Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือ ๑๐๐ปีชาตกาล พระศรีสุทธิวงศ์ (วัดบวรมงคล)

หนังสือ ๑๐๐ปีชาตกาล พระศรีสุทธิวงศ์ (วัดบวรมงคล)

Description: หนังสือ ๑๐๐ ปีชาตกาล พระศรีสุทธิวงศ์ (วัดบวรมงคล)

Search

Read the Text Version

149 ถ้าไม่นับถือบูชา ก็จักเกิดโทษมหันต์ บุตรธิดาผู้ใด อันมารดาบิดาเลี้ยงมาแล้ว ไม่สักการะ ไม่เคารพ ไม่นับถือ ไม่บูชามารดาบิดา คือลืมบุญคุณของท่านเสีย ไม่มีความกตัญญู ไม่เล้ียงดูตอบแทน ทอดท้ิงปล่อยให้ท่านเป็นไปตามยถากรรม เวลาทา่ นเจ็บไข้ ก็ไมร่ ักษาพยาบาล เวลาท่านแกช่ รา ก็ไมเ่ ลี้ยงดู ดังท่มี ผี พู้ ดู กันวา่ มารดาบดิ าเลีย้ งดูบตุ รธิดาของตนไดต้ ั้งหลาย ๆ คน แต่บุตรธดิ าหลาย ๆ คนน้นั เล้ียงดูมารดาบิดาไม่ได้ ไฟคือมารดาบิดา จะเผาผลาญบุตรธิดา ผู้ไม่มีความ กตัญญูกตเวทีน้ัน ให้เส่ือมพินาศย่อยยับลงไปโดยล�ำดับ ไม่มีความสุขความ เจริญในปัจจุบนั นี้ แม้เม่ือชวี ิตแตกดบั ไปแลว้ ยอ่ มไปเกดิ ในนรก ไฟคือมารดาบิดา จะดับได้ด้วยธรรมะ คือ ความกตัญญูกตเวที ควรที่ บุตรท้ังหลาย จะพึงสักการะ เคารพบูชา บ�ำเรอไฟคือมารดาบิดา อุปถัมภ์บ�ำรุง ทา่ นให้ดที ่ีสุดเทา่ ที่จะดีได้ (๕) คหปตคั คิ ไฟคอื สามี สามี คอื ชายที่บำ� รุงเลี้ยงดภู รรยาของตนให้มคี วามสขุ ตามหลักธรรมใน ทางพระศาสนา คือยกย่องภรรยา ไม่ดูหม่ินภรรยา ไม่ประพฤตินอกใจภรรยา มอบความเป็นใหญ่ให้ภรรยา ให้เคร่ืองประดับแก่ภรรยา สามีเช่นน้ี ช่ือว่า มีคุณธรรมควรสักการะเคารพ นับถือ บูชา จึงช่ือว่า เป็นไฟ ถ้าบูชาดี ก็มีคุณ ถ้าไม่บูชา ก็เกิดโทษ ภรรยาพึงสักการะ เคารพ นับถือบูชา บ�ำเรอสามีให้ดี ถ้า ไม่สักการะ ไม่เคารพ ไม่นับถือ ไม่บูชา ไม่บ�ำเรอให้ดี ก็จักเป็นไฟเผาผลาญให้ ย่อยยับ เส่ือมจากคุณความดี ไม่มีความสุขในปัจจุบัน เม่ือท�ำลายขันธ์ตายไป แล้ว ยอ่ มไมแ่ คลว้ จากนรก ไฟคือสามี จะดับได้ด้วยธรรมะ คือความเคารพ อ่อนน้อม ซื่อสัตย์ กตญั ญกู ตเวที ไม่ด้ือกระดา้ งด้วยทิฏฐิมานะ

(๖) ทกั ขิเณยยคั คิ ไฟคอื สมณะพราหมณ์ ผูม้ ศี ลี ธรรมควรรับทักษิณา สมณะพราหมณ์ ผู้ต้ังอยู่ในศีลธรรม ส�ำรวมกายวาจาใจ ไม่เบียดเบียน ผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อน ไม่เป็นภัย ไม่เป็นเสนียดแก่ผู้ใดในโลกน้ี สมณะ พราหมณ์ผู้มีคุณเห็นปานนี้ ควรท่ีสาธุชนจะพึงสักการะ เคารพนับถือ บูชา บำ� เรอให้ดี ก็จะมีความสุขความเจริญ ถ้าไม่เคารพ ไม่นับถือบูชา ไม่บ�ำเรอให้ดี ดูหม่ินเหยียดหยาม หรือเบียดเบียนท�ำร้ายท่าน ก็จักเป็นไฟเผาผลาญให้เสื่อม พินาศย่อยยับโดยล�ำดับ ท้ังในปัจจุบัน เม่ือท�ำลายขันธ์ตายไปแล้ว ก็ไม่แคล้ว จากนรก ไฟ คือสมณะพราหมณ์ จะพึงดับได้ด้วยธรรมะ คือความเคารพ ออ่ นนอ้ ม บูชาท่าน (๗) กฏั ฐัคคิ ไฟธรรมดา ไฟธรรมดาน้ัน มีคุณอนันต์ สุดท่ีจะพรรณนา เช่นใช้หุงต้ม เผาส่ิงที่ ไม่ต้องการ บันดาลให้เกิดแสงสว่างเป็นต้น และมีโทษมหันต์เช่นเดียวกัน คือ อาจเผาผลาญบ้านเรือนให้พินาศย่อยยับเป็นภัสมธุลี ก่อความทุกข์ ความ เดือดร้อนให้แก่มนุษย์สุดที่จะพรรณนา พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้จุดตามกาล ให้ระวังตามกาล ให้เก็บตามกาล ไฟธรรมดาน้ี ควรดับหรือควรป้องกันด้วย ธรรมะ คอื ความมสี ติ ไม่ประมาทเผอเลอ สรุปความว่า กิเลส มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ได้ชื่อว่าเป็นไฟ ประลัยกัลป์ภายใน เพราะเผาผลาญใจของสัตว์โลกให้เร่าร้อน กระวนกระวาย ท�ำลายคุณความดีให้หมดสิ้นไป ทั้งเผาได้ไม่เลือกกาลบุคคล หรือสถานท่ี เผา ตลอด ๒๔ ช่ัวโมง อาวุธร้ายท่ีท�ำลายล้างผลาญอย่างน่ากลัวน้ัน ล้วนแต่คนที่

มากด้วยราคะ โทสะ โมหะ สร้างขึ้นมาประหัตประหารกันท้ังน้ัน ถ้าหมดกิเลส แล้วกไ็ มต่ ้องสรา้ งอาวุธร้ายมาท�ำลายประหตั ประหารกันให้เดือดร้อนเปล่า ๆ ฉะนั้น ขอจงช่วยกันดับไฟประลัยกัลป์ภายใน คือดับกิเลสด้วยเครื่อง ดับ คือธรรมะค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกคนถ้าต่างประพฤติปฏิบัติตามธรรมะ ของพระพุทธเจ้า ก็ได้ชื่อว่า ช่วยกันดับไฟประลัยกัลป์อันจะท�ำลายล้างโลก ด้วยประการฉะนีแ้ ล

152

153 คุณประโยชนข์ องการบวช การบวช โดยพยัญชนะแปลว่าเว้น คือเว้นเหตุอันเป็นท่ีต้ังแห่งความ เส่ือมเสียเศร้าหมองเดือดร้อนทางกายวาจาใจ โดยอรรถ หมายถึง การน้อมน�ำ กายวาจาใจเข้าอยู่ในกรอบขอบเขตแห่งพระธรรมวินัยของพระพุทธจ้า ซ่ึงเป็น ระเบียบอันประณีตโดยตลอด และเป็นยอดแห่งระเบียบที่ดีทั้งหลาย หรือ หมายถึงการเช่ือมกายวาจาใจของตน ให้ซึมซาบเอิบอาบด้วยศีลธรรม ผู้ท่ีเช่ือม กายวาจาใจของตน ให้ซึมซาบเอิบอาบด้วยศีลธรรมจนได้ที่แล้ว ย่อมมีจรรยา ผ่องแผ้วสะอาดสุภาพอ่อนโยนนุ่มนวลควรแก่การเคารพยกย่องของคนท่ัวไป เหมือนผลไม้ เช่น มะตูม สาเก และกล้วยที่เชื่อมด้วยน�้ำตาลจนซึมซาบหวาน ได้ท่ีแลว้ ก็มีรสโอชาน่ารบั ประทาน การบวชมี ๒ อยา่ ง คือบวชเดก็ เป็นสามเณร เรยี กว่า บรรพชา ๑ บวช ผู้ใหญ่เป็นภิกษุ เรียกว่า อุปสมบท ๑ การบวชทั้ง ๒ อย่างนั้น โดยใจความ กค็ อื ออกจากการครองเรือนไปบ�ำเพ็ญพรต งดไมท่ �ำชั่วเสอื่ มทราม ตั้งหนา้ ท�ำแต่ ความดเี นืองนิตย์ อบรมจติ ใหส้ งบผ่องใสประณตี สุขมุ เยือกเย็น การบวชนี้ เป็นท่ีนิยมของคนทุกชั้น ต้ังแต่คนสามัญจนถึงองค์พระ- มหากษัตรยิ ์ นยิ มปฏิบตั จิ นเกิดเป็นประเพณีมีมาแตโ่ บราณกาล แมใ้ นปจั จบุ ันนี้ ก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ไม่จืดจาง หรือเลิกล้ม ถือว่าเป็นอุดมมงคล ได้บุญกุศล

154 อันย่ิงใหญ่ ไม่มีส่ิงใดเสมอเหมือน ผู้ถวายจตุปัจจัยไทยทานเป็นจ�ำนวนนับคร้ัง ไมถ่ ้วน หรือสรา้ งอุโบสถวิหารเจดยี แ์ ปดหม่ืนสพี่ นั องค์ จะได้ผลานสิ งส์เทยี มเทา่ การบวชก็หามิได้ บุคคลจะมั่งมีหรือยากจนเข็ญใจ หากได้บวชด้วยตนเองหรือ ใหบ้ ุตรหลานบวชในพระพุทธศาสนาแลว้ กน็ ับว่าเป็นญาตพิ ระศาสนา สบื ตอ่ อายุ พระศาสนาให้วัฒนาถาวร ทดแทนคุณมารดาบดิ าผใู้ หก้ ำ� เนดิ และเลี้ยงดูมา ด้วยเหตุนี้ ผู้มีศรัทธาและมีบุตรหลานจึงบวชด้วยตนเองบ้าง ขวนขวาย ให้บุตรหลานของตนบวชเมื่อมีอายุครบก�ำหนดบ้าง และออกทรัพย์หาเครื่อง บริขารบวชผู้อื่นบ้าง ท้ังทางราชการก็อนุญาตให้ข้าราชการลาบวชได้ปีหนึ่ง ๆ จ�ำนวนไม่น้อยเลย ทั้งนี้ เพราะการบวชมีคุณประโยชน์อันไพศาล ควรแก่การ ส่งเสรมิ และสนบั สนุน แต่เม่อื ประมวลกลา่ วโดยย่อแล้ว การบวชมีคุณประโยชน์ ดงั นี้ คอื ๑. ช่วยให้ละพยศ ๒. ลดมานะ ๓. ดบั ความร้อน ๔. ทอนความเมา ๕. ช่วยประเทศชาติ ๖. เป็นญาติในพระศาสนา ๗. ทดแทนคุณมารดาบิดา ๘. ใหไ้ ด้ชื่อวา่ เป็นคนสกุ ๙. ดบั ทุกข์ ข้อที่ ๑ ที่ว่า การบวชช่วยให้ละพยศน้ัน อธิบายว่า โดยปกติผู้ยังไม่ได้ บวช โดยมากมักมีความพยศอาละวาด ด้วยอ�ำนาจกิเลสคือโลภโกรธหลง คึกคะนองกายวาจาใจ เป็นเหตุให้ไม่ระมัดระวัง ท�ำพลาดพล้ังเสียหาย ไม่รู้จัก ยับยั้งชั่งใจ หรือคิดให้รอบคอบถ้วนถ่ี เช่นมีผู้ท�ำไม่ถูกใจแม้เพียงนิดเดียวก็ ฉุนเฉียวโกรธเคืองหน้าเง้าหน้างอ ติฉินนินทาด่าว่าหรือประหัตประหารทุบตี เหลา่ น้ีเป็นตน้ ซึ่งเปน็ ผลร้ายเสยี หายท้ังแกต่ น เสียหายทัง้ แกบ่ คุ คลอน่ื เสยี หาย ทั้งส่วนรวม เหมือนม้าอันพยศล�ำพอง ผู้ข้ึนควบข่ีก็มีอันตราย ส่วนผู้บวช ในพระพุทธศาสนาแล้ว ต้องเคร่งครัด ระมัดระวังส�ำรวมกายวาจาใจตาม พระธรรมวินัยที่ทรงบัญญัติไว้ มิให้พยศและคึกคะนองได้เลย เมื่อเป็นเช่นน้ี ความพยศและคึกคะนองท่ีเคยมีอยู่ก็ค่อยลดหรือหมดไปตามล�ำดับ ไม่เป็นภัย อันตราย ไม่เสียหายเดือดร้อนแก่ตน แก่คนอื่นและแก่สังคมอีกแล้ว เหมือน ม้าที่ฝึกดีจนได้ที่แล้ว ย่อมเรียบร้อย ละพยศ หมดล�ำพอง ใช้ได้คล่องทันใจ และไมเ่ ป็นภยั แกผ่ ูค้ วบข่ี น้ีแสดงวา่ การบวชช่วยใหล้ ะพยศ

155 ข้อ ๒ ท่ีว่า การบวชช่วยลดมานะน้ัน อธิบายว่า ปรกติคนโดยมาก มักมีมานะถือตัวว่าดีวิเศษกว่าผู้อ่ืน เพราะเกิดในตระกูลสูงบ้าง เพราะมีวิชา ความรู้สูงบ้าง เพราะมีทรัพย์สมบัติมากบ้าง เพราะมีอ�ำนาจวาสนาบ้าง แล้ว ดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น ซ่ึงเป็นเหตุให้ด้ือกระด้างต่อผู้มีอาวุโสเจริญวัย หรือ เป็นเหตุให้ร้าวรานแตกสามัคคีคุมกันไม่ติด ส่วนผู้บวชแล้ว ต้องลดมานะความ ถือตัวว่าดีวิเศษกว่าผู้อ่ืน เพราะเหตุดังกล่าวนั้น ๆ ให้หมดไปและอ่อนโยน นอบน้อมยอมกราบไหว้ผู้บวชก่อนตามล�ำดับพรรษาอาวุโส จะยกเอาชาติสกุล วิชาความรู้ทรัพย์สมบัติยศศักดิ์ และอ�ำนาจวาสนามาอ้าง แล้วแสดงอาการ กระด้างกระเด่ืองต่อผู้แก่พรรษาอาวุโสมิได้ เม่ือเป็นเช่นน้ี มานะความถือตัว อันเป็นเหตุดูหมิ่นเหยียดผู้อื่นท่ีเคยมีอยู่ ก็ค่อยลดละหมดไปโดยล�ำดับ ส่วน มานะที่ยังไม่เกิด ก็ไม่อาจเกิดข้ึนได้ น้ีแสดงว่าการบวชช่วยลดมานะ และเป็น เหตใุ ห้รูจ้ ักคารวะออ่ นน้อมต่อผใู้ หญ่ ข้อ ๓ ท่วี ่า การบวชช่วยดบั ความรอ้ นนั้น อธิบายวา่ ปรกตคิ นผูย้ ังไม่ได้ บวช มักมเี หตแุ วดล้อมอนั จะก่อกวนใหเ้ กดิ ความร้อนใจไดบ้ ่อย ๆ เชน่ รอ้ นใจ เพราะโกรธแค้นขุ่นเคือง เนื่องมาจากผู้อ่ืนท�ำไม่ถูกใจ หรือไม่ทันใจตนบ้าง ร้อนใจด้วยเร่ืองภายในครอบครัวระหว่างสามีภรรยาบ้าง ร้อนใจเพราะความ ริษยาอาฆาตเบียดเบียนกันบ้าง ร้อนใจเพราะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย หาทรัพย์ได้ ไม่พอจ่าย ต้องกหู้ นี้ยืมสนิ เสยี ดอกเบี้ยแพง ๆ บ้าง ร้อนใจเพราะไฟคอื ราคะบ้าง เป็นเหตุให้เร่าร้อนกระวนกระวายไม่มีความสงบสุข ต่อเมื่อบวชแล้ว ได้ปฏิบัติ ตามหลักพระธรรมวินัยซ่ึงเป็นเหมือนยาวิเศษศักดิ์สิทธ์ิ สามารถถ่ายถอนและ ดับพิษคือความร้อนใจน้ัน ๆ ได้ ใจก็สงบเย็นสบายหายร้อน ที่กล่าวกันว่า ชายผ้าเหลืองของผู้บวช ย่อมสะบัดโบกไฟนรกซึ่งก�ำลังเผาผลาญมารดาบิดา ของตนเพราะท�ำบาปไว้นั้น เมื่อพิจารณาโดยธรรมาธิษฐานแล้ว จะเห็นได้ว่า ชายผ้าเหลืองของผู้บวช ช่วยสะบัดโบกดับความร้อนใจของมารดาบิดาตน ได้จริงแม้ในปัจจุบันน้ีเอง เพราะผู้บวชได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยแล้ว ย่อมซาบซ้ึงในหลักธรรมค�ำสอน อันสามารถทอนพิษคือความร้อนใจออกได้

156 แล้วไปชี้แจงโปรดมารดาบิดาผู้ครองเรือน ซึ่งก�ำลังถูกพิษกิเลสเคร่ืองร้อนใจ เผาลนอยู่ให้หายร้อนใจได้ อันเปรียบด้วยการดับไฟนรก เพราะนรกนั้น มิได้ อยู่ท่ีอื่นไกลไหนเลย ท่ีแท้อยู่ที่ใจของคนน่ีเอง เม่ือใจเร่าร้อนกระวนกระวาย มีความทกุ ข์ กเ็ ทา่ กบั ตกนรกทงั้ เปน็ เมือ่ ใจเยน็ สงบระงับ ก็นบั ว่าเป็นสุข เทา่ กับ ข้ึนสวรรค์ ดังค�ำที่ว่า ”สวรรค์อยู่ท่ีอก นรกอยู่ที่ใจ„ นี้แสดงว่าการบวชช่วยดับ ความร้อนได้ ข้อ ๔ ท่ีว่า การบวชช่วยทอนความเมานั้น อธิบายว่า ปรกติคนผู้ยัง ไม่ได้บวช โดยมากมักมีความเมาทั้งภายในภายนอก เมาภายใน เช่น เมากิเลส เมาลาภยศ เมาค�ำสรรเสริญเยินยอ เมาโลภ เมาโกรธ เมาหลง เมารัก เมาชัง เมาริษยาอาฆาต เมาพยาบาท เบยี ดเบยี นกันเป็นต้น เมาภายนอก เชน่ เมาสุรา กัญชาและฝิ่นเป็นต้น เมาทั้ง ๒ อย่างนี้ มักมีประจ�ำกันท่ัวไป มิอย่างใดก็ อย่างหนงึ่ ซงึ่ เป็นเหตใุ หเ้ กิดโทษเสยี หายเดอื ดรอ้ นสดุ ทจี่ ะพรรณนา เชน่ เมาสรุ า กเ็ ปน็ เหตุใหเ้ สียทรัพย์ เสยี สตสิ มั ปชัญญะ เสยี มรรยาท เสียความเป็นคนสุภาพ เสยี มติ ร เสียกจิ การหนา้ ท่ี เสยี ศลี เสยี สัตย์ เป็นบ่อเกดิ แห่งโรคภยั เปน็ เหตเุ กิด อาชญากรรม ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทบาดหมาง และเบียดเบียนล้างผลาญกัน แต่คร้ันบวชเข้ามาแล้ว จะเมาอย่างน้ันมิได้ ต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นเหมือนก�ำแพงก้ันมิให้หันเข้าหาความเมาเช่นน้ันอีก เป็นเหตุให้ความเมา ท่ีมีอยู่แล้วค่อยลดและหมดไปโดยล�ำดับ ทั้งความเมาใหม่ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ นแี้ สดงวา่ การบวชช่วยทอนความเมาใหล้ ดนอ้ ยลง ข้อท่ี ๕ ท่ีว่า การบวชช่วยประเทศชาตินั้น อธิบายว่าช่วยได้ท้ังในด้าน การปกครอง ท้ังในด้านเศรษฐกิจ ปรกติคนผู้ยังไม่ได้บวช แม้มีกฎหมาย บัญญัติห้ามมิให้ประพฤติเบียดเบียนกัน และลงโทษผู้ฝ่าฝืนไว้กวดขัน ก็ยังมี ผู้ประพฤติล่วงกฎหมายน้ัน เช่น เบียดเบียนล้างผลาญกันบ้าง ลักทรัพย์สมบัติ ของผู้อื่นบ้าง พูดเท็จหลอกลวงกันบ้าง เป็นทางให้เกิดคดีฟ้องร้องกันในศาล ก่อความร�ำคาญเดือดร้อนหวาดสะดุ้ง ยุ่งยากแก่การปกครอง เป็นเหตุให้คนดี

157 อยู่ไม่สุขสบาย ท�ำลายความสงบสุขของประเทศชาติ แต่ผู้บวชเข้ามาแล้ว มี พระธรรมวินัยบัญญัติจ�ำกัดให้อยู่ในขอบเขต เป็นเหตุให้เลิกละการท�ำชั่ว เบียดเบียนล้างผลาญน้ัน ๆ ได้ส้ินเชิง ไม่ปรากฏเลยว่า พระผู้ปฏิบัติเคร่งครัด ในพระธรรมวินัย เท่ียวประพฤติเบียดเบียนล้างผลาญผู้อื่น ลักทรัพย์สมบัติ ผู้อ่ืน หลอกลวงผู้อ่ืน หรือเมาสุราอาละวาดท�ำความเดือดร้อนยุ่งยากแก่สังคม หรือแก่ประเทศชาติเลย น้ีแสดงว่าการบวชช่วยประเทศชาติในด้านปกครอง ทำ� ใหก้ ารปกครองสงบเรยี บรอ้ ยร่มเย็น ส่วนในด้านเศรษฐกิจเล่า การบวชก็มีส่วนช่วยได้ไม่น้อยเหมือนกัน โดยปรกติผู้ครองเรือนมักมีความจ�ำเป็นต้องใช้เคร่ืองนุ่งห่มแต่งกายคนละ หลาย ๆ ชุด เพื่อให้เหมาะสมแก่สมัยนิยมขนบประเพณี และระเบียบที่ตราไว้ ในการงานและสถานท่ีน้ัน ๆ เช่นไปในงานศพต้องแต่งกายอย่างหนึ่ง ไปงาน มงคลสมรสต้องแต่งอีกอย่างหนึ่ง ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ ต้องแต่งอย่างหนึ่ง ไปเล่นกีฬาต้องแต่งอีกอย่างหนึ่ง กลางคืนแต่งอีกอย่างหนึ่ง กลางวันแต่งอีก อยา่ งหนงึ่ นอกจากนี้ ยังมเี ครอ่ื งประกอบอีกหลายอย่าง เช่น หมวกรองเทา้ และ เคร่อื งสำ� อางเปน็ ต้น เมอื่ เปน็ เชน่ น้กี จ็ ำ� เปน็ ต้องจบั จ่ายหาไวใ้ ช้คนละหลาย ๆ ชดุ หลาย ๆ อยา่ ง ถา้ เครอื่ งนุ่งหม่ และเครือ่ งสำ� อางเป็นตน้ นน้ั ผลิตขนึ้ ได้ในประเทศ ของตนเองก็พอท�ำเนา แต่ถ้าจ�ำต้องซื้อหาเขามาจากต่างประเทศแล้วไซร้ ก็เป็น เหตุให้เงินรัว่ ไหลออกนอกประเทศ กระทบกระเทือนต่อเศรษฐกจิ ของชาติมากอยู่ ส่วนผู้บวชเข้ามาแล้วมีบริขารเครื่องนุ่งห่มจ�ำกัด ไม่ฟุ่มเฟือย นับว่าเป็น ประโยชน์แก่ประเทศชาติในด้านเศรษฐกิจ เงินไม่รั่วไหลออกนอกประเทศ ถ้า มีผู้บวชมากเท่าใด ก็ช่วยกันประหยัดทรัพย์ได้มากเท่าน้ัน เศรษฐกิจของชาติ กด็ ขี ้นึ เปน็ เงาตามตัว แม้ในด้านการบริโภคนั้นเล่า ผู้บวชก็มีส่วนช่วยประหยัดเครื่องบริโภค ของประเทศชาติได้มากอยู่ ปรกติผู้ครองเรือนมักบริโภคอาหารวันละ ๓ เวลา คือเช้ากลางวันและเย็นเป็นประจ�ำ และมักกินจุบกินจิบ ไม่เลือกเวลา เช่น

158 กินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว พอตกบ่ายเน้ือสะเต๊ะขนมจีนน�้ำยา ขนมปลากริม ครองแครงมาก็ซื้อกินอีก กินข้าวเย็นเสร็จแล้วหยก ๆ พอตกค�่ำก็ยังกิน ก๋วยเตี๋ยว กินเก๊ียวบะหมี่ข้าวต้มปลา ทองหยิบทองหยอดหอยทอดฝอยทอง อะไรในท�ำนองนี้ไม่มีเวลาหยุดหย่อน มิหน�ำซ้�ำบางคนกินทิ้งกินขว้างอย่าง นา่ เสียดาย ไมม่ กี �ำหนดกฎเกณฑ์ ไม่มีประมาณ เปน็ การสนิ้ เปลืองเครอ่ื งบรโิ ภค ของประเทศ เป็นเหตุเปลืองทรัพย์ อาจเป็นเหตุให้ท้องเสีย อุจจาระธาตุพิการ ได้ง่าย เคยชินติดนิสัย ท�ำให้ผู้อ่ืนเอาเยี่ยงอย่าง ท�ำให้เคร่ืองบริโภคต่าง ๆ มีราคาแพง เดอื ดรอ้ นกันทว่ั ไปหมด ส่วนผ้บู วชแล้วมีก�ำหนดเวลาบริโภคอาหาร อย่างมากกว็ นั ละ ๒ เวลา คอื เช้ากบั เพล ซึ่งไม่สน้ิ เปลอื งเคร่อื งบรโิ ภคเท่าไรนกั เมื่อเทียบกันเช่นนี้ จะเห็นได้ว่าการบวชช่วยประเทศชาติได้ในด้านประหยัด เคร่ืองนุ่งห่มและอาหารเป็นอย่างดี แม้กระนั้นก็ยังมีผู้เข้าใจผิดว่าการบวชไม่ได้ ช่วยประเทศชาติ ไม่มีประโยชน์แก่ประเทศชาติเลย กลับหาว่าการบวชถ่วง ความเจริญของบ้านเมืองเสียอีก ด้วยอ้างว่าผู้บวชไม่มีครอบครัว ไม่ได้ท�ำงาน อาชีพเป็นประโยชน์แก่รัฐ ไม่มีบุตรหลานสืบสกุลและสืบประเทศชาติ ข้อนี้ ถา้ พจิ ารณาด้วยเหตุผลแล้ว จะเห็นได้ชดั ว่าการบวชมไิ ดถ้ ว่ งความเจริญกา้ วหนา้ ของชาติบ้านเมืองดังท่ีมีผู้เข้าใจเลย ท่ีแท้กลับมีประโยชน์แก่ประเทศชาติ ช่วยประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า และน�ำความร่มเย็นสงบสุขมาสู่ประเทศชาติ จริงอยู่ ผู้บวชไม่มีครอบครัว อาจเป็นเหตุให้จ�ำนวนพลเมืองของชาติลดลงบ้าง และไม่ไดป้ ระกอบการงานอาชีพ จ�ำต้องเปน็ ภาระใหผ้ ู้อนื่ อุปการะบ�ำรุงบ้าง ข้อน้ี เป็นความจริง แต่ไม่ควรลืมว่าผู้บวชได้ช่วยอุปถัมภ์บ�ำรุงอบรมส่ังสอนเยาวชน บุตรหลานของชาวบ้านที่ไม่ได้บวชให้เป็นพลเมืองดี มีความขยันขันแข็งใน การประกอบสัมมาอาชีพ ต้ังอยู่ในศีลธรรม เจริญรุ่งเรืองในทางราชการเป็น จ�ำนวนไม่น้อยเลย เมื่อเยาวชนประพฤติดี มีศีลธรรม มีความขยันหมั่น ประกอบสัมมาอาชีพทั่วกันแล้ว ก็เป็นก�ำลังแก่ประเทศชาติ ท�ำให้ประเทศชาติ เจริญก้าวหน้าได้เป็นอย่างดี ผู้ท่ีเจริญรุ่งเรืองมีหลักฐานท้ังในทางราชการท้ังใน ทางสว่ นตวั เพราะไดร้ ับความอปุ การะบำ� รุงอบรมสง่ั สอนจากผู้ท่บี วช มีตัวอยา่ ง

159 ปรากฏเป็นจ�ำนวนไม่น้อย อนึ่ง ผู้บวชเม่ือไม่มีครอบครัวแล้ว ก็ไม่จ�ำเป็นต้อง มีอาชีพ เพราะแม้ไม่มีอาชีพก็สามารถด�ำรงชีวิตอยู่ได้เป็นปรกติสุข โดยอาศัย อาหารท่ีมีผู้ศรัทธาบริจาคเลี้ยงชีวิตเพียงวันละนิดละหน่อย ทั้งเป็นการยอมสละ สทิ ธิทจี่ ะพงึ มีพึงได้ เปิดโอกาสใหผ้ อู้ ื่นแสวงหาอาชพี ไดโ้ ดยไม่ตอ้ งแย่งชิงกัน อันผู้จะชื่อว่าช่วยประเทศชาตินั้น ไม่จ�ำเป็นต้องจ�ำกัดลงไปว่า ต้อง ท�ำงานหรือท�ำหน้าที่อย่างนั้นอย่างนี้ แม้ท�ำประโยชน์ได้เพียงอย่างหน่ึงอย่างใด กช็ อื่ วา่ ไดช้ ่วยประเทศชาติแล้ว เช่น ชาวนาชาวสวนถึงแม้ไม่ได้ท�ำราชการ ก็ช่ือว่าช่วยประเทศชาติใน ด้านผลิตข้าวและผลไม้ มาบ�ำรุงเล้ียงคนในชาติให้มีความสุขอุดมสมบูรณ์ จึง ได้รับการยกย่องว่าเป็นกระดูกสันหลงั ของประเทศชาติ เจ้าหน้าที่ต�ำรวจและทหาร มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในภายใน ปราบโจรผู้ร้ายหรือป้องกันศัตรูภายนอก แม้ไม่ได้ท�ำไร่ท�ำนาท�ำสวนก็ได้นามว่า ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ หรือเป็นร้ัวของชาติ ช่วยรักษาความสงบปราบโจรผู้ร้าย ท�ำใหพ้ ลเมอื งอย่เู ยน็ เปน็ สุข ผู้บวชแม้ไม่ประกอบอาชีพเป็นประโยชน์แก่รัฐ แต่ตั้งอยู่ในศีลธรรม ไม่เบียดเบียนใคร และช่วยแนะน�ำสั่งสอนให้ประพฤติดี มีศีลธรรม ตั้งอยู่ใน ความสงบ กับผู้ไม่บวชได้ประกอบอาชีพเป็นประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจ แต่ ประพฤติทุจริตเสียหาย เบียดเบียนท�ำลายล้างผลาญผู้อ่ืน ทั้ง ๒ อย่างน้ี ใคร จะชอื่ ว่ากอ่ ความเดอื ดร้อนล�ำบาก หรอื น�ำความยงุ่ ยากมาสู่บ้านเมอื งมากกวา่ กนั ผู้บวชแม้มิได้มีโอกาสช่วยชาติในด้านอาชีพ แต่ก็ช่วยในด้านเศรษฐกิจ ประหยัดเครื่องนุ่งห่มและอาหาร และในด้านการปกครอง ก็ได้ช่วยอบรม สัง่ สอนพลเมอื งของชาติให้เป็นพลเมอื งดี ตามท่ีชาตติ อ้ งการ นแ้ี สดงวา่ การบวช มีส่วนชว่ ยประเทศชาติ

160 ข้อ ๖ ที่ว่า การบวชท�ำให้ได้เป็นญาติในพระศาสนาน้ัน อธิบายว่า พระพุทธศาสนาบริบูรณ์ด้วยหลักธรรมค�ำสั่งสอนอันสามารถอ�ำนวยประโยชน์ แก่บุคคลทุกชาติช้ัน แก่หมู่คณะและประเทศชาติได้อย่างเหมาะสมตามความ ต้องการ ศาสนานั้นจงึ เป็นเหมือนทรัพยม์ รดกอันล้�ำค่า ถ้ายงั มผี ชู้ ว่ ยกนั อุปถัมภ์ บ�ำรุงรักษาให้ด�ำรงอยู่ได้นานเพียงไร ก็จักอ�ำนวยประโยชน์ให้เกิดสันติสุขร่มเย็น แก่สังคมและชาวโลกนานเพียงนั้น เหมือนต้นโพธ์ิต้นไทรใหญ่อันมีก่ิงก้านสาขา แผ่ปกคลุมร่มเย็น ถ้ายังเจริญเติบโตงอกงามอยู่เพียงไร ก็ให้ความร่มเย็นแก่ ผู้เข้าพักร้อนและฝูงนกฝูงกาได้อาศัยเพียงนั้น ถ้าไม่มีผู้บวชเรียนทรงจ�ำ น�ำไป ประพฤติปฏิบัติและเผยแผ่สั่งสอนสืบต่อแล้ว ศาสนาก็จักไม่ยั่งยืนนาน ต้อง อันตรธานสูญไป ต่อเม่ือมีผู้บวชเรียน จึงจักเจริญย่ังยืนถาวร ดับทุกข์ร้อน อำ� นวยสนั ตสิ ุขแก่ชาวโลกสบื ตอ่ ไปตลอดกาลนาน พระพุทธศาสนาที่มีอายุยืนยาวมาได้ถึง ๒๕๐๐ ปีเศษ ก็เพราะมีผู้บวช เรียนสืบต่อกันมา ผู้บวชเรียนในพระศาสนาจึงเท่ากับได้ต่ออายุบ�ำรุงพระศาสนา เหมือนการรดน�้ำบ�ำรุงต้นโพธ์ิต้นไทรท่ีมีร่มเงานั้นให้เจริญงอกงามถาวรต่อไป ตลอดกาลนาน ประเทศชาติจะด�ำรงอยู่ได้ ก็เพราะอาศัยพลเมืองยอมเสียสละ ช่วยกันรับราชการเป็นทหาร เพ่ือป้องกันประเทศชาติสืบต่อไปฉันใด ศาสนาจะ ด�ำรงอยู่ได้นาน เพราะมีผู้เสียสละบวชเรียนสืบต่อกันฉันน้ัน ฉะนั้น การบวช จงึ ช่อื ว่าท�ำใหไ้ ดเ้ ปน็ ญาตใิ นพระศาสนา สืบตอ่ อายพุ ระศาสนาใหย้ ง่ั ยืนถาวร ขอ้ ท่ี ๗ ทว่ี ่า การบวชชว่ ยทดแทนคุณมารดาบดิ านั้น อธบิ ายว่า มารดา บิดาเป็นผู้มีพระคุณอันสูงสุดแก่บุตรธิดา ยากที่จะสรรหาค�ำใด ๆ มาพรรณนา ให้หมดสิ้น แม้พ้ืนพสุธาและอากาศอันกว้างใหญ่หรือมหาสมุทรอันลึกซึ้ง ยัง เทียบไดไ้ มถ่ ึงพระคณุ ของมารดาบดิ า เพราะทา่ นให้กำ� เนดิ ใหช้ ีวติ ใหเ้ ลือดเนอื้ ให้ความสุข ให้อาหาร ให้ความอุปการะเลี้ยงดู ให้ความรู้ ให้ค�ำแนะน�ำทุกส่ิง ทุกอย่าง ทุกวิถีทางโดยไม่ค�ำนึงถึงความเหนื่อยยากล�ำบากใด ๆ และไม่หวัง การตอบแทนเลย พระคุณของมารดาบิดาจึงมีมากที่สุด ยากท่ีบุตรธิดาจะ

161 ทดแทนคุณได้ การทดแทนคุณบิดามารดานั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า แม้จะท�ำกัน ด้วยความต้ังใจอย่างแรงกล้า หรือด้วยวิธีอันอุกฤษฏ์ เช่น บุตรธิดาจะให้ทรัพย์ นับจ�ำนวนไม่ถ้วน จะมอบความเป็นใหญ่ ความเป็นบรมจักรพรรดิครองราชย์ เรืองอ�ำนาจท่ัวพ้ืนปฐพีแก่มารดาบิดา หรือจะแบกมารดาบิดาของตนไว้บนบ่า ซ้ายขวา ปฏิบัติเลี้ยงดูตลอดถึงให้ถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นตลอดเวลา ๑๐๐ ปี ก็ยังไม่ชื่อว่าทดแทนคุณมารดาบิดาได้โดยสมบูรณ์ แต่ถ้าบุตรธิดาได้ แนะน�ำชักชวนมารดาบิดาของตนซ่ึงยังไม่มีศรัทธาคือความเชื่ออันมีเหตุผลให้มี ศรัทธา ผู้ยังไม่มีศีลให้ด�ำรงอยู่ในศีล ผู้ยังไม่มีจาคะคือการเผื่อแผ่ และการ สละกิเลสความช่ัว ให้มีจาคะ ผู้ยังไม่มีปัญญา ให้มีปัญญา ผู้ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบตามท�ำนองคลองธรรม ให้มีสัมมาทิฏฐิ ถ้าบุตรธิดาแนะน�ำ ชักชวนได้อย่างนี้ จึงชื่อว่าได้ทดแทนคุณมารดาบิดาได้โดยสมบูรณ์แล้ว เมื่อได้ ทดแทนคุณของมารดาบิดาโดยสมบูรณ์ ก็ได้ช่ือว่าเปลื้องหน้ีเก่าให้หมดสิ้นไป ผู้ที่จะแนะน�ำชักชวนมารดาบิดาให้ต้ังอยู่ในคุณธรรมมีศรัทธาเป็นต้นดังกล่าว แล้วน้นั ได้ ตอ้ งบวชเรียนจนมคี วามรู้ความเขา้ ใจในพระธรรมวนิ ยั กวา้ งขวาง จึง จักอาจหาทางแนะน�ำชักชวนได้ ถ้าไม่ได้บวชเรียนแล้ว ย่อมไม่รู้ไม่เข้าใจ เม่ือ ไม่รู้ และไม่เข้าใจ ก็ไม่มีโอกาสท่ีจะชักชวนแนะน�ำท่านได้เลย ผู้บวชแล้ว ย่อม มโี อกาสทดแทนคุณมารดาบิดาได้ ข้อ ๘ ที่ว่า การบวชให้ได้ช่ือว่าเป็นคนสุกน้ัน อธิบายว่า คนที่ยังไม่ได้ บวช ยังไม่ได้รับการอบรมตามพระธรรมวินัย มักคะนองกายวาจาใจ ไม่สุภาพ เรียบร้อย จะท�ำอะไรมักหุนหันพลันแล่น ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ เป็นเหตุให้ท�ำการ ผิดพลาดเสียหาย เป็นอันตรายแก่ผู้อื่น ก่อความขมขื่นเดือดร้อน อันเปรียบ ด้วยของดิบบริโภคไม่อร่อย เช่นกล้วยและผลไม้ดิบ กินก็ฝาดเปร้ียว ข้าวดิบ กินท้องข้ึนท้องเสีย ต่อเมื่อบวชแล้ว ได้รับการอบรมตามพระธรรมวินัยแล้ว ช่ือว่าเป็นคนสุก กายวาจาใจก็สุกงอมละมุนละม่อม สงบเรียบร้อย จะท�ำอะไร ก็ไม่ผิดพลาดบกพร่อง ไม่ต้องเสียหายเดือดร้อนแก่ตนและคนอื่น เหมือน ผลไม้ เม่ือสุกงอมก็หอมหวาน รับประทานก็อร่อย เม่ือเป็นเช่นน้ี ผู้บวชแล้ว

จึงชื่อว่าเป็นคนสุก เพราะได้รับการอบรมบ่มนิสัยให้สุกงอมถึงพร้อมด้วย ศีลธรรม การบวช จงึ ช่อื วา่ ท�ำคนใหเ้ ปน็ คนสกุ ด้วยอาการอย่างน้ี ข้อท่ี ๙ ที่ว่า การบวชเป็นเหตุให้ดับทุกข์น้ัน อธิบายว่า โดยปรกติผู้ยัง ไม่ได้บวช ย่อมกระทบเหตุแวดล้อมอันจะก่อให้เกิดความทุกข์ยุ่งยาก แทบ ไมเ่ ว้นแต่ละวนั ไหนจะทกุ ขเ์ พราะเร่ืองสว่ นตวั ไหนจะทกุ ขเ์ พราะเร่ืองครอบครวั สามีภรรยา ไหนจะทกุ ข์เพราะเรอ่ื งทะเลาะววิ าทกัน ไหนจะทกุ ขเ์ พราะเรอื่ งรษิ ยา อาฆาตพยาบาทกนั เบยี ดเบียนกนั ไหนจะทกุ ขเ์ พราะเร่ืองหาทรัพยไ์ ดไ้ มพ่ อจา่ ย ไหนจะทุกข์เพราะเรื่องกิเลสก่อกวนใจเหมือนผู้อยู่ในท่ามกลางกองไฟอันลุกโชน ถูกไฟลนเผาอยู่ ย่อมได้รับความร้อนมากกว่าผู้อยู่นอกหรือห่างกองไฟ ต่อเม่ือ บวชและปฏิบัติตนอยู่ในพระธรรมวินัยแล้ว ก็หายร้อนใจ ไม่มีทุกข์ หรือถ้าจะ ร้อนบ้าง ก็เป็นอย่างเบา ไม่ร้อนมากนัก ด้วยเหตุนี้ การบวชจึงชื่อว่าเป็นเหตุให้ ดับทกุ ข์ อันพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากจะเป็นคุณประโยชน์ และเป็นระเบียบสำ� หรับผู้บวชดังกล่าวแล้วน้ัน ยังนำ� มาใช้เป็นระเบียบประจำ� ชาติ ได้อีก เช่นมีพระวินัยบัญญัติให้ภิกษุรู้จักถนอมรักษาสมบัติของสงฆ์ เม่ือจะใช้ ก็ใช้ด้วยความเอ้ือเฟื้อระวังมิให้เสียหาย ภิกษุท�ำลายหรือใช้สมบัติของสงฆ์ด้วย ความไม่เอื้อเฟื้อย่อมมีความผิด ถูกปรับโทษทางพระวินัย พระพุทธบัญญัตินี้ ทุกคนอาจน้อมน�ำมาใช้เป็นระเบียบประจ�ำตนประจ�ำหมู่คณะประจ�ำชาติได้ กล่าวคือทรัพย์สมบัติทั้งปวงของชาติ ทุกคนในชาติมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมกัน จึงควรช่วยกันถนอมรักษาไว้ให้ถาวรดุจของสงฆ์ เช่นสายโทรเลข โทรศัพท์ สายไฟฟา้ ถนนหนทาง สะพาน สถานทีร่ าชการ โบราณวตั ถุ โบสถ์ วิหาร เจดยี ์ เหล่าน้ีเป็นต้น มีคุณประโยชน์ท้ังในทางสาธารณะ ท้ังในทางประวัติศาสตร์ ทั้งในทางโบราณคดีอย่างไพศาล เป็นสมบัติอันมีค่าของประเทศชาติ ศาสนา และเป็นสมบัติของคนท้ังบ้านทั้งเมือง จึงควรถนอมไว้ ไม่ควรท�ำลายเล่นเพราะ

เห็นแก่ความสนุกคะนองมือหรืออยากได้ และไม่ควรขีดเขียนท�ำให้สกปรก สอ่ นิสัยอันเลวทราม ไม่มวี ฒั นธรรม สรุปความว่า การบวชช่วยให้ละพยศ ลดมานะ ดับความร้อน ทอน ความเมา ช่วยประเทศชาติ เป็นญาติในพระศาสนา ทดแทนคุณบิดามารดา ให้ได้ช่ือวา่ เป็นคนสุก ดับทกุ ข์ การบวชมคี ุณประโยชน์ทง้ั แกต่ น แก่คนอ่นื แก่ประชมุ ชน แกป่ ระเทศชาติ และพระศาสนาเป็นอเนกประการดังกล่าวมาน้ี จึงมีผู้โมทนาสาธุนิยมบวช กันท่ัวไป ผู้เห็นคุณประโยชน์ของการบวชแล้ว ย่อมมีฉันทะความพอใจ เกิด ศรัทธาแล้วบวชด้วยตนเองบ้าง ช่วยส่งเสริมสนับสนุนการบวช และอุปถัมภ์ บำ� รุงผู้บวชดว้ ยจติ เป็นกุศลบ้าง เมือ่ มีบุตรหลาน ก็จดั การใหไ้ ดบ้ วชในเมอ่ื ถงึ คราว เพ่ือบรรลุประโยชน์ดังกล่าวน้ัน ด้วยเหตุน้ีจึงมีค�ำสรรเสริญการบวชว่า สาธุ โข ปพฺพชา แปลวา่ การบวชดแี ท้ คือ ให้ส�ำเร็จประโยชน์ ฉะน้แี ล

164

165 ธรรมะบ�ำบดั โรคใจ ธรรมะ โดยพยัญชนะ แปลว่า ทรงผู้ปฏิบัติตามไว้ ไม่ให้ตกไปในท่ีชั่ว, โดยอรรถ ได้แก่ค�ำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงส่ังสอนเพ่ือให้เว้นความชั่ว แล้วประพฤติดีปฏิบัติชอบ ให้เกิดผลดีคือความสุข ความเจริญ ทั้งแก่ตน ทั้งแก่คนอ่ืน ไม่ให้เป็นไปเพื่อเบียดเบียนประหัตประหารล้างผลาญกัน แต่ เป็นไปเพอ่ื ความรกั ความหวงั ดี เห็นอกเห็นใจกนั เมื่อกล่าวถึงธรรมะ คนโดยมากมักเข้าใจผิดเห็นว่า ธรรมะน้ัน เป็นของ จ�ำเป็นส�ำหรับคนแก่เฒ่าเข้าวัยชรา คนแก่เท่าน้ัน จึงควรหันเข้าหาธรรมะ ถ้า ยังหนุ่มสาวก็ยังไม่ควรหันเข้าหาธรรมะ คนท่ีอยู่ในวัยหนุ่มสาวมักส�ำคัญผิดว่า ธรรมะเป็นของคร่�ำครึ ล้าสมัย ไร้แก่นสาร ใช้การไม่ได้ และไม่มีคุณประโยชน์ แก่ตนเลย แต่ความจริง ธรรมะเป็นของจ�ำเป็นแท้แก่ตน ทุกชาติชั้นวรรณะ ทุกเพศทกุ วยั แก่หมคู่ ณะ แก่ครอบครวั ตลอดถงึ ประเทศชาติ ในโลกน้ีถ้าขาดธรรมะเสียแล้ว จะหาความร่มเย็นสงบสุขและความเจริญ รุ่งเรื่องมิได้เลย ข้อนี้จะเห็นได้ นับจ�ำเดิมแต่เริ่มปฏิสนธิขึ้นในครรภ์ของมารดา จนตราบเท่าถึงวันตาย ถ้าเราไม่ได้ธรรมะจากบิดามารดาและคนอ่ืนบ้างแล้ว เราจะไม่มีชีวิตอยู่ได้ หรือมีชีวิตอยู่ได้ก็ยากไร้ ไม่มีความสุขความเจริญ กล่าวคือ เมื่อเริ่มปฏิสนธิขึ้นในครรภ์มารดา ถ้ามารดาขาดธรรมะคือความเมตตากรุณา

166 เห็นว่าการท่ีทารกเกิดมาในครรภ์นั้นเป็นเหตุให้ตนต้องอับอายขายหน้า ท่าน ก็อาจไปจ้างแพทย์รีดหรือฉีดยา ท�ำให้แท้งหรือตาย หรือเมื่อคลอดออกมาแล้ว น�ำไปทิ้งหรือขุดหลุมฝังเสีย ไม่บ�ำรุงเล้ียงดู เราก็คงไม่มีชีวิตอยู่มาได้จนถึง ทุกวันน้ี การท่ีเราทุกคนไม่ตาย มีชีวิตอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะมารดามี ธรรมะ คอื เมตตากรณุ า อปุ การะเลย้ี งดู เด็กนั้นเมื่อเติบโตข้ึน อยู่ในวัยศึกษา มารดาบิดาต้องการให้เล่าเรียน ศึกษา เพ่ือจะได้มีวิชาความรู้ความฉลาดสามารถ เม่ือเป็นผู้ใหญ่จะได้เป็น พลเมืองดีและเป็นก�ำลังของประเทศชาติ ถ้าเด็กน้ันมีธรรมะ คือ วิริยะ ความเพียร ขันติ ความอดทน คารวะ ความเคารพ โสวจัสสตา ความเป็นคน ว่าง่าย เชื่อฟังค�ำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ หม่ันศึกษาเล่าเรียนวิชาด้วยความ ต้ังใจ ไม่เกียจคร้าน ไม่นานนักก็จักมีวิชาความรู้ มีความฉลาดสามารถ และ เรียนส�ำเร็จสมประสงค์ เมื่อเรียนส�ำเร็จแล้ว จักได้ใช้วิชาความรู้น้ันให้เป็น คุณประโยชน์แก่ตน เชิดชูวงศ์สกุลและเป็นก�ำลังของประเทศชาติ ถ้าเด็กน้ัน ขาดธรรมะคือวิริยะ ขันติ คารวะ โสวจัสสตาแล้ว ก็จักเรียนไม่ส�ำเร็จ ไม่มี วิชาความรู้ติดตัว เสียเวลา สิ้นเปลืองเงินทองของพ่อแม่ไปเปล่า ๆ โตขึ้นก็เป็น โตฟัก โตแฟง โตแตง โตน�้ำเต้าเปล่า ๆ ไม่มีแก่นสาร เจริญแต่เน้ือหนัง สติปัญญาหาเจริญไม่ กลายเป็นคนโง่เขลา พ่ึงตนเองไม่ได้ ทั้งยังเป็นเหตุถ่วง ความเจรญิ ของประเทศชาติ ทำ� ให้วงศ์สกุลเสือ่ มสูญไม่เจริญรุ่งเร่อื ง ผู้ออกจากบ้าน ไปท�ำการงาน ณ สถานที่ใด ๆ ก็ตาม จ�ำต้องมีธรรมะ ถ้าขาดธรรมะก็จักได้รับความทุกข์ความเส่ือมเสียเดือดร้อน เช่น น่ังในรถราง ถา้ ขาดธรรมะคือสติ ความรู้สกึ ระวังตัว เผอเรอ อาจถกู ลว้ งกระเป๋า เปน็ เหตใุ ห้ เงินทองส่ิงของสูญหาย ไดร้ บั ความเดือดรอ้ น ผู้เดินไปตามถนนหนทาง ถ้าขาดธรรมะ คือ สติ ปล่อยใจให้เลื่อนลอย ไปตามอารมณ์ เหม่อโน่น ดนู ่ีอาจถูกรถยนต์ทับ บาดเจบ็ ล้มตาย หรอื อวัยวะพิการ

167 ผู้ท�ำการเก่ียวกับสาธารณชนเนื่องด้วยหมู่คณะ ถ้าขาดธรรมะแล้วย่อม ไม่ส�ำเร็จประโยชน์ กลับเป็นโทษเสียหายเดือดร้อน เช่นคนขับรถยนต์ ถ้า ขาดธรรมะคืออัปปมาทะ ความไม่ประมาท ความมีสติระวัง ไม่ส�ำนึกว่า การ ขับรถยนต์ในถนนหลวงเป็นการล่อแหลมต่ออันตราย ชีวิตคนทั้งหลายที่เดิน บนถนนแขวนอยูก่ ับคนขบั รถยนต์ แล้วขบั ด้วยความประมาทคึกคะนองอวดตวั ว่าเป็นผู้เช่ียวชาญ เป็นเหตุให้รถชนคน เกิดผลเสียหายแก่ผู้อื่น ดังมีตัวอย่าง ปรากฏอยู่บ่อย ๆ ตนเองก็ต้องถูกจับ ได้รับโทษ ถูกปรับ เสียทรัพย์ เสียเวลา คนอื่นกพ็ ลอยไดร้ ับความเดอื ดร้อนบาดเจ็บล้มตาย ในครอบครัว สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกัน ถ้าขาดธรรมะแล้วก็อยู่ด้วยกัน ไม่ยืด ไม่มีความสงบสุข เช่น สามีขาดธรรมะ คือความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ไม่เห็นอกเห็นใจกัน ลืมค�ำสัญญาท่ีว่ากันไว้ ประพฤตินอกใจภรรยา ไปมี ภรรยาลับ ภรรยาเก็บ ภรรยาซุกซ่อนไว้ท่ีโน่นบ้าง ท่ีน่ีบ้าง ก็เป็นเหตุให้ภรรยา ไม่พอใจ เสียอกเสียใจ ตัดพ้อต่อว่ากัน ทะเลาะวิวาทบาดหมาง หรือหย่าร้าง เลกิ กนั ก็มี สว่ นภรรยาถ้าขาดธรรมะคอื ความซอื่ ตรง ประพฤตินอกใจ ไม่ปฏิบัติ ทะนุถนอมใจสามี แอบไปมีชู้ ก็เป็นเหตุให้สามีเสียใจ โกรธแค้น ขุ่นเคือง ทะเลาะวิวาท ในท่ีสุดก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ต้องแยกทางกันเดิน น้ีแสดงให้เห็นว่า แม้ในครอบครัวก็จ�ำต้องมีธรรมะ ถ้าขาดธรรมะแล้วก็ไม่มีความร่มเย็นสงบสุข ชีวติ ไมร่ าบรืน่ มีแตค่ วามขมข่นื เดือดร้อน การปฏิบัติหน้าท่ีราชการ ก็จ�ำต้องมีธรรมะ ผู้ท�ำราชการ ถ้าเป็นผู้น้อย ก็ต้องการธรรมะ เรียกร้องธรรมะจากผู้ใหญ่ อยากให้ผู้ใหญ่มีธรรมะคือเมตตา กรุณาเห็นอกเห็นใจผู้น้อย แม้ผู้น้อยประพฤติบกพร่องพลาดพล้ัง ก็ว่ากล่าว ตักเตือนส่ังสอนด้วยหวังดี เม่ือผู้น้อยมีความสามารถในหน้าที่การงาน ปฏิบัติ หน้าท่ีเรียบร้อย ก็ไม่เฉยเมย รีบพิจารณาคุณความดี และยกย่องตามสมควรแก่ คุณความดี ไม่กีดกันหรือกดความดีของผู้น้อยไว้ ให้ความยุติธรรมเที่ยงตรง ไม่มีลุอ�ำนาจแก่อคติ ถือคุณงามความดีความสามารถในหน้าที่การงานของ

168 ผู้น้อยเป็นส�ำคัญย่ิงกว่าพรรคพวก ส่วนผู้ใหญ่ก็ต้องการธรรมะจากผู้น้อย อยากให้ผู้น้อยมีความเคารพอ่อนน้อม ขยันขันแข็ง ปฏิบัติหน้าท่ีด้วยความ เรียบร้อยซ่ือสัตย์สุจริต ทั้งผู้ใหญ่ ท้ังผู้น้อยต้องการธรรมะ เรียกร้องธรรมะ ด้วยกันท้ังนัน้ ไมม่ ผี ู้ใดกล้าปฏเิ สธโดยธรรมว่าไมต่ อ้ งการธรรมะเลย ในเม่ือกรณีพิพาท ทะเลาะวิวาทกันด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ซ่ึงจ�ำต้องหา ผู้พพิ ากษาหรอื ตุลาการช้ขี าด ก็จำ� ตอ้ งปรารถนาผพู้ พิ ากษาตุลาการท่มี ีธรรมะคือ เป็นผู้เที่ยงตรง ให้ความยุติธรรมแก่ท้ังสองฝ่าย ผู้ท่ีผิดก็ว่าผิด ผู้ท่ีถูกก็ว่าถูก ยกย่องผู้ท่ีถูกเพ่ือเป็นก�ำลังใจ ลงโทษผู้ที่ผิด เพื่อให้เข็ดหลาบและระมัดระวัง ในกาลตอ่ ไป เปน็ ทป่ี ้องกนั มิใหค้ นอื่นประพฤติเอาเยยี่ งอย่างด้วย ในการปกครองประเทศชาติ ก็จ�ำต้องอาศัยธรรมะ ประเทศชาติที่ด�ำรง รักษาเอกราชอยู่ได้เป็นปกติสุข ไม่ตกเป็นทาสของชาติอื่นก็ต้องอาศัยธรรมคือ ความสามัคคี ความพร้อมเพรียงของคนในชาติ ช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ของตน ๆ ให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ เช่น ทหาร ก็มีหน้าที่ป้องกันรักษาเอกราชอธิปไตยของ ชาติ ต�ำรวจ ก็มีหน้าท่ีรักษาความสงบภายในปราบโจรผู้ร้าย ครูอาจารย์ก็มี หน้าท่ีอบรมส่ังสอนนักเรียน นักเรียนก็มีหน้าที่ศึกษาเล่าเรียน ชาวนาชาวสวน ก็มีหน้าท่ีท�ำนา ท�ำสวน พ่อค้าก็มีหน้าที่ค้าขาย ดังน้ีเป็นต้น เม่ือทุกคนมีธรรมะ คือความสามัคคี ปฏิบัติหน้าท่ีของตน ๆ ให้เรียบร้อยและดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ เพื่อวัตถุประสงค์คือความเจริญของประเทศชาติ ประเทศชาติก็มีความร่มเย็น สงบสุข เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า และรักษาเอกราชไว้ได้ แต่ถ้าทุกคนในชาติ ขาดธรรมะคือความสามคั คี ไมช่ ่วยกันปฏบิ ัตหิ น้าท่ีของตน ๆ ให้ดีทีส่ ุดเทา่ ที่จะ ดีได้ตามความสามารถ และขาดความซ่ือสัตย์สุจริต คิดแต่แสวงหาประโยชน์ตน ส่วนเดียว ไม่แลเหลียวค�ำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมแล้ว ในไม่ช้าประเทศชาติก็จะ เสอ่ื มโทรมล่มจม เสียเอกราช ตกเปน็ ทาสของชาติอ่ืน มีแตค่ วามขมขน่ื ระทมใจ

169 การงานทุกชนิด กิจท่ีจะต้องท�ำทุกอย่าง ถ้าขาดธรรมะก�ำกับสนับสนุน ก็ด�ำเนินไปไม่ราบรื่น ไม่ส�ำเร็จเรียบร้อย และจักถึงความเสื่อมโทรม ไม่รุ่งเรือง เหมือนพฤกษชาติท่ีขาดฝนโชย ก็มีแต่จะร่วงโรยเห่ียวเฉาตายไปโดยล�ำดับ แต่ถ้ามีธรรมะเข้าก�ำกับสนับสนุนแล้ว ก็เป็นไปโดยราบร่ืน ส�ำเร็จเรียบร้อย สมปรารถนา เหมือนบรรดาพฤกษชาติน้อยใหญ่ได้ฝนโชยก็เขียวชอุ่มชุ่มช่ืน งอกงามผลิตดอกออกผล หรือเหมือนเครื่องยนต์กลไก ถ้าได้หยอดน้�ำมัน หลอ่ ล่นื กเ็ ดนิ สะดวกและคลอ่ งแคล่วไม่ตดิ ขัด ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ เป็นอันแสดงให้เห็นชัดแล้วว่า ธรรมะจ�ำเป็นยิ่ง ส�ำหรับคนทุกคน ทุกครอบครัวทุกหมู่คณะ ทุกประเทศชาติ เหมือนอาหาร อากาศที่บริสุทธิ์และแสงสว่าง จ�ำเป็นย่ิงแก่ส่ิงท่ีมีชีวิตทั่วไป ถ้าขาดธรรมะก็จะ มีแต่ความเดือดร้อนทุกข์เข็ญไม่ร่มเย็นสงบสุข เหมือนขาดฝนโชยลงแล้ว จะหาความชมุ่ ช่นื ในพฤกษชาตแิ ละพืชพันธ์ุธญั ญาหารมิได้เลย เม่อื ธรรมะเป็นของจ�ำเปน็ เชน่ น้ี ทกุ คนจงึ ควรอบรมธรรมะให้เกิดมี เพอ่ื จะได้เลือกใช้ปฏิบัติให้เหมาะสมตามความจ�ำเป็น ไม่ควรเหินห่างหรือหันหลังให้ ธรรมะ และไมค่ วรเบือ่ ธรรมะ เหมอื นยาบางชนิดแมจ้ ะมรี สขมขื่นแกล่ ้ินของตน เพียงไร ผู้เปน็ โรคกค็ วรต้ังใจพยายามกนิ ยา เพอื่ บ�ำบดั โรคระงบั ทกุ ขเวทนาและ ไม่ควรเบ่ือหน่ายเลย เพราะถ้าเบื่อยาแล้ว โรคจักไม่หาย จักได้รับทุกข์ทรมาน ต่อไปอีกนาน หรือเหมือนบ่อน้�ำเย็นใสสะอาด สามารถช�ำระล้างมลทินกายให้ หมดจด และระงบั ความร้อนกระวนกระวายไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ผทู้ มี่ คี วามหิวกระหาย ร้อนกระวนกระวายก็ไม่ควรเฉยเมยเสีย หรือไม่ควรเดินหันหลังให้บ่อนำ้� นั้นไป เพราะถ้าเฉยเมย และเดนิ หันหลังใหบ้ อ่ น�ำ้ แลว้ ความเศรา้ หมอง ความหิวกระหาย ความร้อนกระวนกระวาย ก็จักไม่ระงับและกลับเพ่ิมมากขึ้น และเม่ือไม่หายร้อน กระวนกระวายแล้ว จะลงโทษว่า เป็นความผิดของบ่อน้�ำ ว่าไม่สามารถจะระงับ ดับความร้อน กระวนกระวาย ยอ่ มไมช่ อบด้วยเหตผุ ล

170 ด้วยเหตุน้ี จึงไม่ควรเห็นว่า ธรรมะเป็นของขมขื่น น่าเบ่ือ ท่ีแท้ควร เห็นว่า ธรรมะมีคุณประโยชน์ จ�ำเป็นอย่างย่ิง ละท้ิงไม่ได้ ควรสนใจปฏิบัติ และไม่ควรค่อนขอดผู้ที่สนใจปฏิบัติธรรมว่า เป็นคนคร�่ำครึล้าสมัย ที่แท้ควร ยกย่องผู้สนใจปฏิบัติธรรมะว่า เป็นคนน�ำสมัย ทันสมัย และเป็นการน�ำสมัย ทันสมัยชนิดท่ีปลอดภัย ไม่เสียหาย ไม่เดือดร้อน ไม่เป็นที่ค่อนขอดตำ� หนิติเตียน ของนกั ปราชญ์ และไม่ฉดู ฉาดบาดตาผู้อืน่ เลย ทั้ง ๆ ที่ธรรมะเป็นของจ�ำเป็นเช่นนี้ ก็มีคนเป็นจ�ำนวนมากไม่เห็น คุณประโยชน์ของธรรมะ และมองข้ามไปเสีย ต่อเมื่อได้รับความทุกข์เดือดร้อน แล้ง จึงจักเห็นคุณประโยชน์ของธรรมะ และหันเข้าพ่ึงธรรมะเหมือนเม่ือแกง ยังไม่จืด ก็ไม่มีผู้รู้จักคุณของเกลือ เม่ือยังไม่เจ็บไข้ ก็ไม่มีใครรู้จักคุณของยา และหมอ ข้อนี้จักสังเกตเห็นได้ ถ้ามีการเชิญกันไปฟังธรรมะ ฟังปาฐกถา เก่ียวกับธรรมะ จะมีผู้สนใจไปน้อย หรือจะมีไปบ้างก็เป็นคนแก่เฒ่า ส่วนคน อยู่ในวัยหนุ่มสาวไม่ค่อยมี และคนท่ีอยู่ในวัยหนุ่มสาวนี่แหละ จ�ำเป็นต้องหัน เข้าหาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะให้มาก เพราะก�ำลังคึกคะนอง ขาดความยับยั้งชั่งใจ ท�ำอะไรมักหุนหันพลันแล่น ไม่คิดให้รอบคอบถ้วนถี่ บางทีบางคนอ้างความ ขัดข้องหลายอย่างต่างวิธี บ้างก็ว่าไม่มีผู้เฝ้าบ้าน บ้างก็ว่าบุตรหลานอ่อน ไม่มีใคร เลี้ยงดูบุตรหลาน บ้างก็ว่าติดธุระการงาน ไม่มีเวลาว่าง บ้างก็ว่าฟังเทศน์ หาวนอน ดูหนังดูละครดูมวยดูม้าหูตาสว่าง บางแห่ง ท้ัง ๆ ท่ีทางราชการมี เมตตาปรารถนาดี สละเวลาของราชการให้มีการอบรมธรรมะเพื่อช�ำระจิตใจ กย็ งั มีผู้อตุ สา่ หห์ ลบหนี (ทเี่ รยี กวา่ โดดรม่ ) ไป ไม่ฟงั เลย เหมอื นยน่ื มณอี นั มคี ่า ให้แก่วานร ๆ ไม่ต้องการ ไม่รับ นับเป็นกรรมอันหน่ึง ถ้าเขาเหล่าน้ันจะไปดู โขน ละคร ภาพยนตร์ ดนตรี หรือลีลาศ ก็สมัครใจไปกันโดยไม่ต้องเชิญชวน ซึ่งล้วนแต่ไปกันด้วยใบหน้าอันย้ิมแย้มแจ่มใส ทั้ง ๆ ท่ีการไปดูมหรสพนั้นต้อง เสยี เงินเสียทอง เป็นการสนิ้ เปลืองทรัพยแ์ ละเสียเวลา บางคนทั้ง ๆ ท่ีมคี รรภ์แก่

171 ก็อุตส่าห์อุ้มลูกจูงหลานไป บ้านไม่มีคนเฝ้าก็ไม่กลัวโจรผู้ร้าย สมัครใจไปเอง ได้ในค�ำโบราณที่ว่า ”ที่ให้กินไม่ยินดี ที่ไม่ให้กินไปยินยล„ ท่ีเป็นเช่นน้ีก็เพราะ ไม่เห็นความจำ� เปน็ ของธรรมะ ผู้ใดจะเห็นความจ�ำเป็นของธรรมะหรือไม่เห็นก็ตาม ธรรมะก็ยังคงจ�ำเป็น แกผ่ ู้นัน้ และจำ� เป็นแก่ทุก ๆ คน ตลอดทกุ กาลสมยั ทกุ คนจ�ำตอ้ งอาศัยธรรมะ และจะมีชีวิตราบร่ืนร่มเย็นเป็นสุขได้ก็เพราะธรรมะ เหมือนอาหารอากาศบริสุทธ์ิ และแสงสว่าง ผู้ใดจะเห็นว่าจ�ำเป็นแก่ชีวิตหรือไม่จ�ำเป็นก็ตาม ทั้งสามอย่างนั้น ก็ยังคงเก่ียวพันจ�ำเป็นแก่ผู้อ่ืน แก่ชีวิตทุกชีวิตตลอดกาลทุกเมื่อ ขาดมิได้ ถ้า ขาดก็เปน็ อนั ตรายแกช่ ีวิต อีกประการหนึ่ง ชีวิตของคนนนั้ เป็นของไมเ่ ที่ยงแท้แนน่ อน ลมุ่ ๆ ดอน ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ บางคร้ังก็ไดด้ ีมีอำ� นาจ ลาภยศ ความสุขความเจริญ มีคนสรรเสรญิ ยกย่อง ชอ่ื เสยี งเฟ่อื งฟุง้ โด่งดัง บางคร้ังก็ตกอบั เสื่อมลาภยศ ไดร้ บั ความทกุ ข์ ความเสื่อม ถูกคนติฉินนินทาว่าร้ายเสียดสีเป็นอย่างนี้ทุกคน เมื่อไม่มีธรรมะ ประจ�ำใจ ถึงคราวได้ดี มีความสุขความเจริญ มีคนสรรเสริญยกย่อง มีลาภยศ ก็อาจฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมจนเกินไป เหมือนปุยนุ่นถูกลมพัด เป็นเหตุให้ลืมตน อาจ ใช้อ�ำนาจลาภยศสรรเสริญน้ันเป็นเคร่ืองมือเบียดเบียนกดขี่ข่มเหงผู้อ่ืนให้ได้รับ ความเดือดร้อน เม่ือถึงคราววิบัติ เสื่อมลาภยศ คนท่ีสรรเสริญกลับติเตียน ทับถม ใจก็อาจแฟบห่อเหี่ยว ไม่เป็นอันกินอันนอน ทอดถอนเศร้าโศกเสียใจ อาจเป็นเหตุให้ฆ่าตนเองได้ ท่ีเป็นเช่นน้ีก็เพราะขาดธรรมะเป็นเคร่ืองเหน่ียวรั้งใจ และปลอบใจ ถ้ามีธรรมะเป็นเคร่ืองเหนี่ยวร้ังใจและปลอบใจแล้ว เมื่อได้ดี ก็จักไม่ลืมตน ไม่ดูหม่ินเหยียดหยามผู้อื่น เม่ือตกต่�ำ ได้รับความทุกข์ ความเสื่อม ก็จักไม่ท้อถอย ถือเอาความทุกข์ความเสื่อมนั้นเป็นบทเรียน แลว้ พยายามรบี แก้ไข ก้ฐู านะให้กลับคนื ดี นเ้ี ปน็ ความจำ� เป็นของธรรมะ

172 ธรรมะนอกจากจะมคี ุณประโยชน์และจำ� เป็นดังกลา่ วมาแล้ว ยงั ค้มุ ครอง ผู้ปฏิบัติตามมิให้ตกไปในที่ชั่วเสื่อมทราม และบันดาลให้มีความสุขความเจริญ เหมือนร่มคันใหญ่ ผู้ใดมีไว้และกางก้ันในเม่ือฝนตกและแดดออก ร่มน้ันก็จะ คุ้มกันเขามิให้เปียกฝนและถูกแดดแผดเผา ผู้ใดปฏิบัติตามธรรมะ ธรรมะ ก็คุ้มครองผู้น้ันให้มีความสุขความเจริญ ธรรมะนอกจากจะช่วยคุ้มครอง ผู้ปฏิบัติตามแล้ว ยังเป็นโอสถส�ำหรับบ�ำบัดโรคใจได้อย่างศักดิ์สิทธ์ิ ซ่ึง เรยี กว่าธรรมโอสถ ปกติของคน มักมีโรคประจ�ำอยู่คนละ ๒ อย่าง คือโรคกายอย่างหน่ึง โรคใจอย่างหน่ึง โรคกายน้ันได้แก่ความไม่สบายกาย เช่น เป็นหวัดไอ เป็นไข้ ปวดศีรษะ หรือเปน็ ผน่ื คันวัณโรคเรอื้ รงั เปน็ ตน้ โรคใจน้ัน ได้แก่ ความเรา่ ร้อน กระวนกระวาย เพราะถูกกิเลสเผาผลาญ คือ มีใจถูกความโลภ ความโกรธ ความหลง ความริษยาอาฆาต ความพยาบาทหึงหวงเปน็ ต้น เหล่านค้ี รอบง�ำยำ�่ ยี โรคกายนั้น บางคนก็เป็น บางคนก็อาจไม่เป็น ผู้ท่ีรักษาตน ปฏิบัติตนให้ถูกต้อง ตามหลกั อนามยั อาจไมเ่ ปน็ โรคทางกายได้ตลอดเวลา ๑ ปี ๒ ปี หรอื หลาย ๆ ปี ส่วนโรคทางใจ คนท่ีจะไม่เป็นเลยหาได้ยาก เว้นไว้แต่พระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลส อาสวะแล้วเท่านั้น ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมงคนเป็นโรคใจแทบทุกคน ต่างกันที่ เป็นมากหรือน้อยเท่าน้ัน ข้อน้ีมีพระพุทธภาษิตในพระไตรปิฎก เล่ม ๒๑ หน้า ๑๙๑ รับรองว่า ”ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โรคได้แก่ส่ิงที่เสียดแทงท�ำลาย ความผาสุก มี ๒ อย่าง คือ โรคทางกายกับโรคทางใจ คนท้ังหลายที่ยืนยัน อยู่ถึงความไม่มีโรคทางกาย ตลอด ๑ ปีบ้าง ๒ ปีบ้าง ๓ ปีบ้าง ๔ ปีบ้าง ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง ๔๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง หรือย่ิงกว่านั้นบ้าง ดังนี้ พอจักหาได้ แต่คนที่ยืนยันถึงความไม่มีโรคทางใจ แม้เวลาเพียงครู่เดียว เว้น พระอรหันตขีณาสพแล้ว นับว่าหาได้ยาก” โรคทางใจน้ันกล่าวให้ส้ัน ก็คือโรค ความโลภ โรคความโกรธ โรคความหลง โรคความริษยา อาฆาตพยาบาท โรคหงึ หวงเหลา่ นี้เป็นตน้

173 เมื่อทุกคนมีโรคประจ�ำใจเช่นน้ี ก็จ�ำต้องมีธรรมะไว้ส�ำหรับบ�ำบัด โรค ทางกายต้องใช้โอสถ (ยา) บ�ำบัด ส่วนโรคทางใจ ต้อใช้ธรรมะบ�ำบัด ธรรมะ ส�ำหรับบ�ำบัดโรคทางใจนั้น พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงประทานไว้พร้อมแล้ว คน ทเ่ี ป็นโรคทางกาย ย่อมมีความทุกข์ เจ็บปวดรวดร้าวทรมาน หาความสุขส�ำราญ มิได้เลย ในกาลบางคร้ัง เราเห็นคนอ่ืนเจ็บไข้ ได้รับทุกเวทนา ย่อมรู้สึกสงสาร เช่น ไปโรงพยาบาล เห็นคนเจ็บไข้ร้องครวญครางก็ให้รู้สึกสงสารคนเจ็บไข้น้ัน ๆ แม้ปรารถนาจะช่วยแบ่งเบาบรรเทาความเจ็บปวดของคนไข้ ก็ไม่อาจท�ำได้ เม่ือ ถึงคราวตนเจ็บไข้ ก็ให้รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวย่ิงนักเช่นกัน แม้กระน้ัน โรคทาง กายกย็ ังไมร่ า้ ยแรงเท่าโรคทางใจ เพราะนาน ๆ จงึ จะเปน็ สักครงั้ หรอื จะเปน็ บ้าง ก็เป็นบางคน ไม่เป็นทั่วทุกคน หรือเป็นเข้าแล้ว ก็มีแพทย์ มีโรงพยาบาล ส�ำหรับบ�ำบัดปัดเป่า ส่วนโรคทางใจเสียดแทงทรมานจิต ท�ำลายความสุขของ คนทุกเพศทกุ วยั ไมเ่ ลือกฤดูกาล ไม่เลือกหนา้ ว่าเปน็ ผู้หญงิ หรือชาย ไมเ่ ลือกวา่ ผู้ดีม่ังมีหรือยากจน เม่ือบุคคลเป็นโรคใจเข้าแล้ว จะไปหาแพทย์รักษา บางที แพทย์อาจจะเป็นโรคใจมากกว่าก็เป็นได้ พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอสถคือ ธรรมะไวบ้ �ำบดั โรคใจพรอ้ มแล้ว โรคทางกาย จ�ำต้องใช้ยาเปน็ เครอ่ื งบำ� บัดฉนั ใด โรคทางใจ กจ็ ำ� ตอ้ งใชธ้ รรมะเปน็ เคร่ืองบ�ำบดั ฉะนน้ั ๑. โรคคือความโลภ ที่ว่าความโลภเป็นโรคนั้น มีอธิบายว่า ความโลภมี ลักษณะท�ำใจให้ทะเยอทะยาน เห่อเหิม อยากได้ในทางที่ผิด เช่น อยากได้ สิ่งของทรัพย์สมบัติของผู้อ่ืนมาเป็นของตน ความโลภนี้ เมื่อเกิดมีแล้วก็เป็น เหตุใหม้ อื ไวใจเรว็ ลักทรัพย์ของผู้อ่ืนบ้าง เปน็ เหตุใหเ้ บยี ดเบียนล้างผลาญผู้อืน่ บา้ ง เปน็ เหตใุ หล้ มื ตนแล้วทำ� ในส่ิงท่ไี ม่ควรทำ� บา้ ง

174 คนที่ตกอยู่ในอ�ำนาจของความโลภ ถ้าเป็นข้าราชการ ก็ประพฤติทุจริต ต่อหน้าที่ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ถ้าเป็นต�ำรวจมีหน้าที่คอยจับกุมผู้กระท�ำผิด กฎหมายของบ้านเมือง เมื่อลุอ�ำนาจแก่ความโลภ ก็อาจรับหน้าท่ีเป็นผู้คุมซ่อง การพนันเถื่อน โดยไม่กระดากละอายใจ เป็นการให้ท้ายต่อผู้ละเมิดกฎหมาย เป็นความเสียหาย และทรยศต่อประเทศชาติ ถ้าเป็นผู้พิพากษาตุลาการ ก็มัก เห็นแก่อามิสสินจ้าง รับสินบน แล้วตัดสินความให้ผู้ควรแพ้กลับเป็นชนะ ให้ผู้ ควรชนะกลับเป็นแพ้ ผู้ควรได้รับโทษมาก ให้ได้รับโทษน้อย ผู้ควรได้รับโทษ นอ้ ย กลบั ให้ได้รับโทษมาก ญาติพี่น้องท่ีตกอยู่ในอ�ำนาจแห่งความโลภ ไม่สามารถแบ่งปันทรัพย์ มรดกกันได้ด้วยความราบรื่น ต่างฝ่ายต่างอยากได้มาก ไม่สามารถท�ำความ ตกลงกันได้ ในที่สุดต้องทะเลาะวิวาทแตกความสามัคคีกัน ข้ึนโรงศาลฟ้องร้อง กัน จนถึงตัดญาติขาดมิตร ไม่ดูหน้ากันต่อไป ไม่เผาศพก็มีไม่ใช่น้อย เข้า ลักษณะที่ว่า ตาอินกับตานา แบ่งปลากันไม่ตกลง ไปหาตาอยู่ ตาอยู่ก็แบ่งเอา พุงปลาไปกนิ ฉะนนั้ ในครอบครัว สามีภรรยา ถ้าตกอยู่ในอ�ำนาจของความโลภแล้วก็จะ ท�ำให้ครอบครัวนั้นเดือดร้อน เช่น สามีท่ีตกอยู่ในอ�ำนาจของความโลภ มีภรรยาแล้วไม่รู้จักแล้วไปแอบมีภรรยาลับ ภรรยาเก็บ ภรรยาซ่อน มีหน่ึง อยากได้สอง มีสองอยากได้สาม มีสามอยากได้ส่ี อยากนี้เรียกว่า เห็นหน้า ไม่ว่าใคร นึกสงสัยอยากสู่สมสมัครสมานไม่นานนม แล้วเลิกล้มหาต่อไป สามีเช่นน้ี ย่อมเป็นท่ีหวาดสะดุ้งของภรรยา และมักถูกหาว่าเป็นคนหลายใจ ไร้สัจจะ หรือภรรยาก็เช่นเดียวกัน มีสามีแล้ว ไม่รู้จักแล้ว แอบไปมีสามีน้อย สามีซ่อนอย่างน้ี ความกินแหนงแคลงใจวุ่นวายโกลาหลก็เกิดข้ึน เป็นเหตุให้ ทะเลาะวิวาทบาดหมาง หรืออย่าร้างเลิกกัน เดือดร้อนถึงบุตรหลานตาด�ำ ๆ ซง่ึ ไม่ร้เู รอื่ งด้วยเลย

175 ความโลภ ท�ำให้คนเสีย และท�ำให้เสียคน เสียเกียรติ ก่อให้เกิดความ เส่ือมเดือดร้อนแก่ตนและคนอ่ืน เป็นเหตุให้ทะเลาะวิวาทและแตกสามัคคีกัน ผู้ท่ีถูกโรคความโลภเข้าครอบง�ำแล้ว ย่อมเร่าร้อนกระวนกระวายใจ ไม่มีความ สงบสุขเลย โรคความโลภนี้พระพุทธเจ้าประทานธรรมโอสถ คือความสันโดษ เป็นเครอ่ื งบำ� บดั สนั โดษ แปลว่า ความยนิ ดใี นของ ๆ ตน ตามมีตามได้ ไม่ทะเยอทะยาน อยากได้ในทางที่ผิด ค�ำว่าสันโดษน้ีมีผู้เข้าใจเขวไปในทางเกียจคร้าน แต่ ความจริง สันโดษนี้มิได้มีความหมายในทางเกียจคร้าน ดังที่เข้าใจเลย พระพุทธศาสนาสอนให้คนสันโดษ คือ สอนให้รู้จักยินดีในของ ๆ ตน ไม่ไป ยินดีในของ ๆ คนอื่น เป็นการสอนท่ีทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า เป็นไปตาม ท�ำนองคลองธรรม และถ้ามีของที่มีอยู่แล้วนั้น ยังไม่พอแก่ความจ�ำเป็นตาม ที่ต้องการ อยากจะให้มีเพ่ิมข้ึนอีก ก็คงแสวงหาเพิ่มเติมได้โดยทางท่ีถูกท่ีชอบ มิได้หมายความว่ามีอยู่เท่าไร ก็ต้องมีอยู่เท่านั้นตลอดไปหามิได้ ที่แท้คงแสวงหา ได้อีกโดยไม่ผิดศีลธรรม เช่น เป็นข้าราชการช้ันจัตวา ก็มิได้หมายความว่า จะต้องย�่ำอยู่เพียงแค่นั้น อาจเลื่อนเป็นชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก ช้ันพิเศษได้ ด้วย ความอุตสาหะพากเพียร ปรับปรุงสมรรถภาพให้ดีข้ึน หรือเช่นมีเงินเพียง หนึ่งพันบาท ก็อาจแสวงหาเพ่ิมเติมข้ึนได้อีก ด้วยการพยายามแสวงหาในทาง ท่ีชอบ และไม่ผดิ สันโดษ มีบางคนเข้าใจผิดว่า พระพุทธศาสนาสอนสันโดษ เป็นการสอนให้คน เกียจครา้ น งอมอื งอเท้า ไม่ทำ� การงานให้ก้าวหนา้ เปน็ เหตใุ ห้ประเทศชาตลิ า้ หลัง ไม่เจริญเทียมทันอารยประเทศเขา ความเข้าใจเช่นน้ีเป็นความเข้าใจท่ีผิดพลาด คลาดเคล่ือนจากความเป็นจริง เพราะสันโดษเป็นเหตุให้คนดี มีความเห็นใจ ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ไม่ใช่เป็นเหตุให้คนเกียจคร้าน และไม่ได้ถ่วงความเจริญของ ประเทศชาติเลย ที่แท้กลับส่งเสริมให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองย่ิงขึ้น ถ้าคน ในชาติทุกคนมสี นั โดษ

176 ในโลกนี้ ถ้าทุกคนมีสันโดษทั่วถึงกันแล้ว การลักทรัพย์สมบัติของผู้อื่น ก็จะไม่เกิดมี โจรผู้ร้ายก็ไม่มี บ้านเรือนก็ไม่ต้องใส่กุญแจ ถ้าจะถามว่า โจร ผู้ร้ายไม่มี การลักทรัพย์สมบัติกันไม่มี จะเป็นท่ีพอใจหรือไม่? ทุกคนคงตอบ เป็นเสียงเดียวกันว่า พอใจชอบใจเป็นอย่างย่ิง เมื่อการลักแย่งชิงทรัพย์สมบัติ ของผอู้ ืน่ ไมม่ ีแล้ว ทกุ คนคงโมทนาสาธุและนอนตาหลับ เปน็ เหตุใหช้ าตบิ า้ นเมอื ง มีความสงบสุข สันโดษน่ีแหละจะป้องกันมิให้โจรผู้ร้ายเกิดข้ึนเลย เพราะเหตุน้ี สนั โดษ จึงมคี ณุ ประโยชนแ์ กช่ าวโลกทุกคนโดยทวั่ กัน ในครอบครัว ถ้าสามีภรรยาต่างมีสันโดษ และยึดม่ันในสันโดษด้วยกัน เช่น สามีที่มีภรรยาแล้วก็ยินดีในภรรยาของตน ไม่ประพฤตินอกใจไปยินดีใน หญิงอื่น หรือภรรยาท่ีมีสามีแล้วก็ยินดีในสามีของตน ไม่ประพฤตินอกใจไป ยินดีในชายอ่ืน เม่ือไม่ประพฤตินอกใจกันแล้ว ความร่มเย็นสงบสุขในครอบครัว ก็เกิดมี เมื่อทุกครอบครัวมีความร่มเย็นสงบสุขเช่นน้ี ก็เป็นผลที่ดีท่ีทุกคน ปรารถนาต้องการ สันโดษน่ีแหละจะบันดาลให้ครอบครัวมีความร่มเย็นสงบสุข เพราะเหตนุ ี้ สนั โดษ จงึ มีคุณประโยชน์แก่ครอบครัว ในประเทศชาติ ถ้าทุกคนในชาติมีสันโดษ ก็เป็นเหตุให้ประเทศชาติ เจริญ กล่าวคือในประเทศของตนผลิตเครื่องอุปโภคบริโภคส่ิงใดข้ึนมาได้ ทุกคนก็พากันนิยมยินดีในเคร่ืองอุปโภคบริโภคสิ่งน้ัน และพากันสนับสนุนใช้ ไมไ่ ปยนิ ดใี ช้ของ ๆ ประเทศอ่นื ถา้ สันโดษอยา่ งน้ี ก็เป็นเหตใุ ห้เศรษฐกจิ ของชาติ ดีขึ้น เงินไม่ร่ัวไหลออกนอกประเทศ ถ้าจะใช้ของท่ีท�ำจากต่างประเทศบ้าง ก็ใช้ แต่ส่ิงที่จ�ำเป็นจริง ๆ ซึ่งประเทศของตนยังผลิตไม่ได้และขาดแคลนอยู่ ถ้า ไม่ขาดแคลนหรือไม่จ�ำเป็นจริง ๆ แล้ว ก็ไม่ยินดีใช้ของต่างประเทศเลย ถ้า ทุกคนผรู้ กั ชาติมสี ันโดษอยา่ งน้ี ประเทศชาติยอ่ มรงุ่ เรอื งในด้านเศรษฐกจิ ท�ำให้ ฐานะการเงินของประเทศม่ันคง มีเสถียรภาพและมีความสงบสุข เพราะเหตุนี้ สันโดษจงึ มคี ณุ ประโยชน์แกป่ ระเทศชาติ

177 สันโดษ เป็นคุณประโยชน์แก่ตนเอง แก่ชุมนุมชน แก่ครอบครัว แก่ ประเทศชาติเช่นนี้ เม่ือเกิดมีก็เป็นเครื่องบ�ำบัดโรคหรือความโลภได้อีก คนที่มี สันโดษย่อมมีความพอใจในของ ๆ ตน ไม่ล่วงละเมิดแย่งชิงกรรมสิทธ์ิทรัพย์สิน ของผู้อน่ื และบำ� บัดโรคคอื ความโลภให้สงบระงับ ความละโมบ โลภมาก มกั อยากได้ เป็นเหตใุ ห้ ร้อนใจ ดงั ไฟผลาญ แล้วก่อกรรม ท�ำผดิ เปน็ นจิ กาล ให้หน้าด้าน ลกั ทรพั ย์ ไม่อับอาย ความละโมบ โลภนี้ พระชวี้ ่า เป็นทางมา แห่งบาป ช่วั หยาบหลาย ใหเ้ กดิ ทกุ ข์ ยุคเขญ็ ไมเ่ วน้ วาย และเสียหาย อับจน ทกุ คนไป ความโลภนกั มกั ท�ำ แต่กรรมช่ัว จติ ก็มวั หมน่ หมอง ไมผ่ ่องใส มักท�ำผิด ติดตัว ไมก่ ลัวภัย เป็นเหตุให้ มดื บอด ตลอดกาล คนโลภนัก มักใหญ่ จะไดท้ ุกข์ ต้องติดคกุ ตดิ กรง นา่ สงสาร ตอ้ งอับอาย ขายหน้า ไปช้านาน ทกุ วนั วาร รอ้ นใจ ดงั ไฟลน คนทีม่ ี ปรชี า มารชู้ ดั แลว้ ก�ำจดั โลภเถิด จกั เกิดผล เป็นสขุ แท้ แนน่ อน ไม่รอ้ นรน เป็นมงคล ยงิ่ ใหญ่ พ้นภัยพาล

178 ๒. โรคคือความโกรธ ทวี่ ่าความโกรธเป็นโรคนนั้ มอี ธบิ ายวา่ ความโกรธ ได้แก่ความท่ีจิตวิปริตหงุดหงิดฉิวฉุนขุ่นเคือง เพราะประสบเรื่องที่ขื่นขมหรือ อารมณท์ ไี่ มช่ อบใจตน เช่น ถูกคนนนิ ทาด่าว่าเป็นอาทิ ความโกรธน้ัน เม่ือเกิดข้ึนแล้วก็เป็นเหตุให้เร่าร้อนใจอยู่ภายใน แล้ว รั่วไหลออกมาภายนอก ความโกรธเปรียบเหมือนน้�ำร้อน น้�ำร้อนท่ีเดือดพล่าน ถ้าน�ำมารดตัวเรา ๆ ก็ร้อนและพอง เอาไปรดผู้อ่ืน ผู้อ่ืนก็ร้อนและพอง เอาไป รดต้นไม้ ต้นไม้ก็เห่ียวเฉาและตายได้ และเป็นเหตุให้เสียหน้า เสียตา เสียปาก เสียมือ เสียเท้า เสียข้าวของ ในเวลาท่ีคนยังไม่โกรธ จิตใจก็เป็นปรกติ หน้าตา ก็ย้ิมแย้มแจ่มใส ปากก็พูดไพเราะอ่อนหว่าน มือเท้าก็เรียบร้อย แต่เม่ือโกรธ ข้ึนแล้ว จิตใจก็ไม่ปรกติ เดือดพล่านมีอาการเร่าร้อนกระวนกระวาย หน้าก็ บึ้งบูดงอเง้า ตาขุ่นเขียว ปากพูดค�ำท่ีหยาบคายด่าว่าไม่น่าฟัง มือเท้าก็ ประหัตประหาร ทุบตหี รือทำ� ลายสงิ่ ของเครอื่ งใช้ ความโกรธมี ๒ อย่าง คือโกรธด้วยเร่ืองที่น่าโกรธอย่างหนึ่ง โกรธด้วย เรื่องที่ไม่น่าโกรธอย่างหนึ่ง โกรธด้วยเรื่องที่น่าโกรธน้ัน เช่น เรามิได้ประพฤติ บกพร่องเสียหายทุจริตแม้แต่นิดหน่อย แต่มีคนคอยใส่ความด่าว่านินทาเสียดสี ทับถมเรา เพ่ือให้ผู้อ่ืนเข้าใจผิด เกิดความเสียหาย ท�ำลายความนิยมนับถือของ ประชาชน เราทราบแล้วยับย้ังใจไว้ไม่ได้เกิดโกรธขึ้นมา อย่างนี้เรียกว่าโกรธ ด้วยเร่ืองท่ีน่าโกรธ เพราะเรามิได้ประพฤติบกพร่องเสียหายอย่างที่เขากล่าวหา ทับถม ส่วนโกรธด้วยเรื่องท่ีไม่น่าโกรธน้ัน เช่น เราประพฤติทุจริตบกพร่อง เสียหายหลายอย่างด้วยความพลาดพล้ังต้ังใจ หรือด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คนวิพากษ์วิจารณ์ติเตียนนินทาด่าว่าเป็นการใหญ่ แทนท่ีเราจะรู้สึกส�ำนึกตัว แล้วเลิกละเสีย กลับไม่พอใจ หาว่าเขาเป็นคนปากบอน ปากคันอยู่ไม่เป็นสุข เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา แล้วโกรธขึ้นมาอย่างนี้ เรียกว่าโกรธด้วยเรื่องท่ีไม่น่า โกรธ เพราะเราประพฤตบิ กพรอ่ ง เสียหาย อย่างทีเ่ ขาดา่ วา่ นนิ ทาจรงิ ๆ

179 โรคคือความโกรธนี้ มักมีประจ�ำใจของทกุ คน ไม่เลือกหนา้ ว่าเป็นผูใ้ หญ่ ผู้น้อย บางคนก็เร่ิมโกรธต้ังแต่เช้าจนถึงเวลาเข้านอน บางคนก็โกรธเวลาเช้า พอสายหรือบ่ายเยน็ ก็หาย บางคนนาน ๆ จึงจะโกรธสักครั้ง บางคนก็โกรธเปน็ อาจิณ บางคนโกรธคนน้ี แต่กลับไปประหัตประหารทุบตีด่าว่าคนโน้น บางคน โกรธภรรยาท่ีบ้าน แต่ท�ำอะไรภรรยาไม่ได้ เพราะภรรยาเป็นภรรยาธิปไตย เมื่อ ไปท�ำงานหรือไปนอกบ้าน ก็ไปก่อความร�ำคาญโกรธหรือด่าว่าคนอ่ืน อย่างน้ีใน ลกั ษณะตีววั กระทบคราด ความโกรธมักมีสมมุติฐานเกิดจากการมองไปในแง่ร้าย คนท่ีมองผู้อื่น หรือสิ่งใด ๆ ไปในแง่ร้าย ย่อมจุดชนวนคือเหตุให้โกรธอยู่เสมอ เม่ือไม่ชอบ ผู้ใดมักจะมองผู้น้ันไปในแง่ร้ายทุกกรณี ไม่เลือกว่าเขาจะท�ำดีหรือช่ัว เช่น ถ้า เขามีน�ำ้ ใจเอื้อเฟื้อเผ่อื แผ่ ท�ำบุญทานการบริจาค กม็ ักมองไปในแง่ร้ายว่า ท�ำบญุ เอาหน้า ภาวนาโกหกบ้าง ว่าท�ำบุญหาเสียงบ้าง ถ้าเขาท�ำหน้าตาย้ิมแย้มแจ่มใส ร่ืนเริง แทนที่จะนิยมชมช่ืนว่าเขาเป็นคนมีอารมณ์ดี กลับมองเขาในแง่ร้ายว่า ”หน้าเป็น„ ไม่เห็นมีเรื่องท่ีควรย้ิม ก็ย้ิมอยู่คนเดียวได้คล้ายคนมีสติไม่สมบูรณ์ ถ้าเขาท�ำหงิม ๆ ไม่พูดจาหน้าก็ไม่ย้ิม ก็มักมองเขาในแง่ร้ายว่า หน้าบ้ึงหน้างอ ไมร่ บั แขกเลย ถ้ามองผอู้ ่นื ในแง่ร้ายอยา่ งน้ี กม็ เี รือ่ งโกรธได้มากมาย ความโกรธท�ำให้คนเสียโฉม ไม่สวยงาม หน้างอเง้า มีเรื่องเล่าว่า พระนางมัลลิกาเทวี มเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล ไปเฝ้าทูลถามพระพุทธเจ้า ว่า เหตุใดสตรีบางคนในโลกน้ี จึงมีรูปงาม บางคนจึงมีรูปขี้ริ้วข้ีเหร่ แตกต่าง กันอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสวิสัชนาว่า สตรีบางคนในโลกนี้ มีใจหนักแน่น ถูกเขา ด่าว่าตนก็ทนได้ ไม่โกรธเคืองขุ่นแค้น ด้วยความท่ีเขามีใจหนักแน่นไม่โกรธง่ายนี้ เขาเกิดมาในโลกน้ีก็มีรูปร่างสวยงาม น่าดู สตรีบางคนใจน้อย ถูกผู้อื่นด่าว่า แม้นิดหน่อย ก็โกรธแค้นขุ่นเคือง หน้าบึ้งงอเง้า ด้วยความท่ีเขามีใจหงุดหงิด โกรธง่ายน้ี เขาเกิดมาก็มีรูปร่างขี้ร้ิวขี้เหร่ ไม่งาม หน้างอเง้า น้ีแสดงให้เห็นว่า ความโกรธท�ำให้คนหมดสวยหมดงาม ข้อที่ความโกรธเป็นโทษอ�ำนวยผลท�ำให้

180 คนมีผิวพรรณทรามไม่งามตาไม่น่าดูน้ัน อาจพิสูจน์กันให้เห็นชัดได้แม้ใน ปัจจุบันน้ี เช่น คนเคยมีหน้างาม เม่ือถูกความโกรธจัดครอบง�ำใจ ถ้าไปส่อง มองดูหน้าของตนในกระจก จะตกใจและต่ืนเต้น เพราะเห็นหน้าของตนงอเง้า หมดงาม ถมึงทึงบ้ึงแดงเปล่ียนแปลงจากสภาพเดิมไป ไม่น่าดูเลย ถ้ามีผู้ ถา่ ยภาพในเวลาที่โกรธจดั แลว้ เกบ็ ไวใ้ ห้ตนดู ก็จะร้สู ึกเหมือนวา่ หนา้ น้ัน ไมใ่ ช่ หน้าของตนเลย ที่แท้ควรจะเป็นหน้ายกั ษ์หนา้ มารมากกว่า ความโกรธน้ี เม่ือเกิดมีแล้วก็เป็นเหตุให้เห็นช้างเท่าหมู เห็นภูเขาเท่า จอมปลวก และเปน็ เหตุใหเ้ รา่ รอ้ นกระวนกระวายใจ ไม่มีความสงบสขุ บา้ ง เปน็ เหตใุ ห้เบียดเบยี นล้างผลาญผู้อน่ื บา้ ง เปน็ เหตใุ หท้ ะเลาะววิ าท ตดั ญาติขาดมิตร แตกสามัคคีกันบ้าง เป็นเหตุให้พูดจาหยาบคายบ้าง คนที่ตกอยู่ในอ�ำนาจของ ความโกรธ ยอ่ มเดือดรอ้ นเสยี หายเสอื่ มทราม หาความสงบสุขมิได้ ทงั้ ในชาตินี้ ท้ังในชาติหน้า โรคคือความโกรธ ย่อมเสียดแทงท�ำลายจิตใจให้เร่าร้อน กระวนกระวาย โรคคือความโกรธนี้ พระพุทธเจ้าประทานธรรมโอสถคือเมตตา เป็นเครอ่ื งบ�ำบดั เมตตา แปลว่า ความรัก ปรารถนาดี หวังดี อยากให้ผู้อื่นมีความสุข ความเจริญทุกถ้วนหน้า และมองคนไปในแง่ดี คนทุกคนท่ีจะเกิดความโกรธ ก็เพราะมองสิ่งท้ังหลายไปในแง่ร้ายเสียหายผิดหมด เช่น สมมติว่า เรามี ครอบครัว มีสามีภรรยาแล้ว ตามปรกติ สามีไปท�ำงาน ไปราชการ เม่ือถึงเวลา เลิกงานแล้วก็ควรกลับไปถึงบ้านตรงตามเวลา แต่ถ้าบางคร้ังกลับไม่ตรงตาม เวลา ช้าไปบ้างเพราะมีงาน หรือราชการพิเศษ หรือไปพิเศษนอกงานนอกราชการ ภรรยาก็มักมองไปในแง่ร้ายก่อนทีเดียว ว่าคงจะนัดไปเที่ยวกับหญิงอ่ืนหรือ ไปด่ืมสุรา และถ้าเงินเดือนท่ีได้รับสามีน�ำกลับมาให้ไม่ครบเต็มจ�ำนวน หรือ ไม่ถึงคร่ึง ก็ยิ่งเป็นเหตุให้เข้าใจว่าประพฤตินอกใจ ถ้ามีเคร่ืองหมายพิรุธ เช่น ลิปสติกติดเสื้อผ้ามาด้วย ก็ย่ิงท�ำให้เข้าใจว่า สามีประพฤตินอกใจมากข้ึน ภรรยาอาจมองสามีไปในแง่ร้ายอย่างน้ี เม่ือมองไปในแง่ร้ายเช่นนี้แล้วก็เป็นเหตุ

181 ให้โกรธเคือง มีแต่เรื่องหงุดหงิดไม่สบาย บางคร้ัง สามีอาจไม่มีข้อบกพร่อง ท่ีควรโกรธเลย แต่เม่ือภรรยามองสามีไปในแง่ร้าย ก็เป็นเหตุให้โกรธเคือง ก่อเรื่องทะเลาะวิวาทบาดหมางกับภรรยา บางคร้ัง สามีแอบไปมีภรรยาลับไว้ ณ ท่ีอ่ืน ต้องการหาเร่ืองโกรธเคืองทะเลาะวิวาทกับภรรยา แต่ยังหาเหตุไม่ได้ ก็เลยพาลเก็บเอาเรื่องกระจุ๋มกระจิ๋มนิดหน่อยมาต้ังแง่กับภรรยาว่า ภรรยา ท�ำกับข้าวไม่อร่อยบ้าง อย่างโน้น อย่างนี้ ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง บ้านเรือน ไม่สะอาด ไม่เรียบร้อย กลับถึงบ้านรู้สึกร�ำคาญตา ไม่น่าอยู่ ไม่สบายใจเลย โดยท�ำนองนี้ เม่ือคร้ังแรกเริ่มรักกันใหม่ ๆ ถนอมน้�ำใจกันเอาอกเอาใจกัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดี เป็นท่ีชื่นชม แม้น้�ำต้มผักก็ว่าหวาน ครั้นเน่ินนานหน่อย น�้ำอ้อยก็กร่อยขม จืดจางกันไป ดังค�ำท่ีว่า ”เมื่อแรกรัก น้�ำต้มผักก็ว่าหวาน ครั้นเนิ่นนาน น้�ำอ้อยก็กร่อยขม แล้วเลิกร้างห่างไป หัวใจตรม ต้องระทม ชอกช�้ำ ระก�ำทรวง„ นี้เป็นเรื่องของการมองกันไปในแง่ร้าย เม่ือมองกันไปใน แง่รา้ ยแลว้ กเ็ ปน็ เหตใุ หโ้ กรธ เมือ่ โกรธแล้วก็เร่ารอ้ นใจ เป็นเหตใุ หท้ ะเลาะววิ าท บาดหมาง ตลอดถึงทุบตีประหัตประหารกัน แต่ถ้ามีธรรมะคือเมตตาปรารถนาดี มองกันไปในแง่ดี ใจก็จะมีความสงบสุข ไม่โกรธง่าย เช่น สมมติว่า เด็กท�ำ ถ้วยแก้วแตกหนึ่งใบโดยบังเอิญ ถ้าเรามองเด็กในแง่ร้าย เราก็ต�ำหนิเด็กนั้นว่า เป็นเด็กซุ่มซ่ามเซ่อซ่า ไม่มีกิริยามรรยาท ถ้วยแก้ววางไว้ เห็นต�ำตา อุตส่าห์ ไปเหยียบแตกได้ โตขึ้นจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ได้ย่างไร บางคนก็บ่นว่าเด็กน้ัน ไปตลอดวัน เพราะเด็กท�ำถ้วยแก้วแตกเพียงใบเดียว บ่นไปเท่าไร แก้วก็ไม่กลับ คืนดีขึ้นมาได้ โดยปกติ เด็กท�ำของแตก ก็มักกลัวผู้ใหญ่ดุหรือว่าอยู่แล้ว ถ้า คอ่ ย ๆ วา่ กลา่ วตักเตอื นชีแ้ จงใหเ้ ดก็ ได้ร้สู กึ อยา่ งใจเย็น ๆ จะเปน็ คณุ ประโยชน์ มาก เด็กจะได้ส�ำนึก และต้ังใจระมัดระวังต่อไป เพราะการก�ำชับบีบบังคับเด็ก มากเกนิ ไป อาจท�ำให้เสยี ผล เช่น เดก็ ถือไข่อยใู่ นมือ ผู้ใหญเ่ หน็ กลวั เดก็ จะทำ� ไข่ตกแตก ก็ก�ำชับเด็กให้ถือแน่น ๆ ในท่ีสุดเด็กก็บีบไข่แตก ถ้าเรามองเด็กน้ัน ในแง่ดี เราก็จะนึกว่า ถ้วยแก้วใบน้ี เราก็ได้ใช้มานานแล้ว ถึงแม้ว่าจะแตกไป ก็ได้ประโยชน์คุ้มค่า และถ้าไม่แตกเสียเลย ก็ขัดกับหลักอนิจจังของพระพุทธเจ้า

182 ผู้ท�ำขายก็คงขายไม่ได้ ข้อส�ำคัญก็คือว่า เด็กท�ำถ้วยแก้วแตก แต่ถ้วยแก้ว ไม่บาดมือบาดเท้าเด็ก น่ีนับว่าเป็นบุญหนักหนา เพราะถ้าถ้วยแก้วบาดมือ บาดเท้าเด็ก ต้องหายาใส่ และอาจกลายเป็นบาดทะยัก ต้องน�ำส่งโรงพยาบาล ให้แพทย์รักษาต้องเสียค่าพาหนะ ต้องเสียเวลาเรียนของเด็ก และอาจเป็น อันตรายถึงตายได้ แต่ถ้าเด็กถึงแก่ความตายก็จะต้องล�ำบาก เสียเงินเสียทอง ค่าท�ำศพ นิมนต์พระเทศน์ บังสุกุลวุ่นวายต่อไปอีก ถ้าเรานึกมองไปในแง่ดี อย่างนี้ว่า ถ้วยแก้วแตกเพียงใบเดียว ก็นับว่ายังดีดังน้ี ใจของเราจะเป็นสุขได้ ไม่ยอมปล่อยให้ความโกรธเกิดข้ึนครอบง�ำใจ แต่มิใช่ดีใจในการท่ีเด็กท�ำ ถ้วยแก้วแตก หรือสนับสนุนส่งเสริมให้เด็กท�ำของแตกเลย ท่ีแท้เป็นเพียงท�ำใจ ใหส้ อดคล้องกับเรื่องทเี่ กดิ เฉพาะหน้า และไม่หาเรื่องยงุ่ รอ้ นใจมาสุมใจตนเทา่ น้นั คนทม่ี ธี รรมะคือเมตตา ปรารถนาดี หวังดี มองคนในแง่ดอี ยา่ งน้ี ย่อมมี ความสขุ ใจ เยน็ ใจ ไมโ่ กรธงา่ ย ใจไมเ่ ศรา้ หมองและไมม่ องส่ิงแวดลอ้ มทง้ั หลาย ไปในแง่ร้ายเลย มองไปแต่ในแง่ดีทั้งน้ัน เหมือนอย่างผู้ท่ีมีคนท่ีตนรักใคร่ ชอบใจอยู่คนหนึ่ง เป็นชายหรือหญิงก็ตาม ไม่ว่าจะรูปชั่ว ตัวด�ำเพียงไร เขา ก็มองของเขาไปในแง่ดี ท�ำให้มีความสุขสบายได้เสมอ เช่น ถ้าคนท่ีรักใคร่ ชอบใจน้ัน มีผิวพรรด�ำคล�้ำปานตอตะโก เขาก็มองไปในแง่ดีว่า ถึงด�ำ ก็ด�ำข�ำ ด�ำมีน�้ำมีนวลบ้าง ว่าถึงรูปช่ัว ตัวด�ำ แต่น้�ำใจดีบ้าง ว่าถึงด�ำ ก็ด�ำแต่นอก ใน แผ้วผ่องเน้ือนพคุณบ้าง ถ้าคนที่รักใคร่ชอบใจน้ันเป็นคนสูงเกินประมาณ ปานจะเย้ยต้นตาลให้ได้อาย เขาก็มองไปในแง่ดีอีกว่า ถึงแม้จะสูง ก็สูงโปร่งดี เพรียวลมดี ไปไหนมาไหน คล่องแคล่วดี ถ้าคนท่ีรักใคร่ชอบใจน้ัน เป็น คนอ้วนตุ๊ต๊ะ ตะลุ่มปุ้ม เหมือนตุ่มใหญ่ เขาก็มองไปในแง่ดีอีกว่า ถึงจะ อ้วนต๊ตุ ะ๊ ตะลุม่ ปุ้ม เหมือนตมุ่ ใหญ่ ร่างกายก็สมบูรณด์ ี ไมม่ ีโรค ไปไหนมาไหน ก็มีสง่าน่าเอ็นดู และคนอ้วนนั้นนับว่าโชคดี ท้ังหน้าร้อนหน้าหนาว หน้าร้อน คนตัวอ้วนก็เย็นสบาย หน้าหนาว คนอ้วนก็อบอุ่นดี ถ้าทุกคนมีธรรมะคือ เมตตา ปรารถนาดี หวังดี มองคนไปในแง่ดีอย่างน้ี ย่อมมีความสุขเย็นใจไม่

183 เดือดร้อน แม้ประสบอารมณ์ท่ีก่อกวนชวนให้โกรธ ก็ยับยั้งใจไว้ได้ ไม่โกรธ และไมเ่ กิดโทษเสยี หาย ดับความชัว่ รา้ ยให้สงบไป ผู้มีธรรมะคือเมตตานี้ จะอยู่ ณ ท่ีใดไปที่ไหนก็ตาม ย่อมมีความสุข ความเจริญ ถึงแม้จะอยู่ในหมู่ของคนท่ีเหี้ยมโหด ไม่มีศีลธรรม อาจเปล่ียนใจ ของคนทไี่ ม่ดนี ั้นใหก้ ลบั เป็นดีได้ มีเรื่องเล่าว่า ภิกษุรูปหน่ึง ช่ือปุณณะทูลลาพระพุทธเจ้าไปจ�ำพรรษา ณ สุนาปรันตชนบท ก็ชาวสุนาปรันตชนบทน้ัน มีใจเห้ียมโหด ดุร้าย ไม่มี ศีลธรรม พอใจในการเบียดเบยี นประหัตประหาร พระพทุ ธเจ้าตรัสถามว่า เธอจะไปอยู่ ณ ทีน่ ัน้ ได้หรือ? พระปณุ ณะทลู ว่า ขา้ พระองค์อาจอยู่ ณ ท่นี ัน้ ได้ พระพุทธเจ้าตรัสถามตอ่ ไปว่า เมอื่ เธอไปอยู่ ณ ทน่ี ัน้ แล้ว ถูกชาวเมืองน้นั ด่า เธอจะท�ำอย่างไร? พระปุณณะทูลว่า เม่ือข้าพระองค์ถูกชาวชนบทน้ันด่าว่า ข้าพระองค์จะแผ่เมตตาปรารถนาดี มองชาวชนบทนั้นในแง่ดีว่า ที่เขาว่าด่าน้ัน ก็นับว่า เป็นการดีอยู่ คือดีกว่าท่ีเขาจะประหัตประหารทุบตีให้เจ็บปวดด้วย ศัสตราวุธ พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อไปว่า ถ้าเขาประหัตประหารทุบตีด้วยศัสตราวุธ เล่า เธอจะท�ำอย่างไร? พระปุณณะทูลว่า เม่ือเขาประหัตประหารทุบตีด้วย ศัสตราวุธ ข้าพระองค์จะแผ่เมตตาปรารถนาดี มองเขาเหล่าน้ันไปในแง่ดีว่า ท่ีเขาประหัตประหารด้วยศัตราวุธ แต่ไม่ท�ำให้ถึงตาย ก็นับว่าเป็นการดีอยู่ รกั ษาพยาบาลไมน่ านนัก กจ็ กั หาย พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อไปว่า ถ้าเขาประหัตประหารเธอให้ตายเล่า เธอ จะปฏิบัติอย่างไร? พระปุณณะทูลว่า ถ้าเขาประหัตประหารข้าพระองค์ให้ตาย ข้าพระองค์ก็จะมองไปในแง่ดีอีกว่า คนบางคนมีความคับแค้นใจ อยากจะ

184 ฆ่าตัวตาย บางคราวก็ต้องฆ่าตนเอง ด้วยอาการท่ีทรมานล�ำบาก น่ีเขา ประหัตประหารให้ตายเอง กน็ บั ว่าเปน็ การดีไมน่ อ้ ย เม่ือพระปุณณะทูลพระพุทธเจ้าอย่างน้ีแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสประทาน สาธกุ ารว่า ดีละ ๆ ปณุ ณะ ถ้าเธอมธี รรมะคือเมตตา ปรารถนาดี หวังดี มองคน ไปในแง่ดีเช่นนี้ เธอจักไปอยู่ในสุนาปรันตชนบทนั้นได้และจักมีความผาสุก เจริญในสมณธรรมได้สะดวกตลอดปลอดโปร่ง เม่ือพระปุณณะไปอยู่ใน สุนาปรันตชนบทนั้นแล้ว ในเบื้องต้น ก็มีความขลุกขลักอึดอัดบ้าง เพราะนิสัย ของคนท่ีไม่มีศีลธรรม เกกมะเหรกเกเรอาละวาด แต่ด้วยอ�ำนาจธรรมะคือ เมตตาที่แผ่ไปมองคนในแง่ดี ช้ีเหตุผลแห่งความโหดร้ายเบียดเบียนล้างผลาญ กันให้ชาวชนบทน้ันเข้าใจ ในท่ีสุด ชาวสุนาปรันตชนบทน้ัน ท่ีเคยโหดร้ายก็ ละความโหดร้าย ไม่มีศีลธรรมกลับเป็นผู้มีศีลธรรม เล่ือมใสในพระพุทธศาสนา และเปน็ พลเมืองดไี ด้ เร่อื งนแี้ สดงใหเ้ หน็ วา่ ธรรมะคือเมตตา ความปรารถนาดี หวังดี อยากให้ผู้อ่ืนมีความสุขความเจริญ มองคนอ่ืนไปในแง่ดี สามารถท่ีจะ ดับความชั่วร้ายให้กลายเป็นดี และดับความโกรธให้หาย ดุจสายฝนอันเย็นฉ�่ำ ตกกระหน่�ำลงมาระงบั ดับความร้อนกระวนกระวายใหห้ ายไป เมตตา เปน็ คณุ ประโยชน์ สามารถดับความโกรธใหห้ ายไดเ้ ช่นน้ี บคุ คล ที่ถูกโรคคือความโกรธเบียดเบียนเป็นประจ�ำ ควรบ�ำบัดเสียด้วยธรรมะคือ เมตตา ผู้มีเมตตาประจ�ำใจ ย่อมไม่เบียดเบียนล้างผลาญผู้อ่ืน และไม่มองผู้อ่ืน ไปในแง่ร้าย ท้ังจะหายจากโรคคือความโกรธได้ ไม่ถูกความโกรธรบกวน เสียดแทงย�่ำยี มีความสุขความเจริญม่ันคง และได้รับอานิสงส์อีกหลายอย่าง ดงั ท่ีท่านแสดงไวว้ ่า ความเมตตา รกั ใคร่ แผไ่ มตรี แก่สตั ว์มี ชวี ิต อธิษฐาน ใหป้ ลอดโปรง่ โลง่ จติ เป็นนจิ กาล ให้ส�ำราญ เปน็ สขุ ท่วั ทกุ ตน

185 ความเมตตา อารี แสนดลี ้�ำ เปน็ ธรรมะ ประเสริฐ ใหเ้ กดิ ผล ให้โลกชื่น เยน็ ฉ่�ำ ทกุ ต�ำบล ใหท้ ุกคน รกั ใคร่ เหน็ ใจกัน เมตตานี้ ดหี นา ใหห้ นา้ ผอ่ ง ใหย้ ม้ิ ยอ่ ง งามย่ิง เปน็ มิง่ ขวญั ให้อยู่เย็น เป็นสขุ ทุกคนื วนั โทษมหันต์ ทกุ อย่าง ให้ห่างไกล คนที่มี เมตตา เป็นอาวุธ สหี น้าผดุ ผ่องแย้ม และแจ่มใส หลับเปน็ สุข ลกุ ต่ืน กช็ ื่นใจ และจะไม่ ฝันร้าย สบายดี จะเป็นที่ ชอบใจ รักใครส่ ุด ของมนุษย์ อมนษุ ย์ และภตู ผี เทพารกั ษ์ ศกั ด์ิสิทธ์ิ ทรงฤทธี กจ็ ะมี เมตตา มาคมุ้ ครอง ไฟศสั ตรา ยาพษิ มฤี ทธ์ิกลา้ ไม่บีฑา ปลงปลดิ ชวี ิตของ ผ้เู จริญ เมตตา มาช่�ำชอง และจิตของ ผ้นู ้ัน ตั้งม่นั ไว ผเู้ จรญิ เมตตา เป็นอาจณิ เมอื่ ชพี สนิ้ ตายลง ไม่หลงใหล ถา้ ไม่ลุ อรหนั ต์ กพ็ ลันไป บังเกดิ ใน พรหมโลก เปน็ โชคด.ี

186 โดยนัยน้ี จะเห็นได้ว่า เมตตามีคุณานิสงส์มากอย่างสูง ผู้เจริญเมตตา เม่ือสิ้นชีพแล้ว ถ้ายังไม่บรรลุความเป็นอรหันต์ ก็ไปเกิดในพรหมโลก ก็แต่ใน พรหมโลกนั้น ท่านพรรณนาว่า ผู้ท่ีจะไปเกิดย่อมปรากฏเป็นเพศชาย ไม่มี เพศหญิงเลย ผู้เจริญเมตตา จะเป็นชายก็ตาม หญิงก็ตาม เม่ือสิ้นชีพแล้วและ ยังไม่บรรลุพระอรหันต์ ก็ไปเกิดในพรหมโลก เป็นพรหมหมด แต่เป็นเพศชาย ทัง้ ส้นิ ไมม่ เี พศหญงิ เจือปนเลย อาจมผี สู้ งสยั ถามวา่ เพราะเหตุใด ในพรหมโลก เพศชายจึงไปเกิดได้ เพศหญิงไปเกิดไม่ได้ หรือเกิดได้ก็เป็นเพศชายไป มิเป็น การเลือกที่รักผลักที่ชัง ดูเป็นการเหล่ือมล้�ำต�่ำสูงอยู่ ไม่เสมอภาค ซ่ึงบางทีท่าน อาจเรียกร้องสทิ ธิ์ โดยปกติ ชายทำ� อะไรได้ หญงิ กอ็ าจท�ำได้ ชายเป็นบัณฑิตได้ หญิงก็เป็นบัณฑิตได้ ชายขับรถยนต์ได้ หญิงก็ขับรถยนต์ได้เช่นเดียวกัน (มี อย่างเดียวเท่านั้นที่หญิงเป็นไม่ได้ คือพระพุทธเจ้า) ฉะนั้น จึงควรมีสิทธิ เท่าเทียมกัน ในปัจจุบันน้ี มีผู้ต้องการให้มนุษยชนมีสิทธิเสมอภาคเท่าเทียมกัน มากท่ีสุดเท่าที่จะมากได้ แม้องค์การสหประชาชาติ ก็สนับสนุนเร่ืองน้ี และ ประกาศปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ให้ประเทศสมาชิกท้ังหลายปฏิบัติ ทุกวิถีทาง เพื่อให้มนุษย์มีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่เลือกช้ันวรรณะ เม่ือเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุใด ในพรหมโลก จึงมแี ต่เพศชายเทา่ นน้ั เลา่ ปัญหานี้ ถ้าพระพทุ ธเจา้ ยังทรงพระชนม์อยู่ เราก็คงจักได้ไปเฝ้าทูลถามให้พระองค์วินิจฉัย แต่พระองค์ ได้เสด็จปรนิ ิพพานไปนานแลว้ ถา้ ทิ้งไวก้ เ็ ปน็ เรื่องข้องใจไม่รจู้ ักจบ จึงจะวนิ จิ ฉยั ตามอัตโนมตั ิ ดงั น้ี ”ที่ว่าเพศหญิงไปเกิดในพรหมโลกไม่ได้นั้น ก็ด้วยเหตุว่า ในพรหมโลก ผู้เป็นพรหม ต้องมีหน้าถึง ๔ หน้า คือหน้าเมตตา หน้ากรุณา หน้ามุทิตา หน้าอุเบกขา เพศชายเป็นพรหมสี่หน้าก็ไม่เป็นท่ีอึดอัดอย่างใด แต่เพศหญิง ถ้าไปเกิดเป็นพรหมส่ีหน้า ก็รู้สึกว่าจะล�ำบากหนักหนา และเป็นท่ีทรมาน แสนสาหัส เพราะโดยปกติ หญิงมเี พยี งหน้าเดียว เวลาจะไปไหนมาไหน บางคน ต้องใช้เวลาแต่งหน้าถึง ๒ ช่ัวโมง เป็นการวุ่นวายโกลาหลอยู่ไม่น้อยแล้ว ถ้าไป มีถึง ๔ หนา้ เขา้ ก็ต้องใชเ้ วลาแตง่ หน้ามากขน้ึ และโกลาหลใหญ่ เช่นจะเดนิ ทาง

187 ไปต่างจังหวดั ดว้ ยรถไฟแต่ ๖ โมงเช้า ก็ตอ้ งตน่ื ขึน้ แต่งหน้าแต่ ๔ ทุ่ม พอสวา่ ง ก็เสร็จพอดี ถ้าเป็นอย่างน้ี ก็เป็นการล�ำบากแสนสาหัส เพราะเหตุนี้กระมัง ใน พรหมโลก จึงไม่มีเพศหญิงไปเกิด ข้อท่ีเพศหญิงไม่ปรากฏกายในพรหมโลกนั้น กน็ บั วา่ เป็นโชคดที ่ีสุดแล้ว„ ๓. โรคคือความหลง ที่ว่าความหลงเป็นโรคนั้น มีอธิบายว่า ความหลง ได้แก่ความที่ใจมืดมิด ไม่เห็นผิดชอบชั่วดี หรือเห็นผิดตรงกันข้ามจากความ เปน็ จรงิ เชน่ เหน็ ดีเป็นชั่ว เห็นช่ัวเป็นดี เห็นทกุ ข์เปน็ สขุ เหน็ บุญเปน็ ของนา่ กลวั เหน็ บาปเป็นของน่ารกั อย่างท่วี ่าเห็นกงจักรเป็นดอกบวั เป็นต้น ความหลงน้ี ตามศัพท์บาลีใช้ว่า ”โมโห„ ค�ำว่า ”โมโห„ กับ ”โทโส„ มีผู้ เข้าใจไขว้เขวมานาน เช่นบางคนเข้าใจว่า โมโห หมายถึงความโกรธ อย่างเมื่อ เกดิ ความโกรธขึ้นมา กม็ ักพูดวา่ เกดิ โมโห ความจริงโมโห ไม่ใชค่ วามโกรธ และ ไม่ได้แปลว่าความโกรธเลย ที่แท้หมายถึงความหลง และตามศัพท์ ก็แปลว่า ความหลง แต่คนมักเข้าใจผิด เช่นเม่ือมีผู้มายั่วแหย่ ผู้ถูกย่ัวแหย่น้ัน มักบอก กับเขาว่า อย่ามายั่วฉันนะ เดี๋ยวฉันเกิดโมโหขึ้นมา เอาไม้ตีหัวล้างข้างแตก ท่ีเป็นเช่นนี้ เพราะเข้าใจความหมายของค�ำว่า ”โมโห„ ผิดไป เพราะฉะน้ัน จึง ควรจ�ำความหมายของโมโหให้ถูกต้องเสียก่อน เพื่อจักได้ไม่สับสนเข้าใจผิด มภี าษิตกล่าวไวเ้ พื่อจำ� ง่ายวา่ โมโหน่ี ท่แี ท้ ท่านแปลวา่ ความเซ่อซา่ โง่งง และหลงไหล ไม่รู้ชดั อรรถธรรม อันอ�ำไพ แต่มใิ ช่ ความโกรธ ได้โปรดจ�ำ โมโหนั้น มีลักษณะมืด ไม่เห็นตามความเป็นจริง คนท่ีถูกความมืดคือ โมโหเข้าครอบง�ำใจปกคลุมใจแล้ว ย่อมมืด ไม่รู้จักว่าดีชั่วผิดอย่างไร เป็นเหตุ ใหเ้ ร่ารอ้ นกระวนกระวาย เป็นเหตใุ ห้ท�ำการผิดพลาดเสยี หาย เสอื่ มทราม ไดร้ ับ

188 ความทุกข์ความเดือดร้อนเป็นผล อันธรรมดาคนท่ีอยู่ในที่มืด ถ้าเดินไปเหยียบ กะลา ก็มักเข้าใจว่าถูกสัตว์ขบกัด ถ้าไปเหยียบเชือก ก็มักเข้าใจว่าถูกงูขบกัด ถ้าเห็นใบไม้ที่แกว่งกวัดเพราะถูกลมพัดไหวไปมา ก็มักเข้าใจว่าถูกผีหลอก เป็นต้น เหล่านี้ เป็นเหตุให้เข้าใจผิด ไม่รู้ตามความเป็นจริง ข้อน้ีฉันใด คนท่ีมี โมโหเป็นเจ้าเรือน ย่อมเข้าใจผิดจากความเป็นจริง เช่น บางคนเห็นผิดไปว่า การเล่นการพนนั อนั เป็นอบายมุข เชน่ เลน่ ไพ่ เล่นหวย เลน่ ถั่วโป เลน่ มา้ เหลา่ น้ี ว่าเป็นทางร�่ำรวยเร็วทันใจ และหมกอยู่ในการเล่นการพนัน เมื่อถูกปีศาจคือ การพนนั เขา้ สงิ ใจแลว้ ยอ่ มเห็นผดิ ว่า การเลน่ การพนนั เป็นของดี เล่นไมเ่ ป็นอัน ท�ำมาหากิน ในที่สุด ก็มักเสียมากกว่าได้ บางรายถึงกับส้ินเน้ือประดาตัว ขาย บ้านช่องหรือจ�ำนองเขาเป็นต้น คนท่ีร่�ำรวยเพราะการพนัน อาจยืนยันได้ว่า หาได้ยากอย่างย่ิง เหมือนงมหาเข็มในมหาสมุทร ถ้าจะมีผู้ร่�ำรวยข้ึนได้จริง เพราะการพนัน อย่างท่ีบุคคลบางคนเข้าใจแล้ว ทุกคนก็ไม่ต้องท�ำมาหากิน เลยี้ งชีพให้เสียเวลา เหนด็ เหนอ่ื ยเปล่า ๆ ตัง้ หนา้ ตัง้ ตาเลน่ การพนันกันอยา่ งเดียว ก็พอแลว้ แต่ความจริงหาเป็นเชน่ นั้นไม่ การที่บุคคลบางคนเหน็ เชน่ นั้น ก็เพราะ หลงเข้าใจผิดวา่ การพนนั อาจใหค้ นร่�ำรวยขน้ึ มาได้ แต่ความจริงหาเป็นเชน่ น้นั ไม่ หรือบางคนเห็นว่า การท�ำมาหากินเล้ียงชีพโดยสุจริต ร�่ำรวยช้า ถ้าทุจริต คดโกงเขา จึงจะร�่ำรวยเร็ว เมื่อหลงอย่างนี้แล้ว ก็เลยเป็นเหตุให้ท�ำการทุจริต ในหน้าที่ราชการ เมื่อเขาจับได้ ก็ถูกลงโทษ ต้องเสียชื่อเสียง เป็นการน่าละอาย ขายหน้า เสียเกียรติยศช่ือเสียงวงศ์สกุล ท่ีบางคนต้องประพฤติไปอย่างนั้น มิใช่ว่าเขาจะชอบความทุกข์ความเดือดร้อนหรือไม่ชอบเป็นคนดีก็หาไม่ ความจริง เขาชอบเป็นคนดี มีทรัพย์ มีความสุขมีความเจริญ แต่เพราะเขาถูก ความหลงเข้าครอบง�ำใจ จึงท�ำไปได้แม้ในส่ิงที่ผิด เหมือนเห็นกงจักรเป็น ดอกบัว หรือเหมือนม้า ซึ่งปกติไม่ชอบหญ้าแห้งหรือฟาง แต่เม่ือมีผู้น�ำแว่น สีเขียวไปสวมใส่ม้าแล้ว ก็ท�ำให้ม้านั้นเห็นทุกส่ิงทุกอย่างเป็นสีเขียวไปหมด แมห้ ญ้าแหง้ และฟางแหง้ กเ็ หน็ เป็นสีเขียวชอุม่ ช่มุ ชนื่ น่าเค้ยี วกนิ ไปหมด ทง้ั ๆ ที่ หญ้าแห้งหรือฟางแห้งน้นั ม้ากไ็ ม่ตอ้ งการและไมป่ รารถนาจะเค้ียวกินเลย

189 ความหลงท�ำให้คนเข้าใจผิดและเสียหายมากต่อมากแล้ว คนท่ีหลงทาง ต้องเดินวนเวียนวกไปมาเสียเวลา และไม่ถึงที่หมายปลายทางฉันใด บุคคล ผู้ต้องการความสุขความเจริญ ต้องการเกียรติยศช่ือเสียง ถ้าหลงกระท�ำใน ทางผิดทุจริตเสียหาย ก็ไม่ลุถึงท่ีหมายปลายทาง คือไม่ได้ความสุขความเจริญ ไม่ได้เกียรตยิ ศชื่อเสยี งตามทต่ี อ้ งการฉันนั้น ความหลงเป็นเหตุให้เสียหายเช่นนี้ เมื่อเกิดข้ึนก็เสียดแทงจิตใจให้ได้รับ ความทุกข์ทรมาน ไม่มีความสุขส�ำราญ ผู้ท่ีเป็นโรคความหลง ถูกความหลงเข้า ครอบง�ำใจ ย่อมท�ำให้ใจมืดมิด เห็นผิดเป็นชอบ ประกอบในทางเส่ือมเสียหาย ไม่มีความสงบสุข โรคคือความหลงน้ี พระพุทธเจ้าประทานธรรมโอสถ คือ ปญั ญาเปน็ เครื่องบ�ำบดั ปัญญา แปลว่าความรอบรู้ตามความเป็นจริง เป็นแสงสว่างฉายใจให้ เห็นสภาพท้ังหลายตามที่เป็นจริง เห็นผิดเป็นผิด เห็นถูกเป็นถูก เห็นบาปเป็น บาป เห็นบุญเป็นบุญ เห็นทุกข์เป็นทุกข์ เห็นสุขเป็นสุข อันตรงกันข้ามกับ ความหลง ซ่ึงปิดบังความจริงไม่ให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ท้ังหลายโดยถูกต้อง เม่ือ แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ฉายส่องมา คนท้ังหลายย่อมมองเห็นภาคพ้ืนปฐพีตาม ท่ีเป็นจริงว่า ท่ีน้ีเป็นบ่อ ท่ีน้ีเป็นเหว ทางนี้เป็นทางปลอดภัย ทางน้ีมีสัตว์ร้าย ไม่ปลอดภัย ไม่ควรสัญจร ทางนี้เป็นทางเตียน ทางน้ีเป็นทางรก เมื่อคน ทั้งหลายเหน็ ตามความเป็นจรงิ เช่นนแ้ี ลว้ ใครเลา่ ท่ีจะเดนิ ไปให้ตกบอ่ ตกเหว ซ่งึ เป็นภัยอันตรายแก่ตนเอง ต่างก็พากันเดินไปในทางท่ีเตียนและปลอดภัย ข้อน้ี ฉันใด เม่ือแสงสว่างแห่งปัญญาฉายส่องออกมาแล้ว จิตใจของคนท้ังหลายก็ พลอยสว่าง และรู้ดีรู้ชอบรู้ผิดรู้ถูกตามความเป็นจริง เมื่อคนรู้ชัดตามความ เป็นจริงแล้วว่า อย่างนี้เป็นทุกข์ เป็นทางให้เกิดทุกข์เดือดร้อนและเส่ือมทราม อย่างนี้เป็นสุข เป็นทางให้เกิดสุข เป็นทางให้เกิดความสงบร่มเย็นและเจริญ ก้าวหน้า ใครเล่าจะอุตริเดินไป ประพฤติปฏิบัติไปในทางทุกข์ ทางเดือดร้อน ทางเสื่อมเสีย ท่ีแท้ก็จักพากันด�ำเนินไปในทางปลอดภัยร่มเย็นเป็นสุข และใน ทางเจรญิ อย่างเดียวฉันนนั้

190 ปญั ญา เป็นแสงสว่าง คนท่ีมแี สงสว่างสอ่ งใจประจ�ำ ย่อมรู้จกั ดี รจู้ ักชัว่ รจู้ ักบาป รจู้ ักบญุ รู้จกั คณุ รจู้ กั โทษ ส่ิงใดเป็นเหตุน�ำความสุขความเจริญมาให้ ก็พยายามกระท�ำสิ่งนั้น ส่ิงใดเป็นเหตุน�ำความทุกข์ความเส่ือมมาให้ ก็เว้นไม่ท�ำ สิ่งน้นั เหมือนผู้รูว้ ่าไฟเป็นของรอ้ น กไ็ มเ่ อามอื จับไฟเลน่ สว่ นเด็กไมร่ วู้ ่าไฟเปน็ ของร้อนเอามือจับไฟเล่น มือก็พอง แมลงเม่าที่ไม่รู้จักว่าไฟเป็นของร้อนบิน เขา้ ไปเล่นในกองไฟ ก็ถึงความตายในกองไฟน่ันเอง ข้อนีฉ้ นั ใด คนท่ีไร้แสงสว่างคือปัญญา ย่อมไม่รู้จักผิดชอบ ไม่รู้จักบุญและบาป แล้วหลงท�ำในส่ิงที่จะน�ำความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้ ซ่ึงบางอย่างแม้เป็นเหตุ ให้เข้าใจว่าเป็นทางดีในเบ้ืองต้น แต่ก็เป็นผลร้ายในภายหลังฉันน้ัน ปัญญาย่อม เป็นคู่ปรับกับความหลง เมื่อปัญญาเกิดแล้ว ความหลงก็ดับหายไป เหมือนมี แสงสว่างแล้วความมืดก็หายไป คนท่ีมีปัญญา ย่อมไม่หลงใหล ไม่เข้าใจผิด ไม่ด�ำเนินชวี ติ ในทางผดิ และก�ำจัดโรคคือความหลงใหห้ ายไป ความโลภ ความโกรธ ความหลง เหลา่ น้ี เปน็ กเิ ลสที่เกิดขึน้ รบกวนจติ ใจ เสียดแทงจิตท�ำลายจิตทรมานใจ เผาใจให้เร่าร้อนกระวนกระวายแล้วประพฤติ เสียหายเบียดเบียนล้างผลาญประหัตประหารก่อความเดือดร้อนร�ำคาญไม่มี ท่ีสิ้นสุดยุติ การรบราฆ่าฟันกันอันเรียกว่าสงคราม ที่มีมาในอดีตก็ดี ก�ำลัง เกิดขึ้นในปัจจุบันก็ดี และจักเกิดข้ึนในอนาคตก็ดี ล้วนมีสมุฏฐานเกิดจากกิเลส คือโลภ โกรธ หลงเหล่าน้ี ผู้ต้องการให้โลกมีสันติภาพอันถาวร คือมีความ สงบสุขร่มเย็นตลอดกาลนาน จึงจ�ำเป็นต้องสังหารกิเลสเหล่าน้ีให้หมดไป โดยส้ินเชิง ถ้าไม่ก�ำจัดกิเลสเหล่าน้ีหรือปฏิบัติโดยวิธีอ่ืนใด เช่นเข้าช่ือเรียกร้อง สันติภาพก็ไม่สามารถท่ีจะระงับ หรือป้องกันการรบราฆ่าฟันกันให้หายหมดไป จากโลกได้เลย เปรียบเหมือนยุง ซึ่งเกิดข้ึนแพร่เช้ือทรมานเบียดเบียนท�ำลาย ความสงบสขุ ของมวลมนุษย์ ยุงนั้นเกดิ จากนำ้� เน่าโสโครกซ่ึงเป็นแหลง่ เพาะพนั ธุ์ ยุงให้แพร่หลาย ถ้าจะปราบยุงก�ำจัดยุง ก็ชอบที่จะก�ำจัดต้นเหตุ คือถมที่ลุ่ม ที่โสโครกและที่ขังน�้ำเน่าให้หมดจนสะอาดดี ไม่มีทางที่ยุงจะเกิดข้ึนแพร่พันธุ์

191 อีกแล้ว ยุงก็ลดจ�ำนวนลงหรือหมดไปโดยล�ำดับ ถ้าไม่ก�ำจัดหรือตัดต้นเหตุ ดังกล่าวนี้ ใช้ปราบด้วยวิธีอื่น เช่นเข้าชื่อเรียกร้องให้ยุงไม่รบกวนกัดคนก็ ไม่ได้ผล ยุงก็คงกัดคนต่อไป หรือเช่นฉีดยาดีดีทีเพื่อปราบยุง แม้จะระงับ ได้ชั่วคราวได้ผลเพียงช่ัวคราว ยุงก็ไม่หมด ชุดเก่าตายไป ชุดใหม่ก็เกิดมา แม้ฉีดยาดีดีที สักก่ีพันกี่หม่ืนตัน หรือฉีดกันสิ้นชีวิต ยุงก็ไม่หมดฉันใด แม้ความเดือดร้อนยุ่งยากประหัตประหารกัน อันไม่มีขาดสาย ก็เกิดมาจากโลภ โกรธหลงเหล่านี้ ถ้าจะก�ำจัดต้นตอของความเดือดร้อน การเบียดเบียนรบรา ฆา่ ฟนั กันแล้ว ก็ต้องก�ำจัดท่ีตน้ เหตุคือโลภโกรธหลงฉันนนั้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นโอสถบ�ำบัดโรคใจได้อย่างศักดิ์สิทธิ์ คนที่ เป็นโรคใจประจ�ำ คือเป็นโรคความโลภบ้าง เป็นโรคความโกรธบ้าง เป็นโรค ความหลงบ้าง ย่อมมีความทุกข์เร่าร้อนกระวนกระวายใจ ควรใช้ธรรมะบำ� บัดเสีย คือถ้าเป็นโรคความโลภ ต้องบ�ำบัดด้วยธรรมะ คือสันโดษ ถ้าเป็นโรคความ โกรธ ต้องบ�ำบัดด้วยธรรมะคือเมตตา ถ้าเป็นโรคความหลง ต้องบ�ำบัดด้วย ธรรมะคอื ปญั ญา โรคติดต่ออันตราย เช่นอหิวาตกโรค หรือวัณโรคเป็นต้น เมื่อมีผู้ป่วย ดว้ ยโรคติดตอ่ น้ี กจ็ ำ� ตอ้ งรีบน�ำผเู้ จ็บป่วยส่งโรงพยาบาล ใหแ้ พทย์เยยี วยารักษา โดยด่วน ไม่ควรปล่อยท้ิงไว้ เพราะอาจเป็นอันตรายแก่ผู้ป่วยเองด้วย อาจ ระบาดลุกลามติดต่อถึงผู้อื่น ท�ำให้ผู้อื่นป่วยและล้มตายด้วยฉันใด แม้โรคใจ คือโรคความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็ฉันนั้น ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ก็อาจติดต่อ ถึงกันได้ เช่นเห็นคนอ่ืนลุอ�ำนาจแก่ความโลภ ก็มักเกิดจะติดต่อเอาอย่างบ้าง เหน็ คนอ่ืนลอุ ำ� นาจแกค่ วามโกรธ ก็มักจะติดต่อเอาอยา่ งบา้ ง เหน็ คนอ่นื ลอุ ำ� นาจ แก่ความหลง ก็มักจะติดต่อเอาอย่างบ้าง ผู้ที่รู้ว่าตนเป็นโรคใจ ก็ไม่ควรปล่อย ท้งิ ไว้ใหท้ รมานตนเอง และระบาดลกุ ลามติดต่อไปถึงผู้อ่นื ควรรีบบ�ำบดั รกั ษาเสีย ดว้ ยโอสถคอื ธรรมะ

192 ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นโอสถบ�ำบัดโรคใจได้อย่างศักด์ิสิทธ์ิจริง และไม่ต้องลงทุนซื้อหาดว้ ยทรพั ยเ์ ลย ไม่เหมอื นยาบำ� บัดโรคทางกาย ซึ่งจ�ำตอ้ ง ซ้ือหาด้วยทุนทรัพย์ และในกาลบางครั้งก็เป็นยาท่ีหาได้ยาก ถ้าเป็นยาที่ซ้ือ มาจากต่างประเทศ เม่ือเกิดสงครามก็หาได้ยากย่ิง และมักถูกพ่อค้าข้ึนราคา หรือกักตุนเป็นการเดือดร้อนและล�ำบากมิใช่น้อยเลย ส่วนยาคือธรรมะของ พระพุทธเจ้า ไม่ต้องลงทุนซ้ือและไม่มีการขึ้นราคาขูดเลือดเลย ผู้มีก�ำลังศรัทธา ก็ประพฤติปฏิบัติได้ตามความสามารถ เมื่อปฏิบัติธรรมะได้มากเพียงใด โรคใจ ก็ค่อย ๆ สงบเบาบาง หรือสร่างลดลงเพียงน้ัน เมื่อโรคใจลดน้อยลงหรือสร่าง แลว้ ย่อมมีความสงบสขุ สบายหายเรา่ รอ้ นกระวนกระวาย ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นโอสถที่สามารถบ�ำบัดโรคใจได้ศักดิ์สิทธ์ิ จรงิ ๆ อยา่ งน้ี ควรท่ีผู้มีปญั ญาและหวงั ความสงบสุขใจ จะพึงสนใจและปฏบิ ตั ิ ตาม ธรรมะจะมีคุณประโยชน์หรือบ�ำบัดโรคใจได้ก็เฉพาะผู้ท่ีประพฤติปฏิบัติตาม เท่านั้น ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตามธรรมะแล้ว ธรรมะย่อมไร้ความหมาย ไม่ สามารถที่จะเข้าไปบ�ำบัดโรคใจได้เอง เหมือนยาบ�ำบัดโรคต่าง ๆ ที่มีอยู่ในบ้าน เก็บไว้ในตู้ ใส่กุญแจรักษาไว้ เม่ือเจ็บไข้ได้ป่วย เช่นปวดศีรษะหรือตัวร้อน เป็นต้น ถ้าผู้เป็นเจ้าของยาไม่ยอมหยิบยาออกมารับประทานเองแล้ว ความ เจ็บไข้ก็ยังคงมีต่อไป และทวีความรุนแรงข้ึนโดยล�ำดับ เป็นเหตุให้ได้รับ ทุกขเวทนามากยิ่งขึ้น แล้วจะบ่นหรือลงโทษว่ายาหาคุณประโยชน์มิได้อย่างนี้ ยอ่ มเป็นการไม่สมควรและไมช่ อบด้วยเหตผุ ล บุคคลผู้เป็นโรคเน้ือร้ายในร่างกาย นายแพทย์ลงความเห็นว่าควรผ่าตัด เนื้อร้ายนั้นออกเสีย เพื่อรักษาชีวิตไว้และอาจมีทางหายจากโรคได้ไม่เจ็บปวด ทนทุกขเวทนาตลอดกาลนาน จึงชี้แจงแนะน�ำให้ท�ำการผ่าตัด ถ้าผู้ที่เป็นโรค เชื่อแพทย์และยอมให้ผ่าตัดโดยดี แม้จะเจ็บปวดบ้างก็ยอม เม่ือผ่าตัดเนื้อร้าย ออกแล้ว โรคก็สงบหาย ความสุขสบายก็เกิดมี ถ้าผู้ที่เป็นโรคนั้น ยังมีความ เสียดายอาลัยเนื้อร้ายน้ันอยู่ ไม่ยอมให้แพทย์ท�ำการผ่าตัด โรคเนื้อร้ายน้ันก็

193 ไม่หาย และอาจลุกลามท�ำให้ผู้เจ็บป่วยถึงแก่ความตายได้ฉันใด ผู้เป็นโรคใจ โรคกิเลส ต้องทนทุกขท์ รมานเรา่ รอ้ นเพราะพษิ กเิ ลส พระพุทธเจ้าทรงชโ้ี ทษของ กิเลส ให้ผ่าตัดกิเลสน้ันออกเสีย ถ้าเช่ือพระพุทธเจ้า และผ่าตัดกิเลสน้ันออกเสีย ย่อมหายจากโรคใจ และได้รับความสงบสุข แต่ถ้าผู้เป็นโรคใจยังมีความอาลัย เสียดายกิเลสอยู่ ไม่ยอมผ่าออกตามค�ำส่ังสอนของพระพุทธเจ้า ปล่อยให้ความ โลภโกรธหลงเข้าครอบง�ำใจ โรคใจก็ไม่หาย ต้องเร่าร้อนกระวนกระวาย และ ตายจากคุณงามความดี ไมม่ ีสนั ตสิ ขุ ยังมีโรคจร ซึ่งระบาดเข้าครอบง�ำย�่ำยีเสียดแทงชนท้ังหลายและเป็นกัน ในปัจจุบันน้ี ก็คือโรคทรัพย์จาง โรคต่ืน โรคซัดกัน โรคล้มทับ โรคเบื่อง่าย เป็นต้น โรคทรัพย์จาง คือแสวงหาทรัพย์ได้ไม่พอใช้จ่าย โรคทรัพย์จางนี้เกิดแต่ เหตุ ๒ ประการคอื เหตภุ ายนอกอยา่ งหนง่ึ เหตภุ ายในอย่างหน่ึง โรคทรัพย์จาง ท่ีเกิดแต่เหตุภายนอก เช่นข้าวของสินค้าราคาแพงข้ึน ของที่เคยซ้ือได้ในราคาถูก ในกาลก่อน ครั้นมาบัดนี้มีราคาแพงข้ึน ทรัพย์ท่ีหาได้ไม่พอใช้จ่าย เป็นเหตุให้ เดือดร้อน โรคทรัพย์จางท่ีเกิดแต่เหตุภายนอกน้ีก็เป็นท่ีน่าเห็นใจอยู่ ส่วนโรค ทรัพย์จางที่เกิดแต่เหตุภายใน คือตนก่อขึ้นเอง เพาะเชื้อขึ้นเอง เช่นบางคน ประกอบการอาชีพด้วยความขยันขันแข็ง อาบเหง่ือต่างน�้ำเพ่ือให้ได้ทรัพย์มา ทรัพย์ที่หามาได้นั้น แทนท่ีจะใช้จ่ายให้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง บ�ำรุงครอบครัว บ�ำรุงบิดามารดา บ�ำรุงประเทศชาติศาสนา กลับน�ำทรัพย์น้ันไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เกินประมาณ และใช้จ่ายในทางเสียหายอบายมุข เช่นการเล่นการพนัน ดื่มสุรา หรือใช้ในการเที่ยวเตร่สนกุ สนาน การดมู หรสพเดือนละ ๕ ครง้ั ๖ ครั้ง นัดไหน ก็นัดน้ัน เท่ียวกันไม่รู้จักประมาณ เมื่อใช้จ่ายทรัพย์ในทางสุรุ่ยสุร่ายโดยไม่รู้จัก ประมาณเช่นนี้ ทรัพย์ท่ีหามาได้ก็ไม่พอใช้จ่าย เป็นเหตุให้เดือดร้อน ต้องกู้หนี้ ยืมสินเขาเสียดอกเบ้ยี แพง ๆ โรคทรพั ย์จางเกดิ ขนึ้ ดว้ ยอาการอยา่ งน้แี ล

194 คนท่ีเป็นโรคโลหิตจาง ย่อมมีอาการผอมแห้งอิดโรยไม่มีก�ำลัง ท้ัง ผิวพรรณวรรณะก็ซูบซีด ผู้ท่ีเคยรักใคร่ก็มักจะกลับกลายเป็นรังเกียจ ไม่อยาก เข้าใกล้ฉันใด คนท่ีเป็นโรคทรัพย์จาง หาทรัพย์ได้ไม่พอใช้ ย่อมมีอาการ แร้นแค้นฝืดเคือง ใจไม่สบาย มิตรสหายท่ีเคยใกล้ชิดก็ตีตนออกห่าง และ พากันรังเกียจฉันน้นั โรคทรัพย์จางน้ี ผู้ที่เป็นแล้ว ก็ควรรีบแก้ไขด้วยตนเอง จะให้ผู้อื่นช่วย แก้ไขหาได้ไม่ เช่นเป็นข้าราชการ แม้รัฐบาลจะเพิ่มเงินเดือนให้เท่าไร ๆ ถ้าไม่ ร้จู กั ประมาณ ไม่ประหยดั ใชจ้ า่ ยฟ่มุ เฟอื ย เงินทร่ี ัฐบาลเพิ่มใหก้ ็ไม่รูจ้ กั พอ คน ทเี่ ปน็ โรคโลหิตจางผอมแหง้ ร่างกายไม่แข็งแรง ในสมัยนี้มีไวตามิน เอ. บ.ี ซี. ด.ี เป็นต้น ส�ำหรับรับประทานหรือฉีดเป็นการเพิ่มพลัง บ�ำรุงโลหิต ต้านทานโรค ผู้ใช้ไวตามินดังกล่าวนั้นบ�ำรุง ไม่นานนักโรคโลหิตจางผอมแห้งก็จักหาย มี รา่ งกายสมบูรณฉ์ ันใด ผู้เปน็ โรคทรัพย์จาง หาทรพั ยไ์ ด้ไมพ่ อใช้จ่าย พระพุทธเจา้ ก็ได้ประทานไวตามินคือธรรมะไว้บ�ำบัด เพื่อก�ำจัดโรคทรัพย์จาง ไวตามิน ส�ำหรับบำ� บัดโรคทรพั ย์จางน้ันมี ๔ อยา่ ง คือ ๑. ไวตามิน อุ. ให้ถึงพร้อมด้วยความขยันหม่ันเพียรในการประกอบ หน้าที่กรณีกิจ ไม่เห็นแก่ความเหน่ือยยากล�ำบาก เพื่อให้ได้ทรัพย์มาบ�ำรุง เลี้ยงตน ท่ีเรียกว่า อุฏฐานสัมปทา เม่ือมีเวลาว่างก็ใช้เวลาว่างนั้นให้เป็น ประโยชน์ ไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยไร้ประโยชน์ เช่นเย็บปักถักร้อย แต่งหนังสือ หรือท�ำสวนครัวเป็นต้น เป็นการเพ่ิมพูนรายได้และตัดรายจ่ายท่ี ไม่จ�ำเป็นให้ลดน้อยลง ซึ่งดีกว่าการไปเท่ียวเตร่สนุกสนานดูมหรสพบ่อย ๆ เกินควรไป ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายหมดเปลืองไปโดยไม่จ�ำเป็น เช่น จ่ายเป็น ค่าพาหนะ ค่าผ่านประตูดูมหรสพ การไปเท่ียวมักไม่ไปคนเดียว มักชวนเพ่ือน ไปด้วย ซึ่งจ�ำต้องเล้ียงดูกัน อันหมายถึงสุรา เมื่อสุราแล้วก็นารี พาชี กีฬาบัตร เป็นเหตุให้ส้ินเปลืองทรัพย์ของตนโดยไม่จ�ำเป็น เป็นการลงโทษหรือท�ำลาย ตนเองโดยไมร่ ูต้ วั และน่าสังเวชอย่างท่สี ุด

195 ๒. ไวตามิน อา. ให้ถึงพร้อมด้วยการรักษาทรัพย์ที่หามาได้น้ันมิให้ อันตรธานไปด้วยอัคคีภัยและโจรภัยเป็นต้น ที่เรียกเต็มว่า อารักขสัมปทา คน โดยมากมักเข้าใจว่า ตนเองรักษาทรัพย์ได้ปลอดภัย เช่น เก็บไว้ในบ้านเรือน เป็นตน้ การเก็บรักษาทรพั ย์ไว้ในบ้าน แม้จะมีการรกั ษากวดขนั แข็งแรง บางครงั้ ก็อาจไม่ปลอดภัย อาจถูกโจรผู้ร้ายแย่งชิง หรือมิฉะน้ัน ถ้าบ้านเรือนถูกไฟไหม้ ทรัพย์น้ันก็จะอันตรธานสูญไป ในคร้ังโบราณมักนิยมฝังทรัพย์ในดิน การ ฝังทรัพย์ไว้ในดิน ก็ไม่เป็นผลตลอดไป ถ้าหลงลืมจ�ำไม่ได้ ทรัพย์ท่ีฝังไว้นั้น ก็สูญหาย น่าเสียดาย เมื่อผู้ฝังตายไปแล้ว ถ้าบุตรหลานไม่ทราบ ทรัพย์ก็คง จมสูญอยู่ในดินนั่นเอง บางคนที่เป็นห่วงทรัพย์มาก ตายไปก็อาจไปเกิดเป็นงู เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ไม่ต้องได้ไปผุดไปเกิด นับว่าเป็นกรรมอย่างย่ิง ด้วยเหตุน้ี พระพุทธเจ้าจึงได้สอนให้รู้จักเก็บรักษาทรัพย์ให้ปลอดภัย ทรัพย์ท่ีเก็บไว้และ ปลอดภัยนั้น ไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยเท่ากับเก็บไว้ในธนาคารออมสิน เพราะไฟ ก็ไม่ไหม้ โจรผู้ร้ายก็แย่งชิงเอาไปไม่ได้ จึงควรฝากไว้กับธนาคารออมสิน เม่ือ ฝากไว้แลว้ กไ็ ดด้ อกได้ผล ต้นก็ไม่สูญ ทนุ กไ็ มเ่ สยี ๓. ไวตามิน กะ. ให้มีเพื่อนเป็นคนดี ท่ีเรียกเต็มว่า กัลยาณมิตตตา คนเราจะอยู่โดดเดี่ยวตามล�ำพังไม่ได้ ต้องมีมิตรสหายเพ่ือนฝูง เมื่อมีธุระหรือ เจ็บไข้ได้ป่วย จะได้ช่วยกันรักษาพยาบาล การคบคนจึงเป็นของจ�ำเป็น จะ หลีกเล่ียงไม่ได้ แต่การคบคนน้ันเหมือนมีดสองคม ถ้าจับดี ใช้การดี ก็มี ประโยชน์ไม่บาดมือ ถ้าจับไม่ดี ก็เกิดโทษและบาดมือ การคบคนก็เช่นกัน ถ้า คบคนดี ก็เป็นสง่าราศีแก่ตัว ช่วยแนะน�ำท�ำประโยชน์ พ่ึงพาอาศัยกันได้ ไม่ ลา้ งผลาญกัน ถา้ คบคนชั่ว ก็เป็นราคหี มองมัวแก่ตน ท�ำให้เส่ือมและเสียสง่าราศี ไม่มีความสุขความเจริญ คอยปอกลอกล้างผลาญกัน อนึ่ง การคบคนเหมือน การย้อมผ้า ผ้าขาว ถ้าน�ำไปย้อมสีเหลือง ก็กลายเป็นผ้าเหลือง สะอาดน่าดู น่าใช้ ถ้าเราไปคบกับคนที่มีศีลธรรม มีวิชาความรู้ เราก็จะพลอยเป็นคนดี มีวิชาความรู้ตามไปด้วย เช่น โจรองคุลิมาล ไปคบกับพระพุทธเจ้า ก็เลิกละ ความเป็นโจร หันเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา อยู่ในร่มเงาแห่งกาสาวพัสตร์

196 ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา ถ้าเราไปคบกับ คนไม่มีศีลธรรมหรือมีนิสัยไม่ดี ก็จะติดนิสัยไม่ดีน้ันได้ เช่นคนท่ีไม่เคยด่ืมสุรา เลย แตไ่ ปคบกบั คนท่ดี ื่มสรุ า เขาก็จะชกั ชวนใหด้ มื่ สุรา ถ้าไมด่ ่มื กเ็ กรงใจ กลัว จะขัดใจกัน จึงจ�ำต้องด่ืมเพื่อมิให้ขัดใจกัน คร้ันดื่มบ่อย ๆ เข้า ก็กลายเป็น นักด่ืมสุราโดยไม่รู้ตัว หรือเช่นคนที่ไม่เคยเล่นการพนัน ถ้าไปคบกับคนท่ีเป็น นกั เลงการพนัน เขาจะชกั ชวนให้เลน่ การพนนั ถ้าไมเ่ ล่นก็เกรงใจ กลวั จะขัดใจกนั จึงจ�ำใจต้องเล่นการพนันเพ่ือรักษาน้�ำใจกันไว้ คร้ันเล่นบ่อย ๆ เข้า ในที่สุดก็ กลายเป็นนักเลงเล่นการพนันเอง เพราะฉะนั้น จึงจ�ำต้องเลือกคบคนดี จะได้ ติดนสิ ยั ดี ๆ จากเขา และเปน็ ที่พึง่ พาอาศัยกันได้ ๔. ไวตามนิ สะ. ใหร้ ู้จักใชจ้ า่ ยทรพั ยท์ ่ีหามาได้นั้นใหเ้ ปน็ ไปแตพ่ อเหมาะ พอดี คือมิให้ฝืดเคืองนัก มิให้ฟูมฟายนัก ท่ีเรียกเต็มว่า สมชีวิตา ทรัพย์ท่ี หามาได้น้ัน ถ้าเก็บไว้เฉย ๆ ไม่ใช้ ก็ไร้ประโยชน์ ทรัพย์จะกลายเป็นนาย เจ้าของจะกลายเป็นทาสไป จึงจ�ำเป็นต้องใช้ แต่มิใช่จะใช้จนสุรุ่ยสุร่าย ใช้เผื่อ กาลข้างหน้า เผื่อเวลาจ�ำเป็น เช่น เจ็บไข้เป็นต้น คือให้รู้จักประมาณในการใช้ สง่ิ มคิ วรซ้อื กไ็ ม่พไิ รซอ้ื ท่ซี อื้ มาแลว้ กพ็ ยายามใช้ใหไ้ ด้ประโยชน์ ค้มุ ค่าคุม้ ราคา จริง ๆ โบราณท่านสอนว่า ทรัพย์ที่แสวงหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียรและ ด้วยความสุจริตน้ัน พึงใช้ให้เป็นประโยชน์ ถือเอาสาระจากทรัพย์น้ันดังน้ี คือ ๑. ใหท้ ง้ิ ทะเล ๒. ใช้หน้ีเกา่ ๓. ใส่ปากงเู หา่ ๔. ใหก้ ู้ ๕. ฝงั ไว้ (๑) ทใี่ ห้นำ� ทรพั ยน์ นั้ ไปทิ้งทะเลนั้น มไิ ดห้ มายความว่า ตอ้ งน�ำทรพั ย์ ไปท้ิงทะเลตรง ๆ จริง ๆ เลย แต่ท่านกล่าวเป็นปริศนา คือหมายความว่าให้ น�ำทรัพย์ส่วนหนึ่งไปใส่ปากใส่ท้อง บ�ำรุงเล้ียงตนให้มีความสุข ปากและท้อง ของคนน้ัน เปรียบเหมือนท้องทะเลหลวง ทะเลหลวงนั้น ใครจะพยายามน�ำเอา วัตถุส่ิงของนานาชนิดไปท้ิงลงสักเท่าไร ก็ไม่อาจท�ำให้ท้องทะเลนั้นตื้นและเต็ม ข้ึนมาได้ฉันใด แม้ปากและท้องของคนก็ฉันน้ัน บุคคลจะท�ำอาหารมาใส่บ�ำรุง สักเท่าไรก็ไม่รู้จักเต็มสักที วันนี้เต็มแล้วอิ่มแล้ว พรุ่งนี้ก็พร่องอีกหิวอีก ต้อง

197 เพิ่มเติมใส่บ�ำรุงกันอีกต่อไป จนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตคือตายนั่นแหละ จงึ ไม่ตอ้ งบำ� รุงกันตอ่ ไป (๒) ใช้หน้ีเก่า คือบ�ำรุงเล้ียงดูมารดาบิดา มารดาบิดาน้ัน เป็นผู้มี อปุ การะคณุ แกบ่ ตุ รธดิ า คอื เปน็ ผู้ใหก้ �ำเนิด ให้ชวี ิต ใหเ้ ลอื ดเน้อื ให้อาหาร ให้ ความสุข ให้วิชาความรู้ ให้ค�ำแนะน�ำส่ังสอน ให้ทรัพย์มรดกแก่บุตรธิดา ด้วย เหตุน้ี มารดาบิดาจึงช่ือว่า เป็นพระพรหมของบุตรบ้าง เป็นบุรพาจารย์ของ บุตรบ้าง เป็นอาหุเนยยะบ้าง เป็นผู้ควรรับเครื่องสักการะของบุตรบ้าง เป็น พระอรหันต์ของบุตรบ้าง มารดาบิดามีอุปการะคุณแก่บุตรธิดามากเช่นน้ี จึง ยากที่สรรหาค�ำมาพรรณนาให้หมดส้ินและคณนานับได้ พ้ืนปฐพีอันกว้างใหญ่ ทสี่ ุด มหาสมทุ รท่ลี กึ ซึ้งกย็ งั เทียบไมถ่ งึ เท่าอุปการะคณุ ของบิดามารดา บุตรธิดา ทุกคนจึงช่ือว่าเป็นหน้ีอุปการะคุณของบิดามารดา คนท่ีเป็นหน้ีเขา ถ้าบิดพลิ้ว ไม่ยอมใช้หนี้ เขาก็เรียกว่าเป็นคนโกง คบไม่ได้ ไว้ใจไม่ได้ฉันใด บุตรธิดา ผู้เป็นหน้ีอุปการะคุณของมารดาบิดาที่ท่านได้เล้ียงดูตนมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ถ้าไม่ใช้หนี้ท่าน ก็ได้ช่ือว่าเป็นคนอกตัญญู เพราะฉะน้ัน ทรัพย์ท่ีแสวงหามา ได้น้ัน ส่วนหน่ึงจึงต้องน�ำไปบ�ำรุงเล้ียงดูมารดาบิดาให้มีความสุขทางกาย ที่ เรียกว่าเลี้ยงกาย และต้องบ�ำรุงเล้ียงใจท่าน ทะนุถนอมน�้ำใจท่าน ไม่ขัดใจท่าน ในทางท่ีถูกที่ชอบ ตอบแทนพระคุณท่านด้วยความกตัญญูกตเวที เป็นการ ปลดเปลอื้ งหนเี้ ก่าใหห้ มดไป (๓) ใส่ปากงูเห่า คือน�ำทรัพย์ส่วนหนึ่งไปบ�ำรุงครอบครัวภรรยาให้มี ความสุขไม่เดือดร้อน ภรรยาน้ันท่านเปรียบด้วยงูเห่า ธรรมดางูเห่าเป็นอสรพิษ ถ้าเลี้ยงดี ก็อาจท�ำให้รอดตัวได้มีความสุข ถ้าเลี้ยงไม่ดี อาจท�ำให้ถึงแก่ความ ตายได้ (๔) ให้กู้ คือน�ำทรัพย์ส่วนหนึ่งไปบ�ำรุงเลี้ยงดูบุตรธิดา ให้การศึกษา ให้อุปการะ ให้ความสุขแก่บุตรธิดาทุกวิถีทาง เหมือนอย่างท่ีมารดาบิดาได้ เคยอปุ การะเลยี้ งดูตนมา เท่ากับใหก้ ู้ เอาไว้เกบ็ ดอกผลเมื่อภายหนา้

198 (๕) ฝังไว้ คือน�ำทรัพย์ส่วนหน่ึงไปบ�ำเพ็ญบุญกุศลในพระศาสนา เป็นการช่วยส่งเสริมบ�ำรุงพระศาสนาอันสั่งสอนให้คนประพฤติดี และเพื่อเป็น เสบียงกุศลของตนสืบไปในภายหน้า ถ้าไม่ฝังทรัพย์ไว้ในพระศาสนา ทรัพย์นั้น ก็ให้ส�ำเร็จประโยชน์ ให้ได้รับความสุขแต่เพียงในภพชาตินี้เท่านั้น เมื่อตน สิ้นชีพแลว้ ทรพั ย์ก็ตอ้ งตกเป็นของผอู้ น่ื นำ� ตดิ ตัวไปไม่ได้ ถ้าฝงั ไว้ในพระศาสนา นอกจากจะเป็นประโยชน์แก่พระศาสนาแล้ว ยังเป็นบุญกุศลที่สามารถนำ� ติดตน ไป คือตดิ อย่กู ับใจไปอ�ำนวยความสขุ ในภพชาติหนา้ ได้อกี ผูท้ ่ีเปน็ โรคทรพั ยจ์ าง ควรรบี บ�ำบัดเสียด้วยธรรมะซงึ่ เปรียบดว้ ยไวตามนิ ๔ ประการน้ี ผู้เป็นโรคทรัพย์จาง ต้องเว้นของแสลงแก่โรคคืออบายมุข เช่น ความเป็นนักเลงหญิง นักเลงสุรา นักเลงการพนัน นักเท่ียวเตร่ในเวลาค�่ำคืน เป็นต้น โรคทรัพย์จางจึงจะหาย คนที่เจ็บไข้ นายแพทย์ห้ามมิให้บริโภค ของแสลง ถ้าเชื่อฟังปฏิบัติตามค�ำสั่งของนายแพทย์ โรคก็หายในเร็ววัน ถ้า คนเจ็บไข้ด้ือด้านไม่เช่ือฟัง ไม่ปฏิบัติตามค�ำส่ังของนายแพทย์ ไม่เว้นบริโภค ของแสลงและไม่กินยา โรคก็ไม่หาย เมื่อโรคไม่หาย ก็ไม่ใช่ความผิดของยา และไม่ใช่ความผิดของนายแพทย์ฉันใด ธรรมะอันพระพุทธเจ้าประทานไว้เพ่ือ บ�ำบัดโรคทรัพย์จางมีอยู่ ผู้เป็นโรคทรัพย์จางก็ต้องบริโภคไวตามิน คือปฏิบัติ ตามธรรม ๔ อย่างดังกล่าวแล้วนั้น และต้องเว้นของแสลงคืออบายมุข เม่ือได้ บริโภคยา คอื ปฏิบัตติ ามธรรมะท่ีทรงชี้แจงแสดงไว้ โรคทรัพย์จางกจ็ ะสงบระงับ สูญหายไปโดยไม่ต้องสงสัย แต่ถ้ายังมีผู้เห็นว่า การถูกทรมานด้วยโรคทรัพย์จาง เป็นการดี และอุตส่าห์เพาะเชื้อเล้ียงไว้ให้แพร่หลายต่อไป ก็เป็นกรรมของผู้นั้น เป็นเรื่องทชี่ ว่ ยกนั ไมไ่ ด้ และเปน็ ความผดิ ของตนเอง จะโทษใครไม่ไดเ้ ลย โรคต่นื นั้น หมายถงึ ตื่นในทางที่ไม่ดี เช่นตน่ื ผู้วเิ ศษเทยี ม ผู้วเิ ศษปลอม ตามข่าวเล่าลือ ในครั้งโบราณ ถ้าเกิดมีมนุษย์ผู้ท�ำอาการแปลก ๆ ผิดปรกติ ธรรมดาสามัญของมนุษย์ แต่หาเป็นไปเพ่ือส้ินกิเลสอาสวะแต่อย่างใดไม่ เช่น ยืนขาเดียว เคี้ยวอุจจาระ หรือนุ่งใบไม้ เปลือยกาย เหล่านี้เป็นต้น ก็มักมี