49 คาถาที่ ๓๘ (ทม)ฺ ทนฺโต โย สกจติ ฺตานิ ทมิตวฺ าปิ สเทวกํ ททนฺโต อมตํ เขมํ ทนตฺ ินทฺ ริยํ นมามิหํ ฯ พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ทรงฝึกจิตของพระองค์เอง ทรงฝึกสัตว์โลก พร้อมทั้งเทวโลก ประทานอมตธรรมอันเกษม ข้าพเจ้านอบน้อมพระพุทธเจ้า ผู้มพี ระอินทรยี อ์ ันทรมานไดแ้ ล้วพระองคน์ ้นั . คาถาท่ี ๓๙ (ม) มหสุ สฺ าเหน สมพฺ ทุ โฺ ธ มหนฺตํ าณมาคมิ มหติ ํ นรเทเวห ิ มโนสุทธฺ ํ นมามิหํ ฯ พระพุทธเจ้าพระองค์ใด เป็นผู้ตรัสรู้เอง ทรงบรรลุพระญาณอันใหญ่ ดว้ ยพระอุตสาหะอนั ใหญ่ ขา้ พเจา้ นอบนอ้ มพระพทุ ธเจา้ ผู้อันมนษุ ยแ์ ละเทวดา บูชาแลว้ มีพระทัยบรสิ ทุ ธ์ิพระองคน์ ัน้ . คาถาท่ี ๔๐ (สา) สารํ เทตธี สตตฺ านํ สาเรติ อมตํ ปทํ สารถิ วยิ สาเรติ สารธมมฺ ํ นมามิหํ ฯ พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ประทานประโยชน์อันเป็นแก่นสาร แก่สัตว์ ทั้งหลายในโลกน้ี ทรงสอนเวไนยให้ด�ำเนินไปสู่ทางอันไม่ตาย ทรงยังเวไนยให้ แล่นไป เหมือนนายสารถี ข้าพเจ้านอบน้อมพระพุทธเจ้า ผู้มีพระธรรมอันเป็น แก่นสารพระองค์นัน้ .
50 คาถาที่ ๔๑ (ร) รมฺมตาริยสทธฺ มเฺ ม รมมฺ าเปติ สสาวกํ รมเฺ ม าเน วสาเปนตฺ ํ รณหนตฺ ํ นมามหิ ํ ฯ พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ทรงสอนสาวกให้ยินดีในพระสัทธรรม อัน พระอริยเจ้ายินดีแล้ว ข้าพเจ้านอบน้อมพระพุทธเจ้า ผู้ทรงยังสาวกให้อยู่ใน ฐานะอนั รืน่ รมย์ ผขู้ จดั เสียซึง่ ขา้ ศึกคอื กิเลสพระองค์นัน้ . คาถาท่ี ๔๒ (ถ)ิ ถิโต โย วรนิพพฺ าเน ถเิ ร าเน สสาวโก ถริ ํ านํ ปกาเสต ิ ถติ ธมฺมํ นมามหิ ํ ฯ พระพุทธเจ้าพระองค์ใด กับทั้งพระสาวก ด�ำรงอยู่แล้วในพระนิพพาน อันประเสริฐ เป็นสถานอันมั่นคง ทรงประกาศสถานอันม่ันคง ข้าพเจ้า นอบนอ้ มพระพุทธเจา้ ผู้มีพระธรรมอันดำ� รงอยแู่ ลว้ พระองคน์ ้ัน. คาถาที่ ๔๓ (สตฺ) สทธฺ มมฺ ํ เทเสยติ ฺวาน สนตฺ ํ นิพพฺ านปาปกํ สมาหติ ํ สสาวก ํ สนฺตจิตฺตํ นมามิหํ ฯ ข้าพเจา้ นอบนอ้ มพระพทุ ธเจา้ กบั ท้ังพระสาวก ผู้ทรงแสดงพระสทั ธรรม อนั ให้ถงึ พระนพิ พาน อันสงบระงบั ทรงมพี ระทยั ตง้ั ม่นั และสงบระงบั พระองค์น้นั
51 คาถาที่ ๔๔ (ถา) ถานํ นพิ พฺ านสงขฺ าตํ ถาเมนาธคิ โต มนุ ิ ถาเน สคคฺ สิเว รมฺเม ถาเปนตฺ ํ ตํ นมามิหํ ฯ พระพุทธเจ้าพระองคใ์ ด ทรงเป็นมนุ ี บรรลถุ งึ ฐานะกลา่ วคอื พระนพิ พาน ดว้ ยความเพยี ร ขา้ พเจ้านอบนอ้ มพระพทุ ธเจ้า ผทู้ รงสอนสัตว์ท้งั หลาย ให้ดำ� รง อยใู่ นสวรรคแ์ ละพระนพิ พาน อันเป็นสถานนา่ ร่ืนรมย์พระองคน์ ัน้ . คาถาที่ ๔๕ (เท) เทนฺโต โย สคฺคนพิ พฺ าน ํ เทวมนุสสฺ ปาณิณํ เทนตฺ ํ ธมฺมวรํ ทานํ เทวเสฏํ นมามหิ ํ ฯ พระพุทธเจา้ พระองคใ์ ด ประทานสวรรค์และพระนพิ พาน แกเ่ ทวดาและ มนษุ ย์ทัง้ หลาย ขา้ พเจ้านอบนอ้ มพระพทุ ธเจา้ ผปู้ ระเสรฐิ กวา่ เทวดา ผปู้ ระทาน ธรรมอนั ประเสริฐเป็นทานพระองคน์ น้ั . คาถาท่ี ๔๖ (ว) วนตฺ ราคํ วนตฺ โทส ํ วนตฺ โมหํ อนาสวํ วนทฺ ิตํ เทวพฺรหเฺ มหิ วรํ พทุ ธฺ ํ นมามิหํ ฯ ข้าพเจ้านอบน้อมพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐ คลายความรัก คลายความ โกรธ คลายความหลง ไมม่ ีอาสวะ อันเทวดาและพรหมท้ังหลายถวายบังคมแลว้ พระองคน์ นั้ .
52 คาถาที่ ๔๗ (ม) มหตา วิริเยนาป ิ มหนฺตํ ปารมี อกา มนสุ ฺสเทวพฺรหฺเมหิ มหิตํ ตํ นมามหิ ํ ฯ พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ทรงบ�ำเพ็ญพระบารมีอันใหญ่ แม้ด้วย พระวิริยะอันแรงกล้า ข้าพเจ้านอบน้อมพระพุทธเจ้า ผู้อันมนุษย์และเทวดา และพรหมทั้งหลายบูชาแล้วพระองคน์ ั้น. คาถาท่ี ๔๘ (นสุ )ฺ นุนธมฺมํ ปกาเสนฺโต นทุ นตถฺ าย ปาปกํ นุนทกุ ฺขาธิปนนฺ านํ นุทาปิตํ นมามิหํ ฯ พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ทรงประกาศพระธรรมอันยิ่งเพื่อถ่ายถอน ซึ่งบาป แก่เหล่าสัตว์ผู้ท่ีถูกทุกข์อันยิ่งครอบง�ำ ข้าพเจ้านอบน้อมพระพุทธเจ้า ผู้ทรงสอนให้ถา่ ยถอนบาปพระองค์นน้ั . คาถาที่ ๔๙ (สา) สาวกานํนุสาเสติ สารธมเฺ ม จ ปาณนิ ํ สารธมมฺ ํ มนสุ ฺสานํ สาสิตํ ตํ นมามหิ ํ ฯ พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ทรงพร�่ำสอนพระธรรมอันเป็นสาระท้ังหลาย แก่สาวกทั้งหลายด้วย แก่สัตว์ท้ังหลายด้วย ข้าพเจ้านอบน้อมพระพุทธเจ้า ผูท้ รงสอนพระธรรมอนั เปน็ แก่นสาร แกม่ นษุ ย์ท้ังหลายพระองค์นน้ั .
53 คาถาท่ี ๕๐ (นํ) นนฺทนโฺ ต วรสทฺธมเฺ ม นนฺทาเปติ มหามนุ ิ นนทฺ ภเู ตหิ เทเวหิ นนฺทนยี ํ นมามหิ ํ ฯ พระพุทธเจ้าพระองค์ใด เป็นพระมุนีผู้ยิ่งใหญ่ ทรงบันเทิงอยู่ใน พระสัทธรรมอันประเสริฐ ทรงสอนเวไนยสัตว์ให้บันเทิงอยู่ด้วย ข้าพเจ้า นอบน้อมพระพุทธเจ้า ผู้อันเทวดาทั้งหลาย ซ่ึงเป็นผู้บันเทิงแล้ว พึงชื่นชม พระองคน์ ัน้ . คาถาที่ ๕๑ (พทุ )ฺ พชุ ฺฌิตารยิ สจจฺ านิ พุชฺฌาเปติ สเทวกํ พทุ ธฺ าเณหิ สมปฺ นนฺ ํ พุทธฺ ํ สมฺมา นมามหิ ํ ฯ พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ตรัสรู้อริยสัจจ์ ๔ แล้ว ทรงยังสัตวโลกกับ เทวดา ให้ตรัสรู้ตามด้วย ข้าพเจ้านอบน้อมพระพุทธเจ้า ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วย ญาณของพระพุทธเจ้าทง้ั หลาย โดยชอบพระองค์น้ัน. คาถาท่ี ๕๒ (โธ) โธวติ พฺพํ มหาวีโร โธวนโฺ ต มลมตตฺ โน โธวิตฺวา ปาณนิ ํ ปาปํ โธตเกฺลสํ นมามหิ ํ ฯ พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ผู้มีความเพียรใหญ่ ทรงช�ำระอยู่ซ่ึงมลทินควร ช�ำระของพระองค์ ทรงช�ำระบาปของสัตว์ท้ังหลาย ข้าพเจ้านอบน้อมพระพุทธเจ้า ผูม้ ีกเิ ลสอันช�ำระแลว้ พระองคน์ ้ัน.
คาถาที่ ๕๓ (ภ) ภยมาปนฺนสตฺตาน ํ ภยํ หาเปติ นายโก ภเว สพเฺ พ อตกิ ฺกนโฺ ต ภยสนฺตํ๓ นมามิหํ ฯ พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ทรงก้าวล่วงซ่ึงภพทั้งปวงแล้ว เป็นผู้น�ำทาง ยังภัยของสัตว์ทั้งหลายผู้ถึงภัยให้หมดส้ินไป ข้าพเจ้านอบน้อมพระพุทธเจ้า ผู้มีภยั อันสงบแลว้ พระองคน์ ้ัน. คาถาท่ี ๕๔ (ค) คธิโต เยน สทฺธมฺโม คตาเณน ปาณนิ ํ คณหฺ นยี ํ วรธมมฺ ํ คณหฺ าเปนฺตํ นมามหิ ํ ฯ พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ทรงภิรมย์พระสัทธรรม ข้าพเจ้านอบน้อม พระพุทธเจ้า ผู้ยงั สัตวใ์ หถ้ ือเอาด้วยพระญาณอันพระองค์บรรลุแลว้ พระองคน์ ัน้ . คาถาที่ ๕๕ (วา) วาปิตํ ปวรํ ธมฺมํ วานโมกขฺ าย ภิกฺขนู ํ วาสิตํ ปวเร ธมฺเม วานหานํ นมามหิ ํ ฯ พระพุทธเจ้าพระองค์ใดทรงหว่านธรรมอันประเสริฐแล้ว แก่ภิกษุ ทั้งหลาย เพ่ืออันให้พ้นจากตัณหาเครื่องร้อยรัด ข้าพเจ้านอบน้อมพระพุทธเจ้า ผู้ทรงอบรมแล้วในธรรมอันประเสริฐ ทรงละตณั หาเครือ่ งร้อยรดั พระองคน์ ัน้ . ๓ เป็น ภควนตฺ ํ ก็มี
คาถาท่ี ๕๖ (ต)ิ ตณิ ฺโณ โส สพพฺ ปาเปหิ ติณฺโณ สคคฺ า ปติฏฺโิ ต ติเร นพิ ฺพานสงขฺ าเต ติกฺขาณํ นมามหิ ํ ฯ พระพุทธเจ้าพระองค์น้ัน ทรงข้ามพ้นแล้วจากบาปทั้งหลายท้ังปวง ทรงข้ามพ้นแล้วจากสวรรค์ ด�ำรงอยู่แล้วบนฝั่งคือนิพพาน ข้าพเจ้านอบน้อม พระพุทธเจา้ ผมู้ ีพระญาณอนั เฉียบแหลมพระองคน์ น้ั .
56
57 จตรุ ารกั ขกถา ถวายในการทรงบำ� เพญ็ พระราชกุศล สตั ตมวารที่ ๒ พระบรมศพสมเดจ็ พระศรีสวรนิ ทริ า บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ณ พระท่ีนั่งดุสติ มหาปราสาท วันท่ี ๓๐ ธันวาคม ๒๔๙๘ พุทฺธานุสสฺ ติ เมตฺตา จ อสุภํ มรณสสฺ ติ อิจฺจิมา จตุรารกขฺ า กาตพพฺ า จ วิปสสฺ นาต.ิ บัดนี้ จะรับพระราชทานถวายพระธรรมเทศนา ฉลองพระเดชพระคุณ ประดับพระปัญญาบารมี ตามสมควรแก่พระราชกุศลบุญราศีทักษิณานุปทานกิจ อันราชกุลมหิดล มีสมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าทรงเป็นประธาน ทรงบ�ำเพ็ญอุทิศถวาย สนองพระเดชพระคุณ แด่สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ซ่ึงเสด็จ สวรรคต ด้วยทรงคารวะเป็นส่วนกุลเชฏฐาปจายนะญาติสังคหะ และเป็นส่วน ปุพพเปตพลี พระราชกศุ ลท้ังน้ี ส�ำเร็จดว้ ยอำ� นาจพระกตัญญูกตเวทติ าคณุ อันมี บริบูรณ์ในพระราชหฤทัย ตามวิสัยของสัปปุริสบัณฑิต สมด้วยพระพุทธภาษิต ว่า เปตานํ ทกฺขิณํ ทชฺชา ปุพฺเพกตมนุสฺสรํ เมื่อหวนค�ำนึกถึงอุปการคุณที่ท่าน ได้ท�ำไว้แล้วแก่ตน พึงบ�ำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน เพ่ือท่านผู้ล่วงลับไปแล้ว ดังน้ี
58 สมเดจ็ พระศรีสวรินทริ า บรมราชเทวี พระพันวสั สาอัยยกิ าเจา้ พระองค์ นั้น ทรงบริบูรณ์ด้วยพระคุณสมบัติอันอุดม สมควรแก่คารวะและอปจายนะ เป็นอเนกประการ จะรับพระราชทานถวายวิสัชนาโดยย่อพอเป็นอนุสสติ ภาวนามัย เป็นปัจจัยให้บรรเทาเสียซ่ึงปิยวิปโยค และความก�ำสรดโศกาดูร เพ่ิมพูนปีติโสมนัสเบิกบาน โดยฐานท่ีทรงเป็นขัตติยนารี พระองค์ทรงมี พระรูปสมบัติและพระราชจริยาวัตรอันงดงามสมแก่ความเป็นขัตติยนารี อันอุดม ปลูกความนิยมของบุคคลทุกช้ัน พระราชจริยาวัตรน้ัน ๆ ย่อมเชิดชู พระเกียรติคุณให้ไพศาล โดยฐานที่ทรงเป็นพระชนนี ทรงมีพรหมวิหารธรรม ได้ทรงอุปถัมภ์พระราชโอรสและพระราชธิดาให้เจริญด้วยพระคุณสมบัติ และพระจริยาสมบัติเป็นอย่างดี มีพระเกียรติยศไพบูลย์ ทรงเก้ือกูลแก่ พระประยุรญาติในราชสกุลวงศ์ ในฐานะที่ทรงเป็นพุทธศาสนิกา ก็ทรงมีศรัทธา ปสาทะในพระบวรพุทธศาสนา ทรงบ�ำเพ็ญพระกุศลจริยาสัมมาปฏิบัติเป็น อันมาก ทรงบริจาคกัปปิยภัณฑ์ อุปการะพระภิกษุสงฆ์หลายพระอาราม ให้ ได้รับความสะดวกในการเล่าเรียนศึกษาปฏิบัติพระธรรมวินัย เป็นปัจจัย สนับสนุนพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองไพโรจน์ เป็นประโยชน์อันย่ิงใหญ่ ได้ทรง สร้างโรงพยาบาล พระราชทานความสุขส�ำราญแก่คนไข้อนาถา ทรงด�ำรง ต�ำแหน่งสภานายิกาสภากาชาดไทย มีพระชนมชีพสว่างแจ่มใส เป็นไปเพ่ือ ประโยชน์สุขแก่พสกนิกร ประเทศชาติและพระศาสนา ช่ือว่าทรงประพฤติดี ท้ังทางโลกและทางธรรม ครบถ้วน สมควรได้รับสรรเสริญว่าเสด็จมาดี และ เสดจ็ ไปดี ดงั พระบาลวี า่ โชติ โชติ ปรายโน สวา่ งมาแลว้ สวา่ งไป พระคุณสมบัติ ท้ังมวลน้ี ย่อมเป็นที่ซาบซึ้งจับใจและสรรเสริญแห่งบัณฑิต สมด้วย พระพุทธภาษิตซึ่งมีว่า สปฺปุริโส ภิกฺขเว กุเล ชายมาโน พหุโน ชนสฺส อตฺถาย หติ าย สุขาย โหติ ดังน้เี ป็นต้น แปลว่า ดูกอ่ นภกิ ษุท้งั หลาย สัตบุรุษเม่อื เกดิ ขนึ้ ในสกุล ย่อมเกิดข้ึนเพ่ือประโยชน์ เพ่ือเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่มหาชน เหมือน เมฆยังฝนให้ตกลง ณ พน้ื พสธุ า ยังขา้ วกลา้ ใหง้ อกงามแก่มหาชนดังน้ี
59 สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงมี พระคุณควรแก่คารวะและอปจายนะ แม้จะเสด็จสวรรคตไปตามธรรมดาของ สังขารท้ังหลาย ก็มิวายเป็นท่ีโศกาลัยของชาวไทยทั่วรัฐมณฑล ตั้งต้นแต่ สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าตลอดถึงประชาชน ท้ังนี้เป็นผลเพราะ ทรงปฏิบัติธรรมอนั เปน็ สว่ นเหตมุ าดีแลว้ แตต่ ้น ธรรมะซ่ึงอ�ำนวยผลดังถวายวิสัชนามา ในพระพุทธศาสนามีมากมาย หลายชั้น แต่เม่ือกล่าวให้สั้นเป็นหมวดหมู่ ก็รวมอยู่ที่การเจริญสมถะและ วิปัสสนา ดังธรรมคาถาพระราชนพิ นธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว รชั กาลท่ี ๔ ว่า พทุ ธานสุ สฺ ติ เมตตฺ า จ อสุภํ มรณสฺสติ อจิ จฺ มิ า จตุรารกฺขา กาตพฺพา จ วิปสสฺ นา แปลวา่ สาธชุ นพึงเจริญอารักขกมั มัฏฐาน ๔ ประการ คือ พุทธานสุ สติ ๑ เมตตา ๑ อสุภะ ๑ มรณัสสติ ๑และพึงเจริญวิปัสสนาด้วยดังนี้ โดยใจความ ก็คอื สอนใหอ้ บรมจิตใจด้วยสมถกัมมฏั ฐานและวปิ สั สนากัมมัฏฐานนน่ั เอง จิตนั้น ได้แก่ธรรมชาติชนิดหน่ึง ซ่ึงให้ส�ำเร็จความนึกคิด สิงสถิตเป็น ใหญ่อยู่ในร่างกายของคนและสัตว์ท้ังหลาย จิตเหมือนนาย กายเหมือนบ่าว พระพุทธเจา้ ตรสั วา่ จติ เฺ ตน นียติ โลโก โลกอันจิตยอ่ มนำ� ไป จิตตฺ สฺส เอกธมมฺ สสฺ สพฺเพว วสมนฺวคู ธรรมท้ังหลายไปสู่อ�ำนาจของจิตซึ่งเป็นธรรมอย่างเอก ดังน้ี เปน็ เครอ่ื งชี้วา่ จิตเป็นใหญ่เปน็ ประธาน เปน็ ผู้บงการชขี้ าด มีอ�ำนาจสงู สุด เปน็ สมฏุ ฐานของการประพฤตชิ อบประพฤตผิ ิดอันจติ นน้ั บางทีก็เปน็ พรหม บางครงั้ ก็เป็นเทวดา บางเวลาก็เป็นมาร บางกาลก็เป็นยักษ์ ขณะใดจิตมีพรหมวิหาร ขณะนั้นก็เป็นพรหม ขณะใดจิตมีเทวธรรมคือหิริโอตตัปปะ ขณะนั้นก็เป็นเทวดา เวลาใดจิตมีวิหิงสาพยาบาทเวลาน้ันก็เป็นมาร กาลใดจิตมีโทสะเดือดพล่าน กาลนั้นก็เป็นยักษ์ จิตมักเปล่ียนอาการตนเองได้ไว จะเห็นได้ง่ายทีเดียวเม่ือ
60 ก�ำลังฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดต่อผู้ใดผู้หนึ่ง หน้าบึ้งข้ึงเคียดอยู่ พอสบหน้าผู้ที่ ถูกใจ ก็กลายเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาเสียงอ่อนละมุนละไม ท่ีเปล่ียนไป เช่นน้ัน เพราะหันไปตามอารมณ์คือเร่ืองที่จรมาถึงตัว บางเร่ืองยั่วให้รัก บางเร่ือง ชักให้โกรธหงุดหงิด บางเร่ืองชวนให้คิดพิศวงงงงวย โศกเศร้า เร่ืองเหล่านี้ เป็นสาเหตุส�ำคัญท�ำจิตให้วิปริตแล้วท�ำกิจผิดธรรม ผิดวินัย ผิดกฎหมาย บา้ นเมือง มีเรื่องฟอ้ งร้องในโรงศาลอยู่เนืองนติ ย์ ถ้าตง้ั จิตไว้ผดิ แลว้ ย่อมได้รับ ผลร้ายเสียหายย่ิงกว่าโจรหรือศัตรูคู่เวรจะพึงกระท�ำให้ได้ และถ้าตั้งจิตไว้ ชอบแลว้ ก็อำ� นวยผลใหด้ ีงาม เกนิ ความสามารถของบดิ ามารดาจักอำ� นวยให้ได้ บุคคลท่ีได้รับผลดี มีความสุขความเจริญไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ และบรรลุ มรรคผลนิพพานก็เพราะจิต จิตจึงควรได้รับการอบรม วิธีอบรมจิตน้ันท่าน เรยี กวา่ กมั มฏั ฐาน มีหลายประการ หลายอยา่ ง ทัง้ อยา่ งหยาบอย่างกลางอยา่ ง ละเอียด การอบรมอย่างไร เมื่อได้ประโยชน์ ได้ความสุข ได้ความสงบเย็น ก็เป็นอันใช้ได้ท้ังนั้น จิตน้ัน เป็นของอบรมได้ยากเหลือหลาย เพราะมีพยศร้าย ด้วยอ�ำนาจกิเลส มีโลภโกรธหลงเป็นต้น ถ้าอบรมให้หายพยศร้าย ก็ได้ชื่อว่า อบรมดีแล้ว ในที่นี้จักพรรณนาวิธีอบรมจิตด้วยสมถกัมมัฏฐาน ๔ คือ พุทธา- นุสสติ เมตตา อสุภะ มรณสั สติ พร้อมทงั้ วปิ สั สนากมั มัฏฐาน พุทธานุสสติ ได้แก่การระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้นมีพระคุณ เปน็ อนั มาก ยากท่ีจะพรรณนาใหห้ มดสนิ้ ได้ แตเ่ ม่ือกล่าวใหส้ ั้นลง พระองค์เป็น พระอรหันต์ มีพระขันธสันดานบริสุทธิ์ผ่องใส ไกลจากกิเลสทั้งปวง พ้นจาก ห้วงทุกข์ในโลกีย์ ทรงพระปรีชาลึกล้�ำ มีพระมหากรุณาในหมู่สัตว์ อนึ่ง พระพุทธเจ้าเป็นผู้ต่ืนดีแล้วผ่องแผ้ว สดชื่น มิใช่ตื่นเต้นในทางผิดชนิดเสียหาย เช่นกระต่ายตื่นตูม หรือตื่นผู้วิเศษ แต่ทรงต่ืนจากกิเลสนิทรา ปุถุชนสามัญ อันกเิ ลสครอบง�ำใจ หลบั ใหลด้วยอำ� นาจกิเลสนิวรณ์ แมไ้ ด้รับผลเดือดรอ้ นจาก กิเลสน้ัน ๆ อยู่ ก็ไม่รู้สึกตน จึงชื่อว่าเป็นคนหลับ ธรรมดาคนหลับใหลแม้ถูก ไฟเผาผลาญอยู่ ก็ไม่รสู้ กึ ตน ปุถุชนผถู้ ูกกิเลสครอบงำ� ใจ จึงได้ชอ่ื ว่าเปน็ ผหู้ ลบั สว่ นพระพทุ ธเจา้ ทรงพ้นจากกเิ ลส ผอ่ งแผว้ ชอื่ ว่าต่ืนแลว้ ดว้ ยดี อนึ่งเพลงิ กเิ ลส
61 คือ คอื ราคะ โทสะ โมหะ และเพลงิ ทกุ ขค์ ือชาติ ชรา มรณะ เป็นต้น ลุกโพลง เผาลนสัตว์ไหม้สัตว์ให้รุ่มร้อนเป็นนิตย์อยู่ในภพสาม เพลิงกิเลสและเพลิงทุกข์ เหล่าน้ี ยกพระพุทธเจ้าเสียแล้ว ไม่มีผู้ใดผู้หน่ึงในโลกดับได้ สัตว์โลกทั้งหลาย จมอยู่ในเพลิงกิเลสและเพลิงทุกข์เหล่านี้ จึงมีความเร่าร้อนกระวนกระวาย แต่ ไม่รู้สึกตนว่าถูกเผาให้เร่าร้อนอยู่เป็นนิตย์ เพราะอวิชชาความหลงไม่รู้จริง ส่วน พระพุทธเจ้าตรัสรู้จริงเห็นจริง ดับเพลิงทุกข์เพลิงกิเลสของพระองค์ได้จริงแล้ว ทรงสั่งสอนเวไนยให้รู้ตามเห็นตาม และดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ด้วย การระลึก ถึงพระพุทธเจ้าด้วยน้อมตนไปในพระคุณนั้น ๆ หรือน้อมพระคุณน้ัน ๆ เข้ามา ในตน จะอ�ำนวยผลให้หายหลับใหลท�ำใจให้สงบจากกิเลส เหตุน้ี พุทธานุสสติ จงึ เป็นกัมมฏั ฐานควรเจริญประการหนึ่ง เพราะทำ� ใจให้สงบถึงความแน่วแน่ เมตตา ได้แก่ความรักอันบริสุทธ์ิสดใสไม่เจือปนด้วยราคะ ปรารถนาจะ ให้ผู้อ่ืนมีความสุขถ้วนหน้า เป็นข้าศึกต่อพยาบาท เมตตานี้เป็นคุณธรรมเคร่ือง ค้�ำจุนโลกให้อยู่ด้วยความร่มเย็นสงบสุขอย่างประเสริฐ ก่อให้เกิดความหวังดี ปรารถนาดีต่อกัน ไม่เบียดเบียนกันด้วยกายวาจาใจ โลกจะไม่สงบเดือดร้อน รบราฆ่าฟันกันอย่างอเนจอนาถก็เพราะขาดเมตตา ถ้ามีเมตตาต่อกัน โลกก็จะมี สันติร่มเย็นเป็นสุขถ้วนหน้า การแผ่เมตตาเป็นปฏิปทาของภิกษุในพระธรรมวินัยน้ี และมีผลอานิสงส์ยิ่งใหญ่กว่าทานและศีลท้ังหมด ผู้ท่ีเจริญเมตตาให้เกิดข้ึน ในใจตนแล้ว ใจก็ผ่องแผ้วเย็นสดใส ไม่พยาบาทโกรธแค้นผู้อ่ืน มีแต่ความ ชุ่มช่ืนสงบเย็นแจ่มใส และได้อานิสงส์ ๑๑ ประการ ดังพระพุทธภาษิตบรรหาร ว่า เมตฺตาย ภิกฺขเว เจโตวิมุตฺติยา อาเสวิตาย เป็นต้น แปลว่า ความเมตตา รักใคร่แผ่ไมตรีแก่สัตว์มีชีวิต อธิษฐานให้ปลอดโปร่งโล่งจิตนิจกาล ให้ส�ำราญ เป็นสุขท่ัวทุกตน ความเมตตาอารีแสนดีล้�ำ เป็นคุณธรรมประเสริฐให้เกิดผล ให้โลกชื่นเย็นฉ่�ำทุกต�ำบล ให้ทุกคนรักใคร่เห็นใจกัน เมตตาน้ีดีหนาให้หน้าผ่อง ให้ยิ้มย่องงามย่ิงเป็นม่ิงขวัญ ให้อยู่เย็นเป็นสุขทุกคืนวัน โทษมหันต์ทุกอย่างให้ ห่างไกล คนท่ีมีเมตตาเป็นอาวุธ สีหน้าผุดผ่องแย้มและแจ่มใส หลับเป็นสุข ลุกต่ืนก็ชื่นใจ และจะไม่ฝันร้ายสบายดี จะเป็นท่ีชอบใจรักใคร่สุด ของมนุษย์
62 อมนุษย์และภูตผี เทพารักษ์ศักด์ิสิทธ์ิทรงฤทธี ก็จะมีเมตตามาคุ้มครอง ไฟศัตรายาพษิ มีฤทธกิ์ ล้า ไม่บีฑาปลงปลิดชวี ติ ของผูเ้ จรญิ เมตตามาช�่ำชอง และ จิตของผู้นั้นต้ังม่ันไว ผู้เจริญเมตตาเป็นอาจิณ เมื่อชีพสิ้นตายลงไม่หลงใหล ถ้าไม่ลุอรหันต์ก็พลันไป บังเกิดในพรหมโลกเป็นโชคดี ภิกษุผู้เจริญเมตตาเป็น อัปปนาฌาน ยอ่ มบรรลพุ ระนิพพานในทส่ี ุด ดงั พระพุทธภาษิตวา่ เมตฺตาวิหาริ โย ภิกขฺ ุ ปสนโฺ น พทุ ฺธสาสเน อธิคจเฺ ฉ ปทํ สนฺตํ สงฺขารูปสมํ สขุ ํ แปลว่า ภิกษุผู้มีปรกติอยู่ด้วยเมตตา เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา พึง บรรลสุ ันตบทคือพระนพิ พาน อนั เปน็ ท่รี ะงับดบั สังขาร ดังนี้ การเจริญเมตตา มีอานิสงส์เป็นอเนกประการ จึงเป็นกัมมัฏฐานควร เจรญิ ประการหนง่ึ เพราะท�ำใจใหถ้ ึงความสงบจากพยาบาทนวิ รณเ์ ป็นต้น อสุภะ คือพิจารณากายตนและคนอื่น ให้เห็นเป็นของไม่งามตามความ เป็นจริง จะได้หายหลงรักใคร่ในกายอันเป็นของปฏิกูล เป็นข้าศึกต่อราคะความ ก�ำหนัดยินดี คุณข้อน้ีท�ำให้ใจสว่างเห็นความจริง โดยปรกติปุถุชนย่อมมีใจ มืดมน มักเห็นว่าร่างกายของตนและคนอื่นเป็นของสวยงามน่ารักน่าใคร่ไม่ จดื จาง ผทู้ ่ีเจริญอสภุ ะนีเ้ ปน็ อารมณ์ ยอ่ มมใี จสวา่ งรแู้ จง้ เห็นจริง ไม่หลงรกั ใคร่ ในส่ิงปฏิกูล เกิดความเบ่ือหน่ายไม่ก�ำหนัดยินดี ดับราคะโทสะโมหะเสียได้ ผู้เจริญอสุภะได้ช่ือว่าดื่มซ่ึงรสคือพระนิพพานเป็นสุขอย่างย่ิง พระพุทธเจ้า ตรัสสรรเสริญผู้เจริญอสุภะกายคตาสติกัมมัฏฐานนี้ว่า เป็นผู้ได้บริโภครสคือ นิพพาน เหตุน้ีอสุภะจึงเป็นกัมมัฏฐานท่ีควรเจริญประการหน่ึง เพราะท�ำใจ ใหถ้ ึงความสงบจากกามฉันทนิวรณเ์ ปน็ ตน้ มรณัสสติ คือการระลึกถึงความตาย เป็นเครื่องก�ำจัดความประมาท มัวเมาในชีวิต คนที่ไม่นึกถึงความตายมักประมาทและมัวเมา เข้าใจว่าตนยัง ไม่ตายแล้วประพฤติชั่วเสียหายเสื่อมทราม ก่อความเดือดร้อนแก่ตนเองและ
63 คนอ่ืนหลายอย่างต่างวิธี เช่น ชิงดีชิงเด่น อยากเป็นอย่างนั้นอย่างน้ีไม่มีเวลา สร่างเซา เหมือนฝูงกาฝูงแร้ง ยอ้ื แย่งซากศพสุนขั เนา่ ทำ� ชีวิตใหเ้ ปล่าไร้ประโยชน์ แต่มีโทษท้ังนั้น คนที่ไม่หม่ันระลึกถึงความตาย เม่ือความตายมาถึงจะสะดุ้ง หวาดกลัววาบหวาม ไม่มีความดีท่ีควรอนุสรณ์ เดือดร้อนเพราะกรรมช่ัวที่ตัว ท�ำไว้ แม้ใคร ๆ แนะน�ำให้ภาวนาพระอรหัง ๆ ก็ยังเลือนไป ดังมีเรื่องเล่าว่า เศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนตระหนี่ มีทรัพย์หวงไว้ไม่ใช้บริโภคให้เป็นสุขส�ำราญ บญุ ทานการกุศลก็ไมข่ วนขวายสั่งสม ครนั้ ลม้ เจ็บหนักใกลจ้ ะตาย ญาติทัง้ หลาย ก็กระซบิ บอกทางสวรรค์ให้หมัน่ ภาวนาว่าพระอรหัง ๆ อยูใ่ นใจ เศรษฐแี ทนท่จี ะ ได้ยินว่าพระอรหัง ๆ กลับฟังเป็นว่าอะไรหาย ๆ ดังน้ี เป็นท่ีสังเวชใจ เพราะ มิได้มีการเตรียมตัวระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ความตายน้ีเป็นทุกข์ เป็น เร่ืองใหญ่ แต่คนสมัยใหม่กลับไปเห็นว่าเร่ืองกินเป็นเร่ืองใหญ่ เรื่องตายเป็น เร่ืองกลาง เร่ืองตะรางเป็นเรื่องเล็ก กลับกัน เพราะฉะนั้น การหม่ันระลึกถึง ความตายก็จะหายสะดุ้ง หายหลงรักหลงชังไม่เบียดเบียนกัน ไม่อิจฉาริษยากัน รบี สร้างคณุ ความดีทเ่ี รยี กว่าบญุ กุศล ละเวน้ ความชัว่ ที่เรียกว่าบาปอกศุ ล ถงึ คราว ตนจะตายก็ตายอย่างสงบสุข ไม่มีทุกขเวทนากระวนกระวาย นึกถึงความตาย สบายนัก มันหักรักหักหลงในสงสาร บรรเทามืดโมหันอันธการ ท�ำให้หาญหาย สะดุ้งไม่ยุ่งใจ พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญมรณัสสติ ว่ามีผลานิสงส์ยิ่งใหญ่ นับเข้าในพระนิพพาน เมื่อพิจารณาความตายแล้วได้ความสังเวชสลดใจ ให้ คิดถึงตัวเหมือนคนตาบอดตกจากยอดไม้สูงเมื่อพลัดแล้วก็ลิ่วต่�ำลงมาหาท่ีแตก ท่ตี าย ก็ไม่รตู้ ัวว่าจะกระทบกระทงั่ อนั ใด ก็แต่ความตายนั้นใกล้ตัวเข้ามาอย่เู สมอ เป็นนิตย์ฉันใด ตัวเราก็เหมือนกัน เกิดมาได้ช่ือว่าพลัดตกลงมาหาความแตก ความตายใกล้อยู่ แต่ไม่รู้ว่าตัวจะแตกตายท่ีไหนด้วยโรคอะไร และเมื่อไรก็ไม่รู้ แตร่ ้แู น่นอนวา่ จะตายอย่างเดียว เหมือนคนตาบอดตกจากยอดไมฉ้ ะน้นั อน่ึง พึงนึกถึงความตายเหมือนนักโทษท่ีเขาจะฆ่า ธรรมดานักโทษที่เขา จะฆา่ จะตายดว้ ยอาการ ๒ อยา่ ง เม่ือนายเพชฌฆาตจูงมือไป ถ้าขดั ขืนเขาก็ตดั ศีรษะเสียในที่น้ันทันใด ถ้าไม่ขัดขืนเดินตามเขาไป ก็ใกล้ความตายเข้าทุกก้าว
ครั้นถึงท่ีฆ่าเขาก็มัดเข้ากับหลักแน่นไหวกายไม่ได้แล้ว ก็ลงดาบตัดศีรษะฉันใด ตัวเราก็เหมือนกัน ความเกิดเป็นโทษผิดของเรา เราจะต้องตายแท้ด้วยอาการ ทั้งสองอันใดอันหนึ่ง บางทีก็เป็นโรคปัจจุบันด่วนตายเหมือนกับนักโทษขัดขืน ก็ตัดศีรษะเสียในที่นั้นทันใด บางทีก็เจ็บไข้ประกอบด้วยทุกขเวทนาใหญ่เจ็บ ไปทั่วสรรพางคก์ าย ยังอยู่แตใ่ จริก ๆ คอยทจ่ี ะแตกดับ เหมอื นกับนกั โทษท่เี ขา มัดเข้ากับหลักแน่น รอลมสิ้นวิญญาณดับ และเหมือนกับนักโทษท่ีเขาลงดาบ ตดั ศรี ษะฉะน้ัน การพิจารณาถึงความตายน้อมใจให้เห็น เช่นคนตาบอดตกจากยอดไม้ และเช่นนักโทษที่เขาประหารชีวิตดังกล่าวนั้นทุก ๆ วันมิให้ขาด ก็จะได้ความ สงั เวชใจ และไม่ประมาทมวั เมาอยใู่ นความชั่ว จักเป็นบญุ กุศลแกต่ ัวอยูท่ ุก ๆ วนั ถ้าความตายน้ันมาถึงก็จะไม่สะดุ้งกลัว การระลึกถึงความตายจึงเป็นเคร่ือง เตือนใจให้รีบท�ำกิจการหน้าที่ ให้เป็นสุจริตไม่ผิดพลาดและไม่ประมาทในชีวิต เหตนุ ้ี มรณสั สติจงึ เปน็ กัมมฏั ฐานควรเจรญิ ประการหนง่ึ เพราะท�ำใจใหส้ งบ วิปสั สนา ไดแ้ กป่ ญั ญาอนั รู้แจ้งเห็นจรงิ วา่ ขันธ์ ๕ คือ รปู เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา โดยนัยว่า รูปัง อนิจจัง รูป เป็นของทรุดโทรมไม่เที่ยง เกิดข้ึนแล้วแตกท�ำลายไป ดังฟองน้�ำก้อนใหญ่ต้ังข้ึน แล้วแตกท�ำลายไปเป็นน�้ำฉะนั้น เวทนา อนิจจา ความเสวยอารมณ์เป็นสุขเป็น ทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์ไม่เที่ยง เกิดแล้วแตกท�ำลายไป ดังต่อมน�้ำต้ังขึ้นใส ๆ แล้วแตกไปโดยเร็วพลัน สัญญา อนิจจา ความส�ำคัญจ�ำหมายไว้ ไม่เท่ียง ปรากฏข้ึนแล้วหายไปดังพยับแดด เข้าใกล้แล้วหายไปหมดไม่ปรากฏ สังขารา อนิจจา สังขารไม่เที่ยงเกิดข้ึนแล้วดับสูญไป ไม่มีแก่นสารอันใดดังต้นกล้วย วิญญาณัง อนิจจัง วิญญาณไม่เท่ียง เกิดข้ึนหลอกลวงสัตว์ให้ลุ่มหลงว่าเรา วา่ ของเรา ว่าตวั ตน แล้วดบั ไป ดงั มายาหลอกลวงใหล้ ุ่มหลงเหมือนเลน่ กล ดงั นี้ เป็นต้น ปัญญาท่ีรู้เห็นจริงแจ้งชัดอย่างน้ี แก่กล้าจนถึงนิพพิทา เบ่ือหน่ายใน สังขาร ไม่เพลดิ เพลินในสังขาร ไม่ก�ำหนดั ยนิ ดีในสงั ขาร และปลอ่ ยวางสงั ขารเสีย
น้ีแหละเป็นวิปัสสนา วิปัสสนาให้เกิดผลคือความเห็นจริงแจ่ม กระจ่างสว่าง ทัว่ ไป ในความทีอ่ ัตตภาพสงั ขารเปน็ ของไมเ่ ทีย่ ง เปน็ ทกุ ข์ เป็นอนัตตา ปรากฏ ดังดวงประทีปส่องสว่าง วิปัสสนาน้ีมีผลอานิสงส์ย่ิงใหญ่กว่าทานศีล พรหมวิหาร ภาวนาย่อมท�ำผู้ที่เจริญนั้นให้มีสติมั่นคงไม่หลงท�ำกาลกิริยา มีสุคติภพคือ มนุษย์และโลกสวรรค์ เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ถ้ามีอุปนิสสัยแก่กล้าก็สามารถ ท�ำใหผ้ ู้เจริญบรรลมุ รรคผลและนพิ พานไดใ้ นชาตนิ ้ี พุทธานุสสติ ๑ เมตตา ๑ อสุภะ ๑ มรณัสสติ ๑ เป็นสมถกัมมัฏฐาน ควรเจริญ และวิปสั สนากพ็ งึ บำ� เพ็ญดว้ ยประการฉะน้ี สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรง อาศัยพระกุศลสมบัติส่วนปุพเพกตปุญญตาเสด็จมาสู่โลกน้ี ทรงบ�ำเพ็ญ พระราชกรณียกิจอันเป็นหน้าท่ีมาด้วยดี แม้เสด็จสวรรคตไปก็มีอาการคล้ายกับ ยังทรงพระชนม์อยู่ ด้วยอ�ำนาจพระคุณสมบัติน้ัน ๆ เชิดชูพระเกียรติคุณไม่ สูญหาย ไดใ้ นพระบาลวี า่ รูปํ ชีรติ มจจฺ านํ นามโคตฺตํ น ชีรติ รปู กายของสัตว์ ทง้ั หลายย่อมยอ่ ยยบั ไป ส่วนชื่อและโคตรหายอ่ ยยบั ไปดว้ ยไม่ ราชสกุลมหิดล มีสมเด็จบรมพิตรพระราชสมภารเจ้าทรงเป็นประธาน ทรงบ�ำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายฉลองพระเดชพระคุณ ในสมเด็จพระศรี สวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ด้วยอ�ำนาจพระกตัญญูกตเวที ขอพระกุศลบุญญราศีทักษิณานุปทานน้ี จงเป็นผลส�ำเร็จแด่พระองค์ท่านตาม สมควรแกค่ ตวิ ิสยั ในสมั ปรายภพทกุ ประการ ในอวสานแหง่ พระธรรมเทศนา พระครูฐานานกุ รมและพระเปรียญทัง้ ๔ จะรับพระราชทานสวดคาถาธรรมบรรยาย โดยสรภัญญวิธี ฉลองพระเดช พระคณุ เพ่ิมพนู อัปปมาทธรรม ณ กาลบดั น้ี เอวงั กม็ ดี ้วยประการฉะน้ี ขอถวายพระพร
66
67 บนั ทึกการบรรยายธรรม อบรมข้าราชการและพนักงาน ส�ำนักงานเลขาธิการสภาผ้แู ทนราษฎร ในวันทรี่ ะลึกคลา้ ยวนั สถาปนา ส�ำนกั งานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันท่ี ๒๘ มิถุนายน ๒๔๙๖ อันเป็นวันคล้ายวันสถาปนาส�ำนักงาน เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ส�ำนักงานฯ ได้จัดให้มีการบ�ำเพ็ญกุศลตามประเพณี และจัดให้มีการอบรมข้าราชการและพนักงาน โดยอาราธนาพระศรีวิสุทธิวงศ์ วัดบวรมงคล เป็นองค์บรรยาย เม่ือข้าราชการประชุมพร้อมกันแล้ว โดยมี เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธาน องค์ผู้ให้การอบรมได้ให้ข้าราชการ สมาทานศีล ๕ และช้ีแจงคุณของศีลและโทษของผู้ไม่มีศีล ให้ฟังโดยแจ่มแจ้ง แล้ว องค์บรรยายได้ยกพระพุทธภาษิตว่า ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ มีส�ำเนา ความโดยย่อว่า การฟังธรรมนั้นมีประโยชน์มาก ผู้ฟังธรรมจะได้มีโอกาสช�ำระล้างใจให้ ใสสะอาด ใจของคน ถา้ จะเปรียบแล้วกไ็ มต่ า่ งอะไรกบั หน้า หน้าของคน ตน่ื เช้า ถ้าไม่ได้ล้าง หน้าก็เศร้าหมองไม่มีสง่าราศี หรือเหมือนบ้านเรือนท่ีอยู่อาศัย ถ้า ปล่อยทิ้งไว้หลายวัน ไม่ปัดกวาดเช็ดถู ก็สกปรกรุงรังไม่น่าอยู่ เต็มไปด้วย ฝ่นุ ละออง แตถ่ ้าต่ืนเช้า เราหมัน่ ลา้ งหน้า ๆ ก็สะอาด มีน้ำ� มีนวล หรอื หม่ันเชด็ ถู ปัดกวาด บ้านเรือนก็สะอาด น่าอยู่ฉันใด ใจของคนก็เช่นเดียวกัน ย่อม เศร้าหมองขุ่นมัวเต็มไปด้วยกิเลสความช่ัว ความโลภ ความโกรธ ความหลง
68 ความริษยาพยาบาทอาฆาต ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ก็ย่ิงท�ำใจให้เศร้าหมองมากย่ิงขึ้น จึงจ�ำต้องช�ำระใจให้ใสสะอาด ผู้ซักฟอกเส้ือผ้า จ�ำต้องอาศัยน�้ำและสบู่ฉันใด ผู้ช�ำระจิตใจให้ใสสะอาด ก็จ�ำต้องอาศัยน�้ำคือธรรมะค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ฉันนนั้ อน่ึง ผู้ฟังธรรมย่อมได้ประโยชน์ท่ีส�ำคัญย่ิง คือฟังแล้ว จะได้ระงับ ความร้อนใจของตน ปรกติคนเรามีความร้อนใจอยู่คนละหลายอย่าง บางคน ก็ร้อนด้วยเร่ืองความรัก บางคนก็ร้อนด้วยเร่ืองความโกรธ ความหลง บางคน ก็ร้อนเงิน ร้อนทอง ร้อนดอกเบี้ย บางคนก็ร้อนด้วยเรื่องผัวไปมีเมียใหม่ ความร้อนใจน้ันร้อนร้ายแรงย่ิงกว่าร้อนภายนอก ร้อนภายนอก เช่น อากาศท่ี อบอ้าว หรือร้อนแดดที่แผดเผา ยังมีร่มเงาพฤกษาหรือชายคาบ้านเรือนพอได้ หลบเข้าอาศัย ส่วนร้อนใจนี่ เกิดมีแล้วจะไปท่ีไหนก็ไม่หายร้อน เช่น บางคน ไปตากอากาศที่หัวหินบางแสนบางปู หรือจะไปแช่น�้ำท่ีห้วยแก้ว ดอยสุเทพ เชียงใหม่ หรือจะไปน�้ำตกตาดสาลิกา นครนายก หรือจะไปน้�ำตกกระช่อง จังหวัดตรัง ก็ยังไม่หายร้อนใจ บางทีไปแล้วกลับมาย่ิงร้อนหนักข้ึนกว่าเก่าก็มี คนเป็นไข้ความร้อนขึ้นสูง ถ้าไม่กินยาลดความร้อน อาจเพ้อคลั่งเสียสติ หรือ อาจถึงความตายได้ฉันใด คนท่ีมีความร้อนใจ ถ้าไม่น�ำธรรมะเข้ามาปฏิบัติลด ความร้อนใจบ้างแล้ว อาจเร่าร้อนกระวนกระวาย หรือเสียคนได้ฉันนั้น ฉะนั้น จึงต้องมีธรรมะเข้าไประงับความร้อนใจ การฟังธรรมจึงช่วยให้ผู้ฟังได้ระงับดับ ความรอ้ นลงได้ การฟงั นน้ั ท่านวา่ มี ๕ อยา่ ง คอื ๑. ฟังกบ ๒. ฟงั กลบั ๓. ฟังเกลีย้ ง ๔. ฟังเก็บ ๕ ฟังเกิด ฟังกบนั้น เช่นเวลาฟังธรรมตามวัดหรือที่ประชุมใด ๆ ก็ตาม เม่ือแรกฟัง ก็นั่งตัวตรง คร้ันฟังไป ๆ ก็ค่อยก้มลงไป ๆ จนหน้าผาก จดพ้ืน แล้วก็หลบั ผล็อย ลอ่ งลอยไปตามกระแสพระธรรมเทศนา พอพระเทศน์ จบ ก็ร้องว่าสาธุ แต่แล้วก็จ�ำอะไรไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าฟังกบ ฟังกลับนั้น เช่น เวลาฟัง ก็มาน่ังพร้อมกันแต่เพียงกาย ส่วนใจนั้น กลับไปแล้ว คือกลับไป
69 บา้ นบา้ ง ไปหาคนที่รักบา้ ง ไปสโมสรหรอื รา้ นสุราบ้าง ฟังอย่างน้ีเรียกว่า ฟังกลับ ฟังแล้วก็จ�ำไม่ได้ ฟังเกล้ียงน้ัน คือเวลาฟังเข้าทางหูซ้าย แล้วทะลุออกหูขวา เข้าทางหขู วาทะลอุ อกหูซ้าย ฟังเทา่ ไร ๆ ก็จ�ำไมไ่ ด้ เหมือนเทน้�ำลงในตุ่มหรอื ไห ที่แตก เทลงไปเท่าไร ๆ ก็รั่วไหลออกหมด ฟังเก็บนั้น คือฟังแล้วก็เก็บไปคิด เก็บไปนึก เก็บไปตรึกตรอง เช่น วันน้ีมาฟัง ได้ยินพระว่า ในสุรานั้น ถ้าด่ืม เข้าไปมากเกินขนาด ก็จะปรากฏเลือดของสัตว์ออกมา ๕ ชนิด คือ เลือดนก เลือดสุนัข เลือดเสือ เลือดงู เลือดหมู อยู่ในสุรานั้น แล้วเก็บเอาไปฝากบุตร หลานมารดาบิดา อย่างนี้เรียกว่าฟังเก็บ ฟังเกิดน้ัน คือ ฟังแล้วเกิดสติปัญญา ความรู้เฉลียวฉลาด ละเว้นสิ่งท่ีชั่วเสียหายเสื่อมทราม กระท�ำแต่สิ่งที่ดีท�ำให้มี ความสขุ ความเจรญิ ฟงั กบ ฟงั กลับ ฟังเกล้ียง ๓ นี้ ไม่ดี ไม่ได้ประโยชน์คมุ้ ค่า กับเวลาทเ่ี สียไป ส่วนฟังเก็บและฟงั เกดิ นัน้ ดี มีคุณประโยชนย์ ่ิงนัก ธรรมะของพระพุทธเจ้า จ�ำเป็นและมีประโยชน์แก่คนทุกชั้นทุกเพศวัย จ�ำเดิมแต่เกิดจนถึงวันตาย เช่นเราเกิดมาได้รับความทะนุถนอม อาศัยธรรมะ คือเมตตากรุณาจากมารดาบิดา เม่ือเป็นนักเรียนก็ต้องมีธรรมะ คือวิริยะความ ขยันหม่ันเพียร ต้ังหน้าศึกษาเล่าเรียน เชื่อฟังเคารพครูบาอาจารย์ผู้ส่ังสอน โตขึ้นมีครอบครัว ก็ต้องมีธรรมะคือความซ่ือสัตย์สุจริตต่อภริยา ไม่คิดนอกใจ ไม่มีภริยาลับ ภริยาเก็บ ภริยาซุกซ่อนและในท�ำนองเดียวกัน ภริยาก็ต้อง ซื่อสัตย์สุจริตต่อสามี ไม่คิดนอกใจสามี ถ้าสามีภริยาต่างมีธรรมะคือความ ซื่อสัตย์สุจริตต่อกันเช่นนี้ ครอบครัวก็มีความสุขร่มเย็น ไม่เดือดร้อน ผ้ปู ระกอบอาชีพ เชน่ เป็นข้าราชการ ก็ตอ้ งมธี รรมะ คือวริ ิยะ ความขยนั หมัน่ เพยี ร ต้ังใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซ่ือสัตย์สุจริต เคารพเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา ตรงต่อ เวลา เป็นเหตุน�ำความเจริญมาให้ มิใช่มาอย่างไทย ไปอย่างฝรั่ง การท�ำเช่นนั้น ทำ� ลายความเจริญของตนเอง และท�ำลายความเจริญของหมู่คณะและประเทศชาติ ด้วย และต้องมีธรรมะคือความสามัคคี พร้อมเพรียงช่วยกัน ใครมีหน้าที่ อย่างใด ก็ปฏิบัติหน้าท่ีตามน้ัน ความสามัคคีพร้อมเพรียงกันเป็นทางน�ำ
70 ประเทศชาติของเราไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ธรรมะของพระพุทธเจ้าจ�ำเป็นและ มคี ณุ ประโยชนใ์ นท่ีทุกสถาน ในกาลทุกเมือ่ เมื่อมีธรรมะสนับสนุนแล้ว กิจการท่ีท�ำก็ส�ำเร็จเรียบร้อยราบร่ืนสมความ ปรารถนา เหมือนบรรดาพฤกษชาติน้อยใหญ่ได้ฝนโชย ก็เขียวชอุ่มชุ่มชื่น งอกงามผลิดอกออกผล กิจการที่ท�ำทุกอย่าง ถ้าขาดธรรมะก�ำกับสนับสนุนแล้ว จะมีแต่ความเส่ือมโทรมไม่รุ่งเรือง เหมือนพฤกษชาติที่ขาดฝนโชย ก็มีแต่จะ รว่ งโรยเหย่ี วเฉาตายไปโดยลำ� ดบั ผู้ปฏิบัติตามธรรมะ ธรรมะก็คุ้มครองผู้น้ันให้มีความสุขความเจริญ ไม่ตกไปในที่ชั่ว เหมือนร่มคันใหญ่ ผู้ใดมีไว้และกางกั้น ในเม่ือฝนตกและ แดดออก ร่มนั้นก็จะคุ้มกันมิให้เปียกฝนและถูกแดดแผดเผาฉะนั้น ธรรมะ นอกจากจะช่วยคุม้ ครองผู้ปฏบิ ัติตามแล้ว ยังเป็นยาสำ� หรับบ�ำบดั โรคใจได้อย่าง ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเรามโี รคประจ�ำอยู่ ๒ อย่าง คือ โรคกายอยา่ งหน่ึง โรคใจอยา่ งหนงึ่ โรคกาย ได้แก่ไมส่ บายกายเพราะเจ็บไข้ เป็นหวดั ไอ หรือเป็น โรคเรอ้ื รงั เปน็ ต้น โรคใจ ได้แก่ความเรา่ ร้อนกระวนกระวาย เพราะถูกกเิ ลส คอื ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความริษยา พยาบาท อาฆาตเขา้ ครอบง�ำยำ่� ยี ความโลภนั้น มีลักษณะท�ำให้ใจทะเยอทะยานเห่อเหิม อยากได้ในทางท่ี ผิดศีลธรรม เป็นเหตุเบียดเบียนตนและคนอ่ืนให้เดือดร้อน คนท่ีตกอยู่ใน อ�ำนาจของความโลภ ถ้าเป็นข้าราชการก็ทุจริตต่อหน้าท่ีฉ้อราษฎร์บังหลวง ใน ครอบครัว ถ้าสามีภริยาตกอยู่ในอ�ำนาจของความโลภแล้ว ก็จะท�ำให้ครอบครัว นั้นเดือดร้อน เช่น สามีท่ีตกอยู่ในอ�ำนาจของความโลภ มีภริยาแล้ว ไม่รู้จักพอ มีหนึง่ อยากได้สอง มสี ามอยากไดส้ ี่ อยา่ งท่เี รยี กวา่ เหน็ หนา้ ไม่วา่ ใคร นกึ สงสัย อยากส่สู ม สมัครสมานไมน่ านนม แลว้ เลิกล้มหาต่อไป หรอื ภริยากเ็ ชน่ เดียวกนั มีสามีแล้ว ไม่รู้จักพอ แอบไปมีสามีน้อย สามีซ่อนอย่างนี้แล้ว ความ กินแหนงแคลงใจวุ่นวายโกลาหลก็เกิดข้ึน เป็นเหตุให้ทะเลาะวิวาทบาดหมาง
71 หรือหย่าร้างเลิกกัน เดือดร้อนถึงลูกหลาน พระพุทธเจ้า ทรงประทานธรรมะ ส�ำหรบั บำ� บดั โรคคอื ความโลภไว้ขนานหนงึ่ คอื ความสนั โดษ ยนิ ดีด้วยของ ๆ ตน ตามมตี ามได้ ไม่ทะเยอทะยานอยากไดใ้ นทางที่ผดิ ร้จู ักความพอดมี ีขอบเขต ความโกรธ คอื ความทใ่ี จคอวปิ รติ หงดุ หงดิ ฉิวฉุนขุน่ เคอื ง เพราะประสบ เรอื่ งที่ขนื่ ขมหรืออารมณ์ท่ีไม่ชอบใจตน เชน่ ถูกคนนินทาดา่ ว่าเปน็ ตน้ ความโกรธ เม่ือเกิดขึ้นแล้ว ก็ท�ำให้ร้อนตนเอง และร้อนตลอดถึงผู้อื่นด้วย เช่นผู้ใหญ่ บางท่าน อยู่บ้านโกรธภริยา แต่ท�ำอะไรภริยาไม่ได้ เพราะภริยาท่านเป็น ภริยาธิปไตยแล้วเก็บเอาความโกรธน้ันมาท่ี ๆ ท�ำงาน ผู้น้อยท�ำไม่ถูกใจนิดเดียว ก็ฉุนเฉียวหรือลงโทษเกินกว่าเหตุ น่ีแหละโกรธมาจากบ้าน มาท�ำการอาละวาด แก่ผู้น้อยซึ่งไม่รู้เร่ืองด้วยเลย ความโกรธเปรียบเหมือนน้�ำร้อน น้�ำร้อนเดือด ๆ เอาไปรดตนเองก็ร้อน เอาไปรดผู้อื่น ๆ ก็ร้อน เอาไปรดต้นไม้ ๆ ก็เหี่ยวเฉา ตายไป ความโกรธท�ำให้คนเสียทั้งในชาติน้ี เสียท้ังในชาติหน้า ความโกรธท�ำให้ คนเสยี ในชาตินนี้ น้ั คอื เสยี หนา้ เสียตา เสียปาก เสียมือ เสียเท้า เสียขา้ ว เสยี ของ เสียน้อง เสียพี่ เสียสามีภริยา หน้าของคนปรกติก็ย้ิมแย้มแจ่มใส มีน้�ำมีนวล พอโกรธขนึ้ มา ก็เปน็ หน้าเสีย หนา้ บึ้งหน้าเบ้ยี วหน้าบูด หนา้ ไม่รบั แขก หน้ายักษ์ หน้ามาร ตาของคน เวลายังไม่โกรธ ก็เป็นตาหวาน ตามีเสน่ห์ พอโกรธข้ึนมา ก็เป็นตาเสีย ตาขุ่น ตาเขียว ตาเปร้ียว ตาขม แม้บางคราวจะมีเคร่ืองมือ วิทยาศาสตร์ เช่นหยอดมิวรีน เพ่ือให้ตาหวาน โกรธจัด ๆ หยอดเข้าไปเท่าไร ตาก็ไม่หวาน ปากของคนเวลายังไม่โกรธ ก็พูดจาไพเราะเสนาะโสตน่าฟัง แต่พอโกรธขึ้นมา ปากก็เสีย เป็นปากหยาบปากคาย ด่าว่าเหน็บแนมแหลมใน ขุดโคตรขุดเง่าของเขามาด่าว่าประจานหมด มือเท้าของคนเวลายังไม่โกรธก็ เรียบรอ้ ยเปน็ ปรกติดี พอโกรธขึน้ มา มอื กเ็ สีย ใชม้ ือนั้นไปประหตั ประหารทบุ ตี ตอ้ งเข้าคกุ เข้าตะรางมตี วั อย่างปรากฏอยบู่ อ่ ย ๆ พระพทุ ธเจา้ ทรงประทานธรรมะ ส�ำหรับบ�ำบัดโรค คือ ความโกรธไว้ขนานหน่ึง คือ เมตตา ความปรารถนาดี หวังดี มองกันไปในแง่ดี ไม่มองคนอ่ืนไปในแง่ร้าย ผู้ที่มีธรรมะคือเมตตา ประจ�ำใจ ย่อมมองคนอ่ืนไปในแง่ดีและให้อภัยกัน เม่ือมีธรรมะคือเมตตาแล้ว
72 ย่อมไมโ่ กรธ ความโกรธท่ีจักเกิดขึ้นก็ไมเ่ กิด ที่เกิดแลว้ ก็จักดับไป ความเมตตา ช่วยดับความโกรธให้หายดุจสายน้�ำฝนอันเย็นฉ่�ำ ตกกระหน�่ำลงมาระงับดับ ความร้อนกระวนกระวายฉะนั้น เมื่อมีธรรมะ คือเมตตาแล้ว โรคความโกรธ ก็หาย ทำ� ให้มีความสงบสุข ไม่คิดเบียดเบียนกนั ความหลง เป็นโรคชนิดหนึ่ง ซ่ึงท�ำให้มืดมิด ไม่เห็นผิดชอบชั่วดี เห็นผิดเป็นชอบ เช่นทุกคนอยากมีความสุขร�่ำรวยเร็ว แทนที่จะประกอบอาชีพ โดยสจุ รติ กลบั ไปลักขโมยเขา ถูกเขาจับได้กต็ อ้ งตกนรกทงั้ เปน็ คอื เขา้ คุกตะราง ผู้ที่ถูกจับเข้าคุกเพราะการลักขโมยน้ัน ความจริงเขาอยากร่�ำรวยเขาจึงลักขโมย เห็นการลักขโมยเป็นของดี จึงต้องเข้าคุกตะราง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมีความหลง เข้ามาปิดบังใจไม่ให้เห็นโทษของการลักขโมย หรือบางคนอยากรวย เห็นว่า ท�ำมาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริตรวยไม่ทันใจ จึงหันเข้าไปเล่นการพนัน เล่นไปใน เบ้ืองต้นอาจจะได้บ้าง เม่ือเล่นได้ก็เห่อเหิมอยากได้มากยิ่งข้ึน เม่ือเล่นการพนัน บอ่ ย ๆ เขา้ ในที่สุดกเ็ สยี หมดเนอ้ื หมดตวั อยา่ งบางคนไปสนามมา้ เล่นมา้ บอ่ ย ๆ ถูกม้าดีด ถึงกับบ้านช่องต้องจ�ำนองจองจ�ำหมดเนื้อหมดตัว มีตัวอย่างปรากฏ อยบู่ อ่ ย ๆ การท่ตี อ้ งหันเขา้ ไปหาการพนัน เอาการพนันเป็นสรณะท่ีพึ่งแลว้ ตอ้ ง ยากจนสิ้นเน้ือประดาตัวน้ัน มิใช่ว่าเขาอยากยากจน ความจริงเขาอยากร�่ำรวย แต่ที่หันเข้าไปหาการพนันนั้น ก็เพราะมีความหลงเข้าครอบง�ำ หรือบางคนมี ความกลุ้มใจเพราะผิดหวังในชีวิต บางทีก็หันเข้าไปด่ืมสุราเพ่ือแก้กลุ้ม ด่ืมสุรา เขา้ ไป เม่ือเมาแลว้ กไ็ มร่ สู้ ึก จงึ ท�ำใหล้ ืมกลุ้ม แต่มิใชห่ ายกลุม้ ครั้นหายเมาแลว้ กก็ ลุ้มตอ่ ไป ยิง่ ดม่ื เข้าไปมากยิ่งกลมุ้ มาก ไหนจะกลุ้มด้วยเรอ่ื งเก่า ไหนจะกลมุ้ เพราะค่าสุราซึ่งเพ่ิมข้ึนอยู่เรื่อย ๆ ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะเขามีความหลงเข้า ครอบง�ำใจ ท�ำให้เห็นผิดเป็นชอบ ความหลงจึงเปรียบเหมือนแว่นสีเขียว โดย ปรกติมา้ ย่อมชอบหญ้าสดหญา้ เขียว ไมช่ อบหญ้าแห้ง ฟางแหง้ บางครงั้ หญ้าสด หญ้าเขียวหาได้ยาก เจ้าของก็เอาแว่นสีเขียวสวมใส่ให้ม้า เม่ือม้าใส่แว่นสีเขียว แล้ว เห็นอะไรก็เขียวหมด เจ้าของเขาก็เอาหญ้าแห้งฟางแห้งให้กิน ม้าก็เคี้ยวกิน อย่างเอร็ดอร่อย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะม้าถูกสวมใส่แว่นสีเขียว ข้อน้ีฉันใด
73 คนทุกคนต้องการความสุขด้วยกันทั้งน้ัน แต่ท่ีต้องประพฤติผิดพลาดไปในทาง ไม่ดีน้ัน ก็เพราะว่าถูกแว่นสีเขียวคือความหลงเข้าครอบง�ำ จึงท�ำให้ประพฤติ บกพร่องเสียหายเกิดทุกข์โทษภัยเดือดร้อนแก่ตนและคนอ่ืน ความหลงจึงเป็น โรคที่ทรมานจิตใจให้เสื่อมเสีย พระพุทธเจ้าได้ประทานธรรมะส�ำหรับบ�ำบัดโรค คือความหลงไว้ขนานหนึ่ง คือปัญญา ขนานนี้วิเศษมาก เม่ือมีปัญญาแล้ว ย่อมมองเห็นสิ่งทั้งหลายได้ตามความเป็นจริง เช่น เห็นว่าการพนันเป็นเหตุ ให้เสียเวลา เสียทรัพย์ถึงหมดเน้ือหมดตัว หรือเห็นว่าการด่ืมสุราเป็นเหตุ ให้เสียเงินเสียทอง เป็นเหตุให้ก่อการทะเลาะวิวาทเส่ือมเสียเกียรติยศชื่อเสียง เมื่อมีปัญญาแล้ว ความหลงต่าง ๆ นั้น ก็สูญหมดไป เหมือนความมืด เมื่อมี แสงสวา่ งแล้ว ความมดื ก็หมดสิน้ ไป และยังมีโรคอีกชนิดหน่ึง ซ่ึงระบาดอยู่ในเวลาน้ีคือโรคทรัพย์จาง หา ทรัพย์ได้ไม่พอใช้จ่าย คนเป็นโรคโลหิตจาง ร่างกายก็ผ่ายผอมไม่แข็งแรง ไม่มี ความสขุ ฉันใด คนเป็นโรคทรัพยจ์ าง ชวี ติ กอ็ บั เฉาไม่มีความสขุ ฉันนั้น โรคทรัพย์จาง เกิดแต่เหตุ ๒ ประการ คือ เกิดแต่เหตุภายนอก เช่น ข้าวของมีราคาแพงอย่างหนึ่ง เกิดแต่เหตุภายใน คือท�ำตนให้ทรัพย์จางเอง เช่น ใช้ทรัพย์ไปในทางท่ีไม่สมควร สุรุ่ยสุร่าย เช่น เล่นการพนันหรือดื่มสุราเป็นต้น คนเป็นโรคโลหิตจาง ต้องใช้วิตามิน เอ บี ซี ดี ส�ำหรับกินและฉีดจึง แก้ได้ ส่วนผู้ท่ีเป็นโรคทรัพย์จางนั้น ต้องใช้วิตามินคือธรรมะของพระพุทธเจ้า บ�ำบัดแก้ ซึ่งมี ๕ อยา่ ง คอื ๑. ให้ถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียรในการประกอบอาชีพหน้าท่ี กรณียกิจ ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากล�ำบาก เพื่อให้ได้ทรัพย์มาเล้ียงชีวิต ที่ เรียกว่า อุฏฐานสัมปทา เม่ือมีเวลาว่างก็ใช้เวลาว่างนั้นให้เป็นประโยชน์ ไม่ปล่อย ให้ล่วงเลยไปโดยไร้ประโยชน์ เช่น เย็บปักถักร้อย แต่งหนังสือหรือท�ำสวนครัว เป็นตน้ เปน็ การเพ่มิ รายได้และตดั รายจา่ ยท่ีไม่จ�ำเป็นใหล้ ดนอ้ ยลง
๒. ให้ถึงพร้อมด้วยการรักษาทรัพย์ท่ีหามาได้น้ันมิให้อันตรธานด้วย อัคคีภัยและโจรภัย เป็นต้น ท่ีเรียกว่า อารักขสัมปทา คนโดยมากเข้าใจว่า ตนเองรักษาทรัพย์สมบัติได้ปลอดภัย เช่นเก็บใส่หีบเซฟไว้ในบ้านเรือนเป็นต้น การเก็บรักษาทรัพย์ไว้ท่ีบ้านนั้น แม้จะมีการรักษาแข็งแรง บางครั้งก็ไม่ ปลอดภัย อาจถูกโจรผู้ร้ายแย่งชิงไป หรือมิฉะนั้น ถ้าไฟไหม้บ้าน ทรัพย์น้ันก็ อันตรธานสูญไป ในคร้ังโบราณนิยมฝังทรัพย์ไว้ในดิน การฝังไว้ก็ไม่เป็นผลดี ถ้าหลงลืมจ�ำไม่ได้ก็สูญหายเปล่า พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เก็บรักษาไว้ใน ท่ี ๆ ปลอดภัย ท่ี ๆ ปลอดภัยน้ันไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยเท่าธนาคารออมสิน เพราะไฟก็ไม่ไหม้ โจรผู้ร้ายก็แย่งชิงไปไม่ได้ เม่ือฝากก็ได้ดอกเป็นผล ต้นก็ไม่ สญู เสีย เพราะรฐั บาลเป็นประกัน ๓. ให้มีเพื่อนเป็นคนดี ที่เรียกว่า กัลยาณมิตตตา มีเพ่ือนฝูง เมื่อมีธุระ ก็จะได้ช่วยกันท�ำ เจ็บไข้ได้ป่วย ก็จะได้ช่วยกันรักษา จึงต้องมีเพื่อน เพ่ือนน้ัน ดกี ็มี เลวกม็ ี คบคนดีเป็นศรีแกต่ ัว ทำ� ให้มคี วามสุขความเจริญ คบคนช่วั ก็จะ กลายเป็นคนชั่วตามที่คบน้ัน เช่น คนท่ีไม่เคยดื่มสุราเลย แต่ไปคบกับคน ดื่มสุรา เขาก็จะชวนให้ด่ืมสุรา ถ้าไม่ด่ืมก็เป็นการขัดใจกัน จึงจ�ำต้องด่ืมเพ่ือ รักษาน้�ำใจ เม่ือดื่มบ่อย ๆ ในท่ีสุด ก็กลายเป็นคนดื่มสุราจนไม่รู้ตัว หรือเช่น คนท่ีไม่เคยเล่นการพนัน ถ้าไปคบกับนักเลงเล่นการพนัน เล่นไพ่ ขาเขาขาด ไปหน่ึง จึงขอร้องให้เราเล่น เพ่ือจะได้เต็มขา ถ้าไม่เล่นก็ขัดใจกัน ครั้นเล่น บ่อย ๆ ก็เคยชินติดนิสัย กลายเป็นนักเลงเล่นการพนันไป เพราะฉะน้ัน จึง จำ� ต้องเลอื กคบคนดี ๔. ให้รู้จักใช้จ่ายทรัพย์ท่ีหามาได้น้ันให้เป็นไปแต่พอดี มิให้ฝืดเคืองนัก มใิ ห้ฟมู ฟายนกั ที่เรยี กวา่ สมชวี ติ า ทรพั ยท์ ี่หามาไดน้ ัน้ จะเก็บไวเ้ ฉย ๆ ไม่ใช้ก็ ไร้ประโยชน์ จงึ จ�ำเปน็ ตอ้ งใช้ใหเ้ ป็นประโยชน์ เช่น บำ� รุงเลี้ยงตนให้มคี วามสขุ บา้ ง เลี้ยงครอบครัวบ้าง บำ� รุงมารดาบิดาผู้มีอุปการคุณบ้าง ท�ำบุญในพระศาสนาบ้าง ไม่ควรใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เช่น เครื่องแต่งตัวเสื้อผ้าท่ีซ้ือหามาเราก็ต้องใช้ให้คุ้มค่า ไม่ควรใช้สุรุ่ยสุร่าย บางคนตัดเส้ือผ้าไว้หลายชุดดีแล้ว พอแคตตาล็อก
ตกมาใหม่ ก็ไปตัดเสื้อใหม่ ซื้อใหม่ ใช้ไปไม่ได้นานเท่าไรมีตกเข้ามาใหม่ ก็ไป ซ้ือมาอีก อย่างนี้ จะท�ำให้ส้ินเปลืองทรัพย์โดยไม่จ�ำเป็น บางคนเห็นเขาท�ำ กท็ �ำตามอย่างกนั บ้าง เชน่ เหน็ ผ้อู นื่ ใสก่ างเกงทรงทรมานหรือทรงจิง้ เหลน หรอื ใส่เสื้อทรงออเซาะ ก็ไม่ใช่ของแปลกหรือวิเศษอะไรก็ซ้ือใส่ตาม ๆ กัน โดย ไม่จ�ำเป็น อย่างน้ีก็เป็นการฟ่มุ เฟอื ย ทำ� ให้เป็นโรคทรพั ย์จาง ฉะน้ัน จงึ ตอ้ งร้จู ัก ประมาณใช้จ่ายให้พอเหมาะพอดี จะได้ไมเ่ ดอื ดร้อน วิตามินคือธรรมะของพระพุทธเจ้า ๔ ข้อนี้ เป็นยาวิเศษที่จะบ�ำบัด โรคทรัพย์จางให้หายได้อย่างปลิดทิ้ง ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นยาท่ีสามารถ บ�ำบัดโรคใจและโรคทรัพย์จางได้อย่างศักด์ิสิทธิ์ แต่จะมีคุณหรือบ�ำบัดได้ ก็เฉพาะผู้ประพฤติปฏิบัติตามเท่านั้น ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตามแล้ว ย่อมไร้ ความหมาย ไม่สามารถท่ีจะไปบ�ำบัดโรคใจหรือโรคทรัพย์จางของผู้ใดได้ เหมือนยาท่ีเก็บใส่กุญแจไว้ในตู้ เม่ือเจ็บไข้ไม่ไขกุญแจเอาออกมารับประทาน ความเจ็บไข้ก็ยังมีอยู่ตลอดไป และเป็นเหตุทนทุกข์ทรมานยิ่งข้ึน แล้วจะบ่นว่า ยาไม่มีประโยชน์หาได้ไม่ ไม่ใช่ความผิดของยา แต่เป็นความผิดของผู้เป็น โรคเจ็บไข้ แลว้ ไม่หยิบยามากินต่างหาก ในที่สุดการอบรม องค์บรรยายได้ให้พร ด้วยอ้างคุณพระรัตนตรัย ขอให้บรรดาขา้ ราชการและพนักงาน สำ� นักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จงมี ความสุขความเจริญ แคล้วคลาดปราศจากทุกข์โศกโรคภัย ปราศจากโรคกาย โรคใจและโรคทรพั ย์จาง บรบิ รู ณด์ ว้ ยจตุรพิธพร คอื มีอายุ วรรณะ สขุ ะ พละ ปฏิภาณคุณสารสมบัติ แม้ประสงค์จ�ำนงหมายในสิ่งท่ีชอบประกอบด้วยธรรม ขอให้ส�ำเร็จสมประสงค์ทุกประการ ขอให้ส�ำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จงสถิตสถาพร เป็นท่ีอ�ำนวยความเจริญรุ่งเรืองแก่ประเทศชาติสืบไปตลอด กาลนาน
76
77 พระพุทธเจา้ ทรงมพี ระชนมายุ ๘๐ พรรษา ด้วยมีผู้เขียนแสดงความเห็นว่า พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี อันเป็นการขัดแย้งกับความเชื่อของผู้ท่ีเคยเช่ือว่า พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุ ๘๐ ปี มาแต่ด้ังเดิม ด้วยอ้างคัมภีร์ที่มาหลายแห่งตามที่ได้พบมา และน�ำลงใน หนังสอื พมิ พ์ตำ� รวจ เล่มที่ ๔ ปีท่ี ๒๖ วนั ที่ ๑๕ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๐๐ ทง้ั เชิญชวน ให้ผู้รู้ค้นคว้าหาหลักฐานมาวิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง เพื่อเป็นประโยชน์แก่ นักศึกษาและเพ่ิมศรัทธาของผู้นับถือพระพุทธเจ้า อาตมาก็มีความยินดี และ มีความเห็นว่าพระชนมายุของพระพุทธเจ้านั้น ๘๐ พรรษาแน่นอน ตามที่เคย ทราบกันอยู่แล้ว จึงไดค้ ้นควา้ หาหลกั ฐานมาประกอบในการเขียนเรอื่ งน้ี ก่อนอื่น ท่านผู้อ่านโปรดทราบไว้ก่อนว่า พระประวัติของพระพุทธเจ้าน้ัน ไม่ปรากฏในบาลี ซึ่งข้ึนสู่สังคีติ จนตลอดเรื่องสักแห่งเดียว มีในพระไตรปิฎก หลายแห่ง หลายเล่ม กระจัดกระจาย เพียงเปน็ ท่อน ๆ เชน่ ก. เรอื่ งประสูติ มาในมหาปทานสูตร แหง่ ทีฆนกิ าย มหาวรรค พระไตรปิฎก เลม่ ๑๐ หน้า ๑ ข. เรอ่ื งครัง้ ยงั ทรงพระเยาว์ มาในติกนบิ าต องั คตุ ตรนิกาย พระไตรปิฎก เลม่ ๒๐ หน้า ๑๘๓
78 ค. เร่ืองตั้งแต่ปรารภเหตุท่ีเสด็จออกบรรพชา จนภิกษุปัญจวัคคีย์ส�ำเร็จ อรหัตตผล มาในปาสราสิสูตร แห่งมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ พระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ หนา้ ๓๑๒ ฆ. เรื่องเสด็จออกบรรพชา แล้วบ�ำเพ็ญทุกกรกิริยา จนได้ตรัสรู้ มาใน มหาสัจจกสตู ร แหง่ มัชฌมิ นกิ าย มลู ปัณณาสก์ พระไตรปิฎกเล่ม ๑๒ หนา้ ๔๓๗ ง. เรื่องตั้งแต่ตรัสรู้แล้ว จนถึงอัครสาวกบรรพชา มาในมหาวรรค แห่ง พระวินัยปิฎก เล่ม ๔ หนา้ ๑ ถงึ หนา้ ๗๘ จ. เรอื่ งทรงบำ� เพญ็ พทุ ธกจิ น้นั ๆ มาในพระสูตรต่าง ๆ หลายสถาน ฉ. เรื่องตอนใกล้จะนิพพาน จนถึงนิพพานแล้ว มัลลกษัตริย์ในนคร กุสินารา ท�ำการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้ว แบ่งพระสารีริกธาตุไว้บ้าง แจกไปในนครอื่นบ้าง มาในมหาปรินิพพานสูตร แห่งทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎก เล่ม ๑๐ หนา้ ๘๕ อาตมาขอน้อมสดุดี ถวายคารวะสาธุการ แด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วัดบวรนิเวศวิหาร ผู้ทรงรจนาหนังสือพุทธประวัติ ซ่ึงทางคณะสงฆ์ใช้เป็นหลักสูตรนักธรรมและธรรมศึกษา โดยทรงมีพระปรีชา และพระวิริยะอุตสาหะ ค้นคว้ารวบรวมพระประวัติของพระพุทธเจ้า จากบาลี พระไตรปฎิ กนน้ั ๆ มารวบรวมไว้ติดตอ่ กนั ตามล�ำดับ เพอ่ื ให้กลุ บตุ รในภายหลงั ได้ศึกษาโดยสะดวกง่ายดายซึ่งนักศึกษาท้ังหลาย รู้สึกซาบซึ้งและน้อมเศียร สดดุ ใี นพระคณุ ขอ้ นีข้ องพระองค์ ไมม่ ีวนั ลืม ต่อไปนี้ จะพาท่านผู้อ่านเข้าไปท่องเท่ียวในพระไตรปิฎก เพื่อเป็นทาง แหง่ ความสว่างกระจ่างแจ้งว่า พระพทุ ธเจ้ามพี ระชนมายุ ๘๐ ปี หรือ ๑๐๐ ปี แน่ ดงั ต่อไปนี้
79 ๑. ในมหาปทานสูตร พระไตรปิฎก เล่ม ๑๐ หน้า ๑ ว่า คร้ังหน่ึง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน กรุงสาวัตถี พวกภิกษุกลับจากบิณฑบาต แล้ว สนทนากันด้วยเรื่องปุพเพนิวาสะ ”ระลึกชาติ„ พระพุทธเจ้าทรงฟังการ สนทนาของภิกษทุ ้ังหลาย ด้วยทิพยโสต ”หูทพิ ย์„ อันบรสิ ทุ ธ์ิ ลว่ งหูสามญั มนษุ ย์ จึงเสด็จมา และตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอท้ังหลายปรารถนาเพ่ือจะฟังเร่ือง ระลึกชาติ จงต้ังใจฟงั ใหด้ ี เราจักเลา่ ใหฟ้ ัง พระพุทธเจา้ ตรสั ว่า ”ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปน้ี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามวา่ วิปสั สี อบุ ตั ิข้นึ แลว้ ในโลก„ ”ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ในกัปท่ี ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามวา่ สิขี อบุ ัตขิ ึ้นแล้วในโลก„ ”ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกัปที่ ๓๑ น้ันแล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง พระนามว่า เวสสภู ทรงอบุ ตั ขิ นึ้ แล้วในโลก„ ”ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ในภัทรกัปนี้แล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง พระนามวา่ กกุสนั ธะ ๑ ทรงพระนามว่า โกนาคมนะ ๑ ทรงพระนามวา่ กัสสปะ ๑ เราตถาคต ๑ อุบัติขึ้นแล้วในโลก„ (ในภัทรกัปน้ีว่า มีพระพุทธเจ้ามาตรัส ๕ พระองค์ ล่วงไปแล้ว ๓ ปัจจุบัน ๑ อนาคต ๑ รวมเรียกว่า พระเจ้า ๕ พระองค์) ”ดกู ่อนภิกษุท้งั หลาย พระวิปสั สีสัมมาสัมพทุ ธเจ้า พระสขิ ีสัมมาสมั พทุ ธเจ้า พระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า ท้ัง ๓ พระองค์นี้ทรงเป็นกษัตริย์โดยพระชาติ ประสตู ใิ นขตั ติยสกุล„ ”ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย พระกกุสันธสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโกนาคมน สัมมาสัมพุทธเจ้า พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้ง ๓ พระองค์นี้ ทรงเป็น พราหมณ์ โดยพระชาติ ประสตู ิในสกุลพราหมณ์„
80 ”ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย เราตถาคต ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ณ บัดน้ี เปน็ กษตั ริย์โดยชาติ เกดิ ในขัตตยิ สกลุ „ ”ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงมีประมาณ แห่งพระชนมายุ ๘๐,๐๐๐ ปี (แปดหม่ืนปี) พระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงมี ประมาณแห่งพระชนมายุ ๗๐,๐๐๐ ปี (เจ็ดหมน่ื ปี) พระเวสสภูสมั มาสัมพุทธเจา้ ได้ทรงมีประมาณแห่งพระชนมายุ ๖๐,๐๐๐ ปี (หกหมื่นปี) พระกกุสันธ สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีประมาณแห่งพระชนมายุ ๔๐,๐๐๐ (ส่ีหม่ืนปี) พระโกนาคมนสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงมีประมาณแห่งพระชนมายุ ๓๐,๐๐๐ (สามหม่ืนปี) พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีประมาณแห่งพระชนมายุ ๒๐,๐๐๐ ปี (สองหมนื่ ป)ี „ ”ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคต (โคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า) ณ บัดนี้ มี ประมาณแห่งอายุเล็กน้อย ไว ผู้ใดเป็นอยู่ได้นาน ผู้น้ันก็อยู่ได้ร้อยปี หรือ เกินกวา่ รอ้ ยปี เล็กน้อย„ ฯลฯ ตามนัยพระพุทธด�ำรัสจากพระโอษฐ์นี้ จะเห็นได้ว่า ทรงแสดงประมาณ แห่งพระชนมายขุ องพระพทุ ธเจ้าในอดีต ตรสั ไวเ้ ปน็ ตวั เลขชัดเจน ดงั นี้ ก. พระวปิ สั สี มปี ระมาณแห่งพระชนมาย ุ ๘๐,๐๐๐ ปี ข. พระสขิ ี มปี ระมาณแหง่ พระชนมาย ุ ๗๐,๐๐๐ ปี ค. พระเวสสภู มปี ระมาณแหง่ พระชนมาย ุ ๖๐,๐๐๐ ปี ฆ. พระกกุสันธะ มีประมาณแหง่ พระชนมาย ุ ๔๐,๐๐๐ ปี ง. พระโกนาคมนะ มปี ระมาณแหง่ พระชนมายุ ๓๐,๐๐๐ ปี จ. พระกสั สปะ มปี ระมาณแห่งพระชนมายุ ๒๐,๐๐๐ ปี ส�ำหรับของพระองค์เอง (พระโคตมะ) มิได้ตรัสไว้เป็นตัวเลขท่ีชัดเจน ดังพระพุทธเจ้าพระองค์อ่ืน ๆ แต่ตรัสไว้ดังนี้ว่า ”มยฺหํ ภิกฺขเว เอตรหิ อปฺปกํ อายุปฺปมาณํ ปริตฺตํ ลหุกํ„ แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ประมาณแห่งอายุ
81 แห่งเราตถาคต ณ บัดนเ้ี ล็กน้อย ไว ”โย จริ ํ ชวี ติ โส วสฺสสตํ อปฺปํ วา ภยิ โฺ ย„ แปลว่า ผูใ้ ดเป็นอยไู่ ดน้ าน ผู้นน้ั ก็อยู่ได้ร้อยปี หรือเกนิ กว่ารอ้ ยปเี ลก็ นอ้ ย ด้วยพระบาลีในมหาปทานสูตร ท่ีอ้างมาน ี้ ในที่ทุกแห่งทรงใช้ศัพท์ว่า ”อายุปฺปมาณํ„ ประมาณแหง่ พระชนมายุ โดยเฉพาะพระพทุ ธเจา้ ทุก ๆ พระองค์ ที่ทรงอ้างพระนามมาน้ัน (เว้นพระองค์ ๆ เดียว) จึงทรงก�ำหนดเป็นตัวเลขไว้ ชัดเจนทีเดียว ”ส่วนอายุของพระองค์ในพระสูตรน้ี มิได้ตรัสก�ำหนดไว้เป็น ตัวเลขชัดเจนว่าเท่านั้นเท่านี้เลย เป็นแต่แสดงว่ามีประมาณแห่งอายุเล็กน้อยไว้ ตอนต่อไปท่ีแสดงว่า ผู้ใดเป็นอยู่ได้นาน ผู้นั้นก็อยู่ได้ร้อยปี หรือเกินกว่าร้อยปี เล็กน้อย„ น้ีก็ไม่ได้ก�ำหนดชัดเจนแน่นอนลงไปว่า ผู้ท่ีอยู่ได้นานถึงร้อยปี เป็นพระพุทธเจ้าหรือใครกันแน่ จะน�ำพระพุทธภาษิตตอนน้ีมาอ้างยืนยันว่า พระพทุ ธเจา้ มีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี หรือ ๘๐ ปี ยังไมถ่ นัดนัก ต้องหาหลักฐาน มาพิสจู น์กนั ตอ่ ไป ๒. ท่ีผู้เขียน (ในหนังสือพิมพต์ ำ� รวจ) เขยี นขดั แย้งไว้ (ตามข้อหมายเลข ๓) ว่า ”ท่ีวา่ พระพุทธเจา้ อายุ ๘๐ ปนี ั้น มาแตค่ มั ภรี ไ์ หน ขา้ พเจ้าไดค้ น้ ในภาษา มคธแล้ว ไม่พบ ฯลฯ„ นั้น ขอช้แี จงวา่ ทว่ี ่าพระพุทธเจ้ามพี ระชนมายุ ๘๐ ปีน้นั มาแต่มหาปรินิพพานสูตร คัมภีร์ทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๐ หนา้ ๑๑๗ ว่า ครั้งหนึ่ง พระพทุ ธเจ้า ประทบั อยทู่ บี่ ้านเวฬุวคาม รับสง่ั กะภิกษุ ทั้งหลายว่า พวกเธอจงมาเถิด ภิกษุทั้งหลาย จงเข้าไปจ�ำพรรษาในเมืองเวสาลี โดยรอบ ตามทเี่ ป็นมิตรกนั เคยเหน็ กนั เคยคบกนั (ตอนนคี้ ัมภีรส์ มุ งคลวิลาสนิ ี อรรถกถาทฆี นกิ าย มหาวรรค ภาค ๒ หนา้ ๑๙๐ พระอรรถกถาจารย์พรรณนาว่า พระพุทธเจ้าทรงด�ำริว่า เราจักด�ำรงอยู่อีกประมาณ ๑๐ เดือน แล้วปรินิพพาน ถ้าภิกษุเหล่านี้ไปจ�ำพรรษาในท่ีไกล จักไม่อาจเห็นเรา ในเวลาปรินิพพาน) ส่วน เราจักจ�ำพรรษาในบ้านเวฬุวคามน้ีแล ฯลฯ เมื่อพระพุทธเจ้าจ�ำพรรษาแล้ว อาพาธอย่างแรงกล้าบังเกิดข้ึนแล้ว เวทนาอันกล้าแข็ง ใกล้จะสิ้นพระชนมชีพ ย่อมเป็นไป พระพทุ ธเจ้ามีพระสติสัมปชญั ญะ มไิ ดก้ ระวนกระวาย ทรงอดกล้ัน
82 แล้ว ทรงพระด�ำริว่า ”การที่เราไม่บอกผู้ท่ีเป็นอุปัฏฐาก ไม่อ�ำลาภิกษุสงฆ์ พึงปรินิพพานน้ัน ไม่สมควรแก่เราเลย ถ้ากะไร เราพึงใช้ความเพียร (สมาบัติ) ขับไล่อาพาธน้ี ด�ำรงชีวิตสังขารอยู่„ คร้ังน้ันแล พระพุทธเจ้าทรงใช้ความเพียร ขับไล่อาพาธนั้น ทรงด�ำรงชีวิตสังขารอยู่แล้ว ขณะนั้น อาพาธของพระพุทธเจ้า สงบระงับแล้ว พระพุทธเจ้าทรงหายประชวรแล้วไม่นาน ได้เสด็จออกจาก พระวิหาร ประทับนั่งบนอาสนะที่ตกแต่งไว้แล้ว ท่ีร่มเงาแห่งวิหาร พระอานนท์ เข้าไปเฝ้าทูลว่า ข้าพระองค์ได้เห็นความผาสุก ความอดทนของพระองค์แล้ว แต่ว่ากายของข้าพระองค์ประหนึ่งจะงอมระงมไป แม้ทิศทั้งหลายก็มิได้กระจ่าง แก่ข้าพระองค์ แม้ธรรมทั้งหลาย ก็มิได้แจ่มแจ้งแก่ข้าพระองค์ เพราะการ ประชวรของพระองค์ แต่ยังมีความเบาใจอยู่หน่อยหน่ึงว่า ”พระผู้มีพระภาค จักยงั ไมป่ รินิพพานก่อน จนกว่าจะไดท้ รงปรารภภิกษุสงฆ์แล้ว ตรสั พระพทุ ธพจน์ อันใด อันหนึ่ง„ พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานนท์ ก็ภิกษุสงฆ์ยังหวังอะไรในเราเล่า ธรรมเราได้แสดงแล้ว ท�ำไมใ่ หม้ ภี ายใน ไม่ให้มีภายนอก อานนท์ ก�ำมอื อาจารย์ (คือจะซ่อนความ) ในธรรมท้ังหลาย มิได้มีแก่ตถาคต ฯลฯ อานนท์ ก็บัดน้ี เราแก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยเสียแล้ว วัยของเราถึง ๘๐ ปี (อหํ โข ปนานนทฺ เอตรหิ ชิณฺโณ วุฑโฺ ฒ มหลลฺ โก อทฺธคโต วโย อนปุ ปฺ ตฺโต อสตี โิ ก เม วโย วตฺตติ) บุคคลซ่อมเกวียนช�ำรุดด้วยไม้ไผ่ แม้ฉันใด กายของตถาคต ย่อมเปน็ เหมือนเกวยี นชำ� รดุ ท่ีซอ่ มดว้ ยไม้ไผ่ ฉนั นนั้ แล ฯลฯ. จากหลกั ฐานท่อี ้างน้ี จะเห็นไดว้ ่า พระพุทธเจา้ ทรงมพี ระชนมายุ ๘๐ ปี เท่าน้ันเอง แต่ท่านผู้เขียนขัดแย้ง ก็อาจแย้งอีกว่า ตอนนี้ พระพุทธเจ้ายังมิได้ ทรงปลงพระชนมายุสังขาร เพราะฉะนั้น จะขอน�ำท่านผู้อ่านท่องเท่ียวไปใน มหาปรนิ พิ พานสูตร พระไตรปฎิ กเลม่ ๑๐ หน้า ๑๗๒ อกี ซง่ึ เปน็ ตอนหลงั จาก ที่พระพุทธเจ้า ทรงปลงพระชนมายุสังขารแล้วว่า ”อีก ๓ เดือน ตถาคตจะ ปรินิพพาน„ และตอนใกล้ปรินิพพาน ไม่กี่ช่ัวโมง โดยย่อดังนี้ว่า ”ครั้งน้ันแล ปริพาชก ช่ือสุภัททะ อาศัยอยู่ในเมืองกุสินารา ได้ทราบข่าวจากมัลลกษัตริย์ว่า ในยามสุดท้ายแห่งราตรีวันนี้ พระสมณโคดม จักปรินิพพาน„ สุภัททะจึงรีบ
83 ไปหาพระอานนท์ ขออนญุ าตเข้าเฝ้าพระพทุ ธเจ้าถงึ ๓ คร้งั พระอานนท์ก็หา้ มว่า อย่าเลยท่านสุภัททะ ทา่ นอยา่ เบยี ดเบียนพระตถาคตเจา้ เลย พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ทรงล�ำบากแล้ว พระพุทธเจ้าทรงได้ยิน ตรัสเรียกพระอานนท์ว่า อานนท์ เธอ อย่าห้ามสุภัททะ สุภัททะจงได้เห็นตถาคต สุภัททะจักถามส่ิงใดสิ่งหน่ึงกะเรา เขาเป็นผู้มุ่งความรู้จริง จักถามสิ่งนั้นทั้งหมดกะเรา ไม่ได้มุ่งความเบียดเบียน สุภัททะจักรอบรู้ปัญหาท่ีถามเราแล้วเราพยากรณ์ไปได้อย่างรวดเร็ว พระอานนท์ จงึ ไดอ้ นญุ าตใหส้ ภุ ทั ทะเขา้ เฝา้ ได้ และในพระไตรปฎิ กเล่มเดยี วกนั นั้น หน้า ๑๗๕ มีความว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่สุภัททะว่า ”ดูก่อนสุภัททะ ในธรรมวินัยใด มรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นอริยะไม่มีในธรรมวินัยน้ัน สมณะที่ ๑ (พระโสดาบัน) สมณะท่ี ๒ (พระสกิทาคาม)ี สมณะที่ ๓ (พระอนาคามี) สมณะ ที่ ๔ (พระอรหันต์) ยอ่ มไมม่ ี กใ็ นธรรมวินยั ใด มรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เปน็ อริยะ มีอยู่ในธรรมวินัยนั้น สมณะท่ี ๑ ท่ี ๒ ท่ี ๓ ที่ ๔ ย่อมมี สุภัททะ ใน ธรรมวินัยนี้แล มรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นอริยะ มีอยู่ในธรรมวินัยน้ี สมณะท่ี ๑ ท่ี ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มอี ยู่ วาทะของผูอ้ ่นื วา่ งจากสมณะผู้รู้จรงิ สุภัททะ กภ็ ิกษเุ หล่าน้ี พึงอยู่โดยชอบ โลกไมพ่ ึงว่างเปลา่ จากพระอรหนั ต์ทงั้ หลาย„ แล้ว ตรัสเป็นพระคาถาอีกคร้ังหน่ึงวา่ เอกูนตึส วยสา สุภททฺ ยํ ปพพฺ ชึ กึ กสุ ลานุเอสี วสฺสานิ ปญฺาสสมาธกิ านิ ยโต อหํ ปพฺพชิโต สภุ ททฺ ายสสฺ ธมมฺ สสฺ ปเทสวตฺติ อโิ ต พหทิ ธฺ า สมโณปิ นตฺถิ แปลวา่ สภุ ัททะ เราโดยวัยได้ ๒๙ ปี แสวงหาว่าอะไรเปน็ กศุ ลบวชแล้ว ต้ังแต่เราบวชแล้ว นับได้ ๕๐ ปีกว่า แม้สมณะผู้เป็นไปในส่วนแห่งธรรม เคร่ืองตรัสรู้ มิได้มีในภายนอก แต่ธรรมวินัยนี้ ฯลฯ เม่ือสุภัททะได้ฟังแล้ว
84 ก็เลื่อมใส ขอบรรพชาอุปสมบท เมื่ออุปสมบทไม่นาน บ�ำเพ็ญเพียร ก็ได้ส�ำเร็จ เปน็ พระอรหันต์ และเป็นปัจฉิมสาวก คอื พระสาวกองค์สุดทา้ ยของพระพุทธเจ้า ต่อจากนั้นได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยท่ีตถาคต แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลายนั้น จักเป็นศาสดาของเธอท้ังหลาย โดยกาลท่ีตถาคตล่วงไป ในท่ีสุด มีพระปัจฉิมวาจาคร้ังสุดท้าย ทรงอ�ำลาภิกษุ สงฆ์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราเตือนเธอท้ังหลาย สังขารทั้งหลายมี ความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ดงั น้แี ลว้ ทรงเข้าฌาน เสด็จปรนิ ิพพาน ในพุทธพจน์ มหาปรินิพพานสูตร ที่ยกมาอ้างน้ี ย่อมมีน�้ำหนักหักล้าง ความเขา้ ใจท่ีวา่ พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุ ๑๐๐ ปนี ้ันเสยี ได้โดยสนิ้ เชิง ๓. คัมภีร์สุมังคลวิลาสินี อรรถกถาทีฆนิกาย มหาวรรค ภาค ๒ หน้า ๒๕๔ พระพุทธโฆษะผู้รจนา พรรณนาพระพุทธพจน์ท่ีตรัสแก่พระอานนท์ ใน มหาปรินิพพานสูตรนั้น เฉพาะตอนที่ว่า ”ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัย ที่ ตถาคตแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอท้ังหลายน้ัน จักเป็นศาสดาของเธอ ท้ังหลาย โดยกาลที่ตถาคตล่วงไปแล้ว„ ไว้ โดยความดังน้ีว่า ”ธรรมและวินัย ทั้งหมดน้ัน พระพุทธเจ้าตรัสตลอดเวลา ๔๕ ปี ตั้งแต่ตรัสรู้จนถึงปรินิพพาน จัดเปน็ หมวดใหญ่ ๆ ได้ดงั น้ี คอื จัดเปน็ ปิฎก ๓ คอื พระสตุ ตันตปฎิ ก พระวนิ ยั - ปิฎก พระอภิธรรมปิฎก จัดเป็นนิกาย ๕ คือ ทีฆนิกาย ๑ มัชฌิมนิกาย ๑ สงั ยุตตนกิ าย ๑ อังคุตตรนกิ าย ๑ ขทุ ทกนิกาย ๑ (ซ่ึงย่อเหลอื เพยี งสัน้ ๆ วา่ ที. ม. สัง. อัง. ขุ.) ฯลฯ„ น้ีก็ได้ความลงกันว่า ต้ังแต่ตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้า มพี ระชนมอ์ ยอู่ ีก ๔๕ ปี ซง่ึ เมอ่ื บวกเข้ากับต้ังแต่ประสตู ิ จนถึงตรสั ร้อู ีก ๓๕ ปี ก็บรรจบครบ ๘๐ ปี พอดี ซึ่งก็สมกับเนื้อความในมหาปรินิพพานสูตรที่ว่า พระพุทธเจา้ มพี ระชนม์ ๘๐ ปี
85 ๔. ข้อทผ่ี ้เู ขียนเขียนขดั แย้งไว้ (ใน น.ส.พ. ต�ำรวจขอ้ ๔) วา่ ”ในพทุ ธวงศ์ ว่า พระพุทธเจ้าโคตรมะอายุ ๑๐๐ ปี โดยอ้างว่า ข้าพเจ้าได้ค้นพบในคัมภีร์ พุทธวงศ์ (พระไตรปิฎก เล่ม ๓๓) ถึง ๒ แห่ง แห่งหนึ่งหน้า ๕๔๐ ว่า อายุ วสฺสสตํ ตสฺส โคตมสฺส ยสสฺสิโน ในเร่ืองน้ันกล่าวถึงวงศ์ คือประวัติของ พระกสั สปะพุทธเจ้า และระบไุ วช้ ัดว่า อายุของพระโคดม ผู้ทรงยศน้นั ๑๐๐ ปี อีกแห่งหนึ่ง หน้า ๕๔๕ ว่า อปฺปํ วสฺสสตํ อายุ มเมตรหิ วิชฺชติ ตาวตา ตฏิ ฐฺ มาโนหํ ตาเรสึ ชนตํ พหุํ ซึง่ แปลไว้วา่ อายขุ องเรา (หมายถงึ พระพุทธโคตมะ ตรัสเอง) มีในบัดนี้ น้อยนัก เพียง ๑๐๐ ปี เรามีอายุด�ำรงอยู่เท่านั้น ยังชุมชน ใหพ้ น้ โอฆะได้มากนน้ั ขอชีแ้ จงดงั นี้ พระบาลี (แห่งท่ีหนึ่ง หน้า ๕๔๐) ที่ว่า อายุ วสฺสสตํ ตสฺส โคตมสฺส ยสสฺสิโน ซ่ึงแปลว่า อายุของพระโคดม ผู้ทรงยศนั้น ๑๐๐ ปี ได้ค้นคว้าดูแล้ว พระบาลีนี้ มีปรากฏในพระไตรปิฎก เล่ม ๓๓ นั้น ถึง ๒๓ แห่งด้วยกัน คือ หน้า ๔๒๓ หนา้ ๔๔๑ หน้า ๔๔๕ หนา้ ๔๕๑ หน้า ๔๖๐ หนา้ ๔๖๔ หน้า ๔๖๙ หนา้ ๔๗๓ หนา้ ๔๗๘ หนา้ ๔๘๓ หนา้ ๔๙๓ หนา้ ๔๙๗ หน้า ๕๐๑ หนา้ ๕๐๕ หน้า ๕๐๙ หน้า ๕๑๓ หนา้ ๕๑๗ หน้า ๕๒๒ หน้า ๕๒๖ หน้า ๕๓๑ หนา้ ๕๓๕ หน้า ๕๔๐ และพระบาลี (แหง่ ที่ ๒ หน้า ๕๔๕) ทว่ี า่ อปปฺ ํ วสฺสสตํ อายุ มเมตรหิ วิชฺชติ ตาวตา ติฏฺฐมาโนหํ ตาเรสึ ชนตํ พหํุ ซ่ึงแปลว่า อายุของเรา มีในบัดน้ี น้อยนัก เพยี งร้อยปี เรามอี ายดุ ำ� รงอยเู่ ทา่ น้นั ยังชมุ ชนใหข้ ้ามพน้ โอฆะได้มาก ถ้าท่านผู้รู้ ได้เปิดดูพระไตรปิฎก เล่ม ๑๐ หน้า ๔ เป็นต้นไป จนถึง หนา้ ๘ แล้วจะเห็นได้ว่า พระบาลที ัง้ ๒ แห่ง ในคมั ภรี ์พทุ ธวงศ์ ท่ีผเู้ หน็ ขัดแย้ง น�ำมาอ้างประกอบ เพื่อยืนยันว่า พระพุทธเจา้ มีพระชนมายุ ๑๐๐ ปีนั้น ทา่ นผู้รู้ ได้เก็บใจความในมหาปทานสูตร พระไตรปิฎกเล่ม ๑๐ มาประพันธ์เป็นคาถา อันไพเราะจับใจ อย่างไม่มปี ัญหาเลย เชน่ คาถาในกสั สปพทุ ธวงศ์ หนา้ ๕๔๑ ว่า
86 ติสโฺ ส ภารทวฺ าโช จ อเหสุํ อคคฺ สาวกา สพฺพมิตฺโต นามปุ ฏฺ าโก กสสฺ ปสฺส มเหสิโน โพธิ ตสฺส ภควโต นิโคฺรโธติ ปวจุ ฺจติ วสี ตวิ สฺสสหสฺสาน ิ อายุ ตสฺส มเหสโิ น ซึง่ แปลวา่ พระกสั สปพุทธเจ้า ไดม้ ีพระอัครสาวก ๒ รูป คอื พระตสิ สะ ๑ พระภารทวาชะ ๑ ทรงมีอุปัฏฐาก ชื่อสรรพมิตต์ ต้นไม้ท่ีตรัสรู้ ชื่อต้นนิโครธ ”ต้นไทร„ พระชนมายุ ๒๐,๐๐๐ ปี ถ้าพลิกไปเปิดดูพระไตรปิฎก เล่ม ๑๐ หน้า ๔ หนา้ ๕ หนา้ ๗ แล้ว จะเหน็ ว่า มีใจความตรงกับที่พระพุทธเจา้ ตรัสแก่ ภิกษุท้ังหลาย ในมหาปทานสูตรน่ันเอง จึงสันนิษฐานได้ว่า ท่านเก็บใจความใน บาลีมหาปทานสูตรมาประพันธ์เป็นคาถาแน่แท้ ทั้งข้อความในบาลีมหาปทานสูตร น้ัน ไม่ได้มีตอนไหนบ่งชัดว่า พระโคตมะพุทธะมีพระชนมายุ ๘๐ ปี หรือ ๑๐๐ ปี ดว้ ยเหตผุ ล ดังที่ช้ีแจงไวใ้ นขอ้ ที่ ๑ แล้ว ๕. ธัมมเจติยสูตร คัมภีร์มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ พระไตรปิฎก เล่มท่ี ๑๓ หน้า ๕๐๖ ว่า ครั้งหน่ึง พระพุทธเจ้าทรงอาศัยนิคม ชื่อเมทฬุปะ ของพวกเจ้าศากยะประทับอยู่ พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จไปท่ีน้ัน ด้วย พระกรณียกิจบางอย่าง (คัมภีร์ปปัญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกาย ภาค ๓ หน้า ๓๒๒ พรรณนาว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จไปที่น้ัน มิใช่ด้วย ราชกรณียกิจอ่ืน แต่ทรงให้ทหารจับพันธุละเสนาบดี พร้อมท้ังบุตร ๓๒ คน ฆ่าในวันเดียว ด้วยทรงถูกยุยงว่า พันธุละเสนาบดีปรารถนาความเป็นพระราชา แต่ความจริงพันธุละเป็นคนซื่อตรง ภายหลังทรงทราบความจริง ทรงโทมนัส และทรงตั้งหลานของพันธุละเสนาบดี ช่ือทีฆการายนะ เป็นเสนาบดีแทน) ทรง ให้ตั้งค่ายใกล้พระอารามแล้ว เสด็จไปวิหารด้วยบริวารเป็นอันมาก (ตอนน้ี อรรถกถาแก้ว่า เสด็จไปด้วยราชานุภาพอันใหญ่ ด้วยกองทัพอันใหญ่ งามด้วย เพศอันวิจิตร ดุจจะท�ำลายพื้นพสุธา หรือจะยังสาครให้ส่ันสะเทือน ก็ปานกัน) ดว้ ยทรงพระประสงคจ์ ะถวายบงั คมพระพทุ ธเจา้ ไดพ้ ระราชทานเครอ่ื งราชกกธุ ภณั ฑ์
87 มีฉัตรและพระขรรค์เป็นต้น (ซ่ึงเป็นเครื่องประดับเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดิน) ไวแ้ ก่ทฆี การายนะเสนาบดีแลว้ พระองค์เดยี วเคาะพระทวาร เสด็จเข้าพระคนั ธกุฎี (ตอนนี้ พระอรรถกถาจารย์พรรณนาว่า ทีฆการายนะเสนาบดี ร�ำพึงว่า ใน กาลก่อน พระราชาทรงปรึกษาลับเฉพาะ (จตุกณฺณมนฺตํ มนฺเตตฺวา) กับ พระสมณโคดมแลว้ สง่ั ให้ทหารจบั ลงุ ของเรา กบั บุตรอีก ๓๒ คนฆ่าเสีย แม้บดั น้ี ก็ทรงใคร่ปรึกษาลับเฉพาะกับพระสมณโคดม จักจับเราฆ่าหรืออย่างไรหนอ ดังน้ี เม่ือพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าพระคันธกุฎีแล้ว ทีฆการายนะเสนาบดี จึงถือเคร่ืองราชกกุธภัณฑ์ไปค่ายทหาร สถาปนาวิฑูฑภะให้เป็นพระราชา วิฑูฑภะถามว่า พระราชบิดาของเราเสด็จไปไหน ทีฆการายนะจึงทูลว่า ไม่ต้อง ถามถึงพระราชบิดา ขอให้ท่านจงรับเป็นพระราชา ถ้าท่านไม่รับเป็นพระราชา ข้าพเจ้าจะจับท่านบังคับให้เป็นพระราชา ทีฆการายนะเหลือม้าไว้ตัวหน่ึง ดาบ เล่มหน่ึง และผู้หญิงอุปัฏฐากคนหน่ึงไว้ แล้วสั่งไว้ว่า ถ้าพระราชาเสด็จมาให้ทูล ว่า ถ้าพระราชามีพระประสงค์ด้วยชีวิต (คือยังไม่อยากตาย) จงอย่าเสด็จมา กรุงสาวตั ถี แล้วสถาปนาวิฑูฑภะเป็นพระราชา พากลบั เมืองสาวตั ถี) เมือ่ พระเจา้ ปเสนทโิ กศล เสดจ็ เข้าพระคันธกฎุ แี ล้ว กห็ มอบพระเศยี รลง ท่ีพระบาทของพระผู้มีพระภาค เอาพระโอษฐ์จุมพิตพระบาท ทรงสรรเสริญ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยประการหลายอย่าง (และมีตอนหนึ่งใน หน้า ๕๑๕ แห่งพระไตรปิฎก เล่ม ๑๓ น้ันว่า) พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลถาม พระพุทธเจ้าว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็เป็นกษัตริย์ ข้าพเจ้าก็เป็นกษัตริย์ พระผู้มีพระภาค ก็เป็นชาวโกศล ข้าพเจ้าก็เป็นชาวโกศล พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็มีพระชนมายุ ๘๐ ปี ข้าพเจ้าก็มีอายุได้ ๘๐ ปี ด้วยเหตุน้ี ข้าพเจ้าจึงได้ท�ำ ความออ่ นนอ้ มเป็นอยา่ งยิ่ง ในพระผู้มีพระภาคเจา้ และแสดงอาการเป็นฉันมติ ร คัมภีร์ปปัญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกาย ภาค ๓ หน้า ๓๒๗ พระอรรถกถาจารย์พรรณนาว่า เม่ือพระเจ้าปเสนทิโกศลเฝ้าพระพุทธเจ้า เป็น เวลาพอสมควรแลว้ จงึ ทูลลากลับ เสดจ็ ไปยงั ที่ ๆ ทฆี การายนะรอ กไ็ มท่ รงพบ
จึงเสด็จไปที่ค่าย ก็ไม่พบใคร นอกจากหญิงอุปัฏฐากที่ทีฆการายนะเหลือไว้ให้ หญิงน้ัน จึงทูลเรื่องให้ทรงทราบทั้งหมด พระเจ้าปเสนทิโกศล จึงทรงด�ำริว่า บัดน้ีเราไม่ควรไปเมืองสาวัตถีน้ันแต่ผู้เดียว เราจะไปเมืองราชคฤห์ พาหลานชาย (พระเจ้าอชาตศัตรู) ยกกองทัพมาช่วยรบเอาราชสมบัติกลับคืน ในท่ีสุดเสด็จไป กรุงราชคฤห์ แต่ยังไม่ทันได้เข้าพบหลานชาย ก็ต้องสวรรคตอย่างอนาถา ณ ศาลาแห่งหนึ่งบนตักของหญิงอุปัฏฐากนั้นเอง เพราะความล�ำบากตรากตร�ำ บอบช�้ำในการเดินทาง (จากนัยแห่งพระบาลีธัมมเจติยสูตร และอรรถกถานั้น แสดงว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลพบพระพุทธเจ้าในปีพุทธปรินิพพาน แต่พระเจ้า ปเสนทิโกศลสวรรคตก่อน เม่ือพระเจ้าวิฑูฑภะพระราชโอรสได้ราชสมบัติแล้ว คงยกกองทัพไปปราบพวกศากยะ พระพุทธเจ้ายังได้เสด็จไปห้ามถึง ๓ คร้ัง ในครั้งท่ี ๔ ทรงเหน็ วา่ เปน็ บุพพกรรมของพวกศากยะ จึงไม่ทรงหา้ ม และเสดจ็ ปรนิ ิพพานในปนี ั้นเอง) การเดินทางของพระเจ้าปเสนทิ จากนิคมของเจ้าศากยะชื่อเมทฬุปะ (แคว้นสักกะ) ไปสู่เม่ืองราชคฤห์ (แคว้นมคธ) เพื่อขอก�ำลังทัพของหลานชาย (พระเจ้าอชาตศัตรู) ไปรบเอาราชสมบัติจากวิฑูฑภะกลับคืนน้ัน ตามอรรถกถา ธัมมเจติยสูตร ท่านว่า ใช้เวลาเดินทางเพียงวันเล็กน้อยเท่าน้ัน แต่เมื่อดูแผนท่ี ประเทศอินเดียคร้ังสมัยพระเจ้าอโศกประกอบแล้ว จะเห็นว่าอยู่ไกลกันมาก แม้พระเจ้าปเสนทิโกศลจะทรงมีม้าเป็นพระราชพาหนะ ก็ต้องใช้เวลารอนแรม และทรงล�ำบากตรากตร�ำอยู่เป็นเวลาหลายวัน เพราะฉะนั้น พระเจ้าปเสนทิจึง ทรงบอบช�้ำและสวรรคตอย่างอนาถา จึงได้ความว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลจาก พระพุทธเจ้าเสด็จไปไม่ก่ีวันก็สวรรคต ท้ังพระเจ้าวิฑูฑภะก็ได้ครองเมืองสาวัตถี กอ่ นเสด็จสวรรคตเสยี ดว้ ยซ�้ำไป พระเจ้าวิฑูฑภะได้ราชสมบัติโดยทีฆการายนะ เสนาบดีจัดการให้ ก็คง ยกกองทัพใหญ่มาฆ่าพวกศากยะในระยะที่พระพุทธเจ้ายังประทับอยู่ท่ีนิคมชื่อ เมทฬุปะของเจ้าศากยะน่ันเอง พระพุทธองค์จึงได้เสด็จไปห้ามเพื่อรักษาหมู่
พระญาติถึง ๓ ครั้ง หรือพระเจ้าวิฑูฑภะอาจจะใช้กองทัพใหญ่ที่พระเจ้า ปเสนทิโกศลทรงคมุ มาเฝา้ พระพุทธเจา้ นั้นมาฆา่ พวกศากยะก็เปน็ ได้ เม่อื สรปุ แล้ว กค็ งไดค้ วามวา่ พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนมายุ ๘๐ พรรษา แน่นอนโดยมิต้องสงสัย ด้วยหลักฐานจากพระบาลี และเหตุผลท่ีอ้างมาแล้วนั้น หรือจะมีท่านผู้ใดช่วยค้นคว้าหาหลักฐานมาแสดงขัดแย้งหรือสนับสนุน เพ่ือ ความรู้แจ้งยิ่งกว่านี้ก็เป็นการดีและมีประโยชน์แก่นักศึกษาในภายหลังเป็น อย่างมากตลอดไป เท่าที่ผู้เขียน (ในหนังสือพิมพ์ต�ำรวจ) เขียนขัดแย้งเอาไว้ก็นับว่าน่าคิด และมีเจตนาดี เป็นประโยชน์อยู่ ขออนุโมทนา เพราะเป็นทางให้ผู้ศึกษาช่วย ค้นคว้า ศกึ ษา พจิ ารณากนั ให้รอบคอบตอ่ ไป
90 ศาสนาคือ พระธรรม ค�ำส่ังสอน ดับทุกข์ร้อน เย็นยิ่ง เป็นมิ่งขวัญ แต่งใจ ให้งามสงบ ดีครบครัน ควรป้องกัน ศาสนา ให้ถาวรฯ
91 ปาฐกถาเรื่อง ของดีในพระไตรปฎิ ก ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระอรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธเจ้า ทา่ นผทู้ รงศีลท่ีเคารพและทา่ นพุทธศาสนกิ ผู้มเี กียรติ ซง่ึ ต้องการของดี ในพระไตรปฎิ กท้งั หลาย วันน้ี พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ได้อาราธนาข้าพเจ้าให้มาแสดง ปาฐกถาเร่ืองที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เพ่ือเผยแผ่ความรู้ทางพระพุทธศาสนา และส่งเสริมการปฏิบัติธรรมะของประชาชน ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีมาก เพราะถือว่า การเผยแผ่ความรู้ทางพระพุทธศาสนาให้ประชาชนเข้าใจแล้วเกิดความเลื่อมใส พอใจที่จะปฏิบัติตามน้ี เป็นหน้าที่โดยตรงของพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา อยู่แล้ว นอกจากจะเป็นทางให้ได้น�ำเอาของดีในพระไตรปิฎกมาเผยแผ่แล้ว ยงั เป็นการสนบั สนุนใหข้ า้ พเจ้าได้กระท�ำหน้าทข่ี องตนเปน็ อยา่ งดีอกี ด้วย ก่อนอน่ื ขอเรยี นให้ท่านผฟู้ งั บรรดาทีม่ าประชุม ณ ท่นี ีท้ ราบว่า การแสดงปาฐกถาในวนั น้ี คงจะมีขาดตกบกพร่องบ้าง เพราะในช้ันเดิมทราบว่า พุทธสมาคมจักอาราธนา ให้ข้าพเจ้ามาแสดงในวันเสาร์ ต้นเดือนธันวาคม ซ่ึงห่างจากนี้ไป ๓ สัปดาห์ แต่คร้ันแล้วจะเป็นด้วยเหตุบังเอิญ หรือเป็นโชคดีของท่านผู้ฟังจะได้ฟังเรื่อง ของดีในพระไตรปิฎกเร็วเข้าก็อาจเป็นได้ พุทธสมาคมนี้จึงได้อาราธนาให้มา แสดงในวันนี้ ซ่ึงท�ำให้เวลาท่ีจะค้นคว้ามีน้อย และอาจเป็นเหตุให้บกพร่องไปบ้าง
92 ตามธรรมดาของปุถุชน ดังภาษิตท่ีว่า สี่เท้ารู้พลาด นักปราชญ์รู้พลั้ง เมื่อเป็น เช่นน้ี จึงหวังว่าท่านผู้ฟังคงจะเมตตาให้อภัยแก่ข้าพเจ้าในเพราะปาฐกถา บกพร่องไปบ้าง ต่อแต่นี้จะได้ด�ำเนินเรื่องในหัวข้อท่ีว่าของดีในพระไตรปิฎกต่อไป บรรดาศาสนาท่มี ีอยู่ในโลกทุก ๆ ศาสนา ลว้ นม่งุ สอนให้คนตงั้ หน้าทำ� ดี ประพฤติดี ตามลัทธิตามความเห็น และความเข้าใจของศาสดาผู้เป็นเจ้าของ แห่งศาสนานั้น ๆ และศาสนาน้นั ๆ แต่ละศาสนากม็ ีคมั ภรี ์ประจำ� ศาสนาของตน ๆ ไว้เป็นหลักในการเผยแผ่ส่ังสอน เหมือนรัฐบาลซ่ึงมีนโยบายไว้เป็นหลักใน การบริหารราชการแผ่นดินฉะนั้น ตัวอย่างเช่น ศาสนาคริสต์มีคัมภีร์ไบเบิลเป็น หลัก ศาสนาอิสลามมีคัมภีร์โกหร่านหรือกุระอ่านเป็นหลัก ศาสนาพราหมณ์มี คัมภีร์ไตรเพทเป็นหลัก ศาสนาขงจื้อคัมภีร์ซีซูหรือโงวเก็งเป็นหลัก ศาสนาพุทธ มีคัมภีร์พระไตรปิฎกเป็นหลัก ในโอกาสน้ีจะพูดแต่เฉพาะคัมภีร์พระไตรปิฎก เท่านน้ั อันคัมภีร์พระไตรปิฎกน้ัน เป็นท่ีรู้กันอยู่ทั่ว ๆ ไปในหมู่ศาสนิกว่า เป็น พุทธภาษิตท่ีออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าเป็นส่วนมาก มีคาถาซ่ึงท่าน โบราณาจารย์ประพันธ์ไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่า พระไตรปิฎกเป็นพระพุทธภาษิต ที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าว่า มุนินฺทวทนมฺพุชคพฺภสมฺภวสุนฺทรี ปาณีนํ สรณํ วาณี มยฺหํ ปิณยตํ มนํ ซ่ึงแปลว่า นางฟ้าคือพระไตรปิฎก มีรูป อันงดงาม เกิดแต่ห้องแห่งดอกบัวคือพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นจอม แห่งปราชญ์ทั้งหลาย เป็นท่ีพ่ึงของสัตว์มีปราณท้ังหลาย จงยังใจของข้าพเจ้า ให้ยินดีดังนี้ ด้วยคาถาน้ี ท่านยืนยันว่าพระไตรปิฎกนั้น ออกจากพระโอษฐ์ของ พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสเป็นส่วนมาก นอกจากนั้นยังมีภาษิตของ พระเถระพุทธสาวกรวมอยู่ด้วยเช่นกัน เช่น สังคีติสูตร ท่านว่าเป็นภาษิตของ พระสารีบุตร อนุมานสูตร เป็นภาษิตของพระโมคคัลลานะเป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีภาษิตของผู้อ่ืนอีก เช่น ภาษิตของพระอินทร์ พระพรหม ฤาษี และ นางภิกษุณีเป็นต้นรวมอยู่ด้วย แม้จะมีภาษิตของท่านผู้อ่ืนรวมอยู่ในพระไตรปิฎก
93 บ้างก็ตาม หากภาษิตนั้นไม่ขัดแย้งกับหลักส�ำหรับตัดสินพระธรรมวินัยของ พระพุทธเจ้าท่ีทรงแสดงแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี (ในโคตมีสูตร พระไตรปิฎก เล่ม ๒๓) มีอยู่ ๘ ประการแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงรับรองว่าเป็นภาษิตของ พระองค์ ซ่ึงแม้จะถวายเข้าในพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าก็ไม่ผิด เพราะมี หลักฐานทอี่ า้ งดงั กลา่ วมานี้ คำ� ว่า พระไตรปฎิ กน้ี ไม่ปรากฏวา่ มีเรยี กใชใ้ นสมยั เมือ่ ยงั ทรงพระชนมอ์ ยู่ จะมีก็แต่เพียงค�ำว่า ปิฎกเฉย ๆ เช่น ในกาลามสูตร (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๐ หน้า ๒๔๓) ซ่ึงพระพุทธเจ้าตรัสสอนชาวกาลามะมิให้เช่ือโดยอาการ ๑๐ อย่าง ใน ๑๐ อย่างนั้น มีข้อหนึ่งว่า มา ปิฏกสมฺปทาเนน ซ่ึงแปลว่า ท่านทั้งหลาย อย่าเชื่อโดยอ้างปิฎก (คือต�ำรา) ดังน้ี เพราะฉะน้ัน จึงไม่พบค�ำว่า เตปิฏกํ ใน พระไตรปิฎกเลย เห็นมีท่ีใช้แต่ นวังคสัตถุศาสน์ (ค�ำสอนของพระศาสดามี องค์ ๙ คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภตู ธมั มะ เวทัลละ) และท้ัง ๙ องค์นีม้ ีในพระไตรปฎิ กครบถ้วน เม่ือพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระมหากัสสปเถระได้ปรารภ เหตทุ ส่ี ภุ ทั ทวฑุ ฒบรรพชติ กลา่ วจาบจว้ งหมนิ่ พระธรรมวนิ ยั และชกั ชวนพระอรหนั ต์ ทั้งหลาย บรรดาท่ีได้บรรลุวิชชา ๓ และอภิญญา ๖ เท่าท่ีมีอยู่ในเวลาน้ัน ซึ่ง ล้วนแต่เป็นผู้จ�ำทรงพระธรรมวินัยไว้เป็นแบบฉบับ ซึ่งนับแต่พุทธปรินิพพาน ประมาณได้ ๓ เดือน เม่ือพระอรหันต์ทั้งหลายท�ำสังคายนาร้อยกรอง พระธรรมวินัย ก็จัดค�ำสอนนั้น ๆ ของพระพุทธเจ้ารวมไว้เป็นหมวด ๆ ส่วนที่ เก่ียวกับพระวินัยทรงบัญญัติเพ่ือภิกษุบริษัทเป็นต้น ทั้งท่ีเป็นข้อห้ามและ ขอ้ ท่ที รงอนุญาต ท่านกร็ ้อยกรองรวมไวเ้ ป็นหมวดหนง่ึ เรยี กวา่ วนิ ยั ปิฎก สว่ นที่ เก่ียวกับพระสูตร ซึ่งเป็นเทศนามีบุคคลเป็นที่ต้ัง อันเรียกว่า บุคคลาธิษฐาน ข้นึ ตน้ ดว้ ยค�ำว่า เอวมฺเม สตุ ํ เป็นอาทิ หรือเปน็ คำ� รอ้ ยแกว้ เปน็ คาถา เป็นชาดก เป็นต้น ท่านก็ร้อยกรองรวบรวมไว้เป็นหมวดหน่ึง เรียกว่าสุตตันตปิฎก ส่วนท่ี เกี่ยวกับค�ำสอนช้ันสูง ธรรมะละเอียดสุขุมลึกซึ้งข้ึนไปโดยล�ำดับ อันว่าด้วย
94 จติ ต์ ขันธ์ ธาตุ และอายตนะเป็นตน้ ทา่ นกร็ ้อยกรองรวบรวมไว้เปน็ หมวดหน่ึง เรียกว่า อภิธรรมปิฎก รวมปิฎกทั้ง ๓ นี้ เรียกว่า พระไตรปิฎก แปลว่า ต�ำรา หรือคัมภีร์ ๓ อย่าง คือต�ำราหรือคัมภีร์ที่เกี่ยวกับพระวินัย เรียกวินัยปิฎก ๑ ต�ำราหรือคัมภีร์ท่ีเก่ียวกับพระสูตรเป็นต้น เรียกสุตตันตปิฎก ๑ ต�ำราหรือ คัมภีรเ์ กีย่ วกับพระอภธิ รรม เรยี กอภิธรรมปฎิ ก ๑ ในปฎิ กทง้ั ๓ น้ี เฉพาะวนิ ยั ปฎิ ก ปรากฏวา่ พระอบุ าลีเถระเปน็ ผไู้ ดศ้ ึกษา จ�ำทรงแตกฉานเชี่ยวชาญมากกว่าใคร ๆ จนถึงได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นเอตทัคคะในทางนี้ ส่วนสุตตันตปิฎกและอภิธรรมปิฎก ปรากฏว่า พระอานนท์เถระพุทธอุปัฏฐากเป็นผู้จ�ำทรงไว้ได้มากและแม่นย�ำช�่ำชอง จนถึง ได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะในทางนี้ และมีสมญาว่าเป็น คลงั พระสัทธรรมด้วย พระไตรปิฎกนั้น ชั้นเดิมได้จ�ำทรงกันมาโดยมุขปาฐะคือโดยปากเปล่า ยังมิได้จารึกลงในลานหรือพิมพ์เป็นเล่มเหมือนในบัดน้ี ต่อมาเม่ือมีการ สังคายนาพระธรรมวินัยคร้ังที่ ๕ ภายหลังแต่พุทธปรินิพพานแล้วประมาณ ๔๔๓ ปี พระมหาเถระในคร้ังน้ันได้ประชุมกันพิจารณาเห็นว่า ต่อไปในอนาคต กลุ บุตรจักมปี ญั ญาเสอื่ มถอยน้อยลงไป ไมส่ ามารถจำ� ทรงพระไตรปิฎกพุทธวจนะ ไว้ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ได้ เกรงว่าของดี ๆ อันมีอยู่ในพระไตรปิฎกจะเสื่อมสูญ ไปจากโลก จึงได้ช่วยกันจัดให้มีการจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลานไว้เป็น หลักฐานท่ีลังกา และต่อมาก็ได้มีการคัดลอกถ่ายทอดกันสืบมาโดยล�ำดับและ เผยแผ่ไปในประเทศน้อยใหญ่บรรดาประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา และ พระไตรปิฎกน้ันก็ได้มาประดิษฐานอยู่ในประเทศไทยครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งได้ ถ่ายทอดจากใบลาน ตีพิมพ์เป็นเล่มขึ้นแล้วถึง ๒ คร้ัง ครั้งแรกตีพิมพ์ใน รัชสมัยแห่งสมเด็จพระปิยมหาราช รัชกาลที่ ๕ และครั้งที่ ๒ ในรัชสมัยแห่ง สมเด็จพระปกเกล้า ฯ รัชกาลท่ี ๗ ได้ทราบว่าการตีพิมพ์ท้ัง ๒ ครั้งนั้น พระเถรานุเถระท่ีได้ทรงอาราธนาให้รับเป็นธุระในการน้ี ได้สอบสวนเทียบเคียง
95 กับพระไตรปิฎกของต่างประเทศแล้ว เห็นว่าสอดคล้องต้องกัน แม้จะมี ผิดแผกแตกต่างกันไปบ้างก็ในส่วนเล็กน้อย แต่ใจความส�ำคัญน้ันเหมือนกัน ตรงกันแล้วจึงพิมพ์ข้ึน ขนานนามว่า สยามฺรฏฺฐสฺส เตปิฏกํ (พระไตรปิฎก สยามรฐั มีจำ� นวน ๔๕ เลม่ ) เพราะฉะนัน้ จงึ ควรเชอ่ื ได้วา่ พระไตรปฎิ กสยามรัฐ ที่มีอย่ใู นประเทศไทยของเรานี้ เปน็ ฉบับที่สมบรู ณ์ และมีของดี ๆ อยูม่ าก ข้าพเจ้าได้เล่าถึงประวัติแห่งพระไตรปิฎกมาพอได้ใจความแล้ว บัดนี้ จะพูดถึงของดีที่อยู่ในพระไตรปิฎกน้ันต่อไป ได้กล่าวแล้วว่าพระไตรปิฎกนี้ โดยส่วนมาก เป็นภาษิตท่ีออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าดังนี้ เพราะฉะนั้น ส่ิงใดที่เป็นของพระพุทธเจ้า ๆ ทรงประทานไว้แก่พุทธบริษัท สิ่งน้ันย่อมดีและ มีค่ามาก ซึ่งควรสงวนรักษาไว้มิให้สูญ เหมือนมรดกอันมีค่าท่ีมารดาหรือบิดา ให้แก่บตุ รธดิ า ควรที่บตุ รธิดาจะรกั ษาไวม้ ใิ ห้สญู ฉะนน้ั อน่ึง ขอเรียนให้ท่านผู้ฟังทั้งหลายทราบว่า ข้าพเจ้ามิใช่พระอานนท์ ซ่ึง เป็นคลังพระสัทธรรม จ�ำทรงพระสูตรและพระอภิธรรมไว้ได้มาก และมิใช่ พระอุบาลีท่ีเชี่ยวชาญในพระวินัย เป็นแต่เพียงมีความรู้และจ�ำทรงไว้ได้บ้าง เล็กน้อย พอท่ีจะน�ำเอาของดีในพระไตรปิฎกมาเล่าสู่กันฟังได้ เพ่ือประดับ ความรแู้ ละเป็นทางปฏบิ ัตติ ่อไป พระพุทธเจ้าได้ทรงประทานค�ำสอนไว้มาก เพื่อให้เหมาะสมแก่อัธยาศัย ของเวไนยสัตว์ซึ่งมจี ริตตา่ ง ๆ กนั เหมือนวางยาไวม้ ากมายหลายขนาน เพ่ือให้ เหมาะสมแก่โรคซ่ึงมีหลายชนิด และค�ำส่ังสอนที่ทรงประทานไว้น้ัน ย่อมเป็นไป เพ่ืออ�ำนวยประโยชน์ท้ัง ๓ ประการ คือ ประโยชน์ชาติน้ี คือ ลาภ ยศ ไมตรี สรรเสรญิ สุข ๑ ประโยชนใ์ นชาตหิ น้า คอื สคุ ตโิ ลกสวรรค์ ๑ ประโยชน์อยา่ งยง่ิ คือ พระนิพพาน ๑ ผู้ต้องการประโยชน์ในชาติน้ีชาติหน้า พระองค์ก็ทรงแสดง ปฏิปทาวิธีที่จะปฏิบัติเพ่ือให้ได้ประโยชน์ในชาตินี้ชาติหน้า ผู้ต้องการประโยชน์ อย่างย่ิง คือพระนิพพาน พระองค์ก็ทรงแสดงปฏิปทาวิธีที่จะปฏิบัติเพื่อให้ได้
96 ประโยชน์อย่างยิ่ง คือพระนิพพาน ประโยชน์ท้ัง ๓ ประการน้ีมีพร้อมบริบูรณ์ ในพระไตรปฎิ กไมบ่ กพรอ่ งเลย พระไตรปิฎกนั้น เป็นเหมือนลายแทงบอกขุมทรัพย์ ว่ามีทรัพย์ฝังอยู่ ท่ีนั่นบ้าง ท่ีน่ีบ้าง ผู้ที่พบลายแทงบอกขุมทรัพย์แล้ว ต้องการทรัพย์ก็เพียร พยายามขุดค้นหาทรัพย์ซึ่งฝังอยู่ในดิน ไม่นานนักก็จักได้ทรัพย์ที่ต้องการ สมประสงค์ฉันใด พระไตรปิฎกก็ฉันน้ัน เป็นลายแทงชี้ขุมทรัพย์ คือประโยชน์ ในชาตินี้บ้าง ชี้ขุมทรัพย์คือประโยชน์ในชาติหน้าบ้าง ชี้ทางนรกบ้าง ช้ีทาง สวรรค์บ้าง ช้ีทางพระนิพพานบ้าง ผู้ใดพบพระไตรปิฎกหรือได้สดับข้อธรรมใน พระไตรปฎิ กแลว้ ต้องการประโยชน์อย่างไหน และชอบทางใด ตอ้ งคน้ ควา้ และ ปฏิบัติตามทางและวิธีท่ีทรงช้ีไว้ เพ่ือให้ได้ประโยชน์อย่างน้ัน และบรรลุถึง ทางนน้ั สมประสงค์ ในโอกาสนี้ จะขอน�ำของดใี นพระไตรปิฎกมาแสดงสักเพยี ง ๓ เรอ่ื งกอ่ น คือ ๑. เรื่องความเกิดความตาย ๒. เร่ืองความอัศจรรย์แห่งบุญ ๓. เร่ือง แกป้ ริศนาธรรม ตามลำ� ดับไป
97 ๑. เร่ืองความเกดิ ความตาย เรอ่ื งความเกดิ ความตายน้ี เป็นปญั หาที่สำ� คัญยิง่ เพราะมคี นสนใจใคร่รู้ กันมาก เร่ืองเกิดแล้วตายไม่มีปัญหาอะไรที่ซ่อนเร้นน่าสงสัย เพราะใคร ๆ ก็ เห็นประจักษ์ด้วยตนว่า คนท่ีเกิดแล้วต้องตายทุกคน ส่วนเรื่องตายแล้วเกิด หรือไม่น่ีซิ เป็นปัญหาน่าสงสัย เพราะไม่มีใครเห็นประจักษ์ด้วยตาว่าตายแล้ว ไปไหน เว้นแต่ท่านท่ีมีญาณจักษุเท่าน้ันจึงจักรู้ได้ เพราะเหตุนี้ เม่ือมีบางคน บอกเราว่าตายแล้วเกิด เราจึงมักไม่ใคร่เช่ือ เพราะไม่สามารถพิสูจน์ให้เราเห็น ได้ด้วยตาตน ถ้าหากว่าจะเชื่อ ก็เชื่ออย่างไม่สนิทใจนัก ข้อความที่ว่าด้วยเรื่อง ตายแล้วเกิดนี้ มีปรากฏในพระไตรปิฎกหลายแห่ง บางคนที่อยากรู้ก็คิดต้ังปัญหา ถามว่า คนตายแล้วเกิดหรือไม่? ถ้าตอบว่าเกิด ก็คงถามต่อไปอีกว่า ไปเกิด ที่ไหน ไปเกดิ ในสวรรค์หรอื ในนรก ถา้ ตอบว่าทำ� ดีไวม้ าก ท�ำบญุ ไว้มากตายแลว้ ก็ไปเกิดในสวรรค์ ถ้าท�ำช่ัวไว้มาก ท�ำบาปไว้มาก ตายแล้วก็ไปเกิดในนรกเช่นน้ี ก็คงจักแย้งว่า คนตายแล้วถ้าไปเกิดจริงอีก ก็ควรจะกลับมาบอกกันบ้างซิ นี่ไม่ปรากฏว่าคนท่ีตายแล้วกลับมาบอกว่าตนได้ไปเกิดในสวรรค์ได้รับความ สขุ ส�ำราญมวี ิมานอยเู่ พราะท�ำบุญอยา่ งน้ัน ๆ ไว้ คนทอี่ ยู่ขา้ งหลงั จะไดไ้ มป่ ระมาท
98 รีบท�ำบุญกุศลบ้าง หรือบอกว่าตนได้ไปเกิดในนรกขุมนั้น ๆ ได้รับความทุกข์ ทรมานแสนสาหสั เพราะท�ำบาปท�ำชวั่ อย่างนั้น ๆ ไว้ คนที่อยู่ข้างหลงั จะไดล้ ะเว้น ไมท่ �ำบาปท�ำชวั่ ทำ� แต่บุญกศุ ลต่อไป ถามว่า คนท่ีตายไปแล้วกลับมาบอกที่เกิดของตนมีหรือไม่? ตอบว่ามี ขออ้างชนวสภสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎก เล่ม ๑๐ ใจความใน สูตรน้ันว่า พระพุทธเจ้าตรัสเล่าถึงเรื่องพระเจ้าพิมพิสาร ซ่ึงเสด็จสวรรคตแล้ว กลับมาทูลที่เกิดของพระองค์แด่พระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าตรัสเล่าให้ พระอานนท์ฟังว่า ดูก่อนอานนท์ ยักษ์เทพตนหน่ึงไม่แสดงกายให้ปรากฏ ส่งเสียงร้องว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ชื่อชนวสภะ ข้าแต่พระสุคต ข้าพระองค์ช่ือว่าชนวสภะ และในขณะท่ีส่งเสียงร้องนั้นเอง ได้มียักษ์มีกาย ใหญ่โตส�ำแดงตนให้ปรากฏแก่หน้าเราตถาคต แล้วเปล่งวาจา ๒ คร้ังว่า ข้าแต่ พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์คือพระเจ้าพิมพิสาร ข้าแต่พระสุคต ข้าพระองค์ คือพระเจ้าพิมพิสาร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไปเกิดเป็นสหายของ ทา้ วเวสสวุ รรณมหาราช ครัง้ ที่ ๗ ต่อจากน้ีจุติไปเกดิ เปน็ พระราชาในมนุษยโ์ ลก ขา้ พระองคจ์ ุตจิ ากมนุษย์โลก ๗ ครงั้ เกดิ ในเทวโลก ๗ คร้ัง ท่องเท่ียวอยู่รวม ๑๔ คร้ัง ข้าพระองค์ยังจ�ำสถานที่ ๆ เคยอยู่ในปางก่อนได้ ข้าพระองค์มีอันไม่ ตกต่�ำเป็นธรรมดา และความหวังเพ่ือความเป็นสกิทาคามีของข้าพระองค์ยัง ด�ำรงอยู่ดว้ ยดี ดังนี้ ข้อความในพระสูตรท่ียกมาอ้างน้ี เป็นเคร่ืองชี้ให้เห็นเด่นชัดว่า คนตาย แลว้ กลับมาบอกคตทิ ไ่ี ปของตนได้กม็ ี และเหน็ จะมีมากกว่ารายเดยี ว ท่พี บแล้ว ก็เพียงพระเจ้าพิมพิสารเท่านั้น หรือจะมีปรากฏในคัมภีร์อ่ืนใดอีก เช่นคัมภีร์ ไบเบิล หรือคมั ภีรโ์ กหรา่ นอีก ขา้ พเจ้ายงั ไมพ่ บ หากจะมีผู้ถามว่า ก็เม่ือคนตายแล้วกลับมาบอกท่ีเกิดได้เช่นน้ี เหตุไฉน สามัญชนจงึ รู้ไมไ่ ด้ ขอตอบวา่ เพราะเหตวุ า่ สามัญชนคอื คนทมี่ ีกเิ ลสอย่างเรา ๆ น่ี ยังไม่ได้บรรลุวิชชาในพระพุทธศาสนา จึงไม่สามารถรู้ได้ วิชชาในพระพุทธศาสนา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300