Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Academic Journal of Thailand National Sports University, Vol.14 No.1 (January - April, 2022)

Academic Journal of Thailand National Sports University, Vol.14 No.1 (January - April, 2022)

Published by library dpe, 2023-02-01 04:47:53

Description: Academic Journal of Thailand National Sports University, Vol.14 No.1 (January - April, 2022)

Search

Read the Text Version

0 เม่อื ไม่แน่ใจว่าขอ้ คาถามนั้นมคี วามสอดคล้องกับจดุ ประสงคท์ ต่ี ้องการหรือไม่ -1 เมื่อแนใ่ จวา่ ข้อคาถามนั้นไมม่ ีความสอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์ท่ตี ้องการ นาผลการพิจารณาความคดิ เหน็ ของผู้เช่ียวชาญทั้ง 5 ท่าน ในแตล่ ะขอ้ มาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ของข้อคาถามโดยใช้สูตร IOC ในแต่ละข้อ ถ้าข้อคาถามใดมีค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่า หรือเท่ากับ 0.5 แสดงว่าข้อคาถามน้ันมคี วามเท่ียงตรงตามเน้อื หาสามารถนาไปใช้ได้ แต่ถ้าข้อคาถามใดมคี ่าดัชนคี วามสอดคล้อง นอ้ ยกวา่ 0.5 แสดงว่าขอ้ คาถามนน้ั ไม่มีความเท่ยี งตรงตามเน้ือหาไม่สามารถนาไปใช้ได้ 2. นาแบบสอบถามที่ผ่านการพิจารณาจากผู้เช่ียวชาญมาปรับปรุงแก้ไขใหม่ และนาไปทดลอง ใช้ (Try out) จานวน 30 ชุด กับนักศึกษาสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี ที่ไม่ได้เป็นกลุ่มตัวอย่างแล้ว นามาวเิ คราะห์หาคณุ ภาพเครอื่ งมือ 3. นาแบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของนักศึกษาสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขต ชลบุรี ตามสุขบัญญัติแห่งชาติ มาหาคุณภาพของเครื่องมือ โดยหาความยากง่าย (Difficulty) และหาค่า อานาจจาแนก (Discrimination) 3.1 วิเคราะห์ความยากง่าย (Difficulty) ของแบบสอบถามด้านความรู้ตามสุขบัญญัตแิ ห่งชาติ อย่ใู นเกณฑร์ ะหวา่ ง 0.20 – 0.70 3.2 วเิ คราะห์ค่าอานาจจาแนกรายข้อ (Discrimination) เกณฑ์ในการเลือกข้อคาถามที่มี อานาจจาแนก อยใู่ นเกณฑ์ระหว่าง 0.20 – 3.00 4. นาผลทีไ่ ด้จากการทดสอบเครอ่ื งมือมาวิเคราะห์หาค่าความเช่ือม่ันโดยใช้สตู รสัมประสิทธิ์ แอลฟาของครอนบคั (Cronbach’s Alpha Coefficient) มีคา่ ความเชอ่ื ม่ันแตล่ ะสว่ น กลุม่ ตวั อย่าง กลมุ่ ตวั อย่างทใี่ ชใ้ นการวิจยั ครงั้ นเี้ ป็นนักศึกษาระดบั ปริญญาตรีสถาบนั การพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี 3 คณะ ได้แก่ คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพ คณะศิลปะศาสตร์ และคณะศึกษาศาสตร์ ทั้งเพศชาย และเพศหญงิ จานวน 117 คน เครื่องมอื ทีใ่ ช้ในการวิจัย เครื่องมือท่ีใช้ในการรวบรวมข้อมลู คือ แบบสอบถามแบ่งเป็น 5 ส่วน ได้แก่ ส่วนท่ี 1 แบบสอบถาม ปัจจัยส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่าง จานวน 3 ข้อ ส่วนท่ี 2 แบบสอบถามปัจจัยนา จานวน 20 ข้อ ส่วนที่ 3 แบบสอบถามปัจจัยเอ้ือ จานวน 10 ข้อ ส่วนที่ 4 แบบสอบถามปัจจัยเสริม จานวน 10 ข้อ ส่วนท่ี 5 แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของนักศึกษาสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี ตามสุขบัญญัติ แห่งชาติ จานวน 32 ข้อ รวมทัง้ หมด จานวน 75 ข้อ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ดาเนนิ การเกบ็ รวบรวมแบบสอบถามจากนกั ศกึ ษาทีเ่ ป็นกลุ่มตัวอย่างด้วยตนเองโดยเก็บข้อมูลระหวา่ ง เดอื นมนี าคม พ.ศ. 2561 ถงึ เดือนเมษายน พ.ศ. 2561 ได้ข้อมูลครบถว้ นคิดเปน็ รอ้ ยละ 100 การวิเคราะหข์ ้อมูล แบบสอบถาม โดยวิเคราะห์หาจานวน (n) ร้อยละ (percentage) หาค่าเฉลี่ย (������̅) และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) วิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ โดยใช้สถิติหาค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation)

ผลการวิจัย ตารางที่ 1 จานวนและร้อยละของกล่มุ ตัวอย่าง จาแนกตามความรู้เกย่ี วกับสขุ บัญญตั ิแหง่ ชาติ ระดบั ความรู้ ระดับคะแนน จานวน (คน) ร้อยละ ระดบั นอ้ ย 13 - 15 คะแนน 29 24.80 ระดับปานกลาง 16 - 18 คะแนน 67 57.30 ระดบั สูง 19 - 21 คะแนน 21 17.90 รวม 117 100.00 จากตารางที่ 1 พบว่า นกั ศึกษามคี วามรู้เกีย่ วกับสุขบัญญตั ิแห่งชาตใิ นเกณฑ์ระดับปานกลาง จานวน 67 คน คดิ เป็นร้อยละ 57.30 ตารางที่ 2 คา่ เฉลย่ี และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน และการแปลผลปัจจัยเอื้อเกี่ยวกบั พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ จาแนกเป็นรายด้าน ปัจจยั เอือ้ ̅������ S.D. ระดับความคดิ เหน็ 3.47 0.46 1. การมีทรัพยากร และสิง่ แวดลอ้ ม 3.89 0.48 ปานกลาง 2. การมีนโนบายเก่ยี วกับการสง่ เสริมสขุ ภาพ มาก 3.68 0.36 มาก รวม จากตารางที่ 2 พบว่า นักศึกษาสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี ท่ีมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการมี ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และการมีนโนบายเก่ียวกับการส่งเสริมสุขภาพ โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ระดับมาก (������̅ = 3.68, S.D. = 0.36) ตารางท่ี 3 ค่าเฉล่ยี และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และการแปลผลระดับปัจจัยเสรมิ เกย่ี วกับพฤตกิ รรมการดูแล สขุ ภาพ จาแนกเปน็ รายด้าน ปจั จัยเสรมิ ���̅��� S.D. ระดบั ความคดิ เห็น 1. การรับรขู้ อ้ มลู ข่าวสาร 3.81 0.21 มาก 2. แรงสนบั สนนุ จากบคุ คลทางสงั คม 3.88 0.25 มาก รวม 3.85 0.17 มาก จากตารางท่ี 3 พบว่า นกั ศึกษาสถาบันการพลศึกษา วทิ ยาเขตชลบรุ ี มคี วามคดิ เหน็ ดา้ นการรบั รขู้ อ้ มลู ขา่ วสาร และแรงสนับสนุนจากบคุ คลทางสงั คมโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ระดับมาก (������̅ = 3.85, S.D. = 0.17) ตารางท่ี 4 คา่ สัมประสิทธส์ิ หสมั พนั ธร์ ะหวา่ งปจั จัยนา (ความรู้เกย่ี วกับสุขบัญญตั ิแห่งชาต)ิ และพฤติกรรม สขุ ภาพตามสขุ บัญญัติแห่งชาติ พฤตกิ รรมสขุ ภาพตามสขุ บัญญตั แิ ห่งชาติ ตวั แปร ค่าสมั ประสทิ ธ์ิ - สหสัมพันธ์ p value (r) ความรู้เก่ียวกบั สขุ บัญญัตแิ หง่ ชาติ p < 0.05 0.215 0.02

จากตารางท่ี 4 พบวา่ ปจั จยั นา ได้แก่ ความร้เู ก่ียวกับสขุ บัญญัติแหง่ ชาติ ของนักศึกษามีความสมั พนั ธ์ กับพฤติกรรมสุขภาพตามสุขบัญญัตแิ ห่งชาติอย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิตทิ ่ีระดับ 0.05 ตารางท่ี 5 ค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเอื้อ (การมีทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม การมีนโยบาย เก่ียวกับการสง่ เสริมสขุ ภาพ) และพฤติกรรมสุขภาพตามสุขบญั ญตั แิ ห่งชาติ พฤตกิ รรมสุขภาพตามสขุ บญั ญตั แิ หง่ ชาติ ตวั แปร ค่าสัมประสิทธ์ิ - สหสมั พนั ธ์ p value (r) 1. การมที รพั ยากรและสงิ่ แวดลอ้ ม 2. การมนี โยบายเกีย่ วกับการสง่ เสริมสุขภาพ 0.147 0.115 p < 0.05 0.011 0.909 จากตารางที่ 5 พบว่า ปัจจัยเอื้อ ได้แก่ การมีทรัพยากรและส่ิงแวดล้อมการมีนโยบายเก่ียวกับการ สง่ เสริมสขุ ภาพของนกั ศึกษาไม่มีความสมั พนั ธก์ ับพฤติกรรมสขุ ภาพตามสุขบญั ญตั แิ ห่งชาติ ตารางที่ 6 ค่าสมั ประสทิ ธ์ิสหสัมพันธ์ระหวา่ งปัจจยั เสริม (การรบั รู้ขอ้ มลู ขา่ วสาร แรงสนบั สนุนจากบคุ คลทาง สังคม) และพฤติกรรมสขุ ภาพตามสขุ บญั ญัตแิ หง่ ชาติ ตวั แปร พฤติกรรมสขุ ภาพตามสขุ บญั ญตั แิ ห่งชาติ 1. การรับรูข้ อ้ มลู ข่าวสาร ค่าสมั ประสทิ ธิ์ - สหสัมพนั ธ์ (r) p value 2. แรงสนับสนนุ จากบคุ คลทางสังคม p < .05 0.040 0.670 0.064 0.492 จากตารางท่ี 6 พบว่า ปัจจัยเสริม ได้แก่ การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร แรงสนับสนุนจากบุคคลทางสังคม ของนกั ศึกษาไมม่ คี วามสัมพันธ์กบั พฤตกิ รรมสขุ ภาพตามสขุ บัญญัติแห่งชาติ อภปิ รายผล ปัจจัยนามีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมสุขภาพตามสุขบัญญัติแห่งชาติของนักศึกษาสถาบัน การพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี เพราะความรู้มีผลต่อการปฏิบัติทั้งทางตรงและทางอ้อมซึ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น นกั ศึกษาสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี สถาบันพลศึกษา เป็นสถาบันที่มุง่ เน้นการจัดการเรียนการสอน ให้มีความรู้ความสามารถทางด้านพลศึกษาและสุขศึกษาสถาบันพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี มีคณาจารย์ และ บุคลากรท่ีมคี วามรู้และความเชีย่ วชาญเฉพาะด้านในรายวิชาพลศกึ ษาและสุขศกึ ษาโดยตรง ส่งผลให้นักศึกษา ไดร้ ับความรู้ เจตคติ และทักษะอยา่ งเหมาะสมและมปี ระสทิ ธิภาพทาให้นักศกึ ษานาความรู้ และประสบการณ์ ที่ได้รับการถา่ ยทอดไปเปล่ียนแปลงพฤติกรรมด้านการปฏบิ ัติตนด้วยซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ ณัฎฐภาส พรมมา (Natthapas Pormma, 2010) ศึกษาเรื่อง ความรแู้ ละพฤติกรรมสุขภาพตามหลักสุขบัญญัตแิ ห่งชาติ ของนักเรียนโรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลัยรามคาแหง ผลการศึกษาพบวา่ ความรู้กับพฤติกรรมสุขภาพตามสุขบัญญัติ แห่งชาติ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมสุขภาพตามสุขบัญญัติแห่งชาติ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี ระดับ .05 นอกน้นั ไมม่ ีความสัมพนั ธ์กนั

สรุปผลการวจิ ัย ข้อมลู ทวั่ ไปของกลุ่มตัวอยา่ ง 1. กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาของสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี จานวน 117 คน ส่วนใหญ่ เป็นเพศชายร้อยละ 77.80 ส่วนใหญ่ศึกษาในคณะศึกษาศาสตร์ ร้อยละ 46.20 และส่วนใหญ่ศึกษาอยู่ใน ระดับช้นั ปีที่ 4 รอ้ ยละ 32.50 2. นักศึกษามคี วามรเู้ กี่ยวกับสขุ บญั ญัตแิ ห่งชาติ อยใู่ นระดับปานกลาง จานวน 67 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 57.30 โดยข้อความรูท้ ี่มีคา่ คะแนนในระดับสงู คอื คาถามข้อ 1 การด่ืมน้าสะอาดวนั ละ 6 - 8 แกว้ ช่วยให้ระบบ ขบั ถ่ายทางานได้ดขี ้ึน และขอ้ 14 การพดู คุยยกย่องชมเชย เปน็ วธิ ีการหนง่ึ ในการสร้างสัมพันธภาพที่ดรี ะหวา่ ง บุคคล รองลงมา คือ คาถามข้อ 9 ผู้ที่สูบบุหรี่วันละซองหรือมากกว่านั้น จะมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่า ผู้ท่ีไม่สูบบุหร่ีประมาณ 10 เท่า และคาถาม ข้อ 12 ผู้ท่ีอยู่ในบ้านท่ีมีผู้สูบบุหร่ีมีโอกาสป่วยเป็นโรคทางเดิน หายใจไดม้ ากกวา่ คนท่อี ยใู่ นบ้านทไี่ มม่ ีผู้สบู บุหรี่ เม่ือจาแนกความรู้เกี่ยวกับสุขบัญญัติแห่งชาติของนักศึกษาสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี ตามคณะท่ีสังกัดพบว่า นักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์มีความรู้อยู่ในระดับปานกลาง มากท่ีสุด รองลงมา คือ คณะวิทยาศาสตร์การกฬี าและสขุ ภาพ และคณะศิลปศาสตร์ เมื่อจาแนกการมีทรัพยากรและส่ิงแวดล้อมในสถานศึกษาพบว่า มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ เพียงพอท่ีจะเข้าไปทากิจกรรมส่งเสริมสุขภาพต่าง ๆ ได้ และมีกิจกรรมหรือโครงการท่ีทาให้ได้เข้าร่วม เพอื่ การสง่ เสรมิ สุขภาพ เชน่ การเต้นแอโรบคิ การว่งิ การขจี่ กั รยาน เมื่อจาแนกการมีนโนบายเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพพบว่า สถานศึกษามีนโยบายส่งเสริมสุขภาพ ท่ีทาให้นักศึกษาและบุคลากรได้ออกกาลังกายเป็นประจามีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ในช่วงเวลาพัก เช่น สวนหย่อม หรือห้องน่ังเล่น มีนโยบายการส่งเสริมให้นักศึกษาได้บริโภคอาหารท่ีปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ มีการจัดต้ังชมรมหรือกลุ่มต่าง ๆ ให้สมาชิกได้มีการทากิจกรรมร่วมกัน เช่น เต้นแอโรบิค การว่ิงเพ่ือสุขภาพ และการแข่งขันกีฬา และมีการจัดกิจกรรมนันทนาการในโอกาสต่าง ๆ ของสถานศึกษาช่วยผ่อนคลาย ความเครียดให้แก่นกั ศึกษา เม่ือจาแนกการรับรู้ข้อมูลข่าวสารพบว่า นักศึกษาได้รับข้อมูลข่าวสารด้านการส่งเสริม สุขภาพจาก สื่อส่ิงพิมพ์ เช่น หนังสือวารสาร หนังสือพิมพ์และแผ่นพับสามารถสืบค้นข้อมูลด้านการส่งเสริมสุขภาพจาก อินเตอร์เน็ต ได้รับคาแนะนาด้านการส่งเสริมสุขภาพจากบุคลากรทางการแพทย์ ได้รับการดูแลเอาใจใส่ จากคนในครอบครัวให้รับประทานอาหารท่ีมีเส้นใยอาหารสูง ไขมันไม่อ่ิมตัว และเค็มน้อย และได้รับการ ตักเตอื นจากบุคคลในครอบครัวหรอื เพื่อนเมื่อท่านรับประทานอาหารที่ไม่มปี ระโยชน์ เม่ือจาแนกแรงสนับสนุนจากบุคคลทางสังคมพบว่า ได้รับการสนับสนุนจากคนในครอบครัว และ เพ่ือนในการออกกาลังกาย ได้รับความรัก ความห่วงใย และดูแลเอาใจใส่ในเร่ืองการดูแลสุขภาพจากคนใกล้ชิด คนในครอบครัวและเพ่ือนให้ความช่วยเหลือ และให้คาปรึกษาเม่ือไม่สบายใจ สมาชิกในครอบครัวช่วย แบ่งเบาการงานต่าง ๆ เพอื่ ให้มีเวลาในการปฏิบัติกิจกรรมเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ และสมาชกิ ในครอบครัว มีเวลาออกกาลังกายรว่ มกนั 3. นักศึกษามีพฤติกรรมการดแู ลสุขภาพอยู่ในเกณฑ์ระดับปฏิบตั ิมากครั้ง เมือ่ พจิ ารณาเป็นรายขอ้ พบว่า นักศึกษามีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพอยู่ในเกณฑ์ระดับปฏิบัติมากคร้ัง ได้แก่ มีการอาบน้าอย่างน้อย วันละ 1 คร้ัง ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอ ถ่ายอุจจาระเป็นเวลาทุกวัน ตรวจสุขภาพปากและฟัน ปีละ 2 คร้ัง ดม่ื น้าสะอาดวันละ 6 - 8 แก้ว รับประทานอาหารท่มี รี สจัด เช่น เค็มจดั หรือหวานจัด เพราะจะทาให้รับประทาน

อาหารได้มากขึ้น รับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่นท่านมีการใช้ช้อนกลางเสมอ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ทุกวัน เลือกดืม่ เครอ่ื งดื่มทีม่ ีส่วนผสมแอลกอฮอลเ์ ช่น สรุ า เบียร์ ไวน์ เมื่อมกี ารเล้ียงฉลอง พยายามหลีกเลี่ยง ไม่เข้าใกล้ผู้ท่ีกาลังสูบบุหรี่เพราะจะทาให้หายใจเอาควันบุหรี่เข้าไป ชอบดื่มสุราก่อนรับประทานอาหารเพื่อ ช่วยให้เจริญอาหารและรับประทานอาหารได้อร่อย เคยชักชวนให้บุคคลรอบข้างที่สูบบุหร่ีให้เลิกสูบบุหรี่ ใช้ถุงยางอนามัยทุกคร้ังเมื่อมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยเพ่ือป้องกันโรคติดต่อ สวมหมวกนิรภัยทุกคร้ังท่ีมีการ ขับข่ีหรือซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ จัดเก็บวัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ในที่พักอาศัยอย่างเป็นระเบียบง่ายต่อการ หยิบใช้ นอนหลับพักผ่อนไม่น้อยกว่า 7 ช่ัวโมงต่อวัน รับประทานยาคลายเครียดเพื่อผ่อนคลายความเครียด คดั แยกขยะก่อนทิง้ และให้ความช่วยเหลือแกช่ มุ ชนทุกครั้งเมอื่ มโี อกาส เม่ือจาแนกพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ของนักศึกษาสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี พบว่า นักศึกษามีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ อยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง จานวน 81 คน คิดเป็นร้อยละ 69.20 รองลงมามีพฤติกรรมการดแู ลสขุ ภาพอยู่ในเกณฑ์ระดบั สูง จานวน 23 คน คดิ เป็นร้อยละ 19.70 ขอ้ เสนอแนะจากการวิจัย 1. การวิจัยคร้ังนี้พบว่า นักศึกษามีความรู้เกี่ยวกับสุขบัญญัติแห่งชาติอยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง ร้อยละ 57.30 ซึ่งมีความรู้บางข้อท่ีนักศึกษายังมีความรู้อยู่ในเกณฑ์ระดับต่า ได้แก่ ผู้ท่ีมีสุขภาพร่างกาย แข็งแรงและออกกาลงั กายสม่าเสมอไม่จาเป็นตอ้ งตรวจสุขภาพ การรับประทานอาหารท่ีปรงุ จากน้ามันปาล์ม สามารถลดไขมันในเลือดแทนการรับประทานยาลดไขมัน และในแต่ละวันอาหารม้ือเย็นเป็นมื้อที่สาคัญท่ีจะ ดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายในขณะพักผ่อนนอนหลับมากที่สุด ดังน้ันควรปรับปรุงคุณภาพของการเรียน การสอน มีการสอดแทรกเนื้อหาเก่ียวกับการบริโภคอาหารตามสุขบัญญัติแห่งชาติในรายวิชาที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้เรียนมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารอยู่ในระดับที่เหมาะสมไปใช้ในชีวิตประจาวันได้ รวมท้ังปลูกฝัง ค่านิยมท่ีถูกต้องในการเลือกซื้อและการปฏิบัติตนด้านการรับประทานอาหาร ส่งเสริมให้มีพฤติกรรมในการ บริโภคอาหารทถ่ี กู ต้องตามหลักโภชนาการ 2. การวิจัยครั้งน้ีพบว่า สถานศึกษามีการจัดบริการตรวจสุขภาพประจาปีทุกปี อยู่ในเกณฑ์ระดับ ปานกลาง แสดงให้เห็นว่าควรให้มีบริการเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาจัดบริการตรวจสุขภาพประจาปีให้กับ นกั ศึกษาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และควรจัดใหม้ ีสบู่หรือน้ายาฆ่าเช้ือโรควางไว้ตามจุดต่าง ๆ ของสถาบัน และ ควรสร้างแรงสนับสนุนจากบุคคลทางสังคม โดยให้คาปรึกษาเมื่อนักศึกษามีปัญหาต่าง ๆ เช่น ครูแนะแนว การพบปะกับอาจารย์ท่ีปรึกษา การสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างรุ่นพ่ีและรุ่นน้องในการให้คาปรึกษาเร่ืองต่าง ๆ รวมถงึ การสง่ เสริมให้อาจารย์ บุคลากร และนักศกึ ษามีพฤติกรรมสขุ ภาพที่ถกู ต้องตามหลกั สขุ บัญญัติแหง่ ชาติ เพอื่ เปน็ ตน้ แบบที่ดีให้กบั นักศึกษาต่อไป 3. ผลของการวิจัยคร้ังนี้ผู้บริหาร และผู้ที่เกี่ยวข้องควรจะได้นาไปใช้ในการวางแผนและพัฒนารูปแบบ ส่งเสริมสนับสนุนการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพ การดาเนินงานด้านการจัดการเรียนการสอนเก่ียวกับการบริโภค อาหารตามสุขบญั ญัติแห่งชาตอิ ยา่ งต่อเนื่องในหนว่ ยงานให้มปี ระสิทธิภาพมากขึ้น ขอ้ เสนอแนะในการทาวจิ ยั คร้ังตอ่ ไป ควรศึกษาวิจัยเพ่ือหารปู แบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและสร้างโปรแกรมสุขศึกษาที่จะมีผล ต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตามสุขบัญญตั ิแห่งชาติของนักศึกษา สามารถนาผลการศึกษาไปประยกุ ตใ์ ช้ต่อไป

กติ ติกรรมประกาศ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้สาเร็จได้ด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดีย่ิงของ รองศาสตราจารย์ ดร.วัฒน์ บุญกอบ รองศาสตราจารย์ ดร. จันทร์จารี เกตุมาโร และอาจารย์ ดร. เกษม ชูรตั น์ คณะกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ที่เสียสละเวลาในการให้คาปรึกษา ชี้แนะแนวทางท่ีเป็นประโยชน์ในการทาวิทยานิพนธ์ด้วยความห่วงใย เสมอมา References Ministry of Public Health, Department of Health Service Support, Primary Health Care Devision. (2008). Various views on the development of primary health care in the future. Bangkok: National Office of Buddhism. Ministry of Tourism and Sports. (2013). Strategic Institute of Physical Education 2013 - 2017. Chonburi. Natthapas Pormma. (2010). Knowledge and behavior according to the principles of hygiene of students in Ramkhamhaeng University demonstration school (Master’s thesis), Ramkhamhaeng University. Nitaya Phensirinapa. (2016). Empowerment for health promotion and disease Prevention. In the teaching document on health promotion and disease prevention (9th ed.). Nonthaburi: Sukhothai Thammathirat University Press. Office of Policy and Strategy. (2007). National Health Development Plan 2007-2011. Bangkok: The War Veterans Organization In the Royal Patronage Pravet Wasri. (2004). New Government Management. Bangkok: The Publisher of Chulalongkorn University. Somboon Suriyawong, Somjittra Rueangsri, & Pensri Setthawong. (2001). Educational Research Methodology (2nd ed.). Bangkok: Academic Promotion Center. Suriyadeo Tripathi. (2008). Cost of Thai Youth and Life. Bangkok: Office of the Health Promotion Fund. Received: Dec 7, 2019 Revised: May 29, 2020 Accepted: June 2, 2020



ผลการจดั การเรียนรวู้ ชิ าพลศึกษาโดยใชเ้ ทคนิคการเรยี นแบบรว่ มมอื ท่ีมตี ่อทกั ษะกีฬา แฮนด์บอลและการทางานเปน็ ทมี ของนกั เรยี นประถมศึกษาปที ี่ 4 จริ วัฒน์ วงศ์ชุมภู สุธนะ ตงิ ศภัทิย์ และบญั ชา ชลาภิรมย์ คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั บทคัดยอ่ การวิจัยครง้ั น้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) เพ่ือศึกษาผลการจัดการเรียนรูพ้ ลศึกษาโดยใช้การจัดการเรียนรู้ รว่ มมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกมที่มีต่อทักษะพื้นฐานกีฬาแฮนด์บอลและทักษะการทางานเป็นทีม ของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะพ้ืนฐานกีฬาแฮนด์บอลและทักษะ การทางานเป็นทีมระหว่างนักเรียนโดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม และนักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียน บ้านเมืองชุม จานวน 36 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มทดลอง จานวน 18 คน และกลมุ่ ควบคุม จานวน 18 คน เครื่องมือในวิจยั ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้พลศกึ ษากีฬาแฮนด์บอลโดยใช้เทคนิคการเรียนแบบ ร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม จานวน 8 แผน ท่ีมีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.96 และ 2) แบบประเมินการทางานเป็นทีมท่ีมีค่าความเท่ียงเท่ากับ 0.86 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ดว้ ยค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) ค่าเฉล่ียของคะแนนหลังการทดลองนักเรียนกลุ่มทดลอง และนักเรียน กลมุ่ ควบคุมมีทักษะพ้ืนฐานกีฬาแฮนด์บอลแตกต่างกนั อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .05 และ 2) คา่ เฉล่ีย ของคะแนนหลังการทดลอง นักเรียนกลุ่มทดลองมีทักษะการทางานเป็นทีมสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุม อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติทรี่ ะดบั .05 คาสาคัญ: การจัดการเรียนรู้; เทคนคิ การเรียนแบบร่วมมือ; การแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม; การทางานเป็นทีม; ทกั ษะพนื้ ฐานกีฬาแฮนดบ์ อล Corresponding Author: นายจริ วฒั น์ วงศช์ ุมภู คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย Email: [email protected]

EFFECTS OF LEARNING MANAGEMENT OF PHYSICAL EDUCATION USING COOPERATIVE LEARNING TECHNIQUE ON SKILLS OF HANDBALL AND TEAMWORK OF FOURTH GRADE STUDENTS Jirawat Wongchumpoo, Suthana Tingsabhat, and Bancha Chalapirom Faculty of Education, Chulalongkorn University Abstract The purposes of this research were: 1) to study the effects of learning management of physical education by using the cooperative learning technique as a competition category between team game on skills of handball and teamwork of fourth graders, 2) to compare basic handball skills and teamwork skills among students who were instructed with the cooperative learning technique as a competition category between team game and those who were instructed with conventional method. The samples of this study were 36 fourth grade students of Ban Muangchum School divided into two groups; the experiment group of 18 students taught with the cooperative learning technique as a competition category between team game and the control group of 18 students taught with conventional method. The research tools were eight lesson plans (IOC = 0.96) and the assessment form of teamwork skills of which validity was 0. 86. The analysis of this qualitative data was shown in mean, standard deviation and t-test for comparison. The results showed that there was a significant difference at a significant level of .05 level between experiment group students’ mean scores on the basic skill of handball and of control group students after the experiment.Moreover, the mean scores after the experiment of the experiment group on teamwork skills were higher than those of the control group at a significant level of .05 Keywords: Team game tournament, Teamwork, Skill of handball Corresponding Author: Mr.Jirawat Wongchumpoo Faculty of Education Chulalongkorn University Email: [email protected]

บทนา กีฬาแฮนด์บอลเป็นชนิดกีฬาหนึ่งที่โรงเรียนมักจัดไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาพลศึกษา ในโรงเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษา เพราะกีฬาแฮนด์บอลเป็นกีฬาท่ีสามารถเล่นได้ ทุกระดับท้ังชายและหญิง และการเล่นกีฬาแฮนด์บอลยังช่วยส่งเสริมการออกกาลังกาย ซึ่งเป็นปัจจัยสาคัญ ประการหน่งึ ทีจ่ ะสง่ เสริมคุณภาพชวี ิตให้มีสขุ ภาพท่สี มบูรณ์และแข็งแรง ทาให้มีการพัฒนาดา้ นร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสตปิ ญั ญา และไดร้ บั ความสนุกสนาน ผอ่ นคลายความเครียด ซ่ึงในปจั จุบันกีฬาแฮนด์บอล ถือว่าเป็นกีฬาที่ได้รับความสนใจอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากท่ีมีการจัดการแข่งทั้งภายในประเทศ และ ในต่างประเทศทวั่ โลก (Punsuk Wonwong, & Sky sport team, 2007) จากการสัมภาษณ์ครูผู้สอนวิชาพลศึกษาท่ีสอนกีฬาแฮนด์บอลในสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 (Supervision monitoring and evaluation for educational provision group, Personal communication, 2018) พบปัญหาท่คี ล้ายกนั วา่ นักเรียนมที ักษะพ้นื ฐานกฬี าแฮนดบ์ อล อยู่ในเกณฑ์ปานกลางไปจนถึงต่าอันเน่ืองมาจากสาเหตุที่นักเรียนส่วนใหญ่ขาดทักษะพ้ืนฐานกีฬาแฮนด์บอล เป็นสาเหตุให้นักเรียนปฏิบัติ ทักษะพ้ืนฐานกีฬาแฮนด์บอลอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูงตามท่ีครูผู้สอนแต่ละท่าน ได้กาหนดไว้ และนอกจากน้ี นักเรียนส่วนใหญ่ยังขาดทักษะในการทางานเป็นทีม ซ่ึงกีฬาแฮนด์บอลเป็นกีฬา ท่ีมีลักษณะในการเล่นเป็นทีม จึงเป็นสาเหตุให้นักเรียนขาดความสนใจและปฏิบัติทักษะพ้ืนฐานกีฬา แฮนดบ์ อลอย่ใู นเกณฑ์ทไ่ี มส่ ูงตามท่คี รูผสู้ อนแตล่ ะทา่ นได้กาหนดไว้ การทางานร่วมกับคนอ่ืนเป็นทักษะหน่ึงที่มีความสาคัญของผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 ท่ีผู้เรียนพึงมี ครูผู้สอนควรที่จะส่งเสริมด้านการเรียนการสอนในการทางานร่วมกับคนอื่นให้กับนักเรียน เพ่ือท่ีจะทาให้ ผู้เรียนมกี ารส่ือสารหรือยอมรับความคิดเหน็ ของเพ่ือนสมาชิกในกลุ่มเดียวกัน จึงจะทาให้การทางานเป็นกลุ่ม บรรลุเป้าหมายท่ีได้วางแผนไว้ ปัจจุบันการทางานเป็นทีมเป็นปัจจัยสาคัญในการที่จะส่งผลเกิดความสาเร็จ ในการเล่นกีฬา ทักษะการทางานเป็นทีมได้เข้ามามีบทบาทสาคัญในการแข่งขันและการเล่นกีฬาเป็นอย่าง มากเพราะจะทาให้การเล่นกีฬามีประสทิ ธิภาพและประสบความสาเร็จมากกวา่ การทางานคนเดียว เนื่องจาก ทุกคนมีความสามารถแต่ความสามารถของทุกคนมีจากัด การนาความสามารถของทุกคนมารวมกันจึงเกิด ผลงานมากข้ึนและการฝึกทักษะกีฬาต่าง ๆ ต้องการความช่วยเหลือซึ่งกันและกันของคนในทีมจึงทาให้งาน ออกมาสาเรจ็ (Somkiet Tungkitvanitch, 2013) การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม (Suwit Moonkham, & Orrathai Moonkham, 2002) เป็นวิธีการหน่ึงที่จะนามาใช้เพื่อการพัฒนาในการจัดการ เรียนรู้วิชาพลศึกษา เพราะการจัดการเรียนรู้รูปแบบนี้จะสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ยั่วยุให้ผู้เรียน สนใจที่จะเรียน อีกทั้งยังช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจได้โดยง่ายและถูกต้องตามจุดมุ่งหมาย ช่วยประหยัดเวลา ทั้งผู้เรียนและผู้สอน รวมท้ังช่วยส่งเสริมความร่วมมือในการทางานเป็นทีมเป็นวิธีการพัฒนารูปแบบมาจาก การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยกาหนดให้ผูเ้ รียนท่ีมีความสามารถต่างกันทางานร่วมกันเป็นทีมและใช้การ แข่งขัน โดยผู้เรียนท่ีมีความสามารถทางวิชาการเท่าเทียมกันเข้าแข่งขันตามกลุ่มต่าง ๆ เพ่ือนาคะแนนของ แตล่ ะคนทีไ่ ดจ้ ากการแขง่ ขันในแต่ละกลุม่ มาเป็นคะแนนของกลุม่ แตใ่ นเวลาเรียนจะต้องร่วมมือกัน จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นเหตุให้ผู้วิจัยสนใจท่ีจะพัฒนาการเรียนพลศึกษาในชั้นเรียน โดยนาเอาการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกมมาใช้ ในการพัฒนาทักษะพ้ืนฐานกีฬาแฮนด์บอลและการทางานเป็นทีม เพราะการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค การเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม เป็นวิธีการหน่ึงที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่อง ตา่ ง ๆ อย่างสนกุ สนานและท้าทายความสามารถ โดยผู้เรียนเปน็ ผูเ้ ล่นเองทาใหเ้ กิดประสบการณ์ เป็นวธิ กี ารท่ี เปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นมีส่วนร่วมในการจดั การเรยี นการสอน เพ่ือพัฒนาศักยภาพแห่งผู้เรียนอย่างแท้จริง อีกทั้ง

ยังเป็นประโยชน์ในอนาคตท่ีจะเกิดกับเยาวชนท่ีเล่นกีฬาแฮนด์บอล เพื่อนาข้อมูลต่าง ๆ มาใช้ในการพัฒนา ทักษะกีฬาแฮนด์บอลในระดับต่าง ๆ ให้มีมาตรฐาน และเพื่อเป็นแนวทางการจัดกิจกรรมพลศึกษาแก่ผู้สอน พลศกึ ษาในโรงเรยี นระดับประถมศกึ ษาต่อไป วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั 1. เพื่อจัดแผนการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม ทมี่ ีตอ่ ทักษะพ้นื ฐานกฬี าแฮนด์บอลและทักษะการทางานเป็นทีมของนกั เรียนระดบั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 2. เพ่ือเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานกีฬาแฮนด์บอลและทักษะการทางานเป็นทีมระหว่างนักเรียน ท่ีได้รบั การจัดการเรียนร้โู ดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแขง่ ขันระหว่างกลุ่มเกม และนกั เรียน ทไ่ี ดร้ บั การสอนแบบปกติ สมมติฐานของการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม ที่มีต่อทักษะพ้ืนฐานกีฬาแฮนด์บอลและทักษะการทางานเป็นทีมของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4 มคี ณุ ภาพดา้ นความเที่ยงและความตรง 2. นักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่าง กลุ่มเกม ในกีฬาแฮนด์บอลจะมีคะแนนทักษะพ้ืนฐานกีฬาแฮนด์บอลและคะแนนทักษะการทางานเป็นทีม สูงกวา่ นกั เรยี นท่ไี ด้รบั การสอนแบบปกติ วธิ ีดาเนินการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง ประชากร ได้แก่ นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านเมืองชุม ปีการศึกษา 2562 ภาคปลาย จานวน 36 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนประถมศึกษาปีท่ี 4 ท่ีเรียนวิชาพลศึกษากีฬาแฮนด์บอล ปีการศึกษา 2562 ภาคปลาย โรงเรียนบ้านเมืองชุม สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (สพฐ.) จานวน 36 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มทดลอง 18 คน และกลุ่มควบคุม 18 คน ดาเนินการตามข้ันตอน โดยใช้วิธีการ สุ่มแบบเฉพาะเจาะจง (Purpose Selection) เครอื่ งมือทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย เครือ่ งมือทใ่ี ช้ในการวจิ ัยแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ 1. เครือ่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการดาเนนิ การทดลอง คือ แผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษากีฬาแฮนด์บอลโดยใช้การจัดการเรียนรู้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภท การแขง่ ขันระหว่างกลมุ่ เกม 2. เครื่องมอื ทใี่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูล คอื แบบวัดการทางานเปน็ ทีม การพฒั นาเครอื่ งมือท่ีใช้ในการวจิ ัย 1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ แผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษากีฬาแฮนด์บอลโดยใช้การจัด การเรียนรูเ้ ทคนิคการเรยี นแบบร่วมมือประเภทการแขง่ ขนั ระหวา่ งกล่มุ เกม โดยมีลาดับขั้นตอน ดงั น้ี 1.1 ศึกษารูปแบบการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภท การแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม จากตารา เอกสาร และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องเพื่อนามาเป็นแนวทางในการเขียน แผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้การจัดการเรียนรู้เทคนิคการเรียนแบบ ร่วมมือประเภทการแข่งขัน ระหว่างกลุ่มเกม

1.2 ดาเนินการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้การจัดการเรียนรู้เทคนิคการเรียน แบบร่วมมอื ประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม จานวน 8 แผนการเรียนรู้ 1.3 นาแผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้การจัดการเรียนรู้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกมที่มีผลต่อทักษะพ้ืนฐานกีฬาแฮนด์บอลและทักษะการทางานเป็นทีม จานวน 8 แผนการเรยี นรู้ ทผ่ี ู้วิจัยออกแบบขน้ึ ไปให้อาจารยท์ ่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ตรวจพิจารณาความตรงตาม วัตถุประสงค์ ความตรงเน้ือ ความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้และเหมาะสมของการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนพลศึกษาโดยใช้การจัดการเรียนรู้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่าง กล่มุ เกมพร้อมทั้งให้ขอ้ เสนอแนะเพ่ือนามาปรบั ปรุงแกไ้ ข 1.4 นาแผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้การจัดการเรียนรู้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกมท่ีมีผลต่อทักษะพื้นฐานกีฬาแฮนด์บอลและทักษะการทางานเป็นทีม ไปให้ผู้ทรงคุณวุฒจิ านวน 5 ท่าน ตรวจพจิ ารณาความตรงตามวัตถุประสงค์ ความตรงเน้ือ ความสอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้และเหมาะสมของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนพลศึกษาโดยใช้การจัดการเรียนรู้ เทคนคิ การเรยี นแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม จากผู้ทรงคุณวุฒิและนามาหาค่าดัชนคี วาม สอดคล้องระหว่างข้อคาถามกับความตรงตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย (Index of Congruence: IOC) พิจารณาหัวข้อที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป ผลการพิจารณาได้ค่าเฉลี่ยของค่าดัชนีความ สอดคล้องเทา่ กับ 0.96 1.5 นาแผนการจัดการเรียนรู้ไปทดลองใช้กับนักเรียนประถมศึกษาปีท่ี 4 ในโรงเรียนใกล้เคียง ที่นักเรยี นมคี วามสามารถใกลเ้ คียงกับกลุ่มทดลอง 1.6 ปรับปรุงแผนการจดั การเรียนร้จู ากผลทไี่ ด้จากการทดลองใช้ เพ่อื สร้างแผนการจัด การ เรียนรู้ท่ีจะนาไปใช้จริง เพ่ือดูความเหมาะสมในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เวลาท่ีใช้ในการจัดการเรียนรู้และ นามาปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้การจัดการเรียนรู้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภท การแข่งขันระหว่างกล่มุ เกมใหม้ คี วามสมบูรณ์ยงิ่ ขน้ึ เพ่ือนาไปใช้จริงต่อไป 2) เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบวดั การทางานเปน็ ทมี โดยมีลาดับขนั้ ตอน ดังนี้ 2.1 ศกึ ษาวธิ ีการสร้างและแนวคดิ จากเอกสารงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั แบบวดั การทางานเป็นทีม 2.2 สร้างวัดทางานเป็นทีมในการเล่นกีฬาแฮนด์บอล จานวน 20 ข้อ เป็นมาตราส่วนประมาณ ค่า (Rating Scale) มี 5 ระดับ แล้วนาไปเทียบเกณฑ์และแปลค่าเฉล่ียโดยเทียบค่าเฉลี่ยตามเกณฑ์ของเบสท์ (Best, 1981) 2.3 นาแบบวัดการทางานเป็นทีม จานวน 20 ข้อ ท่ีผู้วิจัยพัฒนาขึ้นไปให้อาจารย์ท่ีปรึกษา วิทยานิพนธ์พิจารณาตรวจความตรงเชงิ เน้ือ ความสอดคล้องกับจดุ ประสงค์ ลักษณะการใช้คาถาม พฤตกิ รรม ท่ีต้องการวดั และความถูกต้องด้านภา พร้อมทง้ั ใหข้ อ้ เสนอแนะเพ่ือนามาปรับปรุงแก้ไข 2.4 นาแบบวัดการทางานเป็นทีมที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิจานวน 5 ท่าน ตรวจ พิจารณาความตรงเชิงเน้ือหา ความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ลักษณะการใช้คาถามและความ ถูกต้องด้านภาษา นามาหาความสอดคล้องระหว่างเน้ือหากับวัตถุประสงค์ (Index of Congruence: IOC) คัดเลือกข้อทดสอบท่ีมีค่าดัชนีความสอดคล้องต้ังแต่ 0.5 ขึ้นไป ผลการวิเคราะห์พบว่า ผลการพิจารณาได้ ค่าเฉลี่ยของค่าดชั นคี วามสอดคล้องเทา่ กับ 0.86 2.5 นาแบบประเมินการทางานเป็นทีมที่ได้ให้อาจารย์ที่ปรึกษาพิจารณาตรวจสอบแล้ว นามา ทดลองใช้กับนักเรียนประถมศึกษาปีท่ี 4 ซ่ึงไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการทดลอง จานวน 32 คน ผลการ ตรวจสอบคุณภาพด้านความเท่ียงแบบสอดคลอ้ งภายในผลการวเิ คราะหค์ ่าความเทย่ี งเท่ากับ 0.83

การวิเคราะหข์ อ้ มูลและสถติ ทิ ่ใี ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล ผู้วิจัยดาเนินการวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้คอมพิวเตอร์หาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ เปรียบเทียบค่าเฉล่ียของคะแนนทักษะพื้นฐานกีฬาแฮนด์บอลและคะแนนทักษะการทางานเป็นทีมโดยการ ทดสอบค่าที ดังน้ี 1) เปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉล่ียของคะแนนทักษะพื้นฐานกีฬาแฮนด์บอลและคะแนนทักษะ การทางานเป็นทมี หลังการทดลองระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองกับนักเรียนกลุ่มควบคุม โดยการทดสอบค่าที (Independent t - test) ที่ระดับนัยสาคัญทางสถติ ิ .05 ผลการวจิ ยั ผลการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาโดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือที่มีต่อทักษะกีฬาแฮนด์บอล และการทางานเปน็ ทมี ของนกั เรยี นประถมศึกษาปีที่ 4 สามารถสรปุ ผลการศกึ ษาได้ดงั นี้ 1. ค่าเฉล่ยี คะแนนการจัดการเรียนรู้วชิ าพลศึกษากีฬาแฮนดบ์ อลโดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกมที่มีต่อการทางานเป็นทีมของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4 และนักเรียน กลมุ่ ควบคุมท่ไี ด้รับการจดั การเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาแฮนดบ์ อลแบบปกติ ดังน้ี 1.1 ผลการเปรียบเทยี บค่าเฉล่ียของคะแนนทักษะพื้นฐานกฬี าแฮนด์บอลโดยใช้เทคนิคการเรียน แบบร่วมมือกัน ประเภทการแข่งขันกลุ่มเกมของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4 หลังการทดลองนักเรียน กลุ่มทดลองและนักเรียนกลุ่มควบคุมมีทักษะพ้ืนฐานกีฬาแฮนด์บอลแตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ท่รี ะดับ .05 โดยนักเรียนกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยทักษะพื้นฐานกีฬาแฮนด์บอลโดยใช้เทคนคิ การเรียนแบบ ร่วมมือกันประเภทการแข่งขันกลุ่มเกมโดยภาพรวมหลังการทดลองมีคะแนนเฉลี่ย 38.06 คะแนน และ นกั เรยี นกลุ่มควบคมุ มคี ะแนนเฉล่ยี 31.56 คะแนน 1.2 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนทักษะพื้นฐานกีฬาแฮนดบ์ อลโดยใชเ้ ทคนคิ การเรียน แบบร่วมมือกัน ประเภทการแข่งขันกลุ่มเกมของนักเรียนประถมศึกษาปีท่ี 4 ก่อนการทดลองนักเรียน กลุ่มทดลองและนักเรียนกลุ่มควบคุมมีทักษะพื้นฐานกีฬาแฮนด์บอลไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ท่รี ะดับ .05 และหลังการทดลองนกั เรยี นกลมุ่ ทดลองและนกั เรียนกลุ่มควบคมุ มีทกั ษะพืน้ ฐานกฬี าแฮนด์บอล แตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 โดยนักเรียนกลุ่มทดลอง หลังการทดลอง มีคะแนนเฉล่ีย 38.06 คะแนน ได้แก่ คะแนนเฉล่ยี ด้านทกั ษะการสง่ และรบั ลกู แฮนดบ์ อลกระทบฝาผนังขณะเคลื่อนท่ี 11.83 คะแนน ด้านทักการล้ียงลูกแฮนด์บอล 12.11 คะแนน ด้านทักษะการยิงประตู 11.83 คะแนน และ กลุ่มควบคุม หลังการทดลอง มีคะแนนเฉล่ีย 31.56 คะแนน ได้แก่ คะแนนเฉล่ียด้านทักษะการส่งและรับลูก แฮนด์บอลกระทบฝาผนังขณะเคลื่อนที่ 10.67 คะแนน ด้านทักษะการล้ียงลูกแฮนด์บอล 10.17 คะแนน ดา้ นทักษะการยิงประตู 10.72 คะแนน 2. ผลการประเมินทักษะการทางานเป็นทีมของนักเรียนประถมศกึ ษาปีที่ 4 หลังการทดลองนักเรียน กลุ่มทดลองมีทักษะการทางานเป็นทีมสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยคะแนนเฉล่ียของนักเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลีย่ ทักษะการทางานเป็นทีม 4.52 คะแนน และนักเรียน กลุ่มควบคมุ มีคะแนนเฉลีย่ ทักษะการทางานเปน็ ทีม 4.41 คะแนน 2.1 ผลการประเมินทักษะการทางานเป็นทีมของนักเรียนประถมศึกษาปีท่ี 4 หลังการทดลองใช้ เทคนคิ การเรยี นแบบรว่ มมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลมุ่ เกม นกั เรียนกลุ่มทดลองมคี ่าเฉล่ียทักษะการทางาน เป็นทีมสูงกว่าก่อนการทดลองท้ังการท่ีนักเรียนประเมินตนเอง ครูประเมินแต่ละกลุ่ม และกลุ่มประเมิน กลุ่มอ่ืน โดยคะแนนเฉล่ียทักษะการทางานเป็นทีมของนักเรียนกลุ่มทดลอง หลังการทดลอง คะแนนเฉลี่ย 4.52 คะแนน ไดแ้ ก่ ด้านทกั ษะการทางานเปน็ ทีมด้านคุณธรรมจริยธรรมและค่านยิ มอนั พึงประสงค์ มคี ะแนนเฉล่ยี

3.76 คะแนน และด้านการทางานเป็นทีม มีคะแนนเฉล่ีย 4.46 คะแนน และหลังการทดลองมีคะแนนเฉล่ีย 4.55 คะแนน 2.2 ผลการประเมินทกั ษะการทางานเป็นทีมของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4 หลังการทดลองใช้ เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม นักเรียนกลุ่มควบคุม มีค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะ การทางานเป็นทีมสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยคะแนนเฉลี่ยทักษะการ ทางานเป็นทีมของนักเรียนหลังการทดลอง คะแนนเฉล่ียทักษะการทางานเป็นทีม เท่ากับ 4.41 คะแนน มีทักษะ การทางานเป็นทีมด้านคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมอันพึงประสงค์ หลังการทดลองมีคะแนนเฉล่ีย 3.54 คะแนน และค่าเฉล่ียคะแนนการทางานเปน็ ทีม หลงั การทดลองมคี ะแนนเฉลีย่ 4.43 คะแนน อภปิ รายผลการวจิ ัย การวิจัยเรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาแฮนด์บอลโดยใช้เทคนิคการเรียน แบบร่วมมือ ประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกมท่ีมตี ่อการทางานเปน็ ทมี ของนกั เรียนประถมศกึ ษาปีที่ 4 ผ้วู ิจัยมีประเด็น การอภิปรายผลดังนี้ 1. ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนทักษะพื้นฐานกีฬาแฮนด์บอลโดยใช้เทคนิคการเรียน แบบร่วมมือกัน ประเภทการแข่งขันกลุ่มเกมของนักเรียนประถมศึกษาปีท่ี 4 หลังการทดลองนักเรียนท่ีได้รับ การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกมมีทักษะกีฬา แฮนด์บอล มีคะแนนทักษะพ้ืนฐานกีฬาแฮนด์บอลสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนแบบปกติอย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติท่ีระดับ .05 ผูว้ ิจยั ได้จัดการเรียนรู้พลศึกษากีฬาแฮนด์บอลพบวา่ หลงั การทดลองนักเรียนมีคะแนนทักษะพ้ืนฐาน กีฬาแฮนด์บอลและคะแนนทักษะการทางานเปน็ ทีมดีขึ้นท้ังสองทักษะ เพราะได้รับการฝึกทักษะพื้นฐานกีฬา แฮนด์บอลท่ีถูกต้องและได้รับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภท การแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม ซึ่งผู้วิจัยได้ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยแบ่งนักเรียน ออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 3 - 5 คน คละความสามารถทางด้านกีฬา ทั้งเก่ง ปานกลาง และอ่อน มีกิจกรรม ให้นักเรียนได้คิด วางแผน ลงมือปฏบิ ัติร่วมกัน โดยไดก้ าหนดเป้าหมายให้กับนักเรียน นักเรียนจึงมีเป้าหมาย เดียวกัน มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อสมาชิกภายในทีมเพ่ือช่วยเหลือ สนับสนุน กระตุ้น และจูงใจส่งเสริมการทางาน ของเพื่อนสมาชิกภายในทีมให้ประสบผลสาเร็จ สอดคล้องกับแนวคิดของ Slavin (1995) ได้กล่าวว่า การเรียนโดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม คือ เทคนิควิธีการเรียน แบบร่วมมือวิธีหนึ่งที่จัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ มีกิจกรรมเกมและการแข่งขัน เข้ามาช่วยในการดาเนินกิจกรรม โดยมีการจัดให้นักเรียนได้ฝึกปฏบิ ัติร่วมกันเป็นกลุ่มยอ่ ย แต่ละกลุ่มมีระดับ ความสามารถแตกต่างกัน สมาชิกภายในกลุ่มจะศึกษาค้นคว้าและทางานร่วมกัน นักเรียนจะบรรลุเป้าหมาย ก็ต่อเมื่อเพื่อนร่วมกลุ่มบรรลุถึงเป้าหมายน้ันร่วมกัน นักเรียนจึงมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และสนับสนุนให้การ ทางานของเพื่อนสมาชิกภายในกลุ่มให้ประสบผลสาเร็จ ในการจัดกิจกรรมพลศึกษากีฬาแฮนด์บอล ผู้วิจัย ได้ออกแบบกิจกรรมเกมการแข่งขันฝึกทักษะกีฬาแฮนด์บอลในทุกแผนการจัดการเรียนรู้ โดยได้ออกแบบ กฎกติกาการแข่งขัน และกาหนดรางวัลให้แก่ทีมที่ได้รับชัยชนะพบว่า นักเรียนมีความสนใจเกิดการใฝ่รู้ ในการฝึกปฏิบัติทักษะแฮนด์บอลเพ่ือจะได้เป็นตัวแทนของทีมออกมาทาการแข่งขันร่วมกันกับเพื่อนกลุ่มอื่น ส่งผลให้นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นที่จะฝึกปฏิบัติและช่วยเหลือซึ่งกันและกันของสมาชิกภายในทีมเพื่อให้ ผลงานของทีมนนั้ ออกมาประสบผล สาเรจ็ สอดคล้องกับการศกึ ษาของ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (Wattanaporn Ra-Ngubtook, 1999) ไดก้ ลา่ วไว้วา่ การเรยี นท่นี ักเรียนได้มโี อกาสทางานรว่ มกนั เป็นกลุ่มเล็ก ๆ มกี ารแกป้ ัญหา รว่ มกนั เพือ่ จุดมุ่งหมายเดียวกัน ทุกคนตระหนักว่าตนเองเป็นส่วนหน่ึงของกลุ่มจะทาให้กลุ่มประสบผลสาเร็จ

ซ่ึงความสาเร็จของกลุ่มก็เป็นผลสืบเนื่อง มาจากความสาเร็จของนักเรียนแต่ละคนเป็นสาคัญ แผนการจัดการ เรียนรู้โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม เป็นแผนท่ีส่งเสริมให้นักเรียน ประสบความสาเร็จในการร่วมกัน และก่อให้เกิดพัฒนาการด้านผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนรายคน ซึ่งจากการท่ีผู้วิจัยได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้พลศึกษากีฬาแฮนด์บอลโดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภท การแข่งขันระหว่างกลุ่มเกมพบว่า คะแนนการทดสอบทักษะพื้นฐานกีฬาแฮนด์บอลหลังเรียนของนักเรียน รายบุคคลสูงขึ้นกว่าคะแนนทดสอบทักษะก่อนเรียน สอดคล้องกับผลการศึกษาของ อร่าม นราทร (Arram Narathorn, 2005) เร่ืองการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกันประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม กลุ่มสาระการ เรียนรสู้ ุขศึกษาและพลศกึ ษา เรื่อง กรีฑา ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 4 ท่ีพบว่า นักเรียนประถมศึกษาปีท่ี 4 หลังจาก จัดกิจกรรมโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน ประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกมพบว่า นักเรียน มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ เกิดการร่วมมือร่วมใจในการฝึกปฏิบัติ แสดงว่านักเรียนมีความก้าวหน้า ด้านการเรียนเพ่ิมขึ้น สอดคล้องกับผลการศึกษาของ พรทิพย์ ฤกษ์สมโภชน์ (Pornthip Lerksompoch, 2007) เร่ืองการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาพลศึกษา เจตคติต่อวิชาพลศึกษา และการมีปฏิสัมพันธ์ ของนักเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค กลุ่มเกมการแข่งขันกับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ท่ีเน้นกิจกรรมการทางานเปน็ ทีม นักเรียนทุกคนจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กัน โดยมีการปรึกษาหารือช่วยเหลือกัน มีส่วนร่วมในการทากิจกรรม ทาให้นักเรียนมีการปรับตัวเองและสร้าง สัมพันธ์กับเพื่อนภายในทีมมากข้ึน อีกทั้งยังพัฒนาทักษะกีฬากรีฑาของนักเรียนสูงข้ึน ซ่ึงผู้วิจัยได้ออกแบบ กิจกรรมโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขัน ระหว่างกลุ่มเกม ซึ่งเป็นเกมกิจกรรมการแข่งขันเป็นเกมเล้ียงลูกแฮนด์บอลระดับอก แต่ละทีมส่งตัวแทนออกมาแข่งขันท้ังหมด 5 รอบ รอบละ 1 คน โดยแต่ละรอบไม่ซา้ กนั แต่ละคนทาการแข่งขันครั้งเดียว กตกิ าการแข่งขันนกั เรียนแตล่ ะคน เลี้ยงลูกแฮนดบ์ อลระดับสูงอ้อมกรวยยางตามท่ีครกู าหนดไว้ โดยจับเวลาในแตล่ ะรอบ กลุ่มที่ใชเ้ วลาน้อยท่ีสุด ได้ 3 คะแนน กลุ่มท่ีใช้เวลารองลงมาได้ 2 คะแนน ส่วนกลุ่มที่เหลือได้ 1 คะแนน การนับคะแนนจะนาคะแนน ของนักเรียนที่ลงแข่งขันของแต่ละกลุ่มมารวมกัน กลุ่มไหนได้คะแนนรวมสูงท่ีสุดจะเป็นกลุ่มที่ชนะพบว่า กิจกรรมเกมการแข่งขันเล้ียงลูกแฮนด์บอลระดับอกน้ี นักเรียนทุกคนมีส่วนในการแข่งขันทาให้นักเรียน ช่ืนชอบและสนกุ สนาน มคี วามสบายใจ ไมเ่ กดิ ความเครียด สิ่งเหลา่ นี้จะช่วยใหน้ ักเรียนเกิดสมั พันธ์กันภายใน ทีมและระหว่างทีมได้เป็นอย่างดี จึงทาให้นักเรียนมีความมั่นใจและกล้าท่ีจะแสดงออก ทาให้เกิดพัฒนาการ ในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีสูงขึ้น สอดคล้องกับผลการศึกษาของ สิธิกติ ์ิ จันสามารถ (Sithikit Chansamart, 2009) ท่ีกล่าวว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม เป็นวิธีการหนึ่งที่จะนามาใชเ้ พ่ือการพัฒนาในการจดั การเรียนรวู้ ิชาพลศึกษา เพราะการจดั การเรียนรู้รูปแบบ น้จี ะสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล จูงใจให้ผู้เรียนสนใจท่ีจะเรียน อีกทั้งยังช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจได้โดยง่าย และถูกต้องตามจุดมุ่งหมาย ช่วยประหยัดเวลาทั้งผู้เรียนและผู้สอน รวมท้ังช่วยส่งเสริมความร่วมมือในการ ทางานเป็นทีมเป็นวิธีการพัฒนารูปแบบมาจากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยกาหนดให้ผู้เรียนท่ี มี ความสามารถต่างกันทางานร่วมกันเปน็ ทมี และใช้การแขง่ ขัน โดยผเู้ รียนท่ีมีความสามารถทางวิชาการเท่าเทยี ม กันเข้าแข่งขันตามกลุ่มต่าง ๆ เพื่อนาคะแนนของแต่ละคนท่ีได้จากการแข่งขันในแต่ละกลุ่มมาเป็นคะแนน ของกลุ่ม แต่ในเวลาเรียนจะต้องร่วมมือกัน และเป็นวิธีการหน่ึงท่ีช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้พร้อมฝึกทักษะ อย่างสนุกสนานและท้าทายความสามารถ โดยผู้เรียนเป็นผู้เล่นเอง ทาให้เกิดประสบการณ์เป็นวิธีการที่ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้เรียนอย่างแท้จริง ซ่ึงในการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้พลศึกษากีฬาแฮนด์บอล ผู้วิจัยได้ออกแบบเกมกิจกรรมให้นักเรียนแต่ละทีมได้ฝึกซ้อม ร่วมกันและออกมาทาการแข่งขันพบว่า นักเรียนในแต่ละทีมมีการทางานร่วมกัน มีการร่วมมือกันวางแผน และแบ่งหน้าที่รับผิดชอบกับเพื่อนภายในทีม ในแต่ละทีมสมาชิกในทีมให้ความร่วมมือแบ่งหน้าท่ีรับผิดชอบ

มสี ่วนร่วมภายในกลมุ่ คอยช่วยเหลือส่งเสริมและสนับสนนุ เพ่อื นในทมี โดยคนที่มที ักษะทางกฬี าดีจะคอยช่วย สอนทักษะและแนะนาเพ่ือนในทีม เกิดความสมัครสมานสามัคคีในหมู่คณะ เม่ือนักเรียนที่ได้เป็นตัวแทน ของทีมออกไปทาการแข่งขันจะมีความมุ่งมั่นต้ังใจทาอย่างเต็มที่ เพ่ือนสมาชิกภายในทีมก็จะคอยให้กาลัง ทาให้นักเรียนรู้จักหน้าท่ีของตนเอง เกิดความสนใจท่ีจะฝึกปฏิบัติทักษะทาให้ทักษะพ้ืนฐานกีฬาแฮนด์บอล ดีข้ึน สอดคล้องกับผลการศึกษาของ เสรี สุวรรณภักดี และณรงค์ อารมณ์รัตน์ (Seree Suwanphakdee, & Narong Aromrut, 2008) ท่ีได้ศึกษาเร่ือง ผลการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้ชุดกิจกรรมการฝึกทักษะ เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม เพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานบาสเกตบอล กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า นักเรียนมีทักษะพื้นฐานบาสเกตบอล ดีขนึ้ นกั เรยี นเกิดความเพลิดเพลิน ชว่ ยคลายความตึงเครียดในการเรียน สง่ เสรมิ ความสามคั คีและใช้ฝึกปฏิบัติ ทักษะได้ดี ชว่ ยจูงใจและเร้าความสนใจของนกั เรยี น ฝึกความรับผิดชอบ รู้จกั การปฏบิ ัตติ ามกฎเกณฑ์ ชว่ ยให้ ครูได้เห็นพฤติกรรมของนักเรียนได้ชัดเจนย่ิงขึ้น นอกจากนี้ในการแข่งขันครูจะให้การเสริมแรงนักเรียน ด้วยการชมเชย ให้คะแนนและให้รางวัล เมื่อนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมได้ถูกต้อง ตามกฎกติกาของเกมการศึกษา ที่ตั้งไว้ จึงทาให้นักเรียนมีกาลังใจในการเรียน การฝึกฝนทักษะด้านกีฬาและพัฒนาตนเองได้ดีขึ้นเร่ือย ๆ นอกจากน้ีแล้วขั้นตอนในการเล่นเกมการศึกษาแต่ละข้ันช่วยให้นักเรียนจดจาและเรียนรู้การฝึกทักษะกีฬา ได้เป็นอย่างดี ซ่ึงจากการจัดกิจกรรมพลศึกษากีฬาแฮนด์บอลโดยให้นักเรียนออกมาทากิจกรรมแข่งขันเกม ระหว่างกลุ่มพบว่า นักเรียนมีความต้ังใจที่จะออกมาทาหน้าท่ีเป็นตัวแทนของทีมอย่างเต็มที่ มีความม่ันใจ เกดิ การกลา้ แสดงออก สง่ ผลให้คะแนนทกั ษะพ้ืนฐานกฬี าแฮนด์บอลในภาพรวมสูงข้ึน 2. ผลการประเมินทักษะการทางานเป็นทีมของนักเรียนประถมศึกษาปีท่ี 4 หลังการทดลอง นักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม กีฬาแฮนด์บอล มีคะแนนทักษะการทางานเป็นทีมสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 โดยคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยทักษะการทางานเป็นทีม 4.52 คะแนน และกลุ่มควบคมุ มีคะแนนเฉล่ียทักษะการทางานเปน็ ทีม 4.41 คะแนน จากการวิเคราะห์การประเมินทักษะพื้นฐานกีฬาแฮนด์บอลและทักษะ การทางานเป็นทีม ของนักเรียนประถมศึกษาปีท่ี 4 หลังการทดลองใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่าง กลุ่มเกม นักเรียนกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยทักษะพื้นฐานกีฬาแฮนด์บอลและค่าเฉล่ียทักษะการทางานเป็นทีม สูงกว่าก่อนการทดลอง อาจเน่ืองจากว่าเด็กวัยประถมศึกษาปีที่ 4 น้ีเป็นวัยที่กาลังมีพัฒนาการในการเรียนรู้ ในทุก ๆ ด้าน มีการเรียนรู้ในด้านสมรรถภาพทางกายท่ีสงู ข้ึน และมีความต้องการได้รับการยอมรับจากเพ่ือน เพื่ออยู่ร่วมกันในสังคม จึงทาให้ค่าเฉลี่ยทักษะพ้ืนฐานกีฬาแฮนด์บอลและค่าเฉล่ียทักษะการทางานเป็นทีม หลังการจัดการเรียนรู้พลศึกษามีค่าเฉล่ียท่ีสูงขึ้น สอดคล้องกับการศึกษาของอานวย มีสมทรัพย์ (Amnouy Meesomsap, 2010) เร่ืองการทางานเป็นทีมที่ว่า การทางานเป็นทีมเป็นการร่วมกันทางานของสมาชิก ตงั้ แต่ 2 คนขึ้นไป โดยที่สมาชิกทกุ คนนนั้ จะต้องมีเป้าหมายเดียวกัน จะทาอะไรแล้วทกุ คนตอ้ งยอมรับร่วมกัน มีการวางแผนการทางานร่วมกัน ซ่ึงจาเป็นสาหรับการบริหารงานในทุกองค์กร ดังนั้นในการจัดกิจกรรม การเรียนรู้พลศึกษากีฬาแฮนด์บอลโดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่ างกลุ่มเกม นักเรียนกลุ่มทดลองจึงมีความตั้งใจที่จะฝึกปฏิบัติทักษะ เพราะนักเรียนทุกคนจะต้องออกไปเป็นตัวแทน ของกลุ่มในการออกมาทาการแข่งขัน ซ่ึงในการออกมาทาการแข่งขันในแต่ละคร้ังพบว่า นักเรียนมีการ วางแผนและแบ่งหน้าท่ีความรับผิดชอบกับเพื่อนสมาชิกภายในทีม มีการส่ือสารภายในทีมมากขึ้น เกิดปฏิสัมพันธ์ร่วมกันส่งผลให้นักเรียนมีการฝึกซ้อมปฏิบัติทักษะอย่างเต็มที่ตรงตามจุดมุ่งหมายของทีม นอกจากน้ีนักเรียนกลุ่มทดลองยังมีความรักใคร่ผูกพัน สมัครสมานสามัคคีกันในทีม จึงทาให้ผลสัมฤทธิ์ จากการทางานเป็นทีมน้ันออกมาได้ดีและมีคุณภาพ สอดคล้องกับการศึกษาของ Francis, & Yong (2000)

เร่ือง การทางานเป็นทีมที่ว่าการทางานเป็นทีมกลุ่มบุคคลท่ีมีความผูกพันในความรับผิดชอบที่จะปฏิบัติงาน ให้บรรลุวัตถุประสงค์ โดยสมาชิกทุกคนมีความพอใจที่จะทางานและสามารถทางานของตนให้ออกมา มีประสทิ ธิภาพ ในการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้พลศึกษาโดยใช้เทคนิคการเรยี นแบบร่วมมือประเภทการแข่งขัน ระหว่างกลุ่มเกมพบว่า เมื่อนักเรียนได้ทากิจกรรมกลุ่มร่วมกันตลอดระยะเวลา 8 สัปดาห์ ในการทดลอง นักเรียนเกิดความผูกพันธ์กับเพ่ือนสมาชิกในทีมมากข้ึน มีการวางแผนนัดแนะฝึกซ้อมทักษะกีฬาแฮนด์บอล ในเวลาว่างและในเวลาหลังเลิกเรียนเป็นประจาอย่างสม่าเสมอ ใครทักษะไม่ดีก็จะมีเพ่ือนสมาชิกในทีม มาคอยชว่ ย จึงทาใหท้ ักษะกีฬาแฮนด์บอลดขี ึน้ เมอ่ื นกั เรียนมคี วามผูกพันกัน มใี จตรงกัน ช่วยกันฝกึ ฝน จงึ ทา ให้ทักษะการทางานเป็นทีมดีขึ้น สอดคล้องกับการศึกษาของ สุวิทย์ มูลคา และอรทัย มูลคา (Suwit Moonkham, & Orrathai Moonkham, 2002) ได้กล่าวว่า การเรียนโดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกมเป็นการเรียนรู้แบบร่วมมืออีกแบบหนึ่งคล้ายกันกับเทคนิค STAD ที่แบ่ง ผู้เรียนท่ีมีความสามารถแตกต่างกันออกไปเป็นกลุ่มเพื่อทางานร่วมกัน กลุ่มละประมาณ 4 - 6 คน โดยกาหนดให้สมาชิกของกลุ่มได้แข่งขันกันในเกมการเรียนรู้ท่ีผู้สอนจัดเตรียมไว้แล้ว ทาการทดสอบความรู้ โดยใช้เกมการแข่งขัน คะแนนท่ีได้จากการแข่งขันของสมาชิกแต่ละคนในลักษณะการแข่งขันตัวต่อตัว กบั ทีมอ่ืน นาเอามาบวกเปน็ คะแนนรวมของทีม ผสู้ อนจะต้องใช้เทคนิคการเสรมิ แรง เช่น ใหร้ างวัล คาชมเชย เป็นต้น ดังนั้น สมาชิกกลุ่มจะต้องมีการกาหนดเป้าหมายร่วมกันช่วยเหลือซ่ึงกันและกันเพ่ือความสาเร็จ ของกลุ่มจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พลศึกษากีฬาแฮนด์บอลโดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภท การแข่งขันระหว่างกลุ่มเกมพบว่า ในการกาหนดกิจกรรมเกมแข่งขันทักษะกีฬาแฮนด์บอลโดยได้กาหนดให้ นกั เรียนกลุ่มทดลองไปดาเนนิ การฝึกปฏิบตั ิร่วมกันกับสมาชิกภายในทีมของตนเอง นักเรียนคนท่ีมีทกั ษะกีฬา อยู่ในระดับเก่งจะคอยช่วยแนะนาฝึกฝนกับเพ่ือนสมาชิกในทีมท่ีอ่อนในด้านทักษะกีฬา จึงทาให้นักเรียน เกดิ การเรียนรูร้ ่วมกัน นักเรียนเห็นคุณค่าของตนเองและเห็นคณุ ค่าของสมาชกิ ภายในทีม เรียนรทู้ ี่จะเปน็ ผูน้ า และผู้ตามในโอกาสที่เหมาะสม เม่ือเป็นตัวแทนของทีมออกมาทาการแข่งขันจึงมีความมุ่งม่ันต้ังใจมากย่ิงขึ้น กว่าเดมิ จึงทาใหท้ กั ษะพื้นฐานกฬี าแฮนด์บอลและทักษะการทางานเปน็ ทีมน้นั ดีขึน้ ดังนั้นการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษากีฬาแฮนด์บอลโดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภท การแข่งขันระหว่างกลุ่มเกมทม่ี ีต่อการทางานเปน็ ทมี ของนกั เรียนประถมศกึ ษาปีท่ี 4 จึงเป็นการศกึ ษาเพื่อการ พัฒนาคณุ ภาพชวี ิตและสุขภาพ เกิดพฒั นาการในด้านทักษะกีฬาและทักษะในการดารงชวี ิต มีสขุ ภาพร่างกาย แข็งแรงสมบูรณ์ท้ังร่างกาย จิตใจ และมีทักษะกีฬาท่ีดี รวมท้ังเป็นการเรียนรู้เพ่ือปรับเปล่ียนพฤติกรรมการ ออกกาลังกายท่ถี ูกตอ้ ง และสรา้ งเสริมให้รู้จกั วิธกี ารส่งเสริมสุขภาพ อกี ทัง้ ยังจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการเรยี นรู้ ในการอยู่ร่วมกันในสังคมได้มีอย่างประสิทธิภาพ ปลูกฝังให้นักเรียนรู้จักทางานร่วมกันเกิดความสมัครสมาน สามัคคีในหมู่คณะ เป็นพลเมืองท่ีดีของประเทศชาติต่อไป สอดคล้องกับ จรินทร์ ธานีรัตน์ และละเมียด กรยุทธพิพฒั น์ (Charin Thaneerat, & Lamied Kornyutpipat, 2000) กล่าวไว้วา่ การจดั กจิ กรรมพลศกึ ษา เป็นการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาทุก ๆ ด้านทั้ง 5 ด้าน ประกอบไปด้วย 1) ด้านสมรรถภาพ ทางกาย ให้ผู้เรียนมีร่างกายท่ีแข็งแรงมีสุขภาพอนามัยท่ีดี 2) ด้านทักษาะการเคลื่อนไหวของร่างกาย เพื่อให้นักเรียนมีทักษะการเล่นกีฬาท่ีจาเป็น 3) ด้านความรู้ความเข้าใจ เพื่อให้นักเรียนมีความรู้และความ เข้าใจในวิธีการเล่นเบ้ืองต้นง่าย ๆ 4) ด้านคุณธรรม กีมีน้าใจนักกีฬา มีคุณธรรม 5) ด้านเจตคติที่ดีในการ ออกกาลังกาย ให้นักเรียนเห็นคุณค่าความสาคัญของการออกกาลังกาย ซ่ึงในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชา พลศึกษากีฬาแฮนด์บอลโดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม ผู้วิจัย ได้ศึกษาทักษะพ้ืนฐานกีฬาแฮนด์บอลและทักษะการทางานเป็นทีม โดยเช่ือว่าทักษะพ้ืนฐานกีฬาแฮนด์บอล และทักษะการทางานเป็นทีมในการเรียนพลศึกษาสามารถพัฒนาได้ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค การเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม เพราะวิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการเรียน

แบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม เป็นวิธีการหน่ึงท่ีจะนามาใช้เพ่ือพัฒนาในการเรียนรู้วิชา พลศึกษา ซ่ึงจะทาให้เกิดการเรียนรู้และจะสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล จูงใจให้นักเรียนสนใจที่ จะฝกึ ปฏิบตั ิ เป็นวิธีท่ชี ่วยสง่ เสริมความร่วมมอื ในการทางานเป็นกลุ่ม ผเู้ รยี นไดเ้ รียนรรู้ ่วมกนั รู้จกั การทางาน เป็นทีม ซ่ึงการทางานเป็นทีมนี้ จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง เกิดความอบอุ่น มีความม่ันใจ และมั่นคงทางจิตใจของตนเองมากยิ่งขึ้น อีกท้ังยังช่วยให้นักเรียนเข้าใจได้โดยง่ายและถูกต้องตรงตาม จุดมุ่งหมาย ช่วยประหยัดเวลาได้ทั้งผู้เรียนและผู้สอน ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของ เติมเพชร สุขคณาภิบาล (Termpetch Sookhanaphibarn, 2008) ได้กล่าวว่า พลศึกษาจะช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะ ในการเคล่ือนไหวและปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างถกู ต้อง ช่วยปลูกฝังให้มีน้าใจนักกีฬา คือการรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย รจู้ ักช่วยเหลือเกื้อกูลและมีจิตใจทรี่ ่าเรงิ แจม่ ใส ฝึกให้ผู้เรยี นไดแ้ กไ้ ขปญั หาเฉพาะหน้า รวมไปถงึ การคิด วางแผนหรือพัฒนาทักษะต่าง ๆ ของตนเอง และได้ฝึกประสบการณ์การเข้าไปมีส่วนร่วมในสังคม สอดคล้อง กับผลการศึกษาของ พรทิพย์ ฤกษ์สมโภชน์ (Pornthip Lerksompoch, 2007) ที่ว่าการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม เน้นกิจกรรมการทางานเป็นทีม นกั เรียนทุกคนจะตอ้ งมปี ฏิสัมพนั ธ์กันโดยมีการปรึกษาหารือช่วยเหลือกัน มีส่วนร่วมในการทากิจกรรม ทาให้ นกั เรียนมีการปรับตัวเองและสร้างสัมพันธ์กับเพ่ือนภายในทมี มากขน้ึ จนนักเรียนเกดิ ความสนุกสนาน มีความ สบายใจ ไม่เกิดความเครียด สิ่งเหล่าน้ีจะช่วยให้นักเรียนเกิดสัมพันธ์กันภายในทีมและระหว่างทีมได้ เป็นอย่างดี จึงทาให้นักเรียนมีความมั่นใจและกล้าที่จะแสดงออก ทาให้เกิดพัฒนาการในด้านผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนที่สูงข้ึนซ่ึงสอดคล้องกับ อรอนงค์ โฆษิตพิพัฒน์ (Ornanong Kositpipat, 2017) ท่ีกล่าวว่า การทางานเป็นทีม เป็นวินัยหน่ึงของการสร้างองค์การเอื้อการเรียนรู้ สามารถสร้างคุณค่าของทีมงานให้ เหนือคุณค่าของบุคคลโดยการนาความแตกต่าง ความเหมือนและศักยภาพของแต่ละคนในทีมนั้น มาผสมผสานกัน เพื่อเพิ่มพูนศักยภาพเหล่าน้ีให้เกิดเป็นพลังที่หลากหลาย ทาให้การทางานเป็นทีมมี ประสิทธภิ าพมากย่ิงขึ้น การเรียนรเู้ ป็นทีมในระหวา่ งการทางานร่วมกันช่วยสร้างความเชือ่ คา่ นิยม เป้าหมาย ของทีม นอกจากน้ียังเสริมสร้างบรรยากาศในการทางานที่กระตุ้นให้ทุกคนในทีมเห็นความสาคัญท่ีจะต้อง มกี ารเรียนรู้เพื่อการเปล่ียนแปลงและพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ซ่ึงการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้เทคนิค การเรียนแบบร่วมมือประเภทการแขง่ ขันระหว่างกลุ่มเกมน้ันจะช่วยให้ผเู้ รียนสามารถพัฒนาทักษะกีฬา และ ทักษะการทางานเป็นทีมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ร่วมกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือที่จะเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมในการเรียนรู้ร่วมกันของนักเรียน จึงส่งผลให้ผู้ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้เทคนิค การเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกม มีผลสัมฤทธ์ิทางการทดสอบทักษะกีฬาดีขึ้นและ ทักษะการทางานเป็นทมี ดขี ้นึ ข้อเสนอแนะจากการวิจัย 1. ก่อนการทดลองผ้วู ิจัยได้ศึกษาปัญหาการทางานเป็นทีม ซ่ึงเป็นส่ิงสาคัญสาหรับวิชาพลศึกษา และการทางานเป็นทีมในด้านต่างๆของนักเรียนในระดับชั้นประถมปลาย และพฤติกรรมของนักเรียน โดยสงั เกตและสอบถามจากครู เพ่อื ใช้เปน็ ข้อมลู กอ่ นการทดลอง 2. นักเรียนในระดับประถมปีท่ี 4 อยู่ในระดับชั้นประถมปลายและเข้าสู่ช่วงเวลาที่สาคัญของ วัยเด็กเป็นวัยท่ีเตรียมเข้าสู่วัยรุ่นที่มีการเปล่ียนแปลงที่ชัดเจนในทุกด้านหลายประการ ทั้งในด้านพัฒนาการ ทางอารมณ์ และด้านพัฒนาการทางสังคม สามารถควบคุมและเรียนรู้การแสดงออกทางอารมณ์ท่ีสังคม ยอมรับและเริ่มมีปัญหาในกลุ่มเพ่ือนและการได้รับการยอมรับในกลุ่ม ครูจึงมีความจาเป็นต้องจัดทากิจกรรม การเรียนรู้เพื่อให้นักเรียนมีทักษะการทางานเป็นทีมและมีคุณธรรมและจริยธรรมและค่านิยมอันพึงประสงค์ ซึง่ จะส่งผลดีตอ่ การเรยี นและสามารถทางานและอยรู่ ว่ มกับบุคคลอื่นในสงั คมไดอ้ ย่างมีความสขุ

3. ครูควรมีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการ แข่งขันระหว่างกลุ่มเกมอย่างต่อเน่ืองเพื่อพัฒนาทักษะและพฤติกรรมการทางานเป็นทีมซึ่งจะส่งผลดีต่อการ เรียนในวิชาอื่น ๆ และนักเรียนสามารถพัฒนาการทางอารมณ์ และด้านพัฒนาการทางสังคมควบคุม และ เรียนรกู้ ารแสดงออกทางอารมณ์ทส่ี ังคมยอมรบั ขอ้ เสนอแนะในการทาวจิ ัยครงั้ ต่อไป 1. ควรนาเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกมไปใช้กับการจัดการ เรียนการสอนในวิชาอื่น เพื่อพฒั นาทักษะการทางานเป็นทมี ของนักเรียน 2. ควรใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือประเภทการแข่งขันระหว่างกลุ่มเกมในการจัดการเรียน การสอนวิชาพลศึกษาอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาการทางอารมณ์ และการพัฒนาการทางสังคมควบคุม และเรียนรู้อยา่ งต่อเนื่อง กิตติกรรมประกาศ วิทยานิพนธ์เล่มน้ีสาเร็จลุล่วงโดยได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก “ทุนอุดหนุนวิทยานิพนธ์สาหรับ นิสิต” บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้รับความกรุณาและความดแู ลเอาใจใส่อย่างดียิ่งจาก ผศ.ดร.สุธนะ ตงิ ศภทั ยิ ์ และ รศ.ดร.บัญชา ชลาภริ มย์ อาจารยท์ ีป่ รึกษาวทิ ยานพิ นธ์ ผวู้ จิ ัยรู้สกึ ซาบซง้ึ ในความ เมตตาเป็นอยา่ งยงิ่ จงึ ขอกราบขอบพระคณุ เปน็ อยา่ งสงู ไว้ ณ ที่นี้ References Amnouy Meesomsap. (2010). A study of relationship between team work and academic administration of schools under the office of Phranakhon Si Ayutthaya Educational Service Area 1 (Master’s thesis), Ayutthaya Rajabhat University. Arram Narathorn. (2005). Cooperative learning management TGT health and physical education 4 grade athletics (Master’s thesis), Mahasarakam University. Best, J. W. (1981). Research in Education (3rd ed.). Englewood cliffs, New Jersey: Prentice. Charin Thaneerat, & Lamied Kornyutpipat. (2000). Handball. Bangkok: Aksorncharoentus. Francis, D., & Young, D. (2000). Improving work groups: A practical mamal for team building. La Jolla, California: University Associates. Ornanong Kositpipat. (2017). Developing the ability to work as a team through a collaborative teaching model working in a team in the subject seminar in journalism. Journal of Faculty of education Pibulsongkram Rajabhat University, 1(60), 27. Pornthip Lerksompoch. (2007). A comparison of learning achievement in mathematics, attitudes towards learning mathematics, and interaction among students between the use of cooperative learning (Teams – Games - Tournaments) and conventional approach for mathayamsuksa 1 students (Master’s thesis), Ayutthaya Rajabhat University. Punsuk Wonwong, & Sky sport team. (2007). Rules and Basic for playing handball. Pathumthani: Sky book. Seree Suwanphakdee, & Narong Aromrut. (2008). Learning high school handball (Master’s thesis), Kasetsart University.

Sithikit Chansamart. (2009). Effect of the TGT technique learning activities promotion on the results of organizing cooperative learning activities TGT techniques on physical fitness in physical education grade 2 (Master’s thesis), Mahasarakam University. Somkiet Tungkitvanitch. (2013). Reform basic education for learning in the 21st century. Bangkok: National Statistical Office. Slavin, R. E. (1995). Cooperative Learning Theory. Research and Practice (2nd ed.). Massachsetts: A Simom & Schuster. Supervision monitoring and evaluation for educational provision group. (2018). Personal Communication. Chiangrai: Chiangrai Primary Educational Area Officer 1. Suwit Moonkham, & Orrathai Moonkham. (2002). 19 Tips for learning to improve knowledge and skills. Bangkok: Bangkok Graphic Art. Termpetch Sookhanaphibarn. (2008). Physical education and human development (Sports are a wpmderful medicine). The Journal of Faculty of Applied Arts, King Mongkut’s University of Technology North Bangkok, 1(1), 55 – 57. Wattanaporn Ra-Ngubtook. (1999). Student - Centered Learning. Bangkok: Love And Lip Tress Company Limited. Received: June 5, 2020 Revised: July 3, 2020 Accepted: July 8, 2020



ผลการจัดการเรียนรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานีทม่ี ตี อ่ ทกั ษะการเคลื่อนไหวพื้นฐาน ของนกั เรียนประถมศกึ ษาตอนต้น ชญานนั ทน์ ไทรศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ และ สธุ นะ ตงิ ศภทั ิย์ คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั บทคดั ยอ่ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือเปรียบเทียบผลของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวพ้ืนฐาน ก่อนและหลังการทดลองของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานของกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคมุ (ดงั ตารางท่ี 1) 2) เพื่อเปรียบเทียบผลของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวพ้ืนฐานหลังการทดลองของกลุ่มทดลองกับกลุ่ม ควบคุม (ดังตารางท่ี 2) กลุ่มตัวอย่างทาการเลือกนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนระดับ ประถมศึกษาท่ีมีอายุระหว่าง 8 - 9 ปี ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) ได้กลุ่ม ตัวอย่างจากน้ันผู้วิจัยทาการจัดหานักเรียนเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยการสุ่มห้องเรียน จานวน 2 ห้อง จากจานวน 3 ห้อง ของระดับประถมศึกษาปีท่ี 3 ดว้ ยวธิ สี มุ่ อย่างง่าย (Sample Random Sampling) โดยการจับฉลาก จานวน 64 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มทดลอง จานวน 32 คน กลุ่มควบคุม จานวน 32 คน โดยกลุม่ ทดลองได้รับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานี ส่วนนักเรยี นกลุ่มควบคุมไดร้ ับ การจัดการเรียนร้พู ลศึกษาตามปกติ ดาเนินการทดลองระยะเวลา 8 สปั ดาห์ สปั ดาหล์ ะ 1 วัน วันละ 60 นาที เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้การฝึกแบบสถานี จานวน 8 แผน มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.94 2) แบบประเมินด้านทักษะการเคล่ือนไหวพื้นฐาน มีค่าดัชนีความ สอดคล้องเท่ากับ 0.95 และทาการเปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉล่ียของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหว พื้นฐาน โดยทดสอบค่าที (t - test) ก่อนและหลังทาการทดลอง แล้วทาการทดสอบทักษะการเคล่ือนไหว พ้ืนฐานก่อนและหลังการทดลองด้วยแบบประเมนิ ทกั ษะการเคลื่อนไหวพ้ืนฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) คา่ เฉลี่ย ของคะแนนทักษะการเคล่ือนไหวพ้ืนฐานหลังการทดลองของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมี นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ค่าเฉลี่ยของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวพ้ืนฐานหลังการทดลองของ นักเรียนกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 สรุปได้ว่าการจัดการเรียนรู้ พลศกึ ษาด้วยการฝึกแบบสถานีสามารถพัฒนาทักษะการเคล่อื นไหวพื้นฐานของนักเรยี นประถมศึกษาตอนต้น ทาใหน้ ักเรยี นประถมศกึ ษาตอนตน้ มีทักษะการเคลอ่ื นไหวพ้ืนฐานที่ดีขึ้น คาสาคญั : การฝกึ แบบสถานี; ทักษะการเคลื่อนไหวพ้นื ฐาน; การจดั การเรียนร้พู ลศึกษา Corresponding Author: นางสาวชญานันทน์ ไทรศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย Email: [email protected]

EFFECTS OF PHYSICAL EDUCATION LEARNING MANAGEMENT USING CIRCUIT TRAINING ON FUNDAMENTAL MOVEMENT SKILLS OF LOWER PRIMARY SCHOOL STUDENTS Chayanan Saisaksit and Suthana Tingsabhat Faculty of Education, Chulalongkorn University Abstract The purposes of this research were to 1) compare the different results before and after the experiment of the experimental group and the control group (Table 1), 2) compare the different results between the experimental group which received physical education learning management using circuit training and control group which received the normal physical education instruction (Table 2). The grade 3 students of the strong primary school between 8 - 9 years were selected by purposive selection and the sample were 64 students in Grade 3 by simple random sampling. The participants were divided into 2 groups. There are 32 students in experimental group which received the physical education learning management using circuit training. The research instruments were comprised of eight physical education learning management using circuit training lesson plans and fundamental test. Another group which received the normal physical education instruction contained 32 students. The research instruments were 8 lessons plans, 1 day a week. Each had 60 minutes and fundamental movement skills test with IOC 0.94 and 0.95. Then the differences of the average t - test scores of fundamental movement skills test were compared before and after the treatment. The results were as follows: 1) the mean score of fundamental movement skills after the treatment of the experimental group was higher than that before the treatment at the significance level of .05 and 2) the mean score of fundamental movement skills after the treatment of the experimental group was higher than that the control group at the significance level of .05. Conclusion: Physical education learning management with using a circuit training on fundamental movement skills of lower primary students can make the students have a better fundamental movement skills. Keywords: circuit training, fundamental movement skills, physical education learning management Corresponding Author: Miss. Chayanan Saisaksit Faculty of Education Chulalongkorn University Email: [email protected]

บทนา พัฒนาการทางร่างกาย และสุขภาพทางกายของเด็กก่อนวัยเรียน และประถมศึกษาตอนต้นนั้น มีความสาคัญต่อการพัฒนาของเด็กและการเรียนรู้ทักษะการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐาน ซ่ึง Branta, Haubenstricker, & Seefeldt (1984) ได้ทาการศึกษาและพบว่า เด็กในวัยประถมศึกษามีระดับความสามารถของทักษะการ เคล่ือนไหวพื้นฐานอยู่ในระดับต่า และเนื่องจากเด็กที่มีทักษะการเคล่ือนไหวพ้ืนฐานอยู่ในระดับต่าจะทาให้มี โอกาสท่ีจะมีส่วนร่วม และสนุกกับกิจกรรมทางกายได้น้อยกว่าเมื่อเทียบกับเพื่อนท่ีมีทักษะการเคลื่อนไหว พื้นฐานดีกว่า ซึ่งการเคลื่อนไหวร่างกายทาให้ได้มีการพัฒนาให้ดีขึ้น การเคลื่อนไหวร่างกายถือเป็นปัจจัย สาคญั ในการพัฒนาทางร่างกายของเด็ก ประสบการณข์ องเด็ก อนั ไดแ้ ก่ การปีน การคลาน การกระโดด ไมใ่ ช่ เพียงเรื่องท่ีถือว่าซุกซนสาหรับเด็ก แต่เป็นการแสวงหาโอกาสของสมองสาหรับการเห็นโลกจากมุมมอง ที่ต่างกัน กระบวนการเรียนรู้ในการเคล่ือนไหวจะช่วยพัฒนาการเรียนรู้เกี่ยวกับมิติ ระยะ ทิศทาง เวลา ความเร็ว แรง ฯลฯ การรับร้สู ่ิงเหลา่ น้ีเป็นพื้นฐานสาคัญของการเรียนรู้และรู้จักตนเอง ทาให้เดก็ มีการพัฒนา และเป็นพ้ืนฐานสาหรับวิชาการในทุกสาขา ไมเ่ พียงแต่จะต้องสอนความรู้เรอื่ งมิติ ระยะ ทศิ ทาง เวลา เมื่อถึง ชั่วโมงสังคมศึกษา เพราะ “การรับรู้” ต้องมีมาก่อนในชีวิตจริง เด็กจึงจะพัฒนาความคิดนามธรรมข้ึนมา ในชวั่ โมงเรียนได้ (Okely, & Booth, 2004; Beurden, Zask, Bernett, & Dietrich, 2002) ธรรมชาติของวัยเด็ก เป็นวัยที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบเคล่ือนไหวร่างกาย มีความอยากรู้อยากเห็นเพื่อให้ เกิดการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ รอบตัว การส่งเสริมให้เด็กเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรงในวันหน้า จึงสาคัญ โดยมีทั้งพ่อ แม่ โรงเรียนเข้ามามีส่วนสาคัญมากสาหรับการส่งเสริมให้เด็กได้ออกกาลงั กาย ดังหลาย ๆ งานวิจัยที่ผ่านมา การทาให้เด็กรักการออกกาลังกาย และออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ จะเป็นการสร้าง คุณลักษณะนิสัยทีด่ ีตอ่ การออกกาลังกายของเดก็ ไปตลอดชีวิต ดังนนั้ การส่งเสรมิ ให้เด็กเจริญเติบโตเปน็ ผ้ใู หญ่ ที่มีสุขภาพแข็งแรงในวันหน้าจะต้องคานึงถึงการส่งเสรมิ การออกกาลังกายเพ่ือให้เด็กเจริญเติบโตอย่างสมวัย มีพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรง ซึ่งผู้ที่อยู่รอบตัวเด็กเองมีบทบาทสาคัญต่อการส่งเสริมการออกกาลังกาย ของเด็ก หมายรวมถึง พ่อ แม่ ผู้ปกครอง จะต้องทาเป็นตัวอย่างให้เด็กเห็นและปฏิบัติตาม เพราะการทาให้ เด็กรักการออกกาลังกาย และออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ จะเป็นการสร้างคุณลักษณะนิสัยท่ีดีต่อการ ออกกาลงั กายของเด็กไปตลอดชวี ติ (Soraya Satongtian, 2012) จากการศึกษางานวจิ ัยทีผ่ ่านมาพบวา่ การท่ีเด็กมีทักษะการเคลอ่ื นไหวพ้ืนฐานในระดับตา่ จะทาให้ เป็นอุปสรรคสาคัญต่อการดาเนินชีวติ ทางด้านรา่ งกาย อาจทาให้เกิดอุบัติเหตุไดง้ ่ายจากการทากจิ กรรม หรือ เล่นกีฬา (Lubans, Morgan, Cliff, Barnett, & Okely, 2010) ซ่ึง Malina, & Little (2008) ได้ศึกษาและ พบว่า เด็กก็ยังมีการพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวพ้ืนฐานท่ียังอยู่ในระดับที่ไม่ดี Lubans และคณะ (Lubans et al., 2010) ผู้เชี่ยวชาญในเร่ืองทักษะการเคล่ือนไหวพ้ืนฐานกล่าวว่า ทักษะการเคล่ือนไหวพ้ืนฐานถือเป็น กุญแจสาคัญในการพัฒนาด้านร่างกาย สติปัญญา และการพัฒนาทางด้านสังคมของเด็ก ซ่ึงจะเป็นพ้ืนฐาน สาหรับการดาเนินชีวิตท่ีมีสุขภาพดี และการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ในการพัฒนาทักษะการเคล่ือนไหวในช่วงวัย เด็กสามารถทานายได้ว่าในช่วงที่เด็กเจริญเติบโตไปเป็นวัยรุ่น จะทาให้เด็กสามารถทากิจกรรมได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ดังนั้นการผสมผสานท่ีเหมาะสมของกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะการเคล่ือนไหวพื้นฐาน จะเป็น ส่งิ จาเป็นที่จะช่วยให้เด็กมีสมรรถภาพทางกายท่ีดีดว้ ย ในขณะทคี่ วามต้องการที่จะส่งเสรมิ การออกกาลังกาย ในวัยเรียนน้ัน เป็นสิ่งที่สาคัญ แต่จากการวิจัยท่ีผ่านมาพบว่า สิ่งที่จาเป็นต่อการพัฒนาในโรงเรียนต่าง ๆ ควรเป็นการพัฒนาทักษะการเคล่ือนไหวข้ันพื้นฐาน และเม่ือเด็กอยู่ในวัยท่ีเหมาะสมต่อการพัฒนาทักษะ การเคล่ือนไหวแบบเคลื่อนที่ ทักษะการเคลื่อนไหวแบบอยู่กับที่ และทักษะการเคลื่อนไหวประกอบอุปกรณ์ กค็ วรท่จี ะมกี ารสอนเพื่อพฒั นาทักษะเหล่านี้ในโรงเรียนอนุบาลและโรงเรยี นประถม (Lubans et al., 2010)

ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล (Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital Department of Pediatrics, Mahidol University, 2019) ไดศ้ ึกษา พบว่า การเรยี นรู้ของเดก็ ปฐมวัยและประถมศกึ ษาทเ่ี หมาะสม คอื เล่นนาเรียน และการเรียนร้อู ยา่ งมคี วามสุข ทงั้ นี้ในการเล่นท่ีมสี งิ่ เก้ือหนุนที่ดี จะส่งเสรมิ ให้เด็กมีพัฒนาการท่ีดี ท้ังกาย จิตใจ ปญั ญา และมีวินัย มีการคิด วิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ และการปรับตัว และลดอุบัติเหตุ โดยในการวางแผนท่ีจะพัฒนาทักษะ การเคล่ือนไหวพ้ืนฐานให้กับเด็กท่ีจะได้ผลดีนั้น ย่อมจะต้องพัฒนาผ่านการเรียนการสอนวิชาพลศึกษา ซ่ึงจะ ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีการพัฒนาทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม จะต่างจากวิชาอื่นตรง ทวี่ ิธกี ารและส่ิงท่ีนามาใช้ คือ พลศึกษาใช้กิจกรรมการออกกาลัง หรือการเล่นกีฬาเป็นสื่อในการเรยี นรู้โดยให้ นักเรียนมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมพลศกึ ษาใหม้ ากทีส่ ดุ (Vorasak Pienchob, 1980) การเคลือ่ นไหวเบอ้ื งตน้ เปน็ กิจกรรมหน่งึ ในบรรดากจิ กรรมต่าง ๆ ของวิชาพลศกึ ษาดว้ ยนน้ั ก็เพือ่ ให้ กิจกรรมการเคลื่อนไหวเบอื้ งต้นได้มีส่วนชว่ ยให้นักเรียนมีพัฒนาการในด้านทักษะการเคลือ่ นไหวพ้ืนฐานตา่ ง ๆ ในตัวนักเรียนนั่นเอง โดยเฉพาะนักเรียนท่ีอยู่ในระดับชั้นอนุบาลและชั้นประถมศึกษานั้นเป็นวัยท่ีควรจะ ได้มีทักษะการเคล่ือนไหวพื้นฐานในด้านต่าง ๆ อย่างถูกต้องมาตั้งแต่ในระยะแรก ๆ ของชีวิต (Vorasak Pienchob, 2005) การฝึกแบบสถานี (Circuit Training) หมายถึง กิจกรรมการฝึกเพ่ือพัฒนาสมรรถภาพทางกาย ให้มีการพัฒนาแบบองค์รวม ซง่ึ ถือว่าเปน็ กิจกรรมท่ีสามารถพัฒนาร่างกายได้ครบทุกส่วนของร่างกาย โดยใน โปรแกรมอาจมีสถานี 8 - 10 สถานี หรือตามความเหมาะสม ซ่ึงใช้เวลาในแต่ละสถานี ประมาณ 45 - 60 วินาที ทั้งนี้ขึ้นกับช่วงอายุ และน้าหนักของผู้เข้าร่วมกิจกรรม ซ่ึงจะต้องอาศัยการออกแบบโปรแกรมให้เหมาะสม กับผูเ้ ขา้ รว่ ม และจากงานวิจัยที่ผ่านมามีการใช้การฝึกแบบสถานี เพ่ือพัฒนาในหลายด้าน เช่น สมรรถภาพ ทางกาย การลดเปอร์เซ็นต์ไขมัน ความสามารถในทักษะกีฬา เป็นต้น ซ่ึงผลการวิจัยส่วนใหญ่พบว่า โปรแกรม การฝึกแบบสถานสี ่งผลดีต่อต่อดา้ นตา่ ง ๆ ทกี่ ล่าวมาข้างตน้ ดังนั้นจึงมีความจาเป็นที่จะต้องใช้การฝึกแบบสถานีในการนามาพัฒนาทักษะการเคล่ือนไหว พ้ืนฐาน และความสามารถของเด็กในวัยที่กาลังเจริญเติบโต ดังท่ี หทัยชนก เสาร์แก้ว ไพบูลย์ ศรีชัยสวัสดิ์ และวัฒนา สุทธิพันธ์ุ (Hathaichanok Saokeaw, Paiboon Srichaisawat, Wattana Sutipan, & Khajorn Treesopanakorn, 2016) ได้นาโปรแกรมการฝึกแบบสถานีไปใช้ในการพัฒนาสมรรถภาพทางกายของ เด็กชายอายุ 9 ปี ท่ีมภี าวะน้าหนักเกิน และส่งผลดตี ่อสมรรถภาพทางกายให้เด็กได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าโปรแกรม การฝึกสถานีสามารถนามาใช้กับเด็กช่วงอายุ 8 - 9 ปีได้ และโปรแกรมการฝึกแบบสถานีจะสามารถช่วยให้ นักเรยี นมีสุขภาพที่แข็งแรง มีทกั ษะการเคลื่อนไหวพ้ืนฐานท่ีดีข้ึน ปฏิบตั ิกิจกรรมตา่ ง ๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพ และมีคุณภาพ เพราะทักษะการเคลื่อนไหวพ้ืนฐานเป็นการพัฒนาที่สาคัญ ทักษะการเคล่ือนไหวพ้ืนฐานของ เด็กเป็นการเตรียมสมรรถนะของร่างกายทุกส่วนเพ่ือใช้ประโยชน์ในการมีชีวิตอยู่ และพร้อมกันน้ัน ทักษะ การเคลอ่ื นไหวพืน้ ฐานก็พัฒนาความสามารถของสมอง อนั เป็นเครอ่ื งมือของการเรียนร้ไู ปด้วย วตั ถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของคะแนนก่อนและหลังการทดลองของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหว พื้นฐานของกลมุ่ ทดลองกบั กลมุ่ ควบคมุ 2) เพื่อเปรียบเทยี บผลของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวพ้ืนฐานหลังการทดลองของกลุ่มทดลองกับ กลุ่มควบคมุ

สมมติฐานของการวิจัย นักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานี (Circuit Training) มีทักษะการ เคลื่อนไหวพนื้ ฐานหลงั การทดลองสูงกว่ากอ่ นการทดลองอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ ่ีระดบั .05 วธิ ีดาเนนิ การวิจยั ข้นั ที่ 1 การเตรยี มการทดลอง 1.1 การศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ัยท่เี กย่ี วข้อง 1.2 กาหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่างการวิจัยคร้ังน้ี ประชากรในการวิจัยครั้งน้ี คือ นักเรียน ประถมศึกษาตอนต้น โรงเรียนสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน ปีการศกึ ษา 2562 กลุ่มตัวอย่าง ที่ใชใ้ นการวิจัย คือ ผู้วิจัยทาการเลอื กนกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนระดับประถมศึกษา ที่มอี ายุ ระหว่าง 8 - 9 ปี ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) ได้กลุ่มตัวอย่างจากน้ันผู้วิจัย ทาการจัดหานกั เรียนเขา้ กลมุ่ ทดลองและกลุม่ ควบคมุ โดยการสุ่มห้องเรียนจานวน 2 หอ้ ง จากจานวน 3 หอ้ ง ของระดับประถมศึกษาปีท่ี 3 ด้วยวธิ สี มุ่ อยา่ งงา่ ย (Sample Random Sampling) โดยการจบั ฉลาก 1.3 การสร้างและพัฒนาเคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้ การฝึกแบบสถานี จานวน 8 แผน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินด้านทักษะ การเคลื่อนไหวพื้นฐานที่พัฒนามาจาก พลพรรธน์ บัวแก้ว (Phonlaphat Buakaew, 2016) จานวน 3 ด้าน ด้านละ จานวน 1 ข้อ ได้แก่ ด้านทักษะการเคลื่อนไหวแบบอยู่กับที่ ด้านทักษะการเคล่ือนไหวแบบเคลื่อนท่ี ดา้ นทกั ษะการเคลอื่ นไหวประกอบอปุ กรณ์ ข้ันตอนการพัฒนาการจัดการเรียนรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานีท่ีมีต่อทักษะการเคลื่อนไหว พ้นื ฐานของนกั เรียนประถมศกึ ษาตอนตน้ ผู้วิจัยดาเนินการดังน้ี 1) ศกึ ษารายละเอียดเก่ียวกบั การฝึกแบบสถานีจากงานวจิ ัย ตารา และเอกสารตา่ ง ๆ เพอื่ สร้าง ตารางวเิ คราะห์กิจกรรมการฝึกแบบสถานี 2) สร้างแผนจัดการเรยี นรูพ้ ลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานีจานวน 8 แผน และแบบประเมินทักษะ การเคลื่อนไหวพน้ื ฐาน 3) ผู้วิจัยนาแผนการเรียนรู้ท้ังหมดและแบบประเมินให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจพิจารณาแล้ว นามาปรบั ปรงุ แกไ้ ข 4) นาแผนการจดั การเรยี นรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานีและแบบประเมินทักษะการเคลอื่ นไหว พ้ืนฐานไปใหผ้ ้ทู รงคณุ วุฒิตรวจพิจารณาความตรงตามจดุ ประสงค์ และความเหมาะสมของกิจกรรมการเรยี นรู้ และนามาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Congruence: IOC) ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Congruence: IOC) เท่ากับ 0.94 และแบบประเมินทักษะการเคล่ือนไหวพ้ืนฐานได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Congruence: IOC) เท่ากบั 0.95 5) แก้ไขปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษาการฝึกแบบสถานีและแบบประเมินทักษะ การเคล่ือนไหวพนื้ ฐานให้สมบรู ณ์ 6) นาแผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานีที่มีต่อทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐาน ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ท่ีมีลักษณะใกล้เคียง กับกลุ่มตัวอย่าง เพ่ือตรวจสอบคุณภาพชองเครื่องมือในการวิจัย และทราบข้อบกพร่องของเคร่ืองมือวิจัยเพ่ือ นามาแก้ไขก่อนทาการทดลอง

ข้ันท่ี 2 การดาเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมลู 2.1 การกาหนดแผนการทดลอง การวิจัยครั้งน้ีเป็นวิจัยก่ึงทดลอง (Quasi – Experimental Research) แบบ 2 กลุ่ม มีการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง โดยดาเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล ก่อนการ ทดลองแผนการจัดการเรยี นรพู้ ลศึกษาดว้ ยการฝกึ แบบสถานี มดี ังนี้ 2.1.1) ผู้วิจัยทาการทดสอบทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานของนักเรียนกลุ่มทดลองและนักเรียน กลุม่ ควบคมุ กอ่ นการทดลอง (Pre - test) 2.1.2) นาผลการทดสอบก่อนเรียนมาทดสอบความแตกตา่ งของค่าเฉล่ยี โดยทดสอบค่าที (t - test) 2.2) กลุ่มทดลองผู้วิจัยเป็นผู้ดาเนินการจดั การเรยี นรตู้ ามแผนการจดั การเรยี นรู้พลศึกษาด้วยการฝึก แบบสถานี แต่ละคาบเรยี นจะประกอบไปด้วย 5 ขัน้ ตอนสาคญั คือ ขนั้ ที่ 1 ข้ันเตรยี ม/การอบอุ่นรา่ งกาย ขั้นที่ 2 ข้นั อธบิ ายสาธติ ขน้ั ท่ี 3 ฝึกทักษะ ข้ันท่ี 4 ขั้นนาไปใช้ ขั้นท่ี 5 ข้ันสรุป ส่วนสาคญั คือ ผู้ดาเนินการจัดการเรียนรู้ ตามแผนการจดั การเรียนรู้พลศกึ ษาด้วยการฝึกแบบสถานี มุ่งเนน้ ให้นักเรียนได้มีการพัฒนาทักษะการเคล่ือนไหว พ้ืนฐานของตนเองอย่างเต็มท่ีตามศักยภาพของแต่ละคน และเข้าร่วมกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ในห้องเรียน อย่างสุดความสามารถและสนุกสนาน โดยผ่านกระบวนการการฝึกแบบสถานี จานวน 8 แผนการจัดการ เรียนรู้ สัปดาห์ละ 1 คาบเรียน คาบเรียนละ 60 นาที รวม 8 สัปดาห์ กลุ่มควบคุม ดาเนินการจัดการเรียนรู้ โดยผู้วิจัยดาเนินการสอนจากการใช้แผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบปกติ สัปดาห์ละ 1 คาบเรียน คาบเรียนละ 60 นาที รวม 8 สัปดาห์ สาระการเรียนรู้ของกลุ่มควบคุมเหมือนกับกลุ่มทดลอง การดาเนินงาน หลังการทดลองโดยการประเมินทักษะการเคล่ือนไหวพ้ืนฐานของนักเรียนกลุ่ มทดลองและกลุ่มควบคุม หลังการทดลอง (Post - test) โดยใช้แบบประเมนิ ฉบับเดยี วกันกบั แบบประเมนิ ก่อนเรียน ขน้ั ที่ 3 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู และสถติ ทิ ใ่ี ช้ 3.1 สถิตทิ ใ่ี ช้ 3.1.1 วเิ คราะห์ข้อมูลคานวณค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ของการทดสอบทกั ษะการเคลอ่ื นไหวพืน้ ฐาน ดว้ ยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ 3.1.2 ทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลย่ี ของการทดสอบทักษะการเคล่ือนไหวพ้ืนฐานก่อน และ หลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ด้วยการทดสอบค่าที (Paired - Sample t - test) ท่รี ะดับนัยสาคญั ทางสถิติ .05 โดยใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์ 3.1.3 ทดสอบความแตกต่างของค่าเฉล่ียของการทดสอบทักษะการเคลื่อนไหวพ้ืนฐาน หลังการ ทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ด้วยการทดสอบค่าที (Independent - Sample t - test) ทร่ี ะดับนยั สาคัญทางสถิติ .05 โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ผลการวจิ ยั ตารางที่ 1 ผลการเปรียบเทยี บคา่ เฉลี่ยคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวพ้นื ฐานก่อนและหลังการทดลองระหวา่ ง นักเรยี นกลุม่ ทดลองกับนักเรยี นกลมุ่ ควบคุม กอ่ นทดลอง หลังทดลอง ก่อนทดลอง หลังทดลอง ทักษะการเคลือ่ นไหวพืน้ ฐาน กล่มุ ทดลอง กลมุ่ ทดลอง กลมุ่ ควบคุม กลมุ่ ควบคมุ n = 32 n = 32 n = 32 n = 32 Mean S.D. Mean S.D. Mean S.D. Mean S.D. ทกั ษะการเคล่ือนไหวแบบอยูก่ ับท่ี 2.031 0.647 3.156 0.515 2.062 0.669 2.625 0.609 ทักษะการเคล่อื นไหวแบบเคลือ่ นท่ี 1.812 0.693 3.218 0.581 1.719 0.523 2.312 0.471 ทักษะการเคล่อื นไหวประกอบอุปกรณ์ 2.312 0.644 3.593 0.499 2.093 0.530 2.437 0.504

จากตาราง 1 พบว่า ค่าเฉล่ียของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวพ้ืนฐานก่อนการทดลองระหว่าง กลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ส่วนค่าเฉล่ียของคะแนน ทักษะการเคล่อื นไหวพื้นฐานของกลุ่มทดลอง หลังจากไดร้ ับการจดั การเรียนรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานี สูงข้ึนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 โดยก่อนการทดลองนักเรียนกลุ่มทดลองมีค่าเฉล่ียของคะแนน ทักษะการเคลื่อนไหวแบบอยู่กับท่ีเท่ากับ 2.031 คะแนน ค่าเฉลี่ยของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหว แบบเคล่ือนท่ีเท่ากับ 1.812 คะแนน และค่าเฉล่ียของคะแนนทักษะการเคล่ือนไหวประกอบอุปกรณ์เท่ากับ 2.312 คะแนน หลงั การทดลองมีคา่ เฉล่ียของคะแนนทกั ษะการเคล่ือนไหวแบบอยกู่ ับท่เี ท่ากบั 3.156 คะแนน ค่าเฉล่ียของคะแนนทักษะการเคล่อื นไหวแบบเคลื่อนท่ีเท่ากบั 3.218 คะแนน และค่าเฉลี่ยของคะแนนทกั ษะ การเคลือ่ นไหวประกอบอุปกรณ์ เทา่ กบั 3.593 คะแนน ส่วนค่าเฉลี่ยของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานของกลุ่มควบคุม หลังจากได้รับการจัด การเรียนรู้วิชาพลศึกษาแบบปกติไม่แตกต่างจากก่อนการทดลองอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ . 05 โดยก่อนการทดลองนักเรียนกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวแบบอยู่กับท่ีเท่ากับ 2.062 คะแนน ค่าเฉล่ียของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวแบบเคลื่อนที่เท่ากับ 1.719 คะแนน และค่าเฉล่ีย ของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวประกอบอุปกรณ์เท่ากับ 2.093 คะแนน หลังการทดลองมีค่าเฉล่ียของ คะแนนทักษะการเคล่ือนไหวแบบอยู่กับท่ีเท่ากับ 2.625 คะแนน ค่าเฉล่ียของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหว แบบเคล่ือนท่ีเท่ากับ 2.312 คะแนน และค่าเฉลี่ยของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวประกอบอุปกรณ์ เท่ากับ 2.437คะแนน ตารางที่ 2 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานหลังการทดลองของนักเรียน กลมุ่ ทดลองและนักเรียนกล่มุ ควบคมุ หลังการทดลองสัปดาห์ที่ 8 ทักษะการเคลอ่ื นไหวพ้นื ฐาน กลุม่ ทดลอง กลุ่มควบคุม tp n = 32 n = 32 ทกั ษะการเคลอ่ื นไหวแบบอยูก่ ับที่ 3.767 0.000* ทกั ษะการเคลือ่ นไหวแบบเคลือ่ นที่ Mean S.D. Mean S.D. 7.326 0.000* ทักษะการเคลอ่ื นไหวประกอบอุปกรณ์ 9.222 0.000* ∗ ������ ≤ .05 3.156 0.515 2.625 0.609 3.218 0.581 2.312 0.471 3.593 0.499 2.437 0.504 จากตารางท่ี 2 พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการเคล่ือนไหวพ้ืนฐานหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่ม ทดลองและนกั เรียนกลุ่มควบคมุ หลงั การทดลองสปั ดาหท์ ่ี 8 มผี ลคะแนนทกั ษะการเคล่ือนไหวพนื้ ฐาน ดังนี้ 1. ทักษะการเคล่ือนไหวแบบอยู่กับที่พบวา่ หลงั การทดลองกลมุ่ ทดลองมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 3.156 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.515 ส่วนกลุ่มควบคุมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.625 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.609 และเมื่อเปรียบเทียบผลของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานหลังการทดลองสัปดาห์ท่ี 8 พบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวแบบอยู่กับที่ของกลุ่มทดลอง สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมี นยั สาคัญทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 (t = 3.767, p = .000) 2. ทักษะการเคลื่อนไหวแบบเคล่ือนที่พบว่า หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 3.218 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.581 ส่วนกลุ่มควบคุมมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 2.312 คะแนน ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.471 และเมื่อเปรียบเทียบผลของคะแนนทักษะการเคล่ือนไหวพื้นฐาน หลังการทดลองสัปดาห์ที่ 8 พบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวแบบเคลื่อนที่ของกลุ่มทดลอง สงู กว่ากลุ่มควบคมุ อย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ทิ ี่ระดบั .05 (t = 7.326, p = .000)

3. ทกั ษะการเคล่ือนไหวประกอบอุปกรณ์พบว่า หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 3.593 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.499 ส่วนกลุ่มควบคุมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.437 คะแนน ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.504 และเมื่อเปรียบเทียบผลของคะแนนทักษะการเคล่ือนไหวพ้ืนฐานหลัง การทดลองสัปดาห์ท่ี 8 พบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวประกอบอุปกรณ์ของกลุ่มทดลอง สูงกว่ากลมุ่ ควบคุมอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .05 (t = 9.222, p = .000) อภปิ รายผล ผลการวิจัยเร่อื ง ผลการจดั การเรียนรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานีท่ีมีต่อทักษะการเคลื่อนไหวพนื้ ฐาน ของนกั เรยี นประถมศึกษาตอนต้น สามารถสรุปและอภิปรายผลไดด้ ังนี้ จากสมมติฐานของการวิจัยท่ีว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานี (Circuit Training) มีทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 ผลปรากฏว่ากลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานีท่ีมี ตอ่ ทักษะการเคลือ่ นไหวพื้นฐาน ของนักเรียนประถมศึกษาตอนต้น หลงั จากฝึก 8 สปั ดาห์ ดีกว่าก่อนการทดลอง อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั .05 จงึ เป็นไปตามสมมตฐิ าน โดยสรปุ การเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของคะแนนก่อนและหลงั การทดลองของคะแนนทกั ษะการเคลื่อนไหว พ้ืนฐานของกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมพบว่า ก่อนการทดลอง ค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวพ้ืนฐาน ของกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม ส่วนหลังการทดลองพบว่า ค่าเฉล่ียคะแนนทักษะการเคล่ือนไหวพ้ืนฐานของ กล่มุ ทดลองสงู กว่ากล่มุ ควบคมุ การวิจัยในครั้งน้ีแสดงใหเ้ ห็นว่า การจดั การเรียนรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานี (Circuit Training) เป็นการจัดการเรียนรู้พลศึกษาท่ีมีประสิทธิภาพ ซ่ึงในระยะเวลา 8 สัปดาห์ กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัดการ เรียนรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานี (Circuit Training) ที่มีต่อทักษะการเคล่ือนไหวพื้นฐาน ในด้านทักษะ การเคลื่อนไหวแบบอยู่กับท่ี ทักษะการเคลื่อนไหวแบบเคลื่อนที่ และทักษะการเคลื่อนไหวประกอบอุปกรณ์ มีคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานสูงขึน้ กว่าก่อนการทดลองอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติทรี่ ะดบั .05 โดยการ เพ่ิมขึ้นของคะแนนทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่างเป็นผลมาจากการจัดการเรียนรู้พลศึกษา ด้วยการฝึกแบบสถานี (Circuit Training) ซ่ึงเป็นการจัดการเรียนรู้พลศึกษาท่ีกลุ่มทดลองได้รับ เพื่อพัฒนา ทกั ษะการเคล่ือนไหวพื้นฐานท้ัง 3 ด้าน ไดแ้ ก่ 1) ทักษะการเคลอื่ นไหวแบบอยู่กับท่ี คือ ความสามารถในการ ทรงตัวในท่ายืน ซึ่งเป็นการท่ีร่างกายได้ประกอบกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งท่ีไม่ต้องเคล่ือนท่ีไปยังท่ีอ่ืน ๆ ไม่มี ความซับซ้อนในการใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซ่งึ อาจจะมีหรือไม่มีอุปกรณ์กไ็ ด้ 2) ทกั ษะการเคล่ือนไหวแบบ เคล่ือนท่ี คือ ความสามารถในการกระโดดสองขาพร้อมกัน ซ่ึงเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยเคลื่อนจาก ท่ีหน่ึง ไปยังอีกที่หน่ึง โดยการเคลื่อนไหวจะเป็นแบบง่าย มีความสลับซับซ้อนมากกว่าทักษะการเคลื่อนไหว แบบอยู่กับท่ีเล็กน้อย และ 3) ทักษะการเคลื่อนไหวประกอบอุปกรณ์ คือ ความสามารถในการกล้ิงบอล เป็นการท่ีร่างกายสามารถเคล่ือนที่ไปมาได้ โดยที่มีอุปกรณ์เข้ามามีส่วนร่วมในการเคลื่อนที่จะมีความยาก มากขน้ึ ท้าทายสาหรับผูท้ ากิจกรรม ตอ้ งอาศัยการประสานสมั พันธ์ของร่างกายหลายสว่ น ซ่ึงการพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานทั้ง 3 ด้านดังกล่าว เป็นผลให้กลุ่มตัวอย่างมีทักษะ การเคล่ือนไหวพื้นฐานที่ดีขึ้น สอดคล้องกับงานของ Michael, Emma, & Samuel (2017) ท่ีได้ทาการวิจัย เร่ือง ผลของการใช้โปรแกรมพัฒนากล้ามเนื้อเชิงบูรณาการ (INT) ที่มีต่อทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานและ สมรรถภาพทางกายของเด็กอายุ 6 - 7 ปี กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนจานวน 94 คน แบ่งเป็นชาย 49 คน และหญิง 45 คน จากโรงเรียนประถม 2 แห่งในตอนกลางเมืองของประเทศอังกฤษ เครอ่ื งมอื การวจิ ัยเป็นโปรแกรม

การฝึกแบบสถานี โดยจะเพ่ิมสถานีทุก ๆ 2 สัปดาห์ ซึ่งส่งผลดีต่อการพัฒนาทักษะการเคล่ือนไหวพื้นฐาน และสมรรถภาพทางกายของเด็กอายุ 6 - 7 ปี นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังสอดคล้องกับ หทัยชนก เสาร์แก้ว ไพบลู ย์ ศรีชัยสวัสด์ิ และวัฒนา สุทธิพนั ธุ์ ( Hathaichanok Saokeaw, Paiboon Srichaisawat, Wattana Sutipan, & Khajorn Treesopanakorn, 2016) ได้ทาวิจัยเรื่อง ผลการออกกาลังกายแบบแอโรบิกด้วยโปรแกรมฝึกแบบสถานีที่มีต่อสมรรถภาพทางกาย ของเด็กชายอายุ 9 ปี ท่มี ภี าวะนา้ หนกั เกนิ โดยกลุ่มตวั อย่าง คอื นักเรียนชายระดบั ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 ที่มี ภาวะน้าหนักเกินจานวน 30 คน ผลการวจิ ัยพบวา่ โปรแกรมการฝึกแบบวงจร ยกตัวอยา่ งเช่น ว่ิงข้ามสิ่งกีดขวาง ก้าวข้ึนลงบันได กระโดดตบ วิ่งกลับตัวแตะเส้น ยืนเตะสลับ ทาให้กลุ่มตัวอย่างมีสมรรถภาพทางกายดีขึ้นก่อน การฝึกอย่างมีนัยสาคัญสถิติท่ีระดับ .05 และยังสอดคล้องกับงานของ Kamaruzaman และคณะ (Kamaruzaman et al., 2015) ได้ทาวิจัยเรือ่ งผลของการใช้โปรแกรมการฝึกแบบสถานีที่มีต่อการเสริมสร้าง ความอดทนของกล้ามเนื้อในนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับช้ัน ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 เพศชาย จานวน 40 คน โดยใช้โปรแกรมการฝึกแบบสถานี ระยะเวลาในการทดลองทั้งส้ิน 8 สัปดาห์ ผลการวิจัยพบว่า โปรแกรมการฝึกแบบสถานี มีผลต่อการเสริมสร้างความอดทนของกล้ามเนื้อ ในนักเรียนระดบั ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 5 การจัดการเรียนรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานี (Circuit Training) ยังสอดคล้องกับหลักการสอน กิจกรรมการเคลื่อนไหวพน้ื ฐานของ วรศกั ด์ิ เพยี รชอบ (Vorasak Pienchob, 2005) กลา่ วคอื การจัดการเรียนรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานี (Circuit Training) เป็นการนาเอากิจกรรมท่ีมี ความแตกต่างหลากหลายมารวมไว้ด้วยกันโดยสามารถปรับความหนักเบา (Intensity) และรูปแบบ (Type) ของกิจกรรมที่นามาใช้ในการฝกึ ออกกาลังกายใหม้ ีความหลากหลาย เพ่ือใหน้ ักเรียนหรือผเู้ ข้าร่วมการฝึกจาก สถานีหน่ึงไปสู่อีกสถานี ซึ่งโดยธรรมชาติของเด็กจะชอบรูปแบบของกิจกรรมที่มีความหลากหลาย และ มีลักษณะแบบหมุนเวียนหรือสลับสับเปลี่ยนรูปแบบของกิจกรรมท่ีทาให้เกิดแรงจูงใจ เนื่องจากรูปแบบ กิจกรรมท่ีมีลักษณะผสมและมีช่วงเวลาพักสั้น ๆ สลับ (Short Rest Periods) เป็นสิ่งจาเป็นและเป็นความ ต้องการโดยธรรมชาติของเด็ก สาหรับพัฒนาการและการเจรญิ เติบโตของเดก็ ซ่ึงหลักการสอนทักษะการเคล่ือนไหวพื้นฐานเพ่ือให้การเรียนกิจกรรมการเคลื่อนไหวพ้ืนฐานนี้ได้ บรรลุผลอย่างแท้จรงิ คอื นักเรียนได้มีพัฒนาการในด้านความรู้ความเข้าใจในความสามารถในการทางานของ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายของตนเอง นกั เรียนมพี ัฒนาการทางดา้ นร่างกาย นกั เรียนมรี ่างกายทีแ่ ขง็ แรง สมบูรณ์ และมีสุขภาพและพลานามัยทดี่ ี นักเรยี นไดม้ ีทักษะการเคลอื่ นไหวพน้ื ฐานของส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย อนั เป็น ผลเน่ืองจากการทางานประสานกันในระหว่างระบบประสาทและกล้ามเน้ือได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะนาไปสู่การมีทักษะเบื้องต้นในด้านต่าง ๆ ของชีวิตในโอกาสต่อไปได้น้ัน (Vorasak Pienchob, 2005) จากหลักการสอนทักษะการเคลื่อนไหวพ้ืนฐานที่สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบ สถานี ยังทาให้เห็นถึงความสอดคล้องของการวางแผนการฝึกแบบสถานีไว้ว่า การวางแผนการฝึกแบบสถานี สามารถแบ่งจานวนสถานีออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับน้อยสุด 6 - 9 สถานี ปานกลาง 9 - 12 สถานี หรือ มากสุด 12 -15 สถานี และควรเลือกการออกกาลังกายให้มีการสลับกลุ่มกล้ามเน้ือ เพราะจะได้มีการฟื้น สภาพท่ีเร็วกว่าและดีกว่า ชว่ งเวลาพักระหว่างสถานีสามารถใช้เวลาระหวา่ ง 60 - 90 วินาที และ 1 - 3 นาที ระหว่างรอบการฝึกซ้อม ดังน้ันในการออกกาลังกายจะมีความแตกต่างของอุปกรณ์ สถานีการทางานและ เครื่องมือฝึกความแข็งแรง ความหลากหลายของสถานีจะช่วยเพิ่มความท้าทายในการฝึกปฏิบัติของนักกีฬา ขณะเดียวกันก็เพิ่มความสนใจของนักกีฬาให้คงอยู่ตลอดเวลา การฝึกแบบสถานีนี้สามารถใช้ฝึกกับนักกีฬา ได้ทุกชนิดและทุกช่วงวัย แต่การฝึกจะต้องมีความเหมาะสมกับความสามารถรวมถึงสมรรถภาพของ ตวั ผฝู้ กึ ดว้ ย จึงนามาสกู่ ารพฒั นาการจดั การเรียนการสอนพลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานีที่ผู้วจิ ัยไดส้ รา้ งขน้ึ

ขอ้ เสนอแนะจากการวจิ ัย ขอ้ เสนอแนะจากการทาวิจัยในครงั้ น้ี มดี ังน้ี 1.จากการวิจัยพบว่า การจัดการเรียนรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานี ทาให้นักเรียนประถมศึกษา ตอนต้นมีทักษะการเคล่ือนไหวพ้ืนฐานที่ดีขึ้น ซ่ึงธรรมชาติของนักเรียนประถมศึกษาตอนต้น จะเป็นช่วงวัยที่ กาลังซน ไม่อยู่นิ่ง และสนุกสนานกับทุกกิจกรรมท่ีครูจัดให้ และจะต้องอาศัยการคุมชั้นเรียนที่ดี โดยให้ นักเรียนไม่ว่ิงเล่นซน หรือรบกวนสถานีที่คุณครูได้จัดเตรียมไว้ เพราะหากควบคุมช้ันเรียนได้ไม่ดี อาจเกิด อุบตั เิ หตุขณะจดั กจิ กรรมได้ และจะส่งผลให้เกิดการคลาดเคลือ่ นในการวิจัยได้ ข้อเสนอแนะสาหรบั การทาวิจยั ครง้ั ต่อไป 1. ควรมีการเพ่ิมสถานีในการฝึกทักษะการเคลื่อนไหวพ้ืนฐานให้เพ่ิมมากข้ึน ตามช่วงวัยและ ความสามารถของผู้เรียน เพราะหากนาไปจัดการเรียนการสอนกับนักเรียนท่ีช่วงวัยแตกต่างกัน ผู้วิจัยจะต้องดู ความเหมาะสมของการวางแผนการฝึกแบบสถานี 2. ควรมีการนาการจัดการเรียนรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานีไปใช้ในการพัฒนาทักษะกีฬาอื่น ๆ ใหก้ บั ผ้เู รยี นได้ 3. ควรศึกษาผลการเรียนรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานีที่เหมาะสมกับเพศและวัยท่ีแตกต่างกัน เพอ่ื ใหเ้ กิดประโยชน์สงู สุด และเพอื่ ป้องกันการบาดเจบ็ ทอ่ี าจเกิดข้นึ ได้ References Branta Crystal, Haubenstricker John, & Seefeldt Vern. (1984). Age changes in motor skills during childhood and adolescence. Exercise and Sport Sciences Reviews, 12(1), 467 - 520. E. van Beurden, A. Zask, L. M. Bernett, & U. C. Dietrich. (2002). Fundamental movement skills-How do primary school children perform? The ‘Move it Groove it’ program in rural Australia. Journal of Science and Medicine in Sport, 5(3), 244 – 252. Hathaichanok Saokeaw, Paiboon Srichaisawat, Wattana Sutipan, and Khajorn Treesopanakorn (2016). The effect of aerobic exercise by circuit training program on the physical fitness of 9-year-old overweight boys. Journal of Graduate Research, 7(2), 223 - 237. Lubans, D. R., Morgan, P. J., Cliff, D. P., Barnett, L. M., & Okely, A. D. (2010). Fundamental movement skills in children and adolescents: review of associated health benefits. Sports Med, 40(12), 1019 – 1035. Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital Department of Pediatrics, Mahidol University. (2019). Learning for preschool and elementary school children. Retrieved from https://www.youtube.com/watch?v=_-OnD9mapsM Michael, J., Emma L. J., & Samuel, W. (2017). The effects of 10-week integrated neuromuscular training on fundamental movement skills and physical self - efficacy in 6 – 7 year- old children. School of Life Sciences, Coventry University, Coventry, United Kingdom. Okely, A. D., & Booth, M. L. (2004). Mastery of fundamental movement skills among children in New South Wales. Prevalence and sociodemographic distribution. J Sci Med Sport, 7(3), 358 - 372.

Phonlaphat Buakaew. (2016). The development of an authentic assessment basic movement for student elementary school (Master’s thesis), Chulalongkorn University. Robert, M. Malina, & Bertis, B. Little. (2008). Physical activity: The present in the context of the past. American Journal of Human Biology, 20(4), 373 - 391. Soraya Satongtian. (2012). How to exercise Keep children healthy. Retrieved from http://www.pt.mahidol.ac.th/knowledge/?p=295 Syed Kamaruzaman Syed Ali, Malathyie A/P K. Arumugam, Zahra Ranjbar, Megat Ahmad Kamaluddin Megat Daud, Rahmad Sukor Ab Samad. (2015). The effectiveness of circuit training in enhancing muscle endurance among standard five boys in a primary school. Faculty of Education University of Malaya Kuala Lumpur. International Journal of Physical Education, Sports and Health, 2(1), 11 – 16. Vorasak Pienchob. (1980). Principles and Methods of Teaching Physical Education. Bangkok: Thai Watanapanich. Vorasak Pienchob (2005). Collection of Articles about Philosophy, Principles, Teaching Methods, and Measurement for Physical Education Evaluation. Bangkok: Chulalongkorn University Press. Received: May 21, 2020 Revised: July 2, 2020 Accepted: July 3, 2020



ผลการใชก้ ิจกรรม “ลดเวลาเรยี น เพ่ิมเวลารู้” โดยใชก้ ารสะทอ้ นคิดท่ีมีตอ่ ความฉลาดรู้ ทางสุขภาพเร่ืองยาสูบอเิ ล็กทรอนกิ ส์ของนักเรียนมธั ยมศกึ ษา ณภทั ร ชมธนานันท์ จนิ ตนา สรายทุ ธพทิ กั ษ์ และ วชริ วิทย์ ชา้ งแก้ว คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บทคดั ยอ่ วัตถุประสงค์การวิจัย เพ่ือเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของคะแนนความฉลาดรู้ทางสุขภาพเรื่องยาสูบ อิเล็กทรอนิกส์ก่อนและหลงั การทดลองของกลุ่มทดลองและของกลุ่มควบคุม และเปรียบเทียบค่าเฉลีย่ ของคะแนน ค ว า ม ฉ ล า ด รู้ ท า ง สุ ข ภ า พ เ ร่ื อ ง ย า สู บ อิ เ ล็ ก ท ร อ นิ ก ส์ ห ลั ง ก า ร ท ด ล อ ง ร ะ ห ว่ า ง ก ลุ่ ม ท ด ล อ ง กั บ ก ลุ่ ม ค ว บ คุ ม วิธีดาเนินการวิจัย กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาปีท่ี 2 จานวน 80 คน ได้จากการสุ่มอย่างง่าย แบ่งเป็น กลมุ่ ทดลองจานวน 40 คน ได้รับกิจกรรม “ลดเวลาเรยี น เพิ่มเวลารู้” เร่ืองยาสูบอเิ ล็กทรอนกิ สโ์ ดยใชก้ ารสะท้อน คิด และกลุ่มควบคุม จานวน 40 คน ได้รับกิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” เร่ืองยาสูบอิเล็กทรอนิกส์โดยวิธี ปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ กิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู้” เรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้การ สะทอ้ นคิด จานวน 8 แผนกิจกรรม มคี ่าดัชนคี วามสอดคลอ้ งรวม 0.95 และแบบประเมินความฉลาดรู้ทางสุขภาพ เรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง 0.94 ค่าความเท่ียง 0.87 ระยะเวลาในการวิจัย 8 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และทดสอบความแตกต่างค่าเฉล่ียของคะแนนด้วยค่าที ผลการวิจัย พบว่า ค่าเฉล่ียคะแนนความฉลาดรู้ทางสุขภาพเรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์หลังการทดลองของกลุ่ม ทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ ค่าเฉลี่ยคะแนนความฉลาดรู้ทาง สุขภาพเรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์หลังการทดลองของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี ระดับ 0.05 สรุปผลการวิจัย การจัดกิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” เร่ืองยาสูบอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้การ สะท้อนคิดส่งผลให้ความฉลาดรู้ทางสุขภาพเรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ของนักเรียนมัธยมศึกษาสูงกว่าการจัด กจิ กรรมการเรยี นรูแ้ บบปกติ คาสาคัญ: การจดั กิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู้”; การสะทอ้ นคิด; ความฉลาดร้ทู างสขุ ภาพเรือ่ งยาสบู อิเล็กทรอนิกส์ Corresponding Author: ศ. ดร.จินตนา สรายทุ ธพิทักษ์ คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย Email: [email protected]

EFFECTS OF “MODERATE CLASS MORE KNOWLEDGE” ACTIVITY USING REFLECTIVE THINKING ON HEALTH LITERACY ON ELECTRONIC CIGARETTE OF SECONDARY SCHOOL STUDENTS Napat Chomthananan, Jintana Sarayuthpitak, and Wachiravit Changkaew Faculty of Education, Chulalongkorn University Abstract Purposes: To compare mean scores of health literacy on electronic cigarette before and after implementation of the experimental group and the control group, and to compare mean scores of health literacy on electronic cigarette between the experimental group and the control group. Methods: The subjects were 80 eighth grade students, divided equally into 40 students for the experimental group who were assigned using the “ moderate class, more knowledge” activity on health literacy on electronic cigarette using reflective thinking, while 40 students of control group were assigned to use the conventional activity. The research instruments consisted of eight activities using reflective thinking with IOC 0.95, and health literacy on electronic cigarette test with IOC 0.94, reliabilities were 0.87. The data were analyzed using mean, standard deviation and t-test. Result: The research findings were as follows: The mean scores of the health literacy on electronic cigarette of the experimental group students after experiment were significantly higher than that before the experiment at 0.05 level, and the mean scores of the health literacy on electronic cigarette of the experimental group students after experiment were significantly higher than that in the control group at 0. 05 level. Conclusion: Using the “ moderate class, more knowledge” activity on health literacy on electronic cigarette with reflective thinking effect on health literacy on electronic of secondary school students was more effective than the conventional activity. Keywords: The “moderate class more knowledge” activity, Reflective thinking, Health literacy on electronic cigarette Corresponding Author: Prof. Jintana Sarayuthpitak, Ph.D., Faculty of Education, Chulalongkorn University Email: [email protected]

บทนา ปัจจุบันประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกล้วนให้ความสาคัญกับอันตรายจากการบริโภคยาสูบเพิ่มข้ึน เน่ืองจากยาสูบ เปน็ สาเหตขุ องปัญหาสุขภาพอย่างร้ายแรงทส่ี ามารถปอ้ งกนั ได้ โดยรายงานขององค์การอนามัยพบว่า มีผเู้ สียชีวิต จากการบริโภคยาสูบหรือการได้รับควันบุหรี่สูงถึง 6 ล้านคนต่อปี และคาดการณ์ไว้ว่าหากประเทศต่าง ๆ ไม่ได้ ร่วมมือกันอย่างจริงจังในการป้องกันและควบคุมการบริโภคยาสูบ ในปี 2573 จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 8 ล้านคน ตอ่ ปี (World Health Organization, 2018) สอดคล้องกบั ข้อมูลของศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุม ยาสบู พบว่า วัยรุ่นไทยในปจั จุบนั มีวิวัฒนาการบริโภคยาสบู ผ่านอปุ กรณ์การสูบรูปแบบใหม่ คือ ยาสบู อิเล็กทรอนิกส์ เพ่ิมขึ้น และได้ทาการศึกษาสารวจความคดิ เห็นของกล่มุ นกั ศึกษามหาวทิ ยาลัยทั้งของรัฐและเอกชนในกรุงเทพมหานคร ทม่ี ีต่อบุหร่ีไฟฟ้า พบสญั ญาณอันตรายหลายประเด็น ได้แก่ นักศึกษาเกือบร้อยละ 100 รู้จักยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ โดย 1 ใน 3 อยากลองใช้ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ และเกือบครึง่ มีทศั นคติทีด่ ีต่อยาสูบอิเล็กทรอนกิ ส์ โดยเชื่อวา่ ไม่ทา ให้ติดเพราะไมม่ ีนิโคติน และมีจานวน 1 ใน 6 ยงั เช่ือวา่ ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ไม่มีอันตรายเลย ท้ังน้ี ผลการสารวจ ตอกย้าว่าสถานการณ์ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ในเยาวชนไทยน่าเป็นห่วง โดยเยาวชนยังมีความสับสนเร่ืองข้อมูลของ ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ ซ่ึงท้ังหมดนี้คอื สัญญาณอันตรายอย่างมากทเี่ กิดข้นึ แล้วในประเทศไทย (Tobacco Control Research and Knowledge Management Center, 2020) แนวโน้มความนิยมและพฤติกรรมการสูบยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ท่ีเพิ่มมากข้ึนโดยเฉพาะในกลุ่มของวัยรุ่น ส่งผลให้สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (Office of the Basic Education Commission, 2019) ให้สถานศึกษาในสังกัดให้ความรู้ ความตระหนักถึงโทษของยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ โดยส่งเสริม ให้นักเรียนในระดับทุกระดับ โดยเฉพาะระดับมัธยมศึกษาให้มีความฉลาดรู้เท่าทันโทษและอันตรายพิษภัยของ ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ ดังน้ันจึงเป็นหน้าท่ีของโรงเรียนท่ีจะต้องให้ความสาคัญในการสร้างความตระหนัก และ การปฏบิ ัติเพือ่ ป้องกันหรือหลีกเลี่ยงยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ เมอื่ พิจารณาจุดมุ่งหมายการจัดกิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู้” ที่เนน้ ผู้เรียนเปน็ สาคัญ เพมิ่ โอกาสใหผ้ ู้เรียนได้ลงมือปฏบิ ัติจริง มีประสบการณ์ตรง ตามนโยบายของ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (Office of the Basic Education Commission, 2016) จึงนับเป็น โอกาสที่ดีในการจัดกิจกรรมในช่วงเวลา “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” เพ่ือเพิ่มความฉลาดรู้ทางสุขภาพเรื่องยาสูบ อิเล็กทรอนิกส์ให้นักเรียน ซึ่งสอดคล้องกบั งานวิจัยของ ชัชวรรณ จูงกลาง และจินตนา สรายุทธพิทกั ษ์ (Chatchawan Jungklarng, & Jintana Sarayuthpitak, 2015) ทาการศึกษาเรื่อง ผลการใช้กิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู้” เรื่องเพศศึกษา โดยใช้แนวคิดการพัฒนาด้านจิตพิสัยที่มีตอ่ ค่านิยมทางเพศที่เหมาะสมกบั สังคมไทย ผลการศึกษา พบว่า คา่ นยิ มทางเพศทเ่ี หมาะสมกับสงั คมไทยของนักเรยี นกล่มุ ทดลองสงู ข้นึ ความฉลาดรู้ทางสุขภาพ หมายถึง ทักษะต่าง ๆ ทางการรับรู้และทางสังคมซึ่งเป็นตัวกาหนดแรงจูงใจ และความสามารถของปัจเจกบคุ คลในการทจี่ ะเข้าถึง เขา้ ใจ และใชข้ ้อมูลในวิธกี ารต่าง ๆ เพอื่ ส่งเสริมและบารุงรักษา สุขภาพของตนเอง มีความสามารถและทักษะในการเข้าถึงข้อมูล มีความรู้ความเข้าใจเพ่ือวิเคราะห์และประเมิน การปฏิบัติและจัดการตนเอง รวมท้ังสามารถช้ีแนะเร่ืองสุขภาพส่วนบุคคล ครอบครัว และชุมชนเพื่อสุขภาพท่ีดี (World Health Organization, 2018; Department of Health, 2017; Health Education Division, 2018) ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะพัฒนาความฉลาดรู้ทางสุขภาพเรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ทั้ง 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ความรู้

ความเข้าใจ 2) การเข้าถึงข้อมูล 3) ทักษะการส่ือสารการบอกต่อข้อมูล 4) การจัดการตนเอง 5) การรู้เท่าทันส่ือ 6) ทักษะการตัดสินใจ โดยการจดั กจิ กรรมในช่วงเวลา “ลดเวลาเรยี น เพิ่มเวลารู้” การจดั กิจกรรมเพอ่ื ส่งเสริมความฉลาดรู้ทางสุขภาพเร่ืองยาสูบอิเลก็ ทรอนิกส์ให้นักเรียนอยา่ งมีประสิทธิผลน้ัน จาเป็นต้องคานึงถงึ แนวคดิ ทฤษฎีที่นามาเป็นพน้ื ฐานในการจดั กจิ กรรม การทบทวนวรรณกรรมที่เกีย่ วข้อง พบว่า การจัดการเรียนรู้โดยผ่านการสะท้อนคิด (Gibbs, 1988; Dewey, 1993; Kolb, 2015) เป็นแนวคิดที่มีจุดเน้น เกยี่ วกับวิธกี ารคิดวเิ คราะห์ใคร่ครวญอย่างละเอียดถ่ถี ้วน เป็นการคดิ ทบทวนไตร่ตรองสะท้อนความคิดจากเหตกุ ารณ์ ต่าง ๆ ช่วยทาให้เกิดการเรียนรู้ในเรื่องน้ัน ๆ มีความเข้าใจด้วยตนเอง ซ่ึงนาไปสู่ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และ พยายามค้นหาคาตอบ หาเหตุผล และขอ้ มูลท่ีมากเพียงพอที่จะนามาแก้ไขปัญหาไดอ้ ย่างเหมาะสม และเกิดความรู้ท่ี คงทน โดยสามารถจัดกิจกรรมกระบวนการสร้างการสะท้อนคิดเป็นรูปแบบวงจรการสะท้อนคิดของกิบส์ (Gibbs’ Reflective Cycle) ประกอบด้วย 6 ระยะ ประกอบดว้ ย 1) การอธบิ าย (Description) 2) ความรู้สึกทม่ี ีต่อเหตุการณ์ (Feeling) 3) การประเมินผล (Evaluation) 4) การวิเคราะห์ (Analysis) 5) การสรุปผล (Conclusion) 6) การ วางแผนปฏบิ ัติ (Action Plan) ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาแนวโน้มความนิยมที่ส่งผลต่อการมีพฤติกรรมการใช้ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ที่ เพ่ิมมากขึ้น ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาผลการใช้กิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู้” โดยใช้การสะท้อนคิดที่มีต่อความ ฉลาดรู้ทางสุขภาพเร่ืองยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีจุดประสงค์เพ่ือป้องกันนักสูบหน้าใหม่และเสริมสร้างความ ตระหนักรู้ในพิษภัยของยาสูบอิเล็กทรอนกิ ส์ด้วยการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ การเข้าถึงข้อมลู ทักษะการส่ือสาร การบอกต่อข้อมูลการจัดการตนเอง การรู้เท่าทันส่ือ และทักษะการตัดสินใจเร่ืองยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ เยาวชนไทย วัตถปุ ระสงค์การวจิ ยั 1. เพ่ือเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของคะแนนความฉลาดรู้ทางสุขภาพเร่ืองยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ก่อน และหลัง การทดลองของนกั เรยี นกลุม่ ทดลองและของนักเรยี นกลมุ่ ควบคุม 2. เพอื่ เปรียบเทียบคา่ เฉลี่ยของคะแนนความฉลาดรทู้ างสุขภาพเร่อื งยาสูบอิเลก็ ทรอนกิ ส์หลังการทดลอง ระหวา่ งนักเรียนกลุ่มทดลองกับนักเรียนกลุ่มควบคุม สมมติฐานการวิจยั 1. ค่าเฉล่ียคะแนนความฉลาดรู้ทางสุขภาพเรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์หลังการทดลองของนักเรียนกลุ่ม ทดลองสงู กว่าก่อนการทดลอง 2. ค่าเฉลี่ยคะแนนความฉลาดรู้ทางสุขภาพเรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์หลังการทดลองของนักเรียนกลุ่ม ทดลองสูงกวา่ นกั เรียนกลุม่ ควบคมุ

กรอบแนวคิดในการวิจยั แนวคดิ การสะทอ้ นคดิ แผนกิจกรรม ความฉลาดร้ทู างสขุ ภาพเรื่องยาสบู อิเล็กทรอนกิ ส์ 1) การอธิบาย “ลดเวลาเรยี น 2) ความรูส้ กึ ท่ีมตี อ่ เหตกุ ารณ์ เพม่ิ เวลารู้” เร่อื ง 1) ความรู้ ความเขา้ ใจเรื่องยาสูบอิเล็กทรอนกิ ส์ 3) การประเมินผล 2) การเขา้ ถึงขอ้ มลู เรือ่ งยาสบู อิเลก็ ทรอนิกส์ 4) การวิเคราะห์ ยาสูบ 3) ทกั ษะการสือ่ สารการบอกตอ่ ขอ้ มูล เพือ่ ปอ้ งกันยาสูบ 5) การสรปุ ผล อเิ ลก็ ทรอนิกส์ อิเลก็ ทรอนิกส์ 6) การวางแผนปฏิบัติ โดยใชก้ ารสะทอ้ น 4) การจดั การตนเอง เพอ่ื ปอ้ งกันยาสูบอิเลก็ ทรอนกิ ส์ 5) การรูเ้ ท่าทันส่ือของยาสบู อเิ ล็กทรอนิกส์ คิด 6) ทกั ษะการตดั สนิ ใจเรอ่ื งยาสบู อเิ ล็กทรอนิกส์ ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย วธิ ีดาเนินการวิจยั การวจิ ัยน้ีเปน็ การวจิ ยั กง่ึ ทดลอง (Quasi - Experimental Research) แบบ 2 กลมุ่ วิธีดาเนินการวจิ ยั ดังน้ี 1. ศึกษาเอกสาร วารสาร บทความ และงานวิจยั ทเ่ี กีย่ วข้องกับการจดั กิจกรรม “ลดเวลาเรยี น เพ่มิ เวลารู้” รปู แบบการจัดการเรยี นรู้โดยใชก้ ารสะทอ้ นคดิ การวัดและประเมินผลความฉลาดรูท้ างสุขภาพเร่อื งยาสบู อิเลก็ ทรอนิกส์ เพือ่ เป็นแนวทางในการพัฒนาเครื่องมือท่ใี ช้ในการวจิ ัยให้เกดิ ประสิทธิภาพ 2. กาหนดประชากรในการวิจัย คือ นักเรียนมัธยมศึกษา โรงเรียนในสังกัดสานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 ท่ีเข้าร่วมกิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู้” เร่ืองยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ ภาคปลาย ปีการศึกษา 2563 การสุ่มห้องเรียนเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ผู้วิจัย ทาการสุ่มห้องเรียนท่ีเป็นกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสมุ่ อย่างง่าย (Sample Random Sampling) โดยการจับฉลาก เพื่อกาหนดห้องเรียนกลุ่มตัวอย่าง 2 ห้อง เป็นห้องเรียนกลุ่มทดลอง 1 ห้องเรียน จานวน 40 คน ได้รับการจัด กิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” เรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้การสะท้อนคิด และห้องเรียนกลุ่มควบคุม 1 ห้องเรยี น จานวน 40 คน ไดร้ บั การจดั กิจกรรม “ลดเวลาเรยี น เพ่มิ เวลารู้” เร่ืองยาสบู อเิ ล็กทรอนิกส์แบบปกติ 3. สร้างและพัฒนาเครอื่ งมือที่ใช้ในการดาเนินการทดลอง ดงั นี้ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการดาเนินการทดลอง คือแผนการจัดกิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” เร่ืองยาสูบ อิเล็กทรอนิกส์โดยใช้การสะท้อนคิด ประกอบด้วย 8 กิจกรรม ได้แก่ 1) รู้ข้อมูลยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ 2) เข้าถึงข้อมูล ภัยร้าย 3) รู้เท่าทันยาสูบ 4) กล้าปฏิเสธ 5) อย่าริ อย่าลอง 6) กล้าเตอื นเพ่ือน 7) รักษ์สุขภาพ และ 8) คามั่นสัญญา ทผี่ ่านการตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือโดยผูท้ รงคุณวุฒจิ านวน 5 ท่าน ตรวจพิจารณาความตรงตามวัตถปุ ระสงค์ ความตรงตามเน้ือหา และความเหมาะสมของการจัดกิจกรรม นาผลการพิจารณามาหาค่าความสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์การวิจัย (Index of Congruence: IOC) พิจารณาข้อคาถามท่ีมีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ข้ึนไปพบวา่ มีค่าดชั นคี วามสอดคล้องรวมเท่ากบั 0.95 เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบประเมินความฉลาดรู้ทางสุขภาพเร่ืองยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ ให้สอดคล้องกับองค์ประกอบท้ัง 6 องคป์ ระกอบ ของความฉลาดรู้ทางสุขภาพเร่ืองยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นลักษณะ ข้อคาถามแบบหลายตัวเลือก (Multiple Choice) 4 ตัวเลือก ในองค์ประกอบท่ี 1) ความรู้ ความเข้าใจ และ

6) ทักษะการตัดสินใจ และเป็นลักษณะข้อคาถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) ใน องค์ประกอบท่ี 2) การเข้าถึงขอ้ มูล 3) ทักษะการสือ่ สารการบอกตอ่ ขอ้ มูล 4) การจัดการตนเอง และ 5) การรูเ้ ท่า ทันส่ือ ผ่านการตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือโดยผู้ทรงคุณวุฒิจานวน 5 ท่าน ตรวจพิจารณาความตรงตาม เนื้อหา นาผลการพิจารณามาหาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามกับคานิยามเชิงปฏิบัติการ (Index of Congruence: IOC) พิจารณาข้อคาถามท่ีมีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ข้ึนไป พบว่า มีค่าดัชนีความ สอดคล้องเทา่ กบั 0.94 นาแบบประเมินความฉลาดรู้ทางสุขภาพเร่ืองยาสบู อิเล็กทรอนิกส์ไปทดลองใช้กับนักเรียนมัธยมศึกษาปีท่ี 2 จานวน 30 คน ท่ีมีบริบทใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่าง นาผลการทดสอบมาวิเคราะห์รายข้อเพื่อหาค่าความเท่ียง (Reliabilities) ต้ังแต่ 0.8 ขนึ้ ไป ผลการวิเคราะห์ พบว่า มีคา่ ความเทย่ี งเทา่ กับ 0.87 ขน้ั ตอนการทดลองและเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 1. ทดสอบก่อนการทดลอง (Pre - test) กับนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้แบบประเมิน ความฉลาดร้ทู างสุขภาพเรอื่ งยาสูบอิเล็กทรอนกิ ส์ 2. นาผลการทดสอบกอ่ นการทดลองมาทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยการทดสอบค่าที (t - test) เพ่ือทดสอบว่านักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีความฉลาดรู้ทางสุขภาพเร่ืองยาสูบอิเล็กทรอนิกส์แตกต่าง กันหรือไม่ ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนความฉลาดรู้ทางสุขภาพเรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ ก่อนการ ทดลองระหว่างกลุ่มทดลองกบั กลุ่มควบคุมพบวา่ ไม่มีความแตกตา่ งกันอย่างมนี ัยสาคัญทีร่ ะดับ 0.05 3. ดาเนินการทดลองจดั กิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพ่มิ เวลารู้” เรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้การสะท้อน คิด จานวน 8 แผนกิจกรรม ไปใช้กับกลุ่มทดลอง สัปดาห์ละ 1 คาบกิจกรรม รวม 8 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มควบคุมใช้ แผนการจัดกิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” เรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์แบบปกติ จานวน 8 แผนกิจกรรม สปั ดาห์ละ 1 คาบกิจกรรม รวม 8 สัปดาห์ ในคาบกจิ กรรม “ลดเวลาเรยี น เพม่ิ เวลารู้” 4. ทดสอบหลังการทดลอง (Post - test) กบั นกั เรียนกลมุ่ ทดลองและนกั เรยี นกลุม่ ควบคมุ โดยใช้แบบประเมิน ความฉลาดรทู้ างสุขภาพเรอื่ งยาสบู อเิ ล็กทรอนกิ ส์ ชุดเดยี วกบั กอ่ นการทดลอง และนาผลทไ่ี ด้มาวเิ คราะห์ขอ้ มลู การวเิ คราะห์ขอ้ มลู และสถิติทีใ่ ช้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของ คะแนนความฉลาดรู้ทางสุขภาพเรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ ก่อนและหลังการทดลองของกลุ่มทดลอง และ ของกลุ่มควบคุมโดยการทดสอบค่าที (Paired Sample t - test) และเปรียบเทียบค่าเฉล่ียคะแนนความฉลาดรู้ ทางสุขภาพเร่ืองยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ หลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมโดยการทดสอบค่าที (Independent Sample t - test) ผลการวิจัย 1. ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนความฉลาดรู้ทางสุขภาพเร่ืองยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ก่อน และหลังการทดลองของกลุ่มทดลองท่ีได้รับการจัดกิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู้” เรื่องยาสูบอิเล็กทรอนกิ ส์

โดยใช้การสะท้อนคิด และกลุ่มควบคุมท่ีได้รับการจัดกิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู้” เร่ืองยาสูบ อิเลก็ ทรอนกิ สแ์ บบปกติ ดงั ตารางท่ี 1 และ 2 ตารางท่ี 1 การเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของคะแนนความฉลาดรู้ทางสขุ ภาพเรอื่ งยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ก่อนและหลัง การทดลองของนกั เรยี นกลุม่ ทดลอง (n = 40) องคป์ ระกอบความฉลาดรูท้ างสุขภาพ ก่อนการทดลอง หลงั การทดลอง t p เร่อื งยาสูบอเิ ล็กทรอนิกส์ Mean S.D. Mean S.D. 1. ความรู้ ความเขา้ ใจ เรอ่ื งยาสูบอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 5.02 1.22 7.90 1.41 8.91 0.00* 2. การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู เรอ่ื งยาสบู อิเลก็ ทรอนิกส์ 12.87 3.22 19.82 2.41 10.37 0.00* 3. ทกั ษะการสือ่ สาร การบอกต่อขอ้ มลู เพอื่ ป้องกนั ยาสูบ 13.90 2.88 19.31 2.20 10.56 0.00* อิเล็กทรอนกิ ส์ 4. การจัดการตนเอง เพอ่ื ปอ้ งกันยาสูบอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 15.03 2.15 22.32 2.52 14.94 0.00* 5. การรเู้ ท่าทันสือ่ เรื่องยาสบู อเิ ล็กทรอนกิ ส์ 15.53 2.09 22.60 1.97 14.32 0.00* 6. ทกั ษะการตัดสนิ ใจเรื่องยาสบู อเิ ลก็ ทรอนิกส์ 5.45 1.66 7.77 1.64 5.60 0.00* รวม 67.80 6.03 99.72 5.67 25.29 0.00* *p < .05 จากตารางท่ี 1 พบว่า ค่าเฉล่ียของคะแนนความฉลาดรู้ทางสุขภาพเรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์หลังการ ทดลองของกลุ่มทดลองที่ได้รับการจัดกิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” เรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้การ สะทอ้ นคดิ สงู กวา่ กอ่ นการทดลองอย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติทีร่ ะดบั 0.05 ตารางท่ี 2 การเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของคะแนนความฉลาดรู้ทางสุขภาพเรอ่ื งยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ก่อนและหลัง การทดลองของกลุ่มควบคุม (n = 40) องค์ประกอบความฉลาดรู้ทางสุขภาพ ก่อนการทดลอง หลงั การทดลอง tp เร่อื งยาสบู อิเลก็ ทรอนิกส์ Mean S.D. Mean S.D. 5.00 0.87 5.35 0.95 1.46 0.07 1. ความรู้ ความเข้าใจ เรอื่ งยาสบู อเิ ล็กทรอนกิ ส์ 12.70 1.48 13.15 1.96 1.48 0.07 2. การเข้าถึงขอ้ มูล เร่ืองยาสบู อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 13.11 2.25 13.61 2.25 1.63 0.06 3. ทักษะการสอ่ื สาร การบอกตอ่ ขอ้ มูล เพอื่ ปอ้ งกันยาสบู 14.67 1.78 14.90 1.85 1.38 0.08 อิเล็กทรอนกิ ส์ 17.57 2.55 17.62 2.46 1.15 0.12 5.77 1.90 5.97 1.91 0.96 0.20 4. การจดั การตนเอง เพื่อปอ้ งกันยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ 68.82 5.06 70.60 5.37 1.51 0.06 5. การรู้เทา่ ทนั สื่อของยาสบู อิเลก็ ทรอนกิ ส์ 6. ทกั ษะการตัดสนิ ใจเร่ืองยาสบู อเิ ล็กทรอนกิ ส์ รวม *p < .05

จากตารางที่ 2 พบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนความฉลาดรู้ทางสุขภาพเร่ืองยาสูบอิเล็กทรอนิกส์หลังการ ทดลองของกลุ่มควบคุมที่ได้รับการจัดกิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” เร่ืองยาสูบอิเล็กทรอนกิ ส์แบบปกติไม่ แตกตา่ งจากก่อนการทดลอง อย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ิท่ีระดับ 0.05 2. ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนความฉลาดรู้ทางสุขภาพเร่ืองยาสูบอิเล็กทรอนิกส์หลังการ ทดลองระหว่างกลมุ่ ทดลองกบั กลมุ่ ควบคมุ ดงั ตารางท่ี 3 ตารางท่ี 3 การเปรยี บเทยี บค่าเฉลี่ยของคะแนนความฉลาดรู้ทางสุขภาพเรื่องยาสูบอิเลก็ ทรอนิกส์หลงั การทดลอง ระหวา่ งกลมุ่ ทดลองและควบคุม (n = 40) องค์ประกอบความฉลาดรทู้ างสขุ ภาพ กล่มุ ทดลอง กลมุ่ ควบคมุ tp เร่อื งยาสูบอิเล็กทรอนกิ ส์ Mean S.D. Mean S.D. 7.90 1.41 5.35 0.95 9.84 0.00* 1. ความรู้ ความเข้าใจ เร่ืองยาสบู อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 19.82 2.41 13.15 1.96 13.76 0.00* 2. การเขา้ ถึงขอ้ มูล เรอ่ื งยาสบู อิเลก็ ทรอนิกส์ 3. ทักษะการสอื่ สาร การบอกต่อขอ้ มลู เพือ่ ป้องกันยาสูบ 19.31 2.20 13.61 2.25 11.42 0.00* อเิ ล็กทรอนกิ ส์ 22.32 2.52 14.90 1.85 15.76 0.00* 4. การจัดการตนเอง เพือ่ ป้องกันยาสบู อเิ ล็กทรอนกิ ส์ 22.60 1.97 17.62 2.46 6.35 0.00* 5. การรเู้ ท่าทันสอ่ื ของยาสบู อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 7.77 1.64 5.97 1.91 4.51 0.00* 99.72 5.67 70.60 5.37 23.57 0.00* 6. ทกั ษะการตดั สินใจเรอื่ งยาสบู อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ รวม *p < .05 จากตารางท่ี 3 พบว่า ค่าเฉล่ียของคะแนนความฉลาดรู้ทางสุขภาพเร่ืองยาสูบอิเล็กทรอนิกส์หลัง การทดลองของนักเรียนกล่มุ ทดลองสูงกว่ากล่มุ ควบคุมอย่างมีนยั สาคญั ทางสถติ ิที่ระดบั 0.05 การอภปิ รายผล จากสรปุ ผลการวิจยั ข้างต้นสามารถนามาอภปิ รายได้ ดังประเดน็ ตอ่ ไปนี้ 1. จากผลการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยคะแนนความฉลาดรู้ทางสุขภาพเร่ืองยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ของนักเรียน กลุ่มทดลองพบวา่ คา่ เฉลี่ยหลังการทดลองสงู กวา่ ก่อนการทดลองอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดบั 0.05 ซ่ึงเป็นไป ตามสมมติฐานการวิจัยขอ้ ท่ี 1 สามารถอภิปรายในประเดน็ ดังตอ่ ไปน้ี การจัดกิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู้” เรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้การสะท้อนสอดคล้องกับ คาอธิบายของ รัตติกร เหมือนนาดอน ยุพาภรณ์ ติรไพรวงศ์ เจียมใจ ศรีชัยรัตนกูล และสันติ ยุทธยง (Rattikorn Mueannadon, Yupaporn Tirapaiwong, Jeamjai Srichairattanakull, & Santi Yutthayong, 2019) กล่าวว่า การพัฒนาการเรียนรู้ผ่านการสะท้อนคิดเป็นแนวคิดเกี่ยวกับวิธีคิด ซึ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการคิดทบทวน และ ตรวจสอบความคิด ความรู้สึก ทัศนคติ ความเชื่อท่ีซ่อนอยู่ภายในที่มีผลต่อการกระทาของตนเองในสถานการณ์ ที่เกดิ ขน้ึ เพื่อทาความเข้าใจความหมายและสรุปการเรยี นรู้ท่ีได้การปฏิบตั ิภายใต้สถานการณน์ ้ัน และการสะท้อน คดิ เกิดภายหลังการปฏบิ ัติเพือ่ การนาไปใช้ในสถานการณ์จริง โดยผูส้ อนจะต้องมกี ารต้ังคาถามสะท้อนคิดเพื่อชว่ ย ให้ผู้เรียนตรวจสอบการเรยี นรู้ของตนเอง สง่ ผลต่อการพัฒนาผู้เรียนใหเ้ กิดการคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณ และการเรียนรู้

ตลอดชีวิต ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ กัตตกมล พิศแลงาม (Kattakamon Pislae-ngam, 2019) เร่ืองผลการ จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสะท้อนคิดโดยใช้รูปแบบวงจรของก๊ิบส์ท่ีส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชา ภาษาการส่ือสาร และเทคโนโลยีสารสนเทศหมวดวิชาศึกษาท่ัวไปพบว่า การจัดการเรียนรู้วิธีการสะท้อนคิดนั้น เป็นการพัฒนากระบวนการคิดของผู้เรียนให้มีการคิดอย่างมีกระบวนการและสามารถวิเคราะห์ และแก้ไขปัญหา หรือสถานการณ์ไม่พึงประสงค์ได้ และยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ กมลวรรณ บัณฑิตสาธิสรรค์ (Kamonwan Banditsatisan, 2018) ที่ทาการศึกษาเรื่อง การสะท้อนคิดของนักศึกษาสหกิจศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี สรุ นารี โดยใชก้ ารเขียนสะท้อนคิด การอภิปรายกลุม่ การจบั คู่สนทนา และการสมั ภาษณ์กง่ึ โครงสรา้ ง รวมถึงการ สังเกตการสะท้อนคิดจากการอภิปรายกลุ่ม และการจับคู่สนทนา โดยใช้แนวคิดวงจรการสะท้อนคิด 6 ข้ันตอน ของกิบส์พบว่า นักศึกษามีการแลกเปล่ียนความคิดเห็นร่วมกับเพ่ือนนักศึกษา จากประสบการณ์ของตนเอง และ คิดทบทวนไตร่ตรองจากความคิดเห็นของผู้อื่น ช่วยส่งเสริมให้นักศึกษาพัฒนาความสามารถในการสะท้อนคิด ท่ีเป็นระบบ การสะท้อนคิดโดยการอภิปรายกลุ่มเป็นการสะท้อนคิดท่ีนักศึกษาได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และ ประสบการณ์การปฏิบัติงานสหกิจศึกษามากท่ีสุด จากท่ีกล่าวมาทั้งหมดน้ันส่งผลให้ค่าเฉล่ียของคะแนนความ ฉลาดรู้ทางสุขภาพเรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ของนักเรียนกลุ่มทดลองสูงขึ้นกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสาคัญ ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั 0.05 2. จากผลการวิเคราะห์ค่าเฉล่ียคะแนนความฉลาดรทู้ างสุขภาพเรื่องยาสบู อิเล็กทรอนิกส์หลังการทดลอง ของนักเรียนกลุ่มทดลองสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งเป็นไปตาม สมมติฐานการวิจยั ขอ้ ที่ 2 สามารถอภปิ รายในประเดน็ ดงั ตอ่ ไปน้ี การจัดกิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู้” เร่ืองยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้การสะท้อนคิดมีข้ันตอน ในการสอนที่แตกต่างจากกลุ่มปกติ การจัดการเรียนรู้โดยใช้การสะท้อนคิด เป็นการคิดทบทวนไตร่ตรองสะท้อน ความคิดและการกระทาของตนเองจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ช่วยทาให้เกิดการเรียนรู้ในเร่ืองนั้น ๆ มีความเข้าใจ ดว้ ยตนเองซึ่งนาไปสู่ความเข้าใจในเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง และพยายามค้นหาคาตอบ หาเหตุผลและข้อมูล ที่มากเพียงพอ ที่จะนามาแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม ซ่ึงสอดคล้องกับคาอธิบายของ Johns (2000) กล่าวว่า การสะท้อนคิดเป็นกระบวนการคิดไตร่ตรองทบทวน (Reflective Thinking) พินิจพิเคราะห์ และพิจารณาสิ่งต่าง ๆ อย่างรอบคอบโดยใช้สติและมีสมาธิ ซึ่งเป็นวิธีการที่ทาให้บุคคลได้ทบทวน และสะท้อนการกระทาของตน (Reflective Practice) ช่วยให้เกิดความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ นาไปสู่การพัฒนาปรับปรุง ตนเอง และการแก้ปัญหาตา่ ง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจยั ของ อัจฉรกิ า ไพศาลศรี สมสุข (Ajcharica Paisarnsrisomsuk, 2016) ทาการศึกษาเร่ือง แนวทางการจัดการเรียนการสอนเปียโน โดยการสะท้อนคิดเพ่ือพัฒนาทักษะการบรรเลงเปียโนสาหรับนักเรียนเปียโนระดับกลางพบว่า หากผู้สอนให้ ผ้เู รียนใช้กระบวนการสะท้อนคดิ เร่ืองตา่ ง ๆ ในชีวิตประจาวัน พฒั นาผเู้ รยี นให้มีความรู้จากการกระทาของตนเอง แล้วผู้เรียนจะเล็งเห็นความสาคัญในการเรียนเปียโนได้ด้วยตนเอง ซ่ึงการสะท้อนคิดเป็นกระบวนการที่สาคัญ ในการพัฒนาและสร้างความรู้ด้วยตัวผู้เรียนเอง มีทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณซึ่งเป็นการคิดพิจารณา ไตร่ตรองและตัดสินสมมติฐานอย่างมีเหตุผล และยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ ชนิกานต์ ดุลนกิจ (Chanikarn Dulnakij, 2013) เร่อื งผลของการใชห้ นังสือการ์ตนู เร่ืองโดราเอมอนรว่ มกับการสะท้อนคดิ เพื่อสรา้ งความตระหนัก เร่ืองความมุ่งมั่นในการทางานของนักเรียนประถมศึกษาปีท่ี 6 พบว่า หลังจากนักเรยี นไดอ้ ่านหนงั สือการต์ ูนโดราเอมอน

ร่วมกับการสะท้อนคิด ผลของคะแนนแบบวัดความตระหนักเรื่องความมุ่งม่ันในการทางานสูงข้ึนหลังการทดลอง คือ ผู้เรียนได้ย้อนกลับไปคิดพิจารณาด้วยตนเองจากหนังสือท่ีอ่าน ส่งผลต่อความคิดรวบยอด สร้างความรู้ ความเข้าใจได้ จากท่ีกล่าวมาท้ังหมดน้ันส่งผลให้ค่าเฉล่ียของคะแนนความฉลาดรู้ทางสุขภาพเร่ืองยาสูบ อิเล็กทรอนิกส์ของนักเรยี นกลุ่มทดลองสูงกวา่ นกั เรยี นกลุม่ ควบคุมอย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิท่ีระดบั .05 สรุปผลการวิจัยพบว่า การจัดกิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” เรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้ การสะท้อนคิดท่ีมีกระบวนการสร้างการสะท้อนคิดส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 1) การอธิบาย 2) ความรู้สึกท่ีมีต่อเหตุการณ์ 3) การประเมินผล 4) การวิเคราะห์ 5) การสรุปผล และ 6) การวางแผนปฏิบัติ ส่งผลให้นักเรียนเกิดความฉลาดรู้ทางสุขภาพเรื่องยาสูบอิเล็กทรอนิกส์สูงกว่าการจัดกิจกรรม “ลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู้” เร่ืองยาสูบอิเล็กทรอนิกส์แบบปกติที่มีข้ันตอนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 1) ข้ันนา 2) ขั้นสอน และ 3) ขั้นสรปุ ขอ้ เสนอแนะจากการวจิ ยั 1. การสร้างบรรยากาศในชั้นเรียนท่ีเอ้ือต่อการสะท้อนคิดส่งผลให้ผู้เรียนสนใจในการร่วมกิจกรรม ไม่ปิดก้ันความคิด ความรู้สึกของผู้เรียนเมื่อต้องการอธิบายตามประสบการณ์ท่ีพบเห็นมา แม้จะเป็นข้อมูล ท่ีคลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้อง ผู้สอนต้องให้ผู้เรียนทุกคนร่วมวิพากษ์เหตุผลและข้อมูลท่ีมากเพียงพอเพื่อสร้าง ประสบการณ์ใหม่ใหก้ บั ผเู้ รยี น และสรปุ คา่ นิยมนาไปสู่การปฏิบัตใิ นชวี ิตประจาวนั 2. การใช้คาถามกระตุ้นผู้เรียน ต้องเป็นคาถามท่ีดีที่ไม่เป็นการช้ีนานักเรียนโดยตรง เพื่อให้ผู้เรียนได้ คิดทบทวนจากเหตุการณ์ต่าง ๆ และอธิบายความรู้สึกท่ีเคยพบมา จะทาให้นักเรียนเกิดการฝึกกระบวนการคิด วิเคราะห์ดว้ ยตนเอง และฝึกวางแผนปฏบิ ัตไิ ด้ดว้ ยตนเอง References Ajcharica Paisarnsrisomsuk. (2016). Guidelines for organizing reflective thinking piano lesson to develop piano skills of intermediate piano students (Master’s thesis), Chulalongkorn University. Chanikarn Dulnakij. (2013). Effects of using Doraemon manga with reflective thinking to create awareness of commitment to work of sixth grade students (Master’s thesis), Chulalongkorn University. Chatchawan Jungklarng, & Jintana Sarayuthpita. (2015) Effects of moderate class more knowledge activity on sex education using affective domain on appropria sexual values in thai society. Journal of Education, 47(3), 175 - 195. Department of Health, Ministry of Health. (2017). Health literacy and health communication advocacy. Retrieved from http://doh.hpc.go.th/data/HL/HL_DOH_drive.pdf Dewy, J. (1993). How we think: A restatement of the relation of reflection thinking to the education process. Massachusetts: D.C. Health and Company.

Gibbs, G. (1988). Learning by Doing: A guide to teaching and learning methods. Further Education Unit. Health Education Division. (2018). Promotion and assessment of health literacy and health behaviors. Nonthaburi: Department of Health Service Support. Johns, C. (2000). Becoming a Reflective Practitioner. London: Blackwell Science. Kamonwan Banditsatisan. (2018). Reflective thinking of Suranaree University of Technology’s cooperative education students (Master’s thesis), Suranaree University of Technology. Kattakamon Pislae - ngam. (2019). Effect of reflective learning base on Gibbs' reflective cycle model affect to learning achievement in languages communication and Information technology course of general education program. Journal of Graduate Studies Valaya Alongkron Rajabhat University, 13(2), 1 - 13. Kolb, D. A. (2015). Experiential learning: Experience as the source of learning and development (2nd ed.). New Jersey: Pearson Education. Office of the Basic Education Commission. (2016). Moderate class more knowledge management manual. Retrieved from http://www.sns.ac.th/vichakarn/word/02.pdf Office of the Basic Education Commission. (2019). OBEC informs the school to provide knowledge of the danger \"Electronic cigarettes\". Retrieved from https://www.thairath.co.th/news/society/1731138 Rattikorn Mueannadon, Yupaporn Tirapaiwong, Jeamjai Srichairattanakull, & Santi Yutthayong. (2019). Learning development through reflection. Journal of Health and Nursing Research, 35(2), 13 – 25. Tobacco Control Research and Knowledge Management Center. (2020). Situation report of tobacco consumption in Thailand 2019. Bangkok: Sintaweekij Printing Co.ltd. World Health Organization. (2018). Health Promotion Glossary. Geneva: Switzerland. Received: May 2, 2021 Revised: June 8, 2021 Accepted: June 11, 2021



ผลของการเขา้ ร่วมโปรแกรมการศกึ ษาการใช้เวลาว่างทีม่ ตี ่อการเปน็ อาสาสมคั ร ของนักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาตอนปลาย พลวริศปกรณ์ สุทธคิ รี ี สุวิมล ต้ังสัจจพจน์ และ กัลพฤกษ์ พลศร คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บทคดั ยอ่ วัตถุประสงค์ของงานวิจัยก่ึงทดลองน้ี เพ่ือพัฒนาโปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่าง และศึกษา ผลของโปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างที่มีต่อการเป็นอาสาสมัครของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนโรงเรียนวรราชาทินัดดามาตุวิทยา จานวน 377 คน ที่ได้มาจากการสุ่มตามตาราง กาหนดกลุ่มตัวอย่างของ Krejcie, & Morgan (1970, p. 670) จากประชากร 18,215 คน (22 โรงเรียน) ในจังหวัดปทุมธานี ใช้วิธีการสุ่มเจาะจง (purposive sampling) เฉพาะโรงเรียนขนาดใหญ่ (1,500 - 2,499 คน) ได้ 7 โรงเรียน และทาการสุ่มอย่างง่าย (simple random sampling) ด้วยวิธีการจับฉลากได้โรงเรียน วรราชาทินัดดามาตุวิทยา กาหนดให้นักเรียนทั้ง 377 คน ทดสอบด้วยแบบสอบถามประเมินการเป็น อาสาสมัคร นาคะแนนทั้งหมดมาเรียงจากคะแนนสูงสุดถึงคะแนนต่าสุด เลือกนักเรียนท่ีมีคะแนนสูงกว่า คา่ เฉลี่ยจานวน 30 คน และตา่ กว่าค่าเฉลี่ยอกี 30 คน มาสุ่มแบบจับคู่ (Match - paired sampling) ได้กลุ่ม ทดลอง และกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 30 คน เคร่ืองมือวิจัยประกอบด้วย: - 1) แบบสอบถามประเมินการเป็น อาสาสมัคร ผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหา (Content validity) จากผู้ทรงคุณวุฒิทาง นันทนาการ จานวน 3 ท่าน ได้ค่า IOC = 0.80 - 1.00 และค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ความเช่ือม่ันของ Cronbach ได้ค่า = 0.95 และ 2) โปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างจานวน 8 สัปดาห์ ๆ ละ 1.30 ชั่วโมง ผ่านการตรวจความเที่ยงตรงเชิงประจักษ์ (Face validity) จากผู้เช่ียวชาญทางนันทนาการ จานวน 3 ท่าน ได้ค่าโปรแกรมอยู่ในระดับ “เหมาะสม” วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ทดสอบค่าที (t - test) ผลการวิจัยพบว่า: - 1) โปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างมีความเหมาะสมท่ีจะนาไปเสริมสร้าง การเป็นอาสาสมัครของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย และ 2) ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรม 8 สัปดาห์ กลุ่มทดลองมีระดับการเป็นอาสาสมัครโดยภาพรวมทั้ง 4 ด้าน สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.01 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านทั้ง 4 ด้านพบว่า ระดับการเป็นอาสาสมัครสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมี นัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01 ทุกด้าน สรุปได้ว่า โปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างมีผลต่อการเป็น อาสาสมัครของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาตอนปลาย คาสาคัญ: โปรแกรมการศึกษาการใชเ้ วลาว่าง; การเป็นอาสาสมคั ร; นักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาตอนปลาย Corresponding Author: นายพลวริศปกรณ์ สทุ ธคิ ีรี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรสาสตร์ Email: [email protected]

EFFECTS OF LEISURE EDUCATION PROGRAM PARTICIPATION ON VOLUNTEERING IN HIGH SCHOOL STUDENTS Ponwaritpakorn Suttikeeree, Suvimol Tangsujjapoj, and Kalapruk Polsorn Faculty of Education, Kasetsart University Abstract The objectives of this quasi-experimental research were to develop and study the effect of leisure education program on volunteering in high school students. Samples were 377 students in Her Royal Highness Priness Soamsawaii School who were selected by using the criteria of sample table (Krejcie & Morgan, 1971: 670) from 18,215 students (22 schools) in Pathum Thani province. Then purpose sampling was used with seven schools from the big size school (1,500 - 2,499 students), as well as Her Royal Highness Priness Soamsawaii School was selected by simple random sampling (drawing). All 377 students were assigned to test the volunteering questionnaire. The test scores were arranged from the highest to the lowest, picked up 30 students who had score above the mean score, and 30 of those below the mean score by match – paired method into experimental and control groups (30 for each). The research instruments were: -1) volunteering questionnaire - the content validity was approved by 3 leisure experts (IOC = 0.80 -1.00), and alpha coefficient reliability correlation (Cronbach) was 0.95; and 2) the leisure education program (8 weeks, 1.30 hour / week) – face validity was approved by 3 leisure experts in the appropriateness level. Data were analyzed by using mean, standard deviation and t - test. Findings revealed that: - 1) the leisure education program possessed appropriateness to enhance volunteering in high school students; and 2) after attending the 8-week leisure education program, the experimental group had over all volunteering higher than the control group did at the significant level of 0 .01. When considering each item of volunteering, the experimental group had higher volunteering than the control group did at the significant level of 0.01. It can be concluded that the leisure education program effected on volunteering in high school students. Keywords: Leisure education program, Volunteering, High school students Corresponding Author: Mr.Ponwaritpakorn Suttikeeree Faculty of Education, Kasetsart University Email: [email protected]

บทนา สภาพสังคมไทยในปัจจุบันมีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากข้ึน และมีส่วนทาให้จิตใจ ของมนุษย์นั้นมีความเส่ือมโทรมลง เน่ืองจากมนุษย์มีการแข่งขัน มีค่านิยมท่ีสูงยิ่งขึ้น เกิดการบริโภค สัญลักษณ์มากกว่าการบริโภคในสิ่งที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ เกิดการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน มุ่งแสวงหาผล ประโยชน์ใหแ้ ก่ตนเองมากกวา่ ประโยชน์ส่วนรวม (Panasaan Tungcharoen, 2017, p. 1) จากงานวิจัยของ Clarities Aid Foundation (2018) พบว่า กลุ่มอาสาสมัครที่มีอายุต้ังแต่ 15 – 29 ปี มีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ทั้งน้ีเนื่องจากช่วงอายุ 18 – 25 ปี เป็นช่วงระยะเวลาที่เยาวชน ออกจากบา้ นไปศึกษาต่อ หรอื เร่มิ ประกอบอาชพี และตอ้ งการพัฒนาตนเอง อีกประการหน่ึงจากการสารวจสถานการณ์ของอาสาสมัครทั่วโลกโดย World Index 2018 จากจานวน 144 ประเทศ พบว่า ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 61 ซึ่งตกจากปี 2017 ที่ถูกจัดอยู่ใน อันดับท่ี 16 เมื่อพิจารณาถึงการใช้เวลาว่างที่เก่ียวกับงานอาสาสมัคร ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 113 (Clarities Aid Foundation, 2018) จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างตน้ สะท้อนให้เห็นวา่ สถานการณ์อาสาสมคั ร ในประเทศไทยยังมีช่องว่าง และคนท่ีมีความสนใจงานอาสาสมัครมีจานวนลดลง (Volunteer Spirit Network, 2015) นอกจากนี้ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ึนพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กาหนดขอบข่ายของ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนว่า กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองตามศักยภาพ ด้วยกิจกรรม เพ่ือสังคม และกิจกรรมสาธารณประโยชน์ สง่ เสริมใหผ้ ู้เรียนบาเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสงั คม ชุมชน และ ท้องถ่ินตามความสนใจในลักษณะอาสาสมัคร เพ่ือแสดงถึงความรับผิดชอบ ความดีงาม ความเสียสละ ต่อสังคม มีจิตสาธารณะ เช่น กิจกรรมอาสาพัฒนา กิจกรรมสร้างสรรค์สังคม (Ministry of Education, 2008, pp. 20 - 21) ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น และเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 ในยุทธศาสตร์ท่ี 3 ที่กล่าวถึงการพัฒนาให้ผู้เรียนมีทักษะ และคุณลักษณะที่จาเป็นในศตวรรษท่ี 21 โดยมีตัวชี้วัดที่สาคัญ คือ ร้อยละของนักเรียนในจานวนท่ีเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการเข้าร่วมกิจกรรมอาสาสมัคร กิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะ และช่วยเหลือสังคม รวมถึงร้อยละของสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา ที่มีการจัดกิจกรรมสะท้อนถึงการสร้างวินัย จิตสาธารณะ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน เพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษา และพัฒนาโปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่าง เพ่ือส่งเสริมให้ นักเรียนเป็นอาสาสมัคร มีพฤติกรรมจิตอาสา ตามความสนใจ และความพึงพอใจของนักเรียนในโรงเรียน เป็นการผลักดันให้นักเรียนเกิดพฤติกรรมอาสาสมัคร ก่อให้เกิดจานวนอาสาสมัครท่ีเพ่ิมข้ึน อีกทั้งประโยชน์ ของการเป็นอาสาสมัครนั้นทาให้เกิดการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในสังคม ทาให้ผู้เป็นอาสาสมัครมีความรู้สึก ภาคภมู ิใจในตนเอง และเปน็ สว่ นหนงึ่ ทส่ี ะทอ้ นอัตลกั ษณ์ที่ดีของพลเมืองไทย ขอบข่ายแนวคิดและทฤษฎี การศึกษาการใช้เวลาว่าง (Leisure Education) เป็นกระบวนการพัฒนาองค์รวมท่ีก่อให้เกิด การพัฒนาเอกัตบุคคลให้เกิดความเข้าใจการใช้เวลาว่างของตัวเอง และความสัมพันธ์ระหว่างการใช้เวลาว่าง วิถชี ีวิต และสังคม (Mundy, 1998, p. 5) การศึกษาการใชเ้ วลาวา่ งประกอบดว้ ยกระบวนการ ดงั ภาพที่ 1

ภาพท่ี 1 กระบวนการของการศกึ ษาการใชเ้ วลาว่าง ท่มี า: Mundy (1998, p. 78) โปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่าง หมายถึง การจัดโปรแกรมด้วยกระบวนการศึกษาการใช้เวลาว่าง ของ Mundy (1998, p. 78) ภายใต้หลักการจัดโปรแกรมท่ีเน้นบุคคลเป็นอันดับแรก (Person first) กระตุ้น ให้เกิดความเป็นอิสระ การมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วม การประเมินการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัว (Dattilo, 2015, p. 157) โดยยึดโครงสร้างการจัดโปรแกรมของ Dattilo (2015, p. 175 - 177) ซึ่งมี 6 ขั้นตอน ประกอบด้วย: - 1) ปฐมนิเทศกิจกรรม 2) นาเข้าสู่บทเรียน 3) การนาเสนอเน้ือหาและอภิปราย 4) กิจกรรม การเรียนรู้ 5) เปิดโอกาสใหซ้ ักถามและใหผ้ ลสท้อนกลับ (feedback) และ 6) การสรปุ ผล การเป็นอาสาสมัคร (Volunteering) หมายถึง การเข้าร่วมกิจกรรมใด ๆ ท่ีดาเนินการอย่างเป็น อิสระ เพ่ือประโยชน์ต่อบุคคลและกลุ่มคน อาสาสมัครแต่ละคนสามารถที่จะเลือกทากิจกรรมเพ่ือคนอ่ืน โดยไม่หวังค่าตอบแทนหรือผลประโยชน์ทางการเงิน (Johnstone, 2004, p. 1) คุณลักษณะของการ เป็นอาสาสมัครข้ึนอยู่กับกิจกรรมท่ีเลือกทาได้อย่างอิสระท่ีเกิดจากแรงจูงใจภายใน ก่อให้เกิดการมีสัจจการ แห่งตน (Self-actualization) (Henderson, & Presley, 2003, p. 37) และเพิ่มการเห็นคุณค่าในตัวเอง (Clary et al., 1998, p. 1516) องค์ประกอบของการเป็นอาสาสมัครเกิดจากการบูรณการจากปัจจัย 4 ประการ ไดแ้ ก่ 1. แรงจูงใจ (Motivation) ที่เกิดจากความสนใจของบุคคล การรับรู้ในส่ิงแวดล้อม ประสบการณ์ ความพึงพอใจ ความสนุกสนาน และการสรา้ งทมี 2. กระบวนการสังคมประกติ (Socialization process) 3. การเห็นแกป่ ระโยชนข์ องผู้อ่ืน (Altruism) 4. การมีตัวเลือกท่ีอิสระ (Free choice) ปราศจากอุปสรรคภายนอก ประกอบด้วย ความยึดหยุ่น (Flexibility) และกิจกรรมท่ีเสรจ็ สิ้นในตัวเอง (Spontaneous)

กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย ตัวแปรตน้ ตัวแปรตาม โปรแกรมการศึกษาการใชเ้ วลาวา่ ง ความเปน็ อาสาสมคั ร (Dattilo, 2015, pp. 155-177) (Clary et al., 1998, pp. 392-394) หลักการจัดโปรแกรม 1. แรงจูงใจ (Motivation) 1. เนน้ บคุ คลเปน็ อนั ดบั แรก [1] ความสนใจของบุคคล (M1) 2. กระตนุ้ ใหเ้ กดิ ความเป็นอสิ ระ [2] การรบั รใู้ นสิง่ แวดล้อม (M2) 3. การมีสว่ นรว่ มของผเู้ ขา้ รว่ ม [3] ประสบการณ์ (M3) 4. ประเมินการเปล่ยี นแปลงและการปรบั ตวั [4] ความพงึ พอใจ (M4) [5] ความสนุกสนาน (M5) โครงสรา้ งในการจดั โปรแกรม [6] การสร้างทมี (M6) 1. ปฐมนิเทศกจิ กรรม 2. กระบวนการของสงั คมประกติ 2. การนาเข้าสู่บทเรยี น 3. การเห็นแก่ประโยชนผ์ ู้อ่ืน 3. การนาเสนอและการอภิปราย 4. ตวั เลือกอิสระ (Free choice) โดย 4. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ปราศจากอปุ สรรคภายนอก 5. การซกั ถามและใหผ้ ลสทอ้ นกลบั [1] ความยดื หย่นุ (F1) 6. การสรปุ [2] กจิ กรรมเสรจ็ ส้ินในตวั เอง (F2) ภาพท่ี 2 กรอบแนวคิดในการวิจัย วัตถุประสงค์ของการวิจยั 1. เพื่อพัฒนาโปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างที่เสริมสร้างการเป็นอาสาสมัครของนักเรียน ช้ันมัธยมศกึ ษาตอนปลาย 2. เพื่อศึกษาผลของการเข้าร่วมโปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่าง ที่มีต่อการเป็นอาสาสมัคร ของนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาตอนปลาย วธิ ดี าเนินการวจิ ัย ประชากร คือ นักเรียนช้นั มัธยมศึกษาตอนปลายที่กาลังศึกษาอย่ใู นปกี ารศึกษา 2562 ของสานักงาน เขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 4 จังหวัดปทุมธานีทั้งหมด 22 โรงเรียน จานวน 18,215 คน (Office of the Basic Education Commission, 2019) กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนโรงเรียนวรราชาทินัดดามาตุวิทยา จานวน 377 คน ท่ีไดจ้ ากตารางกาหนด กลุ่มตัวอย่างของ Krejcie, & Morgan (1970, p. 670) จากประชากร 18,215 คน (22 โรงเรียน) ในจังหวัด ปทุมธานี และวิธีการสุ่มแบบหลายข้ันตอน (Multi - stage Random Sampling) จากนักเรียนทั้งหมด 22 โรงเรียน ด้วยการเลือกเฉพาะเจาะจงโรงเรียนขนาดใหญ่ท่ีมีนักเรียน 1,500 - 2,499 คน พบว่า มี 7 โรงเรียน และทาการสุ่มแบบอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ด้วยวิธีจับฉลากโรงเรียน ได้โรงเรียน วรราชาทินดั ดามาตุวิทยา การเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ใช้สาหรับการพัฒนาโปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่าง กาหนดให้ กลุ่มตัวอย่าง 377 คน ตอบแบบสอบถาม “การเปน็ อาสาสมคั ร” นาคะแนนทไ่ี ดจ้ ากแบบทดสอบทงั้ หมดมาเรียง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook