2. ดชั นีมวลกายของนักเรียนโรงเรียนสาธิตนวัตกรรมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี พบว่า ในภาพรวมนักเรียนอยู่ในระดับปกติ และผอม (Department of Physical Education, 2000) เน่ืองจาก ผู้ปกครองได้รับข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับการดูแลสุขภาพร่างกายด้านโภชนาการและการออกกาลังกาย ดังนั้น จึงส่งผลให้มีการเอาใจใส่ในด้านการส่งเสริมให้ลูกหลานของตนมีสภาพร่างกายที่อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ สอดคล้องกับงานวิจัยของ อรชุลี นิราศรพ ผกามาศ รัตนบุษย์ และกฤชญา พุ่มพิน (Onchulee Niradrop, Phakamas Ratanabuth, & Kritchaya Poompin, 2018) ผลการวิจัยพบว่า จากข้อมูลของนักเรียนชาย และหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 6 จานวน 566 ราย พบว่า นกั เรียนหญิงมีค่าความหนาของไขมนั ใต้ผิวหนัง มากกว่านักเรียนชาย การทดสอบสมรรถภาพทางกาย 6 รายการ ของนักเรียนชายและนักเรียนหญิงทุก ระดับชั้นอยู่ในเกณฑ์ดี งานวิจัยของ ธนา มหาการะเกตุ (Thana Mahakaraket, 2016) ได้ศึกษาเกณฑ์ปกติ สมรรถภาพทางกายเพื่อสขุ ภาพของนักเรยี นชั้นประถมศึกษา อายุ 7 - 9 ปี ผลการศึกษาพบวา่ นกั เรียนส่วนใหญ่ มีสมรรถภาพทางกายตามเกณฑ์ปกติ และงานวิจัยของ พลกฤษณ์ เจริญมูล สุนทรา กล้าณรงค์ และชัยลิขิต สร้อยเพชรเกษม (Pholkrit Charoenmool, Suntara Klansrong, & Chailikit Soikasem, 2018) ผลการศึกษา สมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพของนักเรียนกลุ่มทดลองโรงเรียนอนุบาลยะรัง หลังจากการฝึก (Post - test) โปรแกรมกิจกรรมทางกายที่ผวู้ ิจยั พฒั นาขึ้นพบวา่ วัดความหนาของไขมันใตผ้ ิวหนังอยู่ในเกณฑ์สมสว่ น 3. สมรรถภาพทางกายของนักเรียนโรงเรยี นสาธติ นวตั กรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธัญบรุ ี จากการศึกษาพบว่า นักเรียนชายมีการพัฒนาการของสมรรถภาพไม่แตกต่างจากนักเรียนหญิง เมื่อพจิ ารณาตาม สมรรถภาพตามระดับชั้นของนักเรียนพบว่า นักเรียนท้ังเพศชายและเพศหญิงย่อมมีพัฒนาการของสมรรถภาพ ทางกายทด่ี ีข้ึนตามระดบั ชั้นอยา่ งตอ่ เนื่อง เนอ่ื งจากการทมี่ นุษยเ์ รามีสภาพรา่ งกายที่เพ่มิ ขน้ึ มกี ารทากิจกรรม ท่จี ะตอ้ งปฏบิ ัตใิ นการดารงชีวิตเพ่ิมมากขึ้น ยอ่ มมีการพัฒนาทางด้านร่างกายซ่ึงเปน็ สิ่งสาคญั ในการดารงชีวิต ผู้ท่ีมีสมรรถภาพทางกายทีด่ ีจะมีการเจริญเติบโตที่สมวยั จะสามารถดาเนินกิจกรรมในชีวิตประจาวนั ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ซง่ึ สอดคล้องกับงานวจิ ัยของ อรชุลี นิราศรพ ผกามาศ รัตนบุษย์ และกฤชญา พุ่มพิน (Onchulee Niradrop, Phakamas Ratanabuth, & Krigchaya Poompin, 2018) ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนระดับช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี 1 - 6 มคี ่าเฉล่ียสมรรถภาพทางกายที่สูงข้ึนตามลาดับช้นั ปี เม่ือมีอายุเพิ่มขึ้นความ สามารถ ทางสมรรถภาพของด้านร่างกายก็จะดีขึ้นตามไปด้วย และสอดคลอ้ งกับงานวิจัยของ ธนา มหาการะเกตุ (Thana Mahakaraket, 2016) ได้ศึกษาเกณฑ์ปกติสมรรถภาพทางกายเพ่ือสุขภาพของนักเรียนชั้นประถมศึกษา อายุ 7 - 9 ปี ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนชายและหญิง อายุ 7 - 9 ปี มีสมรรถภาพทางกายเพ่ือสุขภาพ แต่ละรายการทดสอบ มีพัฒนาการสูงขึ้นจากระดับสมรรถภาพต่าข้ึนไปถึงระดับสมรรถภาพปานกลาง จากปานกลางไปถึงดี จากดีขนึ้ ไปถงึ ระดับดมี าก (ช่วงอายุ 7 - 9 ปี อย่ใู นระดับ ป.1 – ป.3 ตามเกณฑ)์ สรุป ข้อมูลท่ีได้จากการวิจัยคร้ังนี้ ครูพลศึกษาของโรงเรียนสาธิตนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลธญั บรุ ีสามารถใชท้ ดสอบสมรรถภาพทางกายของนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษา แยกสาหรับนกั เรียนชาย นักเรียนหญิงและในแต่ละระดับช้ันได้อย่างเหมาะสม และสามารถนามาปรับปรุงการเรียนการสอนวิชา พลศึกษาใหเ้ หมาะสมกับผูเ้ รียน
ขอ้ เสนอแนะ (Recommendations) ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัย 1. ผู้บริหารต้องมีความรู้ความเข้าใจและเห็นความสาคัญของการมีสมรรถภาพทางกายที่ดีของ นกั เรยี น 2. โรงเรียนควรให้ผู้ปกครองมีโอกาสร่วมกิจกรรมทางพลศึกษาเพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจ และเห็น คุณค่าของสมรรถภาพทางกายของนักเรียน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้นักเรียนได้มีการพัฒนา สมรรถภาพทางกายของตนได้ 3. ครูผู้สอนควรมีการทดสอบสมรรถภาพทางกายในแต่ละระดับชั้นมากกว่า 1 ครั้ง เพ่ือหาแนวทาง ปรับปรุงขอ้ บกพรอ่ งและหาทางสง่ เสรมิ ใหน้ ักเรยี นมสี มรรถภาพทางกายทด่ี ี 4. ครูผู้สอนวชิ าพลศึกษาสามารถนาผลจากการศกึ ษาไปประเมนิ สมรรถภาพทางกายของนกั เรยี นใน ทุกภาคเรียนอยา่ งสม่าเสมอ เพ่อื ใชใ้ นการพฒั นาและส่งเสริมใหน้ ักเรียนมีสมรรถภาพทางกายท่ีดขี น้ึ 5. ควรปลูกฝังให้นักเรียนออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ โดยช้ีแจงให้ผู้ปกครองทราบถึงความสาคัญ ในเรอ่ื งการออกกาลงั กายและการควบคุมอาหารให้มีน้าหนักอย่ใู นเกณฑ์มาตรฐานได้ ขอ้ เสนอแนะในการทาวิจัยคร้ังต่อไป 1. ควรมีการศึกษาเกณฑ์ปกติเพื่อสมรรถภาพทางกายของนักเรียนในกลุ่มโรงเรียนสาธิตทั้งในเขต กรงุ เทพมหานครและปริมณฑล 2. ควรมีการเปรียบเทียบเกณฑ์ปกติสมรรถภาพทางกายของนักเรียนระดับชั้นอ่ืน ๆ กับเกณฑ์ มาตรฐานของกรมพลศกึ ษา เพอื่ จะได้นาผลการเปรียบเทยี บมาปรับปรุงสมรรถภาพทางกายให้ดีข้นึ 3. ควรมีการทดสอบสมรรถภาพทางกายของนักเรยี นระดับช้ันอื่น ๆ ในโรงเรียน เพื่อนามาสร้างเป็น เกณฑป์ กตแิ ละจะได้นาไปใช้ในการพฒั นาดา้ นสมรรถภาพทางกายของนกั เรยี นต่อไป References BRU Personnal. (2018). Physical Fitness. Retrieved from http://blog.bru.ac.th/wp-content/ uploads/bp-attachments/11791/บทท่ี-3-สมรรถภาพทางกาย.pdf Bunsom Martin, & Teppanom Muangman. (1995). Health and Physical Education. Bangkok: Aksorn Charoen Touch. Department of Physical Education. (2000). Physical Education in the National Curriculum. Thailand. Department of Physical Education. Innovation Demonstration School of Rajamangala University of Technology Thanyaburi. (2015). Annual Report 2014. Pathum Thani: Innovation Demonstration School of Rajamangala University of Technology Thanyaburi. Ministry of Education. (2002). Documentation of basic education curriculum, year 2001: Guidelines for preparing an educational institution curriculum. Bangkok: Printing guru of LAT phrao. Office of Sport and Recreation Development, Department of Physical Education. (2000). Testing and Evaluation of Physical Fitness of Elementary School Students Aged 7 - 9 Years. Bangkok: Department of Physical Education.
Office of the Basic Education Commission. (2000). Guidelines for Developing the Implementation of Internal Quality Assurance of the school for the Preparedness for the External Quality Assessment. Bangkok: Office of the Basic Education Commission. Onchulee Niradrop, Phakamas Ratanabuth, & Kritchaya Poompin (2018). Physical fitness norms for grade 1 – 6 students of Ramkhamhaeng University Demonstration Elementary School. Vajira Medical Journal: Journal of Urban Medicine, 62(2), 109 - 118. Pholkrit Charoenmool, Suntara Klansrong, & Chailikit Soikasem. (2018). The effect of physical activities program on exercise behavior and health - related physical fitness of lower primary school students. In The 13th RSU National Graduate Research Conference, pp. 1963 - 1976. Phathum Thani: Rangsit University. Pornkeaw Noukham. (2015). Construction of physical fitness norm’s for 7- 9 years old students of Vientiane Lao people’s democratic republic (Doctoral dissertation), Burapha University. Physical Fitness. (2018). Construction Physical Fitness Test and Norms for Thai of Age 19-59. Bangkok: Sport Science Bureau. Suppawan Vongsrangsap, Mayuree Tanomsuk, & Somboon Silrungtham. (2012). Health - related physical fitness norms for Students of Kasetsart University Laboratory School, KamphaengSaen Campus. Proceeding: The 9th National Kasetsart University KamphaengSaen Conference Nakhon Pathom: Kasetsart University Research and Development Institute. Thana Mahakaraket. (2016). A study of the health – related physical fitness norms for the primary school students between the age of 7 – 9 years old in Khanuworalaksaburi School, Kamphaengphet Province under the Office of Kamphaengphet Primary Education Service Area 2 (Doctoral dissertation), Nakhon Sawan Rajabhat University. Wikipedia. (2020). Education in Thailand. Retrieved from https://th.wikipedia.org/wiki/ การศกึ ษาในประเทศไทย Received: Aug 18, 2020 Revised: Nov 30, 2020 Accepted: Dec 1, 2020
ผลของการเปดิ รบั ส่อื กบั การรับรู้ของประชาชนที่มตี อ่ การประชาสมั พนั ธก์ ารท่องเท่ยี ว จังหวัดสพุ รรณบรุ ี สกุ ัญญา บุญน้อม ศรณั ยา สินสมรส ศรัณยู รอดเรือง นพิ นธ์ ดุษณีย์ พงษ์พนั ธ์ สนุ ทรสติ และ เมธี อคั รอดุ มชัย คณะศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยการกีฬาแหง่ ชาติ วทิ ยาเขตสุพรรณบรุ ี บทคดั ย่อ วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้ เพื่อศึกษาผลของการเปิดรับสื่อการท่องเที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรีของ ประชาชนในเขตอาเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี และการรับรู้ของประชาชนในเขตอาเภอเมือง จังหวัด สพุ รรณบุรที มี่ ตี อ่ การประชาสัมพันธ์การท่องเทีย่ วจงั หวัดสุพรรณบุรี เครื่องมอื ในการวิจัย ไดแ้ ก่ แบบสอบถาม ซึ่งประกอบด้วย 3 ตอน ตอนที่ 1 เกี่ยวกับข้อมูลลักษณะทางประชากร ตอนที่ 2 เกี่ยวกับการเปิดรับส่ือการ ทอ่ งเที่ยว จังหวัดสุพรรณบุรี ตอนที่ 3 เกี่ยวกับการรับรขู้ องประชาชนท่ีมีตอ่ การประชาสมั พันธ์การท่องเที่ยว จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นแบบสอบถามมาตรวัดประเมินค่า 5 ระดับ มีค่าความเท่ียงตรง 0.8704 และค่าความ เชื่อมั่น ได้เท่ากบั 0.9012 กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนในเขตอาเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ประกอบด้วย 20 ตาบล จานวน 499 คน ด้วยการสุ่มแบบบังเอิญ (Accidental Selection) และใช้สถิติการวิเคราะห์เชิงพรรณา ประกอบไปดว้ ย รอ้ ยละ คา่ เฉล่ีย ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน ผลการศกึ ษา 1. ผ้ตู อบแบบสอบถาม เพศหญงิ (ร้อยละ 53.71) เพศชาย (ร้อยละ 46.29) สว่ นใหญ่ อายุ 15 - 25 ปี อาชพี นักศึกษา และรายได้ตา่ กว่า 15,000 บาท 2. การเปิดรับสื่อการท่องเท่ียวจังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนใหญ่จากส่ือบุคคลท่ีเป็นเพื่อนบ้าน สื่อส่ิงพิมพ์ ทเี่ ปน็ แผน่ พบั โปสเตอร์ โบรชวั รข์ องแหลง่ ท่องเทยี่ ว สื่ออนิ เทอร์เน็ตทเ่ี ป็น Facebook และสอ่ื กลางแจ้งท่เี ป็น ป้ายบิลบอรด์ ตามทางแยกทั่วไป 3. การรับรูข้ องประชาชนตอ่ การประชาสัมพันธ์การท่องเทีย่ ว จงั หวัดสพุ รรณบุรี พบว่า การรบั รู้ ของประชาชนต่อการประชาสัมพันธ์การท่องเท่ียว ด้านการท่องเท่ียวด้านสถาปัตยกรรมและโบราณสถานดี ท่ีสุด (������̅ = 3.92) รองลงมาได้แก่ ด้านการท่องเที่ยวด้านนันทนาการ (������̅ = 3.89) ด้านการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ (������̅ = 3.84) และด้านการท่องเทย่ี วด้านศิลปวัฒนธรรม (������̅ = 3.82) ตามลาดบั คาสาคญั : การเปิดรับส่ือ; การรับรู้; การประชาสัมพันธ์; การท่องเท่ียว Corresponding Author: นางสาวสุกัญญา บญุ น้อม มหาวทิ ยาลยั การกฬี าแห่งชาติ วทิ ยาเขตสุพรรณบุรี Email: [email protected]
THE RESULT OF MEDIA EXPOSURE IN TOURISM AND PERCEPTION OF PEOPLE ON THE TOURISM PUBLIC RELATION IN SUPHAN BURI PROVINCE Sukanya Boonnom, Saranya Sinsomros, Saranyoo Rodruang, Nipon Dussanee, Phongpan Soonthorasit, and Matee Akaraundomchai Faculty of Liberal Arts, Thailand National Sport University Suphan Buri Campus Abstract The purpose of this research was to investigate the media exposure in tourism and perception of people in Amphoe Mueang, Suphan Buri Province towards Suphan Buri tourism public relations. The questionnaire was applied as a tool for this research, divided into 3 parts. The first part is demographic data, the second part is the exposure in tourism in Suphan Buri, and the third part is the perception of people in Amphoe Meang, Suphan Buri Province toward Suphan Buri tourism public relations. The questionnaire applied 5-level rating scales, the validity = 0.8704 and the reliability = 0.9012. A constructed questionnaire was used as a tool of this research. The samples used in this research comprised 499 people in Amphoe Mueang, Suphan Buri Province including 20 Sub-districts by accidental selection. The data analysis was conducted by percentage, mean and standard deviation. The findings revealed as the following: 1. The respondents were females (53.71%) and males (46.29%). Most of them were students aged between 15 - 25 years old with the income below 15,000 Thai baht. 2. The media exposure in Suphan Buri tourism was mostly found in personal media from neighbors, print media from pamphlets, posters and brochures of tourist attractions, Internet from Facebook, and outdoor media from billboards put at junctions or intersections. 3. The perception of people towards Suphan Buri tourism public relations was found most in architecture and archeological site tourism (������̅ = 3.92) (Next were), recreational tourism (X= 3.89), natural resource tourism (������̅ = 3.84) and arts and culture tourism (������̅ = 3.82) respectively. Keywords: Media Exposure, Perception, Public Relations, Tourism Corresponding Author: Sukanya Boonnom, Thailand National Sport University, Suphan Buri Campus Email: [email protected].
บทนา การบริการข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยวเป็นการบริการการท่องเที่ยว (Tourist Services) ท่ีสาคัญ ของอุตสาหกรรมการท่องเทีย่ ว เปน็ สะพานเชื่อมโยงให้นกั ท่องเท่ียวได้พบและสัมผัสกับแหล่งท่องเทย่ี วตามที่ ปรารถนา เพื่อนาเสนอให้ทราบเกี่ยวกับปัจจัยดึงดูดทางการท่องเท่ียว ทั้งท่ีเป็นแหล่งท่องเท่ียวทางธรรมชาติ เช่น ถ้า ภเู ขา ป่าไม้ น้าตก เกาะแก่ง หาดทราย ชายทะเล และแหล่งท่องเที่ยวท่ีมนุษยไ์ ด้สร้างขน้ึ เช่น แหล่ง ประวัติศาสตร์ โบราณสถาน กิจกรรมงานเทศกาล ขนบธรรมเนียมประเพณี กีฬา สวนสัตว์ สวนสนุก วัฒนธรรม ประเพณีหรือวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เพื่อสร้างความสนใจหรือความต้องการทางการ ท่องเท่ียว รวมถึงการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ กฎ ระเบียบ พิธีการเข้า - ออกประเทศ สภาพดินฟ้าอากาศ หน่วยเงินตรา ระบบกระแสไฟฟ้า การนับถือศาสนาของประชาชน ข้อควรปฏิบัติและข้อห้ามท่ีสาคัญสาหรับ นักท่องเท่ียว เพ่ือให้ผู้ที่สนใจท่ีจะเดินทางมาท่องเท่ียว ได้รับทราบและเตรียมความพร้อมได้อย่างสะดวก (Suwanchai Ritthirak, 2015, p. 350) การจัดให้มีการบริการข้อมูลข่าวสารการท่องเท่ียวเพ่ิมมากข้ึนก็ยิ่ง เป็นประโยชนต์ ่อการกระตนุ้ ให้มกี ารเดินทางทอ่ งเท่ียวมากขึ้น หรือกระจายไปยังแหล่งท่องเท่ียวในพ้ืนทีต่ ่าง ๆ เพ่ิมมากข้ึน ในทางตรงกันข้าม หากการให้บริการข้อมูลข่าวสารทางการท่องเท่ียวมีน้อย หรือมีระบบการ บริการท่ีไม่มีประสิทธิภาพจะทาให้การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของแหล่งท่องเท่ียว พื้นท่ี หรืออุตสาหกรรม ท่องเท่ียวของประเทศไม่สะดวก ย่อมทาให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม ทอ่ งเที่ยว ทาใหก้ ารทอ่ งเที่ยวไมส่ ามารถขยายตัวหรอื พฒั นาไปไดม้ ากเทา่ ท่ีควร การส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นหัวใจของความสาเร็จของการพัฒนาการท่องเท่ียว เนื่องจาก แผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวจะไม่มีความหมาย หากนักท่องเที่ยวไม่รู้เก่ียวกับแหล่งท่องเท่ียว การส่งเสริมการ ท่องเท่ียวเป็นการติดต่อสื่อสารระหว่างองค์การบริหารแหล่งท่องเที่ยวกับนักท่องเท่ียว เพ่ือให้ข้อมูลเก่ียวกับ แหล่งท่องเที่ยว ในการดึงดูดนักท่องเท่ียวทั้งภายในและต่างประเทศ แม้ว่าการส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็น หน้าท่ีของเจ้าของแหล่งท่องเที่ยว ได้แก่ รัฐบาล และเอกชน ผู้ประกอบการธุรกิจ โดยแหล่งท่องเท่ียว ระดับประเทศ รัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบโดยมักก่อตั้งองค์การการท่องเที่ยวแห่งชาติข้ึน ซ่ึงอาจอยู่ในรูปส่วน ราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ในภาคเอกชนจะมีสมาคมทางการทอ่ งเทย่ี วตา่ ง ๆ เป็นผู้ส่งเสริมบรกิ ารการท่องเทย่ี ว ท่ีตนจัดทาข้ึน โดยมีวัตถุประสงค์สาคัญในการแนะนานักท่องเท่ียวถึงแหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่และท่ีเกิดขึ้นใหม่ เตือนนักท่องเที่ยวเดิมถึงแหล่งท่องเที่ยวท่ีเคยประทับใจเพื่อจะได้กลับมาท่องเที่ยวอีก และโน้มน้าว นักท่องเท่ียวบางกลุ่มที่สนใจ แหล่งท่องเที่ยวท่ีมีความพิเศษเฉพาะตัว โดยมีกลยุทธ์ท่ีสาคัญ คือ การโฆษณา เผยแพรก่ ารท่องเที่ยว การประชาสัมพนั ธ์ และการสง่ เสรมิ การขาย (Ranee Isichaikul, 2005a, p. 232) การประชาสัมพันธ์ เป็นเคร่ืองมือสาคัญในการสื่อสารการตลาดท่ีสามารถใช้ต้นทุนได้อย่างมี ประสิทธิผล สร้างความสัมพันธ์กับชุมชน เพ่ือทาให้เกิดการรับรู้และความเข้าใจในผลิตภัณฑ์และกิจการให้มี ประสิทธิภาพได้ดีกว่าการโฆษณา นอกจากนี้การประชาสัมพันธ์ยังมีประโยชน์ในการส่งเสริมความเข้าใจท่ี ถูกต้องร่วมกันระหว่างเจ้าของกิจการ บุคคล และกลุ่มเป้าหมาย ช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการตลาดใน ดา้ นการสรา้ งความเชอ่ื ถือ ไว้วางใจ การสรา้ งภาพลักษณ์ทด่ี ีและสร้างความนิยมในกิจการและผลิตภณั ฑ์ มีผล ให้กิจการสามารถรักษาหรือขยายส่วนครองตลาด มีความม่ันคงในการดาเนินธุรกิจในระยะยาว ผลิตภัณฑ์ ทางการท่องเที่ยวก่อนท่ีนักท่องเที่ยวจะตัดสินใจซื้อหรือมาท่องเท่ียวจาเป็นต้องแสวงหาข้อมูลล่วงหน้าเสมอ ท้ังข้อมูลที่กิจการเผยแพร่โดยตรง และข้อมูลท่ีผ่านการแนะนาและผ่านการรับรองจากบุคคลที่สามท่ีมีความ น่าเชื่อถือหรือมีประสบการณ์ เพื่อช่วยสร้างความม่ันใจ ดังนั้น กิจการจึงต้องใช้วิธีการประชาสัมพันธ์โดย อาศัยเครื่องมือที่หลากหลาย เพ่อื สนองตอบความต้องการของผูบ้ รโิ ภค และประชาชนกลมุ่ ตา่ ง ๆ ท่ีเกีย่ วข้อง
เพอื่ ประโยชน์ในการเผยแพรข่ ้อมูลขา่ วสารของกิจการและผลิตภัณฑ์ การสรา้ งภาพลักษณแ์ ละชื่อเสยี งให้เป็น ที่รู้จัก ให้เกิดความนิยมและเช่ือถือไว้วางใจจนนาไปสู่การสนับสนุนการดาเนินธุรกิจ ตลอดจนเพื่อการ เสริมสร้างความเข็มแข็งของกิจการในการแข่งขันทางการตลาด (Nongnuch Srithana - anan, 2005, pp. 309 - 310) จังหวดั สุพรรณบุรี เป็นจังหวดั ท่ีอยู่ในพื้นท่ภี าคกลาง เป็นเมืองอู่ข้าวอ่นู า้ ของประเทศไทย เป็นเมืองท่ี มปี ระวัติศาสตร์มายาวนาน แหล่งท่องเที่ยวหลากหลาย เป็นเมอื งทพ่ี ร้อมด้วยสิ่งอานวยความสะดวก ถนนหน ทางสะดวกสบาย สามารถเดินทางไปตามแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดได้อย่างสะดวกสบาย สุพรรณบุรีโดดเด่น ดา้ นการทอ่ งเทยี่ วเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติ ดงั น้นั แหล่งทอ่ งเที่ยวในจงั หวัดสุพรรณบรุ ีจึงมี สถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย ให้นักท่องเท่ียวได้สัมผัสและค้นหา ภาพประวัติศาสตร์ เร่ืองราวในอดีตที่น่าสนใจ ส่ิงก่อสร้างทางพุทธศาสนาที่งดงามและทรงคุณค่าต่อการกราบไหว้บูชา หรือแม้แต่สถานท่ีท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่สร้างขึ้นมาให้นักท่องเท่ียวได้ชม เพลิดเพลินกับความอลังการ ตื่นตา ต่ืนใจ และเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ ของเยาวชนคนรุ่นใหม่ นอกจากที่กล่าวมาแล้ว สุพรรณบุรี ยังเป็นดินแดนท่ีมีธรรมชาติ ทะเลสาบ น้าตก ป่าเขา ทะเลหมอกท่ีงดงาม และวิถีชีวิตกว่า 10 ชนเผ่า ที่ดาเนินอยู่ ณ ดินแดนแห่งนี้ จังหวัดสุพรรณบุรีควรส่งเสริม การท่องเท่ียวด้วยการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารไปยังนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปท้ังภายในจังหวัดและ นอกพื้นที่ ผ่านส่ือต่าง ๆ ให้ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยว ซ่ึงการประชาสัมพันธ์ที่ดีอย่างหนึ่ง คือ ประชาชนและผู้ท่ีอาศัยอยู่ในพ้ืนที่ ดังน้ัน ประชาชนและผู้ที่อยู่ในเขตพ้ืนท่ีจาเป็นต้องรับรู้และสามารถ ประชาสัมพนั ธถ์ ึงแหลง่ ท่องเท่ยี วตา่ ง ๆ ภายในจังหวดั ของตนเองไดเ้ ป็นอยา่ งดี ผวู้ จิ ัยจึงสนใจเก่ยี วกับการรับรู้ ของประชาชนภายในจังหวัดที่มีต่อการเปิดรับส่ือต่าง ๆ ของการท่องเท่ียวในจังหวัด เพ่ือไปใช้ในการ ประชาสัมพันธ์แหลง่ ทอ่ งเทยี่ วแก่ผู้ทสี่ นใจและนักท่องเท่ียวใหม้ าเที่ยวในจังหวดั ของตนเองมากย่งิ ข้นึ ซง่ึ การเปิดรับส่ือและการรับข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยวของแต่ละบุคคลจะมีความแตกต่างกัน และอาจทาให้มี การรับรู้ท่ีนาไปใช้ในการประชาสัมพันธ์ข่าวสารการท่องเที่ยวของจังหวัดสุพรรณบุรีแตกต่างกันไปด้วย ดังน้ัน ผู้วิจัยจึงศึกษาในเรื่องของการเปิดรับกับการรับรู้ของประชาชนที่มีต่อการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวจังหวัด สุพรรณบุรี ของประชาชนในเขตอาเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อที่จะได้นาข้อค้นพบไปใช้การ ประชาสมั พนั ธก์ ารทอ่ งเทย่ี วจังหวัดสพุ รรณบุรีตอ่ ไป วัตถุประสงคข์ องการวิจัย 1. เพ่ือศึกษาการเปิดรับส่ือการท่องเที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรีของประชาชนในเขตอาเภอเมือง จังหวัด สพุ รรณบรุ ี 2. เพื่อศึกษาการรับรู้ของประชาชนในเขตอาเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรีที่มีต่อการประชาสัมพันธ์ การทอ่ งเทยี่ วจังหวดั สุพรรณบรุ ี วิธกี ารดาเนนิ งานวจิ ัย การศึกษาในคร้ังน้ี เป็นการศึกษาเชิงสารวจ (Survey Research) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของ ประชาชนในเขตอาเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ท่ีมีต่อการประชาสัมพันธ์ข่าวสารการท่องเที่ยวจังหวัด สุพรรณบุรี โดยใช้เคร่ืองมือ คือ แบบสอบถาม (Questionnaire) มีรายละเอียดของประชากรกลุ่มตัวอย่าง เครอื่ งมือทีใ่ ชใ้ นการศึกษา ขน้ั ตอนการสร้างเครอ่ื งมอื วิธีเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และการวิเคราะห์ข้อมูล ดงั นี้
ประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ ง ประชากร ท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ ประชาชนในเขตอาเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี จานวน 107,717 คน (Suphan Buri Provincial Statistics, 2019) กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการศึกษาคร้ังน้ี ประชาชนในเขตอาเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ประกอบด้วย 20 ตาบล คือ 1.ตาบลท่าพี่เลี้ยง 2.ตาบลรั้วใหญ่ 3.ตาบลทับตีเหล็ก 4.ตาบลท่าระหัด 5.ตาบลไผ่ขวาง 6.ตาบลโคกโคเฒา่ 7.ตาบลดอนตาล 8.ตาบลดอนมะสังข์ 9.ตาบลพิหารแดง 10.ตาบลดอนกายาน 11.ตาบล ดอนโพธิ์ทอง 12.ตาบลบ้านโพธิ์ 13.ตาบลสระแก้ว 14.ตาบลตลิ่งชั่น 15.ตาบลบางกุ้ง 16.ตาบลศาลาขาว 17.ตาบลสวนแดง 18.ตาบลสนามชัย 19.ตาบลโพธิ์พระยา 20.ตาบลสนามคลี รวมจานวน 499 คน ด้วยการ เลือกแบบบังเอิญ (Accidental Selection) โดยหาได้จากการคานวณโดยใช้สูตรของยามาเน่ (Yamane, 1967) ทร่ี ะดบั ความเชอื่ มนั่ 95% (Wichian Ketsing, 1998) มสี ตู รการคานวณ ดงั น้ี n= N 1 + Ne² เมือ่ n = ขนาดของกล่มุ ตัวอย่าง N = ขนาดของประชากร e = คา่ ความคลาดเคลือ่ นให้เป็น 0.05 เคร่ืองมอื ในการศกึ ษาวิจยั เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมลู ครั้งนี้ คือ แบบสอบถาม แบ่งเปน็ 3 ตอน ดังน้ี ตอนท่ี 1 ลกั ษณะทางประชากรของผ้ตู อบแบบสอบถาม ไดแ้ ก่ เพศ อายุ การศกึ ษา รายได้ ตอนที่ 2 การเปิดรับส่ือการท่องเที่ยว จังหวัดสุพรรณบุรี ของประชาชนในเขตอาเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรจี านวน ตอนที่ 3 การรับรู้ของประชาชนในเขตอาเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี จานวนท่ีมีต่อการ ประชาสมั พนั ธก์ ารท่องเท่ยี วจังหวัดสุพรรณบรุ ี ไดแ้ ก่ การทอ่ งเท่ยี วทางธรรมชาติ การทอ่ งเทยี่ วดา้ นศลิ ปวัฒนธรรม การท่องเที่ยวด้านสถาปัตยกรรมและโบราณสถาน และการท่องเที่ยวด้านนันทนาการ จานวนรวม 20 ข้อ เปน็ คาถามแบบมาตรวัดประมาณค่า (Rating Scale) คอื เลอื กตอบได้ 5 ระดบั คือ 5 หมายถึง รับรู้ระดบั มากที่สุด 4 หมายถึง รบั รรู้ ะดับมาก 3 หมายถงึ รบั รรู้ ะดบั ปานกลาง 2 หมายถงึ รบั รรู้ ะดับนอ้ ย 1 หมายถึง รบั รรู้ ะดบั นอ้ ยทีส่ ดุ เกณฑ์การวัดระดับการรบั รู้แบ่งออกเปน็ 5 ระดบั คา่ เฉลย่ี ระดบั การรบั รู้ 4.21 – 5.00 มกี ารรับร้รู ะดับมากทส่ี ดุ 3.41 – 4.20 มีการรบั รู้ระดับมาก 2.61 – 3.40 มีการรับรรู้ ะดับปานกลาง 1.81 – 2.60 มีการรบั รู้ระดับน้อย 1.00 – 1.80 มกี ารรับรู้ระดับนอ้ ยท่ีสดุ
การสร้างและตรวจสอบเครื่องมอื ที่ใช้ในการศกึ ษา เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู มีขน้ั ตอนการสรา้ ง ดังน้ี 1. ศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี เอกสาร ตารา และงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข้อง 2. ศกึ ษาหลักเกณฑ์และวิธีการสร้างแบบสอบถาม เพ่ือสรา้ งแบบสอบถาม 3. สรา้ งแบบสอบถาม ตามหลักเกณฑใ์ ห้ครอบคลุมเนื้อหาและสอดคล้องกบั วัตถุประสงค์ 4. นาเคร่ืองมือที่สร้างขึ้นให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบคุณภาพและให้ขอ้ เสนอแนะตา่ ง ๆ 5. ปรับปรงุ แก้ไขเครื่องมอื ตามคาแนะนาของผูเ้ ชย่ี วชาญ 6. นาเคร่ืองมือที่ผ่านการหาคุณภาพแล้วไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง ต่อไป การตรวจสอบความเชอื่ ถือไดข้ องเคร่อื งมอื 1. นาแบบสอบถามท่ีสร้างข้ึนปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อให้ข้อเสนอแนะและปรับปรุงแก้ไข ครอบคลุมกับวัตถุประสงค์ ตรวจสอบคุณภาพ และความชัดเจนของประเด็นคาถามให้สามารถสื่อความหมาย ชดั เจน แลว้ นาไปใหผ้ ู้เชี่ยวชาญ จานวน 3 ทา่ น ตรวจสอบคณุ ภาพของแบบสอบถาม เช่น การใชภ้ าษา ความ ตรงของเน้ือหา ความสอดคล้องและความเหมาะสม โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence: IOC) (Boontham Kitpreedaborisut, 2010, p. 75) โดยผู้เชี่ยวชาญประเมิน ด้วยคะแนน 3 ระดบั ไดแ้ ก่ +1 เหมาะสม หมายความวา่ แน่ใจวา่ ขอ้ คาถามนนั้ มีความตรงด้านเนอ้ื หา 0 เม่ือไมแ่ นใ่ จว่าข้อคาถามนน้ั มคี วามตรงด้านเนื้อหา -1 ไมเ่ หมาะสม หมายความวา่ แน่ใจว่าขอ้ คาถามนน้ั ไม่มีความตรงดา้ นเน้ือหา โดยใชส้ ูตร ΣR N IOC = IOC คอื ดชั นคี วามสอดคลอ้ ง R คือ คะแนนของผ้เู ช่ียวชาญ ΣR คอื ผลรวมของคะแนนผู้เชย่ี วชาญแตล่ ะคน คือ จานวนผ้เู ชีย่ วชาญ คา่ ดัชนีความสอดคล้องที่ได้ต้องมคี ่ามากกว่า 0.5 ขึ้นไป ผ้วู ิจัยได้ปรับปรุงแก้ไข สานวนภาษาให้ ถูกต้อง ตามข้อเสนอแนะของผู้เช่ียวชาญ และเลือกข้อคาถามที่มีค่า IOC มากกว่า 0.5 ไปใช้ ซึ่งผลค่า IOC ของแบบสอบถามน้มี ีค่าเท่ากับ 0.8704 2. หาความเชื่อถือได้ (Reliability) โดยการนาแบบสอบถามไปทาการทดสอบก่อน (Pre - test) กับประชาชนในเขตอาเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ท่ีไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างจานวน 30 คน โดยคานวณหาค่า สัมประสิทธิแ์ อลฟา่ (Coefficient Alpha) ของครอนบาค (Cronbach, 1990, pp. 202 - 204) โดยใช้สตู รดงั นี้ = k k 1 Vi 1 Vt เมอื่ = ความเชอ่ื ถือได้ k = จานวนข้อ
Vi = ความแปรปรวนของคะแนนแตล่ ะขอ้ Vt = ความแปรปรวนของคะแนนรวมทกุ ขอ้ จากการคานวณหาค่าความเชื่อถือได้ของเครื่องมือ (Reliability) จากแบบสอบถาม ค่า Alpha Coefficient ของคาถามเก่ียวกับการรับรู้ของประชาชนในเขตอาเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรีท่ีมีต่อการ ประชาสัมพันธก์ ารท่องเท่ียวจังหวดั สุพรรณบรุ ี ไดเ้ ทา่ กบั 0.9012 การเก็บรวบรวมข้อมูลและวิธกี ารเก็บรวบรวมข้อมูล การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ในการศกึ ษาครัง้ น้ี ประกอบด้วย 1. การศึกษาเกี่ยวกับแนวคดิ ทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น แนวคิดและทฤษฎีเก่ียวกับการเปิดรับส่ือ แนวคิดเก่ียวกบั การรับรู้ แนวคิดเกี่ยวกับการท่องเท่ียว แนวคดิ เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์การทอ่ งเท่ียว และ บทความการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรี โดยอาศัยการค้นคว้าจากเอกสารทางวิชาการ เวบ็ ไซต์ และงานวจิ ยั ทเี่ กีย่ วขอ้ ง 2. การสารวจข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ผู้วิจัยดาเนินการเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างด้วยตนเอง หลังจากเก็บรวบรวมข้อมูลแล้ว ทาการตรวจสอบความเรียบร้อยท้ังหมด พร้อมท้ังนาข้อมูลท่ีได้ไปวิเคราะห์ ข้อมลู ตอ่ ไป การวเิ คราะห์ขอ้ มลู วเิ คราะหข์ ้อมลู โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรปู ทางด้านสังคมศาสตร์ ดังน้ี 1. สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) สาหรับวิเคราะห์ข้อมูลลักษณะทางประชากร และการเปิดรับส่ือการท่องเท่ียวของประชาชนในเขตอาเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยการแจกแจงความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) 2. การวิเคราะห์การเปิดรับส่ือการท่องเท่ียว จังหวัดสุพรรณบุรี และการรับรู้ของประชาชนใน เขตอาเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรีท่ีมีต่อการประชาสัมพันธ์การท่องเท่ียวจังหวัดสุพรรณบุรี ใช้การวิเคราะห์ โดยการหาค่าเฉล่ีย (Mean) และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ผลการวจิ ัย การศึกษาวิจัยเร่ืองการเปิดรับส่ือกับการรับรู้ของประชาชนที่มีต่อการประชาสัมพันธ์การท่องเท่ียว จังหวดั สุพรรณบุรี ผ้วู ิจัยได้นาเสนอผลการวิเคราะห์ ขอ้ มูลโดยแบง่ เปน็ 3 ตอน ดังตอ่ ไปน้ี ตอนท่ี 1 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ลกั ษณะทางประชากรของผู้ตอบแบบสอบถาม ตารางท่ี 1 แสดงจานวนและร้อยละเกยี่ วกับลกั ษณะทางประชากรของผ้ตู อบแบบสอบถาม ลกั ษณะทางประชากร จานวน รอ้ ยละ เพศ 231 46.29 ชาย 282 53.71 หญิง
ตารางที่ 1 แสดงจานวนและรอ้ ยละเก่ยี วกับลกั ษณะทางประชากรของผูต้ อบแบบสอบถาม (ต่อ) ลกั ษณะทางประชากร จานวน รอ้ ยละ อายุ 213 42.68 1. 15 – 25 ปี 134 26.85 2. 26 – 35 ปี 104 20.84 3. 36 – 45 ปี 35 7.01 4. 46 – 55 ปี 13 2.60 5. 56 – 65 ปี 6. 66 ปีขึ้นไป 213 42.68 105 21.04 อาชีพ 37 7.41 1. นักเรยี น/นักศึกษา 104 20.84 2. พนักงานรัฐวิสาหกิจ 40 8.02 3. ธุรกิจสว่ นตวั /ค้าขาย 4. พนกั งานบรษิ ัทเอกชน/รบั จา้ ง 254 50.90 5. รบั ราชการ 123 24.65 6. อน่ื ๆ 65 13.03 43 8.62 รายได้ 14 2.80 1. ตา่ กวา่ 15,000 บาท 2. 15,001 – 20,000 บาท - 3. 20,001 – 25,000 บาท 4. 25,001 – 30,000 บาท 499 100.00 5. 30,001 – 35,000 บาท 6. 35,001 – 40,000 บาท 7. 40,001 – 45.000 บาท 8. 45,001 – บาทขึ้นไป รวม จากตารางที่ 1 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 53.71) อายุ 15 - 25 ปี (รอ้ ยละ 42.68) อาชพี นักศึกษา (รอ้ ยละ 42.68) รายได้ (รอ้ ยละ 50.90) ตอนท่ี 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู เกี่ยวกับการเปิดรับส่ือการทอ่ งเทย่ี ว จงั หวัดสพุ รรณบุรี ตารางที่ 2 แสดงจานวนและรอ้ ยละเกย่ี วกับการเปิดรบั สอื่ การท่องเที่ยว จังหวัดสุพรรณบุรี ลักษณะทางประชากร จานวน ร้อยละ การเปดิ รบั สอ่ื การท่องเทีย่ วจงั หวัดสพุ รรณบุรจี ากส่อื บคุ คล 60 12.02 เพอื่ นบ้าน 237 47.49 เพ่อื นนกั ศึกษาด้วยกัน 89 17.83 เจ้าหนา้ ท่ีประชาสมั พันธก์ ารทอ่ งเทีย่ วจังหวดั สุพรรณบรุ ี 113 22.64 ญาติที่บา้ น
ตารางท่ี 2 แสดงจานวนและร้อยละเกย่ี วกับการเปิดรบั สอ่ื การทอ่ งเทย่ี ว จังหวดั สพุ รรณบุรี (ตอ่ ) ลกั ษณะทางประชากร จานวน รอ้ ยละ การเปิดรับสือ่ การทอ่ งเท่ียวจังหวัดสพุ รรณบุรจี ากสอื่ ส่ิงพมิ พ์ 186 37.27 แผ่นพบั โปสเตอร์โบรชัวร์ของแหล่งท่องเทยี่ ว 58 11.62 นิตยสารการท่องเทยี่ ว 134 26.85 คอลมั นท์ อ่ งเที่ยวในหนา้ หนงั สือพิมพ์ 121 24.25 คู่มือการทอ่ งเท่ยี วจังหวัดสุพรรณบุรี 77 15.43 การเปิดรบั ส่ือการท่องเที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรจี ากสอ่ื อินเทอร์เนต็ 100 20.04 เวบ็ ไซตก์ ารท่องเทย่ี วของแหลง่ ท่องเที่ยวในจงั หวดั สุพรรณบรุ ี 260 52.10 เวบ็ ไซต์การท่องเท่ียวอื่น ๆ ทั่วไป 45 9.02 Facebook 17 3.40 YouTube อื่น ๆ 147 29.46 70 14.03 การเปิดรับส่อื การทอ่ งเท่ียวจงั หวดั สพุ รรณบุรจี ากสือ่ กลางแจง้ 89 17.83 ป้านไวนิลตามตัวอาคารร้านคา้ 193 38.68 ป้ายแบนเนอรบ์ ริเวณหนา้ แหล่งท่องเทยี่ ว 499 100.00 ป้ายสต๊ิกเกอร์ติดทพ่ี าหนะรถยนต์โดยสาร ป้ายบลิ บอรด์ ตามทางแยกทวั่ ไป รวม จากตารางท่ี 2 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ การเปิดรับส่ือการท่องเที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรี จากสื่อบุคคลที่เป็นเพื่อนนักศึกษาด้วยกัน (ร้อยละ 47.49) จากส่ือสิ่งพิมพ์ที่เป็นแผ่นพับ โปสเตอร์ โบรชัวร์ ของแหล่งท่องเท่ียว (ร้อยละ 37.27) จากส่ืออินเทอร์เน็ตที่เป็น Facebook (ร้อยละ 52.10) และจากส่ือ กลางแจ้งทีเ่ ป็นป้ายบลิ บอร์ดตามทางแยกทว่ั ไป (รอ้ ยละ 38.68) ตอนท่ี 3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเก่ียวกับการรับรู้ของประชาชนที่ต่อการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวจังหวัด สุพรรณบุรี ตารางที่ 3 แสดงค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานการรับรู้ของประชาชนที่ต่อการประชาสัมพันธ์การ ท่องเท่ียว จังหวัดสุพรรณบรุ ี ในภาพรวม การประชาสัมพันธ์การทอ่ งเทย่ี ว จงั หวัดสุพรรณบรุ ี ������̅ S.D. แปลผล การทอ่ งเทยี่ วทางธรรมชาติ 3.54 0.81 มาก การท่องเที่ยวด้านศิลปวัฒนธรรม 3.82 0.76 มาก การทอ่ งเทยี่ วดา้ นสถาปตั ยกรรมและโบราณสถาน 3.87 0.74 มาก การท่องเที่ยวด้านนันทนาการ 3.74 0.78 มาก 3.74 0.77 รวมเฉลี่ย มาก จากตารางที่ 3 พบว่า ประชาชนที่มีการรับรู้ต่อการประชาสัมพันธ์การท่องเท่ียว จังหวัดสุพรรณบุรี ภาพรวม อยู่ในระดับมาก (������̅ = 3.74) เมื่อจาแนกเป็นรายด้านพบว่า การรับรู้ต่อการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว จงั หวัดสุพรรณบุรี ระดับมาก ไดแ้ ก่ ด้านการทอ่ งเที่ยวด้านสถาปัตยกรรมและโบราณสถาน (������̅ = 3.87) รองลงมา
ได้แก่ ด้านการท่องเท่ียวด้านศิลปวัฒนธรรม (������̅ = 3.82 ) ด้านการท่องเท่ียวด้านนันทนาการ (������̅ = 3.74) และ ด้านการท่องเทยี่ วทางธรรมชาติ (������̅ = 3.54) ตามลาดบั ตารางท่ี 4 แสดงค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานการรับรู้ของประชาชนท่ีมีต่อการประชาสัมพันธ์การ ทอ่ งเทีย่ ว จงั หวัดสุพรรณบรุ ี ดา้ นการทอ่ งเทยี่ วทางธรรมชาติ . ������̅ S.D. แปลผล 3.58 0.777 มาก การประชาสมั พันธก์ ารท่องเทีย่ ว จังหวดั สุพรรณบุรี ด้านการทอ่ งเทย่ี วทางธรรมชาติ อุทยานแห่งชาติพุเตย อ.ด่านช้าง มีป่าสนสองใบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและมีทะเล หมอกใหด้ ูไดท้ ีย่ อดเขา มนี ้าตกตะเพินคี่ทมี่ นี ้าไหลตลอดปี จากบอ่ น้าผุดตามธรรมชาติ อ่างเก็บน้าหุบหางวง อ.ด่านช้าง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนวธรรมชาติ ป่าเขา ผืน 3.49 0.815 มาก น้า ท้องฟ้า นอนนับดาว เหมาะกับการแค้มปิ้งกางเต้นท์ หรือจะนอนบนแพ ก็มี ให้บริการ เป็นสถานที่สวยงานตามธรรมชาติ จนนักท่องเท่ียวเรียกกันว่า ปางอุ๋ง สุพรรณ บงึ ระหาร อ.สามชุก เป็นบึงขนาดใหญ่ มถี นนรอบบึงมรี า้ นอาหารและศาลสาหรับ 3.48 0.841 มาก เปน็ ทพี่ ักผอ่ นหยอ่ นใจของประชาชน เขื่อนกระเสียว อ.ด่านช้าง เป็นสถานที่นอนค้างแรมบนแพ และตกปลา บรรยากาศ 3.79 0.807 มาก เย็นสบาย และใกล้กันมีหาดทรายห้วยกระเสียว ที่สามารถลงเล่นน้าได้โดยไม่มี อนั ตราย ถ้าเวฬุวันที่ อ.ด่านช้าง สภาพในถ้า ซึ่งมีหินงอกและหินย้อยสวยงาม และมีรอย 4.43 0.82 มาก พระพุทธรูปจาลองปางป่าเลไลยก์ให้นักท่องเท่ียวได้สักการบูชา นอกขากนั้นใน บริเวณวัด ทางอาเภอได้จัดทาเป็นสวนไผ่เทดิ พระเกียรติ มีพันธุ์ไผ่ต่าง ๆ ปลุกไว้ ประมาณ 10 กวา่ ชนดิ บึงฉวาก อ.เดิมบางนางบวช เป็นบึงท่ีมีบรรยากาศร่มรื่น ลมพัดเย็นสบายตลอด 3.48 0.83 มาก ในบรเิ วณบึงเต็มไปดว้ ยดอกบัวสแี ดงและชมพู ในช่วงตอนเช้าบวั จะบานสวยงาม 54 .81 มาก นกเปด็ แดงฝูงใหญ่จบั กลุ่มอยูต่ ามกอบัวในช่วงฤดหู นาว ระหวา่ งเดอื นพฤศจกิ ายน ถึงเดือนมีนาคมและนกจะทยอยกลับในช่วงเดือนเมษายน มีศาลาสาหรับเป็นท่ี พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน มีบริการข่ีจักรยานน้า นักท่องเท่ียวสามารถขอ อนุญาตกางเต็นทพ์ กั แรมรมิ บึง รวมเฉลี่ย จากตารางท่ี 4 พบว่า ประชาชนท่ีมีการรับรู้ต่อการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว จังหวัดสุพรรณบุรี ด้านการท่องเท่ียวทางธรรมชาติ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (������̅ = 3.54) เม่ือจาแนกเป็นรายข้อพบว่า การรับรู้ ในระดับมาก ได้แก่ เขื่อนกระเสียว อ.ด่านช้าง เป็นสถานที่นอนค้างแรมบนแพ และตกปลา บรรยากาศเย็น สบาย และใกล้กันมีหาดทรายห้วยกระเสียว ท่ีสามารถลงเล่นน้าได้โดยไม่มีอันตราย (������̅ = 3.79) รองลงมา ได้แก่ อุทยานแห่งชาติพุเตย อ.ด่านช้าง มีป่าสนสองใบท่ีเกิดขึ้นตามธรรมชาติและมีทะเลหมอกให้ดูได้ที่ ยอดเขา มีนา้ ตกตะเพินคีท่ ีม่ ีนา้ ไหลตลอดปี จากบอ่ น้าผดุ ตามธรรมชาติ (������̅ = 3.58)
ตารางท่ี 5 แสดงค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการรับรู้ของประชาชนท่ีมีต่อการประชาสัมพันธ์การ ทอ่ งเทย่ี ว จังหวดั สพุ รรณบุรี ดา้ นการทอ่ งเทีย่ วดา้ นศิลปวฒั นธรรม การประชาสมั พนั ธก์ ารทอ่ งเทย่ี วจงั หวัดสุพรรณบุรีดา้ นการท่องเท่ียวด้านศลิ ปวฒั นธรรม ������̅ S.D. แปลผล 4.10 0.736 มาก วดั แคคมุ้ ขุนแผนและตน้ มะขามยกั ษ์ เปน็ ส่วนหนึ่งของวรรณคดขี ุนช้างขนุ แผน ท่ี ขนุ แผนเคยมาบวชและรา่ เรยี นวิชาคาถา อาคมกับอาจารย์คง เสกใบมะขามเป็นตัว 0.731 มาก ต่อแตน ขับไลข่ ้าศกึ ท่ีต้นมะขามยงั มอี ยู่จริง ณ ท่ีแหง่ นี้ 0.757 มาก หลวงพอ่ โต วดั ป่าเลไลยก์ เป็นพระพุทธรปู ในสมยั อทู่ อง ไดร้ ับการบูรณปฏสิ ังขรณ์ใน 4.18 สมยั รชั กาลที่ 4 โดยมตี ราพระมงกุฏ ประดษิ ฐานอยทู่ ่ีหนา้ บันพระวหิ ารและมีภาพ 0.796 มาก จติ ร กรรม บอกเลา่ เรอื่ งราวต่างๆ ของวรรณคดีขุนช้างขุนแผน 0.827 มาก พพิ ิธภณั ฑส์ ถานแหง่ ชาติ สพุ รรณบรุ ี นาเสนอเรอื่ งราว วิถีชีวิตของชาวสุพรรณบรุ ี 3.91 มาก ตง้ั แต่สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ ทวารวดี ลพบุรี อยุธยา รตั นโกสินทร์ และบคุ คลสาคัญ ในอดีต รวมทงั้ วรรณกรรมเพลงพ้ืนบ้านเพลงลกู ทุ่ง ทน่ี ่าสนใจ วัดเขานางบวช พระอาจารย์ธรรมโชติ อ.เดมิ บางนางบวชเปน็ ทจ่ี าพรรษาจนถงึ 3.50 มรณภาพของพระอาจารย์ธรรมโชติ แหง่ ศกึ บางระจัน เมอ่ื มอี ายุ 82 พรรษา ท่ีเขา้ ใจ วา่ หายสาบสูญไป หลงั ค่ายบางระจันแตกร่วม 16 ปี เสาใหญบ่ า้ นกานันดิน อ.ดา่ นชา้ ง เปน็ บ้านหลังใหญท่ ส่ี รา้ งด้วยเสาไมข้ นาดใหญ่จานวน 3.43 .76 204 ตน้ แตล่ ะต้นมขี นาด 2-3 คนโอบ นับเป็นงานกอ่ สร้างทม่ี หศั จรรย์แห่งหน่งึ ของ อ.ดา่ นช้าง ท่สี ะทอ้ นถึงความอุดมสมบรู ณใ์ นอดีตของสพุ รรณบรุ ี รวมเฉลีย่ .82 จากตารางท่ี 5 พบว่า ประชาชนที่มีการรับรู้ต่อการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว จังหวัดสุพรรณบุรี ด้านการท่องเท่ียวด้านศิลปวัฒนธรรม ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (������̅ = 3.82) เมื่อจาแนกเป็นรายข้อพบว่า การรับรู้ในระดับมาก ไดแ้ ก่ หลวงพ่อโต วดั ป่าเลไลยก์ เปน็ พระพทุ ธรปู ในสมยั อู่ทอง ได้รบั การบูรณปฏสิ งั ขรณ์ ในสมัยรัชกาลท่ี 4 โดยมีตราพระมงกุฏ ประดิษฐานอยู่ท่ีหน้าบันพระวิหารและมีภาพจิตรกรรม บอกเล่า เรอ่ื งราวต่าง ๆ ของวรรณคดีขุนช้างขุนแผน (������̅ = 4.18) รองลงมา ไดแ้ ก่ วัดแคคุ้มขนุ แผนและตน้ มะขามยักษ์ เป็นส่วนหนึ่งของวรรณคดีขุนช้างขุนแผน ที่ขุนแผนเคยมาบวชและร่าเรียนวิชาคาถาอาคมกับอาจารย์คง เสกใบมะขามเป็นตวั ตอ่ แตน ขบั ไลข่ า้ ศกึ ทต่ี ้นมะขามยงั มอี ยูจ่ รงิ ณ ท่ีแหง่ นี้ (������̅ = 4.10)
ตารางที่ 6 แสดงค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการรับรู้ของประชาชนที่มีต่อการประชาสัมพันธ์การ ทอ่ งเทยี่ ว จงั หวดั สุพรรณบุรี ดา้ นการท่องเทยี่ วดา้ นสถาปตั ยกรรมและโบราณสถาน การประชาสัมพนั ธ์การท่องเท่ยี ว จังหวัดสุพรรณบุรีดา้ นการทอ่ งเทยี่ วดา้ นสถาปัตยกรรม ������̅ S.D. แปลผล และโบราณสถาน วดั ไผโ่ รงวัว อ.สองพน่ี ้อง มีพระพทุ ธรปู ปนู ปัน้ ท่ีมองเหน็ แตไ่ กลทีน่ า่ สนใจมาก คือ มรี ูปปนู 3.74 0.810 มาก ปนั้ เปรตตัวสูงยาว และการถกู ลงทณั ฑใ์ นนรกให้เกิดความตระหนักในบาปบุญ ศาลหลกั เมอื งสุพรรณบุรแี ละหมบู า้ นมงั กรสวรรค์ เปน็ สถานท่รี วบรวมเรอ่ื งราวมากคณุ คา่ 3.92 0.59 มาก ทางประวัติศาสตร์ ตัง้ แต่สมยั รชั กาลที่ 5 และทกุ 15 คา่ เดือน 7 จนี ของทุกปีจะมปี ระเพณี ท้งิ จาด มีผู้คนมารว่ มงานบญุ นจ้ี านวนมาก พระบรมราชานสุ รณด์ อนเจดีย์ อ.ดอนเจดยี ์ นอกจากมีพระบรมราชานุสาวรยี ์ สมเดจ็ พระ 4.09 0.752 มาก นเรศวรมหาราชทรงออกศกึ แล้ว ภายในยังมกี ารแสดงภาพแสงสเี สยี ง และหนุ่ จาลองการ มาก ยกทพั ของพม่า – ไทยใหช้ มอีกด้วย หอคอยบรรหาร – แจ่มใส เปน็ สวนพักผ่อนหยอ่ นใจกลางเมือง ทีม่ พี รรณไม้ ลานนา้ พุ 4.09 0.748 สวนน้า และอาคารหอคอยที่มคี วามสูง 124 เมตร ข้างบนมนี ทิ รรศการประวตั ศิ าสตรเ์ มอื ง สพุ รรณบรุ ีท่ีน่าสนใจ พระพุทธปุษยคีรีสุวรรณภมู ิ มพี ระแกะสลกั หนิ องค์ใหญ์กลางหน้าผาหิน ปจั จุบนั กาลัง 3.58 0.69 มาก กอ่ สรา้ งปรับปรงุ ภมู ทิ ศั น์ ตั้งอยใู่ นอทุ ยานสวนหนิ พทุ ธสถานทวารวดอี ่ทู องเชิงนิเวศ เป็น สวนหินธรรมชาตติ งั้ อยู่ในบริเวณสานักปฏิบตั ิธรรมพหุ างนาค อ.อทู่ อง มเี นอื้ ประมาณ 50 ไร่ รอยพระพทุ ธบาทเขาดสี ลกั อ.อ่ทู อง เป็นวัดท่อี ยบู่ นเทือกเขามเี ร่ืองราวทีน่ า่ สนใจมากด้วย 3.76 0.811 มาก คุณค่า มรี อยพระพทุ ธบาทนูนต่า ในสมยั ทวาราวดี ทีต่ า่ งจากรอยพระพุทธบาทในท่อี น่ื ๆ วดั เขาพระศรสี รรเพชญาราม เป็นวดั เก่าแก่ สันนิษฐานว่าตั้งแต่สมยั ทวารดี เพราะมี 3.96 0.819 มาก .74 มาก โบราณวัตถหุ ลาย บนยอดเขาพบซากเจดยี ์อยุธยา 1 องค์ และยังมรี อยพระพุทธบาท จาลองแกะสลกั ด้วยหินเขยี วธรรมชาติประดิษฐไ์ ว้ในมณฑปบนยอดเขาอกี ดว้ ย รวมเฉล่ยี .87 จากตารางท่ี 6 พบว่า ประชาชนที่มีการรับรู้ต่อการประชาสัมพันธ์การท่องเท่ียว จังหวัดสุพรรณบุรี ดา้ นการท่องเที่ยวด้านสถาปัตยกรรมและโบราณสถาน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (������̅ = 3.87) เมอื่ จาแนกเป็น รายข้อพบว่า การรบั รใู้ นระดับมาก ได้แก่ พระบรมราชานุสรณ์ อ.ดอนเจดีย์ นอกจากมพี ระบรมราชานุสาวรยี ์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงออกศึกแล้ว ภายในยังมีการแสดงภาพแสงสีเสียง และหุ่นจาลองการยกทัพ ของพม่า - ไทยให้ชมอีกด้วย และหอคอยบรรหาร - แจ่มใส เป็นสวนพักผ่อนหย่อนใจกลางเมืองที่มีพรรณไม้ ลานน้าพุ สวนน้า และอาคารหอคอยที่มีความสูง 124 เมตร ข้างบนมีนิทรรศการประวัติศาสตร์เมือง สุพรรณบรุ ีท่ีน่าสนใจ (������̅ = 4.09) เท่ากนั รองลงมา วัดเขาพระศรีสรรเพชญาราม เป็นวดั เก่าแก่ สนั นษิ ฐานว่า ตั้งแต่สมัยทวารดี เพราะมีโบราณวัตถุหลาย บนยอดเขาพบซากเจดีย์อยุธยา 1 องค์ และยังมีรอยพระพุทธ บาทจาลองแกะสลกั ดว้ ยหนิ เขียวธรรมชาตปิ ระดิษฐ์ไวใ้ นมณฑปบนยอดเขาอีกด้วย (������̅ =3.96)
ตารางที่ 7 แสดงค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการรับรู้ของประชาชนที่มีต่อการประชาสัมพันธ์การ ทอ่ งเทยี่ ว จังหวดั สุพรรณบุรี ดา้ นการท่องเท่ยี ว ดา้ นนันทนาการ การประชาสัมพันธก์ ารทอ่ งเที่ยว จงั หวัดสุพรรณบุรี ������̅ S.D. แปลผล ดา้ นการท่องเทย่ี วด้านนนั ทนาการ นาเฮียใช้ สพุ รรณบรุ ี หรือศูนยเ์ รียนรู้วิถชี ีวติ และจติ วิญญาณชาวนาไทยสพุ รรณบรุ ี 3.96 0.819 มาก เปน็ ท่ที ร่ี วบรวมความรวู้ ิถขี องเกษตรกร และเครือ่ งมอื ในการดารงชีวิตของผคู้ นใน การทาเกษตรกรรม ภายในศูนยเ์ รยี นรู้ ๆ เม่อื มาถึงสง่ิ แรกที่เห็นและวสะดดุ ตากค็ อื แปลงนาสาธิต สาหรับสาธติ ลกั ษณะพนั ธ์ขุ ้าวนาปัง 12 ชนิด พันธุ์ที่นยิ มปลกู ใน ปัจจบุ ันของ 4 ช่วงอายุขา้ ว เพื่อให้ชาวนาและผสู้ นใจไดม้ คี วามรใู้ นการตัดสินใจ เลอื กชนดิ พันธขุ์ ้าวที่เหมาะสมโดยปักดาดว้ ยกล้าเพยี งตน้ เดยี ว รวมถงึ มีกจิ กรรมลง แขกเกี่ยวข้าวใหก้ บั ผทู้ ่ีสนใจอกี ดว้ ย สามชกุ ตลาดรอ้ ยปี อ.สามชุก เป็นแหล่งทอ่ งเทย่ี วได้รบั รางวลั มรดกโลกประเภท 3.89 0.805 มาก อนรุ กั ษว์ ฒั นธรรมแห่งเอเซียแปซฟิ กิ จากองค์การยูเนสโก ปี 2552 ศนู ยพ์ ันธพ์ ชื เพาะเลีย้ ง อ.อู่ทอง มกี ารจดั เทศกาลดอกไมท้ ่ีสวยงามตลอดปบี นเนือ้ ท่ี 3.63 0.815 มาก หลายรอ้ ยไร่ เช่น ดอกทิวลิป เดอื นม.ค. ดอกกุหลาบเดือน ก.พ. ดอกกระเจียวเดอื น ส.ค. ดอกทานตะวันและไมด้ อกเมอื งหนาวเดอื น ธ.ค. เปน็ ต้น ตลาดเกา้ ห้องรอ้ ยปี อ.บางปลามา้ นอกจากจะเปน็ ตลาดเกา่ โบราณแล้ว ยังมหี อดู 3.60 0.816 มาก โจร ทไ่ี ด้ถกู สรา้ งข้ึนโดยชาวบา้ น เม่อื ปี 2477 เพื่อขึ้นไปสงั เกตการณต์ อ่ ส้กู ับโจรที่ เข้ามาปล้นสะดม วดั ทับกระดาน อ.สองพ่นี อ้ ง เปน็ สถานท่ีเผาศพของอดตี ราชนิ ลี กู ทุ่งช่ือดัง พุ่มพวง ดวง 3.62 0.887 มาก จันทร์ ท่เี กดิ ที่น่ี และทุกวันท่ี 13 มถิ ุนายนของทุกปี จะมนี กั ร้องลกู ทุ่งมากมายที่ มารว่ มแสดงในงานราลึกถึงวนั ครบรอบการจากไปของเธอ หมบู่ ้านอนุรกั ษ์ควายไทย ท่ี อ.ศรปี ระจนั ต์ เปน็ แหลง่ ทอ่ งเที่ยวทม่ี กี ารแสดงเก่ียวกบั 3.73 0.64 มาก วิถชี วี ิตของผู้คนกบั ควายท่ใี ช้ในการทานาปลูกขา้ ว มที ง้ั โปรแกรมเที่ยว 1 วัน จนถึง 5 วนั 4 คืน รวมเฉลี่ย .74 .78 มาก จากตารางที่ 7 พบว่า ประชาชนท่ีมีการรับรู้ต่อการประชาสัมพันธ์การท่องเท่ียว จังหวัดสุพรรณบุรี ด้านการท่องเที่ยวด้านนันทนาการ ภาพรวมอยู่ในระดับ มาก (������̅ = 3.74) เม่ือจาแนกเป็นรายข้อพบว่า การรับรู้ในระดับมาก ได้แก่ นาเฮียใช้ สุพรรณบุรี หรือ ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย สุพรรณบุรี เปน็ ที่ท่ีรวบรวมความรู้วิถีของเกษตรกร และเคร่อื งมอื ในการดารงชีวติ ของผู้คนในการทาเกษตรกรรม ภายในศูนย์เรียนรู้ ๆ เม่ือมาถึงสิ่งแรกท่ีเห็นและสะดุดตาก็คือ แปลงนาสาธิต สาหรับสาธิตลักษณะพันธ์ุข้าว นาปัง 12 ชนิด พันธ์ุท่ีนิยมปลูกในปัจจุบันของ 4 ช่วงอายุข้าว เพ่ือให้ชาวนาและผู้สนใจได้มีความรู้ในการ ตัดสินใจเลือกชนิดพันธ์ุข้าวที่เหมาะสมโดยปักดาด้วยกล้าเพียงต้นเดียว รวมถึงมีกิจกรรมลงแขกเกี่ยวข้าว ให้กับผู้ที่สนใจอีกด้วย (������̅ = 3.96) รองลงมา ได้แก่ ตลาดร้อยปี อ.สามชุก เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้รับรางวัล มรดกโลกประเภทอนรุ กั ษว์ ฒั นธรรมแหง่ เอเซยี แปซิฟกิ จากองค์การยูเนสโก ปี 2552 (������̅ = 3.89)
อภิปรายผลการวิจัย การวเิ คราะห์ขอ้ มลู เก่ยี วกับการเปดิ รับส่อื การท่องเทยี่ ว จังหวดั สพุ รรณบุรีพบว่า ผตู้ อบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่ มีการเปิดรับส่ือการท่องเที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรีจากสื่อบุคคลท่ีเป็นเพื่อนนักศึกษาด้วยกัน ซึ่งข้อค้นพบดังกล่าวสอดคล้องกับการศึกษาของฐิตินาถ สุตจิตโต (Thitinat Sudjitto, 2012) ได้ศึกษาเรื่อง การเปิดรับส่ือการท่องเที่ยวของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏราไพพรรณีและความรู้ที่มีต่อแหล่งท่องเท่ียว ของจังหวดั จันทบุรี ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ มีการเปิดรับข่าวสารการท่องเที่ยวจากสื่อบุคคลท่ี เป็นเพือ่ นสนิทหรอื เพอ่ื นบ้าน เหตุผลดังกล่าวอาจอธิบายได้ว่า การเปิดรับข่าวสารจากส่ือบคุ คล โดยส่ือบุคคล เป็นผู้ท่ีนาข่าวสารจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง โดยอาศัยการติดต่อระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication) จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบระหว่างกันการที่ต้องการให้บุคคลใดเกิดการยอมรับสารนน้ั ควรท่ีจะ ใชก้ ารสอ่ื สารระหวา่ งบคุ คล โดยใชส้ ่อื บุคคลเป็นผูเ้ ผยแพร่ขา่ วสาร สื่อบคุ คลนจ้ี ะมปี ระโยชน์อย่างมากในกรณี ที่ผู้ส่งสารหวังผลให้ผู้รับสารมีความเข้าใจกระจ่างชัดเจนและตัดสินใจรับสารได้อย่างม่ันใจย่ิงข้ึน เพราะการ ติดต่อโดยตรง (Direct Contact) เป็นการเผยแพร่ข่าวสารเพื่อสร้างความ เข้าใจหรือชักจูงโน้มน้าวใจกับ ประชนโดยตรง รวมทงั้ การติดต่อโดยกลุ่ม (Group Contact of Community Public) จะมอี ิทธพิ ลต่อบุคคล สว่ นรวม ช่วยใหก้ ารสื่อสารของบคุ คลบรรลุเป้าหมายได้เพราะเมื่อกลุ่มมีความสนใจมุ่งไปในทิศทางใด บุคคล สว่ นใหญใ่ นกลมุ่ ก็จะมีความสนใจในทางนั้นดว้ ย (Rogers, & Shoemaker, 1971 as cited in Duangruethai Phongphaithoon, 2001, pp. 13 - 14) การวเิ คราะห์ข้อมูลเก่ียวกับการเปดิ รบั สื่อการทอ่ งเที่ยว จังหวดั สพุ รรณบรุ ีพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม สว่ นใหญ่ มีการเปิดรบั สื่อการท่องเที่ยวจังหวัดสพุ รรณบุรีจากสื่ออินเทอร์เนต็ ท่ีเป็น Facebook ซ่งึ สอดคล้อง กับการศึกษาของสุรสิทธิ์ ตรีทอง (Surasit Treethong, 2013) ซ่ึงได้ศึกษาเร่ือง การเปิดรับส่ือการท่องเท่ียว กับความคิดเห็นของประชาชนท่ีมีต่อแหล่งท่องเที่ยวปางอุ๋ง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบ แบบสอบถามส่วนใหญ่มีการเปิดรับสื่อการท่องเท่ียวปางอุ๋งที่เป็นส่ืออินเทอร์เน็ตจากเว็บไซต์เมืองแม่ฮ่องสอน cat.com ซง่ึ เปน็ สือ่ จากอนิ เทอรเ์ น็ต ในโลกโซเซียลเช่นเดยี วกนั ด้านการท่องเท่ียวด้านสถาปัตยกรรมและโบราณสถานพบว่า การรับรู้ในระดับมาก ได้แก่ พระบรม ราชานุสรณ์ อ.ดอนเจดีย์ นอกจากมีพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงออกศึกแล้ว ภายในยังมีการแสดงภาพแสงสีเสียง และหุ่นจาลองการยกทัพของพม่า - ไทยให้ชมอีกด้วย และหอคอย บรรหาร-แจ่มใส เป็นสวนพักผ่อนหย่อนใจกลางเมืองท่ีมีพรรณไม้ ลานน้าพุ สวนน้า และอาคารหอคอยท่ีมี ความสูง 124 เมตร ข้างบนมีนิทรรศการประวัติศาสตร์เมืองสุพรรณบุรีท่ีน่าสนใจ ซ่ึงข้อค้นพบดังกล่าว สอดคล้องกับการศึกษาของวรชนันท์ สิริพัชรงค์กูร (Worachanan Siriphatcharongkul, 2012) ได้ศึกษา เรื่อง การเปิดรับสื่อกับการรับรู้ของนักท่องเท่ียวชาวไทยที่มีต่อข้อมูลแหล่งท่องเท่ียววัดพระธาตุดอยสุเทพ ราชวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ ผลการศึกษาพบว่า นักท่องเที่ยวมีการรับรู้ต่อขอ้ มูลแหล่งทอ่ งเท่ียววดั พระธาตุ ดอยสุเทพราชวรวิหาร จังหวัดเชยี งใหม่ ภาพรวมนักท่องเทยี่ วมกี ารรับรู้ เมอื่ จาแนกเป็นรายด้านพบว่า ข้อมูล แหล่งท่องเท่ียววัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ นักท่องเท่ียวมีการรับรู้ ได้แก่ การจัดการ ภมู ิสถาปัตยกรรมทางการท่องเที่ยว เหตผุ ลดงั กล่าวอาจอธบิ ายไดว้ ่า การเลือกจดจา (Selective Retention) หลังจากทบี่ ุคคลเลือกรับ เลือกความสนใจ เลือกรับรู้ และตีความข่าวสารไปในทิศทางทส่ี อดคล้องกับทัศนคติ และความเช่ือของตนแล้ว บุคคลยังเลือกจดจาเน้ือหาสาระของสารในส่วนที่ต้องการจาเข้าไปไว้เป็น ประสบการณ์เพ่ือที่จะนาไปใช้ในโอกาสต่อไป ในขณะเดียวกันก็มักจะลืมข่าวสารท่ีไม่ตรงกับความสนใจ หรือไม่เหน็ ด้วย (Peera Chirasophon, 1999, pp. 636 - 638) อกี ทง้ั โบราณสถานทมี่ อี ายแุ ละลกั ษณะแห่ง
การก่อสร้างหรือโดยหลักฐานเกี่ยวกับประวัติของโบราณสถานนั้นเป็นประโยชน์ทางศิลปะ ประวัติศาสตร์ หรือโบราณคดี รวมทั้งโบราณวตั ถุ ท่เี ปน็ สงิ่ ประดิษฐ์หรอื สิ่งที่เกิดขน้ึ ตามธรรมชาติ หรือเคยเป็นส่วนหนงึ่ ส่วน ใดของโบราณสถาน ซากมนุษย์ หรือซากสัตว์ ซึ่งโดยอายุหรือโดยลักษณะแห่งการประดิษฐ์หรอื โดยหลักฐาน เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสังหาริมทรัพย์น้ันเป็นประโยชน์ในทางศิลปะ ประวัติศาสตร์ หรือโบราณคดี เช่น ซากมนุษย์ ซากสตั ว์ ภาพเขียน งานศิลปะ เครือ่ งมือ เคร่ืองใช้ เครือ่ งประดับของคนโบราณ ศลิ าจารึก เป็นต้น โบราณวัตถุมักพบเห็นอยู่ในโบราณสถาน จึงมักเรยี กทรพั ยากรการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์โดยรวมกันว่า เป็นโบราณวัตถสุ ถาน แหล่งท่องเที่ยว กิจกรรม และวัฒนธรรมประเพณีสะท้อนใหเ้ หน็ ถึงอารยะธรรมท้องถิ่น ที่มีลักษณะเด่น และสามารถดึงดูดความสนใจของนักท่องเท่ียวให้มาเยือน (Ranee Isichaikul, 2005a, pp. 165 - 169) ดังน้ันผลการศึกษาครั้งนี้พบว่า นักศึกษามากวิทยาเขตสุพรรณบุรี มีการรับรู้ต่อการ ประชาสัมพันธด์ ้านการทอ่ งเที่ยวด้านสถาปัตยกรรมและโบราณสถาน จงึ เป็นสิ่งทน่ี กั ศึกษามีความสนใจเพราะ โบราณสถานของจงั หวัดสพุ รรณบรุ มี ปี รากฏให้เห็นอยู่ทวั่ ไป จงึ เปน็ ข้อคน้ พบทเ่ี ชื่อถอื ได้ ดา้ นการท่องเที่ยวดา้ นศิลปวัฒนธรรมพบว่า การรับรู้ในระดับมาก ได้แก่ หลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ เป็นพระพุทธรูปในสมัยอู่ทอง ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมีตราพระมงกุฏ ประดิษฐาน อยู่ทีห่ นา้ บนั พระวหิ ารและมีภาพจติ รกรรม บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของวรรณคดีขุนชา้ งขุนแผน ซึ่งข้อค้นพบ ดังกล่าวสอดคล้องกับการศึกษาของอรณี มาไพศาลสิน (Oranee Mapaisarnsin, 2011) ได้ศึกษาเร่ือง พฤติกรรมการท่องเท่ียวของนักท่องเที่ยวชาวไทยกับความคิดเห็นต่อปัจจัยส่วนผสมทางการตลาดของ วดั พระศรีรตั นมหาธาตวุ รมหาวิหาร จงั หวัดพษิ ณุโลก ผลการศกึ ษาพบวา่ ความคดิ เห็นดา้ นผลติ ภัณฑ์ ภาพรวม อยู่ในระดับมากท่ีสุด (������̅ = 4.56) เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ความคิดเห็นระดับมากท่ีสุด ได้แก่ ความศกั ดิ์สิทธิข์ องพระพุทธชินราช (������̅ = 4.72) รองลงมา ได้แก่ เปน็ วดั หลวงท่ีสาคัญของพิษณุโลก (������̅ = 4.61) เหตุผลดังกล่าวอาจอธิบายได้ว่า ศาสนสถานเป็นสถานท่ีที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมและจริยธรรมจึงกลายเป็น สถานที่ท่องเท่ียว นักท่องเท่ียวท่ีเดินทางท่องเที่ยวมักมีจุดประสงค์เพื่อไปศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับศาสนา เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา หรือเพ่ือเย่ียมชมสักการะ เพื่อความสงบในจิตใจ เช่น โบสถ์ วัด วิหาร สถานที่จาริกแสวงบุญ สถานท่ีเพ่ือเคารพสักการะ เป็นต้น อีกทั้งทรัพยากรการท่อ งเที่ยวประเภท ศิลปวัฒนธรรมและประเพณี ได้แก่ ทรัพยากรการทอ่ งเท่ียวท่มี คี ุณคา่ ทางศลิ ปวัฒนธรรม และขนบธรรมเนียม ประเพณีท่ีมีเอกลักษณ์ และถ่ายทอดกันมาจากอดีตจนถึงปจั จุบัน เป็นกิจกรรมที่เก่ียวข้องกับการดาเนินชีวิต ของมนุษย์ เช่น วิถีความเป็นอยู่ สภาพบ้านเรือน ภาษา การแต่งกาย การละเล่น กวี ดนตรี ศิลปะ และ ขนบธรรมเนียมต่าง ๆ รวมทั้งกิจกรรมทีส่ ร้างข้ึนเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น ประเพณี งานเทศกาล พิธีกรรม เป็นต้น (Ranee Isichaikul, 2005b, pp. 165 - 169) ดังนั้น ผลการศึกษาครั้งนี้พบว่า ประชาชนจังหวัด สุพรรณบุรี มีการรับรู้ต่อการประชาสัมพันธ์การท่องเท่ียว จังหวัดสุพรรณบุรี ด้านการท่องเที่ยวด้าน ศิลปวัฒนธรรม ได้แก่ หลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ เป็นพระพุทธรูปในสมัยอู่ทอง ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ ในสมัยรัชกาลท่ี 4 โดยมีตราพระมงกุฎ ประดิษฐานอยู่ท่ีหน้าบันพระวิหารและมีภาพจิตรกรรม บอกเล่า เร่ืองราวต่าง ๆ ของวรรณคดขี นุ ช้างขนุ แผน จึงเปน็ สง่ิ ทน่ี กั ศึกษาใหค้ วามสนใจรบั รทู้ ี่สมเหตุสมผล ข้อเสนอแนะจากการวจิ ัย 1. ควรศึกษาเร่อื งการสอ่ื สารผ่านส่ือกลางแจ้งกับความร่วมมือของประชาชนในท้องถ่ินในการรณรงค์ ประชาสมั พันธก์ ารทอ่ งเท่ยี วจงั หวัดสพุ รรณบุรี
2. ควรศึกษาเร่ืองการเปิดรับสื่อการท่องเท่ียวกับความคิดเห็นของนักท่องเท่ียวชาวไทยที่มีต่อการ ส่งเสรมิ การท่องเทยี่ วแหล่งทอ่ งเทย่ี วทางธรรมชาติ จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี 3. ควรศึกษาเรื่องความพึงพอใจของประชาชนในท้องถนิ่ กับการประชาสัมพันธ์กจิ กรรมการท่องเท่ยี ว ด้านศิลปวัฒนธรรมของจังหวัดสุพรรณบุรีและความคิดเห็นของประชาชนต่อการสร้างภาพลักษณ์การ ท่องเท่ียวด้านนันทนาการ จังหวัดสพุ รรณบรุ ี 4. ควรศึกษาการวิจัยเชิงคุณภาพ เรื่อง การรับรู้ของชุมชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัด สพุ รรณบุรี References Boontham Kitpreedaborisut. (2010). Techniques of Data Collection Tools for Research (7th ed.). Bangkok: Sri - anan Printing. Cronbach. L. J. (1990). Essentials of psychological testing (5th ed.) New York: Harper & Row. Duangruethai Phongphaithoon. (2001). Teenagers’ exposure of information, knowledge and attitude on sex education in Bangkok Metropolitan (Master’s thesis), Chulalongkorn University. Nongnuch Srithana-anan. (2005). Marketing Promotion. Nonthaburi: Sukhothai Thammathirat Open University. Oranee Mapaisarnsin. (2011). A study on Thai tourists’ behavior and opinions on marketing mix factors of Wat Phra Sri Rattana MAHA That, Phitsanulok Province (Master’s thesis), Krirk University. Peera Chirasophon. (1999). Data selection and collection. Nonthaburi: Sukhothai Thammathirat Open University Printing. Ranee Isichaikul. (2005a). Tourism management and promotion. Nonthaburi: Sukhothai Thammathirat Open University. ________. (2005b). Introduction to tourism resources. Nonthaburi: Sukhothai Thammathirat Open University. Rogers, M. Everett, & Shoemaker, F. Floyd. (1971). Communication of innovations. New York: The Free Press. Suphan Buri Provincial Statistics. (2019). Suphan Buri populations. Retrieved from http://suphan.nso.go.th Surasit Treethong. (2013). Tourism exposure and people’s opinions on Pang Ung, Mae Hong Son Province (Master’s thesis), Krirk University. Suwanchai Ritthirak. (2015). Factors affecting tourism industry. Nonthaburi: Sukhothai Thammathirat Open University Printing. Thitinat Sudjitto. (2012). Tourism information exposure of students at Rampaipannee Rajabhat University and knowledge on tourist attractions in Chanthaburi Province (Master’s thesis), Krirk University.
Wichian Ketsing. (1998). Statistics analysis for research (4th ed.). Bangkok: Thaiwatthanapanich. Worachanan Siriphatcharongkul. (2012). Media exposure and perception of Thai tourists towards tourist information of Wat Phra That Doi Suthep, Chiang Mai Province (Master’s thesis), Krirk University. Yamane, Taro. (1967). Statistics: An introductory analysis (2nd ed.). New York: Harper and Row. Received: Sep 16, 2020 Revised: Jan 11, 2021 Accepted: Jan 11, 2021
กลยุทธก์ ารประชาสมั พันธ์เพ่อื ส่งเสรมิ การท่องเท่ยี วจงั หวดั ลาปาง อรวรรณ เหมือนภกั ตร์ และ ผกามาศ ชัยรตั น์ คณะวิทยาลยั การจัดการ มหาวิทยาลัยพะเยา บทคดั ยอ่ งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงคเ์ พื่อ 1) สารวจเคร่ืองมือการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัด ลาปาง และ 2) ศึกษากลยุทธ์การประชาสัมพันธ์เพ่ือส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดลาปาง โดยการใช้การวิจัย เชิงคุณภาพ รวบรวมข้อมูลดว้ ยการสัมภาษณ์เชิงลึก จากผู้ให้ข้อมลู สาคัญคือ “กลุ่มผพู้ ัฒนา” จานวน 43 คน โดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเน้ือหา ผลการวิจัยพบว่า 1) เครือ่ งมือที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์เพื่อสง่ เสริมการท่องเท่ยี วจังหวดั ลาปางมีความหลากหลาย อาทิ การจัด กจิ กรรมพิเศษ (Special Event) การจัดนิทรรศการ (Exhibition) และการจดั งานแสดงสินคา้ (Trade Show) เปน็ ต้น และ 2) กลยุทธ์ท่ใี ช้ในการประชาสัมพันธ์เพือ่ สง่ เสริมการท่องเทย่ี วจงั หวัดลาปาง มกี ารประชาสัมพนั ธ์ เชิงรุก ประกอบด้วย 2 กลยุทธ์ คือ (1) กลยุทธ์การใช้สื่อประชาสัมพันธ์ ได้แก่ การใช้สื่อโดยเจาะจง กลุ่มเป้าหมาย การใช้สื่อของหน่วยงานพันธมิตร การใช้สื่อสมัยใหม่ และ (2) กลยุทธ์การนาเสนอสาร ประชาสัมพันธ์ ได้แก่ การนาเสนอข้อเท็จจริง การโฆษณาเพ่ือประชาสัมพันธ์ การสร้างสารสาหรับ กลุ่มเป้าหมาย การสรา้ งสญั ลกั ษณ์หรือเอกลักษณ์ และการใชช้ อ่ื สถานทีเ่ พือ่ ประชาสัมพนั ธ์ คาสาคัญ: กลยทุ ธ์การประชาสมั พันธ์; การทอ่ งเท่ยี ว; จังหวดั ลาปาง Corresponding Author: นางสาวอรวรรณ เหมือนภกั ตร์ คณะวิทยาลัยการจัดการ มหาวทิ ยาลยั พะเยา Email: [email protected]
THE STRATEGIES OF PUBLIC RELATIONS TO PROMOTE LAMPANG PROVINCE TOURISM Orawan Maunpuk, and Pakamas Chatchawan Faculty of Management College, University of Phayao Abstract The objectives of this research were as 1) to survey marketing tools for Lampang tourism promotion, and 2) to ascertain public relations strategies for Lampang tourism promotion. This was qualitative research with in - depth interview method by collecting data from the developer group. The sample group consisted of 43, selected by Purposive Sampling. In addition, content analysis was employed to come up with research findings. This study revealed that: - 1) there were various marketing tools for promoting tourism in Lampang e.g. special event, exhibition and trade show, and 2) the strategy for promoting Lumpang tourism: (1) the media strategy including integrated media, targeting media, alliance media and new media, and (2) message presentation strategy including truth presenting, advertising, key message for target audience, logo/symbol design and location names. Keywords: public relations strategies, tourism, Lampang Corresponding Author: Miss Orawan Maunpuk Faculty of Management College, University of Phayao Email: [email protected]
บทนา การท่องเที่ยวจึงเป็นเครื่องจักรสาคัญในการขับเคลื่อนท้ังภาคเศรษฐกิจ ภาคสังคม และภาค วัฒนธรรม โดยจะเป็นตัวเชื่อมให้เกิดความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ และความเข้าใจระหว่าง วัฒนธรรม ชี้ให้เห็นว่าการท่องเที่ยวนับเป็นตัวแปรสาคัญในการพัฒนาประเทศ หากประเทศใดมีการบริหาร จดั การได้อยา่ งเหมาะสม ก็จะส่งผลให้จานวนนักทอ่ งเทีย่ วเพิ่มมากขึ้น กอ่ ใหเ้ กิดรายไดเ้ พิ่มขึ้นตาม ส่งผลบวก ให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ภาครัฐมีทุนสาหรับการพัฒนาประเทศ คุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน เป็น ผลลพั ธ์ท่ีจะตามมา สอดคล้องกบั Cooper (2012) กล่าวว่า “การเตบิ โตของการท่องเท่ยี ว นาไปสู่ผลกระทบ ดา้ นเศรษฐกิจในเชงิ บวก” ดังนั้น คณะกรรมการนโยบายการท่องเท่ียวแห่งชาติจึงมีการดาเนินการกาหนดเขตพัฒนาการ ท่องเท่ียวเพื่อประโยชน์ในการรักษา ฟ้ืนฟูแหล่งท่องเที่ยว หรือบริหารและพัฒนาการท่องเท่ียวให้สอดคล้อง กับแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนพัฒนาการท่องเท่ียวแห่งชาติ โดยกาหนดกลุ่มทอ่ งเที่ยว ทีมี่ศักยภาพ 5 กลุ่ม เป็นเขตพัฒนาการท่องเท่ียวนาร่อง 5 เขต โดยกาหนดเขตท้องที่ในจังหวัดต่าง ๆ เป็น เขตพัฒนาการทอ่ งเทยี่ ว (Department of Tourism, 2013) จังหวัดลาปางเป็นหน่ึงในจังหวัดที่ถูกจัดอยู่ในแผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ได้กาหนด กลุ่มท่องเที่ยวท่ีมีศักยภาพ 5 กลุ่ม ซึ่งจังหวัดลาปางได้อยู่ในกลุ่มเขตพัฒนาการท่องเท่ียวอารยธรรมล้านนา ส่งผลให้จังหวัดลาปางมีความต่ืนตัวในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างมาก ตามที่แผนพัฒนาจังหวัดลาปาง 4 ปี พ.ศ. 2561 - 2564 กล่าวว่า สาหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเขตพัฒนาการท่องเท่ียวอารยธรรมล้านนา จากข้อมูลสถานการณ์การท่องเท่ียวและข้อมูลสถิติตัวเลขของนักท่องเท่ียวในเขตพัฒนาการท่องเท่ียวอารย ธรรมล้านนา ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลาพูน ลาปาง และพะเยา พบว่า สามารถแบ่งระดับของการ พัฒนาการท่องเที่ยวได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มท่ีเป็นเมืองหลักทางการท่องเที่ยวและเป็นเมืองท่ีมีนักท่องเท่ียว รจู้ ักและมาเยือนจานวนมาก คือ จังหวัดเชียงใหม่ และเชยี งราย และกลุ่มเมืองท่องเทยี่ วรอง คือ จังหวดั ลาพูน ลาปางและพะเยา จากข้อมูลพบว่า จังหวัดลาปางมีจานวนนักท่องเท่ียวเพ่ิมข้ึนเป็นอันดับสองจากการแบ่งเขต พัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา โดยจังหวัดลาปางจัดอยู่ในกลุ่มเมืองท่องเที่ยวรอง จากแผนพัฒนา จังหวัดลาปาง 5 ปี พ.ศ. 2561 - 2563 กล่าวว่า ปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาจังหวัดลาปางท่ี น่าสนใจและเก่ียวข้องกับการพฒั นาการท่องเท่ยี ว คอื ปัจจัยภายนอกดา้ นโอกาส ความก้าวหน้าทางเทดโนโล ยีสารสนเทศ (IT) ทาให้เกิดการส่ือสารและสร้างการรับรู้ได้ท่ัวถึง เกิดประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการ บรหิ ารจัดการ อาทิ การประชาสมั พันธ์การท่องเท่ียว เปน็ ตน้ จึงทาให้ผวู้ ิจัยสนใจท่ีจะศึกษา “กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการท่องเทยี่ วจังหวดั ลาปาง” ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ท่ีเก่ียวข้องในการนาไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติงานกาหนดนโยบาย และ วางแผนเฉพาะกิจ ส่งเสริมการท่องเท่ียวระดับจังหวัดให้มีประสิทธิภาพและตรงตามเป้าหมายมากย่ิงข้ึน เพ่ือ ประโยชนส์ ูงสดุ ในทกุ ด้านไดต้ ่อไป วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพอ่ื สารวจเคร่อื งมอื การประชาสมั พนั ธ์เพอ่ื สง่ เสริมการท่องเทย่ี วจังหวัดลาปาง 2. เพอื่ ศึกษากลยทุ ธ์การประชาสัมพันธ์เพ่ือสง่ เสรมิ การท่องเท่ียวจังหวดั ลาปาง
การทบทวนวรรณกรรม ฉลองศรี พิมลสมพงศ์ (Chalongsri Pimonsompong, 2017) กล่าวว่า การประชาสมั พันธ์ (Public Relation) หมายถึง การปฏิบัติงานของหน่วยงาน องค์กร สถาบัน บริษัท ในการเผยแพร่ข่าวสาร และ ดาเนนิ งานวธิ อี น่ื ๆ อย่างมีแบบแผน การกระทาอยา่ งต่อเน่ือง โดยมวี ัตถปุ ระสงค์ ดงั นี้ 1. เพื่อเผยแพร่ข่าวสาร ชี้แจงนโยบาย การดาเนินงาน กิจกรรมการเคล่ือนไหวของหน่วยงาน องค์กร สถาบนั บริษัทใหก้ ลุ่มเปา้ หมาย และประชาชนทวั่ ไปทราบ 2. เพ่ือชักชวนให้กลุ่มเป้าหมาย และสาธารณชนมีส่วนร่วมสนับสนุนและเห็นชอบกับ วตั ถปุ ระสงคข์ องหน่วยงาน และให้ความเชือ่ ถอื 3. เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความเข้าใจอันดี มีมนุษยสัมพันธ์และทัศนคติที่ดีทั้งภายในและ ภายนอกหนว่ ยงานเพ่ือเป็นการเผยแพร่สนิ ค้าและบรกิ ารให้เป็นท่ีรู้จัก และไวว้ างใจ กจิ กรรมการเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนของการท่องเท่ยี ว ทีก่ ระทาอยกู่ นั ท่วั ไป ไดแ้ ก่ 1. การเผยแพร่ต่อสาธารณชน (Publicity) คือ การตีพิมพ์บทความต่างๆ ของธุรกิจท่องเท่ียว ลงในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในตลาดนักท่องเที่ยว อาจไม่เสียค่าใช้จ่ายโดยตรงในการลงบทความเหมือนการ โฆษณา แต่จะเสียคา่ ใหผ้ ูจ้ ัดทาไปหาข้อมูล 1.1 การจัดทัศนศึกษา (Educational Trip) คือ การเชิญผู้แทนสื่อมวลชนและบริษัทนา เท่ียวมาทัศนศึกษาในประเทศไทย เพ่ือนาข้อมูลท่ีได้ไปนาเสนอในหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ และส่ือต่าง ๆ ซึ่งไดร้ บั ความเชื่อถอื จากนักท่องเท่ียว 1.2 การทาจดหมายแจง้ ขา่ ว (Business News or Newsletter) 1.3 การแจง้ ข่าวเปน็ คร้ังคราว (Press/News Release) 1.4 การสมั ภาษณบ์ คุ คล (Photo Release) 1.5 การจัดแถลงข่าวส่อื มวลชน (Press Conference) 2. การเข้าร่วมกิจกรรมกับชุมชนต่างๆ (Community Relations) เช่น ร่วมงานประจาปีเมือง สาคญั หรอื ของประเทศ 3. การจัดกิจกรรมในโอกาสพิเศษ (Special Event) เปน็ การจดั กจิ กรรมเป็นครั้งคราวในโอกาส หรอื วาระพิเศษ ประเภทของกลยุทธ์ในการประชาสมั พนั ธ์ แบง่ ได้ 3 ประเภท คือ 1. การดาเนินงานการประชาสัมพันธ์เชิงรับ มีลักษณะมุ่งทาการประชาสัมพันธ์เพ่ือปัญหาท่ีเกิดขึ้น หรือกาลังจะเกิดขึ้นกับสินค้าและบริการ เช่นการให้ข่าวสารที่ถูกต้องเพื่อแก้ไขและควบคุมการเกิดข่าวลือ (Teerapun Lotongkum, 2001) 2. การดาเนินงานการประชาสมั พนั ธ์ปกติ ในกรณีเช่นนี้ บางเรอ่ื งราวท่ีประชาชนประจกั ษ์ชดั ไมจ่ ริง ตามคากล่าวหา หรือเป็นเรื่องท่ีเหตุการณ์ได้ปรับหรือแก้ไขใจตัวของมันเองได้หรือเป็นเร่ืองที่ประชาชนไม่ สนใจ ไมใ่ หค้ วามสาคญั (Pawinee Triamchaisri, 2004) 3. การดาเนินงานการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เป็นการมุ่งโอกาศทางการตลาดมากกว่าการรอการ แกป้ ัญหาท่จี ะเกิดข้นึ เพยี งอยา่ งเดยี ว วิธีดาเนินการวจิ ยั การศึกษาวิจัยครั้งน้ี ทาการศึกษากับประชากรที่เป็นกลุ่มบุคคลท่ีมีส่วนเก่ียวข้องกับ “กลยุทธ์การ ประชาสมั พันธเ์ พื่อส่งเสริมการทอ่ งเทย่ี วจังหวดั ลาปาง” ผู้วิจัยไดค้ ดั เลอื กผู้ใหข้ อ้ มูลสาคัญ (Key Informants) คือ “ผู้พัฒนา (Supply Side)” จานวน 43 คน โดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เพื่อให้ได้มาซ่ึง
ข้อมูลท่ีแท้จริงจากตัวแทนความคิดเห็นทุกภาคส่วนระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติการ โดยผู้วิจัยจาแนก ดังน้ี 1) หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ สานักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดลาปาง เทศบาลนครลาปาง สานักงาน จังหวัดลาปาง สานักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดลาปาง สานักงานการท่องเท่ียวแห่งประเทศไทย (ภาคเหนือ) สานักงานวัฒนธรรมจังหวัดลาปาง และองค์การบริหารการพัฒนาพ้ืนที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างย่ังยืน (อพท.) 2) หน่วยงานภาคเอกชน ได้แก่ หนังสือพิมพ์ท้องถ่ิน สถานนีวิทยุท้องถิ่น ผู้ประกอบการด้านธุรกิจ ท่องเท่ียวในจังหวัดลาปาง ได้แก่ ธุรกิจนาเท่ียวและแหล่งท่องเท่ียว ธุรกิจท่ีพักแรม ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจ สินค้าท่ีระลึกและ OTOP ธุรกิจการเดินทาง ธุรกจิ เกี่ยวกับกิจกรรมการท่องเท่ียว ได้แก่ การนั่งรถม้าชมเมือง เป็นต้น และ 3) บุคคลท่ัวไป ได้แก่ นักปราชน์ท้องถ่ิน นักวิชาการ และประชาชนที่มีภูมิลาเนาอยู่ในแหล่ง ท่องเทีย่ วของจงั หวัดลาปาง เครอ่ื งมอื วจิ ัย 1) เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย การศึกษาด้านเอกสารเป็นการศึกษาข้อมูลที่เก่ียวข้องกับการ ประชาสมั พันธ์ การวางแผนยุทธศาสตร์ สถานการณ์การทอ่ งเที่ยว เศรษฐกิจและการเมือง จากหนังสอื ตารา งานวิจัย ส่ือพิมพ์ต่าง ๆ เพ่ือนาไปวิเคราะห์และหาความสัมพันธ์ของข้อมูลให้มีความเชื่อมโยงกับวิจัยซึ่งจะ ไดใ้ ชเ้ ป็นขอ้ มลู เบ้อื งตน้ ในการกาหนดทศิ ทางในการจัดเก็บขอ้ มลู งานวจิ ยั ข้ันตอนต่อไป 2) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In - depth Interview) ผู้วิจัยนาผลการศึกษาเอกสาร แนวคิด หลักการ และทฤษฎีที่เก่ียวข้องกับการพัฒนาการท่องเท่ียว มาเป็นแนวทางในการสร้างแบบสัมภาษณ์มีลักษณะเป็น การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi - structured interview) ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์ที่ผู้วิจัยกาหนด ประเดน็ หรือหัวขอ้ ทีต่ ้องการสัมภาษณ์ไว้ลว่ งหน้าอย่างคราว ๆ หรือพอเป็นแนวทาง ทั้งน้ีผสู้ ัมภาษณ์อาจระบุ ประเด็นหรือหัวข้อต่างๆที่ต้องการสัมภาษณ์เป็นข้อ ๆ ได้ (List of Topic) การสัมภาษณ์แบบนี้ ผู้สัมภาษณ์ (ผูว้ จิ ัย) จะเป็นผูซ้ กั ถามขอ้ มลู จากผู้ให้สัมภาษณ์ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ผู้วิจัยศึกษาข้อมูลทุติยภูมิเชิงคุณภาพ ได้แก่ หนังสือ ตารา เว็บไซต์ และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับ จังหวัดลาปาง เพ่ือหากลยุทธ์การประชาสัมพันธ์เพ่ือส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดลาปางและได้แยกสรุป ประเด็นเป็นหัวข้อมาใช้ศึกษาวิเคราะห์ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ และการเก็บรวบรวมข้อมูล ภาคสนาม (Field Study) ผู้วิจัยจะต้องนาตัวเองเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมท่ีต้องการจะศึกษาในช่วง ระยะเวลาหน่ึง (อย่างน้อย 4 – 6 เดือน) ได้แก่ 1) การสารวจ (Survey) สารวจข้อมูลทั่วไป และทรัพยากร สาคัญท่ีรองรับการส่ือสารการตลาดออนไลน์เพื่อส่งเสริมจังหวัดลาปางเป็นเมืองท่องเท่ียวเป้าหมาย 2) การ สัมภาษณ์ (Interview) ผู้วิจัยทาการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ (Key Informants) จานวน 43 คน โดยใช้ แบบสมั ภาษณ์เชงิ ลึก (In - depth Interview) 3) การสังเกต (Observation) ผูว้ ิจัยจะใชก้ ารสังเกตพุ ฤติกรรม ของกลุ่มผู้พัฒนา ซ่ึงการสังเกตน้ันจะใช้การสังเกตการณ์ท้ัง 2 แบบ คือ 1) การสังเกตการณ์แบบส่วนร่วม (Participant Observation) หรืออาจเรียกว่าการสังเกตภาคสนาม (Field Observation) หรือการสังเกต เชงิ คุณภาพ (Qualitative Observation) ซงึ่ เป็นการสังเกตชนิดหนึ่งท่ีเข้าไปในชีวิตกบั กลุ่มท่ีถูกศึกษา มีสว่ น รว่ มในการทากจิ กรรมน้นั ๆ 2) แบบไมม่ ีส่วนร่วม (Non Participant Observation) โดยสังเกตการณ์ท่ผี วู้ จิ ัย เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้านนอก ไม่เข้าร่วมกิจกรรมท่ีทาอยู่ 4) การสนทนากลุ่ม (Group Discussion and Focus Group) เปน็ การรวบรวมในลกั ษณะสนทนากลมุ่ ทงั้ การพูดคุยแบบเปน็ ทางการและไม่เป็นทางการ การวเิ คราะห์ขอ้ มูล ผ้วู จิ ยั ใชก้ ารวิเคราะหเ์ ชงิ เนื้อหา (Content Analysis) เปน็ การทาให้ข้อมูลของเอกสาร ได้แก่ ถ้อยคา ประโยค ใจความที่ปรากฏในบทสัมภาษณ์เป็นจานวนท่ีวัดได้แล้วลองนับจานวน ของถ้อยคา ประโยค หรือ
ใจความ การวิจัยนี้ผู้วิจัยได้นาข้อมูลจากการสัมภาษณ์มาวิเคราะห์เชิงเนื้อหา จัดความสาคัญ จัดกลุ่มของ เนอื้ หา รวมถงึ การวิเคราะห์ จาแนก และสรุปประเด็นสาคัญ (Aumporn Lincharearn, 2011) ผ้วู ิจัยได้สรุป รวบรวมประเด็นสาคัญนาเสนอข้อมูลเชิงพรรณนาตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ สาลินี ทิพย์เพ็ง (Salinee Tippeng, 2018) สาหรบั การตรวจสอบคณุ ภาพข้อมูลในการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพนัน้ เน่ืองจากเคร่อื งมือ วิจัยในการวิจัยคุณภาพส่วนใหญ่เป็นการสัมภาษณ์ ซ่ึงเป็นคาถามปลายเปิด ประกอบด้วย ข้อคาถามต่าง ๆ ท่ีเปิดโอกาสให้ผู้ตอบมีอิสระในการตอบ บ่อยคร้ังที่คาถามใหม่ ๆ อาจเกิดขึ้นในระหว่างการสัมภาษณ์ โดยผู้วิจัยอาจใช้คาถามท่ีเกิดข้ึนระหว่างการสัมภาษณ์ไปใช้สัมภาษณ์ผู้อ่ืนต่อไป ดังนั้นเคร่ืองมือวิจัยเชิง คุณภาพจึงมีความยืดหยุ่นสูง ไม่เหมือนกับเครืองมือเชิงปริมาณท่ีถูกกาหนดขึ้นอย่างชัดเจนก่อนการเก็บ รวบรวมข้อมูล และผู้วิจัยนาข้อมูลท่ีได้จากทั้ง 2 กลุ่ม ได้แก่ ข้อมูลทุติยภูมิ หรือข้อมูลท่ีได้จากเอกสารและ ข้อมูลปฐมภูมิ จากการสัมภาษณ์ผู้พัฒนา (Supply Side) ร่วมกันสารวจเครื่องมือการประชาสัมพันธ์ และ กลยทุ ธ์การประชาสัมพนั ธก์ ารทอ่ งเที่ยวของจงั หวัดลาปาง ผลการวจิ ยั 1. ผลการสารวจเครอ่ื งมอื การประชาสัมพนั ธ์เพอื่ ส่งเสรมิ การท่องเทย่ี วจงั หวดั ลาปาง ผู้พัฒนากล่าวถึงการใช้สื่ออะไรน้ันขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่จัดขึ้นและความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เพอ่ื ใหส้ ือ่ ตา่ ง ๆ เหล่าน้นั เขา้ ถงึ กลุ่มเปา้ หมายได้อย่างถูกต้องเป็นการเลือกส่ือทเ่ี น้นคณุ สมบตั ขิ องงาน แต่ ละงาน “..การประชาสัมพันธ์ (Public Relation) ถือเป็นรูปแบบของการส่ือสารรูปแบบหน่ึงที่จาเป็นต้องมี การวางแผนอย่างมีระบบ เพ่ือสร้างความรู้ความเข้าใจ และสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้พัฒนาและผู้ใช้ ปัจจุบันจังหวัดลาปางมีการเลือกเครื่องมือการประชาสัมพันธ์ที่หลากหลาย สรุปได้ดังน้ี การส่งข่าวแจก (Press Release) การจดั แถลงข่าว (Press Conference) การให้สัมภาษณ์ผูบ้ ริหาร (Executives Interview) การจัดชุมชนสัมพันธ์ (Community Relation) การส่งภาพข่าวแจก (Photo Release) การพาสื่อมวลชนไป เที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยว (Press Tour) การไปเย่ียมเยียนส่ือมวลชนทั้ง สื่อท้องถ่ิน และส่ือระดับประเทศ (Press Visits) การโฆษณาเพื่อสร้างภาพลักษณ์องค์กร (Corporate Advertising) การสร้างสัมพันธ์กับส่ือ (Media Relations) การจัดกิจกรรมพิเศษ (Special Event) การจัดวันหรือสัปดาห์พิเศษ (Special Days and Weeks) การจัดประชุม/สัมมนา (Conference/Seminar) การจัดนิทรรศการ (Exhibition) การจัด ขบวนแห่ (Road Show) การจดั งานแสดงสนิ ค้า (Trade Show) การเป็นผ้อู ปุ ถัมภ์ (Sponsorship) การ จดั ทาของท่รี ะลกึ (Premium/Identity Media) และการจัดทาจดหมายขา่ ว (Newsletter) สรุปได้ว่า การประชาสัมพันธ์เป็นส่ิงท่ีจาเป็นต่อการดาเนินงานในกลุ่มผู้พัฒนาในปัจจุบันแม้ว่าจะมี การนาเอาความคิดการสื่อสารการตลาดมาใชก้ ารอย่างแพร่หลายและตอ่ เน่ือง การประชาสัมพันธ์เป็นกลยุทธ์ การตลาดทสี่ าคัญอีกอยา่ งหนึ่ง เครื่องมอื การประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจงั หวดั ลาปาง เป็นการเผยแพร่ ความรู้ความเข้าใจท่ีดีต่อการท่องเทย่ี วของจังหวัดลาปาง รวมถึงการสร้างความสมั พันธ์ที่ดรี ะหวา่ กลุ่มผู้พัฒนา กบั กลุ่มผู้ใช้ ซง่ึ จะต้องอาศัยเครือ่ งมือการประชาสัมพนั ธ์ทีห่ ลากหลาย 2. ผลการศึกษากลยุทธ์การประชาสมั พนั ธเ์ พื่อสง่ เสรมิ การทอ่ งเที่ยวจังหวัดลาปาง การทางานด้านการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจังหวัดลาปางจะมีหน่วยงานท่ีรับผิดชอบ คือสานักงานการท่องเท่ียวและกีฬา เขตพื้นท่ีจังหวัดลาปาง สานักงานจังหวัดลาปาง สานักงานวัฒนธรรม จังหวัดลาปาง สานักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดลาปาง เทศบาลนครลาปาง และสานักงานการท่องเท่ียวแห่ง ประเทศไทย (ภาคเหนือ) โดยมสี านกั งานการทอ่ งเทย่ี วและกฬี า เขตพนื้ ท่จี งั หวัดลาปาง และสานกั งานจังหวัด
ลาปางเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจังหวัดลาปาง และสานักงาน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ภาคเหนือ) สานักงานประชาสัมพันธ์ จังหวัดลาปางเป็นฝ่ายสนับสนุนงาน ด้านการประชาสัมพันธ์ ซ่ึงหน่วยงานทั้งหมดจะรับเอานโยบายจากต้นสังกัดคนละหน่วยงานกันแต่นโยบาย และวสิ ยั ทศั นน์ ้ันจะสอดคลอ้ งกนั การประชาสัมพันธ์ (Public Relation) เป็นสิ่งที่มีบทบาทในการช่วยในการส่งเสริมจังหวัดลาปาง เป็นเมืองท่องเท่ียวเป้าหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้กลุ่มเป้าหมายได้รับข้อมูลข่าวสารมากท่ีสุด ซึ่งจังหวัด ลาปางไดม้ ีแผนพฒั นาดา้ นการท่องเที่ยวทมี่ ุง่ เน้นในเรื่องการประชาสัมพันธ์ตา่ ง ๆ ดงั ทนี่ ักพัฒนาไดก้ ล่าวไวว้ า่ “..การประชาสัมพันธ์เชิงรุก เป็นแผนพัฒนาการประชาสัมพันธ์ของจังหวัดลาปางในด้านการ ท่องเที่ยว ซ่ึงแผนการพัฒนาการท่องเท่ียวของจังหวัดลาปางจะมีการดาเนินการทางานเป็น 3 ข้ันตอน คือ (1) ต้นทาง คือ การวางแผนและบรกิ าร (2) กลางทาง คือ การพัฒนาการท่องเท่ียว กิจกรรมและของท่ีระลึก (3) ปลายทาง คือ การตลาด สาหรับการประชาสัมพันธ์จะอยู่ในข้ันตอนที่เรียกว่า “ปลายทาง” โดยมีกลยุทธ์ ในการพัฒนาได้แก่ การส่งเสริมการตลาดและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวให้เป็นท่ีรู้จักแพร่หลายทั้งในและ ตา่ งประเทศ..” กลยทุ ธก์ ารใชส้ ่อื ในการประชาสมั พนั ธ์ ประกอบดว้ ย 1. การใช้สื่อแบบผสมผสาน ในแต่ละกิจกรรมน้ันได้มีการใช้ส่ือหลาย ๆ ประเภทร่วมกันซ่ึงจะมีทั้ง On Ground, On Line, On Air และ On Print ผู้ให้สัมภาษณ์กล่าวว่ามีหลักในการเลือกสื่อคือ การใช้สื่อให้ เกิดประโยชนม์ ากที่สดุ และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุดดว้ ย มกี ารใชส้ ื่อต่าง ๆ 2. การใช้ส่ือโดยเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย จะมุ่งเน้นที่การประชาสัมพันธ์กับกลุ่มนักท่องเท่ียวตาม แคมเปญ “ลาปาง...ปลายทางฝัน” โดยจะใหส้ ือ่ สามารถเขา้ ถงึ กลมุ่ บคุ คลเหลา่ นน้ั ให้มากขนึ้ 3. การใชส้ ื่อของหน่วยงานพันธมติ ร นอกจากสานกั งานการท่องเทยี่ วและกฬี า จังหวัดลาปาง ยังได้ มีการประสานความร่วมมือในการจัดทาส่ือการประชาสัมพันธ์ไปยังหน่วยงานและกลุ่มต่าง ๆ ในการ ประชาสัมพนั ธก์ ารท่องเทย่ี ว หรอื เรียกว่าหน่วยงานพนั ธมิตร 4. การใช้ส่ือสมัยใหม่ จังหวัดลาปางมีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพ่ือการท่องเท่ียวและจัดทา ฐานข้อมูลท่องเท่ียว และการนาเสนอสื่อประชาสัมพันธ์การท่องเท่ียวของจังหวัดลาปางได้ใช้การใช้สื่อ สมยั ใหม่ได้เพ่มิ เทคโนโลยสี มัยใหม่ในการให้ข้อมลู ขา่ วสารดา้ นการท่องเท่ียว การนาเสนอสารประชาสัมพันธน์ ้ัน ไดใ้ ชก้ ลยุทธ์ทัง้ หมด 4 กลยุทธ์ ดังน้ี 1. กลยุทธ์การนาเสนอข้อเท็จจริง เป็นการนาเสนอเพื่อเป็นการบอกให้ทราบและให้ข้อมูลข่าวสาร กับนักทอ่ งเทย่ี ว 2. กลยุทธ์การโฆษณาเพื่อประชาสัมพันธ์ ผู้ให้สัมภาษณ์กล่าวว่า ในเนื้อหาของสื่อที่นาเสนอนั้น มกี ารใช้ทัง้ ลักษณะการประชาสมั พันธแ์ ละการโฆษณาควบค่กู นั ไป 3. การสรา้ งสารสาหรับกลุม่ เปา้ หมาย สาหรบั สารท่ใี ช้นาเสนอในส่ือประชาสัมพันธ์นน้ั ก็ตอ้ งมีความ สอดคล้องกับส่ือที่ได้นาเสนอให้กลุ่มเป้าหมายน้ัน ๆ ด้วย เพ่ือเป็นการดึงดูด สารน้ันจะไปกระทบใจ ทาให้ นกั ทอ่ งเที่ยวกลุ่มเปา้ หมายน้นั ๆเหน็ ภาพ 4. กลยุทธ์การสร้างสัญลักษณ์ การสร้างภาพสัญลักษณ์ให้นักท่องเท่ียวสามารถจดจาภาพการ ทอ่ งเท่ียวของจงั หวัดไดม้ ากขึ้น 5. การใช้ช่ือสถานที่เพ่ือประชาสัมพันธ์ ลักษณะการใช้ช่ือสถานท่ีเป็นสารเป็นการประชาสัมพันธ์ท่ี ผู้มาเหน็ สามารถรไู้ ดท้ นั ทีวา่ งานน้ี กจิ กรรมน้จี ดั ทไี่ หน อยา่ งไร โดยทไ่ี มต่ ้องประชาสมั พันธใ์ ห้ยงุ่ ยาก
การดาเนินงานประชาสัมพนั ธ์การท่องเทีย่ วของจังหวัดลาปางสามารถสรปุ เปน็ แผนภาพได้ ดงั นี้ การประชาสัมพนั ธก์ ารท่องเที่ยวของจังหวัดลาปาง การประชาสมั พนั ธ์เชิงรุก กลยุทธ์การใชส้ ่อื ประชาสัมพันธ์ กลยทุ ธ์การนาเสนอสารประชาสัมพนั ธ์ 1. ก213ก4กก))))าาาารรรรใใใใชชชชส้้้ส้สส่อืื่ออ่ื่ือโแขสดบมอยงยับเหใจผหนาสมะ่วม่ยจผงงสากานนลพุ่มนั เปธม้าหติ รมาย 1. การนาเสนอข้อเทจ็ จรงิ 2. 2. การโฆษณาเพื่อประชาสมั พนั ธ์ 3. 3. การสร้างสารสาหรบั กลุม่ เป้าหมาย 4. การสร้างสัญลักษณ์หรือเอกลกั ษณ์ 4. 5. การใชช้ ือ่ สถานทีเ่ พ่ือประชาสมั พนั ธ์ เพอ่ื ไปสู่เป้าหมาย 1. การใชส้ อ่ื ใหค้ มุ้ คา่ และเกิดประโยชนม์ ากทส่ี ดุ 2. การเข้าถงึ สื่อและกล่มุ เป้าหมาย 3. การขยายกลมุ่ เป้าหมายกว้างข้นึ 4. การสร้างการรบั ร้ใู หม่ใหม่ๆให้กลมุ่ เปา้ หมาย 5. การเสรมิ สร้างอัตลกั ษณ์ที่ดีของจงั หวัดลาปาง ภาพท่ี 1 การดาเนินงานประชาสัมพันธ์การท่องเท่ยี วของจังหวดั ลาปาง จากการสมั ภาษณ์จากผู้พัฒนาทง้ั หมดสรุปได้ว่า ในปี 2563 มีการกระตุ้นการท่องเท่ียวของจังหวัด ลาปางภายใต้โครงการกิจกรรมท่ีชื่อว่า “ลาปางปลายทางฝัน” เป็นการดาเนินงานประชาสัมพันธ์แบบเชิงรุก ได้ให้เหตุผลว่า เพ่ือให้แหล่งท่องเท่ียวของจังหวัดได้รับการยอมรับในระดับชาติและนานาชาติ และเป็นการ พัฒนาการท่องเท่ียวเชิงสร้างสรรค์สู่การพัฒนาสินค้าและการบริการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวครบวงจร บนพ้ืนฐานของเศรษฐกจิ เชิงสร้างสรรค์ที่มีความโดดเด่นและมคี ุณภาพสู่การพัฒนาท่ียั่งยืน จงึ ทาให้มีความคิด ทจี่ ะใชก้ ลยทุ ธ์การส่งเสริมการตลาดและการประชาสมั พนั ธก์ ารท่องเท่ียวใหเ้ ป็นทร่ี ู้จักท้ังในและต่างประเทศนี้ พัฒนาให้จังหวัดลาปางก้าวไปสู่มาตราฐานสากลได้ เป็นการเพิ่มรายได้และกระจายผลประโยชน์จากการ ท่องเท่ียวสู้ท้องถิ่น จึงมีการวางแผนการประชาสัมพันธ์ในเชิงรุก โดยการเพิ่มความถี่ในการเผยแพร่ข่าวสาร และใหเ้ ขา้ ถงึ กลมุ่ นักท่องเทีย่ วใหไ้ ด้หลากหลาย รวดเร็วมากทส่ี ุด มีการใช้สอื่ ประชาสัมพนั ธ์ และการนาเสนอ สารประชาสัมพันธ์มาร่วมด้วย เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการประชาสัมพันธ์ รวมถึงเป็นการกระจายข่าวท่ี
เก่ียวกับการท่องเที่ยวของจังหวดั ลาปางว่าในช่วงนี้มีงานเทศกาลอะไร จัดที่ไหน มีกิจกรรมอะไรบ้างหรือการ กระจายข่าวเกี่ยวกับแหล่งท่องเท่ียวต่าง ๆ โดยมีจุดเด่น คือ จังหวัดลาปางใช้กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด และการประชาสัมพันธ์การท่องเทย่ี วโดยเนน้ การประชาสัมพันธเ์ ชิงรุก โดยม่งุ เน้นการใชช้ ่องทางการสื่อสารที่ หลากหลาย และสภาพปัญหา คือ งบประมาณในการประชาสัมพันธ์ การมีส่วนร่วมของผู้ท่ีมีส่วนได้ส่วนเสีย บุคลากรขาดความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน เช่น การใช้ส่ือ และการนาเสนอสื่อ เป็นต้น การสื่อสารข้อมูล ต่างๆยังเข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวยังน้อย หรือมีเพียงเฉพาะคนในพ้ืนที่ หรือคนท่ีมีบทบาทเกี่ยวข้องกับงานนั้น เท่าน้ันท่ีรับรู้ข่าวสาร มุ่งเน้นเพียงการประชาสัมพันธ์เชิงรุกเท่าน้ัน ควรมีท้ังการประชาสัมพันธ์เชิงรุก และ การประชาสมั พันธเ์ ชงิ รบั ควบคูก่ ัน อภิปรายผล ผลจากการสารวจเครื่องมือการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเพ่ือส่งเสริมการท่องเท่ียวจังหวัดลาปาง พบว่า การใช้ส่ืออะไรนั้นขึ้นอยู่กับกิจกรรมท่ีจัดข้ึนและความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เพ่ือให้เข้าถึง กลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุดและเน้นเลือกสื่อตามลักษณะของงาน ดังนั้น การประชาสัมพันธ์ (Public Relation) ถือเป็นการสื่อสารหน่ึงท่ีจาเป็นต้องมีการวางแผน มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและ สร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้พัฒนาและผู้ใช้ จังหวัดลาปางมีการใช้เคร่ืองมือการประชาสัมพันธ์ท่ีหลากหลาย ซึ่งสอดคล้องกับ สุดาพร กุณฑลบุตร (Sudapron kuntonbutrs, 2014) ให้ความหมายว่า การส่ือสารสองทาง (two way communication) เพื่อมุ่งความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่าง“กลุ่มผู้ใช้ (Demand Side)” กับหน่วยงาน “ผู้พัฒนา (Supply Side)” และใช้เครื่องมือการประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นความสนใจทางบวก เช่น การเผยแพรข่ ่าว การใหส้ ัมภาษณ์ จดั กจิ กรรมพิเศษสนบั สนนุ กจิ กรรม เป็นต้น ผลการศึกษากลยทุ ธ์การประชาสัมพันธ์เพ่อื สง่ เสริมการท่องเท่ยี วจังหวัดลาปาง พบว่า การประชาสัมพันธ์ (Public Relation) เป็นสิ่งที่มีบทบาทในการส่งเสริมจังหวัดลาปางเป็นเมืองท่องเท่ียวเป้าหมาย โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้รับข้อมูลข่าวสารมากท่ีสุด จังหวัดลาปางได้มีแผนพัฒนาด้านการ ทอ่ งเทีย่ วทีม่ ุ่งเน้นในเรอื่ งการประชาสมั พนั ธ์ต่าง ๆ อันได้แก่ “การประชาสมั พันธ์เชิงรุก” เปน็ แผนพัฒนาการ ประชาสัมพันธ์ของจังหวัดลาปางในด้านการท่องเที่ยว ซึ่งแผนการพัฒนาการท่องเท่ียวของจังหวัดลาปาง จะมีการดาเนินการทางานเป็น 3 ข้ันตอน คือ (1) ต้นทาง คือ การวางแผนและบริการ (2) กลางทาง คือ การพัฒนาการท่องเท่ียว กิจกรรมและของที่ระลึก (3) ปลายทาง คอื การตลาด สาหรับการประชาสัมพันธ์จะ อยู่ในขั้นตอนที่เรียกว่า “ปลายทาง” โดยมีกลยุทธ์ในการพัฒนาได้แก่ การส่งเสริมการตลาดและ ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนธกฤต วันต๊ะเมล์ (Nottakrit Wantamay, 2014) กลา่ วว่า การประชาสัมพนั ธม์ กี ารดาเนินทเ่ี ปน็ ข้นั ตอนซึง่ จะมีการดาเนินการ หลักสาคัญอันเช่น การวางแผนการประชาสัมพนั ธ์ และการดาเนินการตามแผน เปน็ ตน้ การดาเนินงานประชาสัมพนั ธ์การท่องเท่ียวของจังหวัดลาปางจะแบ่งออกเป็น 2 กลยทุ ธ์ คือ 1) กลยทุ ธ์ การใช้ส่ือประชาสัมพันธ์ ได้แก่ การใช้สื่อแบบผสมผสาน การใช้ส่ือโดยเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย การใช้ส่ือของ หน่วยงานพันธมิตร การใช้ส่ือสมัยใหม่ และ 2) กลยุทธ์การนาเสนอสารประชาสัมพันธ์ ได้แก่ การนาเสนอ ข้อเท็จจริง การโฆษณาเพื่อประชาสัมพันธ์ การสร้างสารสาหรับกลุ่มเป้าหมาย การสร้างสัญลักษณ์หรือ เอกลักษณ์ และการใช้ชื่อสถานที่เพ่ือประชาสัมพันธ์ ซึ่งสอดคล้องกับ พนิตสุภา ธรรมประมวล (Panitsupa Thampramaun, 2020) กล่าวว่า กิจกรรมประชาสัมพันธ์ส่ิงท่ีจะต้องคานึงถึงเช่น การใช้ส่ือเพื่อ ประชาสัมพันธ์ขององค์กร สาหรับด้านกลยุทธ์การนาเสนอสารประชาสมั พนั ธ์ มีความสอดคล้องมีกับงานวิจัย ของ อรวี บุนนาค (Orawee Bunnag, 2016) ในงานวิจัยเรื่องกลยุทธ์การนาเสนอสารประชาสัมพันธ์การ ท่องเทีย่ วในวนั แหง่ ความรกั ของการท่องเทย่ี วแห่งประเทศไทยที่เก็บข้อมลู จากข่าวประชาสัมพนั ธ์การท่องเท่ียว
ในวันแห่งความรักในปี พ.ศ. 2557 และ 2558 ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ผลการศึกษาพบว่า มีกลยุทธ์ได้แก่ (1) กลยุทธ์การสร้างสารสาหรับกลุ่มเป้าหมาย (2) กลยุทธ์การนาเสนอ ข้อเท็จจริงโดยเช่ือมโยงแนวคิดของงานกับแหล่งท่องเท่ียว (3) กลยุทธ์การใช้บุคคลมีช่ือเสียงเพื่อผลทาง การตลาด (4) กลยุทธ์การโน้มน้าวใจ (5) กลยุทธ์การนาเสนอสารด้วยการใช้ภาษาสร้างสรรค์ และ (6) กลยุทธ์ การสร้างภาพลักษณ์ และยังกล่าวอีกว่า กลยุทธ์การนาเสนอสารประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ เป็นกลไกสาคัญท่ีจะ กระตุ้นให้นักท่องเท่ียวเดินทางมาร่วมกิจกรรมท่องเที่ยวเพ่ือมุ่งไปสู่เป้าประสงค์หลักของแผนการท่องเที่ยว คือ สร้างกระแสให้เกิดการตัดสินใจในการเดินทางท่องเท่ียว ทาให้นักท่องเท่ียวเกิดทัศนคติเชิงบวกต่อแหล่ง ท่องเทีย่ วหรืองานน้ัน ๆ ซ่ึงนาไปสู่การสร้างความภักดีของนักท่องเทยี่ วทัง้ ในรูปแบบของการกลับมาท่องเทย่ี ว ซ้าและการแนะนาบอกต่อรวมทั้งมุ่งสู่เป้าหมายปลายทาง คือ การทาให้นักท่องเท่ียวได้รับประสบการณ์จาก การเดินทางทอ่ งเท่ยี ว ประโยชนท์ ี่ได้จากการวิจยั จากผลการวิจัยข้างต้นท่ีได้ศึกษา ผู้วิจัยจึงนามาสรุปเป็นองค์ความรู้ใหม่ (New Finding) เก่ียวกับ กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์การท่องเท่ียวจะมีกลยุทธ์ที่จะช่วยให้การประชาสัมพันธ์สามารถส่งข้อมูลข่าวสาร ด้านการท่องเท่ียวไปสู่ “กลุ่มผู้ใช้ (Demand Side)” น่ันคือ นักท่องเที่ยว เพ่ือสร้างความรู้ความเข้าใจ และ สร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้พัฒนาและผู้ใช้ จะมีการดาเนินการท่ีเรียกว่า “การประชาสัมพันธ์เชิงรุก” ซึ่งจะ ประกอบด้วย 2 กลยุทธ์ที่สาคัญดังน้ี กลยุทธ์การใช้สื่อประชาสัมพันธ์ และกลยุทธ์การนาเสนอสาร ประชาสัมพันธ์ ข้อเสนอแนะ 1. ผลการวิจัยในครั้งน้ีไปเป็นแนวทางในการพัฒนาการประชาสัมพันธ์ของจังหวัดลาปางต่อไป และ เพอื่ ให้ภาครัฐสามารถนาไปวางแผนพัฒนาด้านงบประมาณได้อยา่ งครอบคลุมเหมาะสม 2. การวิจัยในครั้งต่อไปควรทาการวิจัยท่ีเป็นวิเคราะห์เชิงปริมาณในด้านผลสัมฤทธ์ิการรับสาร ประชาสัมพนั ธ์โดยเก็บขอ้ มูลจากกลุ่มผู้ใช้เพือ่ เป็นแนวทางการพฒั นาการประชาสมั พนั ธต์ อ่ ไป References Aumporn Lincharearn. (2011). Qualitative data analysis techniques. Retrieved from https://edu.msu.ac.yh/jem/home/journal_file/240.pdf Chalongsri Pimonsompong. (2017). Tourism planning and marketing development (Report No.13). Bangkok: Kasetsart University Press. Cooper Chris. (2012). Essentials of tourism. New York: Prentice Hall. Department of Tourism (2013). The Royal Coast of Thailand Riviera 2016 - 2020. Retrieved from https://www.mots.go.th/ewt_dl_link.php?nid=7704 Nottakrit Wantamay. (2014). Marketing communications (Report No.2). Bangkok: Kasetsart University Press. Panitsupa Thampramaun. (2020). Service Marketing. Bangkok: P. A. Living. Pawinee Triamchaisri. ( 2 0 0 4 ) . Strategies and effectiveness of public relations for tourism in Nakhon Nayok province (Master’s thesis), Chulalongkorn University.
Orawee Bunnag. (2016). The Strategies of releasing tourism public relations messages on valentine’s day love festival of Tourism Authority of Thailand. Journal of Thai Hospitality and Tourism, 6(2). Salinee Tippeng (2018). A strategy for competitive advantages of MICE industry in Songkhla Province, Thailand (Doctoral dissertation), University of Phayao. Sudapron Kuntonbutrs (2014). Modern principle of marketing. Bangkok: Chulalongkorn University Printing House. Teerapun Lotongkum. (2001). Strategies IMC. Bangkok: Tipping Point Press. Received: June 4, 2020 Revised: July 13, 2020 Accepted: July 16, 2020
การพฒั นาทกั ษะภาษาอังกฤษเฉพาะทางของพนกั งานสนามกอลฟ์ (แคดด)้ี ในจังหวัดเชยี งใหม่ ปนดั ดา จีนประชา คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วทิ ยาเขตเชียงใหม่ บทคดั ย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือ1) ศึกษาความคิดเห็นของพนักงานสนามกอล์ฟในจังหวัดเชียงใหม่ที่มีต่อ บทเรียนภาษาอังกฤษ 2) เพ่ือพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษเฉพาะทางเพ่ือพนักงานสนามกอล์ฟ และวัด ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ 2 ครั้ง คือ ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (One group pre – test - post – test) โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานสนามกอล์ฟในจังหวัดเชียงใหม่ จานวน 30 คน โดยใช้วิธีการสุ่ม แบบเจาะจง ( Purposive Sampling) เคร่ืองมือทใี่ ชใ้ นการศกึ ษาครั้งนี้ ได้แก่ 1. บทเรยี นภาษาอังกฤษเพ่ือพัฒนา ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ ประกอบด้วยเนื้อหา สานวน และคาศัพท์เฉพาะทางที่ช่วยในการพัฒนาทักษะ การส่ือสารภาษาอังกฤษ 2. แบบวัดความสามารถในการส่ือสารภาษาอังกฤษที่ผู้วิจัยสร้างข้ึนโดยมีการหา IOC (Index of Item - Objective Congruence) จาก ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษและกอล์ฟรวม 3 ท่าน มีค่า > 0.50 ถือว่าเป็นแบบวดั ท่ยี อมรบั ได้ และมคี า่ ความเท่ยี ง Cronbach’s Alpha 0.88 ผลการศึกษาพบว่า 1. ความคิดเห็นของพนักงานสนามกอล์ฟที่มีต่อบทเรียนภาษาอังกฤษเฉพาะทาง ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับระยะเวลาและสถานที่ ที่ใช้ในการฝึกอบรม และความเหมาะสมของส่ือท่ีใช้ในการอบรม ความรู้ท่ีได้รับเป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ การเรียงลาดับของเน้ือหาจากง่ายไปสู่ยาก ความเหมาะสม และง่ายต่อการเข้าใจของเน้ือหา ความเหมาะสมของกิจกรรมกับเนื้อหา การบรรยายของวิทยากร และเอกสาร หลักสูตรท่ีใช้ประกอบการอบรม 2. การเปรียบเทียบความแตกต่างของระดับคะแนนก่อนเรียนภาษาอังกฤษ เฉพาะทางในระยะเวลา 3 เดอื น พบว่า ผู้เข้าอบรมมีคะแนนหลังเรียน มากกว่า คะแนนก่อนเรียน แสดงให้เห็นว่า ผเู้ ขา้ อบรมมีความร้คู วามเข้าในเนอื้ หา สานวน และคาศัพท์ ตามวตั ถปุ ระสงค์ทผ่ี วู้ ิจยั ไดต้ ัง้ ไว้ คาสาคญั : การพัฒนาทกั ษะ; ภาษาองั กฤษเฉพาะทาง; พนกั งานสนามกอล์ฟ Corresponding Author: ปนดั ดา จีนประชา คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วทิ ยาเขตเชียงใหม่ Email: pjeenprachaoo.com
DEVELOPMENT OF SPECIFIC ENGLISH COMMUNICATION SKILLS FOR CADDIES IN CHIANG MAI Panadda Jeenpracha Faculty of Liberal Arts, Thailand National Sports University: Chiang Mai Campus Abstract The objectives of this research were 1) to study the opinions of caddies in Chiang Mai towards English for specific purpose lessons 2) to develop specific English communication skills for caddies in Chiang Mai and to assess the English communication ability 2 times, pre - test – post -test from 30 caddies in Chiang Mai who are the sample group by using a purposive sampling method. The research method used in this study were: 1. English lessons to improve specific English communication skills which contains content, idioms and specific vocabulary. 2. English communication proficiency test created by the researcher with the determination of IOC ( Index of Item- Objective Congruence) from 3 English and golf experts with more than 0.50 is considered an acceptable achievement test and the validity of Cronbach's Alpha is 0.88. The results showed that 1. The opinion of caddies towards attending the training to English for specific lessons, most agree on the duration and place of training and the suitability of the media used in the training The knowledge gained is beneficial to the profession. Starting content from easy to difficult, appropriate and easy to understand the appropriateness of activities to its content, lecturer's lecture and English lessons used for training. 2. Comparing the difference in scores before studying English for a specific purpose in 3 months, it was found that the participants had post- test scores are higher than pre- test scores, it showed that the participants had better knowledge of content, expressions and vocabulary according to the objectives set by the researcher Keywords: development, specific English communication skills, caddies Corresponding Author: Panadda Jeenpracha, Faculty of Liberal Arts, Thailand National Sports University. Email:[email protected]
บทนา ในภาวะปัจจุบันอิทธิพลของโลกาภิวัตน์ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเรียนรู้ภาษาของ ประเทศอื่นย่อมได้เปรียบในการทากิจการต่างๆรวมท้ังการประกอบอาชีพด้านการให้บริการด้านการท่องเท่ียว ที่เกิดข้ึนน้ีมีหลายรูปแบบอาทิ การท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์ การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน รวมท้ังการท่องเท่ียวเชิงกีฬา ที่เป็นแนวโน้มการท่องเท่ียวล่าสุด โครงการสายสัมพันธ์ เครือข่ายชุมชนเพื่อการท่องเท่ียวที่ยั่งยืน สานัก พัฒนาการการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬาได้ให้ความหมายของคาว่าการท่องเท่ียวเชิงกีฬา (Tourism Authority of Thailand, 2016) หมายถึง การเดินทางท่องเท่ียวเพื่อเล่นกีฬาตามความถนั ด ความสนใจในประเภทกีฬาเช่น กอล์ฟ ดาน้า ตกปลา สนุกเกอร์ และการท่องเที่ยวเชิงกีฬาเป็นหนึ่งในธุรกิจ หลายพันล้านดอลล่าร์ที่เติบโตอย่างเร็วมาก คาดว่าร้อยละ 10 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศทั่วโลก จะมาจากอุตสาหกรรมการเดินทางและท่องเท่ียว เศรษฐกิจของเมืองใหญ่บางเมืองและบางประเทศขึ้นอยู่กับ ผ้ไู ปเล่นกอล์ฟ สกี หรือเดินทางไปชมฟุตบอล รักบี้ หรือคริกเก็ต โดยรายได้ในบางประเทศการท่องเท่ียวเชิงกีฬา คดิ เปน็ มูลค่าได้ถึงร้อยละ 25 ของรายได้รวมท้ังหมด โดยเฉพาะการท่องเท่ียวเชิงกีฬา เช่น กีฬากอล์ฟ เป็นกีฬาหนึ่งในหลายชนิดที่นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามา เลน่ ในประเทศไทย ธุรกิจนี้จงึ มีความจาเปน็ ตอ้ งใช้ภาษาองั กฤษเปน็ เคร่ืองมอื ในการติดต่อส่ือสารไม่ว่าจะเปน็ ชาติ ใด ๆ เพราะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมิใช่เป็นเพียงแค่การให้บริการหรือการให้ข้อมูลเฉพาะคนในประเทศ ของตนเอง แต่ยังเป็นการให้บริการแก่คนทั่วโลก ด้วยเหตุผลดังกล่าว บุคลากรที่ให้บริการจึงควรมีการพัฒนา ทกั ษะการใช้ภาษาอังกฤษและใหค้ วามสาคัญเพิ่มข้ึน ประโยชน์ข้อแรกที่เห็นชัด คือ ภาษาเป็นเครือ่ งมือของสังคม สาหรับใช้เป็นส่ือกลางในการตกลงบอกกล่าว ทาความเข้าใจกันระหว่างบุคคล และระหว่างหมู่คนใน วงการ ปกครอง ในการทามาหาเลี้ยงชีพ ในการเรียนการสอนวิทยาการทั้งส้ิน แม้ว่าประเทศไทยจะเปิดประเทศเข้าสู่ อุตสาหกรรมบริการเชิงท่องเท่ียวมาเป็นเวลานานกว่า 20 ปี ปัญหาของความไม่พร้อมของบคุ ลากรในธุรกจิ น้ีก็ยัง มีปรากฏอยู่ โดยเฉพาะปัญหาเร่ืองการใช้ ภาษาอังกฤษในการติดต่อให้บริการ (Chantach Wannathanom, 2009) แม้ว่าในการเตรียมความพร้อมด้านภาษาให้กับบุคลากรน้ันจะพยายามกระจายความต้องการภาษา ตา่ งประเทศอื่น ๆ เช่น ภาษาฝร่ังเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาญ่ีปุ่น ภาษาจีน แต่ก็ยังปรากฏว่า ภาษาอังกฤษ ยังคง เป็นภาษาต่างประเทศที่มีความสาคัญ และมีประโยชน์ท่ีสุดในธุรกิจการท่องเท่ียว จากความจริงข้อน้ี บุคลากรที่ จะเข้าสู่ธุรกิจการท่องเท่ียวไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการหรือผู้ปฏิบัติจึงหันมาเตรียมความพร้อมด้านภาษาอังกฤษ เพื่อความสาเร็จของการประกอบการมากขึ้น (Panit Boonyawathana, 1999) จากข้อความท่ีกล่าวมาข้างต้น เห็นได้ว่าภาษาอังกฤษมีความจาเป็นอย่างย่ิงในการติดต่อสื่อสารในด้านต่าง ๆ แต่ก็ยังพบปัญหาในการใช้ ภาษาอังกฤษ และความไม่พร้อมของบุคลากรหรือผู้ประกอบการท่ีให้บริการดา้ นการทอ่ งเที่ยวอยู่เป็นจานวนมาก โดยเฉพาะในจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวพบว่า ผู้ให้บริการด้านการท่องเท่ียวยังมีปัญหาในการใช้ภาษาอังกฤษ เมือ่ ตอ้ งการส่อื สาร และใหข้ อ้ มูลแกผ่ มู้ ารบั บริการ จากปัญหาดังกล่าว จึงเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ได้บุคลากรท่ีมีคุณภาพ และสามารถใช้ภาษาอังกฤษในวิชาชีพของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้วิจั ยจึงมีความสนใจที่จะพัฒนา ภาษาองั กฤษเฉพาะทาง (English for Specific purposes)
วตั ถปุ ระสงค์ของการศึกษา 1. เพื่อศึกษาความคิดเห็นของพนกั งานสนามกอล์ฟ(แคดดี้) ในจังหวัดเชยี งใหม่ ท่ีมตี ่อบทเรยี นภาษาอังกฤษ เพ่อื พฒั นาทักษะการส่อื สารภาษาอังกฤษเฉพาะทางเพื่อพนักงานสนามกอล์ฟ 2. เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษเฉพาะทางเพ่ือพนักงานสนามกอล์ฟและทาการวัดความสามารถ ในการสื่อสารภาษาอังกฤษ สมมติฐานของการศกึ ษา 1. พนักงานสนามกอล์ฟในจังหวัดเชียงใหม่มีความคิดเห็นต่อบทเรียนภาษาอังกฤษในการพัฒนาทักษะ การสอ่ื สารภาษาอังกฤษเฉพาะทาง 2. พนักงานสนามกอล์ฟในจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการพัฒนาทักษะการส่ือสารภาษาอังกฤษ และคาศัพท์ เฉพาะทางท่ชี ่วยพฒั นาความสามารถการสือ่ สารภาษาอังกฤษในอาชพี ของตน ประโยชนท์ ไ่ี ด้รับ 1. พนักงานสนามกอล์ฟมีความคิดเห็นที่ดีต่อบทเรียนภาษาอังกฤษและสามารถนาไปใช้ประโยชน์ใน สายอาชีพได้ 2. พนักงานสนามกอล์ฟได้ความรู้และทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการส่ือสารภาษาอังกฤษเฉพาะทาง และ มกี ารพฒั นาทักษะภาษาอังกฤษในอาชพี ไดด้ ีขึน้ และสามารถนาไปใช้ในชีวติ ประจาวนั ได้ วิธกี ารศึกษา วธิ ีการศึกษาใช้วิธีการเลอื กกลุ่มตวั อย่างโดยเลอื กกลมุ่ ตัวอยา่ งจากพนักงานสนามกอลฟ์ ท่ตี ั้งอยู่ในจังหวัด เชียงใหม่ที่มีผู้มาใช้บริการเป็นชาวต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษ และสร้างบทเรียนภาษาอังกฤษขึ้นมาโดยผู้เช่ียวชาญ ด้านภาษาอังกฤษและกอล์ฟ รวม 3 ท่าน โดยมีการหาค่า IOC ( Index of Item- Objective Congruence) และเก็บข้อมูลภาคสนามและการวิเคราะห์ผลให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของงานวิจัยที่ต้ังไว้ โดยจะเก็บข้อมูล 2 คร้ัง คือ ทดสอบก่อนเรียน (pre – test) ทดสอบหลังเรียน (post – test) ใช้ระยะเวลา 3 เดือน ในการอบรม สปั ดาหล์ ะ 1 วนั วันละ 3 ช่วั โมง ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง กลมุ่ ตัวอย่างใช้วิธีการการส่มุ แบบเจาะจง (Purposive Sampling) เป็นการเลอื กกลุ่มท่ีผวู้ จิ ัยใช้เหตุผลใน การเลือกเพ่ือความเหมาะสมในการวิจัย คือ พนักงานสนามกอล์ฟ(แคดด้ี) ในจังหวัดเชียงใหม่ที่ทางานในสนาม กอล์ฟให้บริการแก่ชาวต่างชาติท่ีพูดภาษาอังกฤษรวมถึง ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และประเทศ ไทยเป็นเวลานาน โดยมากจะเขา้ มาเพ่อื ทางาน หรอื เรยี กว่า Expat (Expatriate) จานวน 30 คน เครื่องมือทีใ่ ช้ในการศึกษา เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการศกึ ษาคร้งั นี้ ไดแ้ ก่ 1. บทเรียนภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยสรา้ งบทเรียน และให้ผู้เช่ียวชาญด้านภาษาอังกฤษและกอล์ฟ รวม 3 ท่าน ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของเน้ือหาและภาษา ซ่ึงประกอบด้วย เน้ือหา สานวน และคาศัพท์เฉพาะทางที่ช่วย ในการพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ โดยจะทาการอบรมสัปดาห์ละ 1 วัน วันละ 3 ช่ัวโมง ใช้ระยะเวลา 3 เดอื นในการอบรม
2. แบบวัดความสามารถในการส่ือสารภาษาอังกฤษท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนโดยมีการหาค่า IOC (Index of Item- Objective Congruence) จาก ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษและกอล์ฟรวม 3 ท่าน มีค่า> 0.50 ถือว่า เป็นแบบวดั ทีย่ อมรับได้ และมคี า่ ความเท่ียง Cronbach’s Alpha 0.88 3. แบบสอบถามความคิดเห็นพนักงานสนามกอล์ฟในจังหวัดเชียงใหม่ ท่ีมีต่อการเข้ารับการอบรม มีประเด็นในข้อคาถาม 10 ประเด็น คือ ความเหมาะสมและง่ายต่อการเข้าใจ การเรียงลาดับของเน้ือหา ความเหมาะสมของสื่อ ความเหมาะสมของกิจกรรม การบรรยายของวิทยากร การฝึกกิจกรรมภายในกลุ่มย่อย ของผู้เขา้ อบรม เอกสารท่ีใชป้ ระกอบการอบรม ระยะเวลาในการอบรม สถานท่ี และความรทู้ ่ีไดร้ ับเป็นประโยชน์ ต่อการประกอบอาชีพ มีเกณฑ์การวัดข้อมูลอันตรภาคช้ัน 5 ระดับ ใช้เกณฑ์การวัดระดับความพึงพอใจของ ลเิ คอร์ท (Likert Rating Scale) ข้ันตอนการดาเนนิ การศึกษา 1. ชีแ้ จงวัตถุประสงคแ์ ละขอความรว่ มมือจากกลุ่มตัวอยา่ งในการเข้ารว่ มวิจยั 2. เก็บข้อมูลก่อนอบรม โดยให้กลุ่มตัวอย่างวัดความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น และได้ให้ผู้เช่ียวชาญด้านภาษาอังกฤษและกอล์ฟรวม3 ท่านช่วยตรวจสอบความถูกต้องของเน้ือหาและภาษา ทดสอบ pre - test ก่อนเข้ารบั การอบรม 3. กลมุ่ ตัวอยา่ งเข้ารบั การอบรมกบั ผู้วิจยั เปน็ ระยะเวลา 3 เดอื น 4. เก็บรวบรวมข้อมูลหลังสิ้นสุดการอบรม ใช้เวลา 3 เดือน โดยให้กลุ่มตัวอย่างวัดความสามารถใน การสอ่ื สารภาษาองั กฤษทดสอบหลงั เรียน post - test ซึ่งเป็นชดุ เดียวกับทดสอบกอ่ นเรยี น 5. กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามความคิดเห็นพนักงานสนามกอล์ฟในจังหวดั เชียงใหม่ที่มีตอ่ การเขา้ รับ การอบรม 6. นาข้อมูลที่ได้มาตรวจสอบความสมบูรณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสาเร็จรูปเพื่อประกอบ การสรปุ และอภิปรายผลการวิจยั สถติ ทิ ใ่ี ช้ในการศึกษา การศึกษาในครั้งนี้ได้นาข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมสาเร็จรูป ในการวัดคะแนนความก้าวหน้าของ ภาษาอังกฤษสาหรับพนักงานสนามกอลฟ์ จากแบบวดั ความสามารถในการสือ่ สารภาษาอังกฤษ เป็นสถิติเบื้องต้น ในการอภิปรายผล ได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) และค่าเฉลี่ย (Mean) และทดสอบก่อนและหลังการทดลอง (One group, pre - test – post - test design) ทดสอบจากข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง ในกลุ่มเดียวกัน (t – test dependent) ผลการวจิ ัย ผลจากการศึกษาตารางที่ 1 พบว่าสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ 1) พนักงานสนามกอล์ฟมีความคิดเห็น ต่อบทเรียนภาษาอังกฤษในการพัฒนาทักษะและมีระยะเวลาที่เหมาะสม กับเน้ือหา ที่ใช้ในการฝึกอบรม รวมถึงสถานท่ีท่ีใช้ในการฝึกอบรม ตลอดจนความเหมาะสมของสื่อที่ใช้ในการอบรมในครั้งน้ี 2) พนักงานสนาม กอล์ฟได้มีการพัฒนาความรู้ทักษะภาษาอังกฤษที่ได้อบรมเป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพมีกิจกรรมทเ่ี หมาะสม
และง่ายต่อการเข้าใจของเน้ือหา การบรรยายของวิทยากร และเอกสารหลักสูตรที่ใช้ประกอบการอบรมมีเนื้อหา เฉพาะทางท่ีชดั เจนง่ายตอ่ การเขา้ ใจของผรู้ บั การอบรม ตารางท่ี 1 แสดงขอ้ มูลเกี่ยวกับความคดิ เหน็ ของพนักงานสนามกอลฟ์ (แค้ดดี)้ ท่มี ตี ่อบทเรียนภาษาองั กฤษ คาถาม กล่มุ ทดลอง (n = 30) ̅������ S.D. 1. ความเหมาะสมและง่ายตอ่ การเขา้ ใจของ เน้ือหา 4.00 0.78 2. การเรยี งลาดบั ของเนื้อหาจากงา่ ยไปสูย่ าก 4.06 0.86 3. ความเหมาะสมของสอื่ ที่ใช้ในการอบรม 4.13 0.86 4. ความเหมาะสมของกิจกรรมกับเนือ้ หา 3.96 0.80 5. การบรรยายของวทิ ยากร 3.93 0.86 6. การฝกึ กิจกรรมภายในกลุ่มย่อยของผู้เขา้ รบั 3.83 0.94 การอบรม 7. เอกสารหลักสตู รที่ใช้ประกอบการอบรม 3.93 0.86 8. ระยะเวลาท่ใี ช้ในการอบรม 4.16 0.87 9. สถานทีท่ ่ใี ช้ในการอบรม 4.16 0.74 10. ความร้ทู ไ่ี ดร้ บั เปน็ ประโยชนต์ อ่ การ 4.13 0.73 ประกอบอาชพี จากตารางท่ี 1 พบว่า คะแนนสูงสุด คือ ระยะเวลาท่ีใช้ในการฝึกอบรบ และสถานท่ีท่ีใช้ในการฝึกอบรม (ค่าเฉล่ียเท่ากับ 4.16) เมื่อพิจารณาเป็นรายประเด็นพบว่า ระยะเวลาท่ีใช้ในการฝึกอบรบ และสถานท่ีท่ีใช้ ในการฝึกอบรม (������̅ = 4.16) รองลงมา คือ ความเหมาะสมของสื่อที่ใช้ในการอบรม และความรู้ท่ีได้รับเป็น ประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ (������̅ = 4.13) การเรียงลาดับของเน้ือหาจากง่ายไปสู่ยาก (������̅ = 4.06) สอดคล้อง กับวัตถุประสงค์ 1) พนักงานสนามกอล์ฟมีความคิดเห็นต่อบทเรียนภาษาอังกฤษในการพัฒนาทักษะ และ มรี ะยะเวลาทเี่ หมาะสมกบั เน้อื หาท่ใี ชใ้ นการฝึกอบรม รวมถงึ สถานทีท่ ี่ใช้ในการฝึกอบรม ตลอดจนความเหมาะสม ของสื่อท่ีใช้ในการอบรมในคร้ังนี้ 2) พนักงานสนามกอล์ฟได้มีการพัฒนาความรู้ทักษะภาษาอังกฤษที่ได้อบรม เป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพมีกิจกรรมที่เหมาะสมและง่ายต่อการเข้าใจของเน้ือหา การบรรยาย ของวิทยากร และเอกสารหลักสูตรที่ใช้ประกอบการอบรมมีเนื้อหาเฉพาะทางท่ีชัดเจนง่ายต่อการเข้าใจของผู้รับ การอบรม
ตารางท่ี 2 แสดงคา่ สถิติของระดบั คะแนนทักษะภาษาอังกฤษของพนกั งานสนามกอล์ฟ(แคดด้ี) ในจงั หวดั เชียงใหม่ ค่าสถิติ คะแนนทักษะภาษาองั กฤษของพนกั งานแคด้ ด้ี กอ่ น หลงั Mean 36.93 53.06 n 30 30 S.D. 6.16 6.78 Max 25.00 31.00 Min 47.00 64.00 ผลการวิเคราะห์ค่าสถติ ิท่ีใช้ในการเปรยี บเทียบความแตกต่างของระดบั คะแนนอบรมทักษะภาษาอังกฤษ ของพนักงานสนามกอล์ฟ(แคดดี้) ในจังหวัดเชียงใหม่ก่อนและหลังการอบรม พบว่า คะแนนและความรู้ ความเข้าใจหลังเรียน post - test มีมากกว่า (53.06) คะแนนก่อนเรียน pre - test (36.93) คิดเป็นคะแนน ที่เพิม่ ขน้ึ เฉลี่ยรอ้ ยละ 52.35 และค่าความแตกตา่ งของระดับคะแนนเทา่ กับ 26.17 ตารางที่ 3 แสดงความแตกต่างของระดับคะแนนอบรมทักษะภาษาอังกฤษของพนักงานสนามกอล์ ในจังหวัด เชยี งใหม่ จานวน pre-test post-test ค่าความ ร้อยละของ แตกตา่ ง คะแนนที่ เพ่มิ ข้ึน ความแตกตา่ งของระดับ 30 36.93 53.06 26.17 52.35 คะแนนอบรมทกั ษะ ภาษาองั กฤษของพนกั งาน สนามกอล์ฟในจังหวัด เชียงใหม่ ผลการศึกษา การนาเสนอสรุปผลการศึกษา ขอนาเสนอเป็นภาพรวม และข้อสรุปผลการศึกษาท่ีเป็นไปตาม วตั ถุประสงค์ของการศกึ ษาท่ีตั้งไว้ ดังน้ี จากการอบรมพนักงานสนามกอล์ฟ ในระยะเวลา 3 เดือนพบว่า 1) พนักงานสนามกอล์ฟมีความคิดเห็น ต่อบทเรียนภาษาอังกฤษในการพัฒนาทักษะและมีระยะเวลาที่เหมาะสมกับเนื้อหาที่ใช้ในการฝึกอบรม รวมถึง สถานท่ีท่ีใช้ในการฝึกอบรม ตลอดจนความเหมาะสมของสื่อที่ใช้ในการอบรมในคร้ังน้ี 2) พนักงานสนามกอล์ฟ ได้มีการพัฒนาความรู้ทักษะภาษาอังกฤษที่ได้อบรมเป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพมีกิจกรรมที่เหมาะสม และง่ายต่อการเข้าใจของเนื้อหา การบรรยายของวิทยากร และเอกสารหลักสูตรที่ใช้ประกอบการอบรมมีเน้ือหา เฉพาะทางที่ชัดเจนง่ายต่อการเข้าใจของผู้รับการอบรม หลังจากเปรียบเทียบก่อนและหลัง การอบรมจะ แสดงความแตกต่างของระดับคะแนนการอบรมทักษะภาษาอังกฤษของพนักงานสนามกอล์ฟ ในจงั หวัดเชียงใหม่
ว่าคะแนนหลังเรียน (post – test) มีมากกว่า (53.06) คะแนนก่อนเรียน (pre - test) (36.93) คิดเป็นคะแนน ทเี่ พมิ่ ข้ึนเฉลยี่ รอ้ ยละ 52.35 และคา่ ความแตกต่างของระดับคะแนนเท่ากับ 26.17 อภปิ รายผลการศึกษา 1. กลุ่มคนทางานด้านการบริการในสนามกอล์ฟส่วนใหญ่มีการใช้ทักษะภาษาอังกฤษในการบริการและ การสื่อสารกับชาวต่างชาติค่อนข้างน้อยเพราะพนักงานสนามกอล์ฟบางคนขาดการฝึกฝน บางคนทักษะการใช้ คาศัพท์ยังไม่ดีเท่าท่คี วร หลังจากท่ีพนักงานสนามกอล์ฟในจงั หวดั เชียงใหม่ได้รบั การอบรมและแสดงความคิดเห็น ต่อบทเรียนภาษาอังกฤษในการพัฒนาทักษะการส่ือสารภาษาอังกฤษเฉพาะทางแล้วมีผลตอบรับที่ดีตามคะแนน หลังอบรม post - test มากกว่า (53.06) คะแนนกอ่ นอบรม pre - test (36.93) 2. หลังจากท่ีได้อบรมพนักงานสนามกอล์ฟในจังหวัดเชียงใหม่ มีการพัฒนาทักษะในการส่ือสาร ภาษาอังกฤษ และคาศัพท์เฉพาะทางในการช่วยพัฒนาความสามารถทางการสื่อสารภาษาอังกฤษในวิชาชีพ และ ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี อีกท้ังหลักสูตรการพัฒนาภาษายังเป็นที่นิยมสาหรับอาชีพการให้บริการสนามกอล์ฟ แสดงใหเ้ ห็นว่าการฝึกอบรมทักษะภาษาอังกฤษในการให้บริการในสนามกอล์ฟมีผลต่อคณุ ภาพชีวิตในทุก ๆ ด้าน ได้มีการพัฒนาทักษะการส่ือสารภาษาอังกฤษเฉพาะทางท่ีเกี่ยวกับอาชีพ นี้ให้ดีข้ึน และสามารถนาไป ใช้ใน ชวี ิตประจาวนั ได้อกี ด้วย ตามสมมตฐิ านของผวู้ ิจัยและพนักงานได้มีการพัฒนาสาเนียงการใช้ภาษา เรียนรู้คาศัพท์ เฉพาะได้เป็นอย่างดี ดังนั้นผลการศึกษาจึงสอดคล้องกับงานวิจัยของ สุรีวรรณ ฉัตรอนันทเวช (Sureewan Chatanantawet, 1994) ได้ทาการศึกษาผลของกิจกรรมฟัง – พูดภาษาอังกฤษสาหรับนักศึกษาการท่องเท่ียว และการโรงแรม โดยการใช้การปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนในห้องเรียน วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งน้ีเพ่ือ 1) สร้างกิจกรรมฟัง พูดภาษาอังกฤษ อังกฤษเฉพาะกิจ สาหรับนักศึกษาการท่องเที่ยวและการโรงแรมโดยเน้น ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนในห้องเรียน 2) ทดสอบผลของกิจกรรมที่ผู้วิจัยสร้างข้ึน 3) ศึกษาทัศนคติท่ีมีต่อ กิจกรรม ผลการวิจัยปรากฏว่านักศึกษาส่วนใหม่มีทัศนคติที่ดีต่อกิจกรรม ดังน้ันอาจสรุปได้ว่ากิจกรรมท่ีผู้วิจัย สร้างขึ้นโดยใช้การปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนในห้องเรียนมีประสิทธิ ภาพเหมาะสมท่ีจะใช้กับนักศึกษาการ ท่องเที่ยวและโรงแรม ดังที่ ดาว แสงบุญ (Dao Sangboon, 2000) ได้ศึกษาวิจัยและสร้างเอกสารการสอน ภาษาอังกฤษเพ่ือการสื่อสารด้านการท่องเท่ียว สาหรับนักศกึ ษาสาขาพัฒนาการท่องเที่ยวช้ันปีที่ 3 มหาวทิ ยาลัย แม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ โดยการศึกษาวิเคราะห์เอกสารและการสอบถามผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนเก่ียวข้อง และ นาข้อมูลที่ได้มาพัฒนาเอกสารการสอนภาษาอังกฤษเพ่ือการสื่อสารด้านการท่องเที่ยว ได้ทาการทดลองใช้กับ กลุ่มนักศึกษาสาขาพัฒนาการท่องเที่ยว โดยใช้วิธีการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและการเรียนรู้ แบบรว่ มมอื พบวา่ นกั ศึกษามีทกั ษะและความรู้เพ่ิมข้ึนหลังการเรยี นด้วยเอกสารการสอนทผี่ ้วู ิจัยได้พัฒนาขึ้น และ ได้ประเมินความพอใจของผู้เรียนพบว่าผู้เรียนมีความพึงพอใจเอกสารการสอนอยู่ในระดับมาก เนื่องจากมี ความตรงสอดคล้องกับความต้องการท่ีจะนาไปใช้ในการปฏิบัติงานจริง เช่นเดียวกับ ปรารถนา ศรีสุข (Pratana Srisuk, 2001) ได้ทางานพัฒนาหลกั สูตรภาษาอังกฤษสาหรับการท่องเท่ียว สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 จังหวัดสมุทรปราการ โดยดาเนนิ การพัฒนาหลกั สตู ร 5 ขน้ั ตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 การสร้างหลักสูตรโดยศึกษาข้อมูล พ้ืนฐานในการพัฒนาหลักสูตร ข้ันที่ 2 การตรวจสอบคุณภาพเบื้อต้น และปรับปรุงแก้ไข ข้ันท่ี3 การจัดทาวัสดุ หลักสูตร ข้ันที่ 4 การทดลองใช้หลักสูตรเพื่อหาคุณภาพของหลักสูตร ขั้นที่ 5 การปรับปรุงหลักสูตร การทดลอง ใช้หลักสูตรกับโรงเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง และปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร ผลการวิเคราะห์ปรากฏว่าความสามารถ ในการใช้ภาษาองั กฤษของนักเรียนที่ไดจ้ ากการทดสอบหลงั เรียน โดยใชส้ ูตรภาษาองั กฤษสาหรับทอ่ งเท่ยี วสูงกวา่
ก่อนเรียน รุจจิพร บัวแก้ว (Rujjiporn Buakaew, 2006) ได้ทาการศึกษาและพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการพูด ภาษาอังกฤษเพื่อการโรงแรมสาหรับนักศึกษาการโรงแรมชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพฯ โดยการวิเคราะห์ความต้องการจากเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสอนภาษาอังกฤษเพ่ือการโรงแรมและพัฒนา บทเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการโรงแรมที่เน้นการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด โดยการทากิจกรรมการพูด ทางตรง ด้วยการแสดงบทบาทสมมุติ (Role - play) พบว่า แบบฝึกท่ีสร้างขึ้นช่วยให้นักศึกษาการโรงแรมได้ฝึก ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษในการปฏิบัติงานได้ดียิ่งขึ้น นักศึกษามีทักษะและมีความม่ันใจในการสื่อสาร ด้วยภาษาอังกฤษมากขึ้น Bartow (1991) ได้ทาการศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์เพ่ือออกแบบและพัฒนาหลักสูตร ฝึกอบรมภาษาอังกฤษเพื่อการปฏิบัตงิ านในโรงแรม โดยมีวตั ถุประสงค์เพือ่ การพัฒนาความสามารถในการส่ือสาร ของพนักงานโรงแรมกรีนเนลีฟรีสอร์ท และพนักงานของศูนย์จัดประชุมในเฮนส์ซิต้ี, ฟลอริดา วิธีการศึกษาโดย การสังเกตและวิเคราะห์การใช้ภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสารในสถานการณ์ จริงในการบริการของสถานบริการ ทั้งสองแห่งนี้ แล้วนาข้อมูลท่ีได้มาออกแบบและพัฒนาหลักสูตร เพ่ือฝึกอบรมพนักงาน โดยใช้รูปแบบการสอน แบบเน้นภาระงาน โดยมีการวัดประเมินผลความสามารถด้านการส่ือสารด้วยภาษาอังกฤษท้ังก่อนและหลัง การฝึกอบรม รวมท้ังการสารวจความพึงพอใจของผู้เข้ารับการฝึกอบรมด้วย ผลท่ีได้พบว่าผู้เข้ารับการฝึกอบรม มีการพัฒนาทักษะการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษท่ีดีข้ึนและมีความเข้าใจในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการส่ือสาร ในการปฏิบัติงานในหน้าท่ีของตนเองได้ดีขึ้น Smith, & King (1992) ได้ทาการศึกษาวิเคราะห์เพื่อพัฒนา หลักสูตรฝึกอบรมภาษาอังกฤษสาหรับงานแม่บ้าน โดยสังเกตการณ์ปฏิบัติงานของแม่บ้านโรงแรมเชอราตัน แอนชอเรจ ในอลาสกา แล้วนาข้อมูลท่ีได้มาสร้างบทเรียนภาษาอังกฤษท่ีใช้เพื่อฝึกอบรมแม่บ้านในโรงแรมน้ี โดยเฉพาะ โดยเน้นการส่ือสารในการปฏิบัติงาน และครอบคลุมทั้ง 4 ทักษะ คือ การฟัง การพูด การอ่าน และ การเขียน โดยหลักสูตรภาษาองั กฤษของแม่บา้ นที่พัฒนาขึ้นนีเ้ ปน็ หลักสูตรระดบั เริม่ ตน้ เท่านนั้ แต่พบว่า หลงั การ ฝึกอบรมแม่บ้านกลุ่มนี้มีการพัฒนาภาษาอังกฤษเพียงพอที่จะปฏิบัติหน้าที่ Brown & Lewis (2003) ได้ ทาการศึกษาลักษณะของภาษาอังกฤษเฉพาะกิจที่ใช้ในการสนทนาในสถานท่ีทางาน ซึ่งเป็นโรงงานแห่งหนึ่ง ในประเทศนิวซีแลนด์ โดยการใช้วิธีการสังเกตและบันทึกการสนทนาของคนงานในโรงงานเป็นเวลา 10 ชั่วโมง เพื่อรวบรวมข้อมูลการใช้ภาษาในการสื่อสารในสถานการณ์จริง หลังจากนั้นก็นามาแยกแยะหน่วยความรู้ทาง ภาษา ศัพท์สานวน และหน้าท่ีของภาษาท่ีใช้เพื่อการส่ือสาร แล้วนาข้อมูลที่ได้มาพัฒนาหลักสูตรการอบรม ภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสารให้กับพนักงาน Mackey & Silver (2005) ทาการศึกษาวิจัยการสอนภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการสอนแบบเน้นภาระงานที่ต้องปฏิสัมพันธ์ให้กับนักเรียนผู้อพยพในประเทศสิงคโปร์ ซ่ึงมีอายุระหว่าง 6 - 9 ปี ใช้วิธีการวิจัยทดลอง โดยแบ่งนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกมี 14 คน ใช้วิธีการสอนโดยการ ใช้คาถามเพื่อให้วิเคราะห์ผลจากการปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืน และเพ่ือค้นหาปัญหาในการทากิจกรรม ส่วนกลุ่มที่ 2 มีจานวน 12 คน ไม่มีการถามคาถามเพ่ือตรวจสอบปัญหาหรือวิเคราะห์ผลใดๆผลการทดลองพบว่า กลุ่มที่มี การใช้คาถามเพ่ือวิเคราะห์ผลการปฏิสัมพันธ์มีการพัฒนาการในการส่ือสารด้วยภาษาอังกฤษดีกว่า สรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นกิจกรรมการปฏิสัมพันธ์ต่างๆกันอย่างหลากหลายช่วยให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ และสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็ว ไม่เกิดความเบ่ือหน่ายในการเรียนขึ้น ท้ังน้ีสถานการณ์ในการส่ือสารต้องเป็น สถานการณ์ท่ีคล้ายสถานการณ์จริงในชีวิตประจาวัน Aiguo (2007) ได้ทาการพัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษ สาหรับธุรกิจการบนิ รวมถงึ พนกั งานบริการบนเครื่องบินในประเทศจีน โดยมีวัตถุประสงค์หลกั ท่ีจะพัฒนาวธิ ีการ สอนและกิจกรรมการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพในการสอนภาษาอังกฤษให้กับชาวจีน โดยหน่วยของความรู้ ทางภาษาเน็ตบุคลากรที่ปฏิบัติงานอยู่ในธรุ กิจการบินและพนักงานบริการบนเครื่องบิน จากการวเิ คราะหค์ วามต้องการ
พบว่า ผู้เรียนมีความต้องการและมีความสนใจที่จะเรยี นรู้ภาษาศาสตร์ภาษาองั กฤษทั้งนเี้ น่ืองจากในธุรกิจการบิน มคี วามหลากหลายของชนชาตทิ ่ีใชภ้ าษาอังกฤษในการสอ่ื สารสูง ระบบการออกเสียงที่แตกต่างหรือผิดเพย้ี นทาให้ เกิดความยากลาบากในการทาความเข้าใจ ดังน้ันการศึกษาการออกเสียงภาษาอังกฤษของชาติต่างๆจึงได้รับ การบรรจุอย่ใู นหลักสูตรการฝึกอบรมดังกล่าว ทาให้กิจกรรมการเรียนการสอนน่าสนใจย่ิงขึ้นและผู้เรียนกม็ ีความ กระตือรือร้นสนุกสนานกับการเรียนมากขึ้น และ Shao-Wen Su (2009) ได้ทาการศึกษาวิจัยเพ่ือการพัฒนา หลักสูตรภาษาอังกฤษเพ่ือการโรงแรมสาหรับนักศึกษาสาขาการโรงแรมในมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน โดยมีวิธี การศึกษาด้วยการวิเคราะห์ความต้องการในบริบทของการโรงแรม แล้วนาข้อมูลท่ีได้มาพัฒนาหลักสูตร ภาษาอังกฤษเพ่ือการโรงแรม โดยกาหนดสมรรถนะหลักของการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษของพนักงานโรงแรม และทาการสอนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบร่วมมือและผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ใช้หนังสือท่ีผลิตข้ึน ในเชิงพาณิชย์ หลังจากนั้นทาการประเมินผลด้วยการสอบกลางภาคและการสอบปลายภาค พร้อมท้ังสอบถาม ความคดิ เห็นของนักศึกษา พบว่านักศึกษามีการพัฒนาทักษะการส่อื สารด้วยภาษาองั กฤษเพ่ือการโรงแรมมากข้ึน ตามสมรรถนะทก่ี าหนดไว้ นักศกึ ษามีความพึงพอใจกบั หลกั สตู รวธิ กี ารสอนและสอ่ื การสอนที่นามาใช้ ข้อเสนอแนะจากการวจิ ยั จากการวิจยั ครัง้ นี้ผู้วิจัยพบวา่ 1. การฝึกกิจกรรมภายในกลุ่มย่อยของผู้เข้ารับการอบรมภาษาอังกฤษยังขาดความร่วมมือและความ กลา้ แสดงออกทางภาษาเน่อื งจากว่ายงั ขาดความมัน่ ใจในการตอบคาถามเป็นภาษาอังกฤษ 2. ระยะเวลาในการจัดอบรมควรจะเป็นช่วงท่ีมนี กั ทอ่ งเทยี่ วนอ้ ย หรือชว่ งนอกฤดูทอ่ งเที่ยวเพราะผวู้ จิ ัย ประสบกับปัญหาในเรื่องการเข้าอบรมของพนักงานกอล์ฟไม่สามารถเข้าอบรมได้อย่างต่อเนื่องเพราะช่วงเวลา อบรมตรงกับฤดูกาลท่องเท่ียว High seasonจึงเสนอแนะให้จัดอบรมในช่วง Low season จะมีประสิทธิผล มากกวา่ นี้ ข้อเสนอแนะในการวิจัยครง้ั ต่อไป ควรศึกษาถึงความต้องการของตลาดแรงงาน และจัดอบรมภาษาต่างประเทศท่ีตลาดแรงงานด้านการ ท่องเที่ยวต้องการให้มากข้ึน เช่น ภาษาจีน ภาษาเกาหลี ภาษาญี่ปุ่นใน ให้กับอาชีพพนักงานสนามกอล์ฟ หรือ พนักงานอน่ื ทีใ่ ห้บริการเกยี่ วกับการท่องเทย่ี ว References Aiguo, W. (2007). Teaching aviation English in the Chinese context: Developing ESP theory in a non - English Speaking County. English for specific purposes. Bartow, F L. (1991). Workforce Education: Hotel and motel workers a section 35 demonstration project. Retrieved from www.elsevier.com/locate/esp Brown, T. P., & Lewis, M. (2003). An ESP project: Analysis of an authentic workplace conversation. English for Specific Purposes, 22(1). Retrieved from https://www.learntechlib.org/p/96809/ Chantach Wannathanom. (2009). Tourism Industry. First Edition, Bangkok: Samlada.
Dao Sangboon. (2000). Creation of English language documents for tourism communication for 3rd year tourism development students, Maejo University Chiang Mai Province (Master’s thesis), Silpakorn University. Laborda, J. (2010). Fostering Face to Face oral interaction through Web Quests: A Case study in ESP for tourism. Retrieved from www.elsevier.com/locate/esp Mackey, A., & Silver, R. E. (2005). Interactional tasks and English L2 learning by immigrant children in Singapore. System, 33(2), 239-260. Retrieved from https://doi.org/10.1016 /j.system. 2005.01.005 Panit Boonyawathana. (1999). English language requirements in tourism business. Chiang Mai: English Section Faculty of Humanities, Chiang Mai University. Pratana Srisuk. (2001). Development of English courses for tourism for students in grade 6, Samut Prakan Province (Master’s thesis), Burapha University. Rujjiporn Buakaew. (2006). Development of a practice exercise to enhance English speaking skills for hotels for students in the field of hotel management. Department of Teaching English as a Foreign Language. Rajamangala University of Technology. Shao Wen Su. (2009). Designing and delivering an English for Hospitality Syllabus: A Taiwanese case study. RELC Journal, 40(3). Doi: 10.1177/0033688209343845. Retrieved from https://www.researchgate.net/publication/258182760_Designing_and_Delivering_an_Engl ish_for_Hospitality_Syllabus_A_Taiwanese_Case_Study Smith, P., & King, R. (1992). Laubach Way to English Workplace Curriculum. Retrieved from www.elsevier.com/locate/esp Sureewan Chatanantawet. (1994). Effects of listening-speaking English activities. For tourism and hotel students by using interactions between students in the classroom (Master’s thesis), Kasetsart University. Tourism Authority of Thailand. (2016). Strategy of the Ministry of Tourism and Sports. Bangkok: Ministry of Tourism and Sports. Received: Oct 12, 2021 Revised: Nov 30, 2021 Accepted: Dec 2, 2021
พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของนกั ศกึ ษาสถาบนั การพลศกึ ษา วิทยาเขตชลบุรี ตามสขุ บัญญัติแห่งชาติ จนิ ตนา เกตุคาพนั ธ์ วฒั น์ บุญกอบ จนั ทร์จารี เกตุมาโร และ เกษม ชูรัตน์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง บทคัดยอ่ การวิจัยคร้ังน้ีมีวตั ถปุ ระสงค์ (1) เพ่ือศึกษาพฤตกิ รรมการดูแลสุขภาพของนักศึกษาสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี ตามสุขบัญญัติแหง่ ชาติ (2) เพื่อศกึ ษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยนา ปัจจัยเอ้ือ และปัจจัยเสริม กบั พฤตกิ รรมสขุ ภาพตามสขุ บญั ญตั ิแห่งชาติของนกั ศกึ ษาสถาบันการพลศึกษา วทิ ยาเขตชลบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขต ชลบุรี ปีการศึกษา 2560 จานวน 117 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยเก็บข้อมูลระหว่างเดือนมีนาคม พ.ศ. 2561 ถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2561 และทาการวิเคราะห์ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation) โดยกาหนดนยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 ผลการวิจัยพบว่า ความรู้เก่ียวกับสุขบัญญัติแห่งชาติของนกั ศึกษาสถาบันการพลศกึ ษา วิทยาเขตชลบุรี อยู่ในเกณฑ์ระดบั ปานกลาง (ร้อยละ 57.30) มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของนักศึกษา สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี ตามสุขบัญญัติแห่งชาติ อยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง (ร้อยละ 69.20) ปัจจัยนา (ความรู้เกี่ยวกับ สขุ บัญญัติแห่งชาติ) มคี วามสมั พันธ์ทางบวกกบั พฤติกรรมสุขภาพตามสขุ บัญญัตแิ ห่งชาตขิ องนักศึกษาสถาบัน การพลศึกษา วิทยาเขตชลบรุ ี อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติทีร่ ะดับ .05 ปัจจัยเอื้อ (การมีทรัพยากร และส่ิงแวดล้อม การมีนโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ) ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพตามสุขบัญญัติแห่งชาติ ของนักศึกษาสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และปัจจัยเสริม (การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร แรงสนับสนุนจากบุคคลทางสังคม) ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพตาม สขุ บญั ญตั แิ หง่ ชาติของนักศึกษาสถาบนั การพลศึกษา วิทยาเขตชลบรุ ี อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถติ ิที่ระดับ .05 คาสาคัญ: พฤตกิ รรมการดแู ลสุขภาพ; นกั ศกึ ษา; สขุ บัญญัติ Corresponding Author: นางสาวจินตนา เกตคุ าพนั ธ์ คณะศึกษาศาสตร์ สถาบนั การพลศกึ ษา วทิ ยาเขตชลบุรี Email: [email protected]
HEALTH CARE BEHAVIORS OF STUDENTS AT THE INSTITUTE OF PHYSICAL EDUCATION, CHON BURI CAMPUS AS BASED ON THE NATIONAL HEALTH RECOMMENDATIONS Jintana Ketkhamphan, Wat Bhungob, Chanjaree Getmaro, and Kasem Chooratna Faculty of Education, Ramkhamhaeng University Abstract In this thesis, the researcher examined (1) the health care behaviors of selected students at the Institute of Physical Education, Chon Buri Campus as based on the National Health Recommendations. The researcher also studied (2) the relationships between predisposing factors, enabling factors, and reinforcing factors and the health care behaviors of the students under investigation as based on the National Health Recommendations. The subjects consisted of 117 undergraduate students enrolled at the Institute of Physical Education, Chon Buri Campus in the academic year 2017. A questionnaire constructed by the researcher was used as a research instrument for collecting germane data. The data were collected between March and April 2018. Using techniques of descriptive statistics, the researcher analyzed the data collected in terms of percentage, mean, and standard deviation. Pearson’s product moment correlation coefficient (PPMCC) method was also employed by the researcher. Statistical significance was set at the .05 level. Findings were as follows: More than half (57.30 percent) of the students (57.30 percent) showed knowledge of the National Health Recommendations at a moderate level the students with 69.20 percent displayed health care behaviors as based on the National Health Recommendations at a moderate level. The researcher also determined that the predisposing factor knowledge of the National Health Recommendations was positively correlated with the health care behaviors of the students as based on the National Health Recommendations at the statistically significant level of .05. However, the enabling factors having resources and the environment, and having a health promotion policy were established as not being correlated with health care behaviors as based on the National Health Recommendations on the part of the students at the statistically significant level of .05. Moreover, the reinforcing factors perceptions of information and support from persons with whom the students were socially engaged were also found not to be correlated with the health care behaviors of the students as based on the National Health Recommendations at the statistically significant level of .05. Keywords: Health Care Behavior, Student, National Health Recommendations Corresponding Author: Miss.Jintana Ketkhamphan, Institute of Physical Education, Chonburi Campus Email: [email protected]
บทนา การมีสุขภาพดี สมบูรณ์ท้ังร่างกายและจิตใจ ดาเนินชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข เป็นพื้นฐานท่ี ทุกคนสามารถแสวงหาได้ แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องท่ีผู้อ่ืนหยิบย่ืนให้กันได้ การท่ีเราและครอบครัวจะมีสุขภาพที่ดี ได้นั้นต้องปฏิบัติด้วยตนเอง ปลูกฝังและส่งเสริมให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวมีพฤติกรรมในการสร้างเสริม สุขภาพและป้องกันโรค สุขบัญญัติ 10 ประการ ได้แก่ 1) ดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด 2) รักษาฟัน ให้แข็งแรงและแปรงฟันทุกวันอยา่ งถูกต้อง 3) ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหารและหลังการขับถ่าย 4) กินอาหาร สกุ สะอาด ปราศจากสารอันตรายและหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สฉี ูดฉาด 5) งดบุหรี่ สุรา สารเสพติด การพนัน และการสาส่อนทางเพศ 6) สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น 7) ป้องกันอุบัติภัยด้วยการไม่ประมาท 8) ออกกาลังกายสม่าเสมอ และตรวจสุขภาพประจาปี 9) ทาจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ 10) มีสานึกต่อ สว่ นรวม รว่ มสร้างสรรค์สงั คม เป็นแนวทางการปฏบิ ัติท่ีเปน็ พน้ื ฐานของชีวิตเพื่อการสร้างเสริมสขุ ภาพสิ่งสาคัญ คือ ต้องปฏิบัติต่อเนื่องจนเป็นนิสัย จึงจะส่งผลให้สุขภาพแข็งแรงเกิดสมรรถภาพในการประกอบอาชีพ การงาน มีภูมิต้านทานโรคมากข้ึนไม่เจ็บป่วยง่าย เกิดความสุขท้ังกายและใจ โดยพฤติกรรมสุขภาพเหล่าน้ัน ได้แก่ การกินอยู่ หลับนอน ออกกาลังกาย ฟังดูเป็นเร่ืองง่าย ๆ แต่เมื่อผ่านเข้าวัยสูงอายุจะเห็นผลของ การ ปฏบิ ตั จิ ากพฤติกรรมเหล่านั้นไดช้ ัดเจนย่ิงขน้ึ (Office of the Permanent Secretary, 2007) เนอื่ งจากวิถีชีวิตของประชาชนเปล่ยี นแปลงไปอยา่ งรวดเร็วตามสภาวะของเศรษฐกิจ สงั คม วัฒนธรรม และส่ิงแวดล้อม ปญั หาทางสาธารณสุขในปัจจุบนั ก็มีการเปล่ยี นแปลงไปจากเดิม ปัจจุบันน้ีพบว่า ปัญหาที่มา จากการมีพฤติกรรมทางด้านสุขภาพที่ไม่ถูกต้อง ปัญหาโรคไม่ติดเช้ือท่ีมีภาวะเรื้อรัง และปัญหาจากโรคที่สามารถ ป้องกันได้จะมีแนวโน้มที่สูงข้ึน เนื่องจากสุขภาพเป็นสิทธิและหน้าท่ีของประชาชนในการดูแลสุขภาพของตนเอง อย่างเป็นองค์รวม ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณโดยเร่ิมจากบุคคล ครอบครัว และชุมชน ดังน้ัน แนวคิดเกี่ยวกบั การสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันการเจ็บป่วยจึงเป็นหัวใจสาคัญท่จี ะนาไปสู่การมี สุขภาพท่ีดีแบบองค์รวมโดยถ้วนหน้า นอกจากนั้นการสร้างเสริมสุขภาพจึงเปรียบเสมือนการฉีดวัคซีน ทางสังคมทาให้สังคมมีภูมิต้านทานต่อภยันตรายและโรคที่ป้องกันได้ทาให้ประชาชนที่อยู่ในสังคมแข็งแรง จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี (Pravet Wasri, 2004) และการส่งเสริมสุขภาพเป็นเป้าหมายสาคัญของสาธารณสุข มูลฐาน (primary health - care) และเป็นหน้าท่ีหลักของการสาธารณสุข คุณค่าของการส่งเสริมสุขภาพ ได้รับการยอมรับมากข้ึนสาหรับประสิทธิผลและต้นทุนประสิทธิผลในการลดภาระโรค และในการบรรเทา ผลกระทบทางสังคม และเศรษฐกิจของโรคต่าง ๆ ความเช่ือมโยงระหว่างการส่งเสริมสุขภาพ ( Nitaya Pensirinapha, 2016, p. 5) กระบวนการท่ีจะทาใหป้ ระชาชนมีสุขภาพท่ีดีไดน้ ั้นมีหลายประการ การรณรงค์ ตามสุขบัญญัติเป็นอีกกลวิธีหนึ่งท่ีสาคัญ โดยเฉพาะวัยรุ่นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหวั ต่อของชีวิตที่กาลังเปลี่ยนสภาพ จากวัยเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่ เป็นวัยที่มีการเปล่ียนแปลงอย่างมากท้ังทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และ จิตวิญญาณเป็นกลุ่มเป้าหมายท่ีสาคัญกลุ่มหน่ึงของการปลูกฝัง และสร้างเสริมพฤติกรรมสุขภาพถือว่าวัยน้ี เป็นวัยวิกฤตของชีวิต เนื่องจากเป็นช่วงต่อของวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่เป็นวัยที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และพัฒนาการทางเพศที่สมบูรณ์ (Suriyadeo Tripathi, 2008) และเป็นช่วงวัย ของนักศึกษาท่ีกาลังศึกษาในสถาบันการพลศึกษา รวมท้ังการนาความรู้ไปสอนนักเรียนและการเป็นผู้นาในด้าน พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตามสขุ บญั ญัติแห่งชาติด้วยนน้ั สถาบันการพลศกึ ษาเปน็ สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เดิมช่อื วทิ ยาลัยพลศึกษาทาหนา้ ที่ผลิตครู โดยเฉพาะ ครูสอนพลศกึ ษา สขุ ศกึ ษา แต่เดิมกรมพลศกึ ษาได้ทาการผลิตครพู ลศกึ ษามาเปน็ เวลานานโดยรับโอนโรงเรียน พลศึกษากลางมาดาเนินการต้งั แต่ปี พ.ศ. 2479 และได้มีการปรับปรุงหลักสูตรให้ทันสมัยเรื่อยมาจนได้มีการ จัดต้ัง “วิทยาลัยพลศึกษา” ต่อมาได้ขยายหลักสูตรเป็นระดับปริญญาตรี สานักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยกลุ่มงานราชกิจจานเุ บกษาได้ประกาศพระราชบัญญัติสถาบันการพลศึกษา เม่ือวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548
และทาให้พระราชบัญญัติสถาบันการพลศึกษามผี ลใช้บังคับตั้งแต่วนั ถัดจากวันประกาศเปน็ ต้นไป จึงนับได้ว่า สถาบันการพลศึกษา สังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬาได้ก่อกาเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ สอดคล้องกับพระราชบัญญัติ สถาบันการพลศึกษา พ.ศ. 2548 ท่ีต้องการส่งเสริมคุณภาพและมาตรฐานของ เด็ก เยาวชน และประชาชนให้มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ เป็นคนดีมีความรู้ ความสามารถ มีระเบียบวินัย สร้างสังคมแห่งการเรยี นรู้ จาเปน็ ต้องสง่ เสริมการศึกษาและวชิ าชีพช้ันสูงแก่บุคลากรทางด้านพลศึกษา สุขศกึ ษา การกีฬา และวชิ าการต่าง ๆ เป็นเปา้ หมายสาคญั ของการบรหิ ารจดั การศึกษาของสถาบัน สถาบนั การพลศกึ ษา วทิ ยาเขตชลบรุ ี เป็นสถานศึกษาที่มงุ่ เน้นดา้ นการจัดการเรียนการสอน และการ จัดการกีฬาท่ีมีคุณภาพ การผลิตบัณฑิตสู่สังคมและตลาดแรงงานด้านการกีฬาเฉพาะทาง มีการพัฒนาศักยภาพ ของนักศึกษาโดยการจัดการเรียนการสอนเพิ่มเน้ือหาองค์ความรู้เก่ียวกับการกีฬาให้ทันสมัยมีการส่งเสริมให้ นกั ศึกษามีความสามารถทางด้านกฬี า นันทนาการ วิทยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพ จากปรัชญา “พลศึกษา และกีฬา พัฒนาคน พัฒนาชาติ” (Ministry of Tourism and Sports, 2013) สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขต ชลบุรี ประกอบด้วย คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพ คณะศิลปศาสตร์ และคณะศึกษาศาสตร์ สถาบัน การพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี เปิดสอนบุคลากรวิชาชีพทางพลศึกษา และสุขศึกษาตามความต้องการของสังคม ให้เป็นผู้มีความรู้ มีเจตคติ และมีทักษะท่ีจาเป็นทางวิชาการมีความสมบูรณ์แข็งแรง ท้ังด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสติปัญญา และนักศึกษายังสามารถนาวิชาชีพครูนาไปพัฒนาตนเองและสังคมได้ หลักสูตรที่เปิด ทาการเรียนการสอนของท้ัง 3 คณะน้ัน เป็นหลักสูตรท่ีมุ่งพัฒนาศักยภาพในการผลิตครู และบุคลกรด้าน พลศึกษาและสุขศึกษาท่ีมีความสามารถในการจัดการศึกษาการเป็นผฝู้ ึกสอนกีฬา ผู้นากิจกรรมทางพลศึกษา สุขศึกษาและกีฬา และการให้บริการความรู้ทางพลศึกษาและสุขศึกษา เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต และ พฒั นาตนเองได้อย่างย่ังยืน อีกท้ัง 3 คณะ อยู่ในสังกัดสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี เป็นสถานศึกษา ในระดับอุดมศึกษาที่มีโรงฝึกกีฬา ท้ังกลางแจ้งและในร่มชนิดต่าง ๆ หลายชนิดกีฬา และยังมีศูนย์ฟิตเนตของ สถาบันท่เี ปิดให้นกั ศึกษาท่ีอยูใ่ นสถานศึกษาและองค์กรภายนอกใช้บริการโดยไมเ่ สียค่าใชบ้ รกิ าร แตน่ ักศึกษา คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพ คณะศิลปศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ ยังคงปฏิบัติตัวเกี่ยวกับกิจกรรม ทางกาย และการออกกาลังกายไม่มากเท่าที่ควรด้านพฤติกรรมการออกกาลังกายของนักศึกษาสถาบัน การพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี ส่วนใหญ่ออกกาลังกายน้อยกว่าสัปดาห์ละ 3 คร้ัง หรือออกกาลังกายไม่ ต่อเนอื่ งสมา่ เสมอ บางรายไม่ได้ออกกาลงั กายเลย ซ่ึงสวนทางกับการเปน็ ผ้นู าทางด้านพลศกึ ษาและสุขศกึ ษา จากปัญหาดังกล่าวทาให้ผวู้ ิจัยสนใจทจี่ ะศกึ ษาพฤตกิ รรมการดแู ลสุขภาพของนกั ศกึ ษา สถาบนั การพลศกึ ษา วิทยาเขตชลบุรี ตามสุขบัญญัติแห่งชาติ โดยนาทฤษฎี PRECEDE - PROCEED MODEL มาเป็นกรอบแนวคิด ในการศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตามสขุ บญั ญัตแิ ห่งชาตนิ ัน้ ถอื เป็นหนา้ ท่ที ่ีจะชว่ ยผลักดันให้นักศึกษามี สุขภาวะหรือการมีสุขภาพดี การจะมีสุขภาพท่ีดีต้องมาจากสังคมที่ดี สภาพแวดล้อมท่ีดีโดยการมีส่วนร่วม อย่างแท้จริงจากสถานศึกษาและรวมถงึ ผปู้ ฏบิ ัติงานในสว่ นต่าง ๆ ภายในสถาบันการศึกษา วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของนักศึกษาสถาบันการพลศึกษาวิทยาเขตชลบุรี ตามสุขบัญญัติ แหง่ ชาติ 2. เพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยนา ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริมกับพฤติกรรมสุขภาพ ตาม สขุ บญั ญตั แิ ห่งชาติ ของนกั ศึกษาสถาบนั การพลศกึ ษา วทิ ยาเขตชลบรุ ี
สมมติฐานของการวิจัย 1. ปัจจยั นามคี วามสัมพันธท์ างบวกกบั พฤติกรรมสขุ ภาพตามสุขบญั ญัตแิ ห่งชาติของนักศึกษาสถาบัน การพลศึกษา วทิ ยาเขตชลบุรี 2. ปัจจัยเอ้ือมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมสุขภาพตามสุขบัญญัติแห่งชาติของนักศึกษา สถาบันการพลศึกษา วทิ ยาเขตชลบรุ ี 3. ปัจจัยเสริมมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมสุขภาพตามสุขบัญญัติแห่งชาติของนักศึกษา สถาบันการพลศึกษา วทิ ยาเขตชลบุรี วิธีดาเนนิ การวจิ ัย ขน้ั ท่ี 1. ข้ันตอนการดาเนนิ การสร้างเครื่องมือ เคร่ืองมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัยในคร้ังน้ี เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจาก ทฤษฎี และงานวจิ ยั ทเี่ กี่ยวขอ้ ง แบ่งออกเป็น 5 สว่ น ดงั น้ี ส่วนท่ี 1 แบบสอบถามปัจจัยส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่าง มีลักษณะให้เลือกตอบ ประกอบด้วย คาถาม 3 ข้อ ได้แก่ เพศ คณะที่สังกัด ระดับชั้นปีท่ีศึกษา มีลักษณะแบบสารวจรายการ (Check list) (Somboon Suriyawong, Somjittra Rueangsri, & Pensri Setthawong, 2001, pp. 115 - 116) ส่วนที่ 2 แบบสอบถามปัจจยั นา ด้านความรูต้ ามสุขบัญญัติแห่งชาติ ประกอบด้วยคาถาม 20 ข้อ ซ่ึงผู้วิจัยปรับปรุงจากแบบสอบถาม เร่ือง สุขบัญญัติแห่งชาติของกองสุขศึกษา (Ministry of Public Health, Department of Health Service Support, Primary Health Care Devision, 2008) มี 2 ระดับ ดงั นี้ ตอบ ผิด และตอบถกู ส่วนที่ 3 แบบสอบถามปจั จัยเอื้อ ประกอบด้วย 2 ดา้ น ดงั นี้ 1. การมีทรพั ยากรและสิ่งแวดลอ้ ม จานวน 5 ข้อ 2. การมนี โนบายเก่ยี วกับการสง่ เสริมสขุ ภาพ จานวน 5 ข้อ คาถามทีส่ ร้างข้ึนมีลักษณะข้อความ ในด้านบวก (Positive statement) และลักษณะข้อความด้านลบ (Negative - Statement) คาถามเป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) โดยให้ผู้ตอบเลือกตอบเพียง 1 ตัวเลือก แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ดังนี้ มากทีส่ ดุ มาก ปานกลาง น้อย และน้อยท่ีสุด สว่ นท่ี 4 แบบสอบถามปจั จัยเสริม ประกอบดว้ ย 2 ดา้ น ดังนี้ 1. การรบั รู้ข้อมูลขา่ วสาร จานวน 5 ข้อ 2. แรงสนับสนุนจากบุคคลทางสังคม จานวน 5 ข้อ ข้อคาถามที่สร้างข้ึนมีลักษณะข้อความในด้านบวก (positive statement) และลักษณะข้อความด้านลบ (negative statement) คาถามเป็นแบบมาตราส่วน ประมาณคา่ (rating scale) แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ดังน้ี มากทส่ี ดุ มาก ปานกลาง น้อย และนอ้ ยทส่ี ุด สว่ นท่ี 5 แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลสขุ ภาพของนักศึกษาสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขต ชลบุรตี ามสุขบัญญัติแห่งชาติ ประกอบด้วย คาถาม 32 ข้อ มลี ักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) มี 5 ระดบั คอื ปฏิบตั ทิ ุกครั้ง ปฏิบัติมากครัง้ ปฏิบัตปิ านกลาง ปฏบิ ตั นิ ้อยครั้ง และไมป่ ฏิบตั ิเลย ขน้ั ท่ี 2. การหาคุณภาพของเครือ่ งมอื การหาความเทย่ี งตรงตามเนื้อหา (Content Validity) 1. นาแบบสอบถามที่สร้างข้ึนไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน 5 ท่าน ตรวจสอบความเที่ยงตรง ตามเน้ือหา โดยอาศัยดุลพินิจของผู้เชี่ยวชาญพิจารณาเป็นรายข้อว่าแต่ละข้อคาถามนั้นมีความสอดคล้องกับ ลักษณะเฉพาะกลุ่มพฤติกรรม โดยใชเ้ กณฑ์กาหนดคะแนนดงั น้ี +1 เม่อื แนใ่ จวา่ ข้อคาถามนั้นมีความสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคท์ ีต่ ้องการ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337