Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Academic Journal of Thailand National Sports University, Vol.14 No.1 (January - April, 2022)

Academic Journal of Thailand National Sports University, Vol.14 No.1 (January - April, 2022)

Published by library dpe, 2023-02-01 04:47:53

Description: Academic Journal of Thailand National Sports University, Vol.14 No.1 (January - April, 2022)

Search

Read the Text Version

คะแนนจากสูงสุดจนถึงคะแนนต่าสุด หาค่าเฉลี่ย (������̅) และการเลือกกลุ่มตัวอย่างที่มีคะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ย จานวน 30 คน และต่ากว่าค่าเฉลี่ยอีก 30 คน มาสุ่มแบบจับคู่ (Match - Paired Sampling) ออกเป็นกลุ่ม ทดลอง 30 คน และกล่มุ ควบคมุ 30 คน เครือ่ งมอื ทใ่ี ช้ในการวิจยั 1. แบบสอบถามประเมินการเป็นอาสาสมัครของนักเรียน (Volunteer Inventory) เป็นแบบสอบถาม ท่ีผู้วิจัยพัฒนาข้ึนเอง (Self - administered questionnaire) เป็น 4 Point Rating Scale ประกอบด้วย 30 ข้อคาถาม ท่ียึดตามแนวคิดของ Clary และคณะ (Clary et al., 1998, pp. 392 - 394) แบ่งออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ 1) แรงจูงใจ ประกอบด้วย 6 ข้อย่อย :- M1 (ความสนใจของบุคคล) มี 3 ข้อคาถาม M2 (การรับรู้ ในส่ิงแวดล้อม) มี 3 ข้อคาถาม M3 (ประสบการณ์) มี 3 ข้อคาถาม M4 (ความพึงพอใจ) มี 3 ข้อคาถาม M5 (ความสนุกสนาน) มี 3 ข้อคาถาม และ M6 (การสร้างทีม) มี 3 ข้อคาถาม 2) กระบวนการของสังคม ประกิต มี 3 ข้อคาถาม 3) การเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นมี 3 ข้อคาถาม และ 4) ตัวเลือกท่ีปราศจากอุปสรรค ภายนอก ประกอบด้วย 2 หัวข้อย่อย :- F1 (ความยืดหยุ่น) มี 3 ข้อคาถาม และ F2 (กิจกรรมที่เสร็จส้ินในตัวเอง) มี 3 ขอ้ คาถาม แบบสอบถามผา่ นการประเมินหาค่าความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) จากผู้ทรงคณุ วุฒิ ทางนันทนาการจานวน 3 ท่าน ได้ค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.80 - 1.00 และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ความเชอ่ื มั่นของ Cronbach เทา่ กบั 0.95 แบบสอบถามแบ่งระดับการเป็นอาสาสมัครออกเป็น 4 ช่วงคะแนน โดยกาหนดความหมาย ของการประเมนิ ค่าตามเกณฑ์ของ Best (1970, p. 60) โดยมชี ่วงคะแนน ดงั น้ี 0.00 – 1.50 คะแนน = นอ้ ยท่สี ดุ 1.51 – 2.50 คะแนน = น้อย 2.51 – 3.50 คะแนน = มาก 3.51 – 4.00 คะแนน = มากท่ีสดุ 2. โปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างที่เสริมสร้างการเป็นอาสาสมัครของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ตอนปลาย มีระยะเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 1.30 ช่ัวโมง ได้ยืดโครงสร้างการจัดโปรแกรม การศึกษาการใช้เวลาว่างของ Dattio (2015, p. 175) ประกอบด้วย: - 1. ปฐมนิเทศกิจกรรม 2. ขั้นนา 3. การนาเสนอและอภิปราย 4. กิจกรรมการเรียนรู้ 5. การซักถาม และให้ผลสะท้อนกลับ และ 6. สรุปผล โปรแกรมนี้ได้ผ่านการตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงประจักษ์ (Face Validity) จากผู้ทรงคุณวุฒินันทนาการ จานวน 3 ทา่ น ไดค้ ่าเครอื่ งมอื อยใู่ นระดับท่ีเหมาะสม โปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างที่เสริมสร้างการเป็นอาสาสมัครของนักเรียน ประกอบด้วย กิจกรรมที่เน้นบุคคลเป็นอันดับแรก กระตุ้นให้เกิดความเป็นอิสระ การมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วม และ การประเมินการเปล่ยี นแปลง และปรบั ตัว (Dattio, 2015, p. 155) ตารางโปรแกรม 8 สปั ดาห์ ประกอบดว้ ย สปั ดาหท์ ่ี 1 ปฐมนเิ ทศผเู้ ข้ารว่ มโปรแกรม สัปดาห์ท่ี 2 นันทนาการ และการใชเ้ วลาวา่ ง สปั ดาหท์ ่ี 3 กิจกรรมอาสาสมคั รในประเทศไทย สปั ดาหท์ ี่ 4 งานอาสาสมัครในกจิ กรรมพัฒนาผ้เู รียน สปั ดาหท์ ่ี 5 อาสาสมคั รกับการสร้างความเปน็ พลเมือง

สปั ดาห์ที่ 6 อาสาสมคั รเพอ่ื พฒั นาสงั คม สปั ดาห์ท่ี 7 ประโยชนข์ องกจิ กรรมอาสาสมคั ร สปั ดาห์ที่ 8 รูปแบบอาสาสมัครการใช้เวลาวา่ งในสถานศึกษาอยา่ งย่งั ยืน กาหนดให้กลุ่มทดลองเข้าร่วมโปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างฯ ท่ีผู้วิจัยพัฒนาข้ึนเอง ส่วนกลุ่มควบคุมให้เข้าร่วมกิจกรรมจิตสาธารณะท่ีทางโรงเรียนจัดให้ มีระยะเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1.30 ชว่ั โมง ในทกุ วนั ศกุ ร์ เวลา 14.00 - 15.30 น. ณ. โรงยิมพลศึกษา การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ก่อน และหลังการเข้าร่วมโปรแกรมฯ 8 สัปดาห์ ให้กลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมประเมินด้วย แบบประเมนิ การเปน็ อาสาสมัครของนกั เรียน (Volunteer Inventory) การวิเคราะหข์ อ้ มลู ผู้วิจัยได้ทาการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบความแตกต่าง การเป็นอาสาสมัครของนักเรียนก่อน และหลงั การเข้าร่วมโปรแกรมฯ ภายในกลุ่มด้วยสถิติ t - test Dependent และเปรยี บเทยี บความแตกตา่ งระหวา่ งกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมดว้ ย t - test Independent ผลการวิจัย ตารางท่ี 1 ผลการเปรยี บเทียบระดบั การเปน็ อาสาสมัครทงั้ 4 ด้าน ของนักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ก่อนและหลงั เข้าร่วมโปรแกรมฯ ของกลุ่มทดลอง และกล่มุ ควบคมุ การเปน็ อาสาสมคั ร กลุ่ม n ������̅ S.D. t df Sig. ด้านแรงจงู ใจ กอ่ น ทดลอง 30 2.26 0.62 .253 58 .401 ดา้ นกระบวนการของสังคมประกติ ควบคมุ 30 2.22 0.26 หลงั ทดลอง 30 3.51 0.24 23.123 58 .000** ดา้ นการเห็นประโยชน์ผอู้ ืน่ ควบคุม 30 2.03 0.25 ด้านตวั เลือกอิสระปราศจากอุปสรรค ก่อน ทดลอง 30 2.07 0.72 .297 58 .384 ภายนอก ควบคมุ 30 2.01 00.72 หลงั ทดลอง 30 3.51 0.30 17.954 58 .000** ควบคุม 30 2.00 0.35 กอ่ น ทดลอง 30 2.22 0.82 .000 58 .500 ควบคุม 30 2.22 0.81 หลงั ทดลอง 30 3.48 0.46 15.158 58 .000** ควบคุม 30 1.98 0.34 ก่อน ทดลอง 30 2.25 0.65 .577 58 .283 ควบคุม 30 2.16 0.62 หลัง ทดลอง 30 3.54 0.30 17.779 58 .000** ควบคุม 30 1.97 0.38 ควบคมุ 30 2.00 0.20

ตารางท่ี 1 ผลการเปรียบเทยี บระดับการเป็นอาสาสมัครท้ัง 4 ดา้ น ของนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาตอนปลาย ก่อนและหลงั เขา้ รว่ มโปรแกรมฯ ของกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม (ต่อ) การเปน็ อาสาสมัคร กล่มุ n ������̅ S.D. t df Sig. รวม กอ่ น ทดลอง 30 2.23 0.59 .323 58 0.58 ** P > 0.01 ควบคุม 30 2.19 0.24 26.762 58 หลัง ทดลอง 30 3.52 0.20 ควบคุม 30 2.00 จากตารางที่ 1 การเปรียบเทียบการเป็นอาสาสมัครในภาพรวมก่อนเข้าร่วมโปรแกรมฯ ของ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมพบว่า ระดับการเป็นอาสาสมัครของกลุ่มทดลองไม่แตกต่างกันเมื่อพิจารณา รายดา้ นพบวา่ ระดับการเปน็ อาสาสมัครของกล่มุ ทดลองและกลุ่มควบคมุ ไมแ่ ตกต่างกันทุกดา้ น การเปรียบเทียบการเป็นอาสาสมัครในภาพรวม ระหว่างก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ ของ กลุ่มทดลองพบวา่ ระดับการเป็นอาสาสมัครของกลุ่มทดลอง สูงกว่ากอ่ นเข้าร่วมโปรแกรมฯ อยา่ งมีนัยสาคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.01 เม่ือพิจารณารายด้านพบว่า ระดับการเป็นอาสาสมัครของกลุ่มทดลอง สูงกว่าก่อน เข้าร่วมโปรแกรมฯ อย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดบั 0.01 ทุกด้าน ในขณะท่ีกล่มุ ควบคุมพบวา่ ระดบั การเป็น อาสาสมคั รในภาพรวม ระหว่างกอ่ นและหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ ของกลุ่มควบคมุ ไม่แตกต่างกัน เมอ่ื พิจารณา รายดา้ นพบวา่ ระดบั การเปน็ อาสาสมัครของกลุ่มควบคมุ ไมแ่ ตกต่างกนั ทุกดา้ น นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบการเป็นอาสาสมัครในภาพรวมหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ ของกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมพบว่า ระดับการเปน็ อาสาสมคั รของกลุ่มทดลองสงู กวา่ กลุ่มควบคมุ อย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.01 เม่ือพิจารณารายด้านพบว่า ระดับการเป็นอาสาสมัครของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ิทีร่ ะดบั 0.01 ทุกดา้ น สรุปผลการวจิ ัย 1. โปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างมีความเหมาะสมท่ีจะนาไปเสริมสร้างการเป็นอาสาสมัครของ นักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย 2. ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรม 8 สัปดาห์ กลุ่มทดลองมีระดับการเป็นอาสาสมัคร โดยภาพรวม ท้ัง 4 ด้าน สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01 เม่ือพิจารณาเป็นรายด้านทั้ง 4 ด้าน พบว่าระดับการเป็นอาสาสมัครสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01 ทุกด้าน จึงสรุป ได้ว่า โปรแกรมการศึกษาการใชเ้ วลาวา่ งมผี ลตอ่ การเปน็ อาสาสมคั รของนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาตอนปลาย อภปิ รายผลการวจิ ยั 1. โปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างมีความเหมาะสมที่จะนาไปเสริมสร้างการเป็นอาสาสมัครของ นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ผู้วิจัยได้พัฒนาโปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างที่เสริมสร้างการเป็นอาสาสมัครของนักเรียน ช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย ให้ผ้เู ขา้ ร่วมตระหนักถึงความสาคัญของการใช้เวลาว่าง อันจะส่งผลต่อการมีทักษะ การใช้เวลาว่าง จนเกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เข้าร่วมผ่านกิจกรรมอาสาสมัคร ซ่ึงสอดคล้องกับกระบวนการ การศกึ ษาการใช้เวลาวา่ งของ Mundy (1998, p. 78)

โปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างท่ีเสริมสร้างการเป็นอาสาสมัครของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ตอนปลายที่เน้นให้ผู้เขา้ รว่ มเป็นศูนย์กลาง มีอสิ ระในการเลือกกิจกรรมอาสาสมัครตามความสนใจ และความ ถนัดของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับหลักการจัดโปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างของ Dattilo (2015, p. 157) ท่ีเน้นบุคคลเป็นอันดับแรก (Person First) กระตุ้นให้เกิดความเป็นอิสระ การมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วม และ การประเมนิ การเปลี่ยนแปลง และการปรบั ตัว โปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างเสริมสร้างการเป็นอาสาสมัครของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ตอนปลาย มีรูปแบบการจัดท่ีเร่ิมต้นจากการปฐมนิเทศกิจกรรม และส้ินสุดด้วยการสรุปผล ซ่ึงสอดคล้องกับ โครงสร้างการจัดโปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างของ Dattilo (2015, pp. 175 - 177) ซ่ึงมี 6 ขั้นตอน ประกอบด้วย: - 1) ปฐมนิเทศกิจกรรม 2) นาเข้าสู่บทเรียน 3) การนาเสนอเน้ือหาและอภิปราย 4) กิจกรรม การเรยี นรู้ 5) เปิดโอกาสใหซ้ กั ถามและใหผ้ ลสทอ้ นกลบั และ 6) การสรุปผล 2. ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรม 8 สัปดาห์ กลุ่มทดลองมีระดับการเป็นอาสาสมัครโดยภาพรวม ทั้ง 4 ด้าน สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เม่ือพิจารณาเป็นรายด้านทั้ง 4 ด้าน พบว่าระดับการเป็นอาสาสมัครสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01 ทุกด้าน จึงสรุป ได้ว่า โปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างมีผลตอ่ การเปน็ อาสาสมคั รของนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาตอนปลาย โปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างท่ีเสริมสร้างการเป็นอาสาสมัครของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ตอนปลาย ผู้วิจัยได้ใช้แรงจูงใจเพ่ือกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่น (Altruism) ซ่ึงสอดคล้องกับ แนวคิดในการสร้างการเป็นอาสาสมัครของ (Clay et al., 1998, p. 1516) องค์ประกอบของการเป็น อาสาสมัครเกิดจากการบูรณการจากปัจจัย 4 ประการ ได้แก่ 1) แรงจูงใจ (Motivation) ท่ีเกิดจากความ สนใจของบุคคล การรับรู้ในส่ิงแวดล้อม ประสบการณ์ ความพึงพอใจ ความสนุกสนาน และการสร้างทีม 2) กระบวนการสังคมประกิต (Socialization process) 3) การเห็นแก่ประโยชน์ของผู่อ่ืน (Altruism) และ 4) การมีตัวเลือกท่ีอิสระ (Free choice) ปราศจากอุปสรรคภายนอก ประกอบด้วย ความยึดหยุ่น (Flexibility) และกิจกรรมท่ีเสร็จสิน้ ในตวั เอง (Spontaneous) เมื่อพิจารณาด้านแรงจูงใจพบว่า ภายหลังการการเข้าร่วมโปรแกรมฯ 8 สัปดาห์ กลุ่มทดลองมี การเปลี่ยนแปลงการเป็นอาสาสมัครดีกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ 0.01 ซ่ึงสอดคล้องกับ งานวิจัยของ Cornelis, Alain, & David, (2013) ที่ศึกษาพฤติกรรมอาสาสมัครในของเยาวชนท่ีเกิดจาก การสรา้ งแรงจูงใจ การคน้ พบแรงจงู ใจของอาสาสมคั รจึงก่อให้เกดิ บทบาทการเปน็ อาสาสมัครของเยาวชน ด้านกระบวนการของสังคมประกิต สอดคล้องกับงานวิจัยของ Thomas, & McFarland (2010) ได้ศึกษาการเข้าร่วมองค์กรอาสาสมัครของเยาวชนท่ีมีผลต่อการเลือกตั้งตามหน้าท่ีพลเมืองในวัยผู้ใหญ่ จากผลการศึกษาพบว่า กิจกรรมอาสาสมัครบางอย่างจะส่งผลต่ออุดมการณ์ทางการเมืองของเยาวชน การแสดงออกทางวัฒนธรรม รวมไปถึงการแสดงออกซ่ึงกระบวนการของสังคมประกิตในการรับรู้ถึงบทบาท หน้าที่ของการเป็นพลเมืองที่ดีในสังคม นอกจากน้ียังสอดคล้องกับ McFarland, & Thomas (2006) ได้ศึกษาอิทธิพลของการเข้าร่วมสมาคมอาสาสมัครเยาวชน ท่ีส่งผลต่อการมีส่วนร่วมกิจกรรมทางการเมือง ของวัยผู้ใหญ่ จากการศึกษาพบว่า ผลกระทบจากการเลือกกิจกรรมอาสาสมัคร เช่น กิจกรรมอาสาสมัคร ในท่ีสาธารณะ ส่งผลต่อการดารงตนในสังคมประกิตแง่ของการเข้าร่วมกิจกรรมในสมาคม การเมือง หรือ เป็นสว่ นหนง่ึ ของพรรคการเมอื งในอนาคต ด้านการเห็นประโยชน์ผู้อื่น สอดคล้องกับงานวิจัยของ Tania, John, & Gordon, (2015) ได้ศึกษา การทาความเขา้ ใจกบั บทบาทของการเหน็ แกป่ ระโยชน์ของผู้อนื่ ความเห็นอกเห็นใจ ความเชื่อ และความมุ่งมน่ั

ในการเป็นอาสาสมัครท่ีทาการศึกษาในเยาวชนอาสาสมัคร จากการศึกษาพบว่า อาสาสมัครส่วนใหญ่ มี ความมุ่งมั่น และต้องการมีส่วนร่วมในโครงการอาสาสมัคร อาสาสมัครมักจะเห็นแก่ประโยชน์ผู้อ่ืน มีความเหน็ อกเหน็ ใจ และมที ัศนคตติ ่ออาสาสมคั รในทางที่ดี ด้านตัวเลือกอิสระปราศจากอุปสรรคภายนอก สอดคล้องกับการศึกษาของ ศักดิภัทร์ เฉลิมพุฒิพงศ์ (Sakdipat Chalermputipong, 2013, p. 11) ท่ีกล่าวถึง การศึกษาการใช้เวลาว่างเป็นการเพิ่มความเป็นอิสระ รวมถึงประสบการณ์ในการเรยี นรู้ของผู้เรียน และมอี ทิ ธพิ ลโดยตรงต่อความพึงพอใจในชวี ติ ข้อเสนอแนะจากการวิจยั 1. ระยะเวลาในการจัดโปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างจะต้องมีกรอบเวลาชัดเจน และสามารถ เปลีย่ นแปลงได้ตามความเหมาะสม เช่นปรบั เปน็ 2 ครงั้ ต่อสปั ดาห์ รวม 16 ครง้ั เพื่อสามารถพฒั นาความเป็น อาสาสมคั รได้ในระยะยาว 2. ในการพฒั นาโปรแกรมสามารถนาไปขยายผลได้กบั กล่มุ นักเรียน หรือกลุ่มตัวอยา่ งอ่นื เชน่ จังหวัด ในภูมิภาคตา่ ง References Best, J. W. (1970). Research in Education. NJ: Prentice – Hall. Charities Aid Foundation. (2018). World Giving Index 2018. Retrieved from https://www.cafonline.org Clary, E. G., Snyder, M., Ridge, R. D., Copeland, J., Stukas, A. A., Haugen, J., & Miene, P. (1998). Understanding and assessing the motivations of volunteers: A functional approach. Journal of Personality and Social Psychology, 74(6), 1516 - 1530. Cornelis, L., Alain, V.H., David, D.C. (2013). Volunteer work in youth organization: predicting distinct aspects of volunteering behavior from self and other oriented motives. Journal of Applied Social Psychology, 43(2), 456 - 466. Dattio, J. (2015). Leisure Education Program Planning (4th ed.). IL: Sagamore Publishing. Henderson, K., and Presley, J. (2003). Globalization and the valuing of volunteering as leisure. World Leisure, 45(2), 33 – 37. Johnstone, G. (2004). Volunteerism in Canada. In L. Kelly (Ed), Management of Volunteer Services in Canada (1-16). ON: JTC Inc. Krejcie, R. V., & Morgan, D. W. (1970). Determining sample size for research activities. Educational and Psychological Measurement, 30(3), 607 - 610. McFarland, D. A., and Thomas, R. J. (2006). Bowling youth: How youth voluntary associations influence adult political participation. American Sociological Review, 71(3), 401 - 425. Ministry of Education (2008). The Basic Education Core Curriculum B.E. 2551. Bangkok: The Agricultural Cooperative Federation of Thailand Printing. Mundy, J. (1998). Leisure Education: Theory and Practice (2nd ed.). IL: Sagemore Publishing.

Office of Basic Education Commission. (2019). Lists of Schools in Basic Education Commission in 2019. Retrieved from http://www.mis.moe.go.th/index.php?option= com_content&view=article&id=657:ประจาปี-2562&catid=173&Itemid=114 Panasaan Tungcharoen. (2017). Social situation and psychological factors related to active citizen behavior among undergraduate students of Srinakharinwirot University (Master’s thesis), Srinakharinwirot University. Sakdipat Chalermputipong. (2013). Developing leisure program for promoting quality of life of the elderly. Journal of Physical Education, 14(2), 20 - 21. Tania, M., John, G., & Gordon, R. (2015). Unselfish? Understanding the role of altruism, empathy, and beliefs in volunteering commitment. Journal of Nonprofit & Public Sector Marketing, 27(4), 373 - 396. Thomas, R. J., & McFarland, D. A. (2010). Joining youth, voting youth: The Effects of youth voluntary associations on early adult voting. Center for Information and Research on Civic Learning and Engagement, 43. Volunteer Spirit Network. (2015). Report of Volunteering Situation in Thailand: Policy and Promote National Volunteering. Retrieved from http://www.volunteerspirit.org/ file/ncv/R8AMe.pdf Received: June 4, 2020 Revised: July 13, 2020 Accepted: July 14, 2020



ศึกษากลยุทธ์การสอนวา่ ยนา้ ในระดับอุดมศึกษา วงศพ์ ทั ธ์ ชูดา้ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั การกฬี าแหง่ ชาติ วทิ ยาเขตตรัง บทคัดย่อ งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษากลยุทธก์ ารเรียนการสอนว่ายน้าท่มี ีต่อความสามารถในการว่ายน้า ในระดับอุดมศึกษา และเปรียบเทียบรูปแบบการสร้างแรงจูงใจในการสอนว่ายน้าท่ีมีต่อประสิทธิภาพของการสอน ว่ายน้า การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้เชี่ยวชาญ อาจารย์ผู้สอนและผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอนกีฬาว่ายน้า จ้านวน 61 ท่าน คัดเลือกจากอาจารย์ที่มี ประสบการณ์สอนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษา ไม่น้อยกว่า 3 ปี และนิสิต นักศึกษาท่ีมีประสบการณ์ในการเรียน วิชาว่ายน้าในระดับอุดมศึกษา จ้านวน 022 คน คัดเลือกด้วยวิธีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง และแบบสอบถาม เกี่ยวกับกลยุทธ์การจัดการเรียนการสอนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบแบบ t - test การวิเคราะห์ข้อมูลสัมภาษณ์เชิงลึก ใช้ในการวิเคราะหเ์ น้ือหาแบบอุปนัย ผลจากการสมั ภาษณเ์ ชงิ ลึก และการสนทนากลมุ่ ผลวิจัยพบว่า 1) ทักษะการว่ายน้าของผู้เรียนท่ีมีต่อกลยุทธ์ในการเรียนการสอนวิชาว่ายน้า ด้านภาวะ ผู้น้าของผู้สอน โดยรวมอยู่ระดับมาก มีค่าเฉล่ียเท่ากับ 4.40 2) กลยุทธ์ในการเรียนการสอนวิชาว่ายน้า ดา้ นการจัดแผนการเรียนการสอน ส่ือสารสนเทศและอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการเรียนว่ายน้า โดยรวมอยู่ระดับ มากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.56 3) กลยุทธ์ในการเรียนการสอนวิชาว่ายน้า ด้านรูปแบบและวิธีการประเมิน ทักษะการว่ายน้าของผู้สอน โดยรวมอยู่ระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.41 และ 4) การเปรียบเทียบรูปแบบการ สร้างแรงจูงใจ ทั้ง 2 ชนิด ได้แก่ แบบแรงจูงใจภายในและแรงจูงใจภายนอก ท่ีใช้ในการเรียนการสอนว่ายน้า ในระดับอุดมศึกษา ท่ีมีผลต่อระดับการได้มาซ่ึงทักษะการว่ายน้า ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยส้าคัญ ทางสถิติท่ีระดับ 0.05 จากผลการวิจัยในคร้ังน้ีสรุปได้ว่า ผู้สอนรายวิชาว่ายน้าในระดับอุดมศึกษา ควรใช้ ท้ังแรงจูงใจภายในและภายนอกในการสร้างแรงจูงใจให้นักศึกษาท่ีร่วมชั้นเรียน และด้ านการจัดแผน การเรียนการสอน ควรมีการใช้สื่อสารสนเทศและอุปกรณ์ประกอบการจัดการเรียนการสอนวิชาว่ายน้า นอกจากนี้ ผลจาการสมั ภาษณ์เชิงลึก พบว่า การจัดกจิ กรรมในรูปแบบของเกมส์ จดั ในรปู แบบของการแข่งขัน ในเชิงปฏิบัติ ประกอบในการเรียนการสอนส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการได้มาซึ่งทักษะกีฬาว่ายน้าของนิสิต นกั ศกึ ษา ค้าสา้ คัญ: กลยุทธ์การสอนวา่ ยน้า; ระดบั อุดมศกึ ษา Corresponding Author: ผู้ชว่ ยศาสตราจารยว์ งศพ์ ัทธ์ ชดู า คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั การกฬี าแห่งชาติ วทิ ยาเขตตรงั Email: [email protected]

THE STUDY OF SWIMMING TEACHING STRATEGIES IN HIGHER EDUCATION Wongphat Chudam Faculty of Physical Education, Thailand National Sports University Trang Campus. Abstracts The objectives of this research were to study the swimming teaching strategies towards the swimming performance in the university, and to compare the model of motivated creation towards the swimming performance. This research was the mixed method research. The samples were the 16 lecturers and the specialists in coaching the swimming, qualified from the experienced lecturers in the university level at less 3 years, and the 200 experienced students who studied in the swimming subject, and were qualified by the purposive sampling. The tools used for collecting the data were the semi - structured interview form and the questionnaire about the swimming teaching strategies towards the swimming performance in the university. The descriptive statistics and t - test Independent were used in the quantitative aspect. The content analysis in the type of the analytic deduction was used in the qualitative aspect. The research result was found that 1) The student’s swimming skill towards the teaching strategies in the swimming subject in the aspect of the leadership overall was in the high level (Mean = 4.40), 2) The teaching strategies in the swimming subject in the aspect of the lesson plan, the information media and the teaching equipment for swimming class overall were in the highest level (Mean = 4.56), 3) The teaching strategies in the swimming subject in the aspect of the model and the method of assessing the lecturer’s swimming skill overall were in the high level (Mean = 4.41) and 4)the 2 models of creating the motivations were compared as follows: The internal motivations and the external motivations that were used for teaching in the university level affecting the swimming skill was not statistically significant at 0.05. From the research result it can be concluded that the swimming lecturer in the university level should use the internal and the external motivation in term of creating the student’s motivation in the class, and in the aspect of the lesson plan the information media and the teaching equipment should be used for the swimming class. Furthermore, the result from the in - depth interview was found that arranging the activities in the game model, arranging in the practical competition model in class affected the student’s swimming skill. Keywords: The strategy study swimming class, The university level Corresponding Author: Assistant Professor Wongphat Chudam, Faculty of Education, Thailand National Sports University Trang Campus Email: [email protected]

ความเปน็ มาและความสา้ คัญของการวิจัย การพัฒนาประเทศชาติจะได้ผลหรือไม่นั้นต้องพัฒนาคุณภาพของคนในชาติเสียก่อน เพราะคน ในชาติเป็นส่วนส้าคัญท่ีจะท้าให้ประเทศชาติพัฒนา โดยการให้การศึกษาท่ีมีคุณภาพและประสิทธิภาพ การพัฒนาคนด้วยการศึกษาถือว่าเป็นสิ่งส้าคัญในกระบวนการศึกษาท่ีจัดข้ึนเพ่ือการพัฒนามนุษย์ พลศึกษา เป็นวิชาหน่ึง ที่ถูกจดั เข้าสู่ระบบการศึกษา เพ่ือพัฒนาทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา จะเห็นได้ว่ารัฐบาลทุกยุคทุกสมัยได้ก้าหนดนโยบายการด้าเนินงานของรัฐในด้านการกีฬาไว้ในแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทุกฉบับ เพ่ือเป็นการส่งเสริมความเข้าใจและสัมพันธภาพอย่างดีของมวลมนุษย์ อันจะน้าไปสู่สังคมท่ีสงบสุขร่มเย็น ซ่ึงสิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานที่ส้าคัญในการท่ีจะพัฒนาประเทศชาติ ในดา้ นตา่ ง ๆ ให้เจริญก้าวหนา้ รุง่ เรอื งต่อ ๆ ไปในอนาคต สถาบันการพลศึกษา ก็เป็นแขนงหน่ึงที่จะพัฒนาเยาวชนได้ การออกก้าลังกายด้วยกิจกรรม พลศึกษา และกีฬาตามความถนัดและความสนใจของแต่ละบุคคลเป็นความต้องการตามธรรมชาติของมนุษย์ ท่ีจะตอบสนองตามความต้องการของร่างกาย เพ่ือให้เกิดการเคลื่อนไหวของอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ทั้งนี้เพราะการออกก้าลังกายเป็นประจ้าจะมีผลท้าให้อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้พัฒนาเจริญเติบโต สมบูรณ์ แข็งแรง มีสมรรถภาพและประสิทธิภาพสูงสุดในการท้างานหรือปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจ้าวันได้เป็นปกติ แต่ถา้ ร่างกายขาดการออกก้าลงั กายหรือการเคล่อื นไหวร่างกายอยู่เกอื บตลอดเวลา กิจกรรมท่ีผูเ้ รียนให้ความ สนใจเป็นอย่างมาก วิชาพลศึกษาเป็นวิชาหน่ึงท่ีมีความส้าคัญต่อการพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ เนอื่ งจากเป็นวชิ าการศึกษาที่ใหป้ ระโยชนท์ ง้ั ในเรื่องสขุ ภาพพลานามยั และคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ว่ายน้าเป็นกิจกรรมการออกก้าลังกายท่ีช่วยเสริมสร้างทักษะการเคล่ือนไหวของร่างกาย ดังที่ ทวีศักดิ์ ศูนย์กลาง (Taweesuk Sunklang, 1991) กล่าวว่า ว่ายน้าเป็นกีฬาที่ช่วยท้าให้ส่วนต่าง ๆ ของ รา่ งกายเคล่ือนไหวครบ ทุกส่วนอันจะก่อให้เกิดความสมบูรณ์ของกลา้ มเน้ือระบบต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่าง มีประสิทธิภาพ และการว่ายน้ามีความส้าคัญต่อชีวิตมนุษย์ในด้านความปลอดภัย ซ่ึงสอดคล้องกับ วาสนา คุณาอภิสิทธิ์ (Wassana Kuna-apisit, 1997) ท่ีกล่าวว่า เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งต่อชีวิต และสมาชิก ในครอบครัวตลอดจนบุคคลอ่ืน ทุกคนจึงควรเรียนวา่ ยน้าหรือควรจะว่ายน้าให้เป็น วา่ ยน้าเป็นกีฬาท่ีมคี วาม นิยมมาก มนุษย์จึงน้ากีฬาว่ายน้ามาเป็นกิจกรรมในการพักผ่อนและออกก้าลังท่ีดีอย่างหนึ่ง นอกจากนั้น ว่ายน้าถือเป็นกีฬาที่มีการแข่งขันเป็นท่ีนิยมท่ัวไปอีกด้วย ซึ่งการเรียนว่ายน้าเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะ ในขณะที่ร่างกายอยู่ในน้า ซึ่งเป็นสภาวะที่แตกต่างจากสภาพการเรียนรู้ทักษะกีฬาบนบก ท้ังในด้านของ ระบบหายใจที่น้าเป็นตัวขัดขวางและอันตรายต่าง ๆ เกี่ยวกับน้าท่ีผู้เรียนจะได้รับประสบการณ์จะท้าให้เกิด ความกลัว ซึ่งมีผลตอ่ สภาพจิตใจของผ้เู รียนไม่เกิดความพร้อมในการเรียนรู้ ดังท่ี มนูญ ตนะวัฒนา (Manoon Tanawattana, 0223) ได้กล่าวถึงความกลัวไว้ “ความกลัวเป็นอารมณ์ในส่วนท่ีให้โทษ โดยมีสาเหตุจาก สิ่งแวดลอ้ มภายนอกมาเร้าหรืออาจเกิดจากการปรบั ตัวภายในร่างกาย ซ่ึงมีอทิ ธพิ ลต่อการแสดงออกทางพฤติกรรม ความกลัวทา้ ให้เกิดความวิตกกังวล และท้าลายความสามารถ ของคน” และยังมีความวิตกกังวลมาก ความมน่ั ใจ ก็ย่ิงน้อยลง ท้าให้เกิดความรู้สึกไม่สนใจ ลังเล ซ่ึงเป็นตัวท้าให้ความสามารถของการแสดงออกทางทักษะลดลง ดังน้ัน การเริ่มต้นเรียนว่ายน้าสิ่งส้าคัญและจ้าเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องให้ผู้เรยี นเรียนรู้ คือ หลักการและการฝึก ทกั ษะการวา่ ยน้าที่ถูกต้องตามแบบมาตรฐานสากล จะช่วยให้นกั ศึกษาพัฒนาได้อย่างรวดเรว็ ตรงกบั ท่ี วลั ลีย์ ภัทโรภาส (Wanlee Pattaropat, 0002) กล่าวว่า การสอนว่ายน้าจะเร่ิมสอนทักษะว่ายน้าให้แก่ผู้เรียน ที่ยังว่ายน้าไม่ได้เป็นอันดับแรก ซ่ึงมีกลยุทธ์วิธีการสอนท่ีแตกต่างกันไป กล่าวกันว่าประสิทธิภาพการเรียน การสอนนน้ั ขึ้นอยู่กบั คุณภาพของอาจารยแ์ ละคุณภาพของนักศึกษาผสู้ อนเองควรมีความรู้ ความเข้าใจ

สามารถอธิบายสาธติ ให้ดูเป็นตัวอย่างได้ ดังน้ันครูผู้สอนว่ายน้าที่ดคี วรมีคุณสมบัติอย่างไร รู้ว่าผู้เรียนเป็นอย่างไร และควรใช้หลักวิชาการใด ช่วยส่งเสริมการเรียนการสอนเพ่ือประสิทธิภาพของผู้เรียนและผู้สอน ซึ่งสอดคล้องกับ เทเวศร์ พิริยะพฤนท์ (Tevej Piriyaprung, 1991) ยังได้กล่าวถึงการเรียนการสอนว่ายน้าให้ได้ผลดีข้ึนจ้าเป็น ต้องอาศัยครผู ู้ฝึกสอนท่ีมปี ระสิทธภิ าพ มีหลักการสอนตลอดจนโปรแกรมทเี่ หมาะสม ประโยชน์ของการว่ายน้านั้นสามารถช่วยให้การไหลเวียนโลหิตและน้าเหลืองดีขึ้นการท้างานของหัวใจ และปอดมีประสิทธิภาพสูงข้ึน การท้างานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทดีขึ้น นอกจากประโยชน์ดังกล่าว แล้ว การว่ายนา้ ยงั เปน็ กจิ กรรมส้าหรบั การออกกา้ ลังกายทีด่ กี ิจกรรมหน่ึง เพราะเป็นกิจกรรมท่ีจะทา้ ใหบ้ รรลุ เป้าหมายของการออกก้าลังกาย เพราะการว่ายน้าเป็นการเคลื่อนไหวท่ีต้องใช้กล้ามเน้ือมัดใหญ่ทั้งหมด ของร่างกายเป็นเวลานานในน้าและท้าให้ระบบไหลเวียนโลหิตกับระบบหายใจมีประสิทธิภาพในการท้างานดี ยิง่ ข้ึน กล่าวคือ จะท้าให้หัวใจใหญ่ข้นึ เป็นผลท้าให้การสูบฉีดโลหิตดขี นึ้ ความจุปอดมีมากขน้ึ ทา้ ใหก้ ล้ามเนื้อ ที่อยู่ระหว่างกระดูกซ่ีโครงกับกระบังลมแข็งแรงข้ึน การหายใจมีประสิทธิภาพดีข้ึน เป็นผลท้าให้สุขภาพ ร่างกายแข็งแรง ซึ่งการกีฬาแห่งประเทศไทย (Sport Authority of Thailand, 6997) ก็ได้กล่าวว่า การว่ายน้า เป็นการออกกา้ ลังกายเพือ่ สุขภาพทเี่ หมาะสมกับทุกเพศทุกวัย ดงั น้ันในการเรียนการสอนว่ายน้าเบอ้ื งตน้ ให้มี ประสิทธิภาพกเ็ ชน่ กัน นอกจากต้องอาศัยครูผู้สอนที่มีคุณภาพ มีวิธีการสอนท่ีดี มีหลักและทฤษฏีท่ีเกี่ยวข้อง กับกระบวนการเรียนรู้ด้านทักษะการเคล่ือนไหว มีความรู้เกี่ยวกับหลักการสอนว่ายน้าเบ้ืองต้นแล้ว ยังต้อง อาศัยปัจจัยในส่วนอ่ืน ๆ ท่ีมีผลต่อความสามารถในการเรียนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษาว่ายน้า เป็นกิจกรรม การออกก้าลังกายท่ีใช้เป็นการเรียนการสอน และจัดเป็นวิชาหนึ่งของวิชาพลศึกษา มีการก้าหนดหลักสูตร การเรียน เพื่อให้ผู้สอนก้าหนดการเรียนให้ได้ประโยชน์มากท่ีสุด ช่วยให้การสอนเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ท้าให้กิจกรรมการเรียนการสอนว่ายน้าเป็นกิจกรรมท่ีตรงกับจุดประสงค์ที่มุ่งเน้นการเคลื่อนไหวมากท่ีสุด จึงจัดเป็นวิชาที่เหมาะสมกับการเรียนการว่ายน้านั้นยังเป็นการพัฒนากล้ามเน้ือและโครงสร้างทางร่างกาย ได้เปน็ อยา่ งดี ดังนั้น ผู้วิจัยได้เล็งเห็นถึงความส้าคัญและมีความจ้าเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องพัฒนากลยุทธ์การเรียน การสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ มีความเข้าใจ สามารถอธิบายถึงความส้าคัญของวิชาว่ายน้าให้ผู้เรียนมีทักษะ การว่ายน้าท่ีถูกต้องมีหลักการสอนท่ีทันสมัยของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าผู้เรียนสามารถน้าความรู้ และทักษะ การว่ายน้าไปปฏิบัติในชีวิตประจ้าวัน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองและสังคมในหมู่ชนได้เพ่ือให้ผู้เรียน สามารถนา้ ความรู้ ทกั ษะ และประสบการณ์ไปถา่ ยทอดให้กับเยาวชนหรอื ผู้ที่มีความสนใจและผู้เรียนมีทักษะ การว่ายน้า สามารถช่วยชีวิตตนเองได้เหลา่ น้ี จึงไดม้ ีการศกึ ษากลยุทธใ์ นการเรียนการสอนวา่ ยน้าในระดับอุดมศึกษา ให้ก้าวสู่ความมีมาตรฐานต่อไปให้เพิ่มมากขึ้น และมีการพัฒนาการเรียนการสอนว่ายน้าอย่างเป็นรูปธรรม ในอนาคต วตั ถปุ ระสงค์การวิจยั 6. ศกึ ษากลยุทธก์ ารเรยี นการสอนว่ายนา้ ในระดบั อดุ มศึกษา 0. ศกึ ษากลยุทธ์การสอนวา่ ยน้าทีม่ ีต่อความสามารถในการว่ายน้า 3. เปรยี บเทยี บรปู แบบการสร้างแรงจูงใจในการสอนว่ายน้าทมี่ ีตอ่ ประสิทธิภาพของการสอนวา่ ยนา้

กรอบแนวคดิ การวิจัย ประโยชนท์ ไ่ี ดร้ บั 6. ไดร้ บั กลยุทธก์ ารเรียนการสอนวา่ ยน้าในระดับอดุ มศึกษา 0. ไดร้ ับกลยุทธก์ ารสอนว่ายน้าทีม่ ีต่อความสามารถในการวา่ ยน้า 3. ไดท้ ราบผลการเปรียบเทียบการเรียนการสอนวา่ ยน้าในระดบั อดุ มศึกษา 4. ไดเ้ ปน็ แนวทางเพ่ือนา้ มาประยุกตใ์ ช้ในการเรียนการสอนวา่ ยน้าในระดบั อุดมศึกษา วธิ กี ารด้าเนนิ การวจิ ัยและผลการวจิ ัย การศึกษาคร้ังนี้เป็นการศึกษาวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) ท้ังเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือส้ารวจกลยุทธ์ การสอนว่ายน้าระดับอุดมศึกษา วิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งของการเรียนการสอนว่ายน้าในระดับอุดม และ เปรียบเทียบกลยุทธ์การเรียนการสอนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษา โดยมีรายละเอียดในการวิจัย แบ่งเป็น ประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ วธิ ีดา้ เนินการวจิ ัยมี 1 ขัน้ ตอน 6. ประชากรหรือกลุ่มตัวอย่าง 0. เครื่องมือทใี่ ช้ในการวิจัย 3. การสร้างเครื่องมอื 4. การตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือ 5. การเก็บรวบรวมข้อมลู 1. การวเิ คราะห์ข้อมูล 1. ประชากรหรอื กลุ่มตวั อยา่ ง ผใู้ ห้ข้อมูลหลัก คือ ผู้เช่ียวชาญ อาจารย์ผู้สอน และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอนว่ายน้ามีประสบการณ์ 3 ปีข้ึนไป ประกอบด้วย ผู้ชาย 60 ท่าน ผู้หญิง 3 ท่าน รวมดังกล่าว 61 ท่าน จากตัวอยา่ งท่ีเจาะจงจากกลุ่ม ต่าง ๆ ดงั น้ี

1. สถาบันการพลศึกษา 2. มหาวิทยาลัยรฐั และเอกชน 3. มหาวิทยาลยั ราชภฏั การวจิ ยั เชงิ ส้ารวจ ส่วนที่ 0 ประชากรเป็นนิสิต นักศึกษาท่ีลงทะเบียนเรียนรายวิชาว่ายน้าเป็นวิชาบังคับหรือวิชาเลือก ในปีการศึกษา 0516 กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิต นักศึกษา จ้านวน 022 คน เป็นชาย 605 คน หญิง 75 คน ในสถาบันการพลศึกษา มหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนและมหาวิทยาลัยราชภัฏ โดยการสุ่มมากกว่าการเลือก แบบเจาะจงตามสัดส่วนกลุ่มต่าง ๆ ของการลงเรียนวิชาบังคับและวิชาเลือก แสดงการเข้าถึงกลุ่มตัวอย่าง ไดด้ งั นี้ สถาบันการพลศกึ ษา 80 ราย มหาวิทยาลยั ภาครัฐและเอกชน 12 ราย มหาวทิ ยาลัยราชภฏั 12 ราย 2. เครือ่ งมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ัย 1. แบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In depth interview) เพื่อส้ารวจกลยุทธ์การเรียนการสอนว่ายน้า ในระดับ อุดมศึกษา และวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งของการเรียนการสอนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษา และเปรียบเทียบ กลยุทธ์การเรียนการสอนวา่ ยน้าในระดับอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาการเรียนการสอนว่ายน้า ในระดับอดุ มศึกษา จากผูเ้ ช่ียวชาญอาจารยผ์ ู้สอนและผู้ทรงคุณวฒุ ิดา้ นการสอนว่ายน้า 2. แบบสอบถามกลุ่มตัวอย่าง (Questionnaires) เพื่อส้ารวจกลยุทธ์การเรียนการสอนว่ายน้า ในระดับ อุดมศึกษา และวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งของการเรียนการสอนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษา และเปรียบเทียบ กลยุทธ์การเรียนการสอนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษาเพอ่ื การพัฒนาการเรียนการสอนว่ายน้า ในระดับอุดมศึกษา จากนิสติ นกั ศกึ ษาในระดบั อดุ มศึกษา 3. ขนั ตอนในการสรา้ งเคร่อื งมือที่ใช้ในการวจิ ยั ส่วนที่ 1 การวิจัยเชิงคุณภาพ (hcla RlR ei titilauQ) ประกอบด้วย การสัมภาษณ์เชิงลึก (In depth interview) กับผู้ที่มีส่วนเก่ียวข้องต่อการศึกษากลยุทธ์ ในการสอนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษาเพ่ือการพัฒนา การเรยี นการสอนว่ายน้า โดยมีรายละเอียดของกลมุ่ ผ้ใู หข้ ้อมูลหลกั (Key Informant) ดังน้ี การสัมภาษณ์เชิงลึก (In depth interview) ผู้วิจัยได้คัดเลือกผู้เชี่ยวชาญแบบเจาะจง (Purposive sampling) และมีเกณฑ์การเลือกผู้ให้ข้อมูลเชิงคุณภาพ คือ กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษา ส้ารวจกลยุทธ์ การเรียนการสอนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษา วิเคราะห์ จุดอ่อน จุดแข็ง การเรียนการสอนว่ายน้าในระดับ อุดมศึกษา และเปรียบเทียบกลยุทธ์การเรียนการสอนว่ายน้า ในระดับอุดมศึกษา คือ ผู้เช่ียวชาญ อาจารย์ ผูส้ อนและผู้ทรงคณุ วุฒิดา้ นการสอนว่ายน้า ที่มปี ระสบการณ์ในการสอนวา่ ยน้าในระดับอุดมศึกษา อย่างน้อย 3 ปี 4. การตรวจสอบคณุ ภาพของเครอื่ งมือ ผู้ศึกษาได้น้าแบบสอบถามส้าหรับการวิจัยในคร้ังน้ีไปทดสอบหาความเที่ยงตรง (Validity) ค่าความ เช่ือม่ัน (Index of Item - Objective Congruence: IOC) ด้วยวิธีการหาค่า (Coefficient - Cronbach Alpha) แบบสอบถามดว้ ยวธิ ีสัมประสทิ ธ์ิ แอลฟา ของครอนบาค โดยมรี ายละเอียดดังนี้ การตรวจสอบความเทย่ี งของเครอ่ื งมือโดยใช้ (Index of Item - Objective Congruence: IOC) หลังจากท่ีออกแบบสอบถามแล้วผู้วิจัยจะน้าแบบสอบถามเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จ้านวน 3 ท่าน เพื่อท้าการตรวจสอบความถูกตอ้ งและตรวจเชิงเนื้อหา (Content validity) ของค้าถามโดยวิธีการหาค่าดัชนี ความสอดคล้องหรือ IOC ซึ่งพบว่าทุกข้อค้าถามมีค่า IOC มากกว่า 0.7 ผู้วิจัยจึงได้น้าแบบสอบถามดังกล่าว มาใช้ส้าหรบั การวจิ ัยครงั้ น้ี (Reliability) ตามขน้ั ตอนดังนี้

1. การทดสอบความเท่ียงตรง (Validity) ผู้วิจัยได้น้าแบบสอบถามท่ีสร้างขึ้นส่งไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิ จ้านวน 5 ท่าน ตรวจสอบความถูกต้องของเน้ือหา เพื่อให้ผลการวิจัยท่ีได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ในครั้งนี้ การตรวจสอบความเชอ่ื ถอื ได้ของแบบสอบถาม หลังจากที่ได้รับปรับปรุงแบบสอบถามให้มีความสอดคล้องกับเนื้อหาแล้ว การทดสอบความเช่ือมั่น (Reliability) ก่อนด้าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนาม ผู้วิจัยได้น้าแบบสอบถามไปทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ท่ีมลี ักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มตวั อย่างในการวจิ ัยคร้ังน้ี จ้านวน 32 คน แล้วน้าแบบสอบถามทีเ่ ป็นค้าถามแสดง ความคิดเห็นมาตรวจวิเคราะห์หาค่าความเชื่อม่ัน (Reliability) โดยใช้สูตรสัมประสิทธ์ิแอลฟา (Coefficient Alpha) ของครอนบาค (Cronbach) จะต้องได้ค่าความเช่ือมั่น ต้ังแต่ 2.72 ข้ึนไป และค่าของ Alpha ท่ีเข้า ใกล้ 1 มากที่สุดถือว่าค่านั้นมีความเช่ือม่ันสูงสุด โดยผลการวิเคราะห์ทางสถิติมีค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟาท่ี (α) = 2..9 5. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู การสัมภาษณเ์ ชิงลึก โดยผู้วิจัยได้ส่งหัวข้อการสัมภาษณ์ไปยังผู้เช่ียวชาญก่อนจะเดินทางไปสัมภาษณ์ในการ สัมภาษณ์ ผู้วิจัยด้าเนินการสัมภาษณ์ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก จ้านวน 61 ท่าน ด้วยตนเอง โดยการใช้เทปบันทึกเสียง ระยะเวลาในการสัมภาษณ์ 6 ทา่ น ตอ่ 6 – 0 ช่ัวโมง โดยมกี ระบวนการขอความยินยอมให้เข้าร่วมการวิจัย (Informed Consent Process) 1. อธบิ ายถงึ วัตถปุ ระสงค์ วิธกี ารวิจัย และประโยชนท์ เี่ กิดขึ้นอยา่ งละเอยี ดด้วยท่าทที เี่ ป็นมติ ร 2. หากวา่ ผูใ้ หข้ อ้ มลู ไม่สะดวกในการใหส้ มั ภาษณ์ ผูว้ ิจัยจะไมเ่ กบ็ ข้อมลู โดยไม่ได้รบั ความยินยอม 3. ในระหว่างการสมั ภาษณ์ ผู้วิจยั จะไม่ละเมิดความเปน็ ส่วนตัว หลอกลวงผู้ให้ขอ้ มูลเพอ่ื ประโยชน์ ตา่ ง ๆ หรือบิดเบือนข้อมูล 4. ผูว้ จิ ัยขอรบั รองวา่ จะเปิดเผยข้อมูลเฉพาะที่ผู้ใหข้ อ้ มลู อนุญาต และเปิดเผยในรูปแบบผลการวิจัย ด้วยเหตผุ ลทางวิชาการเท่านั้น 5. หากมีขอ้ มูลเพ่มิ เตมิ ทีจ่ ะสง่ ผลกระทบตอ่ ผใู้ หข้ ้อมูล ผ้วู จิ ยั จะแจ้งใหผ้ ้ใู หข้ อ้ มูลทราบโดยไม่ปิดบัง การเก็บรวบรวมข้อมลู เชงิ ปรมิ าณ ผ้วู จิ ัยไดด้ ้าเนินการรวบรวมข้อมลู เป็นลา้ ดับขั้น ดังนี้ 1. ผู้วิจัยขออนุญาตจากสถาบันการพลศึกษาถึงมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และหัวหน้าส่วนงาน เพ่ือขอ อนญุ าตในการเก็บข้อมลู 2. ส่งหนังสอื ขออนุญาตเก็บข้อมูลไปยังมหาวิทยาลยั และหัวหนา้ ของหน่วยงานต่าง ๆ 3. ผู้วจิ ัยท้าการเกบ็ ข้อมลู จากกลุ่มตัวอยา่ งจากการแจกแบบสอบถามให้กรอกด้วยตนเอง นอกจากนั้น ผวู้ จิ ัยจะทา้ การเก็บรกั ษาความลับของผ้เู ข้ารว่ มงานวิจยั เปน็ อย่างดี โดยมีขั้นตอนดงั น้ี 3.6 ผ้วู จิ ัยบอกกล่าวถงึ วตั ถปุ ระสงค์ในการทา้ วิจัยกับผเู้ ข้าร่วมวจิ ัย 3.0 ผวู้ ิจัยน้าแบบสอบถามไปด้าเนินการเก็บข้อมูลโดยช้ีแจงวิธีการตอบแบบสอบถามใหแ้ กผ่ ู้ตอบ แบบสอบถามอยา่ งชัดเจน 3.3 อธิบายความเสี่ยงที่เกิดข้ึนจากการเข้าร่วมวิจัยหรือความไม่สบายใจ ความเครียดกับบาง คา้ ถามหรอื เสยี เวลาท่านมสี ทิ ธ์ิทจ่ี ะไม่ตอบค้าถามเหล่านั้นไดห้ รือขอยตุ ิการเข้ารว่ มการวิจัยได้ทนั ที

3.4 ผู้วิจัยบอกกล่าวถึงการรักษาความลับของข้อมูลโดยไม่เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะเป็น รายบุคคล แต่จะรายงานผลการวิจัยเป็นขอ้ มูลส่วนรวมของผู้เข้าร่วมการวิจัยเป็นรายบุคคลอาจมีคณะบุคคล บางกลมุ่ เข้ามาตรวจสอบได้ 3.5 ผู้เข้าร่วมการวิจัยมีสิทธิ์ถอนตัวออกจากโครงการวิจัยเมื่อใดก็ได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และการไม่เข้าร่วมการวิจัยหรือถอนตัวออกจากโครงการวิจัยน้ีจะได้ไม่มีผลกระทบต่อการบริการ และ การรักษาท่ีสมควรจะไดร้ ับแตป่ ระการใด (Participant Information Sheet) และมีเอกสารช้ีแจงการเข้าร่วม วิจยั 4. น้าข้อมลู ที่ไดจ้ ากการเก็บรวบรวมการวเิ คราะห์ทางสถิติ อภิปรายผล และสรุปผล การวเิ คราะห์ขอ้ มลู การวเิ คราะหข์ อ้ มลู เชงิ คุณภาพ การวเิ คราะหข์ ้อมลู ที่ไดจ้ ากการสัมภาษณ์เชงิ ลกึ กบั ผ้ใู หข้ ้อมูลหลกั การวเิ คราะห์เนอ้ื หา (Content Analysis) ดังน้ัน เพ่ือให้ได้ค้าตอบและสามารถอธิบายตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยน้ีได้ชัดเจนย่ิงข้ึน ผู้วิจัย จึงใช้การวิจัยเชิงส้ารวจ (Survey Research) ส้ารวจความคิดเห็นของการศึกษากลยุทธ์ในการเรียนการสอน ว่ายน้าในระดับอุดมศึกษาโดยน้าผลจากการวิจัยเชิงคุณภาพมาวิเคราะห์เพื่อใช้ประกอบในการสร้าง แบบสอบถามและดา้ เนินการตอ่ ไป ท่ีได้จากการสมั ภาษณเ์ ชิงลึก และการศกึ ษาจากเอกสารทเ่ี กย่ี วข้อง ส่วนท่ี 2 การวิจัยเชิงส้ารวจเพื่อสอบถามความคิดเห็นของการศึกษาส้ารวจกลยุทธ์ในการเรียน การสอนว่ายนา้ ในระดบั อุดมศึกษา กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาส้ารวจกลยุทธ์การเรียนการสอนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษา วิเคราะห์ จุดอ่อน จุดแข็ง การเรยี นการสอนว่ายนา้ ในระดับอดุ มศกึ ษาและเปรียบเทียบกลยุทธ์การเรียนการสอนว่ายน้า ในระดับอุดมศึกษาเพ่ือการพัฒนาการเรียนการสอนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษา คือ นิสิต นักศึกษา ท่ีมีการเรียน การสอนว่ายนา้ ในระดบั อดุ มศึกษา แบบสอบถาม - สร้างข้อค้าถามในแบบสอบถามโดยน้าผลจากการวิจัยเชิงคุณภาพจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักมาท้า การวเิ คราะหแ์ ละใชป้ ระกอบในการสร้างคา้ ถาม ใหเ้ นื้อหาค้าถามมีความครอบคลมุ - นา้ แบบสอบถามท่ีสร้างขึ้นไปให้ผเู้ ช่ยี วชาญตรวจเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ ซง่ึ ผ้ศู ึกษา วิจัยได้สร้างแบบสอบถามขึ้นมาจากแนวคิดทฤษฎี ก้าหนดโครงสร้างของแบบสอบถาม โดยแบบสอบถามดังกล่าว มีลักษณะเป็นท้ังค้าถามปลายปิด (Closed - ended Question) และค้าถามปลายเปิด (Open - ended Question) โดยประกอบด้วยคา้ ถาม 3 ส่วน การวเิ คราะหข์ ้อมูลเชงิ ปริมาณ ผู้วิจัยได้น้าข้อมูลท่ีได้จากการเก็บแบบสอบถามและตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถาม เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน มีความถูกต้อง แล้วน้าแบบสอบถามที่ได้นั้นไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติโดยใช้ โปรแกรมส้าเร็จรปู SPSS for Windows (Statistical Package for the Social Sciences for Windows) สถิติที่ใช้ เพ่ืออธิบายคุณลักษณะของประชากรท่ีศึกษา และระดับความคิดเห็นเก่ียวกับศึกษากลยุทธ์ในการ สอนว่ายน้าในระดบั อุดมศึกษาโดยสถติ ทิ ใ่ี ช้ในการวจิ ัยครั้งนมี้ ี ดังนี้ 6. การวเิ คราะห์สถิติเชิงพรรณนาใช้ในการอธิบายข้อมูลท่ัวไปของกล่มุ ตัวอยา่ ง

0. การวเิ คราะห์สถิติ t – test เพื่อทดสอบสดั สว่ นความสามารถในการวา่ ยน้าของนักศกึ ษา 3. เปรียบเทียบรูปแบบการสร้างแรงจูงใจในการสอนว่ายน้าท่ีมีต่อประสิทธิภาพของการว่ายน้า โดย ใช้สถิติ t – test sample independent ผลการวจิ ัย ในการวิจัยเรื่องน้ีกลุ่มตัวอย่างท่ีวิจัย ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพ ชั้นปีท่ีศึกษา ช่วงเวลาท่ีเรียนวิชา ว่ายน้า วชิ าวา่ ยน้าทลี่ งทะเบยี นเป็นกล่มุ วชิ าบงั คับหรอื กลุม่ วชิ าเลือก คณะ และสาขาวิชาทเี่ รยี น จากการวิเคราะหข์ ้อมูลสรุปได้ดงั นี ตารางท่ี 1 ขอ้ มลู ทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม จ้าแนกตามเพศ เพศ จา้ นวน รอ้ ยละ ชาย 125 62.5 หญิง 75 37.5 รวม 200 100 สถานภาพผตู้ อบแบบสอบถามส่วนมาก เปน็ เพศหญิง จ้านวน 75 คน คิดเป็นร้อยละ 37.5 และเพศ ชาย จา้ นวน 125 คน คดิ เป็นร้อยละ 62.5 ตามลา้ ดบั ตารางที่ 2 ข้อมูลทว่ั ไปของผตู้ อบแบบสอบถาม จา้ แนกตามอายุ อายุ จ้านวน ร้อยละ ตา่้ กว่า 18 ปี 2 1.0 18 - 20 ปี 20 - 22 ปี 60 30.0 มากกว่า 22 ปี 126 63.0 รวม 12 6.0 324 100 สถานภาพผู้ตอบแบบสอบถามส่วนมาก อายุ 20 - 22 ปี จ้านวน 126 คน คิดเป็นร้อยละ 63.0 รองลงมาอายุ 18 - 20 ปี จ้านวน 60 คน คิดเป็นร้อยละ 30.0 มากกว่า 22 ปี จ้านวน 12 คนคิดเป็นร้อยละ 6.0 และนอ้ ยสุดอายุ ต้า่ กว่า 18 ปีข้นึ ไป จา้ นวน 2 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 1.0 ตามลา้ ดับ ตารางท่ี 3 ข้อมูลทัว่ ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม จ้าแนกตามสถานภาพ สถานภาพ จ้านวน รอ้ ยละ น.ศ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ของรฐั 60 30.0 น.ศ สถาบนั พลศึกษา 80 40.0 น.ศ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั 60 30.0 อนื่ ๆ 0 0 รวม 200 100

สถานภาพผู้ตอบแบบสอบถามส่วนมากเป็นนักศึกษาสถาบันพลศึกษา จ้านวน 80 คน คิดเป็นร้อยละ 40.2 รองลงมา คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏของรัฐ จ้านวน 60 คน คิดเป็นร้อยละ 30.0 และนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภฏั จา้ นวน 60 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 30.0 ตามล้าดบั ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับระดับของการได้มาซ่ึงทักษะการว่ายน้าของผู้เรียนท่ีมีต่อกลยุทธ์ ในการเรียนการสอนวิชาวา่ ยนา้ ระดับของการได้มาซึ่งทักษะการว่ายน้าของผู้เรียนท่ีมีต่อกลยุทธ์ในการเรียนการสอนวิชาว่ายน้า ดา้ นภาวะผู้น้าของผสู้ อน พบว่า ความคดิ เห็นของประชาชนท่ีมีต่อโดยรวมอยใู่ นระดบั มาก เมือ่ พิจารณาเป็น รายข้อโดยเรียงล้าดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยพบว่า ข้อท่ีมีค่าเฉล่ียสูงท่ีสุด ได้แก่ ผู้สอนมี ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ (���̅��� = 4.40, S.D. = .679) รองลงมา ได้แก่ ผู้สอนสามารถอธิบายหรือ แสดงถึงกลยุทธ์ในการสอนว่ายน้า (���̅��� = 4.39, S.D. = .728) และข้อท่ีมีค่าเฉล่ียน้อยที่สุด ได้แก่ ผู้สอน สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม ในการเรียนการสอน (���̅��� = 4.19, S.D. = .773) ตามล้าดบั ตารางที่ 4 การเปรียบเทียบรูปแบบการสร้างแรงจูงใจในการเรียนการสอนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษาที่มีต่อ ระดับการได้มาซ่ึงทักษะการวา่ ยน้า รูปแบบแรงจงู ใจ n ���̅��� S.D. t p ภายใน 200 4.30 .69 1.91 .058 ภายนอก 200 4.21 .78 การเปรียบเทียบรูปแบบการสร้างแรงจูงใจทั้ง 2 รูปแบบ ได้แก่ แรงจูงใจภายในและแรงจูงใจภายนอก ท่ีใช้ในการเรียนการสอนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษาที่มีต่อระดับการได้มาซ่ึงทักษะการว่ายน้า ได้ค่า (Sig) = .058 ซ่งึ มากกวา่ ค่าระดับนัยส้าคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ 2.25 จึงแสดงว่ารูปแบบการสร้างแรงจูงใจ ทั้ง 0 รูปแบบ ได้แก่ แรงจูงใจภายในและแรงจูงใจภายนอกที่ใช้ในการเรียนการสอนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษาที่มีต่อระดับ การได้มาซง่ึ ทกั ษะการวา่ ยน้าไม่มีความแตกตา่ งกนั อย่างมีนยั สา้ คญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05 อภิปรายผล กลยุทธ์การเรียนการสอนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับระดับของการได้มา ซึง่ ทักษะการวา่ ยน้าของผ้เู รยี นทม่ี ตี อ่ กลยุทธ์ในการเรียนการสอนวิชาว่ายน้า โดยแบ่งเปน็ 3 ดา้ น 1) ด้านภาวะผู้น้าของผู้สอนพบว่า ผู้สอนมีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ ผู้สอนสามารถอธิบาย หรอื แสดงถงึ กลยุทธ์ในการสอนวา่ ยน้า และผู้สอนสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม ในการเรยี นการสอน รวมทั้ง จากข้อมูลการให้สัมภาษณ์พบว่า ภาวะผู้น้าของผู้สอน การสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นส้าคัญ การแบ่งกลมุ่ การสรา้ ง ภาวะผู้น้าให้กับผู้น้ากลุ่ม และหมุนเวียนกันเป็นผู้น้ากลุ่ม การกระจายให้เด็กได้ร่วมกันท้ากิจกรรม การหาวิธี การแก้ปัญหาการใช้กระบวนการกลุ่มภาวะผู้น้าของผู้สอนจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีของนักศึกษา ได้เห็นว่า การสอนที่ดีเป็นอย่างไร เพราะนักศึกษาจะต้องน้าไปเป็นแบบอย่างในการสอน การมีคุณธรรม จริยธรรม และ แนวทางส่งเสริมรูปแบบภาวะผู้น้าท่ีเหมาะสมควรใช้รูปแบบการสอนพลศึกษาควบคู่กับการสอนในรูปแบบของ การว่ายน้า การใช้หลักวิธีการสอน ถ้าหากเด็กสามารถเรียนว่ายน้าได้ ก็สามารถที่จะสอนผู้อื่นว่ายน้าได้ การบูรณาการโดยการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน และการสอนแบบกลุ่ม ส่วนการบูรณาการโดยการสร้าง การสื่อสารระหวา่ งผู้สอนกับผเู้ รียน พฤตกิ รรมการแสดงออก การเคารพสทิ ธิซ่ึงกันและกนั ในการเรียนการสอน

นักศึกษาบางคนมีสถานภาพที่แตกต่างกัน เช่น เป็นนักกีฬา เป็นสโมสรนักศึกษาซึ่งสอดคล้องกับ ทิศนา เขมมณี (Tissana Khemmani, 0008) ได้กล่าวว่า วิธีการสอนให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ เทคนิคการสอน เป็นวิธีเสรมิ ที่จะช่วยให้วิธสี อนเกดิ ประสิทธิภาพมากข้ึน กลยุทธก์ ารสอน คือ วิธกี ารสอนท่ีใช้เทคนิคการสอน มาช่วยในการจัดการเรียนรู้ให้เกิดประสิทธิภาพและสรุปเป็นสมการได้ดังน้ี วิธีการสอน + เทคนิคการสอน = กลยุทธ์การสอน ซึ่งสอดคล้องกับวิจัยของ Song Yi zeng (0223) ได้ศึกษารูปการสอนว่ายน้าจากการให้ ความส้าคัญกับเร่ืองของค่านิยมการรับรู้ถึงประโยชน์ในทางปฏิบัติและประโยชน์ที่จะได้รับจากการมีทักษะ การว่ายน้า ซ่ึงงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการเปรียบเทียบรูปแบบการสอนทักษะการว่ายน้าแบบเชื่อมโยง รวมทุกขั้นตอนของการปฏิบัติทักษะการว่ายน้าเข้าด้วยกันและการสอนแบบเน้นให้ผู้เรียนเห็นคุณค่า และ ประโยชน์ของการได้มาซึ่งทักษะการว่ายน้าร่วมกับการสอนแบบเช่ือมโยงรวมทุกข้ันตอนของการปฏิบัติทักษะ การวา่ ยน้าเข้าด้วยกัน กลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการวจิ ยั เป็นนักศึกษาช้นั ปที ี่ 3 ของมหาวิทยาลยั ซีอาน คณะวิทยาศาสตร์ อิเล็กตรอนและเทคโนโลยี จ้านวน 6.2 คน แบ่งเป็น 1 กลุ่ม กลุ่มละ 32 คน กลุ่มที่ทดลองได้รับโปรแกรม การสอนแบบเน้นให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าและประโยชน์ของการได้มาซ่ึงทักษะการว่ายน้าร่วมกับการสอน แบบเชื่อมโยงรวมทุกข้ันตอนของการปฏิบัติทักษะการวา่ ยน้าเข้าดว้ ยกันในขณะท่กี ลุ่มควบคมุ ไดร้ ับโปรแกรม รูปแบบการสอนทักษะการว่ายน้าแบบเชื่อมโยงรวมทุกข้ันตอนของการปฏิบัติทักษะการว่ายน้าเข้าด้วยกัน โดยมีระยะเวลาด้าเนนิ การวจิ ัย 6 ภาคการศกึ ษา ผ้วู ิจัยเพิ่มโปรแกรมการสอนว่ายน้าหลังจากการเรียนการสอน ในรายวชิ าตามหลกั สูตร 3 วันต่อสัปดาห์ กลมุ่ ตวั อย่างต้องเข้ารว่ มโปรแกรมการเรียนการสอนว่ายนา้ อย่างน้อย 5 ชัว่ โมงต่อสปั ดาห์ โดยใชส้ ถิติทดสอบในการวิเคราะหข์ อ้ มลู ผลการท้าการศึกษา พบว่า การเช่ือมโยงทักษะการว่ายน้าร่วมกับการสอนแบบเน้นให้ผู้เรียนเห็นคุณค่า และประโยชน์ของการได้มาซ่ึงทักษะการว่ายน้า มีประสิทธิภาพมากกว่าการสอนเฉพาะทักษะว่ายน้า ดังน้ัน รูปแบบการสอนรูปแบบใหม่จึงได้รับการจัดตั้งและผลการเรียนรู้ที่ดีเป็นไปตามมาตร ฐานของการปฏิรูป การเรียนการสอนประสบความสา้ เร็จ 2) การจัดแผนการเรียนการสอน ส่ือสารสนเทศและอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการเรียนว่ายน้า พบว่า ผู้สอน ใช้อุปกรณ์ประกอบการสอนว่ายน้า เช่น แผ่นโฟม ผู้สอนมีการอธิบายทักษะ สาธิตปฏิบัติให้ดูเป็นตัวอย่าง โดยการว่ายน้าจริงในสระว่ายน้า และผู้สอนใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีมาช่วยในการเรียนการสอน เช่น Power Point, VDO, social media, กลุ่ม Line ซ่ึงสอดคล้องกับ กระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา (Ministry of Tourism and Sports, 2017) ของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรูปแบบใหม่เพื่อประโยชน์ต่อ วงการกีฬา จากการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารที่มีความก้าวหน้าอย่างไม่หยุดน่ิงโดยเฉพาะ พัฒนาการของส่ือออนไลน์ อาทิ social media gadget และ application ส้าหรับโทรศัพท์มือถืออัจฉริยะ (Smart Phone) ซึ่งมีผลอย่างมากต่อวงการกีฬา แบบทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน (Real Time) และการท้า กิจกรรมออนไลน์ร่วมกัน ในขณะที่วงการกีฬาเพื่อนันทนาการ สามารถใช้ประโยชน์ผ่าน Application ในการ ออกก้าลังกาย การวิเคราะห์สรรี ะและการออกกา้ ลังกาย ในรปู แบบที่เหมาะสมแต่ละปจั เจกบุคคล กิจกรรมที่จัดข้ึนเพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะการว่ายน้าของนักศึกษา จากข้อมูลการให้สัมภาษณ์ เกีย่ วกับการจัดกิจกรรมในการเรียนการสอน มีการจดั กิจกรรมหลายรปู แบบ ดังน้ี การจัดในรูปแบบของเกมส์ การจัดในรปู แบบของการแข่งขันในเชิงปฏิบัติ หรือการจัดในรูปแบบของการแข่งขันในด้านความรู้ทฤษฎีและ จบั คู่บัดดี้ในการเรียนการสอน เพื่อนสอนเพื่อน การสอนโดยอาศัยเทคนคิ การใช้ความถ่ี ท้าซ้า และท้าบอ่ ย ๆ และทา้ จากง่ายสู่ยากเสมอ รูปแบบการสอนว่ายน้าไม่ตายตัว เนื่องจากพ้ืนฐานของแต่ละคนมคี วามแตกต่างกัน ประสบการณข์ องผ้สู อนจะเป็นสว่ นส้าคัญ มกี ารกรองความสามารถของนกั ศกึ ษาที่วา่ ยไดแ้ ละวา่ ยไม่เปน็ แบง่ เป็นกลุ่ม

ส่ิงท่ีจะได้จากบทเรียนดังกล่าว จะสามารถพัฒนาให้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย โดยกลุ่มที่ว่ายน้า ได้ให้ฝึกปฏิบัติ ความยากง่ายให้เหมาะสม ส่วนกลุ่มท่ีว่ายน้าไม่เป็น ควรหาแบบฝึกท่ีมีความเหมาะสมกับความสามารถของ นกั ศึกษา นอกจากน้ีการแข่งขันเตะขาแบบผลัด การแข่งขันการลอยตัว การแข่งขันการด้าน้า การแข่งขันทักษะ ท่าว่ายน้าเป็นกิจกรรมที่จัดข้ึนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะการว่ายน้าของนักศึกษาโดยสอดคล้องกับ วีระ มนัสวานิช (Weera Manusvanich, 1995) ได้กล่าวถึงเทคนิคการสอนว่ายน้าไว้วา่ จะต้องสามารถสอนทักษะ ด้านกลไกการเคลื่อนไหวในส่ิงแวดล้อมของน้าให้ได้เช่นเดียวกับการสอนบนบก และสิ่งที่จะต้องค้านึงถึงให้มาก น้ันคือ แรงจูงใจ การเสริมแรงและการฝึกหัด ต้องรู้ว่าขณะน้ี “น้า” ต้องถูกน้ามาใช้เป็นสภาพแวดล้อมใน การสอนและจะท้าอย่างไรให้ผู้เรียนเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการลอยตัวเน้นให้เห็นถึงแรงต้าน และ ความกดของน้าจากทิศทางต่าง ๆ ท่ีมีต่อร่างกายในขณะเคล่ือนไหวในน้า ความสามารถในการที่จะลอยตัวในน้า การเคลื่อนท่ีและการเปล่ียนอิริยาบถของร่ายกายในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งไม่สามารถท้าได้บนบก นอกเหนือจาก นัน้ น้ายงั มปี ระโยชน์ในการฟ้นื ฟูร่างกาย ประการแรก ประเมนิ ระดบั ความสามารถของผู้เรียน พรอ้ มสร้างแรงจูงใจใหผ้ เู้ รยี น จดุ ประกายความ กลา้ หาญเพื่อจะท้าใหส้ ้าเร็จและวิธีที่สา้ เร็จมานักต่อนักกค็ ือ ชี้ให้เขาเห็นว่าเพ่ือนของเขาก็ว่ายน้าเปน็ ว่ายได้แล้ว เราเก่งกว่าก็ต้องท้าได้ การสอนให้เด็กว่ายน้านั้นต้องเร่ิมต้นอย่างแรกนั้นก็คือ การประเมินระดับความสามารถ และความสมบูรณข์ องร่างกายผู้เรยี นด้วยเราสามารถตั้งเป้าหมายของการสอน ประการที่สอง กิจกรรมท่ีสอน ควรเป็นกจิ กรรมท่ีทา้ ให้เกดิ ความสนกุ สนาน ลดความหวาดกลัวเก่ียวกบั น้า ผสู้ อนควรสร้างความมั่นใจจนกว่า ผ้เู รียนจะลงสนู่ ้าได้ การผ่อนคลายรา่ งกายและจติ ใจ เมอื่ มนุษยอ์ ยู่บนบก การหายใจเขา้ ออกเปน็ กระบวนการปกตติ ามสญั ชาตญาณของมนุษย์ แต่ในขณะ ที่ใบหน้าอยู่ในน้า การหายใจเข้าออกเป็นทักษะท่ีจะต้องสอนและฝึกหัดหลาย ๆ คร้ัง ก่อนท่ีจะกลายเป็น ความเคยชิน ต้องสอนจากง่าย ๆ ไปหายากวิธีการนี้รวมไปถึงการกล้ันหายใจในขณะที่ใบหน้าอยู่ในน้า การระบายลมหายใจออกในน้า การเป่าฟองอากาศ การลมื ตาในน้า การแข่งขันการลอยตัว การแข่งขันการด้าน้า และสดุ ท้ายกค็ ือ การหายใจเข้าออกเปน็ จังหวะขึ้นลงในนา้ ขอแนะน้าเทคนคิ ง่าย ๆ 3) รูปแบบและวิธีการประเมินทักษะการว่ายน้าของผู้สอนพบว่า ผู้สอนมีการให้โอกาสในการสอบซ่อม หากสอบครั้งแรกไม่ผ่าน ผู้สอนอธิบายวิธีเกณฑ์การให้คะแนนในการสอบแต่ละคร้ังก่อนสอบอย่างชัดเจน และผู้สอนไม่ให้โอกาสในการสอบซ่อม หากสอบครัง้ แรกไม่ผ่าน ท้ังนี้จากการสัมภาษณ์ระยะเวลาในการได้มา ซง่ึ ทักษะในการว่ายน้าของนักศึกษาที่เรียนว่ายน้าในสถาบันพลศึกษาขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้ พื้นฐานของ แต่ละคน จะเป็นส่วนสา้ คัญในการต่อยอดการเรียนรู้ หากนักศึกษามีพ้ืนฐานมา ซึ่งจะสง่ ผลตอ่ การเรียนได้เร็ว มากยิ่งขึ้น และสามารถน้านักศึกษาดังกล่าวใช้เป็นส่ือประกอบการเรียนการสอน ซ่ึงสามารถพัฒนาการเรียน การสอนให้เร็วมากยิ่งข้ึน และทัศนคติ เป็นส่วนส้าคัญท่ีจะสามารถพัฒนาทักษะหากนักศึกษามีประวัติ เคยจมน้า จะเปน็ สง่ิ ทยี่ ากมากส้าหรบั การเรียนการสอน ผสู้ อนควรมกี ารเสริมสร้างในการสรา้ งแรงจูงใจ การจัดรูปแบบการเรียนการสอนว่ายน้าอย่างไรให้มีประสิทธิผล ควรยึดหลัก มคอ.3 เพราะ มคอ.3 เปรียบดังแผนท่ีและเข็มทิศของการเรียนในระยะยาว และการสอนในระยะส้ันในแต่ละสัปดาห์ควรมีการประเมิน จากการสังเกต ประเมินค่า และผู้สอนควรประเมินสถานการณ์ในภาพรวม มีการสอบหลังจากฝึกจากแบบฝึก ตา่ ง ๆ และควรมีการบันทึกสถิติวา่ หลังจากที่นักศกึ ษาปฏิบตั ิในแบบฝึกดังกล่าวแล้ว มีจ้านวนนักศึกษาเทา่ ไร พัฒนาไปในทางที่ดี และมีจ้านวนนักศึกษาจ้านวนเท่าไรที่จะต้องพัฒนาในกลุ่มท่ีอ่อนกว่าเพ่ือน และผู้สอน ควรประเมินสถานการณ์ในภาพรวม และแบ่งกลุ่มนักศึกษาผู้สอนควรประเมินสถานการณ์ในภาพรวม และ แบง่ กลุ่มนักศึกษาให้มีความชดั เจน เพื่อสามารถสรา้ งแบบฝึกในแตล่ ะสัปดาห์ให้มีความเหมาะสมกับความสามารถ

ของนักศึกษา การประเมินผลจะข้ึนอยู่กับผู้สอนใช้เกณฑ์การตัดเกรดแบบไหน ส่งเสริมในกลุ่มท่ีสามารถพัฒนา ได้เร็วที่จะพัฒนาในกลุ่มท่ีเรียนรู้ได้ช้ากว่าเพ่ือน อาจมีการสอนเสริมในคาบเรียน สุดท้ายในแต่ละวัน ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของ อนิรุทธ์ ชัยเสวก (Anirut Chaisawak, 2016) การเรียนว่ายน้าก็เหมือนกับ การเรียนวิชาอ่ืน ๆ ท่ีว่าเมื่อมีการเรียนการสอนแล้วก็ต้องมีการวัดและประเมิน เพ่ือจะได้ครบกระบวนการ ของการเรียนที่สมบูรณ์ เพราะว่าการวัดและการประเมินผลช่วยให้ทราบว่าการพัฒนาการความสามารถ ขอ้ บกพร่องท่ตี ้องการแก้ไขของนักศึกษา รวมถึงทราบประสิทธิภาพของผู้สอนด้วย การวดั ผลในวิชาพลศึกษา รวมท้ังการวัดผลวิชาว่ายน้า ส่วนใหญ่เป็นการทดสอบทักษะโดยใช้การสังเกตของครูผู้สอน ซึ่งการสังเกตของครู มีหลักเกณฑ์ท่ีไม่แน่นอน ท้าให้เกิดปัญหาในการให้คะแนน เพราะบางคร้ังข้ึนอยู่กับความพึงพอใจของ ครูผู้สอน ท้าให้เกิดความล้าเอียงในการให้คะแนน เครื่องมือท่ีสามารถช่วยครูหรือทดสอบในการสังเกตให้มี ความเป็นปรนัยมากขึ้น ได้แก่ แบบประเมินค่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหน่ึงส้าหรับการบันทึกการสังเกต และให้ ครูผู้สอนมุ่งที่พฤติกรรมส้าคัญในการสังเกต และสอดคล้องกับงานวิจัยของ Garey, Emma, Kuster, & Amanda (0267) ได้ศึกษาความส้าคัญเก่ียวกับการเรียนการสอนว่ายน้าในนักศึกษาปริญญาตรีกับความสามารถ ในการว่ายนา้ พบว่า หน่วยงานของรัฐในองค์กรของประเทศสหรัฐอเมรกิ า มีการสนับสนุนให้นักศึกษาในระดับ ปริญญาตรีพัฒนาทักษะการว่ายน้า โดยการจัดให้มีกิจกรรมค่ายฝึกซ้อมตามโปรแกรมการฝึกทักษะการ ว่ายน้าในช่วงฤดูร้อน รวมท้ังหน่วยงานของรัฐยังมีต้าแหน่งงานท่ีต้องการนักศึกษาท่ีมีความสามารถทักษะ ในการว่ายน้าท่ีดีเข้าท้างานในต้าแหน่งหน้าที่ต่าง ๆ ซ่ึงเป็นการเพ่ิมโอกาสให้เกิดการเรียนรู้และสร้างแรงจูงใจ ในการเรยี นว่ายน้าของนกั ศกึ ษาในระดบั อุดมศึกษา การเปรียบเทียบรูปแบบการสร้างแรงจูงใจในการเรียนการสอนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษาที่มีต่อ ระดับการได้มาซง่ึ ทกั ษะการว่ายน้า การเปรียบเทียบรูปแบบการสร้างแรงจูงใจในท่ีใช้ในการเรียนการสอนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษา ทม่ี ีต่อระดับการไดม้ าซึ่งทักษะการว่ายน้าพบวา่ รูปแบบการสรา้ งแรงจงู ใจมี 0 รูปแบบ ได้แก่ แรงจูงใจภายใน และแรงจูงใจภายนอกท่ีใช้ในการเรียนการสอนว่ายน้าในระดับอุมศึกษา ซ่ึงทักษะการวา่ ยน้าไม่มีความแตกต่างกัน จากข้อมูลการให้สัมภาษณ์เก่ียวกับองค์ประกอบของการสร้างแรงจูงใจในการสอนวิ ชาว่ายน้าในสถาบัน จะเห็นได้ว่ากิจกรรมในการสอนโปรแกรมการสอนจะท้าให้เด็กเกิดแรงจงู ใจในการเรียนวา่ ยน้า การจดั การแข่งขัน ถา้ ครูมีการเตรียมการเรียนการสอนที่ดีจะเป็นท่ีน่าสนใจของผู้เรยี น เพราะฉะนั้นผู้เรยี นก็จะตั้งใจเรียน นักศึกษา จะทราบพัฒนาการของตนเองว่าตัวเองอยู่ในระดับไหน แล้วให้น้าไปเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานท่ีวางไว้ เพราะฉะน้ันเด็กก็สามารถรู้ได้ว่าตนเองอยู่ในระดับไหน เพ่ือท่ีจะน้าไปพัฒนาต่อไป และการให้ค้าชมเม่ือนักศึกษา ท้าส้าเร็จ และยังพบว่าการใช้การสร้างแรงจูงใจภายใน เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้ทั้ง 3 ด้าน (KAP) โดยเน้นกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีหลากหลาย การสร้างแรงจูงใจภายนอก เป็นการเลือกช่วงเวลา ท่ีเหมาะสมในการจัดการเรียนการสอนในวิชาว่ายน้า การพูดด้านบวก และล้าดับการสอนปฏิบัติให้ง่าย ๆ ท้าส้าเร็จได้ทุกคน ไปสู่ทักษะท่ียากขึ้น การสอบปฏิบัติ และการฝึกปฏิบัติ ให้นักศึกษามีทางเลือกท่ีพอเหมาะ กับระดับทักษะของเขา ไม่ต้ังเกณฑ์ผู้สอนเป็นหลัก กระบวนการสร้างแรงจูงใจภายในและแรงจูงใจภายนอก ในการสอนวิชาว่ายน้าในสถาบันพลศึกษา มีความจ้าเป็นค่อนข้างมากเนื่องจากวิชาว่ายน้าจะเชื่อมโยงกับ หลักสูตรพลศึกษา ถ้าหากเด็กมีแรงจูงใจที่จะเป็นครู ก็จะท้าให้เด็กมีความสนใจเพิ่มขึ้น ถ้าหากสระว่ายน้า ภายนอกที่ว่ายได้เด็กก็จะสามารถพัฒนาตัวเองได้ แรงจูงใจภายในถือเป็นส่วนส้าคัญในการเรียนการสอน ว่ายน้า การให้นักศึกษาท้าในส่ิงท่ีง่ายก่อน ก็จะส่งผลต่อความรู้สึกว่า เขาสามารถปฏิบัติได้ เม่ือเขาเกิด ความม่ันใจ ก็สามารถฝึกปฏิบัติในแบบฝึกท่ียากขึ้น และผลพลอยได้จากความเชื่อม่ันจากการสร้างแรงจูงใจ

ภายใน ค้ากล่าวช่ืนชม การเป็นท่ียอมรับความภูมิใจ ในตนเอง ความชอบ ความท้าทาย ชอบการแข่งขัน จากผู้ฝึกสอนเป็นพลังบวกให้นักศึกษา แสดงออกอย่างเต็มศักยภาพ กระบวนการสร้างแรงจูงใจมีความจ้าเป็น อย่างย่ิง ในการใช้แรงจูงใจทั้งภายในและภายนอก ส่งผลให้กระบวนการสอนสมบูรณ์ข้ึน มีแนวโน้ม ไปในทางที่ดี โอกาสในการพัฒนา และประสบความส้าเร็จมีสูง แรงจูงใจภายในจะเกิดข้ึนได้กับนักกีฬา ผู้ฝึกสอนจะต้องสร้างให้นักกีฬามองเห็นและสามารถจับต้องได้ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของ ภัทรดนัย ประสานตรี (Phattaradanai Pasarntree, 2013) พบว่า แรงจูงใจในการเล่นกีฬาในแต่ละชนิดเป็นสิ่งส้าคัญ ในการฝึกนักกีฬาให้ประสบความส้าเร็จ ซึ่งส่ิงท่ีเป็นแรงจูงใจมีความแตกต่างกันในหลาย ๆ ด้าน และจุดประสงค์ ท่ีต้องการจากการเล่นกีฬาในแต่ละชนิดก็มีความแตกต่างกันไปแรงจูงใจภายนอก ภายใน สามารถช่วยให้ บุคคลได้รับการพัฒนา และเปล่ียนแปลงไปในทิศทางที่พึงประสงค์ สามารถเข้าใจตนเอง ปรับปรุงตนเอง ตระหนัก และยอมรับความสามารถที่มีอยู่ของตัวเอง การกระตุ้นจากครอบครัว การเป็นที่ยอมรับและภูมิใจ ในตนเอง ความท้าทาย ชอบการแข่งขันกีฬา จะมีส่วนท้าให้เกิดแรงจูงใจในการเข้าร่วมกิจกรรมการเล่นกีฬา นั้น ๆ โดยสอดคล้องกับสืบสาย บุญวีรบุตร (Suebsai Boonweerabud, 1998) ได้กล่าวว่า แรงจูงใจถือเป็น หัวใจส้าคัญต่อเน่ืองตลอดชีวิตของการเป็นนักกีฬาที่มีผลต่อการกระท้าพฤติกรรมและความสามารถของ มนุษย์ แรงจูงใจที่ท้าให้หรือมีอิทธิพลท้าให้คนยังคงออกก้าลังหรือการเล่นกีฬาทั้งน้ีแต่ละคนก็มีปัจจัยหรือ แรงจูงใจจึงเป็นตัวก้าหนดทิศทางและความตั้งใจ ความพยายามที่จะกระท้าหรือปฏิบัติในการกีฬา และ เหตุผลทางสังคมที่ต้องการเป็นที่ยอมรับ การยกระดับทางสังคม การเส่ียง ชอบแข่งขัน ชอบความสนุก การเป็นที่ยอมรบั และความภาคภูมิใจในตนเองล้วนเป็นเหตุแหง่ แรงจูงใจให้คนหันมาเล่นกีฬาทั้งส้นิ แรงจูงใจ จงึ เปน็ สิง่ กระตนุ้ และเป็นสิ่งที่สา้ คญั ทท่ี า้ ใหต้ วั บคุ คลประพฤติในกจิ กรรมตา่ ง ๆ ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัย ผลจากการศึกษาวิจัยเรื่องการศึกษากลยุทธ์การเรียนการสอนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษา ท้าให้ ทราบถึงกลยุทธ์การเรียนการสอนว่ายน้าที่มีตอ่ ความสามารถในการว่ายน้าและรูปแบบการสร้างแรงจูงในการ เรียนการสอนว่ายน้าในระดับอุดมศึกษาท่ีมีต่อประสิทธิภาพของการสอน ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ต่อการจัด การเรยี นการสอนวชิ าว่ายน้าในระดบั อุดมศกึ ษา โดยมขี อ้ เสนอแนะดงั น้ี 1. ควรมีการจัดการอบรมอาจารย์ผู้สอนวิชาว่ายน้าในระดับอุดมศึกษาด้านภาวะผู้น้าให้มีความสามารถ ในการควบคุมอารมณ์ในระหว่างการจัดการเรยี นการสอน 2. ควรมีการจดั ซ้ืออุปกรณ์ต่าง ๆ ท่ีสามารถน้ามาใช้ประกอบการการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาทกั ษะ วา่ ยน้าได้ เช่น แผ่นโฟม และจัดการอบรมอาจารย์ผสู้ อนวิชาว่ายน้าในระดบั อดุ มศึกษา ให้สามารถใชอ้ ุปกรณ์ ทหี่ ลากหลายประกอบการสอนว่ายนา้ 3. ในการประเมินทักษะการว่ายน้า ผู้สอนควรให้โอกาสในการสอบซ่อม หากสอบทักษะการว่ายน้า ครัง้ แรกไม่ผ่าน 4. ผู้สอนในรายวิชาว่ายน้าควรมีการใช้ท้ังแรงจงู ใจภายในและแรงจูงใจภายนอก ประกอบในการเรียน การสอนวา่ ยนา้ ในระดบั อดุ มศกึ ษา ขอ้ เสนอแนะในการวิจัยครังต่อไป ในการศึกษาวิจัยครั้งต่อไปควรศึกษากลยุทธ์การจัดรูปแบบการเรียนการสอนในรายวิชาท่ีต้องมี การปฏิบัติทักษะกีฬารายวิชาอ่ืน ๆ ของระดับอุดมศึกษา เช่น วิชากรีฑา วิชาเทนนิส วิชาฟุตบอล เป็นต้น ควรทา้ การศกึ ษาให้หลากหลาย ไดแ้ ก่

1. ควรศึกษาปัจจัยท่ีส่งผลต่อประสิทธิภาพของการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาการฝึกปฏิบัติ ทกั ษะกีฬา ในระดบั อดุ มศกึ ษา 2. ควรศึกษารูปแบบบุคลิกภาพของผู้สอนในรายวิชาการฝึกปฏิบัติทักษะกฬี าท่ีส่งผลต่อประสิทธิภาพ ของการจดั การเรียนการสอนในรายวชิ าการฝกึ ปฏิบตั ทิ ักษะกีฬา ในระดบั อดุ มศึกษา References Anirut Chaisawak. (2016). The creation of the front crawl stroke rating scales and norms for Prathomsuksa 6 of the กemonstration school, Pibulsongkram Rajabhat University. The 1st academic research conference, Nakhon Sawan Rajabhat University. Garey A., Emma L. Kuster, & Amanda K. (0267). The importance of scientific publishing: teaching an undergraduate how to swim the entire length of the pool. Journal of Contemporary Water Research & Education Universities Council on Water Resources, 160, 1 - 4. Manoon Tanawattana. (0223). The psychology for the life development. Bangkok: Aksorncharoentad. Phattaradanai Pasarntree. (2013). Motivation for playing basketball players participating in the 40th Thailand University games (Master’s thesis), Srinakharinwirot University. Song Yi zeng. (0223). Reform & Practice of Swimming Teaching Pattern in Colleges and Universities. Retrieved from http://en.cnki.com.cn/Article_en/CJFDTOTAL- BJTD.022223239html Sport authority of Thailand. (6997). The fundamental swimming teaching handbook. Bangkok: Aksorn Thai. Suebsai Boonweerabud. (1998). Sport psychology. Chonburi: Chonburi press. Taweesuk Sunklang. (1991). The measurement and the assessment of the Physical education. Mahasarakham: Institute of Physical Education Mahasakrakham. Tevej Piriyaprung. (1991). The principle of swimming training. Bangkok: Srinakharinwirot University Prasanmit. Ministry of Tourism and Sports. (2017). The 6th national sport development plan. (2017 - 2021). Bangkok: WVO Officer of printing mill. Tissana Khemmani. (0008). Science of teaching: The knowledge for the effective learning process (7th ed.). Bangkok: Chulalongkorn University press. Wanlee Pattaropat. (0002). Swimming. Bangkok: Physical Education Department Kasetsart University. Wassana Kuna-apisit. (1997). Swimming for everyone. Bangkok: United Book. Weera Manusvanich. (1995). Techniques in swimming for swimmers, teachers and coaches. Bangkok: Odeon Store. Received: Oct 4, 2019 Revised: July 13, 2020 Accepted: April 7, 2020



การศกึ ษาพฤติกรรมการใช้เวลาวา่ งแบบจรงิ จงั ของอาจารย์ในมหาวิทยาลยั วณัฐพงศ์ เบญจพงศ์ คัคนางค์ ประไพทรัพย์ และ วมิ ลมาลย์ สมคะเน ภาควชิ าพลานามยั คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง บทคดั ยอ่ การใช้เวลาว่างอย่างจริงจงั (Serious Leisure) การเข้าร่วมกิจกรรมการใช้เวลาวา่ งอยา่ งใดอย่างหน่ึง ท่ีมีความสม่าเสมอเพื่อให้บรรลุสิ่งท่ีตนเองคาดหวังไว้จนกลายเป็นส่วนหน่ึงของชีวิตประจาวัน ซ่ึงถือได้ว่า เป็นวิธีการหน่ึงที่ช่วยเพ่ิมความรู้ ทักษะ และประสบการณ์จากการเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการ อันเป็น ส่วนสาคัญในการเพิ่มโอกาสและผสมผสานให้การใช้เวลาว่าง และการทางานของบุคคลร่วมกันสนับสนุนให้ เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตส่วนบุคคลได้มากท่ีสุด การวิจัยคร้ังนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) ศึกษารูปแบบและ พฤติกรรมการใช้เวลาว่างแบบจริงจัง 2) ศึกษาปัจจัยที่ทาให้ตัดสนิ ใจใช้เวลาวา่ งแบบจริงจัง โดยมีการดาเนินการ ศึกษาด้วยวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในประเทศไทยท่ีมีความถี่ในการ ใช้เวลาว่างอย่างสม่าเสมอ ได้มาจากการเลือกตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) คือ มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง และสุ่มกลมุ่ ตัวอย่างอกี ครัง้ ด้วยการสุ่มแบบกรณีหลากหลาย (Maximum Variation Sampling) จานวน 30 คน คณะวิจยั ใช้การเก็บรวบรวมขอ้ มูลแบบบรรยายเหตกุ ารณ์สาคัญท่ีมีค่าดัชนีความ สอดคลอ้ งอยู่ 1.0 โดยมีการบรรยายเก่ียวกบั พฤติกรรมการใช้เวลาว่างแบบจริงจัง และสาเหตุในการตัดสินใจ ใช้เวลาว่างอย่างจริงจัง ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังของอาจารย์มหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่เป็นการเข้าร่วมกิจกรรมหรือสถานบริการทางการใช้เวลาว่างนอกท่ีพักอาศัย โดยปัจจัยที่ทาให้เกิด พฤติกรรมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเด็น ได้แก่ การตระหนักรู้ และ การรับรู้ การใช้เวลาว่างอย่างจริงจังเป็นส่วนหน่ึงของความงอกงามและความสขุ เพิ่มข้ึนในตัวบุคคล ซึ่งนาไปสู่การเกิด พฤตกิ รรมการใชเ้ วลาว่างอยา่ งตอ่ เนื่องดว้ ยมีการเพิ่มความท้าทายของกิจกรรม เพื่อเพิ่มพนู ประสบการณ์และ สนองความตอ้ งการของตนเองอย่างยง่ั ยืน จนหลอมรวมกลายเป็นพฤตกิ รรมหนง่ึ ทีเ่ กิดขึ้นในชีวิตประจาวัน คาสาคัญ: การใช้เวลาวา่ งแบบจรงิ จัง; พฤตกิ รรมการใช้เวลาว่าง; อาจารยม์ หาวทิ ยาลยั Corresponding Author: ดร.วณฐั พงศ์ เบญจพงศ์ ภาควชิ าพลานามัย มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง Email: [email protected]

THE STUDY ON SERIOUS LEISURE BEHAVIORS OF LECTURERS IN UNIVERSITY Wanatphong Benjaphong, Kakanang Phapaisub, and Wimonmarn Somkana Department of Physical Education, Ramkhamhaeng University Abstract Serious Leisure is an activity or an event that people are willing to participate in almost everyday and becomes a part of their daily life. The leisure activities help a number of citizens to improve their knowledge, skills and gain a lot of experiences which can be increased opportunities and quality of life. The objectives of this research were to 1) study the serious leisure behaviors of people who participate in one of leisure activities, and 2) study the factors affecting spending serious leisure time. The methodology of this study was qualitative research, and the sample were the lecturers who worked at the university and spent their free time regularly. 30 samples were selected Ramkhamhaeng University lecturers by purposive sampling, and Maximum Variation Sampling method. The data were collected by critical incident that had Index of Consistency (IOC) = 1.0 with a description about their serious leisure behaviors and factors for making decision on spending serious leisure time. The results showed that most of samples participated in serious leisure outside their residences and the causal factors for making decision on spending serious leisure time were classified into two groups which were 1) awareness and 2) perception. The serious leisure was a part of growth and happiness of an individual that leads to the leisure behaviors which increase their challenge continually, in order to enhance their experiences and meet sustainable needs until it becomes a part of their behavior in daily life. Keywords: Serious leisure, Leisure Behaviors, Lecturer in University. Corresponding Author: Wanatphong Benjaphong, Department of Physical Education, Ramkhamhaeng University Email: [email protected]

บทนา กิจกรรมนันทนาการและการใช้เวลาว่าง เป็นส่วนหน่ึงที่เกิดข้ึนในชีวิตประจาวันของทุกกลุ่มวัย โดยมุ่งเน้นให้บุคคลมีอิสระในตัดสินใจทากิจกรรมใด ๆ ก็ตามเพ่ือตอบสนองความต้องการ และเติมเต็ม ความสุขให้กับตนเองภายใต้เวลาว่างที่ตนมีอยู่จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของตนเอง แม้กิจกรรม นันทนาการและการใช้เวลาว่างจะผกผันกับทุกกลุ่มวัยก็ตาม แต่สาหรับกลุ่มประชากรวัยทางาน โดยเฉพาะ อาจารย์ระดับอุดมศึกษามักให้ความสาคัญไปกับหน้าท่ีและความรับผิดชอบในการทางานตามอุดมการณ์ ทางการศึกษา การสร้างรายได้ และความมั่นคงให้กับตนเองมากกวา่ การให้ความสาคัญกับหน้าที่และบทบาท อืน่ ๆ ในชวี ิต จนบางครัง้ เกดิ การลดและละเลยการให้ความสาคญั ของเวลาวา่ งทมี่ อี ยู่ ในการแสวงหาความสุข ให้ตนเองจากเวลาว่าง ซ่ึงอาจเกิดมาจากการเรียงลาดับความสาคัญของส่ิงต่าง ๆ ในชีวิต รวมไปถึงการ ขาดความรู้ ความเข้าใจ และการเห็นคุณค่าของการใช้เวลาว่างอย่างแท้จริง (Department of Physical Education, 2017) จึงทาให้คนวัยทางานในอาชีพอาจารย์ระดับอุดมศึกษามักขาดสมดุลในการใช้ชีวิต และ เกิดความเครียดได้งา่ ย จนกระท้ังมีปญั หาสุขภาพอืน่ ๆ ตามมา จากการสารวจระบาดวิทยาสขุ ภาพจิต พบว่า ประมาณ 16 ล้านคนมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางจิตเวช โดยปัญหาเหล่านี้ถูกมองข้าม ไม่ได้รับการแก้ไข จนทาให้อัตราการการฆ่าตัวตายสาเร็จในกลุ่มคนทางานสูงที่สุด (Chomnapas Wangein, 2018) ซึ่งแสดง ให้เห็นว่าการความไม่สมดุลของเวลาในวิถีชีวิต โดยเฉพาะการขาดการใช้เวลาว่าง เป็นต้นตอหนึ่งของการ บัน่ ทอนความสขุ ของคนวยั ทางานได้ แม้ว่าการสารวจความสุขระหว่างเดือนกรกฎาคม – เดือนสิงหาคม 2561 พบว่า คนวัยทางานส่วนใหญ่ ร้อยละ 67.89 ยังมีค่าคะแนนความสุขอยู่ในระดับดี แต่มีโอกาสเสี่ยงท่ีความสุขของคนวัยทางานจะลดลงได้ เน่ืองจากค่าคะแนนความสุขอยู่ในระดับต่ากว่าปกติ ร้อยละ 32.11 (Department of Mental Health, 2018) แสดงว่า หากคนวัยทางานส่วนหนึ่งไม่มีวิธีสร้างสมดุลที่เหมาะสมในการใช้ชีวิตประจาวัน ระดับ ความสขุ อาจจะลดลงไปเรอ่ื ย ๆ ดงั นั้นการใหค้ วามสาคัญกบั การทากิจกรรมการใช้เวลาว่าง จงึ เป็นวิธกี ารหนึ่ง ในการสร้างสมดุล และป้องกันปัญหาที่คอยบั่นทอนความสุขให้กับชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เวลาว่าง อย่างจริงจัง (Serious Leisure) ซึ่งหมายถึง การใช้เวลาว่างท่ีมีการฝึกฝน ได้รับความรู้และทักษะอย่าง เป็นระบบจนการทากิจกรรมเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต มีการบันทึกเพื่อเฝ้าดูความสาเร็จท่ีเกิดขึ้น ทั้งน้ี กิจกรรมต่าง ๆ ต้องอยู่บนพ้ืนฐานของความมุ่งม่ันตั้งใจ (Rojeck, 2005) ซ่ึงการใช้เวลาว่างอย่างจริงจัง นอกจากจะทาให้บุคคลได้รับความเพ่ิมพูนของทักษะและความรู้จากความพยายามทากิ จกรรมน้ันอย่าง สม่าเสมอแล้ว ยังเป็นส่วนสาคัญที่ให้บุคคลเกิดทักษะเฉพาะมากข้ึน อันนาไปสู่การเกิดความมั่นใจในตนเอง (Self – Confidence) ท่สี ่งผลต่อความสาเร็จในการยกระดบั ตนเอง (Self - Enhancement) ได้ จากหลักการขา้ งต้น แสดงให้เห็นถึงองคป์ ระกอบการใช้เวลาว่างอยา่ งจริงจัง 3 ประการ ได้แก่ ความ เป็นมอื สมคั รเล่น การแสวงหางานกิจกรรมในเวลาว่าง และความสมคั รใจ โดยองค์ประกอบเหลา่ นจี้ ะเป็นสว่ น สาคัญในการสนับสนุนการเข้าร่วมกิจกรรมการใช้เวลาว่างให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน อันเป็นจุดเปล่ียน บางประการในชีวิตและเกิดความสาเร็จอย่างเป็นลาดับข้ันตอน (Stabbin, 1999 as cited in Blackshow, 2010) จึงอาจกกล่าวได้ว่า การใช้เวลาว่างอย่างจริงจังเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้คนวัยทางาน โดยเฉพาะอาจารย์มหาวิทยาลัยให้รู้จักสร้างสมดุลให้กับชีวิตพร้อม ๆ กับพัฒนาความสามารถในด้านต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ผ่านการใช้เวลาว่างท่ีตนเองมีอยู่ จนกลายเป็นวิถีชีวิตและเกิดการพัฒนาตนเองจากการเข้าร่วม กิจกรรมนันทนาการและการใช้เวลาว่างอย่างยั่งยืน ดังกลยุทธ์แผนนันทนาการแห่งชาติฉบับที่ 3 ที่มุ่งเน้น การตระหนักเห็นคุณค่าของนันทนาการ โดยการสร้างโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการจนกลายเป็นวิถี ชีวิตได้ (Department of Physical Education, 2017) เช่นเดียวกับ การตระหนักเห็นความสาคัญการหา

แนวทางป้องกัน แก้ไขปัญหา และการดูแลสุขภาพจิตของคนวัยทางาน เพื่อให้มีภาวะสุขภาพจิตท่ีดี (Department of Mental Health, 2018) ดังนั้นคณ ะผู้วิจัย จึงมีความส นใจในการศึกษาพฤติกรรมการใช้เวลาว่างแบบจริงจังของ อาจารย์ มหาวิทยาลัย ดว้ ยวิธีการวจิ ัยเชิงคุณภาพด้วยการตอบแบบบรรยายเหตกุ ารสาคัญ และการสมั ภาษณ์ อันเป็น ประโยชน์ต่อหน่วงานภาครัฐและเอกชนที่ให้บริการทางนันทนาการ ในการพัฒนาแนวทางการให้บริการ นนั ทนาการและการใช้เวลาวา่ ง ในการสง่ เสริมการใชเ้ วลาวา่ งให้เป็นสว่ นหนึ่งของชีวติ คนวัยทางานอย่างยัง่ ยืน วตั ถปุ ระสงค์ 1. ศกึ ษารูปแบบและพฤติกรรมการใชเ้ วลาว่างแบบจรงิ จัง 2. ศกึ ษาปัจจัยที่ทาให้ตัดสินใจใช้เวลาว่างแบบจรงิ จังของอาจารย์มหาวิทยาลยั คาถามการวจิ ยั 1. รูปแบบและพฤติกรรมการใชเ้ วลาวา่ งแบบจรงิ จงั ของอาจารย์มหาวิทยาลยั เป็นอย่างไร 2. ปัจจยั ใดเป็นสาเหตุใหต้ ดั สนิ ใจใช้เวลาวา่ งอยา่ งจริงจงั ของอาจารยม์ หาวทิ ยาลยั วิธดี าเนินการวิจัย การศึกษาในคร้ังนี้ มุ่งศึกษาเร่ืองการใช้เวลาว่างแบบจริงจังของอาจารย์ในมหาวิทยาลัย โดยผู้วิจัย กาหนดให้มีการเก็บข้อมูลการวิจัยกับอาจารย์แต่ละคณะในมหาวิทยาลัยรามคาแหงท่ีมีการใช้เวลาว่างอย่าง สม่าเสมอ จานวน 30 คน ระหวา่ งวันที่ 17 - 21 มถิ นุ ายน 2562 โดยมวี ิธดี าเนินการวจิ ัยดังต่อไปน้ี 1. กลุ่มตัวอย่างเปน็ อาจารยม์ หาวิทยาลัยในประเทศไทยท่ีมีความถี่ในการใช้เวลาว่างอย่างสม่าเสมอ ได้มาจากการเลือกตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) คือ มหาวิทยาลัยรามคาแหง และสุ่ม กลุ่มตัวอย่างอีกคร้ัง ด้วยการสุ่มแบบกรณีหลากหลาย (Maximum Variation Sampling) จากคณะต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย โดยมเี กณฑก์ ารคัดเขา้ คอื 1.) เปน็ อาจารย์มหาวิทยาลัยรามคาแหง 2. มีการเข้ารว่ มกิจกรรม การใช้เวลาว่างท่ีตนเองสนใจอย่างสม่าเสมอ ไม่น้อยกว่า 3 คร้ังต่อสัปดาห์ 3.) กิจกรรมที่เข้าร่วมต้องเป็น กจิ กรรมเดยี วกัน 2. เคร่ืองมือการวิจัยการวิจัยคร้ังนี้ เป็นวิจัยเชิงคุณภาพท่ีใช้แบบบรรยายเหตุการณ์สาคัญ (Critical Incident) จานวน 2 ข้อ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คณะผู้วิจัยได้ส่งแบบบรรยายเหตุการณสาคัญให้ ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (content validity) จานวน 3 ท่าน ข้อคาถามแบบ บรรยายเหตุการณสาคัญทั้งสองข้อมีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ 1.0 และทดสอบความเชื่อม่ัน (reliability) ด้วยการพิจารณาความเป็นปรนัย (Objectivity) ของเคร่ืองมือ โดยให้บุคคลท่ีมีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่ม ตัวอย่างทดลองใช้เคร่ืองมือท่ีสร้างขึ้นพบว่า ผู้ตอบบแบบบรรยายเหตุการณ์สาคัญ มีความเข้าใจข้อคาถาม และสามารถตอบตรงประเดน็ ท่ีผวู้ ิจัยตอ้ งการศึกษาได้ 3. ขัน้ ตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล คณะผู้วิจัยได้นาแบบบันทึกเหตุการณ์สาคัญที่ผ่านการหาคุณภาพ เคร่ืองมืองานวิจัยแล้ว ให้กลุ่มตัวอย่างได้บันทึกตอบและบรรยายเหตุการณ์สาคัญท่ีเก่ียวข้องกับการใช้เวลา ว่างอยา่ งจรงิ จังของตนเองลงไปตามคาชีแ้ จง 4. การวิเคราะห์ข้อมูล คณะผู้วิจัยรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างและมีการวิเคราะห์แบบบรรยาย เหตุการณ์สาคัญด้วยวิธีการอุปนัย (inductive) และตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้าด้านผู้วิจัย (Investigator Triangulation) โดยคณะผวู้ ิจัยแต่ละคนจะทาวิเคราะห์ขอ้ มูลดว้ ยตนเอง และนาผลของการวจิ ัยของแตล่ ะคน มาเปรียบเทียบความสอดคล้องและทิศทางการตีความข้อมูลเพื่อลดความผิดพลาดและลาเอียงของการ วเิ คราะห์ข้อมลู

ผลการวิจยั 1. รปู แบบและพฤติกรรมการใช้เวลาวา่ งอย่างจริงจัง การเข้าร่วมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังของอาจารย์มหาวิทยาลัย มีกลุ่มตัวอย่าง จานวน 28 คน ท่ีผ่านคุณสมบัติตามเกณฑ์คุณลักษณะท่ีกาหนดไว้ โดยเป็นชาย 12 คน และหญิง 16 คน โดยมีอายุเฉลี่ย อยู่ที่ 45 ปี กล่มุ ตัวอยา่ งส่วนใหญ่มีการทากิจกรรมการใช้เวลาว่างนอกสถานท่ีมากกว่าการทากิจกรรมภายใน ท่ีพักอาศัย โดยนาย A หนึ่งในผใู้ ห้ข้อมูล ได้บรรยายเหตกุ ารณ์สาคัญทที่ าให้ช่นื ชอบการทากิจกรรมนอกสถาน ที่ว่า “ไปข้างนอกทาให้ได้เจอเพื่อน ๆ และรู้จักเพื่อนใหม่” และอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า“รู้สึกเหนื่อยจากการ ทางานการไปข้างนอกก็ถือว่าได้เปลี่ยนบรรยากาศท่ีทาให้มีแรงกลับมาทางานได้อีก” ในกลุ่มตัวอย่างที่มี ครอบ ครั วแล้ว การใช้เว ลาว่าง นอ อกที่ พั กอาศัย ร่วม กับ สมาชิกใน ครอ บค รัว ก็ยังเป็ น ส่ว นห นึ่ งที่เพ่ิ ม พู น ประสบการณ์และเติมเต็มความสุขได้เช่น นาง B ได้บรรยายว่า “เวลาอยู่ข้างนอกแล้ว ได้เห็นอะไรใหม่ ๆ แปลกตา และรสู้ กึ มีความสุขทาให้ไดใ้ ช้เวลากบั คนท่รี ัก” กลุม่ ตัวอย่างจานวน 24 คน หรอื คดิ เป็นร้อยละ 85.71 มีลักษณะการเข้ารว่ มกจิ กรรมการใชเ้ วลาวา่ ง แบบจริงจังด้วยตวั คนเดียว เพราะต้องการอยู่กับตนเอง แต่ตระหนักรู้เรื่องตา่ ง ๆ ทีเ่ ก่ียวกับตนเอง เช่นการให้ เหตุผลการเข้าร่วมกิจกรรมด้วยตัวคนเดียวของนาย C ที่อธิบายว่า “วันน้ันเจอคนเยอะมากแล้วไง ทั้งนักศึกษาและเพื่อนอาจารย์บางทีต้องแก้ปัญหาเก่ียวงานเยอะจนลืมกินข้าว จนถึงบ้านและได้อยู่คนเดียว มันทารู้สึกว่าน้ีคือเวลาของเราได้สนใจตัวเองสักที” ในทางกลับกันกลุ่มตัวอย่าง จานวน 4 คน หรือคิดเป็น ร้อยละ 14.29 เลือกเข้าร่วมกิจกรรมแบบเป็นคู่หรือกลุ่มด้วยเหตุผลบางประการ ดังท่ี นาง D ได้บรรยาย เหตุการณท์ ี่ตนประทับใจว่า “อยากมีส่วนร่วมกบั กจิ กรรมที่แฟนชอบจึงขอแฟนเลน่ เกมด้วย ซ่ึงเป็นเกมท่ีต้อง เล่นอย่างน้อยเป็นคู่ หรือกลุ่มใหญ่” ซ่ึงแสดงให้เห็นว่าชนิดของกิจกรรม (activity area) และบุคคลรอบข้าง นั้นมีอทิ ธิพลต่อการตัดสนิ ใจเลอื กรปู แบบการเขา้ ร่วมกิจกรรม (activity format) ตา่ งๆ คณะผู้วิจัยทาการพิจารณาถึงประเภทของกิจกรรมที่เข้าร่วมมากที่สุดจานวน 17 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 60.71 คือ กิจกรรมกีฬาและการออกกาลังกาย จากแบบบรรยายเหตุการณ์สาคัญของกลุ่มตัวอย่างที่ทา กิจกรรมกีฬาและการออกกาลังกาย พบเหตุผลไปในทางเดียวกัน คือ ความต้องการทาให้ตนเองรู้สึกสดชื่น กระปร้ีกระเปร่า เพ่ือเตรียมความพร้อมต่อการทางาน ดังเช่น การบรรยายของ นาย E อธิบายว่า “ตอนเย็น วันน้ันรู้สึกว่าเฉ่ีอยมากจนรู้สึกไม่สบายตัว อยากพักแต่ก็ไม่อยากกลับบ้านนอนเลยไปออกไปวิ่งที่สนามกีฬา หลังจากวิ่งเสร็จ รู้สึกสดชื่น โปรง่ โลง่ มาก ความรู้สึกก่อนหน้าน้ีหายไป รู้สึกมีแรงทางานวนั รุง่ ข้ึน” นอกจากกิจกรรมกีฬาและการออกกาลังกายแล้ว ยังพบกิจกรรมอ่ืน ๆ ท่ีเข้าร่วมอย่างจริงจังอีก ได้แก่ การท่องเท่ียว จานวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 14.29 กิจกรรมงานอดิเรก (ประเภท การหาความรู้ การคิด สร้างสรรค์ การสะสม) จานวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 14.29 การละคร ภาพยนตร์ จานวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 7.14 กิจกรรมศิลปะ จานวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 3.57 และเกมออนไลน์ จานวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 3.57 ตามลาดบั โดยสาเหตุของการตัดสนิ ใจเข้ารว่ มกิจกรรมขา้ งตน้ เกดิ ข้ึนได้อย่างหลากหลาย เชน่ นาง F บรรยาย ถงึ กจิ กรรมการท่องเทย่ี วของตนเองว่า “มีความสุขและชน่ื ใจไปพร้อม ๆ กันทท่ี าใหค้ นในบ้านไดพ้ ูดคุยกันมาก ขึ้น ได้เห็นความสุขของคนรอบตัวเรา” ในขณะท่ี นาย G ซึ่งตัดสินใจใช้เวลาว่างเช่นเดียวกันแต่เลือก ท่องเทีย่ วคนเดียวได้บรรยายว่า “รู้สกึ ตื่นเต้น เป็นอิสระท้าทาย มันทาให้เราหลุดไปอยอู่ ีกโลกนงึ ได้” ซง่ึ แสดง ให้เห็นว่าการตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมเหล่าน้ีเป็นลักษณะของการเติมเต็มความคาดหวังของตนเอง และ เพิ่มพูนประสบการณ์ชีวิตของตนเองผ่านกิจกรรมต่างๆท่ีตนเองคาดว่าจะตอบสนองตนเองได้ แม้ว่าจากแบบบรรยายเหตุการณ์สาคัญจะไม่สามารถบ่งช้ีถึงระยะเวลาในการเข้าร่วมเวลาว่างอย่าง จริงจงั ท่ีแนน่ อนได้ แตก่ ารเขา้ ร่วมกิจกรรมการใชเ้ วลาว่างอยา่ งจริงจงั น้ันกลบั แสดงให้เหน็ ถึงความมงุ่ ม่ันต้ังใจ และให้ความสาคัญต่อการใช้เวลาว่างของตนเองอย่างมาก ดังที่ นาย C ได้บรรยายว่า “หลังวิ่งเสร็จแล้วรู้สึก

ดีมากจนอยากทาอีก วันน้ันเลยตั้งกติกาให้ตัวเองว่าจะตั้งใจว่ิงอย่างสม่าเสมอ ถ้ารู้ว่าพรุ่งนี้จะไม่ว่าง ก็ไม่เป็นไร วันท่ีได้วิ่งก็จะทาให้เยอะข้ึนเหมือนเป็นการชดเชยช่วงท่ีขาดไป” หรือการแสดงทัศนคติที่มีต่อ การให้ความสาคัญของการใช้เวลาว่างเท่าที่ตนเองจะทาได้ เช่น คาบรรยายของ นาง J ที่กล่าวว่า “วันน้ัน ยุ่งมากแต่รสู้ ึกวา่ ต้องทาอะไรท่ีชว่ ยคลายความกังวลจากงานลงบา้ งตอนท่ีอยู่ในห้องทางานคนเดียวลองยืดเส้น ยดื สายประมาณ 5 - 10 นาทีได้ พอทาแล้วรู้สกึ สบายใจขน้ึ เลยคดิ ได้ว่าน้ถี ้าเราทาตลอดมันน่าจะชว่ ยเราได้” จากข้อความบนแบบบรรยายเหตุการ์สาคัญบ่งช้ีว่ากลุ่มตัวอย่างได้พยายามกาหนดเวลาที่ชัดเจนในการทา กจิ กรรมเวลาว่างทต่ี นเองสนใจเพื่อให้ตนเองได้มเี วลาตอบสนองความต้องการเกิดพัฒนาตนเองตามที่คาดหวัง ไว้ให้ได้มากท่ีสุด และแสดงให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างพยายามจัดสรรการใช้เวลาว่างของตนเองให้เป็นส่วนหนึ่ง ของชีวติ ประจาวนั จากแบบบรรยายเหตุการณ์สาคัญได้บ่งชี้ความรู้สึกท่ีเกิดขึ้นระหว่างการเข้าร่วมกิจกรรมการใช้เวลา ว่างอย่างจริงจัง โดยกลุ่มตัวอย่างทั้ง 28 คน ให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกัน คือ รู้สึกมีความสุข ได้คลาย ความเครียด เช่น การบรรยายความรสู้ กึ ของ นาย L “เวลาตอนนน้ั สบายใจ พอไดอ้ ยู่กบั ตัวเองแลว้ รู้สกึ ว่าเป็น ตัวของตัวเอง เหมือนเป็นที่ระบายอารมณ์ พอทาเสร็จก็ลืมเร่ืองเครียดไปแล้ว” นอกจากนี้ การใช้เวลาว่าง อยา่ งจริงจงั เป็นแนวทางหนึง่ ที่ช่วยเปิดประสบการณ์ใหมร่ ะหวา่ งที่ทา ซึ่งเป็นสิ่งท่ีกลุ่มตวั อยา่ งได้อธบิ ายอยู่ใน แบบบรรยายเหตุการณ์สาคัญของนางสาว M ว่า “พอทาไปเรื่อยๆ แล้วมันทาให้เกิดการหาวิธีการใหม่ ๆ เพ่ือทดลองว่ามันเหมาะกับตัวเองหรือเปล่า ตอนนั้นคิดว่าลองดู ถ้าทาไม่ได้ก็โอเคจะได้รู้ไว้ แต่ถ้าทาได้ ก็คงจะดี คงจะมีกาลังลองวิธีใหม่ๆให้กับตัวเอง” และนาย N ยังได้อธิบายความรู้สึกของตนเองจากการ เข้ารว่ มเวลาวา่ งอย่างจริงจงั ว่า “เวลาทาได้รู้สกึ ภมู ิใจในตนเองจนหลุดพูดกับตวั เองวา่ เฮ้ย!!! เราทาได้เราก็เก่ง เหมือนกันนะ” เช่นเดียวกับนาย O บรรยายว่า “เป็นจุดเริ่มต้นที่ทาให้ชีวิตเรามีความสุขข้ึน รู้ว่าชีวิต มคี วามหมาย ดูไมล่ อ่ งลอยดี แลว้ ก็ค้นพบ comfort zone ที่แท้จริงของตวั เอง” จากข้อมูลที่คณะวิจัยได้รวบรวม สรุปได้ว่ากลุ่มตัวอย่างมีจานวน 28 คน เป็นชาย 12 คน และหญิง 16 คน มีอายุเฉล่ียอยู่ท่ี 45 ปี กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมการใช้เวลาว่างนอกที่พักอาศัย ของตนเอง เน่ืองจากมีความคาดหวังในการสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น การเติมเต็มกาลังใจให้ตนเอง ตลอดจนการเพ่ิมพูนประสบการณ์ต่าง ๆ โดยพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังมี รูปแบบการเข้าร่วมท้ังรายบุคคล ท่ีมุ่งเน้นที่มุ่งเน้นการตระหนักรเู้ ร่ืองต่าง ๆ เก่ียวกับตนเอง และรูปแบบการ เข้าร่วมแบบกลุ่มท่ีกลุ่มตัวอย่างให้ความสาคัญกับบุคคลรอบข้างเพ่ือสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกัน จึงแสดงให้ เห็นว่า ประสบการณ์ส่วนบุคคลและปัจจัยอ่ืนแวดล้อมอ่ืน ๆ รอบตัวมีอิทธิพลเช่นเดียวกับการเข้าร่วม กิจกรรมการใช้เวลาว่างแบบปกติ เพียงแต่การเขา้ รว่ มกจิ กรรมการใช้เวลาว่างอย่างจรงิ จงั น้ี อาจมีความตา่ งใน เร่อื งของระยะเวลาเข้ารว่ มโดยกลุ่มตัวอย่างได้ใหข้ ้อมูลในทิสทางเดยี วกันว่า ไม่สามารถกาหนดความยาวนาน ของการเข้าร่วมกิจกรรมได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจและความคาดหวังในการประสบความสาเร็จต่อ กิจกรรมนั้น ๆ กล่าวคือ หากมีความคาดหวังท่ีสูงย่อมต้องใช้เวลาเข้าร่วมอย่างต่อเนื่องและมีความถ่ีสูง ซง่ึ แสดงให้เห็นว่าการเข้าร่วมกิจกรรมการใช้เวลาว่างอยา่ งจริงจังได้มกี ารวางแผนท้ังในด้านเป้าหมายของการ เขา้ ร่วมกิจกรรม และการกาหนดช่วงเวลาในการเข้ารวมท่ีแนน่ อน ในกรณีท่ีสถานการณ์การใช้ชีวิตประจาวัน ไปเป็นไปตามท่ีวางแผนไว้ กลมุ่ ตัวอยา่ งมักมีการแสวงหาเวลาเพื่อทดแทนช่วงเวลาวา่ งของตนเองท่ีเปลีย่ นไป อย่างไรก็ตามการเข้าร่วมเวลาว่างเป็นส่วนสาคัญที่ทาให้กลมุ่ ตัวอย่างตระหนักรู้ในตนเอง รู้จักการใช้เวลาว่าง ทีเ่ หมาะสม และเกิดการพฒั นาตนเองในด้านในดา้ นหน่ึงอยา่ งต่อเน่ืองผ่านกระบวนการแสวงหาความเปน็ เลิศ ในกจิ กรรมชนดิ น้ัน

2. ปัจจยั ที่ทาให้เกิดการใชเ้ วลาวา่ งอย่างจริงจงั ปัจจัยการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังของกลุ่มอย่างเกิดข้ึนจากปัจจัยต่างๆท่ีรวมตัวกั น เป็นองค์ประกอบ ส่งผลให้เกิดการตัดสินใจในการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังของแต่ละบุคคล แม้ว่าจุดเริ่มต้น ของการตัดสินใจการใช้เวลาว่างของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน จากแบบบรรยายเหตุการณ์สาคัญนั้นผู้วิจัย สามารถจาแนกถงึ ปจั จัยทเ่ี ปน็ สาเหตุใหเ้ กิดการใช้เวลาวา่ งอย่างจรงิ จังของอาจารยม์ หาวิทยาลยั ไดด้ ังต่อไปน้ี 2.1 การตระหนักรู้ การตระหนักรู้เปรยี บเสมอื นจดุ เร่ิมต้นการเลอื กทากิจกรรมการใช้เวลาวา่ ง โดยการตระหนักรู้ เหล่าน้ีสามารถจาแนกย่อยออกเป็น การตระหนักรู้เก่ียวกับตนเอง คือ ทางด้านร่างกายทางด้านจิตใจ และ ทางด้านพฤติกรรมหรือแบบแผนในการดาเนินชีวิต โดยพฤติกรรมการใช้เวลาว่างของบุคคลมักเกิดจากการ เห็นความเปลีย่ นแปลงของตนเอง ดังเช่น นาย P บรรยายว่า “กอ่ นหน้าจะทากจิ กรรมมีสญั ญานหลายอย่างที่ บอกว่าเราอายุมากข้ึน เหนื่อยง่ายมาก ๆ จนรู้สึกว่าต้องทาอะไรสักอย่างให้ตัวเองแล้ว” ซึ่งสอดคล้องกับ คากล่าวของ นาย Q กล่าวว่า “เมื่อ 5 ปีท่ีแล้วอ้วนมากอึดอัดตัวเอง กรนดังจนสามีตกใจ” จากตัวอย่าง ท่ีแสดงถึงการตระหนักถึงอายุท่ีเพิ่มมากข้ึน อาจทาให้สุขภาพแย่ลงจึงเป็นแรงบันดาลใจที่ทาให้กลุ่มตัวอย่าง ปรบั เปลยี่ นการใช้ชวี ิต ใหม้ เี วลาว่างสาหรับการออกกาลงั กายเพือ่ ทาให้ตนเองมสี ุขภาพดีอยูต่ ลอด นอกจากการตระหนักรู้ตนเองดา้ นร่างกายแล้ว กลุ่มตัวอย่างหลายคนให้ความสาคัญต่อจิตใจ สภาพอารมณ์ ท่ีทาให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นได้ เช่นคากล่าวของ นางสาว D ท่ีได้บรรยายความรู้สึกไว้ว่า “เวลาเล่นเกมแล้วสนุก ลืมเร่ืองเครียด ๆ ท่ีทางานไปเลย” และนาง R “ช่วงน้ันมีปัญหารอบด้านแล้วรู้สึกว่า ต้องหาทางออกให้ใจมันสงบ” จากข้อความข้างต้นเป็นการบ่งชี้ถึงจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการใช้เวลาว่างนั้น เริม่ มาจากการตระหนกั รใู้ นความต้องการของตนเองเพื่อหาวิธีการตอบสนองความต้องการเหล่านั้น อย่างไรก็ตามในบางคร้ังการตระหนักรู้เหล่านั้นอาจเกิดมาจากปัจจัยอ่ืน ๆ ในลักษณะส่ิงเร้า ภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อตัวบุคคลได้ ท้ังความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น บุคคลในครอบครัว และกลุ่ม เพ่ือนฝงู เพื่อใหเ้ กดิ ความเข้าใจซ่ึงกันและกัน มกี ารเรยี นร้กู ารอยู่ร่วมกันกับผู้อ่ืน และการยอมรบั ซ่ึงกันและกัน ดังที่ นางสาว D กล่าววา่ “เร่ิมเล่นเกมเพราะเล่นตามแฟน จะได้รวู้ ่าเขาเล่นอะไร” หรือนาย S ได้บรรยายว่า “ตอนแรกก็เริ่มเดินในหมู่บ้านคนเดียวจนมีเพื่อนบ้านขอมาว่ิงด้วย จนตอนหลังกลายเป็นแก๊งค์ว่ิงตอนเย็น ด้วยกันเกือบ 10 คน รู้สึกสนุกดี” ในบางกรณีปัจจัยท่ีกระตุ้นให้เกิดการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังอาจเกิดจาก การมีบุคคลต้นแบบในการทากิจกรรม ดังท่ีนาย T ที่มีแบบอย่างของการใช้เวลาว่างคือ คุณตูน อาทิวราห์ คงมาลยั ไดบ้ รรยายไวว้ ่า “ดูพตี่ ูนว่งิ ต้ังแต่ใตม้ าเหนือ พต่ี นู ทาได้ กค็ ิดวา่ เราก็ทาไดเ้ หมอื นกนั ” จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก แสดงให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่าง มีเป้าหมายในการใช้เวลาว่างอย่างจริงจงั โดยผ่านการรับรู้ การตระหนักถึงความตอ้ งการ ความสามารถ และ แนวทางการใชเ้ วลาว่างของตนเองไดอ้ ย่างชดั เจน 2.2 การรบั รู้ จากการตระหนักรู้เบื้องต้นทาให้กล่มุ ตัวอย่างสามารถเลือกทากจิ กรรมต่างๆท่ีตนเองต้องการ ได้อย่างชัดเจน จนเกิดการรับรู้ถึงประโยชน์ที่เกิดข้ึนเม่ือใช้เวลาว่าง ดังคาบรรยายถงึ ประสบการณ์ของนาย E ท่ีบรรยายว่า “วันนั้นเป็นวันที่ว่าง และไม่คิดอะไรมาก ทาไปเหมือนว่างก็แค่ฆ่าเวลาเซ็ง พอทาแล้วรู้สึกดีข้ึน มันเติมเต็มความรู้สึกเราได้ รู้สึกโล่ง สบายใจด้วยนะเลยมาบอกตัวเองว่าถ้ามันดีก็ทาต่อไปสิ” ซึ่งเป็นไปใน ทานองเดยี วกับ นาย C กล่าวว่า “หลังจากออกกาลังกายไปสกั พัก แล้วไปเจอเพอ่ื น ๆ บอกวา่ โห ไปทาอะไร มาดูหนุ่มข้ึน พอถ่ายรูปมาแล้วลองดูรูปเพ่ือนรุ่นเดียวกันนี่ดูแก่กว่าเราเยอะเลย” ผลสะท้อนของการใช้เวลา ว่างเหล่าน้ี เป็นส่วนหนึ่งที่นาไปสู่การเห็นคุณค่าการใช้เวลาว่างเพ่ือพัฒนาศักยภาพของตนเอง สร้างความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั เวลาว่าง และสามารถบรหิ ารเวลาทมี่ ีอยู่อย่างจากัดเพื่อทากิจกรรมท่ตี นเองสนใจ และสามารถ

สามารถต่อยอดทาให้ตนเองประสบความสาเร็จหรือมีความสุขกับสิ่งที่ทา เช่นคาบรรยายท่ีอธิบายความรู้สึก ของนาย V ได้กลา่ ววา่ “ตอนนน้ั ออกกาลังกายรู้เลยว่าเหน่ือย มีความรสู้ ึกอยากเลิกทา แต่เวลาทาสาเร็จแล้ว ฮึกเหิม เหมือนมีพลัง อยากทาต่อไปเรื่อย ๆ” และนางสาว M “รู้สึกดีใจท่ีตนเองทาได้ รู้สึกภูมิใจ รู้สึกม่ันใจ กบั ตัวเองมากขึ้น” การรับรู้ถึงประโยชน์ที่เกิดข้ึนในเวลาว่างย่อมทาให้กลุ่มตัวอย่างได้รับความพึงพอใจจากการ บรรลุเป้าหมายที่กาหนดไว้ ตลอดจนเกิดการรับรู้ถึงวิธีการตอบสนองความต้องการในตนเองที่เหมาะสม ผ่านการใช้เวลาว่าง ผนวกเข้ากับความรู้สึกท้าทาย กลุ่มตัวอย่างจึงพยายามหาวิธีการที่จะเพิ่มประสบการณ์ และตอบสนองความต้องการต่าง ๆ ของตนเองภายใต้เวลาว่างที่ตนเองมีอยู่จนกลายเป็นส่วนหน่ึงของชีวิต ตนเอง ดงั ท่ีนาย S อธิบายวา่ “พอทาบอ่ ย ๆ รูส้ กึ ว่ามนั เป็นส่วนหนง่ึ ของชวี ิตไปแล้ว” เชน่ เดยี วกับนางสาว M “วันน้ันตัดสินใจไปเดินเล่นท่สี วนสาธารณะเฉย ๆ ร้สู ึกอยากลองทาอย่างอ่ืนดูบา้ ง แต่รู้สึกเหมือนขาดอะไรไป ยิ่งเห็นคนอนื่ ออกกาลังกายแลว้ รสู้ ึกวา่ ส่งิ ทที่ าอยตู่ อนนไ้ี มใ่ ชเ่ ราเลย” ดังนั้น ปัจจัยท่ีทาให้เกิดการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังของกลุ่มตัวอย่าง สามารถอุปมานได้ว่า มีจุดเริ่มต้นจากการตระหนักรู้ถึงความต้องการของตนเอง จนเข้าสู่กระบวนการสารวจแรงจูงใจของตนเอง หรือการแสวงหาบุคคลตน้ แบบที่ใช้ในการตัดสนิ ใจเลือกกิจกรรมและรูปแบบกจิ กรรมที่เหมาะสม เพอื่ ผลักดัน ให้บรรลุเป้าหมายที่ตนเองคาดหวังไว้ได้ท้ังดา้ นรา่ งกาย จิตใจ ความสัมพันธ์ระหวา่ งบุคคล ไมด่ ้านใดด้านหน่ึง หรือทุกด้าน และเมื่อส้ินสุดกิจกรรมการใช้เวลาว่างเหล่าน้ันแล้วกลุ่มตัวอย่างจะเกิดการรับรู้ถึงผลกระทบ ในแง่บวกแก่ตนเอง จนก่อเกิดการเห็นคุณค่าของการใช้เวลาว่าง และนาไปสู่การใช้เวลาว่างเพื่อตอบสนอง ความต้องการท่ีเพ่ิม หรือมีเป้าประสงค์ท่ีซับซ้อนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิต ของตนเอง อภปิ รายผลการวิจัย ผลการศึกษาการศึกษาพฤติกรรมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจัง แสดงให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีการทากิจกรรมการใช้เวลาว่างนอกสถานท่ีมากกว่าการทากิจกรรมภายในท่ีพักอาศัย โดยเกิดจากความ ต้องการในการเปล่ียนบรรยายกาศท่ีทาให้หลุดพ้นจากสภาวะแวดล้อมเดิมท่ีอาจนาไปสู่ความเครียดหลังเลิก งานได้ ซ่ึงสอดคล้องกับการศึกษาของ Weng and Chiang (2014) เก่ียวกับการฟ้ืนฟูทางจิตวิทยา โดยผ่าน กิจกรรมกลางแจ้งและในร่ม โดยอธิบายว่ากลุ่มตัวอย่างจะปฏิบัติกิจกรรมทางนันทนาการหรือใช้เวลาว่าง ภายนอกสถานที่มากกว่ากิจกรรมภายใน นอกจากน้ีการทากิจกรรมนอกสถานท่ีมีลักษณะการใช้เวลาว่าง อย่างจริงจังยังสามารถแบง่ รูปแบบการเขา้ รว่ มกิจกรรมได้เป็น 2 ประเภท คือ 1) การเข้าร่วมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังแบบรายบุคคล กล่าวคือ การเข้าร่วมกิจกรรมการใช้เวลา ว่างอย่างมุ่งมั่นคนเดียว โดยส่วนใหญ่การเข้าร่วมกิจกรรมคนเดียวเกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอ่ืนมากใน ช่วงเวลาทางาน เช่นการสอน การประสานงานอ่ืนร่วมกับคนอื่น สิ่งเหล่านี้อาจเป็นไปตามบทบาทที่ตนเอง ได้รับจนไม่สามารถแสดงตัวตนของตนเองได้อย่างเต็มที่ การเข้าร่วมกิจกรรมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังคน เดยี วจงึ เปน็ วิถีการหนึ่งทช่ี ่วยให้ไดป้ ลดปลอ่ ยความเปน็ ตัวตนของตนเองออกมาก ทตี่ า่ งจากชีวิตประจาวันเพื่อ เตรียมความพร้อมต่อการทางานต่อไป ดังเช่นทฤษฏีชดเชย (Compensation) ตามแนวคิดของ Wilensky (1960 as cited in Russell, 2005) ได้กล่าวไว้ว่า บุคคลส่วนใหญ่จะใช้เวลาว่างท่ีมีอยู่ตรงข้ามกับวิถีชีวิตท่ี ตนเองพบเจออยู่เป็นประจา นอกจากการเข้าร่วมกิจกรรมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังเป็นส่วนสาคัญในการ ปลดปล่อยตัวตนแล้วยังพบว่ามีความสอดคล้องกับการศึกษาของ กานาโมริ และคณะ (Kanamori et al., 2016) ในเรื่อง การออกกาลังกายคนเดียว และการออกกาลังกายแบบกลุ่มท่ีเกี่ยวข้องกับสถานะทางสุขภาพ ของผูส้ งู อายุในญี่ป่นุ โดยพบว่า กล่มุ บุคคลจะเลอื กทากจิ กรรมแบบเดี่ยว เพราะกจิ กรรมที่ทาคนเดียว ผูป้ ฏบิ ัติ

สามารถกระทาให้มีประสิทธิภาพมากกว่ากระทาเปน็ กลุ่ม ซ่ึงแสดงให้เห็นว่าบุคคลส่วนใหญ่ที่เข้ารว่ มกิจกรรม คนเดยี วมคี วามตอ้ งการในการตระหนกั รเู้ กยี่ วกับตนเองที่ตนเองเพ่มิ มากขึ้นอีกดว้ ย 2) สาเหตุการเข้าร่วมกิจกรรมการใช้เวลาว่างมักตัดสินใจเลือกเข้าร่วมกิจกรรมแบบเป็นคู่ หรือกลุ่ม เนื่องจากความสาคัญกับความสมั พันธ์ท่ีดีระหว่างตนเองกับคนรอบข้าง เช่น ครอบครัว หรือเพ่ือน ตลอดจน การเปิดโอกาสพบเจอเพ่ือนใหม่อีกด้วย ซ่ึงสอดคล้องคล้องกับ ทฤษฏีของ Kelly (1972 as cited in Russell, 2005) ที่อธิบายถึงพฤติกรรมการตัดสินใจเข้าร่วมการใช้เวลาว่างโดยมีส่วนประกอบจาก ความเป็น อสิ ระ (Freedom) และความหมายในชีวิต (Meaning) ซง่ึ อาจเกิดจากแรงจูงใจภายใน หรอื บริบททางสังคม โดยพฤตกิ รรมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังแบบเป็นคู่ หรือกลุ่ม ตรงกับประเภทพฤติกรรมการใช้เวลาว่างแบบ Relational leisure กล่าวคือ มีอิสระในการเลือกเข้าร่วมกิจกรรมสูงและเกี่ยวข้องกับการให้ความหมาย ในชีวิตจากทางสังคม กล่าวคือ การตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมการใช้เวลาว่างท่ี ปรารถนาอยู่ร่วมกับคนอ่ืน เพอื่ ใหต้ นเองและผ้ทู ี่ทากจิ กรรมรว่ มดว้ ยมีความสุข กิจกรรมส่วนใหญ่ที่กลุ่มตัวอย่างเข้าร่วมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจัง คือ กิจกรรมกีฬา และการ ออกกาลังกาย กิจกรรมประเภทดังกล่าวเป็นทางเลือกหน่ึงท่ีใช้เตรียมความพร้อมของการใช้ชีวิตประวัน ของตนเอง จากการได้รับความรู้สึกกระฉับกระเฉงหลังการเข้าร่วมกิจกรรม ท่ีทาให้ตระหนักเห็นความสาคัญ ของการออกกาลังกาย อันเป็นจุดเร่ิมต้นของการเข้าร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง และพยายามแสวงหาระดับ ความยากของกจิ กรรมที่ท้าทายความสามารถของตนเองเร่ือยมาจนกลายเป็นส่วนหนง่ึ ในวิถชี วี ิต ซ่งึ สอดคลอ้ ง กับแนวคิดการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังของ Kelly, & Freysinger (2002) ท่ีอธิบายว่า การใช้เวลาว่าง อย่างจริงจังน้ัน จะต้องมีลักษณะเฉพาะท่ีมีความพิเศษ กล่าวคือ การค้นหาความท้าทายในการพัฒนาทักษะ ของตนเอง ด้วยการทากิจกรรมในเชิงสมัครเล่น แต่การเข้าร่วมกิจกรรมในระยะเวลาท่ียาวนานและใช้มา ตฐานการปฏิบัติในระดับเดียวกับมืออาชีพ ในทานองเดียวกันการตระหนักเห็นความสาคัญของการเข้าร่วม กิจกรรมในเวลาว่าง และมุ่งมั่นพัฒนาความสามารถของตนเองด้วยกิจกรรมการใช้เวลาว่างน้ัน ๆ อย่าง ต่อเน่ือง ยังเกิดข้ึนกับกิจกรรมการใช้เวลาว่างประเภทอ่ืนด้วยเช่นกัน อันได้แก่กิจกรรมงานอดิเรก การท่องเท่ียว ละคร/ภาพยนตร์ และการอ่าน ซ่ึงกิจกรรมเหล่านี้เป็นส่วนเติมเต็มความสุข ส่งเสริมการคิดใน แง่บวกได้ ดังท่ี Stebbins (2017) ได้อธิบายว่า การใช้เวลาว่างอย่างจริงจังน้ัน มนุษย์เลือกท่ีจะทากิจกรรม ท่ีมีรางวัล มีแรงจูงใจ เพื่อให้เกิดความรู้สึกดีกับตนเอง เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ ทักษะ ความสามารถ สว่ นบคุ คล อีกทงั้ สามารถหารายไดจ้ ากกจิ กรรมทีท่ าได้อีกดว้ ย เมื่อพิจารณาถึงระยะเวลาในการทากิจกรรมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังพบว่า ไม่สามารถกาหนด ระยะเวลาท่ีแน่นอนได้ แสดงให้เหน็ ว่าระยะเวลาในการเข้าร่วมมิใช่เป็นตัวกาหนดถึงจุดเริม่ ต้นและการสิ้นสุด ของการทากิจกรรม แต่กลับใช้ความต้องการและความพึงพอใจมาเป็นตัวกาหนดระยะเวลาการเข้าร่วม กิจกรรม ซึ่งสอดล้องกับแนวคิดของ Stebbins (2017) ที่ว่า มนุษย์จะเลือกใช้เวลาท่ีว่างจากการทาหน้าที่ ของตนเองมาทากิจกรรมท่ีตนสนใจ ในทานองเดียวกันการไม่สามารถกาหนดจุดสิ้นสุดของกิจกรรม ได้แสดงให้เห็นถึงถึงความไหลล่ืนของการทากิจกรรมที่มีสมดุลกันระหว่างความท้ าทายและความสามารถ ของตัวบุคคล ดังเช่น แนวคิด Flow ของ Csikzentmihalyi (1997) ท่ีอธิบายว่า การทากิจกรรมด้วยความ ไหลล่ืนนั้น การจากความสัมพันธ์ท่ีสมดุลเหมาะสมกันระหว่างทักษะและความยากของกิจกรรมจนทาให้เกิด ความสนกุ สนาน และขจัดความวติ กกงั วล ความนา่ เบอ่ื ความเฉ่ือยในตัวบุคคลออกไปได้ จากผลท่ีกล่าวมาข้างต้นแสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังของอาจารย์ในระดับ อดุ มศึกษาพบว่า เม่ือตัวบุคคลตระหนักรูถ้ ึงความสามารถ ความต้องการ และช่วงเวลาวา่ งของตนเองได้ ย่อมส่งต่อ การเห็นความสาคัญจากการเข้าร่วมกิจกรรมน้ัน ๆ อันเป็นแรงผลักดันให้เกิดการทาอย่างต่อเน่ืองเพื่อพัฒนา ความสามารถ และตอบสนองความต้องการของตนเองต่อไปเรอื่ ย ๆ เพือ่ ไปสู่ความสามารถในระดบั ทสี่ งู ข้ึน

เขา้ ร่วมกิจกรรมการใช้เวลาเม่ือพิจารณาถึงปัจจัยที่ทาให้เกิดการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังพบว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากการตระหนักรู้ ว่างท่ีตนเองตอ้ งการในตนเอง คอื ทางดา้ นร่างกาย ทางด้านจติ ใจ ทางพฤติกรรมหรือแบบแผนในการดาเนินชีวติ ตลอดจนบริบท ทางอาชพี ท่ีมีลกั ษณะให้บคุ คลแสวงหาความรู้ และการมีทกั ษะในการจัดการตนเอง ซ่งึ กระตุ้นให้กลุ่มตัวอย่าง พยายามค้นหาวิธีการต่าง ๆ โดยใช้ความต้องการและความสามารถของตนเอง เป็นพ้ืนฐานในการกาหนด เป้าหมายและรูปแบบของการตอบสนองความต้องการตนเอง ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกันกับแนวคิดของ Dattilo (2008) ได้อธิบายไว้ว่า การตระหนักรู้ในตนเองเป็นการทาความเข้าใจความชื่นชอบของตนเองที่เก่ียวข้องกับ การตัดสินใจเข้าร่วมการใช้เวลาวา่ งของตนเองและนาไปส่กู ารเข้าร่วมอย่างมีความหมาย ซ่ึงกลุ่มตัวอย่างได้ให้ ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าการตระหนักรู้เกี่ยวกับตนเอง และกิจกรรมตัดสินใจเข้าร่วมน้ันได้ทาให้เกิด การรับรู้ และมีผลสะท้อนทางบวกที่เกิดข้ึนกับตนเองเมื่อส้ินสุดกิจกรรมการใช้เวลาว่าง จนเห็นคุณค่าของ การใช้เวลาว่าง เช่น ความภูมิใจในตนเอง ความสัมพันธ์และการยอมรับท่ีดีจากผู้อ่ืน เป็นต้น สอดคล้องกับ แนวคิดของ Stabbins (1992 as cited in Mannell, & Kleiber, 1997) กล่าวว่า การพยายามทากิจกรรม อย่างมุ่งมั่นน้ัน อาจก่อให้เกิดความรู้สกึ ถึงความสาเร็จและเกิดประโยชน์ทางจติ ใจ เช่น การเติมเต็มความรู้สึก ด้วยตนเอง (Self - enrichment), การแสดงออกด้วยตนเอง (Self - expression), การเป็นส่วนหนึ่งในสังคม (Social belonging) และยังสอดคล้องกับการศึกษาของ Kim, Heo, Lee, & Kim (2014) พบว่า การใช้เวลา ว่างอย่างจริงจังเป็นส่วนหน่ึงของความงอกงามและความสุขเพิ่มขึ้นในตัวบุคคล ซ่ึงนาไปสู่การเกิดพฤติกรรม การใช้เวลาว่างน้ันรูปแบบนั้นอย่างต่อเนอ่ื งด้วยมีการเพ่ิมความท้าทายของกิจกรรม เพอื่ เพ่ิมพูนประสบการณ์ และสนองความต้องการของตนเองอย่างยั่งยืน จนหลอมรวมกลายเป็นพฤติกรรมหน่ึงที่เกิดข้ึนใน ชีวิตประจาวนั ดงั แสดงในภาพที่ 1 การตระหนักรู้ในตนเอง การรบั รู้ การไดป้ ระโยชน์ และ การเห็นคุณค่าของการ ใช้เวลาว่าง ภาพที่ 1 วงจรการการใช้เวลาว่างอย่างจริงจงั (Serious Leisure Cycle) สรุปได้ว่าการตระหนักรู้ในตนเองเป็นส่วนสาคัญท่ีทาให้กลุ่มตัวอย่างแสวงหาวิธีการเพื่อตอบสนอง ความต้องการ และได้รับประโยชน์จากการทากิจกรรมนั้น ๆ จนตระหนักเห็นคุณค่าของการใช้เวลาว่าง และ ช่องทางการพัฒนาความต้องการของตนเองอย่างต่อเนื่องและเกิดความยั่งยืน เกิดความพึงพอใจจนเป็น ส่วนหน่ึงในวิถีชวี ิตของบคุ คล

จากการศึกษาพฤติกรรมการใช้เวลาว่างแบบจริงจังแสดงให้เห็นว่า การเข้าร่วมกิจกรรมการใช้เวลา ว่างอย่างจริงจังนั้น มิใช่แค่เพียงการตอบสนองความต้องการเพื่อความสุขและความสนุกสนาน ตามแนวคิด ทางนันทนาการโดยท่ัวไปเพียงอย่างเดียว แต่การเข้าร่วมกิจกรรมการใช้เวลาว่างอย่างจริงจังนั้น เปรียบเสมือนจุดเร่ิมต้นสาคัญที่มีการกาหนดเป้าหมายย่างชัดเจน เกิดการลงเม่ือปฏิบัติเพื่อให้ประสบ ผลสาเร็จตามความต้องการอย่างจริงจังให้ความสาเร็จเหล่าน้ันเกิดข้ึนอย่างถาวร หรือยั่งยืน แต่ละบุคคล จึงพยายามแสวงหาแนวทางวิธีการใหม่ ๆ ในการเข้าร่วมกิจกรรมที่ตนเองเลือก ซึ่งทาให้เกิดความท้าทาย ความสามารถของตนเองอันเป็นสิ่งเร้าให้บุคคลเกิดความพยายามอย่างจริงจังขึ้นนาไปสู่การได้รับประโยชน์ และการตระหนักเห็นคุณค่าในตนเองที่สูงข้ึน การเห็นความสาคัญของการทากิจกรรมการใช้เวลาว่างเหล่านี้ จึงเป็นสิ่งเร้าให้บุคคลเกิดการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นส่วนหน่ึงในชีวิตประจาวัน ซึ่งอาจเกิดโอกาส โยกย้ายลักษณะกิจกรรมจากกิจกรรมการใช้เวลาว่าง (Leisure activity) ไปสู่กิจกรรมท่ีเป็นหน้าท่ีหรือเป็น สิ่งท่ีต้องทา (Obligation) ในท่ีสุด เช่น การขยายโอกาส และช่องทางการสร้างรายได้เพ่ิมท่ีนอกเหนือจาก อาชพี หลัก เป็นต้น ข้อเสนอแนะจากการวจิ ยั ควรมกี ารใชเ้ คร่ืองมือทห่ี ลากหลายเพ่อื ใช้ในการยืนยนั ขอ้ มลู ให้นา่ เชือ่ ถอื มากข้ึน ข้อเสนอแนะการวิจยั ครัง้ ตอ่ ไป ควรนาข้อมูลที่ได้จากการศึกษาคร้ังน้ีทาการวิจัยเพ่ือพัฒนาแนวทางเชิงกลยุทธ์การส่งเสริมการ เขา้ ร่วมกิจกรรมนันทนาการและการใชเ้ วลาวา่ งอย่างย่งั ยนื ของหนว่ ยงานท่ีเก่ยี วขอ้ งทั้งภาครฐั และเอกชน References Blackshow, Tony. (2010). Leisure. New York: Routledge. Chomnapas Wangein. (2018). Mental health of working people. Retrieved from https://www.thaihealth.or.th/Content/43749% %E2%80%9D.html Csikzenmihalyi, Mihaly. (1997). Finding Flow the Psychology of Engagement with Everyday Life. NY: Basic Books. Dattilo, John. (2008). Leisure Education Program Planning a Systematic Approach. PA: Venture Publishing, Inc. Department of Mental Health. (2018). Department of Mental Health revealed 45% of working - age people were stolen their happiness. Retrieved from https://www.dmh. go.th/news-dmh/view.asp?id=28253 Department of Physical Education. (2017). The 3rd National Recreation Development Plan (2017 – 2021). Retrieved from https://www.mots.go.th/ewt_dl_link.php?nid=10823 Kanamori, S., Takamiya, T., Inoue, S., Kai, Y., Kawachi, I., & Kondo, K. (2016). Exercising alone versus with others and associations with subjective health status in older Japanese: The JAGES Cohort Study. Scientific Reports, 6(1). doi:10.1038/srep39151. Kelly, John R., & Freysinger, Valeria J. (2002). 21st Century Leisure Current Issues. MA: Allyn & Bacon.

Kim, J., Heo, J., Lee, I. H., & Kim, J. (2014). Predicting personal growth and happiness by using serious leisure model. Social Indicators Research, 122(1), 147 - 157. doi:10.1007/s11205-014-0680-0. Mannell, Roger C., & Kleiber, Douglas A. (1997). A Social Psychology of Leisure. PA: Venture Publishing, Inc. Rojek, Chris. (2005). Leisure Theory Principle and Practice. NY: Spinger. Russell, Ruth V. (2005). Pastimes The Context of Contemporary Leisure. IL: Sagamore Publishing, Inc. Stebbins, R. A. (2017). Serious leisure: A perspective for our time. New York: Routledge. Weng, P., & Chiang, Y. (2014). Psychological restoration through indoor and outdoor leisure activities. Journal of Leisure Research, 46(2), 203 - 217. doi:10.1080/00222216. 2014.11950320. Received: June 12, 2020 Revised: July 17, 2020 Accepted: July 21, 2020

การศกึ ษาปญั หาการฝกึ ซ้อมกฬี าฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดกู าล 2020 อคั รัช นวลละออง รายาศิต เต็งกูสุลัยมาน และ ก้องเกียรติ เชยชม คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั การกฬี าแหง่ ชาติ วทิ ยาเขตกระบี่ บทคดั ย่อ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ ศึกษาปัญหาการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งน้ี ได้แก่ นักกีฬา ผู้จัดการทีม ผู้ฝึกสอน และผู้ช่วยผู้ฝึกสอน ทีมละ 51 คน จานวน 12 ทีม รวมทั้งส้ิน 612 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคร้ังนี้มี 247 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า ซ่ึงมีค่าความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหาในภาพรวม ทงั้ ฉบับเทา่ กับ 0.92 และมีค่าความเช่ือม่ันท้งั ฉบับเทา่ กับ 0.97 สถิตทิ ี่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล ประกอบด้วย ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จากผลการวิจัยพบว่า ปัญหาการฝึกซ้อมกีฬา ดังกล่าวมากที่สุดคือ ด้านงบประมาณและสวัสดิการ รองลงมา ได้แก่ ด้านสถานท่ีและอุปกรณ์การฝึกซ้อม ด้านการฝึกซ้อม ด้านนักกีฬาและเพ่ือนร่วมทีม และด้านผู้ฝึกสอน ตามลาดับ จากผลการวิจัยดังกล่าว จะสามารถนาไปใช้ในการปรับปรงุ และพัฒนาโปรแกรมการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใตไ้ ดต้ อ่ ไป คาสาคัญ: ปญั หา; การฝึกซ้อม; ฟุตบอลไทยลีก Corresponding Author: อัครัช นวลละออง คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั การกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตกระบี่ Email: [email protected]

A STUDY OF THAI LEAGUE 3 FOOTBALL TRAINING PROBLEM FOR THE SOUTH ZONE IN SEASON 2020 Akarat Naula-Ong, Raja Syed Tengku Sulaiman, and Kongkiat Choeychom Faculty of Education, Thailand National Sport University Krabi Campus Abstract The purpose of this research was to study the training problems of the Thai Football League 3 (Southern Zone) in the 2020 season. The population used for this study were 51 football players, team managers, coaches, and assistant coaches, with 12 teams, 612 people in total. The samples of this study consisted of 247 people by simple random sampling method. The research instruments were questionnaires, valuation scale. The total content validity and reliability of the questionnaire were 0.92 and 0.97 respectively. The statistics for data analysis consisted of frequency distribution, percentage, mean, and standard deviation. The study results were found that training problems with the highest average score were budget and welfare, followed by training locations and equipment, training, football players and teammates, and coaches, respectively. The results of this study could be used to further improve and develop the training program for the Thai Football League 3 of the South Zone. Keywords: Problem, Training, Thai League Football Corresponding Author: Akarat Naula-Ong, Faculty of Physical Education, Thailand National Sports University, Krabi Campus, Email: [email protected]

บทนา กีฬาฟุตบอลเป็นกีฬาสากลที่ได้รับการยอมรับและนิยมมากท่ีสุดท้ังในและต่างประเทศ กีฬาฟุตบอล มีอิทธิพลอย่างมากต่อตัวนักกีฬา ผู้เก่ียวข้องกับนักกีฬา โค้ช ผู้ฝึกสอน ครอบครัว และผู้ชมหรือประชาชน ทั่วไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงและโดยอ้อม โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การเล่นและแข่งขันกีฬาฟุตบอลในลักษณะ ของกีฬาอาชีพ ทาใหเ้ กิดอาชีพต่าง ๆ ทีเ่ ก่ียวข้องกับฟุตบอล เชน่ นักฟุตบอล โคช้ ผู้ฝึกสอน นักวิทยาศาสตร์ การกีฬาประจาทีม นักจัดการแข่งขัน นักการตลาด ตลอดจนผู้ประกอบอาชีพธุรกิจหรือค้าขายท่ีเกี่ยวข้อง กับกีฬาฟุตบอล อย่างไรก็ตามการที่จะประสบผลสาเร็จในอาชีพต่าง ๆ เหล่าน้ัน ส่ิงสาคัญประการแรก คือ ความจาเป็นท่ีจะต้องได้รับประสบการณ์ตรงและเข้มข้นมากพอในเชิงฟุตบอล ซ่ึงควรได้รับการหล่อหลอม ปลูกฝัง และเรียนรู้เพม่ิ พนู ความรู้ ทกั ษะ และเจตคติที่ดีตอ่ ฟุตบอล เป็นทีย่ อมรบั กันอย่างกว้างขวางวา่ ปัจจัย ความสาเร็จของการได้มาซึ่งชัยชนะในการแขง่ ขันกีฬาฟุตบอล ได้แก่ ความรู้และวิธกี ารด้านวิทยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยีการกีฬา เป็นเครื่องมือสาคัญในการเพ่ิมศักยภาพของนักกีฬาแต่ละประเทศให้สูงขึ้นและยังเป็น เคร่ืองมือในการติดตามและประเมินผลการฝึกซ้อมของนักกีฬาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งน้ีการท่ีจะประสบ ความสาเร็จและเพิ่มขีดความสามารถของกีฬาและบุคลากรทางการกีฬาในการแข่งขันกีฬาเพ่ือความเป็นเลิศ นั้นจาเป็นต้องบูรณาการร่วมกันในการทาการวิจัยและนาผลการวิจัยไปใชใ้ นทีม (Narongsak Kuruphan, 2018, pp. 73 - 78) ดังนัน้ เพื่อท่ีจะเป็นประโยชน์สาหรับในการค้นหาขอ้ มลู ข้อบกพร่องและปัญหาของการเตรียมทีม และการบริหารทีมฟุตบอลนั้นได้ โดยปัญหาท่ีสามารถพบได้จากฝึกซ้อมของนักกีฬาฟุตบอลลีกภูมิภาค ดิวิช่ัน 2 โซนกรุงเทพและภาคกลาง ประกอบด้วย ปัญหาด้านการฝึกซ้อมของนักกีฬาฟุตบอล ปัญหาด้านผู้ฝึกสอน นักกีฬาฟุตบอล ปัญหาด้านนักกีฬาและเพ่ือนร่วมทีม ปัญหาด้านสถานที่ฝึกซ้อมนักกีฬาฟุตบอล ปัญหาด้าน อปุ กรณ์การฝึกซ้อม และปัญหาด้านงบประมาณและสวสั ดิการ (Nirun kamjudpai, & Charnchai Khuntisiri, 2015, pp. 152 - 161) ในขณะท่ีสุพจน์ งดงาม (Supoj Ngodngam, 2015, pp. 22 - 29) พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อ การจัดการทีมฟุตบอลลีกภูมิภาคดิวิช่ัน 2 เขตกรุงเทพมหานครและภาคกลาง ประกอบด้วย ด้านแฟนคลับ ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านองค์การหลักท่ีเก่ียวข้องกับฟุตบอลลีก ด้านงบประมาณ สิทธิประโยชน์ และด้าน การจัดการควรมีแผนการเตรียมความพร้อมนักกีฬาเพ่ือพัฒนาสู่ความเป็นมืออาชีพ จากผลงานวิจัยดังกล่าว อาจมีผลกระทบต่อการฝึกซ้อมของนักกีฬาในเชิงร่างกายและสภาพจิตใจท่จี ะเป็นการกระตนุ้ หรือแรงผลักดัน ใหน้ ักกฬี ามีความต้งั ใจและมุมานะในการฝึกซ้อมกีฬาเพ่ิมมากขึ้น สาหรับในประเทศไทยได้มีกีฬาฟุตบอลอาชีพ โดยการจัดตั้ง บริษัท ไทยลีก จากัด ขึ้นมาแทน บจก. พรีเมียรล์ ีกไทยแลนด์ ตามคาแนะนาของสมาพันธ์ฟตุ บอลเอเชีย และสหพันธ์ฟตุ บอลระหวา่ งประเทศ โดยได้ โอนหุ้นจานวน 99.98% ทท่ี างนายกสมาคมฯ ถือไว้ ใหก้ ับสมาคมกีฬาฟตุ บอลแห่งประเทศไทย ตอ่ มาสมาคม กีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มีนโยบายในการพัฒนาศักยภาพสโมสรฟุตบอลลีก อาชีพอย่างยั่งยืน และยกระดับลีกภายในประเทศ ให้ก้าวไปสู่ลีกชั้นนาของอาเซียนและเอเชีย ในปี พ.ศ. 2562 การแข่งขันฟุตบอลอาชีพในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 3 ลีก ได้แก่ ไทยลีก (thai league) เป็นระบบการ แข่งขันฟุตบอลลีกในระดับสูงสุดของประเทศไทย รองลงมา ไทยลีก 2 (thai league 2) และไทยลีก 3 (thai league 3) (Nirun kamjudpai, 2015, p. 2) โดยการแข่งขันดังกล่าวน้ีเพ่ือให้มีการแข่งขันฟุตบอลลีกเข้าสู่ ระบบการแข่งขันฟุตบอลอาชีพให้มากขึ้น ดังนั้นสโมสรตา่ ง ๆ ท่ีมีสิทธิเขา้ ร่วมการแข่งขันจะต้องมีการเตรียม ทีมกันอย่างเต็มที่เพ่ือต้องการให้ทีมประสบความสาเร็จในการแข่งขัน เพ่ือจะให้ทีมประสบความสาเร็จได้นั้น จะต้องอาศัยนักฟุตบอลภายในทีมช่วยกัน การที่นักฟุตบอลจะมีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน ดังกล่าวมาข้างต้น ได้นั้นจะต้องมีองค์ประกอบหรือปัจจัยท่ีจะจูงใจให้พวกเขาทุ่มเท ต้ังใจเอาจริงเอาจังกบการฝึกซ้อมซ่ึงผู้ท่ี เก่ียวข้องในการเตรียมทีมจะต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ อันเป็นส่ิงจาเป็นในการฝึกซ้อมและจะต้อง สนองตอบความต้องการของนักฟุตบอลได้อย่างครบถ้วนก็จะเป็นขวัญและกาลังใจแก่นักฟุตบอล ทาให้การ ฝึกซ้อมเปน็ ไปอยา่ งเต็มที่ อนั จะกอ่ ให้เกดิ ความสัมฤทธผิ์ ลประสบความสาเรจ็ ในการแขง่ ขนั ต่อไป เนื่องจากมี

การเตรียมทีมในการฝึกซ้อมที่ดี ปราศจากปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ เมื่อถึงเวลาแข่งขัน จะแสดงความสามารถ ได้อย่างเต็มที่ และมีโอกาสที่จะประสบความสาเร็จสงู กวา่ สโมสรหรือทีมท่มี ีการเตรียมทมี ไมด่ ี หรือมีปญั หาใน การฝึกซ้อม หรือเตรยี มทมี เขา้ สกู่ ารแขง่ ขนั การแข่งขันฟุตบอลไทยลึก 3 (thai league 3) เป็นการแข่งขันอีกรายการหนึ่งที่มีการจัดการแข่งขัน เพอื่ มุ่งหวงั ท่ีจะพัฒนาศกั ยภาพบคุ ลากรทางดา้ นกีฬาฟตุ บอลของประเทศในระดบั รากหญ้าให้ดขี ้ึน ซึ่งทีมทีส่ ่ง เข้าทาการแข่งขันส่วนใหญ่เป็นตัวแทนของในแต่ละจังหวัดที่ยังขาดความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน ท้ังด้าน บุคลากร ด้านสถานที่และอุปกรณ์ท่ียังไม่ได้มาตรฐาน ด้านงบประมาณและสวัสดิการต่าง ๆ แม้นักกีฬาหรือ ผู้ฝึกสอนจะมีความสามารถเพียงใด ถ้าขาดการฝึกซ้อมอย่างจริงจังแล้วอาจจะไม่ประสบผลสาเร็จในการ แข่งขัน ถ้าแต่ละทีมมีการเตรียมความพร้อมทุก ๆ ด้าน ในการเตรียมทีม ก็จะเป็นองค์ประกอบหรือแรงจูงใจ ให้นักกีฬาหรือผู้ฝึกสอนทุ่มเทเอาจริงเอาจังกบการฝึกซ้อม ดังนั้น ผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้อง จะต้องเตรียมความ พร้อมในทุก ๆ ด้าน สาหรับการฝึกซ้อมและการแข่งขันให้ดีท่ีสุดเท่าที่จะสามารถทาได้ เพ่ือให้นักกีฬามีขวัญ และกาลังใจในการฝึกซอ้ มอย่างเตม็ ท่ี เพ่ือใหป้ ระสบผลสาเรจ็ ในการแข่งขนั ดังน้ันผู้วิจัยมีความสนใจที่จะศึกษาปัญหาการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 เพอ่ื นาสภาพปญั หาท่ีพบมาใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ในการฝึกซ้อมกฬี าฟุตบอลและนาไปสู่นโยบายการปฏบิ ัติ ในการฝึกซ้อมกีฬาฟตุ บอลให้มีประสิทธิภาพมากย่งิ ข้ึนในอนาคต วตั ถุประสงค์ของการวิจัย เพ่ือศึกษาปญั หาการฝกึ ซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลกี 3 ฤดูกาล 2020 ของโซนใต้ วธิ ีดาเนนิ งานวจิ ยั ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ เป็นบุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดาเนินกิจการกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดกู าล 2020 ซง่ึ ประกอบไปดว้ ย ผูจ้ ัดการทมี ผู้ฝึกสอน ผชู้ ว่ ยผูฝ้ ึกสอน และนักกฬี าจาก 12 สโมสร รวมท้ังส้ิน จานวน 612 คน กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดาเนินกิจกรรมการฝึกซ้อมกีฬา ฟตุ บอลไทยลกี 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 ซ่ึงประกอบไปด้วย ผู้ฝึกสอน ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน และนักกีฬา ซึ่งได้มาโดยการ สุ่มอย่างง่าย (simple random sampling) ตามการกาหนดขนาดตัวอย่างของทาโร่ ยามาเน่ (Taro Yamane) ทร่ี ะดับความเชื่อมั่น 0.95 จานวน 247 คน เครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ยั เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการศึกษาปัญหาการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอล ไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดกู าล 2020 ซ่ึงผู้วิจัยดาเนินการสร้างข้นึ และปรับปรงุ โดยการศึกษา หลักการ ทฤษฎี และ แนวคิด จากตารา เอกสาร วารสาร และรายงานการวิจยั ต่าง ๆ ทเี่ กย่ี วข้อง ประกอบดว้ ย 3 ตอนดงั นี้ ตอนท่ี 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับลักษณะทางประชากรศาสตร์ ได้แก่ อายุ หน้าที่ในทีม รายได้ ประสบการณ์เล่นฟุตบอล และระดับการศึกษาของผู้ตอบแบบสอบถามมีลักษณะเป็นแบบตรวจคาตอบ (checklist) ลักษณะแบบสอบถามตอนที่ 1 เปน็ แบบเลือกตอบ ตอนท่ี 2 แบบสอบถามเก่ียวกับการศึกษาปัญหาการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 มีลักษณะเป็นแบบปลายปิด (close ended) โดยครอบคลุมถึงปัญหาในส่วนที่เก่ียวข้องกับการฝึกซ้อมของ นักกีฬาฟตุ บอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดกู าล 2020 เปน็ แบบมาตราส่วนประมาณค่า (rating scales) โดยกาหนดค่า คะแนนออกเป็น 5 ระดับ คือ ระดับปัญหามากท่ีสุด ระดับปัญหามาก ระดับปัญหาปานกลาง ระดับปัญหา น้อยและไมม่ ปี ญั หา

ตอนท่ี 3 ขอ้ เสนอแนะอ่ืน ๆ แบบสอบถามมีลกั ษณะชนดิ ปลายเปิด (opened - ended questionnaires) ข้ันตอนการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยคร้ังนี้เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัย สร้างข้ึนเพื่อศึกษาปัญหาการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 โดยมีขั้นตอนในการสร้าง แบบสอบถามดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ศึกษาเอกสาร วารสาร ตาราแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ที่เกี่ยวกับพฤตกิ รรมและอปุ สรรคในการออกกาลงั กาย เพื่อนาข้อมูลท่ีไดม้ าเปน็ แนวทางสร้างแบบสอบถาม 2. ศึกษาหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการสร้างแบบสอบถามจากเอกสาร วารสาร ตาราและงานวิจยั ทเี่ กย่ี วขอ้ ง 3. สร้างแบบสอบถามความคิดเห็นการศึกษาปญั หาการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 ฤดูกาล 2020 โซนใต้ 5 ด้าน ดงั น้ี 3.1 ด้านผฝู้ ึกสอน 3.2 ดา้ นนกั กฬี าและเพือ่ นร่วมทีม 3.3 ดา้ นการฝึกซอ้ ม 3.4 ดา้ นสถานท่ีและอปุ กรณ์การฝึกซอ้ ม 3.5 ดา้ นงบประมาณและสวัสดกิ าร 4. นาแบบสอบถามทผี่ ู้วิจยั สร้างขนึ้ ไปขอความอนุเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญ จานวน 3 ท่าน พิจารณาความ เท่ียงตรงเชิงเน้ือหา (content validity) โดยใช้ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามกับวัตถุประสงค์ของ การวิจัย (IOC: index of item – objective congruence) ตามวิธีการของโรวินเนล์ลีและแฮมเบลตัน (Boonchom Sri Sa-Ard, 2011 p. 70) ปรากฏว่าแบบสอบถามท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนมีค่าความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหา ท้งั ฉบบั เทา่ กับ 0.92 5. นาแบบสอบถามท่ีผ่านการพิจารณาความเท่ียงตรงเชิงเนอ้ื หาจากผู้เชยี่ วชาญไปหาค่าความเชื่อม่ัน (reliability) โดยนาแบบสอบถามดังกล่าวไปทดลองใช้ (try - out) กับทีมฟุตบอลราชประชา ซึ่งไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จานวน 30 คน แล้วนาค่าท่ีได้ไปคานวณหาค่าทางสถิติ โดยใช้สูตรสัมประสิทธ์ิแอลฟา (α - coefficient) ตามวิธีการของครอนบาค (cronbach) ปรากฏว่าได้ค่าความเช่ือม่ันของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.97 6. นาแบบสอบถามทีป่ รบั ปรงุ แกไ้ ขแลว้ ไปเกบ็ ข้อมูลกับตวั อย่างที่กาหนด การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ผวู้ ิจยั จะดาเนินการดงั นี้ 1. ผวู้ จิ ยั ดาเนินการประสานผ้จู ัดการทีมและโคช้ เพื่อขออนุญาตและขอความร่วมมือในการจัดเกบ็ ข้อมูล 2. ผู้วิจัยดาเนินการประสานนักกีฬาที่เป็นกลุ่มตัวอย่างเพ่ือขอความร่วมมือในการจัดเก็บข้อมูล โดยผู้วิจัยจะดาเนินการจดั เก็บขอ้ มลู จากกลมุ่ ตวั อยา่ ง 247 คน 3. ผูว้ จิ ัยดาเนนิ การจัดเกบ็ ข้อมูลแบบสอบถามดว้ ยตนเอง 4. ผู้วิจัยเก็บแบบสอบถามคืนและตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถามความถูกต้อง และ ครบถว้ นของคาตอบรวบรวมขอ้ มลู ท่ีได้มาจดั กระทาและวเิ คราะหข์ ้อมูล 5. นาข้อมลู ที่ได้จากแบบสอบถามมาวิเคราะห์หาคา่ สถติ ิ ผลการวิจัย จากการวิเคราะห์ข้อมูลการทาวิจัยเร่ืองการศึกษาปัญหาการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 สามารถสรุปผลการวิจัยดงั ได้ดงั นี้ 1. ข้อมูลท่ัวไปของผตู้ อบแบบสอบถาม

ตารางท่ี 1 ขอ้ มูลท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถาม (n = 247) ข้อมลู ทวั่ ไป จานวน ร้อยละ 1. อายุ 35 14 ไม่เกนิ 20 ปี 152 61 21 – 30 ปี 51 21 31 – 40 ปี 9 4 41 ปี ขนึ้ ไป 247 100 รวม 7 3 15 6 2. หนา้ ท่ี 28 11 ผจู้ ดั การทีม 197 80 ผู้ฝึกสอน 247 100 ผู้ช่วยผูฝ้ ึกสอน นักกีฬา 30 12 91 37 รวม 62 25 39 16 3. รายได้ 25 10 ตา่ กวา่ 5,000 บาทตอ่ เดือน 247 100 5,001 – 10,000 บาทตอ่ เดอื น 10,001 – 15,000 บาทต่อเดือน 34 14 15,001 – 20,000 บาทต่อเดือน 60 24 สงู กวา่ 20,000 บาทตอ่ เดือน 71 29 82 33 รวม 247 100 4. ประสบการณ์ 88 36 นอ้ ยกว่า 1 ปี 147 59 1 – 2 ปี 8 3 3 - 5 ปี 4 2 5 ปขี ้ึนไป 247 100 รวม 5. ระดับการศึกษา มธั ยมศึกษา ปรญิ ญาตรี ปรญิ ญาโท ปริญญาเอก รวม จากตาราง 1 แสดงว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีอายรุ ะหว่าง 21 – 30 ปี คดิ เป็นร้อยละ 61 ทาหน้าที่ นักกีฬา คิดเป็นร้อยละ 80 มีรายได้ระหว่าง 5,001 – 10,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 37 มีประสบการณ์ ดา้ นกฬี าฟุตบอล 5 ปีขน้ึ ไป คิดเปน็ ร้อยละ 33 และสาเร็จการศึกษาระดับปรญิ ญาตรี คดิ เปน็ ร้อยละ 59

ปัญหาการฝกึ ซ้อมกฬี าฟตุ บอลไทยลกี 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 ตารางที่ 2 คา่ เฉลย่ี และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานของการศึกษาปัญหาการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลกี 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 ดา้ นผฝู้ ึกสอน ลาดับ ดา้ นผฝู้ ึกสอน Mean S.D. ระดับปัญหา 1 ระบบการประเมินผลนกั กฬี า 2.31 1.15 น้อย 2 จานวนของผู้ฝกึ สอน 2.26 1.04 นอ้ ย 3 ความสามารถแกป้ ัญหา 2.22 1.11 น้อย 4 ความสามารถในการวเิ คราะห์นักกีฬา 2.15 1.07 น้อย 5 ประสบการณ์เปน็ ผ้ฝู กึ สอน 2.08 1.08 น้อย 6 จติ วทิ ยาในการควบคมุ ทมี 2.07 1.08 น้อย 7 มนุษย์สมั พนั ธ์กบั นกั กีฬา 2.07 1.08 น้อย 8 การอทุ ิศตนในการฝึกซอ้ มกีฬา 2.03 1.11 น้อย 9 การควบคุมอารมณ์ในขณะฝึกซ้อมและแข่งขัน 2.03 1.06 น้อย 10 การวางแผนการฝึกซอ้ ม 1.99 1.06 น้อย 11 ความน่าเชื่อถอื ไม่เปน็ ทย่ี อมรับของนักกีฬา 1.96 1.04 น้อย 12 ความมีวนิ ยั และตรงตอ่ เวลา 1.96 1.07 นอ้ ย รวม 2.10 0.93 นอ้ ย จากตาราง 2 พบว่า ปัญหาโดยรวมของการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 ด้านผู้ฝึกสอน มีอยู่ในระดับน้อย โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.10 และมีค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.93 คือ ปัญหาระบบการประเมินผลนักกีฬามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.31 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.15 ปัญหา จานวนของผู้ฝึกสอนไม่เพียงพอมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.26 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.04 ปัญหาความสามารถ แก้ปัญหาการฝึกซ้อมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.22 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.11 และปัญหาที่พบน้อยที่สุด คือ ปัญหาความมีวินัยและตรงต่อเวลามีค่าเฉลย่ี เท่ากับ 1.96 สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานเทา่ กับ 1.07 ตารางที่ 3 ค่าเฉล่ยี และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานของการศกึ ษาปัญหาการฝกึ ซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดกู าล 2020 ดา้ นนกั กีฬาและเพ่ือนร่วมทมี ลาดบั ดา้ นนักกฬี าและเพ่อื นรว่ มทีม Mean S.D. ระดบั ปญั หา 1 การประเมนิ และปรบั ปรุงตนเอง 2.34 1.00 นอ้ ย 2 ความรับผดิ ชอบและตรงต่อเวลา 2.30 1.02 นอ้ ย 3 ความเป็นตัวเองสงู ขาดการเล่นเปน็ ทีม 2.28 0.99 น้อย 4 ประสบการณใ์ นเลน่ กีฬา 2.24 1.03 น้อย 5 ความมุ่งมนั และขยนั ฝกึ ซอ้ ม 2.22 1.02 น้อย 6 ความอดทนและความทุม่ เทในการฝกึ ซอ้ ม 2.17 1.06 นอ้ ย 7 ปญั หาด้านสุขภาพ 2.14 0.97 นอ้ ย 8 การควบคุมอารมณ์ตอ่ เพ่ือนและผฝู้ กึ สอน 2.08 1.01 นอ้ ย 9 ความสามคั คีในทีม 2.04 1.07 นอ้ ย 10 ขดั แย้งภายในทีม และผฝู้ ึกสอน 1.91 1.04 น้อย รวม 2.17 0.84 น้อย จากตาราง 3 พบว่า ปัญหาโดยรวมของการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลกี 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 ดา้ น นกั กฬี าและเพือ่ นร่วมทมี มีอยใู่ นระดบั น้อย โดยมีคา่ เฉลี่ยเท่ากับ 2.17 และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.84

คอื ปญั หานักกีฬาไม่สามารถประเมนิ ตนเองและปรับปรุงตนเองได้มีค่าเฉลย่ี เทา่ กับ 2.34 ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน เท่ากับ 1.00 ปัญหานกั กีฬาไม่มีความรับผิดชอบและไม่ตรงต่อเวลามีค่าเฉล่ียเท่ากับ 2.30 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 1.02 ปัญหานักกีฬามีความเป็นตัวเองสงู ขาดการเล่นเป็นทีมมีค่าเฉลยี่ เท่ากับ 2.28 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.99 และปัญหาท่ีพบน้อยที่สุด คือ นักกีฬามีปัญหาขัดแย้งภายในทีมและผู้ฝึกสอนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.91 สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.04 ตารางท่ี 4 ค่าเฉลี่ยและสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานของการศึกษาปญั หาการฝกึ ซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลกี 3 โซนใต้ ฤดกู าล 2020 ดา้ นการฝกึ ซอ้ ม ลาดบั ดา้ นการฝกึ ซ้อม Mean S.D. ระดบั ปญั หา 1 การแนะนาโปรแกรมโภชนาการใหก้ บั นักกฬี า 2.87 1.67 ปานกลาง 2 การใหม้ คี วามรูเ้ รื่องปอ้ งกันการบาดเจบ็ 2.57 1.08 ปานกลาง 3 โปรแกรมการฝึกทางด้านจิตใจ 2.52 1.10 ปานกลาง 4 โปรแกรมการผ่อนคลายความตงึ เครียด 2.44 1.15 5 การให้ความรู้ กฎ กติกา มารยาท 2.41 1.04 นอ้ ย 6 โปรแกรมการฝกึ ทกั ษะ ทดสอบทกั ษะของนักกีฬา 2.26 1.09 น้อย 7 การลงโปรแกรมการฝกึ ซอ้ ม 2.25 1.09 นอ้ ย 8 ความทนั สมัยของการฝกึ ซ้อม 2.19 1.10 นอ้ ย 9 รปู แบบการฝกึ ซ้อมไปใช้จริงไมไ่ ด้ 2.17 1.11 นอ้ ย 10 การทดสอบสมรรถภาพทางกายของนกั กีฬา 2.15 1.11 นอ้ ย น้อย รวม 2.38 0.90 น้อย จากตาราง 4 พบว่า ปัญหาโดยรวมของการฝกึ ซอ้ มกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 ดา้ น การฝึกซ้อม มีอยู่ในระดับนอ้ ย โดยมีค่าเฉล่ยี เท่ากับ 2.38 และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.90 คือ ปัญหา ขาดการแนะนาโปรแกรมโภชนาการท่ีเหมาะสมกับนักกีฬามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.87 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 1.67 ปัญหาขาดการให้มีความรู้เรื่องป้องกันการบาดเจ็บมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.57 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 1.08 ปญั หาขาดโปรแกรมการฝึกทางดา้ นจติ ใจมีค่าเฉลีย่ เท่ากับ 2.52 ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานเทา่ กับ 1.10 และปัญหาท่ีพบน้อยทส่ี ุด คือ ปัญหาการทดสอบสมรรถภาพทางกายของนกั กีฬามีค่าเฉลี่ยเท่ากบั 2.15 ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานเท่ากบั 1.11 ตารางที่ 5 ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานของการศกึ ษาปัญหาการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดกู าล 2020 ดา้ นสถานทแี่ ละอปุ กรณ์การฝึกซ้อม ลาดับ ดา้ นสถานท่แี ละอปุ กรณ์การฝึกซอ้ ม Mean S.D. ระดบั ปญั หา 1 หอ้ งเสริมสรา้ งสมรรถภาพทางกาย 2.74 1.38 ปานกลาง 2 แสงสว่างสนามซอ้ ม 2.62 1.25 ปานกลาง 3 สนามซอ้ มไมม่ ีห้องพักผ่อนนักกีฬา 2.60 1.87 ปานกลาง 4 สนามฝกึ ซ้อมไม่ไดม้ าตรฐาน 2.56 1.23 ปานกลาง 5 อุปกรณ์การฝกึ ซอ้ มไม่ทนั สมยั ขาดมาตรฐาน 2.52 1.15 ปานกลาง 6 สนามฝึกซอ้ มอยไู่ กล 2.48 1.21 7 ห้องเปล่ียนเสื้อผ้า และห้องนา้ ไม่เพยี งพอ 2.45 1.22 น้อย 8 อปุ กรณก์ ารฝึกซ้อมไมเ่ พยี งพอ 2.45 1.20 นอ้ ย นอ้ ย

ตารางท่ี 5 ค่าเฉลย่ี และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของการศึกษาปัญหาการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดกู าล 2020 ดา้ นสถานท่ีและอุปกรณก์ ารฝกึ ซ้อม (ตอ่ ) ลาดับ ดา้ นสถานท่แี ละอุปกรณ์การฝกึ ซ้อม Mean S.D. ระดับปญั หา 9 ห้องเกบ็ อุปกรณก์ ารฝกึ ซ้อม 2.40 1.18 นอ้ ย 10 ความปลอดภยั ของสนามฝกึ ซ้อม 2.31 1.13 นอ้ ย รวม 2.51 1.01 ปานกลาง จากตาราง 5 พบว่า ปัญหาโดยรวมของการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 ด้านสถานที่และอุปกรณ์การฝึกซ้อม มีอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.51 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 1.01 คอื ปัญหาสนามซ้อมขาดห้องเสรมิ สร้างสมรรถภาพทางกายมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 2.74 ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐานเทา่ กับ 1.38 ปัญหาแสงสว่างสนามซอ้ มมคี ่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.62 ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานเทา่ กบั 1.25 ปญั หาสนามซ้อมไมม่ ีห้องพักผ่อนนักกฬี ามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.60 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.25 และปัญหา ที่พบน้อยที่สุด คือ ปัญหาความปลอดภัยของสนามฝึกซ้อมมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 2.31 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เทา่ กบั 1.13 ตารางที่ 6 ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของการศึกษาปญั หาการฝกึ ซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลกี 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 ดา้ นงบประมาณและสวัสดกิ าร ลาดับ ดา้ นงบประมาณและสวสั ดกิ าร Mean S.D. ระดับปัญหา 1 ขาดผู้ใหก้ ารสนบั สนุน 2.82 1.32 ปานกลาง 2 ความพึงพอใจต่อสวัสดิการ 2.78 1.21 ปานกลาง 3 เบ้ียเลย้ี ง 2.74 1.30 ปานกลาง 4 การจดั สรรเงินเดือน 2.69 1.24 ปานกลาง 5 การซ้อื ชดุ และอปุ กรณก์ ารแข่งขัน 2.66 1.18 ปานกลาง 6 การจดั สรรทพี่ ักนกั กีฬา 2.63 1.20 ปานกลาง 7 การดูแลความเจบ็ ปว่ ยนกั กีฬา 2.62 1.17 ปานกลาง 8 ประกันสุขภาพและประกนั อุบตั ิเหตุ 2.61 1.15 ปานกลาง 9 การจดั สรรนา้ ด่ืมและโภชนาการ 2.53 1.24 ปานกลาง 10 การจดั สรรเงินเดือนไม่ตรงตามเวลา 2.31 1.25 น้อย รวม 2.64 0.97 ปานกลาง จากตาราง 6 พบว่า ปัญหาโดยรวมของการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 ด้านงบประมาณและสวัสดิการ มีอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.64 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.97 คือ ปัญหาขาดผู้ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 2.82 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 1.32 ปัญหาความพึงพอใจต่อสวัสดิการมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.78 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.21 ปัญหาเบี้ยเลี้ยงไม่เหมาะสมกับการฝึกซ้อมมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 2.74 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.30 และ ปัญหาท่ีพบน้อยที่สุด คือ ปัญหาการจัดสรรเงินเดือนไม่ตรงตามเวลามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.31 ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐานเทา่ กับ 1.25

ตารางที่ 7 สรุปค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และลาดับการศึกษาปัญหาของการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทย ลีก 3 โซนใต้ ฤดกู าล 2020 ลาดบั ลกั ษณะปัญหา ค่าเฉลี่ย S.D. ระดับของปัญหา 1 ดา้ นงบประมาณและสวัสดิการ 2 ด้านสถานที่และอปุ กรณ์การฝกึ ซ้อม 2.64 0.97 ปานกลาง 3 ดา้ นการฝกึ ซ้อม 2.51 1.01 ปานกลาง 4 ดา้ นนักกีฬาและเพื่อนรว่ มทีม 2.38 0.90 นอ้ ย 5 ดา้ นผฝู้ กึ สอน 2.17 0.84 น้อย 2.10 0.93 น้อย รวม 2.36 0.93 นอ้ ย จากตาราง 7 พบว่าระดับปัญหาของการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 มอี ยู่ใน ระดับน้อย สามารถจัดลาดับความสาคัญของปัญหาจากคะแนนเฉลี่ยได้ คือ ปัญหาลาดับที่ 1 คือ ด้านงบประมาณ และสวัสดิการ ปัญหาลาดับที่ 2 คือ ด้านสถานที่และอุปกรณ์การฝึกซ้อม ปัญหาลาดับที่ 3 คือ ด้านการฝึกซ้อม ปัญหาลาดบั ที่ 4 คือ ดา้ นนกั กีฬาและเพอื่ นร่วมทีม และปัญหาลาดบั ที่ 5 คือ ดา้ นผู้ฝึกสอน อภิปรายผลการวิจัย จากผลการวิจัยเรื่องการศึกษาปัญหาการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 พบว่า โดยภาพรวมมีปัญหาระดับน้อย อย่างไรก็ตามเมื่อนาค่าเฉล่ียของปัญหาทุกด้านมาเรียงลาดับจากมาก ไปหานอ้ ย พบว่า ปัญหาด้านที่มีค่าเฉล่ียมากทสี่ ุด คือ ปัญหาด้านงบประมาณและสวสั ดิการ มีปญั หาในระดับ ปานกลาง พบว่า 3 ลาดับแรกท่ีกลุ่มตัวอย่างให้ความคิดเห็นมากท่ีสุด คือ ขาดผู้ให้การสนับสนุน กล่าวได้ว่า การประสบความสาเร็จของทีมส่วนหนึ่งมาจากการได้รับงบประมาณสนับสนุนด้านงบประมาณจากผู้ให้ การสนับสนุนหรือสปอนเซอร์มีส่วนร่วมผลักดันทางด้านกีฬาโดยจะสนับสนุนทางด้านค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น เงินสนับสนุนค่าอาหาร ที่พัก ค่าเสื้อผ้า ค่าอุปกรณ์การแข่งขัน ค่าเช่าสถานที่ฝึกซ้อม เป็นต้น งบประมาณ สนับสนุนในการช่วยส่งเสรมิ และสนับสนุนในการแข่งขนั ล้วนแลว้ แตม่ คี วามสาคญั และจะมีผลต่อการแข่งขัน กับนักกีฬาและทีมโดยตรง นักกีฬาไทยจานวนมากมีฝีมือในการเล่นท่ีดีแต่ไม่สามารถไปต่อได้เพราะไม่มีทุน ในการไปแข่งขันและขาดผู้สนับสนุน ผู้ให้การสนับสนุนน้ัน จะมีท้ังภาครัฐบาลและภาคเอกชน เพราะหากว่า มีผู้สนับสนุนก็จะทาให้นักกีฬาทาผลงานได้ดีมีกาลังใจในการฝึกซ้อม มีความพร้อมในการแข่งขัน ไม่ต้องห่วง หน้าพะวงหลัง กล่าวคือ นักกีฬามีหน้าท่ีแค่ลงทาการแข่งขันและทาผลงานให้ดีที่สุด มีสมาธิในการเล่นอย่าง เตม็ ท่ี ไม่ตอ้ งมากังวลตอ่ เร่ืองราวในอนาคต โดยสามารถตัดโลกภายนอกให้เหลือแตโ่ ลกภายใน คือ การ แข่งขันในสนามเท่าน้ัน โดยใช้ความสามารถได้อย่างเต็มท่ี ซ่ึงผลการแข่งขันจะออกมาเป็นเช่นไร นักกีฬา ก็จะมีความสุขสนุกกับการแข่งขันเพราะว่าได้ทาหน้าท่ีอย่างเต็มที่แล้ว ถึงจะพ่ายแพ้ก็จะมีความมุมานะ เพียรพยายามสู้ต่อไป และถ้าหากได้รับชัยชนะก็จะมีกาลังใจ มีความฮึกเหิม กระหายในชัยชนะ ซ่ึงจะทาผลงาน ได้ดีกว่านักกีฬาที่ขาดผู้สนับสนุนอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม การพิจารณาของผู้ให้การสนับสนุน จะพิจารณา ถึงการชว่ ยในเร่อื งของการนาเสนอตราสินค้าของผู้สนับสนุนทีมด้วยวิธกี ารนาตราสินค้ามาคาดบนเสือ้ แขง่ ขัน ของนักกีฬา และมีการจัดทาป้ายโฆษณาของผู้สนับสนุนท่ีมีอยู่ตามขอบสนามฟุตบอล เพื่อให้ผู้ที่พบเห็นเกิด การจดจาในตราสินค้าน้ัน และยังมีส่วนช่วยในการเสนอขายสินค้าด้วยการต้ังบูธโชว์ และแจกสินค้าทดลอง ให้กับผู้ทเ่ี ข้ามาชมการแข่งขันฟุตบอล ส่วนทางผู้สนบั สนุนทีมก็จะช่วยเหลือสโมสรด้วยวธิ ีการมอบเงินสนับสนุน ทีมตามข้อตกลงท่ีได้กาหนดไว้ (Vongsawat Watchanajumnong, 2014, pp. 1 - 7) รองลงมา คือ ปัญหาความ พึงพอใจต่อสวสั ดิการ (Nirun kamjudpai, 2015, p. 84) กลา่ ววา่ สโมสรควรจดั สรรงบประมาณและสวสั ดกิ าร

เพ่ือเป็นขวัญ และกาลังใจให้แก่นักกีฬา เช่น เบี้ยเลี้ยง เงินพิเศษ เงินเดือน ในการฝึกซ้อมและแข่งขัน ให้เหมาะสมกับความสามารถของนักกีฬาให้เป็นท่ียอมรับท้ังนักกีฬาและผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึง งบประมาณและสวัสดิการในการติดตามดูแลรักษาพยาบาล การตรวจสุขภาพและการให้ความช่วยเหลือ นักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บจากการฝึกซอ้ มและแข่งขันด้วย และปัญหาเบี้ยเลี้ยงในการฝึกซ้อมไมเ่ หมาะสมกบั ระดับ ความสามารถของนักกีฬาหรือผู้ที่เกี่ยวข้องภายในทีมท้ังหมด สโมสรไม่มีเงินพิเศษให้เม่ือทีมได้รับชัยชนะ ในแต่ละนัด อีกทั้งเบ้ียเลี้ยงการฝึกซ้อมท่ีเป็นขวัญกาลังใจในการฝึกซ้อม และสโมสรไม่มีการตรวจสุขภาพ ให้นักกีฬาระหวา่ งการฝึกซ้อมและแขง่ ขัน ปัญหาด้านสถานที่และอุปกรณ์การฝึกซ้อมมีปัญหาในระดับปานกลางพบว่า ปัญหา 3 ลาดับแรก ท่ีกลุ่มตัวอย่างให้ความคิดเห็นมากท่ีสุด คือ สนามซ้อมขาดห้องเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย จากการวิจัย พบวา่ นักกีฬาต้องการห้องเสรมิ สรา้ งสมรรถภาพทางกายเพ่ือสร้างสมรรถนะทางร่างกายใหแ้ ข็งแกร่ง ซ่งึ การฝึก ด้วยน้าหนักเป็นทักษะกีฬาเพื่อให้ได้มาตรฐานขั้นก้าวหน้า และสถานท่ีและอุปกรณ์ในการฝึกซ้อมจะต้องได้ มาตรฐานปลอดภัยใช้ได้สะดวก ผู้บริหารหรือผู้จัดการทีมต้องจึงต้องคานึงถึงการส่งเสริมปัจจัยข้อน้ีอย่างแท้จริง โดยจะต้องพิจารณาให้รอบคอบทั้งด้าน การสร้าง การบารุงรักษา ดังนั้น การลงทุนในสาธารณูปโภคของสโมสร เช่น สนามซ้อม อุปกรณ์ที่ทันสมัย เป็นต้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยท่ีจะช่วยให้ของสโมสรมีการพัฒนาในทิศทางท่ีดี (Sitti Vongthongkum, Leela Tiangsoongnern, & Juta Tingsabhat, 2017, pp. 160 - 173) รองลงมา ปัญหาแสงสว่างของสนามฝึกซ้อมไม่เพียงพอ อาจส่งผลกระทบต่อการฝึกซ้อมของนักกีฬาท่ีอาจจะได้รับ บาดเจ็บระหว่างการฝึกซ้อมได้เน่ืองจากปญั หาแสงไฟส่องสว่างที่น้อยเกินไป ดงั นั้นทางสโมสรหรือผู้เก่ียวข้อง ต้องมองเห็นถึงความสาคัญของสถานที่ในการฝึกซ้อมให้มีแสงสว่างเพียงพอเพื่อให้เกิดการมองเห็นท่ีชัดเจน และลดอุบตั ิเหตตุ ่าง ๆ จากการฝึกซ้อมหรอื แข่งขนั ในช่วงเวลาท่ีจาเป็นตอ้ งใช้แสงสว่าง และปัญหาสนามซ้อม ไม่มีห้องพักผ่อนนักกีฬาหลังจากฝึกซ้อมนักกีฬาอาจเกิดความเครียดจากการฝึกซ้อมหรือความวิตกกังวล ต่อสิ่งรอบ ๆ ข้าง ห้องพักผ่อนหรือห้องนันทนาการจาเป็นต่อนักกีฬาท่ีจะสามารถระบายหรือปลดปล่อย ความเครียดออกมาได้ หรือควรจัดโปรแกรมนันทนาการหรือจัดกิจกรรมต่าง ๆ ก่อนการฝึกซ้อมหรือหลังการ ฝึกซ้อมมาช่วยให้เกิดความผ่อนคลายความเครียดหรือความวิตกกังกลและยังสร้างความสามัคคีในทีม ได้อกี ด้วย ปัญหาด้านการฝึกซ้อม มีปัญหาในระดับน้อย ในขณะท่ีการวิจัยของ นิรันทร์ กาจัดภัย และชาญชัย ขนั ติศิริ (Nirun kamjudpai, & Charnchai Khuntisiri, 2015, pp. 152 - 161) พบว่า ปัญหาการฝึกซ้อมของ นกั กีฬาฟุตบอล ลีกภูมิภาค ดิวิช่ัน 2 โซนกรุงเทพและภาคกลาง ด้านการฝึกซ้อมอยู่ในระดับน้อย ซงึ่ จากผลการวิจัย ปัญหาการฝึกซ้อมกีฬาฟตุ บอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 ด้านการฝึกซ้อม พบว่า ปัญหา 3 ลาดับแรกท่ี นักกีฬาที่เป็นกลุ่มตัวอย่างให้ความคิดเห็นมากท่ีสุด คือ ขาดการแนะนาโปรแกรมโภชนาการท่ีเหมาะสมกับ นักกฬี า รองลงมา คอื ขาดการให้มีความร้เู รอื่ งป้องกันการบาดเจ็บและการรักษาการบาดเจ็บจากการฝึกซ้อม และการแข่งขัน และขาดโปรแกรมการฝึกทางด้านจิตใจ การพฒั นานักกีฬาควรเพิ่มโปรแกรมด้านโภชนาการ สาหรับนักกีฬาฝึกซ้อมและกาหนดให้เหมาะสม เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อการเรียนหรือภาระหน้าที่ประจาวัน ของนักกีฬาและมีการประเมินระดับสมรรถภาพทางกาย และการกาหนดเกณฑ์การฝึกซ้อมควบคู่ไปกับการ โภชนาการสาหรับนักกีฬา เพราะผลจากการทดสอบสมรรถภาพทางกาย จะถูกนามาใช้เพื่อวางแผนกาหนด โปรแกรมการฝึกได้อย่างมีเหตุผลที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซ่ึงจะต้องมีความถูกต้องเหมาะสม สอดคล้องกับความ ต้องการ ความสนใจ และความสามารถของผู้ออกกาลังกายแต่ละบุคคล สามารถพัฒนาระดับสุขภาพ และ สมรรถภาพทางกายอย่างได้ผลและปลอดภัย ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการออกกาลังกายไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทหน้าที่ ของผู้ให้ความรู้ ครู ผู้ฝึกสอน หรือผู้นาด้านการออกกาลังกายก็ตาม จะต้องเป็นผู้ท่ีมีศิลปะอยู่ในตัวเองด้วย ซ่ึงในการทางานตามบทบาทหนา้ ท่ีเหลา่ น้ใี ห้บรรลุผลสาเร็จได้จะต้องบรู ณาการความรจู้ ากสาขาวชิ าการตา่ ง ๆ

เช่น กายวภิ าค สรรี วิทยา เคมี โภชนาการ จิตวิทยา เป็นต้น จะเห็นไดว้ ่าจากการวจิ ัยน้ีกลุม่ ตัวอยา่ งต้องพัฒนา ตนเองท้ังด้านความสมบูรณ์ของร่างกายและความแข็งแกร่งของจิตใจ (Thongchai Charoensupmanee, 2014, p. 56) ปัญหาด้านนักกฬี าและเพื่อนร่วมทีม มีปัญหาในระดับน้อยพบว่า ปัญหา 3 ลาดับแรกที่กลุ่มตวั อย่าง ให้ความคิดเห็นมากท่สี ุด คือ นักกีฬาไม่สามารถประเมินตนเองและปรับปรุงตนเองได้ นักกีฬาไม่มคี วามรับผิดชอบ และไม่ตรงต่อเวลา นักกฬี ามีความเป็นตัวเองสูง ขาดการเล่นเป็นทีม ประเดน็ การแก้ปัญหา คือ ให้นักกีฬาใช้ การพูดกับตนเอง (self - talk) การใช้ทักษะการพูดกับตนเองใช้ในการแก้ไขพฤติกรรมท่ีผิดเพิ่มความเชื่อมั่น และช่วยพัฒนาความรู้สึกท่ีจะควบคุมสถานการณต์ ่าง ๆ ในระหว่างและหลังการแข่งขัน โดยผู้ฝกึ สอนจะต้องให้ นึกถึงสถานการณ์ท่ีผ่านมาและจินตนาการสถานการณ์เพ่ือผ่านไปสู่กระบวนการภายในใจ ซึ่งการพูดกับตนเอง ควรจะออกมาในทางบวก ในสถานการณ์การเล่นน้ันอาจทาได้โดยให้นักกีฬาเขียนข้อความท่ีคิดว่าจะพูดลง ในกระดาษ แล้วนาสง่ิ เหลา่ น้ันมาพูดคยุ วิเคราะหห์ รืออภปิ รายรว่ มกนั หรอื ฝกึ ใหน้ กั กีฬาเขียนคาพดู ท่ีคดิ วา่ จะ ใช้ระหว่างการเล่นที่ช่วยสร้างขวัญและกาลังใจเก่ยี วกับทักษะท่ีตอ้ งกระทา การควบคุมสมาธิและอารมณ์ ถาม นักกีฬาเม่ืออยู่ในสถานการณ์ที่คับขันหรือการฝึกหนัก ๆ ว่าเขาคิดอย่างไร แล้วก็ปรับความคิดของเขาให้เหมาะสม เปล่ียนความคิดท่ีเป็นลบไปเป็นจริงหรือในทางท่ีบวก (Department of Physical Education Ministry of Tourism and Sport, 2013, p.25) ในขณะที่การวิจัยของนิรันทร์ กาจัดภัย และชาญชัย ขันติศิริ (Nirun kamjudpai, & Charnchai Khuntisiri, 2015, pp. 152 - 161) พบว่า นักกีฬาขาดระเบียบวินัย ไม่ปฏิบัติ ตามตารางเวลาทีก่ าหนดไว้ ปัญหาด้านผู้ฝึกสอน ระดับของปัญหาอยู่ในระดับน้อย โดยปัญหา 3 ลาดับแรก คือ ผู้สอนไม่มีระบบ การประเมินผลนักกีฬา รองลงมา คือ ผู้สอนมีจานวนไม่เพียงพอและผู้สอนไม่สามารถแก้ปัญหาการฝึกซ้อม และ ขาดความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนารูปแบบการซ้อมใหม่ ๆ ท่ีทันสมัย จากผลการวิจัยน้ีควรพัฒนาผู้ฝกึ สอน โดยส่งเข้ารับการฝึกอบรมและเข้ารับความรู้ใหม่ด้านการควบคุมทีมอยู่เสมอ เพ่ือแก้ปัญหาด้านผู้ฝึกสอน เมื่อผู้ฝึกสอนผ่านการอบรมการรับรองการเป็นผู้ฝึกสอนในแต่ละระดับมาแล้วควรนาเทคนิคทางทฤษฎี มาใช้ กับทีมให้เห็นถึงการนามาปฏิบัติจริงหรือภาพเชิงประจักษ์ ซึ่งผู้ฝึกสอนอาจจะละเลย หรือไม่ให้ความสาคัญ การแก้ปญั หาทม่ี าจากทฤษฎที ี่นามาปรับใชย้ ากกว่าเทคนิคทางด้านวธิ ีการฝึกสอนในทางปฏิบัติ เน่ืองจากการ เปน็ ผฝู้ ึกสอนใช้ท้ังศาสตรแ์ ละศลิ ป์ในการที่จะนาทีมบรรลจุ ุดมุ่งหมายเดียวกัน ทง้ั ผ้ฝู กึ สอนและนกั กฬี าจะต้อง เรียนรู้ที่จะสัมพันธ์กันเป็นทั้งผู้ให้ ผู้รับรู้ บทบาทและหน้าที่ที่จะประสานสัมพันธ์กัน โค้ชจึงมีบทบาทและ หน้าที่หลากหลาย ท้งั เปน็ แหล่งความรู้ในการจัดกิจกรรมหรือเตรียมทมี และช่วยเหลือนกั กีฬาและเปน็ แมแ่ บบ ให้กับนักกีฬา (Payrin Riyapan, 2012, p.60) บทบาทท่ีสาคัญอย่างหนึ่ง คือ ผู้ฝึกสอนหรือโค้ชต้องสร้าง แรงจูงใจให้นักกีฬาสามารถเล่นกีฬาได้นาน แรงจูงใจที่เก่ียวข้องโดยตรงกับพฤติกรรมมนุษย์ในการที่จะเลือก กระทา หรอื ต้ังใจ และทนท่ีจะกระทาได้อยา่ งต่อเนอ่ื งเปน็ เวลานาน ๆ ดังนั้น ในการท่ีจะพัฒนาทกั ษะทุกชนิด แรงจงู ใจจึงเป็นสิง่ ที่ดที ี่สุดท่ีจะช่วยเพิ่มความพยายามความต้ังใจเพิ่มความอดทนท่ีจะกระทาซ้า ๆ และพัฒนา กระบวนความคิด การประเมินหรือที่เรียกว่า สร้างแรงจูงใจภายใน ที่จะให้ตนเองมีแนวคิดที่เป็นบวกเสมอ มองเหตุการณ์ หรอื มองโลกในแง่ดซี ่ึงสิง่ เหลา่ นปี้ ลูกฝังมาจากครอบครัว พ้นื ฐานความสาเรจ็ และประสบการณ์ ในอดีตและการรับรู้ต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน (Department of Physical Education Ministry of Tourism and Sport, 2013, p. 25)

ข้อเสนอแนะจากการวิจัย ขอ้ เสนอแนะท่ีได้จากการวจิ ยั 1. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากกลุ่มตัวอย่างซ่ึงเป็นนักกฬี า ผวู้ ิจยั จะต้องนัดหมายและเลือกเวลา การเก็บข้อมูลให้เหมาะสม โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ต้องให้กลุม่ ตวั อย่างว่างเวน้ จากภารกิจดา้ นการฝกึ ซ้อมกีฬา 2. การเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจากนักกีฬา ซึ่งมีความหลากหลายด้านอายุ อาชีพ และระดับการศึกษา ดังน้ันผู้วิจัยต้องออกแบบเครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บรวมรวมข้อมูลให้เหมาะสม ใช้ภาษา ทงี่ ่ายแก่การเขา้ ใจ และมีความหมายชัดเจน ขอ้ เสนอแนะในการนาผลการวจิ ยั ไปใช้ 1. ควรนาปัญหาการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 ท่ีเป็นข้อค้นพบของ การทาวิจัยครั้งนี้ ไปเป็นแนวทางในการปรับปรุงการบริหารจัดการทีมกีฬาสโมสรฟุตบอลในประเทศไทย โดยเฉพาะในส่วนของภาคใตใ้ ห้ดขี ้นึ 2. ควรนาปัญหาการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนใต้ ฤดูกาล 2020 ท่ีเป็นข้อค้นพบของ การทาวจิ ยั คร้งั นี้ ไปเป็นแนวทางในการปรับปรุงการบรหิ ารจัดการทมี ของชนิดกฬี าอืน่ ๆ ใหด้ ีข้ึน ข้อเสนอแนะในการวจิ ัยครงั้ ต่อไป 1. ควรวิจัยเปรียบเทียบปัญหาในการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลระหว่างผู้มีส่วนเก่ียวข้อง เช่น นักกฬี าผูฝ้ ึกสอน ผู้บริหารทมี และอ่ืน ๆ 2. ควรมีการศึกษาปัญหาการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก 3 โซนอื่นด้วย อันได้แก่ โซนเหนือ โซนอีสาน โซนตะวนั ออก โซนตะวนั ตก และโซนกรงุ เทพและปริมณฑล 3. ควรมีการศึกษาปัญหาการฝึกซ้อมกีฬาฟุตบอลไทยลีก ในระดับลีกท่ีสูงกว่า คือ ไทยลีก 1 และไทยลกี 2 References Boonchom Sri Sa-Ard. (2011). Fundamental Research. Bangkok: Suveeriyasarn Company Limited. Department of Physical Education Ministry of Tourism and Sport. (2013). Sports Psychology. Bangkok: wvothaiprinting. Narongsak Kuruphan. (2018). Leadership development guidelines for the efficiency of professional football club management. Humanities and Social Sciences Journal, Ubon Ratchathani Rajabhat University, 9(1), (January – June 2018). Nirun kamjudpai. (2015). problems on the training course of the football players in Division 2 Bangkok Zone and Central Zone (Master’s thesis), Kasetsart University. Nirun kamjudpai, & Charnchai Khuntisiri. (2015). Problems on the training course of the football players in Division 2 Bangkok Zone and Central Zone. Kasetsart Educational Review, 30(2). Payrin Riyapan. (2012). Characteristics of effiective soccer coaches in Thai Premier League (Master’s thesis), Srinakharinwirot University.

Sitti Vongthongkum, Leela Tiangsoongnern and Juta Tingsabhat. (2017). Contributing factors to the success of football clubs in the Thai League. Suthiparithat, 31(99), July – September 2017. 160-173. Supoj Ngodngam. (2015). Factors affecting on regional league football division 2 team management in Bangkok Metropolitan and Central Region. Journal of Business Administration The Association of Private Higher Education Institutions of Thailand, 4(1), 22–29. Thongchai Charoensupmanee. (2014). Scientific Principles of Coaching. Bangkok: Physical Education Department. Faculty of Physical Education Srinakharinwirot University. Vongsawat Watchanajumnong. (2014). The study of standard pattern to develop kasem bundit university’s soccer team’s performance to be the professional soccer team: A case for Chonburi FC (Master’s thesis), Kasembundit University. Received: Feb 8, 2021 Revised: March 31, 2021 Accepted: April 2, 2021

ผลของโปรแกรมสร้างเสรมิ ความปลอดภยั ในการขบั ข่รี ถจกั รยานยนตต์ ามทฤษฎกี ารรับรู้ ความสามารถตนเองร่วมกับทฤษฎกี ารดแู ลตวั เองของนกั เรยี นมัธยมศึกษาตอนต้น อภิวฒั น์ กุมภโิ ร จินตนา สรายทุ ธพทิ กั ษ์ สรญิ ญา รอดพิพัฒน์ และ จนิ ตนา บรรลือศักด์ิ คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงการณ์มหาวทิ ยาลัย บทคัดยอ่ การวิจัยวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ ความตระหนัก และการปฏบิ ัติในการ ขับข่ีรถจักรยานยนต์ก่อนและหลังการทดลองของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนน ความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติในการขับข่ีรถจักรยานยนต์หลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลอง และ กลุ่มควบคุม วิธีการดาเนินการวิจัย ประชากรเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนสงั กัดคณะกรรมการ การศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน กลมุ่ ตัวอย่างเป็นนกั เรียนมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ โรงเรียนชโิ นรสวทิ ยาลยั เป็นอาสามสมัคร จานวน 36 คน แบ่งออกเป็นกลุ่มทดลอง 18 คน และกลุ่มควบคุม 18 คน ด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือ ท่ีใช้ในการวิจัย คือ โปรแกรมสร้างเสริมความปลอดภัยในการขับขี่รถจักรยานยนต์โดยการนาทฤษฎีการรับรู้ ความสามารถตนเองและทฤษฎีการดูแลตนเอง ประกอบด้วย 5 กิจกรรม มีค่าดัชนีความสอดคลอ้ ง (IOC) เท่ากับ 1.00 แบบวัดความรู้ ความตระหนัก เป็นแบบข้อคาถามหลายตัวเลือกอย่างละ 30 ข้อ และการปฏิบัติ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 30 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง อยู่ในช่วง 0.6 - 1.0, 0.8 - 1.0 และ 1.00 ค่าความเท่ียง (Reliability) 0.80, 0.82 และ 0.86 ตามลาดับ ระยะเวลาในการวิจัย 8 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความแตกต่างของค่าเฉล่ียคะแนนด้วยค่าทีภายในกลุ่ม (Dependent t - test) และระหว่างกลุ่ม (Independent t - test) ผลการวิจัย พบว่า ค่าเฉล่ียคะแนน ความรู้ ความตระหนัก หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ส่วนค่าเฉล่ียคะแนนการปฏิบัติไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ ค่าเฉลี่ยของคะแนน ความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติในการขับขี่รถจักรยานยนต์หลังการทดลองของกลุ่มทดลองสูงกว่า กล่มุ ควบคุมอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั .05 คาสาคญั : โปรแกรมสรา้ งเสริมความปลอดภัย; การรับรู้ความสามารถตนเอง; การดแู ลตวั เอง; ความปลอดภัย ในการขับขร่ี ถจกั รยานยนต์ Corresponding Author: นายอภวิ ัฒน์ กมุ ภโิ ร คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั Email: [email protected]


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook