โสวฒั นธรรมอีสานในงานวจิ ยั
หนงั สือชุดการประเมินและสังเคราะห์ สถานภาพองค์ความรู้จากการวจิ ยั วฒั นธรรม เล่ม 3 โสวัฒนธรรมอสี าน บรรณาธิการหนงั สอื ชดุ อานนั ท์ กาญจนพันธ์ุ บรรณาธิการเล่ม สมศักดิ์ ศรีสันติสุข ผู้จัดพมิ พ์ ภาควิชาสงั คมวทิ ยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ 239 ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชยี งใหม่ โทร. 053-943546 Email : [email protected] Website : www.soc.cmu.ac.th แบบปก สขุ มุ ชวี าเกยี รตยิ ่ิงยง พมิ พ์ท ่ี บลมู มง่ิ ครีเอชัน่ 77/1 หมู่ 5 ต.สุเทพ อ.เมอื ง จ.เชยี งใหม่ โทร. 081-7165246 พมิ พ์ครั้งท่ี 1 มนี าคม 2558 จ�ำนวน 500 เล่ม สนับสนนุ การจัดพมิ พ์ สำ� นกั งานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (ปัจจบุ ัน กรมส่งเสรมิ วฒั นธรรม กระทรวงวฒั นธรรม) ขอ้ มูลทางบรรณานกุ รมของส�ำนกั หอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data สมศกั ด์ิ ศรสี นั ติสขุ . โสวฒั นธรรมอสี าน.-- เชยี งใหม่ : ภาควชิ าสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่, 2015. 317 หน้า. -- (การประเมินและสังเคราะห์ สถานภาพองค์ความรู้จากการวิจยั วัฒนธรรม เล่ม 3). 1. ไทย--ความเป็นอยู่และประเพณ.ี 2. วฒั นธรรมไทย--ท้องถ่นิ --ไทย. I. ชือ่ เรอื่ ง. 390.09593 ISBN 978-974-672-952-9
ค�ำ นำ� หนงั สอื ชดุ นม้ี อี ยดู่ ว้ ยกนั 4 เลม่ เกดิ จากความพยายามปรบั ปรงุ ผลงานวจิ ยั ใน “โครงการประเมินและสังเคราะห์สถานภาพองค์ความรู้การวิจัยวัฒนธรรมใน ประเทศไทย” ทไี่ ดร้ บั การสนบั สนนุ จากส�ำนกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาติ (สวช.) หรือ กรมส่งเสริมวัฒนธรรมในปัจจุบัน ภายใต้ความรับผิดชอบของคณะ อนกุ รรมการวิจัยวัฒนธรรม ที่มี ศ.ดร.อานนั ท์ กาญจนพันธุ์ เป็นประธาน เพ่ือ ประมวลรวบรวมและศึกษาวิเคราะห์งานวิจัยทางวัฒนธรรมท่ีผลิตขึ้นมาในช่วง ระหว่าง พ.ศ.2537-2547 จากความพยายามดงั กลา่ ว คณะผวู้ จิ ยั ไดช้ ว่ ยกนั ปรบั ปรงุ และเขยี นผลงาน วิจัยขึ้นมาใหม่ ในลกั ษณะเป็นบทความ ตามประเด็นหลัก 4 ประเดน็ ทไ่ี ด้มาจาก การแยกแยะออกมาศึกษาวิจัยในโครงการดังกล่าว เพื่อช้ีให้เห็นถึงความสัมพันธ์ เช่ือมโยงกันอย่างซับซ้อน ประกอบด้วย 1. พลงั ความคิดและภูมิปัญญา 2. ศิลปและวฒั นธรรม 3. ความหลากหลายทางชาตพิ ันธ์ุ 4. วฒั นธรรมกบั การพัฒนา ในการด�ำเนินงานวิจัยของโครงการนี้ได้แบ่งกลุ่มศึกษาแยกออกมาเป็น ภมู ภิ าค รวม 4 ภาคคอื ภาคกลาง ภาคเหนอื ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และภาคใต้ ซึ่งท�ำให้การจัดพิมพ์ครั้งนี้ต้องแยกหนังสือออกเป็น 4 เล่มตามรายภาคด้วย เช่นเดียวกัน
แม้โครงการวิจัยนจ้ี ะเริ่มท�ำงานครั้งแรกต้ังแต่ปีพ.ศ.2547 แต่ก็ต้องอาศัย กระบวนการท�ำงานและการประสานงานที่ซับซ้อน และต้องเผชิญกับปัญหา ขลกุ ขลกั อยา่ งมากมาย เพราะเกย่ี วขอ้ งกบั นกั วชิ าการจ�ำนวนมาก ทเ่ี ขา้ มามสี ว่ นรว่ ม จากแต่ละภูมิภาค จนต้องใช้เวลานานมากจึงส�ำเร็จลุล่วงไปได้ และในท้ายที่สุดก็ สามารถปรบั ปรงุ ผลการวจิ ยั นนั้ เพอื่ เขยี นเป็นบทความยอ่ ยๆ และพมิ พอ์ อกมาเป็น หนงั สือท้ัง 4 เล่มน้ี ซ่ึงน่าจะมีส่วนส�ำคัญในการกระตุ้นและผลักดันงานวิจัยทาง วัฒนธรรมให้มีพลงั ทางสติปัญญามากยง่ิ ขน้ึ ในระยะแรกของการวจิ ยั จะเนน้ เฉพาะการส�ำรวจและรวบรวมผลงานวจิ ยั ทง้ั ในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ด้วยการประมวลและสร้างเป็นบรรณานกุ รมข้นึ มา พร้อมกับการปริทัศน์เน้ือหาสรุป เพื่อให้เป็นข้อมูลพื้นฐานท่ีช่วยช้ีหมุดหมายและ ทิศทางการวิจัยส�ำหรับช่วงเวลาดังกล่าว พร้อมทั้งอ�ำนวยความสะดวกให้กับการ ค้นคว้าวิจยั ทางวฒั นธรรมในอนาคต สว่ นในระยะทสี่ องของการวจิ ยั นกั วจิ ยั ในโครงการจะประเมนิ และสงั เคราะห์ สถานภาพความรู้ของงานวิจัยทางวัฒนธรรม ตามประเด็นต่างๆ ท่ีได้แยกแยะ ไว้แล้วข้างต้น โดยให้ความส�ำคัญกับการวิเคราะห์เนื้อหาความรู้ที่ค้นพบจากการ วจิ ยั ตลอดจนประเมนิ แนวความคดิ และวธิ วี ทิ ยาทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั เพอื่ เปดิ เวทใี หเ้ กดิ การถกเถยี ง และชว่ ยแสวงหาทางเลอื กใหมๆ่ ในการพฒั นางานวจิ ยั ทางวฒั นธรรม ต่อไป ส�ำหรับการปรบั ปรงุ ผลงานวิจยั จากโครงการน้ี เพอ่ื เขียนเป็นบทความและ พิมพ์เป็นหนงั สือในครั้งน้ี ผู้เขียนบทความแต่ละคนได้เลือกงานวิจัยเพียงบางส่วน ท่ีน่าสนใจเท่านน้ั ข้ึนมาประเมินและสังเคราะห์เท่าที่จะท�ำได้ในวงจ�ำกัด แต่บาง บทความก็ได้พยายามศึกษางานวิจัยใหม่ๆ เพิ่มเติมขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อให้ ครอบคลุมและเป็นประโยชน์มากที่สุด ต่อการพัฒนางานวิจัยทางวัฒนธรรมใน อนาคต
ในนามของประธานคณะวิจัยต้องขอขอบคุณนกั วิจัยในโครงการทุกท่าน ที่ช่วยกันผลักดันการวิจัยท่ียากล�ำบากนจ้ี นส�ำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และขอขอบคุณ ส�ำนกั งานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) และ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ในปจั จบุ นั ในการสนบั สนนุ โครงการวจิ ยั ทมี่ คี วามส�ำคญั ต่อการชหี้ มดุ หมายใหก้ บั เสน้ ทางการวจิ ยั ทางวฒั นธรรม และมปี ระโยชนอ์ ยา่ งยง่ิ ตอ่ การพฒั นางานวจิ ยั ทาง วฒั นธรรมให้เป็นอีกพลงั หนงึ่ ในการขับเคลอ่ื นสงั คมไทย อานนั ท์ กาญจนพันธ์ุ เชยี งใหม่ 2557
สารบัญ บทท่ี 1 บทน�ำ 9 สมศักดิ์ ศรีสันตสิ ขุ บทท่ี 2 พลวตั ทางวฒั นธรรมของความหลากหลายทางชาตพิ นั ธ์ุ สมศักด์ิ ศรสี ันติสขุ 2.1 บทนำ� 29 2.2 พลวตั ของวถิ ีชมุ ชนและอัตลกั ษณ์ของกลุ่มชาตพิ ันธ์ุ 32 2.3 พลวัตของความเชอ่ื ในวถิ ีชวี ติ 37 2.4 พลังภูมิปัญญาในวิถชี วี ิต 42 2.5 พลวตั วัฒนธรรมในการพฒั นา 49 2.6 ความหลากหลายของชวี ติ วฒั นธรรมทางศลิ ปะ 51 2.7 แนวคดิ ทฤษฎแี ละวธิ กี ารศกึ ษา 58 2.8 บทสรุปและข้อเสนอแนะ 77 บทที่ 3 พลังความคดิ และภมู ิปญั ญา 95 100 สมศกั ด์ิ ศรีสันตสิ ขุ 122 3.1 บทนำ� 129 3.2 พลงั ความคดิ และอุดมการณ์ 159 3.3 พลงั ภูมปิ ัญญาด้านทุนเศรษฐกจิ 165 3.4 ภมู ปิ ัญญาในฐานพลังชุมชน 3.5 แนวคิด ทฤษฎี และปัญหาทางวิธีวทิ ยา 3.6 บทสรปุ และข้อเสนอแนะ
บทที่ 4 พลวัตทางวัฒนธรรมในวิถีของการพฒั นา สมมาตร์ ผลเกดิ 4.1 บทน�ำ 185 4.2 เศรษฐกจิ ชุมชน การเกษตร ความยากจน และแรงงาน 194 4.3 การพัฒนาชุมชน 203 4.4 ส่ิงแวดล้อมและสุขภาพ 208 4.5 ศาสนา ความเชื่อ วัฒนธรรมและการท่องเท่ยี ว 213 4.6 แนวความคดิ วฒั นธรรมเพอื่ การพัฒนา 216 4.7 ผลกระทบจากการใช้วฒั นธรรมเป็นเคร่อื งมอื ในการพฒั นา 219 4.8 บทสรปุ และข้อเสนอแนะ 226 บทที่ 5 พลังทางวัฒนธรรมในศลิ ปะอีสาน 239 248 ชลิต ชยั ครรชติ 256 5.1 บทน�ำ 268 5.2 ศลิ ปกรรม ศิลปะและสนุ ทรียศาสตร์ 284 5.3 วฒั นธรรมหมอล�ำ ในศลิ ปะการแสดงและดนตร ี 295 5.4 พลังวัฒนธรรมในงานสถาปัตยกรรมและหตั ถกรรม 5.5 แนวคิด ทฤษฎี และวธิ วี ิทยากบั ปัญหาการวจิ ยั 5.6 บทสรุป
บทท่ี 1 บทนำ� สมศักดิ์ ศรีสนั ติสุข คำ� วา่ วฒั นธรรม (culture) นี้ มคี นทเ่ี ขา้ ใจสบั สน ทำ� ใหม้ คี วามเขา้ ใจทแี่ ตกตา่ ง กันตามความรู้และพน้ื ฐานของตน พอจะแยกความหมายของวฒั นธรรมได้ ดงั น้ี วัฒนธรรมในทางภาษานนั้ ค�ำว่าวฒั นธรรมเป็นค�ำทม่ี าจากภาษาบาลีและ สนั สกฤต คำ� วา่ “วฒั น” เปน็ ภาษาบาลี แปลวา่ สงิ่ ทเ่ี จรญิ งอกงาม ความกา้ วหนา้ “ธรรม” เปน็ ภาษาสนั สกฤต หมายถงึ คณุ ความดี เมอ่ื มารวมกนั แลว้ มคี วามหมาย ถึงคุณธรรมหรือลักษณะท่ีแสดงถึงความเจริญงอกงาม ความหมายดังกล่าวนค้ี น ท่ัวไปมักจะเข้าใจกัน นอกจากนี้วัฒนธรรมในแง่ท่ีใช้กันท่ัวๆ ไปอีกอย่างหนงึ่ คือ วัฒนธรรมมัก จะหมายถึงบรรดาขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ที่ตกทอดมาต้ังแต่บรรพบุรุษ เช่น พิธีแห่เทียนเข้าพรรษา พิธีท�ำบุญสงกรานต์ พิธีท�ำบุญเทศน์มหาชาติ และ พิธีทอดกฐิน เป็นต้น บางครั้งวัฒนธรรมมีความหมายถึงพฤติกรรมที่บุคคล ช้ันสูงได้ปฏิบัติกัน หรือบุคคลที่มีระดับการศึกษาสูงปฏิบัติกัน ท�ำให้มีการ เปรยี บเทยี บระหวา่ งคนชนั้ สงู และคนชน้ั ตำ�่ คอื ถา้ หากวา่ คนชน้ั ตำ�่ ทำ� ผดิ วฒั นธรรม กจ็ ะถกู กล่าวว่าเป็นคนที่ไม่มีวัฒนธรรม
10 โสวฒั นธรรม ตลอดจนวฒั นธรรมในทางการปกครองมลี กั ษณะทคี่ นทวั่ ไปเขา้ ใจกนั กลา่ ว คอื ประเทศไทยเคยกำ� หนดความหมายของวฒั นธรรมในพระราชบญั ญตั วิ ฒั นธรรม แห่งชาติ พ.ศ.2485 ว่า “ลักษณะท่ีแสดงถงึ ความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบยี บ เรียบร้อย ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติ และศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน” อย่างไรก็ดี วัฒนธรรมในทางสังคมศาสตร์มีความหมายที่แตกต่างกับ ความหมายของคนทว่ั ไปท่ใี ช้กนั คือ นกั สังคมศาสตร์จะไม่เป็นเรอ่ื งคณุ ธรรม หรอื จรยิ ธรรมไมเ่ ปน็ เรอื่ งความดี ความเลว ความเหมาะสม และความไมเ่ หมาะสม แตจ่ ะ พจิ ารณาถงึ วฒั นธรรมในแงข่ องปจั จยั สำ� คญั ทอี่ ำ� นวยความสะดวกตอ่ การดำ� รงชวี ติ ของมนษุ ย์ในสงั คม จึงมีกระแสแนวความคิดทเี่ กีย่ วกบั “วฒั นธรรม” ว่า หมายถึง วิถีการด�ำเนนิ ชีวิต (The Way of Life) ของคนในสงั คม เช่น การกนิ การอยู่ การ แต่งกาย การท�ำงาน การพักผ่อน การแสดงอารมณ์ การส่ือสาร การจราจรและ ขนส่ง การอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ และหลักเกณฑ์การด�ำเนนิ ชีวิต เป็นต้น โดยมี การประพฤติปฏบิ ัตสิ บื ต่อกนั มา นอกจากการเขา้ ใจความหมายของวฒั นธรรมแลว้ จะตอ้ งเขา้ ใจ และเรยี นรู้ ว่า วัฒนธรรมย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเง่ือนไขและกาลเวลา ซึ่งเกิดจากการ ประดษิ ฐห์ รอื ค้นพบสง่ิ ใหม่ วธิ ใี หม่ทใ่ี ชแ้ กป้ ัญหาและตอบสนองความต้องการของ สงั คมไดด้ กี วา่ ซง่ึ อาจทำ� ใหส้ มาชกิ ของสงั คมเกดิ ความนยิ ม และในทส่ี ดุ อาจเลกิ ใช้ วฒั นธรรมเดมิ ดงั นนั้ การรกั ษาหรอื ธ�ำรงไวซ้ ง่ึ วฒั นธรรมเดมิ จงึ ตอ้ งมกี ารปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงหรือพัฒนาวฒั นธรรมให้เหมาะสมอย่างมีประสิทธภิ าพตามยคุ สมัย เม่ือพิจารณาจากนิยามวัฒนธรรมข้างต้น เราอาจจะแยกความหมายของ วฒั นธรรมได้ 2 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 พวกท่นี ิยามวัฒนธรรม หมายถงึ ทกุ ส่งิ ทกุ อยา่ งทร่ี วมเอาความรู้ ความเชอ่ื ศลิ ปะ ศลี ธรรม กฎหมาย ประเพณี ความสามารถ และนิสัยอื่นๆ ที่มนุษย์ได้มาในฐานะเป็นสมาชิกของสังคม ในความหมายน้ี ได้พิจารณาความหมายของวัฒนธรรมในแง่ส่วนรวมของวิถีการด�ำเนินชีวิตใน สังคม ประเภทที่ 2 เป็นพวกท่ีพิจารณาความหมายของวัฒนธรรมในฐานะท่ีเป็น ระบบความคิด หรือในลักษณะระบบความรู้และความเช่ือที่คนในสังคมได้รับรู้
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 11 เพอ่ื นำ� มากำ� หนดรปู แบบพฤตกิ รรมตา่ งๆ ซง่ึ ในปจั จบุ นั มกั จะเรยี นตามแนวคดิ ของ สหประชาชาติ โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้ใช้ ภูมิปัญญามรดกทางวัฒนธรรม (intangible culture) อยา่ งไรกต็ ามส�ำหรบั ผ้เู ขยี นนนั้ มคี วามเหน็ ทงั้ สองประเภทรวมกนั กลา่ วคอื วัฒนธรรมจะหมายถึงวิถีแห่งการด�ำรงชีพท่ีมนุษย์สร้างขึ้น รวมทั้งระบบความรู้ ความคดิ และความเชอ่ื จนมกี ารยอมรบั ปฏบิ ตั กิ นั มา มกี ารอบรมและถา่ ยทอดไป สู่สมาชิกรุ่นต่อมา ตลอดจนมีการเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสภาพสิ่งแวดล้อมของ มนษุ ย์ มักจะเป็นทีท่ ราบกนั ดีว่า รฐั บาลได้ให้ความสนใจเกยี่ วกบั วฒั นธรรมอย่าง ต่อเนื่อง กล่าวคือหากชนชาติใด ไม่มีวัฒนธรรม ก็จะขาดความเป็นชาติ ดังนนั้ รฐั บาลไทยทกุ ยคุ ทกุ สมยั จงึ ใหค้ วามสำ� คญั ของวฒั นธรรมโดยไดก้ ำ� หนดเปน็ หนา้ ที่ หนง่ึ ในรฐั ธรรมนญู ราชอาณาจกั รไทยทกุ ฉบบั ในแนวนโยบายแหง่ ชาติ ทรี่ ฐั จะใหก้ าร สนบั สนนุ การวจิ ยั นอกจากนไ้ี ด้มหี น่วยงานเทยี บเท่ากรมในการทำ� หน้าท่ดี ้านการ วจิ ัยด้านต่างๆ เช่น คณะกรรมการวจิ ยั แห่งชาติ คณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ และคณะกรรมการสนับสนนุ การวิจัย เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างย่ิงคณะกรรมการ วัฒนธรรมแห่งชาติ ซึ่งต่อมาในปัจจุบัน ก็คือ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวง วฒั นธรรม ไดท้ ำ� หนา้ ทก่ี ารวจิ ยั วฒั นธรรมในระดบั ตา่ งๆ ภารกจิ เกยี่ วกบั การสง่ เสรมิ และบำ� รงุ รกั ษาวฒั นธรรมไทยโดยการศกึ ษา คน้ ควา้ วจิ ยั ฟน้ื ฟู อนรุ กั ษ์ พฒั นา เผยแพร่ และส่งเสริมหน่วยงานของรัฐ เอกชนและประชาชนที่ด�ำเนนิ งานด้านวัฒนธรรม รวมท้ังด�ำเนินการเก่ียวกับการประสานงานและแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม ดงั นน้ั วฒั นธรรมจงึ เปน็ เรอื่ งทส่ี ำ� คญั ของชาติ ชนชาตใิ ดใหค้ วามสำ� คญั ของการวจิ ยั ซ่ึงถือว่าการวิจัยเป็นกิจกรรมการพัฒนาปัญหาของชาติ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา ประเทศในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม ซ่ึงจะท�ำให้ชนชาตินนั้ มคี วามเข้มแข็ง และพฒั นาอย่างสมดุลกบั การเปลี่ยนแปลงในกระแสโลกาภิวัฒน์ ในทกุ ๆ ด้านดังกล่าว
12 โสวฒั นธรรม แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยแม้จะมีการพัฒนา และส่งเสริมการวิจัย ด้านเศรษฐกจิ การเมือง สงั คม และวฒั นธรรม ก็ยงั ไม่อาจใช้งานวจิ ยั โดยเฉพาะ การวิจัยวัฒนธรรม เป็นเคร่ืองมือสำ� คัญ เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาประเทศได้ ดังนน้ั กรมส่งเสริมวฒั นธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะทมี่ ภี าระหน้าทสี่ ำ� คญั อย่างหนง่ึ ในการส่งเสริมการวิจัยวัฒนธรรมอย่างสืบเน่ืองมาจนถึงปัจจุบัน จึงได้ ตระหนกั ถึงความส�ำคัญของการประเมินและสังเคราะห์สถานภาพองค์ความรู้การ วิจัยวัฒนธรรมในประเทศไทยท่ีผ่านมา เพ่ือจะได้รวบรวมข้อมูลด้านวัฒนธรรมท่ี ไดด้ ำ� เนนิ การมาแลว้ นำ� ไปเสนอในการจดั ทำ� เปน็ บรรณนทิ ศั นใ์ นรปู ของรายงานการ วจิ ยั และสบื คน้ ดว้ ยระบบ computer และเพอ่ื ประเมนิ สถานภาพองคค์ วามรู้ ซง่ึ จะ นำ� ไปสกู่ ารสงั เคราะหอ์ งคค์ วามรกู้ ารวจิ ยั วฒั นธรรมของสงั คมไทย ไดน้ �ำไปเผยแพร่ ในรูปของรายงานการวิจัย ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ต่อการนำ� ไปใช้ในการพัฒนาสังคม และทอ้ งถน่ิ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ และประสทิ ธผิ ลในการน�ำไปใชใ้ นการพฒั นาดา้ น เศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรมอย่างยัง่ ยืนสบื ไป ดงั นนั้ คณะอนกุ รรมการวจิ ยั วฒั นธรรมภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ส�ำนกั งาน คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติในยุคนนั้ (ปัจจุบัน คือ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม) จึงได้ส�ำรวจเอกสาร โดยก�ำหนดเป็นประเด็นต่างๆ ไว้เป็น 7 ประเด็น คือ พลังความคิดและภูมิปัญญา ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ศิลปวัฒนธรรม วัฒนธรรมกับการพัฒนา วัฒนธรรมชายขอบและวัฒนธรรมย่อย วฒั นธรรมกบั โครงสร้างเศรษฐกจิ และการเมอื ง และอตั ลกั ษณแ์ ละการปรบั ตวั ทาง วัฒนธรรม ปรากฏว่าเม่ือได้ส�ำรวจบรรณานกุ รมและจัดท�ำเป็นบรรณนทิ ัศน์แล้ว คงเหลือ 4 ประเด็นที่ต้องท�ำการส�ำรวจ เพื่อจัดท�ำบรรณานทิ ศั น์และบรรณานกุ รม คอื ความหลากหลายทางชาตพิ นั ธ์ุ พลงั ความคดิ และภมู ปิ ญั ญา วฒั นธรรมกบั การ พฒั นา และศลิ ปวฒั นธรรม โดยไดจ้ ดั พมิ พเ์ ปน็ หนงั สอื เลม่ นข้ี นึ้ เพอื่ เสนอบทความ วจิ ัยตามผลงานการศึกษาวิจยั วัฒนธรรมทงั้ 4 ประเด็นดงั กล่าว
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 13 การประเมินและสังเคราะห์สถานภาพองค์ความรู้การวิจัยวัฒนธรรมภาค ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ซง่ึ ประกอบดว้ ย 4 ประเดน็ คอื ความหลากหลายทางชาตพิ นั ธ์ุ พลงั ความคิดและภูมปิ ัญญา วัฒนธรรมกบั การพัฒนา และศลิ ปวัฒนธรรม โดยมี วตั ถปุ ระสงค์ดังนี้ 1. เพื่อประเมนิ สถานภาพความจ�ำเป็นของการวจิ ยั วัฒนธรรม 2. เพอ่ื วิเคราะห์สถานภาพองค์ความรู้การวจิ ยั วัฒนธรรม 3. เพ่ืออภปิ รายแนวคดิ ทฤษฎี และปัญหาการวิจยั ในมิตทิ างวิธีวิทยา 4. เพื่อเสนอแนะแนวทางการวิจัยวัฒนธรรมในอนาคต การประเมนิ และสงั เคราะหส์ ถานภาพองคค์ วามรกู้ ารวจิ ยั วฒั นธรรมในภาค ตะวันออกเฉยี งเหนอื ดังกล่าว มปี ระโยชน์ดงั นี้ 1. ได้ทราบการประเมนิ สถานภาพความจำ� เป็นของการวิจยั วัฒนธรรม 2. ได้ทราบการวิเคราะห์สถานภาพองค์ความรู้การวิจยั วฒั นธรรม 3. ได้ทราบการอภิปรายแนวคิด ทฤษฎี และปัญหาการวิจัยในมิติทาง วธิ วี ิทยาของการวจิ ัยวัฒนธรรม 4. ได้ข้อเสนอแนะเป็นแนวทางการวิจัยวัฒนธรรมในอนาคต การรวบรวมเอกสารและงานวิจัยเพ่ือการสังเคราะห์งานทางด้านศิลป วฒั นธรรมในภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ระหว่างปีพ.ศ.2536–2546 คณะอนุกรรมการวิจัยวัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส�ำนักงาน คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้ส�ำรวจเอกสารข้อมูลทุติยภูมิ ในงานวิจัย หนงั สือ วิทยานิพนธ์ และบทความ ในระหว่าง ปีพ.ศ.2536-2546 ปรากฏว่าเม่ือ ได้ส�ำรวจบรรณานกุ รมและจัดท�ำเป็นบรรณนทิ ัศน์แล้วคงเหลือ 4 ประเด็นท่ีต้อง ทำ� การส�ำรวจ เพื่อจดั ทำ� บรรณนานทิ ศั น์และบรรณานกุ รม คอื ความหลากหลาย ทางชาติพันธุ์ พลังความคิดและภูมิปัญญา วัฒนธรรมกับการพัฒนา และศิลป วฒั นธรรมต่อไป
14 โสวฒั นธรรม 1. บทความวิจัยเรือ่ งความหลากหลายทางชาตพิ นั ธุ์ นบั ตงั้ แตอ่ งคก์ ารสหประชาชาตไิ ดก้ ำ� หนดทศวรรษเพอื่ การพฒั นาวฒั นธรรม ในระหว่างปี 2531 - 2540 เป็นปีแห่งการเรียนรู้เรื่องมิติวัฒนธรรมกับการพัฒนา ประกอบกับการแปลหนังสือ เร่ือง วัฒนธรรมอันหลากสีมนุษยชาติ (นุชนาฎ เนตรประเสรฐิ ศรี พศิ วาส ปทุมุต์ตรังษี, ม.ป.ป) ได้กล่าวถึงความสำ� คัญของความ หลากหลายทางชาตพิ ันธุ์ในยุคปัจจุบนั สาเหตุท่ีส�ำคัญก็คือ การพฒั นาประเทศท่ี เกดิ ขน้ึ ในทกุ ๆ แห่งของโลก ต่างได้กล่าวถึงความหลากหลายทางชาตพิ ันธ์ุมคี วาม สมั พนั ธก์ บั การพฒั นาประเทศ ทงั้ นเ้ี นอื่ งจากหลายๆ ประเทศไดล้ ะเลยความส�ำคญั ของประเทศท่ีประกอบข้ึนด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ทำ� ให้เกิดปัญหา เกี่ยวกับความหลากหลายทางชาติพันธุ์ท้ังในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจการเมือง สงั คม และวฒั นธรรม ดงั นนั้ การเขา้ ใจความหลากหลายทางชาตพิ นั ธจ์ุ งึ มปี ระโยชน์ เพื่อหาแนวทางการพัฒนาประเทศในมิติของความหลากหลายทางวัฒนธรรม ท่ีเสียไป
สมศักดิ์ ศรีสันติสุข ผู้เขียนบทความวิจัยได้กล่าวถึงการประเมินและ วเิ คราะหส์ ถานภาพองคค์ วามรคู้ วามหลากหลายทางชาตพิ นั ธม์ุ อี ยบู่ างประการ คอื 1.การศึกษาอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ในด้านการใช้ภาษา พิธีกรรม และพลัง ความคิดและภูมปิ ัญญา โดยการประพฤตปิ ฏิบตั ิตามวถิ ีท่ีแตกต่างระหว่างกนั ของ กลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ มผี ลงานหลายเรอื่ งทแ่ี สดงถงึ การธำ� รงเอกลกั ษณท์ างชาตพิ นั ธ์ุ อย่างมนั่ คง 2.ระบบความเชอื่ กับวิถชี วี ติ วฒั นธรรม ได้กล่าวถงึ ระบบความเชอื่ ของ กลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ เกยี่ วกบั โลกทศั น์ ความเชอื่ ผบี รรพบรุ ษุ ความเชอ่ื งานศพ และ ความเช่อื หลกั บ้าน ซง่ึ ยงั มอี ทิ ธพิ ลต่อวิถีชีวิตวฒั นธรรมของตนเป็นอย่างย่ิง ท�ำให้ เห็นว่ากลุ่มชาติพันธุ์ท้ังหลายยังมีวิถีชีวิตวัฒนธรรม พิธีกรรม การเคารพผู้อาวุโส และความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ 3.พลวัตวิถีชุมชนชาติพันธุ์ เป็นการนำ� เสนอกลุ่ม ชาตพิ นั ธท์ุ ม่ี ปี ระสบการณข์ องการไดร้ บั เปลย่ี นแปลงทางเศรษฐกจิ การเมอื ง สงั คม และวัฒนธรรม การกลมกลืนทางวฒั นธรรม และความหลากหลายทางวัฒนธรรม และ 4.ระบบภูมิปัญญากับวิถีชีวิตวัฒนธรรม เป็นเร่ืองที่เกี่ยวกับ นิเวศวิทยา วัฒนธรรม ภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน ภูมิปัญญาหัตถกรรม วัฒนธรรมการ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 15 พัฒนา และวิถีชีวิตวัฒนธรรมทางศิลปะ ซ่ึงเป็นพลังความคิดของภูมิปัญญาท่ีได้ พัฒนาจนเป็นความรู้เพือ่ ตอบสนองความจ�ำเป็นของพน้ื ฐานทางสงั คม และความ ตอ้ งการทางสงั คมในแตล่ ะกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ จนสามารถเปน็ วถิ แี หง่ การดำ� รงชวี ติ และ แก้ไขปัญหาต่างๆ ภายในชมุ ชน ท�ำให้ชุมชนชาติพันธ์ุมีความเข้มแขง็ และสามารถ ด�ำรงอยู่ในกระแสการพัฒนาประเทศอย่างม่ันคง ส่ิงส�ำคญั กค็ อื การประเมนิ และ วิเคราะห์สถานภาพองค์ความรู้ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ท้ังส่ีแนวความคิด เหล่านน้ั ท�ำให้เห็นความหลากหลายในการจัดการปัญหาของการดำ� รงชีวิต ของ แตล่ ะกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ซง่ึ เปน็ การสนองความจำ� เปน็ พน้ื ฐานทางสงั คม และเพอื่ ความ อยู่รอดทางสงั คมนน่ั เอง ส่วนการสังเคราะห์สถานภาพองค์ความรู้ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ผเู้ ขยี นไดส้ รปุ ไวเ้ ปน็ 4 ลกั ษณะ คอื 1.การศกึ ษาวถิ ชี วี ติ วฒั นธรรม 2.การศกึ ษาการ เปลยี่ นแปลงทางสงั คมและวฒั นธรรม 3.การศกึ ษากระบวนการปรบั ตวั และ 4.การ ศกึ ษากระบวนการสรา้ งความเปน็ อตั ลกั ษณท์ างชาตพิ นั ธ์ุ สำ� หรบั กรอบแนวความคดิ ในการวิจัยความหลากหลายทางชาติพันธุ์ดังกล่าว ส่วนมากเป็นการศึกษาและ วิเคราะห์ตามแนวทางของทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่ ซ่ึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อความเข้าใจความหลากหลายทางชาติพันธ์ุในแต่ละกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุที่แตกต่างกัน ด้วย ในระยะหลังได้มนี กั วจิ ัยได้ใช้กรอบแนวความคิดหลงั ทนั สมยั ของ มเิ ชล ฟรโู ก (Michel Foucault) แต่ยังมผี ลงานวิจยั ค่อยข้างน้อย 2. บทความวจิ ยั เรอ่ื งพลงั ความคิดและภูมปิ ัญญา บทความวิจัยองค์ความรู้ด้านพลังความคิดและภูมิปัญญานี้ ผู้เขียน คือ สมศกั ดิ์ ศรสี นั ตสิ ขุ ไดพ้ บวา่ มผี ลงานมากมาย ซง่ึ เปน็ บทความทางวชิ าการและงาน วจิ ยั ของอาจารย์ นกั วชิ าการ และวทิ ยานพิ นธข์ องนกั ศกึ ษาระดบั บณั ฑติ ศกึ ษา โดย องค์ความร้ดู งั กล่าวมคี วามสมั พนั ธเ์ กย่ี วกบั วฒั นธรรมดง้ั เดมิ ทม่ี กี ารถา่ ยทอด การ สบื ต่อ และการอนรุ ักษ์ให้คงอยู่จากบรรพบรุ ุษ ในรปู แบบที่ปรับเปลี่ยนไป แต่ก็ยงั ถอื วา่ เปน็ การอนรุ กั ษใ์ หค้ งอยจู่ นถงึ ปจั จบุ นั ทงั้ น้ี การสงั เคราะหง์ านภายใตป้ ระเดน็
16 โสวัฒนธรรม พลังความคิดและภูมิปัญญาได้มีผลงานวิจัยเป็น 3 ลักษณะ คือ การศึกษาพลัง ความคิดและอุดมการณ์ การศึกษาภูมิปัญญาด้านทุนเศรษฐกิจ และการศึกษา ภูมิปัญญาในฐานพลังชุมชน ทั้ง 3 ลักษณะน้ียังเก่ียวข้องกับด้านวัฒนธรรมกับ กลมุ่ ชาตพิ นั ธด์ุ ว้ ย เนอื่ งจากบรบิ ทของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื สงั คมเปน็ ลกั ษณะ ความหลากหลายทางชาตพิ นั ธ์ุ นอกจากนผี้ ลงานวจิ ยั ทำ� ใหเ้ หน็ ความเปน็ พลวตั ของ วฒั นธรรม ปจั จยั ทเ่ี ออื้ และสง่ ผลตอ่ วฒั นธรรมตามกระแสทางสงั คม และการเมอื ง ท่เี ปล่ยี นแปลงตลอดเวลา ผเู้ ขยี นไดก้ ลา่ วกระบวนการวจิ ยั วา่ เปน็ การศกึ ษาสงั คมโดยนกั สงั คมศาสตร์ ตามกระบวนการการวิจัยสังคมอสี าน โดยมแี นวคิดและวธิ วี ทิ ยาในการศกึ ษาวจิ ัย สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มคือ 1) ระเบยี บวีธีการศึกษากระแสหลัก ท้ังเชงิ ปรมิ าณ และเชงิ คุณภาพ 2) ระเบียบวิธีการศึกษาเพื่อการพัฒนาได้แก่ ระเบียบวธิ ีการวจิ ัย เชงิ ปฏิบตั กิ ารทสี่ ่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วม การประเมนิ สภาวะชนบทแบบเร่งด่วน และ 3) การวิจัยไทบ้าน ส่วนผลจากการสังเคราะห์งานวจิ ัยทางวัฒนธรรมในภาค ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื สะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ ผลงานวจิ ยั ดา้ นพลงั ความคดิ และภมู ปิ ญั ญา ไดม้ ผี ลงานวจิ ยั วฒั นธรรมทางภมู ศิ าสตร์ ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ ประวตั ศิ าสตรก์ ลมุ่ ชาติพันธุ์ ด้านอุดมการณ์พลังความคิดความเช่ือ ผลงานวิจัยหลายช้ินได้ท�ำการ ศึกษาองค์ความรู้ท้องถิ่น หรือภูมิปัญญาต่างๆ ที่ถ่ายทอดสืบต่อมาจนเป็นจารีต ประเพณี วัฒนธรรม ซ่ึงแสดงให้เห็นการสืบทอด การตอกย้�ำ และการผลิตใหม่ ในเชงิ วฒั นธรรมใหเ้ ขา้ กบั การเปลย่ี นแปลงตา่ งๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในสงั คมอสี านตลอดเวลา ท่ผี ่านมา ส�ำหรับผลงานวิจัยด้านพลังความคิดและอุดมการณ์ ผู้เขียนได้กล่าวถึง ความคิดและอุดมการณ์ที่เป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนในเรื่อง โครงการพฒั นาตา่ งๆ งานวจิ ยั จำ� นวนหนง่ึ สะทอ้ นปญั หาความขดั แยง้ เขอ่ื นปากมลู และราศีไศล ทก่ี ารพัฒนาของรฐั ส่งผลกระทบให้เกิดความเปล่ียนแปลงทางสังคม วฒั นธรรมและเศรษฐกจิ ของประชาชนในพนื้ ทเี่ ปา้ หมายของโครงการดงั กลา่ ว เช่น การเปลยี่ นแปลงของระบบการผลติ จากสงั คมเกษตรไปสกู่ ารอพยพ การเคลอื่ นยา้ ย
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 17 จากชุมชนท้องถ่ินเข้าสู่หัวเมืองใหญ่ในภูมิภาคต่างๆ เพ่ือเข้าสู่การเป็นแรงงานใน ระบบอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยวัฒนธรรมท่ีเชื่อมโยงกับเรื่องการดูแล สขุ ภาพ ซง่ึ มที ง้ั เปน็ งานวจิ ยั ทส่ี ะทอ้ นการรวบรวมองคค์ วามรขู้ องกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ หรอื องค์ความรู้ท้องถิ่นที่เก่ียวกับการดูแลสุขภาพ ส่วนด้านวัฒนธรรมกับการจัดการ ทรพั ยากร และสงิ่ แวดล้อม ประเด็นการศกึ ษาวจิ ัยส่วนใหญ่เน้นหนกั เกี่ยวกับการ สนบั สนนุ ใหช้ มุ ชนทอ้ งถนิ่ เขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการจดั การทรพั ยากรและสงิ่ แวดลอ้ ม ร่วมกับองค์กรส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานรัฐอื่นๆ งานวิจัยด้านวัฒนธรรมกับการ จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื นี้ แสดงให้ เห็นถึงการใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน ทุนทางสังคมในชุมชนและการเข้ามามีส่วนร่วม ในการออกสทิ ธอิ์ อกเสยี งและรว่ มมอื กนั ในการจดั การแบง่ ปนั เพอื่ ใหท้ กุ คนในชมุ ชน เขา้ ถงึ ทรพั ยากรตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งเทา่ เทยี ม มกี ระบวนการในการโตต้ อบ การตอ่ รอง กบั อำ� นาจเบด็ เสรจ็ เดด็ ขาดของตวั แทนรฐั ทจี่ ะเขา้ มาจดั การทรพั ยากรทม่ี คี วามสำ� คญั กบั ความอยรู่ อดของประชาชนในทอ้ งถน่ิ นน้ั ๆ ซง่ึ งานวจิ ยั เหลา่ นน้ั ไดช้ ใ้ี หเ้ หน็ ถงึ พลงั ของชุมชนในการเคล่ือนไหว และชุมชนเองก็ได้ใช้หลักคิดและภูมิปัญญาเน้นเรื่อง สทิ ธขิ องชมุ ชนในการคดั คา้ นกบั อำ� นาจเผดจ็ การของรฐั ซง่ึ ไดส้ ง่ ผลกระทบตอ่ ความ เดือดร้อนกบั ชมุ ชน ส่วนผลงานวิจัยวัฒนธรรมด้านพลังความคิดและภูมิปัญญาท่ีสัมพันธ์กับ กลุ่มชาติพันธุ์นน้ั ผู้เขียนได้กล่าวถึงการสังเคราะห์ผลงานวิจัยของภาคตะวันออก เฉยี งเหนือว่า มีองค์ความรู้ด้านพลงั ความคิดและภมู ปิ ัญญาของกลุ่มชาติพันธ์ุ ซงึ่ เนน้ การปรบั ตวั ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ การรกั ษา สบื ทอด ผลติ ใหมใ่ นเชงิ วฒั นธรรม จารตี ประเพณี เพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความเปลย่ี นแปลงในชมุ ชน รวมทง้ั แสดงใหเ้ หน็ พลงั ความคิดและภมู ปิ ัญญาทส่ี ามารถปรับใช้วฒั นธรรมให้เป็นทนุ ทางสงั คม หรอื ทุนทางเศรษฐกิจเข้าสู่ชุมชน ในรูปแบบของการจัดการท่องเท่ียวชุมชนชาติพันธุ์ ต่างๆ เช่น ลกั ษณะของโฮมสเตย์หรือการท่องเทยี่ วเชงิ วฒั นธรรม เป็นต้น นอกจากนผ้ี เู้ ขยี น กลา่ วถงึ ผลงาน งานวจิ ยั ทางวฒั นธรรมดา้ นพลงั ความคดิ
18 โสวัฒนธรรม และภูมิปัญญา ได้ให้ความส�ำคัญกับการศึกษาวิจัยบทบาทสตรีมากข้ึน การ ปรบั เปลีย่ นบทบาทผู้หญิงในสงั คมอสี าน บทบาทผู้หญิงกบั การพัฒนา ผู้หญงิ กบั ขบวนการตอ่ สู้ ตอบโต้ ตอ่ รอง กบั ความขดั แยง้ ทเี่ กดิ จากการพฒั นา หรอื การศกึ ษา ประเดน็ ของเพศสภาพ (gender) ระหวา่ งชายหญงิ เปน็ ตน้ อนง่ึ มกี ารใช้ แนวคดิ สกลุ หลงั ทนั สมยั (postmodern) เชน่ แนวคดิ อตั ลกั ษณ์ แนวคดิ คนชายขอบ แนวคดิ วาทกรรม หรือแนวคดิ คนพลดั ถ่ิน เป็นต้น ส�ำหรับวิธีวิทยาที่ใช้ในการศึกษาวิจัยทางวัฒนธรรมด้านพลังความคิดและ ภูมิปัญญา ส่วนใหญ่ยังคงให้ความส�ำคัญกับกระบวนการวิจัยโดยใช้วิธีวิทยา เชิงคุณภาพในกระบวนการเก็บข้อมูล การศึกษาวิจัยจึงต้องใช้กลวิธีการวิจัยเชิง คุณภาพท่ีมีวิธีการท่ีหลากหลายร่วมด้วย นอกจากน้ีผู้เขียนยังได้กล่าวว่า การ วิจัยวัฒนธรรมด้านพลังความคิดและภูมิปัญญายังผูกโยงกับประเด็นการพัฒนา มาโดยตลอด แสดงถงึ ปญั หาการพฒั นาประเทศทผ่ี า่ นมายงั ประสบปญั หาอปุ สรรค ตอ่ การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนอยรู่ ะดบั หนง่ึ ผเู้ ขยี นไดว้ เิ คราะหถ์ งึ ปญั หา การพัฒนาประเทศ ท่ีจะต้องค�ำนงึ ถึงวัฒนธรรมกับการพัฒนา รวมทั้งพยายาม ใช้วัฒนธรรมเพ่ือการพัฒนา มิใช่พัฒนาวัฒนธรรม จึงเป็นความท้าทายของ นกั วิจัยวัฒนธรรมท่ีจะน�ำองค์ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์และ สอดรบั กบั สถานการณท์ างสงั คมทเี่ ปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ ไดใ้ นกระแสโลกาภวิ ตั น์ ในสังคมไทยต่อไป 3. บทความวิจยั เรอ่ื งวฒั นธรรมกับการพฒั นา บทความวิจัย เรอื่ งวัฒนธรรมกับการพัฒนาน้ี ผู้เขียน คือ สมมาตร์ ผลเกิด ได้สรุปสถานภาพองค์ความรู้วิจัยวัฒนธรรมว่า เป็นการศึกษาวิจัยเร่ืองวัฒนธรรม พ้ืนบ้านท่ีชาวบ้านมีส่วนร่วม คือการวิจัยที่สร้างส�ำนกึ ให้กับชุมชน และสร้างพลัง ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ นอกจากนีผ้ ลงานวิจัยเกีย่ วข้องกบั การส่งเสรมิ หัตถกรรม พน้ื บา้ น แตช่ าวบา้ นไมม่ สี ว่ นรว่ มในการกำ� หนดรปู แบบ เนอื้ หา วธิ กี าร และราคาสนิ คา้ ไมไ่ ดร้ บั การสนบั สนนุ ใหม้ คี วามรคู้ วามสามารถและทนุ ในการจดั การทรพั ยากรของ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 19 ตนเอง สมมาตร์ ผลเกดิ ไดก้ ลา่ วถงึ เอกสารวจิ ยั และบทความทางวชิ าการทเี่ ปน็ องค์ ความรู้ทางด้านวัฒนธรรมในช่วงระหว่างปีพ.ศ.2536-2546 สามารถจัดหมวดหมู่ ขององค์ความรู้ออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้คือ 1.ด้านประวัติศาสตร์ โดยผู้เขียนจะ กล่าวถึงความเป็นมาของเมืองและจังหวัดต่างๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สภาพทางเศรษฐกจิ วฒั นธรรมและกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ 2.ดา้ นวชิ าการ เป็นบทความทางวิชาการและผลงานวิจัยของนกั วิชาการ นกั พัฒนาและปราชญ์ ชาวบ้าน ได้ท�ำการศึกษาไว้อย่างเป็นระบบท้ังกระบวนการศึกษา วิธีวิทยาและ การจดั เกบ็ ขอ้ มลู ทเี่ ปน็ ไปอยา่ งถกู ตอ้ งตามศาสตรแ์ หง่ การวจิ ยั และ 3.เกรด็ ความรู้ ซ่งึ เป็นเกรด็ ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และขนบธรรมเนียมประเพณี นอกจากน้ีผู้เขียน ได้กล่าวถึงผลงานวิจัยท่ีเกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจชุมชน ซง่ึ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดงั นค้ี ือ 1.การศึกษาสภาพท่ัวไปของเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใน ช่วงหลังสงครามโลกคร้ังท่ี 2 ถึงปัจจุบัน (2488-2544) 2.การเปล่ียนแปลงท างเศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เน้ือหาได้กล่าวถึงสาเหตุแห่งการ เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของชุมชน ท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้าน สังคมและด้านเศรษฐกิจ กลายเป็นเศรษฐกิจเพื่อการค้ามากข้ึน ท�ำให้เศรษฐกิจ ของชุมชนเข้าไปผูกติดกับกลไกของตลาดมากขึ้น และท�ำให้การพึ่งพาอาศัย ซ่ึงกันและกันของคนในชุมชนลดลง จากการศึกษาวิจัย ผู้เขียนพบว่ามีปัจจัย 2 ประการ คอื ปจั จยั ภายใน คอื อตั ราการเพมิ่ ประชากรอยา่ งรวดเรว็ ของชาวอสี าน และปจั จยั ภายนอกซงึ่ เปน็ ผลมาจากการประกาศใชแ้ ผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คม แห่งชาติ ซ่ึงมีส่วนส�ำคัญในการผลักดันโครงสร้างทางเศรษฐกิจของชุมชนอีสาน เปลยี่ นแปลงไปอยา่ งรวดเรว็ 3.ผลกระทบทางเศรษฐกจิ ของชมุ ชนภาคตะวนั ออกเฉี ยงเหนอื มเี นอื้ หาโดยสรปุ ไดว้ า่ ผลจากการพฒั นาเศรษฐกจิ มผี ลกระทบทง้ั ดา้ นบวก และลบตอ่ วถิ ชี วี ติ ของชมุ ชนภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และ 4.ยทุ ธศาสตรเ์ พอ่ื การอ ยรู่ อดของชมุ ชน ซง่ึ มี เนอื้ หาคอื การแทรกตวั ของระบบทนุ นยิ มเขา้ สเู่ ศรษฐกจิ แบบ พงึ่ ตนเองของชาวนา ท�ำให้ชาวนาต้องเผชิญความเส่ียงเพมิ่ ข้ึน สมมาตร์ ผลเกิด ได้กล่าวถึงผลงานวิจัยด้านวัฒนธรรมกับการพัฒนา
20 โสวฒั นธรรม หลายด้าน ประกอบด้วย 1.ด้านความยากจนเป็นงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับปัญหา ความยากจนของชมุ ชน ก่อให้เกดิ ภาวะหนส้ี นิ ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นหนสี้ ินนอกระบบ 2.ดา้ นแรงงาน มกี ารศกึ ษาวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั แรงงานภาคอสี าน ไดก้ ลา่ วถงึ ประเดน็ ต่างๆ ทเี่ กย่ี วข้องกบั แรงงานพอสรปุ ได้ดังนคี้ ือ สาเหตุ ลักษณะ สถานที่ ประเภท งานทที่ �ำ การเปล่ยี นงาน และผลกระทบด้านผลดี ผลงานวจิ ัยกล่าวถงึ ด้านความ พงึ พอใจของนายจา้ ง ความตระหนกั ของแรงงานตอ่ ความปลอดภยั 3.ดา้ นสขุ ภาพ ซงึ่ แบง่ กลมุ่ ของงานวจิ ยั ออกเปน็ 3 กลมุ่ คอื กลมุ่ อาหาร กลมุ่ ปอ้ งกนั ใหพ้ น้ จากโรคภยั ตา่ งๆ และกลมุ่ ดแู ลรกั ษา 4.ดา้ นการเกษตร เปน็ การกลา่ วถงึ สภาพวถิ ชี วี ติ คณุ ภาพ ชวี ติ ปญั หาและแนวทางการแกป้ ญั หาของกลมุ่ เกษตรกร 5.ดา้ นการทอ่ งเทย่ี ว เปน็ การศกึ ษาวจิ ยั ดา้ นการทอ่ งเทย่ี วมผี ลงานวจิ ยั จ�ำนวนนอ้ ย แบง่ ไดเ้ ปน็ 3 ดา้ น คอื ดา้ น ศกั ยภาพของการท่องเท่ยี วเชงิ นิเวศ ด้านความพงึ พอใจ และด้านการท่องเทย่ี วกบั กระแสวฒั นธรรมทกี่ ำ� ลงั เปลยี่ นแปลง 6.ดา้ นการพฒั นาชมุ ชน มหี วั ขอ้ วจิ ยั แบง่ เปน็ 4 กลุ่ม คือ 1.การพฒั นาชุมชนเข้มแขง็ ได้กล่าวถงึ กระบวนการสร้างความเข้มแข็ง ให้แก่ชุมชน 2.พลังชุมชน โดยผลการวิจัยพบว่ากลุ่มผู้น�ำชุมชน กลุ่มพระสงฆ์ และกลุ่มสตรี เป็นผู้มีบทบาทสำ� คัญในการระดมพลังมวลชนให้ออกมามีส่วนร่วม ในการพัฒนาชมุ ชนให้มคี ุณภาพชีวติ และการบรกิ ารด้านสวัสดกิ ารต่างๆ ในชมุ ชน ได้เป็นอย่างดี 3.การมีส่วนร่วม ได้กล่าวถึงการเข้ามามีส่วนร่วมของหน่วยงาน ภาครัฐและประชาชนในการพัฒนาชุมชน และ 4.ความขัดแย้ง ซ่ึงข้อขัดแย้ง ส่วนใหญ่เป็นความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะความขัดแย้ง ที่เก่ียวกับที่ดินสาธารณประโยชน์ คู่กรณีเป็นชุมชนกับหน่วยงานของรัฐ และ ความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับโรงงานอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและ ส่ิงแวดล้อมในชุมชน 7.ด้าน สิ่งแวดล้อม ผู้เขียนกล่าวถึงผลงานวิจัยเกี่ยวกับ สิง่ แวดล้อมแบ่งได้ เป็น 3 กลุ่ม คือ 1.ทรพั ยากรธรรมชาติ ประกอบด้วยทรพั ยากร ป่าไม้และทรัพยากรน�้ำ ส่วนใหญ่จะให้ความส�ำคัญเก่ียวกับการจัดการป่าชุมชน ในระยะแรกรัฐได้เข้ามาจัดการป่าไม้โดยตรง มีการตรากฎหมายมาบังคับใช้ มีเจ้าหน้าที่ มีหน่วยงานเข้ามารับผิดชอบมากข้ึน แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาป่า ไม้ได้ท้ังหมด ต่อมาชุมชนจึงต้องเข้าไปมีบทบาทในการจัดการป่าไม้ในลักษณะ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 21 ปา่ ชมุ ชน โดยนำ� เอากระบวนการทางสงั คมและวฒั นธรรมประเพณมี าเปน็ เครอื่ งมอื ในการอนุรักษ์ป่า ส่วนกรณีของทรัพยากรน�้ำนั้น ศึกษาถึงสถานการณ์และ แนวโน้มของแหล่งน�้ำซงึ่ จะพบปญั หาส�ำคญั คอื แหล่งน้�ำตน้ื เขนิ มมี ลภาวะทางน�้ำ การแพร่ขยายของวัชพืช ความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชนใน การเข้าไปจัดการแหล่งน�้ำ เช่น เหตุการณ์ที่เข่ือนปากมูล จังหวัดอุบลราชธานี เขอื่ นราศไี ศล จงั หวดั ศรสี ะเกษ เปน็ ตน้ 2.ชมุ ชนแออดั ในสงั คมเมอื ง กลา่ วถงึ สาเหตุ แห่งปัญหาเกิดจากชาวชนบททมี่ ีฐานะยากจน ละทิง้ อาชีพภาคการเกษตรทีไ่ ม่พอ เลี้ยงครอบครัว และ 3.การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ซ่ึงผลการศึกษาวิจัยได้ให้ ความส�ำคัญต่อสตรีในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ โดยงานวิจัยจะน�ำเสนอถึง บทบาทของสตรีกบั ขบวนการเคล่ือนไหวทางส่ิงแวดล้อม นอกจากน้ีผู้เขียน ได้กล่าวถึงผลงานวิจัยด้านศาสนา ความเชื่อและ วฒั นธรรม สามารถจดั เปน็ หมวดหมเู่ ปน็ ดงั น้ี คอื 1.ดา้ นการอนรุ กั ษ์ เกย่ี วกบั บทบาท ของพระสงฆใ์ นการอนรุ กั ษศ์ ลิ ปวฒั นธรรม บทบาทของประชาชนหรอื ชาวบา้ น และ บทบาทของภาครฐั อนั ประกอบโดยโรงเรยี น ส�ำนกั งานศกึ ษาธกิ าร หนว่ ยงานภาครฐั ได้ให้การส่งเสรมิ การจดั กจิ กรรมทางวฒั นธรรมมาด้วยดี 2.โลกทัศน์และความเช่ือ ผลการวิจัยพบว่าชาวอีสานยังคงมีโลกทัศน์ที่มั่นคงเหนียวแน่นต่อระบบความเชื่อ ต่างๆ ในด้านศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมที่จะมีผลท้ังต่อคน ต่อธรรมชาติ และอ�ำนาจเหนอื ธรรมชาติ หรอื วฒั นธรรมข้าวทพี่ ยายามช้ใี ห้เหน็ ว่า ข้าวมีความส�ำคัญไม่ใช่เพื่อการบรโิ ภคเท่านน้ั หากแต่ข้าวยังเป็นเครื่องหมายทาง วัฒนธรรมและเป็นสญั ลกั ษณ์ของพลังชวี ติ ด้วย ส�ำหรับแนวความคิดทางทฤษฎีในการศึกษาวัฒนธรรมกับการพัฒนา ผเู้ ขยี นไดก้ ลา่ วถงึ แนวความคดิ ทางทฤษฎที น่ี กั วชิ าการไดใ้ ชเ้ ปน็ กรอบแนวความคดิ ในการวจิ ยั หรอื เปน็ กรอบในการวเิ คราะห์ โดยใชท้ ฤษฎโี ครงสรา้ งและหนา้ ที่ ทฤษฎี ความล้าหลังทางวฒั นธรรม และทฤษฎกี ารเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ซงึ่ ไดพ้ บวา่ การเปลยี่ นแปลงทางสงั คมและวฒั นธรรมนน้ั เกดิ ขน้ึ ตลอดเวลาและเกดิ การเปลยี่ นแปลงทข่ี าดสมดลุ ภาพ
22 โสวัฒนธรรม 4. บทความวิจยั เร่ืองศิลปวฒั นธรรม ชลิต ชัยครรชิต ผู้เขียนบทความได้กล่าวถึงการประเมินผลงานด้านศิลป วัฒนธรรม คือ การศึกษาเรื่องการศึกษาค้นคว้าวิจัยวิถีชีวิตวัฒนธรรมท่ีเป็น รูปธรรม และนามธรรม เช่นงานศิลปหตั ถกรรม ค่านิยม ความคดิ ความเชอื่ และ ศาสนา จารตี ประเพณี องคค์ วามรทู้ เ่ี ปน็ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ศลิ ปะการแสดงรวมทงั้ สถาปตั ยกรรม ผเู้ ขยี นไดป้ ระเมนิ เอกสารพบวา่ ผลงานโดยสว่ นใหญเ่ ปน็ การส�ำรวจ องคค์ วามรแู้ ละเปน็ กรณศี กึ ษาเปน็ พนื้ ฐานหลกั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในชว่ งทศวรรษที่ ผา่ นมาผลงานการศกึ ษาสว่ นใหญเ่ ปน็ วทิ ยานพิ นธใ์ นระดบั มหาบณั ฑติ ของสถาบนั การศึกษาภายในภูมิภาค สามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.ศิลปกรรม ศิลปะและ สนุ ทรยี ศาสตร์ ซง่ึ ผลงานทางศลิ ปะสว่ นใหญเ่ ปน็ การศกึ ษาทางประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะ ทอ้ งถนิ่ โดยเฉพาะงานจติ รกรรมฝาผนงั สมิ หรอื โบสถ์ อยา่ งไรกต็ ามกระบวนการคดิ ซำ้� ในดา้ นวธิ วี ทิ ยาในการศกึ ษา กลบั กลายเปน็ ผลใหง้ านวจิ ยั ดงั กลา่ วมคี วามนา่ สนใจ น้อยลง 2.หมอล�ำ ศิลปะการแสดงและดนตรี ผู้เขียนได้กล่าวถึงกระบวนการผลติ ซ้�ำภายใต้การใช้กรอบในการศึกษารูปแบบเดียวกัน ท�ำให้ไม่เห็นภาพของความ หลากหลาย ทงั้ ทก่ี ารแสดงหมอลำ� มคี วามหลากหลายรปู แบบแนวทางและคตนิ ยิ ม เช่น หมอลำ� กลอนท�ำนองอบุ ลราชธานี และหมอล�ำทำ� นองขอนแก่น เป็นต้น และ 3.สถาปัตยกรรม หัตถกรรม ซ่ึงผู้เขียนได้กล่าวถึงสถานภาพองค์ความรู้ท่ีพบจาก ผลงานวิจยั คอื ด้านประวัตศิ าสตร์สถาปัตยกรรมจารีตท้องถิ่น บทบาทหน้าทข่ี อง สถาปัตยกรรมแบบจารีตท้องถน่ิ และงานด้านหตั ถกรรมของช่างพื้นบ้าน ผู้เขียนได้กล่าวถึงวิธีวิทยาในการวิจัย ซ่ึงเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพเป็นหลัก เป็นวิจัยเชิงพรรณนา ผลจากการสังเคราะห์วิธีวิทยาในการศึกษาครั้งน้ีพบว่า กระบวนการวจิ ัยส่วนใหญ่เป็นการวิจัยเชงิ ประวตั ิศาสตร์ (Historical research) เพ่ือ ค้นหาข้อเทจ็ จริงของเหตุการณ์ทผี่ ่านมาแล้วในอดีต งานวจิ ัยส่วนใหญ่เป็นวิทยานพิ นธ์ในระดับบัณฑติ ศกึ ษา โดยข้อมูลมาจาก การสมั ภาษณ์ การสงั เกต และการสงั เกตการณอ์ ยา่ งมสี ว่ นรว่ ม ขอ้ มลู สว่ นใหญน่ า่ จะ มาจากการสังเกตมากกว่าการสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม นอกจากน้ี ผู้เขียน
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 23 ได้กล่าวถึงรูปแบบการวางกรอบแนวคิด ทฤษฎีและการทบทวนวรรณกรรม เป็น แบบแผนของระเบยี บวธิ กี ารวจิ ยั แตก่ ารอภปิ รายโดยทไี่ มไ่ ดน้ �ำกรอบแนวคดิ ทฤษฎี และการเปรยี บเทยี บกบั วรรณกรรมอ่นื ย่อมทำ� ให้ผลงานการศกึ ษาขาดนำ�้ หนกั ใน การวเิ คราะห์ ผเู้ ขยี นยงั กลา่ วถงึ สถานภาพองคค์ วามรขู้ องผลงานวจิ ยั ใชห้ นา้ ทน่ี ยิ ม สญั ลกั ษณน์ ยิ มเปน็ กรอบแนวคดิ หลกั ในการศกึ ษาทางวฒั นธรรมโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ผลผลิตทางวฒั นธรรมทเ่ี ป็นงานศลิ ปกรรม สถาปัตยกรรมและงานหัตถกรรม อย่างไรก็ดี ผู้เขียนได้กล่าวถึงความโดดเด่นของการศึกษาศิลปะพื้นถิ่นใน ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือคือ ความพยายามใช้ความหลากหลายทางทฤษฎีและ ความหลากหลายทางมิติในการศึกษาจิตรกรรมฝาผนัง ท้ังน้ีได้ใช้วิธีการศึกษา แบบพรรณนาเชงิ พัฒนาการ และพฒั นาการของรูปแบบ ซงึ่ เป็นวธิ วี ิทยาหลกั ของ การศึกษาทางประวัติสาสตร์ศิลปะ นอกจากนน้ั ยังมีกระบวนการศึกษาเก่ียวกับสี โครงสรา้ งรปู แบบ และแนวคดิ ทนี่ ำ� เสนอมาใชก้ บั งานศลิ ปะรว่ มสมยั ความพยายาม ในการถอดรหสั ความคดิ กระบวนการสรา้ งสรรคข์ องสกลุ ชา่ งทอ้ งถนิ่ ผผู้ ลติ ผลงาน จิตรกรรม ส�ำหรับการตีความทางศิลปะและประติมานวิทยา (Iconography) เป็น กระแสหลักของการวิจัยทางประวัติศาสตร์ศิลปะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือน้ี นกั วชิ าการทางดา้ นศลิ ปะเองเปน็ ผใู้ หค้ วามสนใจในการศกึ ษาประตมิ านวทิ ยาของ ผลผลติ ทางศลิ ปะในอดตี ประตมิ านวทิ ยาเปน็ เรอ่ื งของการศกึ ษารปู แบบทางศลิ ปะ ทถี่ า่ ยทอดมาเปน็ ผลงานประตมิ ากรรม เพอ่ื ศกึ ษาเบอื้ งหลงั ความคดิ ความเชอ่ื และ คตินยิ มในทางศาสนา คอื คตทิ างพทุ ธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ ผู้เขยี นยงั ได้กล่าวถึง หมอลำ� ศิลปะการแสดงและดนตรีในภาคตะวันออก เฉยี งเหนอื ซง่ึ เป็นศลิ ปวฒั นธรรมอันมเี อกลกั ษณ์และอัตลักษณ์เฉพาะของท้องถ่นิ มีทั้งที่เกิดขนึ้ ภายใต้บรบิ ททางวฒั นธรรมของชุมชนท้องถิ่นและศลิ ปวัฒนธรรมทมี่ ี การปรบั ปรงุ เปลยี่ นแปลงจากวฒั นธรรมภายนอกภมู ภิ าค กลายเปน็ ลกั ษณะเฉพาะ ของทอ้ งถนิ่ ศลิ ปวฒั นธรรมการแสดงในวถิ ชี วี ติ ของชมุ ชนภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ส่วนสถานภาพองค์ความรู้การวิจัยด้านศิลปวัฒนธรรม ได้พบความเป็น เอกลักษณ์การแสดงท่ีโดดเด่นของศิลปวัฒนธรรมการแสดงคอื หมอล�ำ ประกอบ
24 โสวฒั นธรรม กับเครื่องดนตรีคือ แคน จากน้ันการขับนทิ านกับดนตรีจึงได้พัฒนาการมาเป็น การล�ำ ส่วนล�ำฝีฟ้า คือการขับลำ� ในพิธีกรรมการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ โดยมีผู้ทรง หรือนางเทียมท�ำหน้าที่อัญเชิญผีฟ้าลงมาบ�ำบัดรักษา ในพิธีกรรมคือการอัญเชิญ ผฟี ้าลงมารักษาด้วยการขับล�ำเป็นกลอนประกอบจังหวะดนตรีคอื แคน ตลอดจนผู้เขียนได้กล่าวถึงผลงานของผู้วิจัยท่ีมีพ้ืนฐานทางสถาปัตยกรรม และนักวิจัยท่ีมีพื้นฐานทางด้านศิลปะ ในการใช้วิธีวิทยาในการศึกษาจึงเน้นที่ รูปแบบและพัฒนาการเป็นสำ� คัญ ทางด้านสถาปัตยกรรมพ้ืนถิ่น จุดเด่นของการ วจิ ยั ในชว่ งระยะนอี้ ยทู่ กี่ ารศกึ ษาลกั ษณะทางสถาปตั ยกรรมของกลมุ่ ชนหลากหลาย ชาติ เช่นเดียวกับงานวจิ ัยด้านหัตถกรรม ยงั เหน็ ภาพความหยคุ นง่ิ และการจ�ำแนก แยกแยะรปู แบบ มากกวา่ ทจ่ี ะเหน็ หตั ถกรรมในฐานะของผลผลติ ทตี่ อบสนองชมุ ชน และสงั คม ผู้เขียนได้สรุปว่า งานศึกษาด้านศิลปวัฒนธรรมมีลักษณะ 2 มิติคือ 1.องค์ความรู้ทางศิลปวัฒนธรรมท่ีมาจากการรวบรวมของปราชญ์ท้องถิ่น และ 2.องค์ความรู้ทางศิลปวัฒนธรรมที่มาจากการวิจัยด้วยวิธีวิทยาทางมนุษยศาสตร์ สังคมวทิ ยา มานุษยวทิ ยา อาจกล่าวได้ว่ากระบวนการแสวงหาความรู้ในลกั ษณะ นี้เป็นการวิจัยความรู้ท้องถิ่น จากคนท้องถ่ินภายใต้กระบวนการแสวงหาความรู้ท่ี ไม่ได้ใช้กรอบแนวคิดการวิจัยแบบอย่างทางวิชาการแบบตะวันตก ท้ังนี้ผู้เขียนได้ ชใี้ หเ้ หน็ ศลิ ปวฒั นธรรมนอกระบบการวจิ ยั ทนี่ า่ สนใจ เชน่ หนงั สอื ชดุ เฉลมิ พระเกยี รติ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ฯ เรอ่ื ง พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์ เอกลกั ษณแ์ ละ ภมู ิปัญญา จงั หวดั ต่างๆ ทัง้ 19 จงั หวัด 19 ชดุ จดั พิมพ์โดยกรมศลิ ปากร ระหว่าง ปีพุทธศักราช 2542-2544 ผลงานมาจากการค้นคว้า รวบรวมและเรียบเรียงโดย นกั วชิ าการท้องถิ่นแต่ละจังหวัด ในฐานะบรรณาธิการผู้เขียนมีความเห็นว่าการสังเคราะห์ผลงานวิจัยผ่าน ทางบรรณานิทัศน์ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือในคร้ังน้ี เป็นงานเขียนท่ีเป็น ประโยชน์ต่อการเป็นฐานข้อมูล เพ่ือทราบสถานภาพองค์ความรู้ด้านการวิจัย วัฒนธรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นอย่างมาก มีหลายประเด็นเพื่อเป็น
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 25 หนทางการศึกษาวิจัยวัฒนธรรมในอนาคต ดังข้อสังเกต หรือข้อเสนอแนะบาง ประการ ท้ังที่มาจากบทความของผู้เขียนแต่ละคน และมาจากผู้บรรณาธิการดัง ต่อไปนี้ ประเดน็ การส่งเสรมิ การวจิ ยั วัฒนธรรมด้านความหลากหลายทางชาติพนั ธุ์ คอื 1) ดา้ นแนวความคดิ ใหมๆ่ ใหม้ ากขนึ้ โดยเฉพาะในดา้ นทางการเมอื ง การศกึ ษา การปรับตัว วัฒนธรรม การผสมผสานทางวัฒนธรรม การศึกษาข้ามวัฒนธรรม ชายแดน การจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ และสงิ่ แวดลอ้ ม 2) ดา้ นวจิ ยั กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ เปา้ หมายทยี่ งั ไมไ่ ดศ้ กึ ษา เพอ่ื จะทำ� ใหม้ คี วามเขา้ ใจความหลากหลายทางชาตพิ นั ธ์ุ มากยงิ่ ขนึ้ และ 3) ดา้ นการวจิ ยั กลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ุ ย่ี งั คงรกั ษาอตั ลกั ษณท์ างชาตพิ นั ธไ์ุ ด้ อย่างมัน่ คง เพอื่ จะเป็นแนวทางในการพฒั นากลุ่มชาตพิ นั ธ์ุอน่ื ๆ ต่อไป ประเดน็ การสง่ เสรมิ การวจิ ยั วฒั นธรรมดา้ นพลงั ความคดิ และภมู ปิ ญั ญา คอื 1) การจดั การความรกู้ ารวจิ ยั วฒั นธรรมดา้ นพลงั ความคดิ และภมู ปิ ญั ญา เพอื่ ใหเ้ กดิ กระบวนการถา่ ยทอดจากรนุ่ สรู่ นุ่ ตอ่ ๆ ไป 2) แนวทางการประยกุ ตก์ ารวจิ ยั วฒั นธรรม ด้านพลังความคิดและภูมิปัญญาตามนโยบายของรัฐและประเทศเพ่ือนบ้าน ในอนุภูมิภาคลุ่มน�้ำโขง ซ่ึงจะส่งผลต่อการพัฒนาบนรากฐานด้านพลังความคิด และภูมิปัญญาของชุมชน ย่อมน�ำไปสู่การพัฒนาของชุมชน โดยชมุ ชน เพอ่ื ชมุ ชน อยา่ งยงั่ ยนื ตอ่ ไป และ 3) การสง่ เสรมิ พฒั นานกั วจิ ยั วฒั นธรรมหนา้ ใหมใ่ หม้ ากยง่ิ ขนึ้ ท่ีมีความรู้ความสามารถในการศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านพลังความคิดและ ภมู ปิ ญั ญา และวฒั นธรรมดา้ นอน่ื ๆ ในพนื้ ทชี่ ายแดนรอบดา้ น คอื เสน้ ทางระเบยี ง เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) ประเด็นการส่งเสริมการวิจัยวัฒนธรรมด้านวัฒนธรรมกับการพัฒนา คือ 1) ผวู้ จิ ยั ควรทำ� วจิ ยั วฒั นธรรม ทตี่ อบสนองความตอ้ งการของชมุ ชน โดยศกึ ษาวจิ ยั แบบมสี ว่ นรว่ มกบั ชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ทม่ี คี วามพรอ้ มในการวจิ ยั วฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ ของตน เพอ่ื นำ� ผลไปสกู่ ารพฒั นา ทง้ั นบ้ี ทบาทของผวู้ จิ ยั จำ� เปน็ ตอ้ งไปปรบั กระบวนทศั นข์ อง ประชาชนโดยท่ัวไปให้เกิดความเข้าใจความหมายของของวัฒนธรรมตามแนวคิด ใหม่ กลา่ วคอื วฒั นธรรมไมไ่ ดห้ มายถงึ เพยี งการแสดง การละเลน่ การรอ้ งร�ำทำ� เพลง
26 โสวฒั นธรรม ศลิ ปวตั ถแุ ละพธิ กี ารตา่ งๆ ในวนั สำ� คญั ของชาตเิ ทา่ นน้ั หากมองกรอบของวฒั นธรรม ท่ีเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนท้องถ่ินด้วย 2) ผู้วิจัยจะต้องวิเคราะห์ หรอื แปลความหมายของวฒั นธรรมใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งถอ่ งแทเ้ สยี กอ่ น ซงึ่ วฒั นธรรมเปน็ พลังหรืออ�ำนาจอันยิ่งใหญ่ท่ีก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 3) นกั วิจัยควรศึกษาและ ทำ� ความเขา้ ใจความหลากหลายตา่ งๆ เชน่ ความหลากหลายทางชาตพิ นั ธ์ุ สามารถ อยู่ร่วมกันอย่างสนั ติสุข อย่างเป็นเอกภาพ และอย่างสมานฉนั ท์ได้ 4) นกั วิจัยควร ศึกษาวิจัยในประเด็นที่ท�ำอย่างไร จะท�ำให้ประชาชนจะเกิดความภาคภูมิใจ เกิด ความรกั หวงแหนและสบื สานมรดกทางวฒั นธรรมอนั ดงี ามของทอ้ งถน่ิ ใหย้ นื ยาวสบื ต่อไป และ 5) นกั วจิ ยั ควรส่งเสริมการวจิ ัยวฒั นธรรมแบบบูรณาการกับการพฒั นา ชุมชนท้องถิ่นอย่างแท้จรงิ และยัง่ ยนื ประเด็นการส่งเสริมการวจิ ัยวัฒนธรรมด้านศิลปวัฒนธรรม คอื 1) นกั วิจัย ควรสังเคราะห์บทคัดย่อของงานวิจัย เน่ืองจากมีรายละเอียด เพื่อพัฒนาแนวคิด ทฤษฎีท่ีมาจากทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) 2) นักวิจัยควรศึกษาวิจัย ศิลปวัฒนธรรมตามนโยบาย และทิศทางของรัฐ ซ่ีงสัมพันธ์กับการส่งเสริม การอนุรักษ์ การพัฒนาวัฒนธรรมท้องถ่ิน ท่ีเน้นการสนับสนนุ การวิจัยวัฒนธรรม ท่ีมีการบูรณาการ ในลักษณะกลุ่มสาระหรือชุดความรู้ด้านวัฒนธรรม และ 3) นกั วจิ ยั ทอ้ งถน่ิ ควรมบี ทบาทในการศกึ ษาวจิ ยั วฒั นธรรมดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมของ ตนเอง รว่ มกบั ปราชญช์ าวบา้ น เพอ่ื เกดิ ความตระหนกั ความรว่ มมอื และการพฒั นา ด้านศิลปวัฒนธรรมท้องถ่ินเพ่ือตอบสนองนโยบายและแนวทางในการเสริมสร้าง ความเข้มแข็งของชุมชนและการพัฒนาชุมชนอย่างย่ังยืนโดยใช้ประโยชน์จากทุน วัฒนธรรมให้ย่งั ยนื สบื ไป
บทที่ 2 พลวตั ทางวฒั นธรรมของ ความหลากหลายทางชาตพิ ันธ์ุ สมศักดิ์ ศรีสนั ตสิ ขุ 2.1 บทน�ำ นบั ตงั้ แตอ่ งคก์ ารสหประชาชาตไิ ดก้ ำ� หนดทศวรรษเพอื่ การพฒั นาวฒั นธรรม ในระหว่างปี 2531 - 2540 เป็นปีแห่งการเรียนรู้เรื่องมิติวัฒนธรรมกับการพัฒนา ประกอบกับการแปลหนงั สือ เรื่อง วัฒนธรรมอันหลากสีของมนุษยชาติ (นชุ นาฎ เนตรประเสรฐิ ศรี พศิ วาส ปทมุ ตุ ์ตรงั ษ,ี ม.ป.ป) ได้กล่าวถงึ ความหลากหลายทาง ชาตพิ นั ธุ์เกิดข้ึน ย่อมจะเหน็ ความส�ำคัญของความหลากหลายทางชาตพิ นั ธุ์ในยคุ ปจั จบุ นั สาเหตทุ สี่ ำ� คญั กค็ อื การพฒั นาประเทศทเ่ี กดิ ขนึ้ ในทกุ ๆ แหง่ ของโลก ตา่ ง ได้กล่าวถึงความหลากหลายทางชาตพิ ันธ์ุมคี วามสมั พนั ธ์การพัฒนาประเทศ ทง้ั นี้ เนอ่ื งจากหลายๆ ประเทศไดล้ ะเลยความสำ� คญั ของประเทศทปี่ ระกอบขน้ึ ดว้ ยความ หลากหลายทางชาตพิ นั ธุ์ ทำ� ใหเ้ กิดปัญหาเก่ยี วกบั ความหลากหลายทางชาตพิ ันธุ์ ทง้ั ในดา้ นการพฒั นาเศรษฐกจิ การเมอื งสงั คมและวฒั นธรรม ดงั นนั้ การเขา้ ใจความ หลากหลายทางชาตพิ นั ธจ์ุ งึ มปี ระโยชนเ์ พอ่ื หาแนวทางการพฒั นาประเทศในมติ ขิ อง ความหลากหลายทางวฒั นธรรมเสียไป วิถีชีวิตของประชาชนในชุมชนต่างๆ ในประเทศไทย ย่อมจะมีประวตั คิ วาม เป็นมาที่แตกต่างกัน ท้ังน้ีเน่ืองจากประวัติศาสตร์ของชาติไทยในแต่ละภาคแต่ละ ท้องถิน่ มีประวัติความเป็นมาท่หี ลากหลาย กล่าวคอื ในอดตี รัฐชาตปิ ระกอบด้วย
30 โสวัฒนธรรม การรวมตัวกันของอ�ำนาจรัฐที่สามารถครอบคลุมเมืองต่างๆ โดยแต่ละเมืองยังมี เจ้าเมืองหรือผู้ปกครองปกครองตนเอง แต่เมืองเหล่านน้ั จะต้องข้ึนกับนครหลวง การปกครองเช่นน้ีสามารถกล่าวได้ว่ามีความหลากหลายในแต่ละภูมิภาคและ ทอ้ งถนิ่ ตวั อยา่ งเชน่ วถิ ชี วี ติ ของประชาชนในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ในอดตี กอ่ น ทอ่ี าณาจกั รลา้ นชา้ งจะมอี �ำนาจ ในบรเิ วณภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื นมี้ หี ลกั ฐานท่ี มคี นอยู่อาศัยก่อนประวัตศิ าสตร์ คือ วฒั นธรรมเจนละ วฒั นธรรมทวาราวดี และ วฒั นธรรมของเขมรพระนครไดม้ อี ทิ ธพิ ลตอ่ วถิ ชี วี ติ ความเปน็ อยไู่ มน่ อ้ ย และอทิ ธพิ ล ของอาณาจักรล้านช้างที่มีอิทธิพลต่อภาคตะวันออกเฉยี งเหนือตอนบน (หอศิลป วฒั นธรรมมหาวทิ ยาลัย ขอนแก่น 2544:) ส�ำหรบั วิถชี ีวิตของประชาชนในภาคอน่ื กเ็ ชน่ เดยี วกนั กลา่ วคอื แตล่ ะภาคประกอบขนึ้ ดว้ ยกลมุ่ ชนทอี่ ยใู่ นทอ้ งถนิ่ เดมิ และ กลุ่มชนท่มี าจากสถานทีอ่ ่ืนๆ ซึ่งท�ำให้เหน็ ว่าวิถีชีวิตของประชาชนในแต่ละท้องถิน่ แต่ละภาคย่อมมคี วามหลากหลายทางวัฒนธรรมไม่มากกน็ ้อย เมื่อพิจารณาจากมิติทางประวัติศาสตร์ทางชาติพันธุ์ ย่อมจะเห็นได้ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศพหุลักษณ์ ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ส�ำหรับ ภาคอีสานเป็นภาคท่ีประกอบด้วยกลุ่มประชากรท่ีมีเช้ือสายกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ลาว/ ไทยลาว เป็นส่วนมาก แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ตามตระกูลภาษา 2 กลมุ่ กค็ อื กลมุ่ ออสโตรเอเซยี ตคิ (Austro-Asiatic) ซงึ่ ไดแ้ ก่ เขมรถน่ิ ไทย/ไทยเขมร กูย/กวย/ไทยกวย กลุ่มชาติพันธุ์โซ่ กะโส้/โส้/ไทยโส้ เญอ/ไทยเญอ/ไทยเยอ และ ญฮั กรู หรอื ชาวบน และกลมุ่ ไต-กะได ซง่ึ ไดแ้ ก่ ไทโคราช/ไทยโคราช ไทลาว/ไทยลาว ไทโย้ย/ไทยโย้ย ไทญ้อ/ไทย้อ/ไทยญ้อ กะเลิง/ไทยกะเลิง ไทพวน/ไทยพวน ผู้ไทย และไทแสก/ไทยแสก นอกจากนยี้ ังมีกลุ่มชาติพันธุ์จีน ญวน และอินเดยี ที่ได้อาศัย ในเมอื ง หรอื แต่งงานกบั คนในท้องถน่ิ ชนบท การที่ประเทศไทยมีแผนการพัฒนาประเทศมาได้หลายฉบับ โดยแผนการ พัฒนาประเทศส่วนใหญ่มีแผนงานและโครงการต่างๆ ในลักษณะเป็นนโยบาย เบ้ืองบนลงสู่เบ้ืองล่าง (top-down policy) ทำ� ให้แผนงานและโครงการต่างๆ ไม่ได้ สนองกบั ความตอ้ งการของประชาชนในวถิ ชี วี ติ ทมี่ คี วามหลากหลายทางวฒั นธรรม
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 31 แม้ว่าในแผนพัฒนาประเทศฉบับที่ 8 และ 9 จะเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเสนอแผนงานและโครงการต่างๆ ในลักษณะที่ เปน็ นโยบายเบอ้ื งลา่ งสเู่ บอื้ งบน (bottom-up policy) กต็ าม แตร่ ะบบคดิ ของผบู้ รหิ าร ระดับนโยบายยังไม่ปรับเปล่ียนกระบวนทัศน์การพัฒนา จึงท�ำให้แผนการพัฒนา ประเทศท่ีผ่านมาไม่ค่อยประสบความส�ำเร็จ ความเหล่ือมล�้ำทางสังคมระหว่าง คนรวยและคนจนมมี ากขน้ึ ความเทา่ เทยี มในการพฒั นากลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ รวมทงั้ การทป่ี ระเทศมนี โยบายระบบเศรษฐกจิ เสรี โดยไมไ่ ดเ้ ขา้ ใจและไมเ่ หน็ ความส�ำคญั ประการหนงึ่ ในวถิ ชี วี ติ ของประชาชนทม่ี คี วามหลากหลายทางวฒั นธรรม โดยเฉพาะ ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ท�ำให้การพัฒนาความหลากหลายทางวัฒนธรรม ถูกละเลย จนประเทศเข้าไปสู่ระบบเศรษฐกิจโลกจนเกิดภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ เกิดขน้ึ ในปีพ.ศ.2540 ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ดังกล่าวในแต่ละชุมชน แสดงให้เห็นถึง ความเป็นลักษณะเฉพาะหรือความเป็นอัตลักษณ์ของแต่ละชุมชน ปัญหาและ ความต้องการในแต่ละชุมชนย่อมแตกต่างกันไป การช่วยเหลือหรือชุมชนต้องการ พ่ึงตนเองย่อมแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกันทั้งหมด อาจจะมีลักษณะทั่วๆ ไปใน สถาบันทางสังคมที่มีความคล้ายคลึงกัน แต่ความมีชีวิตทางวัฒนธรรมในสถาบัน ต่างๆ ย่อมแตกต่างกันไป เช่น ในแต่ละชุมชนย่อมจะมีสถาบันต่างๆ ซึ่งมีความ สมั พนั ธร์ ะหวา่ งกนั แตบ่ รบิ ทเนอ้ื หาของการคงอยู่ การปรบั ตวั และการเปลย่ี นแปลง ในแต่ละสถาบันแตกต่างกันไป ซึ่งไม่เหมือนกัน ดังนั้น แสดงให้เห็นว่าความ หลากหลายทางวฒั นธรรมโดยเฉพาะความหลากหลายทางชาตพิ นั ธ์ุ มคี วามส�ำคญั อย่างมากในงานพัฒนา ดังจะเห็นว่าผลกระทบของการพัฒนาประเทศโดยไม่ได้ ค�ำนงึ ถงึ การพัฒนาทต่ี ้องมคี วามแตกต่างกันตามความหลากหลายทางวฒั นธรรม โดยเฉพาะความหลากหลายทางชาตพิ นั ธ์ุ จงึ ทำ� ใหเ้ กดิ ชอ่ งวา่ งของการพฒั นา หรอื เกิดผลกระทบในการพัฒนาประเทศ ที่ท�ำให้บางชุมชนไม่ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ เหมาะสมตามเป้าหมายของแผนพัฒนาประเทศ (สมศักด์ิ ศรีสนั ตสิ ุข 2543)
32 โสวัฒนธรรม การประเมนิ สถานภาพการศกึ ษาความหลากหลายทางชาตพิ นั ธน์ุ ี้ จะชว่ ยให้ เกดิ ความเขา้ ใจ และความรแู้ บบบรู ณาการของความหลากหลายทางวฒั นธรรมของ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ซง่ึ จะน�ำไปสกู่ ารเสนอแนะเชงิ นโยบายของรฐั บาลได้ อนั จะชว่ ยใหเ้ กดิ การเขา้ ใจ เขา้ ถงึ และพฒั นากลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ อยา่ งยง่ั ยนื ตลอดไป 2.2 พลวัตของวิถชี ุมชนและอตั ลกั ษณ์ของกลุม่ ชาตพิ นั ธ์ุ แนวความคิดของพลวัตชุมชนชาติพันธุ์ เป็นการเน้นการเปลี่ยนแปลง การปรับตัว การผสมผสาน การกลมกลืนทางวัฒนธรรม ความหลากหลายทาง วัฒนธรรม และวฒั นธรรมการพัฒนาของกลุ่มชาตพิ ันธ์ุ ท�ำให้เห็นพลวัตวถิ ชี ุมชน ชาติพนั ธ์ุทไี่ ด้เปล่ียนแปลงไป ซ่ึงมีผลต่อโครงสร้างสังคมของแต่ละชมุ ชนชาตพิ นั ธ์ุ ในวถิ ดี �ำรงชีวติ ของชมุ ชนชาติพนั ธ์ุเป็นอย่างมาก ปรากฏผลดังต่อไปน้ี แนวคิดที่นักวิจัยได้ศึกษาวิจัยวัฒนธรรมที่ส�ำคัญแนวคิดหน่ึงคือ การ เปล่ยี นแปลงทางเศรษฐกจิ และสังคม โดยนายสมศักดิ์ ศรีสนั ตสิ ขุ (2538-2539) ได้ ศึกษาวถิ ีชีวติ ทางเศรษฐกจิ ของชาวบ้านไทยญ้อ บ้านโพน ตำ� บลโนนตาล อำ� เภอ ท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต เน่ืองจากแต่ละครอบครัว มอี าชพี อน่ื ๆ มากข้นึ ท�ำให้มีวิถีชวี ิตทางเศรษฐกิจทเี่ ปลี่ยนแปลงไปจากเดมิ ตาม อทิ ธพิ ลของทนุ นยิ มทเ่ี ขา้ ไปในหมบู่ า้ นเปน็ อยา่ งมาก สว่ นลกั ษณะการเปลย่ี นแปลง ทางสังคมได้แก่โครงสร้างครอบครวั และการอบรมเล้ียงดูบุตรซึ่งได้เปลีย่ นแปลงไป ฉันทนา จันทร์บรรจง (2541) ได้ศึกษาวิจัยพัฒนาทางสังคมของกลุ่ม ชนพนื้ เมอื งเชอ้ื สายไทยเลย ซงึ่ ตงั้ อยแู่ ถบพน้ื ทชี่ ายขอบของประเทศไทย ในจงั หวดั พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และจังหวัดเลย ได้พบว่า รูปแบบการพัฒนาสังคมในยุค ก่อนสุโขทัยจนถึงยุคต่อต้านคอมมิวนิสต์ไม่ได้เกิดข้ึนพร้อมกันทุกเมือง แต่พัฒนา ตอ่ เนอื่ งจากภายในกอ่ นพฒั นาเปน็ ชมุ ชนถาวร จากระบบเศรษฐกจิ แบบเกษตรกรรม จนพัฒนาเป็นเศรษฐกจิ ที่ต้องพง่ึ ความเจรญิ ทางวตั ถมุ ากข้ึน
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 33 นอกจากน้ีผลงานวิจัยท่ีเก่ียวกับวัฒนธรรมการเมืองในภาคตะวันออก เฉยี งเหนือคือเกิดขบวนการเสรีไทยขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทยซ่ึงมีบทบาท อย่างมากในเขตจังหวัดมุกดาหาร นครพนม และกาฬสินธุ์ ขบวนการเสรีไทย ดงั กลา่ วเกดิ ขนึ้ โดยการนำ� ของสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื เช่น นายจ�ำลอง ดาวเรือง เป็นผู้น�ำการเคล่ือนไหวในท้องท่ีของคนในจังหวัด กาฬสินธุ์ (ปิยะมาศ อรรคอ�ำนวย, 2545) ผลงานวิจัยท่ีแสดงถึงความกลมกลืนทางวัฒนธรรมก็คือ ชาวไทยผู้ไทย ซ่ึงเป็นไทยครัวได้อพยพมาอยู่บ้านดงสวนพัฒนา ต�ำบลนาทัน อ�ำเภอค�ำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ มีความผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมกับกลุ่มชาติพันธุ์ลาว ซึ่ง เป็นวัฒนธรรมหลัก การพูดของชาวไทยครัวยังมีการปะปนกับภาษาลาวรวมทั้ง การบรโิ ภค ทอี่ ยู่อาศยั และการแต่งกาย (ศราวธุ แฝงสคี �ำ, 2542) นอกจากนผ้ี ลงานวจิ ยั ทไ่ี ดผ้ สมกลมกลนื ทางวฒั นธรรมของชาวผไู้ ทยกบั ชาว ไทยลาว ท้งั น้ไี ด้พบว่า การกลมกลนื ด้านภาษา ด้านอาหารการกนิ ด้านการรกั ษา ความสะอาด (สภุ ิตา ไชยสวาสด์,ิ 2542) ส่วน ชาญชัย ใจหาญ (2538) ได้ศึกษาการผสมผสานทางวัฒนธรรมชาว ไทยเญอกับชาวไทยลาว บ้านหัวหมู ตำ� บลก้ามปู อ�ำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัด มหาสารคาม โดยไดม้ กี ารผสมผสานกลมกลนื ทางวฒั นธรรม ยกเวน้ เรอ่ื งความเชอื่ ห้องเรอื นยังคงถอื คตโิ บราณ เมอ่ื เราวเิ คราะหด์ า้ นการผสมกลมกลนื ทางวฒั นธรรมจะพบวา่ คนสว่ นมาก มีการผสมกลมกลืนทางวฒั นธรรมในด้านการบรโิ ภค ทีอ่ ยู่อาศัย และการแต่งกาย โดยการผสมกลมกลนื ทางวฒั นธรรมเกดิ ขน้ึ เมอ่ื มกี ารตดิ ตอ่ สมั พนั ธร์ ะหวา่ งกนั แต่ อยา่ งไรกต็ ามการผสมกลมกลนื ทางวฒั นธรรมในดา้ นความเชอื่ จะเปน็ ไปไดย้ าก ซงึ่ เปน็ เรอื่ งทเี่ กยี่ วกบั ความเชอื่ ในสงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธแิ์ ตล่ ะกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ซง่ึ ไดป้ ฏบิ ตั สิ บื ทอด กันมา
34 โสวฒั นธรรม ความหลากหลายทางวัฒนธรรมเป็นแนวคิดหนง่ึ สำ� หรับการที่วัฒนธรรม ระหว่างกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุไม่สามารถท่จี ะผสมกลมกลืนทางวฒั นธรรมได้ จงึ ทำ� ให้เกิด แนวคดิ ของความหลายหลายทางวฒั นธรรมกลมุ่ ชาตพิ นั ธซ์ุ งึ่ สามารถอยรู่ ่วมกนั ได้ ทา่ มกลางความแตกตา่ งทางวฒั นธรรม ดงั การศกึ ษาของ ทวี ถาวโร (2540) ไดศ้ กึ ษา วถิ ีชวี ติ ชนกลุ่มชาติพนั ธ์ุ 3 กลุ่ม ได้แก่ ชาวไทยดำ� บ้านนาป่าหนาด ตำ� บลเขาแก้ว อ�ำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ชาวผู้ไทยบ้านหนองช้าง และบ้านหนองแก่งทราย ตำ� บลหนองชา้ ง กงิ่ อำ� เภอสามชยั จงั หวดั กาฬสทิ ธ์ุ และชาวไทยญอ้ บา้ นทา่ ขอมยาว ต�ำบลท่าขอนยาง อำ� เภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ซ่ึงได้พบว่าท้ัง 3 กลุ่ม ชาติพันธุ์มีความแตกต่างในด้านการแต่งกายในวันส�ำคัญ อาหาร ที่อยู่อาศัย ลักษณะบ้านเรือน ระบบสังคมและการปกครอง ขนบธรรมเนียมประเพณี ความ เช่ือและประเพณตี ่างๆ ซ่ึงยงั คงมกี ารสบื ทอดต่างๆ กนั มาจนถงึ ปัจจุบนั แนวความคดิ ของอตั ลกั ษณก์ ลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ เปน็ แนวความคดิ ทน่ี กั วจิ ยั จ�ำนวน มากใหค้ วามสำ� คญั ตอ่ การธำ� รงอตั ลกั ษณท์ ไี่ ดท้ ำ� การศกึ ษา โดยมผี ลงานทสี่ ามารถ แยกเป็นกลุ่มชาติพนั ธ์ุ ดงั ต่อไปนี้ ผลงานวิจัยวัฒนธรรมที่ได้ศึกษาค่านิยมการศึกษาท่ีได้เปลี่ยนแปลง ท้ังนี้ ชาวผู้ไทยบ้านโนนหอม ต�ำบลโนนหอม จังหวัดสกลนคร โดยปัจจัยด้านสังคมซ่ึง ชาวผไู้ ทยยงั คงรกั ษาเอกลกั ษณใ์ นภาษาพดู เปน็ อยา่ งดี ผลกระทบของการศกึ ษาตอ่ คา่ นยิ มเปลยี่ นแปลงนอ้ ยมาก เนอื่ งจากชาวผไู้ ทยยงั คงยดึ มนั่ และอนรุ กั ษว์ ฒั นธรรม ของผู้ไทยอย่างเคร่งครัด ตลอดจนชาวผู้ไทยมีทัศนคติที่ดีต่อความยากจน ส่วน ปญั หาทตี่ อ้ งแกไ้ ขตอ่ ไปคอื ปญั หายาเสพตดิ (สมศกั ดิ์ ศรสี นั ตสิ ขุ และคณะ, 2543) สมศักดิ์ ศรีสันติสุข และคณะ (2544) ได้ศึกษาโครงสร้างชุมชนชาติพันธุ์ ผู้ไทย บ้านโนนหอม ต�ำบลโนนหอม จังหวัดสกลนคร โดยกล่าวได้ว่า โครงสร้าง และบทบาทของสงั คมผไู้ ทยมคี วามสมั พนั ธก์ บั วถิ ชี วี ติ ความเชอื่ ตา่ งๆ ในชมุ ชน ซงึ่ ส่งผลต่อการที่เกษตรกรรม ท�ำให้ด�ำรงไว้ถึงวัฒนธรรมต่างๆ ของผู้ไท เช่น การ ร�ำผู้ไทย การร�ำมวยโบราณ เป็นต้น ต่อมา สุวิทย์ ธีรศาศวัติ (2538) ได้ศึกษา ประวัติศาสตร์หมู่บ้านชาวผู้ไทบ้านหนองโอ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 35 ภาษาทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณอ์ ยา่ งหนง่ึ ของชาวผไู้ ทย อรพนั ธ์ บวรรกั ษา (2541) ได้ ศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งภาษาผไู้ ทยกบั ภาษาลาวโซง่ ไดพ้ บวา่ ภาษาผไู้ ทยและ ภาษาลาวโซ่ง ความคล้ายคลงึ ของภาษาทง้ั สองคือ การเรยี กชอื่ ที่ซำ�้ ซ้อนกนั แต่มี ผเู้ รยี กและเขยี นตา่ งไป เชน่ ลาวโซง่ ลาวชอ่ ลาวชอ่ ด�ำ ไทดำ� ไตดำ� ไททรงดำ� ภไู ท เป็นตน้ โดยมถี น่ิ กำ� เนดิ อยเู่ มอื งไล และเมอื งแถง ในแคว้นสบิ สองจะไท และอพยพ เข้ามาในประเทศไทยซง่ึ กระจายไปตามจงั หวดั ต่างๆ ในประเทศไทย ประกอบ ผลงาม (2538) ได้ศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์ของชาวชมุ ชนเขมรถน่ิ ไทย โดยทำ� การคน้ ควา้ ภาษาเขมรตา่ งๆ ไดพ้ บวา่ ชวี ติ ความเปน็ อยวู่ ฒั นธรรม ประเพณี และดนตรี ในอดีตมีการพัฒนามาในระดับหนง่ึ สำ� หรบั กติ ตริ ชั พงษส์ ทิ ธศิ กั ดิ์ (2540) ไดศ้ กึ ษาการปรบั เปลย่ี นทางวฒั นธรรม ของชาวไทยโย้ยในด้านคติความเชื่อ ซ่ึงการปรับเปล่ียนวัฒนธรรมเกิดจากสาเหตุ การท�ำนุบ�ำรุงส่งเสริมวัฒนธรรม ท�ำให้การเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของ มนษุ ย์ ของสงิ่ แวดลอ้ มทจ่ี ะปรบั เปลย่ี นในทางทด่ี ขี น้ึ นอกจากน้ี สมศกั ด์ิ ศรสี นั ตสิ ขุ และคณะ (2540 – 2541) ได้ศึกษาชาวไทยโย้ย บ้านโพนแพน ต�ำบลหนองสนม อำ� เภอวานรนวิ าส จงั หวดั สกลนคร โดยเปน็ กลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ุ ม่ี คี วามเครง่ ครดั ในดา้ น พุทธศาสนาเป็นอย่างมาก นอกจากมภี าษาโย้ยเป็นอตั ลกั ษณ์ท่พี ูดกนั ทัง้ หมู่บ้าน สว่ นวรรณศกั ด์ิ บญุ เสริ ม ไดศ้ กึ ษาระบบความเชอื่ ของชาวไทดำ� มี 3 ประเภท คือ ผีรากเหง้า ผีเพอื่ การดแู ล และผีเจ้านาย ซ่ึงชาวไทยดำ� จะให้การเคารพย�ำเกรง มากทีส่ ุด ส�ำหรับ สุรัตน์ วรางรัตน์ (2538) ได้ศึกษาสถาบันทางเศรษฐกิจโดยเน้น วัฒนธรรมประมงของชาวไทยโส้บ้านปากอูน และเปรียบเทียบชาวไทยลาวที่ บ้านปากยาม อ�ำเภอศรีสงคราม จังหวดั นครพนม ได้พบว่าชาวไทยโส้ เป็นกลุ่มที่ มีความสามารถในการประมง ไม่กล้าเสีย่ งเหมือนกลุ่มไทยลาว นโยบายของรัฐที่มีต่อความหลากหลายของชาติพันธุ์ท่ีแตกต่างกันไปตาม กาละและเทศะ นโยบายทเ่ี หน็ เป็นรปู ธรรมมาก ได้น�ำมาใช้กับวัฒนธรรมของกลุ่ม
36 โสวฒั นธรรม ชาวเวยี ดนาม ซึง่ เป็นกลุ่มชนทีร่ ัฐบาลมนี โยบายท�ำงานในมนุษย์ ดังจะเป็นได้จาก ชาวเวยี ดนามในประเทศไทย ซงึ่ ธญั ญาทพิ ย์ ศรพี นา (2546) ไดพ้ บวา่ ชาวเวยี ดนาม ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ทั้งนน้ี โยบายของรัฐบาลไทยต่อชาว เวียดนามในแต่ละยุคแต่ละสมัยจะแตกต่างกันไปตามกระแสทางการเมือง ทำ� ให้ เหน็ วา่ ชาวเวยี ดนามตา่ งกส็ รา้ งอตั ลกั ษณข์ องตนเปน็ อยา่ งมาก ดงั เชน่ งานวจิ ยั ของ ผล อัฐนาถ (2543) ได้ศึกษาวิถีชีวิตคนไทยเช้ือสายเวียดนามในเขตเทศบาลเมือง มกุ ดาหาร จงั หวดั มกุ ดาหารวา่ กลมุ่ ชาวเวยี ดนามทเี่ ขา้ มาหลงั สงครามโลกครงั้ ที่ 2 ทย่ี งั สำ� นกึ เปน็ คนญวนตลอดเวลา มกี ารสอนภาษา ประวตั ศิ าสตรเ์ วยี ดนาม พรอ้ ม ทง้ั เรยี นภาษาไทยเพอ่ื การตดิ ตอ่ การคา้ ขาย ซงึ่ ปจั จบุ นั ประสบความสำ� เรจ็ ดกี วา่ คน ไทย สอดคล้องกบั งานของ สรุ จติ ต์ จนั ทรสาขา (2545) ไดม้ คี นเวยี ดนามอพยพเขา้ มาขอพงึ่ พระบรมโพธสิ มภาร ในสมยั รชั กาลที่ 1 เนอื่ งจากประเทศเวยี ดนามได้เกดิ กบฏขน้ึ เชน่ เดยี วกนั สรุ นิ ทร์ มขุ ศรี (2543) ไดก้ ลา่ วถงึ ความเปน็ อตั ลกั ษณข์ องชาว เวยี ดนามทก่ี ลา่ วถงึ การตามรอบปฏวิ ตั โิ ฮจมิ นิ สใ์ นจงั หวดั นครพนมโดยไดเ้ ขา้ มาเพอื่ ระดมมวลชนต่อสู่กับจกั รวรรดินยิ ม ร.ต.ท.ไวพจน์ ขันสุวรรณา (2543) มีขอบเขตการวิจัยของชาวไทยเช้ือสาย จีนในเขตเทศบาลมหาสารคาม ได้พบว่า ชาวไทยเชื้อสายจีนเดิมมีบทบาททาง เศรษฐกจิ เชน่ การประกอบอาชพี การเกษตร เลย้ี งสตั วแ์ ละคา้ ขาย ตอ่ มาไดเ้ ปลย่ี น มามบี ทบาททางเศรษฐกจิ มากขนึ้ ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของ วราเทพ สนั ตวิ รรกั ษ์ (2542) ซง่ึ ไดศ้ กึ ษาวถิ ชี วี ติ ชาวจนี ในเขตสถานทร่ี ถไฟศรสี ะเกษ นอกจากนไี้ ดค้ น้ พบ ว่า แม้ว่าชาวจนี จะมบี ทบาททางเศรษฐกจิ เป็นอย่างมาก แต่ชาวจนี ยงั คงยดึ มน่ั ใน ประเพณที สี่ บื ทอดจากบรรพบรุ ษุ ซงึ่ มพี นื้ ฐานการสอนของลทั ธเิ ตา๋ ลทั ธขิ งจอ้ื และ พระพทุ ธศาสนามหายาน ส่วนสุริยา สมุทคุปติ์ และพัฒนา กิตติอาษา (2544) ได้ศึกษาชุมชนบ้าน โนนกุ่ม และบ้านสีคิ้ว อ�ำเภอสีค้วิ จังหวัดนครราชสีมา ได้ศึกษาชาวยวนหรอื ชาว โยนกทไ่ี ดส้ ร้างนยิ ามอตั ลกั ษณท์ างชาตพิ นั ธ์ขุ องตนทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการต่อรองช่วงชงิ ของสมาชกิ กลมุ่ พนั ธท์ุ ง้ั ในระดบั ปจั เจกบคุ คลและชมุ ชน ภายใตป้ ฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ ง สมาชิกในกลุ่มชาติพนั ธุ์เดียว
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 37 เราอาจจะสรปุ ไดว้ า่ แตล่ ะกลมุ่ ชาตพิ นั ธม์ุ พี น้ื ฐานทส่ี ำ� คญั ซงึ่ มคี วามแตกตา่ ง กนั ในดา้ นการเปลยี่ นแปลงทางเศรษฐกจิ แตส่ งั คมกส็ ามารถดำ� รงอยไู่ ดใ้ นกระแสการ เปลยี่ นแปลงของกระแสโลกาภวิ ตั น์ นอกจากนี้ ประวตั ศิ าสตรข์ องความหลากหลาย ทางชาตพิ นั ธม์ุ คี วามจำ� เปน็ ทจี่ ะตอ้ งศกึ ษาเพอ่ื ทางประวตั ศิ าสตรข์ องแตล่ ะชาตพิ นั ธ์ุ ซ่ึงแต่ละชาติพันธุ์มีอัตลักษณ์ และมีความแตกต่างกันตามโครงสร้างชุมชนของ แต่ละกลุ่มชาติพันธ์ุนนั้ ๆ 2.3 พลวตั ของความเช่ือในวิถีชวี ติ แนวความคิดระบบความเชื่อกับวิถีชีวิตวัฒนธรรม เป็นแนวความคิดท่ี ส�ำคัญหนง่ึ ในการศึกษาความหลากหลายทางชาติพันธุ์ เน่ืองจากระบบความเช่ือ เป็นวิถีชีวิตที่ได้ฝังรากลึกของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ เปรียบเสมือนเป็นชีวิตจิตใจที่ กลมุ่ ชาตพิ นั ธม์ุ ตี อ่ ระบบความเชอื่ อยา่ งแนน่ เฟน้ และไดย้ ดึ ถอื ปฏบิ ตั อิ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง และย่ังยืน ซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ ผลงานวิจัยสถานภาพ องค์ความรู้การวิจัยความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยได้จ�ำแนกตามประเด็นที่ ศึกษา ซง่ึ เป็นแนวความคิดหลกั และกลุ่มชาตพิ ันธ์ุ ดงั ต่อไปน้ี พชร สุวรรณภาชน์ (2544) ได้ศึกษาโลกทัศน์ของชาวไทยโคราชโดยการ วิเคราะห์จากกลอนเพลงไทยโคราชผ่านวัฒนธรรมดนตรีพ้ืนบ้าน ในด้านรูปแบบ เนอ้ื หา สะท้อนความเช่อื และค่านยิ ม ได้พบว่าแม้ว่าการเปลย่ี นแปลงตามกระแส โลกาภวิ ตั น์ทีเ่ กดิ ขนึ้ วฒั นธรรมดนตรีพืน้ เมอื งถูกปรับเปลยี่ นให้เข้ากับบริบทสังคม ปัจจบุ ันด้านการพฒั นาลลี าการร้องหรอื การเล่นเพลง ในขณะทีจ่ ติ รกร โพธง์ิ าม (2536) โลกทศั น์ของชาวไทยบรูท่ีมตี ่ออาหารซึ่ง มีพืน้ ทีจ่ ำ� กัดลกั ษณะอาหารขนึ้ อยู่กับทอ่ี ยู่อาศัย เช่น เรือนแบบไม้ฝังมคี วามมั่นคง กว่าแบบฝังเสา โลกทัศน์ต่อเครื่องนุ่งห่ม ซ่ึงไม่มีความประณตี ชาวบรูมีโลกทัศน์ เกย่ี วกับการรกั ษาสุขภาพตามแบบโบราณ และมีโลกทัศน์ท่ีเช่อื ว่าบุคคลภายนอก มอี �ำนาจหรอื สงู กว่าชาวบรู
38 โสวฒั นธรรม กลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทดำ� บา้ นนาปา่ หนาด ตำ� บลเขาแกว้ อำ� เภอเชยี งคาน จงั หวดั เลย เปน็ กลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ุ นี่ บั ถอื ศาสนาผี มผี แี ถบ ผเี รอื น ผเี จา้ บา้ น จงึ มพี ธิ กี รรมตา่ งๆ ในการนบั ถอื ผเี พอ่ื รกั ษาวฒั นธรรม และแสดงความกตญั ญตู ่อบรรพบรุ ษุ พธิ กี รรม ตา่ งๆ มคี วามสมั พนั ธ์กบั โครงสรา้ งทางสงั คมตา่ งๆ (เพญ็ นภา อนิ ทรตระกลู , 2535) หากจะศกึ ษาความสมั พันธ์ของชาวไทด�ำกับกลุ่มชนชาตพิ ันธุ์อนื่ จะพบว่า ชาวไทด�ำมีเอกลักษณ์เฉพาะที่จะดำ� รงชาติพันธุ์ของตนเองอย่างเคร่งครัด ได้มกี าร สานสมั พันธ์ระหว่างภาษาผู้ไทยและภาษาลาวโซ่ง (อรพันธ์ บวรรกั ษา, 2541) นอกจากนนั้ มี มนัสกมล ทองสมบัติ (2536) ได้ศกึ ษาคติความเช่ือเกีย่ วกบั พิธกี รรมของชาวผู้ไทยในงานพะชู มีองค์ประกอบด้วยด้านวัตถทุ ี่เกยี่ วข้อง ด้านตัว บคุ คล ดา้ นเวลา ดา้ นสถานที่ และดา้ นความเชอื่ สว่ นขนั้ ตอนพบวา่ มกี ารสตู รขวญั การผูกข้อต่อแขน การเฆ่ียนเขย การล้างเท้าเขย การสมมา การเล้ียงผี ด้านคติ ความเชอ่ื มคี วามเชอ่ื ในสง่ิ เหนอื ธรรมชาตคิ อื การนบั ถอื ผที งั้ นพี้ ธิ กี รรมความเชอื่ ของ งานพะชูมีความสัมพันธ์ต่อวิถีชีวติ คอื การมวี ิถชี ีวิตทส่ี งบและสันโดษ นอกจากนี้ เริงวิชญ์ นิลโคตร (2546) ได้กล่าวถึงพิธีกรรมเหยาเล้ียงผีของ ชาวผู้ไทยบ้านโคกโก่ง ตำ� บลกุดหว้า อ�ำเภอกุฉนิ ารายณ์ จังหวัดกาฬสินธ์ุ โดยได้ พบว่า พิธีกรรมเหยาเล้ียงผีซึ่งเป็นพิธีกรรมเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษเท่านน้ั แต่ยังเป็น กระบวนการกล่อมเกลาทางสงั คมทท่ี ำ� ให้ชมุ ชนดำ� รงอยไู่ ดใ้ นท่ามกลางกระแสของ โลกาภิวตั น์ด้วย ไพฑูรย์ มีกุศล (2540) และวีระ สุดสังข์ (2545) ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ ความเปน็ มาของวถิ ชี วี ติ ความเชอ่ื ของชาวไทยกวย ซง่ึ ชาวกวยมพี ธิ กี รรมและความ เชือ่ ต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่เป็นอย่างมาก เช่น การศึกษาของ อิศราพร จันทร์ทอง (2543) เกย่ี วกบั บทบาทหนา้ ทที่ างพธิ แี กล็ มอ บา้ นส�ำโรงทาบ อำ� เภอโรงทาบ จงั หวดั สุรินทร์ โดยได้พบว่า พิธีกรรมดังกล่าวชาวไทยกวยทุกครอบครัวยังยึดถือปฏิบัติ สบื ต่อกนั มา ท�ำให้ชาวกวยเชือ่ ถือกบั พิธกี รรมนี้เป็นอย่างมาก
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 39 สำ� หรบั ความเชอ่ื ปตู่ าของ ฐติ นิ นั ท์ เวทยศ์ ริ ยิ านนั ท์ (2545) ไดศ้ กึ ษาความเชอื่ ตะกวดของชาวไทยกวย บา้ นตรมึ เปน็ ความเชอื่ ทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ บั ประวตั ศิ าสตร์ ความเป็นมาของชนชาติพันธุ์น้ี โดยมีสัตว์ตะกวดเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อที่ ปฏิบตั ิสืบต่อกันมา เช่นเดยี วกับความเชอื่ ผีบรรพบุรษุ ทช่ี าวกวย บ้านตรึม นับถือ โดยไดแ้ ปลงเปน็ การเขา้ ทรงผา่ นตะกวด มกี วนจำ�้ เปน็ ผตู้ ดิ ตอ่ กบั ผบี รรพบรุ ษุ (ปราณี วงษ์เทศ, 2539) การศึกษาภูมิปัญญาของชาวไทยกวยก็คือ พิธีกรรมเล่นสะเอง ในจังหวัด ศรสี ะเกษ เนอื่ งจากชาวไทยกวยมกั สรา้ งชมุ ชนอยตู่ ามปา่ ตามเขา พงึ่ พาสงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ และลล้ี บั จงึ เลน่ สะเองเพอ่ื ขอพรจากสงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ และดวงวญิ ญาณของบรรพบรุ ษุ ใหป้ กปกั รกั ษา โดยการตดิ ตอ่ ผา่ นรา่ งทรงของแมส่ ะเอง เพอื่ ร�ำลกึ ถงึ คณุ งามความดี ของบรรพบุรุษ การเล่นสะเองของชาวไทยกุยนี้ จะมกี ลองและฆ้อง ผู้ชายตีกลอง แลฆอ้ ง (วรี ะ สดุ สงั ข,์ 2542) ทำ� ใหเ้ หน็ ถงึ ภมู ปิ ญั ญาในระบบคดิ ทใี่ ชร้ า่ งทรงเปน็ การ ส่ือถึงบรรพบุรษุ ให้รกั ษาปกป้องความเจรญิ รุ่งเรืองต่อชมุ ชนต่อไป ชาวไทยโส้เป็นอีกชนชาติพันธุ์หนึ่งท่ีมีความเช่ือด้านการทรง โดยจะมี พิธกี รรม ฟ้อนผหี มอ ซึง่ เป็นพิธีสบื ทอดกนั มาตง้ั แต่บรรพบรุ ษุ จัดท�ำขึ้นในเดือนส่ี ของทกุ ๆ ปี โดยใชเ้ วลา 2 วนั กบั 1 คนื เปน็ การแสดงความกตญั ญแู ละความเคารพ ต่อผีบรรพบุรุษ ทั้งนช้ี าวไทยโส้เช่ือว่าเมื่อทำ� พิธีกรรมแล้วจะท�ำให้ครอบครัวและ ชุมชน อยู่เย็นเป็นสุข ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนพิธีกรรมการซื้อวัสดุอปุ กรณต์ าม ทอ้ งตลาด เชน่ ดอกรกั พลาสตกิ สว่ นความเชอื่ ยงั เหมอื นเดมิ (ชาตชิ ยั ฉายมงคล, 2543) ชาวไทยบรูก็เป็นอีกชนชาติพันธุ์หนง่ึ ที่มีประเพณี เจ้ียะสล่า บ้านพันแดง ตำ� บลพนั แดง อำ� เภอดงหลวง จงั หวดั มกุ ดาหาร ทง้ั นจี้ ะมพี ธิ กี รรมของการสตู รขวญั การผกู แขน การสอนเขยและสะใภ้ การสมมา และการเลย้ี งผบี รรพบรุ ษุ (ศภุ ลกั ษณ์ นิลทะราช, 2537) ระบบภูมิปัญญามีความส�ำคัญต่อประเพณีและพิธีกรรมโดยเป็นวิถีชีวิต วัฒนธรรมของชาวมอญ บ้านพระเพลิง ต�ำบลนกออก อ�ำเภอปักธงชัย จังหวัด
40 โสวัฒนธรรม นครราชสมี า เป็นอย่างมาก ซง่ึ มลี ักษณะเป็นแนวฮตี สิบสองของชาวอีสาน ต้งั แต่ การเกิด การบวช การแต่งงานและการตาย (ประนอม เทียนทอง, 2536) จากการศึกษากลุ่มชนชาติพันธุ์ท่ีใช้ตระกูลภาษามอญ-เขมร ได้ข้อคิดว่า ระบบภูมิปัญญา กับวิถีชีวิตเป็นพลังที่แสดงให้เห็นถึงการท�ำความเช่ือมาติดต่อ สัมพันธ์ในด้านพิธีกรรม ประเพณีอย่างต่อเนื่อง และไม่ขาดสายจากอดีตจนถึง ปัจจุบันเช่น การเล่นผีหมอของชาวไทยไทยโส้ การเข้าร่างทรงตามความเชื่อใน แต่ละท้องถ่ิน จนได้กลายเป็นประเพณที ี่ได้พัฒนา ซ่ึงเกี่ยวข้องกับพลังความคิด และภมู ปิ ัญญาเพื่อความอยู่รอดของกลุ่มชาตพิ ันธุ์ด้วย ยงั มกี ารศกึ ษาเรอ่ื งความเชอื่ ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธห์ุ ลายกลมุ่ กลา่ วคอื จริ าภรณ์ วีระชัย (2543) ได้ศกึ ษาสถานภาพและบทบาทของเจ้าของโต๋ ซงึ่ เป็นความเช่ือทม่ี ี อิทธิพลต่อวิถีชีวิตของคนไทยเช้ือสายเวียดนามในอ�ำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย เช่นเดียวกับคองสบิ สใี่ นวถิ ชี วี ติ ของไทยพวน ต�ำบลบ้านผือ อำ� เภอบ้านผือ จงั หวัด อุดรธานี ซ่ึงชาวไทยพวนได้อบรมสั่งสอนลูกหลานให้มีความเช่ือและปฏิบัติตาม ฮีตคองของชุมชน โดยเป็นข้อปฏิบัติและแนวทางที่ผู้อาวุโสน�ำมาปฏิบัติร่วมกับ ศาสนาเพือ่ ให้เกิดความสามคั คีในชมุ ชน (มยรุ ี ปาละอินทร์, 2543) ส่วน ยุพา อุทามนตรี (2539) ได้ศึกษาประเพณีและคติความเชื่อของชาว ไทยบรู บ้านเวินบึก ตำ� บลโขงเจยี ม อำ� เภอโขงเจยี ม จังหวดั อุบลราชธานี กล่าวคือ ชาวบรมู คี วามเชอื่ ในพธิ เี ลย้ี งบา้ น พธิ กี รรมเกยี่ วกบั การเกดิ ตอ้ งมกี ารกนั ผี และการ บูชาผีบรรพบุรุษ และพธิ กี ารตาย ซ่ึงชาวบรูทกุ คนมคี วามเช่อื ดังกล่าวอย่างมาก มี หมั่นดี (2542) ได้กล่าวถึงความเชือ่ เก่ยี วกับงานบุญทีฝ่ ังลึกอยู่ในวถิ ีชวี ติ และจิตวิญญาณของชาวไทยเขมรสุรินทร์คือ วันแซนโดนตา หรือตรงกับวันสารท บุญข้าวสาก บุญสลากวัต บุญเดือนสืบหรือบุญชีวเปรต เป็นการผสมผสานกับ ความเชือ่ ท่ีระหว่างพทุ ธศาสนากบั ศาสนาพราหมณ์ เช่นเดยี วกับ จริ ะพงษ์ มะเสนา (2541) ได้ศกึ ษาเส้นทางแห่งเผ่าพนั ธ์ุโองมู้ ซึ่งเป็นความเชื่อของชนชาติพันธุ์ไทยแสก บ้านอาจสามารถ อำ� เภอเมือง จังหวัด
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 41 นครพนม เกี่ยวข้องกับประเพณตี รุษแสกหรือภาษาแสกเรียกว่า ก๊ิบแตก ซึ่งเป็น ประเพณที ี่จัดข้ึนเพ่ือบวงสรวงโองมู้เป็นท่ีเคารพนับถือของชาวแสกมาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน โดยเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวไทแสกท่ีมีอิทธิพลต่อ วิถีชีวติ ความเชื่อในการด�ำรงชวี ติ ในปัจจุบนั พิธีกรรมความเช่ืองานศพของชาวผู้ไทยเรณนู คร อ�ำเภอเรณนู คร จังหวัด นครพนม (ปรางทอง ดวี งษ,์ 2544) และชาวกะเลงิ อ�ำเภอคำ� ชะอี จงั หวดั มกุ ดาหาร ซงึ่ ไดม้ กี ารปฏบิ ตั แิ ละความเชอ่ื ในพธิ กี ารตายอยา่ งเครง่ ครดั (สวุ ทิ ย์ ธรี ศาศวตั และ ณรงค์ อปุ ัญญ์, 2540) นอกจากนี้ นารรี ตั น์ ปรสิ ทุ ธวิ ฒุ พิ ร (2541) ไดว้ เิ คราะหค์ วามเชอ่ื ของชาวจนี ในประเทศไทย เปน็ ชาวแตจ้ ว๋ิ ซง่ึ เปน็ กลมุ่ ใหญท่ สี่ ดุ โดยพบวา่ คตคิ วามเชอ่ื การตาย มาจากลทั ธขิ งจอ้ื แสดงถงึ ความกตญั ญตู อ่ บดิ า มารดา ทง้ั ทม่ี ชี วี ติ และเสยี ชวี ติ ไป แล้ว ส�ำหรับเม่อื ตายแล้วก็จะจดั พธิ ศี พ การเซ่นไหว้ดวงวิญญาณ การไว้ทกุ ข์ 3 ปี (ปัจจุบนั เหลือ 100 วัน) ตลอดจนความเช่อื ในการท�ำฮวงซุ้ย สมชาย นิลอาธิ (2542) ได้ศึกษาธรรมาสน์เสาเดียวของผู้ไทจากความเชอ่ื ผหี ลกั บา้ นเมอื งจนถงึ ธรรมาสนใ์ นความเชอื่ พทุ ธศาสนา แสดงใหเ้ หน็ ความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งพทุ ธศาสนากบั ศาสนาพราหมณ์ ซง่ึ ไดม้ อี ทิ ธพิ ลตอ่ วถิ ชี วี ติ ความเปน็ อยขู่ อง ชาวผู้ไทเป็นอย่างมาก เราอาจจะเห็นได้ว่าความเช่ือเก่ียวกับผีบรรพบุรุษถือเป็นผลงานวิจัยทาง วัฒนธรรม ท่ีนกั วิจัยทางวัฒนธรรมได้เน้นเรื่องทางวัฒนธรรมของความคิดความ เช่อื ของชนกลุ่มชาติพนั ธุ์ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื โดยมเี นอ้ื หาที่อาจจะสรุปได้ วา่ ความเชอ่ื เกยี่ วกบั ผบี รรพบรุ ษุ มอี ยเู่ กอื บทกุ ชนชาตพิ นั ธ์ุ และมอี ทิ ธพิ ลตอ่ วถิ ชี วี ติ ความเป็นอยู่ ซึ่งได้แสดงออกมาทางพิธีกรรมและประเพณที ี่หลากหลาย แต่ส่ิงท่ี เหมอื นกันก็คือการแสดงความเคารพ ความกตัญญตู ่อบรรพบุรษุ นนั่ เอง ตลอดจน การมปี ระเพณีพธิ กี รรมท่มี ีความเชอ่ื ถือ การจัดการงานศพอย่างเคารพต่อบุคคลท่ี ลว่ งลบั ไปแลว้ ดงั นนั้ จงึ แสดงใหเ้ หน็ วา่ ความหลากหลายทางชาตพิ นั ธ์ุ ระบบความ เชอ่ื กับวถิ ชี ีวิต วัฒนธรรมทหี่ ลากหลาย และแตกต่างกนั ในแต่ละกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ
42 โสวฒั นธรรม 2.4 พลงั ภมู ปิ ญั ญาในวิถชี วี ติ แนวความคดิ ระบบภมู ปิ ญั ญากบั วถิ ชี วี ติ วฒั นธรรมเปน็ องคค์ วามรขู้ องแตล่ ะ กลุ่มชาติพันธุ์ได้พัฒนาทางองค์ความรู้จากวิถีชีวิตการอยู่ร่วมกันในสังคมและการ เรียนรู้จากทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมน�ำมาเป็นความสัมพันธ์เชิงพึ่งพา ซ่ึงได้น�ำมาใช้เป็นแนวทางในการด�ำรงชีวิตตามวิถีของกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อความ อยู่รอดของความเป็นชาติพันธุ์ ท้ังนี้ได้แยกเป็นประเด็นแนวความคิดหลักในด้าน นิเวศวิทยาวัฒนธรรม ภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน ภูมิปัญญาหัตถกรรม และ วัฒนธรรมการพฒั นา แนวความคิดนิเวศวิทยาวัฒนธรรมเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ของกลุ่ม ชาติพันธุ์ต่างๆ ที่มีสภาพนิเวศวิทยาวัฒนธรรม ซึ่งเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ และสงิ่ แวดล้อมของชมุ ชนชาติพนั ธุ์ ปรากฏว่า ผลงานการวิจยั วัฒนธรรมของภาค ตะวันออกเฉยี งเหนอื ได้ศกึ ษาความหลากหลายทางชาตพิ ันธ์ุดงั ต่อไปนี้ การทอ่ งเทยี่ วแหง่ ประเทศไทย (2545) ไดศ้ กึ ษาชาวผไู้ ทยบา้ นโคกโกง่ อำ� เภอ กุฉนิ ารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ (การท่องเท่ียวเชิงนิเวศ) ซึ่งหมู่บ้านผู้ไทยแห่งน้ีได้ เปิดเป็นแหล่งเชิงนิเวศวัฒนธรรม โดยเป็นหมู่บ้านที่ได้รักษาส่ิงแวดล้อมอย่างดีย่ิง นอกจากการท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมนี้แล้ว ก็มีการร�ำประเพณบี ายศรีสู่ขวัญ และ การรับประทานอาหารแบบพาแลง พร้อมทั้งแสดงศิลปะการแสดงดนตรีพื้นบ้าน รวมถึงหัตถกรรมพ้ืนบ้าน ทั้งนี้ชาวผู้ไทยเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความสนใจ สิง่ แวดล้อมเชงิ นิเวศอกี ด้วย ส่วนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชาวผู้ไทย บ้านค�ำโพน อ�ำเภอ อ�ำนาจเจริญ พบว่ามีการใช้ทรัพยากรอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ มปี ระโยชน์และคุ้มค่า เช่น ไม้ที่บรรพบุรุษเลือกสรรว่าเป็นพันธุ์ไม้ท่ีมีมงคลชีวิต เป็นภูมิปัญญาของ บรรพบุรษุ ท่ไี ด้มีการรักษาทรพั ยากร และส่งิ แวดล้อม (วาสนา ต่อชาต,ิ 2545) เบญจลักษณ์ ธราพร (2538) ได้ท�ำการวจิ ัยเรอื่ ง การอนรุ ักษ์ป่าไม้ของชาว ไทยกะเลิง บ้านบัว อำ� เภอกดุ บาก จังหวัดสกลนคร โดยวิถีชวี ติ ของชาวไทยกะเลงิ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 43 มีลักษณะเรียบง่าย มีการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้อย่างดีมาก ซึ่งได้ส่งผลให้เกิด การอนุรกั ษ์ทง้ั ทางตรงและทางอ้อม โดยมคี วามเช่ือท่ผี ่านพธิ ีกรรมของชาวกะเลงิ การศึกษาอาหารพื้นบ้านของชาวไทยกะเลิงของบ้านบ้านบัว อ�ำเภอ กุดบาก จงั หวัดสกลนคร โดย ยงยุทธ ตรนี ชุ กร และคณะ (2542) ได้พบระบบวิถี ชวี ิตภมู ิปัญญาพ้นื บ้านของชาวกะเลิง โดยมีระบบอาหาร 4 ช่วงคือ ช่วงท่ี 1 ช่วง การสร้างบ้านแปลงเมอื ง ช่วงที่ 2 เร่มิ มีวฒั นธรรมกินเนอ้ื ดบิ ช่วงที่ 3 มรี ้านค้าใน ชุมชน และช่วงที่ 4 มีกระบวนการพัฒนาบนหลกั การสร้างกระบวนการเรียนรู้ จน เกิดองค์กรชาวบ้านคือ สตู รอนิ แปง ซงึ่ ยดึ หลักคือให้สมาชกิ รู้จักกินอย่างมคี ณุ ค่า ท�ำมาหากินอย่างเพียงพอ เหลือกินแปรรูปขาย ภูมิปัญญาด้านคุณค่าในมิติของ อาหารพนื้ บ้าน สรปุ ได้ 9 ประการคอื 1. เป็นอาหารที่ปลอดสารเคมี 2. คณุ ค่าด้านเป็นยา 3. ส่งเสรมิ แนวคิดเศรษฐกจิ พอเพยี ง 4. ก่อให้เกิดความหลากหลายทางชวี ภาพ 5. มติ ิด้านอาหารบ�ำรงุ สุขภาพ 6. มิติเชิงวฒั นธรรมการอยู่ร่วมกนั 7. มติ ิการประหยัด 8. มีการน�ำพืชบางชนดิ มาบ�ำรงุ เช่นเดียวกับเนอื้ สตั ว์ 9. มิตคิ วามภาคภูมิใจในภมู ปิ ัญญาของบรรพบุรุษ ในขณะเดียวกัน ทรงคุณ จันทจร (2544) ได้ศกึ ษาการถ่ายทอดภมู ิปัญญา พ้นื บ้านเร่อื ง ทรพั ยากรดนิ น�ำ้ ป่าไม้ ของกลุ่มชาติพันธ์ุไทยกะเลิง ผลการศกึ ษา พบว่า กลุ่มชาติพนั ธ์ุไทยกะเลิง ใช้ชวี ติ โดยการพ่งึ ธรรมชาติ มีความเชือ่ ในศาสนา ผี และพทุ ธ มีภูมปิ ัญญาในการใช้ประโยชน์จากทรพั ยากรดนิ นำ�้ ป่าไม้ ท้งั นีม้ ีวิธี การถ่ายทอดภูมิปัญญาพื้นบ้านโดยผ่านทางพิธีกรรม การลงมือปฏิบัติจริง ผ่าน หลักคำ� สอนในพุทธศาสนา การแลกเปลยี่ นประสบการณ์และการลองผดิ ลองถูก เราอาจจะกล่าวสรุปว่า กลุ่มชนชาติพันธุ์ไทยกะเลิง ก็เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ หนงึ่ ที่ยังยึดม่ันและรักษาธรรมชาติอย่างแน่นแฟ้น โดยอาศัยความเช่ือของผีและ
44 โสวฒั นธรรม พุทธศาสนาควบคู่กันไป ซ่ึงเป็นภูมปิ ัญญาทไ่ี ด้รับการถ่ายทอดสืบต่อมา โดยผ่าน พธิ กี รรมทางความเชื่อเป็นหลัก อน่ึงผลงานวิจัยหลายเรื่องที่ศึกษาชุมชนชาติพันธุ์ในภาคตะวันออก เฉยี งเหนือ เช่น ไทยโย้ย (สมศักดิ์ ศรีสันติสุข และคณะ, 2540-2541) ไทยญ้อ (สมศกั ดิ์ ศรสี นั ตสิ ขุ , 2538-2539) ไทยแสก (สมศกั ดิ์ ศรสี นั ตสิ ขุ และปรชี า ชยั ปญั หา, 2538) และชาวไทยบรู (สมศักดิ์ ศรีสันติสุข และคณะ, 2535) ได้พบว่า ชุมชน ชาติพันธุ์ส่วนใหญ่จะมีการรักษาอนุรักษ์สภาพสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติอย่างดี ยิง่ จงึ กลายเป็นวฒั นธรรมเชงิ นเิ วศวทิ ยาของความหลากหลายทางชาติพนั ธ์ุ แนวความคิดของภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน เป็นองค์ความรู้ท่ีกลุ่ม ชาติพันธุ์ได้พัฒนา เพ่ือน�ำไปประยุกต์ใช้ในวิถีชีวิตวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้านการ รักษาการเจบ็ ป่วยภายในชุมชน พิสษิ ฐ์ บญุ ไชย (2542) ได้ศกึ ษาพฤติกรรมการใช้ สมุนไพรศึกษาของชาวผู้ไทย ในจังหวัดยโสธร ซ่ึงอพยพมาต้ังแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ได้ด�ำรงการใช้สมุนไพรจนถึงปัจจุบันปัญหาของยาสมุนไพรพบว่า การเก็บยังขาด ความรู้ในการอนุรักษ์สมุนไพรและสมุนไพรบางอย่างกำ� ลังหมดไป เพราะมีคนนำ� ไปใช้มากข้ึน นอกจากน้ี พิสิฏฐ์ บุญไชย (2541) ได้กล่าวถึงชาติพันธุ์ทุกกลุ่มใน ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื โดยเฉพาะหมอสมนุ ไพรชาวผไู้ ทยไดร้ บั การถา่ ยทอดวชิ า สมนุ ไพร พธิ กี รรมและความเชอ่ื จากผเู้ ปน็ ครู ทง้ั นขี้ อ้ ความปฏบิ ตั ขิ องหมอสมนุ ไพร กค็ ือ การถือศลี 5 อย่างเคร่งครัด แม้ว่าการรกั ษาด้วยแผนปัจจบุ นั จะมีมากขนึ้ แต่ ชาวบ้านยังเลอื กการรกั ษาโดยหมอสมนุ ไพรเป็นที่พึ่งสุดท้าย ซงึ่ เป็นการรกั ษาทาง ด้านจติ ใจของผู้ป่วย หากจะกล่าวถงึ การเคีย้ วหมากในวถิ ชี ีวติ ของชาวผู้ไทย อำ� เภอหนองสงู จะ พบว่า เพศหญงิ เคี้ยวหมากมากกว่าเพศชาย เครื่องประกอบการเคย้ี วหมากได้แก่ หมาก พลู แกน่ คณู ยาเสน้ นวดและสเี สยี ด สว่ นอปุ กรณไ์ ดแ้ ก่ กระบอกปนู มดี สนาท ตลับนวดและตะบนั หมาก ชาวผู้ไทยมกั จะเคยี้ วหมากหลังรบั ประทานอาหาร และ ในประเพณพี ธิ กี รรมของชาวชมุ ชน (ประสาน สิงห์ทอง, 2540)
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 45 ส่วนทิพย์สดุ า พรรณสหพาณชิ ย์ (2545) ได้กล่าวถึงบทบาทสตรชี าวผู้ไทย ในพธิ ีกรรมเหยา เช่น การแต่งกาย การเชญิ ผี เจรจาต่อรอง โดยค�ำนงึ ถงึ องค์รวม ผปู้ ว่ ย ครอบครวั ชมุ ชนดว้ ย เชน่ เดยี วกบั บญุ ยงค์ เกศเทศ (2536) ไดพ้ บวา่ พธิ กี รรม ของชาวผู้ไทยในพ้ืนท่ีหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร ปฏิบัติตามพิธีเก่ียวกับการเกิด แตง่ งาน เจบ็ ปว่ ยและตาย อยา่ งเครง่ ครดั ชาวผไู้ ทยยงั ศรทั ธาในฮตี สบิ สอง คองสบิ สี่ ซง่ึ เกีย่ วข้องกบั วนั จม วันฟู ท่ีสัมพนั ธ์กับสง่ิ เหนอื ธรรมชาติ ชาวผู้ไทยมีความสามารถในการบ�ำบัดรักษาความเจ็บป่วยของต�ำบล หอ้ งแซง อำ� เภอเลงิ นกทา จงั หวดั ยโสธร โดยมขี นั้ ตอนและคตคิ วามเชอ่ื ในการรกั ษา ความเจ็บป่วย ชาวผู้ไทยยงั มคี วามเชื่อ การเจ็บป่วยมาจากธรรมชาติ และเชื่อว่า หมอพ้ืนบ้านจะช่วยบ�ำบัดรกั ษาได้ (เยาวดี วิเศษรตั น์, 2541) เราอาจจะสรุปว่าภูมิปัญญาการแพทย์พ้ืนบ้านของชาวผู้ไทย แสดงให้เห็น ถงึ พลงั ความคดิ และภมู ปิ ญั ญาในดา้ นตา่ งๆ เชน่ การใชส้ มนุ ไพร การถา่ ยทอดวชิ า สมนุ ไพร การเคยี้ วหมาก มคี วามสมั พนั ธก์ บั วถิ ชี วี ติ ประจำ� วนั การทำ� พธิ เี หยา ตาม ความเชื่อถือของการรักษาผู้ป่วยชองชาวผู้ไทย การรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม การทอผ้าแพรวา และการใช้ภาษาเฉพาะ ซงึ่ เป็นเอกลกั ษณ์ของชาว ผู้ไทยกับภาษาลาวโซ่ง ซ่ึงมีถิ่นก�ำเนดิ มาจากแหล่งเดยี วกนั ท�ำให้เห็นว่าชาวผู้ไทย มภี มู ปิ ญั ญาในการรกั ษาวฒั นธรรมเดมิ ไดอ้ ยา่ งเครง่ ครดั ซงึ่ อาศยั การถา่ ยทอดจาก รนุ่ หนงึ่ ไปสอู่ กี รนุ่ หนง่ึ โดยการอาศยั วสั ดทุ างวฒั นธรรมและความสมั พนั ธท์ างสงั คม ทไี่ ดถ้ า่ ยทอดระบบคดิ และภมู ปิ ญั ญาในเรอื่ งนน้ั ๆ อยา่ งตอ่ เนอื่ งและมน่ั คง ทงั้ นอ้ี าจ กล่าวได้ว่าเป็นพลังความคิดและภูมิปัญญาของชาวผู้ไทย ที่มีอย่างประสิทธิภาพ และประสทิ ธผิ ลจากอดตี จนถึงปัจจบุ นั นนั่ เอง ชาวไทยเขมรเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนง่ึ ในเขตอีสานตอนใต้ เป็นกลุ่มชนท่ี ยังคงรักษาภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างเคร่งครัดชาติพันธุ์หนงึ่ โดย ได้พิจารณาจากภูมปิ ัญญาการแพทย์พ้ืนบ้าน พสิ ิฏฐ์ บญุ ไชย (2541) ได้ศึกษายา สมนุ ไพรกบั วถิ ชี วี ติ ของชาวอสี าน โดยเฉพาะกลมุ่ ไทยเขมรทมี่ คี วามเชอ่ื และพธิ กี รรม เกยี่ วกบั ยาสมนุ ไพร รวมทัง้ การถ่ายทอดสืบต่อในด้านสมุนไพรต่อๆ มา ชาวบ้าน
46 โสวัฒนธรรม ยังมีความเช่ือหมอสมุนไพรเป็นคนสุดท้าย งานของบรรทมทิพย์ มีชัย (2540) ได้ วจิ ัยภูมปิ ัญญาลกู กรขู องชาวไทยเขมร ท่ีต�ำบลชมุ เห็ด อำ� เภอเมือง จังหวัดบุรรี ัมย์ ซึ่งเป็นวิธกี ารรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ค�ำว่าลกู กรเู ป็นค�ำไทย-เขมร เรยี กผู้ท่มี วี ิชาอาคม เก่ียวกับรักษาโรค เรียกว่าหมอพ้ืนบ้าน ลูกกรูจะมีความเช่ือในเวทย์มนต์คาถา ตวั ยา การตรงต่อเวลา และการใช้ภาษาถน่ิ ตลอดจนสถานท่ที ่ใี ช้ในการรักษา ประเพณกี ารท�ำบุญเป็นของชาวบ้านพรรณ ต�ำบลพรรณ อ�ำเภอขุนหาญ จงั หวดั ศรสี ะเกษ มอี งค์ประกอบคอื บคุ คล ซงึ่ ประกอบด้วยพระสงฆ์ โดยมบี ทบาท เป็นส่อื กลางระหว่างไทยเขมรกบั สิง่ ศักด์สิ ทิ ธิ์ (จันทา แก่นวงษ์คำ� ) การผสมผสาน ชาวไทย-ลาว และชายไทย-เขมร ในพธิ มี งกว็ ลจองไดทบ่ี า้ นดม อำ� เภอสงั ขะ จงั หวดั สุรินทร์ ประไพ เจริงบุญ ผู้ประสานงาน โดยชาวบ้านยังมีความห่วงอาลัยต่อกัน นอกจากนก้ี ารท�ำพธิ สี ขู่ วญั ของชาวไทยเขมรในพธิ มี งกว็ ล จองได ทบี่ า้ นดม อ�ำเภอ สังขะ จังหวัดสุรินทร์ พบว่ามีความเช่ือในการสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต (ประไพ เจรงิ บญุ , 2540) อนงึ่ ชาวไทยลาว ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ กม็ คี วามเชอื่ หมอลำ� ผฟี า้ วา่ หมอลำ� ผฟี า้ มคี วามรู้ ความเชอื่ และการปฏบิ ตั ทิ างดา้ น สขุ ภาพคอื สามารถรกั ษาโรคอยา่ งเชยี่ วชาญในโรคทเ่ี กดิ จากผที ำ� และผแี ปลง ทำ� ให้ มลี กู ศษิ ยม์ ากเมอ่ื ไดร้ กั ษาหาย กจ็ ะฝากตวั เปน็ ลกู ศษิ ย์ และมคี วามเชอ่ื วา่ ผทู้ ไ่ี ดร้ บั การรกั ษาจะมสี ขุ ภาพ อนามยั และอารมณ์ดขี ้ึน (กฤตยา แสวงเจรญิ และคนอ่ืนๆ, 2537) นอกจากนม้ี กี ารศกึ ษาความเชอื่ การฟอ้ นรำ� ในพธิ กี รรมของฟอ้ นผฟี า้ นางเทยี ม อำ� เภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น โดยฟ้อนมี 2 ลกั ษณะคอื ฟ้อนผฟี ้าในการรกั ษา โรค เม่ือมีการเจ็บป่วยในครอบครัว และในการบูชาผีฟ้าในพิธีใหญ่ประจ�ำปีคือ วนั ที่ 13 – 15 เมษายน มกี ารฟ้อน 3 วัน 3 คืน ดนตรีในการฟ้อนใช้แคนแปดเพียง อย่างเดยี ว ส่วนลายหรอื เพลงบายทางยาวในการขับลำ� เชิญผีฟ้า เราอาจจะเหน็ ไดว้ า่ ภมู ปิ ญั ญาของกลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทยเขมร เปน็ ตวั อยา่ งหนง่ึ ทน่ี กั วจิ ยั ได้ศกึ ษาค้นควา้ เกยี่ วกบั พลงั ภมู ปิ ญั ญาการแพทย์พน้ื บ้าน ทง้ั ในด้านการ ถ่ายทอดสมุนไพรใช้กับวิถีชีวิตประจ�ำวัน โดยมีหมอพื้นบ้านที่เป็นบุคคลส�ำคัญ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 47 ในการรกั ษาโรคตา่ งๆ บทบาทของพระสงฆใ์ นการเปน็ สอื่ กลางระหวา่ งสงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ ทชี่ าวไทยเขมรเชอ่ื และศรทั ธา ทำ� ใหเ้ หน็ วา่ เปน็ ภมู ปิ ญั ญาทส่ี ามารถผสมผสานทาง วัฒนธรรมได้ นอกจากน้ีได้มีการผสมผสานของชาวไทยลาวและไทยเขมร โดยใช้ พิธีความเช่ือมงก็วลจองได ท�ำให้ชาวบ้านท้ังสองกลุ่มชาติพันธุ์ มีความสัมพันธ์ และห่วงใยต่อกัน ตลอดจนการน�ำเสนอของผลงานวิจัยท่ีแสดงถึงการปรับตัวของ ชาวไทยเขมรได้มีการพัฒนาทางด้านสังคมและวัฒนธรรมจากอดีตจนสามารถ กลายเป็นคนไทยตามกฎหมายต้ังแต่รัชกาลท่ี 5 เป็นต้นมา และบทบาทของผู้น�ำ พระสงฆท์ สี่ ามารถน�ำพทุ ธธรรมกบั ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ น�ำมาประยกุ ต์ บรู ณาการให้ เป็นองค์ความรู้ซึ่งเป็นบรรทัดฐาน เพ่ือสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชนและลดปัญหา ได้ในระดับหนงึ่ การรักษาพยาบาลแบบพ้ืนบ้านของชาวไทยโส้ยังคงปฏิบัติการรักษาโรค อจุ จาระรว่ งในเดก็ อายุ 0 – 5 ปี โดยใชข้ า้ วเหนยี วปน้ั เปน็ กอ้ นแบนๆ แลว้ ทาเกลอื ใหเ้ ดก็ กนิ ซง่ึ เปน็ กรรมวธิ กี ารรกั ษาในปจั จบุ นั โดยใชเ้ กลอื แร่ ทำ� ใหเ้ หน็ ภมู ปิ ญั ญาของ ชาวไทยโสใ้ นดา้ นความเชอ่ื เกยี่ วกบั สขุ ภาพ (ชาตชิ ยั ฉายมงคล, 2543) กลุ่มชาติพันธุ์ชาวจีน ไทยญ้อ ผู้ไทย และไทยเขมร ต่างมีหมอสมุนไพรที่ ได้รับการถ่ายทอดวิชาสมุนไพร พิธีกรรมและความเช่ือจากผู้เป็นครู โดยหมอ สมนุ ไพรตอ้ งปฏบิ ตั ถิ อื ศลี 5 แมว้ า่ การรกั ษาแผนปจั จบุ นั เขา้ มามบี ทบาทมากขนึ้ แต่ ชาวบา้ นยงั จะเลอื กรกั ษาโดยหมอสมนุ ไพรเปน็ ทพ่ี งึ่ สดุ ทา้ ย (พสิ ฎิ ฐ์ บญุ ไชย, 2541) แนวความคิดภูมิปัญญาหัตถกรรม เป็นการน�ำวัสดุทางวัฒนธรรมที่มี ในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ น�ำมาผลิตเพื่อใช้ในพิธีกรรม และในวิถีชีวิตประจ�ำวัน จึงเป็นการแสดงถึงภูมิปัญญาหัตถกรรมอย่างหนงึ่ ที่ตอบสนองความจำ� เป็น และ ความต้องการพน้ื ฐานของการด�ำรงชวี ติ ในแต่ละกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุอย่างแท้จรงิ ภูมิปัญญาของชาวผู้ไทยอีกอย่างหนึ่งคือกรรมวิธีการผลิตอุ ซึ่งสัมพันธ์ กับวิถีชีวิตของชาวผู้ไทย อ�ำเภอเรณนู คร (ศิวพร เดโช, 2542) โดยได้รับกรรมวิธี การผลิตจากบรรพบุรุษ 5 สูตร คือสูตรด้ังเดิม สูตรบ้านเรณู สูตรบ้านโนนสังข์
48 โสวัฒนธรรม สูตรบ้านหัวข้อ และสูตรบ้านเหล่าส�ำราญ ความสัมพันธ์ระหว่างอุกับวิถีชีวิตของ ชาวผ้ไู ทยกค็ อื นำ� อไุ ปใช้ในพธิ เี ลย้ี งผีตาแฮก พธิ เี หยา และพธิ ีแต่งงาน ทั้งนจี้ ะเหน็ ว่าชาวผู้ไทยยังคงนบั ถือผบี รรพบุรษุ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากน้ี ศริ พิ ร บณุ ยะกาญจน (2542) ไดศ้ กึ ษาภมู ปิ ญั ญาของชาวผไู้ ทย ใน การผลติ หตั ถกรรมไมไ้ ผ่ ทพ่ี นื้ ทบ่ี า้ นหนองหา้ ง ตำ� บลหนองหา้ ง อำ� เภอกฉุ นิ ารายณ์ จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ โดยพบวา่ ชาวผไู้ ทยไดผ้ ลติ หตั ถกรรมไมไ้ ผเ่ พอื่ จำ� หนา่ ยและใชส้ อย ในครัวเรือน โดยได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษคือ กระติบข้าว ข้อง กระบุง กระด้ง มวยนงึ่ ข้าว ซอน และกระเป๋าลายขิด ท้ังนช้ี าวผู้ไทยจะมีรายได้เดือนละ 500 – 2,400 บาท ท�ำให้ชาวบ้านรู้จักการเก็บออม สามารถจ่ายภาระหนส้ี ินได้ ส�ำหรับภูมิปัญญาของชาวผู้ไทยอีกอย่างหนงึ่ คือ การท�ำลวดลายสักหวาย ในเคร่ืองจักสานไผ่ ในบ้านโพน อ�ำเภอค�ำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ปรากฏผลจาก การศึกษาพบว่า เครื่องจักสานไม้ไผ่ท่ีใช้ในชีวิตประจ�ำวัน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของ ชาวบา้ น โดยเครอื่ งจกั สารจะมคี วามแขง็ แรงและคงทน (นติ ยา เขยี วสวุ รรณ, 2539) เอกลักษณ์อย่างหนง่ึ ของชาวผู้ไทยก็คือ การทอผ้าไหมแพรวาท่ีบ้านโพน อำ� เภอม่วงค�ำ จงั หวัดกาฬสนิ ธ์ุ โดยการทอผ้าแพรวาท่ีบ้านโพนทง้ั หมด ซึง่ ผู้หญิง จะเป็นผู้ท�ำหน้าท่ีทอ ชาวผู้ไทยมีความเช่ือว่า การทอผ้าแพรวาคือกระบวนการ ท�ำงาน ท่ีช่วยฝึกฝนลูกผู้หญิงให้มีคุณสมบัติของความเป็นกลุสตรีได้อย่างเหมาะ สม นอกจากนชี้ าวผู้ไทยมภี ูมปิ ัญญาในการทอลวดลายทป่ี รากฏบนผ้าแพรวา ซ่ึง มีความหมายท่ีเก่ียวข้องกับความเป็นสิริมงคลตามความเช่ือของชุมชน (สุภาวดี ตุ้มเงิน, 2538) เราอาจจะกล่าวได้ว่าพลังความคิดและภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์หลาย ชาตพิ นั ธ์ุ แมว้ า่ จะเปน็ ความหลากหลายทางชาตพิ นั ธท์ุ ไ่ี ดเ้ หน็ องคค์ วามรตู้ า่ งๆ นน้ั กลมุ่ ชาตพิ นั ธม์ุ คี วามเชอ่ื ตอ่ ผบี รรพบรุ ษุ โดยผา่ นพธิ คี วามเชอื่ ตา่ งๆ เชน่ ชาวกะเลงิ มอี งคค์ วามรหู้ รอื ภมู ปิ ญั ญาตอ่ การรกั ษาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม ทำ� ให้ ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมยังมีอยู่อย่างหลากหลาย
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคอีสาน 49 2.5 พลวัตวัฒนธรรมในการพัฒนา แนวความคดิ วฒั นธรรมการพฒั นาของกลุ่มชาตพิ นั ธุ์ แสดงให้เหน็ บทบาท ของวฒั นธรรมทางชาตพิ นั ธท์ุ มี ตี อ่ การพฒั นา ซงึ่ วฒั นธรรมของแตล่ ะกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ไดป้ รบั เปลยี่ นและพฒั นา เพอ่ื ตอบสนองกบั วถิ ชี วี ติ วฒั นธรรมของตนอยา่ งเหมาะสม ดงั เช่น ไพฑูรย์ มีกุศล (2545) มงี านวจิ ัย การพฒั นาสังคมของกลุ่มชาตพิ นั ธุ์ต่างๆ ในดนิ แดนชายขอบของสยาม ตงั้ แตก่ รงุ ศรอี ยธุ ยาตอนปลาย โดยเฉพาะกลมุ่ เขมร ซง่ึ ไดป้ รบั ตวั และพฒั นาทางสงั คมวฒั นธรรมและอตั ลกั ษณข์ องชาตพิ นั ธ์ุ จนกลายเปน็ คนไทยตามกฎหมายตง้ั แต่รัชกาลท่ี 5 เป็นตน้ มา จงึ เป็นการแสดงถงึ พลงั ความคดิ และภมู ิปัญญาของกลุ่มชาตพิ นั ธุ์ทส่ี ามารถปรบั ตัวเข้ากบั สังคมไทยได้ เมื่อกล่าวถึงบทบาทของพระสงฆ์กับการพัฒนาชุมชนท่ีพูดภาษาเขมร ถิ่นไทย จะพบจากงานวจิ ยั ของ บญุ เกดิ มะพารมั ย์ (2544) โดยศึกษาบทบาทของ หลวงพ่อเม้า อสิ ะสโร แห่งวัดป่าเลไลย์ จงั หวัดบุรีรัมย์ ซึง่ หลวงพ่อเม้าได้น�ำหลกั พทุ ธธรรมภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ มาประยกุ ตบ์ รู ณาการใหเ้ ปน็ องคค์ วามรู้ เปน็ วฒั นธรรม อันเป็นบรรทัดฐานเพ่ือสร้างความเข้มแขง็ แก่ชุมชนและลดปัญหาได้ในระดับหนง่ึ จากการศกึ ษาของวโิ รฒ ศรสี โุ ร (2548) ไดใ้ หค้ วามหมายของวฒั นธรรมอสี าน หมายถึง การกิน การอยู่ การใช้สอย การละเล่น ตลอดไปถึงความเช่อื อนั รวมถงึ วถิ ชี ีวติ ของชาวอีสานทด่ี �ำเนนิ ไปเป็นประจำ� วนั วัฒนธรรมอสี านประกอบด้วยกลุ่ม ชาตพิ นั ธท์ุ หี่ ลากหลาย โดยกลมุ่ ชนในสายวฒั นธรรมไท-ลาว อาทิ ไทยอ้ ไท-กะเลงิ ไท-โย้ย ไท-ผู้ไทย ไท-ลาว ซง่ึ ไท-ลาวเป็นกลุ่มที่มีจำ� นวนมากท่ีสุด และกลุ่มชนใน สายวัฒนธรรมมอญ-เขมร อาทิ ไท-กูย ไท-เขมร ไท-เยอ ไท-โส้ เป็นต้น ซ่งึ แต่ละ กลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งกม็ คี วามเปน็ เอกลกั ษณข์ องวฒั นธรรมทแี่ ตกตา่ งกนั ไป แตอ่ ยกู่ นั อย่างสมานฉนั ท์ ด้วยมีคตคิ วามเชอ่ื ในทางพทุ ธศาสนาและการเชื่อถือผีบรรพบรุ ุษ เช่นเดียวกันการศึกษาของธาดา สุทธิธรรม (2544) ได้กล่าวถึงรูปแบบ แผนผังชุมชนอีสานสายวัฒนธรรมไท โดยได้ศึกษาไท-ลาว ไท-โย้ย ไท-ย้อ ไท-ผไู้ ทย และไท-เลย ไดพ้ บวา่ แมว้ า่ จะตา่ งชนเผา่ กต็ ามตา่ งมคี วามเชอื่ พนื้ ฐานทาง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317