Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_39

tripitaka_39

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:40

Description: tripitaka_39

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 101อถ วา ทุเขน ทุกขฺ ฺ โทมนสฺส ปฏิส เวเทติ ฉนั ใด บางแหง กว็ า เอกบางแหงก็วา เอกก ก็ฉนั น้นั . แตใ นทนี่ ม้ี ปี าฐะนอี้ ยา งเดยี ววา เอก นาม. พรรณนาปญ หาวา อะไรเอย ช่ือวา ๒ พระศาสดา ผูมีจิตอันพระเถระทาํ ใหทรงยนิ ดดี ว ยการพยากรณน ้อี ยา งนแี้ ลว จงึ ตรสั ถาม หายิ่งในรปู เหมอื นนัยแรกวา อะไรเอย ชอ่ื วา ๒พระเถระกลาวซํา้ วา เทฺว ๒ ทลู ตอบดว ยเทศนาเปน บุคลาธิษฐานวา คอื นามและรูป. บรรดานามและรูปนน้ั เรือ่ งที่มิใชรูปทงั้ หมด ทานเรยี กวานาม เพราะนอ มมงุ หนาสอู ารมณอยา งหน่งึ เพราะเปนเหตนุ อมจติ ไปอยางหนึ่ง. แตในทน่ี ี้ทา นประสงคเ อาธรรมทมี่ ีอาสวะเทา นัน้ เพราะเปนเหตุแหงนพิ พิทาความหนา ยสวนมหาภตู รปู ๔ และรปู ท้ังหมดที่อาศัยมหาภูตรปู น้นั เปนไป ทา นเรียกวารปู เพราะอรรถวา แตกสลาย. รปู น้นั ในท่ีน้ี ทา นประสงคเอาทงั้ หมด.แตพ ระเถระกลาวในทนี่ ้ีวา ชอ่ื วา ๒ คอื นามและรูป กโ็ ดยความประสงคน ี้แล มใิ ชกลา วเพราะไมม ธี รรม ๒ อยา งอ่นื เหมอื นอยา งทีต่ รัสไววา ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย ในธรรม ๒ อยาง ภกิ ษุ เม่อื หนา ยโดยชอบ ฯลฯ ยอ มเปน ผทู ําทส่ี ุดทุกขไ ดใ น ธรรม ๒ อยา ง คือนานและรปู ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ในธรรม ๒ อยางนีแ้ ล ภกิ ษุเม่ือหนายโดยชอบ ฯลฯ ยอ มเปน ผทู าํ ทสี่ ุดทกุ ขไ ด คาํ นัน้ ใดวา ปญหา ๒ อทุ เทส ๒ ไวยากรณ ๒ ดังนี้ คําน้ี เราอาศัยอนั นี้ กลาวแลว. ก็ในปญ หาขอน้ี พึงทราบวา ภกิ ษุละอัตตทิฏฐิความเหน็ วาเปน ตนได ดว ยการเหน็ เพียงนามรูปแลว เมือ่ หนายโดยมุขคอื การพิจารณาเหน็ อนตั ตา

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 102ยอมจะเปน ผทู ําท่สี ดุ ทกุ ขไ ด ยอมบรรลปุ รมัตถวิสุทธไิ ด เหมอื นอยางทต่ี รัสไวว า สพเฺ พ ธมฺมา อนตตฺ าติ ยทา ปฺาย ปสฺสติ อถ นพิ ฺพนิ ทฺ ติ ทุกฺเข เอส มคโฺ ค วสิ ทุ ฺธยิ า. เม่ือใด เหน็ ดว ยปญ ญาวา ธรรมทัง้ ปวงเปน อนัตตา เมอื่ นน้ั ยอ มหนา ยในทุกข น้เี ปน ทางแหง วสิ ทุ ธิ ดังน.ี้ พรรณนาปญ หาวา อะไรเอย ช่ือวา ๓ บดั น้ี พระศาสดาผมู จี ิตอนั พระเถระทาํ ใหทรงยินดดี วยการพยากรณปญหาแมน้ีแลว จึงตรัสถามปญ หายิ่งขน้ึ ไปเหมือนนัยกอน ๆ วา อะไรเอยชื่อวา ๓. พระเถระกลาวซํา้ วา ตณี ิ ๓ เม่ือแสดงสังขยาจาํ นวนที่เหมาะแกลิงคเพศศัพท แหงความที่พึงพยากรณอกี จงึ ทูลตอบวา ตสิ ฺโส เวทนา คอืเวทนา ๓. อีกนัยหน่งึ พระเถระคิดวา จําเราจะกลับคาํ วา ตีณิ ความของเวทนาทพ่ี ระผมู ีพระภาคเจาตรัสไวว า ตสิ โฺ ส เวทนา เมื่อแสดงจงึ ทลู ตอบ.บณั ฑิตพึงทราบความในขอนี้ ดงั กลา วมาฉะน้.ี ดว ยวา เทศนาของเหลา ทา นผบู รรลเุ ทศนาอนั วลิ าศ เพราะความแตกฉานแหงปฏิสมั ภิทา มีกถามขุ เปนอันมาก แตอาจารยบางพวกกลาววา บทวา ตีณิ นี้ เปน บทเกนิ . แตพ ระเถระกลาวในท่ีนี้วา ตสิ ฺโส เวทนา คือ เวทนา ๓ กต็ ามนยั กอน ๆ นั่นแลมิใชกลา วเพราะไมมธี รรม ๓ อยา งอ่นื เหมือนอยา งที่ตรสั ไววา ดูกอนภิกษทุ งั้ หลาย ในธรรม ๓ เหลานี้ ภกิ ษุ เมอื่ หนา ยโดยชอบ ฯลฯ ยอมเปนผทู าํ ที่สุดทุกขไ ด ในธรรม ๓ คอื เวทนา ๓ ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย ในธรรม

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 103๓ เหลาน้ีแล ภกิ ษุเมอ่ื หนา ยโดยชอบ ฯลฯ ยอมเปนผูทําทสี่ ดุ ทกุ ขไ ด คาํ นใี้ ดวา ปญ หา ๓ อทุ เทส ๓ไวยากรณ ๓ ดงั นี้ คาํ น้เี ราอาศยั ขอ นั้นกลาวแลว ดังน้ี.ในปญหาขอ น้ี พงึ ทราบวา ภิกษุละสขุ สญั ญา ความสาํ คญั วา สขุดวยการเห็นเวทนาท้งั สามเปนทุกข แลวหนา ยโดยมขุ คือการพจิ ารณาเหน็ ทกุ ขตามแนวพระสูตรท่ตี รสั ไวว า เวทนาความเสวยอารมณอยา งใดอยา งหน่งึ ท่ังหมดนัน้ เรากลา ววาเปนทกุ ข หรอื ตามแนวความเปน ทกุ ข เพราะทุกขเปนทกุ ขเพราะแปรปรวนและเปนทกุ ขเพราะปจจัยปรงุ แตง อยา งน้ีวา โย สขุ  ทุกขฺ โต อททฺ ทกุ ฺขมททฺ กขฺ ี สลฺลโตอทุกขฺ มสุข สนตฺ  อททฺ กฺขิ น อนิจฺจโต.ผูใ ดเหน็ สุขเปนทุกข เห็นทุกขเ ปนดังลกู ศรเหน็ อทกุ ขมสขุ มอี ยู ผูนน้ั ชื่อวาเหน็ เวทนาน้ันเปนของไมเทย่ี ง ดังน.ี้ยอมจะเปน ผทู ําท่ีสดุ ทกุ ขได ยอมบรรลุปรมัตถวิสุทธิไดเหมอื นอยา งทีต่ รสั ไวว าสพฺเพ สงฺขารา ทกุ ขฺ าติ ยทา ปฺ าย ปสสฺ ติอถ นพิ พฺ ินทฺ ติ ทุกเฺ ย เอส มคฺโค วสิ ทุ ธฺ ิยา.เมอื่ ใดเหน็ ดวยปญ ญาวา สงั ขารทั้งปวงไมเที่ยงเมือ่ นน้ั ยอ มหนายในทกุ ข นั่นเปน ทางแหง วสิ ุทธิดงั นี้. พรรณนาปญหาวา อะไรเอย ชื่อวา ๔ พระศาสดา ผูมจี ิตอนั พระเถระทาํ ใหท รงยินดีดวยการพยากรณปญหาแมน ี้อยา งน้แี ลว จึงตรัสถามปญ หายิง่ ขนึ้ ไป เหมอื นนัยกอ น ๆ วา อะไร

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 104เอย ช่ือวา ๔ ในปญ หาขอน้ี ในฝา ยพยากรณปญ หาน้ี บางแหง ทา นประ-สงคเอาอาหาร ๔ ตามนัยกอน ๆ เหมือนอยางตรสั ไววา ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย ในธรรม ๔ ภิกษุเม่อื หนา ย ฯลฯ เปน ผูทําทีส่ ุดทุกขได ในธรรม ๔ คือ อาหาร ๔. ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย ในธรรมเทานี้แลภิกษุเมือ่ หนา ย โดยชอบ ฯลฯ เปน ผทู ําที่สดุ ทกุ ขได. คาํ นัน้ ใดวา ปญหา ๔ อทุ เทส ๔ ไวยากรณ ๔ ดังน้ี คาํ น้เี รา อาศัยขอนนั้ กลาวแลว ดงั นี.้ บางแหง ภกิ ษุผูมจี ติ อบรมดแี ลวในคุณธรรมเหลาใด ยอมเปนผทู าํทส่ี ดุ ทุกขไดโ ดยลาํ ดบั คุณธรรมเหลา น้ัน กค็ ือสติปฏ ฐานส่ี เหมือนอยา งพระกชังคลาภิกษุณีกลาวไวว า ผมู ีอายุ ในธรรม ๔ ภกิ ษมุ ีจติ อบรมดีแลว โดย ชอบ เห็นทีส่ ุดโดยชอบ ตรสั รคู วามเปน ธรรมโดยชอบ ยอ มเปนผทู ําที่สุดทุกขไ ดใ นปจจบุ ัน ในธรรม ๔ คือ สติปฏ ฐาน ๔ ผมู อี ายุ ในธรรม ๔ เหลา นี้แล ภกิ ษุ มีจติ อบรมดีแลว โดยชอบ ฯลฯ ยอ มเปน ผูทาํ ทีส่ ดุ ทุกข ได คาํ นน้ั ใด พระผมู พี ระภาคเจาตรสั ไววา ปญ หา ๔ อุทเทส ๔ ไวยากรณ ๔ คาํ น้ี ดีฉันอาศัยขอ น้ัน กลาวแลว ดังน้ี. แตในท่ีนี้ การตัดภวตัณหามีได เพราะตรัสรตู ามและแทงตลอดอรยิ สจั ๔ เหลาใด เพราะเหตทุ ่ีอรยิ สัจ ๔ เหลา น้นั ทานประสงคเ อาแลวหรือเพราะเหตุทปี่ ญ หากรรมท่ีทา นพยากรณด ว ยปริยายน้ี เปน อนั พยากรณด ี

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 105แลว ท้ังนั้น ฉะนนั้ พระเถระกลา วซํ้าวา จตฺตาริ ๔ จงึ ทลู ตอบวา อริสจจฺ านิอริยสัจทง้ั หลาย. ในคาํ นนั้ ศัพทวา จตฺตาริ ๔ เปนการกาํ หนดดวยจํานวน.บทวา อริยสจจฺ านิ ไดแ ก สัจจะที่เปน อริยะ อธบิ ายวา ไมผ ดิ ไมคลาดเคลอ่ื น เหมือนอยา งท่ตี รสั ไวว า ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย อรยิ สัจ ๔ เหลา นี้แล เปน ของแท ไมผ ิด ไมแ ปรเปนอ่นื เพราะฉะน้ัน ทาน จึงเรียกวา อรยิ สจั . อีกอยางหนึ่ง เพราะเหตุใดทานอธิบายไววา เพราะเปน สจั จะอันโลกทง้ั เทวโลกพึงดาํ เนิน พงึ บรรลุ. เพราะดาํ เนนิ ไปในทางเจรญิ ที่เขา ใจกันวาฐานทคี่ วรพยายามบา ง เพราะไมด ําเนินไปในทางไมเจริญบาง พระพทุ ธเจาพรปู จ เจกพุทธเจาและพระพทุ ธสาวกท้งั หลาย ที่รบั รกู นั วา เปนพระอริยะเพราะประกอบพรอ มดวยอรยิ ธรรม คอื โพธปิ ก ขิยธรรม ๓๗ ประการ ยอมแทงตลอดอริยสจั เหลา น้ี แมเ พราะเหตนุ ้นั ทานจงึ เรียกวา อริยสัจ เหมือนอยา งที่ตรสั ไววา ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย อรยิ สจั ๔ เหลานี้ ฯลฯ อรยิ สัจ ๔ เหลา นแี้ ล พระอรยิ ะทง้ั หลาอยูอมแทงตลอด อริยสจั ๔ เหลานี้ เพราะฉะน้ัน จงึ เรียกวา อริยสจั . อกี นัยหนึง่ ชอ่ื วาอรยิ สัจ เพราะเปน สจั จะของพระผมู ีพระภาคเจาผูเปน อริยะ เหมอื นอยางที่ตรัสไววา ดูกอนภิกษทุ งั้ หลาย ตถาคตเปนอริยะในโลกทง้ั เทวโลก ฯลฯ ทั้งเทวดาและมนษุ ย เพราะฉะนั้น จึง เรียกวา อรยิ สัจ.

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 106 อกี นัยหน่งึ ชื่อวาอริยสจั แมเ พราะทาํ ใหส าํ เร็จความเปนอริยะเพราะอริยสจั เหลา น้นั ทรงรยู ง่ิ ดวยพระองคเ องแลว เหมือนอยางท่ตี รสั ไววา ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย เพราะอริยสจั ๔ เหลาน้ีแล ตถาคตตรสั รูย ่งิ เองตามเปน จรงิ ตถาคตจึงถูกเรยี กวา พระอรหนั ตสมั มาสัมพุทธเจา. ความแหง บทของอริยสัจเหลา นน้ั มีดังน้ี ความตัดขาดภวตณั หา ยอ มมีได เพราะความตรสั รูต ามและแทงตลอดอรยิ สัจเหลานน้ั เหลือนอยา งทีต่ รสัไววา ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย ทุกขอริยสจั นีน้ น้ั อนั เรา ตถาคตตรัสรูแ ลว แทงตลอดแลว ฯลฯ ทกุ ขนิโรธ คามินปี ฏิปทาอรยิ สจั อันเราตถาคตตรสั รูแ ลว แทง ตลอดแลว ภวตัณหาเราตถาคตก็ถอนไดแลว ตณั หา ท่ีนาํ ไปในภพ กส็ นิ้ แลว บดั นี้ การเกิดอีกไมม ีกันละ ดงั น.้ี พรรณนาปญหาวา อะไรเอย ชอ่ื วา ๕ พระศาสดา มีจิตอนั พระเถระทําใหท รงยินดีดวยการพยากรณปญหาแมนแี้ ลว จึงตรสั ถามปญ หายงิ่ ขึน้ ไปตามนยั กอ น ๆ วา อะไรเอย ชื่อวา ๕.พระเถระกลา วซ้าํ วา ปจฺ ๕ จงึ ทูลตอบวา อปุ าทานขนั ธ ในคําเหลาน้นัคําวา ปจฺ ๕ เปนการกาํ หนดจาํ นวน. ขนั ธทง้ั หลาย ทถี่ กู อุปาทานใหเกิดมา หรอื ทีท่ าํ อปุ าทานใหเกิด ชอ่ื วา อปุ าทานขนั ธ. รปู เวทนา สัญญาสงั ขาร และวิญญาณ อยางใดอยางหนงึ่ มอี าสวะ อันบคุ คลพงึ ยึดถือ คาํ น้ีเปน ชื่อของอุปาทานขนั ธเ หลาน้นั ก็ในท่นี ี้ พระเถระกลาววา อปุ าทานขันธ ๕

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 107ตามนยั กอ นนนั่ แล มใิ ชก ลา วเพราะไมมธี รรม ๕ อยางอื่น. เหมือนอยางที่ตรสั ไวว า ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย ในธรรม ๕ ภิกษเุ มือ่ หนา ยโดยชอบ ฯลฯ ยอ มเปน ผทู าํ ทส่ี ดุ ทุกขไ ด. ในธรรม ๕คอื อปุ าทานขันธ ๕ ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย ในธรรม ๕เหลา น้ีแล ภกิ ษเุ มอื่ หนายโดยชอบ ฯลฯ ยอ เปนผูทําทีส่ ดุ ทุกขได คํานี้ใดวา ปญหา ๕ อุทเทส ๕ไวยากรณ ๕ คาํ นเี้ ราอาศยั ขอ นัน้ กลาวแลว ดังน.ี้กใ็ นปญ หาขอ น้ี ภกิ ษุเมอื่ พิจารณาโดยความเกดิ ความดับเปน อารมณไดอมตะดวยวิปส สนาแลว ยอมทาํ ใหแ จงอมตะคอื พระนิพพาน โดยลําดบั .เหมอื นอยา งที่ตรสั ไวว า ยโต ยโต สมมฺ สติ ขนฺธาน อุทยพพฺ ยลภตี ปต ิปาโมชฺช อมต ต วชิ านต พิจารณาความเกดิ ความดับแหง ขนั ธทงั้ หลายโดยประการใด ๆ ปตแิ ละปราโมชอนั เปนอมตะ ยอมไดแ กท า นผเู ห็นความเกิดความดบั นัน้ โดยประการนั้น ๆดงั น.้ี พรรณนาปญหาวา อะไรเอย ชอื่ วา ๖ พระศาสดา ผูมีจิตอนั พระเถระทําใหทรงยินดดี ว ยการพยากรณแ มน้ีอยา งน้แี ลว จงึ ตรัสถามปญ หายิ่งข้ึนไปตามนยั กอน ๆ วา อะไรเอย ชอ่ื วา ๖พระเถระกลาวซํ้าวา ฉ หก จึงทูลตอบวา อายตนะภายใน. ในคาํ เหลา น้ันคําวา ฉ ๖ เปน การกาํ หนดจาํ นวน. อายตนะทั้งหลายท่ีประกอบในภายใน

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 108หรือกระทําตนใหเ ปนทอี่ าศยั เปนไป ช่อื วา อัชฌัตตกิ . ชือ่ วา อายตนะเพราะตอหรือเพราะกอ ความเจริญ หรือเพราะนาํ สงั สารทุกขม ายืดยาว คําน้เี ปนชอ่ื ของจกั ษุ ตา, โสตะ หู, ฆานะ จมูก, ชิวหา ลิน้ , กายะ กาย, มนะ ใจ.ก็ในท่ีนี้ พระเถระกลาววา อาตนะภายใน ๖ ตามนัยกอน มใิ ชกลา วเพราะไมมธี รรม หก อยางอ่ืน. เหมือนอยางท่ตี รัสไววาดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย ในธรรม ๖ ภกิ ษเุ มื่อหนายโดยชอบ ยอ มเปน ผูทาํ ท่สี ดุ ทุกขได. ในธรรม ๖คอื อายตนะภายใน ๖ ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลาย ในธรรม ๖เหลานีแ้ ล ภิกษเุ มือ่ หนายโดยชอบ ฯลฯ ยอ มเปน ผูทาํ ที่สุดทกุ ขได คําน้ีใดวา ปญหา ๖ อุทเทศ ๖ไวยากรณ ๖ คาํ นเ้ี ราอาศัยขอน้นั กลาวแลว.ก็ในปญหาขอ นี้ ภิกษุพจิ ารณาอายตนะภายใน ๖ โดยความเปนของวางตามพระบาลี ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย คําวา สุ ฺโ คาโม บานวา ง น้เี ปน ชอื่ ของอายตนะภายใน ๖ ดงั นี้ โดยความเปนของเปลาและโดยความเปน ของลวง เพราะต้ังอยูไ ดไ มน านเหมอื นฟองน้ําและพยับแดดฉะนัน้กห็ นา ย. ทําที่สดุ ทกุ ขโดยลาํ ดบั ยอ มเขาถงึ ทีซ่ ง่ึ มจั จรุ าชมองไมเหน็ เหมอื นอยางท่ีตรัสไวว ายถา ปุพพฺ ฬุ ก ปสฺเส ยถา ปสฺเส มรจี ิกเอว โลก อเวกขฺ นตฺ  มจฺจราชา น ปสฺสต.ิมัจจรุ าชยอ มมองไมเ หน็ ผูท ี่มองเหน็ โลกเหมอื นเหน็ ฟองนํ้า เหมือนเหน็ พยับแดดฉะนนั้ .

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 109 พรรณนาปญ หาวา อะไรเอย ช่อื วา ๗ พระศาสดาผมู จี ิตอนั พระเถระทําใหท รงยินดดี วยการพยากรณป ญ หานี้แลว จงึ ตรัสถามปญหาย่งิ ขนึ้ ไป ตามนยั กอ น ๆ วา อะไรเอย ช่ือวา ๗.วญิ ญาณฐิติ ๗ พระเถระกลาวในการพยากรณปญหาใหญก ็จริง ถึงอยางน้นัภกิ ษุผูมีจติ อบรมดแี ลวในธรรมเหลาใด ยอ มเปน ผทู าํ ทส่ี ดุ ทกุ ขไ ด พระเถระ-เมอ่ื แสดงธรรมเหลานั้น จงึ ทูลตอบวา โพชฌงค ๗. อน่งึ เลา ความขอ น้ีพระผูมีพระภาคเจากท็ รงอนมุ ตั ิแลว เหมือนอยา งท่ตี รัสไววา ดูกอนคฤหบดที ง้ั หลาย กชงั คลาภิกษุณเี ปน บัณฑติ ดูกอนคฤหบดที งั้ หลาย กชงั คลาภกิ ษุณี มี ปญ ญามาก พวกทา นเขา ไปหาคฤหบดแี มทเ่ี ตยี ง สอบ ถามขอ ความน้ี แมเรากพ็ งึ พยากรณความขอ น้นั เหมือน อยางที่ กชงั คลาภิกษณุ ี พยากรณฉ ะนนั้ . กชังคลาภกิ ษุณี นนั้ พยากรณไวอยา งนีว้ า ผูมอี ายุ ในธรรม ๗ ภกิ ษุมจี ติ อบรมดีแลว โดย ชอบ ฯลฯ ยอ มเปน ผทู าํ ท่ีสดุ ทุกขไ ด. ในธรรม ๗ คอื โพชฌงค ๗ ผมู ีอายุ ในธรรม ๗ เหลานี้แล ภกิ ษุ ผูม ีจิตอบรมดแี ลว โดยชอบ ฯลฯ ยอมเปน ผูทาํ ทสี่ ุด ทุกขได. คาํ น้นั ใดวา ปญ หา ๗ อทุ เทส ๗ ไวยากรณ ๗ คาํ นี้เราอาศยั ขอ นน้ั กลาวแลว . ดังน.ี้ ความขอ นี้ พึงทราบวา พระผูมพี ระภาคเจาทรงอนมุ ตั ิแลวดว ยประ-การฉะน.ี้

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 110 ในคําเหลานนั้ คาํ วา สตฺต ๗ เปนการกําหนดจาํ นวนเด็ดขาดไมขาดไมเ กนิ . คาํ วา โพชฌงค นเ้ี ปนชื่อของธรรมมีสตเิ ปนตน . ความของบทในโพชฌงค ๗ นีม้ ดี ังนี้ ช่ือวา โพธิ เพราะวเิ คราะหว า พระอริยสาวกยอ มตรสั รู ดวยธรรมสามัคคี กลาวคอื สติ ธมั มวิจยะ วีรยิ ะ ปติ ปสสทั ธิสมาธแิ ละอุเบกขา อันเปนปฏปิ ก ษตออปุ ท วะเปน อนั มาก มีความหดหคู วามฟงุ ซาน ความหยดุ เพียร ความพยายาม กามสุขลั ลกิ านโุ ยค อัตตกลิ มถามุโยคและความยดึ ถอื ดว ยอจุ เฉททิฏฐแิ ละสัสสตทิฏฐเิ ปนตน อนั เกิดขึน้ ในขณะแหงมรรคจิต สวนโลกิยะและโลกตุ ระนน้ั ทา นอธบิ ายวา ลกุ ข้นึ จากความหลบัคือสันดานทีม่ ีกิเลส หรือแทงตลอดอรยิ สจั ๔ หรือทาํ ใหแ จงซ่ึงพระนิพพานนนั่ แล เหมือนอยางทที่ านกลาวไวว า ทรงเจริญโพชฌงค ๗ ตรสั รยู งิ่ เองซึ่งพระอนตุ รสัมมาสมั โพธิ. อีกอยา งหน่ึงแมพ ระอรยิ สาวก ชือ่ วาโพธิ เพราะวิเคราะหว า ตรสั รูดวยธรรมสามัคคีน้นั มปี ระการตามที่กลา วมาแลว. ดงั น้ัน ชื่อวา โพชฌงคเพราะเปน องคคือสวนแหง โพธิ กลาวคือธรรมสามคั คนี น้ั เหมอื นอยา งองคแหง .ฌานเเละองคแหงมรรค อีกอยา งหนึ่ง ชื่อวา โพชฌงค แมเพราะเปน องคของพระอริยสาวกที่ไดโวหารวาโพธิน้นั เหมอื นอยา งองคค อื สว นของกองทพั และองคค อื สว นของรถเปนตน ฉะนั้น. อีกประการหน่ึง พงึ ทราบอรรถวา โพชฌงคแ หงโพชฌงคท้งั หลายโดยวิธที ่ีทานกลา วไวในคัมภีรป ฏิสมั ภิทาอยา งนวี้ า ในบทวา โพชฌงค ช่อื วาโพชฌงค เพราะอรรถวาอะไร ชอื่ วา โพชฌงค เพราะเปน ไปเพอื่ ความตรัสรูชื่อวา โพชฌงค เพราะตรสั รู ชอ่ื วา โพชฌงคเพราะตรสั รตู าม ชอื่ วา โพชฌงคเพราะแทงตลอด ชือ่ วา โพชฌงค เพราะตรสั รพู รอม. พระโยคาวจร เมอื่

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 111เจริญทาํ ใหม ากซึง่ โพชฌงค ๗ เหลา น้อี ยางนไ้ี มน านนัก กจ็ ะเปน ผไู ดคุณมีความหนา ยโดยสว นเดยี วเปน ตน ดว ยเหตุนน้ั จงึ ตรสั วา ยอ มเปน ผทู ําทสี่ ุดทุกขไดในปจ จุบัน สมดังท่ีพระผูมีพระภาคเจาตรสั ไวว า ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย โพชฌงค ๗ เหลา นี้ อัน บุคคลเจรญิ แลว ทาํ ใหม ากแลว ยอมเปน ไป เพอื่ ความ หนา ยโดยสว นเดยี ว เพ่ือความคลายกําหนด เพ่ือ ความดบั เพอื่ ควานระงับ เพ่ือความรูยง่ิ เพอ่ื ความ รพู รอ ม เพื่อความดบั ดงั น.ี้ พรรณนาปญหาวา อะไรเอย ชื่อวา ๘ พระศาสดา ผมู จี ิตอนั พระเถระทาํ ใหท รงยินดดี ว ยการพยากรณปญ หาแมน ี้อยางน้แี ลว จึงตรสั ถามปญ หายงิ่ ข้ึนไปวา อะไรเอยชื่อวา ๘. พระเถระกลา วโลกธรรม ๘ ไวใ นการพยากรณมากปญ หา ก็จรงิ อยู ถงึ อยางน้นั ภิกษุผมู จี ติ อบรมดแี ลวในธรรมเหลาใด ยอ มเปน ผทู ําทีส่ ดุ ทุกขได พระเถระเนอ้ืแสดงธรรมเหลานน้ั ไมก ลาววา องคอ ริยะแหงมรรค ๗ เพราะเหตุที่ ธรรมดามรรคอันพน จากองค ๘ หามีไม แตว ามรรคมีเพยี งองค ๘ เทา นนั้ ฉะนนั้เมอ่ื จะใหส าํ เร็จความขอ น้นั จงึ ทลู ตอบ โดยวลิ าสแหง เทศนาวา อรยิ มรรคมีองค ๘ ความและเทศนานยั ขอนี้ แมพระผูมีพระภาคเจา ก็ทรงอนมุ ตั แิ ลวท้งั น้นัเหมือนอยา งที่ตรัสไววา ดูกอ นคฤหบดีทง้ั หลาย กชงั คลาภิกษณุ ี เปน บณั ฑิต ฯลฯ แมเราก็พึงพยากรณเ หมือนกชงั คลาภกิ ษณุ ี พยากรณ น่ันแล.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 112 กพ็ ระกชังคลาภิกษณุ ีน้นั พยากรณไ วอ ยา งน้วี า ผูม อี ายุ ในธรรม ๘ ภิกษุผมู ีจิตอบรมดแี ลวโดย ชอบ ฯลฯ ยอมเปน ผูทาํ ทส่ี ุดทุกขได คําน้ันใด พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสไววา ปญหา ๘ อทุ เทส ๘ ไวยากรณ ๘ คําน้ี ดฉิ ันอาศยั ขอ นน้ั กลาวแลว ดงั นี้. ความและเทศนาน้นั พงึ ทราบวา พระผมู ีพระภาคเจา ทรงอนุมัติแลวดว ยประการฉะน้ี. บรรดาบทเหลา นัน้ บทวา อรโิ ย แปลวา อนั ผตู องการพระนพิ พานพึงบรรล.ุ อนึง่ มรรคพึงทราบวา อรยิ ะ เพราะเปนไปหา งไกลจากกิเลสท้งั -หลาย. เพราะกระทาํ ใหเ ปน พระอรยิ ะ และแมเพราะไดอริยผล. องคข องมรรคน้ันมี ๘ เพราะเหตุน้นั มรรคนัน้ จึงชอ่ื วา ที่องค ๘. มรรคนี้น้นั พงึ ทราบวาเปนเพียงองคเ ทา นั้น เพราะมรรคมีสภาพท่ีบคุ คลจะไมพงึ ได โดยแยกออกจากองค เหมือนกองทัพมีองค ๔ และดนตรีมีองค ๕. บุคคลยอมคนหาพระนพิ พานดวยทางนห้ี รอื แสวงหาเอง หรอื ฆา กเิ ลสไป เหตุน้ัน ทางนี้จงึ ชอื่ วามรรค. ภกิ ษุเมอ่ื เจรญิ มรรคมปี ระเภท ๘ และมีองค ๘ น้อี ยางนี้ ยอมทาํ ลายอวชิ ชา ทาํ วิชชาใหเกดิ ทาํ ใหแจงพระนิพพานดว ยเหตนุ ัน้ ทาํ นจ้ี งึ กลา ววาเปน ผูท ําทสี่ ดุ ทกุ ขไดใ นปจ จบุ นั สมดังตรสั ไวอยา งน้ีวา ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย หางเมล็ดขาวสาลี หรือหาง เมลด็ ขา วเหนียว ท่ีเขาตัง้ ไวช อบ เอามือหรอื เทา เหยียบ จักตําเอามอื หรอื เทาได หรอื จักทําใหห อเลอื ด ได ขอ นี้เปนไปได. เพราะอะไร. เพราะหางเมล็ด

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 113 เขาตัง้ ไวช อบ ฉันใด. ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ภิกษุน้นั หนอกฉ็ ันนั้นเหมอื นกนั จักทาํ ลายอวชิ ชา ทาํ วิชชาให เกิด จักทาํ ใหแ จงพระนิพพานได กด็ ว ยทฏิ ฐิท่ตี ัง้ ไว ชอบ ดวยมรรคภาวนาท่ตี ้งั ไวช อบ ขอนีเ้ ปน ไปได ดงั น้ี. พรรณนาปญหาวา อะไรเอย ช่อื วา ๙ พระศาสดา ผูมีจิตอันพระเกระทาํ ใหท รงยินดีดวยการพยากรณป ญหานี้ จึงตรสั ถามปญ หายงิ่ ขึ้นไปวา อะไรเอย ชื่อวา ๙. พระเถระกลา วซา้ํ วานว ๙ จงึ ทูลตอบวา สตั ตาวาส. ในคํานั้น คําวา นว ๙ เปนการกําหนดจาํ นวน. คาํ วา สตั ว ไดแ กสตั วม ชี ีวติ ทที่ านบญั ญตั ทิ ่ีอาศัยขันธอ นั นบั เนืองในชีวติ ินทรีย. คําวา อาวาสไดแ กชือ่ วาอาวาส เพราะเปน ท่อี ยูอ าศยั . ที่อยูอาศยั ของสตั วท ง้ั หลาย ชือ่ วาสัตตาวาส นบั เปน ทางแหง เทศนา. แตเม่อื วา โดยอรรถใจความ คํานเี้ ปน ช่ือของสัตว ๙ ประเภท เหมือนอยา งทท่ี า น๑ กลา วไวว า ผมู ีอายุ เหลาสัตวมกี ายตางกันมสี ญั ญาตา งกนั มีอยู เหมอื นมนษุ ยบ างพวก เทพบางพวก และวนิ -ิ ปาตกิ ะทางพวก นีเ้ ปนสัตตาวาสท่ี ๑. เหลาสตั วมกี าย ตางกนั มสี ัญญาอยา งเดยี วกัน มีอยู เหมอื นทวยเทพ ท่ีอยใู นหมูพรหมผเู กิดเปนพวกแรก น้ีเปนสตั ตาวาสที่ ๒. เหลาสตั วผ ูมกี ายอยางเดียวกนั มีสญั ญาตางกัน มีอยู เหมือนทวยเทพเหลา อาภสั สระ นเี้ ปน สัตตาวาส ๓. เหลาสัตวผ ูมีกายอยางเดียวกัน มสี ัญญาอยาง เดยี วกัน มีอยู เหมอื นทวยเทพเหลาสภุ กณิ หะ น้ีเปน๑. ท.ี ปาฏิ. ๓/ขอ ๔๕๗.

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 114 สัตตาวาสท่ี ๔. เหลา สัตวทีไ่ มม สี ญั ญา ไมเ สวยอารมณ มีอยู เหมือนทวยเทพเหลาอสญั ญสัตวน เี้ ปนสตั ตาวาส ที่ ๕. เหลาสัตว ฯลฯ ท่ีเขา ถึงอากาสานญั จายตนะ น้ี เปนสตั ตวาสท่ี ๖. เหลาสตั ว ฯลฯ ท่ีเขา ถึงวัญญาณญั - จายตนะ น้เี ปนสตั ตาวาสท่ี ๗. เหลา สัตว ฯลฯ ทเ่ี ขา ถงึ อากิญจญั ญายตนะ นี้เปน สตั ตาวาสที่ ๘. เหลาสัตว ฯลฯ ทเี่ ขาถึงเนวสัญญานาสญั ญายตนะ นี้เปน สัตตาวาสนี้ ๙. กใ็ นท่นี ี้ พระเถระ กลาววา สตั ตาวาส ๙ กต็ ามนยั กอ น ๆ นนั่ -แหละ มิใชกลาวเพราะไมม ธี รรม ๙ อยา งอ่ืน เหมอื นอยา งทีต่ รัสไววา ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย ในธรรม ๙ ภกิ ษุเม่ือหนา ย โดยชอบ ฯลฯ ยอ มเปน ผูทาํ ท่ีสดุ ทุกขไ ด ในธรรม ๙ คอื สัตตาวาส. ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย ในธรรม ๙ เหลานแี้ ล ภิกษุเม่อื หนา ยโดยชอบ ฯลฯ ยอ มเปนผทู ํา ท่สี ดุ ทกุ ขได คํานั้นใด เรากลา ววา ปญหา ๙ อุทเทส ๙ ไวยากรณ ๙ คํานีเ้ ราอาศัยขอน้ันกลาวแลว . ก็ในปญหาน้ี ภิกษุละความเหน็ วา ยัง่ ยนื งามความเปนคนสขุ เสยี ดว ยญาตปริญญา ในสตั ตาวาส เพราะบาลีวา ธรรม ๙ ความกําหนดรู คือ สตั ตวาส๙. หนายดวยการเห็นเปนเพยี งกองสังขารลว น ๆ คลายกาํ หนัดดว ยการเห็นอนจิ จลกั ษณะดว ยตีรณปริญญา หลุดพน ดวยการเห็นทกุ ขลักษณะ เหน็ ท่ีสุดโดยชอบดว ยการเห็นอนัตตลกั ษณะ ตรัสรคู วามเปนธรรมชอบดว ยปหานปรญิ ญายอมเปนผทู ําท่ีสุดทุกขไ ด ดวยเหตนุ น้ั พระผูมพี ระภาคเจา จึงมีพทุ ธดํารสั วา ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ในธรรม ๙ ภกิ ษเุ มือ่ หนา ย โดยชอบ ยอ มเปนผูทาํ ท่ีสดุ ทุกขได. ในธรรม ๙ คือ สัตตาวาส ๙ ดงั นี.้

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 115 พรรณนาปญหาวา อะไรเอยชอ่ื วา ๑๐ พระศาสดา ผมู จี ติ อันพระเถระทาํ ใหทรงยนิ ดดี วยการพยากรณแ มน ี้อยา งน้ี จงึ ตรัสถามปญหาย่ิงข้นึ ไปวา อะไรเอย ชือ่ วา ๑๐ ในปญหานั้นพระผมู ีพระภาคเจา ตรัสอกุศลกรรมบถ ๑๐ ไวในการพยากรณท ้งั หลาย นอกจากการพยากรณปญหานี้ เหมอื นอยางที่ตรัสไววา ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย ในธรรม ๑๐ ภกิ ษุเม่อื หนาย โดยชอบ ฯลฯ ยอมเปน ผูทําท่ีสุดทกุ ขไ ด. ในธรรม ๑๐ คอื อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย ใน ธรรม ๑๐ ภกิ ษุเมอื่ หนา ย โดยชอบ ฯลฯ ยอมเปนผู ทําท่ีสดุ ทุกขได คํานน้ั ใดเรากลาววา ปญ หา ๑๐ อทุ เทส ๑๐ ไวยากรณ ๑๐ คํานี้เราอาศัยขอนนั้ กลาว แลว ดังน้.ีก็จริงอยู ถึงอยางนัน้ ในทน่ี ้ี เพราะเหตุที่พระเถระไมนาํ ตวั เองเขา ไป ประ-สงคแตจะพยากรณพระอรหัต หรือเพราะเหตุที่ปญหากรรม ที่พระเถระพยา-กรณโ ดยปริยายน้ี เปน อันพยากรณดแี ลว ฉะนั้น ทานทปี่ ระกอบองค ๑๐เหลา ใดทานเรียกวา พระอรหนั ต พระเถระเม่อื แสดงการบรรลุองค ๑๐ เหลา นน้ัจึงทูลตอบดวยเทศนาเปนบคุ ลาธษิ ฐานวา ทานผปู ระกอบพรอ มดวยองค ๑๐ทานเรียกวา พระอรหันต. เพราะในขอ น้ี ทา นผปู ระกอบพรอ มดวยองค ๑๐เหลาใด ทา นเรยี กวา พระอรหนั ต พึงทราบวา องค ๑๐. เหลานนั้ พระเถระถกู ตรัสถามวา อะไรเอย ช่อื วา ๑๐ จึงทลู ช้แี จง. กอ็ งค ๑๐ เหลานั้น พงึทราบโดยนยั ท่ีตรสั ไวในพระสูตรท้ังหลายเปน ตน อยา งนวี้ า

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 116 ภกิ ษุทลู ถามวา ขา แตพระองคผเู จรญิ เรียกกันวา อเสขะ อเสขะ ภิกษุเปนอเสขะ ดวยเหตเุ ทา ไรพระเจา ขา. ตรัสตอบวา ดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย ภิกษุในธรรมวนิ ัยนี้ ประกอบดวยสมั มาทิฏฐิ เปน อเสขะสมั มาสังกปั ปะ เปน อเสขะ สมั มาวาจา เปน อเสขะสัมมากมั มนั ตะ เปน อเสขะ สมั มาอาชีวะ เปนอเสขะสมั มาวายามะเปน อเสขะ สัมมาสติเปนอเสขะ สัมมาสมาธเิ ปนอเสขะ สัมมาญาณะเปนอเสขะ และสัมมาวมิ ตุ ติเปน อเสขะ ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลาย อยางนแ้ี ล ภิกษุช่ือวา เปน อเสขะแล. จบพรรณนากุมารปญหา แหง อรรถกถาขุททกปาฐะ ปรมตั ถโชตกิ า

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 117 มงคลสูตรในขุททกปาฐะ [๕] ขาพเจา ไดสดับมาแลว อยางน.้ี สมยั หน่ึงพระผูม พี ระภาคเจาประทบั อยู ณ พระเชตวันวิหารอารามของทา นอนาถปณ ฑกิ ะ กรงุ สาวัตถี. คร้งั นน้ัเม่อื ลว งปฐมยามไปแลว เทวดาองคห นง่ึ มีวรรณะงดงามเปลงรัศมสี วางตัวพระเชตวนั เขาไปเฝา พระผมู ีพระภาคเจา ถวายบงั คมพระผูมพี ระภาคเจา แลว ยืน ณ ที่สมควรสว นหน่ึง ไดกราบทลู พระผูม ีพระภาคเจา ดว ยพระคาถาวา [๖] เทวดาและมนุษยเ ปน อันมาก ปรารถนาความ สวัสดี พากันคิดมงคลทัง้ หลาย ขอพระองคโปรดตรสับอกมงคลอนั อุดมดว ยเถดิ พระเจาขา. พระผูมพี ระภาคเจาตรสั ตอบดว ยคาถาเหลานั้นวา การไมคบพาล การคบแตบณั ฑติ และการบูชา ผทู ค่ี วรบูชา น้กี ็เปนมงคลอุดม การอยใู นประเทศอันเหมาะ ความเปนผทู ําบญุไวแ ตก อ น การตงั้ ตนไวชอบ นก่ี ็เปน มงคลอดุ ม. ความเปน พหูสูต ความเปนผูม ีศิลปะ มีวนิ ยั ที่ศกึ ษามาดี มีวาจาเปนสุภาษติ นีก่ เ็ ปน มงคลอดุ ม.

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 118 การบาํ รุงมารดาบิดา การสงเคราะหบ ตุ รภริยาการงานอันไมอากูล น่ีก็เปน มงคลอดุ ม. ทาน ธรรมจริยา การสงเคราะหญ าติ การงานอนั ไมมโี ทษ นก่ี ็เปน มงคลอุดม. การงดเวน จากบาป งดเวน การดื่มน้ําเมา ความไมป ระมาทในธรรมทัง้ หลาย นี่กเ็ ปน มงคลอุดม. ความเคารพ ความยอมตน ความสันโดษความ กตัญู การฟงธรรมตามกาล นี่ก็เปน มงคลอดุ ม. ความอดทน ความวา งาย การเห็นสมณะ การ สนทนาธรรมตามกาล นี่กเ็ ปน มงคลอุดม. ตบะ พรหมจรรย การเห็นอรยิ สัจ การทาํ พระ-นิพพานใหแ จง นี่ก็เปน มงคลอุดม. จิตของผูท่ีถกู โลกธรรมกระทบแลว ไมหวั่นไหวไมเศราโศก ไมเ ศราหมองดวยละอองกเิ ลส เกษมปลอดโปรง นก่ี ็เปนมงคลอดุ ม. เทวดาและมนุษยท ้งั หลาย ทํามงคลดังน้แี ลวไมพ ายแพใ นขาศกึ ทั้งปวง ยอมถึงความสวสั ดใี นทท่ี ุกสถาน น่ีแลมงคลอดุ ม ของเทวดาและมนษุ ยเหลา น้ัน. จบมงคลสตู ร

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 119 ๕. อรรถกถามงคลสูตร ประโยชนแ หงบทต้งั บัดนี้ ถงึ ลาํ ดับการพรรณนาความแหง มงคลสูตรทย่ี กเปน บทต้ัง ตอลําดบั จากกมุ ารปญ หา. ในทนี่ ีข้ า พเจาจะกลาวประโยชนแ หง บทตัง้ แลว จงึ จักพรรณนาความแหง มงคลสูตรน้ัน. อยา งไรเลา . ความจริง พระสตู รนี้ พระ-ผมู พี ระภาคเจา แมม ิไดตรสั ถามลําดบั น้ี แตขา พเจากลาวเพอ่ื แสดงวาการนบัถือพระศาสนาดว ยการถึงสรณะ และนัยตามประเภทศลี สมาธปิ ญญา ทรงแสดงไวด ว ยสิกขาบท ทวัตตงิ สาการและกมุ ารปญหา นใี้ ด แมท งั้ หมดนั้น กเ็ ปนมงคลอยา งยงิ่ เพราะผตู อ งการมงคล จาํ ตอ งทําพากเพียรอยา งย่งิ ในมงคลน้ันน่นั แล. สว นความท่ีการนับถอื พระศาสนาเปนตน นั้น เปน มงคลนั้นบัณฑิตพงึทราบตามแนวพระสตู รนี.้ นเี้ ปนประโยชนแ หงบทตั้งในมงคลสตู รนน้ั ในที่นี้ กถาพรรณนาปฐมมหาสงั คายนา ก็เพ่ือพรรณนาความแหง มงคลสตู รนั้น ซึง่ ยกเปนบทต้ังไวอยา งนี้ มีมาตกิ าหัวขอ ดังน้ี. ขา พเจาจะกลาววิธนี อี้ ยางนวี้ า คํานผ้ี ูใ ดกลาว กลา วเมือ่ ใด กลา วเพราะเหตุไร เนอ้ื จะพรรณนาความ แหง ปาฐะมี เอว เปนตน กจ็ ะกลาวสมุฏฐานทเ่ี กดิ มงคลกาํ หนดมงคลนน้ั แลว จะช้แี จงความมงคลแหง มงคลสตู รน้นั .

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 120 ในมาตกิ านน้ั กอ นอืน่ ก่งึ คาถานวี้ า วตุ ฺต เยน ยทา ยสฺมาเจต วตฺวา อิม วธิ ึ. ทานกลาวหมายถึงคาํ คือ เอวมเฺ ม สตุ  ฯปฯ ภควนฺตคาถาย อชฺฌภาส.ิ จรงิ อยู. พระสูตรน้ี ทา นกลาวโดยฟง ตอ ๆ กันมากพ็ ระผมู ีพระภาคเจานน้ั เปนสยัมภูคอื เปนพระพุทธเจาเองไมมอี าจารย เพราะฉะนน้ั คาํ น้ี [นทิ านวจนะ] จึงไมใชพ ระดํารสั ของพระผูมีพระภาคอรหันต-สัมมาสมั พทุ ธเจา พระองคน้นั . เพราะเหตทุ ีม่ คี ํากลา ววา คาํ น้ี ใครกลาวกลา วเมอ่ื ใด และกลาวเพราะเหตุใด. ฉะน้นั จึงขอกลา วช้ีแจง. ดังน้ีคํานี้ทา นพระอานนทก ลาว และกลาวในเวลาทาํ มหาสงั คายนาคร้งั แรก ความจรงิ การทํามหาสงั คายนาครง้ั แรกนี้ ควรทราบมาตั้งแตตนเพ่ือความฉลาดในนทิ านวจนะคําตนของสูตรท้ังปวง ดังตอไปน.ี้ เม่ือพระผมู พี ระภาคเจา ผเู ปนนาถะทพ่ี ่งึ ของโลก ทรงบาํ เพ็ญพุทธ-กจิ เรม่ิ ตนแตทรงประกาศพระธรรมจกั รจนถึงทรงโปรดสภุ ทั ทปริพาชก แลวเสด็จปรินพิ พานดวยอนุปาทเิ สสนพิ พานธาตุ เวลาใกลร งุ วนั วสิ าขบูรณมรี ะหวา งตนสาละคู ในสาลวโนทยานอันเปน ทแี่ วะพักของมลั ลกษัตรยิ ใกลก รุงกสุ นิ าราทา นพระมหากสัสปะผูเปน สังฆเถระของภกิ ษปุ ระมาณเจ็ดแสนรปู ทปี่ ระชมุ กนั ในวันแบง พระบรมสารรี กิ ธาตุของพระผมู ีพระภาคเจา มาระลกึ ถงึ คาํ ของ ขรวั ตาสภุ ัตทะ กลาวเมอ่ื พระผมู พี ระภาคเจา เสดจ็ ปรนิ ิพพานได ๗ วนั วา \"พอที่เถิด ผูม อี ายะ ทานท้งั หลาย อยางเศราโศกไปเลย อยารํ่าไรไปเลยพวกเราพนดแี ลว จากพระมหาสมณะนั้น แตก อ นพวกเราถกู พระ-มหาสมณะผนู ั้น บงั คับจูจวี้ า 'ส่งิ นี้ควรแกพ วกเธอบางละ สง่ิ น้ีไมควรแกพ วกเธอบางละ' มาบดั น้ี พวกเราปรารถนาสงิ่ ใด ก็จกั ทาํ สิ่งนั้น ไมปรารถนาสง่ิ ใด ก็จกั ไมทําสิ่งน้ัน\" ทานดํารวิ า \"พวกภกิ ษชุ วั่

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 121เขา ใจวา \" ปาพจน คอื ธรรมวินยั มศี าสดาลวงไปแลว ไดส มัครพรรคพวกกจ็ ะพากนั ย่าํ ยพี ระสัทธรรมใหอันตรธานไปไมนานเลย ขอ นยี้ อ มเปนไปได.ตราบใด ธรรมวนิ ัยยงั ดาํ รงอยู ตราบน้ัน ปาพจน คอื ธรรมวินยั ก็หาชอ่ื วามีศาสดาลวงไปแลว ไม สมจรงิ ดงั ท่ีพระผมู ีพระภาคเจาตรัส๑ไววา ดูกอนอานนท ธรรมเเละวินัยอนั ใด อนั เราตถา- คตแสดงแลว บญั ญตั แิ ลวแกเ ธอทั้งหลาย ธรรมและ วินยั อนั นน้ั จกั เปนศาสดาของเธอทั้งหลาย เม่อื เรา ลวงลับไป ดังน้ี.อยา กระน้นั เลย จาํ เราจะชว ยกนั สังคายนาธรรมและวนิ ยั โดยวธิ ีท่ีพระศาสนาน้จี ะพงึ ดาํ รงอยูยงั่ ยืนยาวนาน. อนง่ึ เลา เรากสั สปะอันพระผมู ีพระภาคเจาทรงอนเุ คราะหดว ยสาธารณ-บรโิ ภคในจีวร ตรสั วา ดกู อนกสั สปะเธอจกั ครองผาปา นบงั สกุ ลุ ทใี่ ชแ ลว ของเราไหวหรือ และทรงอนุเคราะหดวยทรงสถาปนา เราไวเสมอ ๆ กับพระองคใ นอุตตรมิ นุสสธรรม ธรรม อัน ยงิ่ ยวดของมนษุ ย ตางโดยอนุปุพพวิหาร ๙ และ อภญิ ญา ๖ โดยนยั เปนตน อยางน้ีวา ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย เราตถาคตตอ งการสงดั จากกามท้งั หลาย สงดั จากอกุศลธรรมทง้ั หลาย เขา ถึงปฐมฌานอยูเพยี งใด แมก สั สปะกต็ อ งการสงดั จากกามทั้งหลาย สงัดจาก อกุศลธรรมทัง้ หลาย ฯลฯ เขา ถึงปฐมฌานอยูเพยี งนน้ั . ดงั น้.ี๑. ท.ี มหา. ๑๐/ขอ ๑๔๑.

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 122เราน้ันจะมหี นอี้ ืน่ อะไรเลา พระผูม ีพระภาคเจา ทรงทราบวา กัสสปะผูน จ้ี ักเปนผูดาํ รงวงศพ ระสทั ธรรมของเรา จึงทรงอนเุ คราะหเ รา ดว ยการอนุเคราะหที่ไมท่วั ไปน้ี เหมอื นพระราชาทรงอนเุ คราะหพ ระราชโอรส ผดู ํารงวงศต ระกูลดวยทรงมอบเกราะและพระราชอิสรยิ ยศ มิใชหรือ จึงทาํ ความอุตสาหะใหเกิดแกภกิ ษุท้ังหลาย เพ่อื ชวยกันสังคายนาธรรมและวินัย เหมือนอยา งทที่ า นพระอานนทก ลา วไววา ครั้งนน้ั แล ทา นพระมหากัสสปเลา กะภิกษุท้ัง หลายวา ผูมอี ายุทง้ั หลาย คร้งั หนึ่ง เราเดินทางไกล จากนครปาวามาสนู ครกสุ ินารา พรอ มกบั ภิกษุหมู ใหญป ระมาณ ๕๐๐ รูป ดงั นี้.สุภทั ทกัณฑ ควรกลา วใหพ ิศดารทั้งหมด. ตอจากนัน้ ทา นพระมหากสั สปกลาววา ผมู อี ายุทง้ั หลายเอาเถดิ เรามาชว ยกนั สงัคายนา ธรรมและวินัย ตอไปเมื่อหนา อธรรมรงุ เรอื่ ง ธรรมก็ จะรว งโรย. อวินัยรุงเรอื ง วินัยกจ็ ะรวงโรย เมือ่ หนา อธรรมวาทีมกี ําลงั ธรรมวาทกี ็จะออ นกาํ ลัง อวนิ ยั วาที มีกําลัง วินยั วาทกี จ็ ะออนกําลัง. ภิกษุท้งั หลายกลาววา ขาแตท านผูเจริญ ถา อยา งนน้ั ขอพระเถระโปรดเลอื กภิกษุท้ังหลายเถิด. พระเถระละเวน ภิกษทุ ่ีเปนปถุ ชุ น โสดาบัน สกทา-คามี อนาคามแี ละพระขีณาสพสกุ ขวปิ ส สก ผทู รงพระปริยัตคิ อื นวงั คสัตถุศาสนทรงสิ้น เปน จํานวนหลายรอยหลายพันรูป เลือกเอาเฉพาะภกิ ษุผเู ปนพระอรหันตประเภทเตวิชชาเปน ตน ผทู รงปริยตั ิคอื พระไตรปฎกทัง้ หมด บรรลุปฏิสัมภิ-ทา มอี านภุ าพยง่ิ ใหญโ ดยมาก พระผมู ีพระภาคเจาทรงยกยองเปนเอตทัคคะท่ี

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 123พระสังคีติกาจารยม ุงหมายกลา วไวว า ครง้ั น้นั แล ทานพระมหากสั สปคดั เลือกพระอรหนั ต ๕๐๐ รูปหยอ นอยูรูปหนง่ึ ดงั น้ี. ถามวา ทาํ ไม พระเถระจึงทาํ ใหห ยอนอยูรปู หนง่ึ . ตอบวา เพ่ือไวชอ งโอกาสแกทา นพระอานนทเ ถระเพราะวา ทง้ั รวมกบั ทานพระอานนท ทงั้เวน ทา นพระอานนทเสยี ไมอาจทาํ สังคายนาธรรมได ดว ยวาพระอานนทน ้นั เปนพระเสขะยงั มีกจิ ทีต่ องทาํ อยู ฉะน้ัน จงึ ไมอาจรว มได แตเ พราะเหตทุ น่ี วงั คสัตถุ-ศาสนม ีสุตตะและเคยยะเปน ตน ขอ ใดขอ หนง่ึ ซึ่งพระทศพลทรงแสดงแลว ทช่ี ือ่ วา ทานพระอานนทไ มไดรบั ตอพระพักตรข องพระผมู ีพระภาคเจาไมมีฉะนน้ั จงึ ไมอาจเวน เสียได. ผิวา ทา นพระอานนทแมเ ปนเสขะอยู กน็ าทพ่ี ระเถระจะพงึ เลอื ก เพราะเปนผมู ีอปุ การะมาก ตอการทาํ สงั คายนาธรรมแตเพราะเหตไุ ร พระเถระจึงไมเ ลอื กเลา . เพราะจะหลกี เล่ียงการตําหนิติเตยี นเสีย. ความจริง พระเถระมีความสนิทสนมอยา งเหลอื เกินในทานพระอานนท.จรงิ อยา งนน้ั ถงึ ทา นพระอานนทีจ่ ะมีศีรษะหงอกแลว. พระเถระก็ยงั สงั่ สอนทา นดว ยวาทะวา เด็ก วา \"เดก็ คนน้ี ไมร จู ักประมาณเสยี เลย\". อน่งึทานพระอานนทนี้เกิดในตระกูลศากยะ เปน พระอนุชาของพระตถาคต เปนโอรสของพระเจาอา. ในการคดั เลอื กทา นพระอานนท ภกิ ษุทง้ั หลายจะสาํ คญัประหนึง่ ทา นลําเอียงเพราะรัก จะพึงตําหนติ ิเตยี นวา พระเถระละเวนเหลา ภิกษุผูบ รรลอุ เสขปฏสิ มั ภทิ าเสยี ไปเลอื กพระอานนท ผบู รรลเุ สขปฏิสมั ภิทา. พระ-เถระเม่อื จะหลีกเล่ยี งตาํ หนิตเิ ตยี นนัน้ คดิ วา \"เวน พระอานนทเสยี กไ็ มอาจทาํ สงั คายนากันได เราจะเลือก ก็ตอเมอ่ื ภกิ ษุทั้งหลายอนุมตั เิ ทาน้นั \" ดังนี้จงึ ไมเลือกเอง.

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 124 ครั้งนนั้ ภกิ ษทุ ้งั หลายพากันรองขอพระเถระ เพ่อื เลอื กทา นพระ-อานนทเสียเองเลย เหมอื นอยา งทพี่ ระอานนทก ลา วไวว า ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ไดกรายเรยี นทา นพระมหากสั สป อยางน้ีวา ขาแตท า นผูเจริญ ทานพระอานนทน ้ี ถงึ แมจะเปนพระเสขะ แตก็ไมค วรจะลาํ เอยี งเพราะรัก เพราะเกลียด เพราะหลง เพราะกลวั ก็ทานพระ- อานนทนี้ ไดร่ําเรยี นธรรมและวนิ ัยมาในสํานักพระ- มีพระภาคเจาเปนอันมา ถา อยางน้ัน ขอพระเถระ โปรดเลือกทานพระอานนทด วยเถดิ เจาขา. ครั้งนน้ั แล ทา นพระมหากสั สป จึงไดเ ลอื กทานพระอานนทดวย ดังนี.้ พระเถระจงึ ไดม จี าํ นวนครบ ๕๐๐ รูป รวมท้งั ทานพระอานนท ท่ีพระเถระเลือกโดยอนมุ ตั ิของภกิ ษทุ ัง้ หลาย ดว ยประการฉะนี้. ลาํ ดับนั้น ภกิ ษุผเู ถระทัง้ หลายปรกึ ษากนั วา เราจะชว ยกันสังคายนาธรรมและวนิ ัย ที่ไหนเลาหนอ. ไดต กลงกนั วา กรุงราชคฤห มีโคจรทหี่ าอาหารมาก มีเสนาสนะมาก ถากระไร เราจะอยูจําพรรษา ชว ยกนั ทําสงั คายนา ณกรุงราชคฤห ภกิ ษุเหลาอน่ื [ทไ่ี มไ ดร บั คัดเลอื ก] ไมพ ึงเขาจําพรรษากรงุ ราชคฤห. ก็เหตุไร ภกิ ษุผเู ถระเหลานั้น จงึ ไดต กลงกันดงั นนั้ . เพราะทานดาํ รวิ า การทําสงั คายนาน้ี เปน ถาวรกรรมของเรา บุคคลผูเปน วสิ ภาคไมถูกกัน จะพึงเขา มาทามกลางสงฆ แลว ร้อื ถาวรกรรมนัน้ เสยี . ครั้งน้ัน ทา นพระมหากัสสปจงึ ประกาศดวยญัตติทุติยกรรม. คําประกาศนนั้ พงึ ทราบตามนัยท่ที านกลาวไวแ ลว ในสังคตี ิขนั ธกะน้ันแล.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 125 คร้งั นั้น นบั แตพระตถาคตเสดจ็ ปรินพิ พาน เมื่อการเลน สาธกุ ีฬาลว งไป ๗ วัน การบูชาพระธาตลุ ว งไปอกี ๗ วัน พระมหากสั สปเถระรวู าเวลาลวงไปคร้งั เดอื นแลว ยังเหลอื เวลาเดือนครึ่ง ก็กระชนั้ ชดิ ดถิ เี ขาจาํ พรรษาจึงกลา ววา ผมู ีอายุทั้งหลาย เราจะพากันไปกรงุ ราชคฤห กพ็ าหมูภิกษคุ รึ่งหนง่ึ เดนิ ทางแยกไปทางหนงึ่ แมพระอนรุ ทุ ธเถระ ก็พาหมภู ิกษคุ รึง่ หน่งึ แยกไปอีกทางหนึ่ง. สวนพระอานนทเถระถอื บาตรจีวรของพระผมู พี ระภาคเจา อันหมภู ิกษแุ วดลอม ประสงคจ ะไปกรุงสาวัตถี [กอน] แลว จงึ จะไปกรุงราชคฤหก็แยกทางจาริกไปทางกรงุ สาวัตถ.ี ในสถานท่พี ระอานนทเถระไปถึง ๆ ก็ไดม ีเสยี งครวญครา่ํ รําพนั ขนานใหญว า ทา นอานนทเ จา ทานอานนทเกบ็พระศาสดาไวเสยี ท่ีไหนมาแลว. เม่ือพระเถระถงึ กรุงสาวตั ถีตามลาํ ดบัไดมเี สียงครวญคร่ํารําพนั ขนานใหญ เหมือนในสมัยทพ่ี ระผูมีพระภาคเจา เสดจ็ปรินิพพาน. ขา ววา สมยั น้ัน ทา นพระอานนท ตอ งปลอบมหาชนนัน้ ดวยธรรมีกถาที่ประกอบดวยอนจิ จตาความไมเ ทีย่ งเปน ตน แลว จงึ เขา ไปยังพระ-เชตวันวหิ าร เปดพระทวารแหงพระคนั ธกฎุ ีท่พี ระทศพลประทับแลวนาํ เตียงตัง่ ออกเคาะปด กวาดพระคนั ธกฎุ ี ทิ้งขยะคือดอกไมแหง นาํ เตียงต่งั เขา ไปตงั้ไวตามเดมิ อีก ไดกระทําวัตรปฏิบัติทุกอยางทค่ี วรทาํ เหมอื นในครงั้ พระผมู -ีพระภาคเจายังทรงพระชนมอ ย.ู พระเถระแขง็ ใจดมื่ ยาระบายเจอื น้ํานมในวันที่ ๒ เพือ่ ทํากายที่มีธาตุหนกั ใหเ บา เพราะต้งั แตพระผมู ีพระภาคเจา เสดจ็ ปรินิพพาน ทานตองยืนมาก.นง่ั มาก จึงน่ังอยูแตในวิหารเทา นั้น ซงึ่ ทา นอางถงึ จึงกลาวกะเดก็ หนุม ที่สภุ มาณพใชไปดงั นี้วา





















พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 136โตเทยยบุตร เรยี นถามทานพระอานนทถ งึ ความไมม ีอาพาธ ความไมมีโรค ความคลอ งแคลว ความมีกําลงั ความอยสู ําราญ และจงกลา วอยางน้วี า สาธุขอทานพระอานนท โปรดอนเุ คราะหเ ขา ไปยงั นิเวศนของสุภมาณพโตเทยยบุตรดดวยเถิด.ใชในการหามความอื่น ไดในประโยคเปนตนอยางนว้ี า ต กึ มฺ ถ กาลามา อิเม ธมมฺ า กุสลา วาอกุสลา วาติ. อกุสลา ภนฺเตติ. สาวชฺชา วา อน-วุชชฺ า วาติ. สาวชฺชา ภนเฺ ตต.ิ วิฺคุ รหิตา วาวิ ฺ ปุ ฺปสตฺถา วาติ. วิฺคุ รหติ า ภนเฺ ตติ. สมตฺตาสมาทนิ นฺ า อหติ าย ทุกขฺ าย ส วตฺตนตฺ ิ โน วา กถโว เอตถฺ โหตีต.ิ สมตตฺ า ภนเฺ ต สมาทนิ ฺนา ปหิตาย ทกุ ฺขาย ส วตฺตนฺติ เอว โน เอตฺถ โหตีต.ิ ตรัสถามวา ดูกอ นชาวกาลามะท้ังหลาย ทา นจะสําคัญความขอ นั้นอยางไร ธรรมเหลานเี้ ปน กศุ ลหรืออกศุ ล. ทูลตอบวา เปนอกศุ ล พระเจาขา ตรัสถามวา มีโทษหรอื ไมมโี ทษ. ทลู ตอบวา มโี ทษพระเจา ขา . ตรัสถามวา วิญูชนตเิ ตยี นหรือสรรเสริญเลา . ทูลตอบวา ตเิ ตยี น พระเจาขา . ตรัสถามวาบคุ คลสมาทานบรบิ ูรณแ ลว เปน ไปเพอื่ สิง่ มใิ ชป ระ-โยชน เพอ่ื ทกุ ขห รอื มใิ ช ในขอ น้ที า นมคี วามเห็นอยา งไร. ทูลตอบวา บุคคลสมาทานบริบรู ณแ ลว เปน

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 137 ไปเพือ่ สงิ่ มใิ ชประโยชน เพอื่ ทุกข ขอ พระองคมี ความเหน็ ในขอน้ี อยา งน้ี พระเจา ขา. แตในท่ีนี้ พงึ เห็นวา เอว ศัพท ใชใ นอรรถ คืออาการ การช้แี จงและการหามความอื่น. ในอรรถท้ัง ๓ นัน้ พระเถระแสดงอรรถนดี้ ว ย เอว ศพั ท ทีม่ อี รรถเปน อาการวา พระดาํ รัสของพระผมู ีพระภาคเจา พระองคน ั้น ละเอยี ดโดยนัยตา ง ๆ เกดิ ขนึ้ โดยมากอธั ยาศยั สมบรู ณด ว ยอรรถและพยัญชนะ. มีปาฏหิ ารยิ ตา ง ๆ อยาง ลมุ ลกึ โดยธรรม อรรถ เทศนาและปฏิเวธ มากระทบโสต พอเหมาะแกภาษาของตน ๆ ของสรรพสตั วทงั้ หลาย ใครจะสามารถรไู ดโดยประการทงั้ ปวง แตข าพเจา แมใ ชเ รี่ยวแรงทง้ั หมดใหเ กดิ ความอยากจะฟง ก็ไดฟ ง มาอยา งน้ี คอื แมขา พเจา ก็ไดฟ งมาแลว โดยอาการอยางหนงึ่ . ดว ยเอว ศพั ท ท่ีมอี รรถเปน การช้ีแจง พระเถระเม่ือจะเปลอ้ื งตนวาขาพเจามใิ ชพระสยมั ภู พระสูตรน้ี ขา พเจา มิไดท ําใหแจง จงึ แสดงพระสูตรทงั้ ส้นิ ท่ีควรกลา วในบัดนี้วา เอวมฺเม สตุ  คือแมข าพเจา กไ็ ดย นิ มาอยา งน.้ี ดว ยเอว ศพั ท ทมี่ ศี ัพทเ ปน การหามความอื่น พระเถระเม่ือแสดงพลังความทรงจําของตน อนั ควรแกภ าวะท่พี ระผมู พี ระภาคเจาทรงสรรเสรญิไวอ ยางนีว้ า ดกู อนภิกษุทั้งหลาย อานนทเ ปนยอดของภกิ ษสุ าวกของเรา ซึง่เปนพหูสตู มคี ติ มสี ติ มธี ิติ เปน พุทธอปุ ฏฐาก ดงั น้ี ยอมใหเ กิดความอยากฟง แกสัตวทงั้ หลาย ดว ยกลา ววา ขาพเจา ฟง มาแลวอยางน้ี คาํ น้ัน ไมขาดไมเ กิน ไมวาโดยอรรถหรือพยญั ชนะ บณั ฑติ พึงเห็นอยางน้เี ทา นนั้ ไมพงึ เห็นเปนอยางอน่ื .

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 138 แกบท เม เมศัพท พบกนั อยใู นความ ๓ ความ. จริงอยางนั้น เมศัพท มีความวา มยา อันเรา ไดในประโยคเปนตน วา ภาถาภิคตี  เม อโภชเนยยฺ โภชนะทไ่ี ดม าดวยการขับกลอ ม อนั เราไมค วรบริโภค. มีความวา มยหฺ  แกเรา ไดในพระโยคเปนตนวา สาธุ เม ภนเฺ ตภควา สงขฺ ิตเฺ ตน ธมฺม เทเสตุ ดลี ะ พระเจาขา ขอพระผมู พี ระภาค-เจา โปรดทรงแสดงธรรมโดยยอแกขา พระองคดวยเถดิ . มคี วามวา มม ของเรา ไดใ นประโยคเปนตน วา ธมมฺ ทายาทาเม ภิกขฺ เว ภวถ ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย เธอท้ังหลายจงเปนธรรมทายาทของเราเถดิ . แตใ นที่นี้ เมศพั ท ยอมถกู ตองในความทงั้ สองคอื เม สุต อันขา พเจาฟงมา มม สตุ  การฟง ของขาพเจา. แกบ ท สตุ  สตุ ศัพทน ้ี มีอุปสรรคและไมม อี ปุ สรรค ตา งกนั โดยความหลายความเชนมคี วามวา ไป ปรากฏ กาํ หนัด สัง่ สม ขวนขวาย เสยี งท่รี ทู างโลตะและรตู ามแนวโสตทวารเปน ตน. จรงิ อยางน้นั สุตศัพทนน้ั มีความวา ไป ไดใ นประโยคเปน ตนวา เสนาย ปสโุ ต เคลอ่ื นทัพไป. มคี วามวา ปรากฏ ไดในประโยคเปนตนวา สุตธมฺมสฺส ปสสฺ โตผูมีธรรมปรากฏแลว เหน็ อยู. มคี วามวา กาํ หนัด ไดใ นประโยคเปนตน วา อวสสฺ ตุ า อวสสฺ ตุ สฺสภกิ ษณุ ีมีความกาํ หนดั ยินดีการที่ชายผมู ีความกาํ หนัดมาลูบคลาํ จบั ตอ งกาย.

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 139 มคี วามวา ส่งั สม ไดใ นประโยคเปน ตนวา ตุมฺเหหิ ปฺ ฺปสตุ  อนปปฺ ก ทานท้ังหลายส่งั สมบญุ เปนอันมาก. มคี วามวา ขวนขวาย ไดใ นประโยคเปนตน วา เย ฌานปปฺ สตุ าธีรา ปราชญเ หลาใดขวนขวายในฌาน. มคี วามวา เสยี งท่รี ูทางโสตะ ไดในประโยคเปน ตน วา ทฏิ สตุ  มตุ  รูปท่เี หน็ เสียงท่ไี ดยิน อารมณทที่ ราบ. มคี วามวา รูต ามแนวโสตทวาร ไดในประโยคเปนตน วา สุตธโรสตุ สนนฺ ิจโย ทรงสุตะ สัง่ สมสุตะ. แตใ นทน่ี ี้ ศพั ทว า สุตะ มีความวา เขา ไปทรงไวห รือการทรงจําไวดวยวิถวี ิญญาณ ซึ่งมโี สตวิญญาณเปน หวั หนา . ในคํานัน้ เม่อื ใด เมศัพทมีความวา มยา อันขา พเจา เมือ่ น้ันกป็ ระกอบความวา อนั ขาพเจาฟงมาแลว คือทรงจําไวแ ลว ดว ยวถิ ีวญิ ญาณ อนั มีโสตวิญญาณเปนหวั หนา อยา งนี้.เมอื่ ใด เมศัพท มคี วามวา มม ของขาพเจา เมอื่ นนั้ กป็ ระกอบความวา การฟงของขา พเจาคือการทรงจาํ ไว ดวยวถิ วี ิญญาณอันมโี สตวญิ ญาณเปน หัวหนา. บรรดาบททั้ง ๓ เหลานนั้ ดังพรรณนามานี้ บทวา เอว เปนบทชี้ถึงกิจคือหนาท่ีของโสตวิญญาณ. บทวา มยา เปน บทชี้ถงึ บคุ คลผปู ระกอบดวยโสตวญิ ญาณท่กี ลาวแลว . บทวา สตุ  เปน บทชี้ถึงการถอื เอาไมขาดไมเกนิ และไมวิปรติ เพราะปฏเิ สธภาวะคือการไมไดฟ ง . นยั หน่งึ บทวา เอว เปนบทแสดงถึงภาวะทม่ี จี ิตคดิ จะฟง เปนตนเปนไปในอารมณ โดยประการตาง ๆ. บ ทวา เม เปน บทแสดงถึงตัว. บทวาสุต เปนบทแสดงถงึ ธรรม.

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 140 อีกนยั หนึ่ง บทวา เอว เปน บทชีแ้ จงธรรมทค่ี วรช้ีแจง. บทวาเม เปนบทชีแ้ จงตวั บคุ คล. บทวา สุต เปน บทชี้แจงกจิ คอื หนาที่ของตวับุคคล. อกี นัยหน่งึ ศพั ทว า เอว อธิบายถงึ ประการตา ง ๆ ของวิถีจติ ทัง้หลาย เปนอาการบญั ญตั ิ ศัพทว า เม อธิบายถงึ ตวั ผูท าํ . ศพั ทว า สตุ อธิบายถึงวิสยั . อกี นยั หนึ่ง ศพั ทว า เอว อธิบายถงึ กจิ หนาที่ของบุคคล. ศพั ทวาสุต อธบิ ายถึงกจิ หนาท่ขี องวิญญาณ. ศพั ทว า เม อธิบายถงึ บคุ คลผูกอปรดวยกิจท้ังสอง. อีกนยั หนง่ึ ศัพทวา เอว แสดงถงึ ภาวะ. ศพั ทว า เม แสดงถงึบุคคล. ศัพทว า สุต แสดงถงึ กจิ ของบุคคลนัน้ . ในคาํ เหลา นนั้ คาํ วา เอว และวา เม เปนวชิ ชมานบญั ญตั ิ โดยเปนสัจฉกิ ตั ถปรมัตถ. คําวา สุต เปน วิชชมานบญั ญตั .ิ อีกนัยหน่งึ คําวา เอว และ เม ชอ่ื วา อปุ าทาบัญญัติ เพราะกลาวอาศัยอารมณน ั้น ๆ. คาํ วา สตุ  ชอ่ื วา อุปนิธาบัญญัติ เพราะกลา วอางอารมณมอี ารมณทเ่ี หน็ แลว เปนตน . กใ็ นคาํ ทง้ั ๓ นั้น พระเถระแสดงไมหลงเลอื นดวยคาํ วา เอว . ความไมหลงลมื เรื่องทฟ่ี งมาดว ยคาํ วา สตุ  อนึง่ พระเถระแสดงการใสใจโดยแยบคายดวยคาํ วา เอว เพราะไมม ีการแทงตลอดโดยประการตา ง ๆ สาํ หรับผูใสใ จโดยไมแยบคาย. แสดงความไมฟงุ ซา นดว ยคําวา สตุ  เพราะไมมีการฟงสาํ หรบั ผูมีจิตฟงุ ซาน. จรงิ อยางนั้น บุคคลผูมีจติ ฟุงซาน แมทานจะกลา วครบถว นทุกอยา ง กจ็ ะกลาววา ขาพเจาไมไดย ิน โปรดพูดซ้าํ สิ. ก็ในขอ นี้

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 141บคุ คลจะใหส าํ เรจ็ การยงั ตนไวชอบและความเปน ผทู าํ บุญไวกอน ก็ดวยการใสใจโดยแยบคาย จะใหส าํ เร็จการฟง ธรรมของสัตบรุ ษุ และการฟง พาอาศัยสัตบุรษุ ก็ดว ยความไมฟ ุงซา น กพ็ ระเถระแสดงความถงึ พรอมดว ยจกั รธรรม๒ ขอหลงั ของดวยอาการอันงาม ดวยบทวา เอว น้ี แสดงความถงึ พรอมดว ยจักรธรรม ๒ ขอตน ดว ยความเพยี รฟง ดว ยบทวา สตุ  อน่งึ พระเถระแสดงความบริสุทธ์แิ หง อธั ยาศยั และความบรสิ ทุ ธ์ิแหงความเพยี รอยา งน้นัคือ แสดงความฉลาดในอธคิ มดว ยความบริสทุ ธ์แิ หง อธั ยาศัย ทง้ั แสดงความฉลาดในปรยิ ัติ ดวยความบริสุทธแ์ิ หง ความเพียร. อนึ่ง พระเถระแสดงความถึงพรอ มดวยอรรถปฏสิ ัมภิทาและปฏภิ าณปฏสิ ัมภทิ าของตน ดว ยถอยคาํ อนั แสดงปฏิเวธมีประการตางๆ ดว ยคาํ วา เอวนี้ แสดงความถึงพรอ มดวยธรรมปฏิสัมภทิ าและนิรุกติปฏสิ ัมภทิ า ดว ยถอ ยคาํอนั แสดงปฏิเวธอันตา งดว ยขอ ท่ีควรฟง ดว ยคาํ วา สตุ  นี้ อนึง่ พระเถระเม่ือกลา วคําที่แสดงถงึ ความใสใ จโดยแยบคายน้ี ก็ประกาศใหเขารวู า ธรรมเหลานี้ ขาพเจา เพง ดว ยใจแลวรูทะลปุ รโุ ปรง แลว ดวยทิฏฐิ ดว ยคําวา เอวเม่ือกลาวคําอันแสดงถึงความเพียรฟง น้ี ก็ประกาศใหเ ขารูวา ธรรมเปน อนั มากขาพเจา ฟงแลวทรงจําแลว คลองปากแลว ดวยคําวา สุต เมื่อแสดงความบริบรู ณแ หงอรรถะและพยญั ชนะใหเกิดความเอือ้ เฟอ ทจ่ี ะฟง แมดว ยคําทั้งสองนี.้ อนึ่ง ทา นพระอานนทไ มตงั้ ธรรมทพ่ี ระตถาคตทรงประกาศแลว เพื่อตน ลวงเสยี ซ่งึ ภมู ิของอสตั บรุ ษุ เม่ือปฏิญาณความเปนพระสาวก จงึ กา วลงสูภมู ิของสตั บุรุษ ดว ยคาํ แมท้ังสน้ิ วา เอว เม สตุ  นี้. อนง่ึ พระเถระชอ่ื วา ยกจติ ข้นึ จากสทั ธรรม ทัง้ จิตไวในพระสัทธรรม. อนึ่งเมอื่ แสดงวาพระดาํ รัสของพระผมู ีพระภาคอรหนั ตสัมมาสมั พทุ ธเจา พระองคน ้ัน ขา พเจา

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 142ฟงมาแลว อยา งส้ินเชงิ ชอ่ื วา เปลือ้ งตน อางพระศาสดา แนบสนทิ พระพุทธ-ดํารสั ตัง้ แบบแผนธรรมไว. อน่ึงเลา พระเถระไมย อมรับความทีค่ ําวา เอว เม สุต คนทําใหเกดิ ข้นึ เมอ่ื เปดการฟง มากอนใคร จึงควรทราบวา ทา นชอื่ วาทําลายความไมเ ธอ ทาํ ใหเกิดสทั ธาสัมปทา ความถึงพรอ มดวยความเชอ่ื ในพระธรรมนี้แกม วลเทวดาและมนษุ ยว า พระดาํ รัสน้ี ขาพเจารับมาตอพระพักตรข องพระผ-ูมีพระภาคเจาพระองคน น้ั ผแู กลว กลาดว ยจตเุ วสารชั ชญาณ ผทู รงทศพล ผูดํารงอยใู นตาํ แหนงสงู สุด ผูบันลือสหี นาท ผูท รงเปนยอดของสรรพสตั วทรงเปนใหญในธรรม ทรงเปน ราชาแหงธรรม อธบิ ดีแหงธรรม ทรงมีธรรมเปนท่ีพึง่ อาศัย ทรงหมุนจกั รอันประเสริฐ คือ สัทธรรม ทรงเปนพระสมั มา-สมั พุทธะตรสั รูชอบลําพังพระองค ในบทดํารัสนน้ั ไมค วรทําความสงสยั เคลอื บแคลงในอรรถหรอื ธรรม บทหรือพยัญชนะเลย. ก็ในขอนมี้ คี ํากลาววา วนิ าสยติ อสทฺธิย สทธฺ  วฑฺเฒติ สาสเน เอวมฺเม สตุ มิจเฺ จว วท โคตมสาวโก. ทา นพระอานนท สาวกของพระโคดมพทุ ธเจา เมอื่ กลา วคําวา เอวมเฺ ม สุต ชื่อวาทาํ ลายอสทั ธิยะ ความไมเ ชื่อ เพ่ิมพูนศรัทธาความเชือ่ ในพระศาสนา. แกอรรถ เอก และ สมย ศพั ทวา เอก แสดงการกําหนดจาํ นวน. ศัพทว า สมย แสดงกาลท่ีกําหนด. สองคําวา เอก สมย แสดงกาลไมแ นนอน ในคํานัน้ สมยศัพท มีความวา พรอ มเพรียง ขณะ กาล ประชุม เหตลุ ัทธิไดเฉพาะ ละ และแทงตลอด.

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 143 จรงิ อยา งนน้ั สมยศพั ทน น้ั มีความวาพรอ มเพรยี งไดในประโยคมีเปน ตนวา อปเฺ ปว นาม เสฺวป อปุ สงกฺ เมยฺยาม กาลฺจ สมยจฺอปุ าทาย ถา กระไร เราทั้งหลายกาํ หนดกาลและความพรอมเพรียง พึงเขาไปหาแมใ นวนั พรงุ นี้ มีความวา ขณะ ไดใ นประโยคเปน ตนวา เอโก ว โข ภิกขฺ เวขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจรยิ วาสาย ดกู อน ภิกษทุ ั้งหลาย โอกาสและขณะ เพอ่ื กาลอยูประพฤตพิ รหมจรรย มอี ยางเดียวแล. มีความวา กาล ไดในประโยคเปน ตน วา อุณฺหสมโย ปริฬาหสมโยกาลรอ น กาลกระวนกระวาย. มคี วามวา ประชุม ไดใ นประโยคเปน ตนวา มหาสมโย ปวนสมฺ ิการประชุมใหญในปาใหญ. มีความวา เหตุ ไดในประโยคเปนตน วา สมโยป โข เตภททฺ าลิ อปปฺ ฏิวิทโฺ ธ อโหส,ิ ภควา โข สาวตถฺ ิย วหิ รต,ิ โสปม ชานสิ ฺสติ ภทฺทาลิ นาม ภกิ ฺขุ สตฺถุสาสเน สกิ ขฺ าย อปริปูร-การตี ิ อยมปฺ  โข เต ภททฺ าลิ สมโย อปปฺ ฏิวิทฺโธ อโหส.ิ ดูกอนภตั ทาลิ เธอกไ็ มร ตู ลอดถึงเหตวุ า พระผูมีพระภาคเจา ประทบั อยกู รงุ สาวตั ถีแมพระองคก จ็ ักทรงทราบตัวเราวา ภิกษุช่อื ภัตทาลไิ มท าํ สิกขาใหบริบูรณใ นคาํ สอนของของพระศาสดา ดูกอนภตั ทาลิ เธอไมร ตู ลอดถึงเหตแุ มน ี้แล. มคี วามวาลทั ธิ ไดใ นประโยคเปน ตน วา เตน โข ปน สมเยนอุคคฺ หมาโน ปริพพฺ าชโก สมณมุณฑฺ กิ าปุตโฺ ต สมยปปฺ วาทเก ตนิ ุ-ทกุ าจเี ร เอกสาลเก มลลฺ กิ าย อาราเม ปฏิวสต.ิ สมยั นนั้ ปริพาชกช่อื อุคคาหมานะ บุตรของ นางสมณนุณฑกิ า อาศัยอยใู นอารามของพระ-นางมัลลกิ า ซ่งึ มศี าลาหลังเดยี ว มีตน มะพลับเรยี งรายอยูรอบ เปนสถานที่สอนลัทธิ

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 144มคี วามวา ไดเฉพาะ ไดในประโยคเปน ตนวาทิฏเ  ธมฺเม จ โย อตโฺ ถ โย จตฺโถ สมฺปรายิโกอตถฺ าภิสมยา ธโี ร ปณฑฺ ิโตติ ปวจุ ฺจต.ิผมู ีปญญา ทานเรยี กวา บัณฑิต เพราะไดเฉพาะประโยชนในปจจบุ ัน และประโยชนในภายภาคหนา.มคี วามวา ละ ไดในประโยคเปนตน วา สมมฺ า มานาภสิ มยาอนตฺ มกาสิ ทุกขฺ สฺส ทําที่สุดแหงทุกข เพราะ ละ มานะไดโ ดยชอบ.มคี วามวา แทงตลอด ไดในประโยคเปนตนวา ทกุ ขฺ สฺส ปฬนฏ-โ สงฺขตฏโ  สนตาปฏโ  วปิ รณิ ามฏโ อภิสมายฏโ มีความบบี คน้ั ปรงุ แตง เรา รอ น แปรปรวน แทงตลอด.แตในทีน่ ้ี สมยศพั ทนนั้ มีความวา กาล. ดวยเหตุน้นั พระเถระจึงแสดงวา เอก สมย สมัยหนงึ่ บรรดาสมยั ท้ังหลาย ท่ีเรยี กวากาล เปน ตนวา ป ฤดู เดือน ครึ่งเดือน คนื วนั เชา กลางวัน เย็น ยามตน ยามกลางยามทาย และครู.ทานอธบิ ายวา สมัยของพระผูม พี ระภาคเจา นใ้ี ด ท่ีเรียกวากาลมมี ากซึง่ ปรากฏอยางยง่ิ ในหมูเทวดาและมนุษย เปน ตนอยางน้ีคือ สมัยเสด็จลงสูพระครรภ สมยั ประสูติ สมยั ทรงสงั เวช สมัยเสด็จออกทรงผนวช สมัยทรงทําทุกกรกริ ิยา สมัยทรงชนะมาร สมัยตรสั รู สมยั ประทับอยเู ปนสุขในปจ จุบนัสมยั เทศนา สมัยปรินิพพาน บรรดาสมยั เหลา นนั้ พระเถระแสดงสมยั หนึ่งกลาวคือสมยั เทศนา.ทา นอธิบายวา บรรดาสมัยทรงทํากจิ ดวยพระญาณ และทรงทํากิจดวยพระกรุณา สมยั ทรงทาํ กจิ ดว ยพระกรุณานใ้ี ด บรรดาสมยั ทรงปฏบิ ตั ิเพอื่

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 145เพื่อประโยชนส วนผอู ื่นนใ้ี ด บรรดาสมัยทรงปฏบิ ตั ิกรณียกิจทงั้ สอง แกบ รษิ ทัทปี่ ระชุมกัน สมัยทรงกลา วธรรมีกถานใี้ ด บรรดาสมยั เทศนาและปฏบิ ัติ สมยัเทศนานี้ใด บรรดาสมยั แมเ หลานน้ั พระเถระแสดงวา เอก สมย สมยั หน่งึหมายเอาสมัยใดสมัยหนึ่ง. ในขอ นี้ ผทู กั ทวงกลา ววา กเ็ พราะเหตไุ ร ในพระสตู รนี้ ทานจึงทาํนเิ ทศเปนทุติยาวิภัติ ไมท าํ เหมือนในอภิธรรม ท่ีทาํ นเิ ทศเปน สัตตมีวิภัตติวายุสฺมึ สหเย กามาวจร และในสุตตบทอนื่ นอกจากอภธิ รรมน้ีวา ยสฺมึ สมเยภกิ ขฺ เว ภกิ ขฺ ุ ววิ จิ ฺเจว กาเมหิ และเหมือนในวินัย ท่ที าํ นิเทศเปน ตต-ิยาวภิ ตั ติวา เตน สมเยน พุทโฺ ธ ภควา. ขอกลา วชี้แจงดงั นี้ เพราะในพระอภิธรรมและพระวนิ ัยนน้ั สมยศัพทม ีอรรถเปนอยางน้ัน สวนในพระสูตรน้มี ีอรรถเปนอยา งอนื่ . ความจรงิ บรรดาปฎ กทงั้ สามนนั้ ในอภธิ รรมปฎกสมยศพั ทม ีอรรถวากาํ หนดภาวะ. จรงิ อยู อธกิ รณะ ก็คอื สมัยศพั ททม่ี คี วามวากาล และมีความวา ประชมุ และภาวะแหงธรรมมผี สั สะเปน ตน นน้ั กาํ หนดไดดวยภาวะแหงสมยั คือขณะ ความพรอมเพรียงและเหตแุ หง ธรรมท้ังหลายมีผัสสะเปน ตน ที่กลาวแลวในอภิธรรมปฎ กและสตุ ตบทอื่นนนั้ เพราะฉะนั้นทานจึงทาํ นเิ ทศเปนสตั ตมีวภิ ตั ติ ในอภิธรรมปฎ กน้ัน เพื่อสอ งความนั้น. สวนในวนิ ยั ปฎก สมยศพั ท มคี วามวา เหตแุ ละมคี วามวา กรณะ. จรงิอยู สมัยทรงบญั ญัติสกิ ขาบทน้ันใด แมพระเถระมพี ระสารีบุตรเปนตน ยงั รูไดโ ดยยาก โดยสมยั นัน้ อนั เปนเหตุ และเปนกรณะ พระผูมพี ระภาคเจาเน้อืทรงบัญญตั ิสกิ ขาบททั้งหลาย กท็ รงเพงถงึ เหตแุ หง การบญั ญัติสกิ ขาบทจงึ ประทับอยู ณ สถานท่ีน้นั ๆ เพราะฉะนน้ั ทา นจึงทํานิเทศเปนตตยิ าวภิ ตั ตไิ วใ นวนิ ยั ปฎ กนั้น เพื่อสอ งความน้นั .

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 146 สวนในสูตรน้ี และในปาฐะแหงสตุ ตนั ตปฎ ก ซึ่งมกี าํ เนดิ อยา งนอ้ี ื่น ๆสมยศัพทมีอรรถวา อัจจนั ตสังโยค คือทตุ ิยาวภิ ัตติ ทีแ่ ปลวา ตลอด. จริงอยูพระผูม ีพระภาคเจาทรงแสดงสูตรนีห้ รอื สตู รอน่ื ตลอดสมยั ใด กป็ ระทับอยดู วยพระกรุณาวิหารตลอดไปคือตลอดสมัยน้นั เพราะฉะน้นั สมย ศัพทจงึ ควรทราบวา ทา นทาํ นิเทศเปนทตุ ยิ าวิภัตตไิ วใ นสูตรน้ี กเ็ พ่ือสอ งความนน้ั . ในขอน้ี มคี ํากลาววา ต ต อตถฺ มเปกขิ ิตฺวา ภุมเฺ มน กรเณน จ อฺ ตฺร สมโย วุตฺโต อปุ โยเคน โส อิธ. ทานพิจารณาอรรถนั้น ๆ กลาวสมยศพั ทในปฎ ก อน่ื ดว ยสตั ตมีวภิ ัตตแิ ละดว ยตติยาวิภตั ติ แตในสุต- ตนั ตปฎ กน้ี สมยศัพทน ัน้ ทา นกลาวดวยทตุ ยิ าวิภัตต.ิแกอ รรถบท ภควาคําวา ภควา น้ีเปนคาํ เรียกพระผูม ีพระภาคเจา น้ัน ผูวเิ ศษโดยพระ-คณุ เปนยอดของสัตว เปน ครแู ละควรเคารพเหมือนอยางทท่ี า นกลาวไวว าภควาติ วจน เสฏ ภควาติ จนนมตุ ตมครุคารวยตุ โฺ ต โส ภควา เตน วุจฺจติ.คําวา ภควา เปนคําประเสริฐสดุ คาํ วา ภควา เปนคําสงู สุด พระองคทรงเปน ครู และควรแกความเคารพดว ยเหตนุ ้ัน บณั ฑติ จึงเรียกวา ภควา.ความจริง นามคอื ชอื่ มี ๔ คอื อาวัตถิกะ ชื่อตามรนุ ลิงคิกะชอ่ื ตามเพศเนมติ ตกะ. ชือ่ ตามคุณ อธิจจสมุปน นะ ช่อื ตง้ั ลอย ๆ. ช่ือวา อธจิ จสมุปปน นนามทา นอธิบายวา เปนนามที่ตัง้ ตามความพอใจ. ในนามทัง้ ๔ นัน้ นามเปนตน

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 147อยา งนว้ี า โคลูก โคฝก โคงาน ชอื่ วา อาวัตถกิ นาม. นามเปน ตนอยา งนีว้ าคนมีไมเทา [คนแก] คนมีฉตั ร [พระราชา] สตั วม หี งอน [นกยูง] สตั วม ีงวง [ชา ง] ช่ือวา ลงิ คิกนาม. นามเปนตนอยา งนี้วา ผูมีวิชชา ๓ ผมู อี ภญิ ญา๖ ชือ่ วา เนมิคิกนาม. นามเปน ตนอยางนี้วา ผเู จรญิ ดวยสริ ิ ผเู จรญิ ดวยทรพั ย ซงึ่ เปน ไปไมเ พง ความของคํา ชือ่ วา อธจิ จสมุปปน นนาม. สว นนามวา ภควานี้ เปน เนมติ ตกนามโดยพระคุณ ไมใชพ ระนางเจามหามายา พทุ ธ-มารดาตั้ง ไมใ ชพระเจาสุทโธนมหาราช พทุ ธบิดาตง้ั ไมใชพ ระประยรู ญาติ๘๔,๐๐๐ พระองคต ้ัง ไมใ ชเทวดาพิเศษมีทาวสักกะ ทา วสันดสุ ติ เปน ตน ต้งัเหมอื นอยา งที่ทา นพระสารบี ุตรกลาวไววา พระนามวา ภควา น้พี ระพุทธมารดามไิ ดตั้ง ฯลฯ. พระนามคือภควา เปนสจั ฉกิ าบญั ญตั .ิ เพ่อื ประกาศพระคุณทัง้ หลาย ทเี่ ปน คณุ เนมติ ตกนาม พระสังคีติกาจารยทัง้ หลายจึงกลาวคาถานี้วา ภคี ภชี ภาคี วภิ ตฺตวา อติ ิ อกาสิ ภคฺคนฺติ ครูติ ภาคฺยวา พหูหิ าเยหิ สุภาวิตตฺตโน ภวนฺตโค โส ภควาติ วจุ ฺจต.ิ พระผูมพี ระภาคเจาน้ัน ทรงพระนามวา ภควา เพราะทรงเปน ผมู ีภคะคอื โชค เพราะทรงเปน ผูเสพ [ท่ีสงดั ] เพราะทรงมภี าค [สวนท่ีควรไดร บั จตปุ จจยั หรอื มสี วนแหงธรรม] เพราะทรงเปน ผูจาํ แนกธรรม เพราะไดท รงทําการหักบาปธรรม เพราะทรงเปนครู เพราะทรงมีภาคยะคอื บุญ เพราะทรงอบรมพระองคด ี แลวดวยญายธรรมเปนอนั มาก เพราะเปน ผูถึงที่สุดภพ.

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 148ก็ความแหง พระคุณบทวา ภควา นั้น พึงเหน็ ตามนยั ทก่ี ลาวไวแลวในนเิ ทศเปนตน นนั่ แล.อน่งึ ปรยิ ายอนื่ อกี มดี งั นี้ภาคยฺ วา ภคฺควา ยุตโต ภเคหิ จ วิภตฺตวาภตตฺ วา วนตฺ คมโน ภเวสุ ภควา ตโต.พระองคทรงมีบญุ ทรงหกั กเิ ลส ทรงประกอบดวยภคธรรม ทรงจาํ แนกธรรม ทรงเสพธรรม ทรงคายกิเลสเปน เหตไุ ปในภพท้งั หลายไดแ ลว เพราะฉะนน้ั จงึ ทรงพระนามวา ภควา.ในบทเหลานั้น พึงทราบวา ทานถอื ลกั ษณะแหง นิรุตตศิ าสตรอ ยา งนว้ี า ลงอกั ษรใหม ยา ยอักษร เปน ตน หรอื ถอื ลกั ษณะการรวมเขา ในขุดศพั ทม ี ปโสทรศัพท เปน ตน ตามนัยแหง ศัพทศาสตร เม่ือนา จะเรียกวาพระภาคยวา เพราะพระองคม ีภาคยะคือบญุ บารมมี ที านและศลี เปน ตน อยางเยยี่ ม อันใหเ กิดความสขุ ท้งั โลกิยะและโลกตุ ระ แตก เ็ รยี กเสียวา ภควา.อน่ึง เพราะเหตุทีพ่ ระองคท รงหกั รานกิเลส อนั ทําความกระวนกระวายเรา รอ นนบั แสนประเภท คือประเภทโลภะ โทสะ โมหะ ประเภทวิปรติ .มนสกิ าร ประเภทอหิรกิ ะ อโนตตปั ปะ ประเภทโกธะ อุปนาหะ ประเภทมักขะปลาสะ ประเภทอสิ สา มจั ฉริยะ ประเภทมายาสาเถยยะ ประเภทถมั ภะ สารมั ภะประเภทมานะ อตนิ านะ ประเภทมทะ ปมาทะ ประเภท ตณั หา อวิชชา.ประเภท อกศุ ลมูล ๓ ทุจจริต ๓ สังกิเลส ๓ มละ ๓ วสิ มะ ๓ สัญญา ๓วิตก ๓ ปปญ จธรรม ๓. ประเภทวปิ รเิ ยสะ ๔ อาสวะ ๔ คันถะ ๔ โอฆะ ๔ โยคะ๔ อคติ ๔ ตณั หปุ ปาทะ๔. ประเภทเจโตขลี ะ ๕ วนิ พิ นั ธ ๕ นีวรณะ ๕

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 149อภินันทนะ ๕ ประเภทววิ าทมลู ๖ ตณั หากายะ ๖ ประเภทอนุสัย ๗ ประเภทมิจฉัตตะ ๘ ประเภทตัณหามลู กะ ๙ ประเภทอกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประเภททฏิ ฐิคตะ ๖๒ ประเภทตณั หาวิจริต ๑๐๘ หรอื วาโดยสังเขป คือมาร ๕ คอืกิเลสมาร ขันธมาร อภิสงั ขารมาร มจั จุมาร และเทวปตุ ตมาร ฉะน้ัน เมอ่ืนาจะเรียกวา ภคั ควา กเ็ รยี กเสียวา ภควา เพราะทรงหักรานอนั ตรายเหลาน้นัเสยี ได ในขอ นี้ ทานกลาวไวว า ภคฺคราโค ภคคฺ โทโส ภคคฺ โมโห อนาสโว ภคคฺ าสสฺ ปาปกา ธมมฺ า ภควา เตน วจุ จฺ ติ. ทรงหกั ราคะ หักโทสะ หกั โมทะ ไมม ีอาสวะ ทรงทัก บาปธรรมไดแลว ดวยเหตุนน้ั ทานจึงเรียกวา ภควา. ก็แลความถึงพรอ มแหงพระรปู กายของพระองค ผทู รงไวซ ง่ึ พระบุญ-ลักษณะนับรอย เปนอันทา นแสดงดว ยความท่ีทรงมภี าคยะคือบญุ ความถงึพรอ มแหง พระธรรมกาย เปน อนั ทา นแสดงดวยความทท่ี รงหกั โทสะไดแลว .ความเปนผูทช่ี าวโลกและคนใกลเ คยี งนับถือมากกด็ ี ความเปน ผทู ่คี ฤหสั ถและบรรพชติ ทง้ั หลายไปมาหาสกู ด็ ี ความเปนผสู ามารถในอันชว ย จดั ทุกขก ายและทกุ ขใจ แกผ ไู ปมาหาสูกด็ ี ความเปน ผทู าํ อปุ การะเขาดวยอามสิ ทานและธรรมทานก็ดี ความเปน ผสู ามารถในอันประกอบเขาไวดวยโลกยิ สุขและโลกุตตรสุขก็ดเี ปนอันทานแสดงดว ยพระคณุ สองอยา งนั้น. อน่ึง เพราะเหตุที่ ภค ศพั ทในโลก เปนไปในธรรม ๖ คอื อิสรยิ ะธรรมะ ยสะ สริ ิ กามะ ปยัตตะ กพ็ ระผูมพี ระภาคเจา พระองคนน้ั ทรงมีอสิ รยิ ะความเปนใหใ นจิตของพระองคเองอยางเยย่ี ม หรือทรงมอี ิสรยิ ะบริบรู ณโดยอาการทุกอยางทส่ี มมติวา เปน โลกยิ ะ มอี ณิมา ทําตัวใหเลก็[ยอสว น] ลังฆมิ าทําตัวใหเ บา [เหาะ] ทรงมีโลกตุ รธรรมกเ็ หมือนกนั ทรงมี

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 150ยศบรสิ ทุ ธอ์ิ ยางย่ิง ท่ีทรงไดโ ดยพระคุณตามเปน จรงิ ปรากฏทั่วสามโลก ทรงมพี ระสริ ิสงางามท่วั สรรพางค บริบูรณดว ยอาการทุกอยาง ทรงสามารถใหเกดิขวญั ตาขวัญใจแกผ ูขวนขวายเขาชมพระรปู พระโฉมไดท รงมพี ระกามะ อันหมายถงึ ความสาํ เรจ็ แหงประโยชนท่ที รงประสงค เพราะประโยชนใ ด ๆ ท่ีทรงประ-สงคแลว ปรารถนาแลว จะเปน ประโยชน น้ีก็ตามประโยชนผอู ื่นกต็ ามประโยชนนน้ั ๆ กส็ ําเร็จสมพระประสงคท ั้งน้นั และทรงมีพระปยตั ตะ กลา วคือ สัมมาวา-ยามะ อนั เปน เหตุเกิดความเปนครขู องโลกทง้ั ปวง ฉะนั้น ทา นจงึ เรยี กวา ภควาโดยอรรถน้ีวา ทรงมีภคธรรม เพราะความทท่ี รงประกอบดวยภคธรรมเหลา นน้ั . แกบ ทวภิ ตฺตวา อนง่ึ เพราะเหตุทพี่ ระผมู พี ระภาคเจา ทรงเปน วิภตตฺ วา ทานอธบิ ายวา ทรงจําแนก เปด เผย แสดง ซงึ่ ธรรมทั้งปวงโดยประเภทมีประเภทกุศลเปน ตน หรอื ซง่ึ ธรรมมีกศุ ลธรรมเปนตน โดยประเภทมีขนั ธ อายตนะ ธาตุสจั จะ อินทรียแ ละปฏจิ จสมุปบาทเปนตน หรอื ซ่ึงทกุ ขอริยสัจ โดยอรรถคือปฬนะบีบคนั สังขตะอันปจจยั ปรงุ แตง สนั ตาปะแผดเผา วปิ ริณามะแปรปรวนหรือซ่ึงสมุทยั อรยิ สจั โดยอรรถคอื อายูหนะ ประมวลทกุ ขม า นิทานะเหตุแหง ทกุ ข สงั โยคะผกู ไวกบั ทุกข ปลโิ พธะหนวงไวมิใหถึงมรรค ซึง่ นโิ รธ-อริยสจั โดยอรรถคอื นสิ สรณะออกไปจากทุกข วิเวกะสงัดจากทกุ ข อสงั -ขตะอันปจ จยั มไิ ดป รงุ แตง อมตะเปน สภาพไมต าย ซง่ึ มรรคอริยสจั โดยอรรถคือ นยิ ยานกิ ะ นาํ ออกจากทกุ ข เหตุ เหตแุ หงนโิ รธ ทสั สนะเหน็ พระนิพพานอธิปไตย ใหญในการเหน็ พระนิพพาน ฉะนนั้ เมื่อนา จะเรียก วภิ ตฺตวา แตกเ็ รยี กเสียวา ภควา.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook