EFFECTS OF MOTORCYCLE DRIVING SAFETY ENHANCEMENT PROGRAM USING SELF – EFFICACY AND SELF – CARE THEORIES OF LOWER SECONDARY SCHOOL STUDENTS Apiwat Kumpiro, Jintana Sarayuthpitak, Sarinya Rodpipat, and Jintana Bunluesak Faculty of Education, Chulalongkorn University Abstract Purposes: to compare the mean scores of knowledge, awareness and practice in motorcyclists before and after the experiment within the experimental group and the control group, as well as to compare the mean scores of knowledge, awareness, and practice in motorcycle riding after the experiment between the experimental group and the control group. Methods: The population were lower secondary school students studying in schools under the Basic Education Commission. The samples consisted of 36 lower secondary school student volunteers. The samples were divided into two groups; 18 experimental and 18 control group students, by simple random sampling. The instruments were the motorcycle driving safety enhancement program oriented with the self-efficacy theory and self-care theory. This program consisted of 5 activities with the consistency index equal to 1.00. The knowledge and awareness tests included 30 multi-choice questions of each test, and the practice test as a rating scale included 30 items. The consistency index ranged from 0.6 to 1.0, 0.8 to 1.0 and 1.00. Reliabilitiy values were 0.80, 0.82 and 0.86, respectively. The duration of the research was 8 weeks. Data were analyzed by using mean, standard deviation. Test of the difference of the mean scores were used the Dependent t-test for within the group and the independent t - test for between groups. The results: showed that the mean scores of knowledge and awareness after the experiment were statistically significant higher than that before the experiment at the level of .05. The mean score of motorcycle riding practice was not statistically significant different at the level of .05, and the mean scores of knowledge, awareness, and practice in motorcycle riding after the experiment of the experimental group were higher than that of the control group with statistical significance at the level of .05. Keywords: Safety Enhancement Program, Self – Efficacy, Self – care, Motorcycle Driving Safety Corresponding Author: Mr.Apiwat Kumpiro Faculty of Education Chulalongkorn University Email: [email protected]
บทนา องค์การอนามัยโลก (World Health Organization, 2018) รายงานผลความปลอดภัยทางถนนของโลก ปี 2561 พบว่า มีผู้เสียชีวิต 1 ล้าน 3 แสนคน ในขณะท่ีจานวนผู้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทย ลดลงเป็นอันดับ 9 คือ มีผู้เสียชีวิต 22,491 คน ลดลงจากเดิม 2,000 คน นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี เพราะเม่ือ 3 ปี ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 - 2560 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย ปีละ 24,326 คน สูงเป็นอันดับสองของโลก นายแพทย์ ธนะพงศ์ จินวงศ์ ผจู้ ัดการศูนย์วิชาการเพ่ือความปลอดภัยทางถนน หรือ ศวปถ. (Road Safety center, 2018) ระบวุ ่า แมส้ ถานการณ์จานวนผเู้ สียชวี ิตในภาพรวมของไทยจะลดลง แต่จานวนผเู้ สยี ชวี ิตจากรถจักรยานยนต์ ของไทยยังคงครองแชมป์สูงเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยตัวเลขทางสถิติพบว่า สาเหตุการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ บนท้องถนน ร้อยละ 74 เกิดจากการใช้รถจักรยานยนต์ นับเป็นโจทย์สาคัญให้กับรัฐบาลไทยท่ีจะต้องเร่งหา มาตรการลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนท่ีเกิดข้ึนกับผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ทั้งท่ีเกิดจากปัญหาพฤติกรรม ของผูข้ บั ขี่ และจากปัญหารถจกั รยานยนต์ทไี่ มไ่ ดม้ าตรฐาน เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุบนถนนของคนไทยพบว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนน ในปี พ.ศ. 2559 มีจานวนมากกว่า 14,000 คน ซ่ึงเป็นจานวนที่ค่อนข้างสูง และพบว่าอัตราการเกิดอุบัติเหตุ บนถนนมีสาเหตุจากรถจักรยานยนต์มาเป็นอันดับหน่ึง โดยกลุ่มประชากรที่เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ กลุ่ม ประชากรช่วงอายุ 15 - 19 ปี (Division of Non communicable Diseases, 2016) สอดคล้องกับข้อมูลของ กรมการขนส่ง (Department of Land Transport, 2018) พบว่า จานวนผู้ขับขี่จักรยานยนต์ในปัจจุบัน เป็นเดก็ วยั เรยี นระดับมัธยมศึกษามีแนวโน้มมากข้ึน ทั้งทเ่ี ป็นผู้ขับและผูซ้ ้อนท้าย ดังน้ัน โรงเรียนซงึ่ เป็นแหล่ง ให้การศึกษาเก่ียวกับความปลอดภัยบนถนน โดยเฉพาะอย่างย่ิงการขับข่ีรถจักรยานยนต์ท่ีพบว่า เป็นสาเหตุ การเสียชีวิตบนถนนเป็นอันดับหน่ึงของไทยดังท่ีกล่าวข้างต้น โดยเฉพาะโรงเรียนซ่ึงมีภาระกิจและเป็นแหล่ง ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุปัจจัยเส่ียงนี้ จะต้องฝึกทักษะโดยการให้นักเรียนมีความรู้ ความตระหนัก เพ่ือให้สามารถนาไปสู่การปฏิบัติในการลดปัจจัยเสี่ยงสาหรับตนเองได้ อีกท้ังโรงเรียนควรจะต้องยกระดับ ความสาคัญของปัญหานี้ให้เป็นปัญหาเร่งด่วนท่ีจะต้องสร้างเสริมความปลอดภัยให้กับนักเรียน โดยการจัด โปรแกรมสรา้ งเสริมความปลอดภัยในการขับข่ีรถจักรยานยนต์ให้กับนักเรียนท่ีสมัครใจเข้าร่วมโปรแกรมหลัง เวลาเรยี น อย่างไรก็ตาม ในการทโ่ี รงเรียนจะจัดโปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัยในการขบั ขี่รถจักรยานยนต์ให้กับ นักเรียนให้มีประสิทธิผลน้ัน สิ่งสาคัญ คือ แนวคิดทฤษฎีที่นามาเป็นพื้นฐานในการจัดโปรแกรมสร้างเสริม ความปลอดภัย จากการศกึ ษาพบวา่ ทฤษฎกี ารรบั ร้คู วามสามารถตนเองของ แบนดูรา่ (Bandura, 1986) เป็นทฤษฎี ทแ่ี สดงความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความสามารถของตนเองกับความคาดหวังผลท่ีจะเกิดข้ึน โดยท่ีความสัมพันธ์ ระหว่างตวั แปรทัง้ สองนม้ี ผี ลต่อการตัดสินใจว่าตนเองมีความสามารถท่ีจะกระทาพฤตกิ รรมนัน้ ๆ ของบคุ คลหรือไม่ กล่าวคือ ถ้าบุคคลมีการรับรู้ความสามารถตนเองในการสร้างเสริมความปลอดภัยก็จะมีความคาดหวังในผลของ การกระทาเพ่ือความปลอดภัยสูงบุคคลก็มีแนวโน้มที่จะกระทาแน่นอน ในทางตรงกันข้าม ถ้าบุคคลมีการรับรู้ ความสามารถตนเองและมคี วามคาดหวังในผลของการกระทาต่า บคุ คลก็มีแนวโนม้ ท่ีจะไมก่ ระทาแนน่ อน นอกจากทฤษฎีการรับรู้ความสามารถตนเองท่ีมคี วามเหมาะสมในการนามาเป็นพ้นื ฐานในการจัดโปรแกรม สร้างเสริมความปลอดภัยในการขับขีร่ ถจักรยานยนต์ให้กับนักเรียนแล้ว จากการศึกษาพบว่า ทฤษฎีการดูแลตัวเอง เป็นทฤษฎีท่ีสามารถนามาประยุกต์ร่วมกับทฤษฎีการรับรู้ความสามารถตนเองในการนามาเป็นพื้นฐานในการจัด โปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัยมีประสิทธิผลมากยิ่งข้ึน เน่ืองจากทฤษฎีการดูแลตัวเองของ ออเรม (Orem, 2001) เปน็ แนวคิดเกยี่ วกับการปฏิบตั ิกจิ กรรมท่ีบุคคลริเร่ิมและกระทาด้วยตนเองเพือ่ รักษาไว้ซง่ึ ชีวิต สุขภาพ และ สวสั ดภิ าพของตน และเมอื่ กระทาอย่างมีประสิทธิภาพ จะมีส่วนช่วยให้โครงสรา้ งหน้าที่และพัฒนาการดาเนินไปได้ ถึงขีดสูงสดุ การทีบ่ ุคคลจะสามารถดูแลตนเองได้อยา่ งเหมาะสมน้ัน ตอ้ งริเริ่มและปฏบิ ัติกิจกรรมการดแู ลตนเอง
อย่างต่อเน่ือง ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยต่อไปน้ี คือ มีความรู้ ความชานาญ และความรับผิดชอบในการดูแลตนเอง มีแรงจูงใจที่จะกระทาและมีความพยายามอย่างต่อเน่ืองจนได้รับผลสาเร็จ ให้ความสาคัญกับการมีสุขภาพดี รับรู้พฤติกรรมการดูแลตนเอง สามารถลดอัตราเส่ียงต่อการเกิดโรคได้ ให้กระทากิจกรรมอย่างสม่าเสมอ โดยมขี อ้ บกพร่องหรือการลมื น้อยที่สุด จนบรรลผุ ลสาเรจ็ ตามต้องการ มีกาลังใจและความต้ังใจสงู ตง้ั แต่เร่มิ ปฏิบัติ จนสิ้นสดุ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าทฤษฎีการดูแลตัวเองเป็นทฤษฎีท่ีสามารถนามาประยุกต์ร่วมกับทฤษฎีการรับรู้ ความสามารถตนเองในการนามาเป็นพนื้ ฐานในการจัดโปรแกรมสร้างเสรมิ ความปลอดภยั ในการขับขร่ี ถจกั รยานยนต์ ท้ังด้านความรู้ ความตระหนัก นาไปสู่การปฏิบัติในการดูแลตนเองของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ผู้วิจัยจึง สนใจท่ีจะศึกษาผลของโปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัยในการขับข่ีรถจักรยานยนต์ตามทฤษฎีการรับรู้ ความสามารถตนเองร่วมกบั ทฤษฎกี ารดแู ลตัวเองของนักเรยี นมธั ยมศึกษาตอนตน้ วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั 1) เปรยี บเทียบค่าเฉลยี่ ของคะแนนความรู้ ความตระหนกั และการปฏิบตั ิในการขบั ขร่ี ถจักรยานยนต์ ก่อนและหลงั การทดลองภายในกลุ่มทดลองและกล่มุ ควบคมุ 2) เปรยี บเทยี บคา่ เฉลีย่ ของคะแนนความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบตั ใิ นการขบั ขีร่ ถจักรยานยนต์ หลงั การทดลองระหวา่ งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม สมมติฐานการวิจัย 1. ค่าเฉล่ียของคะแนนความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติในการขับข่ีรถจักรยานยนต์หลัง การทดลองของกล่มุ ทดลองสงู กว่าก่อนการทดลอง 2. ค่าเฉล่ียของคะแนนความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติในการขับขี่รถจักรยานยนต์หลัง การทดลองของกลมุ่ ทดลองสงู กวา่ กลุ่มควบคมุ กรอบแนวคดิ การวจิ ยั การวิจัยน้ีได้ทาการวิเคราะห์สังเคราะห์ทฤษฎีการรับรู้ความสามารถตนเองร่วมกับทฤษฎีการดูแล ตัวเอง นามาสู่กรอบแนวคดิ การวจิ ัย ดังนี้ ทฤษฎีการรบั รู้ โปรแกรมสร้างเสรมิ ความรู้ ในการขับขี่ ความสามารถตนเอง ความปลอดภัยในการขบั ขี่ รถจกั รยานยนต์ ทฤษฎีการดูแลตัวเอง รถจักรยานยนต์ของ ความตระหนักในการขบั นกั เรยี นมธั ยมศึกษา ขรี่ ถจกั รยานยนต์ ตอนตน้ การปฏบิ ตั ิในการขบั ขี่ รถจักรยานยนต์ วธิ ดี าเนินการวิจยั การวิจัยนี้เป็นการสร้างเสริมความปลอดภัยในการขับขี่รถจักรยานยนต์ตามทฤษฎีการรับรู้ ความสามารถตนเองร่วมกับทฤษฎีการดูแลตนเองของนักเรียนมัธยมศกึ ษาตอนตน้ 1. ประชากรท่ีใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนในสังกัดสานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขน้ึ พืน้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
2. กลมุ่ ตัวอย่างท่ีใช้ในการวจิ ัย คือ อาสาสมัครท่ีเป็นนักเรียนทีก่ าลงั ศกึ ษาในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2 และ 3 ภาคเรียนท่ี 2 โรงเรยี นชิโนรสวทิ ยาลยั ปกี ารศกึ ษา 2562 จานวน 36 คน แบง่ ออกเป็น 2 กลุ่ม โดยใช้ วิธีการสมุ่ อย่างง่ายด้วยการจับฉลาก ได้กลมุ่ ทดลอง จานวน 18 คน ได้รับโปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัย ในการขับข่ีรถจักรยานยนต์ตามทฤษฎีการรับรู้ความสามารถตนเองร่วมกับทฤษฎีการดูแลตัวเอง และ กลุ่มควบคุม จานวน 18 คน ไม่ได้รับโปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัยในการขับขี่รถจักรยานยนต์ตาม ทฤษฎีการรบั รคู้ วามสามารถตนเองรว่ มกบั ทฤษฎกี ารดูแลตัวเอง เครื่องมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย 1. เคร่ืองมือท่ีใช้ในการดาเนินการทดลอง คือ โปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัยในการขับขี่ รถจักรยานยนต์ตามทฤษฎีการรับรู้ความสามารถตนเองร่วมกับทฤษฎีการดูแลตัวเอง ท่ีได้จากการวิเคราะห์ องค์ประกอบท่ีสาคัญของทฤษฎีการรับรู้ความสามารถตนเองและทฤษฎีการดูแลตัวเองและสังเคราะห์ กิจกรรมในโปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัยในการขับขี่รถจักรยานยนต์ ได้กิจกรรม 5 กิจกรรม ได้แก่ 1) กิจกรรมตระหนักถึงสถานการณ์ 2) กจิ กรรมปฏบิ ัติตามกฎจราจร 3) กิจกรรมขบั ขใี่ หป้ ลอดภัย 4) กจิ กรรม สังเกตตนเอง 5) กิจกรรมรับรู้โอกาสเสี่ยง นาโปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัยในการขับขี่รถจักรยานยนต์ ไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิจานวน 5 ท่าน ตรวจพิจารณาความตรงตามจุดประสงค์ และความเหมาะสมของกิจกรรม ในโปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัยในการขับข่ีรถจกั รยานยนต์ นามาหาคา่ ดัชนีความสอดคลอ้ ง (Index of Congruence: IOC) พบวา่ ค่าดชั นคี วามสอดคล้องเท่ากับ 1.00 ดังตารางที่ 1 2. แบบวัดความรู้ในการขับข่ีรถจักรยานยนต์ มีลักษณะข้อคาถามแบบสถานการณ์หลายตัวเลือก จานวน 30 ข้อ โดยข้อคาถามท่ีต้องการวัดสอดคล้องกับองคป์ ระกอบของการสรา้ งเสริมความปลอดภยั ในการ ขบั ขี่รถจักรยานยนต์ในด้านความรู้ ได้แก่ กฎหมายในการขับข่ีรถจักรยานยนต์ พฤติกรรมการขับขี่รถจักรยานยนต์ และการดูแลรักษารถจักรยานยนต์ มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ในช่วง 0.6 - 1.0 และนาแบบวัดความรู้ในการ ขับขี่รถจักรยานยนต์ท่ีปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จานวน 20 คน นามาวิเคราะหค์ า่ ความเทย่ี ง (Reliability) ไดค้ ่าความเท่ียงเท่ากบั 0.80 3. แบบวัดความตระหนัก ในการขับขี่รถจักรยานยนต์ มีลักษณะข้อคาถามแบบสถานการณ์หลาย ตัวเลือกจานวน 30 ข้อ โดยข้อคาถามท่ีต้องการวัดสอดคล้องกับองค์ประกอบของการสร้างเสริมความปลอดภัย ในการขับข่ีรถจักรยานยนต์ในด้านความตระหนัก ได้แก่ ความตระหนักท่ีมีต่อพฤติกรรมในการขับขี่ รถจักรยานยนต์ ความตระหนักเก่ียวกับปัจจัยท่ีส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุและการป้องกัน และความตระหนักใน การขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ส่งผลต่อบุคคลอ่ืน มีค่าดัชนีความสอดคล้อง อยู่ในช่วง 0.8 - 1.0 และนาแบบวัด ความตระหนักในการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นที่ไม่ใช่ กลุ่มตัวอย่าง จานวน 20 คน นามาวิเคราะห์คา่ ความเท่ียง (Reliability) ได้ค่าความเทยี่ งเท่ากับ 0.82 4. แบบวัดการปฏิบัติในการขับข่ีรถจักรยานยนต์ เปน็ แบบมาตรประมาณค่า จานวน 30 ข้อ โดยข้อ คาถามท่ีต้องการวัดสอดคล้องกับองค์ประกอบการสร้างเสริมความปลอดภัยในการขับขี่รถจักรยานยนต์ ในด้านการปฏิบัติ ได้แก่ พฤติกรรมการขับข่ีรถจักรยานยนต์ท่ีเหมาะสม พฤติกรรมเสี่ยงในการขับขี่ รถจักรยานยนต์ และการดูแลรถจักรยานยนต์ มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 และนาแบบวัดการ ปฏิบัตใิ นการขับข่ีรถจักรยานยนต์ที่ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้กับนกั เรียนมัธยมศึกษาตอนต้นทไี่ ม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จานวน 20 คน นามาวิเคราะหค์ ่าความเท่ยี ง (Reliability) ได้คา่ ความเที่ยงเท่ากับ 0.86
ตารางท่ี 1 การวิเคราะห์องค์ประกอบที่สาคัญของทฤษฎีการรับรู้ความสามารถตนเองและทฤษฎีการดูแล ตัวเองและสังเคราะหก์ ิจกรรมในโปรแกรมสรา้ งเสรมิ ความปลอดภยั ในการขับขีร่ ถจักรยานยนต์ ทฤษฎ/ี องคป์ ระกอบ ตระหนักถึง กจิ กรรม รับรูโ้ อกาสเสยี่ ง สถานการณ์ การรบั รคู้ วามสามารถตนเอง ปฏิบตั ติ าม ขบั ขใ่ี ห้ สงั เกต 1.ประสบการณค์ วามสาเรจ็ ใน อดตี กฎจราจร ปลอดภยั ตนเอง 2.การรบั รู้ประสบการณ์ของผอู้ ื่น 3.การใช้คาพูดชกั จงู 4.สภาวะทางกายและอารมณ์ การดูแลตวั เอง 1.การดูแลตนเองทจ่ี าเปน็ ทั่วไป 2.การดแู ลตนเองท่จี าเป็นตามระยะ พฒั นาการ 3.การดแู ลตนเองทจ่ี าเป็นเมือ่ มีภาวะ เบยี่ งเบนทางด้านสุขภาพ ขน้ั ตอนการทดลอง/เก็บข้อมลู 1. รับสมัครกลุ่มตัวอย่างได้ผู้มาสมัครเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาปีท่ี 2 และ 3 จานวน 36 คน และ แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม ไดแ้ ก่ กลุ่มทดลองและกลมุ่ ควบคุม กลุ่มละ 18 คน โดยวธิ ีการสุ่มอย่างง่าย ดว้ ยการจับฉลาก 2. ทาการทดสอบความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยในการขับขี่ รถจกั รยานยนต์ทง้ั กลุ่มทดลองและกลมุ่ ควบคุม กอ่ นการทดลอง 3. ดาเนินการจดั โปรแกรมสรา้ งเสริมความปลอดภัยในการขับขรี่ ถจักรยานยนต์โดยประยกุ ต์ใช้ทฤษฎี การรับรู้ความสามารถตนเองร่วมกับทฤษฎีการดูแลตัวเองแก่กลุ่มทดลอง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 วัน วนั ละ 60 นาที สว่ นกลุ่มควบคมุ ไมไ่ ด้รับโปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัยในการขับขี่รถจักรยานยนต์ โดยประยุกตใ์ ช้ทฤษฎกี ารรบั รู้ความสามารถตนเองร่วมกับทฤษฎีการดูแลตัวเอง 4. ทาการทดสอบความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยในการขับข่ี รถจักรยานยนต์ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม หลังการทดลอง โดยใช้แบบวัดฉบับเดียวกันกับแบบวัดก่อน การทดลอง การวเิ คราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยของ คะแนนความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติ ก่อนและหลังการทดลองภายในกลุ่มด้วยการทดสอบค่าที แบบ Dependent Sample t - test และทดสอบความแตกต่างค่าเฉล่ียของคะแนนความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติ หลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมด้วยการทดสอบค่าที แบบ Independent Sample t - test
ผลการวจิ ยั จากการจัดกิจกรรมท้ังหมด 5 กิจกรรม ได้แก่ 1) ตระหนักถึงสถานการณ์ เป็นการจัดกิจกรรม โดยนักเรียนวิเคราะห์พฤติกรรมการเกิดอุบัติเหตุจากการชมวีดิทัศน์ 2) ปฏิบัติตามกฎจราจร เป็นการจัด กิจกรรมโดยนักเรียนศึกษากฎจราจรและฝึกปฏิบัติจากสถานการณ์จาลอง 3) ขับข่ีให้ปลอดภัย เป็นการจัด กจิ กรรมโดยนักเรียนศึกษาวิธีการปฏบิ ัติในการขับข่ีรถจักรยานยนต์อย่างปลอดภัย 4) สังเกตตนเอง เป็นการ จัดกิจกรรมโดยนักเรียนสังเกตพฤติกรรมการขับข่ีรถจักรยานยนต์ของตนเองพร้อมวิเคราะห์พฤติกรรมของตน และ 5) รับรูโ้ อกาสเสี่ยง เป็นการจดั กจิ กรรมโดยนกั เรียนวิเคราะห์โอกาสเส่ียงในการเกดิ อบุ ัติเหตุจากการขับขี่ รถจกั รยานยนตจ์ ากการชมวีดทิ ัศน์ 1. ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติในการขับข่ี รถจักรยานยนต์ก่อนและหลังการทดลองภายในกลุ่มทดลองท่ีได้รับโปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัยในการขับขี่ รถจักรยานยนต์ และภายในกลุ่มควบคุมท่ีไม่ได้รับโปรแกรมสรา้ งเสริมความปลอดภัยในการขบั ข่ีรถจักรยานยนต์ ตารางท่ี 2 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้ ความตระหนัก และคะแนนการปฏิบัติในการขับขี่ รถจักรยานยนตก์ ่อนและหลังการทดลองภายในนักเรยี นกลุ่มทดลอง ตัวแปรท่ีศึกษา n ก่อนทดลอง หลงั ทดลอง t p Mean S.D. Mean S.D. ความรู้ 18 9.22 3.75 14.67 4.23 4.48 0.00* ความตระหนกั 18 7.00 2.57 13.17 4.81 6.56 0.00* การปฏบิ ัติ 18 63.00 12.72 66.72 10.95 1.56 0.07 *p < .05 จากตารางที่ 2 พบว่า ค่าเฉล่ียของคะแนนความรู้ และความตระหนักในการขับข่ีรถจักรยานยนต์ภายใน กลุ่มทดลองหลังได้รับโปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัยในการขับขี่รถจักรยานยนต์สูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติในการขับข่ีรถจักรยานยนต์ภายในกลุ่ม ทดลองหลังได้รับโปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัยในการขับข่ีรถจักรยานยนต์ไม่แตกต่างจากก่อนการทดลอง อย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ทิ ี่ระดับ .05 ตาราที่ 3 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของคะแนนความรู้ ความตระหนัก และคะแนนการปฏิบัติในการขับขี่ รถจักรยานยนต์ก่อนและหลงั การทดลองภายในกลุ่มควบคุม ตัวแปรที่ศึกษา n ก่อนทดลอง หลังทดลอง t p ความรู้ Mean S.D. Mean S.D. 0.25 ความตระหนกั 0.10 การปฏิบตั ิ 18 10.22 2.78 9.67 3.50 0.70 0.15 *p < .05 18 8.56 3.62 9.33 4.90 1.34 18 58.89 11.09 59.94 11.27 1.09 จากตารางท่ี 3 พบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติในการขับขี่ รถจักรยานยนต์ภายในกลุ่มควบคุม หลังการทดลองไมแ่ ตกต่างจากก่อนการทดลองอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ทรี่ ะดับ .05 2. ผลการเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของคะแนนความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติในการขับข่ี รถจักรยานยนต์หลังการทดลองระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองทีไ่ ด้รบั โปรแกรมสรา้ งเสรมิ ความปลอดภัยในการ
ขับขี่รถจักรยานยนต์กับนักเรียนกลุ่มควบคุมท่ีไม่ได้รับโปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัยในการขับข่ี รถจกั รยานยนต์ ตารางท่ี 4 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลย่ี ของคะแนนความรู้ ความตระหนัก และคะแนนการปฏบิ ตั ใิ นการขับข่ี รถจักรยานยนต์หลงั การทดลองระหวา่ งนักเรียนกลุม่ ทดลองและนักเรียนกลุ่มควบคุม ตวั แปรท่ีศึกษา กลุม่ ทดลอง กลมุ่ ควบคมุ t p Mean S.D. Mean S.D. ความรู้ 14.67 4.23 9.67 3.35 3.42 0.00* ความตระหนกั 13.17 4.81 9.22 5.15 2.38 0.01* การปฏบิ ตั ิ 66.72 10.95 59.94 11.27 1.83 0.04* *p < .05 จากตารางท่ี 4 พบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้ ความตระหนักและการปฏิบัติในการขับขี่ รถจักรยานยนต์หลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองสงู กว่านักเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ท่รี ะดบั .05 สรปุ ผลการวจิ ยั จากผลการวิจยั ข้างต้นสามารถสรุปผลการวจิ ยั ได้ ดังน้ี 1. ผลการเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของคะแนนความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติในการขับข่ี รถจักรยานยนต์ก่อนและหลังการทดลองของกลุ่มทดลองและของกลุ่มควบคุมพบว่า ค่าเฉล่ียของคะแนน ความรู้ ความตระหนักหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 และค่าเฉล่ียของคะแนนการปฏิบัติในการขับขี่รถจักรยานยนต์ก่อนและหลังการทดลอง ของกลุ่มทดลองไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ส่วนค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติในการขับขี่รถจักรยานยนต์ก่อนและหลังการทดลองของกลุ่มควบคุม ไมแ่ ตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติเพ่ือความปลอดภัย ในการขับข่ีรถจักรยานยนต์หลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมพบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนน ความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติในการขับขี่รถจักรยานยนต์หลังการทดลองของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่ม ควบคุมอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ ่ีระดับ .05 การอภปิ รายผล การวิจัยเรื่องผลการใช้โปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัยในการขับข่ีรถจักรยานยนต์ตามทฤษฎี การรับรู้ความสามารถตนเองร่วมกับทฤษฎีการดูแลตัวเองของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น สามารถสรุปและ อภปิ รายผลได้ ดังน้ี 1. ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติในการขับข่ี รถจักรยานยนต์ก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัย ในการขับข่ีรถจักรยานยนต์และของนักเรียนกลุ่มควบคุมท่ีไม่ได้รับโปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัย ในการขับขี่รถจกั รยานยนต์ จากการวิเคราะห์ค่าเฉล่ียของคะแนนความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติในการขับข่ี รถจักรยานยนต์ ก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองท่ีได้รับโปรแกรมสรา้ งเสรมิ ความปลอดภยั
ในการขับขี่รถจักรยานยนต์พบว่า ค่าเฉล่ียของคะแนนความรู้ และความตระหนักในการขับขี่รถจักรยานยนต์ หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง ซ่ึงเป็นไปตามสมมติฐานข้อท่ี 1 แต่ค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติ ในการขบั ข่ีรถจักรยานยนต์หลงั การทดลองไม่แตกต่างจากก่อนการทดลอง ซ่ึงไม่เปน็ ไปตามสมมติฐานข้อท่ี 1 สามารถอภิปรายในประเดน็ ดังต่อไปนี้ การจดั โปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภยั ในการขับขีร่ ถจักรยานยนต์เป็นการจัดกิจกรรมตามทฤษฎี การรับรู้ความสามารถตนเองร่วมกับทฤษฎีการดูแลตัวเอง โดยมุ่งเน้นให้นักเรียนเกิดความความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติในการขับข่ีรถจักรยานยนต์ ซ่ึงกิจกรรมเน้นการเรียนรู้จากการใช้ตัวแบบ การวิเคราะห์ และ การลงมือปฏิบัติส่งผลให้ ค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้ ความตระหนักหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับ แบนดูร่า และวอลเตอร์ (Bandura, & Walters, 1977) กล่าวว่า การเรียนรู้ท่ีเกิดจากการสังเกตจากตัวแบบจะแตกต่างจากประสบการณ์ตรง แต่เนื่องจากคนเรา มีโอกาสในการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงท่ีแตกต่างกัน ดังนั้น การเรียนรู้ในสถานการณ์ต่าง ๆ จึงอาจต้อง เรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อ่ืน โดยการได้ยิน การมองเห็น สอดคล้องกับงานวิจัยของ สุรีรัตน์ ไชยชะนะ (Sureerat Chaichana, 2012) เรื่อง การรับรู้ความสามารถตนเองท่ีมีผลต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผู้ป่วยโรคปวดหลังส่วนล่าง ในแผนกายภาพบาบัด ผลการวิจัยพบว่า ระดับความรู้เรื่องโรคปวดหลัง ส่วนล่างภายหลังการเข้าร่วมกิจกรรมการรับรู้ความสามารถตนเองโดยรวมอยู่ในระดับสูงเมื่อเปรียบเทียบ ความแตกต่างของคะแนนก่อนและหลังการเข้าร่วมกิจกรรมการรับรู้ความสามารถตนเองพบว่า มีความ แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .001 สอดคล้องกับงานวิจัยของ ฐิตวันต์ หงส์กิตติยานนท์, ลักขณา ยอดกลกิจ, จิราพร รักการ และวชิรพร โชติพานัส (Thitavan Hongtiyanon, Lakana Yodkoldij, Jiraporn Rakkarn, & Wachiraporn Chotipanus, 2018) การวิจัยเรื่อง รูปแบบการพัฒนาการรับรู้ ความสามารถตนเองเพื่อหลีกเล่ียงสารเสพติด (บุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า) ในเยาวชน ผลการวิจัยพบว่า มีคะแนน เจตคตทิ างลบตอ่ การใช้สารเสพตดิ หลงั การฝกึ อบรมสูงกว่าก่อนฝกึ อบรมอยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถิตทิ ่ีระดับ .01 อยา่ งไรกต็ าม คา่ เฉลย่ี ของคะแนนการปฏบิ ตั ใิ นการขับข่รี ถจกั รยานยนตข์ องนกั เรียนกลุ่มทดลองหลัง การทดลองพบว่า ไม่แตกต่างจากก่อนการทดลองอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ท้ังน้ี อาจเนื่องจาก การจดั กจิ กรรมการขับข่ีรถจักรยานยนต์ไม่สามารถเน้นการฝกึ ปฏิบัติในสภาพจรงิ ได้ในหลายกรณี และอาจใช้ เวลาในการทดลองไม่เพียงพอท่ีจะทาใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงอย่างมีนัยสาคญั ทางสถติ ิ แต่กพ็ บว่าค่าเฉลย่ี ของ คะแนนการปฏิบัติหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของ ขวัญจิต ติสัก (Kwanjit Tisak, 2005) เร่ือง ผลโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตน โดยผู้นากลุ่มเพื่อนต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ ทางเพศของวัยรุ่นตอนต้น ผลการวจิ ัยพบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนพฤตกิ รรมส่งเสริมสุขภาพทางเพศของวัยรุ่น ตอนต้นในกลุ่มทดลองหลังการทดลอง 1 สัปดาห์ ไม่แตกต่างกับก่อนการทดลองอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 สอดคล้องกับงานวิจัยของ บังอร ฉางทรัพย์ มนัส บุญประกอบ องอาจ นัยพัฒน์ และปราโมทย์ ทองกระจาย (Bangon Changsap, Manus Boonprakob, Ong-art Naiyapatana, & Pramote Thongkrajai, 2007) การวิจัยเรื่อง ผลของการให้โปรแกรมสุขศึกษาด้วยกระบวนการกลุ่มต่อพฤติกรรมป้องกันโรคพยาธิลาไส้ ของแม่บ้านชุมชนสวนอ้อยเขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉล่ียของตัวแปรสูงขึ้น อย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถิติ ได้แก่ ความคาดหวังในความสามารถตนเองต่อพฤติกรรมป้องกันโรคพยาธิลาไส้ ความคาดหวังในผลลัพธ์ต่อการมีพฤติกรรมป้องกันโรคพยาธิลาไส้ และพฤติกรรมป้องกันโรคพยาธิลาไส้ ผลการวิจัยดังกล่าวอาจเกิดจากการมีพฤติกรรมป้องกันโรคพยาธิลาไส้เป็นเรื่องที่ซับซ้อน และต้องใช้เวลา พอสมควรท่ีจะปลูกฝังปัจจัยเหล่านี้ นอกจากน้ีโปรแกรมสุขศึกษาท่ีให้แก่กลุ่มทดลองอาจใช้เวลาไม่นาน เพียงพอท่ีจะทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สอดคลอ้ งกับ สุปรยี า ตันสกุล (Supreeya Tansakul, 2001) ทพี่ บวา่
งานสุขศึกษาจานวนมากไม่นาไปสู่การปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพเท่าท่ีควร เน่อื งจากปรบั เปลย่ี นพฤติกรรม เน้นความร้เู พียงอย่างเดยี วไม่ได้ 2. ค่าเฉล่ียของคะแนนความรู้ในการขับขี่รถจักรยานยนต์ ความตระหนักในการขับข่ีรถจักรยานยนต์ และการปฏบิ ัตใิ นการขบั ขีร่ ถจักรยานยนต์ หลงั การทดลองของนกั เรียนกลุ่มทดลองกับนักเรียนกลุ่มควบคุม จากการวิเคราะห์คะแนนเฉล่ียหลังการทดลองระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองท่ีได้รับโปรแกร มสร้าง เสริมความปลอดภัยในการขับขี่รถจักรยานยนต์กับนักเรียนกลุ่มควบคุมท่ีไม่ได้รับโปรแกร มสร้างเสริมความ ปลอดภัยในการขับข่ีรถจักรยานยนต์พบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้ ความตระหนัก และการปฏบิ ัติในการ ขับข่ีรถจักรยานยนต์หลังการทดลองสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุม ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 2 สามารถ อภปิ รายในประเด็นดังต่อไปน้ี การท่ีกลุ่มทดลองได้เข้าร่วมโปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัยในการขับขี่รถจักรยานยนต์ตามทฤษฎี การรับรู้ความสามารถตนเองร่วมกับทฤษฎกี ารดูแลตัวเอง โดยจัดกิจกรรมท่ีเน้นกระตุ้นให้นกั เรียนเกิดความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีส่งผลให้เกิดความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติ สอดคล้องกับ แบนดูร่า (Bandura, 1997) กล่าวว่า การเรียนร้เู กิดจากการสังเกตจากตัวแบบซ่ึงแตกต่างจาก ประสบการณ์ตรงแต่เนื่องจากคนเรามีโอกาสในการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงท่ีแตกต่างกัน ดังน้ัน การเรียนรู้ ในสถานการณ์ต่าง ๆ จึงอาจต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อ่ืน โดยการได้ยิน การมองเห็น สอดคล้องกับ เบอร์รี่ (Berry, 1987) กล่าวว่า การรับรู้ความสามารถตนเองว่าเป็นความสามารถของบุคคลในการท่ีจะจัดการ กับวัตถุประสงค์ท่ีต้องการ โดยบุคคลรับรู้ว่าตนเองมีความสามารถในเรื่องใด ระดับใด และจะไม่ประเมิน ความสามารถของตนเองสูงมากนัก สอดคล้องกับงานวิจัยของ วรรวิษา ภูผิวแก้ว วิศิษฎ์ ทองคา และนันทวรรณ ทพิ ยเนตร (Wanwisa Poopiwkaew, Wisit Thongkum, & Nantawan Tippayanate, 2018) เรื่องผลของ โปรแกรมขับข่ีปลอดภัยในการป้องกันอุบัติภัยจราจรจากรถจักรยานยนต์ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาสารคาม ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการทดลองคา่ เฉล่ียของคะแนนความร้สู ูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมี นยั สาคัญทางสถิติที่ระดับ .001 สอดคลอ้ งกบั งานวิจยั ของ เจตจันทร์ ล้วนเนตรเงิน (Jedjan Lounnetngern, 2008) การวิจัยเร่ือง ผลของการฝึกอบรมการพัฒนาการรับรู้ความสามารถตนเอง และเสริมสร้างทัศนคติ ต่อการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคเอดส์ที่มีต่อการรับรู้ความสามารถตนเอง ทัศนคติ และความต้ังใจ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเส่ียงต่อโรคเอดส์ของนักเรียนหญิง ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนหญิงที่เข้าร่วมการฝึก อบรมพัฒนาการรับรู้ความสามารถตนเอง และเสริมสร้างทัศนคติต่อการป้องกันพฤติกรรมเส่ียงต่อโรคเอดส์ มีการรับรู้ความสามารถตนเอง ต่อการหลีกเล่ียงพฤติกรรมเส่ียงต่อโรคเอดส์ มีทัศนคติต่อการหลีกเลี่ยง พฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคเอดส์ และมีความตั้งใจหลีกเล่ียงพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคเอดส์สูงกว่ากลุ่มท่ีไม่ได้รับ การฝึกอบรม อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ สอดคล้องกับงานวิจัยของ หวู่ เซ หลิน และไจ่ (Wu, Hsieh, Lin, & Tsai, 2016) การวิจัยเรื่อง การทานายพฤติกรรมการดูแลตนเองบนพ้ืนฐานความรู้เกี่ยวกับโรคไตเร้ือรังโดยใช้ การรับรู้ความสามารถตนเองเป็นส่ือกลาง ผลการวิจัยพบว่า การรับรู้ความสามารถตนเองส่งผลทางบวกต่อ พฤตกิ รรมการดูแลสุขภาพ อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .05 ข้อเสนอแนะ จากผลการวจิ ัยดงั กลา่ ว ผ้วู จิ ัยมขี อ้ เสนอแนะ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ขอ้ เสนอแนะจากการวิจัย 1.1 การจัดโปรแกรมเสริมสร้างความปลอดภัยในการขับข่ีรถจักรยานยนต์ตามทฤษฎีการรับรู้ ความสามารถตนเองรว่ มกบั ทฤษฎีการดูแลตัวเอง ควรมีการควบคมุ ระยะเวลาในแต่ละวนั เนอื่ งจากเป็นการจดั
โปรแกรมหลังเลิกเรียน อาจจะทาให้นักเรียนต้องกลับบ้านเย็นซ่ึงครูผู้สอนจะต้องจัดช่วงเวลาให้มี ความเหมาะสม เพ่ือให้นักเรียนมีเวลาร่วมกิจกรรมได้อย่างเต็มท่ีส่งผลให้การจัดโปรแกรมมีประสิทธิผล มากทีส่ ดุ 1.2 ในข้ันตอนการปฏิบัติ ควรให้นักเรียนทุกคนที่เข้าร่วมการวิจัยมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ ด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ เพราะในบางกิจกรรมนักเรียนไม่สามารถปฏิบัติได้ทุกคน เนือ่ งจากมขี อ้ จากดั ดา้ นเวลา 1.3 การใช้ส่ือและแหลง่ เรียนรู้ในการจัดโปรแกรม ควรจะมีสื่อหรืออุปกรณ์จริงและแหล่งเรียนรู้ อย่างเพียงพอ เช่น รถจักรยานยนต์ อุปกรณ์ของรถจักรยานยนต์ แหล่งเรียนรู้จาลอง ได้แก่ ถนน หรือส่ีแยก จาลอง ใหน้ กั เรียนปฏิบตั จิ รงิ ในสถานการณจ์ าลอง 1.4 ควรเพ่ิมจานวนครั้งหรือความถี่ในการจัดกิจกรรมโดยเฉพาะกิจกรรมที่ส่งผลต่อการปฏิบัติ จาก 2 ครง้ั ตอ่ สัปดาห์ เปน็ 3 - 4 ครั้งตอ่ สัปดาห์ 2. ข้อเสนอแนะในการทาวจิ ยั คร้ังตอ่ ไป 2.1 ควรศึกษาปจั จยั ท่ีสง่ ผลต่อความปลอดภยั ในการขบั ข่รี ถจกั รยานยนต์ของวยั รนุ่ 2.2 ควรมีการศึกษาผลความคงทนของความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติในการขับข่ี รถจกั รยานยนตข์ องนักเรยี นมัธยมศกึ ษา โดยการตดิ ตามผลการวิจยั หลงั การทดลองเสรจ็ ส้ิน กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยน้ไี ดร้ ับการสนบั สนนุ จากทนุ วิจยั 90 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั References Bandura, A. (1986). Social foundations of thought and action. Englewood Cliffs, NJ. Bandura, A., & Walters, R. H. (1977). Social learning theory. Englewood Cliffs, NJ: Prentice - hall. Bangon Changsap, Manus Boonprakob, Ong-art Naiyapatana, & Pramote Thongkrajai. (2007). The impacts of Health Education Programme by group process on preventive behaviors against intestinal parasitic infestation among housewives in Suan Aoy community, Khlong Toei district, Bangkok. Journal of Health Science and Medical Research, 25(2), 77 - 87. Berry, J. M. (1987). A self-efficacy model of memory performance. In meeting of the American Psychological Association, New York. Department of Land Transport. (2018). Summary of road traffic accident statistics analysis report for fiscal year 2018. Retrieved from https://web.dlt.go.th/statistics/load_file _select_new_car.php?t=7&tmp=6962.610967485792&data_file=31 Division of Non communicable Diseases. (2016). Road accident situation in Thailand 2016. Retrieved from http://thaincd.com/document/file/info/injured/ Jedjan Lounnetngern. (2008). Effects of training perceived self - efficacy and promoting attitude of AIDS risk behavioral prevention on self - efficacy, attitude and AIDS risk behavioral avoidance intention among female students (Master’s thesis), Chiang Mai University. Kwanjit Tisak. (2005). The effect of a self - efficacy promoting program by peer leaders on sexual health promoting behaviors of early adolescents (Doctoral dissertation), Chulalongkorn University.
Orem, D. E. (2001). Nursing: Concepts of Practice. St Louis. MO: Mosby. Road safety center. (2018). World Road Safety Situation Report 2018. Retrieved from http://www.roadsafetythai.org/content/doc_20190108110951.pdf Supreeya tansakul. (2001). Learning process and health behavior change. Thailand Journal of Health Promotion and Environmental Health, 24(4), 41 - 49. Sureerat Chaichana. (2012). Perception of self-efficacy on self-care behavior of patients with low back pain in physical therapy unit, Thoen Hospital, Lampang Province. Chiang Mai University. Thitivan Hongtiyanon, Lakana Yodkoldij, Jiraporn Rakkarn, & Wachiraporn Chotipanus. (2018). The effectiveness of perceived self - efficacy program for assisting adolescences towards behavioral of avoiding narcotics. Royal Thai Army Medical Journal, 72(1), 33 - 40 Wanwisa Poopiwkaew, Wisit Thongkum, & Nantawan Tippayanate. (2018). Effects of driving safety program of motorcycle accident prevention among student in Rajabhat Mahasarakham University. The Office of Disease Prevention and Control 9th Nakhon Ratchasima Journal, 24(1), 76 - 85. World Health Organization (2018). World Road Safety Report 2018. Retrieved from https://www.who.int/violence_injury_prevention/road_safety_status/2018/en/ Wu, S. F. V., Hsieh, N. C., Lin, L. J., & Tsai., J. M. (2016). Prediction of self - care behavior on the basis of knowledge about chronic kidney disease using self - efficacy as a mediator. Journal of Clinical Nursing, 25(17-18), 2609 - 2618. Received: May 18, 2020 Revised: July 8, 2020 Accepted: July 14, 2020
การวเิ คราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางเมอื่ มีการวัดซ้าสา้ หรบั การวจิ ัยทางพลศกึ ษาและกีฬา ธิติพงษ์ สุขดี1 และ ดฏิ ฐชัย จันทรค์ ณุ า2 1สาขาพลศึกษาและกีฬา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั การกฬี าแห่งชาติ วิทยาเขตชลบุรี 2สาขาการบริหารจัดการกฬี าและนันทนาการ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลยั การกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตชลบุรี บทคดั ยอ่ บทความวิชาการน้ีมีวัตถุประสงค์ เพ่ือนาเสนอหลักการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางเมื่อมี การวัดซ้าสาหรับการวิจัยทางพลศึกษาและกีฬา เน้ือหาบทความแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ข้อตกลงเบ้ืองต้น/ สมมตฐิ านการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมลู การแปลผลและการเขยี นรายงาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางเม่ือมีการวัดซ้าสาหรับการวิจัยทางพลศึกษาและกีฬาเป็น การทดสอบท่ีเหมาะสมสาหรับการวิจัยเชิงทดลองแบบกึ่งทดลอง และแบบทดลองแท้ท่ีใช้แบบแผนลักษณะ อนุกรมเวลาแบบมีกลุ่มควบคุม หรือแบบแผนการวิจัยการทดลองซ้ากับกลุ่มเดิมแบบสุ่ม สามารถตอบ ผลการวิจัยได้ในการทดสอบครั้งเดียว ลดการตัดสินใจท่ีผิดพลาดจากการทดสอบหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งสามารถ เขียนสมมติฐานการวิจัย คือ มีปฏิสัมพันธ์ของตัวแปรทดลองกับช่วงเวลาของการทดลองท่ีมีต่อตัวแปรตาม โดยผลการวิเคราะห์ข้อมูลให้สังเกตผลของปฏิสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรทดลองกับช่วงเวลาทดลอง ถ้าพบว่า มปี ฏิสัมพันธ์อย่างนัยสาคัญทางสถิติแสดงว่า ตัวแปรทดลองตัวแปรหน่ึงเม่ือใช้ช่วงเวลาทดลองเพ่ิมขึ้น จะทา ให้ตวั แปรตามแตกตา่ งกบั อกี ตวั แปรทดลองหน่ึง ค้าส้าคญั : การวเิ คราะห์ความแปรปรวนสองทาง; การวจิ ยั ; พลศึกษาและกีฬา Corresponding Author: ดร.ธิตพิ งษ์ สขุ ดี สาขาพลศกึ ษาและกีฬา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั การกีฬาแหง่ ชาติ วิทยาเขตชลบรุ ี Email: [email protected]
TWO - WAY ANOVA WITH REPEATED MEASURES FOR PHYSICAL EDUCATION AND SPORTS RESEARCH Thitipong Sukdee1 and Dittachai Chankuna2 1 Division of Physical Education and Sports, Faculty of Education, Thailand National Sports University, Chon Buri Campus 2 Division of Sports and Recreation Management, Faculty of Liberal Arts, Thailand National Sports University, Chon Buri Campus Abstract This academic article is written to present the principle of two - way analysis of variance when there are repeat measurements in research of Physical Education and Sports. The content of this article is divided into three parts - assumption/hypothesis; data analysis; interpretation and writing report. Two - way analysis of variance when there are repeat measurements in research of Physical Education and Sports is an appropriate test for experimental and quasi - experimental research using series of time with controlled groups method or random experiment on the same group method. It can provide research results in one round of tests and reduce mistakes in making decisions from repeated tests. Research hypotheses can be written as having interactions between experimental variables and experiment duration which affect dependent variables. Research results can be observed via interactions between experimental variables and experiment duration. If a statistical significance is found, it means that when there is an increase in experiment duration for an experimental variable, dependent variables will differ from another experimental variable. Keywords: Two - way analysis of variance, Research, Physical Education and Sports Corresponding Author: Dr.Thitipong Sukdee. Division of Physical Education and Sports Faculty of Education Thailand National Sports University Chon Buri Campus Email: [email protected]
บทนา้ การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางเม่ือมีการวัดซ้า (Two - way ANOVA with Repeated Measures) เป็นวิธีการวิเคราะห์ทางสถิติเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรตามในกรณีท่ีมีตัวแปร อิสระมากกว่า 1 ตัวแปร และมีการทดสอบการวิเคราะห์ความแปรปรวนของตัวแปรตามซ้ากันต้ังแต่ 2 คร้ัง ข้ึนไปในช่วงเวลาท่ีแตกต่างกัน โดยตัวแปรตามต้องเป็นมาตรวัดประเภทช่วงหรืออัตราส่วน (Interval or Ratio scale) ตัวแปรอิสระต้องเป็นมาตรวัดประเภทนามบัญญัติ (Nominal scale) (Kanlaya Vanichbuncha, 2019) เช่น การเปรียบเทียบระหว่างการฝึกด้วยน้าหนักกับพลัยโอเมตริกท่ีมีต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าอก จานวน 3 ครงั้ ได้แก่ ก่อนฝึก ระหว่างฝึก และหลังฝกึ ซ่ึงตัวแปรตาม คือ ความแข็งแรงของกลา้ มเน้ือหน้าอก ตัวแปรอิสระมีจานวน 2 ตัวแปร ได้แก่ โปรแกรมการฝึกด้วยน้าหนักกับการฝึกพลัยโอเมตริก ทั้งนี้ การวิเคราะห์ ความแปรปรวนแบบสองทางเม่ือมีการวัดซ้า มีความคลาดเคล่ือนน้อยกว่าการวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่าง ระหว่างค่าเฉลี่ย 2 ค่า ด้วยสถิติที (t - test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว เม่ือมีการวัดซ้า (One - way ANOVA with Repeated Measures) (Kanlaya Vanichbuncha, 2019; Sullivan, 2008) การวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างค่าเฉล่ีย 2 ค่า ด้วยสถิติที สามารถใชใ้ นการทดสอบ เปรียบเทียบความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าอกของกลุ่มทดลอง 2 กลุ่มข้างต้นได้ แต่จะต้องทาการเปรียบเทียบ ค่าเฉลี่ยระหว่างตัวแปรตามทีละคู่ตามช่วงเวลาในการทดสอบ เช่น คร้ังท่ี 1 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความแข็งแรง ของกล้ามเนื้อหน้าอกระหว่างการฝึกด้วยน้าหนักกับการฝึกพลัยโอเมตริก ก่อนการฝึก คร้ังท่ี 2 เปรียบเทียบ ค่าเฉล่ียความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าอกระหว่างการฝึกด้วยน้าหนักกับการฝึกพลัยโอเมตริกระหว่างฝึก ครั้งที่ 3 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าอกระหว่างนักกีฬายิมนาสติกกับนักกีฬาลีลาศ หลังฝึก และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียวเมื่อมีการวัดซ้า (One - way ANOVA with Repeated Measures) ภายในกลุ่ม คร้ังที่ 4 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าอกของกลุ่มที่ทาการฝึก ดว้ ยน้าหนักก่อนฝึกกับระหว่างฝึก และหลังการฝึก ครั้งท่ี 5 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หน้าอกของกลุ่มท่ที าการฝกึ พลัยโอเมตริก ก่อนฝึกกับระหว่างฝึก และหลงั การฝึก เป็นต้น ซ่ึงการเปรียบเทียบ ค่าเฉลี่ยแต่ละคู่จะเกิดความคลาดเคลื่อนขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 1 ถึงร้อยละ 5 ขึ้นอยู่กับการกาหนดค่านัยสาคัญ ทางสถิติ เช่น หากมกี ารเปรียบเทยี บค่าเฉลี่ยรายคู่ 5 ครั้ง ก็จะอาจจะเกิดความคลาดเคลือ่ น รอ้ ยละ 25 (5 ครั้ง คูณร้อยละ 5) นั่นคือ หากมีการเปรียบเทียบค่าเฉล่ียหลายคู่ก็จะส่งผลให้เกิดความคลาดเคล่ือนเป็นทวีคูณ (Bhunyabhadh Chaimay, 2014) ในทางตรงข้าม การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางเม่ือมีการวัดซ้า จะใช้การวิเคราะห์เม่ือ งานวิจัยเป็นแบบแผนลักษณะอนุกรมเวลาแบบมีกลุ่มควบคุม (Multiple time series design) หรือแบบแผน การวจิ ัยการทดลองซ้ากบั กลุ่มเดิมแบบสุ่ม (Randomized Groups Repeated Measures Design) คือ เป็น แบบการวิจัยที่มีกลมุ่ ทดลอง 1 กลุ่ม ซึ่งเป็นรูปแบบการวเิ คราะห์ความแปรปรวนอีกรูปแบบหน่งึ ท่ีมีการวัดตัวแปร ตามซ้ากันตั้งแต่ 2 คร้งั ข้ึนไปในช่วงเวลาที่แตกตา่ งกัน และกลุ่มควบคุมอีก 1 กลุ่ม ทาใหเ้ ปรียบเทียบได้ หรือ เป็นแบบการวิจัยที่มีกลุ่มทดลอง 2 กลุ่ม เป็นรูปแบบการวิเคราะห์ความแปรปรวนอีกรูปแบบหน่ึงท่ีมีการวัด ตัวแปรตามซ้ากันต้ังแต่ 2 ครั้งข้ึนไปในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ทาให้เปรียบเทียบได้กันกับกลุ่มทดลองอีกหน่ึง กลุ่ม (Kanlaya Vanichbuncha, 2019) ซึ่งตัวอย่างแบบแผนการวิจัยดังกล่าวสาหรับการทดสอบเปรียบเทียบ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าอกใน 2 กลุ่มข้างต้น จะมีดาเนินการวิจัยและการจัดกระทาข้อมูลดังได้ใน ภาพที่ 1 ดังนั้น หากต้องการเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรตามในกรณีที่มีตัวแปรอิสระมากกว่า 1 ตัวแปร และมีการทดสอบความแปรปรวนของตัวแปรตามซ้ากันตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไปในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ควรใชก้ ารวเิ คราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางเม่ือมีการวัดซา้ เพ่ือลดความคาดเคล่ือนจากการวิเคราะหข์ ้อมลู
โปรแกรมการฝกึ ก่อนฝึก ระหวา่ งฝึก หลงั ฝึก การฝกึ ดว้ ยนา้ หนัก การฝึกพลยั โอเมตรกิ คนท่ี 1 คนที่ 1 คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 2 คนที่ 2 … … … คนที่ n คนท่ี n คนท่ี n คนที่ 1 คนท่ี 1 คนที่ 1 คนท่ี 2 คนท่ี 2 คนที่ 2 … … … คนที่ n คนที่ n คนท่ี n ภาพที่ 1 ตัวอย่างการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางเมอ่ื มีการวัดซา้ กรณีการทดสอบเปรียบเทยี บ ความแข็งแรงของกลา้ มเนอื้ หนา้ อกของกลุ่มทีฝ่ ึกด้วยน้าหนักกับกลุ่มทฝี่ ึกพลัยโอเมตริก ท่ีมา: จัดทาเม่ือ 11 ตุลาคม พ.ศ.2563 การวิจยั ทางพลศึกษาและกฬี าส่วนน้อยที่มีการวิเคราะหค์ วามแปรปรวนแบบสองทางเมื่อมกี ารวดั ซ้า โดยนักวิจัยส่วนมากนิยมใช้การวิเคราะห์ผลวิจยั เชิงทดลองท่ีเป็นรูปแบบการวิจยั ท่ีมงุ่ หาความสัมพันธเ์ ชิงเหตุ และผลของตัวแปรภายใต้การควบคุมสถานการณ์ระหว่างตัวแปรท่ีเป็นสาเหตุกับตัวแปรที่เป็นผลมาจากการ ทดลอง ถ้าเปล่ียนคา่ ตวั แปรนี้แล้วผลทเ่ี กิดตามมาจะเปน็ อย่างไร เมื่อทาการศกึ ษาด้วยการทดลอง ผลการทดลอง ก็จะออกมาในลักษณะท่ีว่าถ้าทาอย่างน้ีแล้วผลจะเปน็ อย่างนั้น ซึ่งเป็นการหาความสมั พันธ์เชิงประจักษ์โดยใช้ สถิติ Independent Sample t - test และ Mann - Whitney U test เพ่ือหาความแตกต่างระหว่างกลุ่ม 2 กลุ่ม หรือ ใช้ One - way analysis of variance (ANOVA) และ Kruskall - Wallis test เพื่อหาความแตกต่าง ระหว่างกลุ่ม 2 กลุ่มขึ้นไป หรือใช้ Paired Sample - test และ Wilcoxon’s signed ranks test เพ่ือหา ความแตกต่างภายในกลุ่ม 2 ครั้งหรือ ใช้ One - way Analysis with Repeated Measures และ Friedman test เพอ่ื หาความแตกต่างภายในกลุ่ม 2 ครั้งขึน้ ไป ดังตัวอย่างงานวจิ ัย เชน่ การศึกษาผลการฝกึ บนบกทมี่ ตี ่อ ความแขง็ แรงของกล้ามเน้ือ การว่ายน้าท่าฟรีสไตล์ 100 เมตร และระดับฮอร์โมน IGF - I ในนกั กีฬาว่ายน้าเยาวชน ใช้สถิติ Mann - Whitney U test, Friedman Test และ Wilcoxon Signed Ranks Test (Natthida Bangmek et al., 2020) การเปรียบเทียบผลของโปรแกรมการกระโดดเชือกแบบเท้าคู่ และการกระโดดเชือก แบบสลับเท้าท่ีมีต่อความอดทนของระบบไหลเวียนเลือด และระบบหายใจ ใช้การทดสอบสถิติค่าทีกับค่าเอฟ (Patsatorn Chaipanha, & Jirawat Khanjornsilp, 2020) การศึกษาประสิทธิผลของแบบฝึกการสร้างเสริม ความแข็งแรงและการทรงตัวของผู้สูงอายุด้วยกิจกรรมโยคะประยุกต์ ใช้การทดสอบสถิติค่าที (Chaturong Hemara, Umaporn Kong-u-rai, Gosol Rodma, & Bhumip Dhanajyasit, 2020) การศึกษาผลของการ แช่ในน้าเย็นต่อการฟื้นสภาพของร่างกายของนักกีฬาฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ใช้การ ทดสอบสถิติค่าที (Sukanya Ritngam, 2020) การศึกษาผลของโทรแกรมการออกกาลังกายด้วยไม้พลองท่ีมี ผลตอ่ ความอ่อนตัวและองศาการเคลื่อนไหวของข้อต่อของนักศึกษาชายในมหาวทิ ยาลยั ใชก้ ารทดสอบสถิติคา่ ที
(Thanumporn Thonglong, & Wichit Chauwes, 2020) ซ่ึงถ้าต้องการผลการวิจัยที่มีประโยชน์เพิ่มมาก ขึ้นควรมกี ารเปรยี บเทียบคา่ ตวั แปรกับกลมุ่ ทดลอง (Waro Pheangsawat, 2014) การเปรียบเทียบค่าตัวแปรกับกลุ่มทดลองที่มีประโยชน์และเหมาะสมในทางพลศึกษาและกีฬา ควรใช้ การวิจัยเชิงทดลองแบบกึ่งทดลอง (Quasi experimental design) หรือ แบบทดลองแท้ (True experimental design) (Bhunyabhadh Chaimay, 2014) เน่ืองจากมีกลุ่มควบคุมสาหรับเปรียบเทียบผลการทดลอง และ การควบคุมตัวแปรภายนอกด้วยวธิ ีการสุ่มตัวอย่างหรอื วิธีอ่ืน ๆ สามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ระดับหน่ึง เทา่ นัน้ ยังไมอ่ าจควบคุมอิทธพิ ลของตวั แปรภายนอกได้ท้งั หมด จึงจาเป็นต้องมกี ล่มุ ควบคมุ ทไี่ ม่ไดร้ ับการทดลอง เอาไว้เปรียบเทียบกลมุ่ ทดลองและกลุ่มควบคุมใหค้ รอบคลุมประชากรท้งั หมด รวมถึงมกี ารควบคุมตัวแปรต้น และมีการสร้างกลุ่มเพื่อเปรียบเทียบผลการทดลอง ท้ังนี้ กลุ่มตัวอย่างทใ่ี ช้ในการวิจัยเชิงทดลองแบง่ เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง (Experimental group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัดกระทาหรือสิ่งแทรกแซง (Treatment) และกลุ่มควบคุม (Control group) หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยจัดให้มีลักษณะเหมือนกลุ่ม ทดลองแต่ไม่ได้รับการจัดกระทาคงปล่อยให้เป็นไปตามสภาพธรรมชาติ (Waro Pheangsawat, 2014) ซึ่ง หากมีการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางเม่ือมีการวัดซ้าดังตัวอย่างการทดสอบเปรียบเทียบความ แข็งแรงของกล้ามเน้ือหน้าอกในนักกีฬา 2 กลุ่มข้างต้นแล้ว ผู้วิจัยก็จะสามารถนาผลการวิจัยไปใช้ในการ อภิปรายผลได้ลึกซง้ึ มากขน้ึ อีกดว้ ย การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางเม่ือมีการวัดซ้าจึงมีประโยชน์ และมีบทบาทอย่างมาก สาหรับการวิจัยทางพลศึกษาและกีฬา ผู้เขียนบทความจึงมีวตั ถุประสงค์ในการเขียนบทความน้ีคือ เพอื่ นาเสนอ หลกั การวิเคราะหค์ วามแปรปรวนแบบสองทางเม่ือมกี ารวัดซา้ สาหรบั การวิจัยทางพลศึกษาและกีฬา และแบ่ง เนอ้ื หาบทความเปน็ 3 สว่ น ได้แก่ ขอ้ ตกลงเบื้องต้น/สมมติฐานการวิจยั การวิเคราะห์ข้อมูล การแปลผล และ การเขยี นรายงาน ซง่ึ มีรายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้ ข้อตกลงเบอื งต้น/สมมตฐิ านการวิจยั ข้อตกลงเบ้ืองต้นของการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางเม่ือมีการวัดซ้า ประกอบด้วย 4 ประการ ได้แก่ การกระจายของข้อมูลในแต่ละตัวแปรเป็นโค้งปกติ เมทริกซ์ความแปรปรวนร่วม (Covariance matrix) เป็นแบบทรงกลม (Sphericity) ตัวแปรตามในการวัดซ้าแต่ละครั้งมีความสัมพันธ์กัน และระดับความสัมพันธ์ ของการวัดแต่ละคร้ังมีขนาดความสัมพันธ์เท่ากัน และความแปรปรวนของการวัดแต่ละครั้งมีขนาดเท่ากัน (Assumption of compound symmetry) สาหรับสมมติฐานการวิจัย ได้แก่ มีปฏิสัมพันธ์ของตัวแปรทดลอง กบั ช่วงเวลาของการทดลองที่มีตอ่ ตัวแปรตาม (H1) (Sullivan, 2008; Lund, Liu, & Shao, 2016; Kanlaya Vanichbuncha, 2019) การวเิ คราะห์ขอ้ มูล การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางเมื่อมีการวัดซ้ามีขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลดังน้ี (Sullivan, 2008; Lund, Liu, & Shao, 2016; Kanlaya Vanichbuncha, 2019) 1) เลือกกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม จากนั้นกาหนดกลุ่มหน่ึงเป็นกลุ่มทดลองและอีกกลุ่มหน่ึงเป็นกลุ่มควบคุม 2) ทาการสอบก่อนทดลอง (O1) ทง้ั 2 กลมุ่ 3) ดาเนินการทดลอง (X) โดยให้ตัวแปรทดลองกับกลุ่มทดลอง (E) ส่วนกลุ่มควบคุม (C) ให้ดาเนิน ตามปกติกบั สภาพการณ์ของทั้ง 2 กลมุ่ ให้เหมือนกัน 4) ทาการทดสอบหลังการทดลองสัปดาห์ที่ 4 (O2) และสัปดาห์ท่ี 8 (O3)
5) เปรียบเทียบความแตกตา่ งระหว่างกลุ่มโดยใชส้ ถิติ t – test แบบอสิ ระ (Independent) หรอื สถิติ นอนพาราเมตริก คอื Mann - Whitney U test 6) เปรียบเทยี บความแตกต่างระหว่างการทดสอบภายในกล่มุ 3 ครั้ง โดยการวิเคราะหค์ วามแปรปรวนทางเดยี ว แบบวัดซ้า (One - way ANOVA with repeated measure) หรอื ใช้สถติ ินอนพาราเมตริก คอื Friedman test 7) วิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ของการฝึกด้วยโปรแกรมการฝึกกับช่วงเวลาของการฝึกท่ีมีต่อความแข็งแรง ของกล้ามเน้ือของทิศทางด้านหน้า โดยการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางเมื่อมีการวัดซ้า (Two - way ANOVA repeated measure) การทดสอบสถติ ิอ้างอิงด้วยวิธีนี้มีการทดสอบสมมตฐิ านเพ่ือให้ได้คาตอบวิจัยหลายครั้ง เช่น ทดสอบ ระหว่างกลุ่ม 3 คร้ัง ได้แก่ ก่อนฝึก ระหวา่ งฝึกสัปดาห์ที่ 4 และ 8 และทดสอบภายในกลุ่ม 3 คร้ัง คือ ระหว่าง กอ่ นฝกึ ระหวา่ งฝกึ สปั ดาหท์ ่ี 4 และ 8 ดงั ภาพท่ี 2 E O1 O2 O3 C O1 O2 O3 กอ่ นฝกึ หลังฝกึ สปั ดาหท์ ี่ 4 หลังฝึกสัปดาหท์ ่ี 8 ภาพท่ี 2 ตวั อย่างจานวนการวิเคราะห์ข้อมลู ดว้ ยสถิติที และการวเิ คราะหค์ วามแปรปรวนทางเดยี วของ แผนการวจิ ัยแบบทดลองซ้ากับกลมุ่ เดมิ ทม่ี า: จดั ทาเม่ือ 11 ตุลาคม พ.ศ.2563 การแปลผลและการเขยี นรายงาน การแปลผลและการเขียนรายงานผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางเมื่อมีการวัดซ้า สามารถแสดงได้ดังตัวอยา่ งจากงานวิจัยเรื่อง ผลการฝกึ ความแข็งแรงของกลา้ มเนื้อเเกนกลางลาตัวทีม่ ีต่อการ ทรงตวั ของนกั กีฬาลลี าศ (Siriwan Sukdee et al., 2018) ดังตารางท่ี 1 ตารางท่ี 1 การวิเคราะห์ปฏิสมั พันธ์ของการฝึกด้วยโปรแกรมการฝึกกับช่วงเวลาของการฝึกที่มตี ่อการทรงตัว ของทศิ ทางดา้ นหน้า (Anteromedial: AM) แหล่งความแปรปรวน SS DF MS F P ระหว่างกล่มุ โปรแกรมการฝึก 58.77 1.00 58.77 1.52* 0.00 ความคลาดเคล่อื น 1160.64 30.00 38.69 ช่วงเวลาของการฝกึ ช่วงเวลาของการฝกึ 70.22 2.00 35.11 99.70* 0.00 โปรแกรมการฝกึ *ชว่ งเวลาของการฝกึ 58.50 2.00 29.25 83.05* 0.00 ความคลาดเคลอ่ื น 21.13 60.00 0.35 * ≤ .05 หมายเหตุ. จดั ทาเม่ือ 12 ตุลาคม พ.ศ.2563
จากตารางท่ี 1 ให้สังเกต ผลของปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างโปรแกรมการฝึก*ช่วงเวลาของ การฝึก ซง่ึ ถ้า P - Value น้อยกว่า นัยสาคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดบั .05 รายงานผลได้วา่ การวเิ คราะหป์ ฏิสมั พนั ธ์ของ การฝกึ ความแข็งเเรงของกล้ามเนื้อเเกนกลางลาตัวกับช่วงเวลาของการฝึกทมี่ ีต่อการทรงตัวของนักกีฬาลีลาศ พบว่า มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างโปรแกรมการฝึกกับช่วงเวลาของการฝึกที่ส่งผลให้การทรงตัวของนักกีฬาลีลาศ แตกตา่ งกันอย่างมนี ยั สาคัญทางสถิตทิ ่ีระดับ .05 และสามารถดูผลการวจิ ยั ในจากกราฟเส้น ดงั ภาพท่ี 3 100 99 98 97 96 95 94 หลงั ฝึกสัปดาหท์ ่ี 4 หลังฝกึ สปั ดาห์ที่ 8 93 ก่อนฝึก กลมุ่ ทดลอง กลุม่ ควบคมุ ภาพที่ 3 ปฏิสมั พันธข์ องการฝกึ ด้วยโปรแกรมการฝึกกับช่วงเวลาของการฝกึ ท่ีมีต่อ การทรงตวั ของทิศทางดา้ นหน้า ทมี่ า: จัดทาเมื่อ 12 ตลุ าคม พ.ศ.2563 จากภาพที่ 3 สังเกตได้ว่าก่อนการทดลอง ค่าเฉล่ียของทั้งสองกลุ่มใกล้เคียงกัน และจะเริ่มแตกต่าง กบั การทดสอบในสปั ดาห์ท่ี 4 และจะเห็นผลของความแตกตา่ งกันมาข้นึ เม่ือทดสอบในสัปดาห์ที่ 8 จงึ สามารถ สรุปผลวิจัย ได้ว่ากลุ่มท่ีได้รบั การฝึกความแข็งเเรงของกล้ามเน้ือเเกนกลางลาตัว เมื่อใช้เวลาฝกึ มากขึ้นจะทา ให้การทรงตัวมีแตกต่างจากกลมุ่ ควบคุม การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางเมื่อมีการวัดซา้ มีข้อดีคือลดความผิดพลาดประเภทที่ 1 จากการทดสอบหลายครั้ง หรือ Type I error หรือสัญลกั ษณ์ a (Alpha) ซ่ึงโดยท่ัวไป นักวิจัยจะยอมรับให้มี ค่าในช่วง 0.05 ถึง 0.01 หรือให้เกดิ การตัดสินใจผิดพลาดได้ 5% ถึง 1% น่ันแปลว่าระดับความม่ันใจที่ตัดสินใจ ถูกต้องที่ยอมรับได้จะอยู่ที่ 95% ถึง 99% แต่การทดสอบหลายครั้งจะทาให้ให้เกดิ การตัดสนิ ใจผิดพลาดมากกว่า 0.05 (Sullivan, 2008; Lund et al., 2016; Kanlaya Vanichbuncha, 2019) นอกจากนี้สามารถรายงาน ผลการวิจัยได้ว่า กลมุ่ ที่ได้รับวธิ ีการทดลองนั้น เม่ือใช้เวลาทดลองมากขึ้นจะทาใหต้ ัวแปรตามมีการพฒั นาต่าง จากอีกกลุ่มควบคุมหรือไม่ หรือกลุ่มท่ีได้รับวิธีการทดลองท่ี 1 น้ัน เมื่อใช้เวลาทดลองมากข้ึนจะทาให้ตัวแปร ตามมกี ารพัฒนาต่างจากอีกกล่มุ ทดลองท่ี 2 หรือไม่ (Lund et al., 2016; Bhunyabhadh Chaimay, 2014) บทสรุป การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางเม่ือมีการวัดซ้าสาหรับการวิจัยทางพลศึกษาและกีฬาเป็น การทดสอบท่ีเหมาะสมสาหรับการวิจัยเชิงทดลองแบบก่ึงทดลอง และแบบทดลองแท้ที่ใช้แบบแผนลักษณะ อนกุ รมเวลาแบบมีกลุ่มควบคุม หรือแบบแผนการวิจยั การทดลองซา้ กับกลมุ่ เดมิ แบบส่มุ สามารถตอบผลการวิจัย
ได้ในการทดสอบครั้งเดียว สามารถลดการตัดสินใจที่ผิดพลาดจากการทดสอบหลาย ๆ คร้ัง ซ่ึงสามารถเขียน สมมติฐานการวิจัย คือ มีปฏิสัมพันธ์ของตัวแปรทดลองกับช่วงเวลาของการทดลองท่ีมีต่อตัวแปรตาม โดยผล การวิเคราะห์ข้อมูลให้สังเกตผลของปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างตัวแปรทดลองกับช่วงเวลาทดลองถ้า พบว่า มีปฏิสัมพันธ์อย่างนยั สาคัญทางสถิติ แสดงว่าตัวแปรทดลองตวั แปรหนึ่งเมื่อใช้ช่วงเวลาทดลองเพ่ิมขึ้น จะทาให้ตวั แปรตามแตกต่างกบั อีกตวั แปรทดลองหนึง่ ขอ้ เสนอแนะ การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางเมื่อมีการวัดซ้าสาหรับการวิจัยทางพลศึกษาและกีฬา มีความเหมาะสมสาหรับการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งการทดสอบครั้งเดียวสามารถสรุปผลการวิจัยได้โดยให้สังเกต จากค่าปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ในตาราง และพัฒนาการของตัวแปรตามจากภาพประกอบ ดังนั้นนักวิจัย ควรนาเทคนิคการวเิ คราะหน์ ี้ไปใชเ้ พ่อื ให้การสรุปผลการวิจยั มีถูกต้องและความสมบูรณ์ลุ่มลึก References Bhunyabhadh Chaimay. (2014). Choosing statistics in data analysis for health science research. Thaksin Journal, 17(1), 68 - 76. Chaturong Hemara, Umaporn Kong-u-rai, Gosol Rodma, & Bhumip Dhanajyasit. (2020). Training drill for enhancing strength and balance of the elderly with applied yoga activities. Academic Journal of Thailand National Sports University, 12(2), 14 - 25. Kanlaya Vanichbuncha. (2019). Statistics for Research (12nd ed.). Bangkok: Samlada. Lund, R., Liu, G., & Shao, Q. (2016). A new approach to anova methods for auto correlated data. The American Statistician, 70(1), 55 - 62. Natthida Bangmek, Sukanya Charoenwattana, Kanok Panthong, Niromlee Makaje, Ratree Ruangthai, and Pairot Sawangpai. (2020). The effects of a dry - land training program on muscle strength, freestyle 100m, and IGF-I concentration in youth swimmers. Academic Journal of Thailand National Sports University, 12(2), 282 - 296. Patsatorn Chaipanha, & Jirawat Khanjornsilp. (2020). Effects of double foot jump rope and switching foot jump rope programs towards the endurance of the circulatory and respiratory systems of female high school students at Bangkaew Prachasan School. Academic Journal of Thailand National Sports University, 12(1), 205 - 214. Siriwan Sukdee, Nattapol Prapart, Thachaphol Sukdee, Wanvisah Saisan Na Ayuthaya, & Thitipong Sukdee. (2018). the effect of core muscles strength training on balance of the dance sport athlete. In Suree Mas Sukkasi (Ed.). 12th National Rambhai Barni Research Conference, December 19th, 2018, Bangkok, Thailand. 624 - 631. Chonburi: A.P. Blue Print. Sukanya Ritngam. (2020). The effects of cold water immersion on body recovery in relation to lactic acid after the training of under-16-year thailand women’s national football team. Academic Journal of Thailand National Sports University, 12(1), 196 - 204. Sullivan, L. (2008). Repeated Measures. Circulation, 117(9), 1238 - 1243. doi: 10.1161/CIRCULATIONAHA.107.654350.
Thanumporn Thonglong, & Wichit Chauwes. (2020). Effect of Mi - Plong exercise program on muscle flexibility and range of motion in Thai male students in university. Academic Journal of Thailand National Sports University, 12(1), 61 - 70. Waro Pheangsawat. (2014). Educational experimental research. Sakon Nakhon Rajabhat University Journal, 6(11), 181-190. Received: June 12, 2020 Revised: Nov 27, 2020 Accepted: Dec 23, 2020
คำแนะนำสำหรับผูเ้ ขียน วำรสำรวิชำกำร มหำวทิ ยำลัยกำรกฬี ำแห่งชำติ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ได้ดาเนินการจัดทาวารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ซึ่งกาหนดจัดทาปีละ 3 ฉบับ โดยมีจุดประสงค์เพ่ือเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัยทางพลศึกษา การ กีฬา การสร้างเสรมิ สุขภาพ วิทยาศาสตรก์ ารกฬี า การบริหารจัดการกีฬา การประกอบธรุ กจิ และอตุ สาหกรรม การกีฬา และเป็นสื่อกลางในการแลกเปล่ียนความรู้ เพ่ือให้การจัดทาวารสารฯ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และ วตั ถุประสงค์ ทางกองบรรณาธกิ ารจึงได้กาหนดหลกั เกณฑข์ องการสง่ บทความใหก้ ับผูว้ จิ ัยและผู้สนใจ ดังนี้ 1. ประเภทของบทความ 1.1 บทความวิจยั (Research article) เป็นบทความท่เี รียบเรียงอย่างเป็นระบบจากงานวิจยั 1.2 บทความวิชาการ (Academic article) มีลักษณะ ดังนี้ 1.2.1 เป็นบทความจากการทบทวนเอกสาร ที่มุ่งถ่ายทอดองค์ความรู้ ประสบการณ์หรือความ ชานาญ แนวคิด ของผู้เขยี น หรอื ขอ้ ค้นพบซึ่งอาจเป็นผลมาจากงานวจิ ัยหลาย ๆ เรื่อง มีการเรยี บเรยี งนาเสนอ อย่างเปน็ ระเบียบ 1.2.2 เปน็ บทความที่นาเสนอกระบวนการสร้างและพัฒนานวัตกรรม 2. ส่วนประกอบของบทความ 2.1 ส่วนหน้า แยกเป็น ส่วนภาษาไทย และภาษาอังกฤษ แต่ละส่วนความยาวไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ A4 ประกอบด้วย 2.1.1 ชอ่ื บทความ (Title) ไมค่ วรเกิน 2 บรรทัด 2.1.2 ช่ือผู้เขียน (Author) ไม่ใสค่ านาหนา้ ชอื่ และตาแหน่งทางวิชาการ 2.1.3 ชื่อหน่วยงาน (Affiliation) ระบุหน่วยงานหรือสังกัดของผู้เขียนทุกคน ในกรณีท่ีผู้เขียนอยู่ ตา่ งสังกดั กันให้ใสเ่ ลขยกกากบั 2.1.4 บทคดั ย่อ (Abstract) มคี วามยาวไม่นอ้ ยกว่า 200 คา และไม่เกนิ 300 คา 2.1.5 คาสาคัญ (Keywords) ประมาณ 3 - 5 คา 2.1.6 ผู้รับผิดชอบบทความ (Corresponding author) ใส่ชื่อ-นามสกุล สาขาวิชา คณะ สังกัด และอีเมล ในกรณที ีเ่ ปน็ นักวิชาการอสิ ระ ใหร้ ะบุ ช่อื -นามสกลุ ทีอ่ ยู่ และอีเมล 2.2 ส่วนบทความ 2.2.1 บทความวิจัย ประกอบดว้ ย 2.2.1.1 บทนา (Introduction) อธิบายถึงความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา รวมถึง การทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เก่ยี วข้องอนั เป็นท่ีมาของวัตถปุ ระสงค์การวิจัย และสมมติฐานของการวิจัย 2.2.1.2 วิธีดาเนินการวิจัย (Methodology) อธิบายอย่างชัดเจนถึงรูปแบบการวิจัย เคร่ืองมือและการหาคุณภาพเครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย ข้ันตอน/วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลหรือการทดลอง การ วเิ คราะห์ข้อมลู และ/หรอื วิธีทใี่ ช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของการรวบรวมขอ้ มลู 2.2.1.3 ผลการวิจัย (Results) เสนอผลการเก็บรวบรวมข้อมูล ตรงประเด็นตาม วัตถุประสงคข์ องการวิจัย ควรมีตารางและ/หรือภาพประกอบ หากมีบรรยายใต้ตารางควรเป็นการชปี้ ระเด็นท่ี สนใจหรอื หมายเหตุของการแสดงสญั ลกั ษณ์ทร่ี ะบุไวใ้ นตาราง
2.2.1.4 การอภิปรายผล (Discussion) เปน็ การอธิบายถึงประเด็นผลการวจิ ัย เพ่ือให้ผอู้ า่ น มองเห็นชัดเจนว่าผลการวิจัยคร้ังน้ีเป็นตามที่นาเสนอสมมติฐาน หรือสิ่งท่ีค้นพบสอดคล้องมีทฤษฎีและ/หรือ ผลงานวิจัยก่อนหน้าน้ีสนับสนุนหรือขัดแย้งหรือไม่ พร้อมท้ังอภิปรายผลการวิจัยเพ่ือนาเสนอแนวทางนา ผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ 2.2.1.5 บทสรุป (Conclusion) สรุปสาระสาคญั ของการค้นพบของการวจิ ยั ครั้งน้ี 2.2.1.6 กิตติกรรมประกาศ (Acknowledgements) เป็นการเขียนแสดงความขอบคุณผู้มี ส่วนในความสาเรจ็ ซ่ึงควรเขียนไม่เกิน 3 บรรทัด 2.2.1.7 เอกสารอ้างอิง (References) เป็นรายการเอกสารท่ีถูกเขียนอ้างอิงไว้ในเน้ือหา บทความ หากเอกสารอ้างอิงเป็นภาษาไทยให้แปลเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด โดยยึดรูปแบบการเขียนอ้างอิงตาม หลักเกณฑข์ อง APA (6th Edition) หมายเหตุ บทความวิจัยจาเปน็ ตอ้ งผา่ นจรยิ ธรรมในการทาวจิ ัยก่อน 2.2.2 บทความวิชาการ การเขียนส่วนเน้ือหาของบทความวิชาการควรจะต้องมีกรอบแนวคิดทางหลักวิชาการ ท่ี แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงของเหตุท่ีนาไปสู่ผล นอกจากนี้ในการใช้ภาษาเพื่อนาเสนอเร่ืองที่เขียน ควรเรียบ เรียงอย่างดีชัดเจน เช่น ลาดบั เนื้อหาเชื่อมโยงต่อเน่ือง บรรยายอ้างอิงแหล่งข้อมูลต่างๆ ประกอบเร่ืองที่เขียน เป็นต้น เพ่ือให้ผู้อา่ นเกดิ ความรคู้ วามเข้าใจ คล้อยตามและมองเห็นความสาคญั โดยการเขียนบทความวชิ าการ ควรประกอบด้วย 2.2.2.1 บทนา (Introduction) เพื่ออธิบายถึงท่ีมาและความสาคัญของเรื่องท่ีนามาเขียน บทความ 2.2.2.2 วิธีศึกษาหรือวิธีดาเนินการ (Methodology) ท่ีเป็นการอธิบายถึงการได้มาซ่ึง ข้อมูลหรือความรู้หรอื เรอ่ื งราวทนี่ าเสนอในคร้ังนี้ 2.2.2.3 สรปุ ทา้ ยบทความ (Conclusion) เพอื่ บอกถงึ ประเดน็ หรือสาระสาคัญท่นี าเสนอ 3. รูปแบบการพมิ พ์ 3.1 ตง้ั คา่ หนา้ กระดาษ 3.1.1 จานวนหน้าของบทความ 10 – 12 หน้า กระดาษ A4 (8.27” x 11.69”) 3.1.2 ตง้ั กน้ั หนา้ ซา้ ย – ขวา – บน – ลา่ ง เท่ากับ 2.54 เซนติเมตร หรอื 1 นว้ิ 3.1.3 ตั้งย่อหน้าแรก 0.5 นิ้ว 3.1.4 แต่ละหัวขอ้ หลกั เวน้ บรรทดั 10 pt. ส่วนระหวา่ งหัวข้อหลักและหัวขอ้ รองไมเ่ ว้นบรรทดั 3.2 แบบตัวอกั ษร การพิมพ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ใช้แบบอักษร TH SarabunPSK ท้ังฉบับ โดยใช้ ดังนี้ 3.2.1 ชอื่ เรือ่ ง (Title) ใชอ้ ักษรขนาด 18 ตวั หนา ท้ังภาษาไทยและภาษาองั กฤษ จัดให้อยูต่ รงกลาง หน้ากระดาษ 3.2.2 ชอื่ ผู้เขยี น (Author) ใช้อกั ษรขนาด 16 ตวั หนา ท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จดั ใหอ้ ยู่ชดิ ขอบดา้ นขวา กรณีที่ผู้เขียนมากกวา่ 1 ท่าน และตา่ งสังกดั ให้พิมพเ์ ลขยก ต่อท้ายนามสกุลผ้เู ขยี น - ภาษาไทย ตัวอย่างเชน่ สมบตั ิ กาญจนกจิ 1 และ สวุ มิ ล ตัง้ สัจจพจน์2
- ภาษาอังกฤษ ให้ใชอ้ กั ษรตวั แรกเปน็ พิมพ์ใหญ่ ท้ังชอ่ื และนามสกลุ ตวั อยา่ งเช่น Sombat Karnjanakit 3.2.3 ชือ่ หนว่ ยงานของผู้เขียน (Affiliation) จดั พิมพ์ในบรรทดั ถดั จากช่ือผู้เขยี น จัดให้อยู่ชิดขอบ ขวา กรณีที่ผู้เขียนมากกว่า 1 ท่าน และต่างสังกัดให้พิมพ์เลขยก ด้านหน้าหน่วยงานตามลาดับผู้เขียน (กรณีท่ี ผู้เขยี นอยู่สงั กดั เดยี วกนั ไม่พิมพ์เลขยก) - ภาษาไทย ตัวอยา่ งเชน่ สมบัติ กาญจนกิจ1 และ สวุ มิ ล ตง้ั สัจจพจน์2 1คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั 2คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ - ภาษาองั กฤษ ตวั อยา่ งเชน่ Sombat Karnjanakit1 and Suvimol Tangsujjapoj2 1Faculty of Sport Science Chulalongkorn University 2Faculty of Education Kasetsart University 3.2.4 บทคดั ยอ่ (Abstract) ชอื่ หัวข้อ บทคดั ย่อ หรือ Abstract จดั ให้อยู่ชิดขอบซา้ ย ใช้ตวั อักษร ขนาด 16 ตัวหนา ในสว่ นของเน้ือหา ใชอ้ ักษรขนาด 16 ธรรมดา 3.2.5 คาสาคัญ (Keywords) ช่ือหัวข้อ คาสาคัญ หรือ Keywords จัดให้อยู่ชิดขอบซ้าย ใช้ ตัวอักษรขนาด 16 ตัวหนา และตามด้วยสญั ลักษณ์ : และตามด้วยคาสาคญั ประมาณ 3 คา - ภาษาไทย ตัวอย่างเชน่ คาสาคญั : กีฬา ชีวกลศาสตร์ กอล์ฟ - ภาษาองั กฤษ ตวั อย่างเช่น Keywords: Sport, Biomechanics, Golf 3.2.6 หัวข้อหลักในบทความ ได้แก่ บทนา วิธีดาเนินการวิจัย ผลการวิจัย บรรณานุกรม และ กติ ตกิ รรมประกาศ (ถา้ มี) จดั ใหอ้ ยชู่ ดิ ขอบซา้ ย ใชต้ ัวอกั ษรขนาด 16 ตวั หนา 3.2.6 เนอ้ื หาบทความ ใชต้ วั อกั ษรขนาด 16 ธรรมดา ทัง้ ภาษาไทย และภาษาองั กฤษ 3.2.8 หัวข้อรอง ได้แก่ กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย จัดให้อยู่ชิดขอบซ้ายตรงกับหัวข้อ หลกั ไมเ่ ว้นชว่ งบรรทดั ใชต้ วั อักษรขนาด 16 ตัวหนา 3.2.9 เอกสารอ้างอิง (References) สาหรับหัวข้อ จัดให้อยู่ชิดขอบซ้าย ให้ใช้อักษรขนาด 16 ตัวหนา เช่น References ในส่วนของรายการเอกสารอ้างอิงใช้ตัวอักษรขนาด 16 ธรรมดา โดยใส่รายการ เอกสารท่ีถูกอ้างองิ ไวใ้ นบทความเท่าน้นั 3.2.3 ช่ือตาราง ใช้ข้อความวา่ ตารางท่ี ใช้ตัวอักษรขนาด 16 ตัวหนา จัดให้อยู่ชิดขอบซ้าย ส่วน เนอื้ หาในตารางใชอ้ กั ษรขนาด 14 เช่น
ตาราง 1 จานวนองค์ประกอบ คา่ ร่วมกัน คา่ ไอเกน คา่ รอ้ ยละของความแปรปรวน ค่าร้อยละของความ แปรปรวนสะสมในแต่ละองคป์ ระกอบ ตัวแปร ค่ารว่ มกนั องค์ประกอบ คา่ ไอเกน ค่ารอ้ ยละของ ค่ารอ้ ยละของความ ความแปรปรวน แปรปรวนสะสม 1 0.689 ที่ 1 การรับรู้ (ความรสู้ กึ ปวด, 4.383 24.352 24.352 การเกร็งของกลา้ มเน้อื ) 2 0.664 ท่ี 2 ความเชอ่ื มั่น 3.433 19.072 43.424 3 0.500 ท่ี 3 คุณภาพชวี ติ 1.819 10.107 53.531 4 0.575 ที่ 4 ความวติ กกังวล (ทางจติ ใจ) 1.379 7.661 61.192 5 0.611 ท่ี 5 ความวิตกกงั วล (ทางร่างกาย) 1.046 5.813 67.005 6 0.793 0.858 4.766 71.771 7 0.843 0.746 4.144 75.915 8 0.744 0.691 3.839 79.754 9 0.726 0.612 3.399 83.153 10 0.621 0.516 2.868 86.021 11 0.719 0.496 2.754 88.776 12 0.667 0.374 2.076 90.852 13 0.593 0.344 1.913 92.765 14 0.733 0.327 1.814 94.579 15 0.630 0.292 1.624 96.203 16 0.554 0.283 1.574 97.777 17 0.702 0.228 1.267 99.044 18 0.695 0.172 0.956 100.000 Note. from “An Exploratory Factor Analysis of the Measure of Physical and Psychological States for Sport Injury in Thai Athletes,” By Tirata Bhasavanija, 2020, Academic Journal of Thailand National Sports University, 12(1), pp. 258-259.
3.2.4 ภาพประกอบ ใช้ข้อความว่า “ภาพที่” ใช้ตัวอักษรขนาด 16 ตัวหนา จัดให้อยู่ตรงกลาง หน้ากระดาษ ตามดว้ ยช่ือภาพ เชน่ ภาพท่ี 1 แบบจาลองการพฒั นากีฬาเปน็ เลศิ สาหรับประเทศไทย ภาพท่ี 1 เครือ่ งยิงลูกเทนนสิ ส่งั การด้วยรโี มท และใช้ระบบไฟจากแบตเตอรี่ Teaching Media Assisted Physical Education: Tennis Shooter (p. 100), By Luckhana Pimjan, Taraporn Suntorn, and Suthap Nueklong, 2019, Academic Journal Institute of Physical Education, 11(2), p.100 4. เอกสารอ้างอิง (References) การเขียนอ้างอิงเอกสารให้ใช้ตามแนวทางของ The American Psychological Association (APA) 6th Edition โดยเรียงตามลาดับตัวอักษร ทั้งนี้ให้ผู้แต่งแปลงเอกสารอ้างอิงภาษาไทยให้เป็นภาษาอังกฤษ ดว้ ย เพอื่ ให้เปน็ ไปตามหลักของเกณฑ์มาตรฐาน ACI (Asean Citation Index) การเรียงรายชื่อหนังสือหรอื วัสดุทพี่ ิมพ์ในรายการบรรณานุกรม ใช้หลักการเดียวกันกับการเรียงคาใน พจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน หรอื dictionary ซึง่ เป็นท่ยี อมรับกันทัว่ ไป ดงั น้ี 1) เรียงตามลาดบั รปู พยัญชนะ ตัง้ แต่ A-Z 2) กรณีท่ีไมม่ ีชอื่ ผู้แต่งให้เรียงตามช่ือเรอ่ื งแทน 3) กรณีท่ีผู้แต่งคนเดียวกันแต่มีบรรณานุกรมหลายรายการให้เรียงตามเลขปีพิมพ์ โดยเรียงเลข ปีพมิ พ์ค่าน้อยมาก่อน 4) กรณีท่ีผู้แต่งคนเดียวกันและปีพิมพ์ซ้ากัน ให้เรียงตามลาดับอักษรของช่ือเรื่อง และกากับ ตัวอักษร ก ข ค หรือ a b c ท้ายปีพมิ พ์นั้น 5) กรณีท่ีรายการแรกเป็นช่ือเรื่อง และช่ือเร่ืองข้ึนต้นด้วยคานาหน้านาม (article) คือ a an the ในการเรยี งลาดบั ให้เว้นคานาหน้านามนน้ั ๆ โดยเรียงตามลาดบั ของคาถัดไป ในกรณที ่ีคานาหน้านามเป็น สว่ นหนง่ึ ของชื่อเร่ือง ให้นามาพิจารณาในการจดั เรียงลาดบั ด้วย 6) รายการบรรณานุกรมให้พิมพ์ชิดขอบซ้าย ถ้าข้อความมีความยาวเกิน 1 บรรทัดให้พิมพ์ต่อ บรรทัดใหม่ โดยยอ่ หน้าไปประมาณ 0.5 นว้ิ ถ้าไม่จบสามารถพมิ พ์ตอ่ ในบรรทัดถดั ไปโดยให้ตรงกบั บรรทัดท่ี 2 จนจบรายการ โดยรูปแบบนัน้ ขน้ึ อยู่กับวัสดทุ ี่ใช้อา้ งองิ แต่ละประเภท
หนงั สอื อ้างองิ ในเน้ือหา ผู้แตง่ 1 คน MacIntosh, E. W. (2020) concluded that… สาหรบั ผแู้ ต่งชาวตา่ งชาติ ลงเฉพาะชอ่ื สกลุ สาหรับผู้แต่งชาวไทย ลงชอ่ื ตามด้วยชอื่ สกุล ตวั แปรอสิ ระต้องเปน็ มาตรวัดประเภทนามบญั ญัติ (No scale) (Kanlaya Vanichbuncha, 2019) ผ้แู ตง่ 2 คน Weinberg, & Gould (2018) maintain that… ผแู้ ต่ง 3 - 5 คน A recent study (Gillen, Shoemaker, Brianna, & Cramer, 2019) concluded that… การอา้ งองิ ในเนอ้ื หา ครง้ั แรก ใหใ้ ส่ชือ่ ทกุ คน การอา้ งอิงในเนื้อหาครงั้ ตอ่ ไป ครง้ั ตอ่ ไป ใหใ้ ส่แค่คนแรก และต่อดว้ ย et al. (Gillen et al., 2019) The Russian Revolution may never have succ ผูแ้ ต่ง 6 - 7 คน if there hadn’t already been widespread disco among the Russian populace (Bulliet et al., 20 การอา้ งอิงในเนอ้ื หา Traumatic injury is the leading cause of death ให้ใส่แคค่ นแรก และต่อดว้ ย et al. disability worldwide (Steel et al., 2010). ผแู้ ตง่ 8 คน ขน้ึ ไป การอ้างองิ ในเนือ้ หา ใหใ้ สแ่ คค่ นแรก และต่อด้วย et al. งานตีพิมพห์ ลายคร้ัง These techniques have changed markedly in last decade (Greenspan, 2000, 2011).
รายการอา้ งอิง MacIntosh, E. W. (2020). International sport management. Champaign: Human Kinetics. ominal Kanlaya Vanichbuncha. (2019). Statistics for Research (12nd ed.). & Bangkok: Samlada. Weinberg, R. S., & Gould, D. (2018). Foundations of sport and exercise psychology (7th ed.). Champaign: Human Kinetics. Gillen, Z. M., Shoemaker, M. E., Brianna, D. M., & Cramer, J. T. (2019). Performance differences between national football league and high school American Football combine participants. Research Quarterly for Exercise and Sport, 90(2), 227-233. ceeded Bulliet, R. W., Crossley, P.K., Headrick, D. R., Hirach, S. W., Johnson, L. ontent L., & Northrup, D. (2011). The earth and its peoples: A gloval 005) history (5th ed.). Boston, Ma: Wadsworth. h and Steel, J., Youssef, M., Pfeifer, R., Ramirez, J. M., Probst, C., Seller, R., … the Pape, H. C. (2010). Health-related quality of life in patients with multiple injuries and traumatic brain injury 10+ years postinjury. Journal of Trauma: Injury, Infection, and Critical Care, 69(3,) 523 – 531. Doi: 10.1097/TA.0b013e3181e90c24 Greenspan, A. (2000). Orthopedic radiology: A practical approach (3rd ed.). Philadelphia, PA: Lippincott Williams & Wilkins. Greenspan, A. (2000). Orthopedic radiology: A practical approach (3rd ed.). Philadelphia, PA: Lippincott Williams & Wilkins.
ผแู้ ต่งเดยี วกัน ปพี ิมพเ์ ดยี วกนั อ้างองิ ในเน้ือหา อ้างองิ มากกวา่ 1 แหล่ง Leadership and change in schools have been topics of discussion for several years (Fullan, 1996b) and this conference… “Educational change” has taken on a new me in recent years (Fullan, 1996b) … The cyclical process (Carr & Kemmis, 1986; Dic Kemmis & McTaggart, 1988; Maclsaac, 1995) suggests… eBook และ online book We found helpful information about deaf child (Niemann, Greenstein, & David, 2004) that mea ถา้ หนงั สอื มีเลข doi ใหใ้ สด่ ้วย could… พจนานกุ รม หรอื สารานุกรม According to one definition of “bivalence” แบบเลม่ (VandenBos, 2007, p.123)… A psychological overview of ADHD (Arcus, 2001 แบบออนไลน์ วารสาร การถอดเทปข้อมูลท่ีได้จากการสัมภาษณ์อย่างละเอ คาต่อคา ห้ามมีการข้ามประโยคบางประโยคท่ีผู้วิจัยต ผู้แต่ง 1 คน วา่ “ไม่มีความสาคัญ” เพราะข้อมูลบางอย่างอาจนามา ตรวจสอบในภายหลังได้ (Sakul Changmai, 2003) ถ้าวารสารมีเลข doi ให้ใส่ดว้ ย สาหรบั ผแู้ ต่งชาวต่างชาติ ลงเฉพาะชอื่ สกุล สาหรับผแู้ ต่งชาวไทย ลงชื่อตามดว้ ยชื่อสกุล
รายการอา้ งอิง major Fullan, M. (1996a). Leadership for change. In International handbook 1996a, for education leadership and administration. New York, NK: Kluwer Academic. eaning Fullan, M. (1996a). The new meaning of educational change. London, United Kingdom: Cassell. ck, 2000; Carr, W., & Kemmis, S. (1986). Becoming critical: Education knowledge and action research. London, United Kingdom: Falmer Press. Dick, B. (2000). A beginner’s guide to action research. Retrieved from http://www.scu.edu.au/schools/gcm/ar/arp/guide.html Kemmis, S., & McTaggart, R. (Eds.). Z1988X. The action research planner (3rd ed.). Melbourne, Australia: Deakin University Press. dren Niemann, S., Greenstein, D., & David, D. (2004). Helping Children who ant we are deaf: Family and community support for children who do not hear well. Retrieved from http://www.hesperian.org/publications_download_deaf.php VandenBos, G. R. (Ed.). (2007). APA dictionary of psychology. Washington, DC: Amerrican Psychological Association. 1)… Arcus, D. (2001). Attention deficit/hyperactivity disorder (ADHD). In B. Strickland (Ed.). The Gale encyclopedia of psychology. Retrieved from http://www.gale.cengage.com/ อียด ชนิด Sakul Changmai. (2003). Data collection, data management, and ตัดสินเอง qualitative data analysis. Christian University Journal, 9(3), 164 - าใชใ้ นการ 173.
ผ้แู ตง่ 2 คน อา้ งอิงในเนอื้ หา Humans share 99.5% identical DNA implying t the resulting phenotypic diversity stems from remaining 0.5% difference as well as epigenet modifications (Robert, & Pelletier, 2018). ผแู้ ตง่ 3 - 5 คน การเปรยี บเทียบผลของโปรแกรมการกระโดดเชอื กแบ และการกระโดดเชือกแบบสลับเทา้ ท่ีมตี ่อความอดทนขอ การอา้ งองิ ในเน้อื หา ไหลเวียนเลอื ด และระบบหายใจ ใชก้ ารทดสอบสถติ คิ ครั้งแรก ให้ใส่ช่อื ทกุ คน ค่าเอฟ (Patsatorn Chaipanha, & Jirawat Khanjo คร้งั ต่อไป ใหใ้ ส่แคค่ นแรก และต่อด้วย et al. 2020) Those with the ACTN3 RR genotype (Walsh, L Metter, Ferrucci, & Roth, 2008). การอ้างอิงในเนื้อหาครัง้ ตอ่ ไป (Walsh et al., 2008) ผู้แต่ง 6 - 7 คน การศึกษาประสทิ ธิผลของแบบฝกึ การสรา้ งเสริมความ และการทรงตวั ของผู้สงู อายดุ ้วยกจิ กรรมโยคะประยกุ การอ้างองิ ในเนอ้ื หา ทดสอบสถติ คิ า่ ที (Chaturong Hemara, Umaporn ใหใ้ ส่แคค่ นแรก และต่อด้วย et al. u-rai, Gosol Rodma, & Bhumip Dhanajyasit, 20 An increased frequency of the ACTN3 577R va (ACTN3 577RR) was initially detected in elite sprint/power Australian (Yang et al., 2003). ผแู้ ต่ง 8 คน ขึน้ ไป Or in terms of maximal performance in jumps et al., 2011) การอ้างอิงในเนื้อหา ใหใ้ ส่แค่คนแรก และต่อด้วย et al.
รายการอา้ งอิง that Robert, F., & Pelletier, J. (2018). Exploring the Impact of Single - m the Nucleotide Polymorphisms on Translation. Front Genet, 9, tic 507. doi:10.3389/fgene.2018.00507 บบเทา้ คู่ Patsatorn Chaipanha, & Jirawat Khanjornsilp. (2020). Effects of Double องระบบ Foot Jump Rope and Switching Foot Jump Rope Programs towards คา่ ทกี บั the Endurance of the Circulatory and Respiratory Systems of Female ornsilp, High School Students at Bangkaew Prachasan School. Academic Journal of Thailand National Sports University, 12(1), 205 - 214. Liu, Walsh, S., Liu, D., Metter, E. J., Ferrucci, L., & Roth, S. M. (2008). ACTN3 genotype is associated with muscle phenotypes in women across the adult age span. J Appl Physiol (1985), 105(5), 1486 - 1491. doi:10.1152/japplphysiol.90856.2008 มแขง็ แรง Chaturong Hemara, Umaporn Kong-u-rai, Gosol Rodma, & Bhumip Dhanajyasit. (2020). Training Drill for Enhancing Strength and กต์ ใช้การ Balance of the Elderly with Applied Yoga Activities. Academic Kong- 020) Journal of Thailand National Sports University, 12(2), 14 - 25. ariant Yang, N., MacArthur, D. G., Gulbin, J. P., Hahn, A. G., Beggs, A. H., Easteal, S., & North, K. J. T. A. J. o. H. G. (2003). ACTN3 genotype is associated with human elite athletic performance. Am J Hum Genet, 73(3), 627-631. s (Ruiz Ruiz, J. R., Fernandez del Valle, M., Verde, Z., Diez-Vega, I., Santiago, C., Yvert, T., … & Lucia, A. (2011). ACTN3 R577X polymorphism does not influence explosive leg muscle power in elite
อ้างองิ ในเน้อื หา การประชุมวิชาการนานาชาติ In a paper about conservation of photograph รายงานสืบเนื่องการประชมุ วิชาการ 1996), the proposition that… M. Ravinder Rao (2019) The energy required b body to perform an aerobic activity are derive from carbohydrates and fats. วทิ ยานพิ นธ์ Huang Huangjia (2001) pointed out that leisur แบบเลม่ benefit is an individual's participation in leisur แบบออนไลน์ activities. Sittisak Boonhan (2011) revealed that the ma สบื ค้นออนไลน์ factor of speed was the maximum muscular strength in a suitable level. Running - Based Anaerobic Sprint Test (Draper Whyte, 1997).
รายการอา้ งอิง volleyball players. Scand J Med Sci Sports, 21(6), e34-41. doi:10.1111/j.1600-0838.2010.01134.x hs (Edge, Edge, M. (1996). Lifetime prediction: Fact or fancy? In M.S. Koch, T. Padfield, J. S. Johnsen, & U. B. Kejser (Eds.), Proceedings of the Conference on Research Techniques in Photographic Conservetion (pp. 97 – 100). Copenhagen, Denmark: Royal Danish Academy of Fine Arts. by the M. Ravinder Rao. (2019). Effect of Aerobic Training, Anaerobic Training ed and On Blood Lipid Profiles among Sports Persons of Osmania University In Poolum Mana (Eds.), Proceedings of 9th Institute of Physical Education International Conference, Bangkok: Thailand Retrieved from https://drive.google.com/ file/d/1OCUN1DaI7DnUS2poCOT6gnhA2wt67aZB/view re Huang Huangjia. (2001). Research on the leisure benefits of breaking re through leisure activities (Unpublished Master's thesis), Taiwan Normal University, Taipei: Taiwan. ain Sittisak Boonhan. (2011). The Effect of Plyometric Training Together with S A Q Training on Speed of 50 Meter Sprint (Master’s thesis, Srinakharinwirot University). Retrieved from http://thesis.swu.ac.th/swuthesis/Phy_Ed/Sittisak_B.pdf r, & Draper, P.N., & Whyte, G. (1997). Anaerobic performance testing. Retrieved from https://ir.canterbury.ac.nz/handle/10092/7835
5. การตอบรับการตพี มิ พ์และลงตพี ิมพ์ 5.1 เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิสองท่านพิจารณาให้รับลงตีพิมพ์ และเจ้าของบทความได้ปรับแก้ไขตาม ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว เจ้าของบทความจะได้รับเอกสารตอบรับการผ่านพิจารณาบทความลงตีพิมพ์ เผยแพรผ่ ลงานในวารสารวชิ าการ มหาวิทยาลัยการกฬี าแห่งชาติ 5.2 ภายหลังการตอบรับลงตีพมิ พ์หากมีการตรวจพบว่า บทความท่ีส่งมานั้น มีการคัดลอก ลอกเลียน หรือมีการดาเนินการใดใด อันแสดงถึงการผิดจริยธรรมจรรยาบรรณของนักวิจัย ทางกองบรรณาธิการจะส่ง หนงั สือแจ้งยกเลกิ การตีพมิ พ์และยกเลิกตอบรับไปยังหน่วยงานต้นสังกัด และระงับการพิจารณาบทความ จาก เจ้าของบทความเป็นระยะเวลา 5 ปี เอกสารอา้ งอิง คณะพาณิชยศาสตรแ์ ละการบัญชี มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. (ม.ป.ป). การอา้ งองิ แบบแทรกในเน้ือหาตาม หลักเกณฑ์ APA. สืบค้นจาก http://www.jba.tbs.tu.ac.th/files/APA_Style.pdf มหาวทิ ยาลัยการกีฬาแห่งชาต.ิ (2564). แนวทางการเขียนผลงานทางวิชาการ ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2564. กรุงเทพ: บริษทั เอ็ม เอ เอช พรนิ้ ต้งิ จากดั . American Psychological Association. (2010). Publication manual of the American Psychological Association (6th ed.). Washington, DC: Author. University of Canberra Library & Academic Skills Program. (2010). A guide to referencing with examples in the APA & Harvard styles (6th ed.). Retrieved from http://www.canberra. edu.au/library/attachments.pdf/apa.pdf American University of Sharjah. (n.d.). APA 6th Edition Citation Style. September 18, 2019, Retrieved from https://aus.libguides.com/apa/apa-website Himmelfarb Health Sciences Library. (n.d.). APA Citation Style (6th ed.). Retrieved from https://guides.himmelfarb.gwu.edu/APA
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337