คานา หนังสือการจัดการธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ผู้เขียนได้เรียบเรียงข้อมูลจากแหล่งค้นคว้าที่ หลากหลายเพ่ือนามาประกอบการเรียนการสอนสาหรับสถาบันอุดมศึกษา และสาหรับผู้อ่านทั่วไป โดยมุ่งเนน้ ให้มีความรแู้ ละเขา้ ใจเนอ้ื หาสาคญั ๆ คอื ความรทู้ ่วั ไปเก่ียวกับการจัดการธุรกิจ เทคโนโลยี ดิจิทัลสู่การเปลี่ยนแปลงกระบวนการธุรกิจ การจัดการเชิงกลยุทธ์เทคโนโลยีและนวัตกรรม การ จัดการธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการบัญชีการเงิน การตลาด การจัดการทรัพยากรมนุษย์ การ จัดการผลิตและการดาเนินงาน การจัดการความรู้เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมองค์การธุรกิจ ความ ปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศเพ่ือการจัดการธุรกิจ และการวิจัยเพ่ือการจัดการธุรกิจในยุค เทคโนโลยดี ิจทิ ัล หวังเป็นอย่างย่ิงว่าหนังสือเล่มน้ีจะอานวยประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจศึกษา ผู้เขียนจึงขอขอบคุณ เจา้ ของเอกสารและแหล่งค้นควา้ อ้างอิงท้งั หมดทีไ่ ดใ้ ช้เปน็ แนวทางในการจัดทาเอกสารเล่มนี้จนสาเร็จ ลุลว่ งและยินดรี บั คาแนะนาอันเปน็ ประโยชน์เพื่อจะนามาปรับปรุงแก้ไขให้หนังสือเล่มน้ีสมบูรณ์ย่ิงขึ้น ในโอกาสต่อไป นิรตุ ต์ จรเจรญิ กรกฎาคม 2564
(3) หนา้ (1) สารบัญ (3) (7) คานา (11) สารบญั สารบัญภาพ 1 สารบญั ตาราง 1 5 บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเก่ียวกบั การจดั การธุรกิจ 9 ความหมายและความสาคัญของการจัดการธุรกิจ 15 การวางแผนจดั การธรุ กจิ ตามหลักการจัดการ 22 การจดั โครงสรา้ งองค์การเพ่ือการจดั การธรุ กจิ 27 การสง่ั การของผนู้ าเพ่ือการสรา้ งแรงจูงใจ 28 การควบคุมและประเมินผลการจดั การธรุ กิจ 29 สรปุ ท้ายบท 31 แบบฝกึ หดั ท้ายบท 31 เอกสารอ้างอิง 38 41 บทที่ 2 เทคโนโลยีดิจทิ ลั ส่กู ารเปลี่ยนแปลงการจดั การธุรกจิ 46 ความหมายและความสาคัญของเทคโนโลยีดจิ ทิ ัล 51 เทคโนโลยีดจิ ิทัลกับการเปลีย่ นแปลงการจดั การธรุ กจิ 52 การจดั การความเปลี่ยนในธรุ กจิ ภายใตก้ ระแสโลกาภวิ ตั น์ 53 ทกั ษะท่ีจาเปน็ และบทบาทของผบู้ รหิ ารในยคุ เทคโนโลยีดิจทิ ลั 55 สรุปท้ายบท 55 แบบฝกึ หัดท้ายบท 62 เอกสารอ้างอิง 67 73 บทที่ 3 การจัดการเชิงกลยุทธเ์ ทคโนโลยีและนวัตกรรม 81 ความหมายและความสาคัญของการจดั การเชิงกลยุทธ์ 82 แนวโน้มเทคโนโลยสี มัยใหมส่ ู่การเปน็ นวัตกรรม 83 มุมมองใหม่การแข่งขนั ทางธรุ กิจด้วยเทคโนโลยีและนวตั กรรม การจัดการเชิงกลยทุ ธ์เทคโนโลยีและนวตั กรรมเพอื่ ความได้เปรียบในการแขง่ ขัน สรุปทา้ ยบท แบบฝกึ หัดทา้ ยบท เอกสารอา้ งองิ
(4) หน้า 85 สารบัญ (ต่อ) 85 89 บทที่ 4 การจดั การธรุ กิจด้านการบญั ชแี ละการเงินด้วยเทคโนโลยีดจิ ทิ ัล 92 แนวคิดเกยี่ วกับการจัดการธุรกิจดา้ นการบัญชีและการเงิน 94 เทคโนโลยดี จิ ทิ ัลสาหรับการจัดการธรุ กิจด้านการบัญชีและการเงนิ 101 ทกั ษะที่จาเป็นของนกั บญั ชีการเงินในยคุ เทคโนโลยีดิจิทลั 107 โปรแกรมสาเรจ็ รปู ทางการบญั ชีการเงินในยุคเทคโนโลยีดิจิทัล 108 กรณศี ึกษาการจดั การธรุ กิจดา้ นการบญั ชีและการเงินดว้ ยเทคโนโลยีดจิ ิทัล 109 สรุปทา้ ยบท 111 แบบฝึกหัดทา้ ยบท 111 เอกสารอา้ งองิ 116 120 บทท่ี 5 การจัดการธรุ กจิ ด้านการตลาดดว้ ยเทคโนโลยดี จิ ิทลั 126 แนวคดิ เกย่ี วกบั การจัดการธุรกจิ ด้านการตลาด 131 เทคโนโลยดี จิ ทิ ลั สาหรับการจดั การธุรกจิ ดา้ นการตลาด 135 การตลาดสมยั ใหม่สาหรบั นักการตลาดบนพ้ืนฐานเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั 136 กลยุทธ์การส่อื สารการตลาดออนไลน์ 137 กรณีศึกษาการจัดการธุรกจิ ด้านการตลาดดว้ ยเทคโนโลยดี ิจิทลั 139 สรุปท้ายบท 139 แบบฝึกหดั ท้ายบท 146 เอกสารอา้ งอิง 152 157 บทที่ 6 การจดั การธุรกจิ ดา้ นทรพั ยากรมนษุ ย์ดว้ ยเทคโนโลยีดิจทิ ัล 163 แนวคิดเก่ยี วกบั การจัดการทรัพยากรมนษุ ย์ 164 การจดั การธุรกิจด้านทรัพยากรมนุษยด์ ้วยเทคโนโลยดี จิ ทิ ัล 165 กลยุทธ์การจดั การทรพั ยากรมนุษยส์ ่กู ารเปน็ องค์การอัจฉรยิ ะ 167 กรณศี กึ ษาการจัดการธรุ กิจดา้ นทรพั ยากรมนุษย์ดว้ ยเทคโนโลยดี จิ ิทลั 167 สรปุ ทา้ ยบท 172 แบบฝึกหัดท้ายบท 177 เอกสารอ้างองิ 182 186 บทท่ี 7 การจัดการธุรกจิ ดา้ นผลิตและการดาเนนิ งานด้วยเทคโนโลยีดิจทิ ัล แนวคิดการจัดการผลิตและการดาเนนิ งาน การจดั การธรุ กจิ ดา้ นการผลติ และการดาเนนิ งานดว้ ยเทคโนโลยีดิจทิ ลั แนวโน้มใหม่และความทา้ ทายการจัดการผลิตและการดาเนินงาน การจัดการผลิตและการดาเนินงานกบั ความรับผดิ ชอบตอ่ สงั คม กรณีศึกษาการจัดการผลติ และการดาเนนิ งานด้วยเทคโนโลยดี ิจิทลั
(5) หนา้ 189 สารบัญ (ต่อ) 190 191 สรุปท้ายบท 193 แบบฝึกหัดท้ายบท 193 เอกสารอ้างอิง 196 บทท่ี 8 การจดั การความรู้เพือ่ ขบั เคลอ่ื นนวตั กรรมในองค์การธุรกจิ 199 แนวคดิ การจัดการความรูเ้ พื่อขับเคลอ่ื นนวตั กรรมในองค์การธุรกจิ 204 องค์การแห่งการเรียนรู้สกู่ ารเป็นองค์การอัจฉรยิ ะ 208 การจัดการองค์การอัจฉรยิ ะเพอื่ เพ่ิมผลผลติ ด้วยเทคโนโลยดี ิจทิ ลั 209 กรณีศกึ ษาการจัดการความรู้เพ่อื ขับเคลอ่ื นนวัตกรรม 210 สรุปท้ายบท 213 แบบฝกึ หัดทา้ ยบท 213 เอกสารอา้ งองิ 218 บทท่ี 9 ความปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศเพอ่ื การจัดการธรุ กิจ 221 ความสาคญั ของการจัดการความปลอดภัยของข้อมลู และสารสนเทศ 226 แนวทางการจดั การความปลอดภยั ของข้อมลู และสารสนเทศ 229 การอภบิ าลรักษาความปลอดภยั ข้อมูลและสารสนเทศ 230 กรณศี ึกษาความปลอดภยั ของข้อมูลและสารสนเทศเพ่ือการจัดการธรุ กจิ 231 สรุปทา้ ยบท 233 แบบฝกึ หดั ทา้ ยบท 233 เอกสารอา้ งอิง 235 บทท่ี 10 การวิจยั เพ่ือการจดั การธรุ กิจในยุคเทคโนโลยีดจิ ิทัล 239 ความหมายและความสาคัญของการวิจยั เพื่อการจัดการธุรกิจ 244 ขั้นตอนในการวจิ ยั เพ่ือการจัดการธุรกจิ 250 คุณสมบตั ขิ องผบู้ รหิ ารกับการเปน็ นักวิจยั ธุรกิจยุคดิจทิ ัล 263 เทคโนโลยีดิจิทัลเพือ่ การวิจยั ธุรกิจ 264 ตัวอย่างงานวิจยั เพื่อการจดั การธรุ กจิ ในยคุ ดจิ ทิ ัล 265 สรปุ ท้ายบท 267 แบบฝึกหดั ท้ายบท 275 เอกสารอ้างอิง 287 บรรณานุกรม ดัชนี ประวัตผิ ูเ้ ขียน
(7) สารบัญภาพ ภาพท่ี 1.1 แผนปฏบิ ตั ิการส่วนพฒั นาธรุ กจิ และการตลาดของโรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต หนา้ ภาพท่ี 1.2 หนา้ ท่ขี องการจดั การ 2 ภาพท่ี 1.3 โครงสร้างการบรหิ ารงานสานกั วทิ ยาบรกิ ารและเทคโนโลยสี ารสนเทศ 8 ภาพที่ 1.4 สายการบังคบั บญั ชา สานกั วิทยาบริการและเทคโนโลยสี ารสนเทศ 10 ภาพท่ี 1.5 โครงสร้างองคก์ ารตามหนา้ ท่กี ารงาน 10 ภาพท่ี 1.6 โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก 11 ภาพที่ 1.7 โครงสรา้ งองคก์ ารแบบคณะทป่ี รึกษา 12 ภาพที่ 1.8 โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบรหิ ารของ CP ALL 12 ภาพที่ 1.9 โครงสรา้ งองค์การงานอนกุ ร 13 ภาพท่ี 1.10 ลาดบั ข้ันความตอ้ งการพ้นื ฐานของมาสโลว์ 13 ภาพท่ี 1.11 องค์ประกอบของภาวะผนู้ า 17 ภาพท่ี 1.12 การเปรยี บเทยี บกลุ่มผตู้ ามในสองลกั ษณะ 18 ภาพที่ 1.13 ประสิทธภิ าพและประสทิ ธิผลในการจดั การธรุ กจิ 20 ภาพท่ี 1.14 การประเมินผลแบบ 360 23 ภาพที่ 1.15 บาลานซ์สคอรค์ ารด์ (Balance Scorecard) 25 ภาพที่ 2.1 แอปพลเิ คชันแกร็บ (Grab) 26 ภาพที่ 2.2 ตวั อย่างการสั่งอาหารผา่ นแกรบ็ 36 ภาพท่ี 2.3 ธรุ กิจแบบแพลตฟอรม์ 37 ภาพท่ี 2.4 ตวั อย่างธรุ กิจแบบแพลตฟอร์ท่ีไปดสี รัพท์อุตสาหกรรมดงั้ เดิม 42 ภาพท่ี 2.5 ระดับของผ้บู ริหาร ระดับการตดั สนิ ใจ และทกั ษะทเ่ี ป็น 43 ภาพที่ 2.6 ทักษะทจ่ี าเปน็ สาหรับผบู้ ริหาร 47 ภาพที่ 3.1 ปจั จยั ท่ีนักกลยทุ ธต์ อ้ งคานึงถึงในการจัดการเชิงกลยทุ ธ์ 47 ภาพท่ี 3.2 SWOT Analysis 56 ภาพท่ี 3.3 Five Force Model 57 ภาพที่ 3.4 value chain 58 ภาพท่ี 3.5 กระบวนการจดั การเชงิ กลยทุ ธ์ 59 ภาพที่ 3.6 ระดับของกลยทุ ธ์ในการจัดการธุรกจิ ในยุคเทคโนโลยดี ิจิทัล 60 ภาพท่ี 3.7 แนวโน้มสาคัญของ 5 เทคโนโลยี 61 ภาพที่ 3.8 แอปพลิเคชันบนอุปกรณ์สมาร์ทโฟน 63 ภาพท่ี 3.9 รอ้ ยละชอ่ งทางส่อื สงั คมออนไลนท์ ี่ธรุ กจิ นาไปใชง้ าน ปี ค.ศ. 2019 64 ภาพที่ 3.10 ผลสารวจการประยุกต์ใชง้ านอนิ เทอร์เนต็ ของสรรพสิง่ 64 ภาพท่ี 3.11 คลาวด์ คอมพวิ ต้งิ 65 ภาพที่ 3.12 การใชป้ ระโยชน์ข้อมลู ขนาดใหญส่ รปุ ข้อมลู ทางสถติ ิ 66 66
(8) สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพท่ี 3.13 digital transformation canvas หน้า ภาพท่ี 3.14 วงจรชีวติ การพฒั นานวตั กรรม 69 ภาพท่ี 4.1 ขั้นตอนการบันทกึ บัญชี 77 ภาพท่ี 4.2 ประเภทของการบญั ชี 86 ภาพที่ 4.3 หนา้ ทที่ างการเงิน 87 ภาพที่ 4.4 ทักษะทจี่ าเป็นของนกั บัญชีการเงินในยคุ เทคโนโลยดี ิจิทัล 88 ภาพท่ี 4.5 กระบวนการทางานของระบบสารสนเทศ 92 ภาพที่ 4.6 วงจรการประมวลผลสารสนเทศทางการบญั ชี 97 ภาพท่ี 4.7 ปญั หาในการใช้โปรแกรมสาเรจ็ รูปทางการบญั ชี 98 ภาพที่ 4.8 สิง่ ทตี่ ้องคานึงถึงและข้อควรระวงั ในการเลือกใชโ้ ปรแกรมสาเร็จรูปทางการบัญชี 100 ภาพท่ี 4.9 แผนผังการเชอ่ื มโยงการทางานของโปรแกรม EASY-ACC 100 ภาพที่ 4.10 ตวั อย่างหน้าจอโปรแกรม EASY-ACC 102 ภาพท่ี 4.11 การเลอื กแฟ้มขอ้ มูลกิจการในโปรแกรม EASY-ACC 103 ภาพที่ 4.12 เสถียรภาพของโปรแกรม EASY-ACC 104 ภาพท่ี 4.13 ระบบ Password 5 ระดับ ปอ้ งกนั การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู 104 ภาพท่ี 4.14 ระบบการเรียกดูรายงานแบบตาราง (Grid Data) 105 ภาพท่ี 5.1 วงจรแนวคิดทางการตลาด 105 ภาพท่ี 5.2 สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกกระบวนการทางการตลาด 114 ภาพที่ 5.3 ลกั ษณะงานของขอ้ มลู ขนาดใหญ่ 115 ภาพท่ี 5.4 รา้ นคา้ ออนไลน์ Facebook 117 ภาพที่ 5.5 บญั ชีโฆษณาและประสทิ ธิภาพการโฆษณาเฟสบุค๊ 118 ภาพที่ 5.6 กลยุทธก์ ารตลาด 4Ps 119 ภาพท่ี 5.7 ความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง 4Ps และ 4Cs 120 ภาพที่ 5.8 ความสัมพันธร์ ะหว่าง 4Cs และ STP 120 ภาพท่ี 5.9 กลยทุ ธก์ ารตลาด 3i 121 ภาพที่ 5.10 กลยุทธ์การตลาดดิจิทัล 122 ภาพที่ 5.11 กลยทุ ธ์การสื่อสารการตลาดออนไลน์ 124 ภาพท่ี 5.12 กลยทุ ธก์ ารสอ่ื สารการตลาดออนไลนผ์ ลติ ภณั ฑ์ผา้ ทอชมุ ชนบอ้ งตี้ 128 ภาพที่ 6.1 กระบวนการจัดการทรัพยากรมนษุ ย์ 129 ภาพที่ 6.2 การประชุมผา่ นสื่ออิเลก็ ทรอนกิ ส์ 142 ภาพท่ี 6.3 เว็บไซตค์ น้ หาและสมคั รงาน 148 ภาพที่ 6.4 ระบบบันทกึ ประวตั ิและผลงานประจาปี 148 ภาพที่ 6.5 บทเรียนออนไลนม์ ูเด้ิล (moodle) 149 149
(9) สารบญั ภาพ (ตอ่ ) ภาพที่ 6.6 ปัจจยั ทต่ี อ้ งคานงึ ถงึ ก่อนนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ หนา้ ภาพที่ 6.7 กิจกรรม SWOT Analysis ในกระบวนการจัดการทรัพยากรมนุษย์ 151 ภาพที่ 6.8 TOWS Matrix 153 ภาพที่ 6.9 กระบวนการจัดการความรู้ 153 ภาพท่ี 6.10 กระบวนการทางานเดมิ ของฝา่ ยทรัพยากรมนุษย์ 155 ภาพที่ 6.11 กระบวนการทางานใหมข่ องฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ 158 ภาพที่ 6.12 หน้าจอหลกั เมื่อผ้บู ริหารเขา้ ส่รู ะบบ 159 ภาพท่ี 6.13 หนา้ จอหลักเมอ่ื พนักงานเข้าสรู่ ะบบ 160 ภาพที่ 6.14 จดุ เด่นของระบบสารสนเทศดา้ นการจดั การทรัพยากรมนษุ ย์ 160 ภาพที่ 7.1 องคป์ ระกอบของการจดั การผลติ และการดาเนนิ งาน 161 ภาพที่ 7.2 กลมุ่ คนท่เี กีย่ วข้องกับเป้าหมายของการจัดการผลิตและการดาเนินงาน 168 ภาพท่ี 7.3 ลักษณะการจัดการผลติ ดว้ ยโปรแกรมการผลิตอเี คาท์ ออี ารพ์ ี 169 ภาพที่ 7.4 ตวั อยา่ งหนา้ จอระบบตารางการผลิตโปรแกรมการผลิต ECOUNT ERP 175 ภาพที่ 7.5 ตัวอยา่ งหน้าจอระบบสถานะความคืบหนา้ ตามใบสั่งงาน 176 ภาพที่ 7.6 วงจรชีวติ ผลติ ภัณฑ์ 177 ภาพท่ี 7.7 แนวปฏบิ ตั ิเรอ่ื งจรยิ ธรรมในการจดั การผลติ และการดาเนินงาน 179 ภาพที่ 7.8 ขอบเขตความรบั ผิดชอบต่อสังคม 183 ภาพที่ 8.1 เว็บไซตแ์ ละคู่มือองคค์ วามรภู้ ูมปิ ญั ญาท้องถนิ่ 184 ภาพท่ี 8.2 มมุ มองการใช้ KM ขับเคลอ่ื นนวตั กรรมองคก์ าร 194 ภาพท่ี 8.3 ความสมั พนั ธ์ระหว่างองคก์ ารอจั ฉรยิ ะ องคก์ ารแหง่ การเรียนรู้ และการจัดการความรู้ 195 ภาพที่ 8.4 การพิจารณาข้ันตอนการสร้างมติ ิดา้ นเทคโนโลยดี ิจทิ ลั 197 ภาพท่ี 8.5 ตวั อย่างเว็บไซต์ระบบบรกิ ารขอ้ มูลอจั ฉริยะ 3 ภาษา 200 ภาพที่ 8.6 การประชมุ ทางไกลผา่ น Video Conference 202 ภาพท่ี 8.7 4Learn to smart goal 203 ภาพท่ี 8.8 Smart Community of Practice 205 ภาพท่ี 9.1 คุณสมบัติความปลอดภยั ของข้อมูลและสารสนเทศ ภาพท่ี 9.2 อาชญากรรมคอมพวิ เตอร์ 207 ภาพท่ี 9.3 SDLC เมือ่ นามาปรับใชเ้ ปน็ SecSDLC ภาพท่ี 9.4 ความสมั พันธ์ระหวา่ งการอภิบาลองคก์ ร ไอทีภบิ าล และการอภบิ าล 214 216 รักษาความปลอดภัยขอ้ มลู 220 ภาพท่ี 9.5 ระบบลงทะเบียนเรยี น ภาพท่ี 9.6 ระบบจดั การชั้นเรยี น 222 ภาพท่ี 10.1 ข้ันตอนในการวิจัยเพอื่ การจัดการธรุ กิจ 223 224 237
(10) สารบญั ภาพ (ตอ่ ) หนา้ 238 ภาพท่ี 10.2 วิจัยธุรกจิ ในยคุ ปจั จุบัน 242 ภาพที่ 10.3 ทักษะนักวิจัย 245 ภาพท่ี 10.4 แบบสอบถามออนไลน์ 245 ภาพท่ี 10.5 รายงานผลการตอบกลับจากแบบสอบถาม 247 ภาพท่ี 10.6 หนา้ ต่างการทางานหลกั โปรแกรมพาวเวอรบ์ ไี อ 248 ภาพท่ี 10.7 กราฟแสดงการเปรยี บเทียบ 249 ภาพที่ 10.8 กราฟแสดงองคป์ ระกอบ 249 ภาพที่ 10.9 กราฟแสดงการกระจาย 249 ภาพท่ี 10.10 กราฟแสดงความสมั พนั ธ์ 251 ภาพที่ 10.11 ลาดบั ความสาคญั ของปจั จยั ในการเลอื กใชโ้ ปรแกรมสาเร็จรปู ทางการบญั ชี 252 ภาพที่ 10.12 ลาดับความสาคญั ของคณุ ภาพสารสนเทศทางการบญั ชี 260 ภาพท่ี 10.13 ตวั อยา่ งการคานวณคา่ น้าหนักแต่ละปจั จยั การผลิต
(11) สารบญั ตาราง หน้า ตารางที่ 1.1 เปรยี บเทยี บทฤษฎีหลกั การจัดการ 7 ตารางท่ี 1.2 การเปรียบเทียบกลุ่มผู้ตามใน 2 ลักษณะ 19 ตารางท่ี 2.1 ความหมายของเทคโนโลยีดจิ ิทัลและเทคโนโลยีสารสนเทศ 33 ตารางที่ 2.2 สตารท์ อพั ระดบั เอเชยี 34 ตารางที่ 2.3 ตวั อยา่ งโมเดลแพลตฟอร์มธรุ กจิ 44 ตารางท่ี 3.1 ความแตกต่างการวเิ คราะห์ SWOT, five force model และ value chain 59 ตารางท่ี 3.2 หนว่ ยงานด้านส่งเสรมิ เทคโนโลยีสารสนเทศของไทย 72 ตารางที่ 3.3 SWOT Analysis 74 ตารางที่ 3.4 S-Cove Models ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับการจัดการเทคโนโลยีและนวตั กรรม 76 ตารางท่ี 3.5 ความแตกตา่ งระหว่าง นวตั กรรม เทคโนโลยี เทคโนโลยแี ละนวตั กรรม 79 ตารางที่ 4.1 ข้อแตกตา่ งระหวา่ งการจดั ทาบญั ชดี ้วยมอื กบั การประมวลผลด้วยระบบสารสนเทศ 89 ตารางท่ี 4.2 ขอ้ แตกตา่ งระหว่างการพฒั นาโปรแกรมบัญชใี ช้เองกับจัดซอ้ื จากแหลง่ ภายนอก 91 ตารางที่ 6.1 ความสมั พนั ธข์ องระบบสารสนเทศกับกระบวนการจดั การทรพั ยากรมนุษย์ 150 ตารางท่ี 7.1 ความแตกตา่ งการจดั การผลิตและการดาเนนิ งานระหวา่ งอดตี -อนาคต 178 ตารางที่ 7.2 กลยุทธก์ ารจดั การดาเนนิ งานในแตล่ ะชว่ งวงจรชวี ิตผลติ ภณั ฑ์ 179 ตารางที่ 7.3 การวิเคราะห์ปจั จัยภายในและภายนอกการนาเทคโนโลยอี ตั โนมตั ิ ในการแปรรูปสินค้า 188 ตารางที่ 8.1 ความแตกตา่ งระหว่างองค์การแหง่ การเรยี นรู้กบั องค์การอจั ฉริยะ 197 ตารางที่ 9.1 นโยบายดา้ นความมั่นคงปลอดภัยสาหรับเครอื ข่ายเฉพาะบริเวณ แบบไรสายสาหรับวสิ าหกิจขนาดกลางและขนาดเลก็ 226 ตารางท่ี 9.2 การพัฒนาตัวแบบความมั่นคงปลอดภัยสาหรับเครือข่ายเฉพาะบริเวณแบบไรสาย สาหรบั วิสาหกจิ ขนาดกลางและขนาดเล็ก การพัฒนาตวั แบบความม่ันคงปลอดภัยมี คณุ สมบตั ิและเครื่องมือต่าง ๆ 227 ตารางท่ี 10.1 ขอ้ ดี ขอ้ เสยี ในการใชน้ กั วิจัยภายในองค์การ 241 ตารางท่ี 10.2 ขอ้ ดี ข้อเสียในการใช้นกั วจิ ยั ภายนอกองค์การ 241 ตารางที่ 10.3 การเปรียบเทยี บวธิ ีการคิดอตั ราค่าบริการ 246 ตารางที่ 10.4 ความสัมพันธ์ระหว่างการเลือกใช้โปรแกรมสาเรจ็ รปู ทางการบัญชกี ับ คณุ ภาพสารสนเทศทางการบญั ชี 252 ตารางท่ี 10.5 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู เกี่ยวกบั การจัดการทรพั ยากรมนุษย์ 256 ตารางท่ี 10.6 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูลเก่ียวกับความสาเรจ็ ของผูป้ ระกอบการ 257 ตารางที่ 10.7 ผลการวเิ คราะห์การจัดการทรพั ยากรมนุษยม์ อี ิทธิพลตอ่ ความสาเรจ็ ของผปู้ ระกอบการ 258 ตารางที่ 10.8 เปรยี บเทยี บการทางานแบบเดมิ และแบบใช้โปรแกรมประยกุ ต์ 260
บทท่ี 1 ความรู้ท่ัวไปเกีย่ วกับการจดั การธุรกิจ ปัจจุบันองค์ความรู้ด้านการจัดการมีจานวนมาก หน่วยงานท้ังภาครัฐและเอกชนได้ให้ ความสาคัญและนาความรู้ด้านการจัดการไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ เพ่ือให้บรรลุเป้าหมายของ องค์การ การจดั การถูกนามาใช้ควบคูก่ ับการบริหาร จึงเรยี กรวมกนั เป็นการบริหารจัดการ ซึ่งในความ เป็นจริงน้ันท้ังสองคามีความหมายท่ีแตกต่างกันออกไป หนังสือเล่มน้ีผู้เขียนจะเน้นการนา กระบวนการจัดการไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจท้ังในด้านการบัญชี การเงิน การตลาด ทรัพยากรมนุษย์ การผลิตและการดาเนินงาน โดยในแต่ละด้านมีการนาเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นเคร่ืองมือในการ จัดการธุรกิจจนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการต่าง ๆ ซ่ึงการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้นในยุค เทคโนโลยดี ิจทิ ัลกลายเปน็ ความทา้ ทายของผู้บริหารท่ีต้องเรียนรู้ทักษะท่ีจาเป็นและบทบาทสาคัญต่อ การจัดการธุรกิจยุคใหม่ รวมถึงการเปิดรับมุมมองใหม่ในการแข่งขันทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและ นวตั กรรมด้วยการนากลยุทธ์มาใชใ้ ห้เกดิ ความไดเ้ ปรยี บในการแข่งขัน การจัดการธุรกิจในอดีตกับปัจจุบันมีความแตกต่างกันในสภาพแวดล้อม ความแตกต่างกันน้ี จะเป็นความท้าทายของผู้บริหารอย่างมากท่ีต้องคิดค้นวิธีการใหม่ ๆ ที่จะสามารถแก้ไขปัญหาใน กระบวนการจัดการธุรกิจในด้านต่าง ๆ ท้ังน้ีจะต้องเรียนรู้และเปิดมุมมองใหม่ด้วยการนาเทคโนโลยี ดิจิทลั เขา้ มาเปน็ เคร่ืองมือสาคัญในการจัดการธุรกิจใหบ้ รรลุตามเปา้ หมายท่ีวางไว้ ความหมายและความสาคญั ของการจัดการธุรกจิ ความหมายและความสาคัญของการจัดการธุรกิจ (business management) ผู้เขียนได้แบ่ง ออกเป็นสองประเด็น คือ ประเด็นความหมาย และประเด็นความสาคัญ โดยผู้อ่านจาเป็นท่ีจะต้อง แยกคาสองคานี้ออกจากกัน คาแรกที่จะอธิบาย คือ คาว่า การจัดการ ซ่ึงคาน้ีผู้เขียนได้ึึกษาค้นคว้า และสรุปความหมายได้ดังนี้ การจัดการ หมายถึง กระบวนการนานโยบายและแผนงานไปปฏิบัติเพ่ือให้บรรลุตามเป้าหมายที่ กาหนดในข้ันตอนของการบริหาร นิยมใช้ในหน่วยงานและบุคลากรของภาคเอกชน ภาคธุรกิจ และ ภาคอุตสาหกรรม (ประจวบ เพ่ิมสุวรรณ, 2558, หน้า 42; กิจจา บานชื่น และกณิกนันต์ บานช่ืน, 2559, หน้า 34-35; เนตรพ์ ัณณา ยาวริ าช, 2560, หน้า 2) จากความหมายทาให้เห็นว่าการจัดการเป็นกระบวนการเชิงปฏิบัติการหรือเรียกว่า เน้นการ ลงมือปฏิบัติที่นานโยบาย วิสัย พันธกิจ จากแผนงานไปปฏิบัติให้เกิดผลสาเร็จตามเป้าหมาย เพื่อให้ เห็นถึงความชัดเจนของการจัดการ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างแผนปฏิบัติการส่วนพัฒนาธุรกิจและ การตลาดของโรงงานไพ่ กรมสรรพสามติ แสดงดังภาพท่ี 1.1
2 ภาพที่ 1.1 แผนปฏบิ ัตกิ ารสว่ นพัฒนาธรุ กจิ และการตลาดของโรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต ที่มา (โรงงานไพ่ กรมสรรพสามติ , 2564) จากภาพที่ 1.1 จะเห็นว่ามีการกาหนดโครงการหรือแผนงานตามยุทธึาสตร์ โดยระบุ รายละเอียดเก่ียวกับงบประมาณอย่างชัดเจน การจัดการเป็นกระบวนการนาแผนงานไปปฏิบัติจริง เพ่ือให้บรรลุตามแผนที่ได้กาหนดไว้ จึงมีการระบุกิจกรรมในแต่ละแผนงาน โดยกลไกสาคัญท่ีจะทา ให้แผนงานถูกนาไปปฏิบัติได้ คือ ผู้รับผิดชอบ ซ่ึงต้องดาเนินกิจกรรมตามแผนให้สอดคล้องกับ ยุทธึาสตร์ตามกาหนดเวลาทไ่ี ดว้ างไว้ ตัวอย่างขา้ งตน้ ทาให้เห็นถึงความชัดเจนของการจัดการมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การจัดการจะ เกดิ กระบวนการไดย้ ่อมมาจากการวางแผนงานทด่ี ใี นเชิงของการบริหารด้วยเช่นกัน จึงเห็นได้จากการ กล่าวถงึ คาทั้งสองคาท่คี วบคูก่ นั คอื การจดั การและการบริหาร การบริหาร หมายถึง กระบวนการบริหารงานขององค์การที่นิยมใช้กันในหน่วยงานภาครัฐ โดยมีบุคคลที่เป็นผู้บริหารกาหนดนโยบายและวางแผนงานให้บุคคลอ่ืนปฏิบัติตาม มีการกาหนด หน้าที่กากับดูแลเพื่อให้แน่ใจว่าความสาเร็จที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับนโยบายและแผนที่วางเอาไว้ (ประจวบ เพ่ิมสวุ รรณ, 2558, หนา้ 42; กจิ จา บานชนื่ และกณิกนนั ต์ บานช่ืน, 2559, หนา้ 80) ในขณะที่ อนุรัตน์ อนันทนาธร และปาริฉัตร ป้องโล่ (2559, หน้า 5) ได้อธิบายไว้ว่า การบริหาร หมายถึง การดาเนินการอย่างเป็นระบบเป็นกระบวนการข้ันตอนต้ังแต่การกาหนดเป้าหมายหรือ วิสัยทัึน์ วัตถุประสงค์ที่องค์การต้องการ รวมถึงการกาหนดโครงสร้างองค์การ การ ออกแบบและการมอบหมายงาน การจัดทีมงาน การสร้างกฏระเบียบกติกา การจัดระบบการ ติดต่อส่ือสารระหว่างบุคคลและส่วนงาน รวมถึงการออกแบบระบบการติดตามและการควบคุมงาน ความรทู้ ่วั ไปเกยี่ วกับการจัดการธรุ กิจ
3 การบริหารจึงจาเป็นต้องอาึัยความร่วมมือร่วมใจและความเป็นหน่ึงเดียวของสมาชิกองค์การเพื่อ บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ท่ีต้องการ จากความหมายของการบริหาร ทาให้ทราบว่า การบริหารในเชิงปฏิบัติจริงใช้ในการบริหาร ระดับสูง มหี นา้ ทเ่ี น้นการกาหนดนโยบายทีส่ าคญั และการกาหนดแผนงาน โดยเป็นคาที่นิยมใช้ในการ บรหิ ารรัฐกิจ หากในความหมายเชิงลงมอื ปฏิบตั นิ กั วชิ าการจะใชค้ าวา่ การจดั การ ความหมายของการจัดการและการบริหารหากึึกษาข้อมูลไม่ลึกซึ้งถึงแก่นความหมายที่ แท้จริงแล้ว อาจนาไปสู่ความผิดพลาดในการปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย คาสองคาภาษาไทยเขียน ต่างกัน ความหมายต่างกัน ในภาษาอังกฤษการจัดการ ใช้คาว่า management ส่วนคาว่าการ บริหารใชค้ าว่า administration ซง่ึ เขยี นต่างกันแต่เป้าหมายเดียวกัน หรือกล่าวได้ว่าในมุมมองของ การลงมือปฏิบัติจะเรียกว่า การจัดการ ในมุมมองของนักบริหารงาน เรียกว่า การกาหนดนโยบาย และแผนงาน การบริหารจัดการ จึงหมายถึง กระบวนการหน้าท่ีต่าง ๆ ที่กาหนดทิึทางในการใช้ ทรัพยากรไดอ้ ย่างเฉลียวฉลาดและมีประสทิ ธภิ าพ อานวยการในการตัดสินใจ ผลสาเร็จของงานต้องมี ท้งั ประสทิ ธภิ าพและประสิทธิผลควบคกู่ นั (กิจจา บานช่นื และกณกิ นนั ต์ บานชน่ื , 2559, หน้า 39) การจัดการ และ การบริหาร ท้ังสองคาส่วนใหญ่ถูกนาไปใช้ควบคู่กันในหลากหลายงานท้ัง ภาครัฐและเอกชน สาหรับหนังสือเล่มน้ีจะเน้นไปที่การจัดการท่ีเน้นลงมือปฏิบัติในทางธุรกิจ โดย ธุรกิจเป็นกิจกรรมท่ีก่อให้เกิดสินค้าหรือบริการ เกิดการแลกเปลี่ยนกันเพ่ือประโยชน์ท่ีหวังไว้เป็น กาไร จนสินค้าหรือบริการนั้นถึงมือผู้บริโภคด้วยกระบวนการกิจกรรมของธุรกิจการผลิต การซื้อ ขาย การจาแนกแจกจ่ายสินค้า การขนส่ง การธนาคาร การประกันภัย และอื่น ๆ เป็นต้น (ธนวุฒิ พมิ พก์ ,ิ 2556, หน้า 1; ประจวบ เพิ่มสุวรรณ, 2558, หน้า 2; กิจจา บานชื่น และกณิกนันต์ บานช่ืน, 2559, หน้า 87) ธุรกิจ คือ การประกอบกิจการที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการผลิต การบริการ การจาหน่าย และกาไร ตามข้อสรุปความหมายข้างต้น สามารถให้คานิยามคาว่า ธุรกิจ คือ การประกอบธุรกิจท่ีมี การผลิตสินค้าและบริการ และการนาสินค้าและบริการน้ันมาจาหน่ายให้แก่ผู้บริโภค สาหรับการ ประกอบธุรกิจผู้บริหารจะต้องคานึงถึงความสามารถในการลดต้นทุน การเพ่ิมประสิทธิภาพ กระบวนการจัดการธุรกิจ และที่สาคัญเพิ่มรายได้ด้วยการสร้างคุณค่า ซ่ึงเรียกว่า ห่วงโซ่คุณค่า (value chain) กจิ กรรมหว่ งโซ่คุณค่าเป็นการรวมกิจกรรมกระบวนการทางธุรกิจท้ังหมด ไม่ว่าจะเป็น ด้านทรัพยากรมนุษย์ เทคโนโลยีดิจิทัล การจัดซ้ือ จัดหาวัตถุดิบ การผลิต การตลาด การจาหน่าย ตลอดจนการส่งสินค้าออกไปถึงมือผู้บริโภค ซึ่งหากจะแยกกิจกรรมดังกล่าวจะสามารถแยกได้เป็น 2 สว่ น คอื กจิ กรรมท่ีสนบั สนุน และกจิ กรรมหลกั ตามท่ีผู้เขียนไดเ้ สนอความหมายคาวา่ การจดั การ การบรหิ าร และธุรกิจ ดังท่กี ล่าวไปข้างต้น เมื่อกล่าว ถึงความหมายโดยรวมสรุปได้ว่า การจัดการธุรกิจและการบริหารธุรกิจ มี ความหมายท่ีสัมพันธ์กัน เป็นกระบวนการบริหารกิจกรรมทางธุรกิจที่ก่อให้เกิดสินค้าและบริการที่มี การแลกเปลี่ยนเพื่อประโยชน์ที่หวังไว้เป็นกาไร โดยมีบุคคลที่เป็นผู้บริหารธุรกิจกาหนดนโยบายและ วางแผนงานใหบ้ ุคคลอ่ืนปฏบิ ตั ิตาม ทาหนา้ ทก่ี ากบั ดแู ลเพือ่ ให้แนใ่ จว่าความสาเร็จที่เกิดขึ้นสอดคล้อง กับนโยบายและแผนท่ีวางเอาไว้ โดยอาึัยกระบวนการจัดการในการนานโยบายและแผนงานไป ปฏบิ ตั ิให้บรรลเุ ปา้ หมายที่กาหนดในการบริหาร ความรูท้ ั่วไปเกี่ยวกบั การจดั การธุรกิจ
4 การจัดการธุรกิจและการบริหารธุรกิจ มีความสัมพันธ์แยกกันไม่ได้ ธุรกิจต้องอาึัยผู้บริหารใน การกาหนดนโยบายแผนงานและนาไปสู่การลงมือปฏิบัติด้วยวิธีการจัดการ การจัดการและการบริหาร ท้ัง สองคาจึงหมายถึงกิจกรรมในการบริหารทรัพยากรและกิจการงานอ่ืน ๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ กาหนดไว้ หลังจากที่ได้ทราบถึงความหมายของการจัดการธุรกิจไปแล้ว ประเด็นความสาคัญของการ จัดการธุรกิจควรต้องทาความเข้าใจไปพร้อมกันกับความหมาย บางคนเข้าใจความหมายแต่ไม่ได้ให้ ความสาคัญกับการจัดการธุรกิจแต่อย่างใด จึงเกิดเป็นคาถามว่าทาไมประกอบธุรกิจแล้วต้องมีเร่ือง การจัดการเข้ามาเกี่ยวข้อง การจัดการธุรกิจมีความสาคัญจริงหรือไม่ แน่นอนว่าหากต้องการให้ธุรกิจ ประสบความสาเร็จบรรลุตามเป้าหมาย สามารถมีตัวชี้วัดอธิบายได้ถึงความสาเร็จและประเมินผล ได้ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคณุ ภาพ กระบวนการจัดการท่ีดีตอ้ งมีการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าในการ ผลิตซึ่งทรัพยากรท่ีน้ี ได้แก่ คน (man) วัสดุ (material) เงิน (money) และการจัดการ (management) ในทุกปัจจัยมีความสาคัญในระดับท่ีเท่ากัน โดยถ้าขาดปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งไป อาจจะไม่สามารถดาเนินการใหเ้ ปน็ ไปตามเป้าหมายที่ต้ังไว้ และกลไกในการขับเคลื่อนการดาเนินงาน ที่สาคัญ คือ คน หากองค์การมีการจัดการท่ีดีจะช่วยทาให้คุณภาพชีวิตของพนักงานดีขึ้นไปด้วย แนน่ อนวา่ เมอื่ คณุ ภาพของพนักงานดีข้ึนจะนาไปสู่แรงงานที่มีประสิทธิภาพที่จะสามารถคิดค้นวิธีการ ทางานท่ดี ีทส่ี ุดในการประกอบธุรกิจ หากธรุ กจิ นน้ั มีกระบวนการจัดการที่มีประสิทธิภาพเพียงพอและ ประสบความสาเรจ็ ยอ่ มทาใหร้ ะบบเึรษฐกิจประเทึดขี ้นึ ไปด้วยเชน่ กัน กระบวนการจัดการจึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อการประกอบธุรกิจและมีความจาเป็นต่อระบบ เึรษฐกิจประเทึ ปัจจุบันจะเห็นว่ามีผู้ประกอบการธุรกิจใหม่เกิดข้ึนเป็นจานวนมาก ทั้งนี้ธุรกิจจะ เกิดขน้ึ ไดย้ อ่ มมาจากความต้องการขัน้ พนื้ ฐานของมนุษย์ท่ีพยายามขวนขวายให้ได้มาซึ่งสิ่งต่าง ๆ เพื่อ บาบัดความต้องการของตนเองและครอบครัว ก่อให้เกิดกิจกรรม (activities) ประเภทต่าง ๆ ธุรกิจ เป็นพลงั ผลักดนั ทค่ี รอบคลมุ ไปท่ัวสังคมของมนุษย์ เป็นแหล่งท่ีก่อให้เกิดการจ้างแรงงาน เป็นแหล่งที่ ใช้ทรัพยากรมากท่ีสุด เป็นแหล่งท่ีก่อให้เกิดรายได้และภาษีอากร ซึ่งแต่ละปัจจัยมีอิทธิพลที่จะ ก่อให้เกิดมูลค่าทางเึรษฐกิจและสังคม ความสาเร็จของธุรกิจขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดการ และความเช่ียวชาญในการประกอบธุรกิจน้ัน ๆ ด้วย เป้าหมายของการประกอบธุรกิจจึงมิได้ตั้งขึ้นแต่ เพียงเพื่อแสวงหากาไรเท่าน้ัน หากยังได้ทาประโยชน์ให้กับสังคมโดยการจัดให้มีสินค้าและบริการ สนองตอบความต้องการของสังคมดว้ ย (มหาวิทยาลยั รามคาแหง, 2561) ธรุ กิจมบี ทบาทตอ่ ระบบเึรษฐกิจและสังคม ก่อให้เกิดการนาทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ช่วยให้ผู้บริโภคมีสินค้าหรือบริการมาบาบัดความต้องการ พัฒนาความเป็นอยู่ของตนเอง ประการท่ี สาคญั ธรุ กจิ จะช่วยขจดั ปญั หาการวา่ งงาน กระจายรายได้สู่ประชาชน ช่วยให้เกิดรายได้หมุนเวียนใน ประเทึ ทาให้ประเทึมีรายได้ในรูปแบบภาษีอากร ส่งผลให้สามารถนารายได้ส่วนน้ีมาพัฒนา ประเทึไดต้ ่อไป ดังน้ัน จงึ กล่าวไดว้ า่ ธุรกจิ เป็นหวั ใจสาคญั ของสังคม สังคมจะเจริญก้าวหน้า มีความ เป็นอยู่ท่ีดี เป็นท่ียอมรับของชาวต่างประเทึ ต้องอาึัยความเจริญของธุรกิจ ซึ่งธุรกิจจะประสบ ความสาเร็จได้ย่อมมาจากกระบวนการจัดการธุรกิจที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน ความสาคัญในมุมมอง ของ ประจวบ เพ่ิมสวุ รรณ (2558, หน้า 4-5) ไดส้ รุปความสาคัญของธุรกจิ ไว้ดังนี้ ความรทู้ ัว่ ไปเก่ียวกับการจดั การธรุ กิจ
5 1) ผลติ สินคา้ และบรกิ ารเพ่ือให้ประชาชนทั่วไปได้ใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ 2) หน่วยงานธุรกจิ นัน้ ช่วยให้ประชาชนมีงานทาและมรี ายไดใ้ นการจบั จา่ ยใช้สอย ในการซื้อ สินคา้ และบริการมาใช้ ทาใหเ้ กิดการกินดอี ย่ดู ี 3) ทาให้เึรษฐกิจของประเทึชาติดีข้ึน มีรายได้เข้าประเทึในการจัดจาหน่ายสินค้าและ บริการออกตา่ งประเทึ 4) สินคา้ และบรกิ ารทธ่ี ุรกจิ ผลติ ขน้ึ น้นั ต้องมีมาตรฐาน และมีคุณภาพท่ีดีไม่เป็นอันตรายต่อ ประชาชนหรือผ้ใู ช้ 5) การปฏิบัติกิจกรรมทางธุรกิจภายในระบบธุรกิจ ก่อให้เกิดพันธมิตรนานาประการ ทั้งภายในและภายนอกท้องถ่ินท่ีธุรกิจต้ังอยู่ ทาให้เกิดการเกื้อกูลช่วยเหลือซ่ึงกันและกันในลักษณะ การเปน็ พนั ธมติ ร 6) การแลกเปลีย่ นเทคโนโลยซี ึ่งกันและกันจากผลติ ภณั ฑ์ทแี่ ลกเปลยี่ นกันใช้ จากทั้ง 6 ประเด็นแสดงให้เห็นว่า ธุรกิจมีความสาคัญและมีประโยชน์ โดยที่ธุรกิจจะผลิต สินค้าและบริการเพ่ือสนองความต้องการของมนุษย์ในสังคม เพราะความต้องการของมนุษย์แตกต่าง กันไม่มีที่สิ้นสุด ธุรกิจยังช่วยให้กระจายสินค้าและบริการจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภค เป็นแหล่ง ตลาดแรงงาน การดาเนินธุรกิจจึงทาให้คนมีงานทา มีรายได้ ส่งผลถึงการมีรายได้ให้แก่รัฐบาลโดย การเสียภาษีตามท่ีกฎหมายกาหนด ธุรกิจจึงช่วยพัฒนาเึรษฐกิจของประเทึที่เกิดจากการส่ง สินค้าออกไปจาหน่ายยังต่างประเทึ เกิดรายได้เข้าสู่ประเทึ เป็นการพัฒนาเึรษฐกิจของประเทึได้ อกี ทางหน่งึ การจัดการธุรกิจในยุคปัจจุบันได้พัฒนาไปตามเทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามาช่วยอานวย ความสะดวกในการประกอบธุรกิจ การึึกษาความรู้เพิ่มเติมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมาประกอบ จึงกลายเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากสาหรับผู้ประกอบการ เนื่องจากองค์การทั้งภาครัฐและเอกชน ปัจจุบันได้ขับเคล่ือนองค์การด้วยเทคโนโลยีด้วยกันท้ังส้ิน ดังน้ัน การวางแผนในการจัดการธุรกิจ จะต้องนาหลักการจัดการธุรกิจสมัยใหม่เข้ามาช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพในการประกอบธุรกิจ เพราะว่า การวางแผนเปน็ หนา้ ทส่ี าคญั ทีผ่ ู้บริหารใชก้ าหนดแนวทางปฏิบัติงานไว้ล่วงหน้าว่าจะกระทากิจกรรมใดบ้าง เพื่อให้องค์การประสบความสาเร็จ ในหัวข้อถัดไปผู้เขียน จะนาเสนอแนวทางการ วาง แผนการจัดการธรุ กจิ ตามหลกั การจดั การสมัยใหม่ การวางแผนจดั การธรุ กจิ ตามหลักการจัดการ จากรายละเอียดที่ผ่านมาได้กล่าวถึงความหมายและความสาคัญของการจัดการธุรกิจ โดย กระบวนการจัดการธุรกิจที่มีประสิทธิภาพต้องเกิดจากการวางแผน (planning) ที่มีประสิทธิภาพ ด้วยเช่นกัน การวางแผนสาหรับนักการจัดการถือเป็นหน้าท่ีหลักและเป็นหน้าที่แรกที่ต้องดาเนินการ เพื่อช่วยให้ทราบทิึทางแนวปฏิบัติงานได้ล่วงหน้าว่าจะกระทากิจกรรมใดบ้างที่จะก่อให้การ ประกอบธุรกิจประสบความสาเร็จ การวางแผน เป็นกระบวนการที่องค์การหรือหน่วยงานดาเนินการเพ่ือให้ได้ผลที่ต้องการใน อนาคต เป็นการกาหนดเป้าหมายขององค์การ กาหนดกลยุทธ์ เพ่ือให้บรรลุเป้าหมาย การกาหนด ความรทู้ วั่ ไปเก่ียวกบั การจัดการธรุ กิจ
6 แผนย่อย เพื่อประสานงานขององค์การโดยรวม ซ่ึงเป็นกระบวนการคิดและจัดกิจกรรมท่ีจาเป็นเพื่อ การสร้างและการดารงรักษาแผนทั้งในระยะส้ันและระยะยาว (กิจจา บานช่ืน และกณิกนันต์ บานชื่น, 2559, หน้า 106; เนตร์พัณณา ยาวิราช, 2560, หน้า 3; อนึุ กั ด์ิ ฉนิ่ ไพึาล, 2562, หนา้ 81) การวางแผนจงึ เปน็ องค์ประกอบทส่ี าคญั สาหรับการจัดการธุรกิจ ซ่ึงโดยทั่วไปจะระบุถึงเป้าหมาย ของธุรกิจให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นสาคัญ โดยการกาหนดวิธีการดาเนินงานและ พิจารณาถึงเป้าหมายในอนาคต ซึ่ง กิจจา บานชื่น และกณิกนันต์ บานชื่น (2559, หน้า 107-108) ได้กล่าวถึงกระบวนการวางแผนจะต้องประกอบด้วยวัตถุประสงค์ มาตรฐานในการบริหาร งบประมาณ แผนงาน นโยบาย วิธีปฏิบัติ ข้ันตอนการดาเนินงาน ลักษณะการวางแผนท่ัวไปทั้ง 7 ประการ ต้องพิจารณาถึงสภาพสังคม เึรษฐกิจ การเมือง และต้องได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายในระหว่างการ ดาเนินงาน ซึ่งผู้บริหารต้องกาหนดการประเมินหรือวิเคราะห์ผลการวางแผนอย่างต่อเน่ือง เพ่ือเป็นการ ตรวจสอบแผนงานว่ามแี นวโน้มประสบผลสาเร็จหรือไม่ ต้องปรับแก้ไขอย่างไร ซึ่งการวางแผนงานอาจเป็น การวางแผนเก่ียวกับการขยายงาน การกาหนดทิึทาง ปัญหาที่กาลังประสบ เวลาในการเจริญเติบโต กิจกรรมท่ีทาให้บรรลุวัตถุประสงค์ แผนเกี่ยวกับกาไรท่ีเน้นการผลิตเก่ียวข้องกับการลงทุนและค่าใช้จ่าย แผนเกี่ยวกับการหาผู้ใช้ เรียกอีกอย่างว่า แผนการหาตลาดเพื่อผลผลิต และแผนเกี่ยวกับการจัดกาลังคน เป็นการเตรยี มและพัฒนากาลังคนให้พอเหมาะกบั สภาพของหนว่ ยงาน การวางแผนท่ัวไปทั้ง 7 ประการ สามารถประยุกต์กับงานท่ีหลากหลายท่ัวไป ในมุมมองของ การประกอบธุรกิจ ไวฮ์ริชและคูนซ์ (Weihrich & Koontz, 1993, p.119) ได้อธิบายถึงลักษณะของ การวางแผนไวว้ า่ เม่ือจะตอ้ งวางแผนจดั การธุรกิจจะสามารถแบ่งการวางแผนเพ่ือกาหนดจุดมุ่งหมาย และวัตถุประสงค์ การวางแผนเป็นข้ันพ้ืนฐานของการจัดการ การวางแผนมีความหลากหลาย และ การวางแผนช่วยในการเพ่ิมประสิทธิภาพ ซึ่งลักษณะของการวางแผนจัดการธุรกิจ ผู้บริหารสามารถ ประยุกต์การวางแผนแบบท่ัวไปมาร่วมกับการวางแผนในลักษณะเฉพาะของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเร่ือง การวางแผนเก่ียวกับวัตถุประสงค์ มาตรฐานในการบริหาร งบประมาณ แผนงาน นโยบาย วิธีปฏิบัติ และวิธีดาเนินงาน ซึ่งลักษณะการวางแผนทั่วไปจะครอบคลุมไปถึงลักษณะของการวางแผนจัดการธุรกิจ จึงกล่าวได้ว่า การวางแผนเป็นกิจกรรมขั้นตอนแรกที่ผู้บริหารต้องกระทา เป็นอันดับแรก เพื่อเป็นพน้ื ฐานในการสร้างและการดารงรักษาแผนธุรกิจต่อไป การวางแผนจัดการธุรกิจตามหลักการจัดการสมัยใหม่ เมื่อกล่าวถึงคาว่าสมัยใหม่คานี้เป็น พลวัตรมีพลังการเคลื่อนไหว ไม่หยุดนิ่ง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การจัดการสมัยใหม่จึงเปรียบกับ กระบวนการท่ีเป็นพลวัตรท่ีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก ซ่ึง ทวีึักดิ์ สูทกวาทิน (2558, หน้า 5) ได้อธิบายว่า “การจัดการสมัยใหม่ (modern management) เป็นคาท่ีคลุมเครือในเรื่องมิติเวลา ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า คือ เวลาใดท่ีแน่นอน การจัดการ สมัยใหม่ เป็นความรู้และการปฏิบัติท่ีมีการพัฒนาการเปล่ียนแปลง และได้รับการปรับปรุงอย่าง ตอ่ เนือ่ งมาโดยตลอด ไมใ่ ช่ความรู้และการปฏิบัตทิ ี่หยุดน่ิงโดยไม่มกี ารเปลยี่ นแปลง” การวางแผนเป็นกระบวนการขับเคลื่อนนโยบาย วิสัยทัึน์ พันธกิจ เป็นหนึ่งในหน้าที่ของ หลักการจัดการ ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีของใครจะต้องเริ่มต้นท่ีกระบวนการวางแผนอันดับแรก โดย ผเู้ ขียนไดเ้ ปรียบเทียบทฤษฎีหลกั การจดั การ แสดงดงั ตารางที่ 1.1 ความร้ทู ่วั ไปเกีย่ วกบั การจดั การธรุ กจิ
7 ตารางท่ี 1.1 เปรยี บเทยี บทฤษฎหี ลักการจัดการ นักวชิ าการ ทฤษฎีหลกั การจดั การ ลูอิส อัลเลน (Louis A. Allen) POLC ไดแ้ ก่ เฮนร่ี ฟาโยล (Henri Fayol) 1) การวางแผน (planning) 2) การจัดองค์การ (organizing) ลเู ธอร์ กลู คิ และลนิ ดอลล์ เออร์วคิ 3) การนา (leading) (Luther Gulick and Lyndall Urwick) 4) การควบคุม (controlling) POCCC ไดแ้ ก่ 1) การวางแผน (planning) 2) การจัดองคก์ าร (organization) 3) การส่งั การ (commanding) 4) การประสานงาน (coordinating) 5) การควบคุม (controlling) POSDCoRB ได้แก่ 1) การวางแผน (planning) 2) การจดั องคก์ าร (organizing) 3) การจดั บคุ ลากรปฏิบัติงาน (staffing) 4) การอานวยการ (directing) 5) การประสานงาน (coordinating) 6) การรายงาน (reporting) 7) การจดั ทางบประมาณ (budgeting) ทมี่ า (Louis A. Allen, 1958; Henri Fayol, 1964; Luther Gulick and Lyndall Urwick, 1973) จากตารางที่ 1.1 เม่ือเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของแต่ละทฤษฎี สังเกตได้ ว่าส่ิงแรกที่นักวิชาการคานึงถึง คือ การวางแผน แสดงให้เห็นว่าการวางแผนเป็นกระบวนการจัดการ เริ่มต้นท่ีจะนาไปสู่กระบวนการการจัดองค์การ ซ่ึงการจัดองค์การเป็นกิจกรรมที่สาคัญอีกหน่ึง กิจกรรมที่ช่วยจัดการหน้าที่สาคัญในส่วนงานต่าง ๆ เช่น หน้าที่การบัญชีการเงิน การตลาด การจัดการทรัพยากรมนุษย์ และการผลิต เป็นต้น โดยการจัดองค์การจะต้องคานึงถึงการทางาน ร่วมกัน อานาจหน้าท่ีความรับผิดชอบท่ีชัดเจน หากพิจารณาถึงความใหม่ของการกาเนิดทฤษฎีแล้ว ทฤษฎขี องลูอสิ อัลเลน จะเป็นทฤษฎีการจัดการสมัยใหม่ท่ีรวบรวมกระบวนการที่มีจานวนมากให้ลดน้อยลง แต่ยงั ครอบคลุมถงึ กระบวนการของทฤษฎีของลูเธอร์ กูลคิ และลนิ ดอลล์ เออรว์ ิค และเฮนร่ี ฟาโยล ทฤษฎีการจัดการของลูอิส อัลเลน ได้ระบุหน้าที่ของผู้บริหารต้องประกอบด้วย 4 หน้าที่ ได้แก่ การวางแผน (planning) การจัดองค์การ (organizing) การนา (leading) และการควบคุม (controlling) โดยท้งั 4 หน้าท่ี มีรายละเอยี ดดงั น้ี 1. การวางแผน คือ การกาหนดเป้าหมาย กาหนดกลยทุ ธ์ 2. การจดั องค์การ คอื การจดั โครงสร้างองคก์ าร กาหนดกจิ กรรมทตี่ ้องดาเนินการ 3. การนา คือ การสงั่ การและการจงู ใจใหท้ กุ ฝ่ายทางานร่วมกนั อย่างเต็มใจ ความรทู้ ั่วไปเกยี่ วกบั การจัดการธรุ กจิ
8 4. การควบคมุ คอื การตรวจสอบผลการปฏบิ ตั งิ านเพอื่ ใหเ้ ปน็ ไปตามแผนที่กาหนดไว้ ผูเ้ ขียนจงึ สรปุ เปน็ ภาพรวมแสดงถงึ ความเกี่ยวขอ้ งกนั ของแต่ละหน้าท่ี แสดงดงั ภาพท่ี 1.2 การวางแผน การจัดองค์การ การนา การควบคมุ กาหนดเป้าประสงค์ทเี่ ปน็ เป้าหมาย การจัดโครงสร้างหน้าท่ี กาหนด การสั่งการเพ่ือโน้มน้าวจูงใจให้ การตรวจสอบผลการ บรรลุ และแผนกลยทุ ธ์ เพ่ือให้บรรลุ บทบาทหน้าทข่ี องบคุ ลากรในแต่ ปฏบิ ตั ิงานร่วมกันร่วมกันเป็นทีม ปฏบิ ตั ิงานเพื่อให้ วัตถปุ ระสงค์ วตั ถปุ ระสงคต์ ามเปา้ หมาย ละกิจกรรม ให้เปน็ ผูร้ ับผิดชอบ ดว้ ยความเต็มใจ โดยคานึงถึงการ เป็นไปตามแผนที่ ท่รี ะบไุ ว้ของ การรวบรวมกิจกรรมในแผนและ หลักและปฏิบตั ิงาน โดยยึดการ นาองค์การไปส่เู ป้าหมายตามการ กาหนดไว้ ประสานงานกิจกรรมต่าง ๆ ทางานตามสายงานบัญชา วางแผน องค์การ Controlling Plan Organizing Leading Reporting Coordinating Staffing Commanding Directing Coordinating Budgeting ภาพท่ี 1.2 หน้าทข่ี องการจดั การ ที่มา (Louis A. Allen, 1958; Henri Fayol, 1964; Luther Gulick and Lyndall Urwick, 1973) จากภาพที่ 1.2 ได้อธิบายรายละเอียดหลักการจัดการ หน้าท่ีสาคัญท้ัง 4 ประการ ซ่ึงเป็น กิจกรรมของผู้บริหารที่ต้องปฏิบัติอย่างมีระเบียบแบบแผน ถึงแม้ว่าจะเป็นหน้าท่ีสาคัญที่ต้อง ดาเนนิ การของผู้บริหารแล้ว การจัดการธุรกิจท่ีจะประสบความสาเร็จบรรลุตามเป้าหมายได้น้ันยังคง ต้องอาึัยความร่วมมือจากสมาชิกในแต่ละส่วนงานธุรกิจประสานความร่วมมือกัน ทั้งน้ีผู้เขียนได้นา ทฤษฎีการจัดการของนักวิชาการในตารางที่ 1.1 มาเปรียบเทียบให้เห็นถึงความสัมพันธ์กันทั้ง POCCC, POSDCoRB และ POLC เมื่อทฤษฎีหลักการจัดการได้ถูกคิดค้นมาจากอดีตย่อมใช้ได้ผลดีกับช่วงเวลาน้ัน ๆ แต่หาก มองถงึ สถานการณใ์ นปัจจุบัน สภาพแวดล้อมท้ังภายในและภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะสง่ิ ทค่ี นจับตามองและกล่าวถึงมากท่ีสดุ คอื เทคโนโลยีดจิ ิทัล เม่ือเทคโนโลยีดิจิทัลได้เข้ามา มอี ทิ ธิพลต่อการประกอบธรุ กิจ กระบวนการจดั การจงึ ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ เทคโนโลยี ดิจิทัลส่งผลต่อกระบวนการจัดการของธุรกิจ โลกถูกขับเคล่ือนด้วยเทคโนโลยีสารสนเทึและการ ส่ือสาร (information and technology communication) ตัวอย่าง เช่น การนาบาร์โค๊ด (bar code) มาช่วยจาแนกประเภทสินค้า บริการตู้เอทีเอ็ม (ATM) จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) การค้าขายอิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce) การประชุมผ่านจอภาพ (tele-conference) เป็นต้น เทคโนโลยีจึงเป็นส่วนหน่ึงในการเปลี่ยนแปลงกระบวนการจัดการธุรกิจสู่ระบบเึรษฐกิจใหม่ เพื่อให้ ธุรกิจของตนเองอยู่รอดได้ เทคโนโลยีดิจิทัลมีอิทฺธิพลต่อเึรษฐกิจ สังคม การึึกษา การสื่อสาร โทรคมนาคม สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการธุรกิจต่างยอมปรับเปลี่ยนกระบวนการใน จัดการธุรกิจเพ่ือให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล ซ่ึงจะสังเกตได้จากการนาเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามา ชว่ ยอานวยความสะดวกในหน้าที่สาคัญของธุรกิจ ได้แก่ ด้านการบัญชี การเงิน การตลาด ทรัพยากร มนษุ ย์ การผลติ และการดาเนนิ งาน ความรทู้ วั่ ไปเกี่ยวกับการจดั การธุรกิจ
9 ดังนั้น การจัดการสมัยใหม่จึงไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจนว่ามีกระบวนการหลักการจัดการใด แต่ต้องอาึัยผู้บริหารเป็นผู้วางแผนกาหนดนโยบายท่ีสอดคล้องกับสถานการณ์ท่ีกาลังเปล่ียนแปลง ธรุ กจิ ไปจากเดมิ นอกเหนอื จากการวางแผนแล้วกระบวนการท่ีสาคัญในการจัดการประการต่อมา คือ การจัดโครงสรา้ งองค์การเพือ่ บง่ บอกถงึ อานาจหน้าท่ีและขอบเขตความรับผิดชอบของบุคคลและฝ่าย ต่าง ๆ อย่างชัดเจน ส่ิงเหล่าน้ีนามาสู่การพัฒนาโครงสร้างองค์การและการวางระบบท่ีเก่ียวกับ กระบวนการทางานทงั้ หมดของการจัดการธุรกิจในองค์การ ซ่ึงผู้เขียนได้รวบรวมรายละเอียดดังกล่าว ไว้ในหัวข้อถดั ไป การจดั โครงสร้างองค์การเพือ่ การจดั การธุรกจิ กิจกรรมท่ีจะทาให้ทราบถึงระบบที่เกี่ยวกับกระบวนการทางานท้ังหมด คือ โครงสร้าง องค์การ (organization structure) พื้นฐานสาหรับการจัดการธุรกิจนาไปสู่การจัดรูปแบบของ องค์การว่าจะให้ทางานอย่างไร ประสานงานการทางานกันอย่างไร และจะให้บุคคลท่ีเลือกเข้ามา ทางานกันอยา่ งไร การจัดการธุรกิจควรกาหนดโครงสร้างที่ชัดเจน กิจกรรมที่ต้องดาเนินการ บุคคลท่ี จะเปน็ ผู้รับผิดชอบและปฏิบัตงิ าน จัดกลุ่มงาน สายการบงั คับบญั ชา การจัดโครงสร้างองค์การจึงเป็นหลักการจัดการอย่างหน่ึงสาหรับการจัดการธุรกิจท่ีมี ความสาคัญ และมีความละเอียดรอบครอบต้องให้ความสนใจเป็นอย่างย่ิงในการจัดการโครงสร้าง อย่างพถิ ีพิถนั การจดั โครงสร้างองคก์ ารในปัจจุบันควรมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ จัดโครงสร้าง ท่ีมุ่งเน้นการทางานในเชิงบูรณาการ มีความยืดหยุ่น และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย เพื่อให้ธุรกิจ สามารถรับมือกับการเปล่ียนแปลงของปัจจัยส่ิงแวดล้อมได้เป็นอย่างดี การจัดโครงสร้างองค์การ หมายถึง กระบวนการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้าง ขอบข่ายงานในอานาจหนา้ ท่ีงานตา่ ง ๆ แสดงถึงอานาจหน้าที่ความรับผิดชอบให้เห็นได้อย่างชัดเจน ในรูปแบบของแผนภูมิองค์การ เกิดการทางานร่วมกัน ประสานงานกันจนเกิดผล สาเร็จตาม วัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถทาความเข้าใจได้ง่ายข้ึน ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างโครงสร้างการ บริหารงานของสานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทึ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี (ฐาปนา ฉ่ินไพึาล, 2559, หน้า 5-2; เนตร์พัณณา ยาวิราช, 2560, หน้า 102; อนุึักด์ิ ฉ่ินไพึาล, 2562, หน้า 17) เพ่ือให้ผู้อ่านสามารถทาความเข้าใจได้ง่ายข้ึน ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างโครงสร้างการ บริหารงานของสานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทึ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี แสดง รายละเอียดดังภาพที่ 1.3 ความรูท้ ่ัวไปเกีย่ วกับการจัดการธรุ กิจ
10 ภาพที่ 1.3 โครงสร้างการบรหิ ารงานสานักวทิ ยาบรกิ ารและเทคโนโลยีสารสนเทึ ท่มี า (สานกั วทิ ยบรกิ ารและเทคโนโลยสี ารสนเทึ มหาวิทยาลยั ราชภัฏกาญจนบรุ ,ี 2564) จากภาพที่ 1.3 อธิบายให้เห็นถึงโครงสร้างขอบข่ายงานท่ีชัดเจน นาไปสู่การกาหนดความ รับผิดชอบที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม นอกจากน้ันแล้วในโครงสร้างจะแสดงถึงสายการบังคับบัญชาท่ีบ่ง บอกถึงบทบาทหน้าที่ภายใต้การกากับดูแลหน่วยงานอีกด้วย เพื่อความชัดเจนในคาอธิบายผู้เขียนจะ ยกตวั อย่างอกี หนึ่งโครงสรา้ งทีแ่ สดงถงึ สายการบงั คับบัญชาของหนว่ ยงาน รายละเอียดแสดงดงั ภาพที่ 1.4 ภาพที่ 1.4 สายการบงั คับบญั ชา สานกั วทิ ยาบริการและเทคโนโลยีสารสนเทึ ที่มา (สานักวิทยบรกิ ารและเทคโนโลยสี ารสนเทึ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏกาญจนบุร,ี 2564) ความรทู้ ัว่ ไปเกยี่ วกบั การจดั การธุรกจิ
11 จากภาพที่ 1.4 ภาพตัวอย่างของการจัดโครงสร้างองค์การ โดยกระบวนการจัดโครงสร้าง องค์การจะช่วยให้การจัดการธุรกิจระบุขอบเขต อานาจหน้าที่ความรับผิดชอบท่ีชัดเจน ซ่ึงสามารถ แยกกระจายต้ังแต่ระดับบุคคล ระดับกลุ่ม ระดับองค์การ และระหว่างองค์การ การจัดการธุรกิจท่ีมี การกาหนดโครงสร้างองค์การท่ีชัดเจนและมีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและสามารถ ยืดหยุ่นได้ในทุกสถานการณ์ภายใต้สภาพแวดล้อมทางสังคม เึรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยีดิจิทัล น้นั จงึ ถือไดว้ ่าเปน็ ปจั จยั ที่สาคญั ประการหนงึ่ ท่สี ามารถทาใหธ้ ุรกิจประสบความสาเรจ็ ได้ ในขณะที่ ทวึี กั ดิ์ สทู กวาทนิ (2555, หนา้ 156) ได้อธิบายว่า แนวคดิ การจัดโครงสร้างองค์การใน ปัจจุบันมีการจัดโครงสร้างท่ีมุ่งเน้นให้องค์การสามารถทางานในเชิงบูรณาการ มีความยืดหยุ่นและ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามปัจจัยสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างโครงสร้างเชิงบูรณาการท่ีมี ความยืดหยุ่นในการทางาน เช่น โครงสร้างองค์การแบบทีมงาน แบบเมตริกซ์ เครือข่ายองค์การใหญ่ องคก์ ารแหง่ การเรียนรู้ และองค์การปลอดอาณาจกั ร เปน็ ต้น ผู้เขียนจะอธิบายถึงการจัดโครงสร้างองค์การแบบท่ัวไปโดยมีหลักการพื้นฐานท่ีเหมือนกัน เปน็ โครงสรา้ งตามทฤษฎีการจัดการ ซึ่งประกอบดว้ ย โครงสร้างองคก์ ารตามหนา้ ที่ โครงสร้างองค์การ ตามสายงาน โครงสรา้ งองค์การแบบคณะทีป่ รึกษา โครงสรา้ งองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร และ โครงสรา้ งองค์การงานอนุกร โดยแตล่ ะโครงสร้างมรี ายละเอียดดงั นี้ 1. โครงสรา้ งองค์การตามหน้าท่ีการงาน (functional organization structure) โครงสร้าง ในลักษณะนี้จะเปน็ การแบ่งตามหนา้ ท่กี ารทางาน สังเกตได้จากการแบ่งเป็นฝ่ายหรือแผนก เพ่ือแสดง ใหเ้ หน็ ว่าในแต่ละแผนกนน้ั มหี น้าทอี่ ะไรบ้าง โดยมีตัวอยา่ งโครงสร้างแสดงดงั ภาพท่ี 1.5 ประธานบรษิ ทั รองประธาน รองประธาน รองประธาน รองประธาน รองประธาน แผนกบัญชกี ารเงิน แผนกการตลาด แผนกคลังสินคา้ แผนกการผลิต แผนกทรพั ยากรมนุษย์ ภาพที่ 1.5 โครงสรา้ งองคก์ ารตามหนา้ ที่การงาน ที่มา (ฐาปนา ฉ่ินไพึาล, 2559, หนา้ 6-8) 2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (line organization structure) โครงสร้างใน ลักษณะน้ีมีสายการบงั คบั บญั ชา โดยมหี วั หนา้ ที่ดแู ลฝ่ายหรือแผนกดูแลสายงานหลัก ๆ ซ่ึงการทางาน มีกระบวนการที่เป็นข้ันตอนตามสายการบังคับบัญชาโดยมีการสั่งการหรืออานวยการงาน จากบนลง ล่างไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสาหรับองค์การต่าง ๆ ที่ ตอ้ งการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ โดยจะพบเห็นโครงสร้างในลักษณะเช่นน้ีในองค์การหลายแห่ง เนื่องจากสามารถเพมิ่ เติมสายงานทเี่ กิดขึน้ ไดง้ ่ายในภายหลงั ตวั อยา่ งโครงสรา้ งแสดงดงั ภาพที่ 1.6 ความรทู้ ั่วไปเกยี่ วกบั การจดั การธุรกจิ
12 ผูจ้ ดั การใหญ่ ผจู้ ดั การฝ่าย ผจู้ ัดการฝ่าย ผจู้ ดั การฝ่าย ทรัพยากรมนุษย์ การตลาด บญั ชกี ารเงิน แผนกรับสมคั ร แผนก แผนกจาหน่าย แผนกวจิ ยั และ แผนกบญั ชี แผนกการเงนิ งาน ประเมินผลงาน สินคา้ พฒั นาผลิตภัณฑ์ ภาพที่ 1.6 โครงสรา้ งองค์การตามสายงานหลัก ที่มา (ฐาปนา ฉิ่นไพึาล, 2559, หนา้ 6-9) 3. โครงสร้างองค์การแบบคณะท่ีปรึกษา (staff organization structure) โครงสร้างใน ลักษณะนี้จะมีคณะที่ปรึกษามาให้คาปรึกษาในการบริหารงาน บางครั้งผู้บริหารเองอาจยังไม่มีความ ชานาญมากพอในการบรหิ ารงานเพื่อตดั สินใจกับปัญหาทีเ่ กิดขึ้น จึงต้องอาึัยคณะท่ีปรึกษามาช่วยใน การพจิ ารณาตดั สนิ ใจ เพราะว่าคณะท่ีปรึกษาจะเป็นกลุ่มโครงสร้างท่ีมีผู้มีความรู้ ความชานาญเฉพาะด้าน ซ่ึงต้องอาึัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนา อย่างไรก็ตาม คณะที่ปรึกษาจะไม่มีอานาจในการส่ัง การใด ๆ นอกจากคอยป้อนขอ้ มูลใหผ้ ้บู ริหารเปน็ ผ้ชู ข้ี าดอกี ชัน้ หนึ่งเท่าน้นั ตัวอยา่ งโครงสร้างแสดงดัง ภาพที่ 1.7 คณะทปี่ รกึ ษาของบริษัท ประธานบริษทั รองประธาน รองประธาน รองประธาน รองประธาน รองประธาน แผนกบัญชีการเงนิ แผนกการตลาด แผนกคลงั สนิ คา้ แผนกการผลติ แผนกทรพั ยากรมนุษย์ ภาพท่ี 1.7 โครงสรา้ งองค์การแบบคณะทปี่ รึกษา ที่มา (ฐาปนา ฉิ่นไพึาล, 2559, หน้า 5-9) ความร้ทู ั่วไปเก่ียวกับการจดั การธรุ กิจ
13 4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (committees organization structure) เป็นการจัดโครงสร้างโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ ซึ่งโครงสร้างในลักษณะนี้จะ ช่วยลดความขัดแย้งระหว่างคนในองค์การได้ เน่ืองจากการบริหารงานการตัดสินใจเกิดจาการ บริหารงานร่วมกนั ในหลายคนไม่ใชค่ นใดคนหนึง่ เท่าน้นั ตัวอยา่ งโครงสรา้ งแสดงดงั ภาพที่ 1.8 ภาพที่ 1.8 โครงสร้างองคก์ ารแบบคณะกรรมการบริหารของ CP ALL ที่มา (ซีพีออลล์, 2558) 5. โครงสร้างองค์การงานอนุกร (auxiliary) เป็นหน่วยงานช่วยหรือหน่วยงานแม่บ้าน (house-keeping agency) ฟังดูแล้วจะเป็นงานท่ีเก่ียวกับการทางานท่ีหลากหลายท่ีคอยสนับสนุน ช่วยเหลืองานธุรการ งานเลขานุการ งานตรวจสอบภายใน เปน็ หนว่ ยงานเสริมท่ีช่วยบริการหน่วยงาน หลกั ๆ ตวั อย่างโครงสร้างแสดงดังภาพที่ 1.9 ผจู้ ดั การใหญ่ ฝ่ายตรวจสอบภายใน เลขานกุ าร ผจู้ ดั การฝา่ ยผลติ ผู้จัดการฝา่ ยการตลาด ผู้จดั การฝ่ายการบญั ชี ผจู้ ัดการฝ่ายทรพั ยากร การเงิน มนุษย์ ภาพที่ 1.9 โครงสรา้ งองคก์ ารงานอนุกร ทม่ี า (เนตร์พณั ณา ยาวริ าช, 2560, หนา้ 114) นอกจากการจัดโครงสร้างองค์การดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีโครงสร้างในลักษณะอื่น ๆ อีก เช่น การจัดโครงสร้างตามผลิตภัณฑ์ การจัดโครงสร้างตามพื้นท่ีภูมิึาสตร์ การจัดโครงสร้างตามกลุ่ม ลูกค้า การจัดโครงสร้างตามกระบวนการ การจัดโครงสร้างองค์การแบบผสม และการจัดโครงสร้าง ความรทู้ ่วั ไปเกย่ี วกับการจัดการธรุ กจิ
14 แบบแมทริกซ์ เป็นตน้ ซง่ึ ในแต่ละแบบของการจัดโครงสร้างมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน สาหรับการ พิจารณาว่าธุรกิจของตนจะจัดโครงสร้างองค์การตามแนวทางใด ต้องพิจารณาจากขนาด ประเภท และสภาพแวดลอ้ มตา่ ง ๆ ท้งั ภายในและภายนอกองคก์ าร สิ่งหนึ่งท่ีเป็นปัจจัยประกอบในการพิจารณาแนวทางการจัดโครงสร้างองค์การ คือ สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ซึ่งหากพิจารณาแล้วจะพบว่าปัจจัยหน่ึงที่มีอิทธิพลต่อการเปล่ียนแปลง รูปแบบโครงสร้างองค์การไป คือ เทคโนโลยีดิจิทัล สาหรับโครงสร้างองค์การท่ีสาคัญในการจัดการ ธรุ กจิ ในยคุ เทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอิทธิพลต่อการจัดการ จึงมีความจาเป็นต้องมีโครงสร้างองค์การที่เป็น ฝา่ ยคอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลยีสารสนเทึ เม่ือธุรกิจได้มีการนาเอาเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาอานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ กระบวนการจัดการธุรกิจจะเปลี่ยนแปลงไปเข้าไปใช้งานสู่ระบบงานอัตโนมัติ ซึ่งบางแห่งมีการ เปล่ียนแปลงอย่างเต็มรูปแบบสู่การเป็นสานักงานอัตโนมัติ จากการเปล่ียนแปลงน้ีนาไปสู่การเปล่ียน ทางด้านโครงสรา้ งองค์การ การปฏิบัติงาน โดยหน้าที่สาคัญสาหรับผู้บริหารองค์การย่อมเป็นบุคคลที่ มีบทบาทสาคัญในการจัดหาฮาร์ดแวร์ (hardware) และซอฟต์แวร์ (software) เข้ามาใช้งาน โดย แนวทางการพัฒนาหน่วยงานสารสนเทึในโครงสร้างองค์การ พบว่า ธุรกิจท่ัวไปไม่ว่าจะเป็นกิจการ โรงงาน หน่วยงานรฐั บาล เอกชน จะมีการใช้เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ในการประมวลผลสารสนเทึ จึง ทาให้โครงสร้างองคก์ ารท่จี าเปน็ และควรมี คือ ฝา่ ยคอมพวิ เตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทึ ฝ่ายคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทึถือว่าเป็นหน่วยที่สาคัญหน่วยหน่ึงในโครงสร้าง องค์การ ต่อให้ธุรกิจของเราจะมีการจัดการโครงสร้างองค์การในลักษณะใดก็ตามบุคลากรที่สาคัญใน ยุคเทคโนโลยีดิจิทัล คือ บุคคลท่ีมีความรู้ ความเช่ียวชาญ ประสบการณ์ ทักษะในด้านเทคโนโลยี ดิจิทัล บุคคลเหล่านี้จะถูกจัดอยู่ในโครงสร้างองค์การและเป็นผู้ท่ีมีความสาคัญต่อการพัฒนาระบบ สารสนเทึ จะสังเกตได้จากการมีแผนกหรือฝ่ายงานสารสนเทึเกิดขึ้น โครงสร้างหน่วยงานน้ีมีช่ือ เรียกแตกต่างกัน เช่น แผนกสารสนเทึ ึูนย์ระบบสารสนเทึเพื่อการจัดการ ึูนย์ประมวลผล สารสนเทึ ึูนย์เทคโนโลยีสารสนเทึ เป็นต้น โดยกลุ่มงานข้างต้นจะทาหน้าที่ในการวาง แผนการนาเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยวางแผนควบคุม การปฏิบัติงาน ประมวลผล แม้แต่การ บารุงรักษาอุปกรณ์และโปรแกรม คิดค้นโปรแกรมใหม่ ๆ นามาประยุกต์กับงานที่เก่ียวข้องในธุรกิจ บุคลากรท่ีเป็นที่ต้องการของผู้ประกอบการธุรกิจในยุคนี้ เช่น โปรแกรมเมอร์ ผู้ดูแลควบคุมระบบ นักวิเคราะหร์ ะบบ นกั ออกแบบระบบงาน นกั บรหิ ารฐานข้อมูล เป็นต้น ซ่ึงกลุ่มบุคคลดังกล่าวจะเป็น ผู้ท่ีมีความเช่ียวชาญเฉพาะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ประกอบกับเมื่อต้องทางานกับผู้บริหารในสายงาน ด้านธุรกิจ เช่น ผู้บริหารแผนกสารสนเทึ ผู้จัดการแผนกสารสนเทึ ประธานฝ่ายสารสนเทึ เป็นต้น อาจจะพบปัญหาดา้ นความแตกตา่ งในดา้ นความคดิ เพราะว่าพื้นฐานประสบการณ์กับระบบเทคโนโลยี ดจิ ิทลั แตกต่างกนั การจัดโครงสร้างองค์การให้มีฝ่ายคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทึจะช่วยให้นาระบบ สารสนเทึเข้าสู่กระบวนการวางแผนกลยุทธ์ขององค์การ บุคลากรสามารถกาหนดบทบาทในการ ควบคุมการบริหารและกาหนดนโยบายได้ง่าย การจัดการโครงสร้างองค์การหรือการจัดการองค์การ จะตอ้ งคานึงถึงสายการบงั คบั บัญชาท่ไี มม่ ีความซบั ซอ้ นเกินไปหรอื ยาวจนเกนิ ไป สายการบังคับบัญชา จะเปน็ เสน้ ทางของการรับคาสั่งการในการปฏิบัติงานซ่ึงมีความเชื่อมโยงไปยังการสั่งการของผู้บริหาร ความรู้ท่วั ไปเกย่ี วกับการจัดการธุรกจิ
15 โครงสร้างองค์การที่มีประสิทธิภาพต้องมีสายการบังคับบัญชาที่สามารถสร้างแรงจูงใจให้ ผใู้ ตบ้ งั คับบญั ชาอยากปฏิบตั ติ าม การส่ังการจึงเป็นกระบวนการท่ีใช้สื่อสารระหว่างผู้บังคับบัญชากับ ผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยา ภาวะผู้นา ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ สื่อสาร อย่างไรให้เกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ซึ่งการสื่อสารท่ีมีประสิทธิภาพจะช่วยส่งผลให้ผู้ปฏิบัติตาม อยากทางานให้องค์การ เพราะการขับเคล่ือนธุรกิจต้องมาจากนักปฏิบัติการท่ีหลากหลายฝ่ายหรือแผนก มใิ ชเ่ ปน็ หน้าท่ีของผบู้ รหิ ารเพียงผเู้ ดยี ว การสั่งการจึงเป็นเร่ืองสาคัญในกระบวนการจัดการธุรกิจ การสงั่ การของผนู้ าเพื่อการสรา้ งแรงจูงใจ การส่ังการ (commanding) เป็นหน้าท่ีหน่ึงในหลักการจัดการ เป็นกระบวนการท่ีมีการ ติดต่อส่ือสารระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อแสดงให้ทราบว่าใครทาอะไร ที่ไหน อย่างไร และทาเม่อื ใด อนึุ กั ดิ์ ฉนิ่ ไพึาล (2558, หน้า 33) ไดอ้ ธบิ ายวา่ การสั่งการ หมายถึง การจัดการซึ่งกระตุ้น วิธกี ารทางานขององค์การใหเ้ กดิ ประสทิ ธิภาพเพอ่ื ใหบ้ รรลุผลสาเร็จของเป้าหมายองค์การ การสั่งการ หรือการอานวยการประกอบด้วยการควบคุมดูแล การสร้างแรงจูงใจ การเป็นผู้นา และการส่ือสาร ในขณะที่ กิจจา บานช่ืน และกณิกนันต์ บานชื่น (2559, หน้า 243) อธิบายว่า การส่ังการ หมายถึง การ ใช้ทักษะในการบริหารตลอดจนความสามารถของผู้บริหารในการติดต่อส่ือประสานงาน ส่ังการ และ กระตุ้นให้พนักงานปฏิบัติงานตามหน้าท่ีความรับผิดชอบของตนเอง เพื่อให้งานนั้นบรรลุเป้าหมาย อย่างมีประสิทธิภาพ จากการอธิบายพบว่า การสั่งการมีความเก่ียวข้องกับการส่ือสาร แรงจูงใจ การ ประสานงาน เพื่อนาไปสู่ความสาเร็จตามเป้าหมายสามารถท่ีจะเพ่ิมผลผลิตให้กับธุรกิจได้ ซ่ึงมีความ สอดคล้องกบั เนตร์พัณณา ยาวิราช (2560, หน้า 3) ที่นิยามไว้ว่า การสั่งการ หมายถึง กระบวนการที่ เก่ียวข้องกับการจูงใจ ภาวะผู้นา และการส่ือสารระหว่างบุคคลในองค์การเพ่ือช่วยให้องค์การบรรลุ วัตถุประสงค์ตามต้องการ วัตถุประสงค์ของการสั่งการเป็นการเพ่ิมผลผลิตขององค์การโดยผ่าน แนวคดิ ทางดา้ นการให้ความสาคญั กับคนมากกวา่ การให้ความสาคญั กบั งาน จากความหมายของนักวิชาการ ผู้เขียนจึงสรุปได้ว่า การสั่งการ หมายถึง กระบวนการท่ีใช้ ทักษะการบริหารในการติดต่อส่ือประสานงาน สั่งการ และกระตุ้นผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทราบในสิ่งที่ ต้องกระทา ซึ่งอาจใช้การสั่งการควบคู่กับการสร้างแรงจูงใจ การเป็นผู้นา และก ารสื่อ สารประกอบ เพ่ือให้องค์การบรรลวุ ตั ถุประสงค์ตามต้องการ การสั่งการ มีความเก่ียวข้องกับการสร้างแรงจูงใจ การเป็นผู้นา การนา และการสื่อสาร ซึ่งเป็นเร่ืองท่ีเก่ียวข้องกับผู้บริหารในการส่ังการอานวยการงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตาม ผู้บริหารต้องมีท้ังการสร้างแรงจูงใจ ภาวะผู้นา และเทคนิคการส่ือสารกับผู้ใต้บังคับบัญชา ดังน้ัน การสั่งการจึงมีเทคนิคท่ีสาคัญ 3 ประการ ได้แก่ การสร้างแรงจูงใจ การมีภาวะผู้นา และเทคนิคใน การส่ือสาร ซ่งึ มรี ายละเอยี ดที่สาคัญดังนี้ ความรู้ท่ัวไปเกยี่ วกบั การจัดการธุรกิจ
16 ประการที่ 1 เทคนิคการสรา้ งแรงจงู ใจ การสร้างแรงจูงใจเป็นการกระตุ้น ช้ีนา ให้บุคลากรปฏิบัติงานจนบรรลุเป้าหมาย ผู้บริหารจึงมี หน้าท่ีในการทาให้พนักงานมีความพยายามท่ีจะปฏิบัติงานให้องค์การเพ่ือประโยชน์ส่วนรวม ซ่ึงจะเห็นได้ ชัดในการสร้างแรงจูงใจด้วยรางวัลผลตอบแทน การมอบช่อดอกไม้แสดงความยินดี การเล่ือนขั้นเงินเดือน การประกาึเกียรตคิ ุณ (วริ ชั สงวนวงึว์ าน, 2550, หน้า 209) การสร้างแรงจงู ใจในการทางานมีวิธีการทหี่ ลากหลาย สาหรับในส่วนนี้ผู้เขียนจะเสนอวิธีการพัฒนา แรงจูงใจใหบ้ ุคลากรปฏิบตั งิ านตามคาสง่ั การ สง่ิ สาคญั ท่เี ปน็ กลไก คอื การปรับเปล่ียนทึั นคติ ความคิด และ ความเช่ือในการทางานของบคุ ลากรให้อยใู่ นแนวทางที่ควรจะเป็น ซงึ่ สามารถสรุปวิธีการไดด้ ังน้ี 1. ผบู้ ริหารตอ้ งเสริมสร้างพลังบวก เปดิ ใจ เอาใจเขามาใส่ใจเรา อย่าวางอานาจมากเกินไป 2. หมั่นสร้างแรงจงู ใจให้เกิดการพัฒนาฝมี ือใหม้ ีความชานาญในงานอย่างสม่าเสมอ 3. ผู้บรหิ ารตอ้ งชีน้ าวธิ ีการแก้ไขปัญหาท่ีกาลงั เผชิญอยูใ่ ห้สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ 4. สรา้ งความมน่ั ใจให้กับพนักงานให้เห็นถึงความสาคัญของงานที่เขาได้รับมอบหมายว่าเป็นงาน ท่มี ีความสาคัญกับองค์การ เพอื่ กระตุ้นความกระตือรือร้น 5. กระตนุ้ การใชเ้ หตผุ ลมากกว่าการใช้อารมณ์ในการปฏบิ ัตงิ าน 6. ผู้บรหิ ารตอ้ งเป็นตวั อย่างทีด่ ีในการเปน็ ผู้เสยี สละเพื่อส่วนรวม 7. กาหนดเป้าหมายการทางานอย่างชัดเจนเป็นระบบขั้นตอน แม้กระทั่งเร่ืองการประเมินผลงาน การเลือ่ นข้นั เงนิ เดือนและผลตอบแทน 8. ส่งเสริมการทางานรว่ มกนั เปน็ ทมี สร้างความร่วมแรงร่วมใจกนั กับผบู้ รหิ ารทกุ ระดับ โดยรายละเอียดข้างต้นมีความสอดคล้องกับทฤษฎีสองปัจจัย (Herzberg, 1959) ได้แก่ ปัจจัย กระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจ (motivation factor) และปัจจัยสุขอนามัย (hygiene factor) และทฤษฎีการจูงใจ (ERG Theory) เป็นทฤษฎีลาดับความต้องการ ได้แก่ ความต้องการมีชีวิตอยู่ (existence needs) ความ ต้องการมีสัมพันธภาพ (relatedness needs) และความต้องการความก้าวหน้า (growth needs) (Alderfer, Clayton,1976) นอกจากนี้แล้วการสร้างแรงจูงใจในการทางานนั้น มีทฤษฎีที่สามารถนามาปรับใช้ได้ คือ ทฤษฎี ความต้องการพ้ืนฐานของมนุษย์ผู้บริหารต้องทาความเข้าใจในความต้องการ 5 ขั้น ซ่ึง อับราฮัม มาสโลว์ (Maslow, Abraham H., 1970, p. 170) ได้กล่าวไว้ว่า มนุษย์มีความต้องการพื้นฐาน 5 ข้ัน สิ่งเหล่าน้ีเป็น พื้นฐานในการสร้างแรงจูงใจ โดยประกอบด้วย ความต้องการทางร่างกาย (physiological needs) ความ ต้องการความปลอดภัยและความม่ันคง (security or safety needs) ความต้องการความผูกพันหรือได้รับ การยอมรับ (affiliation or acceptance needs) ความต้องการการยกย่องนับถือ (esteem needs) และความต้องการความสาเร็จในชีวิต (self-actualization) เพื่อให้เห็นถึงการนาไปปฏิบัติ ผู้เขียนจะขอ ยกตวั อยา่ ง ดงั นี้ 1. ความต้องการทางร่างกาย พื้นฐานของมนุษย์ทุกคนล้วนขาดปัจจัยพื้นฐานท่ีเรียกว่า ปัจจัย 4 ไม่ได้ ซึ่งประกอบด้วย อาหาร เครื่องนุ่มห่ม ท่ีอยู่อาึัย ยารักษาโรค และนอกจากปัจจัย 4 แล้วยังประกอบดว้ ยปัจจัยอน่ื ๆ เช่น ความสะดวกสบาย อากาึ และการพักผ่อน เป็นต้น ซ่ึงมีความ สอดคล้องกับความต้องการมีชีวิตอยู่ของทฤษฎีการจูงใจ และยังสอดคล้องกับปัจจัยสุขอนามัยของ ทฤษฎีสองปัจจัย ความรทู้ ว่ั ไปเกี่ยวกบั การจัดการธรุ กิจ
17 2. ความต้องการความปลอดภัยและความม่ันคง ความปลอดภัยและความม่ันคงย่อมไม่มีใคร ปฏเิ สธความต้องการขั้นนี้ เป็นความต้องการท่ีเกิดจากการป้องกันจากอุปสรรคท่ีจะส่งผลให้ออกจาก งาน ดังนั้น มนุษย์จึงแสวงหาวิธีการเพ่ือสร้างความปลอดภัยในตนเองและทรัพย์สินตลอดจนความ ม่นั คงในชวี ติ และการทางาน ซ่งึ สอดคล้องกบั ปจั จัยสขุ อนามัยของทฤษฎีสองปัจจยั 3. ความต้องการความผูกพันหรือได้รับการยอมรับ ความต้องการขั้นน้ีเป็นจิตวิทยาตาม ธรรมชาติของมนุษย์ที่อยากจะเป็นส่วนหน่ึงในสังคม อยากมีเพื่อน ความรัก ความเป็นเจ้าของ เป็นส่วน หน่ึงของกลุ่มคณะ และได้รับความชื่นชมจากผู้อ่ืน ซ่ึงสอดคล้องกับความต้องการมีสัมพันธภาพของ ทฤษฎกี ารจูงใจ และยงั สอดคล้องกบั ปัจจัยสขุ อนามยั ของทฤษฎีสองปัจจัย 4. ความต้องการการยกย่องและนับถือ มนุษย์ต้องการได้รับการยกย่องและนับถือจาก สังคมรอบด้านจนรู้สึกได้ว่ามีความภาคภูมิใจในตนเอง ความต้องการเหล่านี้ ได้แก่ ความต้องการ ความเคารพนับถือ ความต้องการมีความรู้ความสามารถ ต้องการความเป็นอิสระ และความต้องการ ไดร้ บั เกียรตจิ ากผ้อู นื่ เป็นต้น ซ่ึงสอดคล้องกับความต้องการความก้าวหน้าของทฤษฎีการจูงใจ และยัง สอดคลอ้ งกบั ปัจจัยกระตนุ้ ให้เกิดแรงจูงใจของทฤษฎสี องปัจจยั 5. ความต้องการความสาเร็จในชีวิต ทุกคนย่อมปรารถนาในความสาเร็จขั้นสูงสุดในชีวิต ความต้องการเหล่าน้ี ได้แก่ ความต้องการที่จะกระทาทุกส่ิงทุกอย่างได้สาเร็จ ทาทุกอย่างเพื่อ ตอบสนองความต้องการของตนเอง เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการความก้าวหน้าของทฤษฎี การจงู ใจ และยังสอดคลอ้ งกับปัจจัยกระตนุ้ ใหเ้ กิดแรงจูงใจของทฤษฎสี องปัจจยั จากความต้องการพ้ืนฐาน 5 ขั้นของมนุษย์ แสดงให้เห็นว่า ความต้องการของมนุษย์เป็น จุดเริ่มต้นของการสร้างแรงจูงใจในการทางาน มนุษย์ต้องการให้ตนเองได้รับความสะดวกสบายไม่ว่า จะทางใจหรือทางกาย มนุษย์จะหาวิธีการท่ีทาให้ตนเองได้รับสิ่งที่ต้องการมาเพื่อบาบัดความต้องการ ซง่ึ ความตอ้ งการของมนษุ ยจ์ ะไมม่ ีวันสิน้ สุด ผู้บรหิ ารจึงต้องมหี ลักการในการสร้างแรงจูงใจให้พนักงาน ทางานให้องค์การจนบรรลุเป้าหมาย โดยอาึัยหลักการทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ 5 ข้ัน เป็นพ้ืนฐาน ในการสร้างแรงจูงใจให้ทางาน ลาดับข้ันความต้องการพื้นฐานของมาสโลว์ แสดงดังภาพท่ี 1.10 ความตอ้ งการความสาเรจ็ ในชีวิต ความตอ้ งการความก้าวหน้า ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจ ความต้องการการยกยอ่ งและนบั ถอื การมีสัมพันธภาพ ปจั จัยสุขอนามัย ความตอ้ งการความผูกพนั หรือได้รับการยอมรับ ปัจจัยสุขอนามัย ความต้องการความปลอดภัยและมน่ั คง ความต้องการมีชีวิตอยู่ ปจั จยั สุขอนามยั ความตอ้ งการทางร่างกาย ภาพท่ี 1.10 ลาดบั ขน้ั ความต้องการพน้ื ฐานของมาสโลว์ ที่มา (Maslow, Abraham H., 1970; Herzberg, F. , 1959; Alderfer, Clayton P., 1976) ความรู้ท่ัวไปเกยี่ วกับการจดั การธรุ กิจ
18 สาหรบั การสร้างแรงจงู ใจอาจจะต้องใช้เวลาในการพัฒนาค่อยเป็นค่อยไป ต้องอาึัยความร่วมมือ จากทุกฝ่าย ในทางกลับกันหากองค์การได้พยายามแล้ว แต่ยังไม่ได้รับความร่วมมือจากพนักงาน ก็ย่อมไม่ เกดิ ผลอันใดและสุดท้ายแลว้ เขาก็จะหลดุ จากวงจรการทางานไปเอง ประการท่ี 2 เทคนิคการสรา้ งภาวะผนู้ า ผบู้ รหิ ารทม่ี ีภาวะผู้นาเมื่อสั่งการไปแล้วจะมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติตามของผู้ใต้บังคับบัญชา หรือ เรียกว่า มีอานาจส่ังการให้คนทาตามด้วยความเต็มใจ ภาวะผู้นาจะหมายถึงการช้ีนาทิึทาง ชักชวน สอนงานแม้กระทั่งให้คาแนะนาตลอดเป็นที่ปรึกษาได้ การส่ังการด้วยภาวะผู้นาอาจจะสาเร็จหรือไม่ก็ได้ เน่ืองจากมีผู้องค์ประกอบในหลายปัจจัย เช่น ตัวผู้นาเอง ตัวผู้ปฏิบัติตาม และสภาพแวดล้อมหรือ สถานการณ์ในปัจจุบัน (ฐาปนา ฉิ่นไพึาล, 2559, หน้า 9) สาหรับเทคนิคท่ีจะแนะนาเป็นกลยุทธ์ท่ีช่วย ทาใหผ้ ใู้ ต้บังคับบัญชาชืน่ ชอบและยนิ ดีปฏิบัตติ ามคาสง่ั การ มีดงั นี้ 1. แยกให้ออกระหว่างการใชใ้ จกับการใชอ้ านาจ 2. สงั่ การด้วยคาพูดทีส่ ภุ าพให้เกียรติกันและกัน 3. รจู้ กั พดู คาวา่ ขอโทษเมื่อร้วู ่าทาผิด 4. ใชค้ นให้เหมาะสมกบั งานตามความเชี่ยวชาญ 5. หมน่ั สร้างบรรยากาึทดี่ ีในการทางานร่วมกัน 6. สร้างแรงบนั ดาลใจใหก้ ับผใู้ ตบ้ ังคับบัญชา 7. มีความเปน็ กันเองระหว่างกัน ฝึกยมิ้ หวั เราะ มีสัมมาคาราวะ 8. ผูน้ าตอ้ งเป็นตัวอย่างในการพัฒนาตนเองอย่างสม่าเสมอ อย่างไรก็ตาม เทคนิคทั้ง 9 ประการ ต้องมีปัจจัยร่วมกัน 3 ปัจจัยหลัก คือ ผู้นา (leader) ผู้ ตาม (followers) และสถานการณ์ (situation) โดยแสดงดังภาพท่ี 1.11 Leadership followers ภาพท่ี 1.11 องค์ประกอบของภาวะผูน้ า ทีม่ า (Hersey & Blanchard, 1993, p. 94) ความรทู้ ่วั ไปเก่ยี วกบั การจดั การธรุ กิจ
19 จากภาพท่ี 1.11 อธิบายได้ว่า ผู้นา คือ ผู้ที่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติตามของผู้ตาม ซ่ึงวิธีการ สรา้ งอทิ ธพิ ลมีหลากหลายรปู แบบ มที ้งั การสร้างอทิ ธพิ ลเชงิ บวกทีเ่ รียกว่า โน้มน้าวจิตใจ และเชิงลบที่ ออกไปทางบังคับจิตใจ ซ่งึ หากมองในระยะยาวการสร้างอิทธิพลในเชิงลบจะส่งผลเสียต่อผู้ตาม โดยผู้ ตามอาจตกอยู่ในความกลัวและกดดันในขณะทางานนาไปสู่ความไม่พึงพอใจจนต้องออกจากงานได้ ดงั นน้ั ผู้นาต้องสรา้ งแรงจงู ใจให้ผตู้ ามในอทิ ธิพลเชิงบวก เสรมิ สรา้ งบรรยากาึแหง่ การสร้างสรรค์การ มีความคิดริเร่ิมส่ิงแปลกใหม่ แสวงหาวิธีการทางานที่ดีท่ีสุด สร้างความเชื่อถือไว้ใจซึ่งกันและกัน ระหว่างผู้นากับผู้ตามภายใต้เหตุการณ์และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึน สถานการณ์และ สภาพแวดล้อมจะเป็นปัจจัยสาคัญอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะผู้นา ผู้อ่านคงเคยได้ยินคากล่าวท่ีมา “สถานการณส์ รา้ งวีรบุรษุ ” ตัวอยา่ งเช่น การทาึึกสงครามเม่ือข้าึึกยกทัพมาจานวนมาก ทหารจะมี ความหวาดกลัวเกดิ ข้นึ แมท่ พั จงึ ตอ้ งแสดงความเขม้ แข็งปลุกขวัญกาลังใจให้ฮึกเหิม หากจะเปรียบแม่ ทพั คอื ผ้นู า เหล่าทหาร คือ ผู้ตาม และึึกสงคราม คือ สถานการณ์ เพราะถ้าไม่มีสถานการณ์พิเึษ ต่อให้ผู้นาแบ่งปันหรือเสียสละ ก็ไม่ได้มีค่ามากมายอะไรในความรู้สึกของผู้ตาม เพราะในสถานการณ์ปกติ ผูค้ นมกั จะไมค่ อ่ ยใหค้ ุณคา่ อะไรมากเปน็ พเิ ึษกบั การกระทาเช่นน้นั ในอีกมุมมองหนึ่งหากผู้นาดีแต่ผู้ตามไม่ดีย่อมส่งผลต่อการปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย ผู้ตามท่ีดีจะปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ ผู้ตามเป็นส่วนหนึ่งที่ทาให้กระบวนการภาวะผู้นาถูกพัฒนา เพราะผตู้ ามมีความแตกต่างกันไปมีท้ังแบบท่ีปฏิบัติตาม แบบหัวด้ือ หัวอ่อน เฉื่อยชา แบบเก่ง แต่ถ้า จะแบ่งตามหลักวิชาการแล้ว ชัยเสฏฐ์ พรหมึรี (2561, หน้า 57) ได้แบ่งไว้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่อยู่ใต้ ผู้บังคับบัญชา และอีกกลุ่ม คือ ผู้ตามท่ีไม่อยู่ใต้การบังคับบัญชา ความแตกต่างของท้ังสองกลุ่ม สามารถเปรียบเทียบกลุ่มผูต้ ามใน 2 ลักษณะ เพื่อใหผ้ ู้อา่ นเขา้ ใจงา่ ยขน้ึ แสดงดังตารางท่ี 1.2 ตารางท่ี 1.2 การเปรยี บเทียบกลุ่มผูต้ ามใน 2 ลักษณะ ผตู้ ามท่อี ยใู่ ต้ผ้บู ังคบั บญั ชา ผู้ตามทไ่ี มอ่ ยใู่ ตก้ ารบงั คับบัญชา 1. คดิ เฉพาะสง่ิ ที่บอกให้ทา 1. มีความระมัดระวังผลกระทบของตนและพฤติกรรม 2. องคก์ ารไมไ่ ด้รบั การสง่ เสริมพฒั นา ของบุคคลอ่นื ที่มตี อ่ การบรรลเุ ปา้ หมายขององค์การ 3. การยอมรบั ความคดิ ของหวั หน้าโดยไม่นาไปคิดต่อ 2. มกี ารชัง่ น้าหนักถงึ ผลกระทบท่ีเกิดจากการตัดสินใจ ยอดแตอ่ ยา่ งใด ของตนเองและหวั หนา้ งาน 4. ไมค่ ิดวิพากษว์ จิ ารณ์ใด ๆ ท่ีกอ่ ให้เกิดประโยชนใ์ ด 3. คิดวิพากษ์และวิจารณ์แบบสร้างสรรค์ที่เป็น ประโยชน์ต่อองค์การ ทม่ี า (ชัยเสฏฐ์ พรหมึรี, 2561, หน้า 57) จากตารางที่ 1.2 การเปรียบเทียบความแตกต่างของท้ังผู้ตามสองกลุ่มกับลักษณะแต่ละแบบ ของผู้ตาม เพ่ือแสดงความเช่ือมโยงกับกลุ่มคนสองกลุ่มในแต่ละแบบว่ามีลักษณะที่เด่นชัดอย่างไรใน แต่ละลักษณะ ซ่งึ สามารถสรุปลกั ษณะที่เด่นชดั ในแต่ละลกั ษณะ แสดงดงั ภาพที่ 1.10 ความรูท้ ว่ั ไปเกย่ี วกบั การจดั การธุรกิจ
20 การอยใู่ ตบ้ ังคับบญั ชา/ไม่คดิ เชงิ วพิ ากษ์ ผูป้ ฏิบตั ติ าม เฉื่อยชา กระตอื รือร้น เน้นการปฏบิ ตั จิ ากความ เฉอ่ื ยชา เป็นจรงิ แปลกแยก มีประสิทธิภาพ การไมอ่ ยู่ใตบ้ งั คบั บญั ชา/คดิ เชงิ วิพากษ์ ภาพท่ี 1.12 การเปรียบเทยี บกลุม่ ผู้ตามในสองลกั ษณะ ทม่ี า (ชยั เสฏฐ์ พรหมึรี, 2561, หน้า 56) จากภาพที่ 1.12 สรุปได้ว่า ลักษณะของผู้ตามที่อยู่ใต้บังคับบัญชาจะเป็นผู้ตามในลักษณะไม่ คิดวิพากษ์วิจารณ์ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์การ ผู้ตามในลักษณะเช่นนี้จะมีความกระตือรือร้นใน การปฏิบัติตามคาสั่งของผู้นาแต่ในขณะเดียวกันผู้ตามเช่นนี้จะมีลักษณะที่เฉ่ือยชา เพราะไม่ได้ใช้ ความคิดใด ๆ ในการปฏิบัติตามนอกจากทาตามเท่านัน้ ผู้ตามอีกกลุ่มหนึ่งไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาจะมีลักษณะคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะ สร้างสรรค์ที่เปน็ ประโยชนข์ ององค์การโดยจะเป็นผตู้ ามท่ีทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพถึงแม้จะไม่อยู่ ภายใต้การบงั คับบัญชามากนัก กลุ่มผู้ตามลักษณะเช่นน้ีหากพิจารณาแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อการสั่ง การโดยใชแ้ รงจูงใจใหถ้ กู ลกั ษณะกจ็ ะช่วยใหก้ ารสั่งการมปี ระสทิ ธิภาพ ประการที่ 3 เทคนิคการตดิ ตอ่ สือ่ สารกับผใู้ ต้บังคับบญั ชา เทคนคิ การสอื่ สารสามารถทาใหค้ นหลายคนประสบความสาเรจ็ มานักตอ่ นกั “พูดดีเป็นึรีแก่ ปาก พูดมากปากจะมีึรี” ประโยคน้ียังเปรียบเทียบได้ดีสาหรับการส่ือสาร การสื่อสารของผู้นาท่ีดี เป็นกระบวนการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลใช้เพ่ือสร้างความเข้าใจและจูงใจให้ผู้ตามทางาน ผู้นาที่สามารถปฏิบัติในข้อน้ีได้ หรือสามารถปรับตัวเข้าหาบุคคลอ่ืนได้ทั้งภายในและภายนอกได้ จ ะ ส่งผลให้มีโอกาสที่จะประสบความสาเร็จในการทางานและสามารถขับ เคล่ือนองค์การไปสู่ ความสาเร็จ (ชัยเสฏฐ์ พรหมึรี, 2561, หนา้ 31) เทคนิคการสอ่ื สารมดี ังนี้ 1. ผู้บริหารต้องสามารถปรับรูปแบบการส่ือสารให้เข้ากับผู้ใต้บังคับบัญชาได้ ผู้บริหารต้อง ทราบว่าลกั ษณะการสือ่ สารแตล่ ะแบบไม่เหมาะกับทุกคน และแรงจงู ใจย่อมแตกต่างกนั ด้วย 2. ผู้บริหารต้องฟังผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความต้ังใจ เพื่อแสดงออกว่าเรามีความสนใจในการ แสดงความคดิ เหน็ ของเขาและยังเปน็ การแสดงถึงการผลกั ดนั การมีสว่ นร่วมในการแสดงความคิดเห็น 3. การสื่อสารที่ตรงไปตรงมาแสดงออกถึงความโปร่งใสที่จะสร้างความเชื่อใจจาก ผู้ใต้บงั คับบญั ชา ความร้ทู ่วั ไปเก่ยี วกบั การจดั การธุรกจิ
21 4. สอ่ื สารดว้ ยความชัดเจน อธิบายเป้าหมายหรอื ผลลัพธท์ ี่ต้องการให้ชัดเจนเพื่อแสดงเจตนา ถงึ ความคาดหวังในผลลัพธง์ านนนั้ ๆ 5. เปิดโอกาสให้มีการถาม ตอบระหว่างกันและกัน เพ่ือสร้างความเข้าใจและทราบถึง ทัึนคตแิ ละความตอ้ งการในตวั บคุ คลที่แตกต่างกนั 6. แสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจกันดว้ ยภาษากายเชิงบวก ผ้นู าควรมีเทคนคิ ในการสงั่ การเพื่อสร้างแรงจงู ใจใหผ้ ตู้ ามปฏิบัตงิ านทั้ง 3 เทคนิคประสานกัน เพอื่ สรา้ งประสิทธภิ าพในการส่ังการ ซ่ึงเทคนิคทั้งสามไม่ว่าจะเป็นการสร้างแรงจูงใจ การมีภาวะผู้นา และเทคนิคในการสอื่ สารล้วนเป็นเทคนิคทางจิตวิทยา การท่ีผู้นามีเทคนิคเหล่านี้จะช่วยสร้างแรงโน้ม น้าวหรือจูงใจที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ตาม การสั่งการที่มี ประสทิ ธิภาพจะชว่ ยขบั เคลอื่ นองค์การสู่ความสาเร็จ สาหรับการจัดการธุรกิจในยุคปัจจุบันมีหลักการจัดการท่ีว่า ผู้บริหารต้องรับผิดชอบงานให้ สาเร็จโดยอาึัยการทางานจากกลุ่มบุคลากรทั้งภายในและภายนอก ต้องมีคุณสมบัติมนุษย์สัมพันธ์ดี มีความเป็นผู้นา สามารถบริหารจัดการการเปล่ียนแปลงให้งานบรรลุเป้าหมาย ในองค์การเดียวกัน จะต้องมีเป้าหมายการทางานเดียวกัน เป้าหมายต้องมีความเป็นไปได้เสมอ อยู่ในแผนงานที่มี ประสิทธิภาพพร้อมท้ังมีการระบุวันเวลาท่ีจะปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายอย่างชัดเจน ดังที่ผู้เขียนได้เคย กล่าวมาแล้วว่าการบริหารจัดการมุ่งท่ีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด ผบู้ ริหารตอ้ งพงึ กาหนดทรัพยากรทงั้ ตวั บคุ คล งบประมาณ และผู้บริหารเองต้องกล้าท่ีจะเผชิญปัญหากับ สภาพแวดลอ้ มที่เปล่ียนแปลงไป สามารถคาดคะเนการเปล่ยี นแปลงท่ีอาจจะเกิดข้ึนได้ในอนาคต ดังน้ัน การส่ังการหรือการนาในกระบวนการจัดการธุรกิจ จะเป็นกระบวนการท่ีสาคัญท่ีจะ เป็นกลไกในการขับเคล่ือนกิจกรรมต่าง ๆ เกิดการไหลเวียนของงานอย่างคล่องตัว ผู้นาต้องอาึัย เทคนิคต่าง ๆ เข้ามาช่วยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทักษะในการสื่อสาร ภาวะผู้นา การสร้างแรงจูงใจ แต่ถงึ อย่างไรกต็ ามแม้ว่าจะนาเอาเทคนิคตา่ ง ๆ มามากมายแต่หากไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ตามท่ีดี อาจส่งผลเสียต่อองคก์ าร เกิดปญั หาต่าง ๆ มากมาย เพอื่ เพิม่ ประสทิ ธิภาพในการจัดการ ผู้บริหารต้อง หมั่นตรวจสอบสภาพแวดล้อมประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ตาม และอย่าลืมตรวจสอบการ ปฏิบัติงานของตนเองด้วยจากมุมมองของผู้ตามเพื่อเป็นเครื่องมือสะท้อนกลับ และสามารถนามา ปรับปรุงแก้ไข ซ่ึงกระบวนการจัดการน้ีเรียกว่า การควบคุมและประเมินผลเพื่อใช้ตรวจสอบคุณภาพ การจัดการ เป็นหนึ่งหน้าที่สาคัญในวงจรคุณภาพเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลที่ประกอบด้วยผล การดาเนินงานในรอบการประเมินท่ีผ่านมา นาข้อเสนอแนะและข้อปรับปรุงมาพัฒนาธุรกิจของตนเอง เพ่อื ใหก้ ารจดั การธรุ กจิ มปี ระสิทธิภาพนาไปส่คู วามยั่งยนื ในอนาคต ความร้ทู ัว่ ไปเกยี่ วกบั การจดั การธรุ กิจ
22 การควบคุมเพือ่ ประเมินผลการจัดการธุรกิจ ผู้บริหารขององค์การต่าง ๆ มีหน้าที่คอยเฝ้าสังเกต และควบคุมผลงานของการบริหารงานที่ เกิดขนึ้ ดว้ ยวิธีการประเมนิ ผล การวัดคุณภาพผลงาน ผลผลิตที่เกิดขึ้น กาหนดตัวชี้วัดในการปฏิบัติงานที่ดี เพ่อื ใช้เปน็ มาตรวดั ผลการปฏิบัตงิ านและนาไปส่กู ารเป็นมาตรฐาน การควบคุม (controlling) มีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลาย เพื่อให้เห็นถึงมุมมองต่าง ๆ ผู้เขียนจะยกตัวอย่างของ อนุึักด์ิ ฉ่ินไพึาล (2558, หน้า 34) ซึ่งได้อธิบายว่า การควบคุม หมายถึง การวัดความสาเร็จกับมาตรฐานที่กาหนดไว้และและหากมีกระบวนการใดที่ผิดไปจากมาตรฐานให้ ดาเนินการแก้ไขเพ่ือให้ม่ันใจในความสาเร็จของเป้าหมายองค์การ จากความหมายข้างต้นจะทาให้ ผู้อ่านเห็นถึงคาว่าความสาเร็จและมาตรฐาน ในอีกมุมองหน่ึงของ กิจจา บานชื่น และกณิกนันต์ บานช่ืน (2559, หน้า 84) อธิบายว่า การควบคุม หมายถึง กระบวนการในการติดตามผลการดาเนินงานของ กิจการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการทราบถึงประสิทธิภาพของการทางานในแต่ละข้ันตอนเพื่อ ปรับปรุงใหด้ ยี ิ่งขึน้ จากความหมายนีท้ าให้เหน็ ถึงคาว่าประสิทธิภาพ และการปรบั ปรุง จากท้ังสองความหมายสามารถสังเคราะห์ได้ว่า การควบคุมเป็นการวัดความสาเร็จกับ มาตรฐานที่กาหนดไว้ เพื่อวัดประสิทธิภาพการทางานในกระบวนการจัดการธุรกิจเพื่อนาไปสู่การ ปรับปรุงให้ดีย่ิงข้ึน ในขณะที่ ชนงกรณ์ กุณฑลบุตร (2560, หน้า 166) อธิบายว่า การควบคุม คือ ระบบการตรวจสอบการดาเนินงานให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานท่ีองค์การได้กาหนดไว้ให้บรรลุ เป้าหมาย และึุภชัย นาทะพันธ์ (2562, หน้า 83) ยังอธิบายเพ่ิมเติมว่า การควบคุม เป็น กระบวนการรวบรวมผลการปฏิบัติงานด้วยกระบวนการตรวจสอบ การทดสอบ และการวัดผล เพ่ือ วิเคราะห์สาเหตุท่ีทาให้ผลการปฏิบัติงานเกิดความแปรผันไปจากข้อกาหนดและนาไปสู่การปรับปรุง แก้ไขกระบวนการท่ไี มส่ อดคล้องของแผนหรือลูกคา้ จากการอธิบายข้างต้นผู้เขียนจึงสรุปได้ว่า การควบคุม คือ กระบวนการตรวจสอบ ทดสอบ วัดผลการปฏิบัติงานว่าสอดคล้องกับแผนที่วางไว้หรือไม่ หากมีกระบวนการใดที่ผิดปกติไปจากแผน หรือไม่ตรงตามความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย ให้ดาเนินการวิเคราะห์เพ่ือหาสาเหตุและนาไป ปรับปรุงแก้ไขทันที การควบคุม เป็นกระบวนการสุดท้ายของการจัดการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อ ควบคุมและสร้างมาตรฐานงาน จริง ๆ แล้วหน้าที่หลักเพ่ือตรวจสอบวิธีการทางานของบุคลากรให้ หน่วยงานให้สามารถรักษาคุณภาพของผลผลิตให้ได้มาตรฐาน เป็นการตรวจสอบความก้าวหน้า ของงาน และยังสามารถใช้ในการประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรอีกด้วย ซ่ึงการควบคุมน้ี สามารถสรา้ งมาตรฐานไดท้ ง้ั ในเชิงคณุ ภาพและเชิงปริมาณ ท้ังน้ี การควบคมุ จะมีกระบวนการขั้นตอน ที่สาคัญอันดับแรก คือ ผู้บริหารจะต้องเข้าใจนโยบายและแนวทางเกี่ยวกับการควบคุม เข้าใจถึง แผนงานกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงข้ันตอนรายละเอียดของแต่ละกิจกรรมเสียก่อน จากน้ันถึงจะสามารถ สร้างมาตรฐานของงานข้ึนเพ่ือกาหนดวิธีการประเมินผลการปฏิบัติงาน เน่ืองจากในองค์การมีความ แตกต่างกันในสายงาน การสร้างมาตรฐานการควบคุมจึงต้องแตกต่างกันออกไปตามสภาพแวดล้อม ของงานน้ัน ๆ ที่สาคัญการควบคุมโดยกาหนดมาตรฐานของงานจะต้องเป็นวิธีการควบคุมที่มี รูปแบบกาหนดไว้อย่างมีข้ันตอนที่ชัดเจนสามารถตรวจสอบได้ สาหรับการควบคุมนั้นสามารถทาได้ หลากหลาย อาจจะเป็นการควบคุมในส่วนการใช้งบประมาณ การควบคุมด้านเวลา การตรวจเยี่ยม ความรูท้ ั่วไปเกย่ี วกบั การจัดการธรุ กจิ
23 การปฏิบตั งิ าน การให้ความสาคญั ของแต่ละงาน หรอื แม้กระท่ังการเปิดโอกาสให้บุคลากรควบคุมการ ปฏบิ ตั ิงานร่วมกนั ได้ การจัดการธุรกิจมีความจาเป็นต้องมีการควบคุมเพื่อการประเมินผลอันเน่ืองมาจากปัจจัย สภาพแวดล้อมทปี่ รบั เปลีย่ นตลอดเวลา เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีผลกระทบต้ังแต่การจัดการทรัพยากร สารสนเทึไปจนถงึ การใหบ้ ริการ หากธุรกิจมีขนาดใหญ่ ผู้บริหารจึงจาเป็นต้องมีผู้ดูแลควบคุมมากเป็น พิเึษ เพื่ออานวยความสะดวกในการควบคุมดูแล อีกหน่ึงปัจจัยท่ีต้องมีระบบการควบคุมเกิดข้ึน คือ ความผิดพลาดในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่ีอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา ผู้บริหารต้องเข้าตรวจสอบ กากับติดตามความก้าวหน้าของงานเพื่อการแก้ไขปัญหาได้ทันทีกรณีที่เกิดข้อผิดพลาดข้ึน ทาไมจึงต้อง มีการควบคุม ส่วนหน่ึงเพื่อต้องการวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผล กระบวนการหน้าท่ีต่าง ๆ ที่ กาหนดทิึทางในการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ อย่างเฉลียวฉลาดหรือไม่ และตรวจสอบการมีประสิทธิภาพ การอานวยการในการตัดสินใจในกิจกรรมที่ผ่านมา ซ่ึงผลสาเร็จของงานต้องมีทั้งประสิทธิภาพและ ประสทิ ธผิ ลควบคกู่ ัน (กิจจา บานช่ืน และกณิกนันต์ บานชน่ื , 2559, หนา้ 39) ประสิทธิภาพและประสิทธิผลมีความแตกต่างกัน ประสิทธิภาพ เป็นความสามารถในการทา บางส่ิงให้สาเร็จโดยเสียเวลา เงิน และความพยายามหรือความสามารถในการปฏิบัติงานน้อยท่ีสุด ส่วนประสทิ ธิผลถูกกาหนดใหเ้ ปน็ ระดบั ประสบความสาเร็จในการสรา้ งผลลพั ธ์ที่ต้องการ ในขณะท่ี วิรัช สงวนวงึ์วาน (2550, หน้า 3) ได้อธิบายเร่ืองประสิทธิภาพ และประสิทธิผลไว้ว่า “ประสิทธิภาพ (efficiency) วัดได้จากทรัพยากรท่ีใช้ (resource usage) ผลผลิตที่ได้ การดาเนิน กิจกรรมใด ๆ ที่สามารถก่อให้เกิดผลผลิตจานวนมากโดยใช้ทรัพยากรน้อย ถือว่าการดาเนินงานน้ัน มีประสิทธภิ าพ ประสทิ ธผิ ล (effectiveness) วัดจากความสามารถในการบรรลุเป้าหมายขององค์การ (goal attainment) ประสิทธิผลจึงมุ่งท่ีผลลัพธ์ในระยะยาว” ความแตกต่างระหว่างประสิทธิภาพ และประสิทธิผล แสดงดังภาพที่ 1.13 ประสิทธภิ าพ ประสิทธผิ ล การใช้ทรพั ยากร การบรรลเุ ปา้ หมายขององค์การ นอ้ ย สงู การบริหารจัดการมงุ่ เพือ่ : การสิน้ เปลืองทรพั ยากรน้อย (ประสทิ ธิภาพสงู ) การบริหารจดั การมุ่งเพือ่ : การบรรลเุ ป้าหมายสงู (ประสิทธิผลสงู ) ผลติ ภาพสูง ภาพท่ี 1.13 ความแตกตา่ งระหวา่ งประสิทธภิ าพและประสิทธผิ ล ทม่ี า (วิรชั สงวนวงึ์วาน, 2550, หน้า 3) ความรู้ทว่ั ไปเก่ียวกบั การจัดการธุรกิจ
24 จากภาพท่ี 1.13 จะเห็นได้ว่า การบริหารจัดการที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพสูงจะเป็นการใช้ ทรัพยากรในการจัดการธรุ กจิ และมกี ารส้ินเปลืองในปรมิ าณทีน่ ้อย แต่หากเน้นท่ีประสิทธิผลจะมองใน ส่วนของการบรรลุเป้าหมายเป็นสาคัญ ดาเนินงานขององค์การอาจมีประสิทธิภาพแต่ไม่มี ประสิทธิผล หรือมีประสิทธิผลแต่ไม่มีประสิทธิภาพ หากองค์การใดสามารถบรรลุได้ท้ังสองอย่าง องค์การน้นั จะมีผลิตภาพสูง (high productivity) จากข้อมูลข้างต้นทาให้ทราบถึงความจาเป็นของการควบคุม พื้นฐานการควบคุมนั้นมี การควบคุมต้ังแตเ่ บ้ืองตน้ ซ่ึงจะเปน็ ไปท่ีทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรสารสนเทึ รวมไปถึงงบประมาณ ในขั้นระหว่างการดาเนินงานต้องมีกิจกรรมการการควบคุมว่ากิจกรรมท่ีกาลังดาเนินมีความถูกต้อง และสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์การ อาจใช้วิธีการปฏิบัติ กฏ และข้อบังคับเพ่ือนามาเป็น มาตรฐานในการกากับแนวปฏิบัติงานและพฤติกรรมของบุคคล ในส่วนการควบคุมภายหลัง การดาเนินงาน จะกระทาเพ่ือมุ่งผลสัมฤทธิ์ มีการอาึัยข้อมูลย้อนกลับเพ่ือใช้วางแผนกิจกรรมในอนาคต อาจใช้วิธีการประเมินสารวจเพ่ือนามาสรุปผลและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา สาหรับการควบคุมที่เป็น มาตรฐานและมีคุณภาพต้องประกอบด้วยปัจจัยดังต่อไปน้ี (ปราณี อึั วภษู ิตกลุ , 2553, หนา้ 38-40) 1. ขอ้ มูลทเ่ี กยี่ วกับผลการปฏบิ ตั งิ านตอ้ งมีความถูกต้องเสมอ 2. การสรุปผลข้อมลู มีความรวดเร็วในการแก้ไขปญั หา 3. ระบบควบคุมไม่ซับซ้อน เขา้ ใจได้งา่ ยและปฏิบัติตามได้ 4. ระบบควบคุมตอ้ งให้ความสาคญั กับการแก้ไขทีท่ ันเหตุการณ์ 5. การควบคุมตอ้ งอยู่บนพนื้ ฐานความคล่องตัวทนั ต่อการเปลีย่ นแปลงที่เกิดขึน้ ตลอดเวลา 6. การประหยัดคา่ ใชจ้ า่ ยการดาเนินงานควบคุม 7. ระบบควบคมุ ที่เข้ากนั ได้กบั ความเปน็ จรงิ ขององค์การ 8. ระบบควบคุมต้องเป็นที่ยอมรับของสมาชิกในองค์การ ระบบท่ีดีสมาชิกต้องมีผลการ ปฏิบตั งิ านที่สงู ขนึ้ บนพื้นฐานความพึงพอใจของสมาชกิ การมีระบบควบคุมที่มีมาตรฐานจะช่วยให้การจัดการธุรกิจมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติท่ี สูงขึน้ ได้ โดยมีกระบวนการขัน้ ตอนควบคุม 4 ขัน้ ตอน ไดแ้ ก่ (ปราณี อึั วภษู ิตกลุ , 2553, หน้า 35) 1. การกาหนดมาตรฐานและวธิ วี ดั การปฏบิ ตั งิ าน 2. การวัดผลการปฏบิ ัติงานทเ่ี กดิ ขึ้นจรงิ 3. การเปรยี บเทยี บผลการปฏบิ ัตงิ านกบั มาตรฐานและแปลความหมายของข้อแตกต่างท่เี กดิ ข้ึน 4. การแกไ้ ข สาหรับกระบวนการข้ันตอนการกาหนดมาตรฐานในการปฏิบัติงานและวิธีการวัดผลงาน เป้าหมายและการปฏิบัติงานของบุคลากรมาตรฐานต้องถูกกาหนดขึ้นและเป็นท่ียอมรับของบุคลากร วิธีการวัดผลต้องเป็นท่ียอมรับมีความถูกต้อง การวัดผลการปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นจริงเป็นกระบวนการ ต่อเน่ืองจากข้ันตอนแรกจะประเมินกิจกรรมที่แตกต่างกัน บางกิจกรรมวัดผลสม่าเสมอ บางกิจกรรม เว้นระยะ อย่างไรก็ตาม การวัดผลท่ีปล่อยให้ระยะเวลาในการวัดผลปฏิบัติงานผ่านนานเกินไปจึงทา การวัดผล อาจส่งผลกระทบต่อการดาเนินงานขององค์การได้ การวัดผลการปฏิบัติงานตรวจสอบว่า เป็นไปตามมาตรฐานท่ีกาหนดไว้หรือไม่อย่างไร ในส่วนขั้นตอนสุดท้าย คือ การแก้ไขปัญหา หากพบ ผลการปฏิบัติงานต่ากว่ามาตรฐานและผลการวิเคราะห์ว่าต้องแก้ไขทันทีหรือไม่ ผลการวิเคราะห์อาจ ความรทู้ วั่ ไปเกยี่ วกับการจดั การธุรกจิ
25 สรุปว่ามีความจาเป็นเร่งด่วนหรือไม่ หากไม่แก้ไขอาจส่งผลเสีย ธุรกิจต้องดาเนินการปฏิบัติหน้าท่ี ควบคุมเพอ่ื ใหก้ จิ กรรมตา่ ง ๆ ขององคก์ ารบรรลุเปา้ หมายทกี่ าหนดไว้ การควบคุมจึงเป็นกระบวนการ จัดการข้ันตอนสุดท้ายท่ีจะทาให้ทราบผลการปฏิบัติงาน ทราบข้อปรับปรุงแก้ไข ทราบจุดเด่นของ องคก์ าร เพ่อื พฒั นาองค์การใหเ้ ป็นไปตามมาตรฐานสากลตอ่ ไป วิธีการควบคุมเพื่อการประเมินผลที่ผู้เขียนจะนาเสนอในเนื้อหาบทนี้ คือ การ ประเมินผลการปฏิบัติงานแบบ 360 องึา (360 degree feedback) เป็นกระบวนการของการ ประเมนิ ประสิทธภิ าพในการทางานของบคุ ลากรในองค์การของผู้ที่ทาการประเมินจากหลาย ๆ แหล่ง โดยนาบคุ ลากรจากรอบ ๆ ตวั เรามาทั้งหมด เชน่ หัวหนา้ งาน เพ่ือนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา และตัวเรา ตลอดจนแม้กระทัง่ ลกู ค้าท่ีตดิ ต่อเป็นประจา ซึ่งการประเมินด้วยวิธีการน้ีจะทาให้ธุรกิจทราบถึงทัึนะ ความคิดที่หลากหลายจากบุคลากร มีการวิพากษ์วิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ ทั้งยังเป็นการชี้ให้เห็น จุดบกพร่อง การระบุจุดเด่น ทราบถึงข้อมูลการปรับปรุงท่ีย้อนกลับ และท่ีสาคัญเกิดกระบวนการ สร้างการมีส่วนร่วมกิจกรรมในการประเมินและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทาให้มีการ สื่อสารที่ดี มีความเช่ือม่ันระหว่างกัน เกิดความร่วมแรงร่วมใจกัน ท้ังยังสร้างจิตสานึกในการมอง ประโยชนส์ ่วนรวมรว่ มกันมากขึน้ ซง่ึ สรปุ เปน็ แผนภมู ิการประเมนิ ผล แสดงดังภาพที่ 1.14 หัวหน้า งาน เพอ่ื น การทางาน ร่วมงาน เปน็ ทีม ภายใน การประเมนิ ผล การปฏบิ ตั ิงาน ลกู ค้า แบบ 360 องศา การประเมิน ตนเอง ผู้ใตบ้ ังคับ บัญชา ภาพท่ี 1.14 การประเมนิ ผลแบบ 360 องึา ทม่ี า (เนตร์พณั ณา ยาวิราช, 2560, หน้า 130) นอกจากการประเมินผลแบบ 360 องึา ยังมีรูปแบบการควบคุมที่พิจารณาจากปัจจัยท่ี เก่ียวข้องร่วมกัน และยังมีการนาผลการประเมินความพึงพอใจของลูกค้าเข้ามาเป็นส่วนหน่ึงในการ ประเมินด้วย เครื่องมือน้ีเรียกว่า บาลานซ์สคอร์คาร์ด (Balance Scorecard) ซ่ึงเป็นกระบวนการใน การบริหารจัดการด้วยวิธีการกาหนดตัวช้ีวัด (KPI) เป็นเคร่ืองมือหน่ึงที่จะทาแผนกลยุทธ์ไปสู่การลง มือปฏิบัติ แต่ทั้งนี้ต้องอาึัยการวัดประเมินผลเข้ามาร่วมด้วยเพ่ือให้เกิดความสาเร็จในเป้าหมาย ความรูท้ ัว่ ไปเกย่ี วกับการจดั การธุรกจิ
26 เดียวกัน (alignment and focused) โดยมองการประเมินผลในมิติการเงิน ลูกค้า กระบวนการ บรหิ าร การเรียนร้แู ละพัฒนาการ รายละเอยี ดแสดงดังภาพที่ 1.15 ภาพที่ 1.15 บาลานซ์สคอร์คารด์ (Balance Scorecard) ทม่ี า (ชนงกรณ์ กณุ ฑลบตุ ร, 2560, หนา้ 176) โดยรายละเอียดตา่ ง ๆ อธบิ ายไวด้ ังนี้ (ชนงกรณ์ กณุ ฑลบตุ ร, 2560, หนา้ 176-181) 1. การประเมินมุมมองด้านการเงิน (financial perspective) ทาให้ธุรกิจทราบถึงสถานะ ทางการเงนิ จากการบรหิ ารจัดการท่ีผ่านมา โดยเป้าหมายในการประเมินมิติการเงินเป็นการวิเคราะห์ ถึงวิธีการเพ่ิมรายได้ และลดต้นทุน ทั้งน้ีผลการประเมินจะสามารถควบคุมปริมาณต้นทุนให้อยู่ใน ระดบั ท่เี หมาะสมและยังสามารถนาผลประเมินในแต่ละรอบมาเปรียบเทียบหาแนวทางพฒั นาได้ 2. มุมมองด้านลูกค้า (customer perspective) ปัจจัยสาคัญของธุรกิจอีกหน่ึงปัจจัย คือ ลกู ค้า เปน็ การประเมินผลจากลกู ค้าโดยพิจารณาจากสว่ นแบ่งการตลาด การรักษาลูกค้าเดิม การเพิ่ม ลูกค้าใหม่ ความพึงพอใจของลกู ค้า และประสทิ ธภิ าพการทากาไรต่อหน่วยลูกค้า ท้ังน้ีผลการประเมิน สามารถนามาพัฒนาเปน็ กลยุทธก์ ารตลาดท่ีเหมาะสมกบั กลุ่มเป้าหมาย ทั้งน้ียังมีผลต่อการเพ่ิมรายได้ ในมิติดา้ นการเงินอีกด้วย 3. มุมมองด้านกระบวนการบริหารองค์การ (internal process perspective) เป็นการ ประเมินึักยภาพในการบริหารจัดการภายในองค์การ ซ่ึงมีความเก่ียวข้องกับปัจจัยพื้นฐานทางการ แข่งขัน ได้แก่ การขนส่งวัตถุดิบ การผลิต การตลาด การให้บริการ และปัจจัยสนับสนุนการจัดซ้ือ ได้แก่ การพัฒนาเทคโนโลยี การจัดการทรัพยากรมนุษย์ และสาธารณูปโภค ผลการประเมินในมิตินี้ เป็นปัจจัยสาคัญต่อการจัดการความเปล่ียนแปลงในกระบวนการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพเป็นกลไกใน การขับเคลอื่ นระบบตา่ ง ๆ ให้บรรลุเปา้ หมาย 4. มุมมองด้านการเรียนรู้และพัฒนาการ (learning and development perspective) เป็นมมุ มองท่ีมองถึงประสิทธิภาพการพฒั นาทรพั ยากรมนุษย์ ซึ่งประกอบด้วยมุมมองเกี่ยวกับการพัฒนา ทักษะต่าง ๆ ทัึนคติ ความพึงพอใจ พัฒนาด้านอารมณ์ ระบบสารสนเทึและระบบการบริหาร ในส่วน นี้สามารถนาผลการประเมินมาปรับปรุงพัฒนาบุคลากร ระบบการบริหารจัดการ เกิดเป็นระบบการ ควบคุมการประเมนิ ผลที่มีความชดั เจนและเป็นธรรมกับทุกระดับ การนาบาลานซ์สคอร์คาร์ดไปใช้เป็นเครื่องมือหน่ึงในการควบคุม ต้องพิจารณาถึงปัจจัยใน สถานการณ์ปัจจุบันประกอบการประเมินผล โดยการประเมินท่ีดีน้ันต้องส่ือสารให้พนักงานเข้าใจใน ทิึทางเดียวกัน การประเมินท่ีมีประสิทธิภาพควรเป็นรูปธรรมและสะท้อนผลที่ต้องการประเมินตรง ตามตัวช้ีวดั ทีก่ าหนด ความรูท้ วั่ ไปเก่ียวกบั การจัดการธุรกจิ
27 ธุรกิจจะประสบความสาเร็จได้ ย่อมเกิดจากกระบวนการจัดการที่มีประสิทธิภาพบูรณาการ ร่วมกับสภาพแวดล้อมปัจจุบัน การจัดการธุรกิจต้องอาึัยกระบวนการจัดการซึ่งประกอบด้วย การวางแผน การจัดโครงสร้างองค์การ การนา และการควบคุม ซ่ึงหลักการเหล่าน้ีจะช่วยส่งผลให้ การดาเนินงานบรรลุเป้าหมายขององค์การได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการจัดการธุรกิจต้องเปลี่ยน กระบวนการจัดการแบบดั้งเดิมท่ีเคยปฏิบัติสู่การบูรณาการและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ซ่ึงใน รายละเอียดบทต่อไปจะนาเสนอเนื้อหาเกย่ี วกบั เทคโนโลยดี จิ ิทลั กับการเปล่ียนแปลงทางธรุ กจิ สรุปท้ายบท สาหรับเน้ือหาในบทนี้ มุ่งเน้นให้ผู้อ่านได้ทราบเกี่ยวกับหลัก การจัดการพ้ืนฐานที่ ประกอบดว้ ยกระบวนการวางแผน การจัดโครงสรา้ งองคก์ าร การสง่ั การ และการควบคุม ท่ีจะนาไปสู่ การประยกุ ตใ์ ช้ในกระบวนการทางธุรกิจด้านต่าง ๆ ซ่ึงการจัดการเป็นการมุ่งเน้นในทางปฏิบัติ ลงมือ ดาเนินงานตามแผนการบรหิ ารให้เปน็ ไปตามนโยบายแผนงาน กระบวนการจัดการเป็นปัจจัยสาคัญท่ชี ่วยสนับสนุนธรุ กิจให้ประสบความสาเร็จ เพราะธุรกิจ เป็นส่วนสาคัญต่อระบบเึรษฐกิจและสังคม ช่วยก่อให้ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ยังช่วยในเรื่องของการ ว่าจ้างแรงงาน กระจายรายได้สู่ประชาชน เพิ่มพูนรายได้ให้กับประเทึในรูปแบบภาษีอากร ประชาชนมีโอกาสเลือกสินค้าหรือบรกิ ารท่ีสนองความพงึ พอใจสูงสุด และที่สาคัญประเทึสามารถนา ภาษอี ากรทีจ่ ดั เกบ็ ไปพฒั นาประเทึต่อไปได้ การจัดการธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล จึงกลายเป็นกิจกรรมอีกหน่ึงกิจกรรมท่ีท้าทายฝีมือ ผู้บริหารในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลที่เปล่ียนแปลงอย่างก้าวกระโดด กระบวนการจัดการธุรกิจ เปลี่ยนแปลงไปด้วยการโดยนาเครื่องมือเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการจัดการธุรกิจ ซึ่งมีความ สอดคล้องกับการขับเคล่ือนเึรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพ่ือเพ่ิมึักยภาพในการแข่งขันของ ประเทึไทยใหท้ ดั เทยี มกับนานชาติ อย่างไรก็ดี การจัดการธุรกิจสมัยใหม่ก็ยังจะต้องึึกษาถึงปัจจัยที่ สาคัญเป็นอย่างมาก คือ การเปล่ียนแปลง เทคโนโลยี และกระแสโลก ซึ่งผู้อ่านจะได้ึึกษาเน้ือหา เก่ียวกบั เทคโนโลยีดิจิทัลสกู่ ารเปล่ียนแปลงการจดั การธุรกจิ ในบทถดั ไป ความรู้ทั่วไปเกย่ี วกับการจัดการธรุ กจิ
28 แบบฝกึ หดั ทา้ ยบท จงตอบคาถามต่อไปน้ี 1. จงอธิบายความหมายและความสาคญั ของการจดั การธุรกจิ 2. การจัดการธุรกจิ กับ การบรหิ ารธุรกิจ มคี วามสัมพันธ์กันอย่างไร 3. จงยกตวั อยา่ งกิจกรรมในกระบวนการจดั การท่บี ่งบอกถึงความแตกต่างระหวา่ งคาวา่ การบรหิ าร และการจดั การ 4. การวางแผนทดี่ มี ีความสาคัญอย่างไรในการจัดการธุรกิจในยุคเทคโนโลยีดิจทิ ัล 5. ท่านคิดวา่ หนา้ ที่ของผบู้ รหิ ารตามหลักการจดั การ หน้าที่ใดสาคญั ทส่ี ดุ เพราะเหตุใด 6. จงยกตัวอย่างผลงานของการจดั การธุรกจิ ทีไ่ ดป้ ระสิทธิภาพและประสิทธิผล 7. การจดั โครงสรา้ งองค์การท่มี ีประสิทธภิ าพมีลกั ษณะอย่างไร 8. ผู้บริหารท่มี ภี าวะผนู้ าจะมวี ธิ ีการส่ือสารส่งั การผใู้ ต้บังคับบัญชาใหเ้ กิดแรงจูงใจในการปฏิบัติงานอย่างไร 9. จงตัวอย่างเหตุการณ์หรือสถานการณ์จาลอง ที่เป็นผลเสียจากการขาดการควบคุมและ ประเมนิ ผลการปฏิบัตงิ าน 10. การประเมินผล 360 องึา มีข้อดแี ละข้อเสยี อย่างไร ความรูท้ วั่ ไปเกยี่ วกับการจัดการธรุ กิจ
29 เอกสารอ้างอิง กิจจา บานช่นื และกณกิ นันต์ บานชืน่ . (2559). หลักการจัดการ. กรุงเทพฯ: ซีเอด็ ยเู คชัน. ชนงกรณ์ กณุ ฑลบุตร. (2560). หลักการจดั การธุรกจิ ปัจจุบัน. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ชัยเสฏฐ์ พรหมึรี. (2561). ภาวะผู้นาสาหรับผู้บริหารองคก์ าร: แนวคิดทฤษฎีและกรณศี กึ ษา. กรุงเทพฯ: ปัญญาชน. ซีพอี อลล์. (2558). โครงสรา้ งการบริหารงานองคก์ รซีพี ออลล์. ค้นเมอ่ื พฤษภาคม 4 , 2562, จาก https://www.cpall.co.th/about-us/about-cp-all/organization-chart/. ฐาปนา ฉ่นิ ไพึาล. (2559). องค์การและการจัดการ. กรุงเทพฯ: ธนธชั การพิมพ์. ทวึี ักด์ิ สทู กวาทนิ . (2558). การจัดการสมัยใหม่ในคริสต์ศตวรรษที่ 21. กรงุ เทพฯ: ทีพเี อ็น เพลส. ________. (2555). การเปล่ียนแปลงและพัฒนาองค์การเพื่อเพ่ิมขีดความสามารถในการแข่งขัน. กรุงเทพฯ: ทีพีเอ็นเพลส. ธนวฒุ ิ พมิ พ์ก.ิ (2556). การเป็นผูป้ ระกอบการทางธุรกิจ. กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร์. เนตรพ์ ณั ณา ยาวริ าช. (2560). การจดั การสมยั ใหม่. กรงุ เทพฯ: ทริปเพลิ้ กรปุ๊ . ประจวบ เพ่มิ สุวรรณ. (2558). ความรู้เบ้ืองต้นทางธุรกจิ . กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั กรงุ เทพ. ปราณี อัึวภษู ติ กุล. (2553). การจดั และบริหารหอ้ งสมดุ ทัว่ ไป. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมึาสตร์. มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง (2561). ลักษณะท่วั ไปและความสาคญั ของธรุ กจิ . ค้นเม่ือ มกราคม 13, 2562, จาก http://www.rubook.com/sheet/gm103.html. โรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต. (2564). แผนปฏิบตั กิ ารส่วนพฒั นาธรุ กจิ และการตลาดของโรงงานไพ่ กรมสรรพสามติ . ค้นเม่ือ มิถนุ ายน 17, 2564, จาก https://playingcard.or.th/th/annual-report/. วิรชั สงวนวงึว์ าน. (2550). การจดั การและพฤตกิ รรมองคก์ าร. กรุงเทพฯ: เพียร์สัน เอด็ ดูเคช่ัน อินโดไชน่า. ________. (2551). การจดั การและพฤติกรรมองคก์ าร. กรงุ เทพฯ: เพยี รส์ นั เอด็ ดเู คชัน่ อินโดไชนา่ . ึภุ ชัย นาทะพันธ์. (2562). การประกันคณุ ภาพ. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชัน. สานกั วิทยบรกิ ารและเทคโนโลยีสารสนเทึ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั กาญจนบุร.ี (2564). โครงสร้างการบรหิ ารงาน และสายการบงั คับบญั ชา. ค้นเมื่อ มิถุนายน 20, 2564, จาก http://arit.kru.ac.th/th/?page_id=301. อนรุ ตั น์ อนันทนาธร และปาริฉตั ร ป้องโล.่ (2559). ความร้เู บ้ืองต้นเก่ยี วกบั การบรหิ ารในยคุ โลกาภวิ ตั น.์ ค้นเมื่อ เมษายน 14, 2562, จาก http://polsci-law.buu.ac.th/home/news/download/. อนึุ ักด์ิ ฉ่นิ ไพึาล. (2558). การบริหารงานคณุ ภาพในองคก์ าร. กรงุ เทพฯ: ซเี อด็ ยูเคชัน. ________. (2562). การบรหิ ารอุตสาหกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส์. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยเู คชนั . Alderfer, Clayton P. (1976). ERG Theory of Motivation Clayton Alderfer's revision of Abraham Maslow. New York : Harper and Row. Edwin B. Flippo, (1970). Principle of Personnel Management. New York: Mc Graw-Hall Inc. Henri, Fayol. (1964). General and Industrial Management. London: Sir lssac Pitman & Sons. Hersey, P. & Blanchard. K.H. (1993). Management of Organizational Behavior: Utilizing Human Resources. 6 th ed. Englewood Cliffs, NJ: Prentice Hall. Herzberg, F. (1959). The Motivation of Work. New York: John Wiley & Sons. Louis A. Allen. (1958). Organization and Management. New York: McGraw-Hill Luther Gulick and Lyndall Urwick. (1973). The Science of Administration. New York: Columbia University. Maslow, HA..,&HK.o(o19n7tz0.).(1M99o3ti)v.aMtiaonคnaวagามenรmdูท้ ePว่ั ไneปtrเ:sกoAีย่ nวGaกllับoitกybา.aรNlจePัดweกrาYsรpoธeุรrkกc:จิtHivaerp. eNreawndYoRrokw: M. cGraw-Hill. Weihrich,
30 “หลักการจัดการยุคใหม่ นอกจากเรื่องการ วางแผน การจัดโครงสร้างองค์การ การส่ังการ และการควบคุม สงิ่ สาคัญในยคุ เทคโนโลยดี จิ ทิ ลั คอื เทคนคิ ในการจัดการเพ่ือ เพมิ่ ประสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ลและสามารถยืดหยุ่นหลักการ ตา่ ง ๆ ตามสถานการณท์ ีเ่ ปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน” ” ความรูท้ ่ัวไปเกี่ยวกับการจัดการธรุ กจิ
บทที่ 2 เทคโนโลยีดจิ ิทัลส่กู ารเปลยี่ นแปลงกระบวนการธุรกิจ จากเน้ือหาในบทที่ 1 ผู๎เขียนได๎เกริ่นนาเก่ียวกับหลักการจัดการพื้นฐานท่ีประกอบด๎วยการ วางแผน การจัดโครงการองคก์ าร การส่ังการ และการควบคุม ทเี่ ปน็ กระบวนการสาคัญตํอการจัดการ ธุรกิจท้ังในด๎านการบัญชี การเงิน การตลาด ทรัพยากรมนุษย์ การผลิตและการดาเนินงาน พร๎อมท้ัง กลําวถึงเร่ืองการเปลี่ยนแปลงในด๎านเทคโนโลยีดิจิทัลไว๎ในสํวนสรุปท๎ายบทด๎วยวํา กระบวนการ จัดการธุรกิจจะเกดิ การเปลีย่ นแปลงไปจากเดิมอยาํ งชัดเจนด๎วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่เปล่ียนผํานไปอยําง ก๎าวกระโดด และจะสํงผลตํอการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในรูปแบบใหมํ สามารถทาให๎ประเทศไทยมี ศักยภาพเพ่มิ ข้ึนทดั เทยี มกับนานานาชาติ ใน ยุ คน้ี ค งไมํมีใค ร ป ฏิ เ ส ธ วํ าเ ทคโ น โ ล ยี ดิ จิ ทัล ไมํ มีอิ ทธิ พล ตํ อ กร ะบ ว น การ จั ด ก าร ธุ ร กิ จ เทคโนโลยีดิจิทัลถูกจับรวมให๎เป็นเคร่ืองมือที่สาคัญในการแสวงหาโ อกาสทางธุรกิจท่ีทรงพลังอยําง มาก เทคโนโลยีดิจิทัลมีอิทธิพลเปล่ียนผํานจากอนาล็อกสํูดิจิทัล การเปลี่ยนผํานนี้สังเกตได๎จาก อปุ กรณต์ าํ ง ๆ ทเ่ี ปล่ยี นแปลงไปรอบตัว เทคโนโลยีดจิ ิทัลกลายเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการสร๎างโอกาส และความได๎เปรยี บทางการแขงํ ขัน การจดั การธุรกิจด๎วยเทคโนโลยีดจิ ทิ ัลจึงเกิดข้ึนมาเพ่ือสร๎างโอกาส และความได๎เปรียบกับคํูแขํงขัน ภาคธุรกิจจานวนมากประยุกต์ใช๎เทคโนโลยีดิจิทัลในการขับเคลื่อนธุรกิจ พยายามพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลที่เหมาะสมกับธุรกิจ กระบวนการจัดการธุรกิจจึงเกิดการ เปลยี่ นแปลงมไิ ด๎ใชเ๎ พียงองคค์ วามรู๎ด๎านการจดั การเพียงอยํางเดียว การนาองค์ความร๎ูด๎านการจัดการ มาประยุกต์กับเทคโนโลยีดิจิทัลจึงเป็นเร่ืองท่ีสาคัญสาหรับผ๎ูนาที่ทาหน๎าท่ีในการจัดการธุรกิจ อยํางไรก็ดี การจัดการธุรกิจสมัยใหมํยังคงต๎องศึกษาถึงปัจจัยที่สาคัญเป็นอยํางมาก คือ การเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยี และกระแสโลก เนอื้ หาในบทนจ้ี ะกลาํ วถึง กระแสโลกาภิวัตน์ ธุรกิจแบบแพลตฟอร์ม และ อีกหน่ึงประเด็นที่สาคัญจะได๎ศึกษาเกี่ยวกับทักษะท่ีจาเป็นและบทบาทของผ๎ูบริหารในยุคเทคโนโลยี ดจิ ิทลั ความหมายและความสาคัญของเทคโนโลยีดจิ ทิ ลั ในยุคปัจจุบันไมํสามารถหลีกเลี่ยงการจัดการธุรกิจด๎วยการนาเทคโนโลยีดิจิทัลมาบูรณาการกับ การประกอบธุรกิจได๎ แตํการนาเทคโนโลยีดิจิทัลมาชํวยในการจัดการธุรกิจ ผู๎บริหารควรมีความร๎ู ความเข๎าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล พร๎อมท้ังการหาความรู๎เพิ่มเติมอยํางสม่าเสมอ อยํางน๎อย สามารถเลอื กเทคโนโลยที ่ีเหมาะสมและเกิดประโยชนส์ งู สุดคม๎ุ คํากบั การลงทนุ สาหรับความหมายของเทคโนโลยีดิจิทัล ผ๎ูเขียนขออธิบายความหมายทีละสํวนโดยแยกเป็น สองคา คือ เทคโนโลยีและดิจิทัล ในสํวนน้ีเป็นการอธิบายถึงความหมายของคาวํา เทคโนโลยี ดังมีผ๎ู อธิบายไว๎ดังน้ี
32 เทคโนโลยี หมายถึง การนาเอาความรู๎ด๎านวิทยาศาสตร์มาพัฒนาเป็นองค์ความรู๎ใหมํเพ่ือนามา ประยุกต์ใช๎ให๎เกิดประโยชน์ และองค์ความร๎ูใหมํนี้เมื่อนาไปประยุกต์ใช๎แล๎วกํอให๎เกิดประโยชน์ในการ จัดการสารสนเทศตําง ๆ (สพุ รรษา ยวงทอง, 2557, หน๎า 218; วศนิ เพิม่ ทรพั ย์, 2561, หนา๎ 170) นอกจากความหมายขา๎ งตน๎ ในเว็บไซตท์ ี่ช่ือวํา ดิจทิ ัล เอเชีย (Digital Asia, 2560) ยังอธิบาย ไว๎อีกวํา เทคโนโลยี หมายถึง การนาความร๎ูหรือศาสตร์ที่เกี่ยวกับเทคนิคไปใช๎ในการปฏิบัติ เป็น กิจกรรมที่เกี่ยวข๎องกับเครื่องจักรกลและส่ิงประดิษฐ์ใหมํ ๆ โดยมีจุดประสงค์เพ่ือให๎เกิดการ เปลย่ี นแปลงหรือสํงผลตํอการพัฒนาท่ีเป็นประโยชน์ตํอการดารงชีวิตของมนุษย์ เทคโนโลยียังเป็นสิ่ง ทีว่ ัดหรือจับตอ๎ งได๎ ดังนั้น ผู๎เขียนจึงสรุปวํา เทคโนโลยี คือ การนาองค์ความร๎ูเดิมทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยํูมา ปรับปรุงพัฒนาเกิดเป็นเป็นองค์ความรู๎ใหมํ เป็นกิจกรรมที่เก่ียวข๎องกับเครื่องจักรกลและสิ่งประดิษฐ์ ใหมํ ๆ เพ่อื ใหเ๎ กดิ การเปลี่ยนแปลงหรอื สงํ ผลตํอการพฒั นาทเ่ี ปน็ ประโยชนต์ อํ การดารงชวี ติ ของมนุษย์ ในสํวนของคาวํา ดิจิทัล ซ่ึงเป็นคาท่ีในยุคปัจจุบันมีผู๎คนกลําวถึงเป็นจานวนมาก ผู๎เขียนมี ความพยายามในการค๎นคว๎าคาน้ีจากตารา หนงั สือ ตําง ๆ ซ่ึงคอํ นข๎างหาได๎ยากนัก สุดท๎ายแล๎วมาพบ ผู๎นยิ ามความหมายไว๎ 2 แหลงํ ดังน้ี โกสันต์ เทพสิทธิทรากรณ์ (2562) นิยามวํา ดิจิทัล หมายถึง อุปกรณ์ตําง ๆ และการประยุกต์ใช๎ อุปกรณ์เหลําน้ัน ได๎แกํ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์กับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือให๎สามารถทางานและ วเิ คราะหข์ ๎อมูลจานวนมหาศาลได๎ ไอซีที แอนด์ เซอร์วิส (ICT and Services, 2558) ได๎ให๎ความหมายวํา ดิจิทัล หมายถึง เทคโนโลยีท่ีชํวยขับเคล่ือนเศรษฐกิจและสังคมของศตวรรษที่ 21 เป็นเทคโนโลยีที่จะผลักดันให๎เกิด การเปล่ยี นแปลงในการดารงชีวิตของมนุษย์ โดยเฉพาะเปล่ียนแปลงแนวคิดการจัดการธุรกิจ ชํวยให๎ เกิดความคิดใหมํ ๆ ท้ังรูปแบบธุรกิจและกระบวนการทาธุรกิจ และเน๎นการสร๎างประสบการณ์ที่ดี ให๎แกํผูบ๎ รโิ ภค ดงั นัน้ ผูเ๎ ขยี นจงึ สรุปความหมายในมมุ มองของผ๎เู ขยี นวํา ดจิ ทิ ลั หมายถึง เทคโนโลยีตําง ๆ ท่ี เกยี่ วกบั คอมพวิ เตอร์และเทคโนโลยสี ารสนเทศ ทาใหอ๎ ุปกรณ์ตาํ ง ๆ สามารถทางานด๎วยการวิเคราะห์ ข๎อมูลมหาศาลได๎รวดเร็ว และเกิดการเปลี่ยนแปลงการใช๎ชีวิตประจาวันของมนุษย์ โดยเฉพาะ เปลย่ี นแปลงแนวคดิ การจดั การธรุ กิจไปจากเดิม เมอ่ื นาท้งั สองคามารวมกัน เทคโนโลยีดจิ ิทัล จึงหมายถึง การประยุกต์องค์ความร๎ูจากศาสตร์ ด๎านวิทยาศาสตร์ กํอให๎เกิดเป็นองค์ความรู๎ใหมํ ๆ โดยใช๎อุปกรณ์ทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และ เทคโนโลยีสารสนเทศบูรณาการรํวมกัน กํอให๎เกิดเป็นเทคโนโลยีใหมํท่ีชํวยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เปล่ียนแปลงกระบวนการจดั การธรุ กจิ ในรปู แบบใหมํที่มีเทคโนโลยีสารสนเทศมาชํวยสร๎างประสบการณท์ ่ี ดีให๎แกํผู๎รับบริการ เพ่ือให๎ผ๎ูอํานได๎เห็นความชัดเจนของเทคโนโลยีดิจิทัล ผ๎ูเขียนจึงได๎ยกตัวอยําง เชํน ภาพยนตร์ คลิปวีดิทัศน์ แผนท่ี ซ่ึงรวมเป็นข๎อมูลขนาดใหญํ (big data) บูรณาการศาสตร์กับ ความสามารถในการทางานแบบอัตโนมัติ และความสามารถในการเรียนร๎ูของอุปกรณ์ (machine learning) ซงึ่ ใช๎วิทยาการด๎านปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) เป็นพื้นฐาน ส่ิงท่ีสาคัญไมํวํา เทคโนโลยีดิจิทัลจะก๎าวหน๎าไปมากเพียงใด แตํลึกลงไปถึงแกํนแล๎วยังคงต๎องพ่ึงพาอาศัยเทคโนโลยี คอมพวิ เตอร์และเทคโนโลยสี ารสนเทศ เทคโนโลยีดจิ ิทลั สกูํ ารเปลยี่ นแปลงการจดั การธุรกจิ
33 เทคโนโลยดี ิจิทัลมขี ๎อมลู สํวนหนึ่งที่สัมพันธ์กับเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นพื้นฐานสาคัญใน การเกดิ กระบวนการทางานและส่อื สารกันอยํางเป็นระบบข้ันตอน เทคโนโลยีสารสนเทศจึงเป็นเร่ืองที่ ผอู๎ าํ นควรใหค๎ วามสาคญั ไมํน๎อยกวําเทคโนโลยีดิจิทลั เทคโนโลยีสารสนเทศ เกดิ จากคาวํา เทคโนโลยี และ สารสนเทศ รวมเข๎าไว๎ด๎วยกัน เป็นการ ผสมผสานประยกุ ตใ์ ชง๎ านเทคโนโลยีมาชวํ ยเรอื่ งการผลติ การจัดการ การจดั เก็บ การสื่อสาร และการ เผยแพรขํ อ๎ มลู ซ่งึ จะชํวยอานวยความสะดวกให๎ผู๎ประกอบการธุรกิจให๎บรรลุวัตถุประสงค์ โดยในการ แสวงหาการวิเคราะห์และการจัดเก็บข๎อมูล จาเป็นต๎องอาศัยเทคโนโลยีทางด๎านคอมพิวเตอร์เข๎ามา ชํวยเพื่อให๎เกิดความรวดเร็วและแมํนยา ในทานองเดียวกันเทคโนโลยีทางด๎านเครือขํายการส่ือสาร และโทรคมนาคมสามารถชํวยให๎การเผยแพรํและแลกเปลี่ยนสารสนเทศทาได๎ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น (มฑุปายาส ทองมาก, 2559, หนา๎ 16; วศนิ เพิม่ ทรัพย,์ 2561, หน๎า 170; โอภาส เอย่ี มสริ วิ งศ์, 2561, หน๎า 15) เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ได๎รับการยอมรับวําเป็นปัจจัยสาคัญตํอการแขํงขัน ในภาคธุรกิจอยํางยั่งยืน (Dehning & Stratopoulos, 2003) เทคโนโลยีสารสนเทศชํวยเพ่ิม ประสิทธิภาพให๎กับการจัดการธุรกิจได๎จริง (Ong & Ismail, 2008) ภาคธุรกิจต๎องสามารถปรับตัวให๎ ทันตํอการเปล่ียนแปลงของสถานการณ์ มีการตอบสนองตํอแนวโน๎มการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีท่ี เกิดขึ้น เทคโนโลยีสามารถเสริมสร๎างประสิทธิภาพการดาเนินงานเชิงกลยุทธ์ (strategic operation) สร๎างโอกาสและเพิ่มความสามารถในการแขํงขนั ขององค์กร (Ward & Peppard, 2002) จากความหมายของเทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีสารสนเทศ พบวํา เป็นความหมายที่ คํอนข๎างคลุมเครือคล๎ายคลึงกันมากจนแทบจะเป็นคาเดียวกัน เพื่อให๎เข๎าใจความแตกตํางมากยิ่งขึ้น ผ๎เู ขียนจงึ สรปุ ไว๎ แสดงดงั ตารางที่ 2.1 ตารางท่ี 2.1 ความหมายของเทคโนโลยีดิจทิ ัลและเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีดจิ ทิ ลั เทคโนโลยีสารสนเทศ 1. กา ร ป ร ะ ยุ ก ต์ อ ง ค์ ค วา ม ร๎ู จ า ก ศ า ส ต ร์ ด๎ า น 1. การผสมผสานประยุกต์ใช๎งานเทคโนโลยีมาชํวย วิทยาศาสตร์ กํอให๎เกิดเป็นองค์ความรู๎ใหมํ ๆ โดย เรื่องการผลิต การจัดการ การจัดเก็บ การสื่อสาร ใช๎อุปกรณ์ทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และ และการเผยแพรํข๎อมูล ซ่ึงจะชํวยอานวยความ เทคโนโลยีสารสนเทศบรู ณาการรวํ มกัน ส ะ ด ว ก ใ ห๎ ผู๎ ป ร ะ ก อ บ ก า ร ธุ ร กิ จ ใ ห๎ บ ร ร ลุ 2. เป็นเทคโนโลยีใหมํที่ชํวยขับเคล่ือนเศรษฐกิจ วตั ถุประสงค์ เปล่ียนแปลงกระบวนการจัดการธุรกิจในรูปแบบ 2. เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นการแสวงหาการ ใหมํทมี่ เี ทคโนโลยสี ารสนเทศมาชวํ ยสรา๎ งประสบการณ์ วิเคราะห์และการจัดเก็บข๎อมูลท่ีรวดเร็วและ ท่ดี ีให๎แกผํ รู๎ ับบรกิ าร แมํนยา 3. ชํวยให๎การเผยแพรํและแลกเปล่ียนสารสนเทศทา ไดท๎ ัว่ ถึงมากยง่ิ ข้ึน เทคโนโลยีดจิ ิทัลสํูการเปลีย่ นแปลงการจัดการธรุ กจิ
34 ไพศาล จันทรงั ษี (2561, หนา๎ 27) ไดอ๎ ธิบายถึง เทคโนโลยีดิจทิ ลั กับเทคโนโลยีสารสนเทศวํา ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัล (digital technology) ถูกนามาใช๎แทนที่คาวําเทคโนโลยีสารสนเทศอยําง กว๎างขวาง เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นผลผลิต (output) ท่ีถูกออกแบบและพัฒนาข้ึนมาจากเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ ซง่ึ เทคโนโลยคี อมพวิ เตอรเ์ ปน็ สํวนประกอบท่ีสาคัญเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยผู๎เขียนได๎ ศึกษาข๎อมูลเพิ่มเติมอีกวํา เทคโนโลยีสารสนเทศมีสํวนประกอบท่ีสาคัญ 2 สํวน คือ เทคโนโลยี คอมพวิ เตอร์ (computer technology) และเทคโนโลยีการสื่อสาร (communications technology) เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการสื่อสาร เป็นโครงสร๎างพื้นฐานในการสร๎าง ระบบสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีที่กํอให๎เกิดเครื่องจักรอุปกรณ์ที่เรียกวํา คอมพิวเตอร์ และ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์น้ีเองที่มีความสามารถในการสื่อสารกันได๎ผํานระบบเครือขํายคอมพิวเตอร์ กํอให๎เกิดระบบการทางานรํวมกันได๎ (โอภาส เอย่ี มสริ ิวงศ์, 2561, หนา๎ 15) นอกจากสวํ นประกอบท่ีสาคัญของทัง้ 2 สํวนแล๎ว เทคโนโลยีสารสนเทศยังแบํงยํอยได๎เป็น 4 สํวน ได๎แกํ เทคโนโลยีด๎านฮาร์ดแวร์ ด๎านซอฟต์แวร์ ด๎านการจัดการข๎อมูล และด๎านเครือขําย โทรคมนาคม ระบบสารสนเทศจงึ ได๎รับผลกระทบจากเทคโนโลยีสารสนเทศ ยิ่งเทคโนโลยีสารสนเทศ ถูกพัฒนามากข้ึนเทําใด ระบบสารสนเทศจะมีโครงสร๎างพื้นฐานทางเทคโนโลยีท่ีสนับสนุนดียิ่งขึ้น หรือระบบสารสนเทศต๎องถูกปรับเปล่ียนฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ระบบจัดการฐานข๎อมูล และเครือขําย ใหส๎ อดคลอ๎ งกบั เทคโนโลยใี หมมํ ากขึน้ (มฑปุ ายาส ทองมาก, 2559, หนา๎ 17) สาหรับเน้อื หาตอํ จากนี้ผเ๎ู ขยี นจะกลําวถงึ เทคโนโลยดี จิ ทิ ลั เป็นหลัก ในยุคของสังคมเศรษฐกิจ ฐานความรู๎ เทคโนโลยีดิจิทัลทาให๎เกิดการส่ือสารไร๎พรหมแดน ชํวยอานวยความสะดวกและชํวย สํงเสริมให๎มีคุณภาพชีวิตที่ดีข้ึน ในปัจจุบันพบเห็นได๎จากการประยุกต์ใช๎เทคโนโลยีดิจิทัลในการ ประกอบธุรกิจตําง ๆ จานวนมาก โดยเห็นได๎จากธุรกิจสตาร์ทอัพ (startup) ตัวอยํางของสตาร์ทอัพ ในระดบั เอเชียที่ใช๎เทคโนโลยีดจิ ิทลั มาชํวยในการจัดการธุรกจิ แสดงดังตารางที่ 2.2 ตารางท่ี 2.2 สตาร์ทอัพระดบั เอเชยี สตารท์ อัพ ลักษณะการประกอบธรุ กจิ 1. โอมิเซะ (Omise) โอมิเซะ เป็นธุรกิจฟินเทค (Fintech) ให๎บริการการชาระเงินออนไลน์ โดยแอปพลิเคชันนี้ได๎ตอบโจทย์ให๎สาหรับผ๎ูใช๎สามารถชาระเงินผําน 2. ซี-กรุ๏ป ออนไลนโ์ ดยไมตํ อ๎ งทาธรุ กรรมผํานธนาคาร (Sea Group) ซี-กรุ๏ป เป็นสตาร์ทอัพรายใหญํจากประเทศสิงคโปร์ ผู๎ผลิตเกม 3. ชอ๏ ปป้ี ออนไลน์ เชํน อาร์โอวี (ROV), ฮอน (HON) และแอลโอแอล (LOL) (Shopee) เปน็ ตน๎ ไดข๎ ยายธรุ กิจด๎วยการเปดิ ตวั แอรเ์ พย์ (AirPay) บรกิ ารเติมเงิน ในเกม ช๏อปปี้ เป็นแอปพลิเคชันซื้อและขายสินค๎าออนไลน์จากสิงคโปร์ มี ระบบให๎บริการการชาระเงินท่ีปลอดภัย เรียกวํา ช๏อปปี้-แกเรินที (Shopee Guarantee) เทคโนโลยดี จิ ทิ ัลสูกํ ารเปล่ียนแปลงการจดั การธุรกจิ
35 สตาร์ทอัพ ลกั ษณะการประกอบธรุ กจิ 4. เสยี วหม่ี (Xiaomi) เสียวหม่ี เป็นผู๎ผลิตสมาร์ทโฟนขนาดใหญํอันดับ 3 ของโลก รองจาก แอปเปิ้ล (Apple) และซัมซุง (Samsung) แบรนด์เทคโนโลยีท่ีมี 5. ฟล๊ิปคารท์ ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เชํน สมาร์ทวอร์ช (Smart watch) พาวเวอร์ (Flipkart) แบงค์ (Powerbank) เป็นตน๎ 6. โกเจ็ก ฟลิ๊ปคารท์ เป็นเวบ็ ไซต์ร๎านคา๎ ปลกี ออนไลนใ์ นตลาดอินเดีย เป็นคํูแขํง (Go-Jek) ของ อเมซอน (Amazon) ทเ่ี ตบิ โตมาจากการขายหนังสือผํานชํองทาง ออนไลน์ 7. โอลา-แค็บส์ (Ola Cabs) โกเจ็ก เป็นสตาร์อัพจากอินโดนีเซีย ชํวยแก๎ไขปัญหาการเดินทางใน จาการ์ตา แอปพลิเคชันน้ียังขยายไปให๎บริการรถแท็กซี่พร๎อมท้ังแตก 8. เคลยี ร์-แท็กซ์ ไลน์ไปยังบริการขนสํงที่หลากหลายอีกด๎วย ซ่ึงทุกบริการท่ีมีน้ันเน๎น (ClearTax) การสงํ ตรงถงึ บ๎าน เพอื่ ลดการเดินทางของประชาชน โอลา-แค็บส์ สตาร์ทอัพจากอินเดียท่ีให๎บริการไบค์ แชร์ริ่ง (Bike Sharing) เพื่อรองรับเทรนด์และการเติบโตของธุรกิจ มีวัตถุประสงค์ เพื่อค๎นหาจักรยานด๎วยระบบจี-พี-อา-เอส (GPRS) สแกนรหัสเพื่อ ปลดลอ็ ก หลังจากชาระคําเชาํ แลว๎ กส็ ามารถปน่ั จักรยานต์ได๎ทันที เคลียร์-แท็กซ์ เป็นสตาร์ทอัพอินเดียที่จะชํวยให๎เรื่องภาษีในอินเดีย แพลตฟอร์มของเคลียร์-แท็กซ์ชํวยจัดการด๎านภาษีที่ซับซ๎อนในอดีต ซง่ึ แตลํ ะรัฐในอินเดยี จะมกี ารจัดการภาษีที่ตาํ งกนั เคลียร์-แท็กซ์ได๎เข๎า มาแกป๎ ญั หาภาษีน้ีอยํางครบวงจร ที่มา (ThaiSMEsCenter, 2562) จากการใช๎ประโยชน์เทคโนโลยีดิจิทัล หากจะกลําววํามีความสาคัญตํอการจัดการธุรกิจ หรือไมํคงปฏิเสธได๎ยาก ความสาคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีตํอการจัดการธุรกิจ ผ๎ูเขียนสามารถสรุป รายละเอียดไดด๎ ังน้ี 1. ชํวยเพมิ่ ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในภาคธุรกิจ สามารถทาให๎มนุษย์ทางานได๎รวดเร็ว ถกู ต๎อง และแมนํ ยามากย่ิงขน้ึ 2. ชํวยด๎านการบริการ มีบริการใช๎ระบบฐานข๎อมูลในเครือขําย ผู๎ที่ต๎องการใช๎บริการ สามารถใชร๎ ะบบฐานขอ๎ มูลจากสถานท่ีใดหรอื เวลาใดกไ็ ด๎ 3. ชวํ ยดาเนินการในหนํวยธรุ กิจ เป็นการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาจดั ระบบการทางานให๎ มปี ระสิทธภิ าพมากยิง่ ข้นึ 4. ชํวยอานวยความสะดวกในชีวิตประจาวัน เชํน การรับข๎อความผํานทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรอื การบันทึกขอ๎ มูลภาพด๎วยกลอ๎ งดิจิทัล เป็นตน๎ จากความสาคัญของเทคโนโลยีดิจิทัล สํงผลตํอประสิทธิภาพการจัดการธุรกิจท่ีมากข้ึนในยุค แหํงสารสนเทศ อานวยความสะดวกในด๎านตําง ๆ ทั้งผ๎ูที่เป็นผู๎ประกอบการธุรกิจเองและผู๎บริโภคท่ี เทคโนโลยีดจิ ทิ ัลสกํู ารเปลย่ี นแปลงการจัดการธรุ กจิ
36 เป็นลูกค๎า ในเชิงการจัดการธุรกิจผ๎ูบริหารสามารถใช๎งานเทคโนโลยีดิจิทัลในการบันทึกและจัดเก็บ ข๎อมูลเข๎าสํูระบบเพ่ือใช๎ในการประมวลผล การรวบรวมข๎อมูลจะใช๎อุปกรณ์ที่ทาหน๎าที่รับข๎อมูล เชํน แป้นพิมพ์ เคร่ืองอํานบัตรอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องอํานบาร์โค๎ด เป็นต๎น ใช๎ในการประมวลผลข๎อมูลที่ รวบรวมจากอุปกรณ์รับข๎อมูลและจากส่ือเก็บข๎อมูลตําง ๆ เชํน แผํนดิสเกตต์ แผํนซีดี และแผํนดีวีดี เป็นต๎น ข๎อมูลจะถูกนามาประมวลผลตามโปรแกรมหรือคาสั่งท่ีกาหนด ใช๎เพ่ือการแสดงผลท่ีได๎จาก การประมวลผลไปแสดงยังอุปกรณ์ท่ีทาหน๎าที่แสดงผล การแสดงผลลัพธ์อาจอยูํในรูปของตัวอักษร ภาพ เสยี ง และสอ่ื ประสมตาํ ง ๆ และส่ิงสาคัญที่จะทาให๎ข๎อมูลและสารสนเทศเชื่อมโยงหากันได๎ เป็น การใช๎เทคโนโลยีสารสนเทศในการสื่อสารและเครือขําย ซึ่งเป็นการสํงข๎อมูลและสารสนเทศท่ีหนึ่งไป ยังอีกที่หน่ึงเพ่ือให๎คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารสามารถทางานได๎หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะ การใช๎อุปกรณแ์ ละสารสนเทศรํวมกัน การเช่อื มตํออาจผํานทางสายโทรศัพท์ ทางอากาศ และสายเคเบิล ทง้ั ความหมายและความสาคัญของเทคโนโลยีดิจิทัล มคี วามสัมพันธก์ ับการจัดการสมัยใหมํได๎ อยํางไร ผ๎ูบริหารต๎องบูรณาการกระบวนจัดการเพื่อให๎ธุรกิจบรรลุตามเป้าหมาย การจัดการเป็น กิจกรรมท่ีต๎องดาเนินควบคูํกันไปกับการบริหาร สาหรับการบริหารจัดการองค์การ นอกจากจะเป็น ภาระหน๎าที่ของผู๎บริหารแล๎ว บุคคลอื่นหรือสมาชิกในองค์การถือวําเป็นสํวนหนึ่งท่ีจะทาให๎องค์การ บรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายท่ีวางไว๎ ความเจริญก๎าวหน๎าทางเทคโนโลยีมีมากข้ึนกํอให๎เกิดองค์ ความร๎เู ปน็ จานวนมาก ทาใหส๎ ภาพแวดลอ๎ มตาํ ง ๆ เปลีย่ นแปลงไปอยํางรวดเร็ว ไมํวําจะเป็นทางด๎าน เศรษฐกิจ สังคม การเมอื ง เทคโนโลยี รวมไปถงึ นวตั กรรมใหมํ ๆ ท่ีเกดิ ข้ึน จากการเปล่ียนแปลงสํงผล กระทบตอํ การบริหารจัดการองค์การอยํางมาก ทาให๎ผู๎บริหารต๎องพบกับปัญหาในความไมํแนํนอนใน ด๎านเทคโนโลยีและองค์ความรูร๎ วมถึงนวัตกรรมใหมํ ๆ ผู๎เขียนขอยกตัวอยํางเทคโนโลยีดิจิทัลที่ผู๎เขียนเคยใช๎บริการเพื่อให๎เห็นถึงความสาคัญ วําเทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นสํวนหน่ึงการใช๎ชีวิตและสามารถกลํา วได๎วําสาคัญตํอการดารงชีวิต จากการดารงชีวิตแบบเดิมผู๎เขียนมีความต๎องการสั่งอาหารมารับประทานที่บ๎าน จากการที่ต๎อง ออกไปซื้อด๎วยตนเองหรือฝากคนใกล๎ตัวไปซื้อมาให๎ ซึ่งก็ใช๎ระยะเวลารอนานพอสมควรกวําจะ ได๎รับประทานอาหารนั้น หลังจากที่มีบริการแกร็บ (Grab) จึงทาให๎การส่ังอาหารเป็นเพียงแคํปลายนิ้ว เทําน้ัน โดยแอปพลิเคชันที่ใช๎ส่ังอาหาร แสดงดังภาพที่ 2.1 ภาพท่ี 2.1 แอปพลิเคชันแกร็บ (Grab) ที่มา (Grab Press Centre, 2563) เทคโนโลยดี จิ ิทัลสกูํ ารเปล่ียนแปลงการจัดการธรุ กิจ
37 แกร็บมีบริการที่หลากหลาย ไมํวําจะเป็นอาหารมาร์ท (mart) สํงของ ข๎อเสนอ รีวอร์ด รถยนต์ จักรยานยนต์ เป็นต๎น เม่ือเข๎าใช๎บริการหน๎าจอจะแสดงรายระเอียดดังที่กลําวไว๎ ผู๎เขียนได๎มีโอกาสใช๎บริการแอปพลิเคชันแกร็บ โดยใช๎บริการสั่งอาหาร ซึ่งแกร็บเป็น แพลตฟอร์มที่มีระบบขั้นตอนอยํางชัดเจน ในขณะที่ใช๎บริการจะแสดงสถานะการใช๎งานในทุก ขั้นตอน ทั้งน้ีเองเพ่ือสร๎างความมั่นใจและความนําเชื่อถือให๎กับผู๎ใช๎บริการ ตัวอยํางรายละเอียด หน๎าจอการใช๎บริการ แสดงดังภาพท่ี 2.2 ภาพท่ี 2.2 ตัวอยํางการส่ังอาหารผํานแกร็บ (Grab) ท่ีมา (Grab Press Centre, 2563) เทคโนโลยดี จิ ิทัลสํกู ารเปลีย่ นแปลงการจัดการธรุ กจิ
38 จากความสะดวกสบายที่เกิดขึ้นในการใช๎ชีวิตที่พึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัล จึงทาให๎เห็นวํา เทคโนโลยีดิจิทัลมีความสาคัญมากขึ้นในการใช๎ชีวิต การจัดการจึงเป็นเรื่องที่ท๎าทายอยํางยิ่ง สาหรับผ๎ูบริหารในสังคมดิจิทัล การจัดการสมัยใหมํที่สอดคล๎องกับโลกแหํงอนาคตจึงจะทาให๎ธุรกิจ เจริญกา๎ วหนา๎ และอยูํตอํ ไปได๎ ผ๎บู ริหารจึงจาเปน็ ต๎องเรยี นรู๎และทาความเข๎าใจการจัดการธุรกิจภายใต๎ เทคโนโลยีดิจิทัล หากเทคโนโลยีดิจิทัลมีอิทธิพลตํอการดาเนินธุรกิจ ในฐานะนักบริหารจะมีวิธีการ อยํางไรในการจัดการธรุ กิจไปสํเู ปา้ หมายไดอ๎ ยาํ งมปี ระสิทธภิ าพและประสิทธผิ ล เทคโนโลยีดจิ ิทลั สู่การเปล่ยี นแปลงกระบวนการธุรกิจ สาหรับทิศทางเทคโนโลยีดิจิทัล มีการพัฒนาอยํางตํอเน่ืองไมํใชํเพียงในสํวนของตัวอุปกรณ์ เทําน้ันท่ีมีขนาดเล็กลง การประหยัดพลังงานมากข้ึน แตํส่ิงสาคัญไปกวํานั้นเป็นการพัฒนาให๎อุปกรณ์ ตําง ๆ สื่อสารกันได๎โดยผํานเครือขํายอินเทอร์เน็ต การจัดการธุรกิจต๎องอาศัยเทคโนโลยีเป็นเคร่ืองมือ สาคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการจัดการธุรกิจ เทคโนโลยีดิจิทัลถูกนาเข๎ามาใช๎ในแตํละสํวนงานของ ภาคธุรกิจเป็นจานวนมากขึ้น เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นปัจจัยหนึ่งที่กํอให๎เกิดการเปลี่ยนแปลงการจัดการ ธรุ กจิ แนวโนม๎ เทคโนโลยดี จิ ทิ ัลสมัยใหมํได๎ถูกพัฒนาอยํางตํอเน่ืองเพ่ือให๎สอดคล๎องกับสถานการณ์ ในปัจจุบัน เทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหมํท่ีถูกพัฒนามีจานวนหลากหลาย แตํสิ่งท่ีนําสนใจเป็นพิเศษท่ี ผู๎เขียนเลือกท่ีจะนาเสนอในหนังสือเลํมน้ี คือ ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) และ อินเทอรเ์ นต็ สรรพสงิ่ (internet of things) โดยมีการอธบิ ายไวด๎ ังนี้ 1. ปัญญาประดิษฐ์ เป็นเทคโนโลยีท่ีถูกสร๎างและพัฒนาขึ้นให๎ทางานได๎อยํางอัจฉริยะ ซ่ึง สามารถทางานเลยี นแบบพฤติกรรมมนุษย์ได๎และยังอัจฉริยะในด๎านการทางานท่ีต๎องใช๎การคานวณที่ยาก และซับซ๎อน มีระบบที่คิดอยํางมีเหตุผลและระบบที่กระทาอยํางมีเหตุผล จึงทาให๎ค๎นพบวําเทคโนโลยี กาลังพยายามทาความเข๎าใจมนุษย์มากขึ้น (วศิน เพ่ิมทรัพย์, 2561, หน๎า 29-30) แตํสิ่งหนึ่งท่ี ปัญญาประดิษฐ์ยังคงทาได๎ไมํเหมือนมนุษย์ คือ ความรู๎สึก ซ่ึงระบบยังไมํสามารถพัฒนาได๎ถึงขั้นนี้ ตัวอยํางปัญญาประดิษฐ์ เชํน ระบบผ๎ูชํวยเหลือ (virtual assistant) ระบบดีพเลิร์นนิ่ง (deep learning) ระบบควบคุมหุํนยนต์ (robotics) ระบบแชทบอท (chat bot) การคานวณยอดส่ังซื้อแบบอัตโนมัติใน แอปพลิเคชันลาซาด๎า (lazada) และช๎อปป้ี (shopee) ระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ การระบุตัวตนผู๎รับ เอกสาร การระบุด๎วยไบโอเมทริกซ์ด๎วยการใช๎ระบบเสียง ลายน้ิวมือ ใบหน๎า ภาษากาย (biometric identification) และระบบประมวลภาษาธรรมชาติ (natural language processing) หรือเรียกวํา เอ็น แอลพี (NLP) เปน็ ตน๎ ผู๎เขียนได๎มีโอกาสอํานขําวหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ฉบับวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 (ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, 2564) เก่ียวกับปัญญาประดิษฐ์สาว ท่ีมีนามวํา “อมิเลีย” โดย กลําววํา มีความฉลาดท่ีสุดในวงการเทคโนโลยีการเงิน เชื่อหรือไมํวํา บริษัท สตาร์ฟิช ดิจิทัล (Starfish Digital) มีความไวว๎ างใจเลือกใช๎ อมิเลีย ปัญญาประดิษฐ์สาวให๎ทาหน๎าท่ีเป็นเจ๎าหน๎าท่ีคอล เซน็ เตอร์ ดแู ลการให๎บริการทางดา๎ นเทคโนโลยีขยายฐานลกู คา๎ เทคโนโลยดี จิ ทิ ัลสูกํ ารเปลีย่ นแปลงการจดั การธุรกจิ
39 จากประโยชน์ปัญญาประดิษฐ์สามารถประยุกต์ใช๎กับสายงานธุรกิจ ได๎อยํางหลากหลาย อยํางไรก็ตาม ปัญญาประดิษฐ์ยังคงต๎องมีมนุษย์เป็นผู๎ควบคุมดูแลระบบ และยังต๎องรํวมทางานกับ ปัญญาประดิษฐ์ และยังมีส่ิงท่ีปัญญาประดิษฐ์ทาไมํได๎ คือ หลักคุณธรรมจริยธรรม ซ่ึงเป็นเร่ืองท่ี มนุษย์เทําน้ันท่ีเข๎าใจ ปัญญาประดิษฐ์ไมํมีอารมณ์ความรู๎สึกนึกคิดเชํนเดียวกับมนุษย์ แตํเร่ือง คณุ ธรรมจริยธรรมเปน็ หลกั การหน่งึ ของนักบรหิ ารธุรกิจทีถ่ อื วาํ เปน็ คุณสมบัติสาคัญ ดงั น้ัน เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ มปี ระโยชน์ในการเป็นเคร่ืองทํุนแรงอยํางดีและลดระยะเวลาการทางานให๎กับมนุษย์ ชํวยให๎ธุรกิจประสบความสาเร็จตามเป้าหมาย ในยุคของเทคโนโลยีเปล่ียนโลกเชํนนี้จึงเป็นเรื่องท๎าทาย การนาไปสกํู ารเปล่ียนแปลงทางธุรกิจ ปัญญาประดิษฐ์มิได๎เป็นเพียงเทคโนโลยีเดียวท่ีจะมีอิทธิพลตํอ การเปลี่ยนแปลงทางธุรกจิ เพียงอยาํ งเดียว แตยํ ังมีระบบอินเทอร์เน็ตสรรพสิ่งที่สามารถประยุกต์ใช๎ใน การจัดการธุรกิจได๎ ซ่ึงเป็นระบบท่ีทาให๎วัตถุอุปกรณ์เช่ือมตํอกันด๎วยระบบเครือขํายอินเทอร์เน็ต ยิ่ง อานวยความสะดวกในการบันทกึ แลกเปล่ยี นขอ๎ มลู สารสนเทศกันได๎งํายขนึ้ ในการจัดการธุรกจิ 2. อินเทอร์เน็ตสรรพสิ่ง เป็นเทคโนโลยีที่สาคัญในการพัฒนาประเทศสูํการเป็นประเทศ อุตสาหกรรม 4.0 เป็นเทคโนโลยีเช่ือมตํออุปกรณ์ส่ิงของเคร่ืองใช๎ท่ีอานวยความสะดวกให๎กับมนุษย์ ด๎วยระบบเครือขํายอินเทอร์เน็ต ซ่ึงแตํละอุปกรณ์จะมีการฝังตัวของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ซอฟต์แวร์ เซ็นเซอร์ ซ่ึงอุปกรณ์เหลําน้ีสามารถเก็บบันทึกและแลกเปล่ียนข๎อมูลกันได๎ อีกทั้งสามารถรับรู๎ สภาพแวดล๎อมและถูกควบคุมได๎จากระยะไกล ผํานโครงสร๎างพื้นฐานการเช่ือมตํอเข๎ากับสมาร์ทโฟน เทําน้ัน แตํอินเทอร์เน็ตสรรพสิ่งสามารถประยุกต์ใช๎กับอุปกรณ์ทุกอยํางท่ีถูกออกแบบมาให๎เช่ือมโยง กนั ไดบ๎ นเครือขํายอนิ เทอร์เนต็ เพือ่ ทจ่ี ะสามารถส่ือสารกันได๎ ปัจจุบันมีการนาอินเทอร์เน็ตสรรพสิ่งไป พัฒนาในแอปพลิเคชันอยํางหลากหลายระบบ เชํน บ๎านอัจฉริยะ (smart home) เมืองอัจฉริยะ (smart city) สมาร์ทเฮลท์แคร์ (smart health care) สมาร์ท อินดัสทร่ี (smart industry) สมาร์ทไลฟ์ (smart life) เปน็ ต๎น อินเทอร์เน็ตสรรพสิ่ง กลายเป็นสํวนหนึ่งของการใช๎ชีวิตประจาวันมากข้ึน ไมํวําจะเป็นชํวง ของการดาเนนิ ชีวิตในบา๎ น สถานท่ีทางาน แม๎กระท่ังระหวํางเดินทาง สามารถอานวยความสะดวกใน การใช๎ชีวิตประจาวันได๎คลํองตัวมากยิ่งขึ้น คนเรามีความสะดวกสบายในการใช๎ชีวิต ในขณะเดียวกัน คนเราพยายามหาสิ่งอานวยความสะดวกให๎กับตัวเองมากขึ้น ภาคธุรกิจก็เชํนกันท่ีสามารถใช๎ ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตสรรพส่ิงเพื่อสร๎างความได๎เปรียบในการแขํงขันได๎ ดังคากลําวท่ีวํา อนิ เทอรเ์ น็ตสรรพส่ิงจะทาให๎อุปกรณ์อเิ ลก็ ทรอนิกส์เช่ือมโยงกันได๎ในระบบเครือขําย สิ่งหนึ่งท่ีต๎องพึง ระวงั ความเส่ยี งตอํ ภยั คกุ คามต้ังแตํระดบั บุคคลไปจนถึงองค์การมากข้ึน ดังน้ัน การเตรียมความพร๎อม รับมือภัยคุกคามที่มาพร๎อมกับเทคโนโลยีดิจิทัลสูํการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ ควรเป็นเร่ืองที่ผ๎ูบริหารต๎อง ให๎ความสาคญั และมีการเตรียมความพร๎อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทจ่ี ะเกิดข้นึ เสมอ ปัจจุบันการจัดการธุรกิจด๎วยเทคโนโลยีดิจิทัล เป็นกิจกรรมท่ีท๎าทายสาหรับผู๎บริหารอยํางมาก เพราะเทคโนโลยีดิจิทัลมีการเปล่ียนแปลงอยูํสม่าเสมอและเกิดขึ้นใหมํได๎อยํางรวดเร็ว แตํถึงอยํางไรก็ตาม ยังมีธุรกจิ บางแหํงท่ีสามารถฉกฉวยโอกาสในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงนี้จนสามารถจัดการธุรกิจภายใต๎ เทคโนโลยดี จิ ิทัลได๎จนประสบความสาเร็จ ตํอไปน้ีจะเป็นตัวอยํางการจัดการธุรกิจภายใต๎เทคโนโลยีดิจิทัล ที่ประสบความสาเร็จและเป็นท่ีร๎ูจักกันดี ได๎แกํ อเมซอนดอทคอม (amazon.com) เมืองอัจฉริยะ (smart city) และเลนํ นา้ (Len-Nam) ซง่ึ สุพล พรหมมาพนั ธุ์ (2560) ได๎ยกตวั อยาํ งไว๎ดงั น้ี เทคโนโลยีดจิ ิทลั สํูการเปลีย่ นแปลงการจัดการธุรกิจ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297