Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_29

tripitaka_29

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:39

Description: tripitaka_29

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 51ตนเอง และแลนไปสูสิ่งทส่ี มมตกิ นั วา เปน จริงของโลก. แมใ นบทมีเสมหะเปน สมฏุ ฐานเปนอาทิ กน็ ัยน้ีเหมอื นกัน. สวนบทวา สนฺนิปาติกานิในบทวา สนนฺ ปิ าตสมุฏ านานิป น้ี เกิดข้นึ แลว เพราะการกาํ เริบแหงดีเปนตน แมท้งั สาม. บทวา อตุ ปุ ริณามชานิ คอื เกดิ แตฤ ดูเปลย่ี นยอมเกดิ ขน้ึ แกชาวชงั คลเทศ เม่อื อยใู นอนุประเทศ. ความเปลยี่ นฤดูยอมเกดิ ข้นึ ดว ยสามารถมฝี ง มณสี มทุ รเปน ตนอยา งนวี้ า เมื่อชาวอนุประเทศอยูในชงั คลเทศ. บทวา ตโต ชาตา ไดแ ก เกดิ แตเปลยี่ นฤดู. บทวา วสิ มปริหารชานิ ความวา เกดิ แตการรักษาตัวไมส มาํ่ เสมอในการรบั ภาระหนกั โดยมีการทุบเปน ตน . หรอื เม่ือเท่ียวไปผดิ เวลา โดยมกี ารถกู งกู ดั และตกบอ เปนตน. บทวา โอปกกฺ มภิ านิ ความวา เกิดข้นึเพราะถอื วา ผนู ้เี ปนโจร หรอื เปน ทาริกาของผอู ืน่ แลว จึงทาํ รา ยดว ยการเอาเขา ศอกและไมคอนเปนตน โบยใหเปนปจจยั . บางคน ถกู ทํารายในภายนอกนน้ั แลว ยอมทาํ กุศล โดยนัยอนั กลาวแลว แล. บางคนทําอกศุ ล. บางคนยอ มนอนอดกล้นั อย.ู บทวา กมฺมวิปากชาตานิ คอื เกิดแตผ ลของกรรมอยางเดยี ว. กเ็ ม่อื กรรมวบิ ากเหลา นนั้ เกิดขน้ึ แลว บางคนยอมทาํ กศุ ล บางคนยอมทาํ อกุศล บางคนยอ มนอนอดกลั้นอยู. ก็เวทนา๓ อยา ง ยอ มมใี นวาระท้ังปวงอยางน.้ี ในเวทนาเหลานั้น เวทนาอันเปน ไปในสรีระซ่งึ เกดิ ขน้ึ ดว ยเหตุ ๗อยางขา งตน ใคร ๆ กอ็ าจเพ่อื จะหา มได แตเ ภสัชทัง้ ปวงก็ดี เคร่อื งปองกนักด็ ี กไ็ มสามารถเพอ่ื กาํ จัดเวทนาอันเกิดแตผลของกรรมไดเ ลย. ชื่อวาโลกโวหาร พระองคไ ดตรัสแลว ในพระสตู รน.้ี จบอรรถกถาสิวกสตู รที่ ๑

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 52 ๒. อักฐสตปริยายสตู ร วาดวยพระพทุ ธองคทรงแสดงประแหงเวทนา [๔๓๐] ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย เราจกั แสดงธรรมปริยายอันมีปรยิ ายตางๆ ๑๐๘ แกเ ธอทงั้ หลาย เธอทงั้ หลายจงฟงธรรมปริยายนน้ั ก็ธรรมปริยายอันมีปรยิ าย ๑๐๘ เปนไฉน. ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย โดยปริยายหน่งึเรากลาวเวทนา ๒ กม็ ี โดยปรยิ ายหน่งึ เรากลา วเวทนา ๓ กม็ ี โดยปรยิ ายหน่งึ เรากลาวเวทนา ๑๘ ก็มี โดยปรยิ ายหนงึ่ เรากลาวเวทนา๓๖ มี โดยปริยายหน่ึง เรากลาวเวทนา ๑๐๘ ก็ม.ี [๔๓๑] ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย ก็เวทนา ๒ เปนไฉน. เวทนา ๒คือ เวทนาทางกาย ๑ เวทนาทางใจ เหลา น้เี ราเรยี กวา เวทนา ๒. [๔๓๒] ก็เวทนา ๓ เปน ไฉน. เวทนา ๓ คอื สขุ เวทนา.ทกุ ขเวทนา ๑ อทกุ ขมสขุ เวทนา ๑ เหลาน้เี ราเรยี กวา เวทนา ๓. [๔๓๓] ก็เวทนา ๕ เปน ไฉน. เวทนา ๕ คือ สขุ นิ ทรยี  ๑ทุกขนิ ทรีย ๑ โสมนัสสินทรยี  ๑ โทมนสั สนิ ทรีย ๑ อเุ บกขนิ ทรีย ๑เหลานี้ เราเรยี กวา เวทนา ๕. [๔๓๔] ก็เวทนา ๖ เปน ไฉน. เวทนา ๖ คือ จักขุสมั ผสั สชาเวทนา ๑ โสตสัมผสั สชาเวทนา ๑ ฆานสัมผัสสชาเวทนา ๑ ชวิ หาสัม-ผัสสชาเวทนา ๑ กายสัมผัสสชาเวทนา ๑ มโนสมั ผสั สชาเวทนา ๑ เหลาน้ีเราเรียกวา เวทนา ๖.

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 53 [๔๓๕] ก็เวทนา ๑๘ เปน ไฉน. เวทนา ๑๘ คือ เวทนาที่สหรคตดวยโสมนัส ๖ เวทนาทีส่ หรคตดว ยโทมนสั ๖ เวทนาทส่ี หรคตดว ยอเุ บกขา ๖ เหลา น้ี เราเรียกวาเวทนา ๑๘. [๔๓๖] กเ็ วทนา ๓๖ เปนไฉน. เวทนา ๓๖ คือ เคหสติ โสมนัส ๖เนกขมั มสิตโสมนัส ๖ เคหสติ โทมนสั ๖ เนกขัมมสิตโทมนสั ๖ เคหสิ-อเุ บกขา ๖ เนกขมั มสิตอุเบกขา ๖ เหลา น้ีเราเรียกวาเวทนา ๓๖. [๔๓๗] เวทนา ๑๐๘ เปน ไฉน. เวทนา ๑๐๘ คอื เวทนาที่เปนอดตี ๓๖ ท่เี ปน อนาคต ๓๖ ทีเ่ ปนปจ จุบนั ๓๖ เหลา น้ี เราเรียกวาเวทนา ๑๘ ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย ธรรมปริยายอันมีปริยาย ๑๘ แมน ้แี ล. จบ อัฏฐสตปรยิ ายสูตรที่ ๒ อรรถกถาอัฏฐสตปริยายสูตรที่ ๒ พึงทราบวินิจฉยั ในอฏั ฐสตปรยิ ายสตู รท่ี ๒ ดังตอ ไปนี้ . บทวา อฏสตปริยาย คือเปนเหตุ ๑๐๘ บทวา ธมฺมปริยายคอื เหตแุ หง ธรรม. ในบทวา กายิกา จ เจตสิกา จ น้ี เวทนาทางกายยอมไดในกามาวจรเทา น้นั . เวทนาทางใจ กเ็ ปน ไปในภมู ิ ๔. สขุ เวทนาในบทเปน อาทิวา สุขา ยอมไมม ใี นอรูปาวจร แตยอ มไดใ นภูมิ ๓ ที่เหลอื .ทกุ ขเวทนา จัดเปนกามาวจร. เวทนานอกน้ี กเ็ ปน ไปในภูมิ ๔. ในหมวด๕ สขุ นิ ทรีย ทุกขินทรยี  โทมนสั สินทรยี  จัดเปนกามาวจร. โสมนสัสินทรีย เปนไปในภมู ิ ๓. อเุ บกขินทรยี  เปนไปในภมู ิ ๔.

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 54 ในหมวด ๖ เวทนาในทวาร ๕ จัดเปนกามาวจร. เวทนาในมโนทวาร เปนไปในภมู ิ ๔ ในหมวด ๑๘ ในอารมณอ นั นา ปรารถนา ๖ช่ือวา โสมนัสสุปวิจาร เพราะอรรถวายอ มเขาไปไตรตรองกันดว ยโสมนัส.แมในสองบททเ่ี หลอื กม็ นี ัยน้เี หมอื นกัน. เทศนาน้ีมาแลว ดวยสามารถแหง วิจารดวยประการดงั น้ี. แตพ งึ ทราบเวทนา ๑๘ ในท่ีน้ี ดวยสามารถแหง โสมนสั เปน ตน อันสมั ปยุตดว ยวิจารน้ัน. พึงทราบในบทเปน อาทวิ า ฉ เคหสติ านิ โสมนสสฺ านิ ความวาโสมนัสอาศัยกามคุณ อันทานกลาวแลวในทวาร ๖ อยางนีว้ า เม่ือระลกึถงึ การได โดยการไดแหง รูปอันพึงรดู วยจกั ษุ อันนา ปรารถนา นา ใครนาพอใจ นา รนื่ รมยแหงใจ อันประกอบดวยโลกามิส หรอื เมอ่ื ระลกึ ถงึสง่ิ ท่ลี ว งไปแลว ดบั ไปแลว เปลีย่ นแปลงไปแลว ซ่งึ ตนเคยไดแลว ในอดีตโสมนัส ก็ยอ มเกดิ ข้ึน. โสมนัสเห็นปานนี้ ทา นเรยี กวา เคหสติ โสมนัสโสมนัสอาศยั เรอื น ช่อื วาโสมนัสอาศัยเรือน ๖. เมื่อสามารถเพ่ือใหข วนขวายเริ่มวิปส สนาดวยสามารถความไมเท่ยี งเปนตน เกดิ โสมนัสวา วปิ สสนา อันเราขวนขวายแลว ดงั น้ี โสมนัสเกดิ ข้ึนแลว เม่ืออารมณ อันนาปรารถนาไปปรากฏในทวาร ๖ อยางนวี้ ากแ็ ล เมื่อรูแ จง วา รูปท้ังหลายไมเ ที่ยง กพ็ ิจารณาเห็นอยูซงึ่ ความแปรปรวนคลายกําหนัดและดับเสียได ดวยปญ ญาอันเห็นชอบตามเปนจรงิ น้ัน อยา งน้ีวา รปู ท้งั หลายในอดตี ก็ดี ในปจ จบุ ันก็ดี รปู เหลา นนั้ ทั้งปวง ก็ไมเ ทีย่ งเปนทุกข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดาดงั นี้ โสมนสั ก็ยอมเกดิ ข้ึน.โสมนสั เห็นปานน.ี้ ทา นเรียกวา เนกขมั มสิตโสมนัส โสมนัสอาศยัการออกจากกาม ช่ือวา โสมนัสอาศยั การออกจากกาม ๖.

พระสตุ ตันตปฎก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 55 โทมนัสอาศัยกามคุณ อนั เกดิ ขึน้ แลวแกผ ตู รึกอยูว า เราจกั ไมเ สวยจะไมเ สวยอารมณ อันนาปรารถนาดังนี้ ในทวาร ๖ อยา งน้ีวา เมือ่พิจารณาเห็นอยูซ ึ่งการไมไ ด โดยการไมไ ดแ หงรูปทงั้ หลาย พึงรูดวยจักษุอนั นาปรารถนา นาใคร นา พอใจ นาร่นื รมยแ หงใจ อันประกอบดวยโลกามิส หรือเมือ่ พิจารณาเห็นอยู ซึง่ ส่งิ ทลี่ ว งไปแลว ดับไปแลว เปลีย่ นแปลงไปแลว ซ่ึงอนั ตนยงั ไมเคยไดแ ลวในอดตี โทมนัส กย็ อมเกิดขึ้นโทมนสั เหน็ ปานน้ี ทา นเรยี กวา เคหสิตโทมนัส โทมนสั อาศยั การอยูครองเรอื นดงั นี้ ชื่อวา โทมนสั อาศยั การอยูค รองเรอื น ๖. สวน ภกิ ษุผรู ูแจง วารูปท้งั หลายไมเทยี่ ง เห็นซง่ึ ความแปรปรวนคลายกาํ หนัด และดบั เสียไดดวยปญญา อนั ชอบตามเปน จรงิ น้นั อยา งน้ีวา. รปู ท้งั หลายในอดตี ก็ดี ในปจจุบันก็ดี รปู เหลา นั้นทั้งปวงก็ไมเ ท่ยี งเปนทกุ ข มีความแปรปรวนไปเปนธรรมดาดงั นี้ ยอมยงั ความพยายามใหเขาไปต้งั อยู ในวิโมกข อนั ยอดเยยี่ มวา เมือ่ ไรเราน้จี ักเขาตทายตนะ(เหตใุ หจ ติ หลดุ พน อยู ). พระอริยะทง้ั หลาย ยอมเขาอายตนะอยดู ังน้.ีดวยอาการอยา งน้ี เมือ่ เธอยังความพยายามใหเขา ไป ต้งั อยใู นวิโมกข อันยอดเยยี่ ม โทมนัสก็ยอ มเกดิ ขน้ึ เพราะความพยายามเปนปจ จัย. โทมนสัเห็นปานนี้ ทานเรียกวา เนกขมั มโทมนสั โทมนัสอาศยั การออกจากกาม เมอื่ อารมณ อันนา ปรารถนาไปปรากฏในทวาร ๖ อยา งน้ี โทมนัสอนั เกดิ ขนึ้ แลว แกเธอผยู ังความพยายามใหเขา ไปต้ังไวใ นธรรมคืออรยิ ผลกลาวคอื อนตุ ตรวิโมกข แตไมส ามารถเพ่ือใหขวนขวายเรม่ิ วิปสสนาดวยอาํ นาจแหงความไมเ ที่ยงเปนตน เพ่ือบรรลอุ ริยผลธรรมนัน้ ได จงึ เสยี ดายอยูวา เราไมส ามารถเพอ่ื จะขวนขวายถึงวิปส สนาแลว บรรลอุ ริยภมู ไิ ด

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 56ท้งั ปก ษน ี้ ท้ังเดอื นน้ี ทง้ั ปน ี้ ชือ่ วา เนกขัมมสติ โทมนัส โทมนสัอาศยั การออกจากกาม ๖. เมอ่ื อารมณ อันนา ปรารถนาไปปรากฏในทวาร ๖ อยา งนวี้ า พาล-ปถุ ชุ นคนลมุ หลง คอื คนหนา อนั ยังไมเกิดวบิ าก ไมเ หน็ โทษ ไมไดสดบัเหน็ รูปดว ยจักษุแลว อเุ บกขา กย็ อมเกดิ ข้ึน อุเบกขาเหน็ ปานนอ้ี นั ใดอุเบกขาน้ัน ยอ มลวงรูปไปไมได เพราะฉะนน้ั อุเบกขาน้นั ทา นเรยี กวาเคหสิตอุเบกขา อเุ บกขาอาศัยเรือนดงั น้ี. อุเบกขา อาศัยกามคุณเกดิ ขนึ้แลวเม่อื ลว งรูปเปนตนไปไมได เหมือนแมลงวันหวั เขยี วลว งเลยนํ้าออ ยไปไมได ฉะนัน้ กต็ อ งของอยูในรูปน้ันนั่งเอง. ชื่อวา เคหสิตอุเบกขาอเุ บกขาอาศยั เรือน. อุเบกขาสัมปยุตดว ยญาณ อันเปน วิปส สนาเกิดขน้ึ แลวแกผูไมก าํ -หนดในอารมณอ ันนาปรารถนา ไมข ัดเคอื งในอารมณอนั ไมนาปรารถนาไมห ลงในการเพง ดอู ารมณอ นั ไมสมํา่ เสมอ. เม่ืออารมณอ ันนาปรารถนาไปปรากฏ ในทวาร ๖ อยางนีว้ า ก็แล เมอื่ รแู จงวา รูปท้งั หลายไมเทยี่ งพจิ ารณาเห็นอยูซงึ่ ความแปรปรวน คลายกําหนัดและดับเสียได ดว ยปญ ญาอันชอบตามความจริงนนั้ อยางนีว้ า รูปทั้งหลายในอดตี ก็ดี ในปจ จุบนั กด็ ีรปู เหลา นั้นท้ังปวง ไมเที่ยงเปน ทกุ ข มคี วามแปรปรวนไปเปนธรรมดาดังนี.้อุเบกขา กย็ อมเกิดขึน้ . อุเบกขาเห็นปานนใ้ี ด อเุ บกขานั้น ยอ มลว งรูปไปได เพราะฉะน้นั อุเบกขานัน้ ทา นเรยี กวา เนกขมั มสติ อุเบกขาอุเบกขาอาศยั การออกจากกาม ๖ ดงั น้ี ช่อื วา อเุ บกขาอาศยั การออกจากกาม ๖. ในพระสตู รนี้ พระองคตรัสการกําหนดธรรม อันเปน ไปในภมู ิ ๔อนั รวบรวมธรรมไวท้งั หมด. สูตรท่ี ๓ เปน ตน ไปมีเนือ้ ความงา ยทั้งน้นั . จบ อรรถกถาอฏั ฐสตปริยายสตู รที่ ๒

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 57 ๓. ภกิ ขสุ ูตร๑ วาดวยภกิ ษุทลู ถามเรอ่ื งเวทนา [๔๓๘] ครัง้ นนั้ แล ภกิ ษุรูปหนึ่งเขา ไปเฝา พระผมู พี ระภาคเจาถึงท่ีประทบั ฯลฯ ครั้นแลวไดทลู ถาม พระผูมีพระภาคเจาวา ขา แตพ ระองคผเู จริญ เวทนาเปน ไฉนหนอ ความเกดิ ขึน้ แหง เวทนาเปนไฉน ปฏิปทาเครอ่ื งใหถ งึ ความเกดิ ข้ึนแหงเวทนาเปนไฉน ความดับแหง เวทนาเปน ไฉนปฏิปทาเครอ่ื งใหถึงความดบั แหงเวทนาเปนไฉน อะไรเปนคณุ แหง เวทนาอะไรเปน โทษแหง เวทนา อะไรเปน อบุ ายเครอ่ื งสลัดออกแหง เวทนา. พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั วา ดูกอนภิกษุทั้งหลายเวทนา ๓ เหลาน้ี คือ สขุ เวทนาทุกขเวทนา อทกุ ขมสุขเวทนา นเ้ี ราเรยี กวาเวทนา เพราะผัสสะเกิดเวทนาจงึ เกดิ ตัณหาเปนปฏิปทาเครื่องใหถึงเหตเุ กดิ แหง เวทนา เพราะผสั สะดับเวทนาจึงดบั อริยมรรคประกอบดว ยองค ๘ นี้แหละ คือ สัมมา-ทฏิ ฐิ ฯลฯ สมั มาสมาธิ เปนปฏิปทาเครอ่ื งใหถ งึ ความดบั แหง เวทนา สขุโสมนสั เกิดนีเ้ พราะอาศัยเวทนาอนั ใด นี้เปนคณุ แหง เวทนา เวทนาอนั ใดไมเทยี่ ง เปนทกุ ข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา น้ีเปน โทษแหง เวทนาความกาํ จัด ความละฉันทราคะในเวทนา นเี้ ปนอบุ ายเครอ่ื งสลดั ออกแหงเวทนา. จบ ภกิ ขุสตู รท่ี ๓๑. สูตรท่ี ๓ - ๑๐ ไมมีอรรถกถาแก

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 58 ๔. ปพุ พสตู ร วาดว ยความคิดเกดิ ข้ึนเม่ือกอนตรัสรู [๔๓๙] ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย เมือ่ กอ นแตตรสั รู ครั้งยังมไิ ดตรสั รู ยังเปนโพธิสัตวอ ยู เราไดมคี วามคดิ อยา งนวี้ า เวทนาเปนไฉนหนอความเกิดขึ้นแหง เวทนาเปนไฉน ปฏปิ ทาเคร่อื งใหถึงความเกดิ ข้ึนแหงเวทนาเปนไฉน ความดบั แหงเวทนาเปน ไฉน ปฏปิ ทาเคร่ืองใหถึงความดบัแหงเวทนาเปนไฉน อะไรเปนคุณแหงเวทนา อะไรเปนโทษแหงเวทนาอะไรเปน อุบายเคร่อื งสลดั ออกแหง เวทนา. เราไดมีความคดิ อยางนว้ี าเวทนา ๓ นี้ เหลานี้ คอื สขุ เวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนานเ้ี ราเรียกวา เวทนา เพราะผสั สะเกดิ เวทนาจงึ เกิด ตัณหาเปนปฏิปทาเครอ่ื งใหถ ึงความเกิดขึ้นแหงเวทนา ฯลฯ ความกําจัด ความละฉันทราคะในเวทนา นี้เปนอบุ ายเคร่ืองสลัดออกแหง เวทนา. จบ ปุพพสตู รท่ี ๔ ๕. ญาณสูตร วาดวยความรแู ทใ นเรื่องเวทนา [๔๔๐] ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย จกั ษุ ญาณ ปญญา วิชชา แสงสวางไดเ กิดข้ึนแกเ รา ในธรรมทเ่ี ราไมเคยไดฟ งมากอ นวา น้ีเวทนา . . .นีค้ วามเกิดขน้ึ แหง เวทนา. . . นป้ี ฏปิ ทาเคร่อื งใหถ ึงความเกิดขนึ้ แหงเวทนา. . . นคี้ วามดบั แหงเวทนา . . . น้ปี ฏปิ ทาเคร่ืองใหถ งึ ความดับแหงเวทนานเี้ ปนคณุ แหง เวทนา . . . นี้เปน โทษแหงเวทนา ...น้ีเปนอุบายเครอ่ื งสลัดออกแหง เวทนา. จบ ญาณสูตรท่ี ๕

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 59 ๖. ภกิ ขสุ ตู ร วาดว ยภกิ ษุทลู ถามเรอื่ งเวทนา [๔๔๑] ครงั้ นั้นแล ภกิ ษุเปนอนั มากเขา ไปเฝาพระผมู พี ระภาค-เจา ถงึ ที่ประทับ ฯลฯ ครน้ั แลว ไดท ูลถามพระผมู ีพระภาคเจา วา ขาแตพระองคผเู จรญิ เวทนาเปนไฉนหนอ ความเกดิ ขน้ึ แหง เวทนาเปน ไฉนปฏิปทาเครอ่ื งใหถ งึ ความเกิดข้ึนแหง เวทนาเปนไฉน ฯลฯ อะไรเปน คุณแหงเวทนา อะไรเปนโทษแหง เวทนา อะไรเปนอุบายเครื่องสลดั ออกสงเวทนา. พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั วา ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย เวทนา ๓เหลานี้ ฯลฯ ความกําจัด ความละฉนั ทราคะในเวทนา น้ีเปน อุบายเคร่ืองสลดั ออกแหง เวทนา. จบ ภกิ ขสุ ตู รที่ ๖ ๗. ปฐมสมณพราหมณสูตร วาดวยผูเปน และไมเปน สมณพราหมณ [๔๔๒] ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย เวทนา ๓ เหลา น้ี เวทนา ๓ เปนไฉน. คือ สุขเวทนา ทกุ ขเวทนา อทกุ ขมสขุ เวทนา กส็ มณะ หรือพราหมณเหลาใดเหลา หนึ่งยอ มไมร ูค วามเกิด ความดบั คณุ โทษ และอบุ ายเครอื่ งสลัดออกแหง เวทนา ๓ เหลานี้ ตามความเปน จริง สมณะหรอื พราหมณเ หลานน้ั ยงั ไมน บั วาเปน สมณะในหมูสมณะ หรอื เปนพราหมณในหมพู ราหมณ และทานเหลา นนั้ ยอมไมก ระทําใหแ จงซึง่

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 60ประโยชนข องความเปนสมณะหรอื ความเปน พราหมณ ดว ยปญ ญาอนั ย่ิงเองในปจ จบุ ันเขาถึงอยู สวนสมณะหรือพราหมณเหลา ใดเหลา หน่งึ ยอมรูความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอบุ ายเคร่ืองสลดั ออกแหง เวทนาเหลาน้ี ตามความเปน จริง สมณะหรอื พราหมณเ หลาน้ัน นับวาเปนสมณะในหมูสมณะหรือเปนพราหมณใ นหมพู ราหมณ และทานเหลาน้นัยอมกระทาํ ใหแ จงซ่ึงประโยชน ของความเปนสมณะหรอื ของความเปนพราหมณ ดวยปญญาอนั ย่ิงเองในปจจบุ นั เขา ถึงอยู. จบ ปฐมสมณพราหมณสูตรท่ี ๗ ๘. ทตุ ิยสมณพราหมณสูตร วา ดว ยผูเปน และไมเปนสมณพราหมณ [๔๔๓] ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย เวทนา ๓ เหลา นี้ เวทนา ๓ เปนไฉน. คอื สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทกุ ขมสุขเวทนา ก็สมณะหรือพราหมณเ หลา ใดเหลาหนึง่ ยอ มไมรคู วามเกิด ความดบั คุณ โทษและอบุ ายเครอื่ งสลดั ออกแหงเวทนา ๓ เหลานี้ ตามความเปนจรงิ ฯลฯยอ มกระทําใหแจงซง่ึ ประโยชนข องความเปน สมณะ หรอื ของความเปนพราหมณ ดวยปญญาอันยงิ่ เองในปจจุบันเขา ถึงอยู. จบ ทุตยิ สมพราหมณสตู รท่ี ๘

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 61 ๙. ตตยิ สมณพราหมณส ตู ร วาดวยผูเปนและไมเ ปนสมณพราหมณ [๔๔๔] ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย กส็ มณะหรอื พราหมณเ หลาใดเหลาหนึง่ ยอมไมรูเวทนา ความเกดิ ข้นึ แหง เวทนา ความดบั แหงเวทนา ปฏปิ ทาเครอ่ื งใหถ ึงความดบั แหงเวทนา ฯ ล ฯ ยอ มกระทําใหแจง ซ่ึงประโยชนข องความเปน สมณะหรอื ของความเปนพราหมณ ดวยปญญาอันย่งิ เองในปจ จบุ นั เขาถงึ อยู. จบ ตติยสมณพราหมณสูตรที่ ๙ ๑๐. สทุ ธกิ สตู ร วาดว ยเวทนา ๓ [๔๔๕] ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย เวทนา ๓ เหลา นี้ เวทนา ๓เปนไฉน. คือ สขุ เวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสขุ เวทนา ดกู อนภิกษุท้ังหลาย เวทนา ๓ เหลา นแี้ ล. จบ สุทธสิ ูตรที่ ๑๐ ๑๑. นิรามสิ สตู ร วา ดว ยปติสุขมีอามิสและไมมี [๔๔๖] ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย ปต มิ ีอามิสมีอยู ปต ไิ มมีอามิสมอี ยูปต ิท่ไี มม อี ามิสกวาปต ทิ ไี่ มมอี ามิสมอี ยู สุขมีอามิสมีอยู สขุ ไมมอี ามิสมอี ยูสขุ ไมม อี ามิสกวา สุขไมม ีอามสิ มอี ยู อุเบกขามีอามิสมีอยู อุเบกขาไมม อี ามสิมีอยู อเุ บกขาไมมีอามิสกวา อุเบกขาไมมีอามิสมีอย.ู วิโมกขม ีอามสิ มีอยูวโิ มกขไมมอี ามิสมอี ยู วิโมกขไมม ีอามิสกวา วโิ มกขไมม ีอามิสมอี ย.ู

พระสตุ ตันตปฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 62 [๔๔๗] ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย ก็ปติมอี ามสิ เปนไฉน. กามคุณ ๕เหลา น้ี กามคณุ ๕ เปนไฉน. คอื รูปท่พี ึงรแู จง ดวยจกั ษุอนั นา ปรารถนานา ใคร นาพอใจ นา รัก ชักใหใ คร ชวนใหก ําหนัด ฯลฯ โผฏฐัพพะทพ่ี ึงรูแจง ดวยกาย อนั นาปรารถนา นา ใคร นา พอใจ นารกั ชักใหใ ครชวนใหกาํ หนัด ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย กามคณุ ๕ เหลาน้ีแล ปต เิ กดิ ขน้ึเพราะอาศัยกามคุณ ๕ เหลานี้ เราเรยี กวา ปตมิ ีอามสิ . [๔๔๘] ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ก็ปตไิ มม อี ามิสเปนไฉน. ภกิ ษุในธรรมวินยั น้ี สงัดจากกาม สงัดจากอกศุ ลธรรม บรรลปุ ฐมฌาน มีวิตกวิจาร มปี ต แิ ละสขุ เกดิ แตว ิเวกอยู เธอบรรลทุ ตุ ยิ ฌาน มคี วามผอ งใสแหง จิตในภายใน เปน ธรรมเอกผดุ ขึ้น ไมมวี ิตกวจิ าร เพราะวติ กวิจารสงบไป มปี ต ิและสขุ เกิดแตสมาธอิ ยู นี้เราเรียกวา ปต ิไมม อี ามสิ [๔๔๙] ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย กป็ ติไมม อี ามิสกวาปติไมมเี ปน ไฉน.ปติท่ีเกดิ ขึน้ แกภกิ ษขุ ณี าสพผพู ิจารณาเห็นจิตชงึ่ หลุดพน แลว จากราคะ จากโทสะ จากโมหะ น้เี ราเรยี กวา ปตไิ มม อี ามิสกวาปต ิไมมอี ามสิ . [๔๕๐] ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย กส็ ุขมีอามิสเปนไฉน. กามคุณ ๕เหลา นี้ กามคณุ ๕ เปนไฉน. คือ รปู ท่ีพึงรแู จงดวยจักษุอันนา ปรารถนานา ใคร นา พอใจ นา รกั ชกั ใหใคร ชวนใหก ําหนัด ฯลฯ โผฏฐพั พะทีพ่ งึ รูแจงดว ยกายอนั นา ปรารถนา นาใคร นาพอใจ นารัก ชักใหใครชวนใหก าํ หนดั ดูกอนภิกษุท้งั หลาย กามคณุ ๕ เหลา นี้ สขุ โสมนสัเกิดข้นึ เพราะอาศยั กามคณุ ๕ เหลานี้ น้เี ราเรยี กวา สขุ มอี ามสิ .

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 63 [๔๕๑] ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย กส็ ุขไมมอี ามสิ เปนไฉน. ภิกษุในธรรมวนิ ยั น้ี สงัดจากกาม สงดั จากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวติ กวจิ าร มปี ต ิและสขุ เกดิ แตวิเวกอยู ฯลฯ เธอมีอุเบกขา มสี ติสัมปชญั ญะและเสวยสขุ ดวยนามกาย เพราะปติส้ินไป บรรลตุ ติยฌาน ทพ่ี ระอริยเจาท้งั หลายสรรเสริญวา ผูไดฌ านนีเ้ ปน ผมู อี ุเบกขามีสติอยเู ปนสขุ น้ีเราเรยี กวา สขุ ไมม อี ามิส. [๔๕๒] ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลายก็สขุ ไมม ีอามสิ กวาสุขไมม ีอามสิ เปนไฉน. สขุ โสมนสั ที่เกดิ ขนึ้ แกภิกษขุ ีณาสพผูพ ิจารณาเหน็ จิตซึ่งหลุดพนแลวจากราคะ จากโทสะ จากโมหะ นเี้ ราเรยี กวา สุขไมมีอามิสกวาสุขไมมีอามสิ . [๔๕๓] ดกู อนภิกษุทั้งหลาย กอ็ เุ บกขามีอามสิ เปนไฉน. กามคณุ ๕ เหลา น้ี กามคุณ ๕ เปนไฉน. คอื รูปท่ีพึงรแู จง ดวยจกั ษอุ นั นาปรารถนา นา ใคร นาพอใจ นา รัก ชกั ใหใ คร ชวนใหกาํ หนัด ฯลฯโผฏฐัพพะทพี่ งึ รูแจงดวยกายอันนาปรารถนา นา ใคร นา พอใจ นารกัชกั ใหใ คร ชวนใหก ําหนดั ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย กามคุณ ๕ เหลาน้ีแลอเุ บกขาเกดิ ขนึ้ เพราะอาศยั กามคุณ ๕ เหลานี้ เราเรยี กวา อเุ บกขามีอามสิ . [๔๕๔] ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย กอ็ ุเบกขาไมม อี ามสิ เปน ไฉน. ภกิ ษุในธรรมวินัยน้ี บรรลุจตุตถฌานอนั ไมมีทุกข ไมม ีสุข เพราะละสขุ ละทุกขสดบั โสมนสั โทมนสั กอน ๆ ได มอี เุ บกขาเปน เหตุใหสตบิ ริสุทธอิ์ ยู นี้เราเรียกวา อุเบกขาไมม อี ามสิ .

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 64 [๔๕๕] ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย ก็อุเบกขาไมม ีอามสิ กวาอุเบกขาไมม ีอามิสเปนไฉน. อเุ บกขาเกดิ ขนึ้ แกภกิ ษุขณี าสพผพู ิจารณาเห็นจิตซึง่หลดุ พนแลวจาก ราคะ จากโทสะ จากโมหะ นี้เราเรียกวา อเุ บกขาไมม ีอามิสกวาอุเบกขาไมม ีอามสิ . [๔๕๖] ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย กว็ ิโมกขม ีอามิสเปนไฉน. วิโมกขทีป่ ฏิสงั ยตุ ดวยรูป ช่อื วา วิโมกขมีอามิส วโิ มกขท ่ีไมปฏิสังยุตดว ยรปู ชอ่ื วาวโิ มกขไมม ีอามิส. [๔๕๗] ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย กว็ ิโมกขไ มมอี ามสิ กวาวโิ มกขไ มม ีอามสิ เปน ไฉน. วิโมกขเกิดขึน้ แกภ กิ ษขุ ณี าสพผูพิจารณาเหน็ จิตซ่งึ หลุดพนแลวจากราคะ จากโทสะ จากโมหะ นีเ้ ราเรยี กวา วิโมกขไ มม อี ามิสกวาวิโมกขไมมีอามสิ . จบ นิรามิสสตู รที่ ๑๑ อรรถกถานิรามสิ สตู รท่ี ๑๑ พึงทราบวนิ จิ ฉัยในนิรามิสสตู รที่ ๑๑ ดังตอไปนี้. บทวา สามสิ า ปติมีอามิสดวยอามิสคือกิเลส. บทวา นิรามิสตราความวา ปติท่ีไมมีอามสิ กวา ปติในฌานแมท ี่ไมมีอามิส. ถามวา ก็ในฌาน ๒ปต ิยอมเปนมหัคคตะกม็ ี ยอ มเปนโลกุตตระก็มี. ปต ใิ นปจจเวกขณญาณยอมเปน โลกยิ ะอยา งเดยี วมิใชหรอื เพราะเหตไุ ร ปตนิ ั้น จงึ ไมม อี ามิสกวาเลา. ตอบวา เพราะเกิดข้ึนแลว ดว ยสามารถแหงการพิจารณาซึ่งธรรมอนั

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 65สงบและประณตี . เหมอื นคนรับใช เปนคนโปรดของพระราชา เขาไปสูราชตระกูลไดต ามสบายไมม ีใครขัดขวาง แมจ ะเอาเทาถีบเศรษฐี และเสนาบดีเปน ตนกไ็ ด เพราะเหตุอะไร เพราะเปน ผรู บั ใชใกลช ดิ ของพระราชา. ดวยเหตนุ ้ี คนรบั ใชนนั้ ยอ มเปนผูย งิ่ กวาเศรษฐีเปนตน เหลาน้นัฉนั ใด. ปต ิแมน ี้ พึงทราบวา ย่ิงกวาแมปตใิ นโลกุตตระ เพราะเกิดขนึ้ แลวดว ยสามารถแหง การพิจารณาธรรมอนั สงบและประณีตฉนั น้ัน แมในวาระทเี่ หลอื กม็ ีนยั นท้ี ั้งน้ัน. สว นในวาระแหงวโิ มกข วโิ มกขอ นั ประกอบดว ยรปู ชือ่ วามีอามสิดว ยสามารถอามสิ คอื รูป อันเปนอารมณข องตน. ทีไ่ มประกอบดว ยรูปช่ือวาไมม อี ามิส โดยไมมีอามสิ คอื รปู . จบ อรรถกถานริ ามสิ สตู รท่ี ๑๑ จบ อรรถกถาอฏั ฐสตปริยายวรรคที่ ๓ รวมพระสูตรที่มีในวรรคน้ี คอื ๑ สิวกสูตร ๒. อฏั ฐสตปรยิ ายสตู ร ๓. ภิกขสุ ตู ร ๔. ปพุ พสตู ร๕. ญาณสูตร ๖. ภกิ ขสุ ตู ร ๗. ปฐมสมณพราหมณสูตร ๘. ทุติยสมณพราหมณสูตร ๙. ตติยสมณพราหมณสตู ร ๑๐. สทุ ธกิ สูตร ๑๑. นริ ามสิ สูตร. จบ เวทนาสังยตุ

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 66 ๓. มาตุคามสงั ยตุ เปยยาลวรรคที่ ๑ ๑. อมนาปสตู ร วา ดว ยมาตคุ ามผูประกอบดว ยองค ๕ เปนทถี่ กู ใจและไมถ ูกใจของบุรุษ [๔๕๘] ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย มาตคุ ามผปู ระกอบดว ยองค ๕ยอมไมเ ปน ทช่ี อบใจของบรุ ษุ โดยสวนเดยี ว องค ๕ เปน ไฉน. คอื รปู ไมสวย ๑ ไมม ีโภคสมบัติ ๑ ไมมีมารยาท ๑ เกยี จครา น ๑ ไมไดบุตรเพ่อื เขา ๑ ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย มาตุคามผปู ระกอบดว ยองค ๕ เหลานั้นแลยอมไมเปนทีช่ อบใจของบรุ ุษโดยสวนเดยี ว. [๔๕๙] ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย มาตุคามผูประกอบดวยองค ๕ยอมเปน ท่ีชอบใจของบรุ ษุ โดยสวนเดียว องค ๕ เปนไฉน. คือ มรี ปูสวย ๑ มีโภคสมบตั ิ ๑ มมี ารยาท ๑ ขยนั ไมเกยี จคราน ๑ ไดบุตรเพื่อเขา ๑ ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย มาตุคามผปู ระกอบดวยองค ๕ เหลา นนั้ แลยอมเปนทชี่ อบใจของบุรุษโดยสว นเดียว. จบ อมนาปสตู รท่ี ๑

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 67 มาตคุ ามสังยุต อรรถกถาเปยยาลวรรคที่ ๑ อรรถกถาอมนาปสูตรท่ี ๑ พงึ ทราบวินิจฉยั ในอมนาปสตู รที่ ๑ แหงมาตคุ ามสังยตุ ดังตอไปนี้ บทวา องเฺ คหิ คือดวยองคแ หง โทษ บทวา น จ รูปวา ความวามรี ปู ไมสมประกอบ พกิ าร รูปรางนาเกลียด. บทวา น จ โภควา ความวาไมถ ึงพรอมดว ยโภคะ คอื ทรัพยไ มม ี. บทวา น จ สลี วา ความวาผูมีศลี วิบตั ิ คอื ทุศลี . บทวา อลโส จ ความวา ยอ มไมสามารถทาํ การงานทั้งหลายมกี ารตัดฟนและการหุงเปนตน คนเกยี จครา น ความเปนผูเกยี จครา น ยอ มนัง่ หลับในทนี่ ่งั บา ง ยอ มยนื หลับในทีย่ ืนบา ง บทวาปชจฺ สฺส น ลภติ ความวา ยอมไมไดบตุ รท่ีจะใหดาํ รงวงศตระกูลไดเพอื่ บรุ ุษน้ัน ยา มช่ือวา หญงิ หมัน. สุกกปกข พึงทราบโดยปรยิ ายอนัตรงกนั ขามกับท่ีกลา วแลว . สูตรท่ี ๒ พึงใหเนอ้ื ความกลับกนั โดยนยั อันกลาวแลว ในสตู รที่ ๑. จบ อรรถกถาอมนาปสูตรที่ ๑

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 68 ๒. มนาปสูตร๑ วา ดว ยบุรุษผูประกอบดวยองค ๕ เปน ทีถ่ ูกใจและไมถกู ใจของมาตคุ าม [๔๖๐] ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย บรุ ุษผปู ระกอบดวยองค ๕ ยอ มไมเปนท่ชี อบใจของมาตคุ ามโดยสวนเดียว องค ๕ เปน ไฉน. คอื รปู ไมสวย ๑ ไมม โี ภคสมบตั ิ ๑ ไมมีมารยาท ๑ เกยี จคราน ๑ ไมไ ดบุตรเพ่ือเขา ๑ ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย บรุ ษุ ผูประกอบดวยองค ๕ เหลาน้ีแลยอ มไมเ ปน ท่ีชอบใจของมาตุคามโดยสว นเดยี ว. [๔๖๑] ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย บุรษุ ผปู ระกอบดว ยองค ๕ ยอมเปนท่ชี อบใจของมาตคุ ามโดยสวนเดียว องค ๕ เปน ไฉน. คือ มีรปู สวย ๑มีโภคสมบัติ ๑ มีมารยาท ๑ ขยันไมเกียจครา น ๑ ไดบ ตุ รเพอื่ เขา ๑ดกู อนภิกษุท้ังหลาย บุรุษผูประกอบดว ยองค ๕ เหลานีแ้ ล ยอมเปนทช่ี อบใจของมาตุคามโดยสว นเดียว. จบ มนาปสตู รที่ ๒ ๓. อาเวณิกสูตร วา ดว ยความทกุ ขเฉพาะของมาตุคาม ๕ ประการ [๔๖๒] ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย ความทุกขแ ผนกหนึ่งของมาตุคามท่ีตนจะตองเสวย เวนจากบุรษุ ๕ อยางน้ี ความทุกข ๕ อยางเปนไฉน.คอื มาตคุ ามในโลกน้ี เมือ่ ยังกาํ ลงั สาวไปสสู กลุ ผัวเวน จากญาติ อนั นเ้ี ปนความทกุ ขแผนกหนึ่งของมาตุคามขอ ตนที่ตนจะตอ งเสวย เวน จากบุรุษ.๑. สตู รท่ี ๒ ไมม ีอรรถกถาแก

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 69 [๔๖๓] อีกประการหนึง่ มาตุคามมรี ะดู อันนี้เปน ความทุกขแผนกหนง่ึ ของมาตคุ ามขอ ที่ ๒ ที่ตนจะตองเสวย เวน จากบรุ ุษ. [๔๖๔] อีกประการหนึ่ง มาตุคามมีครรภ อนั นเี้ ปนความทุกขแผนกหน่ึงของมาตคุ ามขอท่ี ๓ ทต่ี นจะตอ งเสวย เวน จากบุรษุ . [๔๖๕] อกี ประการหนง่ึ มาตุคามคลอดบุตร อันน้ีเปนความทกุ ขแผนกหนึ่งของมาตุคามขอท่ี ๔ ที่ตนจะตองเสวย เวนจากบุรษุ . [๔๖๖] อกี ประการหนึง่ มาตุคามเขา ถงึ ความเปนหญิงบําเรอของบรุ ษุ อนั นเี้ ปน ความทุกขแ ผนกหนง่ึ ของมาตุคามขอที่ ๕ ที่ตนจะตองเสวยเวนจากบุรุษ ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย ความทุกขแ ผนกหนึง่ ของมาตุคามท่ตี นจะตอ งเสวย เวน จากบุรษุ ๕ อยา งน้แี ล. จบ อาเวณิกสตู รท่ี ๓ อรรถกถาอาเวณิกสตู รท่ี ๓ พึงทราบวนิ ิจฉยั ในอาเวณิกสูตรท่ี ๓ ดงั ตอ ไปน.้ี บทวา อาเวณิกานิ ความวา ทกุ ขเ ฉพาะบคุ คลคือไมท่ัวไปดวยพวกบุรุษ. บทวา ปารจิ ริย คอื มาตุคามยอมเขาถึงความเปนหญิงบําเรอ. จบ อรรถกถาอาเวณกิ สตู รที่ ๓

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 70 ๔. มาตุคามสตู รวาดวยมาตคุ ามผปู ระกอบดว ยธรรม ๓ ประการ ยอมเขาถงึ อบาย [๔๖๗] ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย มาตคุ ามผูป ระกอบดว ยธรรม ๓ประการ โดยมากเมอื่ แตกกายตายไป ยอมเขา ถงึ อบาย ทคุ ติ วินิบาตนรก ธรรม ๓ ประการเปนไฉน. คือ มาตุคามในโลกนี้ เวลาเชา มใี จอันมลทนิ คือความตระหนีก่ ลมุ รุมแลวอยคู รองเรอื น เวลาเท่ียงมีใจอนัความริษยากลมุ รุมแลว อยูครองเรอื น เวลาเย็นมใี จอนั กามราคะกลมุ รมุ แลวอยคู รองเรอื น ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย มาตคุ ามผปู ระกอบดว ยธรรม ๓ ประ-การน้แี ล โดยมากเม่ือแตกกายตายไป ยอมเขา ถงึ อบาย ทุคติ วินิบาตนรก. จบ มาตุคามสตู รท่ี ๔ อรรถกถามาตุคามสูตรที่ ๔ พงึ ทราบวนิ ิจฉัยในมาตุคามสูตรท่ี ๔ ดงั ตอไปนี้ บทวา มจเฺ ฉรมลปรยิ ฏุ เิ ตน ความวา ก็ในเวลาเชา มาตุคามปรารภเพื่อจะทาํ การงานทมี่ กี ังวลอยูในนา้ํ นม นมสมและการหุงเปน ตน.แมบตุ รนอ ยทงั้ หลาย รอ งขออยู ยอมไมปรารถนาเพอ่ื จะใหอ ะไร. ดว ยเหตนุ น้ั พระผมู ีพระภาคเจา จึงตรสั คําน้นั วา เวลาเชา มใี จอันมลทินคอื ความตระหนกี่ ลมุ รมุ แลว. สว นเวลาเท่ียงมาตุคาม ยอ มถกู ความโกรธครอบงาํ . เม่ือไมไดทะเลาะกันภายในเรอื น ก็ยอมทาํ การทะเลาะกนั ใน

พระสุตตันตปฎก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 71เรอื นของชนทีค่ นุ เคยกัน และยอมเท่ยี วสอดสองดูทย่ี นื และทีน่ ่ังของสามีดวยเหตุนน้ั พระองค จงึ ตรัสวา เวลาเทยี่ ง มีใจอันความริษยากลุมรุมแลว. สว นในเวลาเยน็ จิตของหญงิ นนั้ ยอ มนอมไปเพ่ือเสพอสทั ธรรม.ดว ยเหตุนั้น พระองค จงึ ตรสั วา เวลาเยน็ มีใจอนั กามราคะกลุมรมุ แลว . จบ อรรถกถามาตุคามสตู รที่ ๔ ๕. อนรุ ทุ ธสตู รวาดวยมาตุคามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการยอมเขาถงึ อบาย [๔๖๘] ครงั้ นนั้ แล ทานพระอนรุ ทุ ธะเขา ไปเฝาพระผูม ีพระภาคเจาถงึ ทปี่ ระทับ ฯ ล ฯ ครน้ั แลวไดทลู ถามพระผมู ีพระภาคเจาวา ขา แตพระองคผเู จรญิ ขอประทานพระวโรกาส ขาพระองคไ ดเ หน็ มาตุคามเมือ่แตกกายตายไป เขา ถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก ดว ยทพิ ยจักษอุ ันบริสทุ ธ์ลิ ว งจกั ษุของมนุษย ขาแตพ ระองคผ ูเจริญ มาตุคามผูประกอบดว ยธรรมเทา ไรหนอ เม่อื แตกกายตายไป ยอมเขา ถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก [๔๖๙] พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสวา ดูกอ นอนุรุทธะ มาตุคามผูประกอบดวยธรรม ๕ ประการ เมื่อแตกกายตายไป ยอ มเขา ถึงอบายทคุ ติ วนิ ิบาต นรก ธรรม ๕ ประการเปนไฉน. คอื มาตคุ ามเปนผไู มศรทั ธา ๑ ไมมีหริ ิ ๑ ไมมีโอตตัปปะ ๑ มกั โกรธ ๑ มปี ญญาทราม ๑ดกู อ นอนุรุทธะ มาตุคามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการนีแ้ ล เมอื่ แตกกายตายไป ยอ มเขาถงึ อบาย ทุคติ วนิ บิ าต นรก. จบ อนุรุทธสูตรที่ ๔ สตู รท่ี ๕ เปนตน มีเนอื้ ความงายทงั้ นั้น

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 72 ๖. อปุ นาหีสูตรวาดวยมาตคุ ามผูประกอบดว ยธรรม ๕ ประการยอ มเขาถงึ อบาย [๔๗๐] ดูกอนอนรุ ทุ ธะ มาตุคามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการเมื่อแตกกายตายไป ยอ มเขา ถงึ อบาย ทุคติ วนิ บิ าต นรก ธรรม ๕ประการเปนไฉน. คือ มาตุคามเปนผไู มม ีศรัทธา ๑ ไมม ีหิริ ๑ ไมมีโอตตปั ปะ ๑ มกั ผกู โกรธ ๑ มปี ญ ญาทราม ๑ ดกู อ นอนุรุทธะ มาตคุ ามผูป ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการนี้แล เมอ่ื แตกกายตายไป ยอมเขา ถงึอบาย ทุคติ วินิบาต นรก. จบ อปุ นาหีสตู รท่ี ๖ ๗. อสิ สุกีสูตรวาดว ยมาตคุ ามผปู ระกอบดวยธรรม ๕ ประการยอมเขาถึงอบาย [๔๗๑] ดกู อนอนุรุทธะ มาตคุ ามผปู ระกอบดวยธรรม ๕ ประการเม่ือแตกกายตายไป ยอ มเขา ถึงอบาย ทคุ ติ วินบิ าต นรก ธรรม ๕ประการเปนไฉน. คือ มาตุคามเปนผูไ มมศี รัทธา ๑ ไมมีหริ ิ ๑ ไมม ีโอตตปั ปะ ๑ มีความริษยา ๑ มีปญญาทราม ๑ ดูกอนอนรุ ุทธะ มาตุคามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการน้แี ล เมอ่ื แตกกายตายไป ยอ มเขาถงึอบาย ทุคติ วินิบาต นรก. จบ อสิ สุกสี ตู รที่ ๗

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 73 ๘. มัจฉรีสตู รวาดว ยมาตคุ ามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการยอมเขา ถึงอบาย [๔๗๒] ดูกอ นอนรุ ทุ ธะ มาตุคามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการเม่ือแตกกายตายไป ยอ มเขา ถงึ อบาย ทคุ ติ วินบิ าต นรก ธรรม ๕ประการเปนไฉน. คือ มาตุคามเปน ผไู มม ศี รัทธา ๑ ไมม หี ริ ิ ๑ ไมม ีโอตตัปปะ ๑ มคี วามตระหน่ี ๑ มีปญ ญาทราม ๑ ดกู อ นอนุรุทธะ มาตุคามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการนแ้ี ล เม่อื แตกกายตายไป ยอ มเขา ถงึอบาย ทุคติ วนิ ิบาต นรก. จบ มจั ฉรีสตู รท่ี ๘ ๙. อตจิ ารสตู รวา ดว ยมาตคุ ามผปู ระกอบดวยธรรม ๕ ประการยอ มเขาถึงอบาย [๔๗๓] ดูกอ นอนรุ ทุ ธะ มาตุคามผูป ระกอบดวยธรรม ๕ ประการเมือ่ แตกกายตายไป ยอมเขาถงึ อบาย ทคุ ติ วินบิ าต นรก ธรรม ๕ประการเปนไฉน. คอื มาตุคามเปน ผไู มม ศี รัทธา ๑ ไมม หี ริ ิ ๑ ไมม ีโอตตปั ปะ ๑ ประพฤตินอกใจ ๑ มปี ญ ญาทราม ๑ ดกู อนอนุรทุ ธะมาตคุ ามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการน้ีแล เม่ือแตกกายตายไป ยอมเขาถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก. จบ อตจิ ารีสูตรท่ี ๙

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 74 ๑๐. ทุสสลี สตู รวาดวยมาตคุ ามผูป ระกอบดวยธรรม ๕ ประการยอ มเขา ถงึ อบาย [๔๗๔] ดูกอ นอนรุ ุทธะ มาตคุ ามผปู ระกอบดวยธรรม ๕ ประการเมอื่ แตกกายตายไป ยอมเขาถึงอบาย ทุคติ วนิ ิบาต นรก ธรรม ๕ประการเปนไฉน. คอื มาตุคามเปน ผูไมม ีศรทั ธา ๑ ไมมหี ิริ ๑ ไมมีโอตตปั ปะ ๑ เปนคนทศุ ลี ๑ มปี ญ ญาทราม ๑ ดูกอ นอนุรทุ ธะ มาตุคามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการนี้แล เม่อื แตกกายตายไป ยอ มเขา ถึงอบาย ทคุ ติ วินบิ าต นรก. จบ ทุสสลี สูตรที่ ๑๐ ๑๑. อัปปส สุตสูตรวา ดวยมาตุคามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการยอ มเขาถงึ อบาย [๔๗๕] ดกู อนอนรุ ทุ ธะ มาตคุ ามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการเมือ่ แตกกายตายไป ยอ มเขาถึงอบาย ทคุ ติ วินบิ าต นรก ธรรม ๕ประการเปนไฉน. คอื มาตคุ ามเปน ผูไ มม ีศรทั ธา ๑ ไมมีหิริ ๑ ไมมีโอตตปั ปะ ๑ มสี ุตะนอ ย ๑ มีปญญาทราม ๑ ดกู อ นอนุรทุ ธะ มาตุคามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการนแี้ ล เมื่อแตกกายตายไป ยอ มเขาถงึอบาย ทุคติ วินบิ าต นรก. จบ อปั ปส สุตสตู รที่ ๑๑

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 75 ๑๒. กุสตี สตู รวา ดวยมาตุคามผูป ระกอบดวยธรรม ๕ ประการยอมเขาถงึ อบาย [๔๗๖] ดูกอนอนรุ ุทธะ มาตุคามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการเม่อื แตกกายตายไป ยอมเขาถึงอบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก ธรรม ๕ประการเปน ไฉน. คือ มาตคุ ามเปนผูไมมศี รทั ธา ๑ ไมมหี ริ ิ ๑ ไมม ีโอตตปั ปะ ๑ เกียจครา น ๑ มีปญ ญาทราม ๑ ดูกอนอนุรุทธะ มาตคุ ามผปู ระกอบดวยธรรม ๕ ประการนแี้ ล เม่อื แตกกายตายไป ยอ มเขา ถงึอบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก จบ กสุ ตี สตู รท่ี ๑๒ ๑๓. มุฏฐัสสติสตู รวา ดว ยมาตคุ ามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประกอยอมเขา ถึงอบาย [๔๗๗] ดูกอ นอนรุ ุทธะ มาตคุ ามผูประกอบดวยธรรม ๕ ประการเมอ่ื แตกกายตายไป ยอ มเขา ถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ธรรม ๕ประการเปน ไฉน. คือ มาตคุ ามเปนผูไมม ีศรทั ธา ๑ ไมมหี ริ ิ ๑ ไมม ีโอตตปั ปะ ๑ มสี ติหลง ๑ มีปญญาทราม ๑ ดกู อนอนรุ ทุ ธะ มาตุคามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการนีแ้ ล เมอ่ื แตกกายตายไป ยอมเขาถึงอบาย ทุคติ วนิ บิ าต นรก. จบ มฏุ ฐัสสติสตู รท่ี ๑๓

พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 76 ๑๔. ปญจเวรสูตรวาดวยมาตุคามผปู ระกอบดวยธรรม ๕ ประการยอ มเขาถึงอบาย [๔๗๘] ดูกอ นอนุรุทธะ มาตุคามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการเมื่อแตกกายตายไป ยอ มเขาถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก ธรรม ๕ประการเปนไฉน. คือ มาตคุ ามเปน ผูฆาสัตว ๑ ลักทรัพย ๑ ประพฤติผดิ ในกาม ๑ พูดเท็จ ๑ ดื่มน้ําเมาคือสุราและเมรัยอนั เปนทต่ี ัง้ แหงความประมาท ดกู อนอนรุ ทุ ธะ มาตคุ ามผูป ระกอบดวยธรรม ๕ ประการนแ้ี ลเม่อื แตกกายตายไป ยอมเขา ถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก. จบ ปญ จเวรสูตรท่ี ๑๔ จบ เปยยาลวรรคท่ี ๑ รวมพระสตู รท่มี ีในวรรคนี้ ทพ่ี ระผูม ีพระภาคเจาตรสั ในฝา ยดาํ คือ ๑. อมนาปสูตร ๒. มนาปสูตร ๓. อาเวณิกสตู ร ๔. มาตคุ าม-สูตร ๕. อนุรุทะสตู ร ๖. อุปนาหีสตู ร ๗. อิสสุกสี ตู ร ๘. มัจฉรีสูตร๙. อติจารีสตู ร ๑๐. ทสุ สีลสตู ร ๑๑. อปั ปสสตุ สตู ร ๑๒. กสุ ีตสูตร๑๓. มุฏฐสั สติสตู ร ๑๔. ปญจเวรสูตร.

พระสุตตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 77 เปยยาลวรรคท่ี ๒ ๑ ๑. อักโกธนสตู รวาดวยมาตคุ ามผูป ระกอบดวยธรรม ๕ ประการยอ มเขาถงึ สคุ ติ [๔๗๙] คร้งั นัน้ แล ทา นพระอนรุ ุทธะเขา ไปเฝาพระผูมพี ระภาคเจา ถึงท่ีประทับ ฯลฯ ครัน้ แลว ไดทลู ถามพระผูมพี ระภาคเจาวา ขา แตพระองคผูเจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขา พระองคเห็นมาตุคามเมือ่ แตกกายตายไปเขา ถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรค ดวยทพิ ยจกั ษอุ ันบริสทุ ธิ์ ลว งจักษขุ องมนุษย ขาแตพ ระองคผเู จรญิ มาตคุ ามผูป ระกอบดว ยธรรมเทา ไรหนอ เม่ือแตกกายตายไป ยอ มเขาถึงสุคติโลกสวรรค พระผูมี-พระภาคเจาตรัสวา ดกู อนอนุรุทธะ มาตุคามผปู ระกอบดวยธรรม ๕ประการ เม่อื แตกกายตายไป ยอ มเขา ถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรคธ รรม ๕ ประการเปน ไฉน. คือ มาตุคามเปนผมู ีศรัทธา ๑ มีหริ ิ มโี อตตัปปะ ๑ ไมม ักโกรธ ๑ มีปญญา ๑ ดกู อ นอนุรทุ ธะ มาตุคามผูประกอบดว ยธรรม ๕ประการนี้แล เมอื่ แตกกายตายไป ยอมเขาถึงสุคตโิ ลกสวรรค ๒. อนุปนาหีสูตรวาดวยมาตุคามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการยอ มเขา ถงึ สุคติ [๔๘๐] ดูกอนอนุรุทธะ มาตคุ ามผูประกอบดว ยธรรม ๕ ประการเม่อื แตกกายตายไป ยอมเขาถงึ สคุ ติโลกสวรรคธรรม ๕ ประการเปนไฉน.คือ มาตุคามเปน ผูมีศรทั ธา ๑ มหี ริ ิ ๑ มโี อตตัปปะ ๑ ไมผ กู โกรธ ๑มีปญ ญา ๑ ดกู อ นอนุรุทธะ มาตคุ ามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการนแี้ ลเม่อื แตกกายตายไป ยอมเขา ถึงสุคติโลกสวรรค.๑. วรรคท่ี ๒ ไมมอี รรถกถาแก.

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 78 ๓. อนสิ สุกสี ตู รวาดว ยมาตคุ ามผูประกอบดว ยธรรม ๕ ประการยอมเขา ถึงสคุ ติ [๔๘๑] ดกู อนอนรุ ุทธะ มาตคุ ามผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ ประการเม่ือแตกกายตายไป ยอ มเขา ถึงสคุ ตโิ ลกสวรรค ธรรม ๕ ประการเปนไฉน.คือ มาตคุ ามเปน ผูมีศรทั ธา ๑ มีหริ ิ ๑ มโี อตตปั ปะ ๑ ไมม ีความริษยามีปญญา ๑ ดกู อนอนุรุทธะ มาตุคามผูประกอบดวยธรรม ๕ ประการน้แี ลเม่อื แตกกายตายไป ยอมเขา ถึงสุคติโลกสวรรค. ๔. อนั จฉรีสูตรวา ดวยมาตคุ ามผปู ระกอบดวยธรรม ๕ ประการยอมเขาถึงสคุ ติ [๔๘๒] ดูกอนอนุรุทธะ มาตคุ ามผูประกอบดว ยธรรม ๕ ประการเมื่อแตกกายตายไป ยอ มเขาถงึ สุคตโิ ลกสวรรค ธรรม ๕ ประการเปนไฉน.คอื มาตคุ ามเปน ผมู ีศรัทธา ๑ มหี ิริ ๑ มีโอตตปั ปะ ๑ ไมมีความตระหนี่ ๑มีปญ ญา ๑, ฯลฯ ไมประพฤตินอกใจ ๑ มีปญ ญา ๑, ฯลฯ มีศีล ๑มปึ ญญา ๑, ฯลฯ มสี ตุ ะมาก ๑ มปี ญญา ๑, ฯลฯ ปรารภความเพียร ๑มีปญญา ๑, ฯลฯ มีสติตงั้ ม่นั ๑ มีปญญา ๑ ดูกอ นอนรุ ุทธะ มาตุคามประกอบดวยธรรม ๕ ประการนีแ้ ล เมอื่ แตกกายตายไป ยอ มเขาถึงสุคติโลกสวรรค.









พระสุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 83คือโภคะ และกําลงั คือญาติ แตไ มประกอบดว ยกาํ ลังคอื บุตร อยางนช้ี ่ือวายังไมบ ริบรู ณด วยองคน น้ั แตเม่อื มาตคุ ามประกอบดวยกาํ ลังคือรูป กําลงัคือโภคะ กําลงั คือญาติ และกาํ ลงั คอื บตุ ร อยางนีช้ ือ่ วาบริบรู ณด วยองคน ้ันกม็ าตุคามผปู ระกอบดว ยกาํ ลังคอื รปู กําลงั คือโภคะ กําลังคือญาติ และกําลงั คอื บุตร แตไมประกอบดวยกําลังคอื ศีล อยา งนี้ชือ่ วา ยงั ไมบรบิ ูรณดว ยองคน ั้น แตเม่อื มาตตุ ามประกอบดว ยกาํ ลังคือรปู กาํ ลังคือโภคะ กําลังคือญาติ กําลงั คือบตุ ร และกาํ ลังคอื ศลี อยางนชี้ ่ือวาบริบรู ณดวยองคนั้นดูกอนภิกษุทั้งหลาย กําลงั ของมาตุคาม ๕ ประการนแ้ี ล. จบ อังคสูตรท่ี ๔ ๕. นาสยติ ถสตู รวาดวยมาตุคามผไู มป ระกอบดวยกําลงั ๕ ถกู พวกญาตใิ หพ นิ าศ [๔๘๙] ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย กาํ ลังของมาตคุ าม ๕ ประการนี้๕ ประการเปนไฉน. กาํ ลังคอื รปู ๑ กําลังคอื โภคะ ๑ กําลงั คือญาติ ๑ กาํ ลงัคอื บตุ ร ๑ กําลงั คอื ศลี ๑ [๔๙๐] ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย ก็มาตคุ ามผปู ระกอบดว ยกาํ ลังคือรปู แตไมป ระกอบดวยกาํ ลงั คือศลี พวกญาตยิ อ มยงั มาตุคามน้นั ใหพ ินาศคือไมใหอยใู นสกลุ มาตคุ ามผปู ระกอบดว ยกําลังคือรปู และกาํ ลงั คือโภคะแตไ มป ระกอบดวยกาํ ลงั คอื ศีล พวกญาตยิ อมยงั มาตคุ ามนัน้ ใหพ นิ าศ คอืใหอยูในสกุล มาตคุ ามผูประกอบดว ยกาํ ลังคอื รปู กําลงั คือโภคะ และกาํ ลังคอื ญาติ แตไมป ระกอบดวยกาํ ลังคือศีล พวกญาตยิ อมยงั มาตคุ ามน้ันใหพนิ าศ คือไมใ หอ ยูใ นสกุล มาตคุ ามผปู ระกอบดวยกําลังคือรปู กําลงั คอืโภคะ กําลงั คือญาติ และกําลังคือบตุ ร แตไ มประกอบดวยกาํ ลงั คอื ศลี

พระสุตตันตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 84พวกญาติยอ มยังมาตคุ ามน้นั ใหพินาศ คอื ไมใหอยูในสกุล แตเ มอ่ื มาตคุ ามประกอบดว ยกาํ ลังคอื รปู กําลังคือโภคะ กาํ ลังคอื ญาติ กาํ ลงั คอื บตุ รและกําลังคือศีล พวกญาติยอมยงั มาตุคามนัน้ ใหอยูใ นสกุล ยอมไมใ หพินาศ มาตุคามผปู ระกอบดวยกําลงั คอื ศีล แตไ มประกอบดว ยกาํ ลงั คอื รูปพวกญาตยิ อมยอมยงั มาตคุ ามนนั้ ใหอยใู นสกลุ ยอมไมใหพินาศ กม็ าตุคามผูประกอบดว ยกําลงั คือศลี แตไมป ระกอบดวยกาํ ลงั คอื โภคะ พวกญาตยิ อมยงั มาตุคามนน้ั ใหอยูใ นสกลุ ยอมไมใหพ ินาศ มาตคุ ามผูประกอบดว ยกาํ ลงัคือศลี แตไมประกอบดวยกําลงั คอื ญาติ พวกญาตยิ อมยงั มาตคุ ามนัน้ ใหอยูใ นสกลุ ยอ มไมใหพ นิ าศ มาตุคามผูป ระกอบดวยกาํ ลงั คอื ศลี แตไ มประกอบดว ยกําลังคอื บุตร พวกญาตยิ อมยังมาตุคามนน้ั ใหอ ยูในสกุล ยอ มไมใหพ นิ าศ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย กาํ ลงั ของมาตคุ าม ๕ ประการนแี้ ล. จบ มาสยิตถสูตร ๕ อรรถกถานาสยิตถสตู รที่ ๕ บทวา นาเสนเฺ ตว น กเุ ล น วาเสนตฺ ิ ความวา พวกญาติคดิ วา หญิงทุศลี เสียมารยาท ประพฤตินอกใจ ดงั นี้ จึงจับคอนาํ ออกไปคือไมใหอยใู นตระกลู นัน้ . บทวา วาเสนเฺ ตว น กเุ ล น นาเสนฺติความวา พวกญาติรวู า ประโยชนอ ะไรดว ยรูปหรือดวยโภคะเปนตน หญิงนี้เปน ผูม ีศีลบริสุทธิ์ มีมารยาทดีงาม จึงใหอยใู นตระกูลนน้ั ไมใ หพ นิ าศคําทีเ่ หลือในท่ีทั้งปวง มีเน้ือความงา ยทัง้ น้ันแล. จบ อรรถกถานาสยิตถสตู รท่ี ๕

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 85 ๖. เหตุสตู รวา ดว ยมาตคุ ามผูประกอบดวยกาํ ลัง ๕ ยอ มเขา ถึงสวรรค [๔๙๑] ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย กําลังของมาตคุ าม ๕ ประการเปนไฉน. กําลงั คือรูป ๑ กําลังคอื โภคะ ๑ กาํ ลังคอื ญาติ ๑ กาํ ลังคือบุตร ๑กําลงั คอื ศีล ๑ [๔๙๒] ดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย มาตคุ ามเมอ่ื แตกกายตายไป ยอมเขาถงึ สคุ ติโลกสวรรคเ พราะกาํ ลงั คือรปู เปน เหตุ เพราะกาํ ลงั คือโภคะเปนเหตุ เพราะกําลังคอื ญาติเปน เหตุ หรอื เพราะกาํ ลงั คือบุตรเปน เหตุ หามิไดแตยอ มเขา ถงึ สคุ ติโลกสวรรคเพราะกําลงั คือศีลเปนเหตุ ดกู อนภิกษุทั้งหลาย กําลงั ของมาตคุ าม ๕ ประการน้ี แล. จบ เหตสุ ตู รท่ี ๖ ๗. ฐานสูตร วา ดวยฐานะทไ่ี ดยาก ๕ ประการ [๔๙๓] ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ฐานะ ๕ ประการนี้ อนั มาตุคามผูม ไิ ดท าํ บุญไวยากท่ีจะได ฐานะ ๕ ประการเปนไฉน. คอื ขอเราพงึเกิดในสกลุ อนั สมควร น้ีเปนฐานะขอที่ ๑ อนั มาตคุ ามผูมีไดท ําบญุ ไวย ากท่ีจะได เกิดในสกลุ อันสมควรแลว ขอเราพงึ ไปสูสกุลอันสมควร นเ้ี ปนฐานะขอที่ ๒. . . เกิดในสกุลอันสมควรแลว ไปสสู กุลอนั สมควรแลว ขอเราพึงอยคู รองเรอื นปราศจากหญงิ รว มสามี นี้เปนฐานะขอที่ ๓ . . . เกิดในสกุลอนั สมควรแลว ไปสูสกุลอนั สมควรแลว อยูครองเรอื นปราศจากหญงิ รวมสามี ขอเราพึงมบี ุตร น้เี ปน ฐานะขอ ท่ี ๔ . . . เกดิ ในสสู กลุ อนัสมควรแลว ไปสสู กลุ อันสมควรแลว อยคู รองเรอื นปราศจากหญงิ รวมสามี มีบตุ ร ขอเราประพฤติครอบงาํ สามี นี้เปนฐานะขอที่ ๕ อันมาตคุ าม

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 86ผมู ไิ ดท ําบุญไวย ากท่ีจะได ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ฐานะ ๕ ประการน้ีอนั มาตคุ ามผมู ไิ ดทาํ บญุ ไวยากทีจ่ ะได. จบ ฐานสตู รที่ ๗ ๘. วสิ ารทสูตร วา ดว ยฐานะ ๕ ประการ ผทู ําบญุ ไวย อ มไดโ ดยงาย [๔๙๔] ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย ฐานะ ๕ ประการน้ี อนั มาตุคามผูทาํ บุญไวไดโ ดยงา ย ฐานะ ๕ ประการเปน ไฉน. คอื ขอเราพึงเกิดในสกุลอนั สมควร นเี้ ปนฐานะขอท่ี ๑ อันมาตคุ ามผูทําบุญไวไ ดโดยงา ยเกดิ ในสกลุ อนั สมควรแลว ขอเราพงึ ไปสูสกลุ อนั สมควร นี่เปนฐานะขอที่ ๒. . .เกดิ ในสกุลอนั สมควรแลว ไปสูสกุลอันสมควรแลว ขอเราพงึ อยคู รองเรอื นปราศจากหญิงรวมสามี นีเ้ ปนฐานะขอท่ี ๓ . . .เกิดในสกลุ อนั สมควรแลว ไปสสู กุลอันสมควรแลว อยูครองเรือนปราศจากหญงิรว มสามี ขอเราพึงมีบตุ ร นเี้ ปน ฐานะขอที่ ๔. . .เกิดในสกุลอันสมควรแลว ไปสสู กุลอนั สมควรแลว อยคู รองเรอื นปราศจากหญงิ รวมสามี มีบุตรขอเราพึงประพฤติครอบงําสามี นีเ้ ปนฐานะขอที่ ๕ อนั มาตคุ ามผทู าํ บุญไว ไดโดยงาย ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ฐานะ ๕ ประการนแี้ ล อนั มาตุคามผทู ําบญุ ไวไดโดยงงาย. จบ วิสารทสตู รที่ ๘ ๙. ปญ จเวรสตู ร วาดวยมาตุคามผูประกอบดวยธรรม ๕ ประการ สามารถอยูค รองเรือน [๔๙๕] ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย มาตุคามผูป ระกอบดวยธรรม ๕ประการ เปนผสู ามารถอยคู รองเรือน ธรรม ๕ ประการเปนไฉน. คือ

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 87มาตคุ ามเปน ผงู ดเวนจากการฆา สตั ว ๑ จากการลักทรัพย ๑ จากการประพฤติผดิ ในกาม ๑ จากการพดู เท็จ ๑ จากการดื่มนํา้ เมาคอื สุราและเมรัยอนั เปนที่ตัง้ แหง ความประมาท ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย มาตุคามผูประกอบดว ยธรรม ๕ ประการน้ีแล เปนผสู ามารถอยูค รองเรอื น. จบ ปญจเวรสตุ รท่ี ๙ ๑๐. วฑั ฒสิ ูตร วา ดวยอริยสาวกิ ายอมเจริญดว ยธรรม ๕ ประการ [๔๙๖] ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย อรยิ สาวกิ าเมือ่ เจรญิ ดว ยวัฑฒิ-ธรรม ๕ ประการ ยอ มเจริญดวยวฑั ฒิธรรมอนั เปนอริยะ เปนผูถอื เอาสาระและถือเอาส่ิงประเสริฐของกายไวได วฑั ฒิธรรม ๕ ประการเปนไฉน. คอื อรยิ สาวกิ ายอ มเจริญดว ยศรัทธา ๑ ศลี ๑ สตุ ะ ๑ จาคะ ๑ปญญา ๑ ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย อริยสาวกิ าเมือ่ เจริญดว ยวัฑฒธิ รรม ๕ประการน้ีแล ยอมเจรญิ ดวยวฑั ฒธิ รรมอนั เปน อรยิ ะ เปนผถู ือเอาสาระและถือเอาสิง่ ประเสริฐแหง กายไวได. สตรีใดเจริญดว ยศรทั ธา ศลี สตุ ะ จาคะ และปญ ญา สตรีเชนน้ัน เปน อุบาสกิ าผมู ศี ลี ยอมถอื สาระของตนในโลกนี้ไวไ ด. จบ วัฑฒิสตู รท่ี ๑๐ จบ มาตคุ ามพลวรรคท่ี ๓ รวมพระสตู รท่มี ีในวรรคน้ี คอื ๑. วิสารทสตู ร ๒. ปสยั หสตู ร ๓. อภิภุยยสตู ร ๔. องั คสตู ร๕ นาสยิตถสตู ร ๖. เหตุสตู ร ๗. ฐานะสตู ร ๘. วสิ ารทสูตร๙. ปญ จเวรสตู ร ๑๐. วฑั ฒสิ ูตร. จบ มาตคุ ามสังยุต

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 88 ๔. ชัมพุขาทกสงั ยตุ ๑. นพิ พานปญหาสูตร วาดว ยปญ หานพิ พาน [๔๙๗] สมยั หน่ึง ทา นพระสารีบตุ รอยู ณ บานนาลคาม แควนมคธ ครง้ั นนั้ แล ปริพาชกช่ือวาชมั พขุ าทก เขาไปหาทานพระสารีบุตรถึงทอ่ี ยู ไดปราศรัยกบั ทา นพระสารีบุตร ครน้ั ผานการปราศรัยพอใจระลึกถึงกันไปแลว จงึ น่งั ณ ท่ีควรสว นขางหน่งึ ครัน้ แลว ไดถ ามทา นพระสารบี ุตรวา ดกู อนทานสารบี ุตร ท่เี รยี กวา นพิ พาน ๆ ดังน้ี นิพพานเปน ไฉนหนอ. ทานพระสารบี ุตรตอบวา ดูกอนผูมีอายุ ความส้นิ ราคะความสนิ้ โทสะ. ความส้ินโมหะ นีเ้ รยี กวา นพิ พาน. ช. ดูกอนทา นผมู อี ายุ ก็บรรดามอี ยูหรอื ปฏิปทามอิ ยูหรือ เพ่ือกระทํานิพพานน้นั ใหแ จง . สา. มีอยู ผูมีอาย.ุ ช. ดกู อนทานผมู ีอายุ ก็มรรคาเปน ไฉน ปฏิปทาเปนไฉน เพ่อืกระทํานพิ พานนั้นใหแ จง. สา. ดูกอนผมู ีอายุ อริยมรรคประกอบดว ยองค ๘ คือ ความเห็นชอบ ความดาํ รชิ อบ วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชพี ชอบ เพียรชอบตง้ั สติชอบ ตั้งใจชอบ นแี้ ลเปนมรรคา เปนปฏปิ ทาเพอ่ื กระทาํ นพิ พานน้นั ใหแ จง. ช. ดกู อนทา นผมู อี ายุ บรรดาดนี ัก ปฏปิ ทาดนี กั เพื่อกระทํานิพพานใหแ จง และเพยี งพอเพ่ือความไมป ระมาท นะทา นสารีบุตร. จบ นพิ พานปญหาสตู รที่ ๑

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 89 ชัมพขุ าทกสังยตุ อรรถกถานพิ พานปญ หาสูตรท่ี ๑ พงึ ทราบวนิ ิจฉยั ในชมั พขุ าทกสงั ยตุ ดังตอไปน้ี บทวา ชมฺพขุ าทโก ปริพพฺ าชโก ความวา ปรพิ าชกผูนุงผาเปนหลานของพระสารบี ตุ รเถระ ซงึ่ มีชอื่ อยางน.้ี บทวา โย โข อาวโุ สราคกฺขโย ความวา ราคะยอมสิ้นไปเพราะอาศัยนพิ พาน เพราะฉะนนั้พระสารีบตุ ร จงึ เรยี กนพิ พานวา ความส้ินราคะดงั น.ี้ แมในความสนิ้โทสะและโมหะกม็ ีนยั นี้เหมอื นกัน. สวนผูใ ด พึงกลา วเพยี งความส้ินกิเลสวา นพิ พานดว ยสูตรน้ี ผูน้ันพึงถกู ถามวา กิเลสของใครน้นั ของตนหรอื หรือของคนเหลา อ่นื . เขาจกัตอบวา ของตนแน. เขาตองถูกถามตอไปวาอะไร เปนอารมณข องโคตรภ-ูญาณ เมื่อรจกั ตอบวา นิพพาน. ถามวา กก็ เิ ลสทั้งหลายสิน้ แลว กาํ ลังสิ้นจกั ส้ินในขณะแหง โคตรภญู าณหรอื ตอบวา เขาไมพ งึ ตอบวา สน้ิ แลวหรือกําลัง. แตพึงตอบวา จักส้นิ ดงั น้ี. ก็เมอ่ื กิเลสท้งั หลายเหลา นั้นยงั ไมส ้ินแลว . โคตรภูญาณจะทาํ ความสน้ิ แหงกเิ ลสใหเปน อารมณไ ดหรือเมื่อทา นถูกถามอยา งนแี้ ลว เขาจกั ไมมีคําตอบ. แตใ นขอน้ี พงึ ประกอบความสน้ิ กเิ ลสแมดวยมรรคญาณ. ดว ยวากเิ ลสท้ังหลาย แมในขณะแหง มรรค ไมค วรกลาววา สน้ิ แลว หรอื จกั สิ้นแตควร กลาววา กาํ ลังสิ้น อนึ่ง เมื่อกิเลสท้ังหลายยังไมส ิ้นไป ความสน้ิกเิ ลสยอ มเปน อารมณห าไดไม. เพราะฉะน้นั ขอ นั้นควรรบั ได. ธรรมมี

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 90ราคะเปน ตน ยอมสนิ้ ไป เพราะอาศยั ธรรมชาติใด เพราะเหตนุ ้ันธรรมชาติน้ัน ชอ่ื วา นิพพาน. สว นนิพพานน้นี นั้ ไมเ พยี งเปนความส้ินกิเลสเทา นั้น เพราะทานรวบรวมไววาสงเคราะหวา เปนอรูปธรรม. ธรรมท้ังหลายทชี่ อ่ื วา รูป ในทุกะมาตกิ ามอี าทิวา รูปโน ธมมฺ า อรูปโน ธมมฺ าธรรมทง้ั หลายทชี่ ื่อวารปู ธรรมทงั้ หลายทีไ่ มช ่ือวา รปู ทัง้ นี้ จบ อรรถกถานิพพานปญ หาสูตรท่ี ๑ ๒. อรหัตตปญ หาสตู ร วา ดว ยปญหาเรือ่ งพระอรหตั ผล [๔๙๘] ดกู อนทา นสารีบตุ ร ที่เรยี กวา อรหตั ๆ ดงั น้ี อรหัตเปน ไฉน. สา. ดกู อนผูม ีอายุ ธรรมเปน ที่สน้ิ ราคะ ธรรมเปน ที่ส้ินโทสะธรรมเปนท่สี ้ินโมหะ นี้เรยี กวา อรหตั . ช. ดกู อ นทา นผูมีอายุ ก็มรรคามอี ยูห รือ ปฏิปทามอี ยูห รือ เพื่อกระทาํ อรหตั น้นั ใหแจง. สา. มอี ยู ผูมอี าย.ุ ช. ดูกอนทานผูม อี ายุ ก็มรรคาเปน ไฉน ปฏปิ ทาเปน ไฉน เพอื่กระทําอรหัตนน้ั ใหแ จง . สา. ดกู อนผูม ีอายุ อริยมรรคประกอบดว ยองค ๘ คือ ความเห็นชอบ ฯลฯ ตงั้ ใจชอบ น้ีแลเปน บรรดา เปน ปฏปิ ทา เพอ่ื กระทําอรหัตนั้นใหแ จง.

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 91 ช. ดกู อนทา นผมู อี ายุ มรรคาดนี ัก ปฏปิ ทาดนี ัก เพื่อกระทําอรหตั นน้ั ใหแจง และเพียงพอเพื่อความไมประมาท นะทานสารีบตุ ร จบ อรหตั ตปญหาสูตรท่ี ๒ อรรถกถาอรหตั ตปญหาสูตรท่ี ๒ ในการพยากรณป ญหาในอรหัต เพราะอรหัตยอ มเกดิ ขน้ึ ในทส่ี ุดแหงความสน้ิ ราคะโทสะและโมหะ ฉะนนั้ พระสารบี ตุ ร จงึ กลา ววา ความสน้ิ ราคะ โทสะ โมหะดงั น้ี. จบ อรรถกถาอรหตั ตปญหาสตู รท่ี ๒ ๓. ธรรมวาทีปญหาสูตร วา ดวยปญหาผูเปน ธรรมวาที [๔๙๙] ดกู อ นทานสารบี ุตร ใครหนอเปน ธรรมวาทีในโลก ใครเปนผูป ฏบิ ตั ิดใี นโลก ใครเปน ผไู ปดีแลวในโลก. สา. ดูกอนผมู ีอายุ ทา นผูใดแสดงธรรมเพ่ือละราคะ โทสะ โมหะทา นผนู ้ันเปน ธรรมวาทใี นโลก อนึ่ง ทานผใู ดปฏิบตั ิเพอ่ื ละราคะ โทสะโมหะ ทานผูน น้ั เปนผูปฏิบตั ิดีในโลก ราคะ โทสะ โมหะ อนั ทา นผูใดละแลว ถอนรากเสียแลวทําใหเปน ดังตาลยอดดว น กระทาํ ไมไ ดมีในภายหลงั ไมใ หเ กดิ ขึน้ ตอไปเปนธรรมดา ทา นผนู ้นั เปนผไู ปดแี ลว ในโลก. ช. ดูกอนทานผมู อี ายุ บรรดามอี ยหู รอื ปฏิปทามีอยูหรอื เพื่อละราคะ โทสะ โมหะน้ัน.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 92 สา. มอี ยู ผมู ีอายุ. ช. ดูกอ นทานผมู ีอายุ ก็บรรดาเปน ไฉน ปฏิปทาเปนไฉน เพ่ือละราคะ โทสะ โมหะนั้น. สา. อรยิ มรรคประกอบดว ยองค ๘ คือ ความเห็นชอบ ฯลฯตั้งใจชอบ นี้แลเปนมรรคา เปน ปฏปิ ทาเพอ่ื ละราคะ โทสะ โมหะนั้น. ช. ดกู อ นทานผูมีอายุ มรรคาดีนัก ปฏปิ ทาดนี กั เพ่อื ละราคะโทสะ โมหะนน้ั และเพยี งพอเพ่อื ความไมป ระมาท นะทานสารีบตุ ร. จบ ธรรมวาทปี ญ หาสูตรท่ี ๓ อรรถกถาธรรมวาทีปญหาสูตรท่ี ๓ บทวา เต โลเก สุคตา ความวา ทา นเหลานน้ั ชื่อวา ไปดีแลว เพราะละราคะเปนตนไปแลว . บทวา ทกุ ฺขสฺส โข อาวโุ สปริฺ ตถฺ  ความวา เพื่อกําหนดรูวฏั ทุกข จบ ธรรมวาทปี ญ หาสตู รท่ี ๓ ๔. ภมิ ัตถิยสูตร๑ วา ดวยประโยชนแหงการประพฤตพิ รหมจรรย [๕๐๐] ดูกอนทา นสารีบุตร ทา นอยปู ระพฤตพิ รหมจรรยในพระสมณะโคดม เพื่อประโยชนอ ะไร ?๑. สตู รที่ ๔-๑๓ ไมมีอรรถกถาแก.

พระสตุ ตันตปฎก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 93 สา. ดกู อ นทานผมู อี ายุ เราอยปู ระพฤตพิ รหมจรรยในพระผมู ี-พระภาคเจา เพอ่ื กาํ หนดรทู กุ ข. ช. ดกู อนผมู อี ายุ มรรคามีอยหู รือ ปฏปิ ทามีอยหู รอื เพ่อื กาํ หนดรทู ุกขน้นั . สา. มอี ยู ผมู ีอายุ. ช. ดูกอ นทานผมู อี ายุ ก็มรรคาเปนไฉน ปฏปิ ทาเปน ไฉน เพ่ือกาํ หนดรทู ุกขนน้ั . สา. ดกู อ นผมู ีอายุ อริยมรรคประกอบดว ยองค ๘ คอื ความเห็นชอบ ฯลฯ ตงั้ ใจชอบ น้แี ลเปนมรรคา เปน ปฏปิ ทาเพื่อกําหนดรูทกุ ขนนั้ ช. ดกู อ นทา นผมู ีอายุ มรรคาดีนกั ปฏปิ ทาดีนกั เพอื่ กาํ หนดรูทุกขน น้ั และเพยี งพอเพือ่ ความไมประมาท นะทา นสารีบตุ ร. จบ กมิ ัตถยิ สูตรท่ี ๔ ๕. อัสสาสปั ปตตสูตร วาดวยผถู ึงความโลง ใจ [๕๐๑] ดูกอ นทา นสารีบตุ ร ทเี่ รียกวา ถงึ ความโลงใจ ๆ ดังน้ีดว ยเหตเุ พียงเทา ไรหนอแล จึงจะชือ่ วาถงึ ความโลง ใจ. สา. ดกู อ นผมู อี ายุ เม่ือไรภิกษยุ อมรคู วามเกิด ความดบั คุณ โทษและอุบายเคร่อื งสลัดออกแหงผสั สายตนะ ๖ ตามความเปนจริง ดวยเหตุเพยี งเทานแ้ี ล จงึ จะชื่อวาถงึ ความโลง ใจ.

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 94 ช. ดูกอ นทา นผูมอี ายุ ก็บรรดามีอยูหรือ ปฏิปทามีอยหู รือ เพ่ือกระทําความโลงใจนัน้ ใหแจง. สา. มอี ยู ผมู ีอายุ ช. ดกู อ นทา นผมู ีอายุ ก็บรรดาเปน ไฉน ปฏิปทาเปนไฉน เพื่อกระทําความโลงใจนั้นใหแจง . สา. อรยิ มรรคประกอบดว ยองค ๘ คอื ความเหน็ ชอบ ฯลฯ ตง้ัใจชอบ นี้แลเปน บรรดา เปนปฏิปทา เพื่อกระทําความโลงใจนั้นใหแ จง. ช. ดูกอนทานผูมีอายุ บรรดาดีนัก ปฏปิ ทาดนี กั เพือ่ กระทาํความโลง ใจนนั้ ใหแจง และเพยี งพอเพื่อความไมประมาท นะทานสารีบตุ ร. จบ อสั สาสปั ปตตสูตรท่ี ๕ ๖. ปรมสั สาสัปปตรสูตร วาดวยผถู ึงความโลง ใจอยางยง่ิ [๕๐๒] ดกู อ นทา นสารบี ุตร ทเ่ี รียกวา ถึงความโลงใจอยางยิง่ ๆดังนี้ ดวยเหตเุ พยี งเทา ไรหนอแล จงึ จะช่อื วาถงึ ความโลง ใจอยางยงิ่ . สา. ดูกอ นผูมอี ายุ เมอื่ ไรภิกษุรูความเกดิ ความดับ คณุ โทษและอุบายเครื่องสลดั ออกแหงผสั สายนะ ๖ ตามความเปน จริงแลว เปน ผูหลดุ พนเพราะไมถือมนั่ ดว ยเหตเุ พยี งเทา น้ีแล จึงจะชอ่ื วาถงึ ความโลงใจอยา งยง่ิ .

พระสุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 95 ช. ดกู อ นทา นผูมีอายุ กม็ รรคมีอยูหรอื ปฏปิ ทามอี ยูหรือ เพ่ือกระทาํ ความโลง ใจอยางยิ่งนัน้ ใหแจง. สา. มีอยู ผมู อี ายุ. ช. ดกู อ นทา นผูมีอายุ กบ็ รรดาเปน ไฉน ปฏิปทาเปน ไฉน เพื่อกระทาํ ความโลงใจอยา งยง่ิ นน้ั ใหแจง . สา. ดกู อนผูมอี ายุ อรยิ มรรคประกอบดว ยองค ๘ คอื ความเห็นชอบ ฯลฯ ตง้ั ใจชอบ น้แี ลเปน มรรคา เปน ปฏปิ ทา เพ่อื กระทาํ ความโลง ใจอยา งยงิ่ นัน้ ใหแ จง. ช. ดกู อ นทานผมู ีอายุ บรรดาดีนกั ปฏิปทาดนี กั เพ่อื กระทําความโลง ใจอยา งยง่ิ นน้ั ใหแจง และเพยี งพอเพ่อื ความไมป ระมาท นะทา นสารบี ุตร. จบ ปรมัสสาสัปปตตสูตรท่ี ๖ ๗. เวทนาปญ หาสูตร วา ดวยปญหาเร่อื งเวทนา [๕๐๓] ดกู อนทา นสารบี ุตร ท่ีเรียกวา เวทนา ๆ ดังน้ี เวทนาเปนไฉนหนอ. สา. ดูกอนผูม อี ายุ เวทนา ๓ อยา งนี้ ๓ อยา งเปน ไฉน. คอื สขุ -เวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา เวทนา ๓ อยา ง นแ้ี ล.

พระสุตตันตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 96 ช. ดูกอนทานผูม ีอายุ ก็มรรคามีอยูห รือ ปฏิปทามีอยูหรอื เพอ่ืกําหนดรูเ วทนา ๓ อยางน.ี้ สา. มีอยู ผมู ีอายุ. ช. ดูกอ นทา นผูม อี ายุ กม็ รรคาเปน ไฉน ปฏิปทาเปน ไฉน เพือ่กําหนดรเู วทนา ๓ อยา งนัน้ . สา. ดกู อ นผูมอี ายุ อริยมรรคประกอบดว ยองค ๘ คือความเหน็ชอบ ฯลฯ ตั้งใจชอบ นแี้ ลเปน มรรคาเปนปฏปิ ทา เพอ่ื กาํ หนดรเู วทนา ๓อยา งน้นั . ช. ดูกอ นทา นผมู อี ายุ มรรคาดีนกั ปฏิปทาดนี ัก เพอื่ กาํ หนดรูเวทนา ๓ อยางน้ัน และเพยี งพอเพือ่ ความไมประมาท นะทานสารบี ุตร จบ เวทนาปญหาสตู รท่ี ๗ ๘. อาสวปญหาสตู ร วา ดวยปญ หาเรอ่ื งอาสวะ [๕๐๔] ดกู อ นทานสารบี ตุ ร ทเ่ี รียกวา อาสวะ ๆ ดังน้ี อาสวะเปน ไฉนหนอ. สา. ดูกอ นผูมอี ายุ อาสวะ ๓ อยา งน้ี คือ กามาสวะ ภวาสวะอวิชชาสวะ อาสวะ ๓ อยา งน้แี ล. ช. ดูกอ นทานผูมอี ายุ ก็บรรดามอี ยูหรือ ปฏปิ ทามีอยหู รือ เพ่ือละอาสวะเหลาน้ัน.

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 97 สา มีอยู ผูม ีอาย.ุ ช. ดกู อนทา นผูมอี ายุ กม็ รรคาเปน ไฉน ปฏิปทาเปนไฉน เพือ่ละอาสวะเหลานัน้ . สา. ดูกอนผูมอี ายุ อริยมรรคประกอบดว ยองค ๘ คือ ความเห็นชอบ ฯลฯ ตง้ั ใจชอบ นี้แลเปนมรรคา เปนปฏิปทา เพ่อื ละอาสวะเหลานนั้ . ช. ดูกอนทานผมู อี ายุ มรรคาดีนกั ปฏิปทาดนี ัก เพือ่ ละอาสวะเหลานัน้ และเพียงพอเพอ่ื ความไมป ระมาท นะทา นสารีบุตร จบ อาสวปญหาสูตรท่ี ๘ ๙. อวชิ ชาปญหาสูตร วา ดวยปญ หาเร่ืองอวิชชา [๕๐๕] ดูกอ นทานสารีบุตร ทีเ่ รยี กวา อวิชชา ๆ ดังนี้ อวิชชาเปน ไฉนหนอ. สา. ดกู อนผมู อี ายุ ความไมร ใู นทุกข ในเหตุเกดิ แหง ทกุ ข ในความดับทกุ ข นป้ี ฏิปทาเคร่อื งใหถงึ ความดับทกุ ข น้เี รียกวาอวิชชา ช. ดูกอนทา นผมู อี ายุ ก็มรรคามีอยหู รือ ปฏปิ ทามีอยหู รือ เพ่อือวชิ ชาเหลานนั้ . สา. มีอยู ผูมีอาย.ุ

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 98 ช. ดูกอ นทานผูมีอายุ กม็ รรคาเปนไฉน ปฏปิ ทาเปน ไฉน เพื่อละอวชิ ชาเหลา นน้ั . สา. ดกู อนผูม ีอายุ อรยิ มรรคประกอบดวยองค ๘ คือ ความเห็นชอบ ฯลฯ ตงั้ ใจชอบ น้ีแลเปนมรรคา เปน ปฏิปทา เพ่อื ละอวชิ ชาเหลานัน้ . ช. ดูกอ นทา นผูมอี ายุ บรรดาดนี ัก ปฏปิ ทาดีนกั เพือ่ ละอวิชชาเหลา นัน้ และเพยี งพอเพื่อความไมประมาท นะทานสารีบุตร. จบ อวชิ ชาปญ หาสตู รท่ี ๙ ๑๐. ตณั หาปญหาสตู ร วา ดว ยปญหาเรอ่ื งตณั หา [๕๐๖] ดูกอนทา นสารีบตุ ร ทีเ่ รียกวา ตัณหา ๆ ดังนี้ ตณั หาเปน ไฉนหนอ. สา. ดูกอ นผมู ีอายุ ตัณหา ๓ ประการนี้ คอื กามตัณหา ภวตัณหาวภิ วตัณหา ตณั หา ๓ ประการนีแ้ ล. สา. ดกู อ นทา นผมู ีอายุ อริยมรรคประกอบดวยองค ๘ คอื ความเหน็ ชอบ ฯลฯ ตัง้ ใจชอบ นีแ้ ลเปน บรรดา เปน ปฏปิ ทา เพ่อื ละตณั หาเหลาน้ัน. ช. ดกู อ นทา นผมู อี ายุ มรรคาดีนกั ปฏปิ ทาดนี กั เพอ่ื ละตัณหาเหลาน้นั และเพียงพอเพ่อื ความไมประมาท นะทา นสารบี ตุ ร. จบ ตัณหาปญ หาสูตรที่ ๑๐

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 99 ๑๑. โอฆปญ หาสูตร วา ดวยปญหาเรื่องโอฆะ [๕๐๗] ดกู อนทา นสารีบุตร ที่เรยี กวา โอฆะ ๆ ดังน้ี โอฆะเปนไฉนหนอ. สา. ดูกอนผมู อี ายุ โอฆะ ๔ ประการนี้ คือ กาโมฆะ ภโวฆะทิฏโฐฆะ อวิชโชฆะ โอฆะ ๔ ประการนแ้ี ล. ช. ดูกอ นทานผมู อี ายุ กม็ รรคามีอยูห รอื ปฏปิ ทามอี ยหู รือ เพือ่ละโอฆะเหลานัน้ . สา. มีอยู ผูมีอาย.ุ ช. ดูกอนทานผูมอี ายุ กม็ รรคาเปน ไฉน ปฏปิ ทาเปน ไฉน เพอ่ืละโอฆะ เหลานน้ั . สา. ดกู อนผมู อี ายุ อริยมรรคประกอบดวยองค ๘ คือ ความเห็นชอบ ฯลฯ ตงั้ ใจชอบ นแ้ี ลเปนบรรดา เปน ปฏิปทา เพ่ือละโอฆะเหลา น้นั . ช. ดกู อ นทานผูมีอายุ มรรคาดนี กั ปฏิปทาดนี กั เพือ่ ละโอฆะเหลา นนั้ และเพียงพอเพ่ือความไมป ระมาท นะทา นสารีบตุ ร. จบ โอฆปญ หาสูตรที่ ๑๑

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 100 ๑๒. อปุ ทานปญหาสตู ร วา ดว ยปญ หาเรอ่ื งอปุ าทาน [๕๐๘] ดกู อ นทา นสารบี ุตร ทเ่ี รียกวา อปุ าทาน ๆ ดงั นี้อุปาทานเปนไฉนหนอ. สา. ดกู อ นผูม อี ายุ อุปาทาน ๔ ประการนี้ คอื กามปุ าทานทิฏุปาทาน สลี พั พตุปาทาน อัตตวาทปุ าทาน อุปาทาน ๔ ประการนี้แล. ช. ดกู อ นทา นผูม ีอายุ กม็ รรคามีอยหู รอื ปฏปิ ทามอี ยหู รอื เพอ่ืละอุปาทานเหลา นัน้ . สา. มอี ยู ผมู ีอาย.ุ ช. ดกู อนทานผมู อี ายุ ก็มรรคาเปน ไฉน ปฏิปทาเปนไฉน เพือ่ละอปุ าทานเหลา นน้ั . สา. ดกู อนผมู อี ายุ อรยิ มรรคประกอบดว ยองค ๘ คอื ความเห็นชอบ ฯลฯ ตั้งใจชอบ นีแ้ ลเปนบรรดา เปนปฏปิ ทา เพ่อื ละอุปาทานเหลา น้ัน. ช. ดกู อ นทา นผูมอี ายุ มรรคาดนี กั ปฏิปทาดีนัก เพ่ือละอุปาทานเหลาน้ัน และเพียงพอเพอื่ ความไมประมาท นะทา นสารีบตุ ร. จบ อุปทานปญ หาสูตรที่ ๑๒


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook