Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมคือหน้าที่

ธรรมคือหน้าที่

Published by Piyaphon Khatipphatee, 2021-10-29 13:11:39

Description: ธรรมคือหน้าที่

Search

Read the Text Version

“...หนา้ ที่นี้แหละคือธรรมะ ทีพ่ ระพทุ ธเจา้ ค้นพบและก็น�ำ มาสอน...”

ธรรมะคอื หน้าท่ี รวมธรรมบรรยายชุดธรรมะคอื หน้าที่ เลขมาตรฐานสากลประจำ� หนังสือ ๙๗๘-๖๑๖-๗๕๗๔-๒๓-๓ ผแู้ ตง่ พุทธทาสภกิ ขุ ภาพปกหน้า และภาพประกอบ ภาพวาดลายเสน้ โดยพทุ ธทาสภกิ ขุ พมิ พค์ ร้ังแรก ธันวาคม ๒๕๕๗ จำ� นวนพมิ พ ์ ๓,๐๐๐ เล่ม จัดพมิ พโ์ ดย หอจดหมายเหตพุ ุทธทาส อินทปัญโญ สวนวชริ เบญจทัศ (สวนรถไฟ) ถนนนคิ มรถไฟสาย ๒ แขวงจตุจกั ร เขตจตจุ กั ร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐ โทรศพั ท์ : ๐ ๒๙๓๖ ๒๘๐๐ โทรสาร : ๐ ๒๙๓๖ ๒๙๐๐ เวบไซต์ : www.bia.or.th, www.life-brary.com อเี มล : [email protected] พิมพ์ที่ บรษิ ทั ออฟเซท็ พลสั จำ� กดั

ค�ำ น�ำ ธรรมะมีความหมายลึกและกวา้ งครอบคลมุ ทกุ สิง่ ทกุ อยา่ ง เปน็ คำ�กลางๆ ทม่ี มี าแตเ่ ดมิ ในอนิ เดยี กอ่ นพทุ ธศาสนาเกดิ ขน้ึ ศาสดาเจา้ ลทั ธติ า่ งกไ็ ดบ้ ญั ญตั หิ ลกั ปฏบิ ตั ติ อ่ ธรรมะในแนวทางทหี่ ลากหลาย เพอ่ื ใหม้ คี วามเขา้ ใจและปฏบิ ตั ทิ ถ่ี กู ตอ้ ง เก่ยี วกับคำ�ว่าธรรมะ พุทธทาสภิกขุได้ให้ความหมายของคำ�วา่ “ธรรมะ” เป็น ๔ ความหมาย คอื ๑. ตวั ธรรมชาติ (สภาวธรรม) ๒. กฎธรรมชาติ (สจั ธรรม) ๓. หนา้ ที่ ของส่งิ มีชวี ิตตามกฎธรรมชาติ (ปฏิบัติธรรม) ๔. ผลท่ไี ด้จากการทำ�หน้าทีต่ ามกฎ ธรรมชาติ (ปฏิเวธธรรม) ในความหมายทงั้ สนี่ ้ี ขอ้ ที่ ๓ หน้าท่ีตามกฎธรรมชาติเปน็ สิ่งสำ�คญั ท่ีสงิ่ ท่ชี ีวิตทกุ ชนดิ ต้องพึงปฏบิ ัติตามเพื่อความรอดของชีวติ จนถงึ ระดบั สงู สุดคอื ชีวติ เย็น “ธรรมะคอื หนา้ ท่ี การทำ� หน้าทค่ี อื การปฏิบัตธิ รรม” เปน็ สง่ิ ทพ่ี ุทธทาส ภิกขุกล่าวย้�ำอยู่เสมอ การท�ำหน้าท่ีธรรมดาในชีวิตประจ�ำวันและมีความพอใจ อยา่ งถกู ตอ้ งกค็ อื การปฏบิ ตั ธิ รรมไปดว้ ย ซงึ่ การศกึ ษาและปฏบิ ตั ธิ รรมไมใ่ ชส่ ง่ิ เหลอื วสิ ยั ทจ่ี ะตอ้ งแยกออกไปจากการดำ� เนนิ ชวี ติ และการทำ� งาน ดว้ ยเหตทุ ค่ี นในสงั คม ปจั จบุ นั ยงั ขาดการตระหนกั รตู้ อ่ การทำ� หนา้ ทที่ ถ่ี กู ตอ้ ง แมเ้ มอื่ ทำ� หนา้ ทอ่ี ยกู่ ม็ ไิ ดม้ ี เปา้ หมายทชี่ ัดเจนว่าทำ� ไปเพ่อื อะไร เพอื่ เปน็ โอกาสแก่การคิด ใครค่ รวญ กระท�ำ ในหน้าที่ที่ถูกต้อง ขอน้อมน�ำเอาธรรมบรรยายว่าด้วย “ธรรมะคือหน้าท่ี” ของ พทุ ธทาสภกิ ขทุ แี่ สดงแกค่ ณะบุคคลตา่ งๆ ตา่ งกรรมต่างวาระ ธรรมบรรยายเหล่า นบี้ างเรอื่ งไมม่ หี วั ขอ้ ทช่ี ดั เจนจงึ ไดต้ งั้ ชอื่ ใหมท่ สี่ อดคลอ้ งกบั เนอ้ื หา โดยคดั เลอื กมา จ�ำนวน ๘ เร่อื ง ประกอบด้วย

– ธรรมะท�ำ ไมกนั ธรรมบรรยายอบรมผปู้ ฏบิ ตั จิ ติ ตภาวนาชาวตา่ งประเทศ ปี ๒๕๓๐ ธรรมะโดยเนื้อแท้ก็คือ Natural Truth ว่าด้วยหน้าท่ีของส่ิงมีชีวิต “หน้าทีน่ ้ีแหละคอื ธรรมะทีพ่ ระพทุ ธเจา้ ค้นพบและกน็ ำ�มาสอน เราพยายามจะ ศึกษาจะปฏิบัติตามหน้าที่น้ีเพื่อให้ได้พบชีวิตอีกชนิดหนึ่ง ซ่ึงจะเรียกว่าชีวิต ใหมก่ ไ็ ด้ เพอื่ อยเู่ หนอื อทิ ธพิ ลของสงิ่ ทง้ั หลายทจี่ ะบบี คน้ั ชวี ติ นใี้ หม้ คี วามทกุ ข”์ – ธรรมะคือหน้าท่ี ธรรมบรรยายอบรมพระนิสิตมหาจุฬาลงกรณราช- วทิ ยาลัย ปี ๒๕๒๘ “ธรรมะที่แปลวา่ หน้าที่นี้คงจะมีเหตผุ ลมาก มาแตด่ งั้ เดิม โบราณดึกดำ�บรรพ์ เพราะว่าพระศาสดาองค์ไหนของศาสนาไหนก็สอนเร่ือง หน้าท่ที ัง้ นั้น ไมใ่ ช่ว่าเป็นเพียงคำ�สอนเฉยๆ แลว้ ไมร่ ู้ว่าสอนอะไร ... หนา้ ท่ี ... ประมวลกันไดเ้ ป็นหมวดใหญ่ๆ แลว้ มันกม็ ี ๒ ระดบั หน้าที่เพื่อรอดตายหน้าที่ อันแรก หนา้ ที่อนั ท่ี ๒ หนา้ ทีเ่ พื่อพน้ ทกุ ข์ ... หน้าที่นัน้ ตอ้ งปฏิบตั ไิ ม่ใชเ่ รียนรู้ เฉยๆ แล้วกต็ ้องปฏิบตั หิ นา้ ท่ี มันกม็ คี วามรสู้ ำ�หรับจะปฏิบตั ิ แล้วก็มผี ลทเี่ กิด มาจากปฏบิ ัต”ิ – แกนของพระธรรม ธรรมบรรยายแก่นักศึกษาอาจารย์ มหาวิทยาลัย ศรีนครทิ รวโิ รฒ วทิ ยาเขตบางแสน ปี ๒๕๒๔ “ธรรมะมคี วามหมายมาก แตค่ วาม หมายสำ�คัญมันก็คือดับทุกข์ ในฐานะที่ทา่ นทงั้ หลายเป็นมนษุ ย์คนหนงึ่ ท่านก็ ตอ้ งรธู้ รรมะสำ�หรบั ความเปน็ มนษุ ยค์ นหนงึ่ ... รจู้ กั สงิ่ ทเ่ี รยี กวา่ กฎของธรรมชาติ ใหด้ ีๆ รู้ในภายในให้มาก รูภ้ ายนอกมันไมส่ ู้ทีร่ ้ใู นภายใน เราจะรูไ้ ด้เขา้ ใจ จะได้ ปรับปรุงร่างกายและจิตใจ ให้หมดปัญหา คือไม่ต้องเป็นทุกข์... การมีธรรมะ หรอื มีศีลธรรมจำ�เป็นแก่สังคมมนุษย์ ถา้ ไมม่ ีธรรมะมนั ก็ตอ้ งทำ�ผดิ แลว้ มนั ก็มี ความเลวร้ายเปน็ นรกกนั ทต่ี รงน้ี เดอื ดรอ้ นกนั ไปทง้ั บ้านทัง้ เมอื ง”

– โลกนีม้ ันก�ำลงั วุ่นวาย เพราะขาดธรรมะ โอวาทแก่ภิกษสุ ามเณรจาก ชมุ พรวดั มจุ ลนิ ทราราม จ.ชมุ พร ปี ๒๕๒๕ “โลกนม้ี นั กำ� ลงั วนุ่ วาย ไมม่ คี วามสงบ สขุ ... เพราะมันขาดธรรมะ ... ธรรมะ คือ การปฏิบตั ิทถ่ี ูกต้องสำ� หรับความเป็น มนุษย์ ทุกข้ันทุกตอนแหง่ ชวี ติ ... ถ้าว่าจิตใจมนั ถูกท่วมทับอยูด่ ้วยกเิ ลสนั้นเรา ยังไม่เปน็ มนุษย์ ... ถ้าวา่ จิตใจมนั สูง เอาชนะความทกุ ขห์ รือกิเลสได้ คือมนษุ ย์ อย่างน้ี ธรรมะมนั กก็ ลายเป็นหนา้ ที่ หน้าทท่ี ี่จะทำ� ใหเ้ รา … เปน็ มนุษย์ ... เรา ต้องไต่บันไดธรรมะ จากต�่ำข้ึนมาๆ จนถึงขั้นสูงสุดของมนุษย์ อยู่เหนือความ ทุกข์ท้ังปวง มีสิ่งๆ เดียวที่จะต้องท�ำคือธรรมะ คือเรียนธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ ไดผ้ ลของธรรมะ แลว้ ก็สั่งสอนเพ่อื นมนษุ ย์ของเราต่อๆ กนั ไปคอื แจกธรรมะ” – มรรคมีองค์แปด (สัมมาทิฏฐิ) บรรยายแก่การประชุมทางวิชาการ โครงการพฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอนจรยิ ศกึ ษา (สำ�นกั งานการประถมศกึ ษา แหง่ ชาต)ิ ปี ๒๕๒๗“ถ้ามสี มั มาทฏิ ฐแิ ลว้ กจ็ ะดงึ เอาธรรมท้ังปวงมาได้เป็นแถว เป็นหางไปเลย และมีความหมายว่า เป็นนิมิตหมายอันแสดงให้รู้ว่าจะมี การกระท�ำ ทถี่ กู ตอ้ งเตม็ รปู แบบเกดิ ขน้ึ ... แมจ้ ะไมเ่ ลง็ ถงึ นพิ พาน กเ็ ลง็ ถงึ ความ ดบั ทุกขท์ รี่ องๆ ลงมา ... มีสมั มาทิฏฐิทำ�ลายความเช่อื ความงมงายท่ีส่ังสมมา และปอ้ งกนั ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ใหม่ เราเรยี กวา่ สมั มาทฏิ ฐแิ กป้ ญั หาไดท้ กุ อยา่ ง จะเรยี ก วา่ ความทกุ ข์ก็ได้ จะเรียกวา่ ปญั หากไ็ ด้” – ธรรมะสำ�หรับมนุษย์ ธรรมบรรยายแก่คณะนิสิต มหาวิทยาลัยศรี- นคริทรวิโรฒ ประสานมติ ร กทม. ปี ๒๕๒๔ “ชีวิตมีหน้าที่ที่ต้องทำ� มิฉะนั้นมัน จะไม่รอดชีวิตอยู่ได้ หรือมิฉะนนั้ มนั จะไมเ่ จรญิ งอกงามยงิ่ ขน้ึ ไป ... เรามธี รรมะ

จริงก็ต่อเมื่อเราปฏิบัติถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของเราทุกข้ันตอนแห่ง ววิ ัฒนาการ ท้ังเพอื่ ส่วนตวั และสว่ นรวม ... ธรรมะจะช่วยให้เราเลอ่ื นชัน้ จาก สงิ่ มชี วี ติ ธรรมดาไดเ้ ปน็ คนซง่ึ พอดไู ด้ จากคนเปน็ มนษุ ย์ จากมนษุ ยเ์ ปน็ อรยิ ชน อริยเจา้ จากอริยเจา้ เป็นพระอรหันต์” – หน้าท่ีที่ต้องประพฤติปฏิบัติให้ดับทุกข์ได้ ธรรมบรรยายอบรมพระ นวกะราชภฏั ปี ๒๕๒๘ “ถา้ เราเปน็ ผู้ชนะโลก เรากจ็ ะอยใู่ นโลกสบาย สงบเย็น เปน็ สขุ ไมม่ ปี ญั หาอะไร ถา้ เปน็ ผพู้ า่ ยแพแ้ กโ่ ลก มนั กค็ อื พา่ ยแพแ้ กก่ เิ ลส มนั เตม็ ไปดว้ ยความทกุ ขท์ รมาน ถกู บบี คนั้ ถกู อะไรดว้ ยกเิ ลส ดว้ ยสงิ่ ทเี่ รยี กวา่ กเิ ลสและ เอาชนะมันไมไ่ ด้ ... ถ้ามสี ตปิ ัญญาพอ มนั กจ็ ะรวู้ ่าน่ารกั มันกส็ ักวา่ น่ารกั ถ้าไป รกั มนั กห็ ลงโง่ เป็นทาสของมนั จะไปโกรธไปเกลียดก็เหมือนกนั ก็ไมต่ ้อง แลว้ กม็ จี ติ ใจอยูต่ รงกลาง เป็นอสิ ระ ... ส�ำรวม ตา หู จมกู ล้ิน กาย ใจ นม้ี ีผลถงึ ความเป็นพระอรหนั ต์แลว้ ร้ปู ระมาณในการบรโิ ภคนี้อยู่อยา่ งกิเลสไมค่ รอบง�ำ ย�่ำยไี ด้ ต่ืนอย่เู สมอเป็นการป้องกันไมใ่ ห้มีความผดิ พลาดได้ จำ� เปน็ ท่ีสดุ แมแ้ ต่ ฆราวาส” – การปฏิบัติท่ีไม่ผิด ธรรมบรรยายอบรมพระภิกษุนวกะในพรรษา ปี ๒๕๒๘ “มีพระพทุ ธภาษติ กลา่ วไวช้ ัดอยา่ งนน้ั เรยี กว่า อปณั ณกปฏิปทา ปฏิบัติ แล้ว การเกิดของผนู้ ั้นก็ชอ่ื ว่า ปรารภแล้วเพอื่ ความส้ินอาสวะ ... อนิ ทรียสงั วร ... ถา้ เราควบคมุ อนิ ทรยี ท์ งั้ ๖ ไวไ้ ด้ มนั กเ็ ทา่ กบั ควบคมุ ความเปน็ มนษุ ยข์ องเรา ไว้ได้ ... ใหอ้ ย่ใู นลักษณะท่ถี กู ตอ้ ง ... โภชเนมตั ตัญญุตา ... ให้รู้ความพอดี ใน การบรโิ ภค ... ทำ�ถกู ตอ้ งเปน็ เรอื่ งของสตปิ ญั ญา ทำ�ไมถ่ กู ตอ้ งเปน็ เรอื่ งของกเิ ลส ตณั หา เป็นเรือ่ งของความไมร่ ู้ มนั มีผลตรงกนั ข้าม ... ชาคริยานโุ ยค –ประกอบ

ความเพียรของบุคคลผู้ตื่นอยู่เสมอ ... รู้สึกตัวแม้เวลาหลับ ก็เรียกว่ามี สติสัมปชัญญะ ทกุ ๆ อริ ยิ าบถ ผู้ประพฤติปฏบิ ตั ิอย่างนีม้ นั ควบคมุ ความเจรญิ แหง่ กเิ ลส แห่งอนุสัย แหง่ อาสวะ ลดปริมาณของอนสุ ัยของอาสวะลงเรอื่ ยๆ ... การบรรลธุ รรมจะมไี ดเ้ ฉพาะตอ่ เมอื่ จติ ใจมนั เหมาะสมอยา่ งนเ้ี ทา่ นนั้ แหละ จติ ใจ แจม่ ใส สดชน่ื แคล่วคล่องวอ่ งไว” อนึ่ง ได้นำ�ภาพลายเส้นท่ีพุทธทาสภิกขุวาดไว้ เกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์ ตง้ั แตเ่ กดิ จนเขา้ สพู่ ระนพิ พาน โดยนำ�ภาพประกอบมาบางสว่ น หากพนิ จิ ใครค่ รวญ ภาพลายเส้นประกอบกับธรรมบรรยายจะได้แง่มุมทางธรรมดังที่พุทธทาสภิกขุ กล่าวว่า “ลองเขียนภาพชีวิตไว้ดูเล่น คือตั้งต้นด้วยวงกลมศูนย์ แล้วทีนี้ก็ ขยกุ ขยกิ ๆ ปนั่ ปว่ นใหม้ ากแลว้ มนั กเ็ ลก็ ลงจนศนู ยว์ า่ งอกี นน่ั แหละคอื ภาพชวี ติ ” สามารถคน้ เอกสารฉบบั เต็มไดท้ ่ี เอกสารจดหมายเหตุพทุ ธทาส อนิ ทปญั โญ. รวม ภาพวาดลายเสน้ และคำ�กลอน. (พ.ศ.2472-2496). BIA 5.2/1 (2/2) กล่อง 1. หวังว่าประมวลธรรมบรรยายวา่ ดว้ ยธรรมะคอื หน้าท่ี จะเปน็ ดังแสงสวา่ ง ทช่ี ่วยในการทำ�หน้าที่คอื การปฏบิ ตั ิธรรม ใหส้ มตามพระพุทธประสงค์ พรอ้ มรว่ ม กันขับเคลื่อนโลกไปสู่ความสงบร่มเย็นด้วยธรรมะ เกิดประโยชน์ทั้งส่วนตนและ สว่ นรวม. หอจดหมายเหตพุ ทุ ธทาส อินทปญั โญ ธันวาคม ๒๕๕๗

สารบญั เร่ือง หนา้ ธรรมะทำ� ไมกัน ๑ ธรรมะคือหน้าที่ ๑๕ แกนของพระธรรม ๔๗ โลกนี้มันก�ำลงั วุน่ วายเพราะขาดธรรมะ ๗๙ มรรคมอี งคแ์ ปด (สัมมาทฏิ ฐ)ิ ๙๙ ธรรมะสำ� หรับมนุษย์ ๑๒๑ หน้าทที่ ี่ตอ้ งประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หด้ ับทกุ ข์ได้ ๑๕๙ การปฏิบัตไิ ม่ผดิ ๑๘๕

เอกสารจดหมายเหตพุ ทุ ธทาส อินทปัญโญ. รวมภาพวาดลายเสน้ และค�ำ กลอน. (พ.ศ.2472-2496). BIA 5.2/1 (2/2) กลอ่ ง 1. หน้า 335.

ธรรมบรรยายเรอ่ื ง ธรรมะท�ำ ไมกนั ? ครั้งท่ี ๑๐ อบรมผูป้ ฏิบตั ิจิตตภาวนาชาวตา่ งประเทศ วนั ท่ี ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๐ ผถู้ อดค�ำ บรรยาย คณุ สรินณา กาพยแ์ ก้ว

1ธรรมบรรยายโดย พทุ ธทาสภกิ ขุ ธรรมะทำ�ไมกัน ? ในการบรรยายครงั้ แรกนี้ จะพูดโดยหวั ข้อว่า ธรรมะทำ�ไมกัน ท่านทงั้ หลายมาเพอ่ื จะศกึ ษาธรรมะ ปฏบิ ตั ธิ รรมะ ควรจะทราบวา่ ธรรมะท�ำ ไมกนั ทา่ น จะได้สะดวกในการที่จะศึกษาและการปฏบิ ตั ใิ หไ้ ดร้ บั ประโยชน์เตม็ ท่ี หากทา่ น เคยไดย้ นิ ค�ำ หลายค�ำ เกย่ี วกบั ธรรมะน้ี เชน่ ค�ำ วา่ Buddhism เชน่ ค�ำ วา่ Teachings of the Buddha พุทธธรรมะ พทุ ธศาสนา ซึ่งท�ำ ให้เกดิ ความเขา้ ใจไขวเ้ ขว หรอื ถงึ กับขดั แยง้ ก็ได้ ขอให้เขา้ ใจว่าค�ำ วา่ ธรรมะ ธรรมะนนั้ มันหมายถงึ สิง่ ส่งิ หน่งึ ซึง่ จะเรียก ชอ่ื ดว้ ยดว้ ยชอ่ื ตา่ งๆ เหลา่ นน้ั ได้ ธรรมะโดยเนอ้ื แทก้ ค็ อื Natural Truth, Natural Truth ทว่ี า่ ดว้ ยหนา้ ทเ่ี พอ่ื ความรอดของสงิ่ ทม่ี ชี วี ติ Natural Truth วา่ ดว้ ยหนา้ ท่ี ของสง่ิ ที่มีชวี ติ ขอให้เขา้ ใจความหมายอันน้ีเป็นหลกั พ้ืนฐาน

2 ธรรมะคือหน้าที่ แมจ้ ะเรยี กวา่ Buddhism ความรู้หรอื ความคดิ หรือวิถีทางของพทุ ธ- บรษิ ทั มนั กไ็ มใ่ ชข่ องพทุ ธบรษิ ทั มนั เปน็ ของธรรมชาติ เปน็ Truth ของธรรมชาติ แม้จะเรยี กว่า Teachings of the Buddha มันก็ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้ามนั เป็น ของธรรมชาติ แตว่ า่ พระพทุ ธเจา้ คน้ พบความจรงิ อนั นแี้ ละนำ�มาสอน อยา่ เขา้ ใจ ผิดว่ามันเป็นความคิด ความรู้ หรือการบัญญัติตั้งข้ึนมาของพระพุทธเจ้า หรือ ของพุทธบริษัท ขอให้มองเห็นในฐานะเป็น Natural Truth ที่พระพุทธเจ้า ค้นพบแลว้ กน็ �ำ มาสอน ทนี ี้ก็ดตู ่อไปท่วี า่ Natural Truth ของอะไร หรือเรอ่ื งอะไร Natural Truth คือความจริงเร่ืองหน้าท่ีของสิ่งที่มีชีวิตท่ีจะต้องทำ�เพื่อความรอดของ มนั เอง Natural Truth เรอื่ งหนา้ ทขี่ องสงิ่ ทมี่ ชี วี ติ ซง่ึ มนั จะตอ้ งท�ำ เพอ่ื ความรอด ของมนั เอง ขอใหก้ �ำ หนดบทนยิ ามอนั นไ้ี วใ้ หช้ ดั เจนแนว่ แนแ่ ละถกู ตอ้ งเปน็ พน้ื ฐาน เม่อื ถามวา่ หน้าท่ีอะไร หนา้ ที่อะไร ก็คือหน้าทใ่ี นการอยู่รอดและกร็ อด อยู่อย่างเย็น เราต้องการความหมายของคำ�ว่าเย็น ซ่ึงเป็นคำ�แปลของคำ�ว่า นพิ พาน นพิ พาน หากปราศจากนพิ พานกไ็ มม่ พี ทุ ธศาสนา ค�ำ วา่ นพิ พานแปลวา่ เยน็ หนา้ ท่ีในชีวติ คอื ทำ�ใหเ้ กิดความรอดและกร็ อดอยู่อย่างเยน็ ไม่ใช่รอดอยู่ อย่างร้อน ไม่ใช่รอดอยู่อย่างเต็มไปดว้ ยปัญหาภาระตา่ งๆ คอื หนา้ ทีอ่ ยา่ งน้ี อนั ค�ำ วา่ เย็น เย็นในทน่ี ีค้ อื อยา่ งไร มีความหมายวา่ ปราศจากความร้อน เมอื่ เรามีกิเลสกด็ ี มคี วามทกุ ขก์ ด็ ี ชวี ติ ก็เปน็ ของร้อน เมอ่ื ไมม่ กี เิ ลส ไมม่ ีความ ทุกข์เราเรียกว่าเย็นในภาษาไทย เราเรียกว่านิพพานในภาษาบาลี นิพพาน

3ธรรมบรรยายโดย พทุ ธทาสภิกขุ นพิ พานนี้เป็นจุดสงู สดุ เปน็ Summum Bonum at more Goodness ของ พทุ ธศาสนา มุง่ ไปท่ีนน่ั เปน็ จดุ สูงสดุ และก็เรยี กวา่ ภาวะที่เยน็ หน้าทเี่ พื่อให้เกดิ ชีวติ เย็นเรยี กวา่ ธรรมะ หนา้ ทีใ่ หเ้ กดิ ชวี ิตเยน็ เรยี กว่าธรรมะ ยกตวั อย่างท่จี ะเหน็ ไดง้ า่ ยๆ ว่าเราเยน็ ต่อเมื่อเราไม่อยู่ใต้อทิ ธพิ ลของ สิ่งท่ีบีบค้ันจิตใจ ซึ่งทำ�ให้เรามีความรู้สึกสองอย่าง คือพอใจกับไม่พอใจ พุทธ- ศาสนาต้องการให้อยู่เหนือความรู้สึกของสองอย่างน้ี เพราะว่าพอใจยังไม่ใช่ ความสงบ ไม่พอใจก็ยังไม่ใช่ความสงบ เราต้องว่างจากท้ังพอใจและท้ังไม่ พอใจเราจะต้องไม่อยู่ภายใตอ้ ทิ ธิพลของ Positivism and Negativism ทง้ั คเู่ ลย นต้ี วั อย่างความเย็น สรปุ ความวา่ ธรรมะ ธรรมะคอื หนา้ ที่ คอื หนา้ ทที่ ส่ี งิ่ ทมี่ ชี วี ติ จะตอ้ งปฏบิ ตั ิ ถา้ ไมป่ ฏบิ ตั กิ ค็ อื ตาย หรอื เปน็ อยอู่ ยา่ งคนทกุ ขท์ รมาน หนา้ ทนี่ แี้ หละคอื ธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าค้นพบและก็นำ�มาสอน เราพยายามจะศึกษาจะปฏิบัติตาม หนา้ ทนี่ เี้ พอื่ ใหไ้ ดพ้ บชวี ติ อกี ชนดิ หนง่ึ ซง่ึ จะเรยี กวา่ ชวี ติ ใหมก่ ไ็ ด้ เพอ่ื อยเู่ หนอื อิทธิพลของส่ิงท้งั หลายที่จะบีบคน้ั ชวี ติ น้ีให้มีความทกุ ข์ เปน็ ชีวติ ทฟ่ี รี หนา้ ท่ี เพอ่ื ประโยชนแ์ กก่ ารมชี วี ติ ทเ่ี ปน็ อสิ ระคอื ฟรจี ากปญั หาจากความทกุ ข์ ทกุ อยา่ ง ทุกประการ ทีน้ีเราก็จะดูกันต่อไปว่าหน้าที่ หน้าที่น้ีมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าถือ ศาสนาชนิดที่มพี ระเจา้ มพี ระเจ้าเปน็ Creationism จะตอบว่าพระเจา้ ก�ำ หนด พระเจา้ ก�ำ หนดไว้ ใหเ้ ปน็ หนา้ ทท่ี ต่ี อ้ งปฏบิ ตั ติ าม แตพ่ ทุ ธศาสนาไมใ่ ช่ Creationism

4 ธรรมะคอื หน้าท่ี แตเ่ ปน็ Evolutionism พวกที่เปน็ Evolutionism กถ็ อื ว่าหน้าทมี่ นั เกดิ มาจาก กฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ Natural Truth ก�ำ หนดไวอ้ ยา่ งนน้ั ก�ำ หนด ไว้อยา่ งนัน้ ไม่มคี วามคดิ นกึ อย่างคนแตม่ นั กำ�หนดไว้อยา่ งนัน้ อย่างนนั้ เหมอื น กับกฎทั่วไป กฎวิทยาศาสตร์ กฎอะไรท่ัวไป เป็นกฎของธรรมชาติกำ�หนดไว้ พระพทุ ธเจา้ ไม่ไดบ้ ัญญัตขิ ้ึน หรือไม่ใชใ่ ครๆ บญั ญตั ิแต่งตั้งขึน้ มา เพียงแต่รลู้ ึก ลงไปถึงที่ธรรมชาตกิ �ำ หนดไวอ้ ยา่ งไรกน็ �ำ เอามาสอน ฉะน้นั เราจึงถอื วา่ หน้าทนี่ ้ี เกดิ ขน้ึ มาจากกฎของธรรมชาตกิ �ำ หนดไวใ้ หส้ ง่ิ ทม่ี ชี วี ติ ทกุ ชนดิ ปฏบิ ตั ติ าม มเิ ชน่ นน้ั ก็คือตายหรอื อยู่อยา่ งเปน็ ทกุ ขท์ รมาน ความรทู้ ม่ี ปี ระโยชนอ์ ยา่ งยง่ิ เกย่ี วกบั ค�ำ วา่ ธรรมะน้ี เกย่ี วกบั ค�ำ วา่ ธรรมะน้ี มอี ยู่ ซงึ่ อยากจะขอใหส้ นใจความหมายของค�ำ วา่ ธรรมะมี ๔ ความหมาย ธรรมะ ธมั มะในภาษาบาลี หรอื ธรรมะทท่ี า่ นทง้ั หลายคนุ้ เคยในภาษาสนั สกฤตมสี ค่ี วาม หมาย หนึ่งหมายถงึ ธรรมชาตติ ัวธรรมชาตเิ องกเ็ รียกว่าธรรมะ ความหมายที่ สอง หมายถึงกฎของธรรมชาติ คือในตัวของธรรมชาติต้องมีกฎของธรรมชาติ ประจำ�อยู่ ส่วนที่เป็นกฎน้ีเรียกว่ากฎของธรรมชาติ ก็เรียกว่าธรรมะ ธัมมะใน ภาษาบาลี ความหมายที่สาม หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ หน้าท่ีตามกฎของ ธรรมชาติ นก้ี เ็ รยี กวา่ ธมั มะในภาษาบาลี ผลทเ่ี กดิ มาจากการปฏบิ ตั หิ นา้ ทก่ี เ็ รยี ก วา่ ธัมมะในภาษาบาลี ค�ำ วา่ ธรรมะ ธมั มะค�ำ เดยี วมถี งึ สคี่ วามหมาย เราไมอ่ าจจะแปลเปน็ ภาษา ใดภาษาหนง่ึ โดยตรงตอ้ งใชค้ �ำ เดมิ วา่ ธรรมะ ธรรมะ แลว้ คอ่ ยรวู้ า่ มนั มสี ค่ี วามหมาย

5ธรรมบรรยายโดย พุทธทาสภิกขุ อย่างนี้ และความหมายทส่ี �ำ คัญท่สี ดุ กค็ อื ความหมายท่สี าม คือคำ�วา่ หนา้ ท่ีหรือ Duty, in the quadrant little law of nature นน่ั แหละคอื ตัวธรรมะ ธรรมะ ทีท่ ่านทั้งหลายจะต้องศกึ ษาและมากเ็ พื่อจะศกึ ษาอนั น้ี ท่านจะรสู้ ึกหรอื ไม่รสู้ กึ กต็ าม ทจ่ี ริงทา่ นมาก็เพอ่ื จะศึกษาอันนี้ หน้าทีข่ องมนุษย์ตามกฎของธรรมชาติ ปฏิบัติแลว้ อยู่เหนือความทกุ ขน์ ค้ี อื ค�ำ ว่าธรรมะ ธรรมะ โดยตรงโดยสมบรู ณ์ ทา่ นจะเหน็ ไดแ้ ลว้ วา่ ความหมายทง้ั สค่ี วามหมายของค�ำ วา่ ธรรมะ ธรรมะ นี้มันหมายถึงธรรมชาติท้ังนั้น เป็นเรื่องของธรรมชาติท้ังนั้น เก่ียวข้องกับ ธรรมชาติทั้งนั้น เป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นเรื่องกฎของธรรมชาติ เป็นเรื่อง หน้าท่ีตามกฎของธรรมชาติ เป็นเรื่องผลจากหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เป็น ไปโดยธรรมชาติ ไมม่ คี �ำ วา่ พระเจา้ ผสู้ รา้ ง พระเจา้ ผคู้ วบคมุ พระเจา้ ผทู้ �ำ ลายลา้ ง นม้ี นั ไมม่ ีอยา่ งเปน็ บุคคลชนดิ น้ัน แต่ถ้าเราจะท�ำ ความเขา้ ใจแหกกันบา้ งจะให้มีสงิ่ ทีเ่ รียกวา่ พระเจ้า เราก็ ยึดเอาความหมายท่ีสองคือกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติในฐานะเป็น พระเจา้ จะสรา้ งโลกกด็ ี จะควบคมุ โลกกด็ ี จะทำ�ลายโลกกด็ ี เรากเ็ หน็ ไดท้ ันทีว่า มันเป็น Impersonal God ไม่ใช่อย่างบุคคล แต่สามารถทำ�หน้าที่ได้อย่าง Personal God ตามท่เี ขาพดู กนั เราจงึ มี Personal God เป็นเร่ืองของธรรมชาติเข้ากันได้กับวิทยาศาสตร์แห่งยุค ปจั จบุ นั ไมย่ ากไมล่ �ำ บากในการทน่ี กั วทิ ยาศาสตรท์ งั้ หลายจะมาศกึ ษาพระพทุ ธ- ศาสนาและก็เข้าใจได้โดยงา่ ย

6 ธรรมะคอื หน้าที่ ทวี่ า่ มวี ถิ ที างอยา่ งเดยี วกบั วทิ ยาศาสตร์ กฎของธรรมชาตใิ นพทุ ธศาสนา กค็ อื ไมม่ พี ระเจา้ ผสู้ รา้ งตวั ตน ไมม่ ตี วั ตนทพี่ ระเจา้ สรา้ ง มแี ต่ Process of action and reaction, Process of action and reaction ตามธรรมชาติตามกฎของ ธรรมชาตนิ ัน้ เราจะต้องรู้ แลว้ เราจะต้องปฏิบตั ิใหต้ รงตามเร่อื งท่เี ราจะตอ้ งการ อะไร เราไม่ตอ้ งการอะไร หรอื เราตอ้ งการอะไร เราจะตอ้ งปฏบิ ัตใิ หต้ รงตามกฎ ของ Process of action and reaction ทเ่ี รยี กในพระพทุ ธศาสนาวา่ กฎอทิ ปั - ปัจจยตา มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ ง่ายสำ�หรับนักวิทยาศาสตร์จะมาศึกษา พระพทุ ธศาสนา ววิ ฒั นาการตามธรรมชาตทิ �ำ ใหม้ กี ฎ Process of action and reaction หนา้ ท่ีมันเกิดขึ้นมาแก่สง่ิ ที่มีชีวติ กเ็ พราะว่ามนั มีกฎอนั นี้ เราจงึ เรียก ว่าหน้าที่น้ีเกดิ ขึน้ โดยกฎของธรรมชาติ ทีนี้ก็จะให้ดูต่อไปว่ากฎของธรรมชาติทำ�ให้เกิดความทุกข์ข้ึนมาได้ อยา่ งไร กฎของธรรมชาตติ ามธรรมชาตทิ �ำ ใหเ้ กดิ ความทกุ ขข์ น้ึ มาไดอ้ ยา่ งไร ขอ้ นขี้ อใหท้ า่ นทง้ั หลายระลกึ ไปถงึ สงิ่ ทเี่ รยี กวา่ สญั ชาตญาณ หรอื instinct ในภาษา ไทยเราเรยี กวา่ สัญชาตญาณคอื ความรู้ท่เี กดิ เอง มนั มี instinct ตดิ มาในชีวิตทกุ ชีวิตเพื่อจะให้มีความรู้สึกว่าตัวตน รักตัวตน ถนอมตัวตน ปฏิบัติเพ่ือความอยู่ รอดของตัวตน ท่ีจำ�เป็นแก่สิ่งท่ีมีชีวิต แต่ว่าสัญชาตญาณอันนี้มันควบคุมไว้ไม่ ไดม้ ันเลยเกนิ ไป เลยเกินไปจนมีตวั ตนชนดิ ทเี่ ห็นแก่ตวั ตน อย่างนี้เราเรียกว่าสัญชาตญาณหรือ instinct นั้นได้ทำ�ให้เกิดกิเลส Instinct ที่ควบคุมไว้ไม่ได้ไม่อยู่ในความถูกต้องน้ีได้ทำ�ให้เกิดกิเลส เป็นราคะ โทสะ โมหะ และกเ็ กดิ ความเหน็ แกต่ วั เมอ่ื เกดิ ความเหน็ แกต่ วั แลว้ มนั ชว่ ยไมไ่ ด้ แลว้ มนั ตอ้ งเปน็ ทกุ ข์ อยคู่ นเดยี วมนั กว็ ติ กกงั วล หวาดกลวั เปน็ หว่ งมนั กเ็ ปน็ ทกุ ข์

7ธรรมบรรยายโดย พุทธทาสภกิ ขุ เพราะความเห็นแก่ตัว แล้วไปเกย่ี วข้องกบั ผู้อ่นื ก็เบียดเบยี นผู้อื่นท�ำ ผู้อ่นื ใหเ้ ปน็ ทกุ ขเ์ รยี กวา่ instinct ตามธรรมชาตไิ ดพ้ ัฒนาเกินหนา้ ที่จนกลายเป็นกิเลส เกดิ ความเหน็ แก่ตวั แลว้ กเ็ ปน็ ทุกข์ instinct ทำ�ใหเ้ กิดกเิ ลส ทธ่ี รรมชาตหิ รอื กฎธรรมชาตใิ หเ้ กดิ ความทกุ ขข์ อ้ แรกนนั้ ทก่ี ลา่ วมาแลว้ นน้ั กค็ อื เราควบคมุ instinct ไมไ่ ด้ ทนี เ้ี รากด็ ตู อ่ ไป ถดั มากเ็ รยี กวา่ เราควบคมุ จติ ในขณะแห่งผัสสะไม่ได้ ผัสสะหรือ contact นี้เป็นคำ�สำ�คัญมาก ที่ขอร้องให้ ทา่ นทงั้ หลายพยายามเฝา้ ทำ�ความเขา้ ใจใหด้ ที สี่ ดุ ทเี่ รยี กวา่ ผสั สะ ถา้ เราควบคมุ ไม่ได้ปัญหาต้องเกิดขึ้นหรือว่ามันได้เกิดข้ึนทั่วโลก เพราะว่าคนในโลกมันควบ คุมผัสสะไม่ได้ คือวา่ ตากระทบรปู หกู ระทบเสียง จมกู กระทบกลิ่น ลน้ิ กระทบ รส กายกระทบส่ิงสมั ผสั ทางกาย จิตสมั ผัสอารมณเ์ รยี กว่าผัสสะ ผสั สะ ตอนนั้น เราควบคุมไม่ได้เพราะเราไม่มีความรู้หรือว่าเพราะเราไม่มีสติสัมปชัญญะพอท่ี จะใช้ความรู้ สว่ นมากมนั กไ็ มม่ คี วามรู้ และกม็ นั ไมม่ โี อกาสทจ่ี ะใชค้ วามรู้ ผสั สะ ผสั สะ contact มนั กป็ รงุ เปน็ process ของกเิ ลสหรอื ความทกุ ข์ คอื ผสั สะใหเ้ กดิ เวทนา ส�ำ หรบั จะรกั หรอื จะไมร่ กั เวทนาโงๆ่ ชนดิ นมี้ นั เกดิ ขน้ึ และกท็ �ำ ใหเ้ กดิ ความอยาก อยากอย่างยง่ิ อยากไดต้ ามทม่ี ันจะรสู้ กึ อย่างไร ถา้ นา่ รกั กอ็ ยากได้ ถา้ ไมน่ า่ รกั ก็ อยากทำ�ลาย ความอยากเป็นไปอย่างแรงกล้าอย่างนี้ก็เรียกว่าเกิดกิเลสแล้วก็ เป็นความทุกข์ ความทุกข์เกิดข้ึนเพราะเราควบคุมผัสสะไม่ได้ ผัสสะมีอยู่เป็น ประจำ�วันทุกวนั มากมายเราควบคุมไมไ่ ด้ ความทุกข์กเ็ กดิ ขึน้ ทุกวัน สรปุ ความ วา่ เรามคี วามทกุ ขเ์ พราะเราควบคมุ ผสั สะไม่ได้

8 ธรรมะคอื หน้าท่ี ในประการที่สาม อย่างท่ีสาม เราจะพูดว่าเราควบคุม egoism หรือ egoistic concept ไม่ได้ เราควบคุมมันไม่ได้ มันก็กลายเป็นความเห็นแก่ตัว เรื่องนีย้ ากมากเพราะว่า egoism นม้ี ันเปน็ instinct ทม่ี ันติดมากบั ชวี ิต ขอให้ ทา่ นสนใจเรอ่ื งนใี้ หด้ เี พราะมนั เปน็ ปญั หาของธรรมะ egoism นมี้ นั ท�ำ ใหเ้ กดิ เปน็ ความคิดว่าตัวตน ว่าของตน แล้วก็แก่เห็นแก่ตน แล้วก็เป็นทุกข์ มันเกิดตาม ธรรมชาติ ตามสัญชาตญาณ อยา่ งทจี่ ะขอยกตวั อยา่ งวา่ เดก็ ๆ เด็กๆ ทารกเลก็ ๆ น้ีมันเดินไปชนเก้าอ้ี มันก็คิดขึ้นมาได้เองว่าเก้าอ้ีนี้เป็นศัตรูของเราเด็กๆ เขาก็ เลยชกเกา้ อ้ี เตะเกา้ อี้ ในฐานะท่ีว่าเปน็ ศัตรขู องเรา น้คี อื ปฏกิ ิรยิ าท่อี อกมาจาก egoism วา่ ตวั ตน ว่าของตน ซึง่ เกิดได้ง่ายเกิดได้ตามธรรมชาติ โดยไมต่ ้องมใี คร สอนแลว้ ก็มันมากขึ้นๆ เข้มข้นขนึ้ ๆ จนมาเป็นปัญหาอย่เู ดย๋ี วนี้ ฉะน้ันถ้าเราควบคุมความรู้สึกที่เป็น egoistic อย่างน้ีได้มันก็จะไม่มี ปญั หาอะไรเลย จะไมเ่ กดิ กเิ ลสใดๆ จะไมเ่ กดิ ความเหน็ แกต่ วั หมด กเ็ ลยอยสู่ บาย ทงั้ สว่ นตวั และสว่ นท่เี ก่ยี วกบั ผอู้ ืน่ ธรรมชาติมันใหม้ ี instinct มาสำ�หรับทำ�ให้ เกิด egoism แลว้ ก็เกิด selfishness แล้วมันก็มปี ัญหา ซึง่ เราปดั เปา่ กันไมค่ ่อย จะหวาดไหว ในวนั หนงึ่ ๆ ขอใหท้ า่ นรู้จักส่ิงน้วี ่าควบคมุ ไมไ่ ด้กเ็ กิดปัญหา ความ รู้ทางธรรมะจะชว่ ยใหส้ ามารถควบคมุ สิ่งเหลา่ น้กี ค็ ือจะชว่ ยแกป้ ญั หานน่ั เอง ทนี กี้ ม็ าดใู นฝา่ ยตรงกนั ขา้ ม ตามกฎของธรรมชาติ โดยกฎของธรรมชาติ จะดับทุกข์ได้อย่างไร ที่แล้วมาพูดให้เกิดทุกข์ได้อย่างไร เดี๋ยวนี้จะพูดว่าจะ ดับทุกข์ได้อย่างไร มันก็คือนัยยะอันตรงกันข้ามคือการพัฒนาสัญชาตญาณให้

9ธรรมบรรยายโดย พทุ ธทาสภิกขุ เป็นโพธิ เม่ือตะก้ีสัญชาตญาณไม่ได้รับการพัฒนาที่ถูกต้องมันไปตามบุญตาม กรรมกไ็ ปเปน็ กเิ ลส ความมตี วั ตนเปน็ สญั ชาตญาณไมไ่ ดร้ บั การควบคมุ ไมพ่ ฒั นา ที่ถูกต้องมันก็กลายเป็นกิเลสคือเห็นแก่ตนเป็นกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง น่ันนะมันไมไ่ ด้พัฒนามันกเ็ ปน็ กิเลส ทีนี้ความมีตัวตนน้ีทำ�ให้มีการพัฒนาท่ีดี ให้มีตัวตนท่ีถูกต้องคือให้มี ตัวตนทีม่ โี พธิ มีปัญญารู้ว่าอะไรเปน็ อยา่ งไร โดยเฉพาะรู้วา่ ทุกข์เปน็ อย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร ความดับทุกข์เป็นอย่างไร ทางถึงความดับทุกข์ เปน็ อยา่ งไร สญั ชาตญาณนกี้ ก็ ลายเปน็ โพธิ มนั จะมาในทางทว่ี า่ จะดบั ทกุ ข์ ถา้ เปน็ ไปทางกเิ ลสมันก็เปน็ ไปในที่จะเกดิ ทุกขม์ ากข้นึ ถา้ เป็นไปในทางโพธิ มนั ก็ จะดับทุกข์ได้มากขึ้น ฉะน้ันเรามีวิชาที่เรียกว่าธรรมะ หรือปฏิบัติธรรมะน้ีจะ ควบคุมสัญชาตญาณไว้ให้ถูกต้อง หรือว่าพัฒนามัน พัฒนามันให้กลายมาเป็น โพธิ รู้อย่างครบถ้วนทั่วถึงว่าเรามีหน้าที่อย่างไร ปฏิบัติอยู่อย่างไรจึงจะไม่เกิด ความทกุ ข์ นีอ้ าศยั กฎของธรรมชาติอกี เหมอื นกัน โดยการพฒั นาสัญชาตญาณ ใหเ้ ปน็ โพธิ ทีน้ีเราก็จะย้อนไปดูถึงคำ�ว่าหน้าที่ หรือธรรมะอีกทีหนึ่งเป็นการสรุป ความ ธรรมะคอื หน้าท่ี หนา้ ท่ีคือธรรมะ ธรรมะคอื หน้าที่ ขอให้มองเห็นชดั วา่ มันเป็นอย่างนน้ั ทจี่ ะดูว่าหนา้ ท่ี หนา้ ทน่ี ีม้ คี วามสำ�คญั หรือมคี ณุ ค่าอย่างไร พูด ตามส�ำ นวนภาษาไทยกเ็ รยี กวา่ ท�ำ ใหไ้ มเ่ สยี ชาตเิ กดิ ส�ำ นวนไทยวา่ ไมเ่ สยี ชาตเิ กดิ หรอื ว่าคมุ้ ค่าทีไ่ ดเ้ กดิ มา เราไดเ้ กดิ มาเปน็ มนุษย์มชี ีวติ เราถอื วา่ มีคา่ ฉะน้นั เรา

10 ธรรมะคือหน้าที่ มีชีวิตนจี้ ะตอ้ งไดอ้ ะไร จะต้องมีอะไร จะตอ้ งทำ�อะไร จึงจะมีคา่ หรอื คมุ้ คา่ ของ การทีไ่ ดม้ ชี วี ติ และไม่เสยี ชาติเกิด มเิ ช่นน้ันก็เท่ากับมไิ ด้เกิด คือเกิดมาอย่างไม่รู้ วา่ จะตอ้ งท�ำ อะไร มนั กท็ �ำ ไปตามกเิ ลสหรอื ความโงข่ องสญั ชาตญาณกไ็ มไ่ ดอ้ ะไร ดีพอทจ่ี ะเรียกวา่ มนุษย์ มนั เป็นเพียง sensual being ตวั หนึ่งเทา่ นั้น มนั ไม่ได้ มีความเป็นมนุษย์หรือ human being ขอให้มองเห็นว่าค่าของหน้าท่ีนี้ เรา ปฏบิ ัตแิ ลว้ ท�ำ ใหเ้ รามีความเปน็ มนษุ ยท์ ่ีสมบรู ณ์ the man perfected ข้นึ มา ทีน้ีคุณค่า คุณค่าของชีวิตที่เราจะต้องมองต่อไปเป็นสองอย่างคือฝ่าย เราเองกจ็ ะมีชวี ติ รอดอยูอ่ ย่างเย็น รอดชีวิตอยูอ่ ยา่ งเยน็ น้คี า่ ฝา่ ยตวั เราเอง ท่ี เกย่ี วกบั ผอู้ น่ื กเ็ ปน็ ประโยชนแ์ กท่ กุ ฝา่ ย เราเองไดม้ ชี วี ติ รอดคอื ไมต่ าย และกร็ อด อยู่อย่างเย็นไมม่ ีปญั หา ไมม่ คี วามทุกข์ มีความเป็นอสิ ระ มีความสงบ รวมๆ กนั แล้วก็คือความรอดที่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของทุกศาสนา เรามีชีวิตเย็น ตลอดไปนเี้ รอ่ื งของเรา ทนี เี้ รอ่ื งของผอู้ น่ื เรามชี วี ติ ทเี่ ปน็ ประโยชนแ์ กท่ กุ ฝา่ ย เรามีความรู้ มีความสามารถเอาตัวรอดไดอ้ ย่างไร เราก็ชว่ ยใหผ้ ู้อ่นื มชี วี ติ รอดได้ อยา่ งนนั้ เรยี กวา่ เปน็ ประโยชนแ์ กผ่ อู้ นื่ อนั นสี้ �ำ คญั เพราะวา่ ธรรมชาติ ธรรมชาติ หรือกฎของธรรมชาติกำ�หนดมาอย่างน้ัน คือกำ�หนดมาสำ�หรับเรา มิได้อยู่คน เดียวในโลก ธรรมชาติก�ำ หนดสำ�หรับเรามาอย่ดู ว้ ยกันมากๆ การท่ีเราจะมาอยู่ด้วยกันมากๆ ได้นั้นเราต้องมีอะไรที่เป็นเครื่อง ประสานกันให้อยู่กันได้มันก็คือประโยชน์นั่นเอง ถ้าต่างฝ่ายต่างทำ�ประโยชน์ แกก่ นั มนั เปน็ การประสานกนั อยา่ งดี มนั กอ็ ยกู่ นั ไดเ้ พราะมธี รรมะถกู ตอ้ ง มหี นา้

11ธรรมบรรยายโดย พุทธทาสภกิ ขุ ท่ีถูกต้อง ที่จริงโลกนี้ยังจะอยู่ได้อีกมากถ้าว่าทุกคนมีธรรมะ มีความถูกต้อง เปน็ ประโยชนแ์ กก่ นั และกนั โลกนจ้ี ะบรรจคุ นไดม้ ากกวา่ นไี้ มต่ อ้ งคมุ ก�ำ เนดิ กไ็ ด้ แตเ่ ด๋ียวนมี้ นั อยู่กันอยา่ งไมถ่ กู ต้อง ไม่รักกัน ไมเ่ ออื้ เฟื้อกนั ไมช่ ่วยเหลอื กัน เลย มปี ัญหาว่าคนมันมากเสยี แล้ว จะตอ้ งลดจำ�นวนคนต้องคุมกำ�เนิด อย่างน้มี ันไม่ ไดถ้ ูกตามทกี่ ฎธรรมชาติก�ำ หนดมา เราจะต้องมีชีวิตที่มีคุณค่าแก่ตัวเราเอง มีชีวิตเย็นมันก็มีคุณค่าที่ทำ� ประโยชน์ เปน็ ประโยชน์แก่ผอู้ ่นื ทุกคนในโลกด้วย นีก้ เ็ รียกวา่ ประโยชนข์ อง ธรรมะ ประโยชน์ของหนา้ ที่คือธรรมะนนั่ เอง ดูต่อไปถงึ คณุ คา่ ของธรรมะหรอื หน้าที่ ถ้าเรามีหนา้ ท่ถี ูกตอ้ ง มีธรรมะ ถูกต้อง แล้วจะมีพระเจ้าที่ช่วยเราได้จริงๆ ก็พูดกันแล้วว่าพุทธศาสนามีแต่ Impersonal God แม้จะเป็น Impersonal God เป็นเพียงกฎของธรรมชาติก็ จะเปน็ พระเจ้าทช่ี ่วยเราได้จรงิ God The Savior , The Savior จะชว่ ยได้จริง คือธรรมะหรือหน้าที่ท่ถี ูกตอ้ ง เมื่อเราทำ�หน้าท่ีที่ถูกต้อง หน้าที่ท่ีถูกต้องจะกลายเป็น God The Savior ช่วยผู้นั้นทันที ถา้ ผูน้ นั้ ไมท่ �ำ หน้าท่ีท่ถี กู ต้องไม่มี God ชนิดไหนชว่ ย ได้ God จะมาสกั ฝูงก็ช่วยไมไ่ ด้ ถา้ มันไมท่ �ำ หนา้ ท่ที ี่ถกู ต้อง ถา้ เราทำ�หนา้ ทีท่ ีถ่ กู ต้อง หนา้ ที่ทีถ่ ูกต้องกก็ ลายเป็น God แมจ้ ะเป็น Impersonal God มนั กจ็ ะ ช่วยได้จริง ช่วยได้แท้จริง ฉะนั้นหน้าที่และธรรมะที่ถูกต้องน้ันจะทำ�ให้เรามี God ทช่ี ว่ ยเราไดจ้ ริง

12 ธรรมะคือหน้าที่ ในท่ีสุดขอให้ท่านมองเห็นว่าศาสนาทั้งหลายมีอยู่มากในโลกทั้งหมดนี้ แบง่ ออกเปน็ สองพวก พวกหนง่ึ เชอ่ื วา่ มพี ระเจา้ ผสู้ รา้ ง เราเรยี กกนั รวมๆ วา่ พวก Creationism ผทู้ ถี่ อื วา่ มพี ระเจา้ เปน็ ผสู้ รา้ งและกม็ หี ลายศาสนา ศาสนาอกี พวก หนึ่งไม่เช่ืออย่างนั้นไม่ถือว่ามีพระเจ้าผู้สร้าง มีแต่กฎของธรรมชาติเป็นกฎของ วิวัฒนาการ เราเรียกพวกนี้ว่า Evolutionism ท่านจำ�คำ�สองคำ�นี้ไว้ให้ดีว่า Creationism จะมพี ระเจา้ อยา่ งบุคคล และก็ Evolutionism จะไมม่ ีพระเจา้ อยา่ งบคุ คล แตก่ ก็ ล่าวไดว้ ่ามีพระเจา้ อย่างท่ีเปน็ Impersonal God คอื กฎของ ธรรมชาติ เดี๋ยวนี้ทา่ นทัง้ หลายก�ำ ลังมาศกึ ษาศาสนาของพวก Evolutionism คือ พุทธศาสนา ทา่ นก็ตอ้ งเข้าใจวา่ มนั มหี ลกั เกณฑอ์ ยา่ งนี้มนั มี Duty หรือมีธรรมะ น้ันแหละเป็น God เป็น Impersonal God คร้ันปฏิบัติตามแล้วหน้าที่นั้นก็ กลายเปน็ God และก็ชว่ ยจรงิ ช่วยทนั ที ช่วยไมจ่ ำ�กัดเวลาไมต่ ้องรอตอ่ ตายแลว้ ไม่ตอ้ งรอต่อตายแลว้ ไมจ่ �ำ เปน็ ทำ�ทันที ช่วยทันที ท�ำ ทันที ช่วยทันที ใหถ้ กู ตอ้ ง ตามกฎของอทิ ปั ปัจจยตา คอื The Perfect of Action and Reaction แล้ว มันกม็ ีความรอด มคี ณุ คา่ ของหนา้ ที่ คณุ คา่ ของธรรมะท�ำ ใหเ้ รามพี ระเจา้ ทแี่ ทจ้ รงิ ชว่ ยเรา อยา่ งนี้ แตเ่ ดีย๋ วน้ีเราจะมาประสมประสานกนั กลมเกลยี วกันระหวา่ งสองฝา่ ย คือ Creationism และ Evolutionism เรากพ็ อจะอธบิ ายกันได้ว่ากฎธรรมชาติ คือพระเจ้าผู้สร้าง ธรรมะคือกฎธรรมชาติ คือพระเจ้าผู้สร้าง ธรรมะคือหน้าท่ี ตามกฎของธรรมชาตคิ ือพระเจา้ ผู้ช่วย เราก็มีสมบรู ณ์กันท้ังสองฝ่าย ทุกๆ ฝ่าย มีพระเจ้าผู้สรา้ ง มีพระเจ้าผชู้ ่วย เราจะตอ้ งทะเลาะกันท�ำ ไม

13ธรรมบรรยายโดย พทุ ธทาสภกิ ขุ แตว่ า่ ถา้ จะตอ้ งการศกึ ษาวถิ ที างของพทุ ธศาสนาซงึ่ เปน็ Evolutionism อยา่ งทส่ี ดุ กต็ อ้ งศกึ ษาในขอ้ นี้ ใหร้ จู้ กั สง่ิ ทเี่ รยี กวา่ ธรรมะ ธรรมะคอื หนา้ ท่ี ธรรมะ คือหน้าที่เป็นสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าก็เคารพ ค้นพบและเคารพ แล้วเอามา สง่ั สอน หวงั วา่ ทา่ นทงั้ หลายจะมองเหน็ ประโยชนห์ รอื คณุ คา่ ทสี่ ดุ ของสงิ่ ทเ่ี รยี ก วา่ ธรรมะในลกั ษณะนแี้ ละกจ็ ะตอบไดเ้ องวา่ ธรรมะท�ำ ไมกนั ธรรมะท�ำ ไมกนั เหน็ วา่ ธรรมะท�ำ ไมกนั แล้วเรอื่ งของเราก็จบ ขอยตุ ิการบรรยายในวนั นี้ไวเ้ พียงเทา่ น.ี้

“... เราพยายามจะศึกษาจะปฏิบตั ิตามหนา้ ทีน่ ี้ เพื่อให้ได้พบชีวิตอีกชนิดหนึง่ ซึ่งจะเรียกวา่ ชีวิตใหมก่ ไ็ ด้ เพือ่ อยเู่ หนืออิทธิพลของสิง่ ท้งั หลาย ที่จะบีบคน้ั ชีวิตนี้ใหม้ ีความทุกข.์ ..”

ความเกดิ เอกสารจดหมายเหตพุ ุทธทาส อนิ ทปัญโญ. รวมภาพวาดลายเส้น และค�ำ กลอน. (พ.ศ.2472-2496). BIA 5.2/1 (2/2) กลอ่ ง 1. หนา้ 326.

ธรรมบรรยายเร่ือง ธรรมะคอื หน้าที่ อบรมพระนิสิตมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ครง้ั ท่ี ๒ วนั ท่ี ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ ผู้ถอดค�ำ บรรยาย คณุ อิสระ โพธิจนั ทร์ ผู้ตรวจทาน คณุ อนงค์ จติ มุง่ งาน

15ธรรมบรรยายโดย พุทธทาสภกิ ขุ ธรรมะคือหนา้ ท่ี ท่านทเ่ี ป็นนักศึกษาและเพ่ือนสหธรรมกิ ท้งั หลาย ผมก็ขอถือโอกาสน้ี ถวายข้อคิดนึก หรือความรู้บางอย่างบางประการ นอกหลักสูตรตามเคย พูดกันที่น่ีก็ถือว่าเป็นแบบวัดป่าพระเถ่ือน สงวนไว้ซ่ึง เสรีภาพที่จะพูดอะไรได้ตามอิสระ และบางทีก็ตามที่จะนึกออก ผมก็ขอเรียน ทา่ นทงั้ หลายวา่ อยา่ งนว้ี า่ ตามทจี่ ะนกึ ออก เพราะมนั ไมเ่ ปน็ หลกั สตู ร เรอ่ื งทเี่ คย คดิ เคยนกึ เหน็ วา่ มปี ระโยชนท์ จ่ี ะมาบอกกลา่ วกนั กจ็ ะเอามา แมท้ สี่ ดุ แตข่ อ้ ทว่ี า่ เปน็ เพอ่ื นสหธรรมกิ ดว้ ยกนั ทา่ นบางคนอาจจะคดิ วา่ มนั แตกตา่ งกนั โดยอายโุ ดยอะไรตา่ งๆ มากมาย จะเปน็ เพอ่ื นกนั อยา่ งไร ขอใหเ้ ลกิ ความคดิ ชนดิ นนั้ เสยี เรายงั เปน็ เพอ่ื นประพฤติ พรหมจรรย์ร่วมกันอยู่ในพระพุทธศาสนา แม้แต่ในรูปของแบบการศึกษาเราก็

16 ธรรมะคอื หน้าที่ เปน็ เพ่ือนกัน และเมื่อถือว่าการศกึ ษาเป็นการปฏิบัตสิ ่วนหนง่ึ สงเคราะห์อยูใ่ น การปฏิบตั ธิ รรม ก็เป็นเพอ่ื นปฏิบตั ิธรรม เป็นเพ่ือนสหธรรมิกปฏบิ ตั ิธรรมะร่วม กนั ถา้ จะเลยไปถงึ ค�ำวา่ เปน็ บตุ รตถาคตดว้ ยกนั นก้ี เ็ ขา้ ใจวา่ คงไมม่ ใี ครปฏเิ สธ คง ไมม่ ใี ครนกึ ถงึ ความแตกแยกหรอื ความเหลอื่ มลำ้� และขอใหส้ นใจค�ำ ค�ำนไ้ี วด้ ว้ ย มนั จะป้องกันปัญหาได้มาก คือวา่ เราถือวา่ เราเปน็ บุตรตถาคตด้วยกัน มีหนา้ ท่ี สนองพระพทุ ธประสงค์ แกพ่ ระพทุ ธบิดารว่ มกัน เรากม็ ีหรือควรจะมีสิทธิที่จะ พดู จาอะไรกันไดอ้ ย่างอิสระ ตอนน้นี กึ ออกวา่ ผมควรจะพดู ถงึ คำ�วา่ ตถาคตเปน็ เรื่องพเิ ศษ เรามกั จะเข้าใจคำ�ว่า ตถาคต คำ�น้หี มายถงึ พระพทุ ธเจ้า เม่อื พระองคต์ รสั ถงึ พระองค์ เอง จงึ ไมค่ ่อยจะพบในบาลี ตรงกบั ตรสั ภาษาคนธรรมดาว่าเรา เรา อหํ เรามา บญั ญตั กิ นั เอาเองวา่ หมายถงึ พระพทุ ธเจา้ ใหค้ �ำ อธบิ ายวา่ มาอยา่ งพระพทุ ธเจา้ ไปอย่างพระพุทธเจ้า ก็เลยเป็นตถาคต แต่ผมมาสังเกตเห็นเง่ือนงำ�อะไรบาง อย่างแปลกออกไปว่า คำ�ว่าตถาคตนั้น ไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ และกไ็ มไ่ ดม้ คี วามหมายเปน็ สตั วท์ วั่ ไป โดยเฉพาะวา่ สตั วม์ าอยา่ งไร ไปอยา่ งนน้ั ในคำ�อธิบายอันตคาหิกทฏิ ฐิ ๑๐ ในโรงเรียน ใชค้ ำ�วา่ ตถาคต ตถาคตตายแลว้ มีอีกหรือไม่ ตถาคตตายแล้วไม่มีอีกหรือไม่ ใช้คำ�ว่าตถาคต มักจะอธิบายกัน ว่าสัตว์ ผมเหน็ วา่ ค�ำ วา่ ตถาคตนมี้ ไิ ดห้ มายถงึ เฉพาะพระพทุ ธเจา้ และกไ็ มอ่ าจ จะหมายถึงสัตว์ทั่วไปด้วย เมื่อก่อนเม่ือผมเรียน หรือเป็นครูก็สอนอย่างน้ัน

17ธรรมบรรยายโดย พทุ ธทาสภิกขุ สอนอยา่ งที่ครเู คยสอน แตเ่ ด๋ยี วน้กี ็มีความเห็นว่าควรจะพจิ ารณากันใหม่ คำ�ว่า ตถาคต เอาตามตัวหนังสือเลย ตถาหรือตถะก็ได้ ตถาก็ได้ คำ�เดียวกัน แล้วก็ คตะ ผู้ถึงตถา ผู้ถึงซึ่งตถาก็คือถึงซ่ึงธรรมะท่ีเป็นเช่นน้ันเอง คือไม่มีตัวตน ปราศจากความหมายแหง่ ตวั ตน ในพระบาลมี ไี วพจน์ หลายค�ำ วา่ ตถา อวติ ถา อนัญญถา คอื เปน็ อยา่ งนน้ั ไมผ่ ดิ จากอยา่ งนน้ั ไมเ่ ปน็ โดยประการอน่ื จากความเปน็ ไปอยา่ งนน้ั แล้วก็ระบุไปยังอิทัปปัจจยตา คอื เปน็ ไปตามกฎอทิ ปั ปจั จยตา เรียก วา่ ตถา เมอ่ื ถงึ ซึ่งธรรมะในระดบั ทเ่ี ปน็ เพียงอิทปั ปจั จยตา ไม่มตี ัวตน แลว้ ก็ส้นิ กิเลส สน้ิ อาสวะ ดังน้ัน จึงเช่ือว่าคำ� คำ�นี้หมายถึงพระอรหันต์ ไม่ใช่หมายถึงเฉพาะ พระพุทธเจ้า และก็มิได้หมายลงมาถึงสัตว์ท่ัวไป เพราะว่าสัตว์ทั่วไปมิได้ถึงซึ่ง ตถา ตถาคือธรรมะสูงสุด ธรรมะคงที่ ธรรมะเหนือเหตุเหนือปัจจัย แต่ พระพทุ ธเจา้ และพระอรหันต์ท้งั หลายทา่ นถงึ สง่ิ ซ่งึ ท่ีเรยี กวา่ ตถา และกเ็ ลย ได้นามวา่ ตถาคต เคา้ เงือ่ นทางมหายาน เทา่ ท่ีสังเกตดู ดูเหมือนจะมุ่งอธบิ าย อย่างนี้เหมือนกัน ในเรื่องอันตคาหิกทิฏฐิ ๑๐ ที่ว่าตถาคต โหติ ตถาคโต ปรมฺมรณา ตถาคตค�ำ นน้ั ไมไ่ ดแ้ ปลวา่ สตั ว์ แตแ่ ปลวา่ ผู้ทถ่ี ึงท่สี ุดแหง่ การปฏิบตั ิ ในศาสนานั้นๆ แล้ว ถ้าใช้ในพระพุทธศาสนาก็หมายถึงพระอรหันต์ แม้จะใช้ในศาสนาอ่ืน เขากม็ พี ระอรหนั ตต์ ามแบบของเขา ขอใหเ้ ขา้ ใจดว้ ยวา่ ค�ำ วา่ อรหนั ตน์ ใ้ี นศาสนา อื่นเขาก็มใี ช้ และกเ็ ป็นพระอรหันต์ตามแบบบญั ญัตขิ องเขา คอื ผูใ้ ดถงึ ทสี่ ดุ แหง่ การปฏิบัติพรหมจรรย์ของเขาๆ ตามลัทธิ แล้วก็เรียกว่าถึงตถา แล้วก็เลยเป็น พระอรหนั ตต์ ามแบบของเขา

18 ธรรมะคอื หน้าที่ ทนี ม้ี นั เกดิ เป็นปญั หากลางบา้ นขน้ึ มาคือทัว่ ไปหมด ทสี่ งสยั วา่ ตถาคตผู้ ทถ่ี ึงตถาแลว้ ตายแลว้ จะมาเกิดอกี หรอื ไม่ เป็นเหตผุ ลทชี่ ัดเจนดมี าก ถ้าเป็นคน ธรรมดาก็ไม่ต้องถาม ถ้าเป็นพระพุทธเจ้ามันก็แคบ แคบไป เลยเอาว่าผู้ท่ีเป็น พระอรหนั ตถ์ งึ ทสี่ ดุ จบพรหมจรรยแ์ ลว้ ตายแลว้ จะมอี กี หรอื ไม่ ผมกอ็ ยากจะถอื เอาความหมายค�ำ วา่ ตถาคต คอื ผถู้ งึ ซงึ่ ตถา ไดแ้ กพ่ ระอรหนั ตท์ ว่ั ไป ถา้ เปน็ ทฏิ ฐิ ของความสงสัยก็วา่ พระอรหันตต์ ายแลว้ มีอกี หรือไม่ หรอื ว่าไม่มี อย่างนเี้ ปน็ ต้น ดงั นน้ั คำ�วา่ บตุ รตถาคต ควรจะหมายถึงลูกของพระอรหันตม์ ากกวา่ มันก็ยง่ิ กวา้ งออกไป ความหมายยงิ่ กวา้ งออกไป เปน็ บตุ รตถาคต เปน็ ลกู ของพระอรหนั ต์ ขอฝากไว้ไปคิดดู เงื่อนงำ�ทางธรรมะ ทางอรรถะนนั้ มนั กม็ ซี ับซ้อนหลายชนั้ ดังนั้น วนั นคี้ ำ�บรรยายวันน้ีก็อยากจะพดู ถึงเรือ่ ง ในความซับซอ้ นของ เรอ่ื งหรือของถ้อยค�ำ หรอื ของปัญหาแต่ละปัญหา ความลกึ ลบั ซับซอ้ นของเร่อื ง แตล่ ะเรอ่ื งของธรรมะ แลว้ กจ็ ะพดู ถงึ เรอ่ื งทสี่ �ำ คญั ทส่ี ดุ คอื เรอื่ งหรอื สงิ่ ทเ่ี รยี กวา่ ธรรมน่ันเอง ธรรมะน่ันเอง เร่ืองนี้ถือว่าสำ�คัญที่สุด เพราะเป็นเร่ืองท่ีเราต้อง ปฏิบัติให้ถึงที่สุด และเป็นเรื่องท่ีเราจะต้องทำ�ตามพระพุทธประสงค์ว่าจง ประกาศธรรมะพรหมจรรย์ แสดงธรรมให้งดงามเบ้ืองต้น งดงามท่ามกลาง งดงามเบื้องปลาย เป็นสิง่ ยังผูกพนั เราท้งั หลายอยู่ ดังน้ัน ก็จะต้องสนใจเร่ืองธรรมะนี้ให้เป็นพิเศษ เป็นเรื่องกว้างใหญ่ ครอบคลุมเรอ่ื งทง้ั หมดจะเป็นการดี ส่วนทีเ่ ราจะต้องศึกษาและปฏบิ ัตกิ ม็ ี สว่ น ท่ีเราจะต้องเผยแผ่ตามพระพุทธประสงค์น้ันก็มี เรามาสนใจเร่ืองคำ�ว่า ธรรมะ กันเป็นพิเศษโดยเฉพาะในวนั นี้

19ธรรมบรรยายโดย พทุ ธทาสภิกขุ ค�ำ วา่ ธรรมหรอื ธรรมะน้ี เม่อื เราเรยี นนกั ธรรม เรยี นบาลี เรากส็ อนกัน ว่า ธรรมะคอื ค�ำ สั่งสอนของพระพทุ ธเจ้า พระพุทธเจ้าคือผ้สู อน ธรรมะคอื ส่ิงที่ น�ำ มาสอน สงั ฆะคอื ผทู้ ร่ี บั ค�ำ สอน ธรรมะกเ็ ลยกลายเปน็ ค�ำ สอนของพระพทุ ธเจา้ พอเราเรยี นบาลขี น้ึ มา เรากร็ ตู้ ามรากของศพั ทว์ า่ ธรรมะแปลวา่ สงิ่ ทที่ รงไว้ สงิ่ ทีท่ รงไว้ซงึ่ ผู้ปฏบิ ตั ิไมใ่ ห้ตกไปในทช่ี ว่ั ทจ่ี รงิ ก็แปลวา่ สิง่ ทท่ี รงไว้ แลว้ ทำ�ไมไม่ เฉลียวใจนึกถึงว่ามันทรงตัวเองมันบ้างล่ะ ฉะนั้นถ้าจะถือเอาความหมายคำ�ว่า ธรรมะคอื ส่งิ ทที่ รงไว้ แล้วก็ทงั้ ทรงไว้ท้งั ตัวมนั เองและทรงไวท้ ง้ั ตัวผู้ปฏบิ ัติดว้ ย ทีนี้จะพจิ ารณาค�ำ วา่ ธรรมะที่เรามักจะบอกเด็กๆ เล็กๆ ว่า คือคำ�สั่ง สอนของพระพทุ ธเจา้ น้ี ผมว่าไม่ปลอดภยั ไม่ถกู เร่อื ง ไมป่ ลอดภยั ถา้ เขาโตขึ้น เขาศึกษากว้างขวางออกไป เขาเกิดไปรู้ไว้ว่าธรรมะคำ�นี้ใช้พูดกันอยู่ก่อน พระพุทธเจา้ เกดิ ธรรมะ ธรรมะนีพ้ ดู กันอยู่ก่อนพระพทุ ธเจ้าเกิด ในความหมาย อย่างใดอย่างหนึ่งท่ีใช้กันอยู่ในสมัยน้ัน และในคร้ังพระพุทธกาลน้ันเอง คำ�ว่า ธรรมะก็ได้ใช้กันอยู่นอกพุทธศาสนา คือในลัทธิไหนศาสนาไหนก็ได้ ใช้คำ�ว่า ธรรมะร่วมกนั ดังน้ันจึงมีคำ�กล่าวชัดในบาลีว่าธรรมะ ธรรมะน้ีหมายถึงคำ�สอนท่ีเป็น ระบบของลัทธหิ นงึ่ ๆ เทา่ นั้น เช่น คนเขาจะถามกนั วา่ ทา่ นชอบใจธรรมะของ ใคร ทา่ นชอบใจธรรมะของพระสมณโคดม หรอื ชอบใจธรรมะของนิครนถนาฏ- บตุ ร หรอื ของสญั ชยเวลฏั ฐบตุ ร เปน็ ตน้ ซง่ึ เปน็ เจา้ ลทั ธคิ แู่ ขง่ ขนั กบั พระพทุ ธเจา้ ประชาชนก็ใชค้ �ำ วา่ ธรรมะกันในลกั ษณะอย่างนี้

20 ธรรมะคอื หน้าท่ี ฉะนนั้ เราจะมาพูดว่า ธรรมะคือค�ำ ส่ังสอนของพระพุทธเจ้า มันกอ็ ยู่ใน วงจำ�กดั คือมนั จะถกู นิดเดียว ความหมายของธรรมะน้ัน มันยังกวา้ งไปกว่านนั้ มากมายนัก พูดอย่างเอาเปรียบกว็ ่าธรรมะหมายถงึ ทกุ ส่งิ ไมย่ กเวน้ อะไร นน่ั แหละถกู ทสี่ ดุ ถอื ตามหลักท่ัวๆ ไป ว่าสงิ่ ท่เี ปน็ สังขตะหรืออสงั ขตะก็เรียกว่า ธรรมะ ส่ิงที่เปน็ รูปหรือเปน็ นาม พน้ จากรูปจากนามกเ็ รียกวา่ ธรรมะ สง่ิ เป็น กศุ ล เปน็ อกศุ ล เปน็ อพั ยากฤตกเ็ รยี กวา่ ธรรมะ มนั เลยไมม่ อี ะไรทนี่ อกไปจาก ความหมายของค�ำ ค�ำ น้ี กเ็ ลยวา่ ทกุ สงิ่ คอื ธรรมะ แตถ่ า้ อยา่ งน้ี มนั ไมม่ ปี ระโยชน์ มนั ก็ต้องพูดอยใู่ นขอบเขตท่ีจ�ำ กัด ใหใ้ ชป้ ระโยชนไ์ ด้ ได้ทราบและไดส้ ังเกตเห็นนกั เลงดที างภาษา พวกฝร่ัง ฝร่งั คนหนึ่งเขา พยายามจะศึกษาคำ�วา่ ธรรมะแปลวา่ อะไร จะดหี รือถูกตอ้ ง หรือใช้เป็นหลักได้ ปรากฏวา่ ได้คำ�แปลมาต้ัง ๓๒ คำ� แลว้ กย็ ังรูส้ ึกว่าไมห่ มด ไมห่ มดความหมาย ของคำ�ว่าธรรมะ จะแปลว่าอะไรก็ตามเถอะ อย่างที่เรารู้กันอยู่ ลองนึกดูเถอะ จะแปลวา่ ค�ำ สง่ั สอนกไ็ ด้ จะแปลวา่ ธรรมชาตกิ ไ็ ด้ จะแปลวา่ ประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ะไร ก็ได้ ๓๒ คำ�ก็ยังไม่หมดความหมายของคำ�ว่าธรรมะ เลยยอมแพ้ ตกลงกันว่า อย่าแปล ใหใ้ ช้ค�ำ ว่าธรรม ธรรมะนนั่ แหละเขา้ ไปในภาษาองั กฤษเลย ฉะน้ันคำ�ว่าธรรมะหรือธรรมิก ธรรมิกะก็ดี ธรรมะก็ดี เข้าไปอยู่ใน ปทานุกรมของภาษาองั กฤษ เพราะมนั แปลไม่ได้ นตี้ ้องร้ไู ว้ แต่ถ้าจะจำ�กัดออก มาใหเ้ ปน็ ประโยชน์ ใช้พูดจากันในขอบเขตทจ่ี ะฟงั กันไดง้ ่ายๆ และมนั กม็ ที างที่ จะทำ�ได้ แปลอย่างเอาเปรียบ มันก็ว่าทุกสิ่ง ทุกสิ่งคือธรรมะหมด ไม่ว่าอะไร

21ธรรมบรรยายโดย พุทธทาสภกิ ขุ ภาษาฝรั่งก็ดูจะหายากคำ�ว่าคำ�เดียวจะให้หมายถึงทุกสิ่ง มักจะแปลว่า thing thing คือสงิ่ สิ่ง ส่งิ อะไรก็ได้ ทีน้ีผมมาสังเกตดูตลอดเวลาที่ยาวนานหลายสิบปี ว่ามันควรจะจำ�กัด ความกันว่าอย่างไร ในท่ีสุดไปชอบใจความหมายที่เขาใช้กันอยู่ในอินเดีย ปทานุกรมเด็กๆ ในอนิ เดีย ธรรมะ แปลวา่ หนา้ ท่ี ทีแรกกง็ งเหมอื นกนั ชักจะ ไม่ชอบหรอื คดั ค้านเหมอื นกนั แปลวา่ หน้าที่ แปลว่า duty แต่ในทีส่ ุดกเ็ ห็นด้วย เพราะเป็นคำ�ท่ีจำ�กัดกะทัดรัด เหมาะสมท่ีสุดที่จะเอามาใช้สำ�หรับศึกษาหรือ ปฏิบัตหิ รืออะไรก็ตาม แตย่ ังรกั ความหมายทว่ี า่ ธรรมะมนั หมายถงึ ทุกสง่ิ ยงั รัก อยู่ท่ีจะแปลวา่ ทุกสิง่ กเ็ ลยแบ่งเอาเองวา่ ทุกเรอื่ งทกุ สิ่งท่ีเกยี่ วกบั ธรรมชาติ ถ้า มนั เกย่ี วกบั ธรรมชาติ แลว้ กเ็ ปน็ ธรรมะ เพราะธรรมะในภาษาบาลคี �ำ นกี้ แ็ ปลวา่ ธรรมชาตกิ ไ็ ด้ เป็นคำ�เดยี วกนั ธรรมะเฉยๆ ไมต่ อ้ งธรรมชาติ ธรรมะเฉยๆ แปล ว่าธรรมชาติได้ มีใช้อยู่มากมายหลายแห่ง ก็เลยมานึกแยกออกเป็น ๔ ความ หมาย สี่ความหมาย -ธรรมะคือตัวธรรมชาติทั้งหลาย ธรรมชาติทั้งหลายก็ เป็นธรรมะ จะเปน็ รปู ธรรม นามธรรม เปน็ สังขตะ เป็นอสงั ขตะ กศุ ล หรืออะไร กต็ าม ธรรมชาตทิ ม่ี อี ยตู่ ามธรรมชาตนิ น่ั แหละคอื ธรรมะในความหมายทห่ี นงึ่ วา่ ตัวธรรมชาติ ทีน้ีความหมายที่สอง ว่ากฎของธรรมชาติ เพราะในตัวของ ธรรมชาตยิ อ่ มมกี ฎของธรรมชาตปิ ระจ�ำ อยู่ ทม่ี นั เปน็ กฎของธรรมชาตกิ เ็ รยี กวา่ ธรรมะ ถ้าจะเรียกด้วยคำ�ท่ีใช้กันอยู่โดยมากก็คือ สัจจะ สัจธรรมะ สัจธรรมะ

22 ธรรมะคอื หน้าที่ เม่ืออยา่ งทหี่ น่ึง คอื ตัวธรรมชาติแล้วเราเรยี กว่าสภาวธรรมะ สภาวธรรมะคอื ตัว ธรรมชาติ ตัวที่สอง เรียกว่าสัจธรรมะคอื กฎของธรรมชาติ แลว้ ทีนคี้ วามหมาย ทส่ี าม เมอ่ื มนั มกี ฎบงั คบั อยเู่ หนอื ชวี ติ กเ็ กดิ หนา้ ทท่ี จี่ ะตอ้ งท�ำ ใหถ้ กู ตามกฎของ ธรรมชาติ ความหมายที่สาม จึงได้แก่หน้าท่ตี ามกฎของธรรมชาติ หน้าท่ีตาม กฎของธรรมชาติคือธรรมะในความหมายที่สาม ความหมายที่สี่ คือผลจาก หน้าที่ หน้าที่คือปฏิปตั ตธิ รรม ผลของการปฏบิ ตั ิ คอื ปฏเิ วธธรรม รสู้ กึ วา่ มคี วาม หมายดี มขี อบเขตดี เสนอไปแก่ผ้รู ู้หลายคน ท่านก็เหน็ ด้วย ธรรมะ ๔ ความหมายนจี้ ะมลี กั ษณะเปน็ วทิ ยาศาสตรท์ เี่ หมาะสมกบั โลก ในสมัยปรมาณู ทเ่ี ราจะตอบแกพ่ วกนักวิทยาศาสตรใ์ นยุคปรมาณู ธรรมะคือ ๔ อย่างนี้ แล้วเขาก็จะไม่มีทางแย้งหรือว่าจะมืดมัวอะไร มันพอจะเข้าใจได้ว่า ธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ หนา้ ทีต่ ามกฎของธรรมชาติ แลว้ กผ็ ลที่เกิดจาก หน้าทีต่ ามกฎของธรรมชาติ เปน็ สภาวธรรม เปน็ สจั ธรรม เปน็ ปฏิปัตตธิ รรม เปน็ ปฏเิ วธธรรม ถา้ เราจะใชม้ นั ใหก้ วา้ ง กวา้ งกนั อยา่ งน้ี มนั กจ็ ะไดค้ วามอยา่ งน้ี แต่ทีนเี้ ราไม่จ�ำ เปน็ จะต้องเกี่ยวข้องกนั ทั้งหมด มันกเ็ กยี่ วขอ้ งแตส่ ว่ นที่ จำ�เปน็ มนั ก็คอื ความหมายที่ ๓ ท่ีเรียกว่าหน้าท่ี หน้าท่ี เลยทำ�ให้นึกขึ้นมาไดว้ า่ ในปทานกุ รมทเี่ ขาใชก้ นั อยใู่ นอนิ เดยี ธรรมะแปลวา่ หนา้ ทนี่ ค้ี งจะมเี หตผุ ลมาก มาแตด่ ง้ั เดมิ โบราณดกึ ด�ำ บรรพ์ เพราะวา่ พระศาสดาองคไ์ หนของศาสนาไหน กส็ อนเรอ่ื งหน้าท่ที ง้ั นนั้ ไมใ่ ช่ว่าเปน็ เพยี งคำ�สอนเฉยๆ แลว้ ไม่รู้วา่ สอนอะไร

23ธรรมบรรยายโดย พุทธทาสภิกขุ ถา้ ถามวา่ สอนอะไร กไ็ ปดู สอนเรอ่ื งหน้าท่ี ท่มี นุษย์จะต้องท�ำ ถ้ามันยงั ต่�ำอยู่ มันก็ไปถึงหน้าที่ท�ำมาหากิน ถ้ามันสูงขึ้นมา ก็มีหน้าท่ีดับทุกข์ดับกิเลส นน้ั เลยเปน็ หน้าท่ี เลยผมถือเอาเองวา่ มนษุ ยค์ นแรกในอินเดียท่พี ูดภาษานี้ เรมิ่ สงั เกตเหน็ สง่ิ ทเ่ี รยี กวา่ หนา้ ท่ี หนา้ ทข่ี องสง่ิ ทมี่ ชี วี ติ เขากเ็ รยี กมนั วา่ หนา้ ที่ หนา้ ท่ี แต่เรียกเป็นภาษาแขก ภาษาอินเดยี ภาษาดึกด�ำบรรพ์ กค็ ือค�ำวา่ ธรรมะนั่นเอง ฉะนน้ั ธรรมะก็ไดเ้ ป็นค�ำ พดู คำ�แรกทเ่ี กิดข้นึ มาในโลก โดยบคุ คลทมี่ อง เหน็ สิ่งท่ีเรยี กวา่ หนา้ ท่ีของสง่ิ ทีม่ ีชวี ติ ก็บอกทุกคนใหส้ นใจเรือ่ งหน้าที่ ตอ่ มาก็ มคี รบู าอาจารย์ท่ีเขยบิ เรื่องหนา้ ทีใ่ ห้มนั สูงขึ้นๆ สงู ข้ึนก็เปน็ เรื่องทางจติ ใจ ทาง จิตใจก็สูงข้นึ ๆ จากความเปน็ เพยี งสมาธิ มาเป็นเร่อื งของปญั ญา เปน็ มรรคผล เปน็ นพิ พาน การปฏบิ ตั พิ รหมจรรยน์ ก้ี ค็ อื หนา้ ที่ ค�ำ สอนของพระพทุ ธเจา้ กส็ อน เรอ่ื งหนา้ ท่ี ธรรมะคอื เรอ่ื งหนา้ ทท่ี จ่ี ะตอ้ งปฏบิ ตั เิ พอ่ื ความรอด ทเ่ี ราใชค้ �ำ ค�ำ น้ี เนื่องลงไปหมด เนื่องลงไปถึงปฐมเหตุนั้นเลย ก็แปลว่าหน้าที่ทุกชนิดสำ�หรับ สิ่งทมี่ ชี ีวติ คือธรรมะ ผมก็เลยขอรอ้ งใหท้ ุกคนสนใจความหมายของค�ำ ว่าธรรมะ ธรรมะ นใี้ ห้ กวา้ งทส่ี ดุ ใหล้ กึ ที่สุด ให้ถกู กบั ความจ�ำ เปน็ ของคนในโลกเราที่สดุ และให้แปล ธรรมะว่าหน้าท่ี หนา้ ที่ มันมไี มร่ ู้กี่ระดับ นบั ไมไ่ หว แตถ่ า้ ว่า ประมวลกันได้เป็น หมวดใหญ่ๆ แลว้ มนั กม็ ี ๒ ระดบั หน้าที่เพอื่ รอดตายหนา้ ทีอ่ นั แรก หน้าท่ี อันที่ ๒ หน้าที่เพื่อพ้นทุกข์ รอดตายแต่มีความทุกข์มันไม่ไหว แต่เป็นหน้าที่ พื้นฐาน หน้าท่ีอันแรก หน้าที่ทว่ั ไป ตอ้ งมีหนา้ ทเี่ พื่อใหร้ อดตายกนั กอ่ น มันจงึ

24 ธรรมะคอื หน้าท่ี มีหนา้ ท่ีท�ำ มาหากิน บริหารร่างกาย คร้ันมีชวี ิตอยู่ไดแ้ ล้ว มันก็มีหนา้ ที่ท่จี ะตอ้ ง ขจัดความทุกข์ออกไป ต้นเหตุของความทุกข์คือกิเลส จะต้องขจัดออกไป จึง มหี น้าทที่ จ่ี ะดบั กเิ ลส ดบั ทุกข์ โดยเปน็ ๒ ระดับเพือ่ ความรอด ความรอดมอี ยู่ ๒ ระดบั เทา่ นั้น เอาไปใชใ้ นศาสนาไหนก็ได้ ค�ำ ว่าความรอดมี ๒ ระดบั แม้ภาษาวทิ ยาศาสตร์ก็พดู ได้ว่ามันรอด ๒ ระดับ รอดชีวิตและรอดจากสิ่งไม่พึงประสงค์ในชีวิต โดยใช้ได้แม้แก่สัตว์ เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานก็ต้องมีธรรมะของสัตว์เดรัจฉาน ธรรมะของสัตว์ เดรัจฉานคือหน้าท่ีเพ่ือทำ�ให้รอด ก็เลยไปถึงต้นไม้ต้นไล่ พฤกษาชาติท้ังหลาย ดว้ ยก็ได้ เมอื่ พฤกษาชาติทั้งหลายมนั มีหน้าที่ทีจ่ ะตอ่ สู้เพ่อื ความรอด ถ้าศึกษาพฤกษศาสตร์ในแง่ชีววิทยา แล้วจะพบว่าท�ำงานมากเหลือ เกิน ท�ำงานมากทั้งวันทัง้ คืนเพ่อื ความรอดชีวติ บางทีจะท�ำงานมากกวา่ มนษุ ย์ เสียอกี กลางคืนมันกจ็ ะไม่ไดพ้ ักผ่อนด้วยซำ�้ ไป เพราะเขารูก้ ันว่า ต้นไม้นมี้ นั ก็ ระบายคาร์บอนไดออกไซดม์ าตลอดคนื ระบายออกซเิ จนออกมาตลอดวัน มันก็ ท�ำงานทัง้ คนื ทง้ั วัน เพราะไม่อย่างนน้ั มนั จะเอามาแต่ไหนระบาย มนั กน็ า่ สนใจ ทวี่ า่ มนั ท�ำหน้าทเ่ี หลอื ประมาณ เพ่อื ความรอด ดดู น�ำ้ ดูดอาหาร ไดแ้ สงแดด ก็ ผลติ เป็นธาตุท่จี ะหล่อเลยี้ งล�ำต้นมคี วามเจริญงอกงาม มคี วามเจรญิ งอกงาม ใน เวลากลางคืนก็ระบายคาร์บอนไดออกไซด์ อย่างนี้เป็นต้น ก็ท�ำงานกันอย่างน่า เลอ่ื มใส มนษุ ยเ์ สียอีกยงั มเี ร่อื งพักผ่อนเสียมาก

25ธรรมบรรยายโดย พทุ ธทาสภกิ ขุ เอาละ, เปน็ อนั วา่ ธรรมะแปลวา่ หนา้ ท่ี หนา้ ทนี่ นั้ เพอื่ ความรอด ความ รอดน้นั มี ๒ ระดับ คอื รอดชีวติ กบั รอดจากความทุกข์ ธรรมะคอื หน้าท่ี ก็อยู่ ในความหมายทส่ี าม ของสค่ี วามหมายทว่ี า่ มาแลว้ เราวา่ มนั มสี ค่ี วามหมาย ความ หมายทส่ี าม คือหน้าท่ี เอาความหมายที่สาม มาเป็นความหมายส�ำ คัญทีส่ ุดของ คำ�วา่ ธรรมะ ซ่ึงจะตอ้ งใชใ้ นทุกกรณี ในทกุ เวลา ในทกุ สถานท่ ี แลว้ กม็ าถงึ ค�ำ วา่ ธรรมะ ความหมายของธรรมะวา่ หนา้ ทเี่ พอ่ื ความรอด ทีนี้ก็พบคำ�บัญญัติของบางคณะ บางหมู่บางคณะท่ีเขาสนใจ เขาเป็นพวกฝรั่ง พวกชาวตา่ งประเทศทช่ี อบท�ำ definition ให้แกค่ �ำ เอามารวมกันเข้า เท่าทีเ่ ขา พดู กนั ไดเ้ ปน็ บทนิยามยาวๆ บทหนง่ึ ว่า ธรรมะคอื ระบบการปฏบิ ตั ทิ ถ่ี ูกตอ้ ง แกค่ วามเปน็ มนษุ ย์ ทุกข้นั ทุกตอนแห่งววิ ฒั นาการของเขา ท้ังเพือ่ ประโยชน์ ตนและประโยชน์ทา่ น บทนิยามน้ดี ีมาก จะใช้ในทางศาสนาหรอื ไมใ่ ชศ่ าสนา ธรรมะคอื ระบบ ปฏบิ ตั ิ ไมใ่ ชเ่ พยี งเรยี นๆ พดู ๆ เรยี นๆ คอื ระบบ ตวั ระบบปฏบิ ตั ทิ ถ่ี กู ตอ้ งแกค่ วาม เปน็ มนษุ ย์ ส�ำ หรบั มนษุ ย์ พดู กนั ส�ำ หรบั มนษุ ย์ มนั ตอ้ งถกู ตอ้ งแกค่ วามเปน็ มนษุ ย์ แลว้ มนั ขอบเขตทกุ ขน้ั ทกุ ตอนแหง่ ววิ ฒั นาการ ววิ ฒั นาการตงั้ แตเ่ กดิ จนตาย หรอื จะววิ ฒั นาการตามยคุ ตามสมยั ของมนษุ ยแ์ รกมี มนษุ ยป์ า่ เถอื่ น มนษุ ยเ์ จรญิ แลว้ ก็ตาม ทุกข้ันทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ทั้งเพ่ือประโยชน์ตนเองและ ประโยชน์ผ้อู ืน่ คอื สงั คม

26 ธรรมะคอื หน้าท่ี ถา้ เราจะยดึ ถอื ความหมายบทนยิ ามนแ้ี ลว้ มนั กจ็ ะงา่ ย ในการทจ่ี ะเผยแผ่ ธรรมะ สง่ั สอนธรรมะ ให้ถูกตรงตามพระพุทธประสงค์ และก็ไดม้ ีผ้ไู ดค้ ดิ ได้นกึ กนั อยา่ งทวั่ ถงึ เกดิ บทนยิ ามนขี้ น้ึ มา พวกเรากค็ วรจะรบั เอาไวส้ �ำ หรบั ใชเ้ ปน็ หลกั ประพฤติ ปฏิบตั ิ กระท�ำ ตอ่ สงิ่ ท่ีเรยี กวา่ ธรรมะ ธรรมะชนิดท่ีพูดกนั กว้างๆ อย่างในบาลี วา่ เป็น ปรยิ ตั ิธรรม ปฏิปัตต-ิ ธรรม ปฏิเวธธรรม ในที่สุดมันสำ�คญั อยู่ทปี่ ฏปิ ตั ติธรรม ถา้ มีแต่ปรยิ ัติธรรมมนั ก็ ไมไ่ ดส้ �ำ เรจ็ ประโยชนอ์ ะไร ถา้ ไมม่ ปี ฏปิ ตั ตธิ รรม ปฏเิ วธธรรมกเ็ กดิ ขนึ้ ไมไ่ ด้ ฉะนน้ั จงึ สนใจพงุ่ ตรงไปยงั ปฏปิ ตั ตธิ รรม จงึ ใชค้ �ำ วา่ ระบบปฏบิ ตั ทิ ป่ี ระพฤตกิ ระท�ำ กนั อยู่ ไม่เล็งถงึ การศึกษาวชิ าลว้ นๆ แต่ให้มาอยูท่ ่กี ารปฏิบัติ ตามหลักการศึกษาน้นั ๆ โดยระบเุ จาะจงลงไปเลยว่า ธรรมะคือระบบ การปฏิบัติ เพ่ือให้มันกระชับเข้าและถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ มนุษย์ควร จะเป็นอย่างไร ควรจะได้อะไร ควรจะรอดได้อย่างไร แล้วก็ต้องทุกขั้นตอน แหง่ วิวฒั นาการ เพราะมนษุ ยไ์ มไ่ ดอ้ ยู่ซ้�ำที่ ไมไ่ ด้คงที่ มันเปลีย่ นเร่ือย กเ็ ลย ต้องถูกต้องทุกข้ันตอนแห่งวิวัฒนาการ และต้องเพ่ือท้ังตนเองและเพ่ือผู้อ่ืน ดว้ ย เพราะว่ามนษุ ยอ์ ยูค่ นเดียวไม่ได้ อยา่ เพง่ เล็งธรรมะว่าเป็นทางรอดของคน คนเดยี วนนั้ มันพูดอย่างเอาเปรยี บ หรอื ว่าผ้ทู ่ีบรรลนุ พิ พานไปคนเดยี วก็ได้ ไป นพิ พานไปคนเดยี วกไ็ ด้ แตว่ า่ อยใู่ นโลกนอ้ี ยไู่ มไ่ ด้ มนั ตอ้ งมเี พอื่ นอยดู่ ว้ ยกนั มากๆ มนั ตอ้ งมกี ารประพฤตกิ ระท�ำทท่ี �ำใหอ้ ยกู่ นั ไดม้ ากๆ มนั อยใู่ นขอบเขตของธรรมะ ท่จี ะตอ้ งประพฤตปิ ฏบิ ตั ิกนั ท้ังน้ัน

27ธรรมบรรยายโดย พทุ ธทาสภกิ ขุ ทนี ใ้ี นความหมายทม่ี นั สนั้ หรอื รดั กมุ ทส่ี ดุ ในขอบเขตจำ�กดั ทสี่ ดุ มนั กย็ งั มอี ย่อู ีกความหมายหนึ่ง เพอื่ จะไดพ้ ูดกนั สน้ั ๆ งา่ ยๆ ค่อนข้างเปน็ ของศักดิ์สิทธ์ิ ข้นึ มา กค็ อื ความหมายของคำ�องั กฤษท่ีว่า Religion, Religion คำ�วา่ Religion ที่แปลกนั ว่า ศาสนา ศกึ ษาค�ำ ว่า Religion ดกู ็ปรากฏวา่ มันมี ๒ ความหมาย lig, lig หรือ leg ความหมายหนงึ่ แปลวา่ ปฏบิ ตั ิ ระบบปฏิบตั ิ ความหมายหน่งึ แปลวา่ ผกู พนั ผกู พนั บางยคุ บางสมยั เขาเคยใชใ้ นความหมายใดความหมายหนงึ่ มาถงึ สมยั ยุคคนสำ�คัญ St. Augustine เขาเลยรวบเอาเสียทั้ง ๒ ความหมาย ได้ มมี าถงึ ยคุ คนนแี้ ลว้ เขากร็ วบเสยี ทง้ั ๒ ความหมายวา่ การปฏบิ ตั ทิ ท่ี �ำ ใหเ้ กดิ ความ ผกู พนั การปฏบิ ตั ทิ ท่ี �ำ ใหเ้ กดิ ความผกู พนั ผกู พนั ระหวา่ งอะไร ระหวา่ งมนษุ ยก์ บั พระเจ้า ที่เขาหมายถึงพระเจ้าอย่างบุคคล ตามลัทธิศาสนาที่มีพระเจ้า แต่เรา ขอใชค้ ำ�ว่าส่ิงสงู สุดไมใ่ ชค้ �ำ วา่ พระเจ้า ฉะนนั้ กเ็ ลยวา่ การผกู พนั ระหวา่ งมนษุ ยก์ บั สงิ่ สงู สดุ ชาวพทุ ธมสี ง่ิ สงู สดุ เปน็ พระนพิ พาน คอื ความดบั ทกุ ข์ ทท่ี �ำ ใหเ้ กดิ ความผกู พนั กนั ระหวา่ งมนษุ ยก์ บั ส่ิงสูงสุดนั้นแหละคือธรรมะ คือธรรมะ ธรรมะน้ีเอาความหมายให้มันค่อนข้าง ศกั ดิส์ ทิ ธ์ิหรือรดั กมุ เข้ามาในแงข่ องการพดู จาในรูปแบบนี้ เรอ่ื งนีก้ ็สำ�คญั อยู่ ท่ี จะตอ้ งรู้ อยา่ เข้าใจว่า Religion ตามท่ีพวกฝรงั่ เขามงุ่ หมาย มันผกู พันมนษุ ยก์ ับ พระเจา้ แตเ่ ราชาวพทุ ธยอมไมไ่ ด้ เพราะเราไมม่ พี ระเจา้ ชนดิ นนั้ แตเ่ รามสี งิ่ สงู สดุ เหมอื นกันคือการบรรลมุ รรคผลนิพพานหรือความดับทุกข์ ก็สภาพของนิพพาน น้ันแหละสง่ิ สงู สุด ผกู พนั มนษุ ย์กบั สภาพของนพิ พานนนั้ คือ Religion

28 ธรรมะคือหน้าท่ี ดงั น้ัน พทุ ธศาสนาก็เป็น Religion แตพ่ วกฝรัง่ บางพวกไม่ยอม ไม่ยอม ไมย่ อมวา่ พุทธศาสนาเป็น Religion เพราะว่าพทุ ธศาสนาไม่มีพระเจา้ นั้นมนั โง่ เอง จะไปโทษใคร มันโงเ่ องท่ีพูดวา่ พทุ ธศาสนาไมม่ ีพระเจา้ ผมกเ็ ลยยนื ยันวา่ เรากม็ ีพระเจา้ แตไ่ มใ่ ช่อย่างของคณุ คุณมีพระเจา้ อย่างบคุ คล มีพระเจ้าอยา่ ง บุคคล มีความรู้สึกอย่างบุคคล ตามเรื่องของพระเจ้า ท่ีเรามีพระเจ้าอย่างมิใช่ บุคคล มิใช่บุคคล เป็นกฎของธรรมชาติ เป็นส่ิงสูงสุดท่ีจะต้องเชื่อฟัง จะต้อง ประพฤติตาม แล้วกบ็ รรลุถึงสง่ิ สูงสุดท่ีเป็นผลคือนพิ พาน คือนพิ พาน ฉะนัน้ เรา กม็ ีพระเจา้ ตามแบบของเรา คือพระเจ้าทม่ี ิใช่บุคคล แตเ่ ปน็ ธรรมะ เป็นธรรมะ สูงสดุ มีเร่อื งทน่ี ่าสงั เกตหรือจดจ�ำ ไวเ้ กี่ยวกบั เรื่องน้ี ท่เี ขามาเล่าให้ผมฟงั วา่ ที่ ประเทศอินโดนีเซีย รัฐบาลก็มีกฎหมายให้เงินช่วย เงินช่วย subsidy ให้แก่ ประชาชนของประเทศ แต่มีข้อจำ�กัดว่าจะเป็นประชาชนของประเทศน้ันต้อง นบั ถือศาสนา ทีน้ีเขาเกดิ ถอื ตามคำ�อธิบายนั้นว่าศาสนาตอ้ งมีพระเจ้า กเ็ ลยจดั ใหพ้ วกชาวพทุ ธทอ่ี ยใู่ นอนิ โดนเี ซยี ไมม่ ศี าสนา เปน็ ผไู้ มม่ ศี าสนา กไ็ มเ่ ปน็ พลเมอื ง ของประเทศ กไ็ มม่ สี ว่ นทจี่ ะไดร้ บั เงนิ ชว่ ยเหลอื และกม็ ผี เู้ อาหลกั เกณฑอ์ นั น้ี เรา มพี ระเจา้ ชาวพทุ ธเรามพี ระเจา้ แตไ่ มใ่ ชอ่ ยา่ งบคุ คล มคี วามหมายอยา่ งเดยี วกนั คือเปน็ สิง่ สูงสดุ ทมี่ นุษย์จะต้องเข้าถงึ มีศาสนาได้ มี Religion ได้ ดงั นัน้ เรามสี ทิ ธทิ ่ีจะเป็นพลเมอื งและควรไดร้ บั เงินช่วยเหลอื ไดย้ นิ แล้ว ก็ตกลง รัฐบาลตกลงว่า ชาวพุทธทั้งหลายมีศาสนา และก็เป็นพลเมืองโดย สมบูรณ์ และก็ไดร้ บั เงินช่วยเหลอื นเี่ รื่องมนั กเ็ กย่ี วข้องกันยงุ่ ไปหมดเลย ไมใ่ ช่

29ธรรมบรรยายโดย พุทธทาสภกิ ขุ เฉพาะเรอื่ งธรรมะในวดั ในการปฏบิ ตั อิ ยา่ งเดยี ว มนั เปน็ เรอื่ งการเมอื งเรอ่ื งอะไร ไปไดห้ ลายๆ แหง่ ฉะนน้ั อยากจะให้ขอใหเ้ ตรยี มๆ กันไวบ้ ้าง ถ้าเขาถามว่าในพทุ ธศาสนา มพี ระเจา้ ไหม กข็ อใหร้ ะวงั ใหด้ ี ตอบใหถ้ กู ตามความเปน็ จรงิ พระเจา้ คอื สงิ่ สงู สดุ สงิ่ สงู สดุ ของเราไมใ่ ชพ่ ระเจา้ อยา่ งในศาสนาทม่ี พี ระเจา้ แตม่ พี ระเจา้ ตามแบบ ของชาวพุทธคือ สิ่งสงู สุดที่อยูเ่ หนือสิ่งใด ท่ีกำ�กับควบคุมสง่ิ ท้ังหลายทัง้ ปวง คือ กฎของธรรมชาติ สัจธรรมเป็นพระเจ้าในฐานะเป็นสิ่งสูงสุด ที่จะสร้าง โลก ควบคุมโลก อะไรกต็ าม แล้วกส็ งู สุด สุดท้ายเปน็ ผลของการปฏิบตั กิ ค็ อื พระนพิ พานเป็นส่งิ สงู สดุ เรามสี ง่ิ สงู สดุ ในแงข่ องการศกึ ษา ในแงข่ องการปฏบิ ตั ิ ในแงท่ เี่ ปน็ ผล ของการปฏบิ ตั ิ เรามสี ง่ิ สงู สดุ ธรรมะคอื สง่ิ ทท่ี �ำ ใหเ้ กดิ การผกู พนั กนั กบั มนษุ ย์ และสงิ่ สงู สดุ ความหมายน้สี ้ไู ด้ ใครจะคัดค้านอย่างไรสู้ได้ ลองไปคดิ ดเู ถอะ ธรรมะนคี้ ือส่ิงทีจ่ ะทำ�ใหเ้ กดิ การผูกพัน คอื ถึงกนั เขา้ ระหว่างมนุษยก์ บั สิ่งสูงสดุ เรากม็ สี ง่ิ สงู สดุ ตามแบบของเรา เขากม็ ีส่งิ สูงสุดตาม แบบของเขา เราก็มีสว่ นที่จะเป็นศาสนาหรือ Religion ด้วยกนั เรากม็ ธี รรมะ เป็นศาสนาในความหมายของ Religion มันจะปฏิบัติและผูกพันกันระหว่าง มนุษยก์ ับส่ิงสงู สุด เพราะฉะนน้ั ขอใหร้ จู้ กั ธรรมะในแงท่ เี่ ปน็ ผล ทจ่ี ะใหผ้ ลชน้ั เลศิ ไวใ้ นอยา่ ง น้ดี ้วย ส�ำ หรับคำ�ถามท่วี ่า ธรรมะคืออะไร ตอ้ งมีไว้หลายแงห่ ลายมุมทผี่ มเรยี ก

30 ธรรมะคอื หน้าท่ี ว่าความหมายอันซับซ้อน ความหมายอันซับซ้อนของเรอื่ งเรือ่ งเดียว ของคำ�คำ� เดียว ของปญั หาข้อเดียว มนั มีความซับซ้อนอย่างนี้ ทนี กี้ จ็ ะมาถึงค�ำ วา่ ธรรมะคอื ส่งิ ท่ที รงผูป้ ฏิบตั ิ ก็อย่าลืมว่าตอ้ งทรงตัว เองด้วย จึงจะมีอำ�นาจสูงสุดเด็ดขาดอยู่ในตัวเอง ต้ังตนเองอยู่ได้โดยตัวเองใน ตัวมันเอง แลว้ กท็ รงผูป้ ฏิบัตธิ รรมะไว้ไมใ่ ห้ตกลงไปในทชี่ ่ัว ดังความหมายทเ่ี รา สอนกันอยู่ในโรงเรยี น เอ้า, คราวนี้จะใหม้ ันเปน็ practical หรอื เปน็ อะไรใหม้ ากข้ึน ก็จะใช้คำ� วา่ หนา้ ทใี่ นภาษาไทยแทนดกี วา่ เพอื่ คนทงั้ หลายจะฟงั ออกวา่ ธรรมะคอื หนา้ ที่ ธรรมะคอื หน้าท่ี ขอฝากไวด้ ้วย ฝากไวเ้ อาไปคิดไปพิจารณา ใหเ้ ขา้ ใจวา่ ธรรมะ คอื หนา้ ท่ี จะไดส้ อนธรรมะใหเ้ ปน็ ทพ่ี อใจ เปน็ ทส่ี นใจแกผ่ ฟู้ งั ผฟู้ งั ยนิ ดที จี่ ะศกึ ษา จะปฏิบัติตามธรรมะคือหน้าท่ี ไม่พูดบาลีกันแล้วพูดไทยกันหมด ธรรมะก็คือ หนา้ ท่ี เปน็ ตวั ยนื โรง แตม่ นั กเ็ นอ่ื งไปถงึ ค�ำ สอนเรอ่ื งหนา้ ที่ และผลของหนา้ ทอี่ ยู่ ด้วยเปน็ ธรรมดา เราพดู ถงึ ค�ำ วา่ หนา้ ที่ หนา้ ท่ี เราจะตอ้ งรเู้ รอ่ื งหนา้ ทท่ี งั้ หมด ค�ำ สอนเรอ่ื ง หน้าท่ี การปฏบิ ตั เิ รือ่ งหนา้ ที่ ผลท่เี กิดมาจากหน้าท่ี ทง้ั ๓ สงิ่ นร้ี วมอยใู่ นคำ�คำ� เดยี วว่าหน้าท่ี หน้าท่ี จะพูดให้เดก็ ๆ เขา้ ใจได้งา่ ย นกั เรยี นวนั อาทิตย์เด็กๆ จะ บอกเขาว่า ธรรมะคือคำ�สั่งสอนของพระพุทธเจ้า เขาก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไร เพราะไมร่ ู้ว่าสอนอยา่ งไร

31ธรรมบรรยายโดย พทุ ธทาสภิกขุ ถ้าบอกว่าสอนเร่ืองหน้าท่ีเสียเลยจะดีกว่า แต่ว่าคำ�ส่ังสอนของ พระพทุ ธเจา้ เขากไ็ มไ่ ดร้ บั ประโยชนอ์ ะไร เพราะไมร่ วู้ า่ สอนอะไร จะบอกธรรมะ คอื สง่ิ ทผ่ี ทู้ รงปฏบิ ตั ไิ มใ่ หต้ กลงไปในทช่ี ว่ั มนั กย็ งั ยากเกนิ ไปกวา่ ทเ่ี ดก็ ๆ เหลา่ นน้ั จะเข้าใจ แล้วมันก็ยังขาดความหมายสำ�คัญที่ว่า ธรรมะน้ีมันทรงตัวมันเองไว้ อย่างพระเจา้ แล้วกจ็ ะทรงผปู้ ฏิบตั ทิ งั้ หลายไว้ไมใ่ ห้ตกไปในความชว่ั ดว้ ย กเ็ ลย เอาความหมายวา่ หนา้ ท่ี หนา้ ท่ี ธรรมะคอื หนา้ ที่ ค�ำ วา่ หนา้ ทนี่ น้ั ตอ้ งปฏบิ ตั ไิ มใ่ ช่ เรยี นรเู้ ฉยๆ แล้วกต็ อ้ งปฏบิ ตั ิหน้าที่ มนั ก็มคี วามรู้สำ�หรับจะปฏิบัติ แลว้ ก็มี ผลทเี่ กิดมาจากปฏบิ ัติ ธรรมะคือหนา้ ที่ หน้าท่ี ทนี กี้ จ็ ะบอกเดก็ ๆ ตอ่ ไปวา่ หนา้ ทเ่ี พอื่ อะไร หนา้ ทเ่ี พอ่ื ความรอด มนั ไมใ่ ช่ หน้าท่ีอย่างไมม่ ีความหมายหรือมนั เลอ่ื นลอย ถา้ ค�ำ ว่าหน้าท่ี มนั เพ่ือความรอด ทงั้ นนั้ เพอื่ ความรอดของมนษุ ย์ เพอื่ ความรอดของสตั วเ์ ดรจั ฉาน เพอ่ื ความรอด ของต้นไม้ เป็นหน้าที่เพื่อความรอด เราเอาความหมายท่ีว่า หน้าที่คือสิ่งท่ี ท�ำ ความรอด รอดทกุ ชนิดท่เี ราต้องการ น่ันแหละคอื ทรงผปู้ ฏิบัติไวไ้ ม่ให้ตกไป ในทช่ี วั่ หนา้ ทท่ี รงผทู้ �ำ หนา้ ทไ่ี วไ้ มใ่ หต้ กไปทช่ี ว่ั ธรรมะกท็ รงผปู้ ฏบิ ตั ธิ รรมะไวไ้ ม่ ใหต้ กไปในท่ีชว่ั เปน็ เรอื่ งเดียวกัน ต่างกันแต่ภาษา ขอให้ลองสังเกตดูว่าความหมายมันลึกลับซับซ้อน หรือซ้อนกันอยู่ หลายๆ ชน้ั อยา่ งนี้ เราจะถอื เอาแต่ตวั พยัญชนะไมส่ ำ�เร็จประโยชน์ คำ�โบราณ ว่าพยญั ชนะไม่สำ�เร็จประโยชน์ อรรถะส�ำ เรจ็ ประโยชน์ จะตอ้ งเข้าถึงอรรถะ คือความหมาย แลว้ กเ็ ขา้ ถึงใหถ้ ูกต้อง ใหค้ รบถว้ น ให้เพียงพอ แล้วก็มาใช้ ให้ถกู รวมกบั เร่อื งทจ่ี ะตอ้ งมี

32 ธรรมะคอื หน้าที่ เอาละ, ทีน้ีก็ได้ยุติกันทีว่า ความหมายท่ีสำ�คัญท่ีสุดที่มันจะเรียกว่า ประยุกต์ ประยุกต์ได้ที่สุดนั้น ธรรมะคือหน้าที่ จะใช้คำ�อย่างอื่นก็ได้ แต่ไม่ ประยุกตท์ ี่สุด ไม่ impeccable ไม่ practical เหมือนกบั คำ�วา่ ธรรมะ แปลวา่ หน้าที่ ฉะน้ันเราเหน็ ด้วยกบั ปทานกุ รมในอนิ เดียที่เป็นเจา้ ของภาษา ท่เี ขาแปล ธรรมะวา่ หนา้ ท่ี ทนี ห้ี นา้ ทก่ี เ็ พอ่ื ความรอด ความหมายเดยี วกบั ธรรมะ เราจงึ ตอ้ ง มธี รรมะ กเ็ พอื่ ต้องการความรอด รอดตาย แลว้ ก็รอดจากปญั หาทงั้ หลาย คอื ความทกุ ข์ ธรรมะก็เลยเป็นเครอ่ื งช่วยให้พน้ จากความตายและความทกุ ข์ เห็น อยชู่ ดั ๆ เสนอฝากไปเพอ่ื ไปพจิ ารณา และจะไดไ้ ปกลน่ั กรองขนึ้ มาเปน็ ค�ำ สง่ั สอน ลูกเดก็ ๆ เล็กๆ หรอื คนแก่คนเฒ่าอะไรก็ตาม มันไม่พ้นไปจากหลกั เกณฑ์เหลา่ น้ี จงท�ำ หนา้ ท่ีเพอ่ื ความรอด ทนี ขี้ อถวายความหมายของค�ำ ว่า หน้าท่อี นั ซบั ซ้อน หนา้ ท่ี หนา้ ที่ เรื่อง เกี่ยวกับหน้าท่ีอันซับซ้อน ช่วยฟังให้ดีๆ แล้วจำ�ไปวิจารณ์ดูและอาจจะใช้เป็น ประโยชนไ์ ด้ กไ็ ดค้ วามมาแลว้ ในตอนตน้ ว่าธรรมะคอื หนา้ ที่ หนา้ ทคี่ ือธรรมะ ก็ เลยขยายออกไปไดว้ า่ การปฏบิ ตั หิ นา้ ทคี่ อื การปฏบิ ตั ธิ รรมะ ผมพดู เรอื่ งนม้ี าสกั ๑๕ ปี ไมม่ ใี ครสนใจกค่ี น แตไ่ ดค้ วามวา่ เดย๋ี วนส้ี นใจกนั มากขนึ้ ถงึ กบั เอาไปพมิ พ์ แจก ไปพมิ พเ์ ปน็ หลกั การ เตอื นใจวา่ ธรรมะคอื หนา้ ท่ี การท�ำ หนา้ ทขี่ องตนของ ตนนนั่ แหละคอื การปฏบิ ตั ธิ รรม หรอื ปฏบิ ตั พิ ระศาสนาเลย เอากนั อยา่ งนเี้ ลย มนั ไดม้ าเปน็ เรอื่ งเดยี วกนั เสยี ไมต่ อ้ งไปวดั ไปบา้ นอะไรกนั อกี อยทู่ ไ่ี หนกท็ �ำ หนา้ ที่ จะไปวัดหรือไปบ้านก็ต้องทำ�หน้าที่ ทำ�หน้าท่ีนั่นคือการปฏิบัติธรรมะหรือ ปฏบิ ตั พิ ระศาสนา ศาสนาอยูท่ ่กี ารทำ�หน้าที่

33ธรรมบรรยายโดย พทุ ธทาสภิกขุ ขอใหท้ ุกคนนกึ อย่างนี้ แลว้ กจ็ ะชอบ พอใจธรรมะ จะชอบพระศาสนา ยิง่ ๆ ขนึ้ ไป หนา้ ท่ีก็แบง่ เป็น ๒ ประเภทอีก ตามธรรมะเพอื่ ความรอด ๒ ความ หมาย หนา้ ทีเ่ พือ่ จะบริหารชีวิตใหร้ อด แล้วกห็ น้าทเี่ พื่อจะดบั ทกุ ขท์ ่จี ะเกิดขึน้ แกช่ วี ิต ทีนี้หน้าที่อันแรกเป็นพ้ืนฐานของส่ิงที่มีชีวิต คือการประกอบการหา เลยี้ งชพี นนั่ เอง ทกุ คนมนั ตอ้ งหาเลยี้ งชพี คนกต็ อ้ งหา สตั วก์ ต็ อ้ งหา ตน้ ไมต้ น้ ไล่ ก็ต้องหา หาเลี้ยงชีพเพ่ือด�ำรงชีพ ถ้ารู้ว่าการท�ำหน้าที่เพ่ือด�ำรงชีพเป็นธรรมะ เขากจ็ ะชอบ ชอบหนา้ ทหี่ รอื ชอบธรรมะ พอใจในธรรมะ แลว้ มนั มเี คลด็ ลบั ตรงท่ี วา่ ถา้ พอใจแลว้ มนั จะมคี วามสขุ อนั นขี้ อฝากไวไ้ ปคดิ ดดู ๆี วา่ ความสขุ ทงั้ หลาย มาจากความพอใจในความหมายทตี่ า่ งๆ กนั พอใจเลก็ ๆ นอ้ ยๆ พอใจตำ�่ ๆ พอ ใจสงู ๆ พอใจกว้างขวาง พอใจอยา่ งกิเลส พอใจอย่างไมม่ กี เิ ลส ใช้ค�ำว่าพอใจค�ำ เดยี วได้ รวมกันหมด ถา้ พอใจอยา่ งกเิ ลส ก็มคี วามสขุ อยา่ งกเิ ลส พอใจอยา่ ง ไม่มกี ิเลส กม็ คี วามสขุ อยา่ งไม่มกี เิ ลส พอใจนอ้ ยก็สขุ นอ้ ย พอใจมากกส็ ุขมาก ฉะนั้นถ้าว่า เขารวู้ ่าหน้าท่กี ารงานทที่ ำ�อยูเ่ ปน็ ธรรมะ เขากจ็ ะพอใจวา่ ไดป้ ฏบิ ัติธรรมะ ไมต่ ้องแกต้ ัวไมม่ เี วลามาวดั ไมม่ ีเวลามาปฏบิ ตั ิธรรมะที่วัด อยู่ ทบ่ี ้านนนั่ แหละปฏบิ ตั ิธรรมะทกุ อริ ิยาบถ มนั มีธรรมะเม่อื ปฏบิ ตั หิ น้าท่ี และ จะพูดอย่างโอหัง ถึงกบั วา่ ในโบสถ์ไม่มธี รรมะ ถา้ ไมม่ ีการท�ำ หน้าที่ มโี บสถไ์ ว้ ให้ตุ๊กแกมันร้อง หรือมีโบสถ์ไว้สำ�หรับไปน่ังส่ันเซียมซี ไปขออะไรก็ไม่รู้ ไปทำ� ไสยศาสตร์ไม่มีการปฏบิ ตั หิ น้าท่ี

34 ธรรมะคือหน้าท่ี ฉะน้นั ในโบสถไ์ มม่ ีธรรมะ ทไี่ ถนาอยูโ่ ครมๆ กลางนานนั้ มีธรรมะ ท่ีนนั่ มธี รรมะ ในโบสถ์ไม่มธี รรมะ เอากนั อยา่ งน้ีเลย ถา้ ไม่มกี ารท�ำ หนา้ ท่อี นั อยา่ งถกู ต้อง ไม่มีธรรมะหรอก ฉะน้นั ในโบสถม์ นั เป็นสถานที่ทตี่ ้องทำ�หน้าทอ่ี ันสูงชน้ั สงู เพ่อื ประโยชน์แกม่ รรคผลนพิ พานทางจิตใจ แต่ถา้ ไม่ทำ�ไปเสียหมด โบสถ์น้นั ก็ เอาไวใ้ ห้ตุก๊ แกมนั รอ้ ง มันกเ็ ลยไมม่ ธี รรมะ ขอให้ประชาชนของเรารู้ เม่ือทำ�หน้าท่ี ท่ีไหน เมื่อไร เท่าไรละก็ มี ธรรมะ ขอใหพ้ อใจ มธี รรมะแท้จรงิ ธรรมะแท้ แทจ้ รงิ คือหนา้ ที่ แลว้ พอใจ ถ้า เกิดความพอใจแล้วเป็นสขุ แน่นอนมันชว่ ยไมไ่ ด้ ถ้ามคี วามพอใจแลว้ มนั เปน็ สุข ฉะน้ันเขาจึงเป็นสุข เมื่อกำ�ลังทำ�หน้าท่ีนั่นเอง อาบเหง่ืออยู่เลย ถีบสามล้ออยู่ เลย แจวเรอื จา้ งอยู่เลย กวาดถนนอยเู่ ลย เหงอื่ ไหลไคลยอ้ ย มีการทำ�หนา้ ที่และ ก็มธี รรมะ พอใจและเปน็ สขุ ได้ แต่ก็ตอ้ งรจู้ กั คดิ ตอ้ งรคู้ วามจรงิ ขอ้ นี้ คิดให้ถกู มันจงึ จะพอใจได้ มฟี ลคุ บงั เอญิ กม็ เี หมอื นกนั ผมสงั เกตเหน็ คนแจวเรอื จา้ ง คนถบี สามลอ้ บางคน แจวเรอื จา้ งมนั รอ้ งเพลงไปพลาง แจวเรือจา้ งไกล ไดค้ า่ จา้ งนิดเดยี ว แต่ รอ้ งเพลงเปน็ สขุ ตลอดเวลาทแี่ จวเรอื จา้ ง นน่ั มนั บงั เอญิ ของมนั มนั ยอมรบั สภาพ แลว้ มนั กพ็ อใจ ถา้ กรรมกรทงั้ หลายรจู้ กั วา่ ท�ำ หนา้ ทเ่ี ปน็ ธรรมะ แลว้ คงจะไมเ่ กย่ี ง งอนกบั นายทุนมาก จนเกิดเปน็ ปัญหาเหมือนทเ่ี กิดอยู่เวลานี้ ทนี เี้ รากเ็ อากนั ใหห้ มดเลย บรรดาหนา้ ทท่ี ง้ั หลายเปน็ ธรรมะหมด หนา้ ที่

35ธรรมบรรยายโดย พุทธทาสภกิ ขุ ประเภทแรก ประเภททหี่ นงึ่ คอื รอดชวี ติ เพอื่ รอดชวี ติ เพราะฉะนน้ั เมอื่ ท�ำ อะไร เพื่อความรอดแหง่ ชีวิต แล้วกเ็ ปน็ ธรรมะหมด เอ้า, ว่ามาสิอะไร ให้มันต�ำ่ ที่สุดอย่างไรก็ ก็เป็นธรรมะหมด จะตอ้ งกนิ อาหาร กนิ อาหารคอื การปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี ปฏบิ ตั ธิ รรมะเพอื่ ความรอด ถา่ ยอจุ จาระ ถา่ ยปสั สาวะ กค็ ือการปฏิบัติหน้าทเี่ พ่อื ความรอด ตอ้ งมสี ตสิ ัมปชัญญะ ท�ำ ท�ำ ท�ำอาการเหลา่ นั้น ถ่ายอุจจาระ ถา่ ยปสั สาวะ จะแตง่ เนื้อแต่งตวั ไปท�ำงาน หรอื จะชว่ ยลา้ งจาน กวาดบา้ นถเู รอื นกต็ าม กเ็ ปน็ ธรรมะไปหมด เมอ่ื ท�ำหนา้ ทท่ี ไ่ี หน ก็เป็นธรรมะไปหมด แต่ตอ้ งมีสตสิ มั ปชญั ญะ ร้ใู นเร่อื งนี้ มันก็เลยท�ำทกุ ๆ หนา้ ท่ี ทกุ เรอื่ งด้วยสตสิ มั ปชญั ญะ หรือด้วยธรรมะ เรยี กว่าด้วยสตสิ มั ปชญั ญะถูกกวา่ ที่จะเรียกว่าท�ำดว้ ยสมาธิ ถา้ มันมีสติสมั ปชัญญะ มนั ก็ท�ำเปน็ สมาธิอย่เู อง มันจะลา้ งจาน จะชว่ ย ลา้ งจาน จะเช็ดจาน จะถูบ้าน กวาดเรือน มันมีสตทิ �ำ มีสตกิ ระท�ำ มนั ก็เลยมี ธรรมะอยู่ในทกุ เรื่อง ทกุ อิริยาบถ ทกุ ชนิดของการงาน ขอใหเ้ ขามองเห็น ต่ืนนอนข้ึนมา เอ้า, ล้างหน้า ล้างหน้าต้องสติสัมปชัญญะ ท�ำดีที่สุด เปน็ การปฏบิ ตั ธิ รรมะ ในการทจ่ี ะลา้ งหนา้ จะไปอาบนำ้� ดที ส่ี ดุ ดว้ ยสตสิ มั ปชญั ญะ ถา่ ยอจุ จาระ ถา่ ยปสั สาวะดว้ ยสตสิ มั ปชญั ญะ กนิ ขา้ วดว้ ยสตสิ มั ปชญั ญะ แตง่ ตวั ดว้ ยสตสิ มั ปชญั ญะ เดนิ ทางไปท�ำงานดว้ ยสตสิ มั ปชญั ญะ ทอ่ี อฟฟศิ ทง้ั ทที่ �ำงาน ทไ่ี รท่ น่ี าอะไรกต็ าม ดว้ ยสตสิ มั ปชญั ญะ เสรจ็ กลบั ดว้ ยสตสิ มั ปชญั ญะ มาบา้ นมา

36 ธรรมะคอื หน้าท่ี ท�ำอยา่ งเดียวกันอกี จนกวา่ จะถงึ เวลานอน กต็ ้องนอน ถือวา่ การนอนกเ็ ป็นการ ท�ำหนา้ ที่เพอื่ ชวี ติ รอด ก็เลยเป็นการปฏิบัติธรรมะทั้งหลับทง้ั ต่ืน คนอยู่ด้วยธรรมะอย่างนจี้ ะเป็นอย่างไร พดู ในแง่ของจติ ใจ มนั กเ็ ป็นสขุ เป็นสขุ เป็นสขุ เป็นสขุ อยู่ทุกอิริยาบถ ไม่ตอ้ งใชเ้ งนิ เลย ความสขุ ท่แี ท้จริงทำ�ได้ โดยไม่ตอ้ งใช้เงิน ตอ้ งเตมิ คำ�วา่ แทจ้ รงิ เข้าไปด้วย สุขท่ีแทจ้ ริงไมต่ อ้ งใช้เงนิ ถา้ ความเพลดิ เพลนิ ทห่ี ลอกลวงกนิ เงนิ ไมห่ วาดไมไ่ หว ไมม่ ขี อบเขต ทนี ป้ี ระชาชน ของเราไปเอาความเพลดิ เพลนิ ทหี่ ลอกลวงมาเปน็ ความสขุ หากเขาไมม่ คี วามสขุ เม่ือกำ�ลังทำ�งาน อดทนทำ�งานเหง่ือไหลไคลย้อยเก็บสตางค์ได้ไปซ้ือหาความ เพลิดเพลนิ ท่ีหลอกลวง ชว่ ยบอกความจรงิ แกค่ นเหลา่ นน้ั ใหท้ เี ถอะวา่ เขาท�ำ งานเหลอื ประมาณ เหน่ือยเหลือประมาณ รวบรวมเงินได้ แล้วไปซ้ือความเพลิดเพลินท่ีหลอกลวง สว่ นความสขุ ทแ่ี ทจ้ รงิ ทจ่ี ะหาไดเ้ มอื่ ก�ำ ลงั ท�ำ งานอาบเหงอื่ นนั้ เขามองไมเ่ หน็ ก็ เลยไม่ได้ ถ้าใครมองเห็นได้ มันก็อ่ิมมีความสุขเสียแล้ว มันจะไปหลงความ เพลดิ เพลนิ ทหี่ ลอกลวงท�ำ ไม ใหเ้ ขารคู้ วามจรงิ เรอื่ งน้ี เขาจะเวน้ อบายมขุ ได้ เวน้ กามารมณ์ สถานเริงรมย์ ไม่ต้องไปทำ�อะไรอย่างทีเ่ งินไมพ่ อใช้ เดย๋ี วนส้ี ง่ิ ยว่ั ยวนมนั ขยายตวั เตม็ ท่ี เหมอื นกบั วง่ิ ผมฟงั วทิ ยเุ มอ่ื คนื วานมนั มสี ถานตดั ผมทเ่ี ปลอื ยกายกนั ทงั้ สองฝา่ ย แลว้ ตดั ผม คดิ แพงดว้ ย เคยทราบเรอื่ ง หรือเคยไดย้ นิ อยา่ งน้ยี งั มโี ฆษณาเอามาพูดกนั ทางวทิ ยุ ในกรุงเทพฯ นี่เรยี กวา่

37ธรรมบรรยายโดย พุทธทาสภกิ ขุ วธิ ีการยว่ั ยวนมนั มีมาก เรว็ เหมอื นกบั วิง่ แล้วคนจะทนไหวเหรอ คนกต็ อ้ งเปน็ ทาสของความย่ัวยวนนี้ หาเงินได้เท่าไรไปซ้ือความเพลิดเพลินหลอกลวงหมด สว่ นความสขุ อนั แท้จรงิ ท่จี ะหาไดเ้ มื่อก�ำ ลังทำ�งาน ไมร่ เู้ ร่อื ง แล้วกไ็ ม่ไดไ้ ปสอน ใหเ้ ขามสี ติสมั ปชญั ญะ เม่ือท�ำ หน้าทที่ ุกอยา่ ง ความเปน็ ธรรมะคอื ท�ำเพอ่ื ความรอด แลว้ กพ็ อใจ ชอบใจธรรมะ วา่ ตรง ตามพระพุทธประสงค์ ใหป้ ฏบิ ัตธิ รรมะเป็นพุทธบูชา ก็เลยไดค้ วามอมิ่ อกอิ่มใจ เมอื่ ท�ำหนา้ ทแี่ มจ้ ะเหงอ่ื ไหลอยทู่ ว่ มตวั กเ็ ยน็ เหมอื นกบั รดนำ้� มนต์ ถา้ มนั มคี วามรู้ เรอื่ งน้ี ถา้ ไมม่ คี วามรเู้ รอ่ื งน้ี มนั กเ็ กลยี ด เหงอื่ ไหลทว่ มตวั มนั กแ็ ชง่ ชกั หกั กระดกู ผีสางเทวดาทไี่ หนกไ็ ม่รู้ แช่งโชคชะตาราศไี ป ไม่มีความสขุ รวบรวมเงนิ ไดด้ ้วย ความยากล�ำบาก ไดม้ าเทา่ ไรก็ไปซอ้ื ความเพลิดเพลินท่หี ลอกลวงหมด ฉะนน้ั ความสขุ แทจ้ รงิ ไมต่ อ้ งใชส้ ตางค์ กลบั ท�ำ ใหส้ ตางคเ์ หลอื เพราะ มนั ไมต่ ้องใช้สตางค์ แลว้ มันท�ำ งานอย่างเพลิดเพลนิ มนั กท็ �ำ ไดม้ าก มันก็ไดเ้ งิน มาก แลว้ เงินมันก็เหลอื เพราะไมเ่ อาไปซ้อื หาความเพลดิ เพลินท่ีหลอกลวง มัน อยูก่ บั ความสขุ ทีแ่ ท้จรงิ แต่เรื่องนี้มันต้องศึกษากันมากหน่อย ต้องช่วยกันอบรมสั่งสอนให้มาก หน่อย ใหค้ นเหล่านั้นรู้ว่า ความพอใจในการปฏบิ ตั ธิ รรมะนัน่ แหละโดยไมร่ สู้ ึก ตัว มารู้สึกตัวเสียทีเป็นการปฏิบัติธรรมะแล้วก็พอใจว่าเป็นความสุขที่แท้จริง แล้วก็อิม่ อย่ดู ้วยความสุขชนดิ น้ที ุกอริ ยิ าบถ เพราะว่าทกุ ๆ อริ ยิ าบถมนั เป็นการ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook