พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 101พระพทุ ธเจาขา ขอพระองคพ ึงทรงทราบ จักรแกวอันเปน ทิพยข องพระองคถอยเคลอ่ื นจากทแี่ ลว . ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย ลําดบั นั้น ทาวเธอตรสั เรยี กพระกุมารซึ่งเปน พระโอรสองคใ หญมารบั สั่งวา ดกู อ นพอกุมาร ไดยนิ วาจักรแกวอันเปนทพิ ยของพอถอยเคลื่อนจากทีแ่ ลว ก็พอ ไดฟงมาดังน้ีวา จักรแกวอนั เปนทพิ ยข องพระเจาจกั รพรรดิองคใด ถอยเคลอื่ นจากที่ พระเจาจักรพรรดพิ ระองคน ้นั พึงทรงพระชนมอยูไดไมนานในบัดน้ี ก็กามทงั้ หลายอนั เปน ของมนษุ ยพอ ไดเ สวยแลว บดั น้เี ปนสมัยท่พี อจะแสวงหากามทงั้ หลายอันเปน ทิพย มาเถดิ พอกุมาร พอจงปกครองแผน ดนิ อนั มีสมุทรเปนขอบเขตนี้ ฝา ยพอ จกั ปลงผมและหนวด นุงหม ผายอมน้าํ ฝาดออกจากเรือนบวชเปนบรรพชติ . ดูกอนภิกษุท้ังหลาย ลาํ ดบั นน้ั ทาวเธอทรงส่ังสอนพระ-กุมารซ่ึงเปน โอรสองคใ หญใ นราชสมบัตเิ รียบรอยแลว ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผายอมน้าํ ฝาดเสดจ็ ออกจากเรอื น ทรงผนวชเปนบรรพชติ แลว. ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย ก็เม่ือพระราชฤาษีทรงผนวชได ๗ วัน จกั รแกวอันเปน ทิพย อนั ตรธานไปแลว. [๓๕] ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลาย คร้งั น้ัน ราชบุรุษคนหน่ึง เขาไปเฝาพระราชาผูเปน กษตั ริย ซงึ่ ไดมูรธาภเิ ษกแลว ถึงท่ปี ระทบัครน้ั แลวไดกราบทลู วา ขอเดชะ พระพุทธเจา ขา พระองคพึงทรงทราบเถดิ จกั รแกว อันเปน ทิพย อันตรธานไปแลว. ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย ลาํ ดบั นัน้ เมื่อจกั รแกวอันเปน ทพิ ยอนั ตรธานไปแลวทา วเธอไดทรงเสียพระทยั และทรงเสวยความโทมนสั ทา วเธอเสด็จเขาไปหาพระราชฤาษีถงึ ที่ประทับ แลวไดก ราบทูลวา ขอเดชะพระพุทธเจาขา พระองคพงึ ทรงทราบวา จักรแกวอันเปน ทิพย
พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 102อนั ตรธานไปแลว . ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย เม่ือทาวเธอกราบทลู อยา งน้ีแลว พระราชฤาษจี ึงตรัสกะทา วเธอวา ดกู อ นพอ พอ อยาเสียใจและอยเู สวยความโทมนสั ไปเลย ในเมือ่ จักรแกว อนั เปนทพิ ยอ ันตร-ธานไปแลว ดวยวา จักรแกวอันเปน ทพิ ย หาใชส มบตั ิสบิ มาจากบิดาของพอไม ดูกอนพอ เชิญพอประพฤตใิ นจักกวตั ตวิ ัตรอนั ประเสริฐเถดิ ขอ นี้เปน ฐานะทีจ่ ะมิไดแล เม่ือพอประพฤติในจกั กวัตตวิ ตั รอนั ประเสริฐ. ครน้ั ถึงวันอุโบสถข้นึ ๑๕ ค่ํา จักรแกวอันเปน ทิพยซงึ่ มกี าํ พันหน่งึ มกี ง มีดมุ บรบิ รู ณด ว ยอาการทกุ อยา ง จกั ปรากฏมแี กพอ ผสู นานพระเศยี ร แลว รักษาอโุ บสถอยู ณ ปราสาทอนั ประ-เสริฐชนั้ บน. ทา วเธอถามวา พระพุทธเจา ขา กจ็ ักกวัตติวัตรอนัประเสริฐนั้น เปนไฉน. ราชฤาษตี อบวา ดกู อ นพอ ถาเชน นนั้พอจงอาศัยธรรมเทานั้น สักการะธรรม ทาํ ความเคารพธรรม นับถือธรรม บชู าธรรม ยําเกรงธรรม มีธรรมเปนธงชัย มธี รรมเปน ยอด มธี รรมเปน ใหญ จงจัดการรักษาบอกกนั และคุม ครองอันเปนธรรม ในชนภายใน ในหมูพล ในหมกู ษตั ริยผไู ดรบั ราชาภิเษก ในหมูก ษัตริยประเทศราช ในพวกพราหมณและคฤหบดี ในชาวนิคมและชาวชนบทท้ังหลาย ในพวกสมณพราหมณ ในเหลาเนือ้ และนก ดกู อ นพอ การกระทาํ สงิ่ ท่ีเปน อธรรม อยา เปน ไปในแวน แควน ของลกู อน่งึ บุคคลเหลา ใดในแวน แควน ของพอ ไมม ีทรพั ย พอ พึงใหทรพั ยแกบ ุคคลเหลานัน้ ดวย อนึ่ง สมณพราหมณเหลา ใด ในแวนแควนของลูก งดเวนจากความเมาและความประมาทต้งั มัน่ อยใู นขนั ติและโสรัจจะ ฝก ตนแตผเู ดียว สงบตนแตผูเ ดยี วใหต นดบั กเิ ลสอยูแตผูเดยี ว พงึ เขาไปหาสมณพราหมณเ หลา น้นั โดยกาลอันสมควรแลวไตถามสอบถามวา ทานขอรับ กศุ ลคืออะไร
พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 103อกุศลคืออะไร กรรมมีโทษ คอื อะไร กรรมไมมโี ทษคอื อะไร กรรมอะไรควรเสพ กรรมอะไรไมค วรเสพ กรรมอะไรอันขาพเจากระทาํ อยูพึงเปนไปเพื่อไมเ ปนประโยชน เพอื่ ทกุ ข ส้นิ กาลนาน หรอื วา กรรมอะไรที่ขาพเจา กระทาํ อยู พงึ เปนไปเพือ่ ประโยชน เพื่อความสขุส้นิ กาลนาน พอ ไดฟ ง คาํ ของสมณพราหมณเ หลา นั้นแลว สิง่ ใดเปนอกุศล พงึ ละเวนสง่ิ นั้นเสยี ส่ิงใดเปนกศุ ลพงึ ถือม่นั สงิ่ นนั้ ประพฤติดูกอ นพอ นแ้ี ล คือจกั กวัตตวิ ัตรอนั ประเสรฐิ น้นั . ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ทาวเธอรับสนองพระดํารัสพระราช-ฤาษีแลว ทรงประพฤตใิ นจกั กวัตตวิ ตั รอนั ประเสรฐิ เม่อื ทาวเธอทรงประพฤติจักกวตั ติวัตรอนั ประเสริฐอยู เม่อื ถงึ วนั อุโบสถ ๑๕ คํา่จักรแกว อันเปน ทพิ ยซ ่ึงมีกําพนั หนึ่ง มกี ง มดี ุม บรบิ รู ณดว ยอาการทุกอยา ง ปรากฏมแี กทาวเธอผูส นานพระเศยี ร ทรงรกั ษาอโุ บสถอยู ณ ปราสาทอันประเสริฐชัน้ บน ทาวเธอทอดพระเนตรเหน็ แลว มพี ระดําริวา กเ็ ราไดสดบั มาวา จกั รแกว อันเปนทิพยมีกําพันหนึ่ง มีกง มดี ุม บริบรู ณด วยอาการทกุ อยา งปรากฏมีแกพระราชาผเู ปน กษัตริยพ ระองคใด ผไู ดม ูรธาภเิ ษก สนานพระเศยี ร ทรงรักษาอุโบสถ ณ ปราสาทอันประเสรฐิ ชนั้ บนในวนัอุโบสถ ๑๕ คํา่ พระราชาพระองคน ั้นเปน พระเจาจักรพรรดิ เราไดเปน พระเจาจักรพรรดิหรอื หนอ. [๓๖] ดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย ลําดบั นั้น ทาวเธอเสดจ็ ลกุ จากพระทีแ่ ลวทรงทาํ ผาอตุ ตราสงคเ ฉวยี งพระองั สาขางหนึง่ จับพระเตาดว ยพระหัตถซา ย ทรงประคองจกั รแกว ดว ยพระหตั ถข วา แลว ตรสัวา ขอจักรแกวอนั ประเสรฐิ จงหมุนไปทัว่ โลกเถิด ขอจกั รแกว อนัประเสรฐิ จงชนะโลกท้งั ปวงเถดิ .
พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 104 กอนภกิ ษุทง้ั หลาย ขณะนนั้ จกั รแกวน้ัน ก็หมุนไปทางทศิ บรู พา พระเจา จกั รพรรดพิ รอมดวยจตรุ งคนิ ีเสนา กเ็ สดจ็ ตดิ ตามไป. พระเจา จักรพรรดิพรอมดว ยจตรุ งคนิ เี สนา ไดไปประทับอยูณ ประเทศทีจ่ กั รแกว ประดษิ ฐานอยู. ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย ฝา ยพระราชาอรริ าชที่อยู ณ ทศิ บูรพาพากนั เสดจ็ เขาไปเฝา พระเจา จกั รพรรดไิ ดกราบทลู กอยา งนีว้ า ขอเชิญเสดจ็ มาเถิด มหาราชเจา พระองคเสด็จมาดแี ลว ราชอาณาจกั รเหลานีเ้ ปน ของพระองคท ั้งสิ้น ขอพระองคจ งทรงปกครองเถิด มหา-ราชเจา. ทา วเธอจงึ ตรัสอยา งนวี้ า พวกทา นไมพงึ ฆา สตั ว ไมพึงถือเอาของที่เจา ของไมไ ดให ไมพึงประพฤติผิดในกามทั้งหลาย ไมพงึ กลา วคาํ เท็จ ไมพ ึงดื่มนาํ้ เมา จงเสวยสมบตั ิตามเดิมเถิด. ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย พวกพระราชาอรริ าชท่ีอยู ณ ทศิ บรู พา ไดพ ากันตามเสดจ็ ทา วเธอไป. ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ลาํ ดับน้ัน จกั รแกวนั้น ก็ลงไปสสู มุทรดา นทิศบูรพา แลว โผลขน้ึ ไปลงทส่ี มทุ รดานทิศทกั ษณิแลวโผลข น้ึ ไปสูทศิ ปจฉมิ . ทาวเธอพรอ มดว ยจตุรงคินีเสนากเ็ สดจ็ตดิ ตามไป. ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย จกั รแกว ประดิษฐานอยู ณ ประ-เทศใด ทาวเธอกเ็ สด็จเขาไปพักอยู ณ ประเทศนน้ั พรอ มดว ยจตรุ ง-คินีเสนา. ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย ฝายพระราชาอริราช อยู ณ ทศิ ปจ ฉมิก็พากันเสดจ็ เขาไปเฝาทา วเธอ ไดก ราบทลู อยางน้ีวา ขอเชญิ เสด็จมาเถิด มหาราชเจา พระองคเสด็จมาดแี ลว มหาราชเจา อาณาจกั รเหลานี้เปนของพระองคท ั้งส้นิ มหาราชเจา ขอพระองคทรงปกครองเถิด.ทาวเธอจงึ ตรสั อยางน้วี า พวกทานไมพ งึ ฆา สตั ว ไมพึงถอื เอาสง่ิ ของที่เจา ของเขาไมไ ดให ไมพงึ ประพฤติผดิ ในกามท้ังหลาย ไมพ งึ กลาว
พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 105คําเทจ็ ไมพ ึงดมื่ น้าํ เมา จงเสวยสมบัติ ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย พวกพระราชาอริราช ท่ีอยู ณ ทศิ ปจ ฉิมไดพ ากันตามเสด็จทาวเธอไป.ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย ลําดับนน้ั จักรแกว น้ัน กล็ งสูสมทุ รดานทิศปจ ฉมิแลวโผลขนึ้ ไปสูทศิ อุดร. พระเจา จกั รพรรดิ พรอมดว ยจตุรงคินเี สนากเ็ สดจ็ ติดตามไป. ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย จักรแกว ประดษิ ฐานอยู ณประเทศใดทาวเธอพรอมดว ยจตรุ งคนิ ีเสนา ก็เสด็จเขา ไปพักอยู ณประเทศน้ัน. ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย ฝายพระราชาอริราช ทอ่ี ยู ณ ทศิ อุดรก็พากันเสดจ็ เขาไปเฝา ทา วเธอ ไดก ราบทูลอยา งนี้วา ขอเชญิ เสดจ็ มาเถดิ มหาราชเจา พระองคเสดจ็ มาดีแลว มหาราชเจา อาณาจักรเหลา น้เี ปน ของพระองคท้งั สิ้น มหาราชเจา ขอพระองคทรงปกครองเถดิ . ทาวเธอจึงตรสั อยางนว้ี า พวกทานไมพ งึ ฆา สตั ว ไมพ งึ ถือเอาสิ่งของท่เี จา ของไมไดให ไมพ ึงประพฤตผิ ดิ ในกามทงั้ หลาย ไมพ งึกลา วคาํ เทจ็ ไมพ งึ ดมื่ นํ้าเมา จงเสวยสมบตั ติ ามเดมิ เถดิ . ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย พวกพระราชาอรริ าชท่ีอยู ณ ทศิ อุดร ไดพ ากนั ตามเสดจ็ ทาวเธอไป. ดูกอนภิกษุท้งั หลาย ลําดับนัน้ จักรแกว นั้นไดชนะวิเศษย่งิ ซึ่งแผนดินมสี มทุ รเปนขอบวชไดแลว จึงกลบั คืนสูราชธานนี นั้ ไดหยุดอยูทปี่ ระตูพระราชวงั ของทาวเธอ ปรากฏเหมอื นเคร่ืองประดับ ณ มุขสําหรบั ทําเรอื่ งราว วา งไสวอยูท ่ัวภายในพระ-ราชวงั ของทาวเธอ.วาดว ยจกั รแกว ทิพยถอยเคล่ือนจากท่ี [๓๗] ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย พระเจา จกั รพรรดอิ งคท ี่ ๒กด็ ี องคที่ ๓ ก็ดี องคท ่ี ๔ กด็ ี องคท่ี ๕ กด็ ี องคท ่ี ๖ กด็ ี องค-
พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 106ท่ี ๗ กด็ ี โดยกาลลว งไปหลายป หลายรอ ยป หลายพันป ไดต รสัเรียกบุรุษคนหนึง่ มารับสงั่ วา ดกู อนบรุ ษุ ผูเจริญ ในขณะทีท่ านเห็นจกั รแกว อนั เปนทิพย ถอยเคลื่อนจากท่ี พึงบอกแกเ ราทนั ท.ี ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย บุรษุ นน้ั ทลู สนองพระราชดํารสั ของทาวเธอแลว . ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย โดยลวงไปอกี หลายป หลายรอ ยปหลายพนั ป บุรษุ นน้ั ไดแ ลเห็นจกั รแกว อันเปนทิพยถ อยเคลอื่ นจากท่ีจึงเขา ไปเฝา ทาวเธอถงึ ทีป่ ระทับ แลวไดก ราบทลู วา ขอเดชะ พระ-พุทธเจา ขา ขอพระองคพ งึ ทรงทราบ จักรแกวอนั เปน ทิพยข องพระองคถอยเคล่อื นจากทีแ่ ลว. ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย ลาํ ดับน้ัน ทาวเธอตรัสเรยี กพระกมุ ารซ่ึงเปนโอรสองคใหญม ารับส่งั วา ดกู อ นพอ กุมารไดย ินวา จักรแกว อนั เปนทพิ ยของพอ ถอยเคลอ่ื นจากท่ีแลว น่นั เปนความสขุ ของพอ กพ็ อไดส ดบั มาดงั น้วี า จักรแกว อนั เปน ทิพยข องพระเจาจักรพรรดพิ ระองคใด ถอยเคลอ่ื นจากท่ี พระเจา จักรพรรดิพระองคน้ันพงึ ทรงพระชนมอยูไ ดไ มน าน ในบัดน้ี ก็กามท้ังหลายอนั เปน ของมนษุ ย พอ ไดเสวยแลว บดั นเ้ี ปนสมยั ทพี่ อ จะแสวงหากามทัง้ หลายอนั เปน ทพิ ย มาเถดิ พอ กุมาร ลูกจงปกครองแผน ดินอนั มสี มทุ รเปน ขอบเขตนี้ ฝา ยพอจะปลงผมและหนวด นุงหม ผายอ มน้ําฝาด ออกจากเรือนบวชเปน บรรพชติ . ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลายลําดับนนั้ ทา วเธอทรงสง่ั สอนพระกุมารซึง่ เปน โอรสองคใ หญใ นราชสมบตั เิ รยี บรอยแลว ทรงปลงพระเกศาและพระมสั สุ ทรงครองผายอมนาํ้ ฝาด เสดจ็ ออกจากเรอื น ทรงผนวชเปนบรรพชิตแลว.ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย ก็เมือ่ พระราชฤาษี ทรงผนวชได ๗ วนั จกั รแกวอันเปนทิพย อนั ตรธานไปแลว . [๓๘] ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย ลาํ ดบั นนั้ บรุ ษุ คนหนึง่ เขาไป
พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 107เฝา พระราชาผเู ปน กษตั ริย ซ่งึ ไดม รู ธาภเิ ษกแลวถงึ ทีป่ ระทบั ครั้นแลว ไดกราบทลู วา ขอเดชะ พระพทุ ธเจาขา พระองคทรงทราบเถิด จกั รแกว อนั เปนทพิ ย อันตรธานไปแลว . ดูกอนภิกษทุ ้ังหลายลําดบั น้นั ทาวเธอเมอ่ื จกั รแกวอันเปนทพิ ยอ ันตรธานไปแลว ไดทรงเสียพระทยั และไดทรงเสวยความโทมนัส แตไมไดเ สด็จเขาไปเฝาพระราชฤาษี ทลู ถามถึงจักกวัตติวัตรอนั ประเสริฐ. นัยวา ทาวเธอทรงปกครองประชาราษฎรตามพระมติของพระองคเ อง เม่อื ทาวเธอทรงปกครองประชาราษฎรตามพระมตขิ องพระองคเองอยู ประชา-ราษฎรกไ็ มเ จรญิ ตอไป เหมือนเกา กอน เหมอื นเม่อื กษัตริยพระองคกอน ๆ ซ่ึงไดทรงประพฤติในจกั กวตั ติวตั รอันประเสรฐิ อย.ู ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย ครั้งนั้น คณะอาํ มาตยขา ราชบริพารโหราจารยและมหา-อาํ มาตย นายกองชา ง นายกองมา เปนตน คนรกั ษาประตู และคนเล้ียงชีพดว ยปญ ญา ไดป ระชุมกันกราบทูลทาวเธอวา พระพุทธ-เจา ขา ไดยินวา เมือ่ พระองคท รงปกครองประชาราษฎรต ามพระมติของพระองคเ อง ประชาราษฎรไ มเ จริญเหมอื นเกา กอน เหมอื นเม่ือกษตั ริยพระองคก อ น ๆ ซึ่งไดทรงประพฤตใิ นจักกวตั ตวิ ัตรอนั ประ-เสรฐิ อยู พระพุทธเจาขา ในแวนแควน ของพระองคม ีอํามาตยข าราชบรพิ าร โหราจารย และมหาอาํ มาตย นายกองชา ง นายกองมาเปนตน คนรักษาประตู และคนเลีย้ งชีพดวยปญญา อยพู รอ มทเี ดียว ขาพระพทุ ธเจาท้งั หลาย คือขา พระพุทธเจาทั้งหลายดวยและประชาราษฎรเหลาอนื่ ดวย ทรงจําจักกวตั ติวตั รอนั ประเสริฐไดอยู ขอเชิญพระองคโปรดตรสั ถามถึงจักกวัตติวัตรอันประเสริฐเถดิพวกขาพระพุทธเจา อนั พระองคตรัสถามแลว จักกราบทูลแกจ ักก-วัตติวัตรอันประเสริฐถวายพระองค.
พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 118พฤตอิ อ นนอ มตอ ทา นผูใ หญใ นตระกูล จักสมาทานกศุ ลธรรมนแี้ ลวประพฤติ เพราะเหตุทีส่ มาทานกุศลธรรมเหลา นั้น เขาเหลา นั้นจักเจรญิดว ยอายบุ า ง จักเจริญดว ยวรรณะบา ง เมือ่ เขาเหลานัน้ เจริญดว ยอายุบา งเจริญดว ยวรรณะบา ง บุตรของคนผูม ีอายุ ๒๐ ป จกั มีอายุเจริญขึน้ ถงึ๔๐ ป. บตุ รของคนผูมอี ายุ ๔๐ ป จักมอี ายเุ จริญขึ้นถงึ ๘๐ ป. บุตรของคนผมู ีอายุ ๘๐ ป จักมีอายุเจรญิ ขน้ึ ถงึ ๑๖๐ ป. บตุ รของคนผมู ีอายุ ๑๖๐ ป จักมอี ายุเจริญข้ึน ๓๒๐ ป. บตุ รของคนผมู อี ายุ ๓๒๐ ปจักมอี ายเุ จริญขึ้นถงึ ๖๔๐ ป. บตุ รของคนผูมีอายุ ๖๔๐ ป จกั มอี ายุเจริญข้นึ ถึงสองพันป. บตุ รของคนผมู ีอายสุ องพนั ป จักมอี ายุเจรญิ ขนึ้ ถงึ สี่พนั ป.บุตรของคนผมู ีอายุสี่พันป จักมีอายุเจริญขน้ึ ถึงแปดพนั ป. บุตรของคนผมู อี ายุแปดพนั ป จกั มีอายเุ จรญิ ขึ้นถึงสองหมนื่ ป. บตุ รของคนผูมอี ายุสองหม่นื ป จักมอี ายเุ จรญิ ข้นึ ถงึ ส่หี มืน่ ป. บตุ รของคนผมู ีอายสุ ห่ี มื่นปจักมอี ายขุ ึ้นถงึ แปดหมื่นป.วาดวยการงดเวน อกุศลกรรมบถ ๑๐ อายยุ ืน [๔๘] ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย ในเมอื่ มนุษยม อี ายุแปดหมน่ื ปเด็กหญงิ มอี ายุ ๕๐๐ ป จึงจกั สมควรมีสามไี ด. ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย ในเมือ่ มนุษยม อี ายุแปดหม่ืนป จกั เกดิ มอี าพาธ ๓ อยา ง คอื ความอยากกิน ๑ความไมอ ยากกนิ ๑ ความแก ๑ ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย ในเมื่อมนุษยมีอายแุ ปดหมืน่ ป ชมพทู วีปนี้ จกั มง่ั ค่ังและรงุ เรอื ง มบี านนคิ มและราช-ธานพี อชัว่ ไกบ นิ ตก. ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย ในเมื่อมนุษยม อี ายุแปดหมื่นปชมพทู วีปน้ปี ระหนง่ึ วาอเวจนี รก จักยัดเยยี ดไปดวยผคู นท้ังหลาย เปรียบเหมอื นปา ไมอ อ หรือปา ไมแ กน ฉะนน้ั . ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ในเมื่อมนษุ ยมีอายุแปดหมื่นป เมอื งพาราณ-
พระสุตตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 119สีนี้ จักเปน ราชธานีมนี ามวา เกตุมดี เปน เมืองทมี่ ั่งค่ังและรงุ เรอ่ื งมีพลเมอื งมาก มผี ูค นคบั คง่ั และมีอาหารสมบรู ณ. ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลายในเมอื่ มนุษยม อี ายุแปดหมน่ื ป ในชมพทู วีปน้ี จกั มีเมืองแปดหมื่นสีพ่ ันเมือง มเี กตุมดรี าชธานเี ปน ประมขุ . กอนภกิ ษุทัง้ หลาย ในเม่อื มนษุ ยม ีอายแุ ปดหมนื่ ป จักมีพระ-เจาจกั รพรรดิ์ ทรงพระนามวา พระเจา สังขะ ทรงอบุ ตั ขิ ้ึน ณ เมืองเกตมุ ดีราชธานี เปน ผทู รงธรรม เปนพระราชาโดยธรรม เปน ใหญใ นแผน ดนิ มีมหาสมทุ ร ๔ เปน ขอบเขต ทรงชนะแลว มีราชอาณาจกั รมัน่ คงสมบูรณดวยแกว ๗ ประการ คือ จักรแกว ชางแกว มา แกว แกวมณีนางแกว คฤหบดีแกว ปริณายกแกวเปน ท่ี ๗. พระราชบุตรของพระองคม ีกวาพัน ลว นกลาหาญ มีรปู ทรงสมเปน วรี กษัตริย สามารถย่ํายเี สนาของขาศึกได. พระองคท รงชาํ นะโดยธรรม มติ องใชอาชญา มิตอ งใชศ สั ตราครอบครองแผน ดนิ มสี าครเปนขอบเขต. ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย ในเม่ือมนษุ ยอายุแปดหมนื่ พระผูมีพระภาคเจา ทรงพระนามวาเมตไตรย จกั เสดจ็ อุบตั ิขึน้ ในโลก พระองคเปน พระอรหันต ตรสั รูเ องโดยชอบ ถงึ พรอมดว ยวิชชาและจรณะ เสดจ็ไปดีแลว ทรงรแู จงโลก เปนสารถฝี กบุรุษท่คี วรฝก ไมม ีผอู ่ืนย่ิงกวาเปนศาสดาของเทวดาและมนษุ ยทงั้ หลาย เปนผเู บิกบานแลว เปน ผูจําแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขน้ึ แลว ในโลกในบดั น้ี เปน พระอรหนั ตต รัสรเู องโดยชอบ ถงึ พรอ มดว ยวิชชาและจรณะ เสดจ็ ไปดีแลวรแู จง โลก เปน สารถฝี ก บรุ ุษทค่ี วรฝก ไมม ผี อู ่นื ยิ่งกวา เปน ศาสดาของเทวดาและมนุษยทง้ั หลาย เปน ผเู บิกบานแลว เปน ผูจาํ แนกพระธรรม. พระผมู ีพระภาคพระนามวา เมตไตรยพระองคน ้ัน จักทรงทาํ โลกนพ้ี รอ มเทวโลกมารโลก พรหมโลก ใหแจงชดั ดว ยพระปญญาอันยิ่งดวยพระองคเองแลว
พระสุตตันตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 120ทรงสอนหมูส ตั วพรอมทง้ั สมณพราหมณเ ทวดาและมนษุ ยใหร ูตาม เหมอื นตถาคตในบัดนี้ ทาํ โลกน้พี รอมทง้ั เทวโลก มารโลก พรหมโลก ใหแจง ชดั ดวยปญ ญาอันยิ่งดว ยตถาคตเองแลว สอนหมูสตั วพรอมท้งั สมณ-พราหมณเ ทวดาและมนษุ ยใ หรตู ามอย.ู พระผมู พี ระภาคเจาพระนามวาเมตไตรยพ ระองคน ้ัน จักทรงแสดงธรรมงามในเบือ้ งตน งามในทา มกลางงามในท่ีสดุ ประกาศพรหมจรรย พรอ มทง้ั อรรถ พรอมท้งั พยัญชนะบริสุทธ์ิบรบิ ูรณสน้ิ เชิง เหมือนตถาคตในบดั นี้ แสดงธรรมงามในเบื้องตนงามในทา มกลาง งามในท่สี ดุ ประกาศพรหมจรรย พรอ มทง้ั อรรถพรอมทง้ั พยัญชนะ บริสทุ ธิบ์ ริบรู ณส นิ้ เชงิ . พระผมู ีพระภาคเจาพระนามวา เมตไตรยพ ระองคน ้นั จักทรงบรหิ ารภกิ ษุสงฆห ลายพนั เหมือนตถาคตบริหารภกิ ษสุ งฆห ลายรอย ในบัดน้ี ฉะน้นั . ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย คร้ังนนั้ พระเจา สังขะ จกั ทรงใหย กขึ้นซ่ึงปราสาททพ่ี ระจา มหาปนาทะทรงสรางไว แลวประทับอยู แลวจักทรงสละ จกั ทรงบาํ เพ็ญทาน แกส มณพราหมฌ คนกําพรา คนเดินทางวณพิ ก ละยาจกทั้งหลาย จกั ทรงปลงพระเกศาและพระมสั สุ ทรงครองผากาสาวพัสตร เสด็จออกจากเรือน ทรงผนวชเปน บรรพชิต ในสาํ นกัของพระผูมพี ระภาคอรหันตสมั มาสัมพทุ ธเจา พระนามวาเมตไตรยท า วเธอทรงผนวชอยา งนี้แลว ทรงปลีกพระองคอยูแตผ เู ดยี วไมป ระมาท มีความเพียรมตี นสง ไปแลว ไมช านกั กจ็ กั ทรงทําใหแจง ซึง่ ประโยชนอ นั ยอดเยย่ี มที่กลุ บตุ รทง้ั หลาย พากันออกจากเรือนบวชเปน บรรพชติ โดยชอบ อันเปนท่ีสุดแหงพรหมจรรย ดว ยพระปญญาอนั ยิง่ ดวยพระองคเ อง ในทฏิ ฐธรรมเท่ียว เขา ถึงอย.ู วา ดว ยการพึ่งตนพึง่ ธรรม [๔๙] ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย เธอท้งั หลายจงมีตนเปนเกาะ มตี น
พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 121เปนท่พี ึ่ง อยา มสี งิ่ อืน่ เปน ทพี่ งึ่ จงมีธรรมเปน เกาะ มธี รรมเปนสรณะอยา มสี ่ิงอน่ื เปน สรณะอย.ู ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย ก็ภกิ ษุผูมีตนเปน เกาะมตี นเปนทพี่ ึ่ง ไมม สี ิ่งอ่นื เปน ท่ีพ่งึ มีธรรมเปน เกาะ มีธรรมเปน สรณะไมม สี งิ่ อนื่ เปน สรณะอยู อยางไรเลา . ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย ภกิ ษุในพระธรรมวินัยนี้ พจิ ารณาเห็นวาในกายอยู มคี วามเพยี ร มสี ัมปชญั ญะ มีสติ กาํ จดั อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได พจิ ารณาเหน็ เวทนาในเวทนาทงั้ หลายอยูม คี วามเพียร มีสัม-ปชัญญะ มีสตกิ าํ จัดอภชิ ฌาละโทมนัสในโลกเสยี ได พจิ ารณาเหน็ จติ ในจติอยู มคี วามเพยี ร มีสัมปชญั ญะ มีสติ กําจัดอภชิ ฌาสละโทมนัสในโลกเสยีได พิจารณาเหน็ ธรรมในธรรมท้งั หลายอยู มีความเพยี ร มีสมั ปชญั ญะ มสี ติกาํ จัดอภิชฌาและโทมนสั ในโลกเสียได. ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย ภิกษุมีตนเปนเกาะ มตี นเปนที่พง่ึ ไมมสี ิง่ อนื่ เปนทีพ่ ึง่ มธี รรมเปนเกาะ มีธรรมเปน สรณะ ไมม ีสงิ่ อน่ื เปนสรณะอยูอยา งนแี้ ล. [๕๐] ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย เธอทัง้ หลายจงเที่ยวไปในโคจรซึง่ เปน วิสัยอันสบื มาจากบิดาของตน. ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย เมอื่ เธอท้ังหลายเที่ยวไปในโคจรซ่งึ เปน วิสยั อนั สบื มาจากบิดาของตน จกั เจริญดว ยอายุบา ง จักเจริญดว ยวรรณะบา ง จักเจริญดว ยสุขบา ง จักเจรญิ ดว ยโภคะบา ง จักเจรญิ ดวยพละบา ง. ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย ในเรือ่ งอายขุ องภกิ ษุ มอี ธบิ ายอยางไร.ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษใุ นพระธรรมวนิ ยั นี้ เจริญอทิ ธบิ าทประกอบดวยฉันทสมาธิปธานสังขาร เจรญิ อทิ ธบิ าทประกอบดวยวริ ยิ สมาธิ...จิตตสมาธ.ิ .. วมิ งั สาสมาธิปธานสงั ขาร เธอนัน้ เพราะเจริญอทิ ธบิ าท๔ เหลาน้ี เพราะกระทาํ ใหม ากซ่ึงอทิ ธิบาท ๔ เหลาน้ี เมอ่ื ปรารถนา
พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 122กพ็ งึ ตั้งอยูไดถึงกัป ๑ หรอื เกนิ กวากปั ๑. ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย นี้แลเปนอธบิ ายในเร่ืองอายขุ องภิกษุ. ดกู อนภิกษุท้งั หลาย ในเรอ่ื งวรรณะของภกิ ษุ มีอธบิ ายอยา งไร.ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินยั นี้ เปนผมู ีศีล สาํ รวมระวงัในพระปาติโมกข ถงึ พรอ มดวยมรรยาทละโคจร มปี กตเิ ห็นภัยในโทษเพยี งเล็กนอย สมาทานศกึ ษาอยูใ นสกิ ขาบททหี่ ลาย ดกู อนภิกษทุ ั้งหลายนีแ้ ล เปน อธิบายในเร่อื งวรรณะของภิกษ.ุ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ในเรอ่ื งสุขของภกิ ษุ มอี ธิบายอยางไร. ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงดั จากอกุศลธรรม บรรลปุ ฐมฌาน มวี ติ ก มีวิจาร มีปติและสุขอันเกดิ แตว ิเวกอยู บรรลุทุตยิ ฌาน มีความผองใสแหง จิต ณ ภายใน เปน ธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวติ กวจิ ารสงบไป ไมม ีวิตก ไมมวี จิ าร มีปต ิและสุขอันเกิดแตสมาธอิ ยู เปน ผูม อี เุ บกขา มสี ติ มีสัมปชัญญะ เสวยสขุ ดวยกายเพราะปต สิ ้ินไป บรรลตุ ตยิ ฌาน ท่พี ระอริยะทั้งหลายสรรเสรญิ วา ผูไ ดฌานนี้ เปน ผมู ีอเุ บกขา มสี ติ อยเู ปน สุข บรรลจุ ตุตถฌาน ไมมที ุกขไมมีสขุ เพราะละสขุ ละทุกขแ ละดบั โสมนสั โทมนัสกอน ๆ ได มอี ุเบกขาเปน เหตุใหส ติบริสุทธ์ิอยู. ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย นแ้ี ลเปน อธิบายในเรื่องสขุ ของภกิ ษุ. วาดวยธรรมที่ทาํ ใหอ ายเุ ปนตน เจริญ ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย ในเรอื่ งโภคะของภิกษุ มอี ธบิ ายอยางไร.ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย ภกิ ษใุ นพระธรรมวนิ ยั น้ี มีจติ ประกอบดวยเมตตาแผไปตลอดทศิ ๑ อยู ทศิ ท่ี ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนยั นี้ ทัง้ เบ้อื งบน เบอื้ งลา ง เบ้อื งขวาง ดวยจติ ประกอบดว ยเมตตาอนั
พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 123ไพบลู ย ถึงความเปน ใหญ หาประมาณมไิ ด ไมมีเวร ไมม คี วามเบยี ดเบียน แผไปตลอดโลก ท่วั สัตวท กุ เหลา ในที่ทุกสถาน. มจี ิตประกอบดวยกรุณา...มุทิตา...อเุ บกขา แผไ ปตลอดทิศ ๑ อยู ทศิ ที่ ๒ ทิศที่ ๓ทศิ ที่ ๔ กเ็ หมอื นกนั ตามนัยนี้ ท้ังเบ้ืองบน เบ้อื งลาง เบือ้ งขวาง ดว ยจิตประดวยอเุ บกขาอนั ไพบลู ย ถงึ ความเปนใหญ หาประมาณมไิ ดไมม เี วรไมมีความเบียดเบยี น แผไปตลอดโลก ทัว่ สตั วทกุ เหลา ในท่ีทกุ สถาน. ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย นแี้ ลเปน อธิบายในเร่ืองโภคะของภิกษ.ุ ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย ในเร่ืองพละของภิกษุ มีอธิบายอยางไร.ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย ภกิ ษใุ นพระธรรมวินยั นี้ ทําใหแจง ซ่ึงเจโตวมิ ุติและปญ ญาวมิ ตุ ิ อันหาอาสวะมิได เพราะอาสวะส้ินไป ดว ยปญญาอันยิ่งดวยตนเอง ในทิฏฐธรรมเทยี ว เขาถงึ อย.ู ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย นีแ้ ลเปนคําอธบิ ายในเร่อื งพละของภิกษุ. ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย เราไมเ ล็งเห็นแมกําลังสักอยา งหนึง่ อ่ืน อันขม ไดแสนยาก เหมอื นกาํ ลังของมารนเ้ี ลย ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย บุญนี้จะเจริญขน้ึ ไดอยางน้ี เพราะเหตุถอื ม่นั กศุ ลธรรมท้ังหลาย. พระผูม ีพระภาคเจา ไดต รสั พระพทุ ธพจนนี้แลว. ภกิ ษุเหลา น้นัยนิ ดีชนื่ ชม พระภาษติ ของพระผูมีพระภาคเจาแลว ดงั น้ีแล. จบจักกวัตติสตู รท่ี ๓
พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 124 อรรถกถาจกั กวัตตสิ ูตร จักกวัตตสิ ตู รมีคาํ เร่ิมตนวา ขาพเจาไดฟงแลวอยางน้ี. ในพระสตู รนน้ั มีการพรรณาบททีย่ ากดังตอ ไปน.ี้ บทวา มาตลุ าย ไดแก ในพระนครทีม่ ีช่ืออยา งน้ัน. พระผูมีพระภาคเจาทรงพระนครน้นั ใหเ ปน โคจรคาม ประทบั อยู ณ ไพร-สณฑไมไกล. ในคําวา ตตรฺ โข ภควา ภิกฺขู อามนเฺ ตสิ นมี้ อี นุ-ปุพพิกถาดังตอไปนี้. เลากนั วา ในสมัยท่พี ระสตู รนีเ้ กิดขน้ึ พระผมู ีพระภาคเจาออกจากมหากรณุ าสมาบตั ิ ในเวลาย่าํ รุง ทรงตรวจดสู ตั วโ ลก ทอดพระเนตรเหน็ การตรสั รูธ รรมของเหลา สัตว ๘๔,๐๐๐ ผอู ยใู นมาตุลนคร ดวยการกลา วพระสตู ร อนั แสดงถงึ อนาคตวงศน้ี จึงพรอ มดวยภกิ ษุ ๒๐,๐๐๐ รูปเสด็จไปยังมาตลุ นครแตเ ชา ตรู. เจา มาตุลนคร ตรัสวา \"ขาววา พระผมู ีพระภาคเจา เสดจ็ มา\" จึงตอ นรับนมิ นตพ ระทศพลใหเ สดจ็ เขา สูพ ระนครดวยเครือ่ งสกั การะเปนอนั มาก ทรงตระเตรยี มสถานทีป่ ระทับนง่ั อา-ราธนาใหพ ระผูม ีพระภาคเจา ประทบั นั่งบนบัลลงั กอันลาํ้ คา ไดถ วายมหาทานแดภิกษุสงฆ อนั มพี ระพุทธเจาเปนประมขุ . พระผูมพี ระ-ภาคเจา ทรงทาํ ภตั รกจิ เสรจ็ ทรงดํารวิ า ถาเราจักแสดงธรรม แกพ วกมนุษยน ี้ ในทนี่ ี้ไซร สถานนคี้ ับแคบ พวกมนษุ ย จักไมม ีโอกาสจะยืนจะนง่ั แตส มาคมใหญแล พึงมีได. ลาํ ดบั นนั้ พระผูม พี ระภาคเจา ไมท รงทําภตั ตานุโมทนา แกพวกราชตระกูลเลย ทรงถอื บาตรเสด็จออกจากพระนครไป.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 125 พวกมนษุ ยค ดิ วา พระศาสดาไมทรงทาํ อนโุ มทนาแกพ วกเราเสดจ็ ไปเสยี อาหารเลิศรส คงไมถ กู พระทยั เปน แนแท ขึน้ ชอื่ วาพระพระพุทธเจา ทงั้ หลาย ใคร ๆไมอ าจเอาพระทยั ไดถ กู ธรรมดาวา การทาํ ความคุนเคยกบั พระพทุ ธเจาทงั้ หลาย กเ็ ปน เชน กบั การจับคออสร-พิษที่แผแมเบย้ี มาเถิดทานผเู จรญิ ท้งั หลาย พวกเราจักขอขมาพระตถาคต. พวกชาวพระนครท้ังส้นิ ตางพากนั ออกไป พรอมกับพระผูมีพระภาคเจา. พระผมู พี ระภาคเจา ขณะเสด็จไปอยนู นั่ เอง ทอดพระเนตรเห็นตนมาตุละ (ตน ลําโพง) ตน หน่งึ ยนื ตน อยู ในนาของชาวมคธ สะพร่งั พรอ มดว ยก่ิงคาคบแผไพศาล ต้งั อยูในภมู ิภาคประมาณกรสี หนง่ึ ดํารวิ า เราจกั น่งั ทีโ่ คนไมน ้ี เมอื่ เราแสดงธรรม มหาชนจักมีโอกาสยืนและนั่งไดจงึ เสดจ็ กลับเลาะลดั บรรดา เสด็จแวะเขาหาโคนไม ทอดพระเนตรดูพระอานนท ผูเปน ธรรมภณั ฑาคารกิ (คลังพระธรรม). พระเถระทราบวา พระศาสดาประสงคจ ะประทับนง่ั ดวยความหมายทีพ่ ระองคท อดพระเนตรเทาน้ัน จงึ ปูลาดจวี รใหญส าํ หรบั พระสุคตเจา ถวาย. พระผูมีพระภาคเจา ประทบั นัง่ บนอาสนะท่ีพระอานนทป ลู าดแลว. ลําดบั น้ันพวกมนุษยพ ากนั น่ังดา นพระพกั ตรพระตถาคต. หมูภกิ ษุนงั่ ที่ดา นขา งทงั้ สอง และดา นหลงั เหลาเทวดา ตา งยนื อยใู นอากาศ. พระผูมีพระภาคเจา ประทบั ในทามกลางบริษทั ใหญนนั้ แล ดวยอาการอยา งนี้ จึงไดตรสั เรยี กภิกษทุ งั้ หลายแลว. สองบทวา เต ภกิ ฺขู ความวา ภิกษุผเู ปนธรรมปฏิคาหกรับธรรมเขาไปในสมาคมน้ัน. บทวา อตตฺ ทีปาความวา พวกเธอจงทําตนใหเปนเกาะ เปน ท่ีตา นทาน เปนทกี่ าํ บังเปนคติ เปนทไ่ี ปเบอ้ื งหนา เปนที่พงึ่ อยเู ถดิ . คําวา อตฺตสรณานี้ เปนไว-พจนของคาํ วา อตฺตทีปา นนั่ เอง. คาํ วา อนฺสรณา เปนคําปฏ-ิ
พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 126เสธทพี่ งึ่ อยางอ่นื . ความจริง คนอื่นจะเปน ท่พี ึ่งแกคนอ่นื หาไดไ ม เพราะคนอ่ืนบรสิ ทุ ธ์ิดวยความพยายามของคนอื่นไมไ ด. สมจรงิ ดงั คาํ ท่ีพระผมู พี ระภาคเจาตรัสวา ตนแลเปน ทพ่ี ่งึ ของตนคนอ่ืนใครเลา จะเปน ท่ีพง่ึ ได. เพราะเหตนุ นั้ พระผูมพี ระภาคเจา จงึตรัสวา อนฺ สรณา. ถามวา กใ็ นคาํ วา อตฺตทปี า นี้ อะไรเลาชื่อวา ตน. แกว า โลกยิ ธรรมและโลกตุ รธรรม. ดว ยเหตนุ ั้น พระผมู ีพระภาคเจาจึงตรสั วา ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนฺ สรณา มธี รรมเปนเกาะ มีธรรมเปน ท่พี ่ึง ไมมีส่งิ อืน่ เปนทพี่ ่งึ ดงั น้ี. คาํ วา กาเย กายานปุ สฺสี เปน ตน ไดกลา วพิสดารไวแ ลว ในมหาสตปิ ฏ ฐานสูตร. บทวา โคจเร ไดแก ในสถานทคี่ วรเท่ียวไป. บทวาสเก คือทอี่ ันเปน ของมอี ยแู หงตน. บทวา เปตตฺ ิเก วิสเย คือในถ่ินที่มาจากพอ แม. บทวา จรต คือเที่ยวไปอยู บาลีวา จรนฺต ดงั นก้ี ็มี. เน้อื ความก็เชน นแี้ หละ. บทวา น ลจฺฉติ ความวา จกั ไมได คือ จกั ไมเ ห็น.บทวา มาโร ไดแกเทวบตุ รมารบา ง กเิ ลสมารบา ง. บทวา โอตารไดแก รองรอย คือชองทางเปด. ก็ความน้บี ัณฑติ พงึ แสดงดว ยเรอ่ื งเหย่ยี วนกเขา ซง่ึ โฉบเฉี่ยวเอานกมูลไถตวั บินออกจากที่ (หลีบ) กอ นดนิ โผจบั อยา บนเสาระเนียด (เสาคาย) กําลงั ผ่ึงแดดออนไป. สมจรงิ ดงั คําที่พระผพู ระภาคเจา ตรสั วา ภกิ ษทุ ั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแลว เหย่ียวนกเขา เขาโฉบเฉี่ยวเอานกมูลไถโดยฉบั พลนั เอาไป ภิกษุทัง้ หลาย ครงั้น้ันแล นกมูลไถถูกเหยีย่ วนกเขานําไปอยูค รํา่ ครวญอยา งนว้ี า พวกเรานั่นแล เที่ยวไปในท่ีอโคจร อันเปน ถ่ินของปรปก ษ นับวา ไมม ีบุญมบี ญุ นอย. ถาหากวันน้ีเราพงึ เทยี่ วไปในทโ่ี คจรอนั เปน ถน่ิ ของพอแมของคนไซร เหย่ยี วนกเขาจกั ไมอาจ (จับ) เราดว ยการตอสเู ชนน.ี้เหยี่ยวนกเขาถามวา ดกู อนนกมูลไถ ก็สําหรับทา น อะไรเลา เปนถิน่
พระสุตตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 127ของพอ แมข องตน นกมลู ไถตอบวา คอื ทก่ี อ นดินรอยไถ. ภกิ ษทุ ัง้ หลายคร้งั น้นั แล เหยี่ยวนกเขาไมท รนงในกําลังของตน เชือ่ ในกําลงั ขอตน ปลอ ยนกมูลไถไปโดยกลาววา ดกู อนนกมลู ไถ เจา จงไปเถดิถงึ เจา ไปในที่นนั้ กไ็ มพน. ครงั้ นั้นแล นกมลู ไถ เจาจงไปเถิดรอยไถ ขน้ึ ยังกอนดนิ กอนใหญ ยนื ทาเหยยี่ วนกเขาวา มาเด๋ียวน้ีซิ เจาเหยยี่ วนกเขา มาเดย๋ี วนซี้ ิ เจาเหย่ียวนกเขา. คร้นั น้ันเหยีย่ วนกเขา ผไู มท รนงในกาํ ลงั ของตน เชือ่ มั่นในกําลงั ของตน ลูปก ทง้ั สองพลนั โฉบลงตรงนกมูลไถ. ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลายครงั้ ใดแล นกมูลไถรูตวั วา เหยี่ยวนกเขาตวั นีส้ ามารถพุงตวั ลงมาแลวครงั้ นน้ั แล นกมลู ไถก็หลบซอ นตรงระหวา งกอ นดินนนั้ น่ันเอง. ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย ครงั้ น้นั แล เหย่ยี วนกเขา จึงไดแ ตใ หอ กกระแทกทก่ี อนดนิ น้ันแล. ภิกษุทงั้ หลาย ขอ นัน้ ก็เหมอื นกบั ท่ภี ิกษเุ ทีย่ วไปในท่ีอโคจร อนั เปน ถนิ่ ของปรปกษ ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย เพราะเหตุนัน้ แลพวกเธอจงอยาเที่ยวไปในท่อี โคจร อนั เปนถ่นิ ของปรปกษ. เม่อื เธอเที่ยวไปในแดนอโคจร อันเปนถ่ินของปรปก ษ มารยอมไดชอง มารยอมไดอา-รมณ. ภกิ ษทุ ้งั หลาย กอ็ ะไรเลา คืออโคจร ถิ่นของปรปกษ สาํ หรบั ภิกษุ คือกามคุณ ๕. กามคณุ ๕ เปนไฉน ? ไดแกร ูปท่พี งึ รูไดด วยจกั ษุอันนา ปรารถนานา ใครนาพงึ ใจประกอบดวยความใครเ ปนทต่ี งั้ แหงความกําหนดั ฯลฯ โผฏ-ฐพั พะทพ่ี ึงรดู ว ยกาย ฯลฯ อนั เปนทตี่ ง้ั แหความกําหนดั . ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย น้ี คอื อโคจรอนั เปนถนิ่ ของปรปก ษส ําหรับภกิ ษุ. ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย พวกเธอจงเหี่ยวในโคจร ฯลฯ มารยอ มไมไ ดอ ารมณ.ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย อะไรคอื โคจรของภิกษุ ซง่ึ เปนถ่ินของบดิ ามารดาของตน คือสตปิ ฏฐาน ๔. สตปิ ฏฐาน ๔ เปนไฉน ? ดกู อนภกิ ษทุ ง้ัหลาย ภกิ ษุในธรรมวินยั น้ี พจิ ารณาเหน็ ภายในกายอยู ฯลฯ ธรรมที่เปน ถ่นิ บดิ าของตน.
พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 128 บทวา กสุ ลาน คอื ธรรมทไ่ี มมโี ทษเปน ลักษณะ. บทวา สมา-ทานเหตุ คอื เพราะเหตสุ มาทานแลว ประพฤติ. บทวา เอวมิท ปฺุ ปวฑฺฒติ ความวา ผลบุญอนั เปน โลกยิ ะและโลกตุ ระนี้ ยอ มเจริญอยางน้.ี อนึง่ คาํ วา ผลบุญนน้ั พึงทราบวา ไดแ กท้ังบญุ ทัง้ ผลของบญุ ชั้นสงู ๆ.ในคาํ วา ปุ ฺ ผล น้ัน กศุ ลมี ๒ อยา ง คือวัฏฏคามีกศุ ล กุศลเปนทางไปสูวฏั ฏะ ๑ ววิ ฏั ฏคามกี ศุ ล กศุ ลเปนทางไปสูวิวัฏฏะ ๑ ในกศุ ล๒ อยา งนนั้ จติ ท่อี อนโยนของมารดาบิดาดวยอํานาจที่มีความรักในบตุ รธิดา และจติ ท่ีออ นโยนของบตุ รธดิ าดวยอาํ นาจท่มี คี วามรักในมารดาบิดาช่อื วา วัฏฏคามีกศุ ล. โพธิปกขิยธรรม ๓๗ ประการ มปี ระเภทเปนตนวา สตปิ ฏฐาน ๔ ชอ่ื วาวิวัฏฏคามีกศุ ล. ในกุศลเหลานน้ั สําหรับกุศลท่เี ปนวฏั ฏคามี ส้ินสุดกนั ตรงศริ สิ มบตั ขิ องพรเจา จกั รพรรด์ิ ในมนุษยโลก. สาํ หรบั กุศลท่ีเปนวิวฏั ฏคามีสน้ิ สุดกนั ท่มี รรคผลและนิพ-พานสมบัติ. ในกุศลสองอยางน้นั พระผมู พี ระภาคเจาจักแสดงวิบากของวิวัฏฏคามกี ุศลไว ในตอนทายของสตู ร. แตในทน่ี ้ี เพ่อื แสดงวบิ ากแหงวฏั ฏคามีกศุ ล พระองคจ ึงตรสั วา ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย เมอ่ื ใดบุตรธดิ าไมต ง้ั อยูในโอวาทของมารดาบดิ า เมือ่ นน้ั พวกเขา เสอ่ื มอายบุ า ง ผวิพรรณบาง ความเปนใหญบา ง แตว า เมอ่ื ใดเขาตง้ั อยูใ นโอวาท เมอื่น้ันจึงเจรญิ ดงั นีแ้ ลว จึงเรม่ิ พระธรรมเทศนา ดวยอาํ นาจความสบื ตอวัฏฏคามีกศุ ลวา ภตู ปุพฺพ ภิกขฺ เว เปน ตน ไป. ในคาํ เหลานนั้ คาํ เปนตน วา จกฺกวตตฺ ิ ไดก ลาวพิสดารแลวในมหาปทานสตู รนน้ั แล. บทวา โอสกฺกิต แปลวา ยอหยอนไปนดิ หนอย.บทวา านา จุต แปลวา เคลือ่ นไปจากฐานะโดยประการทัง้ ปวง. เลา กนั วาจกั รแกวนัน้ ไดลอยข้นึ ไปต้งั อยู ในอากาศเหมอื นนาํ ไปดว ยลออยูเหนอื ประตู พระราชวงั ช้นั ใน. ครั้งน้ัน พระราชารับสง่ั ใหฝงเสาไมต ะเคยี นสองตน
พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 129ไวท่ีขา งทง้ั สองแหง จักรนน้ั ที่บนสดุ ของจักรแกว ผูกเชอื กดา ยไวเสนหน่ึงใหอ ยูต รงกบั กง. แมใ นดานลา ง ก็ผกู เชือกดายเสนหนงึ่ ใหอยตู รงกบั กง.จกั รแกวยอ ยตํา่ ลงแมนดิ เดียว จากเสนเชือกขางบนเสนหนง่ึ ในบรรดาเชือกสองเสนนัน้ กเ็ ปน อันวา หยอนลง. ปลายสุดของจกั รแกวอยเู ลยท่ตี ัง้ ของดายชนั้ ลาง ชื่อวาเคลอื่ นจากฐานแลว . เมื่อมโี ทษแรงมาก จกั รแกว น้ีนนั้ จะเปน อยา งนี้ คอื คลอ ยเคล่อื นจากฐานแมประมาณเสนดายหนงึ่หรือประมาณหนงึ่ องคลุ ีสององคุล.ี ทานหมายเอาเหตุนัน้ จงึ กลาววา โอสกกฺ ิต านา จุต หยอ นเคลอื่ นจากฐานดงั น.้ี ขอ วา อถ เม อาโรเจยฺยาสิ ความวา พระราชารับสงั่ วา พอเอย นบั แตวันน้เี ปน ตนไป เจา จงไปสูท ่บี ํารุงจักรแกววันละ ๓ ครัง้ เจา เมือ่ ไปอยางนนั้ พบเห็นจักรแกวคลอ ย คือ เคลอื่ นจากท่แี มนิดเดยี วเม่อื ใด พงึ บอกแกเราเม่ือนัน้ เพราะวา ชีวิตของเราฝากไวในมอื ของเจา . บทวา อททฺ ส ความวา บรุ ษุ นั้นไมป ระมาทแลว ไปดูวันละ ๓ ครั้ง ไดพบเห็นเขาไปวันหนงึ่ . ขอ วา อถโข ภกิ ขฺ เว ความวา พระผูมพี ระภาคเจาตรสั วาดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ครงั้ น้นั พระเจา ทัฬหเนมิ สดับวา จกั รแกว เคลือ่ นทีแ่ ลว เกิดความโทมนัสอยางรนุ แรง ดาํ รวิ า เราจกั มชี วี ติ ไมย่ังยืนนานอายขุ องเราเหลือนอ ยเต็มท่ี บัดน้ี เราจะไมม เี วลาบริโภคกามอีกแลวเวลาแหง การบรรพชา ยอ มมแี กเรา ณ บัดน้ี ดงั นแี้ ลว ทรงกนั แสงคร่ําครวญ รบั สั่งใหเรียกหาพระราชกุมารพระราชโอรสองคใ หญมาแลวตรัสคาํ น้ี. คําวา สมุททฺ ปรยิ นฺต คอื มสี มุทรหนึ่งทล่ี อมรอบอยูเ ปนขอบเขตนนั่ เอง. ทจี่ ริง ทรพั ยคอื แผน ดิน น้เี ปนของประจําราชตระกลูของพระราชาพระองคน ั้น . อนึ่งจกั รแกวน้ันมจี ักรวาลเปน ขอบเขต เกดิขึ้นไดด ว ยอํานาจบญุ ฤทธิ์ ใคร ๆ ไมอ าจจะยกใหกนั ได. กพ็ ระราชาเมื่อ
พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 130จะมอนจกั รแกวอันเปน ของประจาํ ราชตระกูล จงึ ตรัสวา สมุททฺ ปรยิ นตฺ ดังน้.ี บทวา เกสมสสฺ ุ ความวา ทจ่ี ริงบคุ คลทั้งหลาย แมเ มื่อจะบวชเปน ดาบส กป็ ลงผมและหนวดออกกอ น แตนน้ั ไป จึงไดกระหมวดมุนผมทีง่ อกขึน้ มา เทยี่ วไป เพราะเหตนุ ั้น ทา นจึงกลา ววา เกสมสฺสุโอหาเรตฺวา. บทวา กาสายานิ ไดแกผ าท่ยี อมดวยน้าํ ฝาด. อธบิ ายวา เบื้องตน ไดทาํ อยางน้ัน ภายหลังจงึ ทรงแมผา เปลือกไม. บทวา ปพฺพชิ ปลวา ผนวชแลว . อธบิ ายวา ก็คร้นั ผนวชแลว ไดป ระทับอยใู นพระราชอทุ ยานอันเปน มงคลสวนพระองคน นั่ เอง.บทวา ราชีสิมฺหิ คือ ราชฤาษ.ี แทจรงิ ผูบวชจากวรรณะพราหมณทา นเรียกวา พราหมณฤาษี. สว นผูละเศวตฉตั ร บวชจากวรรณะกษัตริยเรียกวา ราชฤาษ.ี บทวา อนฺตรธายิ แปลวา อนั ตรธานแลว คอื ถงึความไมมี ดจุ เปลวประทปี ท่ีดบั แลว. บทวา ปฏิส เวเทสิ ความวา (พระราชโอรส) กันแสงรําพันทลู ใหทราบแลว . บทวา เปตฺติก คือ ทา นแสดงวา มใิ ชทรพั ยมรดกตกทอด ที่มาจากขางราชบิดา อันใคร ๆ ทม่ี คี วามเกียจครา น มีความเพียรยอ หยอน สมาทานประพฤตอิ กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ไมอ าจละได แตว าผทู ี่อาศยั กรรมทที่ าํ ไวด ขี องตน บําเพญ็ วัตรของพระเจาจกั รพรรด์ิ ๑๐ อยา ง หรือ ๑๒ อยางเทา นน้ั จึงจะไดจักรแกว นั้น. คร้ังน้นั ราชฤาษี เมอื่ ตกั เตอื นราชบตุ รน้นั ไวในขอวตั รปฏิบตั ิ จงึ ตรัสคําเปนตน วา อิงฺฆ ตวฺ เชญิ เถิดทาน. ในขอ วตั รปฏบิ ัตินั้นคําวา อริเย คอื หมดโทษ. คําวา จกกฺ วตฺต-ิวตเฺ ต ไดแก ในวตั รของพระเจา จักรพรรด์ิ.
พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 131 บทวา ธมมฺ ไดแก ธรรม คอื กุศลกรรมบถ ๑๐. บทวานสิ ฺสาย คือกระทาํ ธรรมน้ันเทา น้ันใหเปน ท่อี าศยั ดวยพระทัยท่อี ธษิ -ฐานธรรมนัน้ ไวแลว . บทวา ธมฺม สกกฺ โรนโฺ ต ความวา ธรรมนน้ั อันเขาบาํ เพ็ญแลว คอื บาํ เพญ็ ดว ยดอี ยา งไร ทา นกบ็ ําเพญ็ ธรรมน้ันอยา งน้นั เหมอื นกนั . สองบทวา ธมมฺ ครกุ โรนโฺ ต คือ กระทาํ ธรรมนัน้ใหเลศิ ลอย ดวยการเขาถึงความเคารพในธรรมนน้ั . บทวา ธมมฺ มาเนน-ฺโต คอื กระทาํ ธรรมนั้นเทา นั้นใหเ ปน ทีร่ กั แบะใหควรแกก ารยกยอ งอยู. บทวา ธมมฺ ปเู ชนฺโต คอื อา งองิ ธรรมน้ันแลว กระทําการบชู าตอธรรมนนั้ ดว ยการบูชาดวยวตั ถุมขี องหอมและดอกไมเปน ตน . บทวา ธมฺมอปจายมาโน ความวา กระทาํ การประพฤตอิ อ นนอ ม ตอ ธรรมนนั้ น่ันเอง ดว ยสามจี กิ รรมมีการประนมมอื เปน ตน . บทวา ธมมฺ ธโช ธมฺมเกตุ อธบิ ายวา ช่อื วามีธรรมเปนดจุธงชัย และช่ือวามธี รรมเปนสง่ิ สดุ ยอด เพราะเชิดชูธรรมน้ันไวเบ้อื งหนา เหมือนธงชยั สละยกธรรมนนั้ ขนึ้ ทําใหเหมอื นยอดประพฤติ. บทวา ธมมฺ าธปิ เตยฺโย คอื มธี รรมเปน ใหญ ไดแกเ ปนธรรมา-ธปิ ไตย เพราะภาวะแหง ธรรมทมี่ มี าแลว สละเพราะกระทํากริ ิยาท้งัหมดดว ยอํานาจธรรมเทา นัน้ . บทวา ธมมฺ กิ รกฺขาวรณคุตตฺ ึ ส วทิ หสสฺ ุ มีวิเคราะหดงั น้ีธรรมของการรกั ษามีอยู เหตนุ ั้น การรกั ษาน้ันชื่อวา มีธรรม การรกั ษาการปองกนั และการคุม ครอง ชอ่ื วา รกฺขาวรณคตุ ฺต.ิ บรรดาธรรมเครื่องรกั ษาเหลา นัน้ ธรรมทั้งหลายมีขนั ติเปนตน ชื่อวาการรักษา เพราะพระบาลวี า บคุ คลเม่ือรกั ษาผูอ่นื ชือ่ วารกั ษาตน. สมจรงิ ดังพระดาํ รสัทีพ่ ระมีพระภาคเจาตรสั ไวว า ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย ก็บุคคลเมอ่ื รกั ษาผู
พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 132อ่นื ชอื่ วา รกั ษาตนไวไดอยางไรเลา ? บุคคลเม่ือรกั ษาผูอ่ืน ชอื่ วารักษาตนไวไดดวยขันติ ดวยความไมเบยี ดเบยี น ดว ยความมเี มตตาจิต และดว ยมีความเอ็นดู. การปองกันวัตถุ มผี านงุ ผา หมและเรอื นเปนตน ชื่อวา อาวรณะการปอ งกนั . การคุม ครองเพื่อหามอปุ ทวนั ตรายมโี จรเปนตน ชอ่ื วา คตุ ตฺ ิ การคมุ ครอง. อธิบายวา ทานจงจัดแจงกจิ การทง้ัหมดนนั้ คอื ใหเปน ไป ใหด าํ รงอยดู วยดี. บดั นี้ เมอ่ื ทรงแสดงส่ิงทีพ่ ึงจดั การรกั ษาปอ งกันคุม ครอง ฤาษีจงึ กลา ววา อนฺโตลนสมฺ ึ เปน ตนความยอ ในคาํ นัน้ มีดังตอ ไปน้ี.- วัตรของพระเจา จกั รพรรด์ิ เจาจงยังบุตรและภรรยา กลา วคือชนภายในของเจา ใหต้ังอยูในศลี สังวร จงใหว ัตถุมีผา ดอกไมและของหอมเปนตน แกพวกบตุ รและภรรยานนั้ และจงปอ งกันอปุ ทวะทงั้ หมดใหแกเขา. แมใ นเหลาทหารเปนตนก็นยั นเ้ี หมือนกัน. แตมีขอ แตกตางกันดงั น้ี. เหลาทหารอนัพระราชาควรสงเคราะหด ว ยการเพ่ิมบําเหน็จรางวลั ให ไมใหล วงเลยกาลเวลา. กษัตริยผ ไู ดร บั การอภิเษก ควรสงเคราะหดว ยการใหร ัตนะมีมาอาชาไนยอนั สงา งามเปน ตน . กษัตรยิ ทเ่ี ปน ประเทศราช ควรใหยนิ ดีแมด วยการมอบใหยานพาหนะอนั สมควรแกความเปน กษตั รยิ น้ัน. พราหมณท้ังหลายควรใหย ินดดี วยไทยธรรมมขี าวนํ้าและผา เปน ตน . พวกคฤหบดี ควรสงเคราะห ดว ยการใหพันธุ ขา ว ไถ ผาลและโคงานเปนตน. ผอู ยใู นนคิ ม ช่ือ เนคมะ (ชาวนคิ ม) และผอู ยู
พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 133ในชนบท ช่ือวา ชนปทา (พวกชาวชนบท) ก็เหมือนกัน (คือควรสงเคราะห ดว ยการใหพนั ธขุ า ว ไถ ผาลและโคงานเปนตน). พวกสมณพราหมณ ผูมีบาปสงบ มบี าปลอยเสียแลว ควรสัก-การะ ดว ยการถวายบริขารสาํ หรบั สมณพราหมณ. หมเู นอื้ และนกควรใหโ ปรง ใจเสยี ไดดวยการใหอภัย. บทวา วิชเิ ต คอื ในถ่นิ ฐานท่ีอยูใ นอํานาจปกครองของตน. บทวา อธมมฺ กาโร คอื การกระทําทีไ่ มชอบธรรม. บทวา มา ปวตตฺ ติ ฺถ อธบิ ายวา จงยงั การกระทาํ อันเปนอธรรมนน้ั ไมใ หเ ปนไป. บทวา สมณพฺราหมฺ ณา ไดแ กผมู บี าปสงบ คอื มบี าปลอยเสยีแลว. บทวา มทปปฺ มาทา ปฏวิ ริ ตา คือ งดเวน จากความเมาดว ยอาํ นาจมานะ ๙ อยาง และจากความประมาท กลา วคอื การปลอ ยจิตไปในกาม-คุณ ๕. บทวา ขนตฺ ิโสรจฺเจ นิวฏิ า ความวา ดาํ รงอยูในอธวิ าสน-ขันตแิ ละในความเปน ผูสงบเสงย่ี ม. บทวา เอกมตฺตาน ความวา สมณ-พราหมณทัง้ หลายทา นกลาววา ยอมฝก ตน สงบ ระงับ ดบั ตนผเู ดยี วดว ย การขมกิเลสมรี าคะเปนตนของตน. บทวา กาเลน กาล คอื ทกุ เวลา. บทวา อภนิ วิ ชฺเชยฺยาสิ ความวา พงึ เวนเสยี ซ่งึ อกศุ ล ซงึ่เปรียบเหมือนคถู เหมอื นยาพษิ ละเหมือนไฟดว ยด.ี บทวา สมาทายคือ พงึ ยดึ ถือ กศุ ล ซงึ่ เปรียบเหมอื นพวกดอกไม ท่มี ีกลิ่นหอม และเปรียบเหมอื นนาํ้ อาํ มฤต แลวปฏบิ ตั ิโดยชอบ. บณั ฑติ ตงั้ อยใู นกุศลธรรมน้ี แลวพงึ นาํ วัตรมาปฏบิ ตั สิ ม่าํ เสมอ. วัตรนัน้ มี ๑๐ ประการ อยางนี้ คอื วตั รทีพ่ งึ ปฏิบตั ิในหมูทหารท่เี ปน ชนภายใน ๑ ในพวกกษัตรยิ ๑ ในกษัตรยิ ประเทศ
พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 134ราช ๑ ในพราหมณสละคฤหบดี ๑ ในชาวนคิ ม และชาวชนบท ๑ ในสมณพราหมณ ๑ ในหมมู ฤคและเหลาปก ษา ๑ การหามการกระทําอนั ไมเปนธรรม ๑ การมอบทรัพยใหแ กผูไมม ที รัพย ๑ การเขาไปหาสมณพราหมณแลวถามปญ หา ๑ แตเมื่อถือเอาคฤหบดีและเหลาปก ษาชาติเปนแผนกหน่ึงแลว ก็จะมี ๑๒ อยาง. บณั ฑติ ผถู อื เอาคาํ ที่มิไดกลาวไวในคร้งั กอ น พึงทราบวา วตั รมี ๑๒ อยาง โดยอาศัยการละราคะที่ไมเ ปน ธรรมและวิสมโลภ โลภะทีไ่ มสม่ําเสมอเปนตน. ขอวา อิท โข ตาต ต ดังนี้ ความวา วัตร ท้ัง ๑๐ อยางและ ๑๒ อยา งนี้ ชอ่ื วา วัตรปฏิบัติของพระเจา จกั รพรรด์ิ อนั ประเสริฐ.บทวา วตฺตมานสสฺ คือบําเพ็ญใหบรบิ รู ณ. คาํ เปนตนวา ตทหุโปสเถไดก ลาวไวแ ลวในมหาสุทสั สนสตู ร. บทวา สมเตน คือตามมตขิ องตน. คําวา สุท เปน เพยี งน-ิบาต. บทวา ปสาสติ คือ ปกครอง. มีคาํ กลาวอธบิ ายไววา พระรา-ชา ทรงสละราชวงศด ัง้ เดิม ไดแกร าชธรรม อนั เปนราชประเพณีเสียแลว ดาํ รงอยใู นธรรมเพยี งเปน มติของตน ปกครองประเทศ. เมื่อเปนเชน น้นั พระราชาพระองคน ้ี จึงเปนพระราชาองคส ดุ ทาย ซง่ึ เปนผตู ัดวงศของพระเจา ทัฬหเนมิ ประดจุ ผูใหเกิดความดางพรอ ยแกว งศม ฆ-เทพฉะนนั้ . บทวา ปุพเฺ พนาปร คอื ในกาลตอ มา ชาวประชาราษฎรไมร ุงเรอื ง คอื ไมเจริญ เหมอื นกบั กาลกอน. ขอวา ยถา ต ปุพพฺ กานความวา ประชาราษฎร เจรญิ แลวเปนดจุ เดียวกนั ท้งั ในรชั กาลตนและรชั กาลหลังของพระราชาองคก อ น ๆ ฉันใด จะเจริญรุงเรอื งฉันนั้นหามไิ ด คอื ในที่ไหน ก็วางเปลา ถกู โจรปลนสดมภ อธบิ ายวา แมโอชา ในน้ํามันนํ้าผ้งึ นาํ้ ออยเปนตน และในยาคภู ตั รเปน ตน กเ็ สอื่ ม
พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 135ไป. สองบทวา อมจจฺ า ปาริสชชฺ า คอื เหลา อาํ มาตย และผูเทย่ี วไปในบริษัท. บทวา คณกมหามตตฺ า ไดแกเหลา โหรผชู าํ นาญในปาฐะมอี ัจฉนิ ทกิ ะ ทาํ นายผาขาดเปนตน และเหลาอํามาตยชนั้ ผใู หญ. บทวาอนกี ฏา คอื พวกอาจารยท ง้ั หลายมีหัตถาจารยเ ปนตน . บทวา โทวา-รกิ า คอื ผรู กั ษาประตู. ปญญาเรยี กวา มนต ในบทวา มนตฺ สฺสาชิวโิ น.อาํ มาตยผใู หญเ หลา ใด กระทาํ ปญญานัน้ ใหเ ปน เคร่อื งอาศัยเปนอยู อาํมาตยผูใ หญเ หลานัน้ ชือ่ วา บณั ฑติ คําวา มนตฺ สสฺ าชวิ โิ น น้นั เปนชื่อแหง มหาอาํ มาตยเ หลาน้ัน. บทวา โน จ โข อธนาน ความวา แกมนษุ ยผูไรทรัพย คือ ผยู ากจน เพราะตนมคี วามโลกรนุ แรง. บทวาธเน นานปุ ปฺ ทยิ มาเน ความวา อนั เขาไมม อบทรพั ยให. อีกอยางหนงึ่บาลีก็เปน เชนนี้เหมอื นกัน. บทวา ทาลทิ ทฺ ิย แปลวา ความเปน ผูยากจน. บทวา อตฺตนา จ ชวี าหิ ความวา จงเปนอยู คอื จงยังอตั ภาพใหเ ปนไปเอง. บทวา อทุ ธฺ คคฺ ิก มวี เิ คราะหวา ผลของทกั ษิณน้ันไปในเบื้องบน ดว ยอาํ นาจใหผล ในภมู ิสูง ๆ ขึ้นไป เหตนุ ้นั ทักษิณานน้ัจึงชื่อวา มผี ลไปในเบอื้ งบน. ทักษิณาช่อื วา โสวคฺคกิ า เพราะเปนประโยชนเ กอ้ื กลู ตอ สวรรค เพราะใหอุบตั เิ กิดในสวรรคนน้ั . ทกั ษิณา ชอ่ืวา มวี ิบากเปน สุข เพราะมีวบิ ากเปน สขุ ในทีท่ ่ตี นบงั เกิดแลว . ทักษิณาช่อื วาเปน ไปเพ่อื สวรรค เพราะใหบงั เกิดผลวิเศษ ๑๐ อยา งมี วรรณะอนั เปนทพิ ยเปน ตนทีล่ ํ้าเลศิ ดวยด.ี อธิบายวา ทานจงยังทกั ษิณาทานเห็นปานนี้ ใหด ํารงอยู. บทวา ปวฑฺฒสิ ฺสติ คอื จักเจริญ คอื จักมมี าก. บทวาสนุ เิ สธ นเิ สเธยยฺ ความวา เราจะทาํ การหาม คือพึงปฏเิ สธเด็ดขาด.บทวา มูลฆจฺฉ คอื ถอนราก. บทวา ขุรสสฺ เรน คอื มเี สยี งหยาบ.บทวา ปณเวน คอื กลองพฆิ าต.
พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 136 บทวา สิสานิ เนส ฉินทฺ สิ ฺสามิ ความวา โดยท่สี ดุ พวกเรานาํ แมเ ผอื กมนั เพยี งกํามอื เดยี วของผใู ดไป เราจักตดั ศรี ษะของผนู ้นั โดยประการท่ีใคร ๆ จกั ไมรแู มเ รอ่ื งที่เราฆา บัดนี้ ในท่นี ้ี จะมีประโยชนอ ะไรแกพ วกเรา แมพ ระราชา เสด็จลุกขนึ้ อยางนัน้ แลว รบัสง่ั ใหฆ า บุคคลอืน่ . พงึ ทราบอธบิ าย แหง คาํ เหลา นัน้ ดงั กลาวมานี้.บทวา อปุ กฺกมสึ ุ คือ เร่มิ แลว . บทวา ปนฺถทูหน ความวา ดักปลนคนเดนิ ทาง. คําวา น หิ เทว ความวา เลา กันวา บุรุษนน้ั คดิ วา พระราชานี้รับส่ังใหประหารตามที่ใหการสารภาพวา จรงิ พระเจา ขา เอาเถิดเราจะใหก ารเทจ็ ดงั น้แี ลว เพราะกลัวตายจงึ ทลู วา ไมจรงิ พระเจาขา .คาํ วา อิท ในคําวา เอกีท นเี้ ปน เพยี งนิบาต. อธบิ ายวา สัตวพวกหนง่ึ . บทวา จารติ ตฺ ไดแกความประพฤตผิ ิด. บทวา อภิชฌฺ าพฺยา-ปาทา ไดแ ก อภิชฌาและพยาบาท. บทวา มจิ ฉฺ าทฏิ ิ ไดแก ทิฏฐิท่ีเปนขาศึก มีอนั คคาหิกทฎิ ฐิมีอาทวิ า \"ทานที่บุคคลใหแ ลว ไมมผี ล\" ดงั นี้. บทวา อธมฺมราโคไดแก ความกาํ หนัดในฐานะอันไมสมควร เปนตนวา มารดา ๑ นาํ้หญงิ ๑ บดิ า ๑ อาหญิง ๑ ปา ๑. บทวา วิสมโลโภไดแ ก ความโลภทร่ี นุ แรงในฐานะแมท ค่ี วรบรโิ ภค. บทวา มิจฺฉาธม-ฺโม ความวา ความกําหนัดดว ยอาํ นาจความพอใจระหวา งชายกบั ชายหญงิ กบั หญิง. ในบทวา อมตเฺ ตยฺยตา เปน ตน มีวิเคราะหว า ผูเกือ้ กูลมารดา ชอื่ มตั เตยยะ ภาวะแหง มัตเตยยะนัน้ ช่อื มัตเตยยตา.คําวา มตฺเตยฺยตา นน้ั เปน ชอื่ แหง การปฏบิ ตั ิชอบในมารดา ความไมมีแหง มัตเตยยตานัน้ สละความเปนปฎปิ กษตอ มตั เตยยตานั้น ชอ่ื วาอมตฺเตยยฺ ตา. แมใ น อเปตเฺ ตยยฺ ตา เปน ตน ก็นัยน้ีน่ันเอง.
พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 137 บทวา น กเุ ลเชฏาปจายิตา ความวา ภาวะคอื การไมกระทํา ความยําเกรง คอื การประพฤตอิ อนนอมตอ ผเู จริญในตระกลู . บทวา ย อิเมส คือ ในสมัยใด แหงมนุษยเ หลานี้. บทวาอล ปเตยฺย ความวา ควรใหแกผ ัว. บทวา อมิ านิ รสานิ ความวารสเหลาน้ี เปนรสท่เี ลิศในโลก. บทวา อติพยฺ าทปี สสฺ นฺติ ไดแก จักรุงเรืองอยา งยง่ิ . อีกอยางหน่งึ บาลกี อ็ ยางนเี้ หมอื นกัน. บทวากุสลนตฺ ิป น ภวสิ สฺ ติ ความวา แมช่ือนี้ \"กุศล\" ดงั นี้กจ็ กั ไมม ี.อธิบายวา แมเพียงบญั ญตั จิ ักไมปรากฏ. บทวา ปุชชฺ า จ ภวิสฺสนตฺ ิปาส สา ความวา จกั เปน ผคู วรบูชา และควรสรรเสรญิ . เลากันวา ในสมยั น้ัน พวกมนษุ ยคดิ กนั วา บคุ คลช่ือโนนประหารมารดาประหารบิดา ปลงชีวติ สมณพราหมณ นาสงั เวชหนอ บุรษุ ยอมไมทราบแมค วามทีผ่ ูเจริญในตระกูลมอี ยู ดงั นี้แลว จกั บูชาและจกั สรรเสรญิ บุรุษน้นันั่นเอง. ขอวา น ภวิสฺสติ มาตาติ วา ความวา จติ ทปี่ ระกอบดว ยความเคารพวา \" ผนู ้เี ปน มารดาของเรา จักไมม ีเลย. มนษุ ยทัง้ หลายเมอ่ื กลา วถอยคําอสตั บรุ ุษ ชนดิ ตา ง ๆ ดจุ กลาวกะมาตุคามในเรอื น ก็จักเขา ไปหาโดยอาการไมเ คารพ. แมในญาตทิ ้งั หลาย มนี า หญิงเปน ตน กน็ ัยน้ีเหมอื นกนั . กใ็ นคําวา มาตจุ ฉฺ า เปน ตน น้ี คอื นองชื่อวา มาตจุ ฺฉา ไดแกนองสาวของแม ชอ่ื วา มาตลุ านี ไดแ กภ รรยาของลุง. ช่อื วา อาจริยภรยิ าไดแ กภ รรยาของอาจารย ผูใหศกึ ษาศลิ ปวิทยา. บทวา ครนู ทารา ไดแกภรรยาของญาติมอี าและลุงเปนตน . บทวา สมฺเภท ความวา ภาวะท่เี จือปน หรือวา การทาํ ลายประเพณ.ี บทวา ติพฺโต อาฆาโต ปจฺจปุ ฏโิ ตภวสิ สฺ ติ ความวา ความโกรธท่รี ุนแรงจักเกดิ ขึ้นเฉพาะ โดยทเ่ี กดิ ขนึ้ บอย ๆสองบทหลัง กเ็ ปนไวพจนของความโกรธนนั้ ท้งั นน้ั . จรงิ อยคู วามโกรธ
พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 138ยอ มทาํ จติ ใหผูกอาฆาต เหตนุ ั้นจงึ ชื่อวา อาฆาต. ความโกรธยอ มทําประ-โยชนเ ก้อื กลู และความสุขของตนและบคุ คลอน่ื ใหเสียหาย เหตนุ น้ั จงึ ชือ่วา พยาบาท จะกลา ววา ความประทุษรายแหงใจก็ได เพราะประทษุรายใจ. บทวา ตพิ ฺพ วธกจิตฺต ความวา จติ คดิ จะฆาเพอื่ ใหผ ูอน่ื ตายยอมมไี ดแ มแกมีใจรักใครก ัน. เพอื่ จะแสดงเรื่องแหงจิตคิดจะฆา กนั นนั้จงึ กลา วคาํ เปน ตน วา มาตุป ปตุ ตฺ มหฺ ิ ดงั น.้ี บทวา มาควกิ สสฺ ไดแก พรานลาเนอื้ . บทวา สตฺถนตฺ รกปโฺ ป ความวา กปั ทพ่ี นิ าศในระหวา งดวยศาสตรา คอื ยงั ไมท ันถึงสงั วฏั ฏกปั โลกกพ็ ินาศเสียในระหวาง. กช็ ่อื วาอันตรกัป นีม้ ี ๓ อยางคอื ทพุ ภกิ ขันตรกัป กปั ทีโ่ ลกพนิ าศในระหวา งดวยทพุ ภิกขภยั ๑ โรคันตรกัป กปั ที่โลกพินาศในระหวางดวยโรค ๑สตั ถนั ตรกปั กปั ที่โลกพินาศในระหวา งดวยศาสตรา ๑. ในกัปเหลานั้นทพุ ภิกขนั ตรกัป มขี ึ้นไดแ กหมูส ัตวท หี่ นาดว ยความโลภ. โรคนั ตรกัป มีขึน้ ไดแ กหมูสัตวท่ีหนาดว ยความโมหะ. สันถนั ตรกปั มขี ึ้นไดแกหมูสัตวทหี่ นาดว ยโทสะ. ในกัปเหลา น้นั เหลา สตั วท ่ีฉิบหาย เพราะทพุ ภิกขนั ตรกปั ยอ มเกดิ ข้นึ ในปต ตวิ สิ ยั แหง เปรตเสียโดยมาก. เพราะอะไร ? เพราะมีความอยากในอาหารเปนกาํ ลัง. เหลาสตั วท ่ฉี บิ หายเพราะโรคนั ตรกัป บงั เกิดในสวรรคโ ดยมาก. เพราะอะไร ? เพราะสตั วเหลา นน้ั เกดิ เมตตาจิตขนึ้ วาโอหนอ โรคเหน็ ปานน้ไี มพ ึงมแี กส ตั วเ หลาอืน่ . เหลา สตั วท ่ีฉิบหายเพราะสัตถันตรกปั ยอมเกดิ ในนรกโดยมาก เพราะอะไร ? เพราะมีความอาฆาตตอ กนั และกนั อยางรนุ แรง. บทวา มิคสฺ ความวา มนษุ ยเกิดความสาํ คญั ขึน้ วา ผูน้ี เปน เนอ้ื ผูน ี้เปนเน้อื . บทวา ตณิ หฺ านิ สตฺถานิ หตฺเถสุ
พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 139ปาตุภวิสฺสนฺติ ความวา เลากนั วา สําหรบั มนุษยเหลา นัน้ วัตถอุ ะไร ๆพอจะเอามอื หยิบฉวยได โดยที่สุดตระท่ังใบหญาทจี่ ะกลายเปนอาวุธไปเสียทั้งนั้น. ขอ วา มา จ มย กจฺ ิ ความวา พวกเราอยาปลงแมบ ุรษุผูห นงึ่ ไร ๆ เสยี จากชีวติ เลย. ขอวา มา จ อมฺเห โกจิ ความวา บรุ ษุผหู นึง่ ไร ๆ อยาปลงแมพวกเราเสยี จากชีวติ เลย. คาํ วา ยนนฺ ูน มย ความวา เหลาสัตวจักสําคญั คิดอยา งนวี้ า ความพนิ าศแหงโลกน้ี ปรากฏเฉพาะแลว อันเราท้ังหลายสองคนอยใู นท่ีเดยี วกันไมอ าจมชี วี ติ อยไู ด. บทวาวนคหน ความวา ท่รี กชัฎดวยพฤกษขาดมพี ุม หญา และเถาวัลลิเ์ ปนตนอนั นบั วาปา. บทวา รกุ ขคหน คอื รกชัฎดวยตน ไมค อื ท่เี ขา ไปยาก.บทวา นทีวทิ คุ คฺ คือท่ีซ่ึงไปลาํ บาก ในทซี่ ึ่งมเี กาะอยูร ะหวางเปนตนแหง แมนาํ้ ทัง้ หลาย. บทวา ปพพฺ ตวิสม คือ ทีอ่ นั ไมสมํา่ เสมอไปดว ยภูเขาทง้ั หลาย หรือวา ทอี่ นั ขลุขละในภเู ขาทง้ั หลาย. บทวา สภาคายสิ สฺ นตฺ ิความวา เหลา สัตวจ ักทาํ คนเหลานน้ั ใหเสมอกบั ตน ดว ยถอ ยคําที่ชวนใหบันเทิงอยา งนว้ี า ทานผเู จริญทัง้ หลาย เราเปน อยโู ดยประการใด สตั วท้งั หลายทา นก็พบเห็นแลว แมทา นก็เปน อยูโ ดยประการนนั้ . บทวา อายตคือ มาก. บทวา ปาณาติปาตา วิรเมยฺยาม ความวา พวกเราควรลดปาณาตบิ าตลงเสีย. อาจารยบางพวกสวดวา ปาณาติปาต วริ เมยยฺ าม ก็มี. ในคาํ นั้นมอี ธิบายวา พวกเราควรละปาณาตบิ าต. บทวา วีสติวสสฺ ายกุ าความวา มารดาบดิ างดเวนจากปาณาตบิ าต เพราะเหตุใด บตุ รทั้งหลายจงึมีอายุเพยี ง ๒๐ ป. เพราะมเี ขตบรสิ ุทธิ์. แทจริง มารดาบิดาแหง บตุ รเหลานน้ั เปน ผูมศี ีล ดงั นนั้ พวกเขาจงึ มีอายุยืน เพราะเขตบรสิ ุทธน์ิ ้ีเหตุทพี่ วกบุตรเจริญในครรภข องผูม ศี ีล. กส็ ตั วเหลา ใด ทาํ กาละเสียในทีน่ ี้ แลว เกดิ ในท่ีนนั้ น่นั เอง สัตวเ หลาน้นั มีอายยุ ืนดวยสมบัตคิ ือศีลของตน
พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 140เทา นน้ั . บทวา อสสฺ าม แปลวา พึงม.ี บทวา จตตฺ าลสี วสสฺ ายกุ าความวา สวนท่ีเปน เบอ้ื งตน บัณฑิตพงึ ทราบ ดว ยอํานาจบุคคลผเู วน ขาดจากอทนิ นาทานเปนตน. บทวา อจิ ฺฉา ความวา ตณั หาซึง่ เกิดขึ้นอยางนว้ี า พวกทา นจงใหอาหารแกเ รา. บทวา อนสน ความวา ไมมกี ารกนิ คอื ภาวะท่ไี มเบิกบาน ไดแก ความเกียจครานทางกาย คือ ความประสงคจ ะนอน เพราะปจจยั คือความเมาในอาหารของผูบรโิ ภคอาหาร. อธิบายวา ภาวะทกี่ ายมีกาํ ลังทราม เพราะการบริโภค. บทวา ชรา ไดแก ความชราปรากฏ.บทวา กกุ กฏุ สมปฺ าติกา มวี ิเคราะหว า ความตกพรอ มแหง ไก กลา วคอืการที่ไกตัวบินข้ึนจากหลังคา บานหนงึ่ แลว ตก ลงบนหลงั คา อีกบา นหนึ่งมีอยูในคามนิคมและราชธานเี หลาน้ี เหตนุ ้ันคามนคิ มเละราชธานีเหลาน้ีชอ่ื วาเปนท่ีระยะไกบนิ ตก. บาลีวา สมฺปาทิกา ดังน้ีกม็ ี. อธิบายวาความถึงพรอมแหงไก กลาวคือการเดินไปดวยเทาแหง ไกจ ากระหวางบา นหนงึ่ ไปยงั อีกระหวา งบานหนึง่ มอี ยใู นคามนคิ มและราชธานเี หลา น.้ี ทานแสดงความทสี่ ตั วอ ยรู วมกันเปน กลุม น่นั แลแมทัง้ สองนนั้ . บทวา อวจี ิมเฺ ผโุ ฏ ภวิสสฺ ติ ความวา จกั เต็มแนนขนดั ประดุจอเวจีมหานรก. พระผูมพี ระภาคเจาไมตรสั ไวดว ยสามารถแหง อายุ สตั วทเ่ี จรญิ วาดูกอนภิกษุทั้งหลายในเวลามนษุ ยม ีอายุ ๘๐,๐๐๐ ป พระผูมีพระภาคเจานามวา เมตตรยั จกั อบุ ตั ขิ น้ึ ในโลก. เพราะพระพุทธเจา ท้ังหลาย ยอมไมบังเกดิ ในเวลาสตั วที่มีอายุเจริญแตยอ มเกดิ ในเวลาสตั วมอี ายุเสื่อม. อธิ-บายวา เพราะเหตนุ ัน้ เวลาใด อายุนน้ั เจรญิ แลว ถงึ ความเปน อสงไขยแลว กลบั ตกไปอีก จักตัง้ อยูใ นกาลที่สตั วมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ป ในกาลน้ันพระพทุ ธเจาจักอุบตั ิข้ึน. กบ็ ทวา ปริหริสสฺ ติ น้ี ทา นกลา วไวดวยสามารถ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 141แหงสตั วท ่ีเทยี่ วแวดลอ มไป. บทวา ยูโป ไดแ กป ราสาท. บทวา รฺญามหาปนาเทน การาปโ ต ความวา มพี ระราชาผเู ปน ตนเหตุ ทา วสกั กะ-เทวราช จงึ สงพระวษิ ณกุ รรมเทพบุตรไปใหส รางปราสาท เพอื่ ประโยชนแกพระราชาพระองคนน้ั . เลากนั วา เมือ่ กอ น บดิ ากบั บตุ รสองคน เปน ชา งสานชว ยกนั เอาไมออและไมม ะเดือ่ สรา งบรรณศาลาถวายแดพระปจเจกพทุ ธเจา แลวนมิ นตใหทา นอยูใ นท่นี ัน้ บํารงุ ดวยปจจัย ๔. ครน้ั ทาํ กาละแลว ก็บงั เกิดในเทว-โลก. ในสองบิดาและบตุ รนนั้ บดิ ายังอยูในเทวโลกนน่ั เอง. บุตรจุติจากเทวโลกแลวบังเกิดในพระครรภของพระนางสเุ มธาเปนเทวขี องพระ-เจาสุรจุ ติ เปน พระราชกุมารพระนามวา มหาปนาทะ. ภายหลงั ทา วเธอรับสงั่ ใหย กฉัตร ไดเปน พระราชานามวามหาปนาทะ. ลาํ ดบั นัน้ ดวยบุญญานุภาพของทาวเธอ ทา วสกั กะเทวราช จึงสงพระวิษณุกรรมเทพบุตรใหไ ปสรางปราสาทถวายพระราชา. พระวิษณกุ รรมเทพบุตรนนั้ เนรมติปราสาทถวายทา วเธอสูงถึง ๒๕ โยชน ๗ ชัน้ ลวนแลว ดวยรตั นะท้ัง ๗ประการ ซงึ่ ทา นหมายเอากลาวไวใ นชาดกวา พระราชาพระนามวาปนาทะ มปี ราสาทลวนแลว ดว ยทอง กวาง ๑๖ ชว่ั ลูกธนู ชนทงั้ หลายกลา วสวน สงู ถงึ พนั ชว่ั ธนู ปราสาทน้นั ๗ ชน้ั สงู พันชัว่ ลกู ธนู สะพรัง่ ไปดว ยธง แพรวพราวไปดว ยแกวสเี ขยี ว นัก ฟอ น ๖ พนั แบง เปน ๗ พวก ไดฟ อ นอยใู นปราสาท นัน้ ดูกอนภทั ทชิเศรษฐี ทา นกลา วไว โดยประการใด เหตนุ ัน้ ไดมีในกาลนนั้ โดยประการน้ัน ครงั้ นั้นเราได เปนทาวสักกะ ผูทาํ การขวนขวายใหแ กทาน ดงั นี.้
พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 142 พระราชานนั้ ประทบั อยทู ่ีปราสาทนนั้ ตลอดพระชนมายสุ วรรคตแลว บังเกดิ ในเทวโลก. เมอ่ื ทา วเธอบังเกิดในเทวโลก ปราสาทน้ันก็จมลงในกระแสแมน้ํามหาคงคา. พระนครชือ่ ปยาคะประดิษฐ เปน อนั เทวดานริ มิตแลว ณ ท่ใี กลเคียงหัวบนั ไดของปราสาทนั้น. บานชื่อโกฎิคามมใี นท่ีตรงกับยอดปราสาทพอด.ี ภายหลงั ตอ มา ครั้งพระผมู พี ระภาคเจา ของเรา เทพบุตรชา งสานนน้ั จตุ ิจากเทวโลก เปน เศรษฐชี ือ่ ภทั ทชิ ในถ่ินมนษุ ย บวชในสํา-นักพระศาสดา บรรลุพระอรหตั แลว . พึงใหเรอื่ งพิสดารดวยคาํ วา \"ทา นนนั้ แสดงปราสาทน้ันแกหมภู กิ ษุ ในวนั ทเี่ อาเรอื ขา มแมนาํ้ คงคา\". ถามวา กเ็ พราะเหตใุ ดปราสาทนจ้ี ึงไมอันตรธานไป แกวา เพราะอานุภาพบญุ เทพบตุ รนอกจากน้.ี กุลบตุ รผูทาํ บญุ รว มกบั ทานบังเกดิ ในเทวโลก ในอนาคต จกั เปนพระราชานามวา สงั ขะ ปราสาทนั้นจักตัง้ ขึน้ สาํ หรบั ใหพระราชาน้ันใชส อย เพราะเหตนุ ัน้ ปราสาทจงึ ไมอนั ตรธานไปแลว . บทวา อสุ สฺ าเปตฺวา ความวา ใหป ราสาทนนั้ ตัง้ ขนึ้ . บทวาอชฺฌาวสติ วฺ า ไดแก ประทับอยู ณ ที่น้ัน. บทวา ต ทตฺวา วสิ ชชฺ ติ ฺวาความวา ใหปราสาทน้นั ดวยอํานาจทานและสละดว ยอํานาจการบรจิ าคโดยไมเพง (ผลตอบแทน). ถามวา ถวายปราสาทอยางนัน้ แกใคร. แกวา แกเ หลา สมณะเปน ตน. เพราะเหตุนน้ั ทา นจึงไดกลา วไววา \"ใหทานแกสมณพราหมณคนกาํ พราคนเดนิ ทางวณิพกยาจก\". ถามวา กพ็ ระราชา (พระภัททช)ิ นน้ั จักแสดงปราสาทหลงั หน่ึง แกภ ิกษเุ ปน อนั มากอยางไร ? แกวา นัยวา จิตของทานจักเกิดขึน้ อยางนีว้ า ปราสาทนี้ จงกระจัดกระจาย. ปราสาทนนั้ จักกระจัดกระจายเปน ทอนเลก็ ทอนนอย. ทา วเธอไมม จี ิตขอเกยี่ วปราสาทนนั้ เลย จักสละดวยอาํ นาจทาน ดว ยพระดาํ รัส
พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 143วา ผูใดปรารถนาจํานวนเทา ใด ผูน ้นั จงถือเอาจํานวนเทาน้ัน ดว ยเหตนุ ั้นทานจงึ กลา ววา ทาน ทตวฺ า เมตเฺ ตยยฺ สฺส ภควโต ฯเปฯ วหิ ริสสฺ ติดังนี้. พระผมู ีพระภาคเจา ทรงแสดงอนสุ นธสิ ืบตอแหงวฏั ฏคามกี ศุ ล ดว ยพระดํารสั มีประมาณเทา น้ี. บดั น้ี เม่ือจะทรงแสดงความสบื ตอ แหงวัฏฏคามีกศุ ล จงึ ตรัสคาํ วาอตฺตทีปา ภกิ ขฺ เว วิหรถ เปน ตนไวอกี . ขอ วา อิท โข ภิกขฺ เวภิกฺขโุ น อายุสฺมึ ความวา พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงวา ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย เราไดกลา วคําใดไวกะเธอวา \"เธอท้งั หลายจักเจรญิ ดวยอายุบาง\"คาํ นี้ยอ มมใี นอายุของภิกษนุ ั้น คอื คาํ นเี้ ปน เหตแุ หงอาย.ุ เพราะฉะนั้นพวกเธอเม่ือตอ งการใหอายเุ จรญิ ตองเจริญอิทธิบาท ๔ อยางเหลา น้.ี บทวา วณฺณสมฺ ึ ความวา พระผูม พี ระภาคเจาทรงแสดงวา เราไดกลาวคาํใดไวก บั เธอวา พวกเธอจักเจริญดวยวรรณะบา ง นเ้ี ปนเหตุ (เจริญ)วรรณะในวรรณะน้นั ดวยวา วรรณะแหง สรีระของผมู ีศลี ยอมเจรญิ ดว ยอํานาจความไมเ ดือดรอ นเปน ตน แมวรรณะคือคณุ กเ็ จริญดวยอํานาจชื่อเสียง เพราะฉะนั้น พวกเธอเม่ือตอ งการใหว รรณะเจรญิ ตองมศี ลี บรบิ ูรณ.บทวา สขุ สฺมึ ความวา พระผูม พี ระภาคเจา ทรงแสดงวา เราไดกลาวคาํ ใดไวกับพวกเธอวา พวกเธอจักเจรญิ ดวยความสขุ บา งดังนี้ คําน้ียอมมีความสขุ ทีเ่ กดิ จากฌานมปี ระการตา ง ๆ มปี ต ิแลสขุ เกดิ จากวเิ วกในความสุขน้นั คอื เปน ตน เพราะเหตนุ ัน้ พวกเธอเมอื่ ตอ งการใหเจรญิดว ยความสขุ ตอ งเจริญฌาน ๔ อยา งเหลา น.้ี บทวา โภคสฺมึ ความวาพระผมู พี ระภาคเจา ทรงแสดงวา เราไดก ลา วคําใดไวก บั พวกเธอวา พวกเธอจักเจริญดว ยโภคะบาง ดงั น้ี น้คี ือโภคะไดแ กพรหมวิหารท่ีพงึ แผไ ดทั่วทศิ อันนาํ ซึ่งความเปน ผไู มเกลียดชังเหลา สตั วที่หาประมาณมไิ ด มอี านสิ งส
พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 144๑๑ ประการเชน นอนเปน สขุ เปนตน เพราะฉะนั้นพวกเธอเมอ่ื ตอ งการใหโภคะเจริญ ตองเจริญพรหมวหิ ารเหลาน.ี้ บทวา พลสฺมึ ความวา พระผูมพี ระภาคเจาทรงแสดงวา เราไดก ลา วคาํ ใดไวกับพวกเธอวา พวกเธอจักเจริญดวยกาํ ลงั บา งดังน้ี คาํ นค้ี อื กาํ ลังกลา วคอื อรหตั ผล ซึ่งเกิดข้นึ ในทส่ี ุดแหงความสิน้ ไปแหงอาสวะ เพราะเหตุนน้ั พวกเธอเมือ่ ตองการจะใหก าํ ลังเจรญิ ตอ งทําความพากเพียรเพื่อการบรรลถุ งึ พระอรหัต. บทวา ยถยิท ภิกฺขเว มารพล ความวา พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงวาเรายอมไมพิจารณาเหน็ แมกําลงั อันเปน เอกในโลกอยางอนื่ ท่ีขม ยาก กํา-จดั ยาก เหมือนกาํ ลงั ของเทวบตุ รมารมัจจุมารกิเลสมารนเี้ ลย อรหัตตผลนเี้ ทาน้นั ยอ มขม ครอบงาํ ทว มทับกําลงั แมนน้ั ได เพราะเหตนุ ัน้ พวกเธอควรทําความพากเพียรในพระอรหัตนี้เทาน้นั . ขอวา เอวมทิ ปุ ฺความวา แมบญุ ท่เี ปน โลกุตตระน้ี ยอ มเจรญิ จนตราบสิ้นอาสวะ. พระผูม ีพระภาคเจา เมื่อยังอนุสนธิสบื ตอ แหงวัฏฏคามกี ุศลใหจ บลง จงึ ยงั เทศนาใหจ บลงดว ยยอดคือพระอรหัต. ในเวลาจบพระสตู ร ภกิ ษุ ๒๐,๐๐๐ รปูบรรลุพระอรหตั สัตว ๘๔,๐๐๐ ไดดมื่ นํ้าอมฤตแลว แล. จบอรรถกถาจกั กวตั ติสตู ร ที่ ๓
พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 145 ๔. อคั คัญญสตู ร เรือ่ ง วาเสฏฐะภารทวาชะ [๕๑] ขา พเจา ไดสดบั มาอยา งน้ี :- สมัยหน่งึ พระผูมีพระภาคเจา ประทบั อยู ณ ปราสาทของนางวสิ าขามคิ ารมารดา ในบพุ พารามกรงุ สาวัตถ.ี กโ็ ดยสมัยนั้นแล วาเสฏฐ-สามเณรสละภารทวาชสามเณร หวังความเปน ภิกษุ จึงอยปู ระจําในสํานักของภิกษุ. ลําดับนน้ั ในเวลาเยน็ วันหนงึ่ พระผมู พี ระภาคเจา เสดจ็ ออกจากที่เรน แลว ไดเ สดจ็ ลงจากปราสาท ทรงจงกรมอยใู นทีก่ ลางแจงทีร่ ม เงาปราสาท. วาเสฏฐสามเณรไดเ หน็ พระผมู พี ระภาคเจาเสดจ็ ออกจากทเี่ รนลงจากปราสาทแลว เสดจ็ จงกรมอยูกลางแจงทีร่ ม เงาปราสาทในเยน็วันหน่งึ ครนั้ เห็นแลว จึงเรยี กภารทวาชสามเณรมากลา ววา ภารทวาชะผมู อี ายุ พระผมู พี ระภาคเจาน้เี สดจ็ ออกจากท่เี รน ลงจากปราสาท ภารทวาชะจงกรมอยูท กี่ ลางแจง ที่รมเงาของปราสาทในเวลาเยน็ ภารทวาชะผอู าวุโสเรามาไปกัน เราจักเขาไปเฝาพระผมู พี ระภาคเจา จนถงึ ทีป่ ระทับ เราพึงไดเพือ่ จะฟง ธรรมีกถา ในทเี่ ฉพาะพระพักตรข องพระผมู ีพระภาคเจาดงั น้ี.ภารทวาชสามเณรก็รบั คําของวาเสฏฐสามเณรวา ตกลงทา นผูมอี าย.ุครง้ั นนั้ แล วาเสฏฐสามเณรและภารทวาชสามเณรจงึ พากันเขา ไปเฝาพระผมู พี ระภาคเจา จนถึงท่ปี ระทบั ครั้นเขา ไปเฝาแลว ไดถวายอภิวาทพระผมู พี ระภาคเจาแลว ไดเดินจงกรมตามพระผูม พี ระภาคเจา ซึ่งกําลังเสดจ็จงกรมอยู คร้ังนนั้ แล พระผมู พี ระภาคเจาตรสั เรียกวาเสฏฐสามเณรมาแลว ตรสั วา ดกู อ นวาเสฏฐะและภารทวาชะ เธอทั้งหลายแล มชี าติเปนพราหมณม ตี ระกูลเปน พราหมณ ออกบวชจากตระกลู ของพราหมณ ดกู อน
พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 146วาเสฏฐะและภารทวาชะ พราหมณท้ังหลาย ไมด า ไมบริภาษเธอทั้งหลายหรอื ดงั นี.้ วาเสฏฐะและภารทวาชสามเณรจงึ ทูลวา ขาแตพ ระองคผ เู จรญิพราหมณท ้งั หลาย ยอ มดา ยอ มบรภิ าษขา พระองคท งั้ หลายดว ยถอยคําตามสมควรแกต นอยา งเต็มท่ี ไมมลี ดหยอนเลย ดงั น้.ี พระผมู ีพระภาคเจาจงึตรสั ถามวา ดูกอ นวาเสฏฐะและภารทวาชะ กพ็ วกพราหมณดา บริภาษเธอดว ยคาํ ดาอันสมควรแกตนอยางเต็มที่ ไมม ีลดหยอ นเลยอยางไร. สามเณรท้ังสองทลู วา ขาแตพระองคผ ูเจรญิ พราหมณท งั้ หลายกลา วอยางนวี้ าพราหมณเทา นน้ั เปนวรรณะประเสริฐทส่ี ดุ วรรณะเหลา อ่ืนเลวทรามพราหมณเทา นน้ั เปนวรรณะขาว วรรณะอน่ื ดาํ พวกพราหมณทง้ั หลายเทานั้นบริสุทธิ์ คนท่ไี มใ ชพ ราหมณ หาบรสิ ทุ ธิไ์ ม พวกพราหมณทง้ัหลาย เปน บุตรเกดิ จากอุระ เกดิ จากปากของพระพรหม เกดิ จากพระ-พรหม พระพรหมเนรมิตขน้ึ มา เปนทายาทของพระพรหม พวกทานมาละเสียจากวรรณะที่ประเสริฐทส่ี ดุ เขา ไปอยูในวรรณะทเ่ี ลวทราม คือพวกสมณะโลน เปนพวกคหบดเี ปนพวกดํา เกดิ จากเทาของพระพรหมการทพี่ วกทานมาละเสียจากวรรณะประเสรฐิ สุด ฯลฯ เชน นี้ ไมเ ปนการดี ไมเปน การสมควรเลย ขาแตพ ระองคผูเจรญิ พวกพราหมณไดพากันดาบริภาษขา พระองคท ้ังหลายดว ยถอ ยคาํ บริภาษอนั สมควรแกต นอยางเตม็ ที่ ไมม ลี ดหยอ นเลย อยางนี้แลดงั น้.ี พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั วา ดูกอนวาเสฏฐะและภารทวาชะ พวกพราหมณระลึกถงึ เรือ่ งเกาของตนไมไ ด จงึกลา วอยางน้ีวา พราหมณเ ทา น้ันเปน วรรณะประเสรฐิ ทสี่ ุด วรรณะเหลาอ่นื เลวทราม พราหมณเ ทา นน้ั มีวรรณะขาว วรรณะเหลา อืน่ ดาํ พวกพราหมณเ ทา นั้นบรสิ ทุ ธิ์ หมูชนทไี่ มใชพ ราหมณห าบริสทุ ธิไ์ ม พวกพราหมณ เปน บตุ รเกิดแตอุระ เกดิ จากปากของพระพรหม เกดิ จากพระ-
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309