พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 201มีอาหารอยา งนนั้ เสวยสขุ เสวยทกุ ขอยางน้นั ๆ มีกาํ หนดอายุเพียงเทานั้นครน้ั จุติจากภพน้ันแลว ไดมาบังเกดิ ในภพน้ี ยอมตามระลกึ ถึงขนั ธท เี่ คยอาศัยอยใู นกาลกอ นไดหลายประการ พรอมทงั้ อาการ พรอ มท้งั อุเทศดวยประการฉะน้ี เขากลาวอยา งนว้ี า ขาพเจารกู าลทเ่ี ปนอดตี ไดวา โลกพินาศแลว หรือเจริญขึ้นแลว อนึง่ ขา พเจารูกาลทเ่ี ปนอนาคตไดว าโลกจักพนิ าศ หรอื จกั เจริญขึ้น. อัตตาและโลกเทย่ี งคงท่ี ตัง้ ม่ันดุจยอดภเู ขา ตั้งมัน่ ดุจเสาระเนยี ด สวนเหลาสัตวนน้ั ยอ มแลน ไป ยอ มทอง-เทยี่ วไป ยอมจุติ ยอมเกดิ แตส ่งิ ทเ่ี ทย่ี งเสมอ คงมอี ยูแท. นเ้ี ปน สสั สต-วาทะขอ ที่ ๓. ขาแตพระองคผูเ จรญิ นเ้ี ปนธรรมทีเ่ ยี่ยม ในสัสสตวาทะ. วา ดวยบพุ เพนวิ าสานุสสติญาณ [๘๘] ขา แตพระองคผ ูเจริญ ยังมอี ีกขอ หนึ่ง ซึ่งเปนธรรมที่เยยี่ ม คือพระผูม ีพระภาคเจาทรงแสดงธรรมในฝา ยบพุ เพนวิ าสานสุ ติญาณ.ขา แตพระองคผ เู จรญิ สมณะหรือพราหมณบ างคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเคร่อื งเผากิเลส อาศยั ความเพียรที่ตง้ั มน่ั อาศยั ความประกอบเนอื ง ๆอาศยั ความไมประมาท อาศยั มนสิการโดยชอบ แลว บรรลุเจโตสมาธิที่เมอ่ื จิตตั้งมนั่ แลว ยอมตามระลกึ ถงึ ขันธทเ่ี คยอาศัยอยูในกาลกอนไดห ลายประการ คือ ตามระลกึ ไดห นึง่ ชาติบา ง สองชาตบิ าง สามชาตบิ า งสชี่ าติบา ง หา ชาติบา ง สบิ ชาติบาง ย่ีสบิ ชาตบิ าง สามสิบชาติบา งสีส่ บิ ชาติบา ง หา สิบชาตบิ า ง รอ ยชาติบาง พันชาติบา ง แสนชาติบางหลายสงั วัฏกปั บา ง หลายววิ ัฏกปั บาง หลายสังวฏั วิวัฏกัปบางวา ในภพโนน เราไดม ีชือ่ อยา งนัน้ มีโคตรอยา งน้นั มผี ิวพรรณอยางนั้น มีอาหารอยางนัน้ เสวยสุขเสวยทกุ ขอยา งนนั้ ๆ มกี าํ หนดอายุเพยี งเทาน้นั
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 202คร้ันจุตจิ ากภพนั้นแลว ไดไ ปเกดิ ในภพโนน แมใ นภพนั้น เรามีชอื่อยางนนั้ มีโคตรอยา งน้ัน มีผิวพรรณอยางนนั้ มอี าหารอยา งนัน้ เสวย-สขุ เสวยทุกขอยางนั้น มกี าํ หนดอายเุ พยี งเทาน้นั คร้ันจุตจิ ากภพน้ันแลวไดม าบงั เกิดในภพน้ี ยอ มตามระลึกถึงขนั ธท ี่เคยอาศัยอยู ในการกอ นไดหลายประการ พรอมทงั้ อาการ พรอมท้ังอเุ ทศ ดว ยประการฉะนี.้ ขา แดพระองคผ เู จรญิ สตั วท้ังหลายทม่ี ชี าตอิ ันไมอ าจนับไดดว ยวธิ ีคาํ นวณ หรือวธิ ีนบั ก็ยงั มอี ยู มภี พซ่ึงเปนที่ ๆ เขาเคยอาศัย อยูคอื รปู ภพ อรูปภาพ สญั ญภี พ เนวสัญญนี าสญั ญภี พ กย็ ังมี ยอ มตามระลกึ ถงึ ขันธทีเ่ คยอาศยั อยูในกาลกอนไดห ลายประการ พรอมทง้ั อาการพรอ มทั้งอเุ ทศดวยประการฉะน้ี. ขาแตพ ระองคผเู จริญ น้ีเปน ธรรมที่เยี่ยมในฝายบพุ เพนิวาสานุสตญิ าณ. วา ดว ยจตปู ปาตญาณ [๘๙] ขา แตพ ระองคผ ูเ จรญิ ยังมอี กี ขอหนง่ึ ซงึ่ เปนธรรมทเี่ ย่ียม คอื พระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงธรรมในฝายรจู ุตแิ ละอุบตั ขิ องสัตวท ้ังหลาย. ขาแตพ ระองคผเู จริญ สมณะหรอื พราหมณบ างคนในโลกนี้ อาศยั ความเพยี รเคร่ืองเผากิเลส อาศยั ความเพยี รทตี่ ั้งม่ัน อาศยั ความประกอบเนือง ๆ อาศัยความไมป ระมาท อาศยั มนสิการโดยชอบ แลวบรรลเุ จโตสมาธทิ เี่ ม่อื จติ ตง้ั มน่ั แลว เขายอ มเห็นหมูสัตวท ีก่ าํ ลงั จุติ กําลังอบุ ัติ เลว ประณตี มีผิวพรรณดี มผี ิวพรรณทราม ไดดตี กยาก ดว ยทพิ ยจกั ษอุ ันบรสิ ุทธิ์ ลว งจกั ษุของมนุษย ยอมรูชัดซึ่งหมสู ัตว ผเู ปน ไปตามกรรมวา สัตวเหลานี้ ประกอบดวยกายทจุ ริต วจีทุจรติ มโนทุจรติติเตียนพระอรยิ เจา เปน มจิ ฉาทฏิ ฐิ ยึดถอื การกระทาํ ดวยอํานาจมจิ ฉาทิฏฐิเบ้อื งหนา แตตายเพราะกายแตก ยอ มเขา ถึงอบาย ทุคติ วนิ ิบาติ นรก สว น
พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 203สัตวเหลานี้ ประกอบดวยกายสจุ ริต วจสี ุจริต มโนสจุ ริต ไมตเิ ตียนพระอรยิ เจา เปนสมั มาทิฏฐิ ยึดถอื การกระทําดวยอาํ นาจสัมมาทิฏฐิเบ้ืองหนาแตตายเพราะกายแตก เขายอมเขาถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรค ดงั น้ี.เขายอมเห็นหมสู ตั วที่กําลังจตุ ิ กําลงั อบุ ัติ เลว ประณตี มีผวิ พรรณดีมผี วิ พรรณทราม ไดด ีตกยาก ดวยทิพยจักษอุ นั บรสิ ุทธ์ิ ลว งจักษุของมนษุ ย ยอ มรูชดั ซง่ึ หมสู ตั วผูเปนไปตามกรรม ดว ยประการฉะน้.ี ขาแตพ ระองคผ เู จริญ น้ีเปนธรรมท่เี ยย่ี มในฝายรจู ตุ ิและอบุ ตั ิของสัตวท ง้ั หลาย. วาดวยอทิ ธิวธิ ี ๒ [๙๐] ขา แตพ ระองคผูเจริญ ยงั มีอีกขอ หนึ่ง ซึง่ เปน ธรรมท่เี ย่ยี ม คอื พระผูมพี ระภาคเจา ทรงแสดงธรรมในฝา ยอิทธิวิธี. อทิ ธิวิธี ๒ อยา ง นี้ คอื (๑) ฤทธท์ิ ปี่ ระกอบดว ยอาสวะ ประกอบดว ยอุปธิ ไมเ รยี กวาเปนของพระอริยะ มอี ย.ู (๒) ฤทธทิ์ ่ีปราศจากอาสวะ ปราศจากอปุ ธิ เรียกวา เปนของพระอรยิ ะมอี ย.ู ๑. ขา แตพระองคผูเจริญ ฤทธิท์ ีป่ ระกอบดว ยอาสวะ ประ-กอบดว ยอปุ ธิ ทีไ่ มเรียกวาเปน ของพระอรยิ ะน้นั เปน ไฉน. คือสมณะหรือพราหมณบางคนในโลกน้ี อาศัยความเพยี รเครอื่ งเผากิเลสอาศัยความเพียงทีต่ ง้ั มนั่ อาศัยความประกอบเนือง ๆ อาศัยความไมป ระมาท อาศัยมนสกิ ารโดยชอบ แลวบรรลุเจโตสมาธทิ ีเ่ ม่ือจติตง้ั มัน่ แลว เขาไดบรรลุอทิ ธิวิธหี ลายประการ คอื คนเดยี วเปน หลายคนก็ได หลายคนเปน คนเดยี วก็ได ทาํ ใหปรากฏก็ได ทําใหห ายไป
พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 204กไ็ ด ทะลุฝา กาํ แพงภูเขาไปได ไมต ดิ ขัดเหมือนไปในทีว่ างกไ็ ดผุดข้ึนดําลงแมในแผน ดินเหมือนลงในนํา้ ก็ได เดนิ บนน้าํ ไมแ ตกเหมือนเดนิ บนแผน ดินก็ได เหาะไปในอากาศเหมอื นนกก็ได ลูบ-คลาํ ดวงจันทร ดวงอาทติ ยซึง่ มฤี ทธิ์ มีอานภุ าพมากดว ยฝา มือกไ็ ดใชอํานาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได. ขา แตพระองคผูเจรญินี้ฤทธิท์ ่ีประกอบดวยอาสวะ ประกอบดว ยอปุ ธิ ไมเ รียกวา เปนของพระอรยิ ะ. ๒. สว นฤทธิ์ท่ปี ราศจากอาสวะ ปราศจากอปุ ธิ ที่เรียกวาเปน ของพระอรยิ ะน่ันเปนไฉน. คอื ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั นี้ ถา หวงัอยวู า เราพึงมสี ญั ญาในส่งิ ปฏิกลู วา ไมป ฏกิ ูลอยู กย็ อ มเปนผูมีสญั ญาในสิ่งปฏกิ ลู นนั้ วาไมปฏกิ ลู อยู ถา หวงั อยวู า เราพงึ มีสญั ญาในส่ิงไมปฏิกูลวา เปนสงิ่ ปฏิกูลอยู ก็ยอมเปน ผมู ีสัญญาในสิง่ ไมป ฏิกูลน้ันวาเปนสิ่งปฏกิ ูลอยู ถาหวงั อยวู า เราพงึ มสี ัญญาในสิ่งท้งั ทีป่ ฏกิ ลู และไมปฏกิ ลู วาไมปฏกิ ลู อยู ก็ยอ มเปนผูมสี ญั ญาในสิง่ ทัง้ ทีป่ ฏกิ ลู และไมปฏ-ิกูลนั้นวา ไมปฏิกูลอยู ถา หวังอยวู า เราพงึ มสี ัญญาในส่ิงทัง้ ท่ปี ฏิกลูและไมป ฏิกลู วา เปนส่งิ ปฏิกลู อยู ก็ยอ มเปน ผูมีสัญญาในสิง่ ทั้งท่ปี ฏิกลูและไมปฏกิ ูลน้ันวาเปนส่ิงปฏิกูลอยู ถา หวังอยวู า เราพงึ ละวางสง่ิ ท่ีเปน ปฏกิ ูลและไมเ ปน ปฏกิ ูลท้ัง ๒ น้ันเสีย แลว วางเฉยมีสติสมั ปชญั -ญะ กย็ อ มเปนผูว างเฉยในส่ิงนนั้ ที่เปน ปฏกิ ลู และไมป ฏิกลู นน้ั เสยี มีสติ สมั ปชัญญะอย.ู นีฤ้ ทธิท์ ป่ี ราศจากอาสวะ ปราศจากอุปธิ ท่ีเรยี กวา เปนของพระอรยิ ะ. ขา แตพ ระองคผเู จริญ นเ้ี ปน ธรรมในฝา ยอทิ ธ-ิวธิ .ี พระผมู ีพระภาคเจา ยอ มทรงรูขอ ธรรมนนั้ ไดทั้งส้นิ ไมม ีเหลืออยูเมื่อทรงรูขอธรรมนั้นไดท้งั สิน้ ไมม ีเหลืออยู กไ็ มม ีขอ ธรรมอ่นื ท่ีจะตอง
พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 205ทรงรูยิ่งข้นึ ไปกวาน้ัน ซง่ึ ไมม ีสมณะหรอื พราหมณอน่ื ทร่ี ยู ่ิงแลว จะมคี วามรยู งิ่ ข้นึ ไปกวา พระองคใ นฝายอิทธิวิธ.ี วา ดว ยพระสารบี ตุ รทลู ถาม [๙๑] ขา แตพ ระองคผูเจรญิ สิ่งใดอนั กุลบุตรผูมศี รัทธาปรารภความเพียร มีความเพียรม่ัน จะพงึ ถึงดว ยเรีย่ วแรงของบุรุษดวยความเพยี รของบรุ ุษ ดว ยความบากบั่นของบุรุษ ดว ยความเอาธุระของบรษิ ัท ส่งิ น้ันอนั พระผูมพี ระภาคเจาไดบรรลเุ ต็มท่ีแลว. อน่ึงพระผมู พี ระภาคเจา ไมท รงประกอบความพวั พันดว ยความสขุ ในกาม ซงึ่เปนของเลว เปน ของชาวบา น เปนของปุถชุ น ไมใชข องพระอรยิ ะไมประกอบดว ยประโยชน และไมทรงประกอบการทาํ ตนใหลําบากเปนทกุ ข ไมใชของพระอรยิ ะ ไมป ระกอบดวยประโยชน อน่ึงพระผมู พี ระภาคเจาทรงไดฌาน ๔ อันลวงกามาวจรจติ เสีย ใหอ ยสู บายในปจจุบันไดตามประสงค ไดไ มยาก ไมล ําบาก. ถาเขาถามขาพระ-องคอยา งนี้วา ดูกอ นทานสารบี ตุ ร สมณะหรือพราหมณเ หลา อื่นท่ีไดมีในอดตี ทา นท่ีมีความรูเ ยยี่ มยงิ่ กวาพระผูม พี ระภาคเจา ในสมั โพธิ-ญาณมไี หม. เม่ือเขาถามอยา งน้ี ขา พระองคพ ึงตอบวา ไมมี. ถาเขาถามวา สมณะหรือพราหมณเหลา อ่ืนท่ีจกั มใี นอนาคต ทานทม่ี ีความรเู ย่ยี มยิง่ กวา พระผูมพี ระภาคเจา ในสัมโพธิญาณจักมไี หม. เมือ่ เขาถามอยา งนี้ ขาพระองคพ งึ ตอบวา ไมม.ี ถา เขาถามวา สมณะหรอืพราหมณเ หลา อ่นื ท่มี อี ยูในปจจุบัน ทานที่มีความรูเสมอเทากบัพระผมู พี ระภาคเจา ในสัมโพธญิ าณมอี ยูไ หม. เมอื่ เขาถามอยา งน้ี ขา -พระองคพ งึ ตอบวา ไมมี. ถาเขาถามวา สมณะหรือพราหมณ เหลา อ่นืท่ไี ดมใี นอดีต ทา นท่มี คี วามรูเสมอเทากับพระผูมพี ระภาคเจาในสมั -
พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 206โพธญิ าณมีไหม. เมื่อเขาถามอยางน้ี ขา พระองคพ ึงตอบวา มีอยู.ถา เขาถามวา สมณะหรือพราหมณเ หลา อ่นื ที่จกั มีในอนาคต ทา นท่มี ีความรูเสมอเทากับพระผูมพี ระภาคเจา ในสัมโพธิญาณจกั มีไหม. เม่ือเขาถามอยางนี้ ขาพระองคพ ึงตอบวา มอี ยู. ถาเขาถามวา สมณะหรอื พราหมณเ หลา อืน่ ที่มอี ยูในปจ จบุ ัน ทา นทีม่ ีความรเู สมอเทากบัพระผูม พี ระภาคเจา ในสัมโพธญิ าณมีไหม. เมอ่ื เขาถามอยางนี้ ขาพระองคพ งึ ตอบวา ไมม ี. ก็ถา เขาถามขาพระองควา เหตไุ รทา นจงึ ตอบรับเปนบางอยาง ปฏิเสธเปน บางอยา ง เมือ่ เขาถามอยางน้ี ขาพระองคพึงตอบเขาวา น่แี นะทาน ขอ น้ี ขา พเจาไดสดบั มาเฉพาะพระพกั ตรไดรบั เรียนมาเฉพาะพระพักตร พระผูมีพระภาคเจา วา พระอรหันต-สัมมาสัมพุทธเจาทง้ั หลายในอดตี เปนผูม คี วามรเู สมอเทากับเราในสัมโพธญิ าณ ขอนข้ี าพเจาไดส ดบั มาเฉพาะพระพักตรไดรับเรยี นมาเฉพาะพระพกั ตร พระผมู ีพระภาคเจาวา พระอรหันตสัมมาสมั พทุ ธ-เจา ท้งั หลายในอนาคต จักเปนผมู ีความรูเ สมอเทากบั เราในสมั โพธิ-ญาณ ขอนข้ี าพเจา ไดส ดบั มาเฉพาะพระพักตร ไดรับเรียนมาเฉพาะพระพกั ตร พระผมู ีพระภาคเจา วา ขอที่พระอรหันตสมั มาสมั พทุ ธเจา๒ พระองค จะเกดิ พรอมกนั ในโลกธาตุเดียวกนั นน้ั ไมใชฐ านะไมใชโอกาส นนั่ เปนฐานะที่จะมีไมไ ด. [๙๒] ขา แตพ ระองคผ ูเจริญ เม่ือขา พระองคถ กู เขาถามอยางน้ี จะนบั วา กลา วตามพระพุทธพจนทพี่ ระผมู พี ระภาคเจาตรสั ไวแ ลวแล ไมช ือ่ วา กลา วตพู ระผูม ีพระภาคเจา ดว ยคําไมจ ริงแลหรอื ช่ือวา แกไปตามธรรม สมควรแกธรรมแลหรอื ท้ังการโตตอบอนั มเี หตอุ ยางไรๆมไิ ดม าถึงสถานะอันควรติเตียนแลหรอื .
พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 207 พระผูมพี ระภาคเจาตรสั วา ถูกแลว สารีบุตร เม่อื เธอถูกเขาถามอยางนี้ แกอยางน้ี นบั วา เปน ผกู ลาวตามพุทธพจนท่เี รากลาวแลว ทีเดียว ไมช ่อื วา กลาวตูเราดวยคําไมจริง ชอื่ วา แกไปตามธรรมสมควรแกธ รรม ทง้ั การโตตอบอันมเี หตุอยา งไร ๆ กม็ ไิ ดมาถงึ สถานะอนั ควรตเิ ตยี น.พระอทุ ายีสรรเสรญิ พระพุทธองค [๙๓] เมอื่ พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั อยา งน้ีแลว ทา นพระอุทายียไี ดกราบทูลวา ขาแตพ ระองคผูเ จรญิ นา อศั จรรยนกั ไมเคยมมี าความมักนอ ย ความสนั โดษ ความขดั เกลา มีอยแู กพระตถาคตผทู รงมฤี ทธม์ิ ีอานุภาพมากอยางน้ี แตไมทรงแสดงพระองคใหปรากฏขา แตพ ระองคผูเจริญ ถา พวกอญั ญเดียรถยี ปรพิ าชก ไดเ หน็ ธรรมแมสักขอหนงึ่ จากธรรมของพระองคนใ้ี นตนแลว พวกเขาจะตองยกธงเที่ยวประกาศ ดว ยเหตุเพียงเทานัน้ ขา แตพระองคผ ูเ จริญ นาอศั จรรยน กั ไมเคยมมี า ความมกั นอย ความสันโดษ ความขดั เกลามีอยูแกพ ระตถาคตผทู รงมฤี ทธิ์มีอานุภาพมากอยางนี้ แตไ มท รงแสดงพระองคใหป รากฏ. พระผูมีพระภาคเจา ตรัสวา ดกู อนอทุ ายี เธอจงดคู วามนกั นอ ยความสันโดษ ความขดั เกลาของตถาคตผูม ฤี ทธ์ิมีอานภุ าพมากอยางนี้แตไ มแสดงตนใหปรากฏ เพราะเหตุนัน้ ถาพวกอัญญเดียรถียปร-ิพาชก ไดเ หน็ ธรรมแมสักขอ หนง่ึ จากธรรมของเราน้ใี นตนแลวพวกเขาจะตอ งยกธงเที่ยวประกาศ ดวยเหตเุ พียงเทา นี้ ดูกอนอทุ ายีเธอจงดูความมักนอย ความสันโดษ ความขัดเกลาของตถาคตผูมีฤทธ์ิมอี านภุ าพอยางนี้ แตไ มแสดงตนใหป รากฏ.
พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 208 ครั้งน้นั แล พระผูมีพระภาคเจา ตรัสกะทานพระสารบี ตุ รวาเพราะเหตนุ ้ันแล สารีบตุ ร เธอพึงกลาวธรรมปริยายนีเ้ นือง ๆ แกภิกษุ ภิกษณุ ี อบุ าสก อบุ าสกิ า ทัง้ หลาย ในธรรมวินยั นี้ ดกู อนสารีบตุ ร ความสงสยั หรอื ความเคลือบแคลงในตถาคต ซึ่งจักยังมีอยูบ า งแกโมฆบุรุษท้ังหลาย พวกเขาจกั ละเสยี ได ก็เพราะไดฟงธรรมปริยายน้ี. ทา นพระสารีบุตรไดป ระกาศความเลอ่ื มใสของตนนี้ เฉพาะพระพักตรพ ระผมู ีพระภาคเจา ดวยประการฉะน้ี. เพราะฉะนน้ั คําไวยากรณนี้ จึงมชี ือ่ วา \"สัมปสาทนยี ะ\" ดงั น้แี ล. จบสัมปสาทนยี สตู ร ท่ี ๕
พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 209 อรรถกถาสัมปสาทนียสตู ร สัมปสาทนยี สตู ร มคี ําขนึ้ ตน วา เอวมฺเน สตุ ดงั นี.้ ในสมั ปสาทนียสูตรนนั้ มกี ารพรรณนาบททยี่ ังไมช ดั ดังตอ ไปน.ี้ บทวา นาฬนทฺ าย ความวา ใกลพ ระนครซึ่งไดน ามวา นาฬนั ทาพระผมู ีพระภาคเจา ไดทรงทําเมอื งนาลันทานน้ั ใหเ ปน ทโ่ี คจรคาม. บทวาปาวาริกมฺพวเน ความวา ทสี่ วนมะมว งของเศรษฐีผมู ผี า มีขนออ นนมุ .ไดยินวา สวนมะมวงนั้นเปนสวนของเศรษฐนี นั้ . เขาไดฟง พระธรรม-เทศนาของพระผูม ีพระภาคเจาแลว มีความเลือ่ มใสในพระผูมพี ระภาคเจาไดสรา งวิหาร ซึ่งประดบั ดว ยกุฏทิ พ่ี ักผอ นและมณฑปเปนตน ในอุทยานนน้ัมอบถวายพระผมู ีพระภาคเจา วหิ ารน้ันไดถึงการนบั วา ปาวาริกัมพวันเหมอื นชวี กมั พวันฉะนัน้ . อธิบายวา พระผูมพี ระภาคเจา นัน้ ประทับอยทู ่ีปาวาริกมั พวันน้ัน. ทา นพระสารีบตุ รไดก ราบทลู คํานีก้ ะพระผูม ีพระภาคเจาวา ขา แตพระองคผเู จริญ ขา พระองคม คี วามเล่อื มใสในพระผูมพี ระภาคเจาอยางน.้ี ถามวา เพราะเหตไุ ร พระเถระจงึ ทลู อยางน้ี ตอบวา เพอ่ืประกาศความโสมนสั ซึ่งบงั เกิดแกตน. ในเรื่องน้ี มกี ารกลา วตามลาํ ดบั ดงั ตอไปนี.้ นัยวา ในวันนน้ัพระเถระชาํ ระรางกายแตเชา ตรู นุงหม เรยี บรอ ยแลว ถอื บาตรจวี ร นาํความเล่ือมใสมาใหเ กิดแกหมเู ทวดาและมนุษย ดวยอริ ยิ าบถมีการกาวไปขางหนา เปนตน อันนา เลื่อมใส หวงั เพิ่มพลู ประโยชนส ุขแกช าวเมืองนาลนั ทา จงึ เขา ไปเพอ่ื บณิ ฑบาต ในเวลาหลงั ภตั กก็ ลบั จากบิณฑบาตไปวหิ ารแลว แสดงวัตรแดพ ระศาสดา เมอ่ื พระศาสดาเสด็จเขาพระคันธกุฏีแลว ถวายบงั คมพระศาสดาแลว กลับไปยังที่พกั กลางวนั ของตน เมือ่ สทั ธิ-
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 210วิหาริกและอนั เตวาสิกในที่น้นั พากันแสดงวัตรแลวหลีกไป พระเถระไดก วาดทพ่ี กั กลางวันนน้ั แลว ปูลาดแผนหนัง เอานา้ํ จากลักจ่นั ชุบมือและเทาใหเยน็ แลว นง่ั คูบ ลั ลงั ก ๓ ชั้น ทาํ ตามกําหนดเวลาแลว จงึเขา ผลสมาบัติ. ทานออกจากสมาบตั ิดว ยเวลาตามท่ไี ดกาํ หนดไวแ ลว เริ่มที่จะระลกึ ถงึ คุณของตน. ท่นี ัน้ เม่ือทานกําลงั ระลกึ ถงึ คุณอยู ศีลกไ็ ดมาปรากฏ ตอแตน ั้น สมาธิ ปญ ญา วิมตุ ติ วิมตุ ติญาณทัสสนะ ปฐม-ญาน ฯลฯ จตุตถฌาน อากาสานญั จายตนสมาบัติ ฯลฯ เนวสัญญา-นาสญั ญายตนสมาบัติ ฯลฯ วปิ สสนาญาณ ฯลฯ ทิพพจักขญุ าณ ฯลฯโสดาปต ติมรรค โสดาปตตผิ ล ฯลฯ อรหัตตมรรค อรหตั ตผล อัตถ-ปฏิสัมภิทา ธรรมปฏิสมั ภิทา นิรตุ ติปฏสิ ัมภิทา ปฏภิ าณปฏิสมั ภิทา สาวก-บารมญี าณ กป็ รากฏข้นึ ตามลําดบั . จําเดมิ แตน ั้น เมื่อทานกําลังระลกึถงึ คุณของตน เริ่มตน แตอภินิหารทไ่ี ดทําไวแ ทบบาทมูลของพระพุทธเจาทรงพระนามวา อโนมทสั ส่ี เหนืออสงไขยกําไรแสนกัลป จนกระท่งั ถงึ เวลาที่กาํ ลังนงั่ คบู ัลลังก คณุ ท้ังหลายก็ไดป รากฏ. พระเถระระลึกถงึ คุณของตนเปน อนั มากอยางน้ี ก็ไมอาจเห็นประมาณหรอื กาํ หนดของคณุ ทงั้ หลายไดเ ลย. ทานคิดวา ประมาณหรือกาํ หนดแหงคณุ ทั้งหลายของพระสาวกดํารงอยใู นญาณบางสวน ยอมไมม ีแกเรากอ น แตเราบวชอทุ ิศพระศาสดาองคใด พระศาสดาพระองคน้ันมีพระคุณเปน เชนไรหนอ ดงั นแ้ี ลวจงึ เร่มิ ระลึกถึงพระคุณของพระทสพล. ทา นไดอาศัยศลี สมาธิ ปญญาวมิ ตุ ติ วมิ ตุ ติญาณทัสนะ สตปิ ฏฐาน ๔ ของพระผูมีพระภาคเจา อาศยัสัมมปั ปธาน ๔ อิทธบิ าท ๔ มรรค ๔ ผล ๔ ปฏสิ มั ภทิ า ๔ โยนิปรจิ เฉ-ทกญาณ ๔ อรยิ วงศ ๔ ของพระทสพล แลว เริ่มระลกึ ถงึ พระคณุ ของพระ
พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 211ทศพล. อนงึ่ พระเถระอาศัย องคข องปธาน ๕ สัมมาสมาธิมอี งค ๕อินทรยี ๕ พละ ๕ นิสสรณียธาตุ ๕ วมิ ตุ ตายตนะ ๕ ปญ ญาเครื่องสัง่ สมวิมตุ ติ ๕ สาราณียธรรม ๖ อนสุ สติกมั มัฏฐาน ๖ คารวะ ๖ นสิ -สรณยี ธาตุ ๖ สัตตวหิ ารธรรม ๖ อนุตตรยิ ะ ๖ ปญ ญาอันเปน สว นแหง การตรัสรู ๖ อภิญญา ๖ อสาธารณญาณ ๖ อปริหานยิ ธรรม ๗ อริย-ทรพั ย ๖ โพชฌงค ๗ สัปปุรสิ ธรรม ๗ นิชชรวัตถุ (เร่อื งของเทวดา)๗ ปญ ญา ๗ ทักขไิ ณยบุคคล ๗ ขณี าสวพละ ๗ ปญ ญาปฏิลาภเหตุ๘ สมมตั ตธรรม ๘ การกา วลวงโลกธรรม ๘ อารพั ภวตั ถุ ๘ อักขณเทสนา๘ มหาปรุ สิ วิตก ๘ อภภิ ายตนะ ๘ วิโมกข ๘ ธรรมอนั เปน มลู ของโยนิ-โสมมสิการ ๙ องคแหงความเพยี รอนั บรสิ ุทธ์ิ ๙ สัตตาวาสเทสนา ๙อาฆาตปฏวิ นิ ัย ๙ ปญญา ๙ นานตั ตธรรม ๙ อนปุ พุ พวิหาร ๙นาถกรณธรรม ๑๐ กสณิ ายตนะ ๑๐ กุศลกรรมบถ ๑๐ ตถาคตพละ๑๐ สมั มตั ตธรรม ๑๐ อรยิ วาสธรรม ๑๐ อเสขธรรม ๑๐ อานสิ งสเมตตา ๑๑ ธรรมจกั ร มอี าการ ๑๒ ธุดงคคุณ ๑๓ พุทธญาณ ๑๔ธรรมเครื่องอบรมวมิ ุตติ ๑๕ อานาปานสติ ๑๖ พทุ ธธรรม ๑๘ ปจ จ-เวกขณญาณ ๑๙ ญาณวตั ถุ ๔๔ กุศลธรรมเกนิ ๕๐ ญาณวตั ถุ ๗๗สมาบตั ิ ๒๔ แสนโกฏิ สญั จารติ มหาวชริ ญาณแลว เริ่มระลกึ ถงึ คุณของพระทศพล. ก็ พระสารีบุตรนั่งในท่ีพักกลางวนั น้ันนั่นแลว อาศัยธรรมอันเปนเชื้อสายขอ อื่นอีก ๑๖ ขอซึง่ จกั มาตอไปโดยพระบาลีวา อปร ปน ภนเฺ ตเอตทานุตฺตรยิ จึงไดเริ่มระลกึ ถงึ พระคณุ ของพระทศพล. พระสารีบุตรน้นัระลึกถึงพระคณุ ของพระทสพลอยา งน้วี า พระศาสดาของเราทรงเปนผูย อดเยย่ี มในกศุ ลบัญญัติ ยอดเย่ยี มในอายตนบญั ญัติ ยอดเยี่ยมในการกา วลงสพู ระ
พระสุตตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 212ครรภ ยอดเยยี่ มในวิธแี สดงดกั ใจผูฟง ยอดเยยี่ มในทัสสนสมบัติ ยอดเย่ยี มในบคุ คลบญั ญตั ิ ยอดเยย่ี มในปธาน ยอดเยย่ี มในปฏิทา ยอดเยยี่ มในภสั สสมาจาร ยอดเยยี่ มในปุริสสีลสมาจาร ทรงยอดเยย่ี มในอนุสาสนีวิธียอดเย่ยี มในปรปคุ คลวิมตุ ติญาณ ยอดเยีย่ มในปุพเพนิวาสญาณ ยอดเยี่ยมในทพิ พจกั ขญุ าณ ยอดเยยี่ มในอทิ ธวิ ิธี ยอดเยี่ยมดวยธรรมนี้ ดงั่ น้ี ก็ไมเหน็ ทส่ี ุด ไมเ ห็นประมาณแหง พระคณุ ทง้ั หลายของพระผมู ีพระภาคเจาได. พระเถระไมเหน็ ที่สุด ไมเ ห็นประมาณแหง คณุ ทั้งหลายของตนกอนจกั เหน็ พระคณุ ทัง้ หลายของพระผูมพี ระภาคเจาไดอยางไร ก็ ผูใ ดมีปญ ญามากและมญี าณแขง็ กลา ผูนัน้ ยอมเชอื่ พุทธคณุอยา งมาก โลกยิ มหาชน ไอกด็ ี จามก็ดี ดาํ รงอยูใ นอุปนสิ ัยของตน ๆยอ มระลึกถงึ พระคุณของพระพุทธเจา ทงั้ หลายวา ขอความนอบนอ มจงมีแดพ ระพทุ ธเจา ทง้ั หลาย. พระโสดาบันคนเดียงยอมเชือ่ พระพทุ ธคุณมากกวาโลกิยมหาชนท้ังหมด. พระสกทาคามคี นเดยี วเชอื่ พระพุทธคณุ มากกวาพระโสดาบนั ต้ังรอ ยต้ังพนั . พระอนาคามีคนเดยี วเชอ่ื พระพุทธคุณมากกวา พระสกทาคามตี ้ังรอยตง้ั พัน. พระอรหนั ตองคเ ดยี วเชอ่ื พระพทุ ธ-คุณมากกวา พระอนาคามีต้ังรอ ยต้ังพัน. พระอสตี มิ หาเถระเชื่อพระพทุ ธ-คุณมากกวา พระอรหันตทเี่ หลอื . พระมหาเถระ ๔ รปู เช่อื พระพุทธคุณมากกวาพระอสตี ิมหาเถระ. พระอัครสาวกทั้งสองรปู เชอ่ื พระพทุ ธคณุ มากกวา พระมหาเถระทั้ง ๔ รูป บรรดาพระอคั รสาวกทง้ั สองนัน้ พระสาร-ีบตุ รเถระเชือ่ พระพทุ ธคุณมากกวา พระโมคคลั ลานะ. พระปจ เจกพทุ ธเจารปู เดยี วกเ็ ช่ือพระพุทธคณุ มากกวาพระสารีบตุ รเถระ กถ็ าพระปจเจกพุทธ-เจาท้งั หลายพงึ น่ังเอาชายสังฆาฎิกระทบกบั ชายสงั ฆาฏิ ในหอ งแหงจกั รวาลทั้งส้ิน แลว ระลกึ ถงึ พระคุณของพระพทุ ธเจา พระสพั พญั ูพุทธเจาองค
พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 213เดียวเทานน้ั เช่ือในพระพทุ ธคุณมากกวา พระปจเจกพทุ ธเจาทัง้ ปวงเหลานั้น. มหาชนฟน เชือกทง้ั หลาย เพือ่ ตอ งการรวู า มหาสมุทรลึก-ตน้ืเทา ไร ดงั น้ี บรรดาชนเหลา นั้น บางคนฟนไดวาหนง่ึ บางคนฟนได ๒วา ฯลฯ บางคน ๑๐ วา บางคน ๒๐ วา บางคน ๓๐ วา บางคน ๔๐วา บางคน ๕๐ วา บางคน ๑๐๐ วา บางคนได ๑๐๐๐ วา บางคนได๘๔,๐๐๐ วา ชนเหลาน้นั พากันลงเรอื แลว ดาํ รงอยใู นทา มกลางมหาสมทุ รหรอื บนภูเขาสงู เปน ตนแลว หยอ นเชือกของตน ๆ ลงไป บรร-ดาชนเหลา นั้น ผใู ดมี เชือกยาววาหนงึ่ เขาก็รนู า้ํ ไดใ นที่ประมาณวาหน่ึงเทา นัน้ ฯลฯ ผูใดมีเชอื กยาวถงึ ๘๔,๐๐๐ วา ผูน ั้นยอ มรูนา้ํ ไดในทล่ี ึกประมาณ ๘๔,๐๐๐ วาเทาน้ัน ตอจากนั้นไป ยอ มไมรูวา นํ้าในมหาสมุทรมีความลึกเทาน้ี ดงั น้ี อนึ่ง นาํ้ ในมหาสมทุ ร มใิ ชมีประ-มาณเพยี งเทานนั้ โดยทีแ่ ทยอ มมมี ากหาทส่ี ุดหาประมาณมิได เพราะมหาสมุทรมคี วามลึกถงึ ๘๔,๐๐๐ โยชน ขอ น้มี ีอปุ มาฉันใด พึงทราบพระพุทธคุณที่โลกิยมหาชนเหน็ เปรยี บเสมือนนํ้าท่บี ุรุษรไู ดด ว ยเชือกพึงทราบพระพุทธคุณมอี ปุ ไมยฉันน้ัน คอื ตงั้ แตว าหนงึ่ จนถึง ๙ วา พึงทราบพระพทุ ธคณุ ที่โลกยิ มหาชนเหน็ เปรียบเสมอื นนาํ้ ทีบ่ รุ ษุ รไู ดดว ยเชือกตงั้ แตวาหนง่ึ จนถึง ๙ วา พงึ ทราบพระพทุ ธคณุ ท่ีพระโสดาบันเหน็ ไดเปรียบเสมือนนํ้าทีบ่ รุ ษุ รูไดในท่ปี ระมาณ ๑๐ วา ดวยเชือกยาว ๑๐ วา พงึทราบพระพทุ ธคุณทพี่ ระสกิทาคามเี หน็ ได เปรยี บเสมือนนํ้าท่ีบุรษุ รูไดในทลี่ กึ ๑๐ วาดวยเชือกยาว ๒๐ วา พงึ ทราบพระพุทธคณุ ที่พระอนาคามเี ห็นไดเ ปรียบเสมอื นน้าํ ที่บรุ ุษรไู ดใ นที่ลกึ ๓๐ วา ดวยเชือกยาว ๓๐ วา พึงทราบพระพุทธคุณทพี่ ระอรหนั ตเห็นได เปรยี บเสมอื นนํา้ ทีบ่ รุ ุษเหน็ ไดใ นที่ลกึ ๔๐ วา ดว ยเชอื กยาว ๔๐ วา พงึ ทราบพระพทุ ธคณุ ที่พระอสีตมิ หาเถระเหน็ ได เปรยี บเสมอื นนาํ้ ทบ่ี รุ ษุ เห็นไดในที่ลึก ๕๐ วา ดว ยเชอื กยาว
พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 214๕๐ วา พงึ ทราบพระพทุ ธคณุ ท่ีพระมหาเถระ ๔ รูปเห็นได เปรยี บเหมอื นนํา้ ท่ีบรุ ษุ เหน็ ไดในท่ลี ึก ๑๐๐ วา ดวยเชือกยาว ๑๐๐ วา พึงทราบพระ-พทุ ธคณุ ทีพ่ ระมหาโมคคลั ลานะเหน็ ได เปรียบเหมอื นนา้ํ ทบ่ี ุรุษเห็นไดในท่ลี ึก ๑,๐๐๐ วา ดว ยเชอื กยาว ๑,๐๐๐ วา พงึ ทราบพระพทุ ธคุณทพ่ี ระ-ธรรมเสนาบดสี ารีบตุ รเหน็ ได เปรียบเหมอื นนา้ํ ที่บรุ ษุ รูไ ด ในท่ลี ึกประมาณ ๘๔,๐๐๐ วา ดว ยเชอื กยาว ๘๔,๐๐๐ วา ในบรรดาชนเหลานัน้บรุ ษุ คนใดยอ มถอื เอาวา นํา้ ในมหาสมุทรไมม ีเพียงเทา นี้ ยอ มหาทสี่ ดุหาประมาณมิได ฉนั ใด ทา นพระสารบี ุตรก็ฉนั นน้ั เหมือนกนั ดํารงอยูในสาวกบารมญี าณ ระลึกถึงพระคณุ ของพระทศพลโดยแนวแหง ธรรมคอื โดย รตู ามกนั มา อนมุ าน ถอื เอาโดยนัย จงึ เชือ่ วา พระพทุ ธคณุไมม ีที่สุด ไมม ีประมาณ ดงั นี้. ความจรงิ เฉพาะพระพุทธคณุ ที่บุคคลพึงถือเอา โดยแนวธรรม มมี ากกวา พระพทุ ธคณุ ทพี่ ระเถระเห็นแลว. ทา นอธิบายวา เหมือนอะไร. ทา นอธิบายไวว า บุรุษคนหนงึ่ พึงเอาบว งเขม็ ตดั เอานํา้ จากแมนํา้ ใหญช่ือจนั ทรภาคา ซ่ึงกาํ ลงั ไหลทวมสถานท่ถี ึง ๑๘ โยชนคอื ขา งนี้ ๙ โยชน ขา งโนนอีก ๙ โยชน นาํ้ ท่บี ุรุษมิไดตกั ไปมมี ากกวา น้ําที่บรุ ษุ เอาหวงเขม็ ตกั ไป ก็หรือบรุ ุษพึงเอาน้วิ มือจบั เอาฝุนจากแผน ดนิ ใหญ ฝนุ ที่เหลอื นนั้ แลมมี ากกวา ฝุน ทบี่ ุรษุ นั้นเอานว้ิ มือจกัไดมา ก็หรือ บุรุษพึงชี้นวิ้ ไปยังมหาสมุทร น้าํ ที่เหลือนั้นแลมีมากกวา น้ําตรงท่บี ุรษุ ชนี้ ว้ิ ไป และบรุ ษุ พงึ ชน้ี ้ิวไปยังอากาศ สวนอากาศทเี่ หลอืมมี ากกวาอากาศตรงที่บรุ ุษชี้น้ิวไป พระพทุ ธคุณทงั้ หลายท่ีพระเถระไมเหน็ นนั้ แล พงึ ทราบวามมี ากกวา พระพุทธคุณท่พี ระเถระไดเ หน็ แลว ฉนั -นน้ั สมจริงดังคําทท่ี านกลาวไววา
พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 215 มาตรแมน พระพุทธเจาไมตรสั คาํ อ่นื พงึ พรรณนาเฉพาะพระพุทธคุณตลอดกลั ป กัลปพึงสนิ้ ไปในระหวางเวลายืดยาวนานแตพระคุณของพระตถาคตหาส้ินไปไม ดังนี.้ เมอื่ พระเถระระลกึ ถึงคุณของตน และพระคณุ ของพระศาสดาอยูอยา งนี้ ปติและโสมนสั ทว มทบั ทใ่ี นภายใน เหมือนหวงนา้ํ ใหญไ หลทว มแมน ้ําใหญส องสาย ยงั สรีระทกุ สวนใหเตม็ เปยม เหมือนลมทําใหถงุ ลมเตม็ เปย ม (และ ) เหมือนสายนาํ้ ที่ไหลแยกพงุ ขึน้ ยังหวงนํ้าใหญใหเ ต็ม.ฉะน้นั ลาํ ดบั นน้ั พระเถระคิดวา เราผไู ดบ วชในสาํ นักของพระศาสดาเชนนน้ี ับวาไดต ้ังความปรารถนาไวด ีแลว และการบวชเราไดดแี ลว . ปติและโสมนสั อนั มกี ําลังมา ไดเ กิดแกพระเถระผกู าํ ลงั คดิ อยูอ ยา งน.้ี ท่ีนน้ั พระเถระคดิ วา เราควรบอกปต ิและโสมนสั น้ีแก ใครหนอดังน้ีแลว คดิ อีกวา สมณะหรือพราหมณ หรอื เทวดา หรือมาร หรือพรหมบางคน ไมส ามารถท่จี ะรบั เอาความเสื่อมใสของเรานี้ทําใหเหมาะสมได เราจกั กราบทลู ความโสมนัสนแี้ ดพ ระศาสดาเทา นั้น พระศาสดาเทาน้นั ทจ่ี กั สามารถรับเอาความโสมนสั ของเราไดป ต ิโสมนสั ของเรานั้นจงน้ันจงยกไวก อน เม่อื สมณะเชน เรารอ ยหน่งึ กด็ ี พันหนึ่งกด็ ี แสนหนึ่งกด็ ี ประกาศความโสมนสั อยู พระศาสดาของเราครองใจคนทั้งปวง ก็ทรงสามารถที่จะรบั ปต ิโสมนสั น้นั ไดเหมือนบึงหรือซอกเขา ไมสามารถที่จะรับแมน ํ้าใหญ ช่ือจนั ทรภาคา ซ่งึ กาํ ลังไหลบา ทวมไปถึง ๑๘ โยชนได มหาสมทุ รเทา นั้นท่จี ะรับนํา้ นน้ั ไดแมนํา้ ใหญชื่อจันทรภาคาจงยกไวกอน แมนํ้าเห็นปานนร้ี อยหนึง่ กด็ ีพนั หนงึ่ กด็ ี แสนหนง่ึ กด็ ี มหาสมทุ รยอมรบั ไวไ ดห มด ความพรองหรือความเตม็ ดว ยน้ํานั้น ของมหาสมุทรน้นั หาปรากฏไม ฉนั ใด พระ
พระสุตตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 216ศาสดาของเรากฉ็ ันนั้นเหมือนนัน้ เมอ่ื พระสมณะเชน เรารอ ยหน่ึงกด็ ี พันหน่ึงก็ดี แสนหนง่ึ กด็ ี กําลังประกายปต โิ สมนสั อยู ทรงครองใจคนท้ัง-ปวงสามารถทีจ่ ะรบั ไวได สมณะพราหมณเ ปน ตน ท่ีเหลอื ยอมไมสามารถเพ่ือจะรับโสมนัสของเราไวได เหมือนบึงและซอกเขาไมส ามารถท่จี ะรบัแมนํ้าใหญ ชื่อจันทรภาคาไวไ ดฉ ะนัน้ อยา กระนัน้ เลย เราจะกราบทูลปต -ิโสมนัสของเราแกพระศาสดาเทา นัน้ ดงั น้ีแลว จึงเลิกนง่ั คบู ลั ลงั กส ะบัดแผนหนังถอื เขาไปเฝาพระศาสดาในเวลาเยน็ อันเปน เวลาทดี่ อกไมหลดุ จากขั้วหลน ลงมา เมือ่ จะประกาศโสมนสั ของตนจงึ ทลู วา เอว ปสนฺโน อหภนฺเต ดังนเี้ ปนตน. บรรดาบทเหลา น้ี บทวา เอว ปสนฺโน ความวา มีความเชือ่เกิดขนึ้ แลวอยางน้ี อธิบายวา ขา พระองค เช่อื อยา งน้.ี บทวา ภิย-ฺโยภิฺตโร ความวา รยู ่งิ กวาหรือผูมคี วามรูยง่ิ ไปกวา. อธบิ ายวา ผูมีญาณย่ิงกวา. บทวา สมโฺ พธิย ความวา ในสัพพัญตุ ญาณหรอื ในอรหัตตมรรคญาณ. ดว ยวา พทุ ธคณุ ทั้งหลายมไิ ดมสี ว นหนงึ่ ตางหากทานถือเอาดวยอรหตั มรรคนนั่ เอง. ความจริง พระอัครสาวกทั้งสองยอ มไดเ ฉพาะสาวกบารมญี าณดวยอรหัตตมรรคนน่ั เอง. พระปจ เจกพุทธ-เจา ยอ มไดป จเจกโพธญิ าณแทนพระพุทธเจา ทั้งหลาย ยอมไดทั้งพระสพัฬญั ุตญาณและพระพทุ ธคณุ ทง้ั สนิ้ . ความจรงิ เพราะพระสพั พญั ุตญาณเปน ตน นน้ั ยอมสาํ เรจ็ แกทานเหลาน้นั ดวยอรหัตตมรรคนั้นเอง. ฉะน้ันอรหัตตมรรคญาณจงึ ชือ่ วา สมั โพธ.ิ บุคคลผูยิ่งกวา พระผมู ีพระภาคเจา ดว ยอรหัตตมรรคนั้นหามไี ม. ดว ยเหตุน้นั ทา นพระสารีบุตรจงึ ทูลวา ภควตาภิยโฺ ยภิ ฺตโร ยททิ สมโฺ พธิย ดังนี.้ บทวา อฬฺ ารา คอื ประเสริฐ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 217ความจริง อฬุ ารศัพทนีม้ าในอรรถวา อรอ ย ในประโยคเปน ตน วายอมเค้ยี วกันของเคีย้ วอนั อรอ ย. มาในอรรถวา ประเสริฐในประโยควานัยวาทานวัจฉายนะ ยอ มสรรเสริญพระสมณโคดมดวยคําสรรเสริญอันประเสริฐ. มาในอรรถวาไพบูลย ในประโยคเปน ตน วา รัศมอี ันไพบลู ยห าประมาณมไิ ด ดังน้ี. ในบาลีประเทศนอ้ี ฬุ ารศพั ทนนั้ มาในอรรถวาประเสริฐ.ดว ยเหตุนัน้ ทา นจึงกลาววา บทวา อฺราฬารา แปลวา ประเสรฐิ .บทวา อาสภิ ความวา เปนวาจาไมห วน่ั ไหว ไมส น่ั คลอน เชน กับวาจาของผอู งอาจ. บทวา เอก โส คหโิ ต ความวา ถือเอาสว นเดยี วเหมือนรูส กึ ซ้ึงดวยญาณโดยประจกั ษไมก ลา ว เพราะฟง ตามกนั มา เพราะเชอ่ื ตามอาจารย เพราะเช่ือขา วลอื เพราะอางตํารา เพราะตรกึ ตามอาการเพราะชอบใจวา ถูกตอ งกับความเหน็ ของตน เพราะเหตแุ หง การเดาเอาเอง หรือเพราะเหตแุ หงการคาดคะเน. อธิบายวา ทานถอื เอาสันนฏิ -ฐานกถาอยา งเดียว. บทวา สหี นาโท คือ การบนั ลืออยา งประเสริฐ.อธบิ ายวา บนั ลือเสียงสูงเหมือนราชสีห มใิ ชเปลงเสยี งชา ๆ มิใชเปลง เสียงเหมือนเครอื่ งสบู ถามวา เพราะเหตไุ ร พระผูม ีพระภาคเจา จงึ ทรงเรม่ิ เทศนานวี้ ากินนฺ ุ เต สาริปุตฺต ดงั น.ี้ ตอบวา เพอ่ื ใหทา นยอมใหซ ักถามได เพราะบคุคลบางคนบันลอื สหี นาทแลว ไมอาจทจ่ี ะตอบคําซักถามได ในการบนั ลอืของตนท้ังทนการเสียสีไมได ยอ มเปน เหมือนลงิ ที่ตดิ ตงั ฉะนั้น. ถา นเพลงิท่เี ผาไหมส ําหรบั ชางทองใชเ ผาโลหะที่ไมบริสทุ ธิ์ ฉันใด บคุ คลน้ันก็เปนเหมอื นถานเพลงิ ทีเ่ ผาไหม ฉนั นั้น. บคุ คลบางคนเมอ่ื ถูกซกั ถามในสีหนาท ยอ มสามารถทีจ่ ะตอบได ทัง้ หนตอการเสยี ดสีได ยอ มงามยง่ิเหมอื นทองคําไมมโี ทษ (บรสิ ุทธิ)์ ของชา งทองฉะนัน้ พระเถระเปน เชน
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 218น้นั . ดว ยเหตนุ ั้น พระผูม ีพระภาคเจา ทรงทราบพระเถระนนั้ วา พระสาร-ีบุตรนี้ ควรแกก ารซกั ถามได จึงทรงเร่ิมเทศนาแมน้ี เพอ่ื จะใหท า นยอมใหซ ักถามไดใ นการบนั ลือสีหนาท. บรรดาบทเหลาน้นั บทวา สพเฺ พ เต ความวา พระพทุ ธเจาทั้งหมดเหลาน้นั เธอกาํ หนดรแู ลว. ในคําเปนตนวา เอว สลี า ดงั นี้พระผมู ีพระภาคเจายอ มตรัสถามศลี เปน ตน ดวยอาํ นาจศีลทงั้ ท่ีเปน โลกยิ ะและโลกตุ ตระ. คาํ เหลานั้นไดกลา วพสิ ดารไวแลวในมหาปทาน. ดวยคาํวา กึ ปน เต สารีปุตตฺ เย เต ภวิสสนฺติ น้ี พระผูนี้พระภาคเจา เมื่อจะตรัสถามวา ก็พระพทุ ธเจา ทงั้ หลายซง่ึ มีในอดตี ดับไปกอ นแลว คอื ถึงความเปนผูหาบัญญตั ิไมได ไดแก ดับไปเหมอื นเปลวประทปี ฉะนนั้ เมือ่ พระพุทธเจา ดบั ไป คือ ถึงความเปนผูห าบัญญัติมิไดอ ยา งนี้ เธอจักรู ไดอ ยางไรกค็ ณุ ของพระพทุ ธเจา ในอนาคต เธอกําหนดรูไดดวยจติ ของตนอยางไรดงั น้ี จงึ ตรัสอยา งน.้ี ดวยคําวา กึ ปน เต สารีปุตฺต อห เอตรหิ น้ีพระผูม ีพระภาคเจา เมอ่ื จะทรงซกั ถามวา พระพุทธเจาทงั้ หลายแมยังไมม าถงึ คือยงั ไมประสตู ิ ยังไมเ กดิ ยังไมอ ุบัตขิ น้ึ เธอจกั รพู ระพทุ ธเจาเหลา น้ันไดอ ยางไร เพราะการรพู ระพทุ ธเจาเหลา นน้ั ยอมเปนเหมอื นการดรู อยเทา ในอากาศ ซ่ึงไมม รี อยเทาเลยฉะน้นั . บัดน้ีเธออยูในวหิ ารหลังเดยี วกันกบั เรา เทีย่ วภกิ ขาจารรวมกนั ในเวลาแสดงธรรม เธอก็น่ังอยูท่ขี างเบอื้ งขวา (ของเรา) กค็ ุณท้ังหลายของเรา เธอกาํ หนดรูดวยใจของคนแลวหรือ ดังน้แี ลว จงึ ตรสั อยา งน้.ี กเ็ มือ่ พระผมู ีพระภาคเจาตรัสถามแลว ๆ พระเถระจึงกราบทูลปฏเิ สธวา ขอ นนั้ หาเปน เชนนน้ั ไม พระเจาขา ดงั น้ี.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 219 ถามวา ก็สง่ิ ท่พี ระเถระรกู ม็ ีอยบู าง สง่ิ ทพ่ี ระเถระไมรกู ็มอี ยบู างพระเถระนัน้ ยอมทําการโตแ ยงในท่ี ๆ ตนรู และในที่ ๆ ตนไมรูอ ยา งไร. ตอบวา ในส่งิ ทต่ี นรู พระเถระไมโตแยง ในสิง่ ท่ีตนไมร ู พระเถระจงึ โตแ ยง. ไดยนิ วา เมือ่ เร่ิมการการชกั ถามนนั่ แหละ พระเถระไดร วู า น้ไี มเปนการซกั ถามในสาวกบารมญี าณ น้ีเปนการซกั ถามในพระสพั พญั ุตญาณ ดังน.ี้ พระเถระไมทําการโตแ ยงในสาวก-บารมญี าณของตน ยอ มทําการโตแยง ในพระสัพพญั ุตญาณ อันเปนฐานะทีต่ นไมร ู. ดว ยเหตุนี้ พระสารีบตุ ร จึงแสดงความขอ นี้วา ขา-แตพระผูมพี ระภาคเจา พระสัพพัญุตญาณอันสามารถในการรูเหตแุ หงศีล สมาธิ ปญญาและวิมตุ ติ ของพระพทุ ธเจา ทงั้ หลาย ในอดีต อนาคตและปจ จบุ นั ของขาพระองค หามีไม ดังนี.้ บทวา เอตฺถ ไดแ ก ในบรรดาพระพุทธเจา ท้ังหลายทแี่ ตกตางกนั มีพระพทุ ธเจา ในอดีตเปนตน เหลาน้ัน. ดว ยบทวา อถ กิ ฺจรหิ พระผูมีพระภาคเจายอมตรสั วา เมอ่ื เปนเชน น้นั เมอ่ื ญาณอยา งนีไ้ มม ี เพราะเหตุไรเลา เธอจงึ กลา วคาํ อยางน้ีดังนี.้ บทวา ธมมฺ นวฺ โย ไดแก อนมุ านญาณแหง ธรรม คอื ความรูโดยประจักษแ กธรรม อนั เกิดขนึ้ คลอ ยตามการซกั ถาม คือ การถือเอาโดยนยัอันขา พระองคทราบแลว. เพราะดํารงอยูใ นสาวกบารมญี าณเทานนั้ พระเถระจงึ กราบทลู วา ขาแตพ ระผมู พี ระภาคเจา ขา พระองคท ราบโดยอาการนีเ้ ทา นนั้ . ความจริง การถอื เอานัยของพระเถระหาประมาณมิได และหาท่ีสดุ มิได. ประมาณหรอื ท่ีสุดของพระสพั พญั พญั ุตญาณไมม ี ฉันใดการถอื เอานัยของพระธรรมเสนาบดีก็ไมมที ี่สุด หรือประมาณ ฉนั นัน้ .ดวยเหตุนนั้ พระเถระยอมรวู า พระผมู ีพระภาคเจา ทรงเปน อยางนี้ดว ยวิธีนี้ เปนศาสดายอดเยยี่ มโดยวิธนี ี้. แทจรงิ การถอื เอานัยของพระเถระ กเ็ ปน
พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 220ไปตามแนวแหง พระสพั พญั ตุ ญาณน่ันเอง. บัดนี้ พระเถระเม่ือจะแสดงขออปุ มา เพื่อจะทาํ การถือเอานัยนั้นใหป รากฏชัด จึงกราบทลู วา เสยยฺ -ถาป ภนฺเต ดังนเ้ี ปน ตน . ในคําวา เสยยฺ ถาป ภนฺเต นนั้ มวี ินิจฉัยวา เชิงเทินและกาํ -แพงอันแข็งแรงเปน ตน ของพระนครในมชั ฌิมประเทศ จะเปน ของม่นั คงกต็ าม ไมมนั่ คงกต็ าม ก็หรอื วาไมมีโดยประการทงั้ ปวง ความระแวงภัยจากพวกโจรกไ็ มมี ฉะนั้น พระเถระไมถอื เอามชั ฌมิ ประเทศนน้ั จงึ ทูลวาปจจฺ นตฺ ิม นคร ดังน.้ี บทวา ทฬฺหทุ ทฺ าป ไดแ ก มเี ชิงกําแพงมั่งคง.บทวา ทฬฺหปาการโตรณ คือ มกี าํ แพงมน่ั คง และมีเสาคา ยตน หลงั มั่นคง. ถามวา เพราะเหตไุ ร พระเถระจงึ กลา ววา เอกทวฺ าร ดงั นี้. ตอบวา เพราะในพระนครท่มี ีมากประตู ตองมีคนรักษาประตูทฉี่ ลาดมากในพระนครทมี่ ปี ระตูเดยี ว กส็ มควรมคี นรกั ษาประตเู พียงคนเดียว อน่ึงไมม ใี ครอน่ื จะเทาเทียมปญ ญาของพระเถระได ฉะนน้ั เพอื่ จะแสดงคนรักษาประตคู นเดยี วเทานน้ั เพือ่ เปรยี บเทยี บความเปน บณั ฑิตของตนพระเถระจงึ กลาววา เอกทวฺ าร ดังนี.้ บทวา ปณฑฺ ิโต ไดแ ก ประ-กอบดวยความเปนบณั ฑติ . บทวา พฺยตฺโต คือ ประกอบดว ยความเฉยี บ-แหลม หรือเปนผูม ญี าณแกก ลา . บทวา เมธาวี คือประกอบดว ยเมธาคอื ปญ ญาท่ีเกิดขน้ึ ตามฐานะ. บทวา อนปุ ริยายปถ ไดแ ก ทางกําแพงอนั ไดนามวา อนปุ รยิ าย. (เวียนรอบไปมาได) . บทวา ปาการสนธฺ ึ ไดแก ท่ีอันไมม อี ิฐสองกอนเชือ่ มอย.ู บทวา ปาการวิวร คอื รอบทะลุของกําแพง. บทวา เจตโส อปุ กฺกเิ ลเส ความวา นิวรณทง้ั หา ยอมยงั จติ ใหเศรา หมอง คือ ยอ มทาํ จิตใหห มน หมองใหเรา รอ น ไดแก ยอ มเบยี ดเบยี นจติ ฉะน้นั นิวรณหาน้นั ทานจงึ เรียกวา ความเศราหมองแหงใจ.
พระสุตตนั ตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 221บทวา ปฺาย ทุพพฺ ลีกรเณ ความวา นิวรณทั้งหลาย เมอื่ บงั เกิดขึน้ ยอ มไมใ หเพ่อื จะใหป ญญาท่ียงั ไมเ กดิ ใหเกิดขน้ึ ได ท้ังไมย อมใหปญ ญาที่เกิดขนึ้ แลว เจรญิ ได ฉะน้นั นิวรณเหลา นี้ ทานจงึ เรยี กวา เปนเครื่องทําปญ ญาใหท รามกาํ ลัง. บทวา สปุ ฏติ จตตฺ า ความวา เปนผูมีจิตตัง้ มัน่ ไวดี ในสติปฏ ฐาน ๔. บทวา สตตฺ โพชฺฌงฺเค ยถาภตู ความวา เจรญิ โพชฌงคท งั้ ๗ ตามสภาพ. ดวย บทวา อนุตตฺ ร สมฺมา-สมฺโพธึ พระเถระยอมแสดงวา พระพุทธเจาท้ังหลายทรงแทงตลอดพระอรหัตตห รอื พระสัพพญั ตุ ญาณ. อกี อยา งหนง่ึ คาํ วา สติปฏฐานในที่นี้ ไดแก วปิ ส สนา โพชฌงค ไดแ ก มรรค อนุตตรสมั มาสมั โพธิญาณไดแ ก พระอรหัตต. อีกอยางหน่งึ คําวา สตปิ ฏ ฐาน ไดแกวปิ สสนาสมั มาสมั โพธญิ าณอนั เจือดว ยโพชฌงค ไดแ ก พระอรหัตตน ัน่ เอง. กพ็ ระ-มหาสวิ เถระผกู ลาวทีฆนกิ ายกลาวไวว า เมื่อทานถอื เอาสตปิ ฏฐานวาเปนวปิ สสนา แลวถือเอาโพชฌงคว า เปนมรรค และเปนพระสัพพัญตุ ญาณแลว พงึ มปี ญ หาทดี่ ี แตข อนที้ า นมไิ ดถือเอาอยา งนี้ดงั น.ี้ พระเถระไดแ สดงความแตกตางกันในทา มกลางในการละนิวรณ ในการเจริญสตปิ ฏฐานและในสมั โพธิญาณของพระสัพพัญพุ ทุ ธเจาท้ังหลาย เหมอื นแสดงทองและเงินแตกตา งกนั ฉะนน้ั ดว ยประการฉะน้ี. บัณฑิตดํารงอยูในทนี่ ี่พงึ เทียงเคยี งอปุ มา. ความจริง ทานพระสารบี ตุ รเถระ แสดงปจ จนั ตนคร ๑ แสดงกาํ แพง ๑ ทางเดนิ รอบกาํ แพง ๑ แสดงประตู ๑ แสดงคนเฝาประตู ซ่ึงเปนคนฉลาด ๑ แสดงสตั วใหญ ซึ่งเขา ออกในพระนคร ๑ แสดงความปรากฏแหงสตั วเหลานั้นแกน ายประตูนนั้ ๑ ในขอ อปุ มานหี้ ากมคี าํ ถามวา อะไรเหมอื นกับอะไร ดงั น.ี้ พงึ ตอบวา ก็พระนพิ พานเหมือนพระนคร ศลี
พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 222เหมอื นกําแพง หิรเิ หมอื นทางเดินรอบกําแพง อริยมรรคเหมือนประตู พระธรรมเสนาบดเี หมอื นคนเฝา ประตูที่ฉลาด พระพทุ ธเจา ท้ังหลายซึ่งอบุ ัติขึ้นในอดตี อนาคตและปจ จบุ ัน เหมือนสัตว ใหญทเ่ี ขา ออกในพระนคร ความปรากฏดว ยศลี สละสมถะเปนตนของพระพุทธเจาท้ังหลาย ทงั้ ในอดีตอนา-คตและปจ จุบันแกพระสารีบุตร เหมือนกับความปรากฏแหงสัตวท้ังหลายเหลา น้ัน แกนายประตูนัน้ . ถอยคํามปี ระมาณเทา น้ี เปน อนั พระเถระตอบการซักถามแหงสหี นาทของตนวา ขา แตพ ระผนู ี้พระภาคเจา ขา-พระองคด ํารงอยใู นสาวกบารมญี าณอยางน้ี ยอมรูไดโ ดยอาการอันเปนแนวธรรม โดยถอื เอานัย ดงั นี้. ถามวา เพราะเหตุไร พระเถระจงึ เรมิ่ ธรรมเทศนาน้วี า อธิ าหภนฺเต เยน ภควา ดังน้ี. ตอบวา เพือ่ แสดงความสําเรจ็ แหง สาวก-บารมญี าณกใ็ นเรอื่ งน้ี มีอธิบายดงั น้ี ขาแตพ ระผูมพี ระภาคเจา ขาพระ-องคเม่อื ไดสาวกบารมีญาณ ไดเ ขา ไปหาสมณะหรือพราหมณแ มบางคนอนั ในบรรดานกั บวชนอกศาสนาทั้ง ๙๕ คนแลว จึงไดส าวกบารมีญาณก็หามิได ขา พระองคเขา ไปหาพระองคเทา น้นั เขา ไปนัง่ ใกลพ ระองคเทานน้ั จึงได. ในบรรดาบทเหลา น้นั คาํ วา อิธ เปนเพยี งนิบาต. บทวา อปุ -สงกฺ มึ ธมฺมสฺสวนาย ความวา อีกอยางหนงึ่ ขาพระองคเ มอ่ื เขา ไปเฝา พระองคน นั้ มไิ ดเขาไปเฝา เพราะเหตแุ หง ปจจัยมจี ีวรเปน ตน แตเขาไปเฝา เพ่ือฟง ธรรม ไปเฝาอยา งนี้แลวจึงไดส าวกบารมีญาณ ถามวา พระ-เถระเขาไปเผา เพอ่ื ฟงธรรม ในกาลไร จึงไดส าวกบารมญี าณ. ตอบวา พระเถระเขาไปเฝาในวันทพี่ ระผูม ีพระภาคเจา ทรงแสดงเวทนาปริคห-สตู รแกท ีฆนขปรพิ าชกผูเปน หลานทถ่ี าํ้ สุกรขาตา จึงไดสาวกบารมีญาณ
พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 223ในเวลานัน้ . ควานจรงิ ในวันนั้น พระเถระถอื พดั ใบตาลยืนพดั พระผมู ีพระภาคเจา ไดฟงเทศนานั้นแลวไดทาํ สาวกบารมีญาณใหตกอยูในเงอ้ื มมอื ในท่นี ั้นนั่นเอง. บทวา อตุ ฺตรตุ ฺตร ปณีตปปฺ ณตี ความวา พระองคท รงแสดงอยางยอดเยย่ี ม และอยา งประณตี ยง่ิ นัก. บทวา กณฺห-สุกฺก สปปฺ ฏิภาค ความวา พระองคท รงแสดงทั้งฝา ยดําและฝา ยขาว และทรงแสดงธรรมฝายดําและฝา ยขาวนัน้ ใหเ ปนปฏิภาคตอ กนั คอื ใหเ ปนปฏิปก ษตอ กนั พระองคท รงแสดงธรรมฝายดาํ และฝา ยขาวใหเ ปนปฏิภาคกนั อยา งน้ี คอื ทรงหา มธรรมฝา ยดํา แสดงฝายขาว และหามฝา ยขาวแสดงฝายดํา. อีกอยา งหนึ่ง พระองคเ มอ่ื ทรงแสดงธรรมฝา ยดํา กท็ รงแสดงพรอ มกับความอุตสาหะพรอมกับวิบาก. เม่ือทรงแสดงธรรมฝา ยขาวกท็ รงแสดงพรอมกับอุตสาหะพรอ มกบั วิบาก. ในหลายบทนีว้ า ตสมฺ ึ ธมเฺ ม อภิฺา อิเธกจฺจ ธมมฺ ธมฺ-เมสุ นฏิ มคม ความวา เม่อื พระองคทรงแสดงธรรมน้ันแลว ขาพระองคไดร สู าวกบารมีมีญาณอันจดั เปน ธรรมบางสวน ไดถงึ ความสาํ เร็จในธรรมทัง้หลาย. ถามวา ในธรรมเหลา ไหน. ตอบวา ในสจั จธรรม ๔ ประการ.ในเรอ่ื งนี้ มกี ารเจรจาของพระเถระดงั ตอไปน.้ี พระสมุ นเถระผูอ ยใู นกาฬวลั ลวิหาร กลา วไวก อ นวา บดั นี้ ไมมีเหตุแหงการถงึ ความสําเร็จในสัจจธรรม ๔. ความจรงิ ในวนั ที่พบพระอสั สชิมหาเถระน่นั เอง ทา นพระ-สารบี ุตรนัน้ ไดถ ึงความสําเร็จในสจั จธรรม ๔ ดว ย มรรคที่ ๑ (โสดาปตติ-มรรค) ในเวลาตอมาไดถึงความสําเร็จในสัจจธรรมท้ัง ๔ ดว ยมรรค ๓เบ้อื งสูงที่ประตูถ้ําสกุ รขาตา แตใ นทีน่ ี้ ทานไดถ ึงความสําเรจ็ ในพระพทุ ธ-คุณทัง้ หลาย ชื่อวา สาํ เรจ็ ในธรรมทงั้ หลาย. สวนพระจฬู สวิ เถระผอู ยูในโลกันตรวหิ าร กลา วคาํ ทง้ั หมดเชนเดยี วกันนัน้ เอง แลว กลาวอกี วา ก็
พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 235อยางหนง่ึ ๆ แลว พจิ ารณาสังขารแลวยอ มเปนบคุ คล ๕ จาํ พวกดวยอาํ นาจแหงบคุ คล คอื พระอริยบุคคล ๔ ผูบรรลพุ ระอรหนั ต และพระอนาคามีผูออกจากนโิ รธแลวบรรลพุ ระอรหัตต. กพ็ ระบาลใี นท่นี ีว้ า ก็ บคุ คลผูหลุดพน โดยสว นสองเปนไฉน คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ถกู ตองวโิ มกขทงั้๘ ดวยกายอยู และอาสวะท้ังหลายของทานก็สิ้นรอบแลว เพราะเห็นดว ยปญ ญา บุคคลน้ีทานเรยี กวา ผหู ลุดพนแลวโดยสวนสอง. พระบาลนี ้มี าแลวดวยอํานาจแหงทา นผไู ดว โิ มกข ๘ อยางน้.ี บทวา ปฺาวิมตุ ฺโต แปลวา หลุดพน แลว ดว ยปญญา. บคุ คลผูหลุดพน ไดดวยปญญานั้นมี ๕ จําพวก ดว ยอํานาจแหงบุคคลแหลา น้คี ือสุกขวิปส สกบคุ คล ๑ และบคุ คลผอู อกจากฌานทัง้ ๔ แลวบรรลุพระอรหตั ต๔ พวก ๑. กพ็ ระบาลใี นทนี่ ี้ มาแลว ดวยอาํ นาจธรรมอันเปน ปฏิปก ษต อ ว-ิโมกข ๘ สมดงั ที่พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสไวว า บุคคลไมถ ูกตอ งวิโมกขทั้ง ๘ดว ยกายอยูเลย และเพราะเห็นดว ยปญ ญา อาสวะของเขาจงึ เปน อันส้นิ รอบแลว บคุ คลนเ้ี รยี กวา ผูหลดุ พน ดว ยปญญา. บุคคลยอ มกระทาํ ใหแจง ซึง่ กายท่ถี ูกตอ งอยู ฉะน้นั จงึ ชอื่ วา กาย-สักข.ิ บุคคลน้นั ยอ มถูกตอ งฌานกอน จงึ ทําใหแ จงซ่งึ นิโรธคือนิพพานในภายหลงั . กายสักขนิ ั้นพงึ ทราบวา มี ๖ จําพวก เรมิ่ ตน แตทา นผตู ง้ั อยูในโสดาปตติผล จนถึงทา นผูต้งั อยู ในอรหตั ตมรรค. ดวยเหตนุ นั้ พระผูมพี ระ-ภาคเจาจึงตรัสไวว า บุคคลบางคนในโลกน้ี ถูกตองวิโมกขท ั้ง ๘ ดวยกายอยู และเพราะเห็นดวยปญ ญา อาสวะบางเหลา ของเขาเปนอนั สิ้นรอบไปบุคคลนี้ เรยี กวา กายสกั ขิ. บคุ คลบรรลุถงึ ท่สี ุดของทฏิ ฐิ ฉะน้นั จึงช่ือวา ผบู รรลทุ ฏิ ฐ.ิ ในขอ น้ันมลี ักษณะโดยสังเขปดงั ตอ ไปนี้. อันบคุ คลนั้น ไดร ู ไดเ ห็น ได
พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 236ทราบ ไดท ําใหแจง ไดถูกตอ งดว ยปญญาวา สงั ขารทั้งหลายเปน ทุกข ความดับแหง สงั ขารทั้งหลายเหลา น้ันเปนสขุ ดงั น้ี ฉะนน้ั บุคคลนั้น ช่อื วา ผบู รรลุทิฏฐ.ิ ก็บรรลผุ ูบรรลทุ ฏิ ฐิแมน้กี ม็ ี ๖ จําพวก โดยพสิ ดารเหมือนกายสักขิ-บคุ คล. ดว ยเหตนุ นั้ นนั่ แล พระผมู ีพระภาคเจา จึงตรัสวา บุคคลบางคนในโลกน้ยี อ มรูช ดั ตามความเปน จริงวา ส่งิ นเี้ ปนทกุ ข ฯลฯ ยอมรูชดั ตามความเปนจรงิ วา นี้ คอื ขอปฏบิ ตั ิใหถ งึ ความดับทุกข ธรรมทัง้ หลายที่พระตถาคตประกาศแลว เปน ธรรมอนั เธอเห็นแลว ดวยปญ ญา ประพฤติแลวดว ยปญ ญาบคุ คลน้ี เรียกวา ผบู รรลุทฏิ ฐิ ดังน้ี. บทวา สทฺธาวมิ ตุ โฺ ต คอื บุคคลผูพนแลว ดว ยศรัทธา. แมบ ุคคลผพู น ดว ยศรทั ธาน้นั กม็ ี ๖ จาํ พวกโดยนยั กอ นนั้นแล. ดวยเหตนุ ้ัน พระผูมพี ระภาคเจาจงึ ตรัสวา บคุ คลบางคนในโลกนี้ ยอมรชู ัดตามความเปน จรงิวา ส่งิ นเี้ ปนทุกข ฯลฯ นีค้ อื ปฏิบัติใหถึงความดับทุกข และธรรมทั้งหลายทพี่ ระตถาคตประกาศแลว เปน อนั เธอเหน็ แจง แลวดวยปญ ญาและประพฤติแลวดวยปญญา บุคคลนเี้ รียกวา ผหู ลดุ พน แลว ดวยศรทั ธาหาใชว ายอ มรชู ัดตามความเปนจรงิ เหมือนการรูชดั ของบคุ คลผบู รรลทุ ิฏฐิไม. กใ็ นบคุ คลสองประเภทน้ี การสนิ้ กิเลสของบคุ คลผูห ลดุ พน ดวยศรทั ธาเหมือนกับเชื่อ ปลงใจเช่อื และนอมใจเชือ่ ในขณะแหงมรรคอันเปน สว นเบื้องตน. ญาณอนั เปน เครอ่ื งตัดกเิ ลสของบุคคลผบู รรลทุ ิฏฐิ เปน ญาณไมเฉื่อยชา เปน ญาณท่ีคมกรบิ และแกลว กลา ยอมนาํ ไปในขณะแหงมรรคอันเปน สว นเบ้อื งตน เพราะฉะนน้ั จึงเหมอื นเม่อื บุคคลเอาดาบทไ่ี มคมตดั ตนกลว ย ทที่ ่บี คุ คลตดั ก็ไมเ กลี้ยง ทง้ั ดาบกไ็ มผานไปไดโดยเรว็ บุคคลยอมไดยินเสียง ที่ที่บคุ คลตัดกไ็ มเกล้ยี ง ท้งั ดาบกไ็ มผ านไปไดโ ดยเรว็ บคุ คลยอมไดอนั เปนสวนเบ้อื งตน ของบคุ คลผหู ลุดพน ดวยศรัทธาเห็นปานนน้ั ก็พงึ ทราบ
พระสุตตันตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 237ฉันน้ัน. อนง่ึ เหมือน เมอื่ บคุ คลเอาดาบที่ลบั ดีแลวตดั ตน กลว ย ทที่ เ่ี ขาตัดก็เกลีย้ ง ท้งั ดาบก็ผานไปไดเ ร็ว บคุ คลกไ็ มไ ดยินเสยี ง กจิ คอื ความพยายามดว ยกําลังมากก็ไมม ี ฉนั ใด มรรคภาวนาอนั เปนสวนเบื้องตนของบคุ คลผูหลุดพน ดว ยปญ ญาเห็นปานนั้น ก็พึงทราบ ฉันนน้ั . บคุ คลยอ มตามระลึกถงึ ธรรม ฉะนั้น จงึ ชอ่ื วา ธัมมานุสารี. ปญญาชอ่ื วาธรรม อธิบายวา บคุ คลยอมเจรญิ มรรคอนั มปี ญญาเปนเบือ้ งตน.แมในสัทธานสุ ารีบคุ คลก็นยั นเี้ หมอื นกัน. บุคคลท้งั สองแมเหลานั้น คอืบคุ คลผตู ้ังอยูในโสดาปตตมิ รรคนนั่ เอง. สมจริงดงั พระดาํ รัสทพ่ี ระผูมีพระภาคเจา ตรสั ไวว า ปญญินทรยี ของบคุ คลผูปฏบิ ตั ิเพอื่ กระทาํ ใหแ จง โสดา-ปต ติผล เปนปญญาท่ีมปี ระมาณอนั ยิ่ง บคุ คลผูขวนขวายเพอ่ื ไดม าซึ่งศรัทธายอมเจรญิ อริยมรรคอนั มีศรทั ธาเปน เบือ้ งตน บุคคลน้ี เรยี กวา สัทธานสุ ารีบคุ คล. อนงึ่ สัทธนิ ทรยี ข องบุคคลผูปฏิบัตเิ พอื่ ทาํ ใหแ จงโสดาปตตผิ ลยอ มมีประมาณมากย่ิงนัก บุคคลผูขวนขวายเพ่อื ไดม าซ่ึงศรทั ธา ยอมเจริญอริย-มรรคอนั มีศรทั ธาเปน เบอื้ งตน บคุ คลนเ้ี รียกวาสทั ธานุสารีบุคคล. ความสังเขปในเรื่องนเ้ี พียงเทา น้ี. สวนกถาวาดวยอุภโตภาควิมตุ ตะเปนตน นี้ทา นกลา วไวแลว ในอธกิ ารแหงปญญาภาวนา ในปกรณพ เิ ศษช่อื วสิ ทุ ธิมรรคโดยพิสดาร. ฉะน้ัน พึงทราบวิตถารกถา โดยนยั ทที่ านกลา วไวในวิสุทธมิ รรคนัน้ แล. คําท่เี หลือแมใ นท่นี ี้พงึ ประกอบเขา โดยนยั กอนนัน้ แล. โพชฌงค ๗ พระผูมีพระภาคเจา ตรสั วา ปธาน ดวยอาํ นาจการเรม่ิต้ังความเพียร ในบทนว้ี า ปธาเนสุ ดงั น้.ี กถาโดยพสิ ดารของโพชฌงค ๗เหลา นั้นพงึ ทราบ โดยนยั ทีพ่ ระผมู ีพระภาคเจาตรัสไวในมหาสตปิ ฏฐาน.คาํ ท่ีเหลอื แมในท่ีน้ีพึงประกอบเขาโดยนัยกอ นน้ันแล. ในคําวา ทกุ ฺขาปฏ-ิปทา เปน ตน มนี ยั โดยพสิ ดารดังตอ ไปน้.ี
พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 238 ในบาลปี ระเทศนั้น ปญ ญาทงั้ ปฏิบัติลาํ บาก ทั้งรู ไดช า เปนอยางไรคือ ปญ ญา ความรชู ดั ฯลฯ ความไมห ลง ธรรมวิจยั สัมมาทิฏฐิ อันใด ของบคุ คลผใู หส มาธิเกิดข้นึ ไดโ ดยยากลาํ บาก ท้งั รูฐ านะน้นั ชา น้เี รียกวาปญญาอันเปนขอปฏบิ ตั ิลําบากทัง้ รไู ดช า . บาลีประเทศนน้ั ปญ ญาอนั ปฏบิ ัติลําบาก แตร ูไดเ รว็ เปนอยา งไร คอื ปญ ญา ความรูชัด ฯลฯ สมั มาทฏิ ฐิ อันใด ของบคุ คลผใู หส มาธิเกิดข้ึนไดโดยยากลาํ บาก แตรฐู านะนนั้ ไดโดยฉันพลนั นเี้ รยี กวาปญ ญาอนั เปน ขอปฏิบตั ลิ าํ บาก แตร ไู ดเรว็ . ในบาลีประเทศน้นั ปญญาอันปฏิบัตสิ ะดวก แตร ูได ชา เปน อยา งไร คอื ปญญา ความรูชดั ฯลฯ สมั มาทฏิ ฐิ อนั ใด ของบคุ คลผใู หส มาธเิ กดิขึ้นโดยไมย ากไมล าํ บาก รูฐ านะนน้ั ไดอยางชา นีเ้ รยี กวา ปญ ญาอันเปนขอปฏบิ ตั ิสะดวก แตรูไดช า . ในบาลปี ระเทศน้นั ปญญาอันปฏิบัติสะดวกท้ังรไู ดเรว็ เปนอยา งไร คือ ปญ ญา ความรูชดั ฯลฯ สมั มาทิฏฐอิ ันใด ของบุคคลผูใหสมาธิเกิดขึน้ โดยไมยาก ไมล ําบาก ท้งั รูช ัดฐานะน้นั อยา งเร็วพลัน นี้เรียกวาปญญาอนั เปน ขอปฏบิ ตั ิสะดวกทัง้ รไู ดเรว็ . ความสังเขปในทน่ี ี้ เทาน.ี้ สว นความพสิ ดารทา นกลาวไวแลวในวิสุทธมิ รรค. คําทเี่ หลือแมในทน่ี ้ีพึงประกอบโดยนยั ทก่ี ลา วแลว นน้ั แล. บทวา น เจว มสุ าวาทูปสหฺ ติ ความวา ภิกษุบางรูปในศาสนานด้ี าํ รงอยูใ นภัสสสมาจาร (มารยาทเก่ียวกับการพูด) บาง ไมเ ขาไปตัดกถามรรคกลาวบา ง ยอมไมกลาววาจาอนั ประกอบดว ยมุสาวาทเลยเวนโวหารอันไมป ระเสรฐิ ๘ อยางเสยี กลา ววาจาอนั ประกอบดวยโวหารอนั ประเสรฐิ ๘ อยางเทา น้ัน. บทวา น จ เวภตู ิย ความวา ภกิ ษุบางรูป
พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 239ในศาสนานี้แมด ํารงในภสั สสมาจาร ยอ มไมก ลาววาจาอนั ทาํ ความแตกราวกนั . คาํ วา เปสุณิย นั้นเปน ไวพจนของคาํ วา เวภูตยิ นั้น. ความจรงิ วาจาอนั ทําความแตกรา วกันทานเรยี กวา เปสณุ ยิ เพราะทาํ ความเปนทร่ี กั กนั ใหสูญหาร. พระมหาสวิ เถระกลา ววา คําวา เปสุณิย นน้ั เปนช่ือของวาจาน้ัน. บทวา น จ สารมภฺ ช ความวา วาจาใดเกดิ เพราะการแขง ดี ภกิ ษุ ยอมไมกลา ววาจานน้ั เม่อื เขากลา ววา ทา นทุศีล หรือวา ทา นทศุ ลี อาจารยของทา นกท็ ุศลี หรือเม่ือเขากลา ววา ทานตองอาบตั ิยอ มไมกลาววาจา ที่เปนไปดวยการกลาวซดั ไปภายนอก หรอื วาจาท่ยี ่ิงกวาการกระทาํ โดยนัยเปนตน วา เราไปเท่ียวบณิ ฑบาตจนถงึ เมืองปาฏลีบุตรดงั นี้. บทวา ชยาเปกโฺ ข คอื เปน ผูมุงตอชยั ชนะ. อธบิ ายวา ภกิ ษุผเู พง ถึงชัยชนะคือหวังชัยชนะเปนเบอ้ื งหนา ยอมไมกลา ว เหมือนหตั ถกศากยบตุ รกลา ววาจาจรงิ เละเหลาะแหละอยา งใดอยา งหนึ่งวา ธรรมดาพวกเดียรถียบุคคลพงึ ชนะ ดว ยธรรมบา ง ดวยอธรรมบาง ดงั น.ี้ ปญญาทา นเรียกวามนั ตา ในคาํ วา มนตฺ า มนฺตา จ วาจ ภาสติ นี้. กลา ววาจา ดวยปญญาช่อื วามันตา. อกี อยา งหน่ึง บทวา มนตฺ า คือ ใครค รวญแลว . มคี ําอธบิ ายทีพ่ ระผูม ีพระภาคเจา ตรัสไววา ภิกษุในศาสนาน้ีดาํ รงอยูในภสั สสมาจารเมื่อกลา วตลอดทั้งวนั ก็ใครครวญดว ยปญญา กลา วเฉพาะถอยคําอนั สมควรเทาน้นั . บทวา นิธานวตึ คือ ควรเพื่อจะฝงไว แมในใจ. บทวา กาเลนคือ ตามกาลอนั ควรแลว และถงึ แลว . ความจรงิ วาจาอันบคุ คลกลาวแลว อยางนี้ยอมเปนวาจาท่ีไมเ ทจ็ ไมส อเสยี ด ไมหยาบ ไมโออ วดไมเพอเจอ . ก็วาจาเหน็ ปานน้ีน้เี รยี กวา วาจาอิงอาศัยสจั จะ ๔ บาง วาจาองิ อาศยัไตรสิกขาบาง วาจาองิ อาศัยกถาวัตถุ ๑๐ บา ง วาจาอิงอาศัยธดุ งคคณุ ๑๓บา ง วาจาองิ อาศัยโพธปิ ก ขิยธรรม ๓๗ ประการบาง วาจาองิ อาศยั มรรคบาง.
พระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 240ดว ยเหตุนน้ั ทานพระสารีบุตรจึงกลา ววา เอตทานตุ ฺตรยิ ภนฺเต ภสฺส-สมาจาเร ดังน.ี้ คาํ นั้น พึงประกอบเขาโดยนยั กอนนั้นแล. หลายบทวา สจฺโจ จสฺส สทโฺ ธ จ ความวา ภกิ ษใุ นพระศาสนาน้ผี ตู ั้งอยใู นสีลาจาร พงึ เปน ผจู ริง กลาววาจาจรงิ พึงเปน ผมู ศี รทั ธาและถึงพรอ มดวยศรทั ธา. ถามวา สจั จะพระผูมพี ระภาคเจา ตรสั ไวในหนหลังแลวมิใชห รือ เพราะเหตุไร ในทน่ี พ้ี ระองคจงึ ตรสั ไวอีกเลา .ตอบวา วาจาสจั พระองคต รัสไวแ ลวในหนหลัง. ในท่นี ี้พระองคต รสั ไวเพอื่ ทรงแสดงวา กภ็ ิกษดุ ํารงอยูในลลี าจารแลว ยอ มไมก ลา วมุสาวาท โดยทสี่ ดุ แมด วยการกลาวใหห วั เราะกัน. บดั นี้พระเถระเพอื่ จะแสดงวา โดยน้นั ยอ มสําเร็จการเปน อยโู ดยธรรมสม่าํ เสมอ ดงั นี้ จงึ กลาวคําเปน ตน วาน จ กุหโก ดังนเ้ี ปนตน. บรรดาคําเหลาน้นั คําวา กหุ โก เปนตน พระผมู ีพระภาคเจา ทรงอธิบายพสิ ดาร แลวในพรหมชาลสูตร. หลายบทวาอินฺทฺรเิ ยสุ คตุ ฺตทวฺ าโร โภชเน มตฺตฺ ู ความวา เปนผูคมุ ครองทวารดีแลว ในอินทรยี ท้ัง ๖ ทั้งเปน ผูร จู ักประมาณในโภชนะ. บทวาสมการี คือ ผมู ปี กตสิ มํ่าเสมอ. อธิบายวา ภกิ ษุ ในพระศาสนาน้เี วน เหตมุ กี ารคดทางกายเปนตน ประพฤติสม่ําเสมอทางกายวาจาและใจ. บทวา ชาครยิ านโุ ยคมนุยุตโฺ ต ความวา ภกิ ษยุ อ มขวนขวายประ-กอบความเปน ผตู น่ื อยู โดยนัยทพ่ี ระผูม ีพระภาคเจาตรัสไววา ภกิ ษพุ งึ แบงกลางวนั และกลางคืนออกเปน ๖ สว น แลว พงึ ประกอบความเพยี รในกลางวันดว ยการจงกรมและนง่ั . บทวา อตนฺทโิ ต คือ ไดแก ไมเ กยี จคราน คอืเวนจากการเกียจครานทางกาย. บทวา อารทธฺ วีริโย ความวา เปนผเู ริม่ความเพยี รแมด ว ยความเพยี รทางกาย บรรเทาความเกี่ยวของดว ยหมเู สยี แลวอยูแ ตผเู ดียว ดวยอาํ นาจอารพั ภวตั ถุ ๘ ในอริ ยิ าบถท้ัง ๔. เปน ผเู รมิ่ ความเพยี รแมด ว ยความเพยี รทางใจ บรรเทาความเก่ยี วขอ งดวยกเิ ลสเสยี อยูแต
พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 241ผูเดยี วดวยอํานาจสมาบตั ิ ๘. อกี อยา งหน่งึ หามการเกิดขึน้ แหง กเิ ลสเสียแลว โดยประการใดประการหน่งึ ก็จดั วาเปนผเู ริ่มความเพียรดวยความเพยี รทางใจเหมอื นกัน. บทวา ฌายี คือ เปนผูเพง ดว ยอารมั มณูปนชิ ฌานและลกั ขณปู นิชฌาน. บทวา สติมา คือประกอบดวยสตอิ นั สามารถระลกึ ถึงกิจทที่ ําไวน านแลวไดเปนตน . บทวา กลฺยาณปฏภิ าโณ คอื สมบูรณด วยการพูดดีและสมบรู ณดว ยปฏภิ าณ. กบ็ ุคคลนน้ั เปน ผปู ระกอบดว ยปฏิภาณมใิ ชเปน ผขู าดปฏภิ าณ. จริงอยู ภิกษุดาํ รงอยใู นสลี สมาจารหาไดขาดปฏภิ าณไม. อนง่ึ ภิกษุผปู ระกอบดวยปฏภิ าณ ยอมเปนเหมอื นพระวัง-คีสเถระฉะนั้น. บทวา คตมิ า คอื ประกอบดว ยปญ ญาอันสามารถในการดาํ เนนิ ไป. บทวา ธติ มิ า คอื ประกอบดวยปญ ญาอันสามารถในการทรงจําไว. ก็ คาํ วา มติ ในคําวา มตมิ านี้ เปนชอ่ื ของปญญาแท ฉะนน้ั อธิบายวา ผูมปี ญ ญา ปญ ญานน้ั เองทานกลาวไวดว ยบทแมท ้ัง ๓ เหลา น้ี ดงั พรรณนามาฉะนี้ ในบาลีประเทศน้ัน ความเพียรเปน เครอื่ งทาํ สมณธรรมทา นกลา วไวในหนหลัง. ในทีน่ ี้ ทานกลา วความเพียรเปน เครอ่ื งเลา เรยี นพระพทุ ธพจน. อนงึ่ วปิ สสนาปญญา ทานกลา วไวแ ลวในหนหลัง ในทีน่ ที้ า นกลา วถึงปญ ญาเปน เครื่องเลา เรยี นพระพทุ ธพจน. หลายบทวาน จ กาเมสุ คิทฺโธ คอื เปน ผไู มต ดิ ในวตั ถุกามและกเิ ลสกาม. หลายบทวา สโต จ นิปโก จเร ความวา ภิกษพุ งึ เปนผูประกอบดวยสติและดวยญาณในฐานทงั้ ๗มกี ารกา วไปขางหนาเปน ตนเที่ยวไป. ปญ ญาชอ่ื เนปกกะ ภกิ ษุทานกลา ววามีปญญา ดังนี้ เพราะประกอบดวยปญ ญาน้ัน คําที่เหลอื ในทน่ี ้พี ึงประกอบเขาดวยนัยกอนน้นั แล บทวา ปจจฺ ตฺต โยนิโสมนสกิ ารา คือ ดวยการทําไวในใจ โดยอบุ ายของพระองค. บทวา ยถานสุ ฏิ ตถาปฏปิ ชชฺ มาโน คอื เปนผูปฏิบัตติ ามที่เราไดใ หอนศุ าสนพ ร่าํ สอนไว. คาํ เปน ตน วา ติณฺณ
พระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 242สฺโณชนาน ปรกิ ขฺ ยา มเี นื้อความดงั กลาวแลว . คาํ ท่เี หลอื แมใ นที่นี้พงึ ประกอบเขาโดยนัยกอ นนน้ั แล. บทวา ปรปคุ ฺคลวมิ ุตฺติาเณ คือ ในญาณเครื่องหลดุ พนจากกิเลสดวยมรรคนน้ั ๆ ของบคุ คลอืน่ มีพระโสดาบนั เปนตน. คําทีเ่ หลือในที่นี้ พงึ ประกอบเขาโดยนยั กอ นน้ันแล. บทวา อมุตฺราสึ เอว นาโม ความวา บุคคลหนง่ึ เม่อื ระลกึ บพุ เพนิวาส ยอ มกําหนดช่อื และโคตรไปได. บุคคลหน่งึ ระลึกไดแตขนั ธลว นๆเทานัน้ . คนหนงึ่ สามารถระลกึ ไดคนหนึ่งไมส ามารถ. ในทีน่ ้ัน มิไดถอื เอาดว ยอํานาจแหง ผูสามารถ.ไดถ ือเอาดวยอาํ นาจแหง ผูไ มส ามารถกผ็ ไู มสามารถจะทําอะไรได. บุคคลนัน้ ระลกึ เฉพาะแตข นั ธล ว น ๆไป ดาํ รงอยูใ นท่ีสุดหลายแสนชาติ หย่ังญาณลงกําหนดนามและโคตร. พระสารีบุตรเถระเมอ่ืจะแสดงนามและโคตรนัน้ จงึ กลาวคําเปน ตน วา เอว นาโม ดงั น.้ี บทวาโส เอวมาห คือ บคุ คลผถู อื ทฏิ ฐนิ ้นั ไดกลา วอยางนี้. ในบาลีประเทศนน้ัเม่ือบคุ คลน้ันกลาววา เทย่ี ง แลว กลาววา สัตวเ หลาน้นั ยอมทอ งเทยี่ วไป ดงั น้ีคาํ พดู ยอมมีเบ้ืองตน และเบือ้ งปลายขัดแยง กันกจ็ ริง. แตบ คุ คลนัน้ กาํ หนดคาํน้นั ไมไ ดเพราะเปนผูยดึ ถือทิฏฐิ. ความจรงิ ฐานะหรือการกาํ หนดของผูย ึดถือทิฏฐิยอ มไมม .ี คาํ น้นั ทานใหพสิ ดารแลว ในพรหมชาลสูตรวา บุคคลน้ันถือเอาสิง่ นแ้ี ลวก็ปลอ ยสิง่ น้ี คร้นั ปลอยสิง่ นี้แลวก็ยดึ ถือเอาส่งิ น้ี ดงั น.ี้ ดวยคําวา อย ตตโิ ย สสสฺ ตวาโท น้ี พระเถระกลา วบุคคลผูเปนสสั สตวาทะไว ๓ ประเภทดวยอาํ นาจแหง ฌาณลาภบี ุคคลเทานั้น. แตพระผูมพี ระภาคเจาไดตรัสบุคคล ๔ ประเภทไวใ นพรหมชาลสูตร เพราะรวมเอาแมบคุ คลทเ่ี ปนตักกีวาทะเขา ไวด วย. ก็คาํ กลาวพิสดารของบคุ คลผูมีวาทะ ๓ ประเภทน้ัน
พระสตุ ตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 243พึงทราบโดยนัยท่ที านกลา วไวแลว ในพรหมชาลสูตร คําทเ่ี หลอื แมในทีน่ ี้พงึ ใหพ สิ ดารโดยนยั ท่ีกลาวแลว ในกอ น บทวา คณนาย วา คอื ดวยการนบั เปนหมวด. บทวา สงขฺ าเนน คือดว ยการนบั ดว ยใจโดยไมใหขาดสายโดยสองวิธนี ้นั . พระผมู พี ระภาคเจาทรงแสดงเฉพาะการนบั เปน หมวด มีคาํ อธิบายทีพ่ ระสารบี ตุ รกลาวไววา ใครไมสามารถทจ่ี ะทําเปน หมวดดว ยอํานาจ รอย พัน แสนโกฏิแหงปท งั้ หลาย แลว นบั วา รอยปเทาน้นั ดงั น้ี หรอื วา ฯลฯ โกฏปิ เทา น้ี .พระเถระยอ มแสดงวา เพราะพระองคท รงบําเพญ็ บารมี ๑๐ ประการเพราะพระองคทรงบรรลสุ พั พญั ตุ ญาณ เพราะพระอนาวรญาณของพระองคด าํ เนนิ ไปแกกลา พระองคจงึ ทรงมคี วามฉลาดในเทศนาญาณเปน เบ้ืองหนา ทาํ ใหมีทสี่ ดุ ดวยการนบั ป แมด วยการนบั กัปกก็ ําหนดแสดงวามีประมาณเทานไี้ ด. เนื้อความในบาลี มีนยั กลาวแลวในบาลนี .้ี คาํ ท่เี หลอืแมในทน่ี ีก้ ็พึงประกอบเขาโดยนัยกอ นน้ันแล. ดว ยหลายบทวา เอตทานตุ ฺ-ตริย ภนฺเต สตตฺ าน จุตปู ปาตญาเณ พระเถรยอมแสดงวา ขาแตพ ระ-องคผ เู จรญิ ญาณเทสนา ดว ยอาํ นาจจตุ แิ ละปฏิสนธิของสตั วท้งั หลายนีใ้ ดมีอยู ญาณเทสนาน้ันจดั เปน ยอดเย่ยี มของพระองค แมพ ระพุทธเจาในอดตีท้งั หลายก็ทรงแสดงอยา งนี้เหมอื นกนั . แมพระพุทธเจาในอนาคต ก็จกั ทรงแสดงอยา งน้เี หมือนกัน. พระองคท รงเทยี บเคียงดว ยพระญาณของพระ-พุทธเจาทง้ั ในอดตี และในอนาคตเหลานนั้ แลวทรงแสดง ขา แตพ ระองคผ ูเจริญ ดว ยเหตแุ มน ้ี ขาพระองคมคี วามเสื่อมใสพระมพี ระภาคเจาอยางน้ี.กเ็ น้อื ความของพระบาลีในท่ีนี้ ทา นกใ็ หพ สิ ดารแลว เหมือนกนั . สองบทวา สาสวา สอปุ ธิกา คือ ฤทธ์ิทม่ี โี ทษ คือ มขี อ ตเิ ตียน.หลายบทวา โน อริยาติ วจุ ฺจติ ความวา ฤทธ์ิเชน นั้นไมเรยี กวาฤทธิอ์ นั เปน
พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 244อรยิ ะ. สองบทวา อนาสวา อนปุ ธิกา คือไมมีโทษ ไดแ ก ไมมีขอนา ติเตยี น.สองบทวา อริยาติ วจุ จฺ ติ คือ ฤทธ์ิเชน นเี้ รยี กวาฤทธอิ์ นั เปน อรยิ ะ. หลายบทวา อปปฺ ฏิกลู สฺี ตตถฺ วหิ รติ ความวา ภกิ ษุยอมมคี วามสาํ คัญในสง่ิ ปฏิกูลวาไมปฏกิ ูลอยูอยางไร. คือ เธอยอมแผเ มตตาไปในสัตวท ี่ปฏกิ ลู คอืรวมความสาํ คัญวา เปนธาตุลงในสังขาร. เหมอื นอยา งที่ทา นกลา วไววา ภกิ ษุเปน ผมู คี วามสําคัญในส่ิงปฏกิ ลู วา ไมป ฏิกลู นน้ั อยา งไร คอื เธอยอมแผเมตตาไปในวัตถอุ นั ไมน า ปรารถนา หรอื รวมลงโดยเปน ธาตดุ ังน้.ี หลายบทวา ปฏกิ ูลสฺี ตตถฺ วหิ รติ ความวา ภิกษยุ อ มแผอสภุ สัญญาไปในสัตวซึง่ ไมป ฏิกลู คอื รวมอนิจจสัญญาลงในสงั ขาร. เหมือนอยางท่ีทานกลาวไวว า ภกิ ษุเปน ผมู ีความสาํ คญั ในส่ิงไมป ฏิกูลวา ปฏิกูลอยูอ ยา งไรคอื เธอยอ มแผไปดว ยอสุภสญั ญาในวัตถุทน่ี าปรารถนาหรอื รวมลง โดยเปน ของไมเที่ยง ดงั น.ี้ พงึ ทราบเนื้อความแมในบทที่เหลืออยา งนี.้ หลายบทวา อุเปกขฺ โก ตตถฺ วหิ รติ ความวา ภกิ ษไุ มกาํ หนัดในอารมณทีน่ าปรารถนา และไมชงั ในอารมณทไ่ี มน าปรารถนา ทั้งไมใหโมหะเกดิข้ึน เหมือนชนเหลาอื่นใหโ มหะเกิดขึ้น ดว ยการเพงอารมณอันไมม สี ว นเสมอ เปน ผูว างเฉยในอารมณท ้ัง ๖ ดว ยอเุ บกขามีองค ๖ อย.ู หลายบทวาเอตทานตุ ฺตรยิ ภนฺเต อทิ ฺธิวิธาสุ ความวา ขาแตพ ระองคผ เู จรญิน้ีจัดวาเปนเทศนา อนั ยอดเยี่ยมอยา งน้ใี นฝา ยฤทธทิ์ งั้ สอง บทวา ต ภควา ความวา พระผูมพี ระภาคเจา ยอ มทรงรูยิ่งซงึ่ เทศนาน้ันท้งั สนิ้ ไมเ หลือเลย. สองบทวา ต ภควโต ความวา เม่ือพระผมู พี ระภาคเจา ทรงรูยิง่ ซึ่งเทศนานั้นโดยไมเ หลอื . หลายบทวา อุตตฺ ริ อภิฺเยยฺ นตฺถิความวา ธรรมทีจ่ ะพงึ รยู ่งิ ขน้ึ ไปกวา นี้ ยอ มไมมี คอื คํานีว้ า ธรรมหรอื บุคคลอื่นจากนที้ ่ีพระผูม พี ระภาคเจาไมท รงทราบ ดงั น้ี ยอ มไมมเี ลย.
พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 245หลายบทวา ยทภชิ าน อฺโ สมโณ วา ความวา สิ่งใดท่พี ระองคไมรูสมณะหรอื พราหมณอ่นื จะรสู ่งิ นั้น เปน ผูม ีความรูยงิ่ กวา คือ มปี ญ ญามากกวา พระผมู พี ระภาคเจา . คาํ วา ยททิ ในคําวา อทิท อทิ ธฺ ิวิธาสุ เปน เพียงนิบาต. บคุ คลผยู ่งิ กวา พระผมู พี ระภาคเจา ในฝายอทิ ธิวิธี ยอ มไมมเี ลย. ความจริงแมพระพุทธเจา ในอดีตทัง้ หลายก็ทรงแสดงฤทธ์ิ ๒ อยางเหลา น้ี. แมพ ระพทุ ธเจาในอนาคตก็จกั แสดงทัง้ ๒ เหลานี้. แมพระองคท รงเทียบเคียงดวยญาณของพระพุทธเจา เหลานน้ั แลว กท็ รงแสดงฤทธเ์ิ หลาน้ีแหละ.พระเถระเมอ่ื จะแสดงวา พระผมู ีพระภาคเจา เทา นั้นทรงยอดเย่ียมในฝา ยอทิ ธวิ ิธีดงั พรรณนามาฉะนี้ ดงั นี้ จงึ แสดงวา ขา แตพ ระองคผูเจรญิ แมดว ยเหตุน้ี ขาพระองคจ ึงมีความเสอ่ื มใสในพระผมู ีพระภาคเจา. ดว ยคํามปี ระมาณเทานี้ พระธรรมเสนาบดนี ัง่ ในท่พี กั กลางวนั แลวพิจารณาธรรมอ่นื ตอไป ๑๖ อยา งเหลา ใด ธรรมเหลานัน้ เปนอนั ทานแสดงแลว. บดั นี้ พระเถระเม่อื จะแสดงคุณของพระผูมีพระภาคเจาโดยอาการแมอื่นอกี จึงทูลคําเปน ตน วา ยนตฺ ภนเฺ ต ดงั นี้. บรรดาบทเหลาน้นั สองบทวา สทฺเธน กลุ ปตุ เฺ ตน ความวาพระโพธสิ ัตวซ งึ่ มีในอดีตอนาคตและปจ จบุ นั ชอื่ วากลุ บตุ รผูมศี รัทธา.เพราะฉะน้นั จงึ มีคาํ อธิบายวา สงิ่ ใดท่พี ระสัพพญั โู พธิสตั วพึงบรรล.ุ ถามวา ก็อะไรท่พี ระสพั พัญูโพธสิ ตั วพ งึ บรรล.ุ ตอบวา โลกุตตรธรรม ๙ อนัพระสพั พญั ูโพธิสตั วน น้ั พงึ บรรลุ. คาํ ท้ังหมดเปน ตน วา วิริย ถาโม ในบทวา อารทฺธวิริเยน เปน ตน น้ี เปน ไวพจนข องความเพียร. บรรดาบทเหลานั้น บทวา อารทธฺ วิรเิ ยน คอื ผูป ระคองความเพียร. บทวา ถามวตา คอืสมบูรณดวยกําลัง คือ มีความเพยี รแข็งแรง. บทวา ปุริสถามน อธบิ ายวา สงิ่ ใดทีพ่ ระสัพพญั ูโพธิสัตวผ ูมเี รยี่ วแรงนัน้ พงึ บรรลุดว ยเร่ียวแรงของ
พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 246บุรษุ . ในสองบทท่ถี ดั ไป กม็ ีนัยเชน น้เี หมือนกัน บทวา ปุรสิ โธเรยเฺ หนคือ มหาบรุ ุษผสู ามารถเพ่อื จะนําธรุ ะ ทพ่ี ระพุทธเจาทงั้ หลายผูม ธี ุระหาผูเสมอไมได พึงนาํ ไป. ดวยสองบทวา อนปุ ฺปตฺต ต ภควตา พระเถระยอ มแสดงวา ส่ิงนนั้ ทง้ั หมดทพี่ ระพุทธเจาทง้ั ในอดีตทั้งในอนาคตพึงบรรลุสิง่ น้ันทง้ั หมดพระผูมพี ระภาคเจา ทรงตามบรรลไุ ดแ ลว แมค ณุ อยา งหน่ึงจะพรองไปก็หามไี ม ดังนี้. สองบทวา กาเมสุ กามสขุ ลลฺ กิ านโุ ยค คือ พระผูม พี ระภาคเจาไมทรงตามประกอบกามสุขในฝายวัตถกุ าม. พรแถระ ยอ มแสดงวา สมณ-พราหมณเ หลา อ่นื มีเกณยิ ชฎิลเปน ตนคดิ กนั วา ใครจะรูปรโลก การท่ีนางปริพพาชิกาน้เี อาแขนทม่ี ขี นออนนุมมาสัมผัสเปน ความสุข ดังนี้ จึงปรนเปรอดว ยพวกนางปริพพาชกิ าซงึ่ ผูกมวยผมเปน ๓ หยอ ม พวกเขาพากันเสวยอารมณม รี ูปเปนตนทีส่ มบูรณอยา งยงิ่ ตามประกอบความสขุ ในกาม ฉนั ใดพระผมู ีพระภาคเจา หาทรงประกอบเชน น้นั ไม. บทวา หนี คือ เลวทราม.บทวา คมมฺ คอื เปน ธรรมของชาวบาน. บทวา โปถุชฺชนิก คือ อนั ปถุ ชุ นควรเสพ. บทวา อนริย คอื จะไมม โี ทษกห็ ามไิ ด หรอื อนั พระอรยิ ะทัง้ -หลายไมค วรเสพ. บทวา อนตฺถสหฺ ิต คือ ไมประกอบดว ยประโยชน.บทวา อตฺตกลิ มถานโุ ยค คอื การตามประกอบความเพยี รอนั ทําตนใหเดือดรอ นและเรารอน. บทวา ทกุ ฺข คอื ประกอบดวยทกุ ข หรอื ทนไดย าก.สมณพราหมณบ างเหลาคิดกันวา พวกเราจักงดเวน ซ่ึงความประกอบความสุขทางกาม ดังน้ี จึงพากันแลน ไปสคู วามลาํ บากทางกาย ตอแตนน้ั กค็ ิดวา เราจักพน จากความลาํ บากน้นั ดังน้ี จึงพากนั แลนไปสูความสขุ ทางกาย ฉนั ใดพระผูมพี ระภาคเจา หาเปน เชนนน้ั ไม. แตพระผูมีพระภาคเจาทรงเวน ทสี่ ดุ๒ อยางเหลานั้นแลว ทรงปฏบิ ัตขิ อ ปฏบิ ัตชิ อบ ทพ่ี ระองคต รสั ไวอยา งนี้วา
พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 247ภิกษุท้ังหลาย มัชฌมิ าปฏปิ ทา ที่พระตถาคตรูย ิ่งแลว กระทาํ ใหแ จงดวยจักษุมีอยู ดงั น้ี ฉะน้นั พระองคจ งึ ตรัสวา น จ อตตฺ กิลมถานโุ ยค ดังน้ีเปนตน . บทวา อภเิ จตสิการน คือ เกดิ ขึ้นในอภิจิต อธบิ ายวา ลวงกามา-วจรจิตแลวดํารงอยู. บทวา ทฏิ ธมมฺ สขุ วหิ าราน คอื อันใหอ ยอู ยางสบายในอัตภาพนี้น้นั เอง. ความจริง ทตุ ิยฌานผลสมาบตั พิ รอ มดวยปต ิ พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั ไวใ นโปฏฐปาทสตู ร. ฌานซ่ึงเปนบาทแหงวปิ ส สนาพรอมดว ยมรรค พระผูมีพระภาคเจา ตรัสไวในปาสาทกิ สตู ร. ผลสมาบตั ิอันนบัเน่ืองในจตุตถฌาน พระองคต รัสไว ในทสุตตรสตู ร. ในสมั ปสาทนียสตู รน้ีไดต รสั ฌานอันเปนเครือ่ งอยเู ปนสขุ ในปจ จุบนั . บทวา นิกามลาภี คอื พระผูมพี ระภาคเจาทรงไดฌ านความปรารถนา. บทวา อกจิ ฺฉลาภี คอืทรงไดโดยไมย ากลําบาก. บทวา อกสิรลาภี คือ ทรงไดอ ยางไพบูลย. บทวา เอกสิ ฺสา โลกธาตุยา คอื ในหม่นื โลกธาต.ุ ความจรงิเขตแดนมี ๓ อยา งคอื ชาติเขต อาณาเขต วิสัยเขต. ในบรรดาเขต ท้งั๓ นน้ั หม่นื โลกธาตุ ชอื่ ชาติเขต. กใ็ นเวลาท่ีพระตถาคตเสด็จกา วลงสูพระครรภของพระมารดา ในเวลาเสด็จออกจากพระครรภ ในเวลาตรัสรูในเวลาประกาศพระธรรมจกั ร ในเวลาปลงพระชนมายุสงั ขารและในคราวปรินิพพาน โลกธาตนุ ั้นยอมหวัน่ ไหว. สวนแสนโกฏิจักรวาลชื่อวา อาณาเขต. แทจ ริง อาณาของอาฏานาฏยิ ปริตร โมรปรติ ร ธชคั ค-ปริตร และรตั นปรติ ร เปน ตน ยอ มเปน ไปในแสนโกฏิจกั รวาล. สวนวสิ ัยเขต ไมม ีปรมิ าณเลย. ความจรงิ ชื่อวาส่งิ อนั มิใชวสิ ัยของพระพทุ ธเจาทง้ั หลายยอ มไมม ี เพราะพระบาลวี า ญาณมีเทา ใด สงิ่ ท่พี ระองคพงึ รกู ม็ ีเพยี งนน้ั สงิ่ ท่ีพระองคพึงรูม ีเทา ใด ญาณกม็ เี พียงน้ัน สิ่งท่ีพระองคพึงรูม ีญาณเปน ทสี่ ดุ ญาณก็มสี ง่ิ ท่ีพระองคพงึ รูเ ปนที่สดุ ดงั น้.ี พระสูตรวา กใ็ น
พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 248เขตทง้ั ๓ เหลา น้ี พระพทุ ธเจาท้งั หลายยอมทรงอบุ ตั ิข้นึ ในจกั รวาลอ่ืน เวนจกั รวาลน้ี ดังนี้ ยอมไมม ี แตพ ระสตู รวา พระพทุ ธเจา ทั้งหลายยอมไมท รงอุบตั ขิ ้นึ ดังนม้ี อี ยู. ปฎกมี ๓ คือ วินัยปฎก สตุ ตนั ตปฎก อภธิ รรมปฎ ก.การสงั คายนามี ๓ คร้ัง คือ การสังคายนาทพ่ี ระมหากสั สปะกระทาํ ๑ สงัคายนาทพี่ ระยสเถระกระทาํ ๑ สงั คายนาท่พี ระโมคคัลลบี ุตรเถระกระทาํ๑. ในพระพทุ ธพจนคอื พระไตรปฎ ก ทีพ่ ระธรรมสังคาหกาจารยยกข้นึ สู สัง-คายนาท้ัง ๓ ครัง้ เหลา น้ี กไ็ มมพี ระสูตรวา พระพทุ ธเจา ทั้งหลายยอมอบุ ตั ิในจักรวาลอน่ื นอกจกั รวาลนี้ แตพ ระสตู รวา พระพุทธเจา ทัง้ หลายยอ มไมท รงอบุ ัติข้ึน ดงั นี้ มอี ย.ู บทวา อปพุ พฺ อจริม ความวา พระพุทธเจาท้งั หลาย ยอมไมทรงอบุ ตั ขิ นึ้ พรอ มกนั ไมก อ นไมห ลัง มีคําอธิบายวา ยอมทรงอบุ ตั ิข้นึ กาลกอ นหรือในภายหลัง. ระยะเวลานับต้งั แตพระพทุ ธเจาประทับนัง่ อยู ณ โพธิ-บัลลงั กน ั้นดว ยตง้ั ใจวา เราไมไดบรรลุพระโพธิญาณแลว จกั ไมลุกข้นึ จนกระทง่ั ถอื ปฏิสนธิในพระครรภข องพระมารดา ไมค วรเขา ใจวา เปนเวลากอ น. เพราะไดท ําการกําหนดเขตไวแลว ดว ยการหวน่ั ไหวแหงหม่ืนจกั รวาล ในขณะทพี่ ระโพธสิ ตั วถ อื ปฏสิ นธิ แมก ารอุบตั ขิ น้ึ แหงพระพุทธเจาพระองคอ ืน่ เปนอนั หามแลว . อน่งึ ระยะเวลานับแตป รนิ ิพพานจนกระทงั่พระธาตุทัง้ หลายแมเ ทา เมลด็ พนั ธุผ กั กาดยังดํารงอยู ก็ไมพ ึงเขา ใจวาเปนเวลาภายหลัง. เพราะเม่ือพระธาตุท้ังหลายยังดาํ รงอยู พระพทุ ธเจาทัง้ หลายกช็ ื่อวา ยงั ดํารงอยูท เี ดียว. เพราะฉะนัน้ การอบุ ตั ขิ ้ึนของพระพุทธ-เจา พระองคอ ื่นในระหวา งนี้ จึงเปน อันหา มแลว . แตเ มื่อการปรินิพพานของพระธาตุเกิดขนึ้ การอบุ ตั ิข้นึ ของพระพุทธเจาพระองคอ่นื เปนอันไมหามแลว .
พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 249 จริงอยู อันตรธานมี ๓ อยาง คอื ปรยิ ตั ติอันตรธาน ๑ ปฏเิ วธ-อันตรธาน ๑ ปฏปิ ต ติอันตรธาน ๑. ในอนั ตรธานเหลา นัน้ พระไตร-ปฎ กชอ่ื วา ปริยตั ิ. การแทงตลอดสัจจะชือ่ วา ปฏเิ วธ. ขอปฏบิ ัตชิ ื่อวาปฏบิ ตั ิ. ใน ๓ อยางนนั้ ปฏเิ วธและปฏบิ ตั ิ ยอ มมบี าง ยอ มไมมีบา ง. ก็ในกาลหนงึ่ หมภู กิ ษุผูทรงปฏิเวธมีมาก. ภิกษุนั้นพงึ ถูกชนี้ ว้ิ แสดงวาภกิ ษรุ ปู น้เี ปน ปถุ ุชน. ในทวปี เดียวเทาน้นั ข้นึ ชือ่ วาภกิ ษผุ เู ปน ปถุ ุชนคราวเดียวกันหามไี ม. เหลา ภกิ ษุแมผ ูบําเพญ็ ขอ ปฏบิ ตั ใิ นกาลบางครงั้ มีมาก ในกาลบางคร้ังมีนอย. ปฏเิ วธและการปฏบิ ตั ยิ อ มมบี าง ยอมไมม ีบางดวยประการฉะนี้. แตวา ปริยตั ยิ อ มเปนประมาณของการดาํ รงอยไู ดของพระศาสนา. เพราะบัณฑิตทั้งหลายไดฟ ง พระไตรปฎกแลว ยอ มบําเพ็ญไดท ั้งปฏิบัตแิ ละปฏิเวธทั้งสอง. พระโพธสิ ัตวข องเราทง้ั หลายใหอภญิ ญา ๕และสมาบัติ ๘ บังเกิดขึ้นในสํานักของอาราฬดาบสแลว ตรสั ถามบรกิ รรมของเนวสัญญานาสญั ญายตนสมาบัติ อาฬารดาบสทูลวา ขา พระองคไ มทราบ ดังน้ี ตอ แตน้ันพระโพธิสัตวน ้ันจงึ เสดจ็ ไปสสู ํานักของอทุ กดาบส แลวทรงเทียบเคยี งคณุ วเิ ศษ ทพี่ ระองคบ รรลแุ ลว ตรัสถาม การบริกรรมของเนว-สญั ญานาสญั ญายตนสมาบตั ิ อุทกดาบสน้ันกท็ ลู แจงใหท รงทราบ พระ-มหาสัตวกท็ รงใหฌานนั้นเกิดขน้ึ ในลําดับแหง ถอยคําของอทุ กดาบสนนั้ ฉันใด ภิกษผุ ูป ญ ญากฉ็ นั น้ันเหมือนกนั ไดฟ ง ปริยัติธรรมแลว ก็ยอ มบําเพ็ญท้ังปฏบิ ตั ิและปฏิเวธท้ังสองได. เพราะฉะน้ัน เม่อื พระปรยิ ัตดิ ํารงอยูได ศาสนาก็เปนอันตงั้ อยไู ด. แตในกาลใด ปรยิ ัตนิ น้ั อนั ตรธานไปในกาลนั้น อภิธรรมปฎกยอ มเสื่อมไปกอ น. ไปอภธิ รรมน้นั พระปฏ ฐานยอมอนั ตรธานไปกอนกวา อยางอ่ืนท้งั หมด. ธรรมสงั คหะยอ มเสอ่ื มในภายหลงั ตามลาํ ดบั . เมอื่ อภธิ รรมปฎกนั้นเสื่อมไป แมเมอ่ื ปฎกท้ังสองนอกน้ี
พระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 250ยงั ดํารงอยู ศาสนาก็ยอ มเปนอนั ตงั้ อยูไดแ ท. ในปฎ กเหลานนั้ เมือ่ พระสุต-ตันตปฎกอนั ตรธาน องั คุตตรนิกายยอ มเสื่อมไปกอ น ต้ังแตหมวดท่ี ๑๑ จนถงึ หมวด ๑. ในลําดับนั้นสังยตุ ตนกิ าย กเ็ สื่อมไป เริ่มแตจักกเปยยาล จนถงึ โอฆตรณสูตร. ในลําดับนน้ั มชั ฌิมนิกาย กอ็ นั ตรธานเรม่ิ ต้งั แตอินทรีย-ภาวนาจนถงึ มลู ปรยิ ายสูตร. ในลาํ ดบั น้นั ทีฆนิกายกอ็ ันตรธานเร่ิมแตทสตุ ตรสูตรจนถงึ พรหมชาลสตู ร. คาํ ถามของคาถาหนึง่ กด็ ี สองคาถาก็ดียอ มอยูไปนาน ยอ มไมส ามารถดํารงศาสนาไวไ ด เชน สภิยปจุ ฉาและอาฬ-วกปุจฉา. ไดยินวา ระหวางกาลของพระกัสสปะพทุ ธเจาหนงึ่ ไมส ามารถจะดาํ รงศาสนาไวได. กเ็ มือ่ ปฎกทงั้ สองถงึ จะอันตรธานไป เมื่ออุภโตวภิ งั คย งั ดาํ รงอยู ศาสนาก็เปน อันตัง้ อยู ไดแท. เม่อื อุภโตควภิ ังคอ นั ตรธานไป แมเ มอ่ื มาติกายังดํารงอยู ศาสนากเ็ ปนอันตง้ั อยไู ดแท. เมอื่มาติกาอนั ตรธานไป เมือ่ ปาฏิโมกข บรรพชา และอปุ สมบท ยังดํารงอยูศ าสนาก็ยอ มดํารงอยไู ด. เพศยงั เปน ไปอยไู ดน าน. แตวงศของสมณะผนู งุ ผา ขาว ไมสามารถจะดาํ รงศาสนาไวไ ดต ้งั แตกาลของพระพทุ ธเจาทรงพระนามกวา กสั สปะ. ศาสนาดํารงอยไู ดต ลอดพันปดวยภกิ ษุผูบรรลุปฏิสัมภิทา ดาํ รงอยไู ดพ ันปดวยภิกษผุ ทู รงอภิญญา ๖ ดํารงอยูไดพนั ปดวยภกิ ษผุ ูทรงวชิ ชา ๓ ดํารงอยไู ดพนั ปดวยภิกษผุ ูเปน สกุ ขวปิ สสกะ ดาํ รงอยูไดพันปดวยเหลาภกิ ษผุ ทู รงปาฏิโมกข. ก็ศาสนายอ มมีอนั ทรดุ ลงตั้งแตการแทงตลอดสจั จะของภกิ ษรุ ปู หลัง ๆ และแตการทาํ ลายศลี ของภกิ ษุรปูหลัง ๆ. จาํ เดมิ แตน้ันไป การอุบตั ขิ ้ึนของพระพทุ ธเจา พระองคอ ืน่ ทา นมไิ ดห ามไว. ข้ึนชอ่ื วาปรนิ ิพพานมี ๓ อยางคอื กเิ ลสปรนิ ิพพาน ๑ ขันธ-
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309