Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_39

tripitaka_39

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:40

Description: tripitaka_39

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 201น้าํ ออ ยเปน ตนท่ไี ดแลว แมเมอ่ื ไดก็ไมรับ นี้ชอ่ื วา ยถาลาภสนั โดษในคิลานปจ จัยของภกิ ษนุ ั้น. อนึ่ง ภกิ ษุอาพาธ ตองการนํ้ามนั แตไ ดน้าํ ออ ย เธอกถ็ วายน้ําออ ยนนั้ แกภิกษทุ ี่ชอบกนั แตทํายาดวยนํ้ามันจากมือของภิกษนุ ั้น แมก ระทาํสมณธรรม ก็ยังเปนผสู นั โดษอยู นช้ี ่อื วา ยถาพลสันโดษในดา นปจจัยของภิกษุน้นั . ภกิ ษุอีกรปู หนง่ึ ใสสมอดองกบั มูตรเนาลงในภาชนะใบหน่ึง ใสของมีรสอรอย ๔ อยางลงในภาชนะใบหน่ึง เมอื่ ถกู เพ่อื นภกิ ษบุ อกวา ทา นตองการสิ่งใด กถ็ ือเอาเถิดทา น ถา วา อาพาธของภิกษนุ นั้ ระงับไปดว ยสมอดองนํา้ มตู รเนา และของรสอรอยทงั้ สองนนั้ อยางใดอยา งหนึ่งไซร เมอ่ื เปนดังนั้นเธอคิดวา ธรรมดาวา สมอดองดว ยมตู รเนา พระพทุ ธเจาเปน ตน ทรงสรรเสริญแลว และพระพทุ ธเจาตรัสวา บรรพชาอาศัยมูตรเนาเปน เภสัช พึงทาํ ความอตุ สาหะในมูตรเนาเปน เภสัชน้นั จนตลอดชวี ิต ปฏิเสธของมีรสอรอ ยเปน เภสัช แมก ระทําเภสัชดว ยสมอดองดว ยมตู รเนา กเ็ ปนผสู นั โดษอยา งยิง่นีช้ ื่อวา ยถาสารปุ ปสันโดษในคิลานปจจยั ของภิกษนุ นั้ . สันโดษแมท ้ังหมดน้นั มปี ระเภทอยางนี้ กเ็ รียกวา สนั ตุฏฐี สนั ตุฏฐีนนั้ พึงทราบวา เปน มงคล เพราะเปน เหตปุ ระสบการละบาปธรรมทัง้ หลายมีความปรารถนาเกนิ สวน ความมักมาก และความปรารถนาลามกเปน ตนเพราะเปนเหตุแหงสคุ ติ เพราะเปน เครอ่ื งอบรมอรยิ มรรค และเพราะเปนเหตแุ หง ความเปน ผูอยูไ ดส บายในทศิ ทั้ง ๘ ดังทีพ่ ระผมู ีพระภาคเจาตรสั ไวว า จาตทุ ฺทโิ ส อปปฺ ฏโิ ฆ จ โหติ สนตฺ ุสฺสมาดน อติ รีตเรน.

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 202 ผสู ันโดษดวยปจจยั ตามมีความได ยอมเปนผู อยูส บายในทศิ ทงั้ ๔ และไมมีปฏฆิ ะเลย ดงั นเ้ี ปน ตน ความรูจักอุปการคณุ ทผ่ี ูใดผหู นง่ึ ทาํ มาแลว ไมว า มากหรอื นอ ย โดยการระลึกถึงเนอื ง ๆ ชื่อวา กตัญตุ า. อนงึ่ บญุ ทั้งหลายนั่นแล มอี ปุ การะมากแกส ัตวท ้งั หลายเพราะปองกนั ทุกขมที ุกขในนรกเปนตนได. ดงั น้นั การระลกึ ถึงอุปการะของบุญแมเ หลานน้ั กพ็ ึงทราบวา เปน กตญั ตุ า. กตญั ุตาน้นั ตรสั วา เปน มงคล เพราะเปนเหตุประสบผลวเิ ศษมีประการตางๆ มเี ปน ผูอนั สตั บรุ ุษท้ังหลายพงึ สรรเสริญเปน ตน . ทั้งพระผูมพี ระภาคเจากต็ รสั ไววาดูกอนภกิ ษทุ งั้ หลาย บุคคล ๒ จําพวกเหลานี้ หาไดย ากในโลก คอืบุพพการี ๑ กตญั ูกตเวที ๑. การฟง ธรรม เพอ่ื บรรเทาความวติ กในกาลท่ีจิตประกอบดวยอทุ ธจั จะหรือจิตถูกวติ กทงั้ หลายมีกามวิตกเปน ตน อยางใดอยางหนง่ึ ครอบงํา ช่ือวา การฟง ธรรมตามกาล. อาจารยอีกพวกหนึ่งกลา ววา การฟง ธรรมทกุ ๆ ๕ วนั ชอื่วาการฟง ธรรมตามกาล เหมือนอยางท่ีทานกลา ววา ทา นพระอนรุ ุทธะ กราบทลูวา ขาแตพ ระองคผ เู จรญิ พวกขาพระองคน่งั ประชมุ กนั ดว ยธรรมมีกถาคืนยังรุงทกุ ๕ วนั แล. อนึง่ ในกาลใด ภิกษุเขา ไปหากลั ยาณมติ รแลว อาจฟงธรรมบรรเทาความสงสยั ของตนเสยี ได การฟงธรรมแมใ นกาลนน้ั กพ็ ึงทราบวาการฟงธรรมตามกาล เหมอื นอยา งท่พี ระผมู ีพระภาคเจาตรสั ไวว า ภกิ ษุเขาไปหากลั ยาณ-มิตรเหลานน้ั สอบถามไลเลียงตลอดกาล ตามกาล. การฟง ธรรมตามกาลนัน้นนั้ พงึ ทราบวา เปน มงคล เพราะเปน เหตุประสบผลวเิ ศษนานาประการมีการละนีวรณไดอ านสิ งส ๔ และบรรลธุ รรมเปน ทีส่ ิ้นอาสวะเปนตน. สมจริงดงั ที่พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสไวด งั นว้ี า .

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 203 ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย ในสมยั ใด พระอริยสาวก ใสใจทาํ ใหเ ปน ประโยชน รวบรวมทุกอยา งไวด ว ยใจ เงย่ี โสตฟง ธรรม ในสมยั น้นั นวิ รณ ของพระ อริยสาวกนั้น ยอ มไมม.ีและวา ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย พึงหวังอานิสงส ๔ ประการ แหงธรรมทง้ั หลายท่คี ุนโสต ฯลฯ ท่แี ทงตลอดดวย ดีแลว.และวา ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย ธรรม ๔ เหลานี้ อนั ภกิ ษุ อบรมโดยชอบ หมนุ เวยี นไปโดยชอบ ตลอดกาล ตามกาล ยอมใหถึงธรรมเปนท่ีสิน้ อาสวะโดยลาํ ดับ ธรรม ๔ ประการ คอื การฟงธรรมตามกาล.อยา งนี้เปน ตน พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสมงคลแหงคาถาน้ีไว ๕ มงคล คอื ความเคารพ ๑ การถอมตน ๑ สันโดษ ๑ กตญั ุตา ๑ และการฟงธรรมตามกาล ๑ดว ยประการฉะน้.ี ความท่มี งคลเหลานน้ั เปนมงคล ที่ไดช้ีแจงไวใ นมงคลน้ัน ๆแลว ทงั้ น้ันแล. จบพรรณนาความแหงคาถานวี้ า คารโว จ

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 204 พรรณนาคาถาวา ขนตี จ บัดน้ี จะพรรณนาในคาถาวา ขนตฺ ี จ น้ี. ความอดทนชอ่ื วา ขันติชื่อวาสวุ จะ เพราะมคี วามวางาย เพราะเปน ผูถือเอาโดยเบือ้ งขวา กรรมของผูวา งาย ช่ือวา โสวจัสสะ. ความเปนแหงกรรมของผูวางาย ช่ือวา โสว-จัสสตา. ช่ือวา สมณะ เพราะระงบั กเิ ลสทง้ั หลายได. บทวา ทสฺสน ไดแ กการเพง ด.ู การสนทนาธรรม ช่อื วา ธรรมสากจั ฉา. คําทเ่ี หลอื มนี ัยทกี่ ลาวมาแลวทงั้ น้ันแล. น้ีเปน การพรรณนาบท. สวนการพรรณนาความ พึงทราบดงั น้.ี อธิวาสนขันติ ชื่อวา ขนั ติ ทภ่ี ิกษุผปู ระกอบดว ยขันตนิ ั้น แลวยอมไมม อี าการผดิ ปกติเปน ผูเ หมอื นไมไดยินบุคคลท่ีดาดวยอกั โกสวัตถุ ๑๐ และเหมือนไมเ ห็นบคุ คลผูเ บยี ดเบยี นดว ยการฆาและการจองจาํ เปน ตน เหมือนขนั ต-ิวาทีดาบสฉะน้นั . เหมือนอยา งทพี่ ระผูมีพระภาคเจาตรสั วา อหุ อตตี มทธฺ าน สมโณ ขนตฺ ทิ ปี โน ต ขนตฺ ยิ าเยว ติ  กาสริ าชา อเฉทยิ. สมณะผูแสดงขนั ติ ไดม มี าแลว ในอดตี กาล พระเจากาสไี ดท รงทําลายสมณะผตู ั้งอยใู นขันตนิ น่ั แล.หรือยอ มใสใ จวาเขาทําดีแลว เพราะไมมีความผดิ ย่ิงไปกวานั้น เหมือน ทานปณุ ณเถระ ฉะนน้ั อยางที่ทานกราบทูลวา ขา แตพ ระองคผ เู จรญิ ถาผคู นชาวสุนาปรนั ตกะ จักดา จกั บริภาษขาพระองคไ ซร ในขอนน้ั ขาพระองค จักใสใ จวา. ผูคนชาวสนุ าปรนั ตกะเหลา น้ี เปน ผู เจริญหนอ ผคู นชาวสุนาปรันตกะเหลานี้ เปน ผเู จรญิ ดหี นอ ผคู นเหลาน้ีไมต ีขาพระองคด ว ยมือดงั นี้ เปนตน .

พระสุตตันตปฎก ขุททกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 205และทีภ่ ิกษปุ ระกอบดวยขันตนิ ั้นแลว ยอมเปนผทู ี่แมแ ตฤษที ง้ั หลายกพ็ ึงสรร-เสรญิ . อยา ง ทานสรภงั คฤษี กลาวไวว า โกธ วธติ ฺวา น กทาจิ โสจติ มกฺขปฺปทาน อสิ ฺโข วณณฺ ยนตฺ ิ สพฺเพส วตุ ตฺ  ผรุส ขเมถ เอต ขนฺตึ อุตตฺ มมาหุ สนโฺ ต. คนฆาความโกรธไดแ ลวยอมไมเศราโศกในกาลไหน ๆ ฤษีท้งั หลายยอ มสรรเสรญิ การละความลบหลูคนควรอดทนคาํ หยาบท่คี นทั้งปวงกลา วแลว สตั บุรุษท้งั หลายสรรเสริญขันตนิ นั้ วา สงู สุด.ยอมเปนผทู ่ีแมแ ตเ ทวดาท้งั หลายก็พงึ สรรเสริญ อยางทที่ าวสักกะจอมทวยเทพตรสั ไววา โย หเว พลวา สนฺโต ทุพฺพลสฺส ติตกิ ฺขติตนาหุ ปรม ขนตฺ ึ นจิ จฺ  ขมติ ทุพฺพโล. ผใู ดเปน คนแขง็ แรง อดทนตอ คนออ นแอสตั บุรุษทงั้ หลายสรรเสริญขันตนิ ัน้ ของผนู ั้นวาเปนเยี่ยมคนออนแอยอ มตองอดทนอยเู ปน ประจํา.ยอ มเปน ผูท แ่ี มแ ตพ ระพทุ ธะทั้งหลายกพ็ ึงสรรเสรญิ . อยางท่ีพระผมู พี ระภาค-เจา ตรสั ไววา อกฺโกส วธพนธฺ จฺ อทุฏโ  โย ตติ ิกขฺ ติขนฺตีพล พลาณีก ตมห พฺรูมิ พรฺ าหมฺ ณ .

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 206 ผูใดไมโกรธ อดกล้ันการดาการฆา และการจอง จาํ ได เราเรยี กผนู ้ัน ซึ่งมีขนั ตเิ ปนกาํ ลงั มีกองกําลังวา พราหมณ. กข็ นั ตินน่ั นัน้ พงึ ทราบวาเปนมงคล เพราะเปน เหตปุ ระสบคุณเหลาน้นั และคณุ อนื่ ๆ ที่ทรงสรรเสรญิ ในท่นี ้.ี เม่ือถูกเพ่ือนสพรหมจารวี ากลา วโดยธรรม ก็ไมถงึ ความฟุงซา น ความนงิ่ งนั หรอื คดิ ถึงคุณและโทษ วางความเออ้ื เฟอ ความเคารพ และความมีใจตกลงตํ่าเปนเบ้ืองหนา อยางย่งิ แลว เปลง ถอยคําวา ดลี ะขอรบั ดงั นี้ ชือ่ วาโสวจสั สตา ความวา งาย. โสวจัสสสตานน้ั ตรสั วา เปน มงคล เพราะเปนเหตุไดโอวาทและอนศุ าสนี จากสํานักเพือ่ นสพรหมจารที งั้ หลาย และเพราะเปนเหตลุ ะโทษและบรรลคุ ุณ. การเขา ไปหาการบาํ รุงการระลกึ การฟงและการเห็นนักบวชทัง้ หลายผรู ะงบั กเิ ลสแลว อบรมกายวาจาจติ และปญ ญาแลว ประกอบดวยความสงบอยางสูง ชือ่ วา การเหน็ สมณะทงั้ หลาย. การเห็นสมณะแมท้ังหมด ทานกลา ววาทสั สนะ โดยเทศนาอยางตํ่า. การเห็นสมณะน้ัน พงึ ทราบวา เปน มงคล.เพราะเหตุไร. เพราะมีอุปการะมาก จรงิ อยู พระผมู ีพระภาคเจาตรสั ไวเ ปน ตนวา ดูกอนภิกษทุ ั้งหลายเรากลาววาการเห็นภกิ ษเุ หลานน้ั มีอปุ การะมาก เพราะบญุ อนั ใด กุลบตุ รผูต องการประโยชน เห็นภกิ ษทุ งั้ หลายผมู ศี ีลมาถึงประตเู รือนผิวา ไทยธรรมมอี ยู กพ็ ึงนับถือดว ยไทยธรรมตามกําลงั ผวิ า ไมม ี กพ็ งึ ไหวอยางเบญจางคประดิษฐ เมือ่ การไหวอยา งเบญจางคประดิษฐย งั ไมพรอม ก็พงึประคองอญั ชลีนมัสการ เมอ่ื การนอบนอม ยงั ไมพรอ ม ก็มจี ติ ผองใส แลดูดวยจกั ษทุ ี่นา รัก ดวยบุญทมี่ ีการแลดเู ปน มูลอยา งนี้ โรคหรือโทษ ฝาหรอืตอ มจะไมมีในจักษุ ตลอดหลายพันชาติ จักษุท้ังสองกจ็ ะผอ งใส มสี ริ ิ มี

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 207วรรณะ ๕ เสมือนบานประตแู กว มณที ่ีเปด ในรัตนวมิ าน เขาจะไดส มบัติในเทวดาเเละมนษุ ย ประมาณแสนกัป ขอที่เขาเกิดเปนมนษุ ยเ ปน คนมีปญญาพึงเสวยวิปากสมบตั เิ ห็นปานนี้ ก็ดวยบุญที่สําเรจ็ มาแตก ารเห็นสมณะ ซงึ่ เขาประพฤตมิ าโดยชอบ ไมนา อศั จรรยเลย แมส ําหรับสตั วเ ดียรฐั ฉาน บณั ฑิตทั้งหลาย กพ็ รรณนาวบิ ากสมบัติของการเห็นสมณะ ที่เพียงทาํ ศรทั ธาใหเ กดิ แลวอยางเดยี วไวอยา งนี้ ในบาลปี ระเทศใด บาลปี ระเทศนัน้ มีวา นกฮูก ตากลม อาศยั อยทู เ่ี วทิยกบรรพตมาตลอด กาลยาวนาน นกฮกู ตัวนี้สขุ แทห นอ เหน็ พระพทุ ธเจา ผูประเสรญิ ซ่งึ ลุกข้นึ แตเ ชา. มันทําจิตใหเลอ่ื มใสในตวั เรา และภกิ ษสุ งฆผู ยอดเยย่ี ม ไมตอ งไปทุคติถงึ แสนกัป มันจุตจิ ากเทวโลก อันกุศลกรรมตกั เตือนแลวั จกั เปนพระพทุ ธะ ผูมีอนัน- ตยาณ ปรากฏพระนามวา โสมนัสสะ ดังน้ี. ในเวลาพลบคํ่า หรอื ในเวลาย่าํ รงุ ภกิ ษฝุ ายพระสตู ร ๒ รปู ยอมสนทนาพระสูตรกนั ฝา ยพระวนิ ัยก็สนทนาพระวนิ ัยกัน ฝายพระอภธิ รรมก็สนทนาพระอภธิ รรมกัน ฝา ยชาดกก็สนทนาชาดกกัน ฝายอรรถกถากส็ นทนาอรรถกถากันหรือสนทนากันในกาลนนั้ ๆ เพอื่ ชําระจติ ที่ถูกความหดหู ความฟุงซานและความสงสัยชกั นําไป การสนทนาตามกาลน้ี ช่ือวา การสนทนาธรรมตามกาล การสนทนาธรรมตามกาลนนั้ ตรัสวาเปนมงคล เพราะเปน เหตุแหงคณุ ทั้งหลายมีความฉลาดในอาคมคอื นกิ ายทงั้ ๕ เปน ตน แล. พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั มงคลแหงคาถานไี้ ว มงคล คอื ความอดทน๑ ความเปน ผูว า งาย ๑ การเหน็ สมณะ ๑ และการสนทนาธรรมตามกาล ๑ดวยประการฉะน.ี้ กค็ วามท่มี งคลเหลานั้นเปนมงคส ไดช ้แี จงไวใ นมงคลนน้ั ๆ แลว ทง้ั น้ันแล. จบพรรณนาความแหงคาถาวา ขนฺตึ จ

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 208 พรรณนาคาถาวา ตโป จ บัดน้ี จะพรรณนาในคาถาวา ตโป จ น้ี. ช่อื วา ตปะ เพราะเผานาปธรรม. ความประพฤติอยา งพรหม หรอื ความประพฤติของพรหม ช่ือวาพรหมจรรย ทานอธบิ ายวา ความประพฤติอยา งประเสรฐิ . การเหน็ อริยสจัทง้ั หลาย ช่ือวา อริยสจฺจาน ทสฺสน . อาจารยบ างพวกกลาววา อริยสจจฺ านิทสฺสน ดังน้กี ็ม.ี ชอ่ื วา นพิ พาน เพราะออกจากวานะตัณหาเครื่องรอ ยรัดการทาํ ใหแจงชอ่ื วา สัจฉิกิรยิ า. การทําใหแจงซึง่ พระนพิ พาน ชื่อวา นิพพาน-สจั ฉิกิริยา. คําทีเหลอื มีนยั ทีก่ ลาวมาแลว ทงั้ น้ันแล นเ้ี ปนการพรรณนาบท สว นการพรรณนาความ พึงทราบดังนี้ อนิ ทรียสังวรชอื่ วา ตปะเพราะเผาอภิชฌาและโทมนัสเปน ตน หรอื ความเพียรช่ือวา ตปะ เพราะเผาความเกียจคราน บคุ คลผปู ระกอบดว ยตปะเหลาน้นั ทา นเรยี กวา อาตาปตปะนี้น้นั พึงทราบวาเปน มงคล เพราะเปนเหตุละอภชิ ฌาเปนตน และไดฌานเปน อาทิ. ชื่อวา พรหมจรรยเปนช่ือของ เมถุนวิรตั ิ สมณธรรม ศาสนาและมรรค. จริงอยา งนัน้ เมถนุ วิรัติ ทานเรียกวา พรหมจรรย ไดใ นประโยคเปนตนวา พฺรหฺมจริย ปหาย พรฺ หฺมจารี โหติ ละเมถุนวริ ัติ เปน พรหม.จาร.ี สมณธรรม เรียกวา พรหมจรรย ไดใ นประโยค เปน ตน อยา งนว้ี าภควติ โน อาวุใส พฺรหมฺ จรยิ  วสุ ฺสติ ผูมีอายุ เราอยปู ระพฤติสมณ-ธรรม ในพระผูม ีพระภาคเจา. ศาสนา เรยี กวาพรหมจรรย ไดในประโยคเปน ตน อยางนว้ี า นตาวาห ปาปม ปรนิ พิ พฺ ายสิ สามิ ยาว เม อิท พรฺ หมฺ จรยิ  นอิทฺธเฺ จว ภวสิ ฺสติ ผตี จฺ วิตฺถารกิ  พาหุชฺ ดกู อ นมาร ตราบ

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 209ใดศาสนานข้ี องเรา จกั ยังไมม ั่นคงเจรญิ แพรหลายรูกนั มากคน เรากจ็ กั ยังไมปรนิ ิพพานตราบนนั้ . มรรคเรียกวา พรหมจรรย ไดใ นประโยคเปนตนอยา งนว้ี า อยเมวโข ภกิ ฺขุ อริโย อฏ งฺคโิ ก มคฺโค พรฺ หฺมจรยิ  เสยฺยถีท สมฺมา-ทิฏิ ดูกอ นภิกษุ อรยิ มรรคมีองค ๘ คอื สัมมาทฏิ ฐเิ ปนตน เปนพรหมจรรย. แตในทนี่ ี้ พรหมจรรยแ มทกุ อยา งไมเหลือ ยอมควร เพราะมรรคทา นสงเคราะหดวยอรยิ สจั จานทสั สนะขา งหนา แลว . กพ็ รหมจรรยน่ันน้ัน พงึทราบวา เปนมงคล เพราะเปนเหตุประสบผลวเิ ศษนานาประการ นนั้ สูง ๆ. การเห็นมรรค โดยตรัสรูอริยสจั ๔ ท่ีกลา วไวแลวั กมุ ารปญ หา ชื่อวา อริยสัจจานทสั สนะ. อรยิ สัจจานทัสสนะนนั้ ตรสั วาเปนมงคล เพราะเปน เหตลุ วงทุกขใ นสงั สารวัฎ. อรหตั ผล ทานประสงคเอาวา นพิ พาน ในที่น้ี. ช่ือวา นิพพาน-สจั ฉิกริ ิยา กระทําใหแ จง ในพระนพิ พาน. จรงิ อยอู รหตั ผลแมน น้ั ทานกลา ววา นิพพาน เพราะออกจากตณั หา ที่เขาใจกนั วา วานะ เพราะรอ ยไวใ นคติ ๕. การถงึ หรือการพจิ ารณาพระนิพพานน้ัน เรยี กวา สจั ฉกิ ิริยา แตการทาํ ใหแ จง พระนิพพานนอกน้ีสําเรจ็ ไดดวยการเห็นอริสจั ๔ นน่ั เเล ดวยเหตุนนั้ การเห็นอรยิ สัจนัน้ ทา นจงึ ไมป ระสงคในที่น.้ี การทาํ ใหแ จงพระนิพพานน้นั พึงทราบวา เปน มงคล เพราะเปนเหตุอยเู ปน สุขในปจจบุ ันเปน ตน ดวยประการฉะน.ี้ พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั มงคลแหง คาถานี้ไว มงคล คือ ตปะ ๑พรหมจรรย ๑ อรยิ สจั จานทสั สนะ ๑ และนิพพานสจั ฉกิ ริ ิยา ๑ ดวยประการฉะนี้. ก็ความท่มี งคลเหลาน้นั เปนมงคล ไดชแี้ จงไวใ นมงคลนัน้ ๆ แลว ทั้งนั้นแล. จบพรรณนาความแหง คาถานวี้ า ตโป จ

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 210พรรณนาคาถาวา ผุฏ สสฺ โลกธมเฺ มหิ บัดน้ี จะพรรณนาในคาถาวา ผุฏ สฺส โลกธมฺเมหิ บทวาผฏุ สสฺ ไดแ ก ถูกแลว ตองแลว ประสบแลว . ธรรมท้ังหลายในโลกชอื่ วา โลกธรรม. ทานอธบิ ายวา ธรรมทั้งหลาย จะไมห วนกลับตราบเทาท่ีโลกยงั ดําเนนิ ไป. บทวา จิตฺต ไดแก มโน มานสั . บท วา ยสฺส ไดแกของภกิ ษใุ หม ภกิ ษปุ นู กลาง หรอื ภกิ ษุผเู ถระ. บทวา น กมฺปติ ไดแ กไมห วน่ั ไมไ หว. บทวา อโสก ไดแ ก ไรค วามโศก ถอนโศกศัลยเ สียแลว. บทวา วรช ไดแก ปราศจากละอองกเิ ลส กําจดั ละอองกิเลสแลว.บทวา เขม ไดแ ก ไมม ภี ัย ไรอ ปุ ท วะ. คาํ ท่ีเหลอื มีนัยที่กลา วไวแ ลวแลน้ีเปนการพรรณนาบท. สวนการพรรณนาความ พึงทราบดงั น้ี จิตของผูใ ด อนั โลกธรรม ๘มี มีลาภ ไมม ลี าภ เปนตน ถกู ตองครอบงาํ แลว ยอ มไมหวน่ั ไมไหว ไมกระเทอื น ชื่อวา จิตของผูใ ดอนั โลกธรรมกระทบแลวไมหว่นั ไหว จติ น้นั ของผนู ัน้ พึงทราบวา เปนมงคล เพราะนาํ มาซึ่งความเปน ผูสูงสุดเหนอื โลก ซึง่ธรรมไรๆ ใหห วั่นไหวไมได. ถามวา กจ็ ิตของใคร ถูกโลกธรรมเหลา น้นั กระทบแลว ไมหว่ันไหว.ตอบวา จติ ของพระอรหันตขีณาสพ ไมใชจ ติ ของใครอ่ืน. จริงอยู พระผูมพี ระภาคเจาตรสั ไวดงั น้วี า เสโล ยถา เอกกฺฆโน เวเตน น สมรี ติ เอว รูปา รสา สทฺทา คนฺธา ผสสฺ า จ เกวลา อิฏา ธมมฺ า อนิฏ า จ นปฺปเวเธนฺติ ตาทิโน ิต จติ ตฺ  วิปปฺ มุตฺต วยฺจสสฺ านปุ สสฺ ติ.

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 211 ภูเขาหนิ ทึบแทงเดียว ยอ มไมไหวดว ยลม ฉัน ใด รปู เสยี ง กล่ิน รส ผสั สะ และธรรมทัง้ สิน้ ทั้ง สว นอฏิ ฐารมณ ท้งั สว นอนฏิ ฐารมณ ยอมทาํ จติ ของ ทา นผคู งทใ่ี หห วั่นไหวไมได ฉนั นนั้ ดว ยวา จติ ของทานที่มนั่ คง หลดุ พนแลว ยอมเห็นความเสอ่ื ม อยูเ นือง ๆ. จติ ของพระขีณาสพเทาน้ัน ช่อื วา อโสกะ ไมเ ศราโศก. จริงอยูจิตของพระขีณาสพนั้น ชอ่ื วา อโสกะ เพราะไมมีความเศรา โศก ท่ที านกลาวโดยนยั เปนตนวา ความโศก ความเศรา ความเปน ผูเ ศราโศก ความแหงใจ ความแหงผากภายใน ความท่ใี จถูกความเศรา โศกแผดเผา. อาจารยบางพวกกลา วถึงพระนิพพานคาํ นั้น เชื่อมความไมไ ดก ับบทตน ๆ. จติ ของพระขณี าสพเทา นัน้ ชื่อวา อโสกะ ฉนั ใด กช็ อื่ วา วริ ชะ เขมะ ฉนั นัน้ จรงิอยู จติ ของพระขณี าสพนั้น ช่อื วา วิรชะ เพราะปราศจากละอองกิเลสมรี าคะโทสะ โมหะ เปน ตน และช่อื วา เขมะ เพราะปลอดจากโยคะทง้ั ๔. เพราะวา จติ ทัง้ ๓ อยา งนน้ั โดยท่ที า นถือเอาแลว ในขณะจิตเปนไปในอารมณน ้นั ๆโดยอาการนั้น ๆ พงึ ทราบวา เปน มงคล เพราะนาํ มาซ่ึงความเปนผูสงู สดุ เหนือโลกมีความเปนผมู ขี ันธอนั ไมเ ปน ไปแลว [ไมเกดิ อกี ] และเพราะนาํ มาซง่ึความเปน อาหไุ นยบคุ คลเปนตน. พระผมู ีพระภาคเจาตรัสมงคลแหงคาถาน้ีไว ๔ มงคล คอื จิตที่ไมหวนั่ ไหวดว ยโลกธรรมแปด ๑ จติ ไมเศรา โศก ๑ จติ ปราศจากละอองกิเลส ๑จติ เกษม ๑ ดวยประการฉะน้.ี ก็ความที่มงคลเหลาน้นั เปนมงคล กไ็ ดช้ีแจงไวในมงคลนนั้ ๆ แลวทัง้ นัน้ แล. จบพรรณนาความแหงคาถาน้ีวา ผุฏ สฺส โลกธมเฺ มหิ

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 212 พรรณนาคาถาวา เอตาทสิ านิ พระผูมพี ระภาคเจา ครนั้ ตรัส มหามงคล ๓๘ ประการ ดวยคาถา๑๐ คาถา มีวา อเสวนา จ พาลาน การไมค บพาลเปน อาทิ อยางนี้แลวบดั น้ี เมอ่ื จะทรงชมเชยมงคลทพ่ี ระองคต รัสเหลานนั้ แล จึงไดต รัสคาถาสดุ ทา ยวา เอตาทิสานิ กตฺวาน เปนตน . พรรณนาความแหงคาถาสดุ ทา ยนน้ั ดังนี้ บทวา เอตาทิสานิ แปลวาเชน นี้ เหลา นัน้ คอื มกี ารไมค บพาล เปน ตน มปี ระการที่เรากลา วมาแลว .บทวา กตฺวาน แปลวา กระทาํ . ความจริงคํานี้ไมน อกเหนือไปจากความวากตวฺ าน กตวิ า กรติ ฺวา [ซ่งึ แปลวาการทาํ เหมอื นกนั ]. บทวา สพพฺ ต-ฺถมปราชิตา ความวา สตั วท ง้ั หลาย กระทาํ มงคลเชนนี้เหลานนั้ อนั ขา ศกึ๔ ประเภท คอื ขันธมาร กิเลสมาร อภิสงั ขารมารและเทวปตุ ตมาร แมแ ตประเภทเดยี วทาํ ใหพา ยแพไ มไ ด ในทีท่ ั้งปวง ทานอธิบายวา ยงั มารทง้ั ๔นั้นใหพ า ยแพดว ยตนเอง. ก็ ม อกั ษรในคําวา สพพฺ ตฺถมปราชติ า นี้ พึงทราบวา เพียงทาํ การตอ บท. บทวา สพพฺ ตฺถ โสตฺถึ คจฉฺ นตฺ ิ ความวา สตั วท ้งั หลายกระทํามงคลเชนที่กลา วมาน้ี เปนผอู นั มารทัง้ ๔ ทาํ ใหพ ายแพไ มไดแลว ยอมถงึความสวัสดใี นที่ทงั้ ปวง คือ ในโลกน้ี และโลกหนา และท่ยี นื และทเี่ ดนิ เปนตนอาสวะเหลา ใดทที่ ําความคับแคน และเรารอน พงึ เกดิ ขึ้นเพราะการคบพาลเปนตน เหตไุ มม ีอาสวะเหลาน้ัน จึงถึงความสวัสดี ทานอธบิ ายวา เปน ผูอ ันอปุ ท วะไมขัดขวาง อนั อุปสรรคไมขดั ของ เกษมปลอดโปรง ไมม ภี ยั เฉพาะหนาไป. กน็ คิ คหิต ในคําวา สพฺพตฺ โสตถฺ ึ คจฉฺ นตฺ ิ น้ีพึงทราบวาตรสั เพอ่ื สะดวกแกก ารผูกคาถา. พระผูมีพระภาคเจา ทรงจบเทศนาดวยบทแหง คาถาวา ต เตสมงฺคลฺมุตฺตม . ทรงจบอยางไร. ทรงจบวา ดกู อ นเทพบตุ ร เพราะเหตุทชี่ น

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 213ผกู ระทํามงคลเชนทีก่ ลา วนี้ยอมถงึ ความสวสั ดีในทที่ ง้ั ปวงอยา งนี้ ฉะนน้ั ทานจึงถอื วา มงคลท้งั ๓๘ ประการ มกี ารไมค บพาลเปน ตน นั้นสูงสดุ ประเสรฐิสดุ ดที ีส่ ุด สําหรับชนเหลานั้น ผกู ระทาํ มงคลเชน ทก่ี ลาวมาน้ี. ตอนสุดทา ย เทศนาทพ่ี ระผมู พี ระภาคเจา ทรงจบอยางน้ี เทวดา แสนโกฎิบรรลุพระอรหตั . จํานวนผูบ รรลุโสดาปต ตผิ ล สกทาคามผิ ล อนาคามิผลนับไมไ ด. ครัง้ นั้น วนั รงุ ขน้ึ พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั เรียก พระอานนทเถระมาตรสั วา ดูกอ นอานนท เมื่อคนื นี้ เทวดาองคห นึง่ เขามาถามมงคลปญ หาคร้งั นั้นเราไดก ลาวมงคล ๓๘ ประการแกเทวดาองคนัน้ ดกู อนอานนท เธอจงเรยี นมงคลปรยิ ายน้ี ครั้นเรียนแลวจงสอนภิกษุท้ังหลาย. พระเถระเรยี นแลวก็สอนภิกษทุ ง้ั หลาย. มงคลสตู รน้ีนั้น อาจารยนาํ สบื ๆ กนั มาเปนไปอยจู นทุกวันน้ี พงึ ทราบวา ศาสนพรหมจรรยน้ีม่นั คงเจรญิ แพรห ลาย รูกนั มากคนพาแนน ตราบเทา ที่เทวดาและมนุษยป ระกาศดแี ลว . เพ่ือความฉลาดในการสะสมความรใู นมงคลเหลา น้ันเอง บัดนี้ จะประกอบความต้ังแตต นดังน.้ี สัตวท งั้ หลายผปู รารถนาสุขในโลกนโี้ ลกหนา และโลกตุ รสขุ เหลานั้น ละการคบคนพาลเสยี อาศยั แตบณั ฑิต, บชู าผูท ี่ควรบูชา. อันการอยใู นปฏิรูป-เทส, และความเปน ผทู าํ บุญไวในกอนตักเตือนในการบําเพญ็ กุศล. ตัง้ ตนไวชอบ มีอัตภาพอนั ประดบั ดว ยพาหสุ จั จะ ศลิ ปะ และวินยั , กลา วสภุ าษติ อนัเหมาะแกวนิ ัย. ยังไมละเพศคฤหสั ถตราบใด, กช็ าํ ระมลู หนเ้ี กาดวยการบาํ รุงมารดาบดิ า, ประกอบมลู หนีใ้ หมดว ยการสงเคราะหบุตรและภรรยา ถงึ ความม่ังคัง่ ดวยทรพั ยและขา วเปลอื ก ดว ยความเปน ผูมีการงานไมอากูล, ยึดสาระแหง โภคะดว ยทาน และสาระแหง ชีวิตดวยการประพฤติธรรม, กระทาํ ประโยชนเกอ้ื กูลแกช นของตน ดว ยการสงเคราะหญ าติ และประโยชนเ กอ้ื กูลแกชนอื่น ๆ

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 214ดว ยความเปน ผมู ีการงานอันไมมโี ทษ. งดเวน การทํารา ยผอู ่นื ดวยการเวน บาปการทาํ รา ยตนเอง ดวยการระวังในการดื่มกินของเมา, เพิม่ พูนฝา ยกุศลดว ยความไมประมาทในธรรมทัง้ หลาย, ละเพศคฤหัสถดว ยความเปนผเู พ่ิมพนู กศุ ลแมคงอยูในภาวะบรรพชติ ก็ยังวัตรสมั ปทาไหส าํ เร็จดวยความเคารพในพระ-พุทธเจา สาวกของพระพุทธเจาและอปุ ช ฌายาจารยเ ปนตน และดวยความถอมตน, ละความละโมภในปจจัยดวยสนั โดษ, ตั้งอยใู นสัปปรุ สิ ภูมิดว ยความเปน ผูกตัญ,ู ละความเปนผมู จี ติ หดหดู วยการฟงธรรม, ครอบงําอนั ตรายทุกอยา งดวยขันต,ิ ทาํ คนใหมที พี่ ึ่ง ดว ยความเปน ผวู างาย, ดกู ารประกอบขอปฏิบัติดวยการเหน็ สมณะ บรรเทาความสงสยั ในธรรมทัง้ หลายอนั เปนท่ีตงั้แหงความสงสัย ดวยการสนทนาธรรม, ถงึ ศลี วิสทุ ธิ ดว ยตปะคืออินทรีย-สงั วร ถงึ จิตตวสิ ุทธิ ดวยพรหมจรรยคือสมณธรรม และยังวสิ ุทธิ ๔ นอกนัน้ใหถ ึงพรอม, ถงึ ญาณทัสสนวสิ ุทธิอันเปนปริยายแหงการเห็นอรยิ สัจดว ยปฏิปทาน้ี กระทําใหแ จงพระนพิ พานที่นบั ไดวาอรหัตผล, ซงึ่ ครัน้ กระทําใหแ จงแลวเปน ผูม ีจิตไมห วั่นไหวดว ยโลกธรรม ๘ เหมอื นสิเนรบุ รรพต ไมห ว่นั ไหวดว ยลมและฝน ยอ มเปนผูไมเ ศรา โศก ปราศจากละอองกิเลส มีความเกษมปลอดโปรง และความเกษมปลอดโปรง ยอมเปนผูแมแ ตศัตรูผหู นึ่งใหพา ยแพไมไดในที่ทัง้ ปวง ทง้ั จะถึงความสวัสดีในที่ทกุ สถาน. ดวยเหตุน้นั พระผูมีพระภาคเจาจงึ ตรัสวา สัตวท้ังหลายกระทํามงคลเชนท่ีกลา วมานีแ้ ลว เปนผูอนั มารใหพ ายแพไมไ ดใ นท่ที ้ังปวง ยอ มถึงความ สวัสดีในที่ทุกสถาน นนั้ เปน มงคลอุดมของสัตวเ หลา นน้ั . จบพรรณนามงคลสูตร แหง ปรมตั ถโชตกิ า อรรถกถาขทุ ทกปาฐะ























พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 226กมั พลนาคและอัสสตรนาคเปน ตน ซึง่ อาศัยอยูใตแมน ํา้ คงคา กพ็ ากันทาํ การบชู า. ดว ยการบชู าใหญอยา งน้ี พระผมู พี ระภาคเจา เสด็จไปทางแมนา้ํ คงคาสนิ้ ระยะทางไกลประมาณโยชนห น่งึ กเ็ ขาเขตแดนของพวกเจา ลิจฉวกี รงุ เวสาลี. ตอนั้น พวกเจา ลิจฉวกี ท็ าํ การบูชาเปน ๒ เทาท่ีพระเจาพิมพิสารทรงทําการบูชา ออกไปรับเสดจ็ พระผูมีพระภาคเจาถึงในน้าํ ประมาณแคพ ระศอ.ขณะนัน้ เอง ครูน ้นั เอง มหาเมฆมียอดคลุมดว ยความมดื มแี สงฟา แลบเคล่อื นตัวไปสงเสียงคาํ รามครืนคร่นั ก็ดังข้นึ ทัง้ ส่ที ศิ . ลําดับนน้ั พอพระผูมีพระภาคเจายกพระบาทแรกวางลงรมิ ฝง แมน า้ํ คงคา ฝนโบกขรพรรษก็โปรยเมด็ ลงมาชนเหลาใดตองการจะเปยก ชนเหลาน้ัน เทานั้นยอ มเปยก ผูไมตอ งการเปย กก็ไมเปยก ในที่ทุกแหง นาํ้ ยอ มไหลไปเพยี งแคเ ขา แคขา แคส ะเอว แคค อซากศพทง้ั ปวงถูกน้าํ พดั สง ลงสูแมน้ําคงคา พ้นื ดนิ กส็ ะอาดสะอาน. พวกเจาลจิ ฉวีใหพ ระผูมีพระเจา ประทบั อยูท กุ ๆ หน่ึงโยชนใ นระหวางทางถวายมหาทาน ทรงทําการบูชาเปน ทวคี ณู ๓ วนั จึงนาํ เสดจ็ สูกรุงเวสาล.ีเมอ่ื พระผูมีพระภาคเจาเสดจ็ ถงึ กรงุ เวสาลี ทา วสักกะจอมทวยเทพ อันหมูเทพหอ มลอ มกเ็ สด็จมาถึง. พระผมู ีพระภาคเจา ประทบั ยืนใกลป ระตพู ระนครทรงเรยี กทานพระอานนท่ีมาสงวา ดูกอนอานนท เธอจงเรยี นรัตนสูตรน้ี ถือเคร่ืองประกอบพลกี รรม เทีย่ วเดนิ ไประหวางปราการ ๓ ชัน้ แหง กรงุ เวสาลีกับพวกเจา ลจิ ฉวรี าชกมุ าร ทําพระปรติ ร แลวไดตรัสรัตนสตู ร. การวิสัชนาปญ หาเหลานัน้ วา ก็พระสูตรนีผ้ ูใดกลาว กลา วเมอื่ ใด กลาวทใี่ ดและกลาวเพราะเหตุใด ทานโบราณาจารยท้ังหลาย พรรณนาไวพ สิ ดารท้งั แตเ รอ่ื งกรุงเวสาลเี ปน ตน ไป ดวยประการฉะน้ี.

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 227 ดังนน้ั ในวนั ท่ีพระผูมพี ระภาคเจา เสด็จถงึ กรงุ เวสาลนี นั่ เอง รัตนสูตรนีท้ พ่ี ระผูมพี ระภาคเจา ตรสั ใกล ประตกู รุงเวสาลี เพ่ือกาํ จดั อุปท วะเหลาน้นั ทา นพระอานนทกเ็ รียนเอา เม่อื จะกลาวเพ่ือเปนปริตร [ปองกันอุปท วะ] จงึเอาบาตรของพระผมู พี ระภาคเจาตักนํา้ มา เดินประพรมไปทว่ั พระนคร. พอพระเถระกลาววา ยงฺกิฺจิ เทานน้ั พวกอมนุษยท อ่ี าศยั กองขยะและที่ฝาเรือนเปนตน ซ่งึ ยงั ไมห นไี ปในตอนแรก กพ็ ากันหนีไปทางประตูทง้ั ๔. ประตูทง้ั หลาย กไ็ มม ีท่ีวาง อมนุษยบางพวก เมอ่ื ไมไดทว่ี า งทีป่ ระตทู ั้งหลาย ก็หลายกาํ แพงเมืองหนไี ป. พอพวกอมนษุ ยพากนั ไปแลว ท่เี น้ือตัวของพวกมนษุ ยทัง้ หลาย โรคกส็ งบไป พวกมนษุ ยทง้ั หลาย กพ็ ากันออกมาบชู าพระเถระ ดว ยดอกไมของหอมเปน ตน ทกุ อยา ง มหาชนเอาของหอมทกุ อยางฉาบทาสัณฐาคารที่ประชุม ทามกลางพระนคร ทําเพดานขจิตดว ยรตั นะ ประดบัดวยเครอื่ งประดบั ทง้ั ปวง ปูพทุ ธอาสนล ง ณ ท่นี ัน้ แลว นาํ เสดจ็ พระผมู ีพระ-ภาคเจา มา. พระผมู ีพระภาคเจา เสดจ็ เขา สสู ัณฐาคาร ประทับนัง่ เหนอื อาสนะทีเ่ ขาปูไว. ทงั้ ภกิ ษสุ งฆ คณะเจา และมนษุ ยท งั้ หลายก็นง่ั ณ อาสนะท่ีเหมาะท่ีควร. แมท า วสกั กะ จอมทวยเทพกป็ ระทับนัง่ ใกลก บั เทวบรษิ ัท ในเทวโลกท้ังสอง ทัง้ เทวดาอนื่ ๆ ดว ย. แมทา นพระอานนทเถระ กเ็ ทยี่ วเดนิ ไปทวั่ กรุงเวสาลี ทาํ อารกั ขาแลว กม็ าพรอมกับชาวกรุงเวสาลี น่ัง ณ ที่ควรสว นหนึ่ง. ณทนี่ ัน้ พระผูม พี ระภาคเจา กไ็ ดตรัสรตั นสตู รนน้ั นั่นแหละแกทุกคนแล. กม็ าตกิ า หัวขอ ใด ขา พเจาตั้งไววา ขา พเจาจกั ประกาศนัยนว้ี ารตั นสูตรนี้ผูใดกลา ว กลาวเม่ือใด กลาวทใ่ี ด และกลา วเพราะเหตุใด มาตกิ านัน้ เปน อนั ขาพเจากลาวไวพ ิสดารแลวโดยประการท้งั ปวง ดว ยถอยคาํ มปี ระ-มาณเทาน.ี้

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 228 พรรณนาคาถาวา ยานธี บัดน้ี จะเริม่ พรรณนาความ เพราะขา พเจา ไดกลาวไวว าจกั พรรณนาความแหงรตั นสตู รนัน้ แตอาจารยอีกพวกหนึ่งกลาววา พระผูพ ระภาคเจาตรัส๕ คาถา นี้ ท่ีเหลือทานพระอานนทเถระกลาวจะอยา งไรก็ตาม ประโยชนอะไรของเราดวยคาถาเล็กนอย ทีย่ ังไมไดตรวจตราน้ี ขาพเจาจกั พรรณนาความแหงรัตนสูตรน้ี แมโ ดยประการท้งั ปวง. จะพรรณนาคาถาแรกวา ยานีธ ภตู านิ เปน ตน . ในคาถาแรกนั้นบทวา ยานิ ไดแ ก เชน ใด ไมวา จะมีศักด์ินอ ยหรือศักดิ์มาก. บทวา อธิแปลวา ในประเทศนี้ พระผูม พี ระภาคเจา ตรสั หมายถงึ สถานทปี่ ระชมุ ในขณะน้นั . ในบทวา ภูตานิ ภตู ศทั พ ใชห มายถึงสิ่งทม่ี ีอยู ไดใ นประโยคเปนตน อยา งวา ภูตสมฺ ึ ปาจติ ตฺ ิย เปน อาบัติปาจิตตีย เพราะภูตคาม. ใชหมายถงึ ขันธปญ จก ไดในประโยคเปนตน อยา งนว้ี า ภูตมิท ภกิ ฺขเวสมนปุ สฺสถ ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงพิจารณาเหน็ ขันธปญจกน้ี. ใชหมายถึงรปู มปี ฐวธี าตเุ ปนตน ๔ อยาง ไดใ นประโยคเปนตนอยางน้ีวาจตตฺ าโร โข ภิกฺขุ มหาภตู า เหตุ ดกู อ นภกิ ษุ มหาภูตรูป ๔ แลเปนเหตุ. ใชห มายถึงพระขีณาสพ ไดในประโยคเปนตนอยางนีว้ า โย จ กาลฆโสภูโต ก็พระขีณาสพใดแล กินกาลเวลา. ใชหมายถงึ สรรพสัตว ไดในประ-โยคเปนตน อยา งนี้วา สพเฺ พว นกิ ขฺ ปิ สสฺ นตฺ ิ ภตู า โลเก สมุสสฺ ยสรรพสัตวจ กั ทอดทิ้งเรอื นรา งไวใ นโลก. ใชหมายถงึ ตนไมเ ปนตน ไดในประโยคเปนตน อยา งน้ีวา ภูตคามปาตพฺยตาย ในเพราะพรากภตู คาม. ใชห มายถงึ หมูสตั วภ ายใตเทพชนั้ จาตุมมหาราช ไดในประโยคเปน ตน อยา งนี้วา ภูตภูตโต สฺชานาติ จาํ ไดซ ่งึ หมสู ตั วโ ดยเปน หมูสตั วกจ็ ริง ถงึ กระนัน้ ภูตศพั ท พึงทราบวา ใชใ นอรรถวา อมนุษย โดยไมต างกัน.

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 229 บทวา สมาคตานิ แปลวา ประชุมแลว. บทวา ภมุ มฺ านิ ไดแ กอันบังเกิดทพ่ี น้ื ดนิ . ศัพทว า วา ใชใ นความวา ไมแ นน อน. ดวย วา ศพั ทน้นั พระผูมพี ระภาคเจาทรงทาํ วิกัปอันหนง่ึ นวี้ า ยานธี ภมุ มฺ านิ วาภูตานิ สมาคตานิ แลว ตรัสวา ยานิ ว อนฺตสกิ เฺ ข เพือ่ ทรงทาํ วิกปั ท่สี องอีก. ความวา หรอื สตั วเ หลา ใด เปนแลว เกดิ แลว ในอากาศสตั วเ หลา นนั้ ทง้ั หมดมาประชมุ แลวในท่นี ้ี. ก็ในขอ นีส้ ัตวทัง้ หลายท่บี ังเกิดแลว เปนแลว ตัง้ แตเทพชั้นยามา จนถึงชั้นอกนิษฐะ พึงทราบวา เปนแลว [เกดิ แลว] ในอากาศเพราะเปน สัตวทบ่ี งั เกดิ ในวมิ านอนั ปรากฏในอากาศ. สตั วท ั้งหลายภายใตแ ตน้ันตง้ั แตข นุ เขาสิเนรุ จนถึงจาํ พวกทีส่ ิงอยใู นตน ไมแ ละเถาวัลยเ ปน ตน และจาํ พวกทีบ่ งั เกิดแลว เปน แลว ทีแ่ ผนดิน สัตวเหลานนั้ ทง้ั หมด พึงทราบวา สัตวเกิดทพ่ี น้ืดิน เพราะเปน สัตวท บ่ี งั เกิด ณ พ้นื ดนิ และ ณ ตน ไมเ ถาวัลยแ ละภูเขาเปนตน ทเ่ี ก่ยี วเน่ืองกับพนื้ ดิน. พระผูมีพระภาคเจา ครั้นทรงกาํ หนดหมูสตั วอ มนุษยท กุ หมูเ หลา ดวยสองบทวา ภมุ มฺ านิ วา ยานิ ว อนตฺ ลกิ เฺ ข ทรงกํากบั ดวยอกี บทหนง่ึจงึ ตรัสวา สพเฺ พว ภฺตา สมุ นา ภวนุต.ุ บทวา สพเฺ พ ไดแ ก ไมเหลือเลย. ศัพทว า เอว ลงในอรรถวา อวธารณะ หามความอื่น อธบิ ายวาไมละเวน แมแ ตผูเดยี ว. บทวา ภตู า ไดแก พวกอมนุษย. บทวา สุมนาภวนตฺ ุ ไดแก จงเปนผเู กดิ ปดโสมนสั . คําวา อโถป เปนนิบาตทง้ั สองคาํ ลงในอรรถคอื การยดึ พากย [ประโยค] เพ่ือประกอบไวในกจิ คือหนา ท่ีอืน่ . บทวา สกฺกจฺจ สุณนฺตุ ภาสิต ไดแก ทาํ ใหประโยชน ทาํไวใ นใจ รวบรวมโดยใจทงั้ หมดแลวจงพึงเทศนาของเรา อนั จะนาํ มาซึง่ ทพิ ยสมบัตแิ ละโลกุตรสุข.

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 230 ในพระสตู รนี้พระผูมพี ระภาคเจา ทรงระบุพวกภตู ดว ยพระดํารสั ท่ไี มแนน อนวา ยานธี ภตู านิ สมาคตานิ แลว จึงทรงกาํ หนดเปนสองสว นอีกวา ภมุ มานิ วา ยาน ว อนฺตลิกฺเข ตอ จากน้นั ก็ตรัสรวมอกี วาสพเฺ พว ภตู า ทรงประกอบสตั วไวในอาสยสมบตั ิ ดว ยพระดํารสั นวี้ าสมุ นา ภวนฺตุ ทรงประกอบสัตวในประโยคสมบัติดว ยพระดํารสั วา สกฺกจจฺ สุณนฺตุ ภาสติ  ทรงประกอบสตั วไวในสมบตั ิคอื โยนิโสมนสกิ าร และในสมบัติ คอื การโฆษณาจากผูอืน่ ก็เหมอื นกนั ทรงประกอบสตั วไวในสมบัติคอื การตั้งตนไวชอบและการเขาหาสตั บุรุษ และในสมบตั ิ คอื เหตุแหง สมาธิและปญญา กเ็ หมือนกัน จึงทรงจบพระคาถา. พรรณนาคาถาวา ตสฺมา หิ จะกลาวคาถาท่ี ๒ วา ตสมฺ า หิ เปนตน . ในคาถานน้ั บทวาตสฺมา เปนคํากลา วเหต.ุ บทวา ภูตา เปนคาํ เรียกเชิญ. บทวา นสิ าเมถไดแ ก จงฟง. บทวา สพเฺ พ ไดแก ไมเหลือเลย. ทานอธิบายไวอ ยางไร.ทานอธบิ ายวา เพราะเหตทุ ่ีทา นทั้งหลาย ละทพิ ยสถานและความพรั่งพรอมแหงเคร่ืองอปุ โภคบริโภคในทิพยสถานนน้ั มาประชมุ ในที่นี้ กเ็ พ่ือฟงธรรมไมใ ชเ พ่อื ดูการราํ การฟอ นเปนตน ฉะนัน้ แล ขอทา นทัง้ หลายท่เี ปน ภูตทัง้ หมดโปรดตง้ั ใจฟง. อกี อยางหนง่ึ ดว ยพระดํารัสวา สมุ นา ภวนตฺ ุ สกกฺ จฺจ สุณน-ตุ พระผูมีพระภาคเจาทรงเหน็ วา ภูตเหลา นัน้ มีใจดี และอยากฟง โดยเคารพจงึ ตรสั วา เพราะเหตทุ ท่ี านทั้งหลาย ประกอบดวยความเปน ผมู ใี จดีดว ยอัตตสัมมาปณธิ ิ โยนโิ สมนสิการ และอาสยสุทธิ ดวยความเปน ผอู ยากฟง โดยเคารพ และดวยปโยคสุทธิ โดยเปนปทฏั ฐานแหงการเขาหาสัตบุรุษและการโฆษณาจากผอู นื่ ฉะน้นั แล ขอภตู ท้ังหลายท้งั หมดโปรดตั้งใจฟงเถดิ .

พระสุตตันตปฎก ขุททกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 231 อกี อยางหนงึ่ คําใด ตรัสวา ภาสิต ทา ยคาถาตน ทรงอางคาํ นนั้เปนตัวเหตุ จึงตรัสวา เพราะเหตทุ ธี่ รรมดาภาษติ ของเรา หาไดยากย่ิง เพราะขณะท่ีเวน จากอขณะทง้ั ปวง หาไดยาก และมีอานสิ งสม าก เพราะปฏบิ ัติดวยพระคุณมปี ญญาคณุ และกรณุ าคุณเปน ทัง้ เรากป็ ระสงคจ ะกลาวภาสิตน้นัจึงไดกลา ววา สณุ นตฺ ุ ภาสิต ฉะนัน้ แล ขอทา นภูตท้งั หลายทุกทา นโปรดจงใจฟง เถดิ . พระดํารสั นเ้ี ปน อันทรงอธบิ ายดว ยบทแหง คาถานี้. พระผมู พี ระภาคเจา เม่ือทรงยกเหตนุ ีอ้ ยางน้ี ทรงประกอบภูตท้ังหลายไวในการต้ังใจฟง ภาษิตของพระองค จึงทรงเรม่ิ ตรัสภาษติ ที่พึงต้งั ใจฟงวา เมตตฺ  กโรถ มานสุ ยิ า ปชาย. ภาษติ นัน้ มคี วามวา ประชาชนชาวมนษุ ยน้ีใดถกู อุปท วะทั้ง ๓ ขดั ขวางแลว ขอทานทั้งหลายจงเขา ไปตัง้ เมตตาความเปน มติ ร ความมีอัธยาศยั เอือ้ ประโยชนแ กป ระชาชนคนมนษุ ยน น้ั เถดิ .แตอาจารยบ างพวกกลา ววา มานุสิก คาํ น้ัน ไมถ ูก เพราะภตู ทอี่ ยพู น้ื ดินไมเกิด อาจารยพ วกอ่ืนพรรณนาความแมอ ันใด ความแมอ นั น้นั ก็ไมถูก. สวนในทนี่ ีม้ อี ธบิ ายวา เราไมกลา วดวยกําลงั ความเปน ใหญวา เปนพุทธะ. ก็แตว าส่งิ ไรเปนประโยชนเ กอ้ื กูลแกพ วกทา น และแกประชาชนคนมนุษยน ี้ เราจะกลาวสงิ่ น้นั วา เมตตฺ  กโรถ มานสุ ิยา ปชาย ขอพวกทานจงทาํ เมตตาแกป ระชาชนคนมนษุ ยเถิด. อนึ่งในขอ น้ี เมตตาพึงทราบวาเปนประโยชนเ กอ้ื กลู แกผทู ําเมตตาโดยพระสูตรทั้งหลายเปน ตน อยา งนีว้ า ราชฤษเี หลาใด ชนะแผน ดิน ๗ ทวีป ทอง เท่ยี วบูชายัญ อัสสเมธะ ปรสิ เมธะ สมั มาปาสะ วาชเปยยะและนิรคั คฬะ ราชฤษเี หลานั้น ไมไดเสวย

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 232 แมแตเส้ียวที่ ๑๖ แหงเมตตาจติ ที่อบรมดแี ลว . ถา บุคคลมีจิตไมคิดรา ยสตั ว แมแ ตต วั เดียว ประพฤติ เมตตา ยอ มเปนผฉู ลาดดว ยจติ น้นั อรยิ ชนมใี จเอ็นดู สัตวม ีชีวิตทุกหมูเหลา ชือ่ วาประกอบบุญเปนอันมาก. ดงั นี้.และโดยอานิสงส ๑๑ ประการ. เมตตา พึงทราบวาเปน ประโยชนเ กอ้ื กลู แมแกสตั วท ้ังหลายท่เี ขาทําเมตตา โดยพระสูตรเปน ตนอยางนีว้ า เทวตานุกมฺปโ ต โปโส สทา ภทรฺ านิ ปสสฺ ติ บุคคลอนั เทวดาอนุเคราะหแ ลว ยอมเหน็ ความเจรญิ ทุกเมือ่ . พระผมู พี ระภาคเจา เมอ่ื ทรงแสดงวา เมตตามีประโยชนเกือ้ กูลแกค นแมทง้ั สองฝายอยางน้ี จงึ ตรสั วา เมตฺต กโรถ มานุสิยา ปชาย บดั นี้เมอื่ จะทรงแสดงแมอปุ การะจึงตรสั วา ทิวา จ รตโฺ ต จ หรนตฺ ิ เย พลึ ตสมฺ า หิ เน รกฺขถ อปปฺ มตตฺ า. เพราะฉะน้ันแล ขอทา นทัง้ หลายเปนผูไมป ระ- มาท ชวยปกปกรักษาพวกคนทีน่ ําพลมี าบชู า ทง้ั กลางวนั ท้งั กลางคนื ดว ยเถิด.ภาษติ นัน้ มคี วามวา มนษุ ยเ หลาใดสรา งเทวดาแมดว ยภาพเปน และแกะดว ยไมเ ปนตน แลวเขา ไปยงั รุกขเจดียเ ปนตน ทําพลีกรรมเชน สรวงในเวลากลางวันและทําพลกี รรมในเวลากลางคนื วันขา งแรมเปนตน อทุ ิศเทวดาท้งั หลาย หรอื

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 233ถวายสลากภตั ตทานเปนอาทิ ทําพลีกรรมมุง ถงึ อารกั เทวดาจนถงึ ดวยการมอบปต ตทิ านใหส ว นบญุ แกพ รหมและเทวดาทั้งหลายและทาํ พลกี รรมในเวลากลางคืน ดว ยการยกฉัตรตามประทีปประดับมาลัย และดวยจัดใหม กี ารฟง ธรรมตลอดคืนยงั รงุ เปน ตน มนุษยเ หลา น้ัน พวกทา นจะไมพึงอารักขาไดอยางไร.เพราะเหตุทมี่ นษุ ยพ วกใดทําพลกี รรมอทุ ิศพวกทา นท้งั กลางวนั ทั้งกลางคนื อยา งน้ี ฉะนน้ั พวกทา นโปรดรกั ษามนุษยพวกน้นั เถดิ . อธิบายวา ฉะนน้ั พวกทานจงคุมครองรักษามนษุ ยพวกน้นั คอื เปน ผูไ มประมาท ทาํ ความเปน ผูกตัญนู นั้ ไวในดวงใจ ระลกึ ถงึ อยูเ ปน นิตย จงนําส่ิงทไ่ี มเปนประโยชนเกอื้ กูลแกพ วกเขาออกไป จงนําเขาไปแตส ่งิ ทเี่ ปนประโยชนเ กอ้ื กลู . พรรณนาคาถาวา ยงกฺ ิญจิ พระผมู ีพระภาคเจา ครั้นทรงแสดงวามนษุ ยม ีอปุ การะในเทวดาทง้ัหลายอยา งน้ีแลว จึงทรงเรม่ิ ประกอบสัจจวจนะ. โดยนยั วา ยงฺกิ จฺ ิ วิตฺตดงั น้เี ปน ตน เพือ่ ทรงระงับอปุ ทวะของมนษุ ยเหลานนั้ และเพือ่ การฟง ธรรมของเทวดาและมนษุ ยท ้งั หลายดว ยการประกาศคณุ ของพระรตั นตรัยมีพระพทุ ธ-เจา เปนตน . ในสจั จวจนะน้นั บทวา ยงฺกิฺจิ ความวา ทา นยึดถือไมเหลือเลยโดยไมก าํ หนดไว คอื ส่งิ ใดสง่ิ หนึง่ ทค่ี วรทาํ การแลกเปลยี่ นไดใ นถน่ิ น้นั ๆ.บทวา วติ ตฺ  ไดแกท รัพย. จรงิ อยทู รพั ยนน้ั ชอ่ื วา วติ ตะ เพราะใหเกิดความปล้มื ใจ. ทรงแสดงมนุษยโลกดวยบทวา อธิ วา. ทรงแสดงโลกทเี่ หลือนอกจากมนษุ ยโลกนั้น ดว ยบทวา หรุ  วา. ดว ยสองบทนน้ั พงึ ทราบวากินความถงึ นาคและสุบรรณ เปนตน ท่ีเหลอื เวน มนษุ ยและเทวดาทง้ั หลายเพราะเม่อื พรอมทจ่ี ะถือเอาโลกทง้ั ปวง เวนมนษุ ยท้ังหลาย กไ็ ดตรสั ไวข า งหนาวา สคเฺ คสุ วา.

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 234ทรัพยเครือ่ งปลมื้ ใจอันใด สาํ หรับมนษุ ย ที่เปน ทรพั ยใชแลกเปลย่ี นและทใ่ี ชเปนเคร่อื งประดบั เครือ่ งบรโิ ภคและเครอ่ื งอปุ โภค มี ทอง เงนิ แกวมกุ ดา แกวมณี แกว ไพฑรู ย แกวประพาฬ แกวทบั ทมิ และแกวลายเปนตนและทรัพยเ ครือ่ งปลื้มใจอนั ใด สําหรับนาคและครุฑเปน ตน ท่อี บุ ัติในภพทัง้ หลาย อันกวางหลายรอยโยชนใ นวมิ านรตั นะ ณ ภาคพ้นื ดนิ ทล่ี าดดว ยทรายแกวมุกดาและแกวมณี ทรัพยเ คร่ืองปล้มื ใจอันน้ัน กเ็ ปน อนั แสดงแลว ดวยบททั้งสองนีด้ วยประการฉะน้ี.บทวา สคฺเคสุ วา ไดแก เทวโลกทีเ่ ปน กามาวจรและรปู าวจร.เทวโลกเหลา นนั้ ชือ่ วา สตั ตะ สวรรค เพราะดาํ เนินไป คอื ถงึ ได ดว ยกรรมอนั งาม. อีกอยา งหน่ึง ชื่อวา สคั คะ เพราะมีอารมณดีเลศิ . บทวา ยไดแ กท่มี ีเจา ของหรอื ไมมเี จา ของอนั ใด. บทวา รตน ไดแ ก ชอ่ื วา รัตนะเพราะนาํ พาใหเกดิ เพิ่มพนู ความยนิ ด.ี คําวา รัตนะ น้ี เปนชื่อของทกุ ส่ิงท่ที ําใหงดงาม มีคา มาก ช่งั ไมไ ด เห็นยาก และเปนของบริโภคใชสอยของสตั วผไู มต ่ําทราม เหมือนอยา งทที่ า นกลา วไววาจิตฺตีกต มหคฺฆฺจ อตุล ทลุ ลฺ ภทสสฺ นอโนมสตฺตปริโภค รตน เตน วุจฺจต.ิของทท่ี าํ ใหเขายําเกรง มีคา มาก ช่งั ไมไดเห็นไดยาก เปน เครอื่ งใชสอยของสัตวผ ูไ มต่ําทราม ดวยเหตนุ ั้น จงึ เรยี กวา รัตนะ.บทวา ปณตี  ไดแกสูงสดุ ประเสริฐสุด ไมนอ ยเลย นาเอบิ อาบใจรตั นะใด ในสวรรคทั้งหลายดงั น้ี แตวมิ านสธุ รรมสภา ไพชยนตปราสาทที่เปนรตั นะลวนขนาดหลายรอยโยชนมเี จา ของ และรตั นะใดทเี่ กย่ี วขอ งอยูใน

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 235วิมานอันวา งเปลาในสวรรคทงั้ หลาย ทท่ี ําอบายเทา นน้ั ใหเตม็ ปรี่ เพราะไมใ ชสมัยท่พี ระพุทธเจาเสดจ็ อบุ ตั ิ ไมม เี จาของ ก็หรอื วา รัตนะแมอ่นื ใด ท่ีอาศัยอยใู นพ้นื ดิน มหาสมทุ ร และภเู ขาหมิ วนั ต เปนตน ไมม เี จา ของ รัตนะอืน่น้นั กเ็ ปน อนั ทรงแสดงแลวดวยบทแหงคาถานี้ ดว ยประการฉะนี.้ ศพั ทวา น ในบทคาถาวา น โน สม อตฺถิ ตถาคเตน ลงในความปฏเิ สธ. ศัพทว า โน ลงในความหามความอ่ืน. บทวา สม ไดแ กเทยี บ. บทวา อตฺถิ แปลวา มอี ย.ู บทวา ตถาคเตน ไดแก ดวยพระ-พุทธเจา . ทา นอธิบายไวอ ยา งไร. อธบิ ายไวด งั น้ี ทรัพยเครอื่ งปลื้มใจและรัตนะ นั้นใด อันพระผูมพี ระภาคเจา ทรงประกาศไวแลว บรรดาทรพั ยเ ครอ่ื งปลม้ื ใจ และรตั นะนนั้ รตั นะแมแตสกั อยางหนง่ึ ซึ่งเสมอดว ยพทุ ธรตั นะไมมีเลย จรงิ อยู ทรพั ยเ ครอื่ งปลืม้ ใจแมน ้ันใด ชื่อวา รัตนะ เพราะอรรถวาทําใหเกิดความยําเกรง ทรพั ยเครอ่ื งปล้มื ใจน้นั คอื อะไร คอื จักรรัตนะและมณรี ัตนะของพระเจา จักรพรรดิ ซึ่งเม่ือเกดิ ข้นึ แลวมหาชนจะไมทาํ ความเคารพยาํ เกรงในท่ีอืน่ ใคร ๆ ถอื เอาดอกไมและของหอมเปน ตนแลว จะไมไ ปสถานของยักษหรือสถานของภตู ชนแมท ุกคน จะทําความเคารพยําเกรง บูชาเฉพาะจกั รรตั นะและมณีรัตนะเทา นนั้ ปรารถนาพรนนั้ ๆ และพรบางอยา งท่ีปรารถนาแลว ๆ ของเขากส็ ําเร็จผลได รัตนะแมน ัน้ เสมอดว ยพุทธรตั นะยอ มไมมี. ก็หากวา ทรัพยเ ครอื่ งปล้มื ใจชือ่ วา รตั นะ เพราะอรรถวา ทําใหเกิดความเคารพยาํ เกรง พระตถาคตเทานั้น กช็ ่ือวา รัตนะ. จรงิ อยูเมอื่ พระตถาคตเสด็จอบุ ตั แิ ลว เทวดาแลมนุษย ผูมศี กั ด์ิมาก ทุกหมูเหลาเทวดาและมนษุ ยเหลาน้นั ยอ มไมทาํ ความเคารพยําเกรงในรตั นะอ่นื ยอ มไมบูชารตั นะไร ๆ อ่นื . จริงอยา งนนั้ ทาวสหมั บดีพรหม กบ็ ชู าพระ

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 236ตถาคต ดวยพวงรตั นะขนาดเทา ภูเขาสิเนร.ุ และเทวดาเหลาอื่นและมนุษยทั้งหลายมพี ระเจาพิมพิสาร พระเจา โกศลและทา นอนาถบิณฑิกะ เปนตนก็บชู าตามกาํ ลัง. พระเจาอโศกมหาราชทรงสละพระราชทรัพย ๙๖ โกฏิทรงสรางวหิ าร ๘๔,๐๐๐ หลัง ทวั่ ชมพูทวปี อุทศิ ถวายพระผมู พี ระภาคเจาแมเสร็จปรินิพพานแลว . ก็จะปว ยกลา วไปไย สําหรบั หมคู นทเ่ี คารพยําเกรงเหลาอ่ืนเลา. อนง่ึ เมื่อพระพุทธเจาพระองคไร ๆ อื่น แมป รินพิ พานแลว การทาํ ความเคารพยําเกรง อุทศิ สถานท่ปี ระสตู ิ ทต่ี รสั รู ท่ีประกาศพระธรรมจกั รและสถานทีป่ รินพิ พาน หรือเจดีย คอื พรปู ฏมิ า [พระ-พทุ ธรูป กเ็ ปน ไปเหมอื นของพระผมู พี ระภาคเจา. รตั นะทีเ่ สมอดวยพระตถา-คต แมเพราะอรรถวา ทาํ ใหเ กดิ ความเคารพยําเกรง ยอ มไมมีดวยประการฉะน.้ี ทรพั ยเ คร่ืองปลม้ื ใจ แมน ั้นใด ชื่อวา รัตนะ เพราะอรรถวามคี า มากกเ็ หมอื นกนั ทรพั ยเคร่ืองปลม้ื ใจนั้น คืออะไร. คือ ผา แควน กาสี เหมือนอยา งทีพ่ ระผมู พี ระภาคเจา ตรสั วา ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย ผา แควนกาสแี มเกาก็ยงั มีสีสรร มีสัมผัสสบาย และมคี า มาก. ทรัพยเ ครอื่ งปลม้ื ใจแมน น้ั เสมอดว ยพุทธะรัตนะ ยอ มไมม .ี ก็หากวาทรัพยเคร่อื งปล้ืมใจ ชอื่ วา รตั นะ เพราะอรรถวา มีคา มาก. พระตถาคตเทา นน้ั ชอื่ วา รัตนะ จรงิ อยู พระตถาคตทรงรับแมบ งั สุกุลจีวรของชนเหลาใด ทานน้ันของชนเหลาน้นั ยอมมีผลมากมอี านิ-สงสม าก ท่งั น้ี ก็เพราะพระตถาคตนน้ั มคี ามาก. ดวยคํากลาวถงึ ขอ ทพ่ี ร-ตถาคตทรงมีคามากอยางน้ี พึงทราบบทแหง พระสตู ร ท่ีสาธกความไมมีโทษในขอน้ดี ังนี้วา ตถาคตนั้น รบั จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะและ คิลานปจจยั เภสชั บริขารของตนเหลา ใด ทานน้ันของ ชนเหลานน้ั ยอมมีผลมาก มอี านิสงสม าก เรากลาว

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 237 ดงั น้กี ็เพราะพระตถาคตนน้ั มีคา มาก ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย เปรยี บเหมือนผาแควนกาสนี ้ัน มคี ามาก แมฉันใด เรากก็ ลา ววา บคุ คลนี้มอี ุปมาฉนั น้นั .รตั นะเสมอดวยพระตถาคต แมเ พราะอรรถวามีคา มาก ยอ มไมมดี ว ยประการฉะนี้. ทรพั ยเคร่ืองปลมื้ ใจ แมนน้ั ใด ช่ือวา รัตนะ เพราะอรรถวา ช่งั ไมไดกเ็ หมอื นกัน. ทรัพยเครื่องปล้ืมใจนนั้ คืออะไร คือ จักรรตั นะ ของพระเจาจักรพรรดมิ ดี ุมเปนมณอี นิ ทนิล มีซ่เี ปนรัตนะ ๗,๐๐๐ ซ่ี มกี งแกว ประพาฬมีทตี่ อ เปน ทองสแี ดง เกิดข้นึ ซง่ึ ซ่กี าํ เกลี้ยงวางบนซีท่ กุ สิบซ่ี รบั ลมแลว จะทาํเสียงเปนเหมอื นเสยี งดนตรเี ครอ่ื ง ๕ ท่ีผชู ํานาญบรรเลงแลว ทัง้ สองขางของดมุ มีหนา ราชสีหส องหนา ขางในลอรถมีรู ไมม ีคนทาํ หรือคนใหท าํ มันตง้ั ขนึ้ แตอ ุตุ มีกรรมเปน ปจจัย ซ่ึงพระราชาทรงบาํ เพญ็ จกั รวรรดวิ ตั ร ๑๐ประการแลว วันอโุ บสถ ๑๕ คํ่า ทรงสนานพระเศยี รแลว ทรงถืออุโบสถเสด็จขึ้นบนพระมหาปราสาท ทรงชาํ ระศีล ประทบั น่งั แลวจะทอดพระเนตรเหน็ จกั รรัตนะปรากฏขนึ้ เหมอื นดวงจันทรเพ็ญและดวงอาทิตย จะทรงไดยนิเสยี งมาดังแต ๑๒ โยชน เหน็ สสี รรมาแต ๓ โยชน ซง่ึ มหาชนแลเห็นจะพากันแตกตน่ื อยางเหลือเกนิ วา ชรอยดวงจันทรห รือดวงอาทิตยด วงที่ ๒ เกดิข้ึนแลว แลนมาเหนือพระนคร ไมส งู นัก ไมตาํ่ นัก ทางดานทศิ ตะวันออกภายในพระราชนเิ วศนแลว หยดุ อยูเ หมอื นเพลาหกั ในทท่ี ม่ี หาชนควรบชู าดวยของหอมและดอกไมเปนตน. หัตถิรตั นะ ชางแกวก็เกดิ ขึน้ ตดิ ตามจักรรัตนะนัน้ น่ันแล คอื ชางเผอื กปลอด เทาแดง มกี ําลัง ๗ ชา งสาร มฤี ทธิ์ไปทางอากาศได มาจากชา ง

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 238ตระกลู อุโบสถกม็ ี จากตระกูลชางฉทั ทันตก ็มี ถามาจากตระกลู อโุ บสถกเ็ ปนพ่ีของชา งท้งั หมด ถา มาจากตระกลู ฉัททนั ต ก็เปนนอ งของชา งทงั้ หมด มกี ารศึกษาท่ีศึกษาแลว ฝกมาแลว ชางน้นั พาบรษิ ทั ประมาณ ๑๒ โยชน ตระเวนท่ัวชมพูทวีป ไปแลวกลับมาเอง กอนอาหารเชา น่ันแล. อสัสรัตนะ กเ็ กิดตดิ ตามหัคถริ ตั นะแมน ั้นนน่ั แล คอื มาขาวปลอดเทา แดง ศรี ษะดังกา มผี มดงั หญามงุ กระตา ย มาจากดระกลู พระยามาพลาหก.ในขอนี้ คาํ ทเ่ี หลอื ก็เชน เดยี วกับหัตถริ ตั นะนัน่ แหละ. มณรี ตั นะ กเ็ กดิ ติดตามอสั สรัตนะแมน้ัน มณนี ้ันเปนแกวไพฑูรยงามโดยธรรมชาติ แปดเหลยี่ ม เจียระไนอยา งดี โดยยาวก็เสมอื นดุมแหง จักรมาจากเวปลุ ลบรรพต มณนี น้ั ยามมดื แมท่ีประกอบดวยองค ๔ อยูถึงยอดธงของพระราชา กส็ อ งแสงสวางไปตัง้ โยชน ซ่งึ โดยแสงสวาง พวกมนษุ ยส ําคญัวากลางวัน กป็ ระกอบการงาน มองเหน็ โดยที่สุดแมกระทั่งมดดํามดแดง. อิตถีรัตนะ กเ็ กดิ ตดิ ตามมณรี ัตนะแมน้ันแล คอื สตรีทเ่ี ปนพระอคั ร-มเหสโี ดยปกตหิ รอื มาจากอตุ ตรกุรุทวีป หรอื จากราชตระกูลมัททราช เวนจากโทษ ๖ มีสูงเกินไปเปน ตน ลว งวรรณะของมนุษย แตไ มถ งึ วรรณะทพิ ย ซึ่งสาํ หรบั พระราชา กจ็ ะมีกายอุนเมอื่ ยามเย็น จะมกี ายเยน็ เม่อื ยามรอ น มีสมั ผสัเหมอื นปุยนุน ทช่ี แี ลว ๗ ครัง้ กลิน่ จนั ทนจ ะโชยออกจากกาย กล่นิ อุบลจะโชยออกจากปาก และเปน ผูประกอบดวยคุณสมบตั ิเปน อนั มาก มีตนื่ กอ นเปนตน . คหปตรตั นะ กเ็ กดิ ตดิ ตามอติ ถีรัตนะแมน้นั แล กค็ อื เศรษฐี ผูทําการงานโดยปกตขิ องพระราชา ซึ่งพอจักรรัตนะเกิดขน้ึ กป็ รากฏทพิ ยจกั ษุเห็นขมุ ทรพั ยไ ดประมาณโยชนหนึง่ โดยรอบ ทั้งท่ไี มม ีเจา ของ ทัง้ ทม่ี ีเจา ของกเ็ ขาเฝาพระราชาทลู ปรารถนาวา ขาแตเ ทวราช ขอพระองคโ ปรดทรงวาง

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 239พระราชภาระกจิ เถดิ ขา พระบาทจกั ทาํ กิจทคี่ วรทําเกย่ี วกับทรัพยส นิ ของพระองคเองพระเจา ขา. ปริณายกรัตนะ ก็เกิดติดตามคหปตริ ัตนะแมน ้ันแลโดยปกติ ก็คอืพระเชษฐราชโอรสของพระราชา พอจกั รรตั นะเกดิ ข้ึน กเ็ ปน ผปู ระกอบดว ยปญ ญาความฉลาดอยางเหลือเกิน สามารถกาํ หนดรจู ิตใจของบริษัทประมาณ๒ โยชน ดว ยใจคนแลว ทําการนิคคหะลงโทษและปค คหะยกยอง ปริณายกนั้น กเ็ ขา เฝาพระราชาทลู ปรารถนาวา ขาเเตเ ทวราช ขอพระองคโ ปรดทรงวางพระราชภาระเถดิ ขาพระบาทจักบรหิ ารราชการแผน ดินของพระองคเ องพระ-เจาขา . กห็ รอื วา ทรัพยเครื่องปลืม้ ใจแมอันใด เหน็ ปานเปน ชอ่ื วา รัตนะเพราะอรรถวา ชงั่ ไมได ทรัพยเ คร่ืองปล้มื ใจอนั ใด ไมสามารถพินิจพิจารณาราคาวา มคี า รอยหนงึ่ พันหน่ึง หรือโกฏหิ นง่ึ ในทรัพยเคร่ืองปลม้ื ใจนัน้แมรตั นะสักอยา งหนงึ่ ซึ่งเสมอดวยพุทธรตั นะ ไมมีเลย หากวา ทรพั ยเครือ่ งปล้ืมใจ ชอื่ วารัตนะ เพราะอรรถวาชง่ั ไมได พระตถาคตเทานน้ั ช่ือวารตั นะ.จรงิ อยูพระตถาคตใครๆ กไ็ มสามารถพินิจพิจารณาโดยศีล โดยสมาธหิ รอื โดยบรรดาปญ ญาเปนตนอยางใดอยางหนงึ่ แลวกาํ หนดวา ทรงมีพระคณุ เทา นี้ ทรงเสมอ หรือเทยี บเคยี งกบั ผูนี้ รัตนะเสมอดว ยพระตถาคต แมเ พราะอรรถวาชั่งไมได ไมมีเลย ดวยประการฉะนี.้ ทรัพยเ ครอ่ื งปลมื้ ใจแมน ้นั ใด ช่อื วา รัตนะ เพราะอรรถวา เห็นไดยาก ก็เหมือนกนั . ทรัพยเครอ่ื งปลมื้ ใจน้ี กค็ อื ความเปนของปรากฏไดย ากไดแก พระเจา จักรพรรดิ และรัตนะ ๗ ประการของพระเจาจักรพรรดนิ ัน้รตั นะแมน้นั ทีเ่ สมอดว ยพุทธรตั นะไมม .ี ก็หากวา ทรพั ยเ ครอ่ื งปลื้มใจ ชือ่ วารัตนะ เพราะอรรถวา เห็นไดยากไซร พระตถาคตเทา นั้น ชือ่ วา รตั นะ.ความเปน รัตนะของพระเจา จกั รพรรดิเปนตน จักเห็นไดย ากมาแคไ หนเลา.

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 240จริงอยูร ตั นะเหลานั้น ยอ มเกิดขน้ึ เปนอนั มาก ในกัปเดียวเทา น้นั แตเพราะเหตุท่โี ลกตอ งวา งเปลาจากพระตถาคตนบั เปนอสงไขยกัป ฉะน้ัน พระตถาคตเทานนั้ ชอ่ื วา เห็นไดย าก เพราะเกิดขึน้ บางครงั้ บางคราว. สมจริงดงั ที่พระผมู ีพระภาคเจาตรสั ไวในสมยั ปรินิพพาน* ดังนวี้ า ดกู อ นอานนท เทวดาท้งั ทลายกลา วโทษวา พวก เราพากันมาแตไกล หมายจะเฝาพระตถาคต เพราะ พระตถาคตอรหันตสัมมาสมั พุทธเจา เสดจ็ อุบัติในโลก ในกาลบางครัง้ บางคราว วันนน้ี ีแ่ หละ ยามทา ยแหง ราตรี พระตถาคตกจ็ ักเสดจ็ ปรินพิ พาน แตภ ิกษผุ ูมี ศักด์ิมากรูปน้ี ยืนอยูเบอ้ื งพระพักตรพระผูมพี ระภาค เจา กีดขวางอยู พวกเราไมไ ดโอกาสจะเฝา พระตถาคต รตั นะท่เี สมอดวยพระตถาคต แมเ พราะอรรถวาเหน็ ไดยากยอมไมมีดวยประการฉะนี้ ทรพั ยเครอื่ งปลม้ื ใจแมนั้นไดช่ือวา รตั นะ เพราะอรรถวา เปน เครอ่ื งบริโภคใชส อยของสัตวผูไมต าํ่ ทราม ก็เหมอื นกนั . ทรพั ยเคร่อื งปลื้มใจนัน้คอื อะไร คอื รัตนะเปนตน ของพระเจาจกั รพรรดิ. จริงอยู รัตนะนน้ัไมใ ชบ งั เกิด เพอ่ื เปนเคร่อื งบริโภค แมด ว ยความฝน ของบุรุษตา่ํ ทรามผมู ีตระกูลต่ํา เชนคนจัณฑาล ชางจักสาน พราน ชางรถ และ คนเทขยะเปน ตน ซึง่ มที รัพยต้ังแสนโกฏกิ ด็ ี อยูบนมหาปราสาท ๗ ชน้ั ก็ดี แตเ ปนเคร่อื งบริโภคของสัตวผ ไู มต า่ํ ทราม เพราะบงั เกดิ เพอื่ เปน เคร่ืองบรโิ ภคของพระราชามหากษตั รยิ  ผูเปน อภุ โตสุชาติ บําเพญ็ จกั รวรรดวิ ัตร ๑๐ ประการบริบูรณ แมรัตนะนั้น ท่เี สมอกับพุทธรตั นะ ไมมีเลย. กห็ ากวา ทรัพยเคร่อื ง๑ ท่ี. มหา. ๑๐/ขอ ๑๓๐

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 241ปลื้มใจ ชื่อวา รตั นะ เพราะอรรถวาเปน เครื่องบริโภคของสตั วผ ูไมตาํ่ ทรามไซร พระตถาคตเทานัน้ ชื่อวา รัตนะ. จริงอยู พระตถาคต มใิ ชเปน เคร่อื งบริโภคแมดวยความฝน ของครทู งั้ ๖ มบี ูรณกสั สปเปน ตน ซง่ึ สมมตกิ นั วาเปนสตั วตาํ่ ทราม ผูไ มถ ึงพรอมดว ยอปุ นิสสยั มีทสิ สนะอันวปิ ริต และของสัตวเหลา อนื่ เหน็ ปานน้ัน แตเปนเครื่องบริโภค ของเหลาทานผูถงึ พรอ มดว ยอุปนิสสยั ผสู ามารถบรรลพุ ระอรหตั เมื่อจบคาถาแม ๔ บท ผมู ญี าณทสั สนะทําลายกิเลส มที านพระพาหิยทารจุ รี ยิ ะเปนตน และของพระมหาสาวกทัง้ หลายอ่นื ๆ ผูเปนบตุ รของตระกลู ใหญ จรงิ อยู เหลา สตั วผ ไู มตํา่ ทรามเหลานั้นเมือ่ ยังทัลสนานตุ ตริยะ สวนานุตตรยิ ะ และปาริจรยิ านุตตรยิ ะเปน ตน ใหส าํ เรจ็ชอื่ วา บรโิ ภคใชส อยพระตถาคต. รัตนะทีเ่ สมอดว ยพระตถาคต แมเ พราะอรรถวา เปนเคร่อื งบริโภคของสัตวผ ไู มต ํ่าทรามไมมีเลย ดว ยประการฉะน้ี. ทรัพยเ ครื่องปลื้มใจแมน ้ันใด โดยไมว เิ ศษชอื่ วารัตนะ เพราะอรรถวา ใหเกิดความยินดี ทรัพยเ ครอื่ งปล้มื ใจน้ัน คืออะไร คือจักรรตั นะของพระเจาจกั รพรรด.ิ จริงอยู พระเจาจกั รพรรดิ ทรงเหน็ จักรรตั นะแมน นั้ แลวกท็ รงดีพระราชหฤทัย จักรรตั นะนน้ั นําความยนิ ดมี าใหแ กพระราชา แมดว ยประการฉะน้ี. อกี อยา งหนงึ่ พระเจา จกั รพรรดิ ทรงจับพระสวุ รรณภิงคารดวยพระหตั ถซา ย ทรงประพรมดวยพระหัตถขวา มพี ระราชโองการวา จักรรัตนะจงดําเนินไป จักรรัตนะ จงมชี ยั ชนะ. แตน ้ัน จักรรัตนะกเ็ ปลงเสยี งไพเราะดงั ดนตรเี คร่อื ง ๕ เหาะไปทศิ บรู พา. พระเจาจกั รพรรดิ ทรงยกจตุรงคเสนาแผก วา งประมาณ ๑๒ โยชนต ดิ ตามไป ดว ยอานภุ าพของจกั รรตั นะ ไมสูงนักไมต่ํานัก ภาคพ้นื ดนิ อยา งตา่ํ แคตนไมส งู อยางสงู แคต นไมต่าํ ทรงรับเครือ่ ง

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 242บรรณาการจากมอื ของพวกทีถ่ ือบรรณาการ มีดอกไม ผลไมแ ละหนอไมใ นตนไมเ ปน ตน ถวาย ฝายพระราชาทีเ่ คยเปนปฏิปกษ ทมี่ าเฝาดว ยความเคารพนบนอบอยา งยิ่งวา ขอเชญิ เสดจ็ มาเถดิ พระมหาราชเจา กท็ รงอนศุ าสนส ัง่สอนโดยนัยวา ไมค วรฆา สัตวม ีชวี ิต ดังนี้เปน ตน จงึ เสด็จไป. ก็ในท่ใี ดพระราชามพี ระราชประสงคจะเสวย หรอื ประสงคจะบรรทมกลางวัน ในที่นั้นจักรรตั นะก็จะลงจากอากาศแลวหยดุ อยเู หมอื นเพลาหกั ณ พ้ืนดนิ ทรี่ าบเรยี บเหมาะแกก จิ ทกุ อยา ง มีกิจเกยี่ วกบั นํ้าเปน ตน เมอ่ื พระราชาเกิดจติ คดิ จะเสดจ็ไปอีก จักรรตั นะกก็ ระทําเสียงโดยนยั กอ นนนั่ แล จงึ แลนไป. ฝายบริษัท[ขบวนทัพ] ขนาด ๒ โยชน ไดยนิ เสยี งนัน้ ก็พากนั เหาะไป. จกั รรัตนะลงสูมหาสมทุ รทิศบูรพาโดยลําดบั เมือจกั รรตั นะนัน้ ลงสมทุ รน้าํ กห็ ดตัวไปประมาณโยชนหน่งึ หยดุ นิง่ เหมือนทําความจงรกั ภักด.ี มหาชนก็ถอื รตั นะท้งั๗ ตามความตองการ พระราชาทรงจบั สวุ รรณภิงคารอกี ทรงประพรมดวยนํา้ วา ราชกจิ ของเราดําเนนิ ตง้ั ตนแตน้ไี ป แลวเสดจ็ กลับ . กองทัพอยูขา งหนาจกั รรัตนะอยขู า งหลัง พระราชาอยูกลาง. น้ําเขา เต็มที่ตลอดสถานที่จักรรตั นะถอนตัวไป. จักรรตั นะก็ไปในสมุทรดานทิศทกั ษิณ ทศิ ปศฉิม และทศิ อดุ รโดยอุบายนนี้ ี่แล. จักรรัตนะตระเวนไปตลอด ทศิ อยา งนีแ้ ลว กข็ ้นึ สอู ากาศประมาณ๓๐๐ โยชน. พระราชาประทับยนื บนจกั รรัตนะนั้น ทรงพชิ ติ ชัยชนะดวยอานภุ าพจักรรตั นะ ทรงตรวจดจู ักรวาลหนึ่ง ซงึ่ ประดบั ดว ยทวปี ใหญ ๔ ทวปีและทวีปนอ ย ๒,๐๐๐ ทวีป เหมอื นสวนบัวบุณฑรกิ ที่บานเตม็ ท่แี ลว อยางน้ีคอื บุพพวิเทหทวปี ประดับดว ยทวีปนอ ย ๕๐๐ ทวีป มปี รมิ ณฑล ๗,๐๐๐โยชน อุตตรกรุ ุทวีปกเ็ หมือนกัน มีปริมณฑล ๘,๐๐๐ โยชน อปรโคยาน-

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 243ทวปี มปี รมิ ณฑล ๗,๐๐๐ โยชนเ หมอื นกนั และชมพทู วปี มีปริมณฑล๑,๐๐๐ โยชน. พระเจาจักรพรรดพิ ระองคน ้ัน กาํ ลงั ทรงตรวจดูอยา งน้ี ก็ทรงเกิดความยนิ ดมี ิใชนอ ยเลย จกั รรัตนะน้นั ใหเกดิ ความยนิ ดแี กพ ระราชาแมดวยอาการอยางน้.ี จกั รรตั นะแมนัน้ ทีเ่ สมอดว ยพุทธรตั นะ หามไี ม.ก็หากวา ชอ่ื วา รตั นะ เพราะอรรถวา ใหเ กดิ ความยนิ ดีไซร พระตถาคตเทาน้นั ชือ่ วา รตั นะ จกั รรตั นะอยางเดียว จกั ทําอะไรได. จรงิ อยู ความยนิ ดใี นจกั รวรรดิ ทีร่ ตั นะแมท กุ อยา งมีจกั รรัตนะเปนตนทาํ ใหเ กิด ก็ยงั ไมนับไมเทา เส้ยี ว แมส ว นของความยนิ ดี ทีเ่ ปนทรพั ยอันใด พระตถาคตทรงทําใหเ กิดความยนิ ดีในปฐมฌาน ความยินดีในปรมฌาณทตุ ิยฌาน ตตยิ ฌาน จตุตถฌาน และปญ จมฌาน ความยนิ ดีในอากาสานัญ-จายตนฌาน วิญญาณญั จายตนฌาน อากญิ จัญญายตนฌาน และเนวสญั ญานาสญั ญายตนฌาน ความยนิ ดใี นโสดาปต ตมิ รรค ความยินดีในโสดาปตตผลและสกทามิมรรค สกทาคามผิ ล อนาคามิมรรค อนาคามผิ ล อรหัตมรรคและอรหตั ผลแกเทวดาและมนษุ ย นับจํานวนไมไ ด ผรู บั สนองพระโอวาทของพระองค. ยิ่งกวา ประณตี กวา ความยินดีแมอ นั น้ัน รตั นะเสมอดว ยพระตถาคต แมเพราะอรรถวา ใหเ กิดความ ยนิ ดี ไมม ดี ว ยประการฉะนี.้ อนึง่ ธรรมดารตั นะน้ีมี ๒ อยาง คอื สวิญญาณกรัตนะ และอวญิ ญาณกรตั นะ. บรรดารัตนะทั้งสองนั้น อวิญญาณกรตั นะ ไดแ กจกั รรัตนะ และมณีรตั นะ กห็ รือรัตนะแมอ ื่นใด มีทองและเงนิ เปนตน ที่เก่ยี วเนอื่ งดวยอนินทรยี , สวิญญาณกรัตนะ ไดแ ก รัตนะมีหตั ถริ ัตนะเปน ตน มีปริณายกรัตนะเปน ทีส่ ดุ ก็หรอื วา รัตนะแมอนื่ ใดเปนปานนั้น ทเี่ กี่ยวเนอ่ื งดว ยอินทรีย. เมื่อเปนดังนั้น ในรตั นะทั้งสองอยา ง สวญิ ญาณกรตั นะกลาว

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 244กันวาเปน เลิศ ในขอนี้. เพราะเหตไุ ร. เพราะเหตุวา รตั นะมีทอง เงนิแกวมณี แกว มุกดาเปนตน ถกู นาํ เขาไปใชเ ปน เครือ่ งประดับของหัตถริ ตั นะเปนตน ท่เี ปนสวญิ ญาณกรตั นะ. แมสวิญญาณกรัตนะ ก็มี ๒ อยา ง คอื รัตนะที่เปนสัตวเ ดียรฉานและรัตนะทเ่ี ปนมนุษย. บรรดาสวิญญาณกรตั นะ ๒ อยางน้ัน รตั นะท่เี ปนมนุษยกลา วกนั วา เปน เลศิ . เพราะเหตไุ ร. เพราะเหตุวา รัตนะทเ่ี ปน สัตวเดยี รจั ฉาน ยอ มเปน พาหนะของรตั นะทเี่ ปนมนุษย. แมม นสุ สรัตนะก็มี ๒ อยา งคืออิตถีรัตนะ และปรุ ิสรตั นะ. บรรดามนุสสรัตนะท้ังสองนน้ั ปรุ สิ รตั นะกลาวกันวาเปนเลศิ . เพราะเหตุไร เพราะเหตวุ า อติ ถีรตั นะตองเปน บรจิ ารกิ าของปรุสรัตนะ. แมป รสิ รัตคนะก็มี ๒ คอื . อนคาริกรตั นะ และอนคารกิ รตั นะบรรดาปรุ สิ รัตนะทง้ั ๒ นัน้ . อนคารกิ รัตนะ กลา วกนั วาเปน เลิศ. เพราะเหตุไร เพราะเหตุวา ในอคารกิ รตั นะ แมพระเจา จักรพรรดิเปน เลศิ ก็ยังไหวอนคารกิ รตั นะ. ผกู อปรดว ยคณุ มศี ลี เปนตน ดวยเบญจางคประดษิ ฐ บาํ รงุนง่ั ใกล ประสบสมบตั ทิ เี่ ปน ทิพยแ ละมนุษย บรรลุนิพพานสมบตั ใิ นที่สุด เม่ือเปน ดงั น้ัน แมอนคารกิ รัตนะ ก็มี ๒ อยาง คือ อริยรัตนะและปุถชุ นรัตนะ. แมอรยิ รตั นะ ก็มี ๒ อยาง คอื เสขรตั นะ และอเสขรตั นะ แมอ เสขรัตนะ ก็มี ๒ อยา ง คือ สุกขวิปสสกรตั นะ และสมาถยานกิ รัตนะ. แมสมถยานกิ รตั นะ ก็มี ๒ อยาง คอื ทีบ่ รรลุสาวกบารมี และไมบรรลุ.

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 245 บรรดาสมถยานกิ รตั นะทงั้ สองน้นั สมถยานิกรตั นะที่บรรลสุ าวกบารมีกลาวกันวาเปน เลศิ เพราะเหตุไร. เพราะเหตวุ า มีคณุ มาก. ปจเจกพุทธ-รัตนะ กลาวกันวา เปนเลศิ แมก วา สาวกปารมปี ต ตรตั นะ. เพราะเหตไุ ร.เพราะเหตุวา มีคณุ มาก. พระสาวกหลายรอย แมเชนทานพระสารบี ุตร ทานพระโมคคัลลานะ กไ็ มถึงแมสวนรอยแหงคุณทั้งหลายของพระปจเจกพทุ ธเจาองคเ ดยี ว. สมั มาสัมพทุ ธรตั นะ กลา วกนั วาเปนเลิศ แมกวา ปจ เจกพทุ ะรัตนะเพราะเหตุไร เพราะเหตวุ า มคี ณุ มาก. กห็ ากวา พระปจ เจกพุทธเจา ท้งั หลายนั่งขัดสมาธเิ บยี ดกนั ทั่วทั้งชมพูทวีป กไ็ มเทา ไมเทา เสย้ี ว ไมเ ทาสว นเสี้ยวแหง พระคณุ ทง้ั หลายของพระสมั มาสัมพทุ ธเจา พระองคเ ดยี ว. สมจรงิ ดังท่ีพระผูมพี ระภาคเจาตรัสไวด ังน้ีวา ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย สตั วท้งั หลายไมเทา หรือ ฯลฯ พระตถาคตกลา วกันวา เปนเลิศแหงสตั วเหลานัน้เปนตน. รตั นะทเี่ สมอดว ยพระตถาคต ไมมเี ลย โดยปรยิ ายบางอยา ง ดวยประการฉะนี้. ดว ยเหตุนั้น พระผูมพี ระภาคเจา จึงตรยั วา น โน สม อตถฺ ิตถาคเตน รัตนะท่ีเสมอดวยตถาคตไมมเี ลย. พระผูม ีพระภาคเจา ครั้นตรัสความท่ีพระพทุ ธรัตนะ อนั รัตนะอื่น ๆเปรยี บไมไ ดอยา งน้แี ลว บัดน้ี เพื่อระงับอปุ ท วะทเ่ี กิดแกสัตวเ หลา นนั้ ไมทรงอาศยั ชาติ ไมทรงอาศัยโคตร ไมท รงอาศัยความเปน กลุ บุตร ไมทรงอาศยั ความเปนผมู วี รรณะงามเปน ตน หากแตท รงอาศยั ความทพี่ ระพทุ ธรตั นะไมม ีอะไรเทยี บเทียมไดดว ยคุณทัง้ หลาย มศี ีลขันธแ ละสมาธขิ นั ธเปนตน ในโลกที่มีอเวจเี ปน ตน มภี วคั คพรหมเปน ที่สดุ จึงทรงประกอบสจั จวจนะวา

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 246อิทมปฺ  พทุ เฺ ธ รัตน ปณีต เอเตน สจฺเจน สุวตฺถิ โหตุ แมอนั น้ีก็เปนรตั นะอันประณตี ในพระพุทธเจา ดว ยคาํ สัตยน้ี ขอความสวัสดจี งมี ดังนี้ สจั จวจนะนั้น มคี วามดงั นี้วา ความท่พี ระพุทธเจา ไมม ใี ครเทียบไดโดยพระคุณทง้ั หลายนั้น ๆ กบั ทรพั ยเครือ่ งปลืม้ ใจหรือรตั นะทุกอยา งทีม่ ีในโลกน้หี รอื โลกอน่ื หรือในสวรรคท งั้ หลายแมอ นั น้ี ช่ือวาเปน รัตนะอนั ประณตีในพระพุทธเจา ก็หากวา ขอนเ้ี ปน สัจจะไซร เม่ือเปนดังนัน้ ดวยสัจจะน้ีขอความสวสั ดจี งมี ขอความท่สี งิ่ ดงี ามท้ังหลายมีอยู ความไมมีโรค ความปราศจากอุปท วะ จงมแี กส ตั วเหลานี้. ก็ในขอ น้ี พงึ ทราบความวา รตั นะประณตี ไดแก ความเปน รตั นะประณตี คือภาวะทพี่ ระพุทธเจาเปนรัตนะประณีต เหมือนความทวี่ า เพราะเปน ตน หรอื เพราะเน่ืองอยกู บั ตน นี้ประโยคเปน ตน อยา งน้วี า จกฺขุ โข อานนทฺ สุฺ อตเฺ ตน วา อตตฺ นเิ ยนวา ดกู อ นอานนท จักษุแลวา งเปลา จากตน หรือจากสง่ิ ที่เน่อื งอยูก บั ตน.จรงิ อยู นอกจากนี้ จกั ษกุ เ็ ปน อันปฏเิ สธไมไดว า ตน หรอื ส่ิงท่เี นอ่ื งอยูกบั ตนฉะนนั้ . แทจรงิ โดยประการนอกจากนี้ พระพทุ ธเจายอ มไมส าํ เรจ็ เปน รัตนะดว ยวา รตั นะไมมีอยใู นส่งิ ใด สิง่ น้นั ก็ยอ มไมส ําเร็จเปน รตั นะ. แตว า รตั นะที่เก่ียวพนั โดยวิธีไร ๆ ก็ตาม ทน่ี ับวาเปน ประโยชน มีผคู นทาํ ความเคารพยาํ เกรงเปนตน มีอยใู นส่งิ ใด เพราะเหตุทสี่ ่งิ นั้น ทานมุงหมายเอาความเปนรตั นะ จงึ บญั ญตั ิวารัตนะ ฉะนน้ั พระพุทธเจา จึงสําเรจ็ วา รัตนะ เพราะรตั นะนัน้ มีอย.ู อีกนัยหน่งึ บทวา อทิ มฺป พุทเฺ ธ รตน ปณตี  พงึ ทราบความอยา งนวี้ า พระพทุ ธเจา เปน รัตนะ โดยประการแมน ้ี. พอพระผูมพี ระภาคเจาตรสั พระคาถา ความสวัสดกี เ็ กดิ แกร าชสกุล ภัยกร็ ะงับไป พวกอมนษุ ยในแสนโกฏจิ ักรวาล ก็พากนั ยอมรบั พุทธอาชญาแหงพระคาถาน้ีแล.

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 247 พรรณนาคาถาวา ขย วริ าค พระผมู ีพระภาคเจา ครัน้ ตรสั สัจจวจนะอยา งน้แี ลว บัดนจี้ งึ ทรงเร่ิมตรสั วา ขย วิราค เปน ตน . ในคํานั้น เพราะเหตทุ ่กี ิเลสทั้งหลายมีราคะเปนคนหมดสิ้นไป เพราะทาํ ใหแจงพระนิพพาน หรอื เพราะเหตุทพี่ ระนิพพานน้นั พอกเิ ลสเหลา น้นั สน้ิ ไป โดยดับไมเ กดิ และเพราะเหตทุ ี่พระนิพพานนน้ัไมประกอบดว ยกิเลสมรี าคะเปน ตน โดยความประจวบ และโดยอารมณห รอืเพราะเหตุทีเ่ ม่อื บุคคลทาํ ใหแ จงพระนพิ พานนน้ั แลว กิเลสท้งั หลายมรี าคะเปนตน กค็ ลายออกไปสิ้นเชงิ ปราศจากไป ถูกกาํ จัดไป ฉะน้นั พระนพิ พาน ทา นจึงเรยี กวา ขยะ วา วิราคะ แตเพราะเหตทุ ี่พระนพิ พานนน้ั ความเกิดไมปรากฏ ความเสอ่ื มไมป รากฏ ความที่จติ แปรปรวนไมมี ฉะน้นั พระนิพ-พานนั้น ทานจึงทาํ วาไมเกดิ ไมแ ก ไมตาย เรยี กวา อมตะ แต [ในท่นี ]้ีทา นเรยี กวา ประณตี เพราะอรรถวา สูงสุด และเพราะอรรถวา ไมอิ่ม.บทวา ยทชฌฺ คา ไดแก บรรลุ พบ ไดก ระทาํ ใหแ จง ดวยกําลงั ญาณของตน ซง่ึ พระนิพพานนน้ั . บทวา สกฺยมุนี ไดแก ช่อื วา ศากยะเพราะทรงเปน โอรสของสกลุ ศากยะ ช่อื วา มนุ ี เพราะประกอบดว ย โมเนยยธรรมมนุ คี ือศากยะ ชอ่ื วา พระศากยมนุ .ี บทวา สมาหโิ ต ไดแก ผูมีจติ ตง้ัม่นั แลว ดว ยสมาธิเปน อรยิ มรรค. บทวา น เตน ธมฺเมน สมตถฺ ิกิฺจิ ความวา ธรรมชาติไร ๆ ท่ีเสมอดวยธรรมท่พี ระศากยมุนีทรงบรรลุแลว มีนามวา ขยะ เปนตนนน้ั ไมม .ี เพราะฉะนัน้ แมในพระสตู รอืน่ พระผูมีพระภาคเจากต็ รสั ไวเปนตน วา ดกู อนภิกษุท้ังหลาย ธรรมทัง้ หลายไมว า เปนสงั ขตะหรืออสงั ขตะ เพียงใด วิราคธรรม ทา นกลา ววา เปน ยอดของธรรมเหลานั้น.

พระสุตตันตปฎก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 248 พระผมู พี ระภาคเจา ครั้นตรัสความทน่ี ิพพานธรรมอันธรรมอน่ื ๆเทยี บไมไ ดอ ยา งน้ีแลว บัดน้ี เพือ่ ระงับอุปทวะท่ีเกิดแกส ตั วเหลา นัน้ ทรงอาศยั ความท่ีรัตนะ คอื นิพพานธรรม ไมมธี รรมอน่ื จะเหมือน ดวยคณุ ทั้งหลายคือความเปนธรรมเปนทสี่ ้ินกเิ ลส สํารอกกเิ ลส เปนอมตธรรมและธรรมอันประณตี จงึ ทรงประกอบสจั จวจนะวา อิทมปฺ  ธมเฺ ม รตน ปณตี  เอ-เตน สจเฺ จน สวุ ตถฺ ิ โหตุ แมอ ันน้ีก็เปนรตั นะอนั ประณตี ในพระธรรมดว ยสัจจวจนะนี้ ขอความสวสั ดี จงมี. ความของสัจจวจนะนั้น พงึ ทราบตามนยั ที่กลา วมาแลว ในคาถาตน นนั่ แล. พวกอมนุษยใ นแสนโกฏิจักรวาล กพ็ ากันยอมรบั พทุ ธอาชญาแหงพระคาถาแมน้แี ล. พรรณนาคาถาวา ยมพฺ ุทฺธเสฏโ  พระผมู ีพระภาคเจา คร้ัน ตรสั สจั จวจนะ ดวยคณุ แหง นพิ พานธรรมอยา งนแ้ี ลว บดั น้ี จงึ ทรงเรม่ิ ตรัสดวยพระคณุ แหง มรรคธรรมวา ยมพฺ ทุ ฺธ-เสฏโ  เปน ตน. ในคาํ นั้น ชื่อวา พทุ ธะ โดยนัยเปน ตน วา ตรสั รสู ัจจะท้งั หลาย. ชอื่ วา เสฏฐะ เพราะเปนผูส งู สุด และควรสรรเสรญิ , ช่ือวาพุทธเสฏฐะ เพราะเปน ผตู รสั รู เปนผสู ูงสุดและควรสรรเสรญิ . อีกนัยหน่ึงชือ่ วา พุทธเสฏฐะ เพราะเปนผูประเสริฐสุด ในพระพุทธะทง้ั หลาย ทีเ่ รยี กวาอนุพุทธะปจเจกพทุ ธะและสุตพุทธะ. พระพทุ ธะผปู ระเสริฐสดุ พระองคน้ันทรงชม สรรเสรญิ ประกาศสมาธธิ รรมใดไวใ นบาลีนั้น ๆ โดยนัยเปนตน วามรรคมีองค ๘ ประเสริฐสดุ แหง มรรคทัง้ หลาย เกษมเพือ่ บรรลุพระนพิ พานและวา ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย เราจกั แสดงสัมมาสมาธิอันเปน อริยะ ที่มเี หตุมีเคร่ืองประกอบแกท า นทงั้ หลาย. มทวา สุจึ ไดแ ก ผองแผว สิน้ เชงิ เพราะทําการตัดมลทนิ คือกิเลสไดเ ดด็ ขาด. บทวา สมาธิมานนตฺ ริกฺ มาหุ

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 249ความวา บัณฑติ ทง้ั หลาย กลาวถึงสมาธิอนั ใดวา อนนั ตรกิ สมาธิ สมาธิเกดิในลําดบั เพราะอํานวยผลแนน อนในลาํ ดบั การดําเนินการปฏบิ ตั ิของตน. อนั -ตรายใด ๆ ทีห่ ามกันความเกิดผลแหงอนนั ตริกสมาธนิ นั้ เมื่อสมาธอิ ันเปนตัวมรรคเกดิ ข้นึ แลว หามไี ม. เหมือนอยางท่ที า นกลาวไววา กบ็ คุ คลน้ี พงึ เปน ผูปฏิบัติเพอื่ ทาํ ใหแจงโสดา- ปตตผิ ล และพงึ เปนเวลาทก่ี ัปไหม กัปก็จะยงั ไมพ งึ ไหมตราบเทาท่ีบุคคลน้ี ยังไมท าํ ใหแ จงโสดาปต ติผล บุคคลผนู เี้ รยี กวา ฐิตกัปป ผูตง้ั อยตู ลอดกัป บุคคลผูมี มรรคพรั่งพรอมทงั้ หมด กเ็ ปน ฐิติกปั ป ผูต้งั อยตู ลอด กปั . บทวา สมาธินา เตน สโม น วิชฺชติ ความวา รปู าวจรสมาธิหรืออรูปาวจรสมาธิใด ๆ ทีเ่ สมอดวยอนันตรกิ สมาธิอนั สะอาด ทีพ่ ระพทุ ธะผูประเสริฐสุดสรรเสรญิ แลวนัน้ ไมม เี ลย. เพราะเหตุไร เพื่อสัตวแมเกิดในพรหมโลกนัน้ ๆ เพราะอบรมสมาธิเหลาน้นั แลว ก็ยังมีการเกดิ ในอบายมนี รกเปนตน อีกได และเพราะพระอรยิ บคุ คลตดั การเกดิ ทุกอยา งไดเด็ดขาด เพราะอบรมสมาธิทเี่ ปนตวั พระอรหัตนแี้ ลว. เพราะฉะนนั้ แมใ นสตู รอืน่ พระผ-ูมีพระภาคเจาก็ตรสั ไวว า ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ธรรมทง้ั หลายท่ีเปนสงั ขตะ [อนั ปจ จยั ปรงุ แตง] มปี ระมาณเทา ใด ฯลฯ อรยิ มรรค มอี งค ๘ กลา วกนั วาเปน เลศิ วา สงั ตธรรมเหลานนั้ . พระผมู ีพระภาคเจา คร้นั ตรัสความทีอ่ นันตริกสมาธิ อนั สมาธอิ นื่ ๆเทียบไมไ ดอ ยางนี้แลว บดั น้ีทรงอาศัยความทรี่ ัตนะคือมรรคธรรม อันรัตนะอน่ื ไมเทียบได โดยนัยกอ นนั่นแล จึงทรงประกอบสจั จวนะวา อทมฺป ธมฺเมฯเปฯ สวุ ตถฺ ิ โหตุ แมอนั น้ีกเ็ ปน รัตนะอันประณตี ในพระธรรม ฯลฯ ขอ๑. ปสาทสตร องั . จตุกนบิ าต.

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 250ความสวสั ดีจงม.ี ความของสจั จวนะนนั้ พงึ ทราบโดยนยั ที่กลาวมากอ นแลวนน่ั แล. พวกอมนษุ ยใ นแสนโกฏิจักรวาล พากนั ยอมรับพทุ ธอาชญาแหงพระคาถานแี้ ล. พรรณนาคาวา เย ปคฺคลา พระผมู พี ระภาคเจา ครน้ั ตรสั สจั จวจนะ แมด วยคุณแหง มรรคธรรมอยา งนี้แลว บดั น้ี จึงทรงเร่มิ ตรัสแมด วยสังฆคุณวา เย ปคุ ฺคลา เปนตน .ในคํานน้ั ศัพทวา เย เปน นิเทศไมแนน อน. บทวา ปคุ คฺ ลา ไดแกสัตวท ้งั หลาย. ศพั ทวา อฏ เปนการกาํ หนดจํานวนสัตวเ หลา นน้ั จริงอยูสตั วเ หลานน้ั มี ๘ คอื ผูปฎบิ ัติ [มรรค] ๘ ผูต้ังอยใู นผล ๔. บทวา สตปสฏา ไดแ กอันสัตบุรษุ คือพระพทุ ธเจา พระปจเจกพุทธเจา และพระ-สาวก และเทวดาและมนุษยเ หลาอนื่ สรรเสรญิ แลว . เพราะเหตุไร. เพราะประกอบดวยคณุ มศี ลี ท่เี กิดรว มกันเปน ตน. ความจริง คุณท้งั หลายของสตั บุรษุ เหลา นนั้ มีศีลสมาธเิ ปนตน เกิดรว มกัน เหมอื นสแี ละกลนิ่ เปน ตน ที่เกิดรวมกันของดอกจําปาและดอกพิกุลเปนตน . ดวยเหตุนนั้ บคุ คลเหลาน้นัจงึ เปนทรี่ ัก .ทต่ี องใจ ทน่ี าสรรเสริญ ของสตั บรุ ษุ ทั้งหลาย เหมือนดอกไมทั้งหลาย ท่พี รอ มดว ยสีและกลิ่นเปน ตน เปนทรี่ ักทต่ี องใจนาสรรเสรญิ ของเทวดาและมนุษยทั้งหลาย. ดวยเหตนุ ้นั พระผมู ีพระภาคเจาจงึ ตรัสวา เยปุคคฺ ลา อฏ สต ปสฏา. อกี นัยหนงึ่ ศพั ทวา เย เปน นเิ ทศไมแ นน อน. บทวา ปุคคฺ ลาไดแ กส ตั วท ้งั หลาย. ศพั ทว า อฏ สต เปน การกําหนดจํานวนสัตวเหลา นั้น.จริงอยู สัตวเ หลานัน้ ไดแ กพระโสดาบัน ๓ พวก คอื เอกพชิ ี ไกลังไกละและสัตตตกั ขัตตุปรมะ พระสกทาคามี ๓ พวก ผบู รรลุผลในกามภพ รูปภพ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook