาแถน มาจาก ความเช่ือเรื่องผวี ญิ ญาณที่เก่ียวกบั น้ำ� น้ำ� เป็นสญั ลกั ษณข์ องความร่มเยน็ เป็นสุขใน ยามร้อนแลง้ และที่สำ� คญั คือเป็นสญั ลกั ษณ์ของ เดือน ๑๑ (ออกพรรษา) ของภาคอสี าน ประเพณี ความหวงั เรื่องความอดุ มสมบรู ณข์ องคนในสงั คม ลอยโขมด ลอ่ งสะเพา ลอยโคมยเ่ี ป็ง พธิ ีต้งั ธรรม เกษตรกรรมท่ีตอ้ งอาศยั น้ำ� ในการบริโภค อปุ โภค หลวงในวนั ยเี่ ป็ง(วนั เพญ็ เดอื น๑๒)ของภาคเหนือ และการเพาะปลูก โดยเฉพาะการทำ� นาท่ีแต่เดิม และประเพณีลอยแพลอยเคราะห์ตามโอกาสใน เรียกวา่ นาน้ำ� ฟ้า หรือนาน้ำ� ฝน เพราะตอ้ งรอน้ำ� เดือน ๑๑ ของภาคใต้ จากฟ้าหรือน้ำ� ฝนตามฤดกู าล ซ่ึงเป็นปรากฏการณ์ ตามธรรมชาติท่ีควบคมุ บงั คบั ไดย้ าก ท้งั ในเวลาท่ี ส่วนสงั คมเมอื งทมี่ พี ระมหากษตั ริยจ์ ะมกี าร ตอ้ งการน้ำ� เพอื่ ทำ� การเพาะปลูกขา้ วในช่วงตน้ ฤดู ประกอบพธิ ีกรรมเป็นพระราชพธิ ีเก่ียวกบั น้ำ� เพอ่ื ทำ� นา ช่วงเวลาน้ำ� ทรงตวั เล้ยี งตน้ ขา้ ว และช่วงที่ เป็นขวญั กำ� ลงั ใจในการทำ� เกษตรกรรมปลูกขา้ ว ตอ้ งการใหน้ ้ำ� ลดเพอ่ื การเกบ็ เกี่ยว ใหแ้ ก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ไดอ้ ยเู่ ยน็ เป็นสุขอยา่ ง อดุ มสมบรู ณ์ ซ่ึงมกั พบเห็นประเพณีพธิ ีกรรมตาม ดว้ ยเหตนุ ้ี สงั คมระดบั ชุมชนหมบู่ า้ นทว่ั ไป ความเช่ือดงั กลา่ วไดจ้ ากพระราชพธิ ีจรดพระนงั คลั ที่ทำ� นาปลกู ขา้ วเพอ่ื เป็นอาหารหลกั จึงตอ้ งสร้าง แรกนาขวญั ในเดือน ๖ ช่วงตน้ ฤดทู ำ� นา พธิ ีกรรมตา่ ง ๆ ที่เกี่ยวกบั น้ำ� แตกต่างกนั ไปตาม สภาพภมู ปิ ระเทศของแตล่ ะทอ้ งถนิ่ เพอ่ื เส่ียงทาย ขอน้ำ� ทำ� นา ขอใหน้ ้ำ� ทรงตวั เหลือพอจนถึงขา้ ว ต้งั ทอ้ งออกรวง และขอใหน้ ้ำ� ลดเพ่ือใหผ้ ลิตผล สมบูรณ์ สะดวกในการเกบ็ เกี่ยว จนกลายเป็น ประเพณีความเช่ือของชาวชนบทในแตล่ ะภมู ิภาค ของไทย เชน่ บญุ บ้งั ไฟทม่ี พี ธิ ีบวชควาย พธิ ีกรรม เล้ียงผปี ่ ูตา รวมท้งั ผตี าโขนหรือผขี นน้ำ� ของภาค อีสานในช่วงเดือน ๖ ก่อนการทำ� นา ประเพณี แขง่ เรือของทกุ ภาคในประเทศไทย ประเพณีลอย โคมและลอยเรือไฟหรือไหลเรือไฟในวนั เพ็ญ
๒. ตำ� นานความเช่ือเร่ืองลอยกระทง 13 นางนพมาศ-เรวดีนพมาศ-ต�ำรับท้าว ความคิดเห็นในเร่ืองน้ีไดร้ ับการสนบั สนุน ศรีจฬุ าลกั ษณ์ จากนกั วชิ าการทางดา้ นประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรม รุ่นหลงั ๆ หลายคน ซ่ึงตา่ งแสดงความเห็นวา่ น่า เร่ืองนางนพมาศในตำ� รับทา้ วศรีจุฬาลกั ษณ์ จะเป็นหนงั สือทแี่ ตง่ ข้นึ ในสมยั รตั นโกสินทร์ ชว่ ง ทก่ี ลา่ ววา่ เป็นผคู้ ดิ ริเริ่มการประดิษฐ์“โคมรูปดอก รัชกาลพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั และ กระมทุ ” ในการพระราชพธิ ีจองเปรียง ลดชุดลอย น่าจะแตง่ ในช่วงระยะเวลาประมาณ พ.ศ. ๒๓๖๐- โคมลงน้ำ� ในวนั เพญ็ เดือน ๑๒ เป็นนกั ขตั ฤกษ์ ๒๓๗๘ ชกั โคมลอยโคมมาแต่คร้ังสมยั สุโขทยั จนเป็ น สัญลกั ษณ์ของประเพณีลอยกระทง ที่นิยมทำ� เหตผุ ลและขอ้ มลู หลกั ฐานทที่ ำ� ใหน้ กั วชิ าการ กระทงลอยเป็นรูปดอกบวั สืบมาจนทกุ วนั น้ี เห็นตรงกนั วา่ หนงั สือเรื่องนางนพมาศหรือตำ� รบั ทา้ วศรีจุฬาลกั ษณ์น่าจะเป็นหนงั สือที่แตง่ ในสมยั สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระยาดำ� รง พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั กค็ อื สำ� นวน ราชานุภาพ ทรงศกึ ษาคน้ ควา้ และทรงพระนิพนธ์ โวหารที่แต่งจะนิยมใชก้ นั ในสมยั รัตนโกสินทร์ ไวใ้ นคำ� นำ� ของหนงั สือนางนพมาศหรือตำ� รับท้าว รวมท้งั ชื่อชนชาติตา่ ง ๆ หลายชาติท่ีปรากฏอยใู่ น ศรีจฬุ าลกั ษณ์ ฉบบั หอพระสมดุ วชิรญาณ ซ่ึงพมิ พ์ เร่ืองน้ียงั ไมเ่ ขา้ มาในสมยั สุโขทยั และสมยั อยธุ ยา แจกในงานศพเจา้ จอมมารดาสงั วาลในรชั กาลที่๔ เมอ่ื พ.ศ.๒๔๕๗ ในเร่ืองโวหารการแตง่ มใี จความ ๓. คตคิ วามเชื่อและจุดประสงค์ของ วา่ “เป็นหนงั สือแต่งในครั้งกรุงรัตนโกสินทร์นเี้อง การลอยกระทง แต่งในระหว่างรัชกาลท่ี ๒ กบั ท่ี ๓ ไม่ก่อนนน้ั ขึน้ ไป ไม่ทีหลงั นน้ั ลงมาเปนแน่” การลอยกระทงน่าจะมีที่มาจากความเช่ือ ด้งั เดิมเรื่องผวี ญิ ญาณที่ดูแลน้ำ� เพอื่ ใหเ้ กิดความ หนงั สือ “นางนพมาศหรือตำ� รับทา้ วศรีจุฬาลกั ษณ์” อดุ มสมบรู ณแ์ ตล่ ะข้นั ตอนในช่วงเวลาของการทำ� นาขา้ ว เช่น ในเดือน๖ช่วงตน้ ฤดฝู นทตี่ อ้ งการน้ำ� เพาะปลกู ขา้ ว กจ็ ะมพี ธิ ีกรรมเล้ยี งผปี ่ ตู า งานบญุ บ้งั ไฟเพ่ือขอน้ำ� ฝนจากผฟี ้าพญาแถน และมีพิธี เล้ียงผตี าแฮก รวมท้งั พธิ ีเซิ้งแมน่ างดง้ รำ� แมศ่ รี แห่เซิ้งแมน่ างแมว ฯลฯ จากน้นั ในช่วงเดือน ๙ บางทอ้ งถน่ิ ที่น้ำ� ฝนไมบ่ ริบรู ณพ์ อ กจ็ ะจดั พธิ ีป้ัน เมฆเพอ่ื ขอเมฆฝน และพระราชพธิ ีพริ ุณศาสตร์ รวมท้งั การอ่านโองการขอฝน คร้ันถึงเดือน ๑๑ น้ำ� นองเตม็ ตลง่ิ หลายทอ้ งถน่ิ กจ็ ะมปี ระเพณีแขง่ เรือเพอ่ื เส่ียงทายน้ำ� เพอ่ื ใหไ้ ดข้ า้ วรวงงามดี ที่มกั เกี่ยวขอ้ งกบั ความเช่ือเรื่องผแี ม่ยา่ นางเรือซ่ึงเป็น
14 ผปี ระจำ� เรือแตล่ ะลำ� และเฉพาะในภาคตะวนั ออก อยใู่ นแควน้ ทกั ขิณาของอินเดีย ปัจจุบนั เรียกว่า เฉียงเหนือมกั มกี ารเชิญผปี ่ ตู าซ่ึงเป็นผรี กั ษาประจำ� แมน่ ้ำ� เนรพทุ ทา) ซ่ึงบรรดานาคเฝา้ สกั การบชู าอยู่ ชุมชนมาร่วมทำ� พิธีดว้ ย โดยมี “จ้ำ� บา้ น” หรือ ในนาคพภิ พ บางแห่งกเ็ ชื่อกนั ตามตำ� นานนิทาน กวนจ้ำ� (กวานจ้ำ� ) ซ่ึงเป็นผทู้ ่ีชาวบา้ นเช่ือวา่ ตดิ ตอ่ วา่ เป็นการบชู าเทวดาซ่ึงในอดตี ชาตเิ ป็นแมก่ าเผอื ก สื่อสารกบั ผไี ด้ เป็นผนู้ ำ� ในการทำ� พธิ ี เห็นไดว้ า่ และเป็นแม่ของพระพทุ ธเจา้ ท้งั ๕ พระองค์ คอื ประเพณีลอยกระทงเป็นคตคิ วามเช่ือเกย่ี วกบั ความ พระกกสุ นั ธพทุ ธเจา้ พระโกนาคมพทุ ธเจา้ พระ ตอ้ งการใชน้ ้ำ� เพอ่ื การเกษตร โดยเฉพาะทำ� นาขา้ ว กสั สปพทุ ธเจา้ พระโคตมพทุ ธเจา้ และพระเมต- เป็นหลกั มาแตด่ ้งั เดิม ไตรยพทุ ธเจา้ บางแห่งจงึ ตกแตง่ เคร่ืองกระทงดว้ ย การใชฝ้ า้ ย ดา้ ย หรือเชือกผกู เป็นรูปตีนกงุ้ ตีนกา เมอื่ สงั คมไทยยอมรบั นบั ถอื พระพทุ ธศาสนา ใส่ลงในกระทงลอยบชู าไปกบั น้ำ� ในวนั ข้นึ ๑๕คำ่� แลว้ จึงมีคติความเช่ือท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั จุดประสงค์ เดือน ๑๒ เรียกวา่ ลอยกระทงผกู ตีนกงุ้ ตีนกา ของการลอยกระทงท่ีหลากหลายมากข้ึน ไดแ้ ก่ ๑) บูชาพระเกศาธาตุ ท่ีพระธาตุเจดียจ์ ุฬามณีใน ในหลายทอ้ งถิ่นเช่ือว่าการทำ� กระทงดว้ ย สวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์ ซ่ึงเช่ือวา่ แมแ้ ตพ่ ระศรีอริย- บปุ ผามาลยั เพอื่ ตอ้ นรบั พระพทุ ธเจา้ ในวนั ข้นึ ๑๕คำ่� เมตไตรยท่ีจะมาตรสั รู้เป็นพระพทุ ธเจา้ องคท์ ่ี ๕ ก็ เดอื น๑๑ ตามพทุ ธประวตั กิ ลา่ วไวว้ า่ พระพทุ ธองค์ มากราบไหวบ้ ูชา การบูชาพระธาตุเจดียจ์ ุฬามณี เสดจ็ ข้นึ ไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพทุ ธ- จงึ เหมอื นไดบ้ ชู าพระศรีอริยเมตไตรยไปพรอ้ มกนั มารดาบนสวรรคช์ ้นั ดาวดงึ สต์ ลอดพรรษา๓เดอื น ๒) บชู ารอยพระพทุ ธบาท ที่หาดทรายริมฝ่ังแมน่ ้ำ� แลว้ เสด็จกลบั ลงมายงั โลกมนุษยส์ ู่ประตูเมือง นมั มทานที (แมน่ ้ำ� นมั มทานทีเป็นแมน่ ้ำ� สายหน่ึง กสั สนครทางบนั ไดแกว้ ในวนั ออกพรรษา ภาพเขยี นพระอปุ คตุ ท่ีวดั อปุ คตุ อำ� เภอเมอื งฯ จงั หวดั เชียงใหม่ ชาวลา้ นนาในภาคเหนือบางทอ้ งถ่ินเชื่อวา่ การลอยกระทงเป็ นการบูชาพระอุปคุต อนั เป็ น ความเช่ือเดียวกบั ชาวพุทธมอญและเมียนมาว่า พระอุปคุตซ่ึงอยใู่ ตม้ หาสมุทร มีฤทธ์ิปราบมาร และเป็นผทู้ ค่ี มุ้ ครองการจดั งานบญุ ใหญ่ ตลอดจน บนั ดาลโชคลาภได้ ดงั น้นั จึงมีประเพณีตกั บาตร พระอุปคุต ในวนั ข้ึน ๑๕ ค่ำ� เดือน ๑๒ (ยเ่ี ป็ง) ดว้ ย ตามคติในราชสำ� นกั รัตนโกสินทร์มกั เรียก พระอปุ คตุ วา่ พระบวั เขม็ เร่ืองของพระอปุ คตุ เขา้ มาแพร่หลายในประเทศไทยราวปลายรัชกาลท่ี ๓ โดยพระภิกษุชาวมอญไดน้ ำ� พระบวั เขม็ มาถวาย วชิรญาณภิกขุ (รัชกาลท่ี ๔ ขณะทรงผนวชเป็น พระภกิ ษ)ุ ตอ่ มาในรชั กาลท่ี ๔ ไดน้ ำ� พระบวั เขม็
15 เขา้ มาร่วมในพระราชพธิ ีพริ ุณศาสตร์ (พธิ ีขอฝน) ลอยพระประทีปเป็นพธิ ีท่ีจดั ตอ่ เน่ืองกบั พระราช- เพราะเชื่อวา่ เป็ นพระที่มีอิทธิปาฏิหาริยส์ ามารถ พธิ ีจองเปรียง ลดชุดลอยโคมลงน้ำ� เดือน ๑๒ ซ่ึง บนั ดาลความอดุ มสมบรู ณ์ รัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชนิพนธ์ในหนงั สือ พระ ราชพิธีสิบสองเดือน ตอนหน่ึงวา่ “การลอยพระ ความเชอื่ ในเร่ืองการบชู าพระอปุ คตุ น้นั ยงั มี ประทีปลอยกระทงนี้ เป็ นนักขัตฤกษ์ที่ร่ืนเริง ปรากฏอยใู่ นประเพณีฮีต ๑๒ ของภาคอสี านดว้ ย ทวั่ ไปของชนทง้ั ปวงทวั่ ไป ไม่เฉพาะแต่การหลวง คอื เมอื่ มกี ารจดั งานบญุ มหาชาติ หรือบญุ ผะเหวด แต่จะนบั ว่าเป็นพระราชพิธีอย่างใดกไ็ ม่ได้ ด้วย ในเดือน ๔ ชาวอสี านจะทำ� พธิ ีเชิญพระอปุ คตุ จาก ไม่มพี ิธีสงฆ์พิธีพราหมณ์อันใดเกย่ี วข้องเน่ืองใน บริเวณแหลง่ น้ำ� ไปสถติ ในหอพระอปุ คตุ ทว่ี ดั เพอ่ื การลอยพระประทีปนนั้ เว้นไว้แต่จะเข้าใจว่าตรง คมุ้ ครองงานบญุ ใหญ่ ซ่ึงในพธิ ีมหี ลายข้นั ตอนท่ี กบั คำ� ที่ว่า ลอยโคมลงนำ้� เช่นกล่าวมาแล้ว แต่ ปรากฏสญั ลกั ษณเ์ กย่ี วกบั น้ำ� วา่ คอื ความอดุ มสมบรู ณ์ ควรนบั ว่าเป็นราชประเพณีซ่ึงมมี าในแผ่นดนิ สยาม นอกจากน้ียงั สอดคลอ้ งกบั งานพธิ ีต้งั ธรรมหลวง แต่โบราณ ตง้ั แต่พระนครยงั อย่ฝู ่ ายเหนือ...” ในพธิ ีลอยโขมดของภาคเหนือดว้ ย ในพระราชนิพนธด์ งั กลา่ วยงั กลา่ วอกี ดว้ ยวา่ ๔. การลอยพระประทปี ลอยกระทง เม่ือมาถึงสมยั รัตนโกสินทร์มีการลอยประทีป ๒ คร้งั คอื เดือน ๑๑ และเดือน ๑๒ แตจ่ ะจดั “...การ การลอยพระประทีปลอยกระทงเป็ นราช- ลอยประทีปในเดือน ๑๒ เป็นการใหญ่กว่าลอย ประเพณีและนกั ขตั ฤกษร์ ื่นเริงของคนทวั่ ไป การ การลอยโคมไฟในประเพณีลอยกระทง
16 ประทีปในเดือน๑๑ ด้วยอากาศปราศจากฝน และ “เมอื่ ถงึ รัชกาลท่ี๕โปรดให้ใช้เรือสพุ รรณหงส์ การพระราชกศุ ลกเ็ ป็นการกลางวนั มากกว่ากลาง แม้จะชำ� รุด แต่โปรดให้ซ่อมแซมใหม่ นำ� มาใช้ คืน นบั ว่าเป็นเวลาว่างกว่าเดือน ๑๑...” แทนเรือชัย” เมื่อพจิ ารณาจากบทพระราชนิพนธ์ ตอนท่ี ๕. ช่วงเวลาและสถานทล่ี อยกระทง วา่ ดว้ ยการลอยพระประทีปแลว้ มีขอ้ น่าสังเกต จากที่ทรงบนั ทึกวา่ ในรัชกาลท่ี ๓ มีการจดั ลอย ชว่ งเวลาของการลอยกระทงทร่ี ูก้ นั ทวั่ ไปคอื พระประทีป ๒ คร้ัง คอื ใน พ.ศ. ๒๓๖๘ และ พ.ศ. วนั เพญ็ เดือน ๑๒ ซ่ึงเป็ นช่วงเวลาที่โบราณว่า ๒๓๖๙ โดยจดั ใหม้ กี ารทำ� กระทงหลวงและกระทง “เดือน ๑๑ น้ำ� นอง เดือน ๑๒ น้ำ� ทรง” จะมีท่ี ใหญร่ ่วมในพธิ ีดว้ ย ดงั ในพระราชนิพนธท์ ่ีกลา่ ว ตา่ งกนั อยบู่ า้ งกเ็ พยี งการลอยกระทงของราชสำ� นกั วา่ “กระทงหลวง ซึ่งสำ� หรับทรงลอยทมี่ มี าแต่เดิม รัตนโกสินทร์ท่ีจดั ๒ คร้ัง คอื วนั ข้นึ ๑๕ ค่ำ� เดือน นนั้ คือ เรือรูปสัตว์ต่าง ๆ เรือศรี เรือชัย เรือโอ่ ๑๑และวนั ข้นึ ๑๕คำ่� เดือน๑๒เรียกวา่ “ลอยพระ เรือคอน และมเี รือหยวก...” และโปรดเกลา้ ฯ ให้ ประทีป” โดยจดั ทำ� กระทงเลก็ เป็นรูปเรือขนาด พระบรมวงศานุวงศแ์ ละขา้ ราชการทำ� กระทงใหญ่ เลก็ ในเดอื น๑๑ และจดั ทำ� กระทงใหญ่ หรือกระทง ถวาย แตท่ ำ� ไดเ้ พยี ง ๒ ปี (คอื พ.ศ. ๒๓๖๘ และ หลวงสำ� หรับทรงลอยในเดือน ๑๒ ส่วนในภาค พ.ศ.๒๓๖๙) กท็ รงใหย้ กเลกิ เพราะทรงเหน็ วา่ ตอ้ ง ตะวนั ออกเฉียงเหนือจดั ในวนั ข้นึ ๑๕คำ่� เดือน๑๑ ลงทนุ มาก อยา่ งไรกด็ ียงั มกี ารลอยพระประทปี ลอย มาแตเ่ ดิม เรียกกนั วา่ ลอยเรือไฟ หรือไหลเรือไฟ กระทงมาตลอดรัชกาล ซ่ึงเจา้ พระยาทิพากรวงศ์ มกี ารลอยโคมลมในตอนกลางวนั และลอยโคมไฟ ไดบ้ นั ทกึ ไวใ้ นจดหมายวา่ “ครั้นมาถงึ เดอื นสิบสอง ในตอนกลางคนื อยดู่ ว้ ย ตอ่ มาภายหลงั จึงมกี ารจดั ขึน้ สิบสี่คำ�่ สิบห้าคำ�่ แรมคำ่� หน่ึง พิธีจองเปรียง ประเพณีลอยกระทงในวนั ข้นึ ๑๕ ค่ำ� เดือน ๑๒ นั้น เดิมได้โปรดให้ขอแรงพระบรมวงศานุวงศ์ ตามอยา่ งภาคกลางเพม่ิ ข้นึ อกี ภาคเหนือจดั วนั ข้นึ ฝ่ ายหน้าฝ่ ายใน และข้าราชการมกี ำ� ลงั พาหนะมาก ๑๕ ค่ำ� เดือนยเี่ ป็ง ซ่ึงตรงกบั วนั ข้นึ ๑๕ ค่ำ� เดือน ทำ� กระทงใหญ่...ทำ� ประกวดประขนั กนั ต่าง ๆ ... ๑๒ เพราะภาคเหนือจะนบั เวลาในรอบปี เร็วกวา่ ประกวดประขนั จะเอาชนะกนั ...รวม๑๐กระทง...” ภาคอนื่ ๆ ๒ เดือน ส่วนภาคใตจ้ ะมแี ตพ่ ธิ ีลอยแพ ลอยเคราะห์ ในวนั ข้นึ ๑๕ ค่ำ� เดือน ๑๑ พระราชนิพนธเ์ รื่องพระราชพธิ สี ิบสองเดอื น กลา่ วถงึ การลอยกระทงในรชั กาลท่ี ๔ และรัชกาล กจิ กรรมตา่ งๆทม่ี จี ดั อยบู่ า้ งในวนั ข้นึ ๑๕คำ่� ท่ี๕วา่ “คร้ันถงึ รัชกาลที่๔ มกี ารลอยพระประทปี เดือน ๑๑ และเดือน ๑๒ ในตอนกลางวนั เช่น การ ติดต่อมาอกี ๒ ปี ทรงทราบว่าเป็นการเปลืองเงิน แขง่ เรือ การลอยโคมลม แตส่ ่วนใหญจ่ ะใหค้ วาม พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ ายในมีผลประโยชน์น้อย สำ� คญั กบั กจิ กรรมในตอนกลางคนื กนั มากทส่ี ุด ซ่ึง จึงโปรดให้เลกิ เสีย... และภายหลงั จึงโปรดให้มเี รือ คนทว่ั ไปมโี อกาสไดเ้ขา้ ร่วมงานจำ� นวนมาก ดงั บท พระทน่ี ง่ั อนนั ตนาคราชและเรือชยั แต่งแทนกระทง พระราชนิพนธร์ ชั กาลท่ี๕ ในพระราชพิธีสิบสอง ใหญ่ ๒ ลำ� ...” เดือน ท่ีวา่ “การลอยพระประทีปเป็นเวลาที่เสดจ็
17 ทำ� จากกาบกลว้ ยมาลอยคร้งั ละจำ� นวนมาก กระทง เหล่าน้ีจะลอยไปตามลำ� น้ำ� เป็นสาย ที่เรียกกนั วา่ “กระทงสาย” กระทงหลวง ๖. กิจกรรมในงานประเพณีลอย กระทง ออกนอกกำ� แพงพระราชวังและกำ� แพงพระนคร เวลากลางคืน จึงได้จัดการป้องกนั รักษาแขง็ แรง... จากการศกึ ษาทางวฒั นธรรมพบวา่ พธิ ีกรรม และจะให้เป็นการครึกครื้นในแม่นำ้� ...” ในงานประเพณีตา่ ง ๆ ส่วนใหญม่ กั มกี ิจกรรมเป็น องคป์ ระกอบสำ� คญั ๓ส่วน คอื พธิ ีกรรมศกั ด์สิ ิทธ์ิ ถา้ นำ� โคมลอยน้ีไปเช่ือมโยงกบั พระราชพธิ ี การกินเล้ียง และการละเลน่ ในงานพระราชพธิ ี จองเปรียง ลดชุดลอยโคมลงน้ำ� ท่ีปรากฏอยใู่ น จองเปรียง ลดชดุ ลอยโคมลงน้ำ� ใหค้ วามสำ� คญั กบั กฎมนเทียรบาล อาจเปรียบเทียบการสร้างโคมไป พธิ ีกรรมศกั ด์ิสิทธ์ิมาก ส่วนการลอยพระประทีป ลอยน้ำ� วา่ เป็นการลอยประทีปหรือลอยกระทง หรือประเพณีลอยกระทงท่ีเป็ นประเพณีและนกั ขตั ฤกษร์ ่ืนเริงทวั่ ไป ชาวบา้ นมกั มสี ่วนร่วมอยา่ ง การทำ� กระทงหลวงในช่วงแรก ๆ มีการใช้ ใกลช้ ิด ดงั ปรากฏขอ้ ความในบทพระราชนิพนธ์ เรือตา่ ง ๆ เป็นแทน่ พาหนะรองรับกระทง เพอื่ ใช้ ลอยพระประทีปเป็นสำ� คญั แต่ไม่พบหลกั ฐาน การลอยกระทงสาย เร่ืองรูปแบบวา่ เป็นแบบใด สำ� หรบั กระทงใหญข่ อง พระบรมวงศานุวงศแ์ ละขา้ ราชการน้นั มีการทำ� เป็นรูปเขาพระสุเมรุ และรูปทรงกระจาดซอ้ นกนั หลายช้นั มขี นาดใหญแ่ ละสูง วางบนถงั และแพ หยวกกลว้ ย โดยประดบั ตกแตง่ ดว้ ยเคร่ืองสดจาก ธรรมชาตเิ ป็นหลกั ส่วนกระทงของชาวบา้ นทวั่ ไปน่าจะมขี นาด เลก็ ทำ� กนั ตามกำ� ลงั ความสามารถเทา่ ทม่ี เี วลาและ ฝีมือ มีรูปแบบที่อิสระหลากหลายจากวสั ดุท่ีหา ไดไ้ มย่ าก เช่น กาบกลว้ ย หยวกกลว้ ย ใบตอง กาบพลบั พลึง กะลามะพร้าว เปลือกมะพร้าว ไมไ้ ผ่ ไมน้ ุ่น ไมร้ ะกำ� บางแห่งมีการนำ� กระทงท่ี
18 เรื่องพระราชพิธีสิบสองเดือนวา่ “ถ้าปีใดมกี ระทง งานวนั ลอยกระทงมกี ารจดุ พลแุ ละดอกไมไ้ ฟสวยงามตระการตา ใหญ่ กเ็ ป็นการครึกครื้นเอิกเกริกยง่ิ กว่าทกุ ปี”และ “ในฤดเู ดือน๑๒ เป็นเวลาทนี่ ำ้� ในแม่นำ้� ใสสะอาด ๗.ประเพณลี อยกระทงของภาคต่างๆ มากเตม็ ฝ่ัง ทั้งเป็นเวลาท่ีสิน้ ฤดฝู น ในกลางเดือน ในประเทศไทย น้ัน พระจันทร์กม็ แี สงสว่างผ่องใส เป็นสมยั ท่ี สมควรจะรื่ นเริ ง...และจะให้ เป็ นการครึ กครื้นใน ๗.๑ ประเพณลี อยกระทงภาคกลาง แม่นำ้� ...” ตามธรรมเนียมราชสำ� นกั แตเ่ ดมิ มกี ารจดั งาน ประเพณีลอยกระทงยงั มีการละเล่นรื่นเริง ๒ คร้ังในรอบปี คอื วนั ข้นึ ๑๕ ค่ำ� เดือน ๑๑ และ ตา่ ง ๆ ดว้ ยแสง สี เสียงอยา่ งครึกคร้ืนอกี มากมาย เดือน๑๒ ถา้ ทำ� ในเดือน๑๑ จดั เป็นงานเลก็ มกี าร เช่น ในรัชกาลท่ี ๓ และรัชกาลท่ี ๔ เมื่อทรงจุด ลอยกระทงขนาดเลก็ ส่วนในเดือน ๑๒ จดั เป็น เรือกระทงและจุดดอกไมช้ นวนท่ีเรือบลั ลงั กแ์ ลว้ งานใหญเ่ ป็นพระราชพธิ ีจองเปรียง ลดชดุ ลอยโคม ตอ่ จากน้นั กเ็ ป็นชว่ งเวลาของการนกั ขตั ฤกษร์ ่ืนเริง ลงน้ำ� ตอ่ เน่ืองดว้ ยการลอยพระประทปี ในรชั กาล ของคนทวั่ ไป มีการจดุ ดอกไมไ้ ฟพมุ่ ดอกไมไ้ ฟ ที่ ๓ โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั ทำ� กระทงหลวงสำ� หรบั ทรง กระทง ไฟกระถาง พมุ่ ตะไล พะเนียงมะพร้าว ลอยโดยใชเ้ รือรูปสตั วต์ า่ ง ๆ คือ เรือศรี เรือชยั พะเนียงดอกไม้ พลุ ดอกไมน้ ้ำ� ในขบวนลอย เรือโอ่ เรือคอน และเรือหยวก แตใ่ นรชั กาลที่ ๔ พระประทีปกย็ งั มีเรือพณิ พาทยแ์ ละเรือกลองแขก ลดเรือหยวกลง และมกี ารทำ� “กระทงใหญ”่ ของ ส่วนบนฝั่งกม็ พี ณิ พาทยผ์ หู้ ญงิ ประโคมไปดว้ ย พระบรมวงศานุวงศเ์ ป็นรูปแบบตา่ ง ๆ ขนาดใหญ่ ส่วนกระทงของฝ่ายในทำ� ขนาดเลก็ กวา่ แตเ่ นน้ การ กระทงท่ีทำ� ดว้ ยวสั ดุธรรมชาติ
19 ประดบั ตกแต่งใหว้ จิ ิตรงดงามดว้ ยวสั ดุธรรมชาติ ดงขา่ อำ� เภอปากพลี จงั หวดั นครนายก ซ่ึงเดิม จำ� พวกดอกไมใ้ บไมท้ ี่เรียกรวมกนั วา่ เคร่ืองสด มี ทำ� ดว้ ยใบตองและกาบกลว้ ยเหมือนกระทงทวั่ ๆ การประกวดประขนั กนั อยา่ งเตม็ ที่ ซ่ึงเป็นการสิ้น ไป มคี วามพเิ ศษอยทู่ ่ีการใชเ้ ชือกฝ้ายหรือดา้ ยดิบ เปลืองมาก รัชกาลท่ี ๔ จึงโปรดเกลา้ ฯ ใหน้ ำ� เรือ ผกู มดั เป็นรูปตีนกงุ้ ตีนกาใส่ลงไปในกระทงดว้ ย พระท่ีนง่ั อนนั ตนาคราชและเรือชยั ที่มีอยเู่ ป็นเรือ เนื่องจากความเชื่อตามตำ� นานเรื่อง กาเผือก ซ่ึง กระทงใหญ่แทนการสร้างถงั และแพหยวกกลว้ ย เป็นตำ� นานพ้นื บา้ นที่ไมป่ รากฏอยใู่ นพทุ ธประวตั ิ ตอ่ มาในรชั กาลที่ ๕ โปรดเกลา้ ฯ ใหซ้ ่อมแซมเรือ ที่เช่ือกนั วา่ กาเผอื กเป็นมารดาของพระพทุ ธเจา้ ๕ สุพรรณหงส์ข้ึนใหม่ ใชเ้ ป็นเรือกระทงใหญแ่ ทน พระองค์ ตามเร่ืองเลา่ วา่ กาเผอื กทำ� รังบนตน้ ไม้ เรือชยั ริมฝั่งแมน่ ้ำ� และออกไขไ่ วใ้ นรัง ๕ ฟอง วนั หน่ึง ขณะนางกาเผอื กบินออกไปหาอาหาร เกิดพายฝุ น ส่วนการลอยกระทงของชาวบา้ นทว่ั ไปใน ลมพดั แรงทำ� ใหก้ ่ิงไมห้ กั ลง ไขท่ ้งั ๕ฟองกระเดน็ อดีต ในวนั ข้นึ ๑๕ ค่ำ� เดือน ๑๒ กระทงทำ� ดว้ ย แยกกระจายกนั ไป เมอ่ื นางกาเผอื กกลบั มาไมพ่ บ วสั ดธุ รรมชาตขิ นาดเลก็ และเบา เช่น หยวกกลว้ ย รงั และไข่ กเ็ สียใจรอ้ งไหจ้ นขาดใจตายและไปเกิด กะลามะพร้าว กาบพลบั พลึง มกั นิยมเยบ็ ดว้ ย ใหมเ่ ป็นเทวดาอยบู่ นสวรรค์ ส่วนไขท่ ้งั ๕ ฟองที่ ใบตองสดท่ีเรียกวา่ กระทงเจิม ตอ่ มาภายหลงั จึง กระจายกนั ไปฟักออกมาเป็นเดก็ ผชู้ าย เมอื่ โตข้นึ เปลยี่ นมาใชก้ ระดาษสีทำ� เป็นกลบี ดอกบวั บานกนั กบ็ วชเป็นฤษี และอธิษฐานขอเกดิ เป็นพระพทุ ธเจา้ มากข้ึน และมกั ปักธูปเทียนดอกไมไ้ วใ้ นกระทง เทวดาจงึ เสดจ็ ลงมาเลา่ เร่ืองอดีตชาตใิ หฟ้ ัง และสงั่ ดว้ ย บางแห่งชาวบา้ นทำ� กระทงรูปแบบแปลก ๆ วา่ ถา้ รำ� ลกึ ถงึ แมก่ าเผอื ก กใ็ หเ้ อาฝ้ายดา้ ยดิบผกู แตกต่างไปตามความเช่ือเฉพาะในแต่ละทอ้ งถ่ิน เป็นรูปตนี กา ปักธูปเทียนนำ� ไปลอยในแมน่ ้ำ� เพอ่ื เช่น การทำ� กระทงผกู ตีนกุง้ ตีนกาของชาวบา้ น เป็นการรำ� ลกึ ถงึ แมซ่ ่ึงเป็นเทวดา และเพอื่ บชู ารอย พระพทุ ธบาทดว้ ย กระทงผกู ตีนกงุ้ ตีนกา ใชเ้ ชือกฝ้ายหรือดา้ ยดิบผกู มดั เป็น รูปตีนกงุ้ ตีนกาใส่ในกระทง เพอ่ื บูชาทา้ วพกาพรหม ๗.๒ ประเพณลี อยกระทงภาคเหนือ ทางภาคเหนือเรียกประเพณีลอยกระทงวา่ ประเพณียเี่ ป็ง หมายความวา่ วนั เพญ็ เดือนย่ี เดือน ยข่ี องภาคเหนือตรงกบั เดือน ๑๒ ของภาคกลาง กิจกรรมสำ� คญั ท่ีมีมาแตโ่ บราณคือ พธิ ีลอยโขมด เชื่อถือและปฏิบตั ิกนั มาต้งั แตพ่ ทุ ธศตวรรษท่ี ๑๕ ในสมยั อาณาจกั รหริภญุ ชยั และอาณาจกั รลา้ นนา ในประเพณียเี่ ป็งมีการทำ� พธิ ีลอยโขมดหรือ ลอยกระทงสืบต่อกนั มาตามความเช่ือเดิมจาก ตำ� นานจามเทววี งศว์ า่
20 เมอ่ื จลุ ศกั ราช ๓๐๙ (พ.ศ. ๑๔๙๐) ในสมยั ไฟกระทบสะทอ้ นน้ำ� ดูคลา้ ยแสงไฟของผีโขมด พระเจา้ กมลราชครองนครหริภุญชยั น้นั เกิดโรค ตามความเช่ือ จึงเรียกการลอยไฟในประเพณียเี่ ป็ง ระบาดท่ีเรียกวา่ โรคห่า หรืออหิวาตกโรค ทำ� ให้ วา่ ลอยโขมด ผคู้ นเสียชีวติ เป็นจำ� นวนมาก ชาวเมืองจึงอพยพ ไปอยทู่ ่ีเมืองสุธรรมวดีหรือเมืองสะเทิมในรามญั ตามประเพณีที่ทำ� กนั มาแตเ่ ดิม ชาวบา้ นใน ประเทศหรือประเทศมอญ ต่อมาพระเจา้ พุกาม ชุมชนตา่ ง ๆ จะช่วยกนั จดั เตรียมทำ� ความสะอาด กษตั ริยพ์ มา่ ตไี ดเ้ มอื งสะเทมิ ชาวเมอื งหริภญุ ชยั จงึ สถานท่ีในวดั พร้อมเตรียมเคร่ืองประดบั ตกแตง่ พากนั อพยพหนีไปอาศยั อยกู่ บั พระเจา้ หงสาวดี ซ่ึง บริเวณวดั และเครื่องพธิ ีตา่ งๆเช่น ประดบั ตกแตง่ ไดร้ ับการอนุเคราะห์ชุบเล้ียง เมื่อทราบข่าวว่า บริเวณรอบวหิ าร เจดีย์ สร้างซุม้ ประตปู ่ าทางเขา้ โรคระบาดสงบแลว้ ชาวเมอื งบางกลมุ่ พากนั อพยพ วดั ทำ� โคมแขวนโคมคา้ งเป็นรูปแบบตา่ ง ๆ หรือ กลบั คืนบา้ นเกิดเมืองนอนของตน แต่บางคนที่ ทำ� โคมลอยท่ีเรียกว่า ว่าวรม (ว่าวฮม) หรือว่าว แตง่ งานมคี รอบครวั แลว้ กข็ ออยทู่ เี่ มอื งหงสาวดตี อ่ ควนั และทำ� บอกไฟ หมายถงึ ดอกไมไ้ ฟ ซ่ึงทำ� ไป จึงยดึ ถอื กนั เป็นประเพณีวา่ เมอ่ื ถงึ เดือนยเี่ ป็ง ดว้ ยกระบอกไมใ้ ส่ดินปื นขา้ งใน ใชใ้ นเทศกาล ชาวเมืองหริภญุ ชยั จะจดั แตง่ ธูปเทียน เครื่องบชู า ลอยกระทง และงานเทศนม์ หาชาติ เช่น บอกไฟ อาหาร เส้ือผา้ วตั ถขุ า้ วของ ใส่แพลอ่ งตามแมน่ ้ำ� ดอก บอกไฟดาว บอกไฟเทียน บอกไฟชา้ งร้อง ลงไปขา้ งใต้ เพอ่ื เป็นการระลกึ ถงึ ญาตพิ นี่ อ้ งท่ีอยู่ บอกไฟจกั จนั่ บอกไฟทอ้ งตน๋ั และบอกไฟข้หี นู เมืองหงสาวดี เม่ือจดุ เทียนลอยน้ำ� กจ็ ะเห็นแสง ดว้ ยความเช่ือวา่ การปลอ่ ยวา่ วฮม วา่ วควนั หรือ โคมลอย และการจดุ บอกไฟเป็นการบชู าพระเกศ การประดบั โคมไฟในประเพณีลอยกระทง หรือประเพณียเี่ ป็งของภาคเหนือ แกว้ จฬุ ามณีบนสวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์ ส่วนชาวบา้ นชาวเมอื งในระดบั ครอบครวั จะจดั เตรียมส่ิงของเคร่ืองใช้ เคร่ืองบชู าตา่ งๆ เพอื่ ไปทำ� บญุ ท่ีวดั ประดบั โคมแขวนบชู าไว้ หนา้ เรือน ทำ� ผางประทีส (ออกเสียงวา่ ผาง ผะตดิ้ ) หรือผางประทีป หมายถงึ ถว้ ยดินเผา จดุ ประทีปไวต้ รงกลาง จำ� นวนมาก จดั เครื่อง กณั ฑธ์ รรมหรือกณั ฑเ์ ทศน์ เพ่อื นำ� ไปถวาย พระตอนฟังเทศน์ และเตรียมขา้ วตอกดอกไม้ เพือ่ ใชโ้ ปรยในการเทศนม์ หาชาติ จดั อาหาร คาวหวาน ผลไม้ เพ่ือถวายพระ และทำ� ซุม้ ประตปู ่ ารูปแบบตา่ ง ๆ ดว้ ยวสั ดธุ รรมชาติ เช่น ตน้ กลว้ ย ตน้ ออ้ ย กา้ นมะพร้าว พร้อม ท้งั ตกแตง่ ดว้ ยดอกไมห้ ลากสีเทา่ ที่จดั หาได้
21 พระสงฆท์ ำ� พธิ ีลอยโขมด ในประเพณียเ่ี ป็งของภาคเหนือ ช่วงเชา้ มดื ของวนั ข้นึ ๑๕ ค่ำ� ชาวบา้ นจะนำ� ล่องสะเพา ออกเสียงวา่ ลอ่ งสะเปา คอื การ อาหารคาวหวานและผลไมไ้ ปถวายพระที่วดั ซ่ึง ล่องเรือสำ� เภาไปตามแม่น้ำ� ในคืนวนั ข้ึน ๑๕ ค่ำ� เรียกวา่ “ทานขนั ขา้ ว” เพอื่ อทุ ิศส่วนกศุ ลผลบุญ เดือน๑๒(ยเี่ ป็ง) โดยการทำ� เรือขนาดใหญท่ ใี่ ชท้ ำ� ใหบ้ รรพชนท่ีลว่ งลบั ไปแลว้ และนำ� ถว้ ยประทีป พธิ ีร่วมกนั ของชุมชน บรรจอุ าหาร ผลไม้ พร้อม ไปจดุ บชู าพระทว่ี ดั ชว่ งสายจะกลบั ไปฟังเทศนท์ ี่ เครื่องบชู าธูปเทียน ดอกไม้ หลงั จากน้นั รบั ศลี ฟัง วดั บางชุมชนมกี ารเทศนม์ หาชาติ เทศนม์ หาชาติ เทศนอ์ านิสงส์ประทีปตีนกา ร่วมกนั กล่าวถวาย คือ เทศนม์ หาเวสสนั ดรชาดก ๑๓ กณั ฑ์ ใหจ้ บ บชู าพระพทุ ธเจา้ และกลา่ วขอขมาตอ่ พระแมค่ งคา ภายในวนั เดยี ว ตกคำ่� มกี ารจดุ โคมไฟบชู าสวา่ งไสว ท่ีมคี ณุ ตอ่ ชีวติ จากน้นั จึงแห่เรือไปลอยแมน่ ้ำ� ซ่ึง หลงั จากพธิ ีกรรมการจุดธูปเทียนบูชา กจ็ ะมีการ กม็ กั มีชาวบา้ นหลายคนทำ� เรือเลก็ หรือกระทงไป จดุ บอกไฟทกุ ชนิดอยา่ งสนกุ สนานรื่นเริงจากความ ร่วมลอยดว้ ย เช่ือวา่ เป็นการลอยเคราะหล์ อยทกุ ข์ งดงามอลงั การของแสง สี เสียง ส่วนผอู้ าวโุ สที่ โศก โรคภยั เสนียดจญั ไรท้งั หลายไปกบั สายน้ำ� เปรียบเสมอื นเสาหลกั ของบา้ นกม็ กั กลบั ไปทบี่ า้ น เพอื่ ใหต้ นเองและครอบครวั มคี วามสุขความเจริญ เพอ่ื จุดผางประทีสบชู าพระพทุ ธเจา้ เจา้ ท่ีเจา้ ทาง ประตูบา้ น ครัวไฟ ประตูยงุ้ ขา้ ว บ่อน้ำ� และ เทพยดาประจำ� บา้ นเรือน พิธีลอยโขมดในประเพณียเ่ี ป็งมีกิจกรรมที่ สำ� คญั ท้งั ในส่วนของประเพณีลอยกระทงตาม ความเช่ือเร่ืองความอุดมสมบูรณ์ คติพราหมณ์ และความเช่ือในพระพทุ ธศาสนา เช่น ลอ่ งสะเพา ผางประทีส ต้งั ธรรมหลวง การล่องสะเพาของชุมชน เป็นกิจกรรมที่ทำ� ในพิธีลอยโขมด ของประเพณียเ่ี ป็ง
22 การจุดผางประทีส เพอื่ บูชาพระพทุ ธเจา้ หรือสืบชะตาต่ออายุ ที่อำ� เภอเมืองฯ จงั หวดั เชียงใหม่ ในพธิ ีลอ่ งสะเพาน้ี หลายชมุ ชนในภาคเหนือ ท่ีเป็นหลกั ของประเพณีประจำ� เดือนยเ่ี ป็งจึงไดช้ ื่อ จดั ใหม้ งี าน “ต้งั ธรรมหลวง” คอื เทศนม์ หาชาติ วา่ พธิ ีต้งั ธรรมหลวง คอื การเทศนม์ หาชาติเร่ือง หรือเทศนม์ หาเวสสนั ดรชาดกไปพร้อมกนั ดว้ ย พระเวสสนั ดร ถอื วา่ เป็นการเทศนค์ ร้งั ใหญ่ ชาว บา้ นจึงพร้อมใจกนั จดั เป็นงานใหญข่ องชุมชน จดุ ผางประทสี หรือ ผางประทปี คอื ถว้ ย ประทีป มกั เป็ นถว้ ยดินเผาที่มีรูปแบบแตกต่าง พธิ ีกรรมต้งั ธรรมหลวงเป็นพธิ ีกรรมใหญใ่ น กนั ไป ส่วนขนาดจะเลก็ หรือใหญข่ ้นึ อยกู่ บั น้ำ� มนั ความคิดความเช่ือของชาวบา้ น จึงตอ้ งมีการจดั เช้ือเพลงิ ท่ีตอ้ งการบรรจุ เป็นภาชนะใส่น้ำ� มนั ใช้ เตรียมงานและสถานท่ีลว่ งหนา้ เป็นเวลานาน ท้งั จุดไฟเพอื่ บูชาพระพทุ ธเจา้ หรือบูชาสืบชะตาต่อ ท่ีวดั อนั เป็นสถานท่ีจดั งานร่วมกนั ท้งั ชุมชน และ อายุ โดยทวั่ ไปมกี ารทำ� ตนี กาดว้ ยฝา้ ยฟ่ันเกลยี ว๓ ในระดบั ครอบครัว โดยการทำ� ความสะอาดและ ชาย เหมอื นตีนกาท่ีมี ๓ นิ้ว รองรับขาแขง้ ที่เป็น ตกแตง่ บริเวณวดั วหิ าร ธาตเุ จดยี ์ ประตทู างเขา้ ไสบ้ นน้ำ� มนั เช้ือเพลิงท่ีพร้อมจะจดุ ประทีป ดงั ท่ี วดั เครื่องแห่ธรรมหลวง และการประดบั ตกแตง่ เรียกกนั ว่า ประทีปตีนกา โดยมีนยั ความคิดว่า บา้ นเรือนของแตล่ ะครอบครัว ตลอดจนจดั เตรียม เปรียบเหมือนตีนกาจากตำ� นานเร่ืองกาเผอื ก ซ่ึง เครื่องวตั ถบุ ชู าตา่ ง ๆ เชน่ ผางประทสี เคร่ืองบชู า เป็ นท่ีมาของประเพณีจุดผางประทีสเพ่ือบูชาแม่ กณั ฑเ์ ทศน์ รวมท้งั โคมไฟประเภทตา่ งๆเพอ่ื ร่วม กาเผอื ก และยงั มีการจุดบูชาในที่ต่าง ๆ บริเวณ เป็ นนกั ขตั ฤกษร์ ื่นเริง ท้งั หมดน้ีลว้ นตอ้ งอาศยั บา้ นเรือนดว้ ย ความร่วมมอื ดว้ ยพลงั ศรทั ธาจากผทู้ มี่ ที กั ษะในดา้ น ตา่ ง ๆ ท้งั ในระดบั ครอบครัวและชุมชน พธิ ีต้งั ธรรมหลวง เดิมเป็นพธิ ีกรรมสำ� คญั
๗.๓ ประเพณลี อยกระทงภาคอสี าน 23 ตามเร่ืองราวทางประวตั ศิ าสตร์ของไทย คน และปลอ่ ยเรือไฟ ซ่ึงในอดีตชาวบา้ นที่จดั พธิ ีลอย ภาคอีสานมีความสมั พนั ธอ์ ยา่ งใกลช้ ิดกบั คนทาง เรือไฟตา่ งพร้อมใจกนั จดั เตรียมเคร่ืองพธิ ี ๒ ส่วน ฝั่งซา้ ยของแมน่ ้ำ� โขง โดยเฉพาะเวยี งจนั ทนแ์ ละ สำ� คญั คอื เคร่ืองพธิ ีส่วนรวมของชมุ ชน และเคร่ือง จำ� ปาสกั พธิ ีส่วนตวั ในวนั เพญ็ เดือน๑๒ แตเ่ ดิมชุมชนตา่ งๆใน ผาสาดเผงิ้ หรือปราสาทผ้งึ ภาคอีสานไม่มีคติความเช่ือเรื่องการลอยประทีป หรือการลอยกระทง แตม่ กี ารจดั งานประเพณีตาม ความเชื่อท่ีคลา้ ย ๆ กนั อยบู่ า้ งในวนั เพญ็ เดือน ๑๑ (วนั ออกพรรษา) กลา่ วคอื ชุมชนที่อยใู่ กลแ้ หลง่ น้ำ� จะมีประเพณีลอยเรือไฟหรือไหลเรือไฟ รวม ท้งั การลอยโคมในชุมชนทห่ี ่างไกลและใกลแ้ หลง่ น้ำ� นอกจากน้ีกย็ งั มีการจดั ส่วงเรือหรือแข่งเรือ และการแห่ผาสาดเผงิ้ หรือปราสาทผ้งึ กนั ทวั่ ไป ดว้ ย มรี ายละเอยี ดดงั น้ี ลอยเรือไฟ เป็นประเพณีพธิ ีกรรมของคนที่ อยใู่ กลแ้ หล่งน้ำ� ทวั่ ไป ที่เรียกกนั หลายช่ือต่างกนั แตล่ ะทอ้ งถนิ่ คอื ประเพณีไหลเรือไฟ ลอ่ งเรือไฟ การลอยเรือไฟ ในประเพณีไหลเรือไฟของภาคอีสาน
24 เรือไฟ บชู ารวมกนั เช่น ขา้ วสาร ขา้ วเหนียว ไข่ ปลา เกลอื เสน้ ผม เลบ็ เศษเส้ือผา้ เทียนบชู าปักไว้ ๑.เคร่ืองพิธีส่วนรวมของชุมชน เช่น ทบ่ี า้ น กลางเรือไฟ แลว้ ประดบั เรือดว้ ยไฟ ซ่ึงมที ้งั เทียน ท่าสองคอน อำ� เภอเมืองฯ จงั หวดั มหาสารคาม กระบองหรือข้ีไต้ ถว้ ยประทีป ตะเกียง เพอ่ื ใช้ ชาวบา้ นจะช่วยกนั จดั เตรียมเรือไฟในบริเวณวดั จดุ ตอนลอยเรือ หรือที่เรียกวา่ ลอยเรือไฟ โดยจะ ซ่ึงแตก่ ่อนจะทำ� ดว้ ยไมง้ ิ้วเป็นทุน่ รับเรือไฟ บาง นิมนตพ์ ระสงฆส์ วดมนตเ์ ยน็ เพอื่ เป็นสิริมงคลกอ่ น แห่งกจ็ ะใชไ้ มไ้ ผท่ ำ� เป็นแพรบั เรือไฟ โดยใชไ้ มไ้ ผ่ จากน้นั จึงเชิญหมอมาทำ� พธิ ีเส่ียงไขห่ าท่าน้ำ� ที่จะ จกั สานเป็นรูปเรือบนทนุ่ หรือแพ สำ� หรบั ใส่เคร่ือง เอาเรือไฟลงลอย โดยมีความเช่ือท่ีถือปฏิบตั ิกนั มาวา่ ถา้ เส่ียงโยนไขท่ ่ีทา่ น้ำ� ไหน แลว้ ไขไ่ มแ่ ตก กจ็ ะนำ� เรือไฟลงลอยท่ีท่าน้นั ในตอนค่ำ� ประมาณ ๑ ทมุ่ ของคนื วนั เพญ็ เดือน ๑๑ ในกรณีการลอยเรือไฟทบี่ า้ นทา่ สองคอนซ่ึง เป็นชุมชนขนาดใหญ่มี ๔ หมู่บา้ นน้ี ชาวบา้ นมี ความคดิ เหน็ ร่วมกนั วา่ จะไมม่ กี ารประกวดกระทง เรือไฟ เพราะเห็นวา่ การประกวดแขง่ ขนั จะทำ� ให้ คนแตกแยกกนั และบางคนไมไ่ ปร่วมงานลอยเรือ ไฟทมี่ กี ารประกวดกนั ดว้ ยความเชอื่ วา่ จะไมไ่ ดบ้ ญุ เรือไฟไมไ้ ผบ่ นทุ่นหรือแพไมไ้ ผ่
25 ชว่ ยกนั ดแู ลรกั ษาตน้ กลว้ ยทใี่ ชท้ ำ� เสาหอพระพทุ ธ ท้งั ๔ ตน้ ตลอดเวลาประมาณ ๕ เดือน ดว้ ยความ เชื่อวา่ “ตน้ กลว้ ยน้ีจะตายไมไ่ ด”้ ถา้ มีบางตน้ ตาย จะตอ้ งหาตน้ ใหมม่ าเปลยี่ น ๒.เคร่ืองพิธีส่วนตวั ชาวบา้ นนิยมทำ� กระทง ลอยขนาดเลก็ ดว้ ยตนเอง ซ่ึงแตเ่ ดิมใชก้ าบกลว้ ย พบั หกั เป็นรูปสามเหลย่ี มดคู ลา้ ยรูปหนา้ ของววั จงึ เรียกวา่ กระทงหนา้ งวั (หนา้ ววั ) ตวั กระทงใชแ้ ผน่ ไมง้ ิว้ เป็นพ้นื ตวั กระทง หนาประมาณ ๓ นิ้ว แต่ บางคนกใ็ ชใ้ บตองกลว้ ยทำ� เป็นกลีบกระทง แลว้ แต่งเคร่ืองบูชาในกระทงเลก็ หรือเรือไฟนอ้ ยดว้ ย เทียนเล่มและสิ่งอื่น ๆ อยา่ งละเลก็ ละนอ้ ย เช่น อาหารคาวหวาน เสน้ ผม เศษเลบ็ มอื เลบ็ เทา้ ใส่ ในกระทง เพอ่ื ลอยเคราะหไ์ ปกบั กระทงลอย ตน้ กลว้ ยท่ีใชท้ ำ� เสาหอพระพทุ ธ กระทงหนา้ งวั (หนา้ ววั ) นอกจากการเตรียมเรือไฟรวมของชุมชน หรือเรือไฟใหญแ่ ลว้ ชาวบา้ นจะช่วยกนั จดั สร้าง หอพระพทุ ธชว่ั คราวเฉพาะประเพณีข้ึนท่ีบริเวณ หนา้ พระอโุ บสถ ต้งั แตว่ นั ข้นึ ๑๕ ค่ำ� เดือน ๑๑ เป็นตน้ ไป โดยนำ� ตน้ กลว้ ย๔ตน้ มาทำ� เป็นเสาหอ พระพทุ ธ เหมอื นขดุ ดินปลกู ใหม่ ใชไ้ มไ้ ผจ่ กั สาน เป็นพ้ืนหอ เพื่อใหช้ าวบา้ นที่มาร่วมสักการบูชา พระพทุ ธรูปใชว้ างเครื่องบูชา เม่ือเสร็จงานลอย เรือไฟแลว้ จะปลอ่ ยทิง้ ไวเ้ ช่นน้นั ไปจนถงึ เดือน ๔ ขา้ งแรม จึงเกบ็ หอพระพทุ ธ เพราะเป็นช่วงเวลา ทช่ี าวบา้ นจะตอ้ งสรา้ งหอพระอปุ คตุ เพอื่ ใชใ้ นงาน บญุ มหาชาติ (บญุ ผะเหวดหรือบญุ พระเวสสนั ดร) การปลอ่ ยหอพระพทุ ธทงิ้ ไวจ้ นมกี ารจดั งาน บญุ มหาชาติในเดือน ๔ ท้งั พระและชาวบา้ นตอ้ ง
26 การลอยโคมไฟ จากผลมะตูม หรือยางจากการตม้ หนงั สตั ว์ มกั นิยมทำ� เป็นรูปทรงกระบอก ท่ีหลายแห่งเรียกวา่ ลอยโคม ชาวบา้ นทท่ี ำ� เกษตรกรรมพน้ื ทร่ี าบ “โคมกระทอ” ใชเ้ วลาเตรียมลว่ งหนา้ กนั นาน โดย และทร่ี าบลมุ่ ใกลน้ ้ำ� สามารถลอยประทปี ลอยเรือ ใชเ้ ศษผา้ จีวรผา้ สบงเกา่ ฉีกชุบน้ำ� มนั ยาง ตากแดด ไฟ และลอยกระทงตามความเช่ือเร่ืองความอดุ ม ใหแ้ หง้ หมาด ๆ บิดเกลียวเป็นเส้นกลมเหมือน สมบรู ณ์ไดต้ ามปกติ รวมท้งั ลอยโคมชนิดตา่ ง ๆ เชอื ก แลว้ พนั รอบใหเ้ ป็นแทง่ กลมมขี นาดและความ ไปพรอ้ มกนั ดว้ ย แตถ่ า้ ทำ� เกษตรกรรมบนทสี่ ูงตาม ยาวตามตอ้ งการ จากน้นั แขวนตากแดดตากลมไว้ ภูดอยซ่ึงเป็นตน้ น้ำ� และคนโคกอยหู่ ่างน้ำ� จะลอย ใหค้ อ่ ยๆแหง้ สนิทหลายวนั หลายคนื เพอื่ จะทำ� ให้ เรือไฟไดย้ าก แตก่ ต็ อ้ งการความมน่ั ใจเรื่องอาหาร ตดิ ไฟไดน้ าน โคมไฟจะลอยไดส้ ูงและลอยไปตก อดุ มสมบรู ณ์ จงึ ใชว้ ธิ ีลอยโคมแทนการลอยเรือไฟ ไกล ขอบปากโคมจะทำ� “ลกู โคม” คอื กระดาษ ทรงกระบอกกลวงขนาดเลก็ ผกู หอ้ ยไว้๒-๔ สาย โคมของชาวอสี านท่ีทำ� ลอยกนั แตก่ อ่ นมี ๒ สายละหลายลูก ติดเทียนแท่งไวภ้ ายในลูกโคม ชนิด คอื โคมลม และโคมไฟ โคมลมส่วนใหญ่ เมอ่ื จดุ ไฟไสโ้ คมและจดุ เทยี นลกู โคมทกุ ลกู ปลอ่ ย มกั ใชผ้ า้ ตดั เยบ็ ตอ่ กนั เป็นทรงกลมขนาดคอ่ นขา้ ง ลอยข้นึ จะทำ� ใหเ้ ห็นแสงไฟเคลอื่ นตวั ลอยไปใน ใหญ่ ปากโคมแคบ คลา้ ยบลั ลนู นิยมใชล้ อยเวลา ความมืดอยา่ งสวยงาม กลางวนั โดยกอ่ ไฟทพ่ี ้นื ดนิ เพอื่ เกบ็ ควนั รอ้ นทเี่ บา กวา่ อากาศไวภ้ ายในใหไ้ ดเ้ ตม็ ทเี่ พยี งคร้งั เดยี ว แลว้ จึงปลอ่ ยใหล้ อยข้นึ ไป ส่วนโคมไฟจะใชก้ ระดาษ สีตา่ ง ๆ ตดั และติดเช่ือมกนั ดว้ ยยางไม้ เช่น ยาง
27 ส่วงเรือ คอื การแขง่ เรือยาวทว่ั ๆ ไป ชาว อธิษฐาน เอาเรือของเจา้ ป่ขู นุ อดุ มฯเป็นหลกั ในการ อสี านเรียกวา่ ส่วงเรือ ชุมชนส่วนมากจะตอ้ งมเี รือ แพช้ นะ เช่น อธิษฐานวา่ ถา้ ปี น้ีน้ำ� จะดีมพี อทำ� นา ส่วงประจำ� ชมุ ชน เกบ็ รกั ษาไวท้ โี่ รงเกบ็ ในวดั เป็น ขอใหเ้ รือตวั แทนเจา้ ป่ ขู นุ อดุ มฯชนะ แตถ่ า้ เรือของ เรือที่ไดจ้ ากการขดุ ตน้ ไมใ้ หญท่ ้งั ตน้ ยาว ๒๐-๓๐ เจา้ ป่ ขู นุ อดุ มฯแพ้ แสดงวา่ น้ำ� ปีน้นั จะไมพ่ อทำ� นา เมตร ถอื วา่ เป็นพธิ ีกรรมอนั ศกั ด์สิ ิทธ์ิทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ความ อดุ มสมบรู ณข์ องน้ำ� และขา้ วปลาอาหารของชาว เดมิ การส่วงเรือในวนั ออกพรรษา บางชมุ ชน บา้ นในสงั คมเกษตรกรรมทว่ั ไป จดั ใหม้ กี ารแขง่ เรือเพอ่ื เส่ียงทายน้ำ� ในปี น้นั โดยมี “จ้ำ� บา้ น” หรือกวานจ้ำ� (กวนจ้ำ� ) เป็นผนู้ ำ� ทำ� พธิ ี เสี่ยงทาย ดงั กรณีการส่วงเรือเสี่ยงทายที่บา้ นเกิ้ง อำ� เภอเมืองฯ จงั หวดั มหาสารคาม ซ่ึงมีหอผี ประจำ� หมบู่ า้ น๓หอ คอื หอเจา้ ป่ ขู นุ อดุ ม อปุ ฮาต เจา้ ป่ หู อ้ ม หอเจา้ แมส่ องนาง และหอหลกั บือบา้ น โดยกำ� หนดใหเ้ รือท่ีเขา้ ร่วมแข่งเส่ียงทายเป็นเรือ ตวั แทนของเจา้ ป่ ูแต่ละหอ แลว้ จ้ำ� บา้ นท่ีชาวบา้ น เชื่อว่าเป็ นคนท่ีเจา้ ป่ ูเลือกเป็ นตวั แทนหรือร่าง ทรงของเจา้ ป่ ู จะเป็นผทู้ ี่ทำ� พธิ ีเสี่ยงทาย ดว้ ยการ ประเพณีแขง่ เรือเป็นประเพณีท่ีมที ่ีมาจากคตคิ วามเช่ือเกี่ยวกบั น้ำ�
28 ในพธิ ีกรรมตา่ งๆจะมกี ารละเลน่ ร่วมอยดู่ ว้ ย ใหเ้ ป็นละอองฝอยกระเซ็นข้นึ ไปในอากาศ คลา้ ย ฉะน้นั งานพธิ ีกรรมการส่วงเรือจึงมกี ารบอกเชิญ กบั โขลงชา้ งกำ� ลงั เล่นน้ำ� โดยมีละอองฝอยน้ำ� ท่ี คนในชุมชนอนื่ ๆ ท้งั ใกลแ้ ละไกลใหเ้ ขา้ ร่วมงาน เกิดจากชา้ งใชง้ วงพน่ น้ำ� จึงเรียกพิธีดงั กล่าววา่ โดยการนำ� เรือของชมุ ชนมาเขา้ ร่วมแขง่ ขนั กนั อยา่ ง พธิ ี “ตีชา้ งน้ำ� นอง” สนุกสนาน ซ่ึงแต่ละชุมชนต่างมีการทำ� พธิ ีบอก กลา่ วเจา้ ป่ หู รือผปี ่ ตู าประจำ� ชุมชนของตน กอ่ นนำ� ๗.๔ ลอยกระทงภาคใต้ เรือลงน้ำ� เพื่อเดินทางไปร่วมงาน และตอ้ งมีการ ฝึกซอ้ มฝีพายทกุ วนั ลว่ งหนา้ เป็นเดือนกม็ ี ส่วน เสฐียรโกเศศ ซ่ึงศกึ ษาเร่ืองประเพณีตา่ ง ๆ จำ� นวนเรือที่เขา้ ร่วมแข่งขนั จะมากนอ้ ยน้นั เดิม ไดก้ ลา่ ววา่ การลอยกระทงในภาคใตน้ ้นั ไมป่ รากฏ ข้ึนอยกู่ บั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งชุมชนเป็นสำ� คญั วา่ มี จะมกี แ็ ตพ่ ธิ ีลอยแพ ซ่ึงจดั ข้นึ เมอ่ื เกิดเจบ็ ไข้ เพราะจะมีผลต่อชยั ชนะท่ีภาคภูมิใจและการพา่ ย ไดป้ ่ วย โดยเอาหยวกกลว้ ยมาต่อเป็ นแพบรรจุ แพท้ ต่ี อ้ งพฒั นาปรบั แตง่ ตวั เรือและฝีพายกนั ตอ่ ไป เครื่องอาหารแลว้ ลอยไป ภายหลงั จึงกลายมาเป็น แตภ่ ายหลงั มกั มีเงินรางวลั และถว้ ยรางวลั เป็นแรง พธิ ีประจำ� และเขา้ สมทบกบั การลอยกระทงกไ็ ด้ จงู ใจใหเ้ ขา้ แขง่ ขนั เพมิ่ ข้นึ ดว้ ย ภญิ โญ จติ ตธ์ รรม เขยี นบทความทสี่ อดคลอ้ ง กรณีการส่วงเรือ หรือ “บญุ ส่วงเรือ” ในวนั กบั เสฐียรโกเศศวา่ การลอยเคราะห์หมายถึง การ ออกพรรษาท่ีจงั หวดั มุกดาหาร มีประวตั ิศาสตร์ ลอยสิ่งทไี่ มด่ ีใหพ้ น้ ไปจากตวั เพราะเช่ือวา่ ทกุ คน และตำ� นานความเชอ่ื ทผี่ กู พนั กบั แขวงสะหวนั นะเขต จะมีดาวพระเคราะหเ์ ขา้ มาเสวยอายุ ซ่ึงทำ� ใหเ้ กิด ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่ โทษ และเจบ็ ไขไ้ ดป้ ่ วย เน่ืองจากมีส่ิงเลวร้ายเขา้ เคยเป็นเสมือนเมืองคูส่ องฝ่ังแมน่ ้ำ� โขงมายาวนาน มาเกี่ยวขอ้ งในชีวติ จึงทำ� ใหม้ เี คราะห์ จะตอ้ งทำ� ต้งั แตส่ มยั ลา้ นชา้ ง พธิ ีลอยเคราะห์ โดยใชห้ ยวกกลว้ ยหรือวสั ดทุ ล่ี อย งานบญุ ส่วงเรือน้ี ภายหลงั ไดฟ้ ้ืนฟปู ระเพณี พิธีลอยแพลอยเคราะห์ ความเชอื่ ในอดตี กลบั มาอกี คอื พิธเี บิกน่านนำ้� และ พิธีตีช้างนำ้� นอง อนั เป็นพิธีกรรมการบวงสรวง สกั การะพระแมค่ งคา พญานาค และสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิ ตา่ งๆ ในสายน้ำ� เป็นการบอกกลา่ วขอเปิดน่านน้ำ� ท่ีจะใชเ้ ป็นเส้นทางส่วงเรือ ขอใหช้ ่วยคุม้ ครอง ป้องกนั ให้ผ่านพน้ ภยั อนั ตราย เรือทุกลำ� ท่ีเขา้ ร่วมในการแขง่ ขนั ต่างพายเรือเขา้ ขบวนผา่ นหนา้ บริเวณสถานทที่ ำ� พธิ ี มกี ารส่งเสียงโห่รอ้ งเอาฤกษ์ เอาชยั และตีเกราะฆอ้ งกลองสอดคลอ้ งเขา้ กบั จงั หวะฝีพาย ขณะทพี่ ายกจ็ ะตวดั ใบพายเพอ่ื วกั น้ำ�
29 ประเพณีลากพระหรือชกั พระของภาคใต้ ออกไปกลางทะเล กระแสน้ำ� จะพดั พาแพออกทาง คลองนางเรียมไปสู่ทะเลสาบสงขลา น้ำ� ไดม้ าทำ� เป็นรูปเรือหรือแพ เอาข้ไี คล เสน้ ผม และเลบ็ ของผทู้ อ่ี ยใู่ นชว่ งเวลาเคราะหน์ ้นั ผสมดนิ ชาวเลกลมุ่ อรู กั ลาโวย้ ในเขตจงั หวดั กระบี่ ป้ันเป็นรูปแทนตนเองใส่ลงในเรือหรือแพ พร้อม และใกลเ้คยี งกม็ ปี ระเพณีพธิ ีกรรมการลอยเรือปีละ ปักธูปเทยี นดอกไม้ รวมท้งั เงนิ และเสบยี ง กอ่ นจะ ๒ คร้ัง คอื กลางเดือน ๖ และเดือน ๑๑ มีการ ลอยใหก้ ลา่ ววา่ “เคราะหด์ ีเอาไว้ เคราะหร์ ้ายเอา เตรียมอาหารและเครื่องพธิ ีต่าง ๆ โดยเฉพาะเรือ ไป” ทำ� ใหส้ มยั กอ่ นไมม่ ใี ครกลา้ เกบ็ ไป เพราะเช่ือ “ปาจกั๊ ” ท่ีทำ� จากไมร้ ะกำ� และไมต้ ีนเป็ด เพอื่ ใส่ กนั วา่ คนท่ีเกบ็ ไปจะตอ้ งรับเคราะห์แทน ท้งั น้ี อาหารและเครื่องเซ่นต่าง ๆ ในพธิ ีลอยเรือในวนั การลอยเคราะห์เป็นการลอยส่ิงชวั่ ร้ายไปตามน้ำ� ข้นึ ๑๕ ค่ำ� โดยมี “โตะ๊ หมอ” เป็นผนู้ ำ� ทำ� พธิ ีกรรม ใหน้ ้ำ� พดั พาสิ่งชว่ั รา้ ยไป จงึ เป็นพธิ ีทที่ ำ� ตามโอกาส ฉลองเรือ เพอ่ื ถวายแกว่ ญิ ญาณบรรพชน เช่น พธิ ี ไมม่ ฤี ดกู าลประจำ� เสกน้ำ� มนต์ ทำ� นายโชคชะตา พธิ ีสะเดาะเคราะห์ พิธีส่งวญิ ญาณบรรพชนกลบั ถ่ินฐานเดิม พร้อม พธิ ีลอยแพของชาวทะเลนอ้ ยทจ่ี งั หวดั พทั ลงุ เครื่องเซ่น และขอความสุขความโชคดีในการทำ� มาจากความเชอ่ื วา่ พระแมค่ งคาเทพแี ห่งน้ำ� สามารถ มาหากิน ช่วยป้องกนั โรคภยั ไขเ้ จ็บและความวิบตั ิต่าง ๆ ของคนได้ โดยพธิ ีลอยแพน้ีจะทำ� ในวนั ข้นึ ๑ ค่ำ� เป็นทนี่ า่ สงั เกตวา่ แมภ้ าคใตจ้ ะมแี ตป่ ระเพณี เดือน ๑๑ ดว้ ยการทำ� แพหยวกกลว้ ย แลว้ ปักเสา ลอยแพลอยเคราะห์ โดยไมม่ ปี ระเพณีลอยกระทง ทำ� เรือนบนแพเพ่ือวางกระทงของแต่ละคนท่ีใส่ ที่เก่ียวขอ้ งกบั น้ำ� แต่กพ็ บวา่ ในวนั ออกพรรษา เครื่องสกั การบชู ามีขา้ วสาร กะปิ พริก เกลอื เลบ็ กลางเดือน ๑๑ ทางภาคใตจ้ ะมีงานประเพณีใน เสน้ ผม ฯลฯ จากน้นั จึงใชเ้ รือลากจูงแพใหล้ อย
30 คติพุทธที่เก่ียวขอ้ งกบั น้ำ� อยทู่ ว่ั ๆ ไปที่เรียกกนั โฟม พลาสตกิ เหลก็ ไนลอน ฯลฯ ซ่ึงเป็นวสั ดทุ ่ี วา่ ประเพณีลากพระหรือชกั พระ เช่น ประเพณี ยอ่ ยสลายไดย้ าก มีผลต่อระบบนิเวศน้ำ� โดยตรง ชกั พระ หรือแขง่ โพน (แขง่ กลอง) จงั หวดั พทั ลงุ เป็นการสรา้ งปัญหามลพษิ ทางน้ำ� จึงมกี ารรณรงค์ ประเพณีลากพระหรือชกั พระ พ่มุ ผา้ ป่ า อำ� เภอ ใหใ้ ชว้ สั ดุธรรมชาติท่ียอ่ ยสลายไดง้ ่าย ซ่ึงถือวา่ เมืองฯ จงั หวดั สุราษฎร์ธานี ประเพณีลากพระ เป็นการสร้างจิตสำ� นึกใหมร่ ่วมกนั เพอื่ รักษาน้ำ� ที่ หรือชกั พระ จงั หวดั ปัตตานี ในประเพณีลากพระ มบี ญุ คณุ หลอ่ เล้ยี งสรรพชีวติ ท้งั คน สตั ว์ และพชื หรือชกั พระท้งั ทางน้ำ� และทางบกดงั กลา่ วน้ีมกั ให้ มาแตอ่ ดีตกาลจนปัจจุบนั และตอ่ ไปในอนาคตอีก ความสำ� คญั กบั กิจกรรมการแขง่ ขนั ร่ืนเริงเกี่ยวกบั ยาวนาน ส่วนการละเลน่ ร่ืนเริงในพธิ ีกรรมจำ� เป็น น้ำ� อยดู่ ว้ ย คอื การแขง่ เรือ เช่น ประเพณีแขง่ เรือ ตอ้ งมีสำ� นึกทางสงั คมที่จะไม่ล่วงละเมิดและเป็น ยอกอง(ภาษาทอ้ งถน่ิ เรียกเรือประมงน้ีวา่ คอฆอล) อนั ตรายต่อผอู้ ่ืนดว้ ย เพราะกิจกรรมการละเล่น จงั หวดั นราธิวาส ประเพณีแห่พระแขง่ เรือหรือข้นึ ในประเพณีลอยกระทงมกั มีพลุ พะเนียง ตะไล โขนชิงธง อำ� เภอหลงั สวน จงั หวดั ชมุ พร ประเพณี ดอกไมไ้ ฟ ฯลฯ ลากพระหรืองานเสดจ็ พระแขง่ เรือ ทแ่ี ขง่ ประกวด การตกแต่งเรือพระ ท่ีบา้ นทบั หลี แม่น้ำ� กระบุรี ประเพณีลอยกระทงยงั คงมกี ารปฏบิ ตั สิ ืบตอ่ (ช่วงคอคอดกระ) จงั หวดั ระนอง กนั มา เน่ืองจากคนทว่ั ไปสามารถเขา้ ร่วมงานได้ และไดร้ บั ความสุขสนกุ สนานร่ืนเริง ดงั เหน็ ไดจ้ าก ๘. บทสรุป เพลง “รำ� วงวนั ลอยกระทง” ท่ีครูแกว้ อจั ฉริยะกลุ แตง่ เน้ือร้อง และครูเอ้อื สุนทรสนาน แตง่ ทำ� นอง วฒั นธรรมประเพณีเป็นสิ่งทม่ี กี ารสรา้ งสรรค์ เมอื่ พ.ศ. ๒๔๙๘ กไ็ ดร้ ับความนิยมนำ� ไปร้องกนั ข้นึ ในสงั คม โดยสมั พนั ธส์ อดคลอ้ งกบั สภาพทาง เพลงน้ีมเี น้ือร้องวา่ สงั คม เศรษฐกจิ ความเชื่อ และธรรมชาตแิ วดลอ้ ม ท่ีมีการเปล่ียนแปลงตลอดเวลา วิถีวฒั นธรรม ๏ วนั เพญ็ เดอื นสบิ สอง นำ้� นองเตม็ ตลงิ่ ประเพณีจึงมีการปรับเปล่ียนเพ่ือให้เหมาะสม เราทง้ั หลายชายหญงิ สอดคลอ้ งกบั วิถีชีวิตตามยคุ สมยั ประเพณีลอย สนกุ กนั จรงิ วนั ลอยกระทง กระทงมีการเปลี่ยนแปลงคือ มีการปรับเปลี่ยน ลอย ลอยกระทง ลอย ลอยกระทง จากพิธีกรรมอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิมาเป็นงานนกั ขตั ฤกษ์ ลอยกระทงกนั แลว้ รื่นเริงมากข้นึ ประชาชนทวั่ ไปสามารถเขา้ ร่วมงาน ขอเชญิ นอ้ งแกว้ ออกมารำ� วง ได้ ทำ� ใหม้ กี ารสืบทอดประเพณียาวนาน รำ� วงวนั ลอยกระทง รำ� วงวนั ลอยกระทง บญุ จะสง่ ใหเ้ ราสขุ ใจ บญุ จะสง่ ใหเ้ ราสขุ ใจ. ปัจจุบนั กิจกรรมส�ำคญั ของประเพณีลอย กระทงทว่ั ไปกค็ อื การลอยกระทงเลก็ หรือกระทง ดเู พมิ่ เตมิ เร่ือง ประเพณีหลวงและประเพณีราษฎร์ เจมิ ของประชาชน ทใ่ี ชว้ สั ดเุ คมสี งั เคราะหป์ ระเภท เลม่ ๑๘
31 บรรณานุกรม “จดหมายเหตหุ อสาตราคม.” ใน ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๑๓ ภาคที่ ๑๙. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พค์ รุ ุสภา, ๒๕๐๗. จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั , พระบาทสมเดจ็ พระ. พระราชพธิ สี ิบสองเดือน. กรุงเทพฯ: คลงั วทิ ยา, ๒๕๐๗. ปรานี วงษเ์ ทศ. ประเพณี ๑๒ เดือน: ในประวตั ิศาสตร์สังคมวฒั นธรรมเพื่อความอยู่รอดของคน. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๘. พว่ ง บษุ รารัตน.์ “ลอยแพ: ชาวทะเลนอ้ ย.” สารานุกรมวฒั นธรรมไทย ภาคใต้ ๑๔ (๒๕๔๒). ไพโรจน์ สโมสร. “ลอยเรือไฟ.” วารสารเมืองโบราณ ๑๐ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๒๗). ภญิ โญ จิตตธ์ รรม. “ลอยเคราะห.์ ” สารานุกรมวฒั นธรรมไทย ภาคใต้ ๑๔ (๒๕๔๒). เยาวนิจ ป้ันเทียน. “ผางประทีส/ผางประทีป.” สารานุกรมวฒั นธรรมไทย ภาคเหนือ ๘ (๒๕๔๒). วนั ดี ณ สงขลา. “ลอยกระทงผกู ตีนกงุ้ ตีนกา.” สารานุกรมวฒั นธรรมไทย ภาคกลาง ๑๒ (๒๕๔๒). ศรีเลา เกษพรหม. “ลอ่ งสะเพา.” สารานุกรมวฒั นธรรมไทย ภาคเหนือ ๑๑ (๒๕๔๒). . “ลอยกระทง.” สารานุกรมวฒั นธรรมไทย ภาคเหนือ ๑๑ (๒๕๔๒). . “ลอยกระทงสาย.” สารานุกรมวฒั นธรรมไทย ภาคเหนือ ๑๑ (๒๕๔๒). ศรีศกั ร วลั ลโิ ภดม. ลอยกระทง. (เอกสารตน้ ฉบบั พมิ พด์ ีด) ศิลปากร, กรม. คำ� แปล จามเทววี งศ์ พงศาวดารเมืองหริปญุ ไชย. อนุสรณ์งานฌาปนกิจศพนายชชั แดงดีเลศิ ณ เมรุวดั สุวรรณาราม, ๒๕๑๕. สุกญั ญา ภทั ราชยั . “จองเปรียง.” สารานุกรมวฒั นธรรมไทย ภาคกลาง ๒ (๒๕๔๒). . “ลอยกระทง: ประเพณี.” สารานุกรมวฒั นธรรมไทย ภาคกลาง ๑๒ (๒๕๔๒). สุจติ ต์ วงษเ์ ทศ,บรรณาธิการ. ไม่มนี างนพมาศ ไม่มลี อยกระทง สมยั สุโขทยั . กรุงเทพฯ: ศลิ ปวฒั นธรรม, ๒๕๓๐. เสฐียรโกเศศ. ประเพณเี กย่ี วกบั เทศกาล. กรุงเทพฯ: สมาคมสงั คมศาสตร์แห่งประเทศไทย, ๒๕๐๖. เสฐียรโกเศศ-นาคะประทปี . ลทั ธธิ รรมเนยี มและประเพณขี องไทย. พระนคร:โรงพมิ พแ์ นวไทย, ๒๕๐๘. อดุ ม รุ่งเรืองศรี. “ต้งั ธมั มห์ ลวง.” สารานุกรมวฒั นธรรมไทย ภาคเหนือ ๕ (๒๕๔๒).
32
ละครดึกดำ� บรรพ33์ ศาสตราจารย์กติ ตคิ ณุ ดร.สุรพล วริ ุฬห์รักษ์ ผ้เู ขยี น ส่วนเดก็ เลก็ ละครดกึ ดำ� บรรพเ์ ป็นละครประเภทหน่ึงทป่ี รบั ปรุงมาจากละครผหู้ ญงิ ของหลวง ตวั ละครร้อง รำ� และเจรจาเอง บทละครส่วนใหญน่ ำ� มาจากบท ละครรำ� ของเดิม โดยตดั บทบรรยายตวั ละคร กิริยา อารมณ์ ฉาก และการ แตง่ กายอยา่ งละครรำ� ของเดิมออกไป ละครดึกดำ� บรรพเ์ ริ่มตน้ มาจากการแสดงดนตรีในโอกาสงานเฉลิม พระชนมพรรษาพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ใน พ.ศ. ๒๔๓๑ ตอ่ มานิยมแสดงในงานพระราชทานเล้ยี งพระราชอาคนั ตกุ ะ โดยนำ� บทละคร เดิมมาเรียบเรียงใหมแ่ ละร้องตอ่ เน่ืองกนั เป็นชุด ภายหลงั มีการจดั ผแู้ สดงให้ แต่งกายเป็นตวั ละครตามเน้ือเรื่องออกมาทำ� ท่าน่ิงเหมือนภาพประกอบเพลง
34 พระบรมวงศานุวงศท์ ี่ทรงแสดงละครภาพน่ิง (ตาโบลววิ งั ต)์ เรื่อง “นิทราชาคริต” ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ และเปลี่ยนภาพตวั ละครไปตามเน้ือเร่ือง จนในที่สุดกแ็ สดงเป็นเร่ืองเหมือน ละครทแ่ี สดงทโ่ี รงละครชอื่ “ดกึ ดำ� บรรพ”์ ผชู้ มจงึ เรียกละครแบบใหมน่ ้ีตามชอื่ โรงละครวา่ “ละครดึกดำ� บรรพ”์ ตอ่ มามบี ทละครดกึ ดำ� บรรพท์ แ่ี ตง่ ข้นึ ใหมบ่ า้ ง การแสดงแบง่ เป็นฉาก และสร้างฉากใหเ้ หมือนจริงแทนบทบรรยายฉาก มีการแตง่ กายตามทอ้ งเร่ือง ใหด้ ูสมจริง มีการรำ� เพยี งเลก็ นอ้ ยเพอ่ื ประกอบคำ� ร้องและเจรจาของตวั ละคร วงป่ี พาทยท์ บ่ี รรเลงใชเ้ ครื่องดนตรีทมี่ เี สียงนุ่มนวล เพอ่ื ไมใ่ หด้ งั กลบเสียงร้อง ของตวั ละคร ในเวลาตอ่ มาละครดึกดำ� บรรพไ์ ดพ้ ฒั นารูปแบบและเน้ือหามาจนถงึ ปัจจบุ นั
35 ส่วนเดก็ กลาง ความเป็ นมาและพฒั นาการ ละครดึกดำ� บรรพเ์ ป็นละครที่ปรบั ปรุงมาจากละครผหู้ ญงิ ของหลวงที่ประณีต ตา่ ง กนั ที่ตวั ละครร้องเอง รวมท้งั ร�ำประกอบการร้องและการเจรจา บทละครส่วนใหญ่นำ� บท ละครรำ� ของเดิมมาดดั แปลง โดยตดั บทบรรยายตวั ละคร กิริยา อารมณ์ ฉาก และการแตง่ กาย อยา่ งละครรำ� ของเดิมออกไป การแสดงละครดึกดำ� บรรพก์ ลายเป็นละครเตม็ รูปแบบโดยไดแ้ นวคิดมาจากการ แสดงอุปรากรในยโุ รปผสมผสานกบั ละครร�ำของไทย จดั แสดงที่โรงละครสร้างใหม่ของ เจา้ พระยาเทเวศร์วงศว์ วิ ฒั น์ โรงละครน้นั มชี ื่อวา่ “ดึกดำ� บรรพ”์ ผชู้ มจึงเรียกละครแบบใหม่ ตามชื่อโรงละครวา่ “ละครดึกดำ� บรรพ”์ ตอ่ มามบี ทละครดกึ ดำ� บรรพท์ แ่ี ตง่ ข้นึ ใหมบ่ า้ ง การแสดงแบง่ เป็นองกห์ รือฉาก โดย สร้างฉากใหเ้ หมือนจริงแทนบทบรรยายฉาก การแต่งกายแต่งตามทอ้ งเรื่องเพอ่ื ใหด้ ูสมจริง ส่วนการรำ� น้นั เม่ือตวั ละครร้องและเจรจาเองแลว้ จึงรำ� ทำ� บทหรือใชภ้ าษามอื เพยี งเพอื่ ประกอบ คำ� ร้องและเจรจาแตพ่ องาม วงป่ี พาทยท์ ี่บรรเลงใชเ้ ครื่องดนตรีที่มีเสียงนุ่มนวลเพอ่ื ไมใ่ หด้ งั กลบเสียงร้องของตวั ละคร ละครดึกดำ� บรรพเ์ ริ่มมาจากการแสดงดนตรีในโอกาสงานเฉลิมพระชนมพรรษา รชั กาลที่๕ในพ.ศ.๒๔๓๑ และนิยมแสดงกนั ตอ่ มาในงานพระราชทานเล้ยี งพระราชอาคนั ตกุ ะ โดยนำ� บทละครเดิมมาร้อง เรียกการแสดงน้ีวา่ “คอนเสิร์ต” ตอ่ มาไดน้ ำ� บทละครมาเรียบเรียง เป็นเรื่องและร้องตอ่ เน่ืองกนั เรียกวา่ “คอนเสิร์ตเรื่อง” หรือ “ละครมดื ” คอื มแี ตเ่ สียงไมม่ ตี วั ละคร ผชู้ มฟังแลว้ จินตนาการไปตามคำ� ร้อง ใน พ.ศ. ๒๔๓๗ มกี ารจดั ผแู้ สดงแตง่ กายเป็นตวั ละครตามเน้ือเรื่องออกมาทำ� ทา่ น่ิง ๆ เหมอื นภาพประกอบเพลง และเปลยี่ นภาพตวั ละครไปตาม เน้ือเรื่อง เรียกตามภาษาฝรง่ั เศสวา่ “ตาโบลววิ งั ต”์ (Tableau Vivant) การแสดงตาโบลววิ งั ต์ คร้งั น้นั มี ๘ ชุด คอื
36 ชุดท่ี ๑ เร่ือง พระเป็ นเจ้า ประกอบภาพฉากพระเป็นเจา้ ฮนิ ดู๓องค์ ชดุ ที่๒ เรื่อง ราชาธริ าช ประกอบภาพฉาก แบบเมยี นมา ชุดที่ ๓ เร่ือง นทิ ราชาคริต ประกอบภาพฉากแบบแขก ชดุ ที่๔ เร่ือง นางซินเดอเรลลา ประกอบภาพฉากแบบ ฝรงั่ ชุดที่ ๕ เร่ือง สามก๊ก ประกอบภาพ ฉากแบบจีน ชุดท่ี ๖ เร่ือง ขอมดำ� ดนิ ประกอบภาพฉากแบบขอม ชดุ ท่ี๗ เรื่อง พระลอ ประกอบภาพฉากแบบลาว ชดุ ท่ี ๘ เรื่อง อณุ รทุ ประกอบภาพฉากแบบไทย การปรบั ปรุงละครรำ� อนั เป็นจดุ เร่ิมตน้ ของละครดกึ ดำ� บรรพม์ ผี รู้ ่วมงานคอื สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ ๑. สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ ทรงพระนิพนธ์ บทละคร บรรจุ และปรบั ปรุงทำ� นองเพลง ออกแบบฉาก และกำ� กบั การแสดง ๒. เจา้ พระยาเทเวศร์วงศว์ วิ ฒั น์ เป็นเจา้ ของคณะละคร ทำ� หนา้ ที่อำ� นวยการทว่ั ไป เช่น สร้างโรงละคร อปุ กรณก์ ารแสดง เคร่ืองแตง่ กาย ดแู ลการฝึกซอ้ ม ๓. หลวงประดิษฐไ์ พเราะ (ตาด ตาตะนนั ทน)์ ทำ� หนา้ ท่ีประดิษฐท์ ำ� นองเพลงและ ควบคมุ วงปี่ พาทย์ ๔. หลวงเสนาะดรุ ิยางค์(ทองดี ทองพริ ุฬห)์ ทำ� หนา้ ท่ีประดิษฐแ์ ละปรบั ปรุงวธิ ีการ ร้อง รวมท้งั ควบคมุ การขบั ร้อง ๕.หมอ่ มเขม็ กญุ ชรในเจา้ พระยาเทเวศร์วงศว์ วิ ฒั น์ทำ� หนา้ ทป่ี ระดษิ ฐแ์ ละปรบั ปรุง ทา่ รำ� รวมท้งั ควบคมุ การฝึกซอ้ มตวั ละคร บทละครท่ีตีพมิ พแ์ ละนำ� ออกแสดงมี ๙ เรื่อง คอื ๑. สังข์ทอง ตอนทิง้ พวงมาลยั ตีคลี และถอดรูป ๒. คาวี ตอนเผาพระขรรค์ ชุบตวั และหึง ๓. อเิ หนา ตอนตดั ดอกไมฉ้ ายกริช ไหวพ้ ระ และบวงสรวง
37 ๔. สังข์ศิลป์ ชัย ภาคต้น ตอนตกเหว ตามหา และเห็นนิมติ ๕. สังข์ศิลป์ ชัย ภาคปลาย ตอนคนื ลำ� เนา เขา้ เมอื ง และตอ้ นรบั ๖. กรุงพาณชมทวปี ตอนกำ� เริบฤทธ์ิ และอวตาร ๗. รามเกยี รต์ิ ตอนศรู ปนขา ตสี ีดา ๘. อณุ รุท ๙. มณพี ชิ ัย ละครดึกดำ� บรรพม์ พี ฒั นาการตอ่ เน่ืองมาตามลำ� ดบั รัชกาลท่ี ๖ทรงพระราชนิพนธ์ บทละครดึกดำ� บรรพเ์ ร่ือง ศกนุ ตลา ทา้ วแสนปม และพระเกียรติรถ สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์ เธอ เจ้าฟ้าจฑุ าธุชธราดิลก กรมขนุ เพช็ รบรู ณ์อินทราชัย ทรงพระนิพนธบ์ ทละครดึกดำ� บรรพ์ เร่ืองพระยศเกตุ สองกรวรวกิ และจนั ทกินรี แตก่ ารแสดงละครดึกดำ� บรรพใ์ หไ้ ดด้ ีน้นั ยากมาก ผแู้ สดงตอ้ งเก่งท้งั ร้องและรำ� ดว้ ยเหตุน้ี การแสดงเตม็ รูปแบบจึงหาดูไดย้ าก นอกจากการ แสดงสาธิตตามสถานศกึ ษาดา้ นนาฏยศลิ ป์ เป็นคร้งั คราว ในพ.ศ.๒๕๑๑สมภพ จนั ทรประภา พยายามฟ้ืนฟกู ารแสดงละครดึกดำ� บรรพข์ ้ึนมาใหม่ โดยจดั การแสดง“ละครแนวดึกดำ� บรรพ”์ หลายเรื่อง เช่น เร่ือง นางเสือง สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ศรีธรรมาโศกราช แตผ่ ชู้ มมกั นิยมเรียกวา่ “ละครคณุ สมภพ” ปัจจบุ นั ละครดึกดำ� บรรพม์ กี ารแสดงเป็นตอนส้นั ๆในโอกาสตา่ งๆและมกี ารเรียน การสอนวชิ าการแสดงละครดึกดำ� บรรพใ์ นสถานศึกษาดา้ นนาฏยศิลป์ ละครดึกดำ� บรรพถ์ ือ เป็นศลิ ปะการแสดงช้นั สูง และเป็นมรดกทางศลิ ปวฒั นธรรมของชาติท่ีควรอนุรักษไ์ ว้ การแสดงละครดึกดำ� บรรพเ์ ร่ือง “อุณรุท” จากหนงั สือ การแสดงละครดึกดำ� บรรพเ์ ร่ือง “รามเกียรต์ิ” จากหนงั สือ พระประวตั ิและประชุมบทละคอนดึกดำ� บรรพ์ กรมศิลปากร พระประวตั ิและประชุมบทละคอนดึกดำ� บรรพ์ กรมศิลปากร
38 ส่วนเดก็ โต ๑. ความเป็ นมาของละครดกึ ดำ� บรรพ์ มกี ารปรบั ปรุงอยา่ งตอ่ เน่ืองจนกลายเป็นการแสดง ละคร บคุ คลสำ� คญั ที่ไดร้ ่วมพฒั นาคอื เจา้ พระยา ละครดึกดำ� บรรพเ์ ป็นละครประเภทหน่ึงที่ เทเวศร์วงศว์ วิ ฒั น์ เป็นผอู้ ำ� นวยการ สมเดจ็ พระเจา้ ปรับปรุงจากละครรำ� ของหลวงท่ีประณีต ตา่ งกนั บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ ทผ่ี แู้ สดงรอ้ งเอง และรำ� ไปตามบททเ่ี ป็นคำ� พดู ของ ทรงพระนิพนธบ์ ทละคร สร้างสรรคร์ ูปแบบการ ตวั ละคร ซ่ึงมที ้งั บทร้องและบทเจรจา บทละคร แสดง บรรจเุ พลง และออกแบบฉาก โดยจดั แสดง ดกึ ดำ� บรรพใ์ นสมยั แรกเริ่มไดน้ ำ� บทพระราชนิพนธ์ เป็นประจำ� ที่โรงละครช่ือโรงละคร “ดึกดำ� บรรพ”์ ท้งั ละครในและละครนอกของเดิมมาดดั แปลง ของเจา้ พระยาเทเวศร์วงศว์ วิ ฒั น์ ส่วนทเี่ รียกชื่อโรง โดยตดั บทบรรยายกิริยา อารมณ์ และความรู้สึก ละครวา่ ดึกดำ� บรรพ์ มาจากช่ือการแสดงโบราณ นึกคดิ รวมท้งั ตดั บทบรรยายฉากหรือสถานทแ่ี ละ ในพิธีอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิ คนทว่ั ไปจึงเรียกละครชนิด การแตง่ กายแบบละครรำ� ของเดิมออกไป ใหมน่ ้ีตามช่ือโรงละครวา่ “ละครดึกดำ� บรรพ”์ การแสดงละครดกึ ดำ� บรรพแ์ บง่ เป็นองกห์ รือ ๒. ยคุ ของละครดกึ ดำ� บรรพ์ ฉาก แตล่ ะฉากมีการสร้างฉากใหเ้ หมือนสถานท่ี จริงแทนบทบรรยายฉาก และเปลี่ยนฉากไปตาม ละครดึกดำ� บรรพม์ ีพฒั นาการต่อมาจนถึง ทอ้ งเร่ือง ขณะเปลย่ี นฉากจะปิ ดมา่ นหนา้ เวทีเพอ่ื ปัจจบุ นั ซ่ึงอาจแบง่ ไดเ้ ป็น ๓ ยคุ ตามลำ� ดบั คอื บงั การเปล่ียนฉาก การแต่งกายระยะแรกเป็นไป ตามแบบแผนละครรำ� ระยะต่อมามีการแต่งกาย ยคุ ท่ี ๑ เป็นยคุ แรกเร่ิมของการแสดง มีใน ตามทอ้ งเร่ืองเพอ่ื ใหด้ ูสมจริงมากข้นึ ส่วนการรำ� รชั กาลที่ ๕ แสดงตามแบบแผนละครรำ� ของหลวง น้นั เน่ืองจากตวั ละครร้องและเจรจาเองจึงรำ� ทำ� บท โดยนำ� บทละครพระราชนพิ นธม์ าปรบั ปรุงใหก้ ระชบั หรือใชภ้ าษามอื เพยี งเพอ่ื ประกอบคำ� รอ้ งและเจรจา มแี ตบ่ ทพดู ท้งั บทรอ้ งและบทเจรจาตดั บทบรรยาย ของตนแต่พองาม สำ� หรับวงป่ี พาทยท์ ี่บรรเลง ตา่ งๆอยา่ งละครรำ� ของเดมิ ออก มกี ารสรา้ งฉากอยา่ ง ประกอบการแสดงใชเ้ คร่ืองดนตรีทม่ี เี สียงนุ่มนวล สมจริงแทนการบรรยายฉาก ตวั ละครท้งั รอ้ งและรำ� เพอ่ื ไมใ่ หด้ งั จนกลบเสียงรอ้ งของตวั ละคร และเพอื่ ตา่ งจากตวั ละครรำ� ของหลวงทร่ี ำ� ทำ� บทตามนกั รอ้ ง ใหเ้ หมาะกบั การฟังในโรงแสดงท่ีปิ ดมดิ ชิด ยคุ ท่ี๒ เป็นการแสดงในรชั กาลท่ี๖ถงึ รชั กาล ละครดึกดำ� บรรพเ์ ป็นละครแบบใหม่ท่ีเกิด ท่ี ๘ ซ่ึงแสดงดว้ ยเรื่องท่ีแต่งข้ึนใหม่ การแสดง ข้ึนในรัชกาลพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ ในยคุ น้ีมีการออกแบบฉากและเคร่ืองแต่งกายให้ อยหู่ วั โดยพฒั นาจากการแสดงดนตรีในงานเล้ยี ง ดสู มจริงมากข้นึ รวมท้งั มกี ารแสดงกลางแจง้ ท่ีใช้ รบั รองในราชสำ� นกั ทไ่ี ดแ้ นวคดิ มาจากตะวนั ตก และ สระน้ำ� และเนินดินเป็นฉาก
39 สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ทรงบรรเลง ระนาดเอก ในงานวนั คลา้ ยวนั สถาปนาจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั เม่ือวนั ที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ยุคที่ ๓ เป็นการแสดงในรัชกาลท่ี ๙ ซ่ึงมี ๒.๑ ละครดกึ ดำ� บรรพ์ในยคุ ที่ ๑ ท้งั การอนุรักษก์ ารแสดงแบบยคุ แรก ๆ และการ ละครดึกดำ� บรรพใ์ นยคุ ท่ี ๑ มีกำ� เนิดและ นำ� แนวการแสดงของละครดกึ ดำ� บรรพม์ าเป็นหลกั พฒั นาการแบง่ ออกไดเ้ ป็น ๔ ระยะ คอื แสดงเรื่ององิ ประวตั ศิ าสตร์และพงศาวดาร และมี ระยะท่ี ๑ คอนเสิร์ต การออกแบบฉากและเครื่องแต่งกายใหด้ ูสมจริง คอนเสิรต์ เป็นการบรรเลงดนตรีแบบใหมข่ อง โดยสถาบนั ท่ีมีการศึกษาดา้ นศิลปะการแสดงได้ ไทย เกิดข้นึ ใน พ.ศ. ๒๔๓๑ โดยสมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้า จดั การเรียนการสอนดนตรีและละครดึกดำ� บรรพ์ กรมพระยานริศรานุวดั ตวิ งศ์ทรงไดร้ บั มอบหมาย ตลอดจนจดั การแสดงท้งั ๓ แบบข้นึ เป็นคร้ังคราว ให้อำ� นวยการจดั ต้งั กองดุริยางคท์ หารข้ึน เพ่ือ เช่น โครงการปี่ พาทยด์ ึกดำ� บรรพข์ องจฬุ าลงกรณ์ จดั แสดงการบรรเลงดนตรีไทยถวายหนา้ พระทน่ี ง่ั มหาวิทยาลยั ที่จดั การแสดงป่ี พาทยด์ ึกดำ� บรรพ์ เน่ืองในโอกาสงานเฉลิมพระชนมพรรษา รัชกาล พรอ้ มการแสดงภาพนิ่งประกอบการบรรเลงดนตรี ที่ ๕ และการเปิ ดศาลายทุ ธนาธิการเม่ือวนั ท่ี ๒๔ รวมท้งั การแสดงละครดึกดำ� บรรพใ์ นวนั สถาปนา กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๓๑ ทรงจดั แสดงการบรรเลง มหาวทิ ยาลยั ๒๖ มีนาคม ของทุกปี โดยไดร้ ับ ดนตรีไทยแบบผสมวง ท้งั วงมโหรี วงเคร่ืองสาย พระมหากรุณาจากสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ ผสมไวโอลิน และวงโยธวาทิต มีการขบั ร้อง สยามบรมราชกมุ ารี เสดจ็ ฯ มาเป็นองคป์ ระธาน ประสานเสียงโดยทหาร สำ� หรบั นกั รอ้ งหญงิ ทรงขอ และทรงร่วมบรรเลงระนาดเอก ยมื ตวั มาจากคณะละครเจา้ พระยาเทเวศร์วงศว์ วิ ฒั น์
40 และกรมมหรสพ ซ่ึงเจา้ พระยาเทเวศร์วงศว์ วิ ฒั น์ ดนตรีตะวนั ตก การแสดงกำ� หนดระยะเวลาแสดง เป็นอธิบดี นอกจากน้ี ทรงนำ� เพลงเขมรไทรโยคท่ี ประมาณ๑ชว่ั โมง เรียกตามดรุ ิยางคศพั ทข์ องไทย ทรงพระนพิ นธม์ าใชข้ บั รอ้ งและบรรเลงเป็นคร้งั แรก วา่ “เพลงตบั ” สมเดจ็ ฯกรมพระยาดำ� รงราชานุภาพ การแสดงในคร้ังน้นั ไดร้ ับความนิยมมาก รัชกาล ทรงเรียกวา่ “คอนเสิร์ตเรื่อง”แตผ่ ฟู้ ังทวั่ ไปเรียกวา่ ที่ ๕ จึงโปรดเกลา้ ฯ ใหม้ กี ารบรรเลงแบบผสมวง “ละครมืด” เพราะเมื่อฟังแลว้ เกิดจินตนาการนึก ประกอบการขบั รอ้ งประสานเสียงในงานเล้ยี งพระ เห็นภาพการแสดงโขนละครตอนน้นั ๆ กระยาหารคำ่� รบั รองพระราชอาคนั ตกุ ะอกี หลายคร้งั การบรรเลงแบบใหมน่ ้ีสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ บทคอนเสิร์ตเร่ืองเป็นพระนิพนธใ์ นสมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพทรงเรียกวา่ “คอนเสิร์ต” เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ ท่ีทรงตดั ตอน มาจากบทพระราชนิพนธใ์ นรัชกาลที่ ๒ คอื เรื่อง สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ รามเกียรต์ิ ๓ ชุด และเร่ืองอเิ หนา ๑ ชุด ดงั น้ี ทรงพระดำ� ริวา่ การประสมวงแบบปี่ พาทยไ์ มแ้ ขง็ ตีตามแบบเดิมมีเสียงดงั ขาดความนุ่มนวล การ - รามเกียรต์ชิ ุด “นางลอย” บรรเลงคร้งั แรก ขบั ร้องประสานเสียงหญิงชายก็ไม่กลมกลืนกนั เมอื่ วนั ท่ี ๑๓ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๔๑ ณ พระที่นงั่ จึงทรงจดั ประสมวงปี่ พาทยข์ ้นึ ใหม่ เป็นลกั ษณะ จกั รีมหาปราสาท ในโอกาสรบั เสดจ็ เคานตอ์ อฟตรู ิน ปี่ พาทยไ์ มน้ วม คอื เครื่องดนตรีทกุ ชิ้นเลอื กเฉพาะ [Count of Turin (ค.ศ. ๑๘๗๐-๑๙๔๖)] แห่งอติ าลี ท่ีมีแต่เสียงนุ่มและทุม้ เพ่ือใหเ้ หมาะสำ� หรับใช้ บทคอนเสิร์ตเร่ืองชดุ น้ี ภายหลงั ไดท้ รงพระนิพนธ์ บรรเลงประกอบการขบั ร้องภายในอาคาร เคร่ือง เพิ่มเติมในช่วงตน้ เพื่อใหพ้ อเหมาะกบั การแสดง ดนตรีวงปี่ พาทยท์ ี่ประสมข้ึนใหม่น้ีประกอบดว้ ย สำ� หรบั ผชู้ มไทย ระนาดเอก ระนาดทมุ้ ระนาดทมุ้ เหลก็ ฆอ้ งวง ใหญ่ ขลยุ่ เพยี งออ กลองตะโพน ๒ ลกู ตะโพน - รามเกียรต์ิชุด “พรหมาสตร์” บรรเลง กลองแขก ฉิ่ง และฆอ้ งหุ่ย ๗ ลกู ท่ีเทียบเสียงเทา่ คร้ังแรกเม่ือวนั ที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๒ ณ ฆอ้ งวงใหญ่ พระทน่ี ง่ั จกั รีมหาปราสาท ในโอกาสเล้ยี งตอ้ นรบั มองสิเออร์ดแู มร์ [MonsieurDumère(ค.ศ.๑๘๕๗- ระยะที่ ๒ คอนเสิร์ตเรื่อง หรือละครมืด ๑๙๓๒)] ผสู้ ำ� เร็จราชการอนิ โดจีน หลงั จากจดั การบรรเลงคอนเสิร์ตและไดร้ ับ ความนิยมมาไดร้ ะยะหน่ึงแลว้ สมเด็จฯ เจา้ ฟ้า - รามเกียรต์ิชุด “นาคบาศ” ปรับปรุงแกไ้ ข กรมพระยานริศรานุวดั ตวิ งศท์ รงแกไ้ ขรูปแบบการ ข้ึนเพอ่ื เตรียมบรรเลงในงานรับเสดจ็ เจา้ ชายเฮนรี บรรเลงคอนเสิร์ต โดยทรงนำ� บทละครรำ� ของเกา่ แห่งปรสั เซีย[PrinceHenryofPrussia(ค.ศ.๑๘๕๘- มาตดั ตอ่ เป็นตอนๆใหม้ ลี กั ษณะเป็นเรื่องเลา่ แลว้ ๑๙๒๙)] แต่ไม่ไดแ้ สดง สำ� หรับปี และโอกาสที่ ทรงบรรจเุ พลงขบั ร้องและเพลงหนา้ พาทยท์ ใี่ ชใ้ น บรรเลงคร้งั แรกยงั ไมส่ ามารถสืบคน้ ได้ โขนละครซ่ึงเป็ นไปตามรู ปแบบของการบรรเลง -อเิ หนาชุด“บวงสรวงวลิ ศิ มาหรา”บรรเลง คร้ังแรก เมอ่ื เดือนธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ ในการ รับเสดจ็ เจา้ ชายเฮนรี แห่งปรสั เซีย
41 ระยะที่ ๓ คอนเสิร์ตประกอบภาพคนนงิ่ ชุดที่ ๕ เร่ือง สามกก๊ ประกอบภาพฉาก ในพ.ศ.๒๔๓๗ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช แบบจีน เจา้ ฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกมุ าร โปรด เกลา้ ฯใหพ้ ระอนุชาและพระญาตทิ ย่ี งั ทรงพระเยาว์ ชุดท่ี ๖ เร่ือง ขอมดำ� ดิน ประกอบภาพฉาก แตง่ พระองคเ์ ป็นตวั ละครออกมาทำ� ทา่ น่ิง เรียกวา่ แบบขอม “ตาโบลววิ งั ต”์ (Tableau Vivant) สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้า กรมพระยานริศรานวุ ดั ตวิ งศไ์ ดร้ บั สนองพระประสงค์ ชุดที่ ๗ เรื่อง พระลอ ประกอบภาพฉาก การแสดงในคร้งั น้นั ทรงพระนิพนธบ์ ทการแสดง แบบลาว “ตาโบลววิ งั ต”์ ใหม้ ีลกั ษณะคลา้ ยการแสดงออก ภาษาของไทย รวม ๘ ชุด คอื ชุดที่ ๘ เร่ือง อุณรุท ประกอบภาพฉาก ชุดที่ ๑ เรื่อง พระเป็นเจา้ ประกอบภาพพระ แบบไทย เป็นเจา้ ฮินดทู ้งั ๓ องค์ ชุดที่ ๒ เรื่อง ราชาธิราช ประกอบภาพฉาก การแสดง“ตาโบลววิ งั ต”์ ดงั กลา่ ว แสดงให้ แบบเมียนมา เห็นวา่ “ละครมืด” พฒั นาเป็น “ละครสวา่ ง” เพยี ง ชุดท่ี ๓ เรื่อง นิทราชาคริต ประกอบภาพ แตต่ วั ละครยงั ไมอ่ อกทา่ ทางเทา่ น้นั ฉากแบบแขก ชุดท่ี ๔ เร่ือง นางซินเดอเรลลา ประกอบ ระยะที่ ๔ ละครดกึ ดำ� บรรพ์ ภาพฉากแบบฝร่งั ในพ.ศ.๒๔๓๔เจา้ พระยาเทเวศร์วงศว์ วิ ฒั น์ ตามเสด็จสมเด็จฯ กรมพระยาดำ� รงราชานุภาพ ประพาสยโุ รปและมโี อกาสชมอปุ รากรทโ่ี รงละคร ณ เมืองฮมั บรู ์ก ประเทศเยอรมนี ทรงพระดำ� ริจะ นำ� มาปรบั ปรุงกระบวนการแสดงละครรำ� ของไทย เมอ่ื เดนิ ทางกลบั ประเทศไทย ทรงกราบทลู ปรึกษา ภาพลายเสน้ แบบฉากทส่ี มเดจ็ ฯเจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ตวิ งศ์ทรงเขยี น เพอ่ื ใชใ้ นละครดึกดำ� บรรพ์ เรื่อง “อิเหนา” ตอนไหวพ้ ระ จากหนงั สือ พระประวตั ิและประชุมบทละคอนดึกดำ� บรรพ์ กรมศิลปากร
42 กบั สมเด็จฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ เจา้ พระยาเทเวศร์วงศว์ วิ ฒั น์ โดยทรงนำ� วธิ กี ารแสดงของอปุ รากรมาปรบั ปรุงและ ผสมผสานใหเ้ ขา้ กบั ละครรำ� ของไทย การปรบั ปรุง ๕. หมอ่ มเขม็ กญุ ชร ในเจา้ พระยาเทเวศร์ ละครรำ� อนั เป็นจดุ เริ่มตน้ ของ“ละครดึกดำ� บรรพ”์ วงศว์ วิ ฒั น์ ประดิษฐแ์ ละปรับปรุงท่าร�ำ รวมท้งั มผี รู้ ่วมงาน คอื กระบวนรำ� ตลอดจนควบคมุ การฝึกซอ้ มตวั ละคร ๑. สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั - ในพ.ศ.๒๔๔๒เจา้ พระยาเทเวศร์วงศว์ วิ ฒั น์ ติวงศ์ ทรงพระนิพนธ์บทละคร บรรจุเพลงและ สรา้ งโรงละครข้นึ ใหมแ่ ทนโรงละครทม่ี อี ยแู่ ตเ่ ดิม ปรับปรุงทำ� นองเพลง ออกแบบฉาก และกำ� กบั โรงละครทส่ี รา้ งข้นึ ใหมต่ ้งั อยภู่ ายในบริเวณวงั บา้ น การแสดง หมอ้ ริมถนนอษั ฎางค์และต้งั ชื่อวา่ “ดึกดำ� บรรพ”์ ซ่ึงเป็ นช่ือของการแสดงโบราณในพิธีศกั ด์ิสิทธ์ิ ๒. เจา้ พระยาเทเวศร์วงศว์ วิ ฒั น์ อธิบดีกรม และใหใ้ ชเ้ ป็นช่ือเรียกของคณะละครดว้ ย เพอื่ ไม่ มหรสพ และเป็ นเจา้ ของคณะละคร ทำ� หน้าที่ ใหค้ นทวั่ ไปเรียกคณะละครตามชื่อเดิมวา่ “คณะ อำ� นวยการโดยทวั่ ไป เช่น สร้างโรงละคร ฉาก ละครเจา้ พระยาเทเวศร์” อยา่ งแตก่ อ่ น เคร่ืองแตง่ กาย อปุ กรณก์ ารแสดง ดแู ลการฝึกซอ้ ม โรงละครดึกดำ� บรรพน์ ้ีสร้างเลียนแบบโรง ๓.หลวงประดษิ ฐไ์ พเราะ(ตาดตาตะนนั ทน)์ ละครของยโุ รปคือ มีมา่ นเปิ ดปิ ดเพอ่ื เปล่ียนฉาก ประดิษฐท์ ำ� นองเพลงและควบคมุ วงป่ี พาทย์ และสรา้ งฉากสมจริงตามทอ้ งเร่ือง จผุ ชู้ มประมาณ ๕๐๐ คน เมอ่ื สร้างโรงละครเสร็จ จึงนำ� ละครที่ ๔. หลวงเสนาะดรุ ิยางค์ (ทองดี ทองพริ ุฬห)์ ปรับปรุงรูปแบบใหม่ออกแสดง ซ่ึงไดร้ ับความ ประดิษฐแ์ ละปรับปรุงวธิ ีการร้อง รวมท้งั ควบคมุ นิยมอยา่ งแพร่หลาย คนทว่ั ไปเรียกละครรำ� รูปแบบ การขบั ร้อง ใหมน่ ้ีวา่ “ละครดกึ ดำ� บรรพ”์ ตามชื่อของโรงละคร หลวงประดิษฐไ์ พเราะ (ตาด ตาตะนนั ทน)์
43 คา่ เขา้ ชมละครดึกดำ� บรรพ์ ท่ีนง่ั ละ ๑ บาท ถวายพระราชอาคนั ตกุ ะโดยคณะละครดกึ ดำ� บรรพ์ ส่วนท่ีนง่ั เกา้ อ้ชี ุดนง่ั ได้ ๕-๖ คน ชุดละ ๒๕ บาท คร้ังสุดทา้ ย การแสดงไดร้ ับความนิยมมาก โดยมกี ารจำ� หน่าย บตั รเขา้ ชมลว่ งหนา้ หลายวนั ละครดึกดำ� บรรพจ์ ดั แสดงติดต่อกนั ที่โรง ละครดึกดำ� บรรพ์ ต้งั แต่ พ.ศ. ๒๔๔๒ จน พ.ศ. โรงละครดึกดำ� บรรพน์ อกจากจะจดั แสดง ๒๔๕๒ จึงเลิกจดั การแสดง เน่ืองจากเจา้ พระยา ละครดึกดำ� บรรพใ์ หบ้ คุ คลทว่ั ไปชมโดยเกบ็ คา่ เขา้ เทเวศร์วงศว์ วิ ฒั นล์ ม้ ป่วยและทพุ พลภาพ รวมระยะ ชมแลว้ ยงั จดั แสดงละครดึกดำ� บรรพเ์ พอื่ ตอ้ นรับ เวลาท่ีไดจ้ ดั แสดงประมาณ ๑๐ ปี ในช่วงเวลาดงั พระราชอาคนั ตกุ ะของรชั กาลท่ี๕ดว้ ย มหี ลกั ฐาน กลา่ ว สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ คอื วนั ท่ี๒๗ธนั วาคมพ.ศ.๒๔๔๒มกี ารจดั แสดง ทรงพระนิพนธบ์ ทละครดึกดำ� บรรพไ์ วห้ ลายเรื่อง ละครดกึ ดำ� บรรพถ์ วายเจา้ ชายเฮนรี พระอนุชาของ พระนิพนธ์บทละครดึกดำ� บรรพท์ ่ีมีการนำ� มาจดั พระเจา้ กรุงปรสั เซีย ในเวลาตอ่ มาไมน่ านกม็ กี าร แสดง ไดแ้ ก่ แสดงถวายเจา้ ชายวลั ดิมาแห่งเดนมาร์ก [Prince Valdemar of Denmark (ค.ศ. ๑๘๕๘-๑๙๓๙)] และ ๑. สงั ขท์ อง ตอนทงิ้ พวงมาลยั ตีคลี และ เมอื่ มพี ระราชอาคนั ตกุ ะเสดจ็ เยอื นประเทศไทย ก็ ถอดรูป มกั มหี มายกำ� หนดการเสดจ็ ฯ ทอดพระเนตรละคร ดึกดำ� บรรพเ์ สมอ เช่น การรับเสดจ็ ฮิสอมิ พเี รียล ๒. คาวี ตอนเผาพระขรรค์ ชุบตวั และหึง ไฮเนสแกรนดด์ ุกบอริสวลาดิมิโรวิชแห่งรัสเซีย ๓.อเิ หนา ตอนตดั ดอกไมฉ้ ายกริช ไหวพ้ ระ [His Imperial Highness Grand Duke Boris และบวงสรวง Vladimirovich of Russia (ค.ศ. ๑๘๗๗-๑๙๔๓)] ๔. สงั ขศ์ ลิ ป์ ชยั (ภาคตน้ ) ตอนตกเหว ตาม ฮิสรอแยลไฮเนส ปรินซอ์ าดาลเบิร์ตแห่งปรัสเซีย หา และเห็นนิมติ [His Royal Highness Prince Adalbert of Prussia (ค.ศ. ๑๘๘๔-๑๙๔๘)] และดกุ๊ ดาบรุซซีแห่งอติ าลี การแสดงละครดึกดำ� บรรพเ์ ร่ือง “สังขท์ อง” พระนิพนธ์ใน (Duke dAbruzzi of Italy) จนกระทงั่ ใน พ.ศ. สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ จากหนังสือ ๒๔๕๐ ไดม้ ีการจดั แสดงละครดึกดำ� บรรพถ์ วาย พระประวตั ิและประชุมบทละคอนดึกดำ� บรรพ์ กรมศิลปากร พระราชอาคนั ตกุ ะ ๔ พระองค์ ตอ่ เนื่องกนั คอื ฮิสรอยลั ไฮเนสปรินซเ์ ฟอดินนั ดแ์ ห่งซาวอย (His Royal Highness Prince Ferdinand of Savoy) ปรินซแ์ ห่งตรู ิน (Prince of Turin) และการแสดง ถวายปรินซ์ยอชและปรินซ์คอนรัดแห่งบาวาเรีย [Prince Georg and Prince Conrad of Bavaria (ค.ศ.๑๘๘๐-๑๙๔๓)] เป็นการจดั ละครดกึ ดำ� บรรพ์
44 ๕. สงั ขศ์ ิลป์ ชยั (ภาคปลาย) ตอนคนื ลำ� เนา ๒.การดำ� เนนิ เรื่องด้วยบทเจรจาและบทร้อง เขา้ เมือง และตอ้ นรบั ของตัวละคร ทรงเปล่ียนการดำ� เนินเรื่องอยา่ ง ๖. กรุงพาณชมทวปี ตอนกำ� เริบฤทธ์ิ และ ละครรำ� ของเดิมที่อาศยั คนร้องบรรยาย มาเป็นตวั อวตาร ละครร้องและเจรจาเอง ทรงตดั คำ� บรรยายความ ๗. รามเกียรต์ิ ตอนศรู ปนขา ตสี ีดา รู้สึกนึกคิดและกิริยาของตวั ละคร ตดั คำ� บรรยาย ๘. อณุ รุท เหตกุ ารณ์และฉากหรือสถานท่ีอยา่ งท่ีใชใ้ นละคร ๙. มณีพชิ ยั ร�ำของเดิมออกหมด ส่วนลกั ษณะคำ� ประพนั ธ์ ลักษณะของละครดึกด�ำบรรพ์ในยุค ของบทละครดกึ ดำ� บรรพน์ ้นั ทรงพระนพิ นธเ์ พมิ่ เตมิ ที่ ๑ จากทเ่ี ป็นกลอนใหม้ หี ลายประเภท เชน่ ร่าย ฉนั ท์ การปรับปรุ งละครร�ำแบบเดิมมาเป็ นละคร ท้งั ยงั ทรงนำ� เพลงพ้นื เมอื ง หรือเพลงในการละเลน่ รำ� แบบใหมท่ เ่ี รียกกนั วา่ “ละครดกึ ดำ� บรรพ”์ น้ี นบั ของเดก็ มาใช้ เพ่ือใหแ้ ปลกแตกต่าง ท้งั ในเร่ือง เป็นการปฏิรูปที่สำ� คญั ของการละครไทย เพราะมี รูปแบบ ความไพเราะ และความเหมาะสม ทรง การเปล่ียนแปลงท้งั หลกั การ ลกั ษณะการแสดง กำ� กบั ชอื่ ของตวั ละครไวท้ บี่ ทรอ้ งและบทเจรจาอยา่ ง และกลวธิ ีตา่ ง ๆ ดงั น้ี ชดั เจน แทนแบบแผนละครรำ� ของเดิม โดยข้นึ ตน้ ๑. บทละคร สมเด็จฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยา วา่ เมอื่ น้นั บดั น้นั แลว้ ตอ่ ดว้ ยช่ือตวั ละคร เช่น นริศรานุวดั ตวิ งศ์ ทรงนำ� พระราชนิพนธบ์ ทละคร “เม่ือน้นั บุษบาหน่ึงหรัด” เพอ่ื ใหท้ ราบวา่ เป็นบท รำ� ของเดิม มาแบง่ เหตกุ ารณอ์ อกเป็นตอน ๆ ตาม ของใคร นอกจากน้ียงั ทรงระบอุ ากปั กิริยาของตวั ความสำ� คญั ของเน้ือเรื่อง ในแตล่ ะตอนจะแบง่ ออก ละครสำ� หรับใชใ้ นการแสดง รวมท้งั รายละเอยี ด เป็นฉาก ๆ ตามเหตกุ ารณส์ ำ� คญั ตามทอ้ งเรื่อง ของฉากไว้ เพอ่ื ใหผ้ กู้ ำ� กบั การแสดงและตวั ละคร เขา้ ใจอารมณ์ การเคลอื่ นไหว และสถานที่ ฉากสมจริงเร่ือง“กรุงพาณชมทวปี ” ตอนพระอนิ ทร์เป่ าสงั ขป์ ลกุ พระนารายณ์ จากหนงั สือ พระประวตั ิและประชุมบทละคอน ๓. ฉากละคร การแสดงละครรำ� แตเ่ ดิมไมม่ ี ดึกดำ� บรรพ์ กรมศิลปากร การสร้างฉาก มีเพยี งมา่ นผนื ใหญก่ ้นั เป็นฉากอยู่ ดา้ นหลงั มีทางเขา้ -ออกของตวั ละครอยู่ ๒ ขา้ ง ตรงกลางเวทมี เี ตยี งต้งั อยเู่ พอ่ื ใชง้ านอเนกประสงค์ เช่น ใชเ้ ป็นพระราชอาสน์ แทน่ บรรทม กำ� แพง เมือง บทละครรำ� ของเดิมมีคำ� บรรยายฉากทำ� ให้ คนดสู ามารถจนิ ตนาการไดว้ า่ เป็นสถานทใ่ี ด และมี รูปลกั ษณะอยา่ งไร ทำ� ใหด้ ำ� เนินเรื่องไดร้ วดเร็ว ส่วนบทละครดึกดำ� บรรพแ์ บ่งการแสดงออกเป็น ตอน และตดั บทบรรยายสถานท่ีออกไป จึงมกี าร สรา้ งฉากและอปุ กรณป์ ระกอบฉากใหส้ มจริง และ
45 เปลี่ยนฉากไปตามทอ้ งเรื่อง จึงจำ� เป็นตอ้ งมีม่าน วงปี่ พาทยด์ ึกดำ� บรรพ์ จากหนงั สือ ปี่ พาทย์ดึกดำ� บรรพ์ พิมพ์ หนา้ เวทีเพอื่ ใชป้ ิ ดบงั สายตาคนดูเวลาเปล่ียนฉาก เน่ืองในโอกาสครบรอบการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ ทรง วนั ท่ี ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นนายช่างผทู้ รงมฝี ีพระหตั ถเ์ ป็นเลศิ ดงั น้นั จึง ทรงออกแบบฉากท่ีงดงามตระการตาแลดูสมจริง ความ อาจกลา่ วไดว้ า่ การรำ� ของละครดึกดำ� บรรพ์ การมฉี ากสมจริงตามทอ้ งเร่ืองเป็นจดุ เดน่ ของละคร เป็นการ“รำ� ประกอบบท”ไมใ่ ชก่ าร“รำ� ทำ� บท”หรือ ดึกดำ� บรรพ์ เพราะเป็นของแปลกใหมใ่ นยคุ น้นั “รำ� ใชบ้ ท” หรือ “รำ� ตีบท” เหมอื นอยา่ งละครใน ๔. ตัวละครร้องเอง ละครร�ำของไทยแต่ ๖. วงปี่ พาทย์ดกึ ดำ� บรรพ์ การแสดงละคร โบราณน้นั ตวั ละครร้องรำ� ตามคำ� บอกบทของคน ดกึ ดำ� บรรพใ์ ชว้ งป่ีพาทยบ์ รรเลงเชน่ เดยี วกบั ละคร บอกบทหรือทเ่ี รียกวา่ “ตน้ บท” ซ่ึงละครชาตรีและ ร�ำของเดิม แต่ปรับน้ำ� เสียงให้นุ่มนวลและเบา ละครนอกที่แสดงแกบ้ นยงั คงปฏิบตั ิกนั อยู่ แต่ เหมาะแก่การบรรเลงประกอบการขบั ร้องของตวั เนื่องจากละครดึกดำ� บรรพด์ ำ� เนินแนวทางของการ ละครในโรงละครท่ีปิ ดมดิ ชิด วงปี่ พาทยเ์ ช่นน้ีตอ่ แสดงแบบละครในและละครนอกแบบหลวง โดย มาเรียกวา่ “วงปี่ พาทยด์ ึกดำ� บรรพ”์ ประกอบดว้ ย ตวั ละครมีหนา้ ท่ีร�ำทำ� บทหรือใชภ้ าษาท่าร�ำเพียง เคร่ืองดนตรี ๑๑ ชนิด ไดแ้ ก่ ระนาดเอกตีดว้ ย อยา่ งเดียว ส่วนการขบั ร้องเป็นหนา้ ท่ีของนกั ร้อง ไมน้ วม ระนาดทมุ้ ระนาดทมุ้ เหลก็ ฆอ้ งวงใหญ่ แต่สมเด็จฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ ขลยุ่ เพยี งออหรือขลยุ่ อู้ สิ่งที่แปลกกวา่ วงป่ี พาทย์ ทรงพระนิพนธ์บทละครดึกดำ� บรรพใ์ หต้ วั ละคร อื่น ๆ กค็ ือ “กลองตะโพน” ซ่ึงใชต้ ะโพน ๒ ลกู ร้องและเจรจาเองไปพร้อมกบั การรำ� จึงเป็นเรื่อง เอาเทา้ ท่ีต้งั ออกให้เหลือแต่ตวั ตะโพน แลว้ ต้งั ยากมากทจ่ี ะหาผแู้ สดงทสี่ ามารถแสดงไดด้ ีท้งั รอ้ ง หนา้ ดา้ นใหญ่ข้ึน ติดขา้ วสุกใหเ้ สียงต่ำ� ตีแทน และรำ� ท้งั น้ี การรอ้ งของละครดึกดำ� บรรพน์ ้นั ตวั กลองทดั ฆอ้ งชยั หรือฆอ้ งหุ่ย ๗ ลกู มรี ะดบั สูงต่ำ� ละครตอ้ งใส่อารมณ์ในน้ำ� เสียงใหส้ ่ืออารมณ์ของ ต่างกนั เป็น ๗ เสียงตามเสียงฆอ้ งวง ใชต้ ีห่าง ๆ ตวั ละครท่ีเรียกวา่ “ร้องละคร” การเอ้ือนกม็ ีทาง อยา่ งเบสของดนตรีสากล นอกจากน้ียงั มตี ะโพน เฉพาะท่ีปรับใหต้ วั ละครไมต่ อ้ งเหนื่อยมาก และ กลองแขก ฉ่ิง และซออู้ สำ� หรับซออไู้ ดเ้ พม่ิ เขา้ อาจมีคนช่วยเอ้อื นอยขู่ า้ งเวที ๕.การร�ำแบบละครดกึ ดำ� บรรพ์ การรำ� แบบ ละครดึกดำ� บรรพน์ ้นั มีหลกั วา่ เมื่อตวั ละครพดู เองร้องเองแลว้ จึงรำ� ทำ� ทา่ งาม ๆ เพยี งบางทา่ เพอ่ื ประกอบบทพดู บทร้องเทา่ น้นั ไมใ่ ช่การรำ� ทำ� ทา่ โดยละเอียด เหมือนการพูดดว้ ยมืออยา่ งการร�ำ ละครใน ดงั น้นั เมอื่ ตวั ละครพดู หรือร้องเองแลว้ กไ็ มจ่ ำ� เป็นตอ้ งทำ� ทา่ รำ� ซ้ำ� คำ� พดู น้นั ทกุ คำ� หรือทกุ
46 มาภายหลงั เมอื่ จดั แสดงเร่ืองคาวี และสงั ขศ์ ลิ ป์ ชยั ๘. ระบำ� ในละคร ระบำ� ในละครน้นั มมี าแต่ เพอ่ื ใชส้ ีเคลา้ เพลงหุ่นกระบอกและเป็นการสีผสม เดิม แตม่ กั เป็นระบำ� ชุดเดิม ๆ ท่ีคนุ้ ตาผชู้ ม เช่น วง ไมใ่ ช่สีคลอการขบั ร้องอยา่ งหุ่นกระบอก “ระบำ� ส่ีบท” ดงั น้นั สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยา นริศรานุวดั ตวิ งศจ์ งึ ทรงพระนิพนธบ์ ทระบำ� ใหม่ๆ ๗. การแต่งหน้า ละครรำ� ของเดิมมีวธิ ีการ แทรกไวใ้ นการแสดงละครดึกดำ� บรรพ์ โดยการ แต่งหนา้ ตวั ละครเป็นแบบแผนเดียวกนั กลา่ วคือ ออกแบบใหร้ ะบำ� เป็นส่วนหน่ึงของการดำ� เนินเรื่อง เริ่มตน้ ดว้ ยการลงน้ำ� มนั ตานีบาง ๆ ทว่ั ใบหนา้ จึงมรี ะบำ� ชุดใหม่ ๆ หลายชุดในละครดึกดำ� บรรพ์ เหมือนการทารองพ้นื ในปัจจบุ นั แลว้ ผดั แป้งฝ่นุ เช่น “ระบำ� ดาวดึงส์” ในเรื่อง สังข์ทอง “ระบำ� ของจีนทบั เพอื่ ใหใ้ บหนา้ ขาวนวลเนียน เขยี นควิ้ เหมราช” ในเรื่อง สังข์ศิลป์ ชัย “ระบำ� มอญแปลง” ดว้ ยถา่ นที่ทำ� จากกะลามะพร้าวเผาไฟ จากน้นั ทำ� ในเร่ือง คาวี ระบำ� เหลา่ น้ีจดั ไวใ้ นฉากสุดทา้ ยใหม้ ี ปากใหแ้ ดงดว้ ยการเมม้ ริมฝีปากกบั กระดาษสีแดง กระบวนฟ้อนรำ� งดงาม ทกุ เร่ืองใชต้ วั ระบำ� จำ� นวน ของจีนที่เรียกวา่ “ลิน้ จ่ี” เพราะมีสีแดงสดคลา้ ยสี มากเพอื่ ใหต้ ระการตา ผชู้ มจะไดจ้ ดจำ� ไปอกี นาน ของเปลอื กผลลนิ้ จ่ี แตล่ ะครดึกดำ� บรรพม์ วี ธิ ีแตง่ อน่ึง ทา่ รำ� สำ� หรับระบำ� เหลา่ น้ีออกแบบดว้ ยทา่ รำ� หนา้ ตวั ละครแตกต่างไปจากละครร�ำของเดิมคือ งาม ๆ และมคี วามหมายพอเป็นนยั ไมไ่ ดใ้ ชท้ า่ รำ� แต่งหนา้ ใหด้ ูงามสมจริงตามธรรมชาติ สมเดจ็ ฯ ทำ� บทตรง ๆ อยา่ งทา่ รำ� ละคร ทา่ รำ� ระบำ� ที่นบั วา่ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ตวิ งศท์ รงเป็นจิตรกร เป็นแบบฉบบั อนั งดงามที่สุดชุดหน่ึงคือ ทา่ รำ� ใน จงึ ทรงแตง่ เสน้ ใบหนา้ ใหส้ มอายุ หากเป็นอมนุษย์ ระบำ� ดาวดึงส์ ซ่ึงออกแบบทา่ รำ� และการแปรแถว เชน่ ยกั ษ์ กท็ รงใชก้ ารเขยี นหนา้ ใหด้ เู ป็นยกั ษแ์ ทน โดยหมอ่ มเขม็ กญุ ชร การสวมหวั โขน การแต่งหนา้ แต่งตวั และการแสดงระบำ� ในละครดึกดำ� บรรพ์ การแต่งหนา้ แต่งตวั ของตวั ละครดึกดำ� บรรพเ์ ร่ือง “นางเสือง” เรื่อง“สงั ขศ์ ลิ ป์ ชยั ”ตอนศรีสนั ทเ์ ก้ยี วนางศรีสุพรรณ จากหนงั สือ แสดง ณ ศูนยว์ ฒั นธรรมแห่งประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ พระประวตั ิและประชุมบทละคอนดึกดำ� บรรพ์ กรมศิลปากร
47 บทร้องระบำ� ดาวดงึ ส์ ปี่ พาทยท์ ำ� เพลงเหาะ-รวั ร้ องเพลงตะเขิ่ง เปน็ ทอี่ ยสู่ ำ� ราญฤทยั หรรษ์ ดาวดงึ สเ์ ทวโลกมโหฬาร สารพดั งามจรงิ ทกุ สงิ่ อนั สารพนั อดุ มสมใจปอง เทพบตุ รผดุ พรรณโฉมยง งามทรงอาภรณไ์ มม่ หี มอง นางอปั สรงอนสงวนนวลละออง งามทรงเครอ่ื งทองและเพชรนลิ ร้ องเพลงแขกเจ้ าเซน็ ทรงวชริ าวธุ ธนศู ลิ ป์ สมเดจ็ พระอมรนิ ทรป์ น่ิ มงกฎุ อสรุ นิ ทรอ์ รไิ มบ่ ฑี า รกั ษาเทวสมี าเปน็ อาจณิ ทรงงามสงู เงอื้ มกลางเวหา อนั อนิ ทรปราสาททง้ั สาม สมี่ ขุ หมุ้ มาศสะอาดตา ใบระกาแกมแกว้ ประกอบกนั ชอ่ ฟา้ ชอ้ ยเฟอ้ื ยเฉอื่ ยชด บราลที ล่ี ดมขุ กระสนั มขุ เดจ็ ทองดาดกนกพนั ราชยานเวชยนั ตร์ ถแกว้ บษุ บกสวุ รรณชามพนู ท แอกงอนออ่ นสลวยชวยชด เพรศิ แพรว้ กำ� กงอลงกต รายรปู สงิ อดั หยดั ยนั เครอื ขดชอ่ ตงั้ บลั ลงั กล์ อย ดมุ พราววาววบั ประดบั พลอย สบุ รรณจบั นาคหว้ิ เศยี รหอ้ ย เทยี มดว้ ยสนิ ธพเทพบตุ ร แปรกแกว้ กาบชอ้ ยสะบดั บงั มาตลอี าจขขี่ บั ประดงั ทงั้ สบี่ รสิ ทุ ธดิ์ งั สสี งั ข์ ใหร้ บี รดุ สดุ กำ� ลงั ดงั ลมพา ปี่ พาทยท์ ำ� เพลงรัว ๙. ผู้แสดง แมว้ ่าละครดึกดำ� บรรพจ์ ะมุ่ง คณะละครดึกดำ� บรรพถ์ า้ ยงั มีการจดั แสดง ความสมจริงมากกวา่ ละครรำ� ของเดิม แตผ่ แู้ สดง น่าจะมกี ลวธิ ีทใ่ี ชใ้ นการแสดงเพมิ่ ข้นึ และแตกตา่ ง ละครดึกดำ� บรรพใ์ นระยะแรกเริ่มยงั คงเป็นผหู้ ญงิ ไปจากท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ อีกมาก ดงั ที่นกั วิชาการ ซ่ึงพกั อาศยั อยใู่ นบา้ นเจา้ พระยาเทเวศร์วงศว์ วิ ฒั น์ หลายคนไดก้ ล่าวยืนยนั ถึงพระดำ� ริของสมเด็จฯ ผหู้ ญงิ เหลา่ น้นั สามารถร้องและรำ� ได้ เพราะบา้ น เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ ท่ีจะใหม้ ีการ ของเจา้ พระยาเทเวศร์วงศว์ วิ ฒั นเ์ ป็นกรมมหรสพ ปรบั ปรุงละครดกึ ดำ� บรรพ์ เชน่ หมอ่ มเจา้ สุภทั รดศิ ซ่ึงทำ� หนา้ ท่ีจดั การแสดงอยูแ่ ลว้ ทำ� ให้ไม่ตอ้ ง ดิศกลุ รับสง่ั ในรายการ “อนุรักษม์ รดกไทย” เมื่อ ฝึกหดั กนั มาก อาจกลา่ วไดว้ า่ ละครดกึ ดำ� บรรพใ์ น วนั ที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๙ ว่า หากทรงมี ยคุ แรกใชผ้ หู้ ญงิ แสดง ยกเวน้ ตวั เบด็ เตลด็ ทตี่ อ้ งใช้ เรี่ยวแรงกจ็ ะพฒั นาตอ่ ไป เพราะวทิ ยาการกา้ วหนา้ กำ� ลงั จึงใชผ้ ชู้ ายแสดง ทนั สมยั มากข้นึ
48 หมอ่ มหลวงบญุ เหลือ เทพยสุวรรณ กลา่ ว ๓. คณะละครของสมเด็จฯ เจา้ ฟ้าจุฑาธุช ไวใ้ นบทความเร่ือง การละครของไทย วา่ ท่าน ธราดิลก กรมขนุ เพช็ รบรู ณอ์ นิ ทราชยั ไดย้ นิ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ มีพระดำ� รัสวา่ เม่ือคร้ังเล่นละครดึกดำ� บรรพน์ ้นั ๔. คณะละครของเจา้ คณุ พระประยรุ วงศ์ ทรงทดลองเลน่ หลายอยา่ งแลว้ กย็ งั ไมพ่ อพระทยั (เจา้ คณุ จอมมารดาแพ) จึงมีพระดำ� ริจะปรับปรุงแกไ้ ขใหม่อีกหลายอยา่ ง สมภพ จนั ทรประภา ผแู้ ตง่ บทละครดึกดำ� บรรพ์ คณะละครที่กล่าวมาน้ีไม่ไดจ้ ดั แสดงละคร ในรัชกาลปัจจุบนั ไดก้ ล่าวไวใ้ น คำ� นำ� บทละคร ดึกดำ� บรรพอ์ ย่างสม่ำ� เสมอ แต่จะจดั แสดงเป็ น เร่ืองนางเสือง ความว่า ตอนปลายพระชนมายุ คร้งั คราวตามความประสงคข์ องเจา้ ของคณะละคร สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ ทรง และวธิ ีการแสดงกไ็ มไ่ ดด้ ำ� เนินตามรูปแบบละคร พระดำ� ริวา่ ถา้ นำ� ละครดึกดำ� บรรพม์ าเลน่ ใหมใ่ น ดึกดำ� บรรพเ์ ดิม เช่น ตวั ละครไม่ไดข้ บั ร้องเอง สมยั ท่ีวทิ ยาศาสตร์กา้ วหนา้ มีแสงเสียงประกอบ และวธิ ีร้องกไ็ มไ่ ดย้ ดึ ตามแบบละครดึกดำ� บรรพ์ จะทรงทำ� ใหส้ นุกและรวบรดั ใหเ้ หน็ จริงมากกวา่ ท่ี ทรงเคยทำ� มา รัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้า เจ้าอย่หู วั (พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๔๖๘) เมอ่ื คณะละครของเจา้ พระยาเทเวศรว์ งศว์ วิ ฒั น์ เลกิ แสดงแลว้ ถอื ไดว้ า่ พฒั นาการของละครยคุ ที่ ๑ ในยคุ น้ีไดเ้ กิดบทละครดึกดำ� บรรพใ์ หม่อีก สิ้นสุดลง ผแู้ สดงในคณะบางคนไดไ้ ปเป็นครูสอน หลายเร่ือง ท้งั ทแี่ ตง่ ใหมแ่ ละปรบั ปรุงจากวรรณคดี ขบั รอ้ งและฟ้อนรำ� ของคณะละครตา่ งๆ เชน่ คณะ ท่ีมีอยเู่ ดิม ผูท้ ่ีแต่งบทละครดึกดำ� บรรพข์ ้ึนใหม่ ละครของพลเรือเอก สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ ไดแ้ ก่ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เจา้ ฟ้าอษั ฎางคเ์ ดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้าจฑุ าธุชธราดิลก กรมขนุ เพช็ รบรู ณ์ คณะละครสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้าจฑุ า- อินทราชยั และมหาเสวกโท พระยาศรีภูริปรีชา ธุชธราดิลก กรมขนุ เพช็ รบรู ณอ์ นิ ทราชยั เป็นเหตุ (กมล สาลกั ษณ์) บทละครเหล่าน้ีมีหลายเร่ืองที่ ใหล้ ะครดึกดำ� บรรพแ์ พร่หลายและมีการสืบทอด เดิมเป็ นบทละครร�ำ แลว้ นำ� มาปรับปรุงใหเ้ ป็ น ตอ่ มา บทละครร้องแต่มีการร�ำดว้ ย ซ่ึงกค็ ือ บทละคร ดึกดำ� บรรพน์ น่ั เอง ๒.๒ ละครดกึ ดำ� บรรพ์ในยคุ ที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๕๒-๒๔๘๙ ๑. พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้า อย่หู วั คณะละครท่ีจดั แสดงละครดึกดำ� บรรพใ์ น ยคุ ท่ี ๒ มี ๔ คณะ คอื พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรง พระราชนิพนธบ์ ทละครดึกดำ� บรรพ์ ๓ เรื่อง คือ ๑. คณะละครของหลวง ศกนุ ตลา ทา้ วแสนปม และพระเกียรตริ ถ ๒. คณะละครวงั สวนกหุ ลาบ ของสมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้าอษั ฎางคเ์ ดชาวธุ กรมหลวงนครราชสีมา ๑. ศกุนตลา ส�ำนวนท่ี ๓ พ.ศ. ๒๔๖๒ และ ส�ำนวนท่ี ๔ พ.ศ. ๒๔๖๓ (บทละครเร่ือง ศกนุ ตลา สำ� นวนท่ี ๑ และสำ� นวนท่ี ๒ รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์ เป็นบทละครรำ� แบบด้งั เดิม
49 ไมม่ กี ารแบง่ เป็นฉาก มบี ทบรรยายและบทพรรณนา ๒. สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า ต่าง ๆ) ทรงนำ� สำ� นวนท่ี ๑ และสำ� นวนที่ ๒ มา จฑุ าธชุ ธราดลิ กกรมขนุ เพช็ รบรู ณ์อนิ ทราชัย ปรบั ปรุงเป็นสำ� นวนท่ี ๓สำ� หรบั แสดงในรูปแบบ (พ.ศ. ๒๔๓๕-๒๔๖๖) ละครดึกดำ� บรรพ์ ตอ่ มาทรงปรบั ปรุงใหมอ่ กี คร้ัง เป็นสำ� นวนที่๔เพอ่ื ใหข้ า้ ราชการหญงิ กรมมหรสพ บทละครดกึ ดำ� บรรพท์ ท่ี รงพระนิพนธน์ ้นั มี นำ� มาใชแ้ สดงในงานร่ืนเริงของทวยนาครดสุ ิตธานี จดุ มงุ่ หมายเพอ่ื จดั แสดงตามแบบละครดกึ ดำ� บรรพ์ (ประชาชนของนครดุสิตธานีที่ทรงจดั ต้งั ข้ึนเพื่อ ของคณะละครเจา้ พระยาเทเวศร์วงศว์ ิวฒั น์ แต่ ทดลองระบอบประชาธิปไตย) ณ สวนศวิ าลยั จดั เป็นการแสดงกลางแจง้ ใชบ้ รรยากาศธรรมชาติ แสดงคร้ังแรกเมอ่ื วนั ท่ี ๒๙ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ ของวงั เพช็ รบูรณ์ท่ีตกแตง่ ใหม้ ีสระใหญน่ อ้ ยและ การแสดงคร้ังน้ีมีผชู้ ายร่วมแสดงเป็นตวั ประกอบ เนินดินเป็นสถานทจี่ ดั แสดง นบั เป็นปรากฏการณ์ หลายคน ส่วนคร้งั ที่ ๒ใชผ้ หู้ ญงิ แสดงลว้ นแสดง สำ� คญั อกี ประการหน่ึงของประวตั ศิ าสตร์การละคร เมอ่ื วนั ท่ี ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ ไทย เร่ืองที่ทรงพระนิพนธม์ ดี งั น้ี ๒. ท้าวแสนปม พ.ศ. ๒๔๕๖ รัชกาลที่ ๖ ๑. พระยศเกตุ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้าจุฑาธุชธรา- ทรงปรบั ปรุงบทละครรำ� เป็นบทละครดึกดำ� บรรพ์ ดิลก กรมขนุ เพช็ รบรู ณอ์ นิ ทราชยั ทรงพระนิพนธ์ โดยแบง่ การแสดงเป็น ๓ องก์ ๗ ตอน จดั แสดง เรื่องพระยศเกตเุ มอื่ เดือนกมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๖๒ คร้งั แรกณพระราชนิเวศนม์ ฤคทายวนั อำ� เภอชะอำ� โดยอาศยั เคา้ โครงเร่ืองจากนิทานเวตาล เรื่องท่ี ๘ จงั หวดั เพชรบรุ ี ในโอกาสเฉลมิ ฉลองพระชนมายุ เพอื่ แสดงในงานฉลองพระตำ� หนกั ใหม่ มีเวทีอยู่ พระนางเจา้ สุวทั นา พระวรราชเทวี การแสดงคร้ัง ขา้ งสระน้ำ� และสรา้ งฉากในน้ำ� มฉี ากเรือแลน่ ในน้ำ� น้นั ใชผ้ แู้ สดงเป็นหญิงลว้ น และรัชกาลที่ ๖ ทรง แสดงแบบละครดกึ ดำ� บรรพ์ แตต่ วั ละครไมไ่ ดร้ อ้ ง แสดงเป็นตาเฒา่ เฝา้ อทุ ยานไตรตรึงษ์ เอง เมอื่ มกี ารนำ� บทละครดึกดำ� บรรพพ์ ระนิพนธ์ ๓. พระเกยี รตริ ถ พ.ศ. ๒๔๖๘ ในช่วงน้นั การแสดงละครดึกดำ� บรรพเ์ ร่ือง “พระยศเกตุ” พระนางเจา้ สุวทั นา พระวรราชเทวี ทรงพระครรภ์ โดยศิลปิ นกรมศิลปากร ใกลจ้ ะมีพระประสูติกาล รัชกาลที่ ๖ จึงทรง ปรับปรุงบทละครรำ� เรื่อง “พระเกียรติรถ” ใหเ้ ป็น บทละครดึกดำ� บรรพ์เพอ่ื แสดงในงานพระราชพธิ ี สมโภชเดือนพระราชโอรส มพี ระราชประสงคใ์ ห้ มีวงเคร่ืองสายผชู้ ายประกอบการแสดงอยบู่ นเวที ดว้ ย โปรดเกลา้ ฯ ให้ซ้อมดนตรี ณ โรงละคร จติ รลดาสภาคาร พระตำ� หนกั จติ รลดารโหฐาน แต่ สวรรคตเสียกอ่ น จึงไมไ่ ดจ้ ดั แสดง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298