Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_15

tripitaka_15

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:38

Description: tripitaka_15

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 157กลาวคาํ นกี้ ะสตั วนั้นวา มาเถดิ สัตวผ เู จริญ เราจะไปเก็บขาวสาลกี นั ดงั น.ี้สตั วน นั้ จึงตอบวา อยา เลยสัตวผเู จรญิ เรานาํ ขา วสาลมี าคร้ังเดียวเพ่อื เปนอาหารทงั้ เชาและเยน็ ดังน้ี. ดกู อ นวาเสฏฐะและภารทวาชะ สตั วน้ันถงึทิฏฐานคุ ตขิ องสัตวนนั้ จึงนําขาวสาลมี าเพอ่ื เปน อาหารถึง ๔ วัน ดวยกลา ววา ไดย ินวา อยางนกี้ ็ดีนะผูเ จรญิ ดงั นี.้ ดูกอนวาเสฏฐะและภารทวาชะสัตวอื่นเขา ไปหาสัตวน ้ันจนถึงทอี่ ยู ครั้นแลวไดก ลาวคํานีก้ ะสตั วน ้นั วามาเถดิ สัตวผ เู จริญ พวกเราไปเกบ็ ขาวสาลกี นั ดังน.ี้ สตั วน ้นั จึงกลาววาอยาเลยผเู จรญิ เรานาํ ขาวสาลีมาครง้ั เดียวเพ่อื เปนอาหารได ๔ วันดงั น้.ีดกู อ นวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งน้ันแล สตั วน้นั ถึงทฏิ ฐานุคตขิ องสตั วนัน้ ไดไปขนเอาขา วสาลีมาครง้ั เดยี วเทา นัน้ เพ่อื เปน อาหาร ๔ วนั ดว ยกลาววา ไดยนิ วา อยางนี้กด็ ีนะผูเจรญิ ดงั น.ี้ ดกู อนวาเสฏฐะและภารทวาชะเมือ่ ใดแล สตั วนัน้ กไ็ ดพ ยายามเพื่อจะบริโภคขาวสาลีท่สี ัง่ สมไว. ดกู อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครง้ั น้ันแล ขาวสาลจี งึ มีราํ หอเมลด็ บา ง มแี กลบหอ เมล็ดบา ง ตนทีถ่ กู เกย่ี วแลวก็ไมก ลบั งอกข้ึนอีก การขาดตอนก็ปรากฏขน้ึ ขา วสาลีจงึ ไดม ีเปน กลุมขึ้นมา. [๖๑] ดกู อ นวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครง้ั นน้ั แล สัตวเหลานนั้จึงประชุมพรอมกนั ครน้ั แลว กพ็ ากันทอดถอนใจวา ผเู จรญิ ธรรมอันเลว-ทรามไดป รากฏในสัตวทง้ั หลาย ดว ยวา ในกาลกอ น พวกเรามคี วามสําเร็จทางใจ มปี ตเิ ปน ภกั ษา มรี ศั มีเอง ทองเท่ยี วไปในอากาศได ดํารงอยู ในวมิ านอนั งดงาม ไดดํารงอยตู ลอดกาลยืดยาวนาน ในกาลบางคราวโดยลวงไปแหง กาลยืดยาวนาน งว นดินเกิดในนํา้ แกพ วกเรา งวนดนิ นนั้ไดสมบรู ณดว ยสี กล่นิ รส พวกเรานั้น ไดพยายามเอามอื ปน งวนดินเปนคํา ๆ เพ่อื ที่จะบริโภค เมือ่ พวกเราพากันพยายามเอามอื ปนงว นดินทํา

พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 158เปนคํา ๆ เพือ่ ที่จะบรโิ ภคอยู รัศมเี ฉพาะตัวกห็ ายไป เมอื่ รศั มเี ฉพาะตัวหายไป พระจนั ทรและพระอาทิตยกป็ รากฏ เมื่อพระจันทรและพระอาทิตยปรากฏแลว หมดู าวนักษตั รทั้งหลายก็ไดปรากฏ เมอ่ื หมดู าวนักษตั รปรากฏแลว กลางคนื กลางวันก็ไดป รากฏ เมือ่ กลางคนื กลางวนั ปรากฏแลว เดือนหนงึ่ กึง่ เดอื นหนงึ่ ก็ปรากฏ เมือ่ เดอื นหน่งึ กึง่ หนง่ึ เดอื นปรากฏอยูฤดูและปก็ปรากฏ พวกเราเหลา นั้นบรโิ ภคงวนดนิ มงี วนดินนัน้ เปนภกั ษาเปน อาหาร ไดด ํารงอยูตลอดกาลยดื ยาวนาน เพราะอกุศลธรรมอนัลามก งว นดนิ ของพวกเราน้ันจึงไดห ายไป เม่ืองวนดนิ หายไปแลว กะบดิ ินก็ปรากฏ กะบดิ นิ น้นั ถึงพรอมดว ยสี กลน่ิ รส พวกเราน้นั บรโิ ภคกะบดิ นิ น้ันแลวกนั พยายามเพอ่ื จะบริโภคกะบดิ ินน้นั พวกเรานน้ั บรโิ ภคกะบดิ ินนนั้ แลวมีกะบดิ นิ นัน้ เปนภกั ษาเปน อาหาร ไดด าํ รงอยูต ลอดกาลยืดยาวนาน เพราะความปรากฏแหงอกศุ ลธรรมอนั ลามกของพวกเรานน้ั กะบดิ นิ จงึ ไดหายไปเมือ่ กะบดิ ินหายไปแลว เครอื ดนิ ก็ปรากฏขึน้ มา เครอื ดินนัน้ กส็ มบูรณดวย สี กลนิ่ รส พวกเราน้นั ไดพ ากันพยายามเพ่อื ที่จะบริโภคเครอื ดนิ นน้ัพวกเราน้นั บรโิ ภคเครือดนิ น้ันแลว กม็ ีเครือดินนัน้ เปนภักษาเปนอาหารไดด ํารงอยูตลอดกาลยดื ยาวนาน เพราะความปรากฏแหง อกุศลธรรมอนัลามกของพวกเราน้นั เครือดนิ จงึ ไดห ายไป เม่ือเครอื ดนิ หายไปแลวขาวสาลีอันเกดิ สกุ ในท่ที ี่ไมต องไถ ไมมีราํ ไมมีแกลบ บรสิ ุทธ์ิ มกี ลน่ิ หอมมีเมลด็ เปน ขาวสารกไ็ ดป รากฏขน้ึ พวกเราไปนาํ เอาขา วสาลชี นิดใดมาเพ่อื เปน อาหารเยน็ ในเวลาเย็น ในตอนเชา ขาวสาลนี ้นั ก็สุกงอกข้นึ อีกพวกเราไปนําเอาขา วสาลชี นิดใดมาเพอื่ เปน อาหารเชาในตอนเชา ในตอนเย็นขา วสาลนี ้ันก็สุกงอกขึ้นเอง ความขาดหาไดป รากฏไม พวกเราน้นั เม่อื บรโิ ภคขาวสาลีซง่ึ เกิดในที่ท่ีไมไดไ ถ กม็ ขี าวสาลนี ั้น เปนภกั ษา

พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 159เปนอาหาร ไดดํารงอยูตลอดกาลยดื ยาวนาน เพราะความปรากฏแหง อกุศลธรรมอันลามกของพวกเรานนั้ แล ขาวสาลีจึงมีรําหุมเมล็ดบา ง มแี กลบหุม เมลด็ บา ง ขาวสาลที เ่ี ราเกยี่ วแลว หาไดงอกขึ้นอีกไมแมค วามขาดตอนก็ไดป รากฏ ขา วสาลีเปนกลุมจงึ เกดิ ขึน้ ไฉนหนอเราควรแบงขา วสาลีกัน และพึงกัน้ เขตคนั กันดังนี.้ ดูกอนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครัง้ นนั้ แล สตั วท ้ังหลายจงึ พากนั แบง ขาวสาลีและกั้นเขตคันกัน้ ข้นึ . [๖๒] ดูกอ นวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งน้นั แล สัตวบางตนมีความโลเล รักษาสวนของตนไว ถอื เอาสว นอืน่ ท่ีเขาไมไ ดใหบริโภค. สตั วเ หลา อ่นื ไดจ บั สัตวนั้นได ครนั้ จับไดแ ลวจงึ กลาววาสัตวผูเจริญ ทานทํากรรมชั่วที่รกั ษาสวนของตนไวถือเอาสว นอืน่ ที่เขาไมไ ดใ หบรโิ ภค สตั วผ ูเจรญิ ทา นอยา ไดท ํากรรมช่วั ชา อยา งน้อี กีดงั น้.ี สัตวน น้ั ก็รับคาํ ของสตั วเหลานัน้ วา เราจะไมทาํ อยางน้อี กีผูเจรญิ . ดกู อ นวาเสฏฐะและภารทวาชะ แมใ นคร้งั ท่ี ๒ สตั วนัน้ ฯลฯดูกอนนวาเสฏฐะและภารทวาชะ แมในครั้งท่ีสามสตั วน้ันก็รับอยางน้ันและสตั วนัน้ ก็ยงั รกั ษาสว นของตน แลว ถอื เอาสว นอ่ืนทเี่ ขาไมไ ดใหบรโิ ภค. สตั วท ง้ั หลายไดพากนั จบั สตั วนั้นแลว คร้ันจบั แลวกลา วคํานี้วา สัตวผ ูเจรญิ ทานทาํ กรรมชัว่ ชา ทรี่ ักษาสว นของตนแลว ถอื เอาสว นอืน่ ทเี่ ขาไมไดใ หกลนื กนิ สัตวผูเ จรญิ ทานอยาไดทําอยางนอ้ี ีกดงั น้ี. สตั วเหลา อืน่ เอามอื ทุบ เอากอ นดินขวาง เอาทอ นไมต.ีดูกอนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ในเพราะเรือ่ งนั้นเปนสําคัญแล อทนิ -นาทานจึงปรากฏ การครหาจึงปรากฏ มุสาวาทปรากฏ การจบั ทอ นไมจึงปรากฏ. ครั้งนนั้ แล สัตวป ระเสรฐิ ทง้ั หลายจึงไดประชมุ พรอมกนั

พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 160ครัน้ แลว ก็ทอดถอนใจวา ผเู จรญิ ธรรมอนั ลามกเลวทรามปรากฏในหมูส ัตวได ก็อทนิ นาทานจักปรากฏ การครหาจกั ปรากฏ มุสาวาทจักปรากฏ การจับทอนไมก็จกั ปรากฏ อยา กระนัน้ เลย เราควรนับถอืสัตวผูห นึง่ ซ่ึงจะวากลาวผทู ่ีควรวากลา วได ตเิ ตียนผทู ่คี วรตเิ ตยี นไดขบั ไลผูท ี่ควรขบั ไลไ ด สว นพวกเราจกั ใหสวนแหง ขา วสาลแี กผ ูน้ันดังน.ี้ ดกู อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งน้นั แล สตั วเหลานนั้ จงึเขาไปหาสตั วทีม่ รี ปู งามกวา นา ดกู วา นาเลือ่ มใสกวา มศี กั ด์ิใหญก วาแลวไดกลา วคาํ น้ันวา มาเถิดสัตวผ ูเจริญ ทา นจงวากลา วผทู ่คี วรวากลา วไดโ ดยชอบ จงตเิ ตียนผูท ี่ควรตเิ ตยี นได จงขับไลผทู คี่ วรขบั ไลได สวนพวกเราจักใหส ว นแหง ขาวสาลแี กทา นดงั นี.้ สตั วน น้ั ไดรับคําของสตั วเหลา นั้นวา อยา งน้นั ผูเจรญิ ดังน้ี แลวไดวา กลาวผูท่ีควรวา กลาวไดโ ดยชอบ ติเตียนผูที่ควรติเตียนได ขบั ไลผูที่ควรขับไลได. สวนสัตวเหลานนั้ กไ็ ดใ หส วนแหงขาวสาลีแกสตั วนน้ั .วา ดวยตนเหตเุ กดิ อกั ขระวา มหาสมบตั ิ กษัตริย ราชา [๖๓] ดูกอ นวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะชนผเู ปนหวั หนาอันมหาชนสมมติแลวอักขระวา มหาสมมตจิ ึงไดเ กิดขน้ึ เปนครัง้ แรกดกู อ นวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะผเู ปนหวั หนา เปน ใหญแหงเขตฉะนน้ั อกั ขระวากษตั รยิ  กษัตรยิ  จงึ อุบัติขึ้นเปน คาํ ที่ ๒. ดกู อ นวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะเหตุที่ผูเปนใหญย อ มยงั ชนเหลาอ่ืนใหยินดโี ดยชอบธรรม ฉะนน้ั อกั ขระวา ราชา ราชา ดงั นี้ จึงบงั เกิดข้ึนเปนคาํ ที่ ๓. ดกู อ นวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะเหตดุ ังกลาวมาน้ีแล การับเกดิ ข้นึ ของหมกู ษัตรยิ จึงเกิดมีขนึ้ มาดว ยอักขระทเี่ ขา ใจกันวาเลิศเปนของเกา . เร่ืองของสตั วเ หลา นัน้ จะเหมอื นกัน และไม

พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 161เหมือนกนั กบั สตั วอ นื่ นั้นกด็ วยธรรม หาใชด วยอธรรมไม. ดูกอนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ธรรมเทานัน้ ประเสริฐทสี่ ดุ ในหมชู น ทง้ัในทิฏฐธรรมและอภิสัมปรายภพ. [๖๔] คร้ังนัน้ แล สตั วบ างจาํ พวกเหลานั้นไดมคี วามคดิอยา งนว้ี า ผูเจริญ การถอื เอาส่งิ ของที่เขาไมไดใ หจ กั ปรากฏ การครหาจักปรากฏ มสุ าวาทจักปรากฏ การถอื เอาทอนไมจกั ปรากฏ การขับไลจ ักปรากฏในเพราะบาปธรรมใด บาปธรรมเหลา นน้ั ไดป รากฏในหมูสตั วท้ังหลาย อยา กระนน้ั เลย พวกเราควรลอยอกุศลธรรมอันลามกทง้ิ เสียเถิดดงั นี้. สตั วเ หลา น้นั จงึ ไดพ ากันลอยอกศุ ลธรรมอนั ลามกนน้ั ทิง้ ไป ดกู อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะสัตวท ง้ัหลายพากนั ลอยอกุศลธรรมทงิ้ ไป ฉะน้นั อักขระวา พราหมณดังน้ี จงึ บงั เกิดขน้ึ คร้ังแรก. พราหมณเหลา นนั้ จึงสรางกระทอ มมุงดวยใบไมไวใ นราวปา แลว เพงอยูในกระทอ มที่มงุ ดวยใบไมน ัน้ . พวกพราหมณเ หลา นั้นไมม ีการหงุ ตม ไมม กี ารตาํ ขา ว ในเวลาเย็นในเวลาเชา พวกเขากพ็ ากนั เทยี่ วไปยงั หมูบานตําบลและเมอื งแสวงหาอาหาร เพอ่ื บริโภคในเวลาเยน็ และในเวลาเชา . พวกเขาไดอาหารแลวกเ็ พงอยูในกุฏิใบไมในราวปานนั้ อีก. หมูมนษุ ยพ บเขาเขา ก็กลาวอยางนี้วา ผูเ จรญิ สัตวเ หลา นีส้ รา งกระทอ มมงุ ดว ยใบไมใ นราวปาแลวเพง อยใู นกระทอมซงึ่ มงุ ดว ยใบไมน ั้น พวกเขาไมม กี ารหุงตม ไมมกี ารตาํ ขาวในเวลาเยน็ ในเวลาเชา พวกเขาพากันเทย่ี วไปยังหมบู านตําบลและเมืองแสวงหาอาหาร เพ่ือบริโภคในเวลาเยน็ ในเวลาเชา. เขาไดอ าหารแลว มาเพง อยใู นกุฏทิ ี่มุงดวยใบไมใ นราวปาอกี . ดูกอ นวาเสฏฐะและภารทวาชะ อกั ขระวา ฌายกิ า ฌายกิ า ดงั นี้

พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 162จึงบังเกิดขึน้ เปนคาํ ที่สอง ดกู อ นวาเสฏฐะและภารทวาชะ บรรดาสัตวเหลานนั้ บางพวกเมอ่ื ไมไ ดสาํ เร็จฌานในกระทอ มที่มงุ ดวยใบไมในราวปา จึงเทย่ี วไปรอบหมบู า นรอบนิคม ทําคมั ภีร มาอยู. มนษุ ยท้ังหลายเห็นเขาเขา จึงกลาวอยางนี้ ผเู จริญ สตั วเ หลา น้แี ลไมไ ดบรรลฌุ านในกฏุ ิทมี่ ุงดว ยใบไมในราวปา จงึ เทีย่ วไปรอบบานรอบนิคม ทาํ คมั ภรี ม าอย.ู ดูกอนวาเสฏฐะและภารทวาชะ บัดนี้ชนเหลาน้ีไมเพงอยู ชนเหลานี้ไมเ พงอยูในบดั นฉี้ ะนน้ั อักขระวา อชฺฌายกิ าอชฌฺ ายกิ า ดงั น้จี ึงบังเกิดข้ึนเปน คําที่ ๓. ดกู อ นวาเสฏฐะและภารทวาชะกค็ ํานั้น โดยสมัยน้นั สมมตกิ นั วาเปน คาํ เลว แตในสมัยน้ี คํานัน้สมมตกิ ันวา ประเสรฐิ . ดกู อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะการพรรณนาดงั วามานี้ การบงั เกดิ ขน้ึ ของหมูพราหมณนน้ั โดยอกั ขระท่ีเขา ใจกนั วา เลศิ เปน ของเกา จึงไดม ี เรอื่ งของสตั วท ัง้ หลายจะเหมอื นหรือไมเ หมอื นกนั โดยธรรมเทา นน้ั หาใชโ ดยอธรรมไม. ดูกอนวาเสฏฐและภารทวาชะ ก็ ธรรมเทา นนั้ ประเสริฐท่ีสุดในหมชู นทั้งในทิฏฐ-ธรรมและอภสิ มั ปรายภพ วา ดวยการเกิดขึ้นแหง แพศย [๖๕] ดกู อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ บรรดาสัตวน ้นั บางพวก ยึดมน่ั เมถุนธรรมแยกประกอบการงาน. ดกู อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ สตั วเหลานัน้ ยึดมน่ั เมถุนธรรมแลว แยกประกอบการงาน ฉะน้ัน อักขระวา เวสสฺ า เวสสฺ า ดงั น้ีจงึ บังเกิดขึน้ . ดูกอ นวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะเหตดุ งั กลาวมาน้ี การบังเกิดของพวกแพศยจ ึงมไี ดอยางนี้. ทา นยอคาํ ไวแลว . ดูกอนวาเสฏฐะและภาร-ทวาชะ เพราะเหตดุ ังกลา วนีแ้ ล การบังเกิดขน้ึ ของหมศู ทู รนนั้ จงึ มี

พระสุตตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 163ไดด ว ยอกั ขระทเี่ ขา ใจกันวา เลิศเปน ของเกา เร่อื งของสตั วเหลาน้นั จะเหมือนกันหรอื ไมเหมือนกับสตั วอ ่ืน ก็โดยธรรมเทา นั้น หาใชโ ดยอธรรมไม. ดูกอ นวาเสฏฐะและภารัทวาชะ ธรรมเทา นน้ั ประเสริฐท่สี ุดในหมชู นท้งั ในทฏิ ฐธรรมและอภสิ ัมปรายภพ. [๖๖] ดกู อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ มสี มัยท่ีกษัตรยิ ติเตียนธรรมของตน จงึ ออกจากเรอื นบวชดว ยคิดวา เราจะเปน สมณะ.ดกู อนวาเสฏฐะและภาทรวาชะ มีสมัยท่ีพราหมณ ฯลฯ แพศย ฯลฯศูทร ติเตยี นธรรมของตนจึงออกจากเรอื นบวชเปนบรรพชติ ดวยคดิวา เราจกั เปนสมณะดงั น.้ี ดูกอนวาเสฏฐะสละภารทวาชะ การบงั เกิดขึ้นแหง หมูสมณะจึงไดมีข้นึ ดว ยหมูทง้ั ๔ เหลาน้ี เรอื่ งของสัตวเ หลาน้ันจะเหมือนหรอื ไมเ หมอื นกับสัตวเหลา อนื่ กโ็ ดยธรรมเทา น้ัน หาใชโดยอธรรมไม. ดูกอ นวาเสฏฐะและภารทวาชะ ธรรมเทา น้ันประเสรฐิทส่ี ุดในหมูชนทั้งในทฏิ ฐธรรมและอภสิ มั ปรายภพ. [๖๗] ดูกอนวาเสฏฐะและภารทวาชะ กษตั ริยกด็ ี พราหมณกด็ ี แพศยกด็ ี ศทู รกด็ ี ประพฤตกิ ายทจุ จริต วจที ุจจรติ มโนทจุ จรติเปนมิจฉาทฏิ ฐิ ยดึ ถอื กรรมดว ยมิจฉาทิฏฐิ เพราะการยึดถือกรรมดวยอํานาจมจิ ฉาทฏิ ฐิเปน เหตุ เบือ้ งหนา แตตาย เพราะกายแตกยอ มเชา ถงึ อบาย ทคุ คติ วนิ ิบาต นรก. [๖๘] ดกู อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ กษัตรยิ ก ็ดี พราหมณกด็ ี แพศยก ด็ ี ศทู รกด็ ี ประพฤติกายสจุ ริต วจีสจุ ริต มโนสจุ ริตเปน สัมมาทฏิ ฐิ สมาทานกรรมดวยอํานาจสัมมาทิฏฐิ เพราะการยึดถือกรรมดว ยอํานาจสมั มาทิฏฐเิ ปน เหตุ เบอื้ งหนาแตต าย เพราะกายแตกยอมเขาถงึ สคุ ติ โลกสวรรค.

พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 164 [๖๙] ดกู อ นวาเสฎฐะและภารทวาชะ กษัตริยก ็ดี พราหมณก็ดีแพศยก ็ดี ศูทรกด็ ี มปี กติทํากรรมทั้งสองอยา ง ดวยกาย ดว ยวาจา ดวยใจมีความเห็นเจอื ปนกนั ยึดถือกรรมดวยอํานาจความเหน็ อันเจือปนกันเพราะการยึดถือกรรมดวยอาํ นาจความเหน็ อันเจือปนกนั เปน เหตุ เบอ้ื งหนา แตต าย เพราะกายแตก ยอมไดเ สวยสุขบา ง ทุกขบ าง. [๗๐] ดกู อ นวาเสฎฐะและภารทวาชะ กษัตรยิ ก ด็ ี ฯลฯ พราหมณกด็ ี ฯลฯ แพศยก็ดี ฯลฯ ศทู รก็ดี สํารวมทางกาย สํารวมทางวาจาสาํ รวมทางใจ อาศยั การเจริญโพธปิ กขิยธรรมทั้ง ๗ แลว ยอ มปรนิ พิ พานในโลกนแี้ ท. [๗๑] ดกู อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ บรรดาวรรณะท้ัง ๔ เหลา น้ีวรรณะใดเปน ภิกษุผอู รหนั ต ส้ินอาสวะแลว อยจู บแลว มกี รณยี ะอนั กระทําแลว ปลงภาระไดแลว ตามบรรลปุ ระโยชนของตนแลว มีสงั โยชนเครื่องผกู สัตวไวในภพสิ้นแลว นับแลว เพราะรโู ดยชอบ วรรณะน้นัปรากฏวาเปน ผูเ ลศกวา วรรณะเหลา น้นั โดยธรรม หาใชโ ดยอธรรมไม.ดูกอ นวาเสฏฐะและภารทวาชะ ธรรมเทานนั้ ประเสริฐทีส่ ดุ ในหมชู นทัง้ ในทฏิ ฐธรรมและอภิสัมปรายภพ. ดกู อ นวาเสฏฐะแลภารทวาชะ แมส นัง-กุมารพรหมกไ็ ดกลา วคาถาไววา [๗๒] กษตั ริยเปนผปู ระเสริฐท่ีสุด ในหมชู นผูมคี วาม รังเกียจดวยโคตร ทานผูถึงพรอ มดว ยวิชชาและ จรณะ เปนผูประเสรฐิ ท่สี ดุ ในหมูเทวดาและ มนุษยดังนี้. ดกู อ นวาเสฎฐะและภารทวาชะ ก็คาถาน้สี นงั กุมารพรหมขบั ไวถกู ตองไมผดิ ภาษติ ไวถ ูก ไมผ ดิ ประกอบดว ยประโยชน มใิ ชไ มประกอบ

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 165ดว ยประโยชน เรารแู ลว. ดูกอนวาเสฏฐะและภารทวาชะ แมเ ราเองก็กลาวอยางนว้ี า กษัตรยิ เ ปนผปู ระเสรฐิ ที่สดุ ในหมูชนผูมคี วาม รงั เกียจดวยโคตร ทานผถู งึ พรอมดว ยวชิ ชาและ จรณะ เปน ผูประเสรฐิ ท่สี ดุ ในเทวดาและมนษุ ย ทง้ั หลายดังน.้ี พระผูมพี ระภาคไดต รสั พระดํารัสน้แี ลว. วาเสฏฐะและภารทวาชะก็ยินดีชนื่ ชม ภาษิตของพระผูมีพระภาค ฉะน้แี ล. จบอัคคญั ญสูตร ท่ี ๔.

พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 166 อรรถกถาอัคคญั ญสูตร อัคคัญญสตู ร มคี าํ ขน้ึ ตนวา เอวมเฺ ม สตุ  ดังน.้ี ในอัคคัญญสูตรนัน้ มกี ารพรรณนาบทที่ยังมีเนื้อความไมช ดัดงั ตอไปน.้ี ในคําวา ปพุ พฺ าราเม มิคารมาตุปาสาเท น้ี มีอนุปุพพีกถาดงั ตอ ไปนี้. ไดย นิ วา ในอดีตกาล ในทส่ี ุดแสนกัลป อุบาสิกาคนหน่ึง นิมนตพรผมู พี ระภาคเจาพระนามวาปทมุ ตุ ตระ แลว ถวายทานแกภ ิกษสุ งฆแ สนหนึ่งมพี ระพทุ ธเจาเปนประธานแลว หมอบลงแทบบาทมลู ของพระผูม พี ระ-ภาคเจาแลวไดต ง้ั ความปรารถนาวา ในอนาคตกาล ดฉิ ันจงไดเปนอปุ ฏฐา-ยิกาผเู ลิศของพระพุทธเจา ผูเชนกบั พระองค. อบุ าสกิ านน้ั ทองเท่ียวไปในเทวโลกและมนุษยโลกตลอดแสนกัลป แลว ไดถอื ปฏิสนธิในครรภของนางสมุ นาเทวีในเรอื นของธนญชัยเศรษฐี ผเู ปน บุตรของเมณฑกะเศรษฐีในภทั ทิยนครในกาลของพระผูมพี ระภาคของเราท้งั หลาย. ในเวลาทีน่ างเกิดแลวหมูญาติไดต ้งั ชื่อใหน างวาวิสาขา. นางวิสาขานน้ั เมื่อใดท่ีพระผมู ีพระภาคไดเ สด็จไปยังเมอื งภทั ทยิ นคร เม่ือนน้ั นางไปทําการตอนรับพระ-ผมู พี ระภาคพรอมดวยเด็กหญงิ อีก ๕๐๐ คน ในการไดเ หน็ พระผมู ีพระภาคเพียงครง้ั แรกเทานั้น นางก็ไดเ ปนพระโสดาบนั ในกาลตอมา นางไดไปสูเรือนของปุณณวัฒนกมุ ารบุตรของมคิ ารเศรษฐใี นเมืองสาวตั ถี. มคิ าร-เศรษฐตี ้ังนางไวใ นตําแหนง มารดาในเรือนนัน้ . ฉะนน้ั เขาจงึ เรยี กนางวามิคารมารดา. ก็เม่อื นางไปสูตระกลู สามี บิดาใหนายชางทาํ เครื่องประดบัชอ่ื วามหาลดาประสาธน. เพชร ๓ ทะนาน แกวมุกดา ๑๑ ทะนานแกว ประพาฬ ๒๒ ทะนาน แกว มณี ๓๓ ทะนาน ไดถ งึ การประกอบ

พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 167เขา ในเคร่ืองประดบั นน้ั . เครื่องประดบั น้นั ไดสําเร็จลงดวยรตั นะท้งั หลายเหลา น้ีดงั กลาวมาน้แี ละดว ยรัตนะ ๗ สี เหลาอ่ืนอกี . เครอ่ื งประดับนนั้สวมบนศรี ษะยอมยอ ยคลมุ จนจดหลังเทา . หญงิ ทีท่ รงพลงั ชางสาร ๕ เชื่อกไดเทา นั้น จึงจะสามารถทรงเครื่องประดับนั้นไวไ ด. ในกาลตอมา นางวิสาขาน้ันไดเปนอปุ ฏฐายกิ าผเู ลิศของพระ-ทสพล นางไดส ละเครื่องประดบั นัน้ แลว ใหส รา งวิหารถวายพระผมู ีพระภาคดวยทรพั ยเกา โกฏิแลว ใหส รา งปราสาทบนภูมิภาคประมาณกรสีหนึ่ง. ปราสาทนัน้ ประดับดวยหอ งพันหอ งอยา งนค้ี อื ทพ่ี ืน้ ชน้ั บนมี ๕๐๐หอ ง ทพี่ ้นื ชั้นลา งก็มี ๕๐๐ หอ ง. นางคดิ วา ปราสาทลวนอยางเดยี วยอ มไมง ามดังนี้ จงึ ใหสรางเรือน ๒ ชน้ั ๕๐๐ หลัง ปราสาทเลก็ ๕๐๐หลัง ศาลายาว ๕๐๐ หลงั แวดลอ มปราสาทนน้ั . การฉลองวิหารไดเสร็จสนิ้ ลงโดยใชเ วลา ๔ เดอื น. ข้นึ ชื่อวา ภารบริจาคทรัพยไวในพระ-พทุ ธศาสนาของหญิงอ่นื เหมือนการบรจิ าคของนางวสิ าขาผดู าํ รงอยูในภาวะความเปนมาตุคาม หามไี ม. การบรจิ าคทรัพยไวในพระพุทธศาสนาของชายอืน่ เหมือนการบริจาคของอนาถปณ ฑิกเศรษฐี ผูด ํารงอยใู นความเปน บรุ ุษกห็ ามไี ม. เพราะอนาถปณฑกิ เศรษฐนี ้ันสละทรัพย ๕๔โกฎิ แลวใหสรางมหาวหิ ารช่ือวา เชตวนั ในที่เชนกับมหาวหิ ารของเมืองอนรุ าธบรุ ีในดานทศิ ทักษณิ ของเมืองสาวตั ถี. นางวสิ าขาใหสรางวหิ ารชื่อวาบพุ พารามในท่ีเชน กบั วหิ ารของนางอุตตมเทวี ในดานทศิ ปราจนี แหงเมอื งสาวัตถ.ี พระผูม พี ระภาคเจาทรงอาศยั ประทบั อยู ในเมืองสาวตั ถีอยปู ระจาํในวหิ ารทั้ง ๒ น้ี ดวยความวิเคราะหตระกูลทั้ง ๒ เหลา น.้ี ภายในพรรษาหนง่ึ ประทบั อยทู ่พี ระเชตวันวิหาร. ภายในพรรษาหนึ่ง ประทับอยใู นปุพพารามวหิ าร. กใ็ นสมัยนั้น พระผูม ีพระภาคเจา ประทบั อยูที่

พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 168ปพุ พาราม. ดวยเหตนุ ัน้ ทานจงึ กลา ววา ปพุ พาราเม มิคารมาตปุ าสาเทดังนี้. บทวา วาเสฏ ภารทวฺ าชา ไดแก วาเสฏฐสามเณรและภารท-วาชสามเณร. ดวยสองบทวา ภิกขฺ สู ุปรวิ สนตฺ ิ ความวา สามเณรท้งั สองอยปู ริวาสอยา งเดียรถยี  หาอยูปรวิ าสเพอ่ื พนอาบัตไิ ม. แตสามเณรเหลาน้ัน เพราะมอี ายุยังไมบ ริบูรณ จึงปรารถนาความเปนภกิ ษอุ ยู.เพราะฉะน้นั พระผมู ีพระภาคเจา จึงตรัสวา ภกิ ขฺ ภุ าว อากงขฺ มานา.แทจ รงิ สามเณรแมทง้ั สองเหลานน้ั เกิดในตระกูลพราหมณม หาศาลชือ่อทุ จิ จะ มที รพั ยสมบัติฝา ยละ ๔๐ โกฏิ บรรลถุ ึงฝง แหงไตรเพท ไดฟงวาเสฏฐสูตรในมชั ฌมิ มนิกายไดถึงสรณะ ฟง เตวิชชสูตรแลวไดบ รรพชาในเวลานี้ปรารถนาความเปนภกิ ษุจงึ อยปู รวิ าส. บทวา อพฺโภกาเส จงกฺ มติความวา พระผมู ีพระภาคทรงความดวยพระรัศมีอนั มวี รรณะ ๖ ซึง่ แผซานออกไปในกลางหาว เปรียบเสมอื นทองคําอนั มีคา สงู ๑๑ ศอกซง่ึ บุคคลดึงมาดว ยเชือกยนตฉะนนั้ เสด็จจงกรมไป ๆ มา ๆ อยทู ่เี งาของปราสาทในสวนทศิ บรู พาของปราสาท ซ่งึ ตดิ ตอ กันกบั ทางดานทิศอุดรและทศิ ทักษณิ .บทวา อนุจงฺกมสึ ุ ความวา สามเณรทง้ั สอง ประคองอญั ชลนี อมสรรี ะลงแลว จงกรมตามพระผูมพี ระภาค. บทวา วาเสฏ อามนฺเตสิ ความวา วาเสฏฐะและภารทวาชะสามเณรเหลา นั้น วาเสฏฐะสามเณรฉลาดกวา ยอ มรูถงึ สิง่ ทีค่ วรยดึ ถือเอาส่งิ ที่ควรสละ ฉะนัน้ พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสเรียกวาเสฏฐสามเณรนัน้ มา. บทวา ตุมฺเห ขฺวตถฺ ตัดบทเปน ตุมเฺ ห โข อตฺถ. บทวาพราฺ หมฺ ณชจฺจา ความวาเปนพราหมณโ ดยเชอื้ ชาติ. บทวา พฺราหมฺ ณกุลีนาความวา มีตระกูล คือสมบรู ณดวยตระกลู ในหมพู ราหมณ. บทวา พฺราหมฺ ณ-กุลา ความวา จากตระกลู พราหมณ อธิบายวา ละตระกลู พราหมณ

พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 169ซึง่ สมบรู ณดวยโภคะเปนตน . บทวา น อกฺโกสนฺติ ความวา ยอ มไมด าดว ยอกั โกสวัตถุ ๑๐. บทวา น ปริภาสนฺติ ความวา ยอมไมบริภาษ ดวยการกลา วถึงความเสอ่ื มชีวิตมีวิธีตาง ๆ. พระผมู พี ระภาคเจาทรงทราบวาพราหมณทัง้ หลาย ยอมดา ยอ มบริภาษสามเณรเหลา น้ดี ังนแ้ี ทจงึ ไดตรัสถาม ดว ยประการฉะน้.ี ถามวา เพราะเหตไุ ร พระผมู ีพระภาคเจาจึงตรัสถาม. ตอบวา พระองคท รงดําริวา สามเณรเหลานี้ เราไมถามจะไมพดู ขึ้นกอ น เมือ่ เราไมกลาว ถอ ยคํากจ็ ะไมเ กิดข้นึ ดงั น้ี ฉะนนั้ พระ-องคจึงตรัสถามเพอ่ื ใหถ อ ยคาํ ตง้ั ขนึ้ . บทวา ตคฺฆ เปน นบิ าตใชในคําอยางเดยี วกัน. อธบิ ายวาขา แตพระองคผ เู จริญ พราหมณท้งั หลาย ยอ มดา ยอมบริภาษ ขาพระ-องคทงั้ สองโดยสวนเดียวแท. บทวา อตฺตรปู าย ความวา ตามสมควรแกต น. บทวา ปรปิ ุณฺณาย ความวา ท่ียกบทสละพยญั ชนะมากลาวบริบูรณตามความชอบใจของตน. บทวา โน อปรปิ ณุ ฺณาย ความวาที่ไมหยดุ อยใู นระหวางกลา วติดตอ ไปตลอด. ถามวา กเ็ พราะเหตุไรพวกพราหมณจึงดา สามเณรเหลาน้ี. ตอบวา เพราะไมต ัง้ อยู (ในฐานะของตน). สามเณรเหลา น้ีเปนบุตรของพราหมณผูเลศิ บรรลุถึงฝง ไตรเพทมชี อ่ื เสียงปรากฏ ไดยกยองในระหวา งพราหมณท ง้ั หลายในชมพูทวปี .เพราะขอทสี่ ามเณรทง้ั สองนั้นบวช บตุ รของพราหมณอ่นื เปน อนั มากกไ็ ดบวชตาม. ลําดับน้นั พวกพราหมณทง้ั หลายคิดวา เราทง้ั หลายหมดทพี่ ึ่งพาอาศัยดังน้ี เพราะขอท่ีตนเองไมม ที ีพ่ งึ่ น้เี อง พบสามเณรเหลา น้ันที่ประตูบานกด็ ี ภายในบา นกด็ จี งึ กลาววา พวกทา นทาํ ลายลทั ธิของพราหมณพวกทานเปนผูตดิ ในรส จงึ ทองเท่ยี วตามหลังสมณะโลน ดงั นเี้ ปน ตน และกลา วคาํ เปน ตนวา พราหมณเ ทานัน้ มีวรรณะประเสริฐสุด ดงั น้ี อันมาใน

พระสุตตันตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 170พระบาลีแลวจงึ ดา. ถึงแมเมอ่ื พราหมณเหลานน้ั จะพากนั ดา สามเณรทัง้ หลายกไ็ มไดท าํ ความโกรธหรือความอาฆาต เพราะขอ ท่ีถูกพระผมู ีพระภาคเจา ตรสั ถามจึงกราบทลู วา ขา แตพระองคผูเจรญิ พวกพราหมณท้ังหลายยอมพากันดา พากนั บริภาษพวกขาพระองคด ังนี.้ ลําดับนนั้ พระ-ผมู ีพระภาคเจาเม่อื จะตรสั ถามอาการคอื การดา จึงตรสั ถามวา ก็เธอกลา ววาอยา งไรดงั นี.้ สามเณรเหลาน้ันเมือ่ จะกราบทลู อาการคอื การดา จึงกราบทลู วา พฺราหฺมณา ภนเฺ ต ดังนี้เปนตน. บรรดาบทเหลานน้ั บทวา เสฎโ  วณฺโณ ดังนี้ ความวาพราหมณท ้งั หลายยอมแสดงวา พราหมณเ ทานนั้ เปน วรรณะประเสรฐิ ท่ีสุดดังนี้ ในฐานะเปนท่ีปรากฏแหง ชาตแิ ละโคตรเปน ตน. บทวา หีนา อเฺ วณณฺ า ความวา พราหมณท ั้งหลายยอมกลา ววา วรรณะสามนอกน้ีเลวทรามตา่ํ ชาดงั นี.้ บทวา สกุ โฺ ก แปลวา ขาว. บทวา กณโฺ ห แปลวาดาํ . บทวา สุชฺฌนตฺ ิ ความวา พราหมณท ัง้ หลายยอ มบริสุทธิ์ ในฐานะมีชาติและโคตรเปนตน ปรากฏ. บทวา พรฺ หมฺ ุโน ปุตตฺ า ความวาพราหมณท งั้ หลายเปนบุตรของทาวมหาพรหม. บทวา โอรสา มุขโต ชาตาความวาอยใู นอก ออกจากปาก (ของทาวมหาพรหม). อีกอยา งหน่ึงช่อื วาเปนโอรส เพราะอนั ทา วมหาพรหมกระทาํ ไวใ นอกแลว ใหเ จริญแลว .บทวา พฺรหมฺ ชา ความวา บงั เกดิ แลวจากทา วมหาพรหม. บทวาพรฺ หฺมนมิ มฺ ติ า ความรา อนั ทาวมหาพรหมนิรมิตขึ้น. บทวา พฺรหมฺ -ทายาทา ความวา เปน ทายาทของพระพรหม. บทวา หีนมตถฺ วณณฺ อชฌฺ ปู คตา ความวา พวกทา นไดเ ปนผูเขาถงึ วรรณะทีเ่ ลว. บทวามณุ ฺฑเก สมณเก ความวา พราหมณทง้ั หลายนินทา รังเกียจ จงึ กลา ว.หากลา วหมายเอาความเปน คนโลนและความเปนสมณะไม. บทวา อพิ ฺเภ

พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 171ไดแกค หบดที ง้ั หลาย. บทวา กณเฺ ห คือดํา. บทวา พนธฺ ู แปลวาเปน เผาพันธุ ของมารคือ เปนฝก ฝายของมาร. บทวา ปาทาปจฺเจ ความวา ผูเปน เหลา กอแหงพระบาทของทา วมหาพรหม. อธิบายวา เกดิ จากพระบาท. คําวา โว ในคําวา ตคฺฆ โว วาเสฏ พฺราหฺมณา โปราณอสรนตฺ า เอวมาห สุ น้ี เปนเพียงนบิ าต อีกอยางหนึง่ เปน ฉฏั ฐวี ภิ ตั ิ.อธบิ ายวา พราหมณท ั้งหลายระลกึ เรื่องเกา ของทานไมได จงึ กลา วอยา งนนั้ .บทวา โปราณ ความวา วงศแหงความประพฤติ ผอู บุ ตั ิขึน้ ในโลกที่รูกันวา เลศิ เปนของเกา. บทวา อสรนฺตา แปลวารู ไมไ ด. มีคาํ อธบิ ายท่พี ระผูม ีพระภาคเจาตรสั ไวว า วาเสฏฐะ พราหมณท งั้ หลาย ระลกึ ไมไดรไู มไ ดซ ่งึ การอบุ ตั ิขน้ึ ในโลกอนั เปนของเกาของทา น จงึ พากันกลาวอยา งน.ี้ คาํ วา ทิสฺสนตฺ ิ โข ปน ดังนี้เปนตน พระผมู ีพระภาคตรัสไวเพ่อื ประโยชนแ กก ารทาํ ลายความเหน็ ของพราหมณเหลานัน้ . บรรดาบทเหลา น้ัน บทวา พฺราหมฺ ณโิ ยความวา นางพราหมณีท้งั หลายทพี่ วกพราหมณน าํ มาสตู ระกลู ดว ยอาํ นาจการอาวาหมงคลและววิ าหมงคล เพือ่ประโยชนแ กการไดบุตร ก็ปรากฏอย.ู ก็โดยสมัยตอ มา นางพราหมณทงั้หลายเหลา นน้ั แลกเ็ ปน หญิงมรี ะดู. อธิบายวา มีระดูเกิดขึ้น. บทวา คพภฺ นิ โิ ยแปลวา มคี รรภ. บทวา วชิ ายมานา แปลวาคลอดบตุ รและธดิ าอย.ูบทวา ปายมานา ความวา ใหเ ด็กทารกดม่ื นํา้ นมอยู. บทวาโยนิชาว สมานา ความวา เปนผเู กิดแลวโดยทางชอ งคลอดของนางพราหมณีท้งั หลายแท. บทวา เอวมาห สุ ความวา ยอ มกลาวอยา งนี.้ถามวา กลาววา อยา งไร. ตอบวา กลา ววาพราหมณเทานน้ั เปนวรรณะประเสรฐิ ท่ีสุด ฯลฯ เปน ทายาทของพระพรหม. ถามวา ก็ถา คําพูดของ

พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 172พราหมณเหลานัน้ พงึ เปนคําจริงแลว ไซร หองของนางพราหมณพี งึ เปนอกของทาวมหาพรหม ชอ งคลอดของนางพราหมณีก็พงึ เปนพระโอษฐข องทา วมหาพรหมละซ.ิ ตอบวา ก็ขอ น้นั ไมพ ึงเหน็ อยางน้นั . ดว ยเหตุนัน้พระผูมีพระภาคเจาจงึ ตรัสพระดํารสั เปนตน วา เต จ พรฺ หมมฺ านฺเจวอพภฺ าจกิ ฺขนฺติ ดงั น้ี. พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสมุขเฉทกวาทะนี้ดว ยประสงควา ขอพราหมณท ัง้ หลายอยา ไดเ พอื่ กลา ววา พวกเราอยูในพระอรุ ะออกมาจากพระโอษฐข องทา วมหาพรหมดังน้ี ดวยพระดาํ รัสเพียงเทาน้ี เพื่อจะทรงแสดงวา วรรณะแมท้งั ส่ี สมาทานประพฤตกิ ุศลธรรมแท จงึ บรสิ ทุ ธิไ์ ดดงั นอ้ี กี จึงตรัสวา จตตฺ าโรเม วาเสฏ วณฺณา เปน ตน. บทวาอกสุ ลส ขาตา ความวา นบั วาเปนอกุศลดงั นี้ หรือเปนสว นแหง อกศุ ล.ในทุก ๆ บท กน็ ัยน้ี. บทวา น อลมริยา ความวา ไมส ามารถในความเปน พระอริยะได. บทวา กณฺหา แปลวา มปี กตดิ ํา. บทวา กณฺหวิปากาความวา วิบาก ของธรรมเหลา นัน้ ดํา อธิบายวา เปนทกุ ข. บทวาขตฺตเฺ ยป เต ความวา ธรรมเหลา นน้ั มีอยูแ มใ นพระมหากษัตรยิ . บทวาเอกจเฺ จ ไดแ ก เอกสมฺ ึ. ในทกุ ๆ บทกน็ ยั น้ี. บทวา สกฺกา แปลวา ขาว ดว ยภาวะทหี่ มดกิเลส. บทวาสกุ ฺกวปิ ากา ความวา แมวิบากของธรรมเหลานน้ั เปนของขาว อธบิ ายวาใหผลเปน สขุ . บทวา อุภยโพยฺกณิ ฺเณสุ ความวา รวมกันคือเจือปนกนัในชน ๒ จําพวก. ถามวา ในชน ๒ จาํ พวกเหลาไหน. ตอบวา ในธรรมฝา ยดําที่วิญูชนตเิ ตยี นพวกหนงึ่ และในธรรมฝา ยขาวทวี่ ิญชู นสรรเสรญิพวกหน่งึ . ในบทวา ยเทตฺถ พรฺ าหฺมณา เอวมาห สุ น้ีมีวินิจฉยั วาพราหมณทัง้ หลาย แมป ระพฤตใิ นธรรมทง้ั ฝายดาํ และฝา ยขาวน้นั ยอ ม

พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 173กลาวอยางน้ีวา พรฺ หมฺ โณว เสฏโ วณโณ เปน ตน. หลายบทวาต เนส วิู นาชานนฺติ ความวา ชน ผเู ปนบัณฑติ ในโลก ยอมไมยินดอี ธิบายวา ยอ มไมส รรเสรญิ . ขอ นั้น เปน เพราะเหตไุ ร. ในคาํ วา อิเม-สหฺ ิ วาเสฏา เปน ตน นี้ มคี วามสังเขปดงั น.้ี หากมีคาํ ถามวา ทา นกลาวคาํ วานานุชานนฺติ ดงั น้ีไว เพราะเหตุไร. พงึ ตอบวา เพราะบรรดา-วรรณะทง้ั ๔ เหลา นว้ี รรณะใดเปนภิกษผุ อู รหันต ฯลฯ พน แลว เพราะรูโดยชอบ วรรณะนัน้ ยอมปรากฏวาเปน เลิศกวาวรรณะทั้งหลาย พราหมณเหลา น้นั หาเปน เชนน้นั ไมเ ลย ฉะนั้นบณั ฑิตผรู ูทั้งหลาย จึงไมรับรองคําพูดของพราหมณเ หลา นั้น. พงึ ทราบวินิจฉยั ในบท อรห เปน ตนตอ ไป ท่ีชอ่ื วาอรหันต เพราะเหตุมีความท่ีกิเลสทั้งหลายอยูหา งไกล ทชี่ อ่ื วา ขณี าสพ เพราะความท่ีอาสวะทั้งหลายสน้ิ ไป. พระเสขะ ๗ จําพวก และกลั ยาณปุถุชน ชอื่ วายอมอยูประพฤตพิ รหมจรรย. กภ็ ิกษุน้ี ผมู ีธรรมเครอ่ื งอยอู ันอยูจบแลว ฉะนัน้จึงช่อื วาผอู ยูแลว. กิจทจ่ี ะพึงกระทาํ มกี ารกําหนดรใู นสจั จะทงั้ ๔ เปน ตนดว ยมรรค ๔ อนั ภิกษนุ ้ันทําแลว ฉะนนั้ ภกิ ษุนน้ั จึงช่อื วา มีกจิ ท่ีควรทาํทาํ เสร็จแลว . กิเลสภาระและขันธภาระอันภิกษนุ ้ันปลงลงแลว ฉะนั้น เธอจึงชอ่ื วาปลงภาระไดแลว . บทวา โอหิโต แปลวา ปลงลงแลว. ประโยชนอนั ดี หรอื ประโยชนอ ันเปน ของตน ฉะนัน้ จงึ ช่อื วา ประโยชนต น.ประโยชนของตนอนั ภกิ ษนุ น้ั ตามบรรลไุ ดแลว ฉะน้ัน เธอจึงชอื่ วาตามบรรลุประโยชนต นแลว. ตณั หาทานเรียกวา สังโยชนเ คร่ืองผกู สัตวไวใ นภพ. ตัณหาน้ันของภกิ ษุน้นั สิน้ แลว ฉะนนั้ เธอจึงชอื่ วามีสังโยชนเ คร่อื งผูกสตั วไ วใ นภพส้นิ แลว. บทวา สมฺมทฺ า วิมตุ โฺ ต ความวา พนแลว เพราะรโู ดยชอบคือโดยเหตโุ ดยการณ บทวา ชเนตสมึ ตดั บทเปน

พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 174ชเน เอตสมฺ ึ อธบิ ายวา ในโลกนี้ หลายบทวา ทฏิ เ  เจว ธมฺเม อภสิ ม-ฺปรายฺจ ความวา ในอัตภาพนี้ และในอตั ภาพอนั สตั วจ ะพึงถงึ ในโลกหนา. บทวา อนนตฺ รา ความวา เวนแลวจากระหวา ง. อธบิ ายวา เปนเชน เดียวกันดว ยตระกลู ของตน. บทวา อนยุ นฺตา ความวา เปน ไปในอํานาจ. บทวา นปิ จฺจการา ความวา พวกศากยะท้ังหลายทแ่ี กก วายอมแสดงการนอบนอ ม ทีห่ นมุ กวา ยอ มทาํ กิจมีการอภิวาทเปน ตน . บรรดาคาํ เหลา น้นั คาํ วา สามจี ิกมฺม ดังน้นั คอื กรรมอันสมควรมีการกระทาํวตั รตอพระเจา ปเสนทินั้นเปน ตน. บทวา นวิ ิฏ า ความวา ตงั้ ม่นั แลว คือดํารงอยูอยา งไมหวนั่ ไหว.ถามวา กศ็ รทั ธาเห็นปานน้ยี อ มมีแกใคร. ตอบวา ยอ มมีแกพระโสดาบัน.กพ็ ระโสดานน้ั มีศรัทธาตัง้ มนั่ แมเ ม่อื จะถกู เขาเอาดาบตดั ศรี ษะกย็ งั ไมกลาววาพระพทุ ธเจา ไมใชพ ระพทุ ธเจา ดงั นบ้ี าง พระธรรมไมใ ชพระธรรมดังนบ้ี า ง พระสงฆไ มเ ปนพระสงฆดังน้บี า ง. พระโสดาบันยอ มเปนผูมศี รทั ธาดํารงมั่นแท เปรยี บเสมอื นสูรอมั พัฏฐอุบาสกฉะนนั้ . นัยวา อุบาสกนัน้ ฟงพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแลว เปนพระโสดาบนั ไดก ลับไปเรอื น. ทนี่ ัน้ มารเนรมิตพระพุทธรูปอันประดับดวยลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ ยนื อยูที่ประตูเรอื นของอุบาสกนัน้แลว สง สาสนไปวา พระศาสดาเสด็จมาดงั น.้ี สรู อุบาสกคิดวา เราฟง ธรรมในสาํ นกั ของพระศาสดามาเดี๋ยวนเ้ี อง อะไรจักมอี กี หนอดงั นแี้ ลว เขาไปหาไหวดวยสําคัญวา เปน พระศาสดาแลวจึงไดย ืนอย.ู มารกลาววา อัมพฏั ฐะคําใดทีเ่ รากลา วแกทานวา รูปไมเทีย่ ง ฯลฯ วิญญาณไมเทย่ี งดงั น้ี คําน้นัเรากลา วผิดไป เพราะเรายังไมพ ิจารณาจงึ กลาวคํานั้นไป ฉะนน้ั เธอจง

พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 175ถอื เอาวา รปู เที่ยง ฯลฯ วิญญาณเท่ยี งดงั นเ้ี ถดิ . สรู อบุ าสกคิดวา ขอ ท่ีพระพุทธเจา ทั้งหลายไมพิจารณาไมทาํ การตรวจตราอยางประจกั ษแ ลว พงึตรสั อะไรไปนน้ั ไมใชฐ านะทีจ่ ะมไี ด มารนมี้ าเพ่ือมงุ ทาํ ลายเราอยา งแนนอน. ลาํ ดบั น้ัน สรู อบุ าสกจงึ กลาวกะมารนน้ั วาทา นเปน มารใชไหมดงั น้.ีมารนน้ั ไมอ าจทจ่ี ะกลาวมุสาวาทได จงึ รบั วา ใชเ ราเปนมาร ดังนี้. อบุ าสกถามวา เพราะเหตไุ ร ทา นจงึ มา. มารตอบวา เรามาเพ่อื ทาํ ศรทั ธาของทา นใหหวนั่ ไหว. อบุ าสกกลาววาดูกอนมารผใู จบาปอาํ มหิต ทานผเู ดยี วนน้ัจงหยดุ อยูกอ น พวกมารเชน ทา น รอยกด็ ี พนั กด็ ี แสนก็ดี ไมสามารถจะทําศรัทธาของเราใหหวั่นไหวไดช ่อื วาศรัทธาอันมาแลวดว ยมรรค เปนของมน่ั คงไมหว่ันไหวเหมอื นภเู ขาสิเนรซุ งึ่ ตั้งอยูบ นแผน ดนิ อนั ลวนแลว ดว ยสิลา ทานจะทาํ อะไรในการมานี้ ดงั นีแ้ ลว ปรกมือขึ้น. มารน้นั เมื่อไมสามารถจะดาํ รงอยูไ ดจ ึงหายไปในทน่ี น้ั น่ันเอง. คําวา นิวิฏ า น้ันพระผมู พี ระภาคตรัสหมายเอาสัทธาอยางนน้ั . บทวา มลู ชาตา ปติฏ ิตา ความวา ดํารงมั่นแลว ดวยมรรคน้นั อนัเปนมลู เพราะมูลรากคอื มรรคเกดิ พรอ มแลว . บทวา ทฬฺหา แปลวามน่ั คง.บทวา อส หาริยา ความวา อันใคร ๆ ไมพ ึงอาจเพอ่ื จะใหห วั่นไหวไดเ ปรียบเหมอื นเสาเข่ือนทีเ่ ขาฝง ไวอ ยา งเปน. บทวา ตสฺเสต กลลฺ  วจนายนั้นความวา คาํ น้นั ควรที่จะเรียกพระอรยิ สาวก. ทา นกลา ววา อยางไร.ทานกลา วคําเปน ตนวา เราเปนบุตรเกดิ แตอ กของพระผมู ีพระภาค ดงั น.ี้ความจรงิ พระอรยิ สาวกนั้นอาศยั พระผมู ีพระภาคจึงเกดิ ข้ึนในภูมขิ องพระอรยิ ะ ฉะนั้น จงึ ชื่อวา เปนบุตรของพระผูม ีพระภาค และชือ่ วา เปนโอรสเกิดแตพ ระโอษฐ เพราะอยใู นอกแลวดํารงอยใู นมรรคและผลดวยอาํ นาจการกลาวธรรมอันออกมาจากพระโอษฐ ช่ือวาเกิดแตธรรม เพราะ

พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 176เกดิ จากอรยิ ธรรม และชอื่ วาอนั ธรรมเนรมิตข้นึ เพราะถูกอรยิ นริ มิตขนึ้ช่อื วาธรรมทายาท เพราะควรรับมรดกคือนวโลกตุ ตรธรรม. บทวา ต กสิ ฺส เหตุ ความวา หากมีคําถามวา พระผูม พี ระภาคตรสั วา ภควโตมหฺ ิ ปุตโฺ ต ดงั นี้แลว ตรัสอีกวา ธมฺมโช ธมมฺ นมิ ฺมโิ ตดังนี้อีก คํานั้นพระองคตรัสเพราะเหตไุ ร. บดั น้ี เมอื่ จะแสดงเนื้อความของคาํ น้ันทา นจงึ กลาวคาํ เปน ตนวา ตถาคตสสฺ เหต ดงั นีเ้ ปนตน . ในบาลีประเทศนนั้ คําวา ธมมฺ กาโย อติ ปิ  ความวา เพราะเหตุไร พระตถาคตจึงไดร ับขนานนามวา ธรรมกาย. เพราะพระตถาคตทรงคิดพระพทุ ธพจนคือพระไตรปฎ กดวยพระหทยั แลว ทรงนําออกแสดงดวยพระวาจา.ดว ยเหตุนัน้ พระวรกายของพระผูมพี ระภาคจงึ จัดเปน ธรรมแทเ พราะสําเร็จดวยธรรม. พระธรรมเปน กายของพระผมู พี ระภาคนนั้ ดงั พรรณนา.มาน้ี ฉะน้ัน พระผมู พี ระภาคจึงชอื่ วาธรรมกาย. ชอ่ื วาพรหมกายเพราะมีธรรมเปนกายน่นั เอง แทจริง พระธรรมทา นเรยี กวาพรหมเพราะเปนของประเสรฐิ . บทวา ธมฺมภโู ต ไดแ กส ภาวธรรม. ช่อื วาพรหมภูตเพราะเปนผูเกิดจากพระธรรมนั่นเอง. พระผูมพี ระภาคครน้ั ทรงแสดงวาทะอันเปนเครือ่ ง ทาํ ลายความเปน ผูป ระเสริฐดว ยพระดํารสั มปี ระมาณเทา น้ีแลว บัดน้เี ม่ือจะทรงแสดงวาทะอนั เปน เครื่องทาํ ลายความเปนผปู ระเสริฐโดยนัยอ่ืนอกี จงึ ตรสั วา โหติโข โสวาเสฎา สมโย ดังนีเ้ ปน ตนบรรดาถอ ยคําเหลานนั้ กถาวา ดวยสังวฏั ฏะ และ วิวัฏฏะ ไดพรรณนาโดยพิสดารแลวในพรหมชาลสูตร.บทวา อิตฺถตฺต อาคจฉฺ นตฺ ิ ความวา ยอมมาสูความเปน อยา งน้ี คือสูค วามเปนมนษุ ย. บทวา เต จ โหนตฺ ิ มโนมยา ความวา สตั วเหลานน้ั แมบงั เกดิ ในมนสุ โลกน้ี กเ็ ปนพวกโอปปาตกิ กําเนิด บังเกิด

พระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 177ข้ึนดวยใจเทา นัน้ ฉะนัน้ จงึ ชื่อวา ผมู ีความสาํ เร็จทางใจ. ปต เิ ทา นั้นยอ มใหสําเร็จกจิ ดว ยอาหารแกสัตวเ หลานัน้ แมใ นมนสุ สโลกน้ี เหมอื นในพรหมโลก ฉะนนั้ สัตวเ หลา นน้ั จึงชอื่ วามปี ตเิ ปน ภักษา. พึงทราบเหตุมีรัศมเี องเปนตน โดยนัยน.้ี บทวา เอโกทกีภูต ความวา จกั รวาฬทง้ั หมดเปนทที่ ่มี ีนํ้าเหมอื นกัน. บทวา อนธฺ กาโร แปลวา ความมืด. บทวาอนธฺ การติมิสา ความวา กระทาํ ความมืด คอื มี ความมืดมิด ดว ยการหามการบังเกิดขึน้ แหง จักษวุ ญิ ญาณ. บทวา สมนฺตานิ ความวา ดํารงอยู คือแผไปรอบ. บทวาปยตตสฺ ฺส แปลวา นํ้ามนั ทเี่ คย่ี วใหงวด. บทวา วณณฺ สมปฺ นนฺ า ความวาถึงพรอ มดว ยสี. ก็สขี องงวนดนิ นัน้ ไดเ ปนเหมือนดอกกรรณกิ าร. บทวาคนฺธสมฺปนนฺ า ความวา ถงึ พรอ มดว ยกล่ิน คอื กลน่ิ อนั เปน ทพิ ยย อ มฟุงไป. บทวา รสสมฺปนนฺ า ความวา ถงึ พรอมดว ยรส เหมอื นใสโ อชาทิพยล งไปฉะน้นั . บทวา ขทุ ฺทกมธุ ความวา นา้ํ ผึง้ อนั แมลงผึง้ ตัวเลก็ ๆทําไว. บทวา อเุ นฬก ความวา มีโทษออกแลวคอื เวนจากไขแ มลงวัน.บทวา โลลชาตโิ ก ความวามีความโลภเปน สภาพ. แมใ นกัลปถดั ไปทลี่ ว งไปแลว กม็ คี วามโลภเหมอื นกัน เราเกดิ อศั จรรยจ ึงกลา ววา อมฺโภดงั น.ี้ บทวา กเิ มวิท ภวิสฺสติ ความวา สีก็ดี กลน่ิ ก็ดี ของงว นดินนน้ั นา ชอบใจ แตรสของงวนดินน้นั จักเปน อยางไรหนอ. ผมู เี กิดความโลภในงว นดินนน้ั กเ็ อานว้ิ มอื จบั งว นดินนั้นมาชมิ ดู ครนั้ เอามือจบั แลวเอามาไวทลี่ ้นิ . บทวา อจฺฉาเทสิ ความวา งวนดนิ นน้ั พอเขาเอามาวางไวท ่ปี ลายลนิ้ ก็แผซา นไปท่ัว เสน เอน็ รบั รสอาหาร ๗,๐๐๐ เสน เปน ขอนา ชอบใจต้งั อย.ู บทวา ตณหฺ า จสฺส โอกกฺ มิ ความวา กค็ วามอยากในรสในงว นดนิ น้นั ก็เกดิ ขนึ้ แกส ัตวผมู ีความโลภน้ัน. หลายบทวา อาลปุ ปฺ -

พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 178กากร อปุ กฺกมึสุ ปริภญุ ชิตุ ความวา เขาปนเปน คํา คือแบง ออกเปนกอ นแลว เรมิ่ ทจ่ี ะบริโภค. พระจนั ทร และพระอาทติ ย ชื่อวา จนฺทิมสุรยิ า. บทวาปาตุรเหสุ แปลวา ปรากฏขนึ้ . กบ็ รรดาพระจนั ทรและพระอาทติ ยน้นัอยา งไหนปรากฏกอ น ใครอยใู นทีไ่ หน ประมาณของใครเปนอยา งไรใครอยสู ูง ใครหมุนเร็ว วิถีทางของพระจนั ทรและพระอาทิตยน ั้นเปนอยา งไร เทีย่ วไปไดอ ยา งไร ทําแสงสวางในทม่ี ปี ระมาณเทา ใด. พระจันทรแ ละพระอาทติ ยทั้งสองไมป รากฏพรอ มกัน. พระอาทติ ยปรากฏข้ึนกอ น. ก็ เมอื่ รศั มีเฉพาะตัวของสัตวเ หลา นั้นไดห ายไป ความมืดมนจงึ ไดม ขี ้นึ . สัตวเหลาน้นั ทัง้ กลวั ทัง้ สดงุ คิดกันวา คงจะดหี นอ ถาแสงสวางปรากฏขึน้ มาดงั นี้ ตอ แตน ัน้ ดวงอาทิตยอ นั ใหความกลา เกดิ ขนึ้แกม หาชนกไ็ ดต้งั ขนึ้ . ดวยเหตุน้ันดวงอาทติ ยนั้นจึงไดนามวา สุรโิ ยดงั น.้ี เม่ือดวงอาทิตยน ้ัน ทาํ แสงสวา งตลอดวันแลว อัสดงคตไป ความมดืมนก็กลับมีขนึ้ อกี . สตั วเหลา นนั้ พากันคิดวา คงจะเปนการดหี นอ ถาหากวา พงึ มแี สงสวา งอยา งอนื่ เกิดขนึ้ ดงั น.้ี ท่นี ้นั ดวงจันทรร ูค วามพอใจของสตั วเหลา น้ันจงึ เกิดข้ึนมา. ดว ยเหตุนน้ั น่ันแล ดวงจันทรจึงไดนามวา จนฺโท ดงั นี.้ บรรดาดวงจันทรแ ละดวงอาทติ ยน ัน้ ดวงจันทรอยูในวมิ านภายในลวน แลว ดวยแกว มณี วมิ านภายนอกลว นแลวดว ยเงนิทง้ั ภายในและภายนอกน้นั เยน็ แท. ดวงอาทติ ยอยูใ นวมิ าน ภายในลว นแลวดวยทอง วิมานภายนอกลว นแลว ดวยแกวผลึก. ท้ังภายในเละภายนอกรอ นจัด. วา โดยประมาณ ดวงจันทรม เี สน ผา ศูนยกลาง ๔๙ โยชน เสน

พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 179รอบวงยาว ๒๕๐ โยชน. ควรอาทิตยม ีเสนผา ศูนยก ลาง ๕๐ โยชน เสนรอบวงยาว ๒๕๐ โยชน. ดวงจันทรอ ยูขา งลา ง พระอาทิตยอ ยูขา งบน. ดวงจนั ทรแ ละดวงอาทติ ยนน้ั อยหู างกนั โยชนห นง่ึ . จากสว นลา งของพระจนั ทรถ งึ สวนบนของดวงอาทิตย มีระยะ ๑๐๐ โยชน. ดวงจันทรห มุนไปทางดานตราชา แตหมนุ ไปทางดานขวางเร็วหมูดาวนกั ษตั รกห็ มุนไปในสองดาน ดวงจนั ทรห มนุ ไปใกลหมูดาวนนั้ ๆ เหมอื นแมโ คเขาไปหาลกู โคฉะนั้น. สวนหมูดาวไมท ง้ิ ท่อี ยขู องตนเลย. การหมุนไปของดวงอาทติ ยทางตรงเรว็ ไปทางขวางชา . ดวงอาทิตยน ้ีโคจรหา งดวงจนั ทรแ สนโยชน ในวันปาฏบิ ทจากวันอโุ บสถกาฬปกษ. เวลานัน้ดวงจนั ทรปรากฏเหมอื นรอยเขียนฉะน้นั . ดวงอาทติ ยโคจรหา งไปเปนระยะแสนโยชนใ นปก ษท่ี ๒ ดวงอาทติ ยไ ดโ คจรหา งไป ดงั ทก่ี ลา วแลวน้ีเปน ระยะแสนๆ โยชนจ นถงึ วนั อโุ บสถ . ลาํ ดับน้นั ดวงจนั ทรก ใ็ หญข ้นึ โดยลําดับ ไปเต็มดวงในวันอุโบสถ. โคจรหา งออกไปแสนโยชนใ นวันปาฏิบทอกี . โคจรหางออกไปเปน ระยะแสนโยชนในปกษท ่ี ๒ ดวงอาทติ ยโคจรหางไปดังกลาวแลวน้ีเปนระยะสิน้ ๆ โยชนจ นถึงอุโบสถ. ทนี นั้ ดวงจันทรอับแสงลงโดยลําดบั แลวไมปรากฏท้ังดวงในวนั อุโบสถ. ดวงอาทิตยลอยอยูเบือ้ งบนใหด วงจนั ทรอยเู บื้องลางยอ มปกปด ดวงจนั ทรไ วได เหมอื นภาชนะเลก็ ถกู ถาดใหญปดไวฉ ะน้ัน. เงาของดวงจนั ทรไ มปรากฏเหมอื นเงาเรือนไมปรากฏในเวลาเท่ยี ง. ควรอาทิตยนน้ั เม่ือเงาไมปรากฏ แมต ัวเองกไ็ มปรากฏ เหมอื นประทีปในกลางวันไมป รากฏแกหมชู นผูยืนอยูไกลฉะนั้น. ก็พงึ ทราบวินจิ ฉยั ใน คาํ วา วถิ ีของอาทติ ยและดวงจันทรเปนอยา งไร ตอ ไปนวี้ ถิ ีมดี ังนี้คือวิถีแพะ วถิ ชี า ง วิถีของโค. บรรดาวิถี

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 180เหลาน้นั นํ้าเปนของปฏิกูลสําหรับแพะท้ังหลาย แตน ํ้าน้ันเปน ทช่ี อบใจของชางทง้ั หลาย เปน ท่ผี าสกุ ของฝงู โค เพราะมีความเย็นและความรอนเสมอกัน. ฉะนน้ั ในเวลาใด ดวงจนั ทรและดวงอาทติ ยข ้ึนสูวิถขี องแพะเวลาน้ัน ฝนไมตกเลยแมส ักเมด็ เดยี ว เมอื่ ใดดวงจนั ทรและดวงอาทิข้นึ สวู ิถีของชา ง เมื่อนน้ั ฝนจะตกแรงเหมอื นทอ งฟา รั้ว. เม่ือดวงจนั ทรและดวงอาทิตยขึ้นสูวิถีของโค เมอ่ื น้ันความสมํา่ เสมอของฤดูกย็ อมถงึพรอ ม. ดวงจนั ทรแ ละดวงอาทติ ย ยอ มเคล่ือนอยภู ายนอกภเู ขาสิเนรเุ ปนเวลา ๖ เดือน และโคจรอยภู ายในอีก ๖ เดือน. ความจรงิ ดวงจันทรและดวงอาทติ ยนัน้ ยอมโคจรไปใกลภเู ขาสเิ นรุในเดอื น ๘. แตนน้ั เคลอ่ื นออกไปโคจรอยูในภายนอก ๒ เดือนแลว เคลอ่ื นไปอยูโดยทามกลางในตนเดอื น ๑๒. แตน ้ัน เคลื่อนมุง หนาตอจักรวาลแลวโคจรอยู ใกลๆ จกั รวาลเปนเวลา ๓ เดือน แลว เคล่ือนออกหา งมาอีก ไปอยตู รงกลางจักรวาลในเดือน ๕ ตอแตน น้ั ในเดอื นอื่นก็เคลอื่ นมงุ หนาตอภูเขาสเิ นรุ แลวไปโคจรอยูใกล ๆ ภเู ขาสเิ นรุในเดือน ๘ อกี . พงึ ทราบวินจิ ฉัยในคําวา ดวงอาทิตยและดวงจันทรท าํ แสดงสวา งในทนี่ ีป้ ระมาณเทาไร ดงั นี้ ดวงจนั ทรแ ละดวงอาทิตย ยอ มทาํ แสงสวา งในทวปี ทั้ง ๓ โดยพรอมกัน. กระทาํ ไดอยา งไร. กเ็ วลาพระอาทิตยขึ้นในทวีปนี้เปนเวลาเที่ยงในปพุ พวิเทหทวปี เวลาท่พี ระอาทิตยต กในอตุ ตกรุ ุทวีปเปน มชั ฌยิ ามในอมรโคยานทวปี . เวลาท่ีดวงอาทิตยข ึ้นในปุพพวิ-เทหทวีปเปน เวลาเที่ยงในอุตตรกุรทุ วปี เวลาทพ่ี ระอาทิตยตกในอมรโค-ยานทวปี เปนมชั ฌมิ ยามในทวีปน.้ี เวลาทีพ่ ระอาทิตยข ้นึ ในอตุ ตรกุรทุ วปีเปน เวลาเท่ียงในอมรโคยานทวีป เวลาทีพ่ ระอาทติ ยตกในทวีปน้ี เปน เวลา

พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 181มชั ฌิมยามในปุพพวิเทหทวปี . เวลาท่พี ระอาทิตยข นึ้ ในอมรโคยานทวปีเปน เวลาเที่ยงในทวีปนี้ เวลาทพ่ี ระอาทิตยตกในบุพพวิเทหทวีปเปนในเวลามชั ฌมิ ยามในอตุ ตรกุรุทวีป ฉะนแี้ ล. พึงทราบวนิ จิ ฉัยในสองบทวา นกขฺ ตฺตานิ ตารกรปู านิ ตอ ไปดาวนักษตั รมีดาวฤกษเ ปนตน และหมดู าวท้งั หลายทเี่ หลอื ยอ มปรากฏพรอมทง้ั ดวงจนั ทรแ ละดวงอาทติ ย. บทวา รตตฺ นิ ฺทิวา ความวา ต้ังแตพ ระอาทติ ยตกจนถงึ อรุณขึ้น เปนเวลากลางคนื ตัง้ แตเ วลาอรณุ ขน้ึ จนถงึ พระอาทิตยตกจัดเปนเวลากลางวัน กลางคืนและกลางวันยอมปรากฏอยา งวามาน.้ี ตอแตน ั้น ๑๕ ราตรี จัดเปนกึ่งเดือน ๒ ก่งึ เดือนเปนเดอื น กึ่งเดอื นและเดอื นหนึง่ ปรากฏอยางวา มาน.้ี ท่ีนน้ั ๔ เดือนจดั เปน ๑ ฤดู ๓ ฤดูเปน ๑ ป ทั้งฤดแู ละปจ ึงปรากฏอยา งวา มาน.ี้ คาํ วา วณฺณเววณณฺ ตา จ ไดแกค วามมผี ิวพรรณตางกัน. บทวาเตส วณฺณาตมิ านปจฺจยา ความวา เพราะการถือตวั จัดซง่ึ เกดิ ขน้ึ เพราะปรารภวรรณะของสัตวทง้ั หลายเหลาน้นั เปนปจ จยั . บทวา มานาติมาน-ชาติกาน ความวา ผูมมี านะและอตมิ านะเกิดขึ้นบอย ๆ เปน สภาพ. บทวารสปวียา ความวา อนั ไดนามวา รส เพราะสมบูรณด ว ยรส.บทวา อนตุ ฺถนุ สึ ุ ความวา พากันบนถงึ . บทวา อโห รส ความวาโอ รสอรอ ยมแี กพ วกเรา. คําวา อคฺคฺ อกฺขร น้ีเปนคํากลา วถึงวงศซ่งึ บังเกิดขน้ึ ในโลก. บทวา อนุปทนตฺ ิ ความวายอมไปตาม. บทวา เอวเมว ปาตรุ โหสิ ความวา ไดเปน เชน นีต้ ง้ั ข้นึ และไดต งั้ ขนึ้ เหมือนพ้ืนเปอกตมอันแหงเกิดขน้ึ ในเม่ือนาํ้ ภายในสระแหงไปฉะนัน้ . เครืออันเจริญมีรสหวานอยา งหน่งึ ชอ่ื วาเครือดนิ . บทวากลมฺพกา ไดแ ก ตนมะพรา ว. บทวา อหุ วต โน ความวา เครอื ดนิ

พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 182มรี สหวานไดม ีแกเ ราท้งั หลายแลวหนอ. บทวา อหายิ วต โน ความวาเครือดินน้ัน ของพวกเราไดห ายไปแลว ในบัดน.ี้ บทวา อกฏปาโก ความวา เกดิ ข้นึ ในภมู ภิ าคซึง่ ไมไ ดไ ถเลย. บทวา อกโณ แปลวา ไมมีราํ เจือปน. บทวา อถโุ ส แปลวา ไมมีแกลบ. บทวา สคุ นฺโธ ความวา กลิ่นทิพย ยอ มฟุงขจายไป. บทวาตณฑฺ ลุ ปผฺ โล ความวา ยอ มเมล็ดผลเปน เมล็ดขาวสารขาวบริสทุ ธ์ิ. บทวาปกฺก ปฏิวิรฬุ หฺ  ความวา ท่ที ี่เขาเกบ็ ในเวลาเย็น กไ็ ดส กุ แทนในตอนเชา งอกงามขนึ้ ตามปกติอีก ท่ีทเ่ี ขาเกบ็ ไปหาปรากฏไม. บทวา นาปทานปฺายติ ความวา ยอ มปรากฏเปน พชื ท่ไี มถ ูกเกบ็ เก่ียวไมม ีบกพรองเลยบทวา อิตฺถิยา จ ความวา เพศหญิงของหญิงในเวลาเปน มนุษยในชาติกอนๆกป็ รากฏ เพศชายของชายในกาลกอน ๆ น้นั กป็ รากฏ. ความจริง มาตุ-คาม เมอ่ื ตองการไดค วามเปนบุรษุ ก็พยายามบาํ เพญ็ ธรรมอนั เปนปจ จัยแหงความเปน บุรุษโดยลําดบั ก็ยอ มสาํ เรจ็ ได. บรุ ษุ เม่อื ตอ งการเปน หญิงก็ประพฤตกิ ารเมสมุ จิ ฉาจาร ยอมสาํ เร็จได. ก็ในเวลานน้ั ตามปกติ เพศหญงิ ยอมปรากฏขน้ึ แกม าตคุ าม เพศชายกป็ รากฏขึน้ แกบ ุรุษ. บทวาอปุ นชิ ฺฌายต ความวา เพง อยูคอื แลดอู ย.ู บทวา ปรฬิ าโห ไดแกค วามเรา รอนดวยอาํ นาจราคะ. บทวา เสฏึ ไดแ กเถาถา น. บทวานพิ ฺพยุ หฺ มานาย ความวา นาํ ออกไป. บทวา อธมมฺ สมฺมต ความวาการโปรยฝุนเปนตน นั้นสมมตุ ิกันวาไมเปนธรรม. บทวา ตเทตรหิ ธมฺมสมฺมต ความวา แตใ นบดั น้ีการโปรยฝนุ เปน ตน นี้สมมุติกนั วาเปน ธรรม. พวกพราหมณท ้ังหลายพากันถอื เอาการโปรยฝนุ เปน ตนนน้ั วา เปน ธรรม เที่ยวไป. จรงิ อยางนั้น ในชนบทบางแหง พวกหญิงท้งั หลายทะเลาะกันยอมกลา ววา เพราะเหตุไร

พระสุตตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 183เธอจึงกลา ว ทานจักไมไ ดอ ะไรแมเพียงกอ นโคมยั สด. บทวา ปาตพฺยต ไดแกค วามสอ งเสพ. บทวา สนฺนธิ กิ ารก ไดแกทําการสงั่ สม. บทวา อปาทานปฺ ายติ ถฺ ความวา ทที่ เ่ี ขาเกบ็ ไปแลว ไดปรากฏเปน ของพรอ งไป. บทวาสณฑฺ สณฑฺ า ความวา เปนกลมุ ๆ เหมือนจัดไวเ ปน พวกหมูในทห่ี นึง่ ๆ. บทวา มรยิ าท เปยฺยาม ความวา พวกเราจะต้งั เขตแบงกนั .บทวา ปาณนิ า ปหรสึ ุ ความวา สตั วเหลานัน้ เอามือตีคนทไ่ี มเชื่อคําตนถงึ ๓ ครงั้ บทวา ตทคเฺ ค โข ปน แปลวา เพราะทําเหตนุ น้ั เปน สงิ่ สําคญั .บทวา ขยี ิตพพฺ  ขเี ยยยฺ อธบิ ายวา พึงประกาศบอกบุคคลผูควรประกาศคือติเตยี นบุคคลท่ีควรตเิ ตยี น ขับไลผ ูทีค่ วรขับไล. บทวา โย เนส สตโฺ ตความวา บรรดาสตั วเ หลา นน้ั สตั วผูใด. ถามวา ก็สตั วน นั้ เปน ใคร. ตอบวาคอื พระโพธสิ ตั วข องเราท้งั หลาย. หลายบทวา สาลีน ภาค อนุปปฺ ทสสฺ ามความวาเราจักนําขา วสาลมี าจากไรข องแตล ะคน ๆ ละทะนาน แลวจะใหสว นขาวสาลแี กท า น ทานไมตอ งทาํ งานอะไร ขอทานจงตัง้ อยูใ นฐานะเปน หัวหนา ของเราท้งั หลายเถดิ . บทวา อกขฺ ร อุปนพิ ฺพตตฺ  ความวา เกิดบัญญัตโิ วหารซึง่ เขา ใจกนั ไดด ว ยการนับ. คาํ วา ขตฺติโย ขตตฺ โิ ย ดงั น้เี ปน คําที่เกดิ ขึน้ คําท่ีสอง. บทวา อกฺขร ความวา ไมใ ชเฉพาะอกั ษรอยางเดยี วเทาน้ัน แตพวกสัตวเ หลานัน้ ยงั ไดท าํ การอภเิ ษกบุคคลน้นั ดว ยการยกยองถงึ ๓ ครงั้วา ขอใหทา นจงเปนใหญใ นนาของพวกเราดงั น้ี. บทวา รฺเชติแปลวา ยอ มยงั ผอู ืน่ ใหม ีความสขุ เอิบอิ่ม บทวา อคฺคเฺ น ความวา การบังเกดิ ข้นึ ดว ยอกั ษร อนั เกิดขนึ้ ในสมยั แหงโลกเกดิ ขน้ึ ทีร่ กู นั วา เลศิ หรอืรจู กั กนั ในสวนเลศิ

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 184 บทวา วีตงคฺ ารา วตี ธูมา ความวา ปราศจากควนั และถา นเพลิง เพราะไมมอี าหารท่จี ะพงึ หุงตมแลว เคีย้ วกนิ . บทวา ปณณฺ มสุ ลาความวา ไมม กี ารซอ ม เพราะไมม ีอาหารทพ่ี ึงซอมตาํ แลว หงุ ตม. บทวาฆาสเมสนา ความวา แสวงหายาคูและภตั ดวยอาํ นาจภิกขาจาร. บทวาตเมน มนสุ ฺสา ความวา หมมู นษุ ยเหลา นน้ั ไดเ ห็นบคุ คลเหลา นนั้ .บทวา อนภสิ มภฺ นุ ฺมานา แปลวาอดกลน้ั ไวไมได คอื ไมส ามารถจะอดกล้นัไวได. บทวา คนเฺ ถ กโรนตฺ า ความวา แตง คอื บอกสอนไตรเพท. บทวาอจฺฉนฺติ แปลวายอมอยูอาศยั . บาลวี า อจเฺ ฉนตฺ ิ ดังนบ้ี า ง. เนื้อความเชนเดยี วกัน. บทวา หีนสมมฺ ต ความวา ดูกอนวาเสฏฐะ โดยสมัยน้ันคาํ วา หมูพ ราหมณยอมทรงจํามนตย อมบอกมนตด งั นี้ เปนคาํ สมมตวิ าตาํ่ ชาบทวา ตเทตรหิ เสฏ สมฺมติ ความวา บดั น้คี าํ วา พราหมณท ั้งหลายยอมทรงจํามนตมปี ระมาณเทา นี้ ยอมบอกกลาวมนตมีประมาณเทา นี้เปน คาํ สมมตวิ า ประเสรฐิ . บทวา พรฺ าหฺมณมณฑฺ ลสฺส ไดแ กห มูพราหมณ. บทวา เมถุน ธมมฺ  สมาทาย แปลวา ยดึ ถือเมถุนธรรม. หลายบทวา วิสุ กมมฺ นเฺ ต ปโยเชสุ ความวา หมสู ตั วตางพากันประกอบการงานที่มชี อ่ื เสยี ง คือไดร ับยกยองมีการเล้ยี งโคและการคาขายเปน ตน. คําวาสุทฺทา สทุ ฺทา นี้ อธิบายวา พวกศทู ร ไปอยางนารังเกียจคือเสอื่ มเร็ว ๆเรยี กวา สุทฺท สุทฺท เพราะการงานที่ประพฤตติ ํา่ และการงานท่ปี ระ-พฤติเลก็ นอยน้ัน. บทวา อหุ โข ไดแก โหติ โข. บทวา สก ธมฺม ครหมาโนความวา กษัตริยบางพระองคต เิ ตียนขัตติยธรรมของตนเองอยางนี้วา ใครไมอาจจะบรสิ ทุ ธิ์ไดดวยเพียงแตใ หยกเศวตฉัตรขึ้น. ในทกุ บทกน็ ัยนี้. ดวยคาํ น้ีวา อิเมหิ โข วาเสฏ า จตหู ิ มณฑฺ เลหิ นี้ พระผมู ีพระภาคยอ ม

พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 185ทรงแสดงคํานวี้ า เหลา สมณะยอมไมมกี ารแบงแยก. แตเพราะใคร ๆ ไมอาจจะบริสุทธ์ิดว ยขาดได ความบริสุทธจ์ิ ะมไี ดก็ดว ยการปฏบิ ตั ิชอบของตนเอง ฉะนนั้ การบังเกดิ ของพระสมณะ จงึ เกดิ มขี ้นึ ไดด ว ยหมูท้งั ๔ เหลา นี้หมูท ัง้ หลายเหลา นีย้ อมอนวุ ตั ตามหมูสมณะ และหมทู อี่ นุวตั ตามเหลาน้นั ก็ยอ มอนวุ ตั ตามธรรมเทา นนั้ หาอนวุ ตั ตามธรรมไม ความจริงเหลา สัตวทงั้ หลายอาศัยหมูสมณะบําเพ็ญสมั มาปฏิบัติ ยอมถึงความบรสิ ทุ ธิ์ไดด งั น.ี้บดั นี้ พระผมู ีพระภาคเมือ่ จะทรงทาํ ขอ ความนน้ั วา ใคร ๆไมอาจท่ีจะบริสุทธิ์ตามชาติได แตเ หลา สัตวจ ะบริสุทธิไ์ ดก ็ดวยการประพฤตชิ อบเทานนั้ ดงั นี้อยา งชดั เจน จึงเริม่ เทศนาวา ขตตฺ โิ ยป โข วาเสฏ า ดังน้.ีบรรดาบทเหลา นน้ั บทวา มจิ ฉาทิฏ ิกมฺมสมาทานเหตุ ความวา เพราะเหตุคือการสมาทานธรรม ดว ยอาํ นาจมิจฉาทิฏฐ.ิ อกี อยางหน่งึ ความวา เพราะเหตทุ ีส่ มาทานมจิ ฉาทิฏฐ กิ รรม. บทวา ทฺวยฺ การี ความวา มักทํากรรมท้ังสองฝา ยอยางน้คี ือ บางเวลาทํากุศลกรรม บางเวลาทําอกุศลกรรม. บทวา สขุ ทกุ ฺขปฏสิ  เวทีความวา ธรรมดาวาสถานทท่ี ่ีใหผลพรอมกนั ทั้งสองฝา ยในเวลาพรอ มกันหามไี ม. กผ็ ใู ดไดทาํ อกศุ ลกรรมไวม ากทาํ กศุ ลกรรมไวนอ ย เขาอาศยักุศลกรรมนน้ั ไปบังเกิดในตระกลู กษัตริยหรือตระกูลพราหมณ. ที่นน้ั อกศุ ลกรรมนั้น ยอ มทําเขาใหเ ปน ผูบอดบาง ผงู อ ยบาง ผเู ปลย้ี บา ง เขายอมไมควรแกราชสมบตั ิ หรือเขาเปน อยา งน้ีแลวในเวลาทไี่ ดรับการอภเิ ษกแลวกไ็ มอาจที่จะใชโ ภคทรพั ยส มาบตั ิได. ตอ มาในเวลาตายของเขาทั้งกศุ ลกรรมและอกศุ ลกรรมท้งั สองนน้ั ก็ปรากฏเหมือนนักมวยปลา้ํ ทมี่ ีกําลังมาก ๒ คน. บรรดากรรมท้งั สองนัน้ อกุศลกรรมมีกําลังมากกวา จึงหามกุศลกรรมไวเสียแลว ใหส ตั วน ั้นบงั เกิดในกาํ เนิดสัตวดริ ัจฉาน. ฝายกศุ ลกรรม





















พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 196 ๔. สุขาปฏิปทา ขปิ ปาภิญญา ปฏปิ ทาที่ปฏิบตั ไิ ดส ะดวก ทงั้รูไดเร็ว ขา แตพ ระองคผูเจริญ ในปฏปิ ทา ๔ นน้ั ปฏิปทาทีป่ ฏิบัติลาํ บากทั้งรูไ ดช า นี้ นับเปน ปฏปิ ทาที่ทราม เพราะประการท้งั สอง คือเพราะปฏบิ ัตลิ าํ บากและเพราะรูไดช า . อนง่ึ ปฏปิ ทาที่ปฏิบตั ิลาํ บากแตรไู ดเรว็ น้ี นับวาเปน ปฏปิ ทาท่ที ราม เพราะปฏบิ ตั ลิ ําบาก. ปฏปิ ทาท่ีปฏบิ ตั ิไดสะดวกแตรไู ดช าน้ี นับวาเปน ปฏปิ ทาทท่ี ราม เพราะรไู ดชา.สว นปฏิปทา ที่ปฏิบตั ิสะดวกทัง้ รูไ ดเรว็ นี้ นับวาเปนปฏปิ ทาประณีตเพราะประการทงั้ สอง คอื เพราะปฏบิ ัตสิ ะดวก และเพราะรไู ดเร็ว.ขาแตพระองคผเู จริญ น้ีเปนธรรมที่เยย่ี มในฝายปฏปิ ทา.วาดว ยภัสสสมาจารและศลี สมาจารของบรุ ษุ [๘๓] ขา แตพระองคผูเจริญ ยงั มอี ีกขอ หนึ่ง ซึ่งเปน ธรรมท่ีเย่ียม คือพระผมู พี ระภาคเจาทรงแสดงธรรมในฝายภัสสมาจาร (มารยาทเกย่ี วดวยคาํ พดู ) คนบางคนในโลกนี้ ไมกลา ววาจาเกี่ยวดวยมุสาวาท ไมกลาววาจาสอเสียด อันทําความแตกรา วกัน ไมก ลาววาจาอนั เกิดแตความแขงดกี นั ไมมงุ ความชนะ กลา วแตวาจาซึง่ ไตรต รองดวยปญ ญา อนั ควรฝง ไวในใจ ตามกาลอนั ควร. ขา แตพระองคผเู จริญ น้ีเปนธรรมทเี่ ย่ียมในฝายภัสสสมาจาร. [๘๔] ขา แตพ ระองคผเู จริญ ยงั มีอกี ขอ หน่ึง ซ่งึ เปนขอ ธรรมทเี่ ยย่ี ม คือ พระผมู ีพระภาคเจาทรงแสดงธรรมฝา ยศีลสมาจารของบุรษุ . คนบางคนในโลกนี้ เปน คนมีสจั จะ มศี รัทธา ไมเปน คนพูดหลอดลวง ไมพดู เลยี บเคียง ไมพดู หวานลอม ไมพ ดู แทะเล็ม ไมแสวงหาลาภดวยลาภเปน ผูคมุ ครองทวารในอินทรยี ท้งั หลาย รจู ักประมาณในโภชนะ ทาํ ความ

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 197สมาํ่ เสมอ ประกอบชาครยิ านุโยค ไมเ กียจครา น ปรารภความเพียรเพง ฌาน มสี ติ พดู ดี และมปี ฏิภาณ มคี ติ มปี ญญาทรงจํา มคี วามรูไมตดิ อยูในกาม มสี ติ มปี ญญารกั ษาตน เท่ียวไป. ขา แตพ ระองคผูเจรญินี้เปนธรรมที่เยี่ยม ในฝา ยศลี สมาจารของบุรุษ. วาดวยอนสุ าสนวธิ ี ๔ [๘๕] ขา แตพระองคผ เู จริญ ยังมีอกี ขอ หนง่ึ ซง่ึ เปนธรรมที่เยีย่ ม คือพระผูม ีพระภาคเจา ทรงแสดงธรรมในฝายอนุสาสนวิธี อนสุ า-สนวิธี ๔ อยา งเหลานี้ คอื ๑. พระผูมพี ระภาคเจายอมทรงทราบบุคคลอ่ืน ดว ยมนสิการโดยชอบเฉพาะพระองคว า บุคคลน้ี เมอ่ื ปฏิบัติตามที่ส่งั สอน จกั เปนพระ-โสดาบัน มีอนั ไมตกต่ําเปนธรรมดา เปน ผเู ที่ยง มอี ันจะตรสั รใู นเบอ้ื งหนา เพราะสังโยชน ๓ สิ้นไป. ๒. พระผมู พี ระภาคเจายอ มทรงทราบบคุ คลอืน่ ดวยมนสกิ ารโดยชอบเฉพาะพระองคว า บุคคลนเี้ ม่ือปฏบิ ตั ติ ามท่ีส่ังสอน จักเปนพระสกทาคามี จักมาสูโลกน้ีอกี คราวเดียวเทา น้นั แลว จกั ทาํ ทส่ี ดุ แหงทกุ ข เพราะสงั โยชน ๓ สิ้นไป และเพราะราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง. ๓. พระผูมีพระภาคเจา ยอ มทรงทราบบุคคลอื่น ดว ยมนสิการโดยชอบเฉพาะพระองคว า บุคคลนี้ เม่ือปฏิบตั ติ ามท่สี ่ังสอน จักเปน พระ-อนาคามีผเู ปนโอปปาตกิ ะ ปรินพิ พานในชน้ั สุทธาวาสน้ัน ไมต อ งกลับมาจากโลกน้ัน เพราะสงั โยชนเบ้อื งตาํ่ ๕ สิ้นไป. ๔. พระผูมีพระภาคเจา ยอมทรงทราบบุคคลอื่น ดว ยมนสกิ ารโดยชอบเฉพาะพระองคว า บุคคลนี้ เมื่อปฏิบัตติ ามท่ีสงั่ สอน จกั ไดบรรลุเจโตวิมตุ ิ ปญ ญาวมิ ุติ อนั หาอาสวะมไิ ด เพราะอาสวะทั้งหลายสนิ้ ไป

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 198จกั ทําใหแจง ดวยปญ ญาอันรยู ่ิงเองในปจ จบุ นั เขาถึงอย.ู ขาแตพ ระองคผเู จรญิ นีเ้ ปนธรรมทีเ่ ยี่ยมในฝายอนุสาสนวิธี. [๘๖] ขา แตพระองคผ เู จรญิ ยงั มอี ีกขอ หน่ึง ซ่งึ เปน ธรรมท่ีเยี่ยม คือพระผูมพี ระภาคเจา ทรงแสดงธรรมในฝายวมิ ตุ ิญาณของบคุ คลอ่นืคอื ๑. พระผูมพี ระภาคเจา ยอมทรงทราบบคุ คลอน่ื ดว ยมนสกิ ารโดยชอบเฉพาะพระองคว า บุคคลนี้จักเปนพระโสดาบัน มอี ันไมตกตํ่าเปนธรรมดา เปนผเู ท่ียง มอี ันจะตรัสรใู นเบอ้ื งหนา เพราะสังโยชน ๓ส้ินไป. ๒. พระผูมีพระภาคเจายอมทรงทราบบคุ คลอ่ืน ดว ยมนสกิ ารโดยชอบเฉพาะพระองคว า บคุ คลน้จี กั เปน พระสกทาคามี จักมาสูโ ลกนอี้ ีกคราวเดียวเทา น้ัน แลวจกั ทําที่สุดแหง ทุกข เพราะสงั โยชน ๓ สิ้นไปและเพราะราคะโทสะ และโมหะเบาบาง. ๓. พระผูมีพระภาคเจายอ มทรงทราบบคุ คลอืน่ ดว ยมนสกิ ารโดยชอบเฉพาะพระองควา บคุ คลนจี้ ักเปนพระอนาคามผี ูโอปปาติกะ ปรนิ พิ -พานในชัน้ สุทธาวาสนั้น ไมตอ งกลบั มาจากโลกน้นั เพราะสงั โยชนเ บ้ืองตํา่๕ สนิ้ ไป. ๔. พระผมู ีพระภาคเจา ยอ มทรงทราบบคุ คลอนื่ ดว ยมนสกิ ารโดยชอบเฉพาะพระองคว า บุคคลนจ้ี กั ไดบรรลเุ จโตวิมตุ ิ ปญญาวมิ ตุ ิ อนั หาอาสวะมิได เพราะอาสวะทัง้ หลายส้ินไป จักทําใหแ จงดวยปญญาอนั รูยิ่งเองในปจจุบันเขา ถึงอยู. ขาแตพ ระองคผูเ จรญิ นเ้ี ปน ธรรมท่เี ยย่ี มในฝา ยวมิ ตุ ญิ าณของบุคคลอน่ื .

พระสุตตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 199 วาดว ยอัสสสตวาทะ ๓ [๘๗] ขา แตพ ระองคผูเจรญิ ยงั มอี ีกขอ หนึ่ง ซึ่งเปนธรรมที่เย่ียม คือพระผูมพี ระภาคเจา ทรงแสดงธรรมในฝา ยสสั สตวาทะ. สสั สต-วาทะ ๓ เหลา น้ี คือ ๑. สมณะหรือพราหมณบ างคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศยั ความเพียรทตี่ ง้ั มน่ั อาศัยความประกอบเนือง ๆ อาศัยความไมประมาท อาศยั มนสิการโดยชอบ แลว บรรลุเจโตสมาธิ ทีเ่ มอื่จิตต้งั มน่ั แลว ยอมความระลึกถงึ ขันธท ่เี คยอาศัยอยใู นกาลกอ นไดหลายประการ คือตามระลึกชาติได หนง่ึ ชาตบิ าง สองชาตบิ าง สามชาติบาง สี่ชาตบิ า ง หา ชาตบิ าง สิบชาติบา ง ยี่สบิ ชาตบิ า ง สามสบิ ชาติบาง สส่ี บิ ชาติบาง หาสบิ ชาตบิ าง รอ ยชาตบิ า ง พันชาติบาง แสนชาตบิ างหลายรอ ยชาตบิ า ง หลายพันชาติบา ง หลายแสนชาตบิ า งวา ในภพโนนเรามชี อ่ื อยา งน้ัน มโี คตรอยา งนนั้ มผี ิวพรรณอยา งนั้น มอี าหารอยางนัน้เสวยสขุ เสวยทุกขอ ยางนนั้ ๆ มีกําหนดอายุเพียงเทา นัน้ ครัน้ จตุ ิจากภพนนั้ แลว ไดไปเกิดในภพโนน แมใ นภพน้ัน เรากไ็ ดมีชอื่ อยา งนั้น มีโคตรอยางนน้ั มผี ิวพรรณอยา งนน้ั มอี าหารอยา งนน้ั เสวยสขุ เสวยทกุ ขอยางนัน้ ๆ มีกาํ หนดอายเุ พียงเทานน้ั ครนั้ จุติจากภพนน้ั แลว ไดม าบงั เกิดในภพนี้. ยอมตามระลึกถงึ ขันธท เ่ี คยอาศัยอยใู นกาลกอ นไดห ลายประการ พรอ มทง้ั อาการ พรอ มท้งั อเุ ทศ ดวยประการฉะน้ี เขากลาวอยางน้ีวา ขาพเจารูจกั กาลทีเ่ ปนอดตี ไดว า โลกพินาศแลว หรือเจรญิ ข้นึแลว . อนึ่ง ขาพเจา รจู ักกาลทีเ่ ปนอนาคตไดว า โลกจกั พินาศ หรอื จกัเจริญขึน้ . อัตตาและโลกเทย่ี งคงที่ ตงั้ ม่นั ดุจยอดภเู ขา ตงั้ มั่นดุจเสาระ-เนียด สว นเหลาสัตวน ้ันยอ มแลนไป ยอมทอ งเที่ยวไป ยอมจุติ ยอมเกิด

พระสุตตันตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 200แตส งิ่ ที่เท่ียงเสมอ คงมอี ยแู ท. นเี้ ปน สสั สตวาทะขอ ท่ี ๑ ๒. ขา แตพ ระองคผ เู จริญ ยังมีอีกขอหนง่ึ สมณะหรอื พราหมณบางคนในโลกนี้ อาศยั ความเพยี รเครื่องเผากเิ ลส อาศยั ความเพยี รทตี่ ้ังมั่น อาศยั ความประกอบเนือง ๆ อาศยั ความไมประมาท อาศยั มนสิการโดยชอบ แลวบรรลเุ จโตสมาธทิ ีเ่ มอื่ จิตต้ังมั่นแลว ยอมตามระลกึ ถึงขันธทเี่ คยอาศัยอยใู นกาลกอ นไดห ลายประการ คอื ตามระลึกถงึ ขันธ ที่เคยอาศัยอยูใ นกาลกอนไดสังวฏั กัปวิวัฏกปั หนงึ่ บาง สองบาง สามบา งส่ีบาง หาบาง สบบาง วา ในภพโนน เรามชี ่ืออยา งนัน้ มีโคตรอยา งนั้น มีผวิ พรรณอยางน้ัน มอี าหารอยางน้ัน เสวยสขุ เสวยทุกขอ ยางนัน้ ๆมีกาํ หนดอายุเพียงเทาน้ัน คร้นั จตุ จิ ากภพน้ันแลว ไดม าบงั เกิดในภพน้ี.ยอ มตามระลึกถึงขนั ธที่เคยอาศัยอยใู นกาลกอ นไดห ลายประการ พรอ มท้ังอาการ พรอมทงั้ อุเทศ ดวยประการฉะน้ี เขากลาวอยางนว้ี า ขาพเจารูก าลทเ่ี ปนอดีตไดว า โลกพินาศแลว หรือเจรญิ ขน้ึ แลว . อนึ่ง ขา พเจารกู าลทเ่ี ปนอนาคตไดว า โลกจกั พินาศ หรอื จกั เจริญข้นึ . อตั ตาและโลกเที่ยง คงท่ี ต้ังมัน่ ดุจภูเขา ต้ังม่ันดุจเสาระเนยี ด สตั วเหลา นั้นยอ มแสนไป ยอ มทอ งเทย่ี วไป ยอ มจุติ ยอมเกดิ แตส งิ่ ทเ่ี ทีย่ งเสมอ คงมีอยแู ท.น้ีเปน สสั สตวาทะขอ ท่ี ๒. ๓. ขาแตพระองคผ เู จริญ ยงั มอี กี ขอ หนึ่ง สมณะหรอื พราหมณบางคนในโลกนี้ อาศยั ความเพยี รเครื่องเผากเิ ลส อาศยั ความเพียรทต่ี ้ังมัน่อาศยั ความประกอบเนือง ๆ อาศยั ความไมประมาท อาศยั มนสิการโดยชอบ แลว บรรลุเจโตสมาธิทเ่ี มื่อจติ ตง้ั มนั่ แลว ยอมตามระลกึ ถงึ ขนั ธิ์ท่ีเคยอาศัยอยูในกาลกอ นไดหลายประการ คือ ตามระลึกถงึ ขนั ธที่เคยอาศัยอยใู นกาลกอนไดสิบสังวัฏกัปวิวัฏกปั บาง ยส่ี ิบบาง สามสิบบาง สีส่ ิบบางวา ในภพโนน เราไดม ชี ื่ออยา งน้ัน มโี คตรอยา งนน้ั มผี ิวพรรณอยา งนน้ั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook