Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โลกกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

โลกกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Published by supada khunnarong, 2021-07-21 07:59:49

Description: ตำราประกอบการเรียนวิชาพื้นฐาน หมวดการศีกษาทั่วไป มรภ.เพชรบุรี

Search

Read the Text Version

85 (2) ระบบกำจดั ก๊ำซซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์ (Flue Gas Desulfurization) ระบบกำจดั กำ๊ ซซัลเฟอร์ไดออกไซด์เป็นกระบวนกำรกำจัดก๊ำซซัลเฟอร์ได ออกไซด์ท่ีออกมำพร้อมก๊ำซท้ิง แบ่งเป็น 3 แบบ คือ แบบเปียก แบบแห้ง และก่ึงแห้ง ส่วนใหญ่นิยม ใช้กระบวนกำรแบบเปียกเป็นแบบ Limestone-gypsum คือ ก๊ำซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ในก๊ำซทิ้งจะ ทำปฏิกิริยำกับของผสมระหว่ำงน้ำกับหินปูนท่ีฉีดเข้ำไปในระบบก๊ำซท้ิงเกิดเป็นยิบซัมซึ่งเป็น สำรประกอบทส่ี ำมำรถนำไปใช้ประโยชนอ์ ่ืนได้ (3) เทคโนโลยกี ำรลดปรมิ ำณกำ๊ ซไนโตรเจนออกไซด์ในก๊ำซท้ิง เ ท ค โ น โ ล ยี ก ำ ร ล ด ป ริ ม ำ ณ ก๊ ำ ซ ไ น โ ต ร เ จ น อ อ ก ไ ซ ด์ ใ น ก๊ ำ ซ ทิ้ ง เ ป็ น กระบวนกำรลดก๊ำซไนโตรเจนออกจำกก๊ำซทิ้งโดยวิธีท่ีใช้กันอย่ำงแพร่หลำยและมีประสิทธิภำพสูง คือ Selective Catalytic Reduction (SCR) ในระบบน้ีใช้แอมโมเนียทำปฏิกิริยำกับก๊ำซไนโตรเจน ออกไซด์เกิดเปน็ ไนโตรเจนและน้ำ 3.3.3 พลังงานนวิ เคลียร์และโรงไฟฟ้าพลงั งานนวิ เคลียร์ พลังงำนนิเคลียร์ หมำยถึง พลังงำนที่ปลดปล่อยออกมำจำกนิวเคลียสของอะตอมโดย นิวเคลียสมีกำรเปลี่ยนแปลงจำกกำรแตกตัว (Fission) หรือ (Fusion) หรือเกิดกำรเปลย่ี นแปลงอื่น ๆ ซึง่ จะไดพ้ ลงั งำนออกมำในรูปของควำมรอ้ นและรงั สี ในส่วนพลังงำนควำมรอ้ นทีไ่ ดอ้ อกมำนั้นนำไปใช้ ในกำรผลิตกระแสไฟฟ้ำโดยนำควำมร้อนไปต้มน้ำให้เดือดและนำไอน้ำท่ีได้ไปหมุนกังหันไอน้ำที่ เชื่อมต่อกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้ำเพ่ือผลิตไฟฟ้ำในโรงไฟฟ้ำพลังงำนนิวเคลียร์และพลังงำ นในส่วนของ รังสีเป็นพลังงำนที่แผ่กระจำยจำกต้นกำเนิดออกไปในอำกำศหรือตัวกลำงใด ๆ ในรูปคลื่น แมเ่ หล็กไฟฟำ้ รวมไปถึงกระแสอนุภำคท่ีมีควำมเร็วสูง 3.3.3.1 หลักกำรทำงำนของโรงไฟฟำ้ นวิ เคลยี ร์ โรงไฟฟ้ำพลังงำนนวิ เคลียร์คือกำรนำ พลังงำนทเี่ กดิ จำกปฏกิ ิริยำนิวเคลียร์มำเปลี่ยนเปน็ พลังงำนไฟฟ้ำ ในโรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์ประกอบด้วย ส่วนประกอบหลัก 4 ส่วน คือ เตำปฏิกรณ์ ระบบระบำยควำมร้อน ระบบกำเนิดกระแสไฟฟ้ำ และ ระบบควำมปลอดภยั นอกจำกพลังงำนท่ีเกิดข้ึนจำกเตำปฏิกรณ์จำกปฏิกิริยำนิวเคลียรฟ์ ิชช่นั แลว้ ยงั มผี ลผลิต เช่น นวิ ตรอนอสิ ระ จำกปฏกิ ิรยิ ำดว้ ย กำรควบคุมจำนวนและกำรเคลื่อนที่ของนิวตรอนทำ โดยใช้สำรหน่วงนิวตรอนและแท่งควบคุมทำให้สำมำรถกำหนดกำรเกิดปฏิกิริยำนิวเคลียร์ฟิชชั่น ภำยในเตำปฏิกรณ์ได้ พลังงำนที่เกิดข้ึนในเตำปฏิกรณ์จะถูกนำออกโดยตัวนำควำมร้อน เช่น น้ำ เกลือหลอมละลำยหรือก๊ำซคำรบ์ อนไดออกไซด์ โดยของไหลจะรับควำมร้อนจำกเตำปฏิกรณ์จนเดือด เป็นไอหรือเปน็ ตัวกลำงนำควำมร้อนไปยังวงจรผลิตไอน้ำท่จี ะถูกส่งต่อไปยงั ระบบกำเนิดกระแสไฟฟ้ำ ไอนำ้ จะทำหนำ้ ทขี่ บั กังหันไอน้ำเพอื่ หมุนเครื่องกำเนดิ ไฟฟ้ำต่อไป 3.3.3.2 ประเภทของโรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์ โรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์ที่ใช้ในกำรผลิต กระแสไฟฟ้ำมี 3 ประเภทดงั นี้ (1) โรงไฟฟ้ำพลังงำนนิวเคลียร์แบบน้ำอัดควำมดัน (Pressurized Water Reactor - PWR) เป็นโรงไฟฟ้ำที่นิยมใช้มำกที่สุดโดยใช้น้ำเป็นท้ังตัวกลำงระบำยควำมร้อนและสำร หน่วงนิวตรอน ออกแบบระบบกำรทำงำนให้มีสองวงจรคือ วงจรแรกจะเป็นระบบระบำยควำมร้อน ออกจำกเตำปฏิกรณ์ โดยน้ำจะไหลผำ่ นเตำปฏิกรณ์เพื่อระบำยควำมร้อนออกจำกแกนปฏกิ รณ์และส่ง ควำมร้อนต่อไปยังวงจรท่ีสองท่ีเป็นอุปกรณ์กำเนิดไอน้ำเพ่ือผลิตไอน้ำไปขับกังหันไอน้ำ น้ำในวงจร

86 แรกจะถูกต้มภำยในถังขนำดใหญ่ท่ีอัดควำมดันไว้สูงมำก ประมำณ 150 เท่ำของควำมดันบรรยำกำศ โดยอุปกรณ์ที่ทำหน้ำที่ควบคุมแรงดันในวงจรแรกคือตัวควบคุมควำมดัน (Pressurizer) เพ่ือไม่ให้น้ำ เดือดกลำยเป็นไอ น้ำจะมีอุณหภูมิสูงถึง 325 องศำเซลเซียส และน้ำส่วนน้ีจะถ่ำยเทควำมร้อนไป ให้แก่น้ำหล่อเย็นอีกระบบหนึ่งที่ไม่ได้ควบคุมควำมดันเพ่ือผลิตไอน้ำออกมำซึ่งเป็นวงจรส่วนท่ีสอง ทำงำนภำยใต้ควำมดันต่ำกว่ำวงจรแรก น้ำในวงจรท่ีสองจะถูกต้มให้เดือดเพ่ือใช้ไอน้ำไปขับเคล่ือน กังหันไอน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ำและถูกควบแน่นกลับไปเป็นน้ำแล้วไหลกลับไปท่ีอุปกรณ์ผลิตไอน้ำ เป็นวัฏจกั รต่อไปดังแสดงในรูปที่ 3.5 (2) โรงไฟฟ้ำพลังงำนนิวเคลียร์แบบน้ำเดือด (Boiling Water Reactor - BWR) โรงไฟฟ้ำพลังงำนนิวเคลียร์แบบน้ำเดือดมีกำรทำงำนท่ีคล้ำยคลึงกับโรงไฟฟ้ำพลังงำน นิวเคลยี ร์แบบน้ำอัดควำมดนั ต่ำงกันทโี่ รงไฟฟ้ำพลังงำนนิวเคลยี ร์แบบน้ำเดือดมีวงจรกำรทำงำนเพียง วงจรเดียวโดยน้ำจะถูกต้มภำยในเตำปฏิกรณ์ (Reactor Vessel) โดยตรงท่ีอุณหภูมิประมำณ 285 องศำเซลเซียส เตำปฏิกรณ์ถูกออกแบบให้ส่วนบนของแกนปฏิกรณ์ประมำณ 12-15% มีสภำพเป็น ไอน้ำ ระบบออกแบบให้น้ำเดือดภำยในเตำปฏิกรณ์ทำให้เตำปฏิกรณ์แบบน้ีจะทำงำนท่ีควำมดันต่ำ กว่ำเตำปฏิกรณ์แบบน้ำอัดควำมดัน ไอน้ำที่ผลิตได้ภำยในเตำปฏิกรณ์จะไหลผ่ำนอุปกรณ์แยกน้ำ บริเวณส่วนบนของเตำปฏิกรณ์แล้วไหลออกไปขับกังหันไอน้ำโดยตรง เนื่องจำกน้ำท่ีไหลผ่ำนแกน ปฏิกรณ์จะปนเปื้อนด้วยรังสีทำให้อุปกรณ์ส่วนกังหันไอน้ำปนเป้ือนไปด้วยจึงต้องมีกำรป้องกันรังสี เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์แบบน้ำควำมดันสูง ข้อดีของโรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์แบบน้ำเดือดคือมี ต้นทุนต่ำกว่ำแบบอ่ืนและสำมำรถเข้ำไปบำรุงรักษำระบบกังหันไอน้ำได้ภำยในระยะเวลำอันสั้น หลงั จำกกำรปิดระบบเตำปฏกิ รณ์ (รปู ที่ 3.6) รปู ท่ี 3.5 โรงไฟฟ้ำนวิ เคลียร์แบบนำ้ ควำมดนั สงู (Pressurized Water Reactor : PWR) ท่มี ำ : (http://projects-pdp2010.egat.co.th/projects4/images/stories/ images_ nuclear/Nuclear03.gif.)

87 รปู ที่ 3.6 โรงไฟฟำ้ นิวเคลียร์แบบน้ำเดอื ด (Boiling Water Reactor : BWR) ที่มำ : (http://projects-pdp2010.egat.co.th/projects4/images/stories/images_ nuclear/Nuclear04.gif.) (3) โรงไฟฟ้ำแบบน้ำมวลหนักอัดควำมดัน (Pressurized Heavy Water Reactor - PHWR or CANDU) พัฒนำโดยประเทศแคนำดำในช่วงปี ค.ศ.1950 ภำยใต้ช่ือโรงไฟฟ้ำ พลงั งำนนิวเคลียรแ์ บบแคนดู (CANDU) มีกำรทำงำนคลำ้ ยกับโรงไฟฟ้ำนิวเคลยี ร์แบบน้ำอัดควำมดัน (PWR) ต่ำงกันท่ีกำรต้มน้ำภำยในถังได้เปล่ียนเป็นกำรต้มน้ำภำยในท่อขนำดเล็กจำนวนมำก เน่ืองจำกสำมำรถผลิตได้ง่ำยกว่ำผลิตในถังขนำดใหญ่ และนำน้ำชนิดท่ีเรียกว่ำน้ำมวลหนัก (Heavy water, D2O) มำใช้เพ่ือให้ปฏิกิริยำนิวเคลียร์เกิดขึ้นง่ำยจึงสำมำรถใช้เช้ือเพลิงยูเรเนียมที่สกัดมำจำก ธรรมชำติได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่ำนกระบวนกำรปรับปรุงให้มีควำมเข้มสูงข้ึน ทำให้ต้องใช้สำรหน่วง นิวตรอนที่มีประสิทธิภำพสูงกว่ำโรงไฟฟ้ำพลังงำนนิวเคลียร์แบบน้ำอัดควำมดันหรือแบบน้ำเดือด ระบบถูกออกแบบกำรทำงำนใหม้ ีสองวงจรเหมือนโรงไฟฟ้ำพลังงำนนิวเคลียรแ์ บบน้ำอัดควำมดนั โดย ในวงจรแรกน้ำมวลหนักทำหน้ำท่ีเป็นสำรหน่วงนิวตรอนและระบำยควำมร้อนออกจำกมัดเช้ือเพลิงที่ ถูกอัดภำยใต้ควำมดันสงู และจะไหลผ่ำนชอ่ งบรรจุเช้อื เพลิงเพ่ือระบำยควำมรอ้ นออกจำกเตำปฏกิ รณ์ ทีเ่ รยี กอีกช่ือว่ำ คำแรนเดรยี จนนำ้ มวลหนกั ในวงจรแรกมีอุณหภมู ิสูงถึง 290 องศำเซลเซียส และน้ำ จำกวงจรน้ีจะถ่ำยเทควำมร้อนให้แก่วงจรที่สองเพื่อผลิตไอน้ำที่อุปกรณ์กำเนิดไอน้ำแล้วขับกังหันไอ น้ำผลิตกระแสไฟฟ้ำ เน่ืองจำกกำรใช้ยูเรเนียมธรรมชำติเป็นเชื้อเพลิงทำให้โร งไฟฟ้ำพลังงำน นิวเคลียร์แบบน้ำมวลหนักอัดควำมดันต้องมีกำรเปล่ียนเช้ือเพลิงทุกวัน แต่ระบบได้ออกแบบมำให้ สำมำรถเปลี่ยนเช้อื เพลิงได้โดยไม่ตอ้ งหยดุ กำรทำงำนของเตำปฏกิ รณ์

88 รูปท่ี 3.7 โรงไฟฟ้ำแบบน้ำมวลหนักอดั ควำมดัน (Pressurized Heavy Water Reactor) ท่มี ำ : (http://www.nst.or.th/powerplant/pp03.htm.) 3.3.3.3 กำรจดั กำรกำกกมั มันตรงั สีและเชอ้ื เพลงิ นวิ เคลยี ร์ใชแ้ ลว้ เม่ือเดินเครื่องโรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์นอกจำกจะมีพลังงำนเกิดข้ึนแล้วยังก่อเกิด ของเสียอีกชนิดหน่ึงคือกำกกัมมันตรังสีซึ่งมำจำกกำรดำเนินงำนทั่วไป กำรซ่อมบำรุงหรือจำก ปฏิกิริยำนิวเคลียร์ฟิชช่ันในแท่งเชื้อเพลิง ดังน้ันจึงต้องมีกำรจัดกำรกำกกัมมันตรังสีนี้เพื่อป้องกัน อันตรำยต่อสง่ิ แวดลอ้ ม (1) ระดับควำมแรงของกัมมันตรังสีท่ีเกิดข้ึนจำกกำรดำเนินกำรในโรงไฟฟ้ำ นิวเคลียร์สำมำรถแบง่ ระดับควำมแรงของรังสเี ปน็ 3 ระดับคอื (1.1) กำกกัมมันตรังสีระดับต่ำ ได้แก่ ชุดปฏิบัติงำนของพนักงำน ผ้ำ กระดำษ แผ่นกรองและอุปกรณ์ต่ำง ๆ ที่ปนเปื้อนสำรกัมมันตรังสีซึ่งจะมีปริมำตรร้อยละ 90 ของ กำกกมั มันตรงั สที ั้งหมด (1.2) กำกกัมมันตรังสีระดับกลำง ได้แก่ เรซินสำหรับกรองน้ำใน ระบบระบำยควำมร้อน ปลอกหุ้มแทง่ เชอื้ เพลิงนิวเคลียร์ กำกกมั มนั ตรังสรี ะดับกลำงจะมีปริมำตรร้อย ละ 7 ของกำกกัมมันตรังสีท้ังหมด แต่ละปีจะมีกำกกัมมันตรังสีระดับต่ำและระดับกลำงเกิดข้ึน ประมำณ 200 -600 ลูกบำศก์เมตรซึ่งสำมำรถสลำยตัวหมดสภำพลงเอง และมีกำรใช้ขบวน กระบวนกำรบบี อัดกำลงั สูงอัดใหม้ ีปรมิ ำตรลดลงและจดั เก็บไวใ้ นโรงไฟฟ้ำนิวเคลยี ร์ (1.3) กำกกัมมันตรังสีระดับสูง ได้แก่ แท่งเชื้อเพลิงใช้แล้ว กำก กมั มนั ตรังสีทเ่ี กิดจำกกำรนำเช้ือเพลิงใช้แล้วกลับมำใช้ใหม่ กำกกัมมันตรังสรี ะดับสูงจะมีปริมำตรร้อย ละ 3 ของกำกกัมมันตรังสีทั้งหมด โดยในโรงไฟฟ้ำขนำด 1,000 เมกะวัตต์ จะมีเช้ือเพลิงใช้แล้ว เกิดข้นึ 27-30 ตัน/ปี ซง่ึ มรี ะดบั รังสสี งู มำกและมีอำยุยำวนำน

89 (2) กำรจัดกำรกำกกัมมันตรังสีระดับต่ำและระดับกลำง กำรจัดกำรกำก กัมมันตรังสีน้ีเป็นกำรเปล่ียนกำกกัมมันตรังสีให้อยู่ในรูปแบบที่เหมำะสมกับกำรขนย้ำย เก็บกักหรือ กำรจัดเก็บถำวรด้วยวิธีกำรลดปริมำตรซ่ึงทำโดยกำรบีบอัดด้วยแรงดัน กำรเผำทำลำย กำรแยกสำร กัมมันตรังสีออกจำกตัวกลำงและลดควำมอันตรำยโดยกำรทำให้เป็นของแข็งท่ีเสถียร กำรหล่อรวม กับซเี มนต์ (2.1) กำรปล่อยให้สลำยตัว (Delay and decay) ใช้กับกำก กัมมันตรังสีระดับต่ำและมีค่ำครึ่งชีวิตสั้นโดยเก็บไว้ในพ้ืนท่ีเฉพำะและปล่อยให้สลำยตัวจนมีระดับ ควำมแรงของรังสตี ำ่ กว่ำที่กฎหมำยกำหนดแล้วจงึ จัดกำรตอ่ เหมอื นของเสียทั่วไป (2.2) กำรเจือจำงและระบำยทิ้ง (Dilute and disperse) ใช้กับ กำกกัมมันตรังสีท่ีมีระดับต่ำและมีค่ำครึ่งชีวิตส้ันที่อยู่ในรูปของเหลว โดยนำไปเจือจำงจนควำม เขม้ ขน้ ของสำรกัมมนั ตรงั สตี ่ำกว่ำที่กฎหมำยกำหนดแล้วปลอ่ ยออกสู่สิ่งแวดล้อม (2.3) กำรแยกสำรกัมมันตรังสีออกจำกตัวกลำง (Transfer) เป็น กำรแยกเอำสำรกัมมันตรังสีออกจำกตัวกลำงที่เป็นของเหลว ก๊ำซ โดยใช้ตัวกรอง กำรตกตะกอน กำรระเหย กำรแลกเปลย่ี นไอออน วธิ นี ีใ้ ช้ในกำรบำบดั นำ้ เพ่อื นำกลบั ไปใช้ใหมใ่ นโรงไฟฟ้ำ (2.4) กำรเผำทำลำย (Incineration) เป็นวิธีกำรลดปริมำตรของ กำกกัมมันตรังสี ใช้กับกำกกัมมันตรังสีระดับต่ำที่เป็นของแข็งและของเหลว โดยกำรแยกประเภทเผำ ได้และเผำไม่ได้ออกจำกกนั แลว้ จึงนำไปเผำในเตำชนิดพิเศษท่ีอณุ หภูมิ 1,000 องศำเซลเซยี ส เถ้ำจำก กำรเผำจะนำไปหลอ่ รวมกับซเี มนตเ์ พอ่ื ปอ้ งกันกำรฟุง้ กระจำย (2.4) กำรบบี อดั ลดปรมิ ำตร (Compaction) ใชก้ ับกำกกัมมนั ตรังสี ทีเ่ ปน็ ของแข็งหรือกำกกัมมันตรังสีประเภทที่ไม่สำมำรถเผำได้ สำมำรถลดปริมำตรได้ต้ังแต่ 3-10 เท่ำ ขนึ้ อยกู่ ับวัสดกุ ำกกมั มันตรงั สี กำรบบี อัดมี 2 แบบ คอื แบบแรงดนั เบำและแรงดันสูงโดยแบบแรงดัน เบำจะบีบอัดเพื่อให้สำมำรถบรรจุกำกกัมมันตรังสีภำยในถังหรือภำชนะบรรจุต่ำง ๆ แล้วขนย้ำยหรือ นำไปจัดเก็บ ส่วนกำรบีบอัดด้วยแรงดันสูงจะบีบอัดกำกกัมมันตรังสีร่วมไปกับบรรจุภัณฑ์เพื่อลด ปริมำตรลงไปอีก (2.5) กำรหล่อซีเมนต์ (Cementation) ใช้กับกำกกัมมันตรังสี ระดับต่ำและระดับกลำงท่ีเป็นของแข็งหรือของไหลโดยนำมำใส่ภำชนะบรรจุแล้วเทซีเมนต์หรือโพลิ เมอรล์ งไป ปลอ่ ยใหแ้ ห้งจะไดแ้ ท่งซเี มนตห์ รือโพลิเมอร์ที่มกี ำกกัมมนั ตรังสีอย่ขู ้ำงใน กำกกัมมันตรังสีระดับต่ำและร ะดับกลำงจ ะถูกจัดเก็บในส ถำนท่ีเ ฉ พำะ ที่ ออกแบบให้มีควำมทนทำนต่อกำรเปล่ียนแปลงทั้งสภำวะภำยนอกและกันกำรรั่วไหลของกำก กมั มนั ตรงั สีเป็นอยำ่ งดี โดยอยู่บนผิวดนิ หรือลึกลงไป 3-4 เมตร มีฐำนและผนังท้ัง 4 ด้ำนเป็นคอนกรีต หลังจำกบรรจุเต็มพื้นที่แล้วจึงเทซีเมนต์ลงไปทับอีกช้ันหน่ึงแล้วจึงปิดผนังด้ำนบนแล ะถมดินให้เต็ม พนื้ ท่ีและไม่ให้มีกำรใช้พนื้ ทเ่ี ป็นเวลำ 100-300 ปี (3) กำรจัดกำรเช้อื เพลงิ ใชแ้ ลว้ (3.1) กำรเก็บเช้ือเพลิงแบบชั่วครำว (Spent fuel storage) เป็น กำรเก็บเชื้อเพลิงใช้แล้วภำยในโรงไฟฟ้ำก่อนเนื่องจำกเมื่อดับเครื่องปฏิกรณ์แต่ยังคงมีคว ำมร้อน ประมำณ 7% ของกำลงั เดินเครื่องของแกนเครื่องปฏิกรณ์ หลังจำกดบั เครอ่ื ง 1 ชวั่ โมง ควำมร้อนจำก

90 กำรสลำยตัวจะลดลงเหลือ 1.5% ของกำลังเดินเคร่ือง เมื่อผ่ำนไป 1 วัน ควำมร้อนจำกกำรสลำยตัว จะเหลือ 0.4% และลดลงเหลือ 0.2% เม่ือผ่ำนไป 1 สัปดำห์ ควำมร้อนจำกกำรสลำยตัวจะลดลง อย่ำงช้ำ ๆ กำรจัดเก็บแบบช่ัวครำวน้ีจะมีระยะเวลำนำนประมำณ 40-50 ปี ก่อนนำไปจัดกำรแบบ ถำวรอีกคร้ัง กำรจัดเก็บแบบชั่วครำวมี 2 วิธีคือ 1) เก็บแบบเปียก (Wet storage) เป็นกำรจัดเกบ็ เชอื้ เพลงิ นวิ เคลยี ร์ใชแ้ ลว้ ในบ่อน้ำในอำคำรเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ประมำณ 1-5 ปี หรอื มำกกวำ่ น้ัน เพื่อลดควำมร้อนและป้องกันกัมมันตรงั สี และ 2) เก็บแบบแห้ง (Dry storage) กำรเก็บแบบแห้งเปน็ กำรเก็บเชื้อเพลิงใช้แล้วนอกอำคำรเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่สร้ำงสถำนที่เก็บไว้เฉพำะภำยใน โรงไฟฟ้ำซง่ึ จะมีอำยุกำรใชง้ ำนตลอดอำยุของโรงไฟฟ้ำนวิ เคลียร์ ประมำณ 50-60 ปี เชือ้ เพลงิ ใชแ้ ล้ว จะถกู บรรจุลงในภำชนะทที่ ำด้วยเหลก็ กล้ำไรส้ นิมและบรรจุลงในภำชนะคอนกรีตอีกชั้นหนึ่ง รูปท่ี 3.8 สถำนทจี่ ดั เก็บเชอ้ื เพลิงใชแ้ ล้วแบบแห้งภำยนอกโรงไฟฟ้ำ ท่ีมำ : (http://www.ned.egat.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id= 97&Itemid=136.) (3.2) กำรแปรสภำพเช้ือเพลิงใชแ้ ล้ว (Reprocessing) เป็นกำรนำเชื้อเพลิง ใช้แล้วที่ประกอบด้วยไอโซโทปของพลูโทเนียม (Pu-238) ท่ีเหลืออยู่ประมำณ 95% มำสกัดซ้ำเพื่อ แยกยูเรเนียมออกจำกพลูโทเนียมเพื่อนำกลับมำหมุนเวียนใช้ใหม่ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในรูป เชอ้ื เพลิงออกไซด์ผสม พลูโทเนียมจำกกำรสกดั ซำ้ มเี พยี ง 1% ของเชือ้ เพลิงใชแ้ ล้ว เมื่อนำมำผสมกับ ออกไซดข์ อง Depleted uranium จะได้แทง่ เชื้อเพลงิ ออกไซด์ผสมที่ใช้ในเครื่องปฏกิ รณ์ กำรสกัดซ้ำ เช้ือเพลิงเชิงพำณิชย์มีอยู่ในประเทศฝรั่งเศส อังกฤษ รัสเซีย มีกำลังผลิตประมำณ 5,000 ตันต่อปี และยังรับดำเนินกำรสกัดซ้ำเช้ือเพลิงให้กับญ่ีปุ่นเพ่ือทำเช้ือเพลิงออกไซด์ผสมและส่งกลับประเทศ ญ่ีปุ่น นอกจำกน้ียังได้มีกำรพัฒนำกระบวนกำรสกัดซ้ำเพื่อแยกพลูโตเนียมโดยใช้ธำตุ Actinide แต่

91 เป็นวิธีกำรที่ยำกในกำรทำให้เป็นเช้ือเพลิงนิวเคลียร์ผสมและหมุนเวียนใช้กับเครื่องปฏิกรณ์แบบ ธรรมดำเพรำะต้องนำไปใช้กับเครื่องปฏิกรณ์แบบนิวตรอนเร็วซ่ึงยังมีจำนวนน้อย แต่ก็มีข้อดีคือง่ำย ต่อกำรจดั กำรกับกำกกัมมนั ตรังสีระดบั สงู (3.3) กำรจัดเก็บขั้นสุดท้ำย (Final disposal) หลังจำกกระบวนกำรแปร สภำพเชอื้ เพลิงแลว้ กำกกัมมนั ตรังสรี ะดับสูงที่เหลือจะถูกทำให้แห้งจนมีลักษณะเป็นผงแห้งและจะถูก นำไปหลอมให้เป็นเนื้อเดียวกันกับแก้วชนิดพิเศษโดยใช้ควำมร้อนสูงมำก จำกน้ันเทบรรจุลงภำชนะ เหล็กไร้สนิมหรือทองแดงแล้วจึงนำไปจัดเก็บในท่ีปลอดภัยคือฝังลงในชั้นหินแข็ง ควำมลึกจำกระดับ ผิวดิน 500-1,000 เมตร ในประเทศออสเตรเลียได้มีกำรพัฒนำกำรทำกำกกัมมันตรังสีให้เป็นเซรำ มิกหรือหินเทียม ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีกำรศึกษำกำรเก็บกำกกัมมันตรังสีระดับสงู โดยเลียนแบบ ตำมธรรมชำติของซำกดึกดำบรรพ์ท่ีถูกทับถมในตะกอนดิน ซึ่งมีควำมเสถียรทนทำนต่อแรง แผ่นดินไหว ส่วนในยุโรปและสหรัฐอเมริกำได้ศึกษำและพัฒนำกระบวนกำรจัดกำรกำกกัมมันตรังสี ด้วยกำรกระตุ้นให้กำกกัมมันตรังสีมีอำยุสั้นลงโดยกำรนำกลับเข้ำไปในเคร่ืองปฏิกรณ์ หรือเครื่องเร่ง อนภุ ำคอกี ครงั้ หนง่ึ เพือ่ เรง่ ใหม้ ีคณุ สมบัตสิ ลำยตัวได้รวดเรว็ ขึน้ แตย่ งั เป็นช่วงของกำรทดลอง 3.4 วกิ ฤตพิ ลงั งานและประสิทธิภาพในการใชพ้ ลังงาน 3.4.1 วกิ ฤตพิ ลงั งาน พลังงำน คือ ทรัพยำกรเพ่ือกำรพัฒนำควำมมั่นคงของประเทศและของโลก สถำนกำรณ์กำรใช้พลังงำนในปัจจุบันยังคงมีสัดส่วนของน้ำมัน ถ่ำนหินและก๊ำซธรรมชำติ มำก ตำมลำดบั ซึ่งหำกพิจำรณำปริมำณของพลังงำนเหลำ่ น้จี ะพบวำ่ มีอำยุกำรใช้งำนต่อไปข้ำงหน้ำอีกไม่ก่ี ปี น้ำมันมีปริมำณสำรองท่ีคำดว่ำจะใช้ได้เฉล่ียท้ังโลกอยู่ประมำณ 40 ปี ก๊ำซธรรมชำติเฉลี่ยจะ ใช้ได้อีกประมำณ 60 ปี และถ่ำนหินจะใช้ได้อีกประมำณ 100-120 ปี ถ่ำนหินเป็นแหล่งพลังงำนท่มี ี ปริมำณสำรองมำกกว่ำแหล่งพลังงำนอ่ืน ๆ ประกอบกับปัญหำภำวะโลกร้อนที่ผ่ำนมำทำให้มีกำร พัฒนำเทคโนโลยีท่ีเกี่ยวกับกำรประหยัดพลังงำนและเทคโนโลยีพลังงำนถ่ำนหินสะอำด ในขณะท่ี ก๊ำซธรรมชำติเริ่มทยอยหมดลงไปเพรำะว่ำมีกำรใช้มำกขึ้นเร่ือย ๆ ถึงแม้ว่ำจะมีกำรเร่งสำรวจแต่เมื่อ ใช้ก็หมดไป กำรตื่นตัวและตระหนักถึงปัญหำภำวะโลกร้อนทำให้ต้องแสวงหำแหล่งพลังงำนสะอำด คำดว่ำหลงั ปี 2020 จะเกดิ กำรเปลี่ยนแปลงกำรใช้พลงั งำนโดยจะมีกำรใช้พลังงำนในรูปแบบพลังงำน หมุนเวยี นหรือพลงั งำนทดแทนมำกข้นึ ซึ่งแหล่งพลังงำนหมุนเวียนสำคญั ได้แก่ พลังงำนลม พลังงำน จำกแสงอำทิตย์ ชีวมวล ส่วนน้ำมันและก๊ำซจะลดลงโดยคำดกำรณ์ว่ำในอนำคตปี 2050 จะเป็นยุค ของพลังงำนสีเขียวเข้ำมำทดแทนถึง 40 % ของกำรใช้พลังงำนทั้งโลกจำกในปัจจุบันท่ีมีเพียงกว่ำ 10% เท่ำนั้น ส่วนพลังงำนอีกชนิดหนึ่งคือ หินน้ำมัน (Oil shale) หรือเทคโนโลยีที่ต้องนำก๊ำซมำ เปล่ียนเป็นน้ำมันเพ่ือผลิตเป็นน้ำมันสังเครำะห์หรือกำรนำถ่ำนหินมำแปรรูปเพ่ือผลิตเป็นก๊ำซ และ แปรรปู ก๊ำซเปน็ นำ้ มนั ก็ยังเปน็ เทคโนโลยีท่ีมีค่ำใชจ้ ่ำยสูงซึ่งหำกนำนำ้ มนั เหล่ำน้ีมำใช้ในเชงิ พำณิชย์จะ ทำให้รำคำน้ำมันในอนำคตมีกำรเปลี่ยนแปลง และกำรหำปริมำณน้ำมันเพ่ิมขึ้นจำเป็นต้องใช้ เทคโนโลยีซึ่งต้องมีต้นทุนกำรผลิตท่ีสูงข้ึน (เทวินทร์ วงศ์วำนิช, มปป.) ประเทศไทยพ่ึงพำน้ำมันจำก ตะวันออกกลำงเป็นหลัก พ่ึงพำพลังงำนไฟฟ้ำจำกประเทศเพื่อนบ้ำนและยังคงต้องพ่ึงพำมำกข้ึน รวมทงั้ พลังงำนหมุนเวียนและพลังงำนทดแทน ส่วนพลังงำนนิวเคลยี รน์ น้ั ยงั ไม่มีควำมเปน็ ไปได้เพรำะ

92 มีกระแสต่อต้ำนค่อนข้ำงมำก เมื่อพิจำรณำปัญหำโดยรวมท่ีประเทศไทยจะได้รับจำกพลังงำนใน อนำคตพอจะสรปุ ได้ดังนี้คอื 3.4.1.1 พลังงำนบนโลกมีจำกัด น้ำมันส่วนใหญ่อยู่ในตะวันออกกลำง ส่วนก๊ำซ ธรรมชำติมีกระจำยท้ังในยุโรป รัสเซีย ถ่ำนหินมีอยู่ในเอเชียแปซิฟิกทั้งออสเตรเลีย อินโดนีเซีย จีน รวมถึงอเมริกำเหนือ อเมริกำใต้หรือละตินอเมริกำและยุโรป หำกประเทศไทยมีแนวโน้มกำรใช้ พลงั งำนน้ำมนั และกำ๊ ซธรรมชำติเรำยังคงต้องพ่ึงพำกลุ่มประเทศตะวันออกกลำงรวมถงึ รัสเซียดว้ ย 3.4.1.2 พึ่งพำกำรนำเข้ำพลังงำน ประเทศไทยนำเข้ำพลังงำนน้ำมันมำต้ังแต่อดีต ถึงแม้จะลดกำรนำเข้ำได้บ้ำงเพรำะมีก๊ำซและน้ำมันในประเทศแต่มีไม่เพียงพอ ถ่ำนหินที่ใช้อยู่ก็มี ปริมำณไม่มำกยังคงต้องนำเข้ำโดยเฉพำะถ่ำนหินคุณภำพดี เชน่ บิทูมนิ ัส ท่ีไมค่ ่อยมีในประเทศ สว่ น ก๊ำซธรรมชำตใิ นอำ่ วไทยเรำได้นำมำใชป้ ระโยชน์เต็มที่และนำไปสร้ำงมลู ค่ำเพม่ิ โดยนำก๊ำซมำแยกเป็น วตั ถดุ บิ ปิโตรเคมีแลว้ ทำให้เกิดธุรกิจปิโตรเคมีขึ้นและยังไดส้ ่งออกสรำ้ งรำยได้อีกด้วย แต่ถงึ อย่ำงไร ก็ตำมประเทศไทยยังคงซื้อก๊ำซจำกประเทศพม่ำ ส่วนพลังงำนไฟฟ้ำส่วนใหญ่ผลิตเองในประเทศมี เพียงส่วนน้อยท่ีนำเข้ำจำกประเทศเพ่ือนบ้ำน เช่น พม่ำและลำวที่ผลิตไฟฟ้ำจำกพลังงำนน้ำและถ่ำน หนิ 3.4.1.3 แหล่งก๊ำซเร่ิมทยอยหมดลง ถึงแม้จะมีกำรพัฒนำกำรสำรวจ แต่ควำม ต้องกำรใช้ไม่ได้ลดลงจึงทำให้มีควำมจำเป็นต้องนำเข้ำในปริมำณที่มำกข้ึนและรำคำท่ีนำเข้ำอำจจะ ไม่ใช่รำคำท่ีมีต้นทุนถูกอย่ำงของในประเทศ ดังน้ันกำรนำเข้ำในอนำคตจะมีมูลค่ำสูงข้ึนเน่ืองจำก ต้นทนุ ที่สูง 3.4.1.4 รำคำพลังงำน รำคำพลังงำนต้องสะท้อนกลไกตลำด ซ่ึงรำคำน้ำมันใน ประเทศไทยก็เป็นไปตำมกลไกตลำด แต่ LPG ซ่ึงมำจำกโรงแยกก๊ำซส่วนหน่ึงกับผลพลอยได้จำกกำร กลั่นน้ำมันอีกส่วนหน่ึงที่ยังเป็นปัญหำ เพรำะถ้ำหำกมำจำกน้ำมันดิบท่ีนำเข้ำมำซ่ึงมีต้นทุนที่ไม่ เหมือนก๊ำซจำกอ่ำวไทย แต่ด้วยควำมต้องกำรใช้ไม่ได้เกินปริมำณที่ผลิตได้ประเทศจึงได้ส่งออก แต่ เมอื่ รฐั บำลมีกำรกำหนดรำคำเพดำนไว้ทำให้ไมส่ ำมำรถขนึ้ รำคำได้เมื่อน้ำมันในตลำดโลกขึ้นรำคำ แต่ ก็ยังไม่เป็นปญั หำเพรำะไดน้ ำส่วนต่ำงทเ่ี กดิ จำกกำรส่งออกมำช่วยชดเชยรำคำทตี่ ่ำในประเทศซึ่งทำให้ รำคำ LPG ถูกกว่ำพลังงำนรูปแบบอ่ืนจึงทำให้มีควำมต้องกำรใช้เพ่ิมมำกขึ้น จนกระท่ังต้องนำเข้ำจึง เกดิ ภำระตอ่ รัฐที่จะตอ้ งนำเงินจำกกองทุนนำ้ มนั มำชดเชยผู้นำเขำ้ และขำยในประเทศ 3.4.2 การเพ่มิ ความมน่ั คงทางดา้ นพลงั งาน กำรพัฒนำประเทศจำเป็นต้องใช้พลังงำน โดยรัฐบำลมีหน้ำที่กำหนดและกำกับ นโยบำยทำงด้ำนพลงั งำนเพ่อื ใหเ้ กดิ ควำมมั่นคงพลังงำนภำยในประเทศโดยทงั้ นค้ี วรมีแนวทำงดังนี้ 3.4.2.1 กำรสง่ เสริมกำรใชพ้ ลังงำนอยำ่ งมปี ระสทิ ธภิ ำพ ควรมกี ำรรณรงคอ์ ย่ำงจรงิ จัง และมีมำตรกำรในกำรทำใหเ้ กิดกำรใช้พลงั งำนอย่ำงมีประสิทธภิ ำพ ถ้ำพลังงำนรำคำถูกทำให้เกิดกำร ใช้อย่ำงฟุ่มเฟือยเพรำะประเทศของเรำใช้ก๊ำซในรำคำท่ีถูกกว่ำหลำยประเทศทำให้ประชำชนท่ัวไปไม่ ประหยดั แต่ต้นทุนทนี่ ำเขำ้ มำมีรำคำสูง 3.4.2.2 กำรสร้ำงควำมสมดุลระหว่ำงกำรใช้พลังงำนกับสิ่งแวดล้อม กำรใช้พลังงำน อย่ำงประหยัดนอกจำกจะช่วยทำให้ประเทศชำติลดกำรนำเข้ำพลังงำนแล้วยังเป็นกำรสร้ำงควำม

93 สมดุลในกำรใช้พลังงำนกับกำรรักษำคุณภำพของส่ิงแวดล้อมและยังเป็นหลักประกันถึงกำรไม่สร้ำง ปัญหำกำรเปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศในภำยหลงั 3.4.2.3 กำรพัฒนำพลังงำนทดแทน กำรใช้พลังงำนทดแทนจะเป็นควำมมั่นคง ทำงด้ำนพลังงำนของประเทศไทยและมีควำมยั่งยืนในระยะยำว ปัจจุบันเรำได้พ่ึงพำพลังงำนทดแทน จำกพืชในประเทศบำงส่วนแต่ต้องไม่ไปเบียดบังหรือแย่งกับทำงด้ำนอำหำร รวมทั้งมีกำรพัฒนำ เทคโนโลยีกำรนำกำกของเสียมำใช้เพ่ือผลิตพลังงำน กำรพัฒนำเทคโนโลยีที่ใช้พลังงำนแสงอำทิตย์ พลังงำนลมกจ็ ะเปน็ แนวทำงของกำรสง่ เสริมควำมมัน่ คงด้ำนพลังงำนของประเทศได้อีกทำง 3.4.2.4 กำรกระจำยชนิดของพลังงำน มีกำรใช้พลังงำนจำกหลำกหลำยแหล่ง ไม่ พ่งึ พิงพลังงำนจำกแหลง่ ใดแหลง่ หน่ึงมำกเกินไป โดยเฉพำะนำ้ มนั และกำ๊ ซธรรมชำตซิ ่ึงจะเป็นปัญหำ ของประเทศในกำรจัดหำแหล่งพลงั งำนดงั กลำ่ วในระยะยำวได้ 3.4.2.5 กำรกำหนดรำคำพลังงำนให้สอดคล้องกับกลไกรำคำตลำด รำคำจะชว่ ยทำให้ เกิดกำรควบคมุ กำรใช้พลงั งำนอยำ่ งประหยดั และมปี ระสิทธิภำพมำกข้ึน 3.4.3 ปญั หาสิง่ แวดล้อมจากการใชพ้ ลังงาน ก ำ ร ใ ช้ พ ลั ง ง ำ น ก่ อ ใ ห้ เ กิ ด ก๊ ำ ซ ท่ี ส่ ง ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อ ก ำ ร ท ำ ล ำ ย ช้ั น บ ร ร ย ำ ก ำ ศ คำร์บอนไดออกไซด์ออกไซด์ท่ีเกิดจำกกำรเผำผลำญพลังงำนเป็นปัญหำจำกกำรใช้พลังงำนที่กระทบ ทั่วโลก ปรำกฏกำรณ์ที่เห็นได้ชัดเจนและมีควำมสำคัญอย่ำงมำกในปัจจุบัน ได้แก่ กำรเกิดสภำวะ เรือนกระจก (Greenhouse effect) สภำวะโลกร้อน (Global warming) และกำรเปล่ียนแปลง สภำพภูมิอำกำศ ซ่ึงปรำกฎกำรณ์ 3 ลักษณะนี้เป็นปรำกฎกำรณ์ที่ส่งผลกระทบซ่ึงกันและกัน ปรำกฎกำรณ์เหล่ำนี้ได้ทวีควำมรุนแรงมำกขึ้นอย่ำงต่อเนื่อง ก๊ำซที่เกิดขึ้นจำกกำรเผำไหม้ของ เช้ือเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่ำนหิน น้ำมัน ก๊ำซธรรมชำติและผลิตภัณฑ์จำกปิโตรเล่ียม ได้ส่งผลทำให้ ควำมร้อนจำกดวงอำทิตย์ที่ส่องเข้ำมำยังโลกไม่สำมำรถสะท้อนกลับออกไปได้ทำให้อุณหภูมิของโลก เพ่มิ สูงขึ้นเมือ่ เทยี บกับชว่ งตน้ ศตวรรษท่ี 19 3.5 ปรากฏการณเ์ รือนกระจก ภาวะโลกรอ้ นและการเปล่ียนแปลงสภาพภมู อิ ากาศ 3.5.1 ปรากฏการณเ์ รอื นกระจก ปรำกฏกำรณ์ (Greenhouse effect) หมำยถึง อำณำบริเวณที่ปิดล้อมด้วยกระจก หรือวัสดุอ่ืนซึ่งมีผลในกำรเก็บกักควำมร้อนไว้ภำยใน ประเทศเขตหนำวนิยมใช้เรือนกระจกในกำร เพำะปลูกต้นไม้ เพรำะพลังงำนแสงอำทิตย์สำมำรถผ่ำนเข้ำไปภำยในได้ แต่ควำมร้อนท่ีอยู่ภำยในจะ ถูกกักเก็บโดยกระจกไม่ให้สะท้อนหรือแผ่ออกสู่ภำยนอกได้ ทำให้อุณหภูมิของอำกำศภำยในอบอุ่น และเหมำะสมต่อกำรเจริญเติบโตของพืช แตกต่ำงจำกภำยนอกท่ียังหนำวเย็น นักวิทยำศำสตร์จึง เปรียบเทียบปรำกฏกำรณ์ที่ควำมร้อนภำยในโลกถูกเก็บกักเอำไว้ไม่ให้สะท้อนหรือแผ่ออกสู่ภำยนอก โลกว่ำเป็นปรำกฏกำรณ์เรือนกระจก ก๊ำซเรือนกระจกเป็นองค์ประกอบของบรรยำกำศและมี คุณสมบัติยอมให้รังสีคล่ืนส้ันจำกดวงอำทิตย์ผ่ำนทะลุมำยังโลกได้ แต่จะดูดกลืนรังสีคล่ืนยำวช่วง อินฟรำเรดท่ีแผ่ออกจำกผิวโลกไว้จำกนั้นจึงคำยพลังงำนควำมร้อนให้อยู่ ภำยในช้ันบรรยำกำศและ พ้ืนผิวโลก ในปัจจุบันมีก๊ำซเรือนกระจกสะสมในช้ันบรรยำกำศมำกเกินไปจึงทำให้มีกำรดูดกลืนรังสี คลื่นยำวช่วงอินฟรำเรดและคำยพลังงำนควำมร้อนได้ดีท่ีพ้ืนผิวโลกจึงทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นและส่งผล

94 กระทบต่อสภำพภูมิอำกำศของโลก ในรูปท่ี 3.9 ปกติชั้นบรรยำกำศของโลกประกอบด้วยโอโซน ไอ น้ำ และก๊ำซชนิดต่ำง ๆ ซ่ึงช่วยกรองรังสีคล่ืนส้ันบำงชนิด รังสีคลื่นส้ันที่ตกกระทบผิวโลกจะสะท้อน กลบั ไปนอกชนั้ บรรยำกำศสว่ นหนึง่ และอีกสว่ นทเ่ี หลือจะถูกพ้ืนดนิ พน้ื นำ้ และสิ่งมชี วี ิตดูดกลืนไว้และ คำยพลังงำนในรูปรังสีอินฟรำเรดขึ้นไปสู่ชั้นบรรยำกำศและกระจำยออกนอกชั้นบรรยำกำศส่วนหน่ึง อีกส่วนจะถูกช้ันบรรยำกำศดูดกลืนไว้ ทำให้โลกสำมำรถรักษำสภำพสมดุลของอุณหภูมิและทำให้วัฏ จกั รของน้ำ อำกำศและฤดูกำลดำเนินไปอย่ำงสมดลุ 3.5.2 ภาวะโลกร้อน ภำวะโลกร้อน (Global warming) เป็นปรำกฏกำรณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจำกโลกไม่ สำมำรถระบำยควำมร้อนท่ีได้รับจำกรังสีดวงอำทิตย์ออกไปได้อย่ำงปกติจึงทำให้อุณหภูมิเฉล่ียของ โลกสูงข้ึนและทำให้สภำพอำกำศของโลกเปลี่ยนแปลงไปซึ่งจะสง่ ผลกระทบตอ่ สิ่งมีชวี ติ บนโลก ภำวะ โลกร้อนเป็นปรำกฎกำรณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันท่ีโลกของเรำร้อนกว่ำท่ีเคยเป็นมำในช่วง 2 พันปีท่ีผ่ำน มำ ข้อมูลทำงวิทยำศำสตร์ในวงกว้ำงเห็นร่วมกันว่ำมนุษยชำติมีส่วนอย่ำงมำกในกำรทำให้เกิดกำร เปลี่ยนแปลงนี้ ภำวะโลกร้อนทำให้เกิดผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมในด้ำนต่ำง ๆ เช่น กำรละลำยของ ธำรน้ำแข็งท่ีใหญ่ท่ีสุดในโลกคือ กรีนแลนด์ซ่ึงจะมีผลต่อปริมำณน้ำในมหำสมุทรท่ีมีระดับน้ำทะเลที่ สูงข้ึนและมีกำรกัดเซำะชำยฝ่ังมำกขึ้น ภำวะโลกร้อนทำให้บำงบริเวณของโลกเกิดสภำวะควำม แปรปรวนของอำกำศ หรืออำจส่งผลต่อควำมแห้งแล้ง กำรเกิดไฟไหม้ป่ำ รวมถึงกำรเกิดโรคระบำด และกำรเปลย่ี นแปลงของระบบนเิ วศ รูปท่ี 3.9 An idealised model of the natural greenhouse effect ทีม่ ำ : (https://archive.ipcc.ch/publications_and_data/ar4/wg1/en/faq-1-3.html.)

95 รปู ที่ 3.10 แผน่ น้ำแข็งของกรีนแลนดล์ ะลำย ทม่ี ำ : (https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9620000074143) 3.5.3 การเปล่ยี นแปลงสภาพภูมิอากาศ กำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศ (Climate change) คือ กำรเปลี่ยนแปลงลักษณะ อำกำศเฉลี่ย (Average weather) ในพื้นที่หนึ่งซ่ึงลักษณะอำกำศเฉล่ียหมำยควำมรวมถึงลักษณะ ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับอำกำศ เช่น อุณหภูมิ ฝน ลม เป็นต้น กำรเปล่ียนแปลงภูมิอำกำศเป็นกำร เปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศที่เป็นผลทำงตรงหรือทำงอ้อมจำกกิจกรรมของมนุษย์ท่ีทำให้ องค์ประกอบของบรรยำกำศเปล่ียนแปลงไป นอกเหนือจำกควำมผันแปรตำมธรรมชำติตำม ควำมหมำยในกรอบของอนุสญั ญำว่ำดว้ ยกำรเปลี่ยนแปลงภูมอิ ำกำศ (Framework Convention on Climate Change, FCCC) แต่ควำมหมำยท่ีใช้ในคณะกรรมกำรระหว่ำงรัฐบำลว่ำด้วยกำร เปลี่ยนแปลงภมู ิอำกำศ (Intergovernmental Panel on Climate Change ; IPCC) ได้ให้ควำมหมำย กำรเปล่ียนแปลงภูมิอำกำศ คือ กำรเปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศ ไม่ว่ำจะเน่ืองมำจำก ควำมผันแปร ตำมธรรมชำติหรือกิจกรรมของมนุษย์ (กรมอุตุนิยมวิทยำ, 2560) และกำรเปลี่ยนแปลงสภำพ ภมู ิอำกำศนี้จะสง่ ผลกระทบต่อระบบและภำคสว่ นตำ่ ง ๆ เช่น ภำคกำรเกษตร ภำคกำรท่องเทยี่ ว กำร ต้ังถ่ินฐำนของชุมชนท่ีต้องพ่ึงพำปัจจัยเหล่ำน้ีและอำจนำไปสู่ควำมเส่ียงหรือแรงกดดันที่มีอยู่เดิมให้ เพ่ิมมำกขึ้นท่ีเป็นผลจำกกำรใช้ทรัพยำกรอย่ำงไม่ย่ังยืน นอกจำกน้ีคณะกรรมกำรระหว่ำงรัฐบำลว่ำ ด้วยกำรเปล่ียนแปลงภูมิอำกำศยังได้ประเมินว่ำนับต้ังแต่ศตวรรษที่ 19 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกได้เพิ่ม สูงข้ึน 0.6 องศำเซลเซียสและภำยใน ค.ศ. 2100 อุณหภูมิของโลกจะเพิ่มสูงข้ึนอีกประมำณ 1.4-5.8 องศำเซลเซียส และระดับน้ำทะเลอำจจะสูงขึ้น 0.1- 0.9 เมตร หำกไม่มีมำตรกำรใดในกำรลดกำร ปลอ่ ยก๊ำซเรือนกระจก (สุภำวดี สำระวนั , 2562) 3.6 วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีกบั การพัฒนาพลงั งานทดแทน สถำนกำรณ์พลังงำนในอนำคตมีข้อจำกัดมำกขึ้นท้ังด้ำนปริมำณที่มีจำกัดและปัญหำกำร เปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศจึงทำให้มีกำรแสวงหำแหล่งพลังงำนใหม่ ๆ ท่ีเป็นแหล่งพลังงำนสะอำด

96 เพ่ือควำมมนั่ คงดำ้ นพลังงำนและลดปญั หำด้ำนส่ิงแวดล้อม ปัจจบุ ันมีกำรพฒั นำเทคโนโลยีพลังงำนจำ แหล่งตำ่ ง ๆ ดังนี้ 3.6.1 พลงั งานจากชวี มวลและเทคโนโลยกี ารแปรรปู ชีวมวล ชีวมวลเป็นพลังงำนทดแทนที่นำมำใช้ในกำรผลิตพลังงำนพ้ืนฐำน เช่น พลังงำนไฟฟ้ำ ควำมร้อน เช้ือเพลิงชีวภำพ ประเทศไทยมีกำรใช้พลังงำนทดแทนเพ่ิมมำกขึ้นซึ่งเป็นผลจำกนโยบำย กำรพัฒนำพลังงำนทดแทนท่ีส่งเสริมให้มีกำรใช้พลังงำนทดแทนเพ่ิมขึ้น 25% ตำมแผนพัฒนำ พลังงำนทดแทนและพลังงำนทำงเลือกระหว่ำงปี พ.ศ. 2555-2564 ซ่ึงสอดคล้องและมีทิศทำง เดียวกับแผนพัฒนำพลังงำนของภูมิภำคอำเซียนที่หลำยประเทศมีเป้ำหมำยในกำรพัฒนำและใช้ ประโยชน์จำกพลังงำนชีวมวล จำกกำรประเมินสถำนภำพชีวมวลพบว่ำ พืชพลังงำนในกลุ่มพืชเพื่อ กำรผลิตเชื้อเพลิงชีวภำพเป็นกลุ่มที่มีศักยภำพในกำรเพ่ิมผลผลิตชีวมวลมำกที่สุด ได้แก่ อ้อย มัน สำปะหลัง และปำล์มน้ำมัน ส่วนกลมุ่ พืชเพ่ือกำรผลิตควำมร้อน ได้แก่ กระถินยักษ์ อ้อย แต่ควรมี กำรศกึ ษำศักยภำพและควำมเหมำะสมเพิ่มเตมิ ในกำรแปรรูปเปน็ พลังงำนควำมร้อน ประเทศไทยเป็น ประเทศที่มีควำมสำมำรถในกำรเพิ่มผลผลิตอ้อยและมนั สำปะหลงั มำกท่ีสุดในกลุ่มอำเซียนโดยเฉพำะ กำรปรับปรุงพันธ์ุโดยวิธีมำตรฐำน กำรประเมินศักยภำพชีวมวลจะแบ่งชีวมวลออกเป็น 3 กลุ่ม ตำม รูปแบบพลังงำนท่ีผลิตได้ คือ 1) ชีวมวลเพ่ือผลิตไฟฟ้ำและควำมร้อน 2) ชีวมวลเพื่อผลิตเช้ือเพลิง เหลว และ 3) ชีวมวลเพ่ือผลิตก๊ำซชีวภำพ โดยมีเทคโนโลยีที่ใช้ในกำรแปรรูปชีวมวลดังนี้ (ศุภัชญำ คนสมบูรณ์ และสนุ รี ัตน์ ฟกู ดุ ะ, มปป.) 3.6.1.1 กระบวนกำรทำงควำมรอ้ นเคมี (Thermochemical Conversion Technology) เป็นกำรใช้ควำมร้อนเพ่ือเปล่ียนองค์ประกอบทำงเคมีของชีวมวลให้อยู่ในรูปพลังงำน ต่ำง ๆ เช่น ไฟฟ้ำ ควำมร้อน และก๊ำซเช้ือเพลิงชีวมวล เทคโนโลยีกำรเผำไหม้เพ่ือผลิตไฟฟ้ำและ ควำมร้อน (Combustion technology) ที่มีกำรใช้กันอย่ำงแพร่หลำยในเชิงพำณิชย์ทั้งในประเทศ ไทย มำเลเซีย และเวียดนำมซ่ึงเป็นประเทศท่ีมีควำมสำมำรถในกำรพัฒนำเทคโนโลยีกำรผลิตไอน้ำ และควำมร้อนได้เองในประเทศ ส่วนกำรผลิตก๊ำซเช้ือเพลิงเพื่อผลิตควำมร้อนเชิงพำณิชย์พบใน ประเทศฟิลิปปินส์ มำเลเซยี และเวยี ดนำม 3.6.1.2 เทคโนโลยกี ำรผลติ เชื้อเพลิงเหลว ( Liquid Biofuels Technology) เปน็ กำร เปลี่ยนชีวมวลให้อยู่ในรูปเช้ือเพลิงเหลว ได้แก่ เอทำนอล ไบโอดีเซล โดยกระบวนกำรผลิตเชื้อเพลิง เหลวทำได้โดยกำรนำชีวมวล เช่น ไม้ มำผ่ำนกระบวนกำรควำมร้อนเคมีเพ่ือแยกสลำยสำรประกอบ อินทรีย์ในเชื้อเพลิงออกโดยใช้เวลำส้ันท่ีสุด เรียกกระบวนกำรนี้ว่ำ Fast pyrolysis จะทำให้เกิดกำร เปล่ียนแปลงโครงสร้ำงของสำรประกอบอินทรีย์ในชีวมวลกลำยเป็นเช้ือเพลิงที่มีคุณสมบัติใกล้เคียง น้ำมันดิบ แต่ยังต้องผ่ำนกระบวนกำรกลั่นจึงนำไปใชไ้ ด้ ประเทศในภูมิภำคอำเซียนส่วนใหญ่ผลิตเอ ทำนอลจำกอ้อยและมันสำปะหลัง ไบโอดีเซลผลิตจำกน้ำมันปำล์มและมะพร้ำว โดยมีประเทศ มำเลเซีย อินโดนีเซียและไทยท่ีผลิตไบโอดีเซลจำกน้ำมันปำล์ม ส่วนมำเลเซียผลิตไบโอดีเซลจำก มะพร้ำว สำหรับกำรผลิตไบโอดีเซลแบบใหม่ (Advanced Biofuels) หรือน้ำมันดีเซลชีวภำพ สังเครำะห์ได้มำจำกกำรนำน้ำมันท่ีผลิตจำกพืชมำผ่ำนกระบวนกำรไฮโดรจิเนช่ันซ่ึงมีเพียงประเทศ สงิ คโปรท์ ่ผี ลติ นำ้ มนั ชนดิ นี้

97 3.6.1.3 เทคโนโลยีกำรผลิตก๊ำซชีวมวล (Biogas technology) เป็นกระบวนกำร เปล่ียนวัตถุดิบหรือเชื้อเพลิงแข็งให้อยู่ในรูปก๊ำซชีวมวลด้วยกระบวนกำรทำงควำมร้อนหรือเรียกว่ำ Producer gas ซึ่งจะได้ก๊ำซที่สำมำรถใช้เป็นเช้ือเพลิง ได้แก่ คำร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน และ ก๊ำซมีเทน โดยมีกระบวนกำรเกิดปฏิกิริยำแบ่งเป็น 4 ข้ันตอนคือ (1) ขั้นตอนกำรอบแห้ง (Drying zone) ไอน้ำในเชื้อเพลิงจะถูกไล่ออกด้วยควำมร้อนที่มำจำกกำรเผำไหม้ของเตำ (2) ข้ันกำรกลั่น สลำย (Pyrolysis zone) เป็นขั้นตอนแรกของกำรเผำไหม้เช้ือเพลิงชีวมวลโดยอำศัยควำมร้อนจำก โซนกำรเผำไหม้ ทำให้สำรประกอบอินทรีย์ในเชอื้ เพลิงชวี มวลแตกตัวอยู่ในรูปของแข็ง ของเหลวและ ก๊ำซ (3) ขั้นกำรเผำไหม้ (Combustion zone) เป็นข้ันตอนกำรเผำไหม้เช้ือเพลิงชีวมวลท่ีมีกำรเผำ โดยจ่ำยอำกำศเขำ้ ไปในเตำซึง่ จะไปทำปฏิกริ ิยำกบั เช้ือเพลิงแข็งท่ีมำจำกข้ันตอนกำรกลนั่ สลำยเพื่อให้ ได้คำร์บอนไดออกไซด์และโมเลกุลของน้ำ และ (4) ขั้นตอนกำรรีดักชั่น (Reduction zone) เป็น ขั้นตอนปฏิกิริยำกำรเกิดก๊ำซเช้ือเพลิงชีวมวล ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สองของกำรเผำไหม้แบบจำกัดอำกำศ กอ่ ใหเ้ กดิ ก๊ำซคำรบ์ อนไดออกไซด์และก๊ำซไฮโดรเจน โดยระบบผลิตก๊ำซเชอ้ื เพลิงชวี มวลท่นี ิยมใช้กันมี ทง้ั หมด 4 แบบ (กรมพฒั นำพลังงำนทดแทนและอนุรกั ษ์พลงั งำน, มปป.) ไดแ้ ก่ (1) เตำผลิตก๊ำซเชื้อเพลิงแบบอำกำศไหลขึ้น (Updraft gasifier) เป็นเตำท่ี ใช้ในระยะแรกเร่ิม เช้ือเพลิงจะถูกป้อนเข้ำทำงด้ำนบนของเตำและอำกำศถูกส่งผ่ำนตะแกรงเข้ำมำ ทำงด้ำนลำ่ ง เหนือตะแกรงขึ้นไปเปน็ บริเวณเผำไหม้ได้ก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์และนำ้ กำ๊ ซท่ีออกมำ จำกบริเวณเผำไหม้จะมีอุณหภูมิสูงและจะเข้ำไปยังบริเวณรีดักช่ันทำให้เกิดก๊ำซคำร์บอนมอ นอกไซด์ และไฮโดรเจน หลังจำกน้ันก๊ำซจะไหลเข้ำไปยังบริเวณที่อุณหภูมิต่ำกว่ำในชั้นของชีวมวลและกล่ัน สลำยในช่วงอุณหภูมิ 200-500 องศำเซลเซียส แล้วจึงไหลเข้ำสู่ชั้นชีวมวลท่ีช้ืนและระเหยน้ำออกไป ทำให้ก๊ำซท่อี อกจำกเตำมีอุณหภูมิตำ่ ลง (2) เตำผลิตก๊ำซเช้ือเพลิงแบบอำกำศไหลลง (Downdraft gasifier) กำร ออกแบบเตำเพ่ือขจัดน้ำมันดินในเช้ือเพลิงโดยเฉพำะ อำกำศจะถูกดูดผ่ำนจำกด้ำนบนลงสู่ด้ำนล่ำง โดยผ่ำนหัวฉีดซึ่งเป็นบริเวณโซนเผำไหม้ ก๊ำซที่ได้จะถูกลดจำนวนลงในขณะท่ีไหลลงสู่ด้ำนล่ำงและ ผ่ำนช้ันของคำร์บอนที่ร้อนซึ่งอยู่เหนือตะแกรงเล็กน้อย แต่ช้ันของชีวมวลที่อยู่ทำงด้ำนบนของโซน เผำไหม้จะมีปริมำณออกซิเจนน้อยมำกทำให้เกิดกำรกลั่นสลำย และไอของน้ำมันดินที่เกิดกำรกลั่น สลำยจะไหลผ่ำนชนั้ ของคำร์บอนที่รอ้ นทำใหน้ ้ำมันดินเกิดกำรสลำยตัวกลำยเป็นก๊ำซ กำรแตกตัวจะ เกดิ ในอณุ หภูมคิ งทชี่ ่วงระหวำ่ ง 800-1,000 องศำเซลเซยี ส ถ้ำอุณหภูมิสงู กว่ำ 1,000 องศำเซลเซียส เป็นปฏิกิริยำดูดควำมร้อน ก๊ำซท่ีได้จะมีอุณหภูมิต่ำลง แต่ถ้ำอุณหภูมิต่ำกว่ำช่วงดังกล่ำวจะเป็น ปฏิกิริยำคำยควำมร้อนทำให้ก๊ำซมีอุณหภูมิสูงข้ึน ก๊ำซท่ีผ่ำนบริเวณเผำไหม้ในเตำแบบน้ีจะมี ส่วนประกอบของน้ำมันดินลดลงเหลือน้อยกว่ำ 10 % ของน้ำมันดินที่ได้จำกเตำแบบอำกำศไหลข้ึน และกำ๊ ซที่ได้สะอำดกว่ำเน่ืองจำกก๊ำซเช้ือเพลิงที่ไดม้ ีควำมเร็วต่ำและเถ้ำอยู่บริเวณตะแกรง ดงั น้ันจึง มีปริมำณเถ้ำน้อยมำกท่ีติดออกมำพรอ้ มกบั ก๊ำซเชอ้ื เพลงิ (3)เตำผลิตก๊ำซเช้ือเพลิงแบบอำกำศไหลตำมขวำง(Crossdraft gasification) อำกำศจะถูกดูดผ่ำนหัวฉีดที่อยู่ในแนวรำบ ส่วนบริเวณเผำไหม้จะอยู่ถัดจำกหัวฉีดออกไปและถัดไป อีกจะเป็นบริเวณรีดักชันทำให้น้ำมันดินเกิดกำรแตกตัวเป็นก๊ำซก่อนออกสู่ภำยนอกก๊ำซเช้อื เพลิงที่ได้ มีปริมำณน้ำมันดินต่ำเนื่องจำกอุณหภูมิภำยในเตำสูงมำก เตำแบบนี้ถูกออกแบบให้ใช้ได้กับ

98 ยำนพำหนะเน่ืองจำกน้ำหนักเบำและมีผลตอบสนองอย่ำงรวดเร็วต่อกำรเปลี่ยนแปลงขอ งภำระที่ใช้ อยู่ (4) เตำผลิตก๊ำซเชื้อเพลิงแบบฟลูอิดไดซ์เบด (Fluidized bed gasifier) จำก เตำทั้ง 3 แบบท่ีกำรทำงำนจะขึ้นกับคุณสมบัติทำงเคมีและทำงฟิสิกส์ของเชื้อเพลิงและมีปัญหำที่พบ บ่อยคือ กำรหลอมตัวของเถ้ำชีวมวลและควำมดันตกมำกเกินไปเมื่อก๊ำซผ่ำน จึงแก้ปัญหำดังกล่ำว ด้วยกำรออกแบบเตำแบบฟลูอิดไดซ์เบดซ่ึงเตำแบบนี้อำกำศจะไหลผ่ำนชั้นของเชื้อเพลิงแข็งและเม่ือ เพ่มิ ควำมเรว็ ของอำกำศถงึ ข้นั หนึ่ง ช้นั เช้ือเพลิงทวี่ ำงอยูจ่ ะเร่ิมลอยตวั ขึ้นมลี กั ษณะคล้ำยของไหล ใน ตอนเริ่มติดเตำ เบดหรือฐำน (Bed) จะได้รับควำมรอ้ นจำกภำยนอกจนอุณหภมู ิสงู ข้ึนถึงจุดติดไฟของ เช้ือเพลิง หลังจำกนั้นเชื้อเพลิงจะถูกป้อนเข้ำอย่ำงต่อเน่ืองสม่ำเสมอ กำรเผำไหม้จะเกิดขึ้นท่ัว บริเวณเตำ ภำยในเตำจะใส่วัสดุเฉ่ือย ได้แก่ ทรำยหรือวัสดุเร่งปฏิกิริยำ ได้แก่ หินปูน ซ่ึงจะช่วยใน กำรถ่ำยเทควำมร้อนและช่วยทำควำมสะอำดก๊ำซท่ีได้ในเบด (Bed) ข้อดีของเตำเผำนี้คือ ควบคุม อุณหภูมิในเตำเผำได้ง่ำยจึงสำมำรถรักษำอุณหภูมิให้ต่ำกวำ่ จุดหลอมเหลวของเถ้ำถ่ำนได้ทำให้ไม่เกิด กำรจับตัวของเถ้ำ (Slag) ที่เกิดข้ึน แต่ข้อเสียของเตำชนิดน้ีคือ ก๊ำซชีวมวลที่ออกมำจะมีปริมำณเถ้ำ ถำ่ นและฝ่นุ ละอองออกมำดว้ ยเน่อื งจำกควำมเร็วของอำกำศภำยในเตำมคี ำ่ สงู ในปัจจุบันงำนศึกษำวิจัยเพ่ือพัฒนำกำรใช้ชีวมวลมีเพิ่มมำกขึ้นซ่ึงมีทั้งกำรพัฒนำ โรงไฟฟ้ำชวี มวลขนำดเลก็ สำหรับชุมชนและกำรพฒั นำเตำชวี มวลแกลบดังนี้ ฐกฤต ปำนขลิบ (2557) ได้ศึกษำเรื่องโรงไฟฟ้ำชีวมวลแบบแก๊สซิฟิเคชั่นขนำดเล็ก สำหรับชุมชนต้นแบบขนำด 200 kW ใช้วัสดุเหลือใช้ทำงกำรเกษตร เช่น ซังข้ำวโพด เหง้ำมัน สำปะหลัง เปลือกไม้ยูคำลิปตัส และเศษไม้ พบว่ำต้นทุนกำรผลิตไฟฟ้ำรวมของโครงกำรต้นแบบอยู่ท่ี 1.97 บำทต่อหน่วย ไฟฟ้ำท่ีผลิตได้ขำยให้กำรไฟฟ้ำส่วนภูมิภำคในรำคำ 3.44 บำทต่อหน่วย ทำให้ โรงไฟฟ้ำต้นแบบมีกำไรจำกกำรจำหน่ำยไฟฟ้ำ 1.48 บำทต่อหน่วย เดินเคร่ืองประมำณ 80% ของ กำลังผลิต สำมำรถผลิตพลังงำนไฟฟ้ำได้ 1,401,600 หน่วยต่อปี ทำให้โรงไฟฟ้ำชุมชนต้นแบบมีผล กำไร 2,070,451 บำทต่อปี ระยะเวลำคืนทุนของโครงกำร 5.8 ปี ส่วนกำรพัฒนำเตำชีวมวลซึ่ง แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ (1) แบบเชื้อเพลิงไม่เคล่ือนที่ขณะเกิดกำรเผำไหม้ (Fixed bed) และ แบบ เช้ือเพลิงเคล่ือนท่ีขณะเกิดกำรเผำไหม้ (Fluidized bed) และหำกใช้เชื้อเพลิงจำกแกลบจะพบว่ำ เตำชีวมวลแบบท่ี 1 จะมีควำมเหมำะสมมำกกว่ำ วิรัตน์ เจริญบุญ (2560) ได้ศึกษำเร่ืองเตำชีวมวล แกลบพลังงำนเพ่ือเกษตรกรไทยโดยพัฒนำเตำต้นแบบท่ีมีกำรเผำไหม้จำกด้ำนบนและกำรไหลของ ก๊ำซจะไหลจำกด้ำนล่ำงขึ้นด้ำนบน (Inverted Downdraft Type Gasifier Strove) แล้วนำมำ ทดสอบประสิทธิภำพกำรใช้งำนจริงโดยพบว่ำเตำสำมำรถบรรจุเชื้อเพลิงแกลบได้สูงสุด 1,659 กิโลกรัม มีประสทิ ธภิ ำพทำงควำมร้อน 10.36% ให้กำลงั งำนของเตำ 1.28 kW เมอ่ื ใสเ่ ชอื้ เพลิงเข้ำ ไป 12.59 kW สำมำรถสร้ำงก๊ำซร้อนที่จุดไฟให้ลุกติดได้ภำยในเวลำ 2.87 นำที เปลวไฟลุกไหม้ได้ นำน 27.59 นำที อุณหภูมิของเปลวไฟท่ีวัดไดม้ ีค่ำอย่ใู นช่วง 416-684 องศำเซลเซียส และมีค่ำ Fuel Consumption Rate เฉล่ียเท่ำกับ 3.184 kg/hr ถึงแม้ว่ำกำรใช้พลังงำนทดแทนส่วนใหญ่เป็นกำรใช้ ทดแทนในเรื่องของพลังงำนควำมร้อน แต่สถำนกำรณ์ผลิตไฟฟ้ำจำกพลังงำนทดแทนมีสดั สว่ นสงู ขึน้ จำกปี พ.ศ. 2550 มีสัดส่วนปริมำณไฟฟ้ำจำกพลังงำนทดแทนท่ีผลิตได้รวมกำรผลิตไฟฟ้ำนอกระบบ (Including off grid power generation) ทั้งประเทศร้อยละ 4.3 และเพิ่มเป็นร้อยละ 9.87 ในปี

99 พ.ศ. 2557 ซึ่งเป้ำหมำยของกำรพัฒนำพลังงำนทดแทนภำยใต้ AEDP ในปี พ.ศ. 2579 คือ กำรผลติ ไฟฟ้ำร้อยละ 15-20 โดยมีแหล่งเช้ือเพลิงของพลังงำนทดแทนคือ พลังงำนแสงอำทิตย์ ชีวมวล พลังงำนลม และพลังงำนน้ำขนำดใหญ่ (สุภำ ศริ นิ ำม, 2559) ตำรำงท่ี 3.1 ค่ำเป้ำหมำยตำมแผนพัฒนำพลงั งำนทดแทนในปี พ.ศ. 2579 ประเภทแหล่งพลังงานไฟฟ้า เป้าหมาย ปี พ.ศ. 2579 (MW) พลังงำนแสงอำทิตย์ 6,000.00 ชีวมวล 5,570.00 พลังงำนลม 3,002.00 พลงั งำนน้ำขนำดใหญ่ 2,906.40 กำ๊ ซชีวภำพ (พชื พลงั งำน) 680.00 กำ๊ ซชวี ภำพ (น้ำเสยี หรอื ของเสยี ) 600.00 ขยะชมุ ชน 500.00 พลังงำนนำ้ ขนำดเลก็ 376.00 ขยะอุตสำหกรรม 50.00 รวม (MW) 19,685.40 ทม่ี ำ : (กรมพัฒนำพลงั งำนทดแทนและอนุรกั ษพ์ ลังงำน, 2558) 3.6.2 พลังงานจากขยะ ขยะเป็นสิ่งของเหลือทิ้งจำกกิจกรรมกำรผลิตและกำรบริโภค กำรกำจัดขยะสิ่งของ เหลือทิ้งเหล่ำน้ีให้เกิดประโยชน์คือ กำรนำมำแปรรูปเพ่ือให้เกิดพลังงำน ขยะถูกนำมำกำจัดด้วย เทคโนโลยีกำรจัดกำรขยะหลำยแบบและโดยเฉพำะเทคโนโลยีกำจัดขยะที่สำมำรถแปลงขยะเป็น พลังงำนดังน้ี 3.6.2.1 เทคโนโลยีผลิตเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel : RDF) เป็นกำรแปร รูปขยะโดยผ่ำนกระบวนกำรจัดกำรต่ำง ๆ เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติทำงกำยภำพและทำงเคมีของขยะ เพ่ือลดผลกระทบตอ่ ส่งิ แวดลอ้ ม โดยวธิ ีกำรจดั กำรทำได้โดยนำขยะมำผำ่ นกระบวนกำรคดั แยกวัสดุท่ี เผำไหม้ได้ออกมำ กำรฉีกหรือตัดขยะออกเป็นช้ินเล็ก ๆ ขยะเช้ือเพลิงที่ได้จะมีค่ำควำมร้อนสูงกว่ำ หรือมีคุณสมบัติเป็นเช้ือเพลิงที่ดีกว่ำกำรนำขยะมำเผำไหม้โดยตรงเพรำะมีองค์ประกอบทำงกำยภำพ และเคมีท่ีสม่ำเสมอจึงทำให้ค่ำควำมร้อนของขยะเชื้อเพลิงสูง ง่ำยต่อกำรจัดเก็บ กำรขนส่งและ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลดลง วิธีกำรใช้ประโยชน์เช้ือเพลิงขยะคือกำรนำไปผลิตพลังงำนไฟฟ้ำและ ควำมรอ้ นหรอื อำจนำไปใช้รว่ มกบั ถ่ำนหนิ เพื่อลดปรมิ ำณกำรใช้ถำ่ นหินลงในอตุ สำหกรรมซีเมนต์ 3.6.2.2 เทคโนโลยีผลิตก๊ำซเชื้อเพลิง (Gasification) เป็นกำรทำให้ขยะเป็นก๊ำซโดย กำรทำปฏิกิริยำสันดำปแบบไม่สมบูรณ์ (Partial combustion) สำรอินทรีย์จำกขยะจะทำปฏิกิริยำ กับอำกำศหรือออกซิเจนปริมำณจำกัดทำให้เกิดก๊ำซคำร์บอนมอนอกไซด์ ไฮโดรเจนและมีเทน เรียกว่ำ Producer gas กระบวนกำรผลิตก๊ำซเชื้อเพลิงจำกเชื้อเพลิงแข็งประกอบด้วยกำรสลำยตัว (Decomposition) และกำรกลั่นสลำย (Devolatilization) ของโมเลกุลสำรอินทรีย์ในขยะ ท่ี

100 อุณหภูมิสูงประมำณ 1,200-1,400 องศำเซลเซียส ในบรรยำกำศท่ีควบคุมปริมำณออกซิเจนเพื่อผลิต สำรระเหยและถ่ำนชำร์ ในขน้ั ตอนของกระบวนกำรกลน่ั สลำย (Pyrolysis) เมื่อขยะถูกควำมร้อนจะ สลำยตัวกลำยเป็นสำรระเหย เช่น มีเทน และส่วนท่ีเหลือเป็นของแข็งคือถ่ำนชำร์ สำรระเหยทำ ปฏิกริ ยิ ำสันดำปต่อท่ีอณุ หภูมสิ ูง สว่ นถ่ำนชำร์จะถกู ก๊ำซซิฟำยต่อโดยอำกำศ ออกซเิ จนหรือไอน้ำ ได้ เปน็ ก๊ำซเชือ้ เพลิง 3.6.2.3 เทคโนโลยีย่อยสลำยแบบไม่ใช้ออกซเิ จน (Anaerobic digestion) เป็นกำรนำ ขยะประเภทผัก ผลไม้ และเศษอำหำรไปหมักในบ่อหมักแบบปิดท่ีมีรูปแบบถังหมักแบบต่ำง ๆ โดย จุลนิ ทรียป์ ระเภทไมใ่ ช้ออกซเิ จนจะทำหนำ้ ทใ่ี นกำรย่อยสลำยสำรอินทรยี ์ให้เปลี่ยนเปน็ ก๊ำซ โดยมกี ๊ำซ มีเทนเป็นองค์ประกอบหลัก ขยะอินทรีย์ 1 ตัน จะได้ก๊ำซประมำณ 100-200 ลูกบำศก์เมตร โดยมี ก๊ำซมเี ทนเป็นส่วนประกอบหลักประมำณร้อยละ 55-70 และมคี ำ่ ควำมร้อนประมำณ 20-25 เมกะจูล ตอ่ ลกู บำศกเ์ มตร กำ๊ ซที่ผลติ ได้นำไปใช้เปน็ เชอ้ื เพลงิ เพอ่ื ผลิตพลงั งำนไฟฟำ้ และควำมรอ้ น 3.6.2.4 เทคโนโลยีกำรแปรรูปขยะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นกำรเปล่ียนขยะประเภท พลำสติกให้เป็นน้ำมันโดยวิธีกำรเผำในเตำแบบไพโรไลซิสด้วยกำรควบคุมอุณหภูมิและควำมดัน ใช้ ตัวเร่งปฏิกิริยำท่ีเหมำะสมทำให้เกิดกำรสลำยตัวของโครงสร้ำงพลำสติก (Depolymerization) จะได้ ผลติ ภัณฑ์เช้อื เพลงิ เหลว สำมำรถนำไปผำ่ นกระบวนกำรกลน่ั เพอื่ ใช้เปน็ เชื้อเพลงิ เหลว 3.6.2.5 เทคโนโลยีก๊ำซชีวภำพจำกหลุมฝังกลบขยะ (Landfill gas to energy) เป็น กำรผลติ ก๊ำซจำกหลมุ ฝงั กลบขยะทีเ่ กิดจำกปฏิกริ ิยำยอ่ ยสลำยทำงชวี เคมีของขยะ โดยในชว่ งแรกเป็น กำรย่อยแบบใช้อำกำศหลังจำกนั้นจะเป็นกำรย่อยสลำยแบบไม่ใช้อำกำศทำให้เกิดก๊ำซมีเทน คำร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ไนโตรเจน โดยมีปริมำณก๊ำซมีเทนและคำร์บอนไดออกไซด์ มำกกว่ำกำ๊ ซอื่น ๆ 3.6.3 พลังงานแสงอาทติ ย์ พลังงำนแสงอำทิตย์เป็นพลังงำนทดแทนที่มีศักยภำพสูงและเป็นพลังงำนสะอำด กำร ใช้พลังงำนแสงอำทิตย์มี 3 รูปแบบคือ กำรใช้พลังงำนแสงอำทิตย์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ำ กำรใช้ พลงั งำนแสงอำทติ ย์เพื่อผลติ ควำมร้อน และเทคโนโลยีระบบทำควำมเยน็ ดว้ ยพลงั งำนแสงอำทติ ย์ 3.6.3.1 เทคโนโลยีกำรใช้พลังงำนแสงอำทิตย์เพ่ือผลิตกระแสไฟฟ้ำ จำแนกเป็น 2 แบบ คือ เทคโนโลยีผลิตไฟฟ้ำด้วยเซลล์แสงอำทิตย์และเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้ำด้วยระบบรวม แสงอำทิตย์ (1) เทคโนโลยีผลิตไฟฟ้ำด้วยเซลล์แสงอำทิตย์ (Solar cell) กำรทำงำนของ เซลล์แสงอำทิตย์เป็นกำรเปลี่ยนพลังงำนแสงเป็นกระแสไฟฟ้ำได้โดยตรง โดยแสงซึ่งเป็นคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้ำและมีพลังงำนมำกระทบสำรกึ่งตัวนำจะเกิดกำรถ่ำยทอดพลังงำน พลังงำนจำกแสงทำ ให้อิเล็กตรอนเกิดกำรเคล่ือนที่ในสำรก่ึงตัวนำจึงสำมำรถใช้งำนกระแสไฟฟ้ำได้ กำรผลิตไฟฟ้ำด้วย เซลล์แสงอำทิตย์แบ่งเป็น 3 แบบ คือ ระบบผลิตไฟฟ้ำด้วยเซลล์แสงอำทิตย์แบบอิสระ ระบบผลิต ไฟฟ้ำด้วยเซลล์แสงอำทิตย์แบบต่อกับระบบจำหน่ำย และระบบผลิตไฟฟ้ำด้วยเซลล์แสงอำทิตย์แบบ ผสมผสำน (2) เทคโนโลยีกำรผลิตไฟฟ้ำด้วยระบบรวมแสงอำทิตย์ (Concentrating solar power) แบ่งเป็น 3 แบบ คือ แบบ parabolic troughs แบบ Central receivers และแบบ

101 Parabolic dishes เทคโนโลยีท้ัง 3 แบบนี้จะรวมแสงไว้ท่ีวัตถุรับแสงโดยใชก้ ระจกหรือวัสดสุ ะทอ้ น แสงและหมุนตำมดวงอำทิตย์เพ่ือสะท้อนแสงและส่งไปยังตัวรับแสงซ่ึงจะทำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลง เปน็ พลงั งำนทีม่ ีอุณหภูมิสูง 3.6.3.2 เทคโนโลยีพลงั งำนแสงอำทติ ยเ์ พอ่ื ผลติ ควำมรอ้ น มี 2 ลักษณะ ได้แก่ (1) เทคโนโลยอี บแห้งดว้ ยพลงั งำนแสงอำทติ ย์ แบง่ เป็น 2 แบบคือ (1.1) กำรอบแห้งโดยใช้พลังงำนเฉพำะจำกดวงอำทิตย์ คือ ระบบ ที่เคร่ืองอบแห้งทำงำนโดยอำศัยพลังงำนแสงอำทิตย์ วัสดุที่อบจะอยู่ในเคร่ืองอบแห้งท่ีประกอบด้วย วัสดุโปรง่ ใส ควำมรอ้ นทใี่ ชอ้ บแหง้ มำจำกกำรดูดกลนื พลังงำนแสงอำทิตย์หรอื เป็นเคร่อื งอบแห้งที่วัสดุ ไดร้ บั ควำมรอ้ น 2 ทำง (1.2) กำรอบแห้งระบบ Hybrid คือ ระบบอบแห้งท่ีใช้พลังงำน แสงอำทิตย์และต้องอำศัยพลังงำนรูปแบบอื่น ๆ ช่วยในเวลำที่มีแสงอำทิตย์ไม่สม่ำเสมอหรือต้องกำร ให้ผลผลิตแห้งเร็วขึ้นโดยใช้ร่วมกับพลังงำนเช้ือเพลิงชีวมวล กำรหมุนเวียนของอำกำศจะใช้พัดลม หรือเครอ่ื งดดู อำกำศช่วย (2) เทคโนโลยกี ำรผลิตนำ้ ร้อนด้วยพลงั งำนแสงอำทิตย์ มี 2 แบบ คือ (2.1) ระบบผลิตน้ำร้อนโดยใช้พลังงำนแสงอำทิตย์จำกแผงรับ แสงอำทิตย์ (Solar collector) ระบบประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ถังเก็บน้ำร้อนและแผงรับควำมร้อน แสงอำทติ ยซ์ ่ึงมี 2 ชนิด คอื ชนิดแผ่นเรยี บและชนดิ หลอดแก้วสญุ ญำกำศ (2.2) ระบบผลิตน้ำร้อนโดยใช้พลังงำนแสงอำทิตย์แบบผสมผสำน เป็นกำรนำเทคโนโลยีกำรผลิตน้ำร้อนจำกแสงอำทิตย์มำผสมผสำนกับควำมร้อนเหลือท้ิง เช่น กำร ระบำยควำมร้อนจำกเครื่องทำควำมเย็นหรือเครื่องปรับอำกำศ หม้อต้มไอน้ำ โดยผ่ำนอุปกรณ์ แลกเปลีย่ นควำมรอ้ นเพอื่ ลดขนำดพื้นทแี่ ผงรับรงั สีควำมร้อน 3.6.3.3 เทคโนโลยีระบบทำควำมเย็นด้วยพลังงำนแสงอำทิตย์ ระบบทำควำมเย็น และปรับอำกำศเป็นส่ิงสำคัญของมนุษย์มำกขึ้น ระบบควำมเย็นในอำคำรส่วนใหญ่ร้อยละ 90 เป็น ระบบควำมเยน็ แบบอัดไอ (Vapor compression) ซงึ่ เปน็ ระบบทท่ี ำควำมเย็นไดอ้ ยำ่ งมีประสิทธิภำพ แต่ก็มีขอ้ เสยี คือกำรใช้พลังงำนไฟฟำ้ ซ่ึงเป็นพลงั งำนท่ผี ลิตจำกแหล่งพลังงำนฟอสซลิ ทีเ่ ป็นสำเหตุของ ปัญหำสิ่งแวดล้อมจึงได้พัฒนำระบบปรับอำกำศที่ใช้พลังงำนควำมร้อนจำกแหล่งพลังงำนอื่น ๆ เช่น ควำมร้อนเหลือท้ิงจำกอุตสำหกรรม ควำมร้อนจำกพลังงำนทดแทน ข้อแตกต่ำงของระบบควำมเย็น ด้วยพลังงำนควำมร้อนแสงอำทิตย์กับระบบควำมเย็นแบบอัดไอคือ ระบบควำมเย็นแบบอัดไอใช้ พลังงำนไฟฟ้ำในกำรขับเคลื่อนกำรทำงำนแต่ระบบทำควำมเย็นพลังงำนแสงอำทิตย์ใช้พลังงำนควำม ร้อน ในปัจจุบันระบบทำควำมเย็นที่ใช้พลังงำนควำมร้อนเป็นแหล่งพลังงำนในกำรขับเคลื่อนท่ีได้รับ ควำมสนใจคือ ระบบปรับอำกำศด้วยพลังงำนควำมร้อนแสงอำทิตย์ (Solar cooling system) เทคโนโลยีระบบทำควำมเย็นด้วยพลังงำนแสงอำทิตย์เป็นเทคโนโลยีท่ีเปลี่ยนพลังงำนควำมร้อนจำก แสงอำทิตย์มำใช้เป็นพลังงำนขับเคลื่อนระบบทำควำมเย็นซ่ึงได้รับควำมสนใจและเป็นที่รู้จักกันมำก ขึน้ เพรำะเป็นเทคโนโลยีทใ่ี ชแ้ หล่งพลงั งำนสะอำดที่ชว่ ยลดปรมิ ำณก๊ำซเรือนกระจก

102 3.6.4 พลงั งานนา้ 3.6.4.1 โรงไฟฟ้ำพลังน้ำ ทรัพยำกรน้ำมีควำมสำคัญต่อกำรประกอบอำชีพหลำย ประเภทและยังใชใ้ นกำรดำรงชีวิตประจำวนั ของมนุษย์ นำ้ เพอ่ื ใชใ้ นกิจกรรมต่ำง ๆ และยังใชเ้ พ่อื กำร ผลติ ไฟฟ้ำเพื่อสร้ำงแสงสวำ่ งและอำนวยควำมสะดวกสบำยให้แก่มนุษย์มำเป็นระยะเวลำนำน กำรใช้ ประโยชนจ์ ำกพลังงำนน้ำในประเทศไทยเร่ิมเมื่อปี พ.ศ. 2507 โดยเดนิ เครื่องโรงไฟฟำ้ พลังน้ำที่เข่ือน ภูมิพล กำรผลิตไฟฟ้ำด้วยพลังงำนน้ำมีข้อดีคือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีควำมยืดหยุ่นใน กระบวนกำรผลิตสูง สำมำรถ Startup โรงไฟฟ้ำได้รวดเร็ว สำมำรถเป็นหน่วยกู้ระบบไฟฟ้ำ (Black start) ในกรณีเกิดไฟฟ้ำดับในวงกว้ำง (Blackout) โรงไฟฟ้ำพลังน้ำท่ีอยู่ตำมเขื่อนต่ำง ๆ ไม่ได้มี วิธีกำรผลิตไฟฟ้ำเหมือนกันท้ังหมดซึ่งในประเทศไทยมีโรงไฟฟ้ำพลังน้ำ 3 ประเภท (กำรไฟฟ้ำฝ่ำย ผลิตแหง่ ประเทศไทย, 2561) คือ (1) โรงไฟฟ้ำพลังน้ำจำกอ่ำงเก็บน้ำ (Conventional) เป็นโรงไฟฟ้ำพลังน้ำ ที่แพร่หลำยมำกที่สุด มีหลักกำรทำงำนคือ กักเก็บน้ำที่อ่ำงเก็บน้ำของเข่ือนและเมื่อต้องกำรไฟฟ้ำจะ ปลอ่ ยน้ำจำกอำ่ งเก็บนำ้ ผ่ำนเคร่อื งกำเนิดไฟฟ้ำ เข่ือนประเภทน้ีเน้นกำรชลประทำนเปน็ หลักส่วนกำร ผลิตไฟฟ้ำเป็นจุดประสงค์รอง ได้แก่ เชื่อนภูมิพลในจังหวัดตำก เข่ือนสิริกิต์ิในจังหวัดอุตรดิตถ์ และเขอื่ นวชิรำลงกรณ์ในจงั หวัดกำญจนบรุ ี (2) โรงไฟฟ้ำพลังน้ำแบบน้ำไหลผ่ำนตลอดปี (Run-of-the-river) โรงไฟฟ้ำ ประเภทน้ีไม่ได้มีกำรกักเก็บน้ำไว้ทำงต้นน้ำแต่ปล่อยให้น้ำไหลผ่ำนเคร่ืองกำเนิดไฟฟ้ำเพื่อผลิตไฟฟ้ำ และหำกมีปริมำณพลังงำนไฟฟ้ำท่ีผลิตได้มำกเกินไปก็จะไม่สำมำรถกักเก็บไว้ได้ เช่น เข่ือนปำกมูล จงั หวัดอบุ ลรำชธำนี (3) โรงไฟฟ้ำพลังน้ำแบบสูบกลับ (Pumped-storage) เทคโนโลยีโรงไฟฟ้ำ ประเภทพลังน้ำแบบสูบกลับมีกำรพัฒนำมำกว่ำ 70-80 ปี จัดเป็นแหล่งเก็บสำรองไฟฟ้ำอีกประเภท หนึ่งท่ีมีกำรเพิ่มกำรใช้ทั่วโลกกว่ำ 150,000 เมกะวัตต์ ประเทศที่มีกำรนำโรงไฟฟ้ำพลังน้ำแบบสูบ กลับมำใช้มำกกว่ำ 20,000 เมกะวัตต์ ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน และสหรัฐอเมริกำ กำรทำงำนของโรงไฟฟ้ำ พลงั นำ้ แบบสบู กลบั มีลักษณะกำรทำงำนเหมือนกบั โรงไฟฟำ้ พลังนำ้ ทั่วไป แตส่ ว่ นทีต่ ่ำงกนั คือจะต้อง มีกำรสร้ำงอ่ำงเก็บน้ำเพิ่มข้ึนอีก 1 อ่ำง อำจเป็นกำรสร้ำงอ่ำงบนใหม่เหนืออ่ำงเก็บน้ำ เช่น โรงไฟฟ้ำ ลำตะคอง หรือสร้ำงอ่ำงล่ำงใหม่ท่ีท้ำยน้ำ เช่น ท่ีโรงไฟฟ้ำเขื่อนภูมิพลและโรงไฟฟ้ำเขื่อนศรีนครินทร์ โดยมีป๊ัมน้ำทำหน้ำที่ดูดน้ำกลับข้ึนไปยังอ่ำงบน ข้อดีของโรงไฟฟ้ำพลังน้ำแบบสูบกลับคือ จ่ำยไฟฟ้ำ ได้รวดเร็วแต่จะมีกำรสูญเสียพลงั งำนรอ้ ยละ 15-30 เนื่องจำกพลังงำนท่ีใช้ในกำรสบู น้ำกลบั ขึ้นมำยัง อำ่ งบนจะมำกกวำ่ พลังงำนทไี่ ดจ้ ำกกำรปลอ่ ยน้ำลงไปสอู่ ่ำงล่ำง

103 รปู ท่ี 3.11 ซำ้ ย-โรงไฟฟ้ำเขอื่ นศรนี ครนิ ทร์ และ ขวำ-โรงไฟฟ้ำเข่ือนภูมิพล ท่มี ำ : (http://srinakarind-dam.blogspot.com/, 2551, https://www.egat.co.th/ index.php?option=com_content&view=article&id=2549&Itemid=117, 2561) 3.6.4.2 พลงั งำนจำกน้ำข้นึ นำ้ ลง อำศัยหลักกำรของพลังงำนศักย์และพลังงำนจลน์โดยใช้ควำมต่ำงของระดับ น้ำข้ึนน้ำลงของแต่ละวันโดยกำรสร้ำงเข่ือนท่ีปำกแม่น้ำหรือปำกอ่ำว เม่ือน้ำขึ้นจะไหลเข้ำสู่อ่ำงเก็บ น้ำและเม่ือน้ำลงจะไหลออกจำกอ่ำงจึงสำมำรถนำน้ำไปหมุนกังหันน้ำฉุดเคร่ืองกำเนิดไฟฟ้ำ เช่นเดียวกับกำรผลิตไฟฟ้ำพลังงำนน้ำ แต่บริเวณชำยฝั่งตำมธรรมชำติที่สำมำรถผลิตไฟฟ้ำได้คุ้มค่ำ ทำงเศรษฐศำสตร์และส่ิงแวดล้อมหำได้ยำกและควำมแตกต่ำงของระดับน้ำข้ึนน้ำลงไม่ควรน้อยกว่ำ 4.5 เมตร ซ่ึงเทคโนโลยีน้ีในประเทศแคนำดำสำมำรถผลิตไฟฟ้ำจำกพลังงำนน้ำข้ึนน้ำลงวันละ 5 ชั่วโมง 2 คร้ัง ตำมรอบของน้ำขึ้นน้ำลง ระดับควำมต่ำงของระดับน้ำ 6.4 เมตร ผลิตไฟฟ้ำได้ มำกกว่ำ 5,300 เมกะวัตต์ ใชเ้ งินลงทนุ ประมำณ 7 พนั ลำ้ นเหรียญสหรฐั ฯ 3.6.4.3 พลงั งำนจำกคล่ืนทะเล เปน็ พลังงำนที่มคี วำมสำคัญในอนำคต เพรำะมำกกว่ำ 70% ของพนื้ โลกปกคลุมดว้ ยนำ้ ทะเล คลนื่ ทะเลเกิดขึ้นในทุกพื้นที่ของทะเลโดยเฉพำะทะเลน้ำลึกจะ มีควำมแรงและมีควำมผันผวนของคล่ืนมำก นอกจำกน้ีกำรเคล่ือนท่ีของลมสำมำรถกระตุ้นให้คล่ืน ทะเลมีควำมแรงมำกขึ้นด้วย พลังำนของคลื่นทะเลสำมำรถนำมำใช้ในกำรผลิตไฟฟ้ำโดยมีหลักกำร คือ กำรเปล่ียนพลังงำนคล่ืนในทะเลเป็นไฟฟ้ำ โดยมี 2 ข้ันตอนคือ กำรรวมพลังงำนจำกคล่ืนเล็ก ๆ และนำพลังงำนนั้นมำเปล่ียนเป็นพลังงำนไฟฟ้ำ พลังงำนคลื่นมีข้อดีคือ เป็นพลังงำนท่ีไม่มีวันหมด สะอำด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ข้อเสียคือให้พลังงำนไม่สม่ำเสมอขึ้นอยู่กับลักษณะของคล่ืน ดังนั้นกำรผลิตไฟฟ้ำจำกคล่ืนจึงเป็นเทคโนโลยีท่ีไม่แพร่หลำยและยังไม่มีกำรสร้ำงฟำร์มคล่ืนในเชิง พำณชิ ย์ 3.6.5 พลงั งานลม มนุษย์ใช้ประโยชน์จำกพลังงำนลมเพ่ืออำนวยควำมสะดวกสบำยแก่ชีวิตมำเป็น เวลำนำน เชน่ กำรแลน่ เรอื ใบขนส่งสนิ ค้ำ กำรหมุนกงั หนั วดิ น้ำ ในปจั จุบนั ได้นำพลังงำนลมมำใช้เพ่ือ กำรผลิตกระแสไฟฟำ้ โดยมีกงั หันลมเป็นอุปกรณ์ในกำรนำพลังงำนจลนข์ องกระแสลมมำเปล่ยี นให้เป็น

104 พลังงำนกลแล้วจึงนำพลังงำนไปใช้ประโยชน์ ใบกังหันลมเมื่อถูกกระแสลมพัดผ่ำนจะเกิดกำร หมุนรอบแกนแล้วจึงนำพลังงำนท่ีเกิดขึ้นจำกกำรหมุนไปใช้งำน กังหันลมท่ีมีกำรใช้งำนในประเทศ ไทย ไดแ้ ก่ กังหันลมแบบใบกังหนั ไม้ กงั หันลมใบเส่ือลำแพน กงั หนั ลมแบบใบกงั หันหลำยใบทำด้วย แผน่ เหล็ก กังหนั ลมท่ใี ชใ้ นกำรผลิตกระแสไฟฟำ้ จะมีลกั ษณะและรูปร่ำงแตกต่ำงกันไปแตจ่ ะสำมำรถ จำแนกตำมลักษณะกำรหมุนของกังหันออกเป็น 2 แบบ คือ แบบท่ี (1) กังหันลมแนวแกนนอน (Horizontal axis wind turbine) มีแกนหมุนนขนำนกับทิศทำงของลมโดยมีใบพัดต้ังฉำกรับแรงลม มอี ุปกรณค์ วบคุมกงั หนั ให้หันไปตำมทิศทำงของกระแสลมเรยี กว่ำ หำงเสือและมอี ุปกรณ์ปอ้ งกนั กังหัน ลมเสียหำยขณะเกิดลมแรง ได้แก่ กังหันลมวินด์มิลล์ กังหันลมใบเส่ือลำแพน นิยมใช้กับเครื่องฉุด น้ำ กังหันลมแบบกงล้อจักรยำน และกังหันลมสำหรับผลิตไฟฟ้ำแบบพรอบเพลเลอร์ (Propeller) และ (2) กังหันลมแนวแกนต้ัง (Vertical axis wind turbine) มีแกนหมุนและใบพัดต้ังฉำกกับกำร เคลื่อนท่ีของลมในแนวรำบทำให้สำมำรถรับลมในแนวรำบได้ทุกทิศทำง ส่วนหลักกำรทำงำนของ กังหันลมผลิตไฟฟ้ำคือ พลังงำนจลน์ท่ีเกิดจำกลมจะทำให้ใบพัดของกังหันหมุนและได้พลังงำนกล พลังงำนจำกแกนหมุนของกังหันลมจะเปล่ียนรูปไปเป็นพลังงำนไฟฟ้ำ โดยเคร่ืองกำเนิดไฟฟ้ำที่ เชื่อมต่อกับแกนหมุนของกังหันลมจ่ำยไฟฟ้ำผ่ำนระบบควบคุมไฟฟ้ำและจ่ำยกระแสไฟฟ้ำเข้ำสู่ระบบ ต่อไป ท้ังน้ปี ริมำณไฟฟ้ำท่ผี ลติ ไดข้ น้ึ อยู่กบั ควำมเร็วของลม เนือ่ งจำกควำมไม่สมำ่ เสมอของควำมเร็ว ลมจึงต้องมีตัวกักเก็บพลังงำน เช่น ถ้ำเป็นกังหันเพื่อผลิตไฟฟ้ำขนำดเล็กจะใช้แบตเตอรีเป็นตัวเก็บ พลังงำนและใช้พลังงำนจำกแหล่งอื่นร่วมด้วย เช่น กำรใช้แหล่งพลังงำนอื่นเป็นตัวหมุนในกรณีที่ ควำมเร็วลมต่ำหรือลมสงบ แหล่งพลังงำนอ่ืนจะทำหน้ำที่จ่ำยพลังงำนทดแทนซ่ึงเป็นแหล่งพลังงำน สำรอง แหล่งพลังงำนอ่ืนอำจเป็นเครื่องจักรดีเซล พลังงำนน้ำจำกเข่ือนท่ีเป็นแหล่งพลังงำนหลักท่ีมี อยู่ก่อนแล้วแต่พลังงำนลมเป็นแหล่งพลังงำนเสริมเพ่ือลดกำรใช้น้ำมันดีเซล (กำรไฟฟ้ำฝ่ำยผลิตแห่ง ประเทศไทย, มปป.) รูปที่ 3.12 กงั หันลมแบบแนวแกนนอนและแบบแกนตั้ง ทมี่ ำ : (กำรไฟฟ้ำฝำ่ ยผลิตแห่งประเทศไทย, มปป.)

105 รปู ท่ี 3.13 ทุง่ กังหนั ลมโครงกำรชั่งหัวมัน อำเภอท่ำยำง จังหวดั เพชรบุรี ทม่ี ำ : (https://mgronline.com/travel/detail/9600000103039, 2560) 3.6.6 พลังงานไฮโดรเจน ประเทศไทยมนี โยบำย ทศิ ทำงและเป้ำหมำยกำรพฒั นำพลงั งำนไฮโดรเจนโดยได้มีกำร จัดทำแผนพลังงำน พ.ศ. 2551-2565 ซ่ึงในปี พ.ศ. 2560 ได้เร่ิมกำหนดเป้ำหมำยใหม้ ีกำรใชพ้ ลังงำน ไฮโดรเจน 100,000 กิโลกรัม และได้วำงเป้ำหมำยกำรบรรลุควำมสำเร็จโดยกำรจัดทำแผนปฏิบัติ กำรพลังงำนไฮโดรเจนเพ่ือผลักดันให้โครงสร้ำงพ้ืนฐำนรองรับกำรใช้ไฮโดรเจนมีควำมพร้อมทุกด้ำน (สำนักเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร, 2559) ก๊ำซไฮโดรเจนเป็นหน่ึงในแหล่งพลังงำนทำงเลือกที่มี ศักยภำพและคุณภำพที่จะนำมำใช้ทดแทนเชื้อเพลิงปิโตรเลียมได้เป็นอย่ำงดี (อุณำโลม เวทย์วัฒนะ ฮำรท์ ลี่, 2556) วตั ถดุ ิบสำหรบั กำรผลิตไฮโดรเจนมำจำก 3 แหล่ง คือ จำกเช้อื เพลิงฟอสซลิ จำกแหลง่ พลังงำนหมุนเวียนและจำกพลังงำนนิวเคลียร์ (กรมพัฒนำพลังงำนทดแทนและอนุรักษ์พลังงำน, มปป.) ก๊ำซไฮโดรเจนสำมำรถเกิดขึ้นได้เองตำมธรรมชำติเม่ือเกิดปฏิกิริยำระหว่ำงกรดกับเหล็กหรือ เกิดจำกกระบวนกำรผลิตของแบคทีเรียหรือสำหร่ำยบำงชนิด กำรเกิดออกซิเดชันของเหล็กในท่ีไร้ ออกซิเจนทำให้เกิดก๊ำซไฮโดรเจนได้ในธรรมชำติร่วมกับควอตซ์และแมกนีไทต์ แต่ก๊ำซไฮโดรเจนท่ี เกิดเองตำมธรรมชำติจะหำยไปในเวลำรวดเร็วเนื่องจำกมีน้ำหนักเบำจึงลอยข้ึนไปในอำกำศ ดังนั้น จึงพบไฮโดรเจนอยู่ในน้ำและสำรประกอบไฮโดรคำร์บอน ก๊ำซไฮโดรเจนสำมำรถผลิตได้จำก หลำกหลำยเทคโนโลยี ได้แก่ กำรแปรรูปถ่ำนหินให้เป็นก๊ำซเช้ือเพลิง (Coal gasification) กำรรี ฟอร์มม่ิงด้วยไอนำ้ (Steam reforming) กำรพลำสม่ำรีฟอรม์ ่งิ (Plasma reforming) กำรออกซเิ ดชัน บำงส่วน (Partial oxidation) กำรแยกน้ำด้วยกระแสไฟฟ้ำ (Electrolysis of water) กำรแตก สลำยตัวด้วยควำมร้อนของน้ำ (Thermal decomposition of water) และกระบวนกำรหมัก (Fermentation process) (อุณำโลม เวทย์วัฒนะ ฮำร์ทล่ี, 2556) แต่ปัจจุบันก๊ำซไฮโดรเจนที่ใช้ใน อุตสำหกรรมส่วนใหญ่ผลิตจำกปฏิกิริยำปฏิรูปด้วยไอน้ำจำกก๊ำซธรรมชำติ (Natural gas steam reforming) เป็นกระบวนกำรผลิตก๊ำซไฮโดรเจนเชิงพำณิชย์ที่นิยมใช้ โดยมีสำรต้ังต้นเป็นก๊ำซ

106 ธรรมชำติ เอทำนอลหมักจำกวสั ดุธรรมชำติ ปัจจุบนั 95% ของกำ๊ ซไฮโดรเจนท่ผี ลติ หรือประมำณ 9 ล้ำนตันผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกำซ่ึงใช้ก๊ำซธรรมชำติมำกท่ีสุด เรียกกระบวนกำรน้ีว่ำ Steam Methane Reforming (SMR) เน่ืองจำกมีเทนเป็นส่วนประกอบหลกั ของก๊ำซธรรมชำติประกอบด้วย 2 ข้ันตอนคือ ขั้นที่ 1) กำรนำก๊ำซธรรมชำติมำทำปฏิกิริยำ Reforming กับไอน้ำที่มีอุณหภูมิสูง ๆ (อำจจะมีกำรใช้ตัวเร่งปฏิกิริยำท่ีเป็นของแข็งร่วมด้วย) เพื่อให้ได้ก๊ำซคำร์บอนมอนอกไซด์และก๊ำซโฮ โดรเจน และขั้นที่ 2) นำไอน้ำมำทำปฏิกิริยำกับคำร์บอนมอนอกไซด์ที่เกิดข้ึนอีกคร้ังเพื่อให้ได้ก๊ำซ ไฮโดรเจนเพ่ิมข้ึน เรียกปฏิกิริยำนี้ว่ำ Water-Gas Shift reaction (WGS) (Steinberg,1999 อ้ำงใน รัชนีกร วันจันทึก, 2554) ดังปฏิกิริยำในสมกำรท่ี 1-3 ซึ่งวิธีกำรผลิตก๊ำซไฮโดรเจนด้วยวิธีนี้เป็นวิธที ี่ ทวั่ โลกใช้เปน็ หลกั และปฏกิ ริ ยิ ำท่เี กดิ ขึน้ ท้ังหมดเป็นปฏกิ ริ ยิ ำท่ีย้อนกลับไดแ้ ละจำเป็นอย่ำงย่ิงทตี่ ้องใช้ ตวั เร่งปฏิกิริยำรว่ มดว้ ย (รชั นกี ร วันจนั ทึก, 2554) ขัน้ ที่ 1 CH4 + H2O ⇄ CO + 3H2 ∆H298 k = 206 kj mol-1 ………… สมกำรท่ี 1 CH4 + 2H2O ⇄ CO2 + H2 ∆H298 k = 165 kj mol-1 ………... สมกำรท่ี 2 ขน้ั ที่ 2 CO + H2O ⇄ CO2 + H2 ∆H298 k = - 41 kj mol-1 ………… สมกำรที่ 3 ข้อดีของกำรใช้พลังงำนไฮโดรเจนมีหลำยด้ำน ในระยะสั้นจะเห็นได้อย่ำงชัดเจนว่ำเม่ือมีกำร เปล่ียนเชื้อเพลงิ ของเครื่องยนต์ยำนพำหนะจำกระบบกำรเผำไหม้ทีใ่ ช้น้ำมันในรปู แบบปัจจุบันมำเปน็ เช้ือเพลิงไฮโดรเจนจะช่วยลดก๊ำซที่เป็นมลพิษได้หลำยชนิดโดยเฉพำะก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ คำร์บอนมอนอกไซด์ ออกไซด์ของไนโตรเจน ออกไซด์ของซัลเฟอร์ สำรประกอบอินทรีย์ระเหย และ ก๊ำซไฮโดรคำร์บอนอื่น ๆ ท่ีเป็นปัญหำต่อส่ิงแวดล้อมซ่ึงจะช่วยทำให้ลดปรำกฏกำรณ์เรือนกระจก ภำวะโลกร้อน และกำรเปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศซึ่งเป็นผลดีในระยะยำวจำกกำรเปล่ียนมำใช้ เช้ือเพลิงไฮโดรเจน นอกจำกน้ียังช่วยลดผลกระทบต่อสุขภำพที่เกิดจำกก๊ำซพิษต่ำง ๆ ที่เป็นสำเหตุ ของโรคมะเร็งซ่ึงก๊ำซไฮโดรเจนเป็นเช้ือเพลิงท่ีไม่มีสำรก่อมะเร็งและข้อดีต่อมำคือ กำรสร้ำงควำม เข้มแข็งทำงด้ำนเศรษฐกิจเน่ืองจำกภำวะวิกฤติน้ำมันท้ังนี้ประเทศผู้นำทำงด้ำนอุตสำหกร รมได้ พยำยำมหำทำงออกโดยใช้พลังงำนจำกแหลง่ อ่ืนเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจของประเทศขึ้นอยู่กับรำคำน้ำมนั เพยี งอยำ่ งเดยี วที่ประเทศผู้ผลติ และสง่ ออกน้ำมนั มันมีอทิ ธิพลต่อประเทศต่ำง ๆ ดังนั้นกำรใช้พลงั งำน ไฮโดรเจนจงึ เปน็ ทำงออกเพื่อลดกำรพึง่ พำพลังงำนจำกต่ำงประเทศเพรำะทุกประเทศมีแหลง่ พลังงำน เบือ้ งต้นเพ่ือผลิตกำ๊ ซไฮโดรเจนอยู่แล้ว แต่ถึงอยำ่ งไรกำรใช้กำ๊ ซไฮโดรเจนเป็นแหล่งพลังงำนอำจยังมี ขอ้ จำกัดอยู่ ได้แก่ ก๊ำซไฮโดรเจนท่ีสงั เครำะหไ์ ด้มีรำคำสูง ซึง่ ในขน้ั ตอนกำรผลิตก๊ำซไฮโดรเจนบริสุทธิ์ จำเป็นต้องมีระบบหลอ่ เย็นเพรำะเปน็ ปฏกิ ริ ยิ ำท่ีเกดิ ในอุณหภูมสิ ูง กำรเพมิ่ ระบบหล่อเยน็ จะทำให้เสีย ค่ำใช้จ่ำยมำกและสิ่งเจือปนก็มีมำกทำให้ต้องเพิ่มปฏิกิริยำกำรทำให้ก๊ำซไฮโดรเจนบริสุทธ์ซิ ึ่งจะสง่ ผล ต่อต้นทุนกำรผลิตก๊ำซไฮโดรเจนเชิงพำณิชย์ นอกจำกนี้กำรเก็บกักก๊ำซท่ีเกิดข้ึนซึ่งเป็นก๊ำซท่ีมีควำม หนำแน่นต่ำมำก กำรเก็บจึงต้องเก็บในรูปแบบของก๊ำซหุงต้มหรือก๊ำซธรรมชำติคือ ทำให้อยู่ใน สถำนะของเหลวและเก็บในบรรจภุ ัณฑท์ ่ีทนทำนตอ่ แรงดันสงู มคี วำมแข็งแรงซึ่งบรรจุภณั ฑ์ทใี่ ช้บรรจุ ก๊ำซไฮโดรเจนจะผลิตจำกวัสดุชนิดโลหะไฮไดรด์ที่สำมำรถดูดซับก๊ำซโฮโดรเจนได้ดีที่อุณหภูมิและ ควำมดนั ปกติแต่ค่ำใช้จำ่ ยก็สูงตำมขน้ึ ไป เพือ่ แก้ปัญหำดังกล่ำวจึงได้มีควำมพยำยำมในกำรคดิ ค้นกำร

107 ผลิตก๊ำซไฮโดรเจนแล้วใช้ทันที่โดยไม่ต้องมีระบบกักเก็บซึ่งเรียกว่ำ Hydrogen on-broad production เชน่ กำรใช้ระบบนใ้ี นรถยนต์และข้อเสยี อกี ประกำรหนึง่ คอื ถำ้ หำกเลอื กแหล่งผลิตก๊ำซ ไฮโดรเจนเป็นประเภทสำรประกอบไฮโดรคำร์บอนก็จะไม่ได้ช่วยลดกำรผลิตคำร์บอนไดออกไซด์สู่ บรรยำกำศเพรำะสำรตั้งต้นดงั กล่ำวจะทำให้ผลิตภณั ฑส์ ุดทำ้ ยเป็นกำ๊ ซคำรบ์ อนไดออกไซด์ ตำรำงท่ี 3.2 กระบวนกำรผลิตกำ๊ ซไฮโดรเจนทีส่ ำคัญ กระบวนการ ชนิดของกระบวนการ สารตง้ั ต้น พลงั งานที่ใช้ ผลิตภัณฑ์กอ่ มลภาวะ ทำงควำมร้อน Steam reforming กำ๊ ซธรรมชำติ ไอน้ำอณุ หภมู สิ ูง มีกำรให้ CO และ ทำงเคมีไฟฟำ้ กำรแยกน้ำด้วยควำมรอ้ น นำ้ CO2 ออกมำ (Thermochemical ควำมร้อนอุณหภมู สิ งู ทำงชีวภำพ water splitting) จำกเตำปฏิกรณ์ ไม่มี นิวเคลยี รท์ ่ที ำใหก้ ๊ำซ เยน็ ลง กำรแยกก๊ำซ นำ้ น้ำ และ O2 ท่มี ีควำม มีกำรให้ CO และ (Gasification) ดนั และอณุ หภมู สิ งู CO2 ออกมำ กำรเผำ (Pyrolysis) ถ่ำนหิน วสั ดุ ชวี ภำพตำ่ ง ๆ ไอนำ้ อุณหภูมิไม่สูง มกี ำรให้ CO และ กำรแยกน้ำดว้ ยไฟฟ้ำ น้ำ มำก CO2 ออกมำ พลังงำนจำกแหลง ไม่มี หมุนเวยี นกลบั เชน่ ลม แสงแดด กำรแยกนำ้ ด้วยไฟฟำ้ น้ำ พลังงำนจำกแหล่ง มีกำรปลดปล่อยสำร สิ้นเปลือง เช่น ถ่ำน ก่ อ ม ล ภ ำ ว ะ ข้ึ นกับ หิน กำ๊ ซธรรมชำติ แหล่งท่ีให้พลังงำน ไฟฟ้ำ กำรแยกน้ำด้วย นำ้ แสงแดด ไม่มี เซลล์ไฟฟำ้ เคมีและแสง กระบวนกำรทำงชวี ภำพ น้ำและ แสงแดด ไม่มี ทใี่ ช้แสง สำหร่ำยบำง ชนิด ควำมร้อนทีอ่ ณุ หภูมิ อำจจะมบี ำ้ ง กำรยอ่ ยสลำยของ วสั ดุชวี ภำพ สงู อำจจะมบี ำ้ ง แบคทีเรียทไ่ี มใ่ ช้ O2 ต่ำง ๆ กำรบม่ หมกั ของจลุ ชีพ วัสดุชวี ภำพ ควำมร้อนท่อี ุณหภมู ิ ตำ่ ง ๆ ตำ่ ง ๆ สูง ที่มำ : (รัชนีกร วนั จันทกึ (2554) ดดั แปลงจำก Quakernaat, 1995)

108 3.7 แนวทางการจดั การเพื่อแก้ปญั หาการเปลยี่ นแปลงสภาพภมู ิอากาศ 3.7.1 ความรว่ มมอื ของประชาคมโลกเพ่ือแกป้ ัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภมู อิ ากาศ 3.7.1.1 คณะกรรมกำรระหว่ำงรฐั บำลว่ำด้วยกำรเปล่ยี นแปลงภูมิอำกำศ (Intergovernmental Panel on Climate Change ; IPCC) เป็นองค์กรท่ีทำหน้ำท่ีประเมินกำร เปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศ โดยทำหน้ำที่ตรวจสอบและประเมินข้อมูลใหม่ ๆ ทำงวิทยำศำสตร์ เทคนิค เศรษฐกิจและสังคมท่ีมำจำกทั่วโลกเพ่ือให้เข้ำใจกำรเปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศได้ดีขึ้น คณะกรรมกำรระหว่ำงรัฐบำลว่ำด้วยกำรเปล่ียนแปลงสภำพภู มิอำกำศได้จัดตั้งข้ึนโดยโครงกำร สิ่งแวดล้อมแห่งสหประชำติและองค์กำรอุตุนิยมวิทยำโลก เม่ือปี พ.ศ. 2531 เพ่ือให้ทั่วโลกรับรู้ เกี่ยวกบั กำรเปลีย่ นแปลงสภำพภมู อิ ำกำศและแนวโนม้ ผลกระทบต่อสงิ่ แวดลอ้ ม เศรษฐกิจและสงั คม 3.7.1.2 กรอบอนุสัญญำสหประชำตวิ ่ำดว้ ยกำรเปลย่ี นแปลงสภำพภมู อิ ำกำศ (United Nations Framework Convention on Climate Change ; UNFCCC ) อนสุ ัญญำแหง่ สหประชำชำติว่ำด้วยกำรเปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศมีสำนักงำนใหญ่อยู่ท่ีนครนิวยอร์ก ประเทศ สหรฐั อเมริกำและมีสมำชิกจำกประเทศตำ่ ง ๆ ทัว่ โลกกว่ำ 150 ประเทศ ไดร้ ่วมลงนำมใหส้ ัตยำบันใน ระหว่ำงกำรประชุมสหประชำชำติว่ำด้วยส่ิงแวดล้อมและกำรพัฒนำ (United Nation Conference on Environment and Development) หรือกำรประชุมสุดยอดโลก ( Earth Summit) โดย อนุสัญญำฯ นมี้ ีวตั ถุประสงค์เพือ่ ลดระดับกำ๊ ซเรือนกระจกในบรรยำกำศทเี่ กิดจำกกจิ กรรมต่ำง ๆ ของ มนุษย์ โดยหำแนวทำงยับยั้งกำรเปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศและป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับ มนุษย์ มีกำรดำเนินงำนและควำมร่วมมือในกำรยับยั้งกำรเปลยี่ นแปลงสภำพภูมิอำกำศตำมหลักกำร ที่กำหนดไว้กล่ำวคือ กำรมีส่วนร่วมและกำรแก้ปัญหำกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศจะอยู่บน หลักกำรของควำมร่วมมือระหว่ำงประเทศโดยมีระดับควำมรับผิดชอบร่วมในลักษณะท่ีแตกต่ำงกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับควำมสำมำรถ สภำพเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละประเทศ ซ่ึงกำรดำเนินงำนตำม พันธกรณีภำยใต้อนสุ ญั ญำฯ ไดม้ กี ำรแบง่ ประเทศภำคีสมำชิกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุม่ ประเทศที่อยู่ ในภำคผนวกท่ี 1 และกลุ่มประเทศนอกภำคผนวกที่ 1 ซ่ึงท้ังสองกลุ่มจะมีระดับควำมรับผิดชอบท่ี ต่ำงกันออกไปขึ้นอยู่กับสถำนกำรณ์ของกำรพัฒนำประเทศและภูมิภำค สำหรับประเทศไทยโดย องค์กำรบริหำรก๊ำซเรือนกระจก (2553) ได้สรุปสำระสำคัญของควำมรับผิดชอบต่ออนุสัญญำฯ ซ่ึง ต้องมีกำรจัดทำรำยงำนแห่งชำติ โดยทุกประเทศต้องจัดทำบัญชีรำยกำรปริมำณกำรปล่อยก๊ำซเรือน กระจกที่เป็นไปตำมข้อตกลงกันในกำรประชุมประเทศภำคีอนุสัญญำฯ กำรกำหนดรูปแบบปฏิบัติ เผยแพร่ และปรับปรุงตำมแผนระดับประเทศและระดับภูมิภำคโดยกำรใช้มำตรกำรเพื่อบรรเทำกำร เปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศจำกกำรปล่อยก๊ำซเรือนกระจก มีกำรพัฒนำ กำรใช้และกำรถ่ำยทอด เทคโนโลยีวิธีปฏิบัติและกำรควบคุม ลด ป้องกันกำรปล่อยก๊ำซเรือนกระจกที่ไม่ใช่สำรที่ถูกควบคุม ตำมพิธีสำรมอนทรีออลท่ีมำจำกกิจกรรมต่ำง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง กำรส่งเสริมกำรจัดกำรแบบย่ังยืนโดย ควำมร่วมมือในกำรอนุรักษ์ กำรเพ่ิมแหล่งรองรับและเก็บกักก๊ำซเรือนกระจก ควำมร่วมมือในกำร เตรียมกำรเพ่ือปรับตัวต่อผลกระทบจำกกำรเปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศโดยมีกำรจัดกำรทรัพยำกร น้ำ กำรเกษตร กำรป้องกันควำมแห้งแล้งและแปรสภำพเป็นทะเลทรำย กำรกำหนดนโยบำยและ กำรดำเนินกำรทำงด้ำนสังคม เศรษฐกิจ สภำพแวดล้อมและใช้วิธีกำรที่เหมำะสม กำรส่งเสริมและ

109 ร่วมมือในกำรวิจัยทำงวิทยำศำสตร์ เทคโนโลยี สังคม เศรษฐกิจและกฎหมำยที่เกี่ยวข้อง รวมท้ัง กำรศกึ ษำ กำรอบรม และสรำ้ งจิตสำนึกให้กับประชำชนเกย่ี วกับกำรเปล่ยี นแปลงสภำพภมู ิอำกำศ 3.7.1.3 ที่ประชุมสมัชชำประเทศภำคีอนุสัญญำว่ำด้วยกำรเปล่ียนแปลงสภำพ ภูมิอำกำศ (The Conference of the Parties ; COP) เมื่อวันที่ 21 มีนำคม 2534 เป็นวันท่ี อนุสัญญำฯ มีผลบังคับใช้ ประเทศพัฒนำแล้วเร่ิมเสนอรำยงำนแห่งชำติเกี่ยวกับ กลยุทธ์กำร เปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศและมีกำรประชุมหลำยคร้ังเพ่ือพิจำรณำเรื่องกำรอนุวัติตำมสัญญำฯ กำรจัดกำรเก่ียวกับกำรเงิน กำรสนับสนุนเงินทุนและเทคโนโลยีแก่ประเทศกำลังพัฒนำรวมทั้งแนว ทำงกำรดำเนินงำนและสถำบันท่ีเก่ียวข้อง COP เป็นองค์กรสูงสุดของอนุสัญญำ ฯ มีหน้ำท่ีติดตำม ตรวจสอบกำรอนุวตั ิตำมอนสุ ัญญำ ฯ และประเด็นทำงกฎหมำยท่ีเกี่ยวข้องอย่ำงสม่ำเสมอรวมทั้งกำร ตดั สินใจสนบั สนนุ และสง่ เสริมกำรอนุวัตติ ำมอนุสัญญำฯ อย่ำงมีประสิทธิภำพ ซึง่ มกี ำรจัดกำรประชุม COP ทุกปี และจะมีกำรประชุมสมัชชำประเทศภำคีอนุสัญญำว่ำด้วยกำรเปลี่ยน แปลงสภำพ ภูมอิ ำกำศคร้ังท่ี 26 ในปี พ.ศ. 2564 ท่ีเมืองกลำสโกว์ สหรำชอำณำจักร (องค์กำรบริหำรจดั กำรก๊ำซ เรือนกระจก, 2563) 3.7.1.4 พิธีสำรเกียวโต พิธีสำรเกียวโตเป็นพิธีสำรภำยใต้อนุสัญญำสหประชำชำติว่ำ ด้วยกำรเปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศเพื่อเป็นกรอบกำรอนุวัติของประเทศภำคีภำยใต้หลักกำรของ อนุสัญญำฯ พิธีสำรน้ีต้ังช่ือตำมสถำนท่ีกำรเจรจำท่ีเมืองโตเกียว ประเทศญ่ีปุ่นและเป็นข้อผูกพันทำง กฎหมำยซ่ึงกำหนดพันธกรณีในกำรลดกำรปล่อยก๊ำซเรือนกระจกของประเทศภำคีและกำหนดชนิด ก๊ำซเรือนกระจกท่ีอยู่ภำยใต้พิธีสำรฯ 6 ชนิด คือ ก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ ก๊ำซมีเทน ก๊ำซไนตรัส ออกไซด์ ก๊ำซโฮโรฟลูออร์โรคำร์บอน ก๊ำซเปอร์ฟลูออโรคำร์บอน และก๊ำซซัลเฟอร์เฮกซำฟลูโอไรด์ โดยกำรลดกำ๊ ซจะคดิ เทยี บเป็นปรมิ ำณกำ๊ ซคำร์บอนไดออกไซด์ 3.7.2 รปู แบบกลไกการแกป้ ญั หาการเปล่ยี นแปลงสภาพภูมิอากาศ 3.7.2.1 คำรบ์ อนเครดติ (Carbon credit) คอื ปรมิ ำณก๊ำซเรือนกระจกที่สำมำรถลด ได้จำกกำรดำเนินโครงกำรกลไกกำรพัฒนำที่สะอำด (Clean Development Mechanism ; CDM) และเป็นสินค้ำท่ีสำมำรถขำยได้ตำมพิธีสำรเกียวโตและมีตลำดคำร์บอนเกิดขึ้น โดยสิทธิ์ในกำรขำย คำร์บอนเครดิตมำจำกโครงกำรต่ำง ๆ เช่น โครงกำรเพ่ิมประสิทธิภำพกำรผลิตพลังงำน กำรผลิต พลังงำนหมุนเวียน กำรเปล่ียนเช้ือเพลิง กำรกักเก็บและกำรเผำทำลำยก๊ำซมีเทน กำรปรับเปล่ียน วิธีกำรทำเกษตรกรรมและปศุสัตว์ กำรจัดกำรน้ำเสียและขยะ และกำรปรับเปลี่ยนกระบวนกำรผลิต ในภำคอุตสำหกรรม เป็นต้น โดยนำปริมำณกำ๊ ซเรอื นกระจกท่ีเกดิ ขึ้นและลดลงทุกกิจกรรมมำคำนวณ คำรบ์ อนเครดติ 3.7.2.2 คำร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon footprint) หมำยถึง ปริมำณก๊ำซเรือนกระจก ทีป่ ลอ่ ยออกมำจำกผลิตภณั ฑแ์ ตล่ ะหนว่ ยตลอดวฏั จกั รชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตงั้ แต่กำรได้มำของวัตถุดิบ กำรขนส่ง กำรประกอบช้ินส่วน กำรใช้งำนและกำรจัดกำรซำกผลิตภัณฑ์หลังใช้งำนโดยคำนวณ ออกมำในรูปของคำร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่ำ โดยแสดงข้อมูลไว้บนฉลำกเพ่ือเป็นข้อมูลในกำร ตัดสินใจซ้ือของผู้บริโภค ปริมำณคำร์บอนฟุตพริ้นท์จะแสดงในหน่วยกิโลกรัมหรือตันของปริมำณ คำร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่ำ (KgCO2 equivalent หรือ ton CO2 equivalent) ซ่ึงพิจำรณำจำก กิจกรรม 2 ส่วนคือ กำรคำนวณคำร์บอนฟุตพริ้นต์ทำงตรง เป็นกำรคำนวณปริมำณก๊ำซเรือนกระจก

110 จำกกำรผลติ สนิ ค้ำนั้นโดยตรง และกำรคำนวณคำร์บอนฟุตพร้นิ ทท์ ำงอ้อม คำนวณปริมำณก๊ำซเรือน กระจกท่ีเกิดจำกกำรใช้สินค้ำตลอดจนกำรจัดกำรซำกสินค้ำหลังกำรใช้งำน ปัจจุบันองค์กำรบริหำร กำรจัดกำรก๊ำซเรือนกระจกได้จัดทำโครงกำรส่งเสริมกำรจัดทำคำร์บอนฟุตพร้ินท์ขององค์กร คือ คำร์บอนฟุตพร้ินท์ขององค์กรในภำคอุตสำหกรรมและคำร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรในองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ซ่ึงปริมำณก๊ำซเรือนกระจกขององค์กรมำจำกกิจกรรมต่ำง ๆ เช่น กำรเผำไหม้ เช้ือเพลิง กำรใช้ไฟฟ้ำ กำรจัดกำรของเสีย กำรขนส่งและวัดออกมำในหน่วยคำร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่ำเชน่ เดยี วกับคำร์บอนฟุตพรนิ้ ท์ของผลิตภัณฑ์ ซ่ึงมีก๊ำซเรือนกระจก 6 ชนิดที่ประเมินภำยใต้ พิธีสำรเกยี วโต ได้แก่ คำร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มีเทน (CH4) ไนตรัสออกไซด์ (N2O) ไฮโดรฟลูออโร คำร์บอน (HFCs) เพอร์ฟลูออโรคำร์บอน (PFCs) และซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6) สถำบัน สิ่งแวดล้อมไทย (Thailand Environmental Institute) และองค์กำรบริหำรจัดกำรก๊ำซเรือนกระจก (Thailand Greenhouse gas Organization) ได้ร่วมกันจัดทำโครงกำรฉลำกคำร์บอนข้ึนในเดือน สงิ หำคม พ.ศ. 2551 กำรตดิ ฉลำก Carbon Footprint เปน็ กำรแสดงควำมรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม (CSR) ท่ีบอกว่ำจำกผลิตภัณฑ์นี้ได้ปล่อย CO2 ออกมำปริมำณเท่ำไร แต่ไม่ได้บอกว่ำผลิตภัณฑ์ดังกล่ำวเป็น มิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยฉลำกคำร์บอนฟุตปร๊ินท์ของไทย จัดทำหลักเกณฑ์โดยองค์กำรบริหำรก๊ำซ เรอื นกระจกรว่ มกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุ แบ่งเปน็ 2 ประเภท คือ ฉลำกแบบที่ 1 พิจำรณำกำรประเมินกำรปล่อยก๊ำซเรือนกระจกจำกทั้งวงจร ชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Cradle to Grave) ตั้งแต่กำรได้มำซ่ึงวัตถุดิบ กำรขนส่ง กำรผลิต กำรบรรจุหีบ หอ่ กำรใชง้ ำน จนกระทงั่ กำรกำจดั ของเสียทเ่ี กดิ ขนึ้ ฉลำกแบบที่ 2 พิจำรณำกำรประเมินกำรปลอ่ ยก๊ำซเรือนกระจกโดยพิจำรณำ เฉพำะกำ๊ ซเรือนกระจกทเี่ กิดข้นึ จำกกระบวนกำรผลติ (Production stages) เท่ำนั้น (Gate to gate) วิธีนี้ใช้เวลำดำเนินกำรน้อยกว่ำแบบท่ี 1 ฉลำกคำร์บอนแสดงข้อมูลให้ผู้บริโภคทรำบว่ำ สินค้ำหรือ บรกิ ำรน้มี กี ำรปล่อยก๊ำซเรอื นกระจกมำกน้อยเพียงใดซงึ่ แบง่ ออกเป็น ระดับสูง คอ่ นขำ้ งสูง ปำนกลำง ค่อนข้ำงต่ำ หรือต่ำ แสดงผลเป็น 5 ระดับ ด้วยหมำยเลข 1-5 สินค้ำที่ได้ฉลำกคำร์บอนเบอร์ 5 คือ สินค้ำที่ปล่อยก๊ำซเรือนกระจกสู่บรรยำกำศน้อยที่สุดบ่งบอกว่ำสินค้ำหรือบริกำรนั้นมีควำมเป็นมิตร ตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มคล้ำยกับฉลำกประหยดั ไฟเบอร์ 5 ของกระทรวงพลังงำน

111 รูปที่ 3.14 ตัวอยำ่ งเครื่องหมำยคำรบ์ อนฟุตพรนิ้ ทข์ องประเทศต่ำง ๆ ที่มำ : (http://www.environnet.in.th/2014/?p=5640) 3.7.2.3 ฉลำกสิ่งแวดล้อม (Environment Label) หรืออำจเรียกว่ำ Eco Labeling เช่น ฉลำกเขียว ฉลำกคำร์บอน ฉลำกประหยัดพลังงำน ฉลำกรับรองไม่ทำลำยป่ำไม้ ฉลำกลดกำรใช้ น้ำ และเกียรติบัตรใบไม้สีเขียวสำหรับธุรกิจโรงแรม เป็นต้น เพื่อสะท้อนว่ำสินค้ำนั้นมีคุณประโยชน์ ตอ่ สิง่ แวดลอ้ มมำกกว่ำ (นิรมล สุธรรมกจิ , 2558) รูปแบบฉลำกสง่ิ แวดลอ้ ม แบง่ เป็น 3 ประเภทคอื (1) ฉลำกส่ิงแวดล้อมประเภทที่ 1 ( ISO 14024) เป็นฉลำกท่ีแสดงควำมเป็น มิตรต่อส่ิงแวดล้อมท่ีให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีสมบัติตรงตำมข้อกำหนดโดยองค์กรอิสระท่ีไม่มีส่วนได้ส่วน เสียโดยยึดหลักกำรประเมินผลส่ิงแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Consideration) (2) ฉลำกสิ่งแวดล้อมประเภทท่ี 2 เป็นฉลำกที่ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่ำยหรือผู้ ส่งออกจะเป็นผ้บู ่งบอกควำมเป็นมิตรต่อสง่ิ แวดล้อมหรือแสดงคำ่ ทำงส่ิงแวดล้อมของผลิตภณั ฑต์ นเอง (Self-declared environmental claims)อำจจะแสดงในรูปของข้อควำม หรือสัญลักษณ์ รูปภำพ เช่น กำรใช้พลังงำนอย่ำงประหยดั กำรนำกลับมำใชใ้ หม่ โดยเป็นไปตำมมำตรฐำน ISO 14021 ฉลำก แบบท่ี 2 นี้จะไม่มีองค์กรกลำงในกำรดูแล แต่ทำงผู้ผลิตจะต้องสำมำรถหำหลักฐำนมำแสดงเมื่อมีคน สอบถำม ดงั น้ันฉลำกประเภทนี้ผูผ้ ลิตสำมำรถศึกษำหรอื ประเมินผลไดด้ ว้ ยตนเอง (3) ฉลำกส่ิงแวดล้อมประเภทท่ี 3 (ISO14025) เป็นฉลำกที่แสดงถึง ผลกระทบของผลิตภัณฑ์ต่อส่ิงแวดล้อม มีกำรแสดงข้อมูลสิ่งแวดล้อมโดยรวม (Environmental information) โดยกำรใช้เคร่ืองมือกำรประเมินผลกระทบตลอดวัฏจักรชีวิตของส่ิงแวดล้อม (Life Cycle Assessment) เข้ำมำประเมินตำมมำตรฐำน ISO 14040 ฉลำกแบบท่ี 3 นี้มีหน่วยงำนอิสระ หรือองคก์ รกลำงในกำรทำหน้ำทตี่ รวจสอบควำมถูกต้องของข้อมูลก่อนประกำศลงกับผลิตภัณฑ์น้ัน ๆ

112 3.7.3 การดาเนินงานภายในประเทศไทยเพื่อแกป้ ัญหาการเปลีย่ นแปลงสภาพภมู อิ ากาศ 3.7.3.1 แผนแม่บทรองรับกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศ (พ.ศ. 2558-2593) ปัญหำกำรเปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศเป็นสถำนกำรณ์ระดับโลกที่ทวีควำมรุนแรงมำกขึ้นเร่ือย ๆ ซ่ึงส่งผลให้มีกำรปรับตัวและเตรียมกำรรับมือต่อกำรเปล่ียนแปลง นำนำประเทศมีควำมร่วมมือกันใน กำรยับยง้ั ปัญหำดงั กลำ่ ว ประเทศไทยกเ็ ชน่ เดยี วกันท่ีต้องเผชญิ กบั ควำมกดดันของกรอบควำมร่วมมือ ระหว่ำงประเทศในกำรแก้ไขปัญหำกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศและได้ตระหนักถึงควำมจำ เป็น ในกำรร่วมกับประชำคมโลกจึงได้ให้สัตยำบันเข้ำเป็นรัฐภำคีภำยใต้กรอบอนุสัญญำสหประชำชำติว่ำ ด้วยกำรเปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศเม่ือปี พ.ศ. 2537 และ พ.ศ. 2545 ตำมลำดับ หลังจำกน้ันได้ ดำเนินกำรจัดทำยุทธศำสตร์แห่งชำติว่ำด้วยกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศ พ.ศ.2551-2555 ข้ึน ฉบบั แรก และภำยหลงั ไดด้ ำเนนิ กำรให้กระทรวง ทบวง กรมท่ีเกย่ี วข้องดำเนินกำรต่อเนื่อง โดยจดั ทำ แผนแม่บทรองรับกำรเปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศ พ.ศ. 2558-2593 ขึ้น เพื่อใช้เป็นกรอบในกำร ดำเนินกำรของภำคส่วนต่ำง ๆ (สำนักงำนนโยบำยและแผนทรัพยำกรธรรมชำติและส่ิงแวดล้อม, 2558) 3.7.3.2 แผนอนุรักษ์พลังงำน พ.ศ. 2558-2579 กำรเปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศมี สำเหตุส่วนหนึ่งจำกกำรใช้พลังงำนเชื้อเพลิง ดังนั้นกำรประชุมผู้นำกลุ่มควำมร่วมมือทำงเศรษฐกิจ เอเชียแปซิฟิก หรือ APEC เมื่อปี พ.ศ. 2554 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกำ ผู้นำทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจ รวมท้ังประเทศไทยได้ประกำศปฏิญญำในเรื่องกำรเปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศ ควำมม่ันคงทำง พลังงำน และกำรพฒั นำพลังงำนสะอำดโดยกลุ่ม APEC ไดป้ ระกำศเจตจำนงในกำรใช้พลังงำนอย่ำงมี ประสิทธิภำพมำกขึ้น มีเป้ำหมำยในกำรร่วมกันลดอัตรำส่วนของปรมิ ำณพลังงำนที่ใช้ให้ได้อย่ำงน้อย ร้อยละ 45 ภำยในปี พ.ศ. 2578 กระทรวงพลังงำนของไทยได้เร่ิมใช้ดัชนีควำมเข้มกำรใช้พลังงำน ( Energy Intensity ; EI) หรือพลังงำนท่ีใช้พันตันเทียบเท่ำน้ำมันดิบ (ktoe) ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม ภำยในประเทศ เปน็ แนวทำงกำหนดนโยบำยและจัดทำแผนอนรุ ักษพ์ ลังงำนในระยะยำวของประเทศ ไทยโดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ. 2554 ได้มีมติเห็นชอบเป้ำหมำยกำรลด EI ลงร้อยละ 25 ในปี พ.ศ. 2573 เม่ือเทียบกับปี พ.ศ. 2553 หรือเทียบเท่ำกำรลดกำรใช้พลังงำนข้ันสุดท้ำยลงร้อยละ 20 ในปี พ.ศ. 2573 หรือประมำณ 38,299 ktoe เนื่องจำกประเทศไทยมีแนวโน้มกำรขยำยตัวทำง เศรษฐกิจและมแี ผนกำรลงทุนทำงโครงสรำ้ งพนื้ ฐำนรวมทั้งเตรียมกำรเข้ำสู่ประชำคมอำเซียน จงึ มผี ล ต่อกำรใช้พลังงำนของประเทศ กระทรวงพลังงำนจึงได้จัดทำแผนบูรณำกำรพลังงำนระยะยำว 5 แผนหลักดังท่ีได้กล่ำวไว้ในเร่ืองนโยบำยกำรลดก๊ำซเรือนกระจก กระทรวงพลังงำนได้ทบทวนค่ำ พยำกรณ์ควำมต้องกำรใช้พลังงำนขั้นสุดท้ำยในอนำคตซ่ึงเป็นกำรใช้พลังงำนเชิงพำณิชย์ เช่น น้ำมัน สำเร็จรูป ไฟฟ้ำ เป็นต้น และพลังงำนทดแทน เช่น ไม้ฟืน แกลบ พลังน้ำ เป็นต้น ในปี พ.ศ. 2579 อยู่ท่ีระดับ 187,142 ktoe และกำหนดเป้ำหมำยในกำรลดควำมเข้มกำรใช้พลังงำนตำมกรอบของ แผนอนุรักษ์พลังงำนในช่วงปี พ.ศ. 2558-2579 ร้อยละ 30 ในปี พ.ศ. 2579 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2553 ซ่ึงหมำยถึง ต้องลดกำรใช้พลังงำนเชิงพำณิชย์ให้ได้ทั้งสิ้น 56,142 ktoe ของปริมำณกำรใช้ พลังงำนขั้นสุดท้ำยท้ังหมดของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2579 กำรจัดทำแผนอนุรักษ์พลังงำนได้ ตระหนักถึงเป้ำหมำยของ กลุ่ม APEC และ UNFCCC ที่ประเทศไทยจะมีส่วนร่วมในกำรลดกำรใช้ พลงั งำนและลดกำรปลอ่ ยกำ๊ ซเรอื นกระจกในภำคกำรขนสง่ และภำคพลังงำน

113 3.7.3.3 แผนพัฒนำพลังงำนทดแทนและพลังงำนทำงเลือก พ.ศ. 2558-2579 กระทรวงพลังงำน ได้วำงแผนพัฒนำพลังงำนโดยให้ควำมสำคัญในด้ำนต่ำง ๆ ไดแ้ ก่ ดำ้ นควำมมั่นคง ทำงพลังงำน เพ่ือตอบสนองต่อปริมำณควำมตอ้ งกำรพลงั งำนทส่ี อดคล้องกับกำรเตบิ โตทำงเศรษฐกิจ ด้ำนเศรษฐกิจ ที่ต้องคำนึงถึงต้นทุนพลังงำนท่ีเหมำะสมและไม่เป็นอุปสรรคต่อกำรพัฒนำทำง เศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยำว กำรปรับโครงสร้ำงรำคำเช้ือเพลิงที่สอดคล้องกับต้นทุน และมภี ำษที ่ีเหมำะสมเพ่ือให้เกดิ กำรใช้พลังงำนอย่ำงมปี ระสิทธภิ ำพและด้ำนสิ่งแวดล้อม โดยกำรเพ่ิม สัดส่วนกำรผลติ พลงั งำนหมุนเวยี นภำยในประเทศและมีกำรผลิตพลังงำนดว้ ยเทคโนโลยีประสิทธิภำพ สูงเพื่อลดผลกระทบต่อชุมชน กำรคำดกำรณ์ควำมต้องกำรพลังงำนของประเทศในปี พ.ศ. 2579 ได้ นำค่ำพยำกรณ์ควำมต้องกำรพลังงำนข้ันสุดท้ำยของแผนอนุรักษ์พลังงำนมำเทียบกับปี พ.ศ.2553 พบว่ำ ควำมต้องกำรพลังงำนข้ันสุดท้ำยในปี พ.ศ. 2579 จะอยู่ที่ระดับ 131,000 พันตันเทียบเท่ำ น้ำมันดบิ (ktoe) 3.7.3.4 แผนพัฒนำกำลังผลิตไฟฟ้ำของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 แผนพัฒนำ กำลังผลิตไฟฟ้ำของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 มีกรอบระยะเวลำของแผนสอดคล้องกับแผน ยุทธศำสตร์ชำติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ซ่ึงแผนพัฒนำกำลังผลิตไฟฟ้ำของประเทศสอดคล้องกับ ควำมต้องกำรใช้ไฟฟ้ำที่เปลี่ยนแปลงไปท่ีมำจำกกำรเติบโตทำงเศรษฐกิจและเทคโนโลยีด้ำนกำรผลิต ไฟฟ้ำท่ีเปลี่ยนแปลงไปในอนำคต โดยกำรพัฒนำกำลังผลิตไฟฟ้ำจะพิจำรณำตำมควำมต้องกำรใช้ ไฟฟ้ำและศกั ยภำพกำรผลติ ไฟฟ้ำของแต่ละภมู ิภำค ซ่งึ จดุ เด่นของแผนกำลงั ผลิตไฟฟำ้ น่นั คือ ต้องกำร ลดผลกระทบด้ำนส่ิงแวดล้อม ด้วยกำรสนับสนุนกำรผลิตไฟฟ้ำจำกพลังงำนทดแทนและกำรเพิ่ม ประสิทธิภำพในระบบไฟฟ้ำทั้งด้ำนกำรผลิตไฟฟ้ำและด้ำนกำรใช้ไฟฟ้ำโดยพัฒนำระบบโครงกำรไฟฟ้ำ สมำร์ทกริด ซึ่งกำรพัฒนำระบบโครงข่ำยสมำร์กริดเป็นนโยบำยกำรพัฒนำพลังงำนด้ำนพลังงำน ไฟฟ้ำของประเทศ เป็นเทคโนโลยีท่ีมีบทบำทสำคัญในกำรพัฒนำภำคอุตสำหกรรมไฟฟ้ำ รวมทั้งกำร พัฒนำกำลังไฟฟ้ำตำมแผนโดยมีจุดมุ่งหมำยให้ลดกำรใช้ทรัพยำกรน้อยลง ในแผนแม่บทกำรพัฒนำ ระบบโครงข่ำยสมำร์ทกริดของประเทศไทย พ.ศ. 2558-2579 ได้วำงนโยบำยและทิศทำงกำรพัฒนำ ระบบโครงข่ำยสมำร์ทกริดในภำพรวมเพื่อให้ กฟผ. กฟภ. กฟน. และภำคเอกชน สำมำรถพัฒนำ ระบบโครงข่ำยสมำร์ทกริดของตนเอง กำรผลิตไฟฟ้ำที่มำจำกพลังงำนหมุนเวียนจะเร่ิมเข้ำมำสู่ระบบ ไฟฟ้ำของ กฟผ. ซ่ึงจะทำให้ระบบไฟฟ้ำมีควำมมั่นคง มีประสิทธิภำพและสำมำรถรองรับโรงไฟฟ้ำ พลงั งำนหมุนเวยี นได้มำกข้นึ (สำนักงำนนโยบำยและแผนพลังงำน, 2562) บทสรุป พลังงำน คือ ควำมสำมำรถในกำรทำงำนหรือทำให้เกิดงำน พลังงำนไม่สำมำรถถูกทำลำย หรือสูญหำยแต่พลังงำนสำมำรถเปล่ียนรูปจำกรูปหนึ่งไปเป็นอีกรูปหนึ่งได้ มนุษย์นำพลังงำนมำใช้ให้ เกิดประโยชน์ต้ังแต่เม่ือเกือบล้ำนปีที่แล้วและได้มีกำรพัฒนำรูปแบบของพลังงำนมำอย่ำงต่อเนื่องจน ทำให้มนุษย์ได้ใช้พลังงำนในรปู แบบทสี่ ะดวกขน้ึ ในปัจจบุ ัน พลงั งำนมีควำมสำคญั กับสรรพสิ่งบนโลก สำมำรถทำให้ส่ิงมีชีวิตเจริญเติบโต ทุกสิ่งบนโลกล้วนต้องกำรพลังงำนทั้งส้ิน พลังงำนแบ่งออกเป็น ประเภทต่ำง ๆ โดยมีวิธีกำรจัดจำแนกประเภทของพลังงำนด้วยรูปแบบท่ีต่ำงกันออกไป ได้แก่ จำแนกตำมรูปพลังงำน เช่น พลังงำนเคมี พลังงำนควำมร้อน พลังงำนกล พลังงำนจำกกำรแผ่รังสี

114 พลังงำนไฟฟ้ำ พลังงำนนิวเคลียร์ จำแนกพลังงำนตำมแหล่งท่ีมำ เช่น พลังงำนต้นกำเนิด พลังงำน แปรรูป จำแนกตำมกำรนำมำใช้ประโยชน์ เช่น พลังงำนท่ีใช้แล้วหมด พลังงำนหมุนเวียน จำแนก ตำมลักษณะกำรค้ำ เช่น พลังงำนเชิงพำณิชย์ พลังงำนนอกพำณิชย์ กำรใช้พลังงำนก่อให้เกิดกำร พัฒนำประเทศด้ำนต่ำง ๆ แต่พลังงำนบำงประเภทเป็นพลังงำนท่ีใช้แล้วหมดจึงต้องมีกำรเสำะ แสวงหำแหล่งพลังงำนเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลำด้วยกำรใช้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี เช่น กำรใช้ เทคโนโลยีในกำรขุดเจำะสำรวจและนำพลังงำนปิโตรเคมีขึ้นมำใช้ ซึ่งวิธีกำรในกำรสำรวจหำแหล่งปิ โตรเคมีที่นักธรณีวิทยำใช้ ได้แก่ กำรสำรวจทำงธรณีวิทยำเพ่ือประเมินเบ้ืองต้นทำงธรณีว่ำพื้นท่ี บริเวณใดท่ีควรจะสำรวจโดยกำรขุดเจำะในภำคสนำมต่อไป กำรสำรวจทำงธรณีฟิสิกส์ เป็นกำร สำรวจเพ่ือคำดคะเนหำแหล่งกักเก็บของปิโตรเลียมโดยใช้กำรตรวจวัดคลื่นไหวสะเทือน กำรวัดค่ำ ควำมโน้มถ่วง และวิธีกำรวัดค่ำสนำมแม่เหล็กหรือกำรสำรวจวัดค่ำควำมเข้มสนำมแม่เหล็ก วิธีกำร สำรวจเหล่ำนี้จะทำให้ได้ปิโตรเลียมมำใช้ประโยชน์ซึ่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ได้มำจะต้องนำมำกล่ัน ลำดับสว่ นเพ่ือให้ได้ผลิตภัณฑ์ประเภทต่ำง ๆ แต่เปน็ ทที่ รำบกันดีวำ่ กำรใช้พลังงำนจะสง่ ผลกระทบต่อ ส่ิงแวดล้อมโดยเฉพำะปัญหำกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศ ซ่ึงเป็นปัญหำสำคัญในร ะดับโ ล ก ดังน้ันจึงมีควำมพยำยำมปรับปรงุ กำรผลิตและกำรใช้พลังงำนสะอำดท่ีส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมให้ น้อยลง เช่น กำรใช้เทคโนโลยีสะอำดถ่ำนหินสะอำด กำรใช้พลังงำนนิวเคลียร์ที่จัดว่ำเป็นพลังงำนท่ี ไม่ส่งผลกระทบต่อกำรเกิดก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ที่นำไปสู่กำรเกิดภำวะเรือนกระจก ปัญหำภำวะ โลกร้อนและกำรเปลย่ี นแปลงสภำพภมู ิอำกำศ นอกจำกนยี้ ังไดม้ ีกำรสง่ เสรมิ กำรใช้พลงั งำนทำงเลือก พลงั งำนทดแทนมำกขึ้นเพรำะพลงั งำนเหล่ำน้ีเป็นพลังงำนที่มีควำมม่ันคงมำกกวำ่ เกดิ ใหม่ทดแทนได้ และเป็นมลพิษต่อส่ิงแวดล้อมน้อยกว่ำซ่ึงในปัจจุบันวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีเก่ียวกับพลังงำน ทดแทนได้พฒั นำก้ำวหน้ำไปมำก มเี ทคโนโลยีกำรแปรรูปชวี มวล กำรนำขยะมำแปรรปู เป็นพลังงำน ด้วยเทคโนโลยแี บบต่ำง ๆ กำรสง่ เสรมิ กำรใช้พลังงำนจำกแสงอำทิตย์ พลังงำนจำกนำ้ พลงั งำนจำก ลม และในอนำคตอำจจะเห็นพลังงำนไฮโดรเจนมำกข้ึนเพรำะในขณะน้ีมีกำรศึกษำวิจัยพลังงำนน้ีกัน มำกขึ้น อย่ำงไรก็ตำมพลังงำนถึงแม้จะให้ประโยชน์แต่กำรใช้พลังงำนก็ส่งผลกระทบต่อปัญหำ ส่ิงแวดล้อมดังท่ีได้กล่ำวไว้ กำรใช้พลังงำนอย่ำงประหยัดและมีประสิทธิภำพจึงเป็นแนวทำงท่ี เหมำะสมท่ีสุดที่จะช่วยลดท้ังปัญหำกำรขำดแคลนพลังงำนในอนำคตและปัญหำสิ่งแวดล้อม ซ่ึง ประเทศไทยได้เตรียมควำมพร้อมในกำรแก้ไขปัญหำดังกล่ำวไว้แล้วโดยมีกำรวำงแผนไว้ดังน้ี แผน แม่บทรองรับกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศ พ.ศ. 2558-2593 แผนอนุรักษ์พลังงำน พ.ศ.2558- 2579 แผนพัฒนำพลังงำนทดแทนและพลังงำนทำงเลือก พ.ศ. 2558-2579 แผนพัฒนำกำลังผลิต ไฟฟ้ำของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 แต่ท่ีสำคัญคือกำรได้รับควำมร่วมมือจำกทุกภำคส่วนท่ีจะ ร่วมกันดำเนินกำรในรูปแบบต่ำง ๆ ท่ีจะนำไปสู่กำรแก้ไขปัญหำอันเน่ืองมำจำกพลังงำนให้ประสบ ควำมสำเรจ็

115 คาถามทบทวนทา้ ยบทเรยี น 1. จงอธิบำยควำมหมำยของพลงั งำนและควำมสำคัญของพลังงำน 2. จงวเิ ครำะหว์ ่ำในอนำคตจะมกี ำรเปลย่ี นแปลงรูปแบบกำรใช้พลงั งำนเปน็ อยำ่ งไร 3. จงอธบิ ำยวำ่ พลงั งำนกลคอื อะไรและแบ่งเป็นกปี่ ระเภท 4. พลังงำนจำกกำรแผ่รงั สีสำมำรถนำมำใชป้ ระโยชนใ์ นดำ้ นใดได้บำ้ ง 5. จงอธิบำยปฏิกริ ยิ ำนิวเคลยี ร์และกำรนำไปใชป้ ระโยชน์ 6. จงบอกเทคโนโลยีทใี่ ชใ้ นกำรสำรวจแหล่งพลงั งำนปโิ ตรเลียม 7. จงอธิบำยควำมแตกตำ่ งระหวำ่ งก๊ำซธรรมชำตเิ หลว (LNG) กับกำ๊ ซธรรมชำตสิ ำหรับรถยนต์ (NGV) 8. จงอธิบำยวิธกี ำรของเทคโนโลยีถำ่ นหนิ และประโยชน์ทจ่ี ะไดร้ บั จำกเทคโนโลยนี ้ี 9. โรงไฟฟำ้ นวิ เคลียร์มีกป่ี ระเภทใด แต่ละประเภทแตกตำ่ งกันอย่ำงไร 10. จงอธบิ ำยวำ่ กำรใชพ้ ลงั งำนมคี วำมสมั พันธก์ บั กำรเปล่ยี นแปลงสภำพแวดลอ้ มอยำ่ งไร 11. จงบอกเทคโนโลยีท่ใี ชใ้ นกำรพฒั นำพลงั งำนทดแทน 12. ไฮโดรเจนเป็นพลังงำนทีไ่ ดจ้ ำกแหล่งใดและมีควำมสำคัญอย่ำงไรกับควำมมัน่ คงด้ำนพลังงำน 13. พลงั งำนลมมขี อ้ ดแี ละขอ้ เสยี อยำ่ งไร 14. จงอธบิ ำยวำ่ โรงไฟฟ้ำพลังนำ้ แบบสูบกลับมีลกั ษณะและประโยชน์อย่ำงไร 15. มีแนวทำงในกำรเตรียมกำรเพื่อแก้ไขปัญหำกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศจำกกำรใช้พลังงำน อยำ่ งไร

116 เอกสารอา้ งองิ กรมพฒั นำพลังงำนทดแทนและอนุรกั ษพ์ ลังงำน. (2558). แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลงั งาน ทางเลอื ก พ.ศ. 2558 -2579. คน้ เม่อื มถิ ุนำยน 23, 2563, จำก https://www.dede.go.th/download/files/AEDP2015_Final_version.pdf กรมพฒั นำพลงั งำนทดแทนและอนรุ กั ษพ์ ลงั งำน. (มปป.). คู่มอื ความรู้ดา้ นพลงั งานไฮโดรเจน. กระทรวงพลงั งำน. กำรไฟฟ้ำฝ่ำยผลิตแห่งประเทศไทย. (มปป.). เทคโนโลยีกังหันลม. ค้นเม่ือ กันยำยน 20, 2563, จำก http://www.4.egat.co.th/re/egat_wind/wind_technology.htm. กำรไฟฟ้ำฝ่ำยผลติ แห่งประเทศไทย. (มปป.). ระบบผลติ ไฟฟา้ ดว้ ยเซลลแ์ สงอาทติ ย.์ ค้นเมื่อ กันยำยน 20, 2563, จำก http://www.4.egat.co.th/re/solarcell/solarcell_pg5.htm. ฐกฤต ปำนขลบิ . (2557). โรงไฟฟำ้ ชวี มวลแบบแกส๊ ซิฟเิ คชั่นขนำดเลก็ สำหรบั ชุมชน. วารสารนเรศวร พะเยา,7(3):252-260. เทวินทร์ วงศ์วำนิช. (2553). ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและพลังงาน. [จุลสำร]. กรุงเทพฯ: บริษัท สแควร์ ปริ๊นซ์ 93 จำกดั . เพียงตำ สำตรักษ.์ (2550). ธรณีฟิสิกส์เพ่ือการสารวจใตด้ ิน. ขอนแกน่ : โรงพมิ พ์ มหำวทิ ยำลัยขอนแก่น. รัชนีกร วันจันทึก. (2554). ก๊ำซไฮโดรเจน : ควำมคำดหวังเพื่อเป็นแหล่งพลังงำนที่ย่ังยืน. วารสาร วทิ ยาศาสตร์บูรพา, 16(2554) : 131-140. วริ ัตน์ เจริญบญุ . (2560). เตำชีวมวลแกลบพลงั งำนเพ่ือเกษตรกรไทย.วารสารวทิ ยาศาสตร์ มข., 45(1) : 163-174. ศุภัชญำ คนสมบูรณ์ และสุนีรัตน์ ฟูกุดะ. (มปป.) เทคโนโลยีพลังงำนชีวมวลของประเทศไทย. นิตยสาร Horizon, สำนักงำนคณะกรรมกำรนโยบำยวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี และ นวตั กรรมแห่งชำติ 4(3) : 6-11. สำนกั งำนเลขำธิกำรสภำผแู้ ทนรำษฎร. (2559). เชอ้ื เพลิงไฮโดรเจน : แหลง่ พลังงานทางเลอื กเพ่ือ ลดโลกร้อน. ค้นเมอื่ สิงหำคม 25, 2563, จำก http://parliament.go.th/library. สำนกั งำนนโยบำยและแผนพลงั งำน. (2562). แผนพัฒนากาลงั ผลิตไฟฟา้ ของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580. คน้ เม่ือ มิถนุ ำยน 23, 2563, จำก http://www.eppo.go.th/images/POLICY/PDF/PDP2018.pdf. สภุ ำวดี สำระวนั . (2562). Climate change คอื อะไร. ค้นเมือ่ กนั ยำยน 29, 2563, จำก https://www.scimath.org/article-chemistry/item/10620-climate- change. สมุ ิตรำ จรสโรจนก์ ลุ . (มปป.) พลังงานไฮโดรเจน. หน่วยวิจยั วสั ดสุ ำหรบั พลังงำน : ศูนย์เทคโนโลยี โลหะและวัสดแุ ห่งชำติ.

117 องคก์ ำรบริหำรจัดกำรก๊ำซเรอื นกระจก. (2563). COP 26 UN climate change. ค้นเม่อื กนั ยำยน 26, 2563, จำก http://www.tgo.or.th/2020/index.php/th/post/cop-26-un-climate- change-conference-. อณุ ำโลม เวทยว์ ัฒนะ ฮำรท์ ล.ี่ (2556). ไฮโดรเจน-กำรผลติ และกำรประยุกต์ใช.้ วารสารวชิ าการ เทคโนโลยอี ุตสาหกรรม, 9(2) : 116-126. Solomon, S., D. Qin, M. Manning, Z. Chen, M. Marquis, K.B. Averyt, M. Tignor and H.L. Miller (eds.). Contribution of Working group I to the Fourth Assessment Report of the Intergovernmental Panel on Climate Change, 2007. Cambridge University Press, Cambridge, United Kingdom and New York, NY, USA. Stein J. 2009. The Legal Status of Eco-Labels and Product and Process Methods in the World Trade Organization. American Journal of Economics and Business Administration 1 (4): 285-295.



บทท่ี 4 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อมมีควำมสำคัญกับมนษุ ย์ มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้เพรำะต้อง อำศยั ทรพั ยำกรธรรมชำติต่ำง ๆ รวมทั้งส่ิงแวดล้อมที่เกื้อหนนุ ให้มีชวี ิตอยู่อย่ำงปกตสิ ุข แตใ่ นปัจจุบัน สถำนกำรณ์ทรัพยำกรธรรมชำตแิ ละส่ิงแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปมำกด้วยเนื่องมำจำกกิจกรรมและกำร กระทำของมนุษย์จึงทำให้เกิดวิกฤติปัญหำทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อมข้ึนอย่ำงต่อเนื่อง แต่ ด้วยมนุษย์เป็นส่ิงมีชีวิตประเภทเดียวท่ีสำมำรถใช้ควำมรู้ ควำมสำมำรถด้ำนวิทยำศำสตร์และ เทคโนโลยีจงึ นำควำมรู้ควำมสำมำรถนนั้ มำใช้เพือ่ แก้ปญั หำวิกฤติต่ำง ๆ ใหด้ ขี น้ึ เพ่ือทจ่ี ะทำให้สำมำรถ ดำรงชีวติ และทำกจิ กรรมต่ำง ๆ ตอ่ ไปได้ 4.1 ความหมายของทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อมและความสมั พันธก์ บั มนษุ ย์ 4.1.1 ทรพั ยากรธรรมชาติ ทรัพยำกรธรรมชำติ (Natural resource) หมำยถึง ส่ิงที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ สำมำรถนำมำใช้ประโยชนเ์ พื่อตอบสนองควำมต้องกำรของมนุษย์ในดำ้ นปจั จัย 4 ทรพั ยำกรธรรมชำติ ได้แก่ ดิน น้ำ ป่ำไม้ สัตว์ป่ำ แร่ธำตุ พลังงำน เป็นต้น ทรัพยำกรธรรมชำติจัดจำแนกได้เป็น 2 ประเภทคอื 4.1.1.1 ทรัพยำกรธรรมชำติที่สร้ำงข้ึนใหม่ได้ตำมกระบวนกำรทำงธรรมชำติ (Renewable) ซึ่งอำจจะเป็นทรัพยำกรท่ีเสริมสร้ำงขึ้นใหม่ได้ตำมกระบวนกำรทำงธรรมชำติแต่อำจ หมดไปไดห้ รืออำจจะเป็นทรพั ยำกรท่ีเสรมิ สร้ำงข้ึนใหม่และไม่สูญสิน้ 4.1.1.2 ทรัพยำกรธรรมชำติท่ีสร้ำงขึน้ ใหม่ไม่ได้ตำมกระบวนกำรทำงธรรมชำติ (Non- renewable หรือ Exhaustible) เม่ือนำมำใช้แล้วทำให้ปริมำณท่ีสำมำรถใช้ได้ในอนำคตลดลง เช่น ก๊ำซธรรมชำติ นำ้ มัน สินแร่ตำ่ ง ๆ เป็นต้น 4.1.2 สิ่งแวดล้อม ส่ิงแวดล้อม (Environment) หมำยถึง ทุกส่ิงทุกอย่ำงท่ีอยู่รอบตัวมนุษย์ท้ังที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต ท้ังท่ีเป็นรูปธรรม นำมธรรม เก่ียวข้องกับมนุษย์ไม่ว่ำทำงตรงหรือทำงอ้อม หรือ สิง่ แวดลอ้ ม หมำยถึง วตั ถุ พฤติกรรม และสภำพกำรณต์ ่ำง ๆ ทอ่ี ยรู่ อบตวั เรำ เช่น ลมฟำ้ อำกำศ ดนิ และสิ่งมีชีวิตต่ำง ๆ สิ่งเหล่ำนี้จะทำปฏิกิริยำร่วมกัน ซ่ึงที่สุดแล้วส่ิงแวดล้อมเหล่ำนี้มีอิทธิพลเป็น ตวั กำหนดรูปร่ำงควำมเปน็ อยู่ รวมทง้ั กำรอยรู่ อดของแต่ละชวี ิตหรอื สังคมของส่ิงมชี วี ิตน้นั (นิวตั ิ เรือง พำนชิ , 2533) 4.1.3 ความสัมพนั ธ์ระหว่างมนษุ ยก์ บั ธรรมชาติ มนุษย์และทรัพยำกรธรรมและส่ิงแวดล้อมมีควำมสัมพันธ์กัน เพรำะมนุษย์เป็นส่วน หนึ่งของสิ่งแวดลอ้ มหรอื เป็นสว่ นหน่ึงในระบบนเิ วศ ในควำมสัมพันธ์ระหว่ำงมนุษยก์ ับธรรมชำตินัน้ พิชำย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต (2556) ได้กล่ำวว่ำ มนุษย์มีควำมคิดและเชื่อว่ำตนเองเป็นเผ่ำพันธ์ุพิเศษมี อภิสิทธ์ิเหนือเหนือเผ่ำพันธ์ุอ่ืนที่อยู่ในโลกใบนี้ มนุษย์จึงปฏิบัติต่อธรรมชำติในฐำนะท่ีเป็นทรัพยำกร

120 และเปน็ เครื่องมือเพื่อควำมสนุกสนำน ควำมพงึ พอใจ ควำมสะดวกสบำยและควำมอยู่รอดจึงเกิดกำร ทำลำยล้ำงทรัพยำกรอย่ำงแพร่หลำยจนนำผลกระทบกลับมำคุกคำมควำมอยู่รอดของมนุษย์เอง มี กำรกลำ่ วถงึ อำรยธรรมหลำยแห่งในอดตี ที่ต้องหำยสำบสูญไปเพรำะผู้มีอำนำจและประชำชนในสังคม รว่ มกนั ทำลำยล้ำงธรรมชำติจนกระท่งั นำไปสคู่ วำมล่มสลำยของสังคมและเผำ่ พันธ์ุหำยสำบสูญไป เช่น อำรยธรรมของชำวเกำะอิสเตอร์ในมหำสมุทรแปซิฟิก อำรยธรรมเผ่ำมำยำในทวีปอเมริกำกลำง และ อำรยธรรมขอมในเอเชีย กำรทำลำยทรัพยำกรและส่ิงแวดล้อมมำจำกชุดควำมคิดของมนุษย์ที่ว่ำ มนุษย์มีควำมสำมำรถในกำรสร้ำงเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหำท่ีเกิดจำกกำรทำลำยธรรมชำติได้ ทรัพยำกรธรรมชำติมีมำกมำยใช้ไม่มีวันหมด ควำมหยิ่งยโสในสติปัญญำของมนุษย์ว่ำจะใช้ วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีในกำรจัดกำรปัญหำทรัพยำกรธรรมชำติและส่ิงแวดล้อมในแบบท่ีมนุษย์ กำหนดไว้ทำให้มนุษย์ตกอยู่ภำยใต้มำยำคติของกำรใช้ทรัพยำกรอย่ำงฟุ่มเฟือยและใช้ชีวิตอย่ำง ประมำท ภำยใต้แนวควำมคิดและกำรปฏิบัติกับทรัพยำกรธรรมชำติแบบทำลำยล้ำง ได้มีนักทฤษฎี ส่งิ แวดลอ้ มช่ือ พอล เทยเ์ ลอร์ ทม่ี มี มุ มองทแี่ ตกต่ำงจำกควำมคดิ กระแสหลกั วำ่ มนุษยเ์ ป็นสมำชิกของ ชุมชนโลกแห่งสรรพชีวิตเช่นเดียวกับส่ิงมีชีวิตอื่น ๆ และมีลักษณะเป็นระบบพลวัตรท่ีเช่ือมโยงและ พึ่งพำอำศัยกัน และมนุษย์ไม่ได้มีควำมเหนือกว่ำหรือมีอภิสิทธ์ิเหนือสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ วิธีคิดของพอล เ ท ย์ เ ล อ ร์ ช่ ว ย ใ ห้ ม นุ ษ ย์ ต้ อ ง หั น ก ลั บ ม ำ ท บ ท ว น ถึ ง ค ว ำ ม เ ห ม ำ ะ ส ม ใ น ก ำ ร มี ป ฏิ สั ม พั น ธ์ กั บ ทรัพยำกรธรรมชำติและส่ิงแวดล้อมแบบใหม่ วิธีคิดท่ีว่ำมนุษย์สร้ำงธรรมชำติขึ้นมำทดแทนส่ิงที่ถูก ทำลำยไปแล้วเปน็ วธิ ีคดิ ที่ไม่มีหลักฐำนและควำมสมเหตสุ มผลทำงวิชำกำรรองรับและสิ่งที่มนุษย์ทำได้ นั้นเป็นเพียงกำรลอกเลียนแบบธรรมชำติเท่ำน้ัน ตัวอย่ำงเช่น มนุษย์คิดว่ำน้ำท่วมภำคกลำงเกิดจำก กำรไมม่ เี ขื่อนหรือเข่ือนไม่พอ ดังนั้นจงึ ตอ้ งสร้ำงเข่ือน ควำมคดิ แบบน้ีไม่ใชว่ ิธีกำรแก้ปญั หำ สงั คมใน อดตี มีวถิ ชี ีวิตทีส่ อดคล้องกับธรรมชำติ ควำมเปน็ อยูข่ องมนุษยป์ รับไปตำมกระแสของธรรมชำติ ถงึ แม้ มีภัยธรรมชำติแต่ไม่รุนแรงเท่ำในปัจจุบัน มนุษย์จึงอยู่ร่วมกับธรรมชำติได้อย่ำงกลมกลืน แต่เมื่อเร่ิม รับแนวคิดแบบตะวันตก วิธีคิดแบบควบคุมธรรมชำติเข้ำมำ มุ่งสร้ำงกำรเติบโตทำงเศรษฐกิจโดย ไมไ่ ดค้ ำนงึ ถงึ สภำพภมู ิศำสตร์ของประเทศจงึ ทำให้ระบบสิ่งแวดล้อมเสยี หำยไป ในยคุ ปจั จุบันพืน้ ฐำน ควำมเช่ือที่ว่ำมนุษย์กำลังเผชิญอยู่กับวิกฤติกำรณ์ทำงด้ำนส่ิงแวดล้อมในขณะที่ทรัพยำกรในโลกน้ีมี อย่ำงจำกัด กำรเพ่มิ จำนวนประชำกร กำรกนิ กำรใช้ของมนษุ ย์เปน็ แรงกดดันแกโ่ ลกและธรรมชำติ แต่ กำรพัฒนำทำงด้ำนเศรษฐกิจก็ยังดำเนินต่อไปอย่ำงไม่มีท่ีส้ินสุด จนในท่ีสุดมนุษย์ก็ได้รับควำม เดือดร้อนเพรำะมนุษย์มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจในกำรจัดกำรกับปัญหำนี้จำกัด เศรษฐกิจท่ีดีควรควบคู่ กับส่ิงแวดล้อมท่ีดีเพ่ือควำมอยู่รอดและคุณภำพชีวิตที่ดีของมนุษย์ ไม่ว่ำจะเป็นสังคมที่มีกำรพัฒนำ ในระดบั ใดต่ำงก็ประสบปญั หำประชำกร ทรพั ยำกรธรรมชำตแิ ละสง่ิ แวดล้อมทเี่ ปน็ ควำมสมั พันธ์ท่ีว่ำ ผลกระทบท่ีเกิดข้ึนต่อสิ่งแวดล้อมข้ึนอยู่กับจำนวนประชำกร อัตรำกำรใช้ทรัพยำกรต่อคน และ ผลกระทบทั้งด้ำนท่ีเป็นประโยชน์และโทษท่ีเกิดข้ึนต่อหน่วยทรัพยำกรซึ่งขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีใน กระบวนกำรสกัดและกำรใช้ทรัพยำกร ดังนั้นไม่ว่ำจะในกรณีที่มีประชำกรมำกจนเกินไป เช่น ใน ประเทศที่กำลังพฒั นำหรือมีกำรบรโิ ภคมำกจนเกินไปเชน่ ในประเทศท่ีพัฒนำแลว้ ก็ลว้ นแต่เปน็ ต้นเหตุ ของปัญหำส่ิงแวดลอ้ มทั้งสิน้ (พิชำย รตั นดลิ ก ณ ภูเกต็ , 2556)

121 4.2 วิกฤติปญั หาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ ม สถำนกำรณ์สง่ิ แวดลอ้ มโลกในปจั จบุ ันมีควำมรนุ แรงมำกขึ้นในทุก ๆ ดำ้ น ไมว่ ำ่ จะเป็นในด้ำน สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ กำรดำรงชีวิตควำมเป็นอยู่ของประชำกร สภำพเศรษฐกิจและสังคมท่ี เปลี่ยนแปลงไป จำกสถำนกำรณ์กำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศทำให้ทรัพยำกรธรรมชำติและ สิ่งแวดล้อมเปล่ียนไปจำกอดีต ทรัพยำกรธรรมชำตทิ ี่เคยอุดมสมบูรณ์กลับเสอื่ มโทรมและร่อยหรอจน น่ำวิตกกังวล มีกำรรำยงำนว่ำทุก ๆ ปีทั่วโลกจะมีกำรสูญเสียพื้นที่ป่ำไม้เท่ำกับขนำดของประเทศ อังกฤษโดยเฉพำะป่ำฝนเขตร้อนท่ีจะส่งกระทบร้ำยแรงต่อสภำพอำกำศและสัตว์ป่ำ นอกจำกน้ียัง พบว่ำ กำรสูญเสียพื้นที่ป่ำไม้มีอัตรำเพิ่มข้ึนมำกถึง 26 ล้ำนเฮกตำร์ต่อปี ถึงแม้ว่ำจะมีทำปฏิญญำ รว่ มกันในกำรลดอตั รำกำรสูญเสยี ปำ่ ไมเ้ ม่อื ปี พ.ศ. 2557 ในปฏญิ ญำนครนิวยอร์กว่ำด้วยปำ่ ไม้ (New York Declaration on Forests ; NYDF) ระบุถึงควำมรว่ มมือของประเทศตำ่ ง ๆ ในกำรต้องลดอัตรำ กำรสูญเสียพื้นท่ีป่ำลงให้ได้อย่ำงนอ้ ยคร่ึงหน่ึงภำยในปี พ.ศ. 2563 และส่งเสริมกำรฟื้นฟูพ้ืนท่ีป่ำไม้ท่ี ถูกทำลำย 150 ล้ำนเฮกตำร์ แต่สถำนกำรณ์กำรเส่ือมโทรมของพ้ืนท่ีป่ำไม้เขตร้อนกลับไม่ได้มีอัตรำ กำรสูญเสียลดลง แต่กลับมีแนวโน้มที่ป่ำไม้ถูกทำลำยเสียหำยเพิ่มมำกข้ึน 43 % โดยพื้นที่ป่ำฝนเขต รอ้ นมีอตั รำกำรเสยี หำยมำกทส่ี ุด มีอตั รำกำรลดลงรำว 4.3 ลำ้ นเฮกตำร์ต่อปี ป่ำฝนเขตร้อนในละติน อเมริกำได้รับควำมเสียหำยมำกที่สุด ส่วนทำงด้ำนแอฟริกำพบว่ำอัตรำกำรทำลำยป่ำเพิ่มมำกขึ้นเป็น 2 เท่ำจำกเดิมท่ีเคยสูญเสียน้อยกว่ำ 2 ล้ำนเฮกตำร์ต่อปี เป็นมำกกว่ำ 4 ล้ำนเฮกตำร์ ป่ำแอมะซอน ของบรำซิลท่ีมีรำยงำนเม่ือเดือนมิถุนำยน พ.ศ. 2562 พบว่ำ อัตรำกำรตัดไม้ทำลำยป่ำเพิ่มขึ้น 88 % เม่ือเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่ง Charlotte Streck ได้กล่ำวว่ำไฟป่ำที่เกิดข้ึนเป็นเร่ือง นำ่ วติ กกังวลเพรำะป่ำฝนเขตร้อนจะเกิดไฟป่ำได้ยำกดว้ ยควำมเขียวชอุ่มของพืชพรรณจะเป็นกลไกใน กำรป้องกันไฟป่ำได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ แต่สภำพอำกำศท่ีร้อนขึ้นของโลกจึงทำให้ผืนป่ำต้องเกิด ควำมแห้งแล้งส่งผลให้ติดไฟง่ำยข้ึน กำรรักษำผืนป่ำเอำไว้เป็นหนทำงที่ดีที่สุดในกำรป้องกันกำร เปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศ แต่คำดกันว่ำค่ำใช้จ่ำยในกำรอนุรักษ์ผืนป่ำสำคัญท่ัวโลกมีมำกถึงหมื่น ล้ำนดอลลำร์ต่อปี (เอกวิทย์ เตระดิษฐ์, 2562)

122 รปู ท่ี 4.1 กำรสญู เสยี พ้นื ท่ีป่ำเขตรอ้ นเฉลย่ี กอ่ นและหลังกำรลงนำมปฏญิ ญำนครนิวยอร์กว่ำดว้ ยป่ำไม้ ท่ีมำ : ( World Resources Institute analysis based on 2019 data from Global Forest Watch.จำกhttps://www.theguardian.com/environment/2019/sep/12/deforestation- world-losing- area- forest-size-of-uk-each-year-report-finds) กำรทำลำยป่ำไม้ยังนำไปสู่กำรลดจำนวนสัตว์ป่ำและบำงชนิดอำจสูญพันธ์ุไปจำกถิ่นกำเนิด เพรำะป่ำไม้ท่ีเป็นถ่ินท่ีอยู่และแหล่งอำหำรถูกทำลำย ในปี พ.ศ. 2528 องค์กำรสัตว์ป่ำโลก (FAO) ได้สำรวจพบและรำยงำนว่ำ ประเทศไทยมีกำรทำลำยป่ำสูงสุดเป็นอันดับสองของโลกรองจำก อินโดนีเซีย ประมำณปีละ 3.5 ล้ำนไร่ ท้ังนี้ไม่รวมทุ่งหญ้ำชำยป่ำและหนองบึงขนำดใหญ่ ป่ำแต่ละ แห่งมีควำมสำคัญต่อสัตว์ป่ำแตกต่ำงกันไปตำมชนิดของมัน สัตว์ป่ำขนำดใหญ่ ต้องกำรพ้ืนท่ีหำกิน กวำ้ งกวำ่ สตั ว์ขนำดเล็ก เช่น ชำ้ งต้องกำรพ้ืนที่มำกกว่ำ 165 ตำรำงกิโลกเมตรต่อโขลงต่อปี เป็นป่ำท่ี มีสภำพเป็นป่ำดงดิบในฤดูแล้งท่ีไม่ช้ืนแฉะมำกและเป็นป่ำโปร่งในฤดูฝนท่ีมีหญ้ำระบัด กวำงชอบ อำศัยอยู่ในป่ำโปร่ง เช่น ป่ำเต็งรัง และป่ำเบญจพรรณ นกบำงชนิดอยูเ่ ฉพำะในป่ำดงดิบ แต่บำงชนิด ก็อยู่ได้เฉพำะบริเวณป่ำในที่ลุ่ม ควำมต้องกำรอยู่อำศัยของสัตว์แต่ละประเภทมีควำมแตกต่ำง ดังนั้น นอกจำกกำรปอ้ งกนั ไม่ให้ป่ำถูกทำลำยแลว้ ยังต้องมีชนดิ ของป่ำท่ีหลำกหลำยดว้ ยเพื่อที่จะอนุรกั ษ์สัตว์ ป่ำนำนำชนดิ (มูลนิธิสืบนำคะเสถียร, 2560) วิกฤติสถำนกำรณ์ด้ำนพิบัติภัยธรรมชำติท่ีเกิดขึ้นนับตั้งแต่ก้ำวเข้ำสู่ศตวรรษที่ 21 มี เหตุกำรณ์ภัยธรรมชำติหลำยคร้ังท่ีสร้ำงควำมเสียหำยทำลำยท้ังชีวิตและทรัพย์สินของประชำกรบน โลกนบั มลู คำ่ ไม่ถ้วน ซึ่งจำกสถิตใิ นอดีตทำให้สำมำรถคำดกำรณ์ไดว้ ำ่ กำรเกิดภัยพบิ ัตทิ ำงธรรมชำติคง

123 ยังเกิดขึ้นต่อไปในอนำคตและมีแนวโน้มกำรเกิดถ่ีข้ึนและมีควำมรุนแรงมำกข้ึน หำกย้อนไปเม่ือปี ค.ศ. 1950 หรือหลังยุคสงครำมโลกครั้งที่ 2 ซ่ึงเป็นช่วงท่ีมนุษย์ทำลำยธรรมชำติมำกท่ีสุด ตัดไม้ ปล่อยกำ๊ ซเรือนกระจก ปล่อยนำ้ เสยี ใช้ทรพั ยำกรธรรมชำติอย่ำงหนกั หน่วงเพ่ือรองรับกำรเติบโตตำม ระบบเศรษฐกจิ แบบทุนนิยมซงึ่ ทำใหใ้ นช่วงเวลำน้นั ทรัพยำกรธรรมชำตเิ สื่อมโทรมอยำ่ งรวดเรว็ พอถึง ยุคปฏิวัติอุตสำหกรรม หรือประมำณปี ค.ศ. 1957 ในยุคนี้มนุษย์ใช้เครื่องจักรและนำถ่ำนหินมำใช้ เป็นพลังงำน มีกำรปล่อยก๊ำซเรือนกระจกมำกยิ่งขึ้น ทำให้ช่วงเวลำต่อมำอุณหภูมิฉลี่ยของอำกำศ พ้ืนผิวโลกสูงขึ้นและสูงต่อเนื่องมำโดยตลอด ท้ังนี้คณะกรรมกำรระหว่ำงรัฐบำลว่ำด้วยกำร เปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศ (IPCC) ระบุว่ำอุณหภูมิเฉล่ียของอำกำศใกล้พ้ืนผิวโลกจะสูงข้ึน 1.1- 6.4 องศำเซลเซียส ในศตวรรษท่ี 21 น้ีซ่ึงเป็นปรำกฏกำรณ์ท่ีเรียกว่ำภำวะโลกร้อน และเมื่อปี ค.ศ. 1997 รัฐบำลของประเทศต่ำง ๆ ท่ัวโลก จำนวน 160 ประเทศได้ตระหนักดีถึงปัญหำนี้ จึงได้ทำ ข้อตกลงร่วมกันในกำรลดกำรปล่อยก๊ำซเรือนกระจกท่ีเรียกว่ำ พิธีสำรเกียวโต กำรทำร้ำยธรรมชำติ ส่งผลต่อกำรเกิดภัยพิบัติทำงธรรมชำติ เช่น ภำวะโลกร้อนส่งผลให้เกิดกำรละลำยของภูเขำน้ำแข็ง บริเวณข้ัวโลกและส่งผลต่อระดับน้ำทะเลท่ีสูงขึ้นท่ัวโลก ทำให้พ้ืนท่ีชำยฝ่ังหำยไป ศูนย์ข้อมูลน้ำแข็ง และหิมะแห่งชำติ มหำวิทยำลัยโคโรลำโดร่วมกับนักวิทยำศำสตร์ขององค์กำรนำซ่ำและมหำวิทยำลยั วอชิงตันรำยงำนผลกำรศึกษำว่ำ แผ่นน้ำแข็งท่ีอำร์กติกขั้วโลกเหนือมีกำรหดตัวลงเหลือเพียง 5.32 ล้ำนตำรำงกิโลเมตร จำกแผ่นน้ำแข็งเดิมท่ีมีขนำดเกือบ 7 ล้ำนตำรำงกิโลเม ตรซึ่งเป็นกำร เปลี่ยนแปลงท่ีรุนแรงมำกและถ้ำอุณหภูมิท่ีพ้ืนผิวโลกจะสูงข้ึนไปถึง 6.4 องศำเซลเซียสตำมกำร คำดกำรณ์ ประเทศไทยอำจตอ้ งจมอยใู่ ต้น้ำ ภำวะโลกร้อนยังมีอิทธิพลต่อกำรหมุนเวียนของกระแสน้ำอุ่นในมหำสมุทรอีกด้วยโดยสภำพ อำกำศที่แปรปรวนในบำงพน้ื ทเ่ี กิดควำมแห้งแล้งและอำกำศร้อนท่เี รียกว่ำ เอลนโิ ญ แต่บำงท่กี ลับเกิด พำยุฝนตกหนักจนน้ำท่วมซึ่งเป็นเหตุกำรณ์ที่ตรงกันข้ำมกับเอลนิโญท่ีเรียกว่ำ ลำนิญำ เม่ือปี พ.ศ. 2547 ประเทศไทยก็เคยประสบกับภัยพิบัติร้ำยแรงครั้งสำคัญคือ กำรเกิดสึนำมิในพ้ืนท่ีภำคใต้ ประเทศเพื่อนบ้ำนอยำ่ งประเทศเมยี นมำร์ถกู พำยไุ ซโคลนนำร์กสี พดั เข้ำทำลำยเกดิ ควำมเสยี หำยเมื่อปี พ.ศ. 2551 สถิติกำรเกิดภัยพิบัติทำงธรรมชำตินับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ท่ัวโลกได้ประสบกับภัย ธรรมชำติร้ำยแรงหลำยหลังคร้ัง ทั้งพิบัติภัยจำกแผ่นดินไหว สึนำมิ พำยุ และคล่ืนควำมร้อน ดัง แสดงในตำรำงท่ี 4.1

124 ตำรำงที่ 4.1 กำรเกดิ ภัยพบิ ัติทำงธรรมชำตินบั ตง้ั แต่ ปี ค.ศ. 2000 ประเภท วนั ทีเ่ กิด สถานทเ่ี กดิ ผูเ้ สียชวี ติ (ประมาณ) สึนำมิ 26 ธนั วำคม 2004 สมุ ำตรำ อินโดนเี ซยี 230,210 แผ่นดินไหว 12 มกรำคม 2010 เฮติ 222,570 พำยหุ มนุ 2 พฤษภำคม 2008 เมียนมำร์ 146,000 สนึ ำมิ 11 มนี ำคม 2011 ญ่ปี นุ่ 18,400 ค ลื่ น ค ว ำ ม มถิ ุนำยน-สิงหำคม 2003 ฝร่ังเศส โปรตุเกส สเปน 40,000 รอ้ น เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี อังกฤษ สวติ เซอรแ์ ลนด์ ค ลื่ น ค ว ำ ม มิถนุ ำยน-สิงหำคม 2010 รสั เซยี 56,000 รอ้ น ค ลื่ น ค ว ำ ม 2003 อนิ เดยี 1500 ร้อน ค ลื่ น ค ว ำ ม 2009 ออสเตรเลีย 210 ร้อน หมิ ะถล่ม 9 กมุ ภำพันธ์ 2010 อฟั กำนสิ ถำน 172 หมิ ะถล่ม 20 กันยำยน 2002 รัสเซีย 125 หิมะถล่ม 17 กุมภำพันธ์ 2010 ปำกีสถำน 102 ที่มำ : (ดัดแปลงจำก https://www.moe.go.th/moe/upload/knowledge/htmlfiles/23312- 1882.html) 4.3 สาเหตุของปัญหาทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ ม ปัญหำทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อมที่เกิดข้ึนในปัจจุบันน้ีมีหลำยสำเหตุและมีปัจจัย ต่ำง ๆ ที่มีส่วนทำให้ปัญหำมีควำมซับซ้อนมำกขึ้น จำนวนประชำกรท่ีเพิ่มมำกข้ึน ควำมรู้ ควำมก้ำวหน้ำทำงเทคโนโลยีท่ีส่งต่อควำมเจริญของสำขำอำชีพต่ำง ๆ ระบบเศรษฐกิจ และรวมถึง ควำมคิดเห็นที่แตกต่ำงกันในระบอบกำรเมืองกำรปกครองซึ่งล้วนต่ำงมีอิทธิพลต่อกำรเปลี่ยนแปลง สภำพทรัพยำกรธรรมชำตแิ ละสิ่งแวดลอ้ มทั้งสิ้น 4.3.1 จานวนประชากรเพ่มิ ขน้ึ จำนวนประชำกรนับเป็นตัวแปรสำคัญต่อกำรใช้ทรัพยำกรธรรมชำติบนโลกและส่งผล กระทบต่อปัญหำส่ิงแวดล้อมจำกปริมำณของเสียท่ีเพ่ิมข้ึน กำรใช้ทรัพยำกรของแต่ละคน แต่ละ ประเทศ แตล่ ะภมู ภิ ำค แตล่ ะทวปี อำจมีควำมมำกน้อยแตกต่ำงกันไปตำมปัจจัยแวดล้อม เช่น สถำนะ ทำงเศรษฐกิจ มำตรฐำนกำรครองชีพ ควำมเจริญของเมือง ค่ำนิยม เป็นต้น กำรเปล่ียนแปลงด้ำน ตำ่ ง ๆ ของประชำกรทเ่ี กิดข้นึ มำจำกตัวแปรขนำด เชอ้ื ชำติ กำรเกิดข้นึ ของชนกลุ่มน้อย กลุ่มชำติพนั ธ์ุ ใหม่ ๆ อัตรำกำรเกิดและกำรตำย กำรกระจำยทำงภูมิศำสตร์ อำยุ และรำยได้ ฝ่ำยเศรษฐกิจและ กิจกำรสังคมของสหประชำชำติ คำดกำรณ์ว่ำจำนวนประชำกรโลกจะเพิ่มข้ึนถึง 9.7 พันล้ำนคน

125 ภำยในปี ค.ศ 2050 และเพ่มิ เป็น 1.1 หม่ืนลำ้ นคนในปี ค.ศ. 2100 ถึงแม้อัตรำกำรเกิดจะลดน้อยลง เม่ือเทียบกับช่วงศตวรรษที่ 19 แต่สัดส่วนของอำยุประชำกรที่เพิ่มข้ึนทำให้จำนวนประชำกรโลก ขยำยตัว หลำยประเทศประสบปัญหำภำวะอัตรำกำรเกิดต่ำลง เช่น ในประเทศกำลังพัฒนำและ ประเทศพัฒนำแล้วอย่ำงประเทศญี่ปุ่นและประเทศในเครือสหภำพยุโรป ประเทศเหล่ำนี้กลับมี จำนวนผู้สูงอำยุเพ่ิมมำกขึ้น นอกจำกน้ีในรำวปี ค.ศ. 2027 คำดว่ำประเทศอินเดียจะมีแนวโน้ม ประชำกรมำกกว่ำประเทศจีนที่เคยเป็นประเทศที่มีประชำกรมำกที่สุดในโลก สัดส่วนประชำกรที่ เพ่ิมขึ้นมีผลมำจำกปัจจัยทำงด้ำนเทคโนโลยีกำรแพทย์ที่ก้ำวหน้ำ ทำให้ประเทศกำลังพัฒนำหลำย ประเทศสำมำรถรักษำและยับยั้งกำรระบำดของโลกได้ โอกำสที่เด็กทำรกและมำรดำจะเสียชีวิต น้อยลง ส่วนในประเทศที่พัฒนำแล้วเทคโนโลยีทำงด้ำนกำรแพทย์ทำให้ยังคงมีสัดส่วนประชำกรท่ี เพ่ิมข้ึนไม่มำก องค์กำรสหประชำชำติได้คำดกำรณ์ว่ำภำยในปี ค.ศ. 2050 จำนวนกำรเติบโตของ ประชำกรจะอยู่ท่ี 1.3 พันล้ำนคน ต่ำงจำกประเทศกำลังพัฒนำท่ีอำจเพ่ิมข้ึน 97% เมื่อเทียบกับ ประชำกรโลกท้ังหมดซ่ึงส่วนใหญ่อยู่ในทวีปแอฟริกำ 49 % และส่วนอ่ืนที่เป็นประเทศกำลังพัฒนำ ท่ัวโลกอีก 38 % นอกจำกน้ี Klaus Schwab ผู้ก่อต้ังและประธำนสภำเศรษฐกิจโลก (WEF) ได้ให้ ควำมเห็นว่ำ โลกกำลังเข้ำสู่ยุคกำรปฏิวัติอุตสำหกรรมครั้งท่ี 4 ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและ นวัตกรรม ท้ังปัญญำประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง ( IoT) จะมีส่วนสำคัญอย่ำงย่ิงในกำร เปล่ียนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนและท่ีสำคัญคือ ควำมรุนแรงของปัญหำส่ิงแวดล้อม ควำมเป็นธรรมและ ควำมยั่งยนื ของทรัพยำกรทจ่ี ะเป็นประเด็นท้ำทำยในศตวรรษนี้ 4.3.2 เทคโนโลยี ควำมก้ำวหน้ำของเทคโนโลยีทำให้กำรพัฒนำด้ำนต่ำง ๆ ของแต่ละประเทศเกิด ควำมก้ำวหน้ำและนำไปสู่กำรแข่งขันกันในระดับโลก สร้ำงควำมสะดวกสบำยให้กับมนุษย์ แต่ใน ควำมก้ำวหน้ำของเทคโนโลยีท่ีทำให้อุตสำหกรรม กำรเกษตร กำรคมนำคมขนส่งเจริญก้ำวหน้ำ แต่ เทคโนโลยีก็มีสว่ นสำคัญอย่ำงย่ิงในกำรสร้ำงผลกระทบและควำมเสยี หำยใหแ้ ก่ส่ิงแวดลอ้ ม เช่น กำร พัฒนำอุตสำหกรรมทำให้มีกำรใช้พลังงำนและสำรเคมีต่ำง ๆ ส่งผลกระทบต่อกำรเกิดก๊ำซเรือน กระจกและสงิ่ ปนเป้ือนที่เปน็ มลพิษสชู่ ัน้ บรรยำกำศและแหลง่ นำ้ ผลผลิตจำกอุตสำหกรรมเม่ือใช้งำน แล้วกลำยเปน็ ขยะทีต่ ้องกำจดั ขยะบำงชนิดเป็นขยะอนั ตรำยท่ตี ้องมวี ธิ ีกำรเฉพำะในกำรกำจัด ทำให้ มีต้นทุนในกำรกำจัดขยะเพิ่มมำกข้ึน ส่วนกำรคมนำคมขนส่งต้องใช้พลังงำน ท้ังน้ำมันและก๊ำซ ธรรมชำติมีปริมำณกำรใช้มำกขึ้นส่งผลให้มีปริมำณก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์และก๊ำซเรือนกระจกเพิ่ม มำกขนึ้ นอกจำกนีย้ ังเป็นผลทำให้ต้องขยำยถนนหนทำงตำ่ ง ๆ เพิ่มขน้ึ เพ่ือรองรับปริมำณรถยนต์ที่มี จำนวนเพิ่มขึ้นอย่ำงรวดเร็ว ซึ่งในบำงเส้นทำงอำจต้องมีกำรถมแม่น้ำคูคลองทำให้พื้นที่ระบำยน้ำ ลดลงพอถึงฤดูฝนทำให้น้ำฝนระบำยไม่ทันจนเกิดปัญหำน้ำท่วมตำมมำ นอกจำกนี้ก๊ำซ คำร์บอนไดออกไซด์ยังเป็นตัวกำรสำคัญท่ีทำให้เกิดภำวะโลกร้อนและกำรเปล่ียนแปลงสภำพ ภูมิอำกำศ กำรเกษตรกรรมท่ีเปล่ียนรูปแบบกำรผลิตแบบดั้งเดิมไปสู่วิถีกำรผลิตแบบใหม่ที่เป็นกำร ปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่เน้นผลิตเพ่ือกำรพำณิชยท์ ำให้ต้องใช้สำรเคมี ปุ๋ยเคมีเพิ่มมำกข้ึนส่งผลให้มีสำรเคมี สะสม ตกค้ำงและปนเปื้อนในส่ิงแวดล้อม มีผลกระทบต่อคุณภำพดินและคุณภำพของแหล่งน้ำใน เวลำต่อมำ ทำให้ระบบนิเวศเกษตรเกิดกำรเปลี่ยนแปลง สง่ิ มีชีวติ ในดินและนำ้ ได้รับสำรเคมีและเกิด กำรสะสมของสำรเคมีในห่วงโซ่อำหำร (Bioaccumulation) มนุษย์จะได้รับอันตรำยจำกสำรเคมี

126 เหล่ำน้ีโดยกำรรับประทำนอำหำรจำกระบบกำรผลิตท่ีมีกำรใช้สำรเคมี นอกจำกนี้แล้วกำรปนเป้ือน ของสำรเคมีเหล่ำนี้ยังแพร่กระจำยไปยังระบบนิเวศอื่น ๆ ทำให้ระบบนิเวศโดยรวมเกิดกำร เปล่ียนแปลงในที่สุด ถึงแม้เทคโนโลยีจะมีประโยชน์กับมนุษย์แต่หำกใช้ไม่ระวังและรอบคอบย่อม ส่งผลกระทบกลับมำหำเรำได้ มีรำยงำนกำรศึกษำถึงผลกระทบจำกกำรพัฒนำวัสดุนำโนต่อ สิ่งแวดล้อมว่ำ วัสดุนำโนมีควำมเป็นพิษต่อสัตว์ทดลองในระดับต่ำง ๆ ขึ้นอยู่กับชนิด ขนำด และ ปริมำณของวัสดุนำโนที่สัตว์น้ันได้รับแต่กำรทดลองนี้ยังเป็นกำรทดลองเพียงแง่มุมเดียวคือ ในกรณี ของสัตว์ทดลองท่ีได้รับวัสดุนำโนโดยตรงในปริมำณมำกคร้ังเดียวซ่ึงกรณีน้ีอำจเกิดขึ้นกับคนงำนใน โรงงำนผลิตวัสดุนำโนได้และเมื่อพิจำรณำถึงกำรแพร่กระจำยของวัสดุนำโนในส่ิงแวดล้อมเมื่อถูก นำมำใช้เปน็ องค์ประกอบของสินคำ้ ต่ำง ๆ โดยท่ียังไม่ไดต้ ระหนักถงึ ปัญหำกำรปนเปื้อนของวัสดุนำโน เพรำะยังไม่มีผลตอ่ สุขภำพในระยะเวลำอันใกล้ แต่กำรปนเปอื้ นของวสั ดุนำโนอำจมีกำรสะสมเพ่ิมข้ึน จำกกำรใช้งำนและทำให้ส่ิงมีชีวิตในระบบนิเวศในท่ีต่ำง ๆ อำจได้รับผลกระทบจำกวัสดุนำโนทีละ นอ้ ย ๆ โดยที่สำมำรถสงั เกตเห็นได้ ทั้งนใ้ี นตำ่ งประเทศได้เริ่มมีกำรวิจยั ถงึ ผลกระทบของอนุภำคนำโน ต่อระบบนิเวศ เช่น กำรศึกษำเปรียบเทียบควำมเป็นพิษต่อระบบนิเวศของอนุภำคนำโนไทเทเนียม ออกไซด์ ซิลิกำ และซิงค์ออกไซด์ในสภำพแขวนลอยในน้ำ ศึกษำปัจจัยที่ส่งผลต่อกำรยับยั้งกำร เจริญเติบโตของแบคทีเรีย ได้แก่ ควำมเข้มข้นของสำรแขวนลอยทั้ง 3 ชนิด ขนำดของอนุภำคนำโน และกำรกระตุ้นด้วยแสง ใช้แบคทีเรีย Gram-negative E.Coli และ Gram-positive B.subtilis พบวำ่ ซิงคอ์ อกไซด์ยับยั้งกำรเจริญเติบโตของแบคทเี รียมำกทีส่ ุด รองมำเปน็ ไทเทเนียมออกไซด์และซิ ลิกำ ผลกำรวิจัยแสดงให้เห็นว่ำ อนุภำคนำโนท่ีมีขนำดเล็กและกำรกระตุ้นด้วยแสงมีผลต่อกำรยับยั้ง กำรเจริญเติบโตของแบคทีเรียมำกข้ึน เช่น ซิงค์ออกไซด์ขนำด 480 นำโนเมตรท่ีระดับควำมเข้มข้น 10 ppm ในสภำวะที่มีแสงสำมำรถยับย้ังกำรเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ร้อยละ 90 ถ้ำหำกนำผล กำรทดลองมำใช้เพ่ือยับยั้งกำรเจริญเติบโตของแบคทีเรียในผลิตภัณฑ์ใดก็ทำให้สำมำรถบรรลุ จุดประสงค์ของกำรผลิตผลิตภัณฑ์ แต่ในด้ำนกำรจัดกำรกับผลิตภัณฑ์ท่ีมีนำโนเป็นองค์ประกอบหลัง เสื่อมสภำพหรือหมดอำยุแล้วจะมีกำรจัดกำรต่อไปอย่ำงไรเพื่อไม่ให้เกิดกำรแพร่กระจำยของอนุภำค นำโนสู่สิ่งแวดล้อมซ่ึงอำจทำอันตรำยต่อสิ่งมีชีวิตอ่ืน ๆ เช่น แบคทีเรียท้ังที่มีประโยชน์และมีโทษ ดงั นนั้ จงึ ต้องตระหนกั วำ่ ควำมเจริญของเทคโนโลยีอำจสง่ ผลกระทบตอ่ คุณภำพชีวิตและส่งิ แวดล้อมได้ (สุพณิ แสงสขุ , 2552) 4.3.3 ระบอบการเมอื งการปกครอง ปัญหำส่ิงแวดล้อมที่เป็นปัญหำสำคัญ ๆ เช่น ภำวะโลกร้อน ควำมหลำกหลำยทำง ชีวภำพลดลง แต่เมื่อพิจำรณำให้ลึกลงไปจะพบว่ำระบบกำรเมืองกำรปกครองที่เกิดข้ึนท่ัวโลกน่ำจะ เป็นต้นเหตุของปัญหำสง่ิ แวดลอ้ มท้ังหมด สง่ิ แวดลอ้ มมีควำมซับซอ้ น มคี วำมเปรำะบำงและยำกเกิน กว่ำท่ีจะใช้นักวิทยำศำตร์หรือนักเทคนิคสำขำใดสำขำหน่ึงที่มีควำมเชี่ยวชำญเฉพำะมำแก้ไขปัญหำ เพรำะบำงปัญหำไม่ใช่ปัญหำเชิงเทคนิคหรือปัญหำทำงวิทยำศำสตร์แต่ปัญหำทั้งหมดของสิ่งแวดล้อม คือ กำรบรู ณำกำรในหลำย ๆ เร่อื งเขำ้ ดว้ ยกันจนกลำยเป็นปัญหำท่ตี ้องเข้ำใจในหลำย ๆ ศำสตร์ และ ในปัญหำท่ีไม่ใช่วิทยำศำสตร์จะเป็นปัญหำท่ีแก้ไขได้ยำก เช่น ปัญหำทำงด้ำนสังคมและจิตวิญญำณ ของมนษุ ย์ดังท่ี กฤษฎำ บุญชัย (2563) ไดก้ ล่ำวถึงปัญหำนี้วำ่ เปน็ สภำพท่ีถูกขับออกมำอย่ำงเด่นชัด ในระบบทุนนยิ มซ่งึ ระบบกำรเมืองหลัก ๆ ของโลกทีม่ ีอยู่ในอดีตถึงปัจจุบนั เช่น ระบบสังคมนยิ มและ

127 ทุนนิยมเสรีต่ำงล้มเหลวในกำรจัดกำรปัญหำส่ิงแวดล้อมซ่ึงเกรียตำ ทุนแบร์ย นักเคล่ือนไหว สิง่ แวดล้อมอำยนุ ้อยชำวสวีเดนได้กลำ่ วไว้วำ่ “ไม่วำ่ ซำ้ ยหรอื ขวำหรอื ตรงกลำงล้วนล้มเหลวทัง้ ส้นิ ไม่ มีแนวคิดทำงกำรเมืองกำรปกครองหรือโครงสร้ำงทำงเศรษฐกิจใดท่ีสำมำรถยั บยั้งกำรเปลี่ยนแปลง สภำพภูมอิ ำกำศหรือสรำ้ งโลกที่ยั่งยนื ได้” จำกกำรแสดงควำมรู้สกึ นี้ทำใหเ้ กิดควำมตระหนักว่ำปัญหำ สิ่งแวดล้อมในประเด็นเร่ืองโลกร้อนที่ทั้งโลกต่ำงเห็นถึงอันตรำยแต่ก็ไม่สำมำรถจะจัดกำรกับปัญหำ ดังกล่ำวได้เพรำะไม่ได้ทำอย่ำงจริงจังแต่เป็นกำรช่วยกันระดมควำมคิดในกำรแก้ไขปัญหำผ่ำนกลไก ต่ำง ๆ เช่น กำรระดมทุนผ่ำนข้อตกลงระดับสำกลและแม้กระท่ังกำรตั้งเป้ำหมำยกำรพัฒนำท่ีย่ังยนื ก็ ยังไม่สำมำรถที่จะช่วยแก้ปัญหำภำวะโลกร้อนให้สำเร็จได้ในขณะน้ี เพรำะปัญหำสำคัญอยู่ที่รัฐถูก กำกับโดยระบบทุนนิยม ด้วยสถำนกำรณ์ในโลกปัจจุบันบบี บังคับให้ทุนนยิ มต้องขับเคลื่อนไปให้รอด ในสภำวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังมีปัญหำ กำรเกิดสถำนกำรณ์ท่ีไม่ได้คำดคิดมำก่อนเป็นปัจจัยสำคัญท่ี ทำให้กำรแก้ปัญหำสิ่งแวดล้อมต้องชะลอไว้ก่อน ดังน้ันไม่ว่ำจะเป็นระบบเศรษฐกิจแบบใดจึงไม่มี อิสระพอท่ีจะทำให้เศรษฐกิจลดปัญหำกำรสร้ำงภำวะโลกร้อนได้ และถึงแม้ว่ำสภำวะโลกร้อนจะทำ ให้เกิดกำรทบทวนแนวคิด แนวคิดที่เคยให้ควำมสำคัญกับรัฐเป็นศูนย์กลำงเพ่ือผลประโยชน์ของรัฐ มงุ่ กำรเมืองระดับบน สร้ำงข้อตกลง กติกำผ่ำนองค์กรระหว่ำงประเทศ เชน่ สหประชำชำตทิ ี่เช่ือมั่นใน ควำมก้ำวหน้ำทำงวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี บริหำรด้วยระบบกลไกตลำด สร้ำงกำรพัฒนำเพื่อ ควำมเติบโตม่ังค่งั และสรำ้ งระบบกำรแลกเปลีย่ นถำ่ ยโอนกำรจดั กำรปัญหำโลกร้อนและสิ่งแวดล้อมใน ฐำนะสินค้ำชนิดหนึ่งก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหำได้เลย ทั้งหมดนี้เป็นกำรปฏิรูปทุนอุตสำหกรรมพลังงำน ฟอสซิล อุตสำหกรรมเกษตรและอำหำรและอื่น ๆ ท่ีเป็นสำเหตุของภำวะโลกร้อนไม่ได้เลย (กฤษฎำ บุญชัย, 2563) จำกแนวคิดรัฐเป็นศูนย์กลำงท่ีไม่ค่อยได้ผลจึงเกิดแนวคิดกำรกระจำยอำนำจขึ้นโดย กรณีศึกษำเร่ืองป่ำชุมชนท่ีบัณฑิต ศิริรักษ์โสภณ (2561) ได้ศึกษำเรื่องกำรเมืองเรื่องป่ำชุมชน ปัญหำ เชิงนโยบำยและระบบกรรมสิทธิ์ร่วมในสังคมไทย โดยศึกษำกำรมีส่วนร่วมของชุมชนในกำรจัดกำร ทรัพยำกรธรรมชำติซึ่งเป็นประเด็นที่ได้รับกำรยอมรับในเวทีระหว่ำงประเทศ ในประเทศไทยได้เกิด กำรต่อสู้เพ่ือให้ได้สิทธ์ิในกำรเข้ำไปจัดกำรทรัพยำกรธรรมชำติโดยเรียกร้องให้เกิดกำรเปล่ียนแปลง กำรจัดกำรทรัพยำกรธรรมชำติที่รวมศูนย์จำกรัฐมำเป็นกำรจัดกำรท่ีให้ชุมชนและประชำชนเข้ำมำมี ส่วนร่วม ซึ่งในงำนวิจัยได้เสนอให้ใช้ระบบสิทธิ์ร่วมท่ีเน้นกำรกระจำยอำนำจ กำรมีส่วนร่วมในกำร พัฒนำและอนุรกั ษ์ป่ำไมร้ วมทัง้ ขยำยไปสู่ทรพั ยำกรธรรมชำตอิ นื่ ๆ 4.3.4 ระบบเศรษฐกิจ กำรเติบโตของระบบเศรษฐกิจโดยเฉพำะเศรษฐกิจแบบทุนนิยมผูกขำดที่เติบโตอย่ำง รวดเร็วและมีผลต่อควำมเสื่อมโทรมของระบบนิเวศระดับต่ำง ๆ อย่ำงรวดเร็วเช่นกัน ยกตัวอย่ำงเช่น ระบบทนุ นยิ มอตุ สำหกรรมสง่ เสริมเกษตรกรปลกู พืชเพอื่ ส่งออกแทนกำรปลกู พชื เพ่ือยังชีพแบบด้ังเดิม ทำให้กำรใช้น้ำ ปุ๋ย พลังงำน และสำรเคมีเพิ่มมำกขึ้นจนเกิดขีดควำมสำมำรถของระบบนิเวศหรือ ระบบธรรมชำติจะรองรับได้ (Carrying capacity) และภำยใต้ระบบทุนนิยมของโลกน้ียังทำให้เกิด กำรเติบโตที่สร้ำงควำมเหลื่อมล้ำทำงสังคมและควำมเสื่อมโทรมของส่ิงแวดล้อมในประเทศยำกจนที่ ขำดท้ังควำมรู้ และเทคโนโลยีที่จะนำมำป้องกนั และแกป้ ัญหำภยั พิบตั ิจำกสิ่งแวดลอ้ ม หลังกำรปฏิวตั ิ อุตสำหกรรม ระบบเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนด้วยทรัพยำกรธรรมชำติจำนวนมหำศำลทั้งน้ำมัน ถ่ำนหนิ สินแร่ และไดส้ ร้ำงของเสียและสิ่งทเี่ ปน็ มลพิษจำกอุตสำหกรรมทำลำยดิน น้ำ อำกำศอยำ่ งท่ีไม่เคยมี

128 มำก่อนในช่วงปลำยศตวรรษท่ี 21 ปรำกฏหลักฐำนที่นักวิทยำศำสตร์แสดงให้เห็นว่ำ กำรกระทำของ มนุษย์โดยผ่ำนกิจกรรมทำงเศรษฐกิจแบบระบบทุนนิยมและลัทธิบริโภคนิยมทำให้เกิดควำมเสียหำย แก่สงิ่ แวดล้อมและทรัพยำกรมำกมำยเพียงใด สถำนกำรณ์น้ีได้ก่อเกิดควำมรว่ มมือจำกประเทศต่ำง ๆ โดยกำรประสำนควำมร่วมมือภำยใต้กำรนำขององค์กำรสหประชำชำติในกำรเสนอแนวควำมคดิ ใหม่ท่ี เปน็ ทำงเลือกของกำรเติบโตทำงเศรษฐกิจทีเ่ รยี กวำ่ กำรพฒั นำท่ยี ่งั ยืนซึง่ กลำยเปน็ ทิศทำงกำรพัฒนำ ของประเทศต่ำง ๆ ท่วั โลกในขณะนีโ้ ดยมคี วำมคิดทม่ี ุ่งเนน้ กำรพฒั นำสงั คมให้สอดคล้องผสมผสำนกับ กำรรกั ษำระบบนเิ วศซ่ึงมฐี ำนคดิ มำจำกนักเศรษฐศำสตรส์ ่งิ แวดล้อมท่ีมีควำมเหน็ ว่ำ ควำมเสอ่ื มโทรม ของสิ่งแวดล้อมมำจำกควำมลม้ เหลวของระบบตลำดแบบเดิมที่มุ่งแข่งขันและแสวงหำกำไรสูงสุด หำก ปรับเปลี่ยนวิธีและควำมคิดเก่ียวกับตลำดได้ก็จะสำมำรถแก้ไขปัญหำสิ่งแวดล้อมได้ นอกจำกนี้แล้ว นักวิชำกำรกลุ่มน้ียังเสนอให้พัฒนำเทคโนโลยีให้มีผลิตภำพเพ่ิมขึ้นซึ่งจะมีผลไปยังกำรปรับเปลี่ยน พฤติกรรมกำรบริโภคของมนุษย์ตำมมำ อย่ำงไรก็ตำมแนวคิดกำรพัฒนำอย่ำงย่ังยืนยังมีควำมเป็นไป ได้ยำกในกำรจะทำให้ท้ังสองส่วนมีควำมสมดุลกันเพรำะจำกรำยงำนกำรวิจัยได้แสดงให้เห็นว่ำ กำร พฒั นำอยำ่ งยง่ั ยืนไม่ไดท้ ำให้ควำมเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมลดลง (พชิ ำย รตั นดลิ ก ณ ภูเกต็ , 2562) แต่ไม่ใช่ว่ำจะไม่มีทำงเลือกท่ีจะแก้ไขปัญหำเสียเลยเพรำะมีงำนวิจัยท่ีเสนอแนวทำงท่ีว่ำให้ลดกำร เติบโต ซึ่งจะต้องกลับไปเริ่มท่ีกำรปรับเปล่ียนควำมคิดของสังคมใหม่ พิจำรณำกำรผลิตใหม่และทำ ให้เกิดกำรบริโภคอย่ำงเหมำะสมซ่ึงหำกพิจำรณำตำมนี้ก็จะสอดคล้องกับหลักปรัชญำเศรษฐกิจ พอเพยี งหรือทำงสำยกลำงตำมคำสอนของหลักศำสนำพทุ ธซงึ่ หลักสำคญั อยู่ทพ่ี ฤติกรรมของมนุษย์ทุก คน หำกรัฐบำลสำมำรถจัดกำรกับพฤติกรรมของคนในประเทศได้ก็จะทำให้เกิดกำรเปล่ียนแปลง อย่ำงเห็นได้ชัด แต่ปรำกฏกำรณ์ในปัจจุบันแนวทำงของระบบเศรษฐกิจมีควำมพยำยำมกระตุ้นให้ สังคมใช้และบริโภคเกินควำมจำเป็นอยู่ตลอดเวลำจึงทำให้สังคมยังคงติดอยู่ในกับดักของลัทธิบริโภค นยิ ม 4.4 สถานการณส์ งิ่ แวดลอ้ มในประเทศไทย 4.4.1 ความหลากหลายทางชีวภาพ ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ (Biodiversity) สำหรับประเทศไทยน้ันนับว่ำเป็นพ้ืนท่ี ที่มีควำมหลำกหลำยสูง แต่นักชีววิทยำได้คำดกำรณ์ว่ำ ในอนำคตหำกไม่มีควำมพยำยำมในกำร อนุรักษ์โลก จะทำให้เกิดกำรสูญเสียควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพร้อยละ 20 ของชนิดพันธ์ุท่ีมีอยู่ใน ปจั จบุ ันในเวลำ 30 ปี และรอ้ ยละ 50 ของชนิดพันธ์ุในสนิ้ ศตวรรษหนำ้ (ศกั ดิศ์ รี สืบสงิ ห์, 2555) กำร สูญเสียควำมหลำกหลำยที่สำคัญมำจำกกำรทำลำยพื้นท่ีป่ำไม้ ทั้งป่ำบกและป่ำชำยเลน ซึ่งได้ถูก ทำลำยไปแล้วจนเหลือพื้นที่ป่ำธรรมชำติประมำณร้อยละ 25 ของพื้นที่ประเทศ มีผลทำให้พืชและ สัตว์หลำยชนิดใกล้สูญพันธ์ุและบำงชนิดได้สูญพันธ์ุไปแล้ว ในปัจจุบันพบว่ำ โลกสูญเสียควำม หลำกหลำยทำงชีวภำพของสิ่งมีชีวิตมำกกว่ำ 30,000 สปีชีส์หรือสิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์จำกโลกน้ีไปแล้ว ประมำณ 3-4 สปีชีส์ต่อชั่วโมง ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพที่ลดลงจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ซ่ึงโดยธรรมชำตกิ ำรสูญเสียควำมหลำกหลำยสำมำรถเกิดขนึ้ ไดแ้ ต่เป็นไปในอัตรำทชี่ ำ้ กวำ่ สำเหตุท่ีเกิด จำกกำรกระทำของมนุษย์ ในระดับโลกคำดว่ำควำมหลำกหลำยทำงชวี ภำพบนบกทว่ั โลกจะลดลงอีก ร้อยละ 10 ในปี ค.ศ. 2050 กำรคำดกำรณ์ควำมสูญเสียที่สำคัญนี้จะเกิดขึ้นทั่วโลกทั้งในทวีปเอเชีย

129 ยุโรปและแอฟรกิ ำตอนใต้ พ้นื ที่ป่ำไม้ทส่ี มบูรณท์ ั่วโลกคำดว่ำจะลดลงร้อยละ 13 และสำเหตุสำคัญท่ี ทำให้ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพลดลงอย่ำงต่อเนื่องคือ กำรใช้ประโยชน์ท่ีดินของมนุษย์ที่เน้นกำร ปลูกพืชเชิงพำณิชย์ เน้นกำรใช้ที่ดินเพ่ือระบบโครงสร้ำงพ้ืนฐำน กำรบุกรุกท่ีดินทำงธรรมชำติ เป็น ตน้ ประกอบกบั สภำวะโลกรอ้ นก็เป็นปจั จยั สำคัญท่สี ่งผลทำให้ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพลดลงด้วย เช่นกัน โดยสภำวะโลกร้อนจะเป็นปัจจัยท่ีมีผลต่อกำรลดลงของควำมหลำกหลำยมำกท่ีสุดในปี ค.ศ. 2050 รองลงมำคือ กำรปลกู พืชเชงิ พำณชิ ย์และกำรปลูกพืชพลงั งำนตำมลำดับ กำรสูญเสยี ด้ำนควำม หลำกหลำยทำงชีวภำพมีผลกระทบต่อคุณภำพชีวิตของมนุษย์โดยเฉพำะในชุมชนที่มีวิถีชีวิตที่ต้อง พึ่งพิงควำมหลำกหลำยทำงชวี ภำพและระบบนิเวศในกำรดำรงชวี ิต (เกรียงศักด์ิ เจรญิ วงศศ์ กั ด์ิ, 2557) 4.4.1.1 กำรประเมินสถำนภำพส่งิ มีชีวิต สหภำพนำนำชำตเิ พ่ือกำรอนรุ ักษธ์ รรมชำตแิ ละทรัพยำกรธรรมชำติ หรือ ไอยู ซีเอ็น (International Union for Conservation of Nature : IUCN) ได้กำหนดเกณฑ์กำรประเมิน สถำนภำพสัตวป์ ่ำไว้ดังน้ี EX - Extinct - สญู พนั ธ์ุ สูญพนั ธโ์ุ ดยสมบรู ณ์ โดยมีหลกั ฐำนทนี่ ำ่ เชอื่ ถือเก่ยี วกบั กำรตำยของสัตวต์ วั สุดท้ำย EW - Extinct in the wild - สญู พนั ธ์ในธรรมชำติ ถกู คกุ คำมจนเสยี่ งต่อกำรสูญพนั ธ์ไุ ปจำกธรรมชำติ CR - Critically Endangered - ใกลส้ ูญพนั ธุอ์ ยำ่ งย่ิง มคี วำมเสยี่ งสงู มำกท่ีจะสูญพนั ธุไ์ ปจำกธรรมชำติในขณะน้ี EN - Endangered - ใกล้สูญพันธ์ุ มีควำมเส่ยี งสงู ทีจ่ ะสูญพนั ธไุ์ ปจำกธรรมชำติ VU - Vulnerable - มีแนวโนม้ ใกล้สูญพนั ธ์ุ มีควำมเสย่ี งสงู ท่ีจะสญู พนั ธไุ์ ปจำกธรรมชำตใิ นภำยหน้ำ CD - Conservation Dependent - ปลอดภัยโดยแผนงำนอนุรักษ์ ปลอดภัยโดยแผนงำนอนุรักษ์ที่ดี หำกแผนงำนน้ันไม่สำมำรถดำเนินกำรต่อ จะเข้ำสู่ threatened NT - Near Threatened - ใกลถ้ ูกคุกคำม ในภำยภำคหนำ้ เปน็ ไปได้วำ่ จะเข้ำสู่ VU LC - Least Concerned - ไม่ถกู คกุ คำม มีกำรประเมินสถำนภำพแล้วพบว่ำยังไม่ถูกคุกคำมถึงข้ัน NE ไม่สำมำรถแยกไดว้ ่ำเปน็ CD หรือ NT LR - Lower Risk - เสีย่ งน้อย มีควำมเส่ยี งนอ้ ยต่อกำรสูญพันธุ์ DD - Data Deficient ข้อมูลไม่เพยี งพอที่จะประเมิน NE - Not Evaluated ยังไม่มกี ำรพจิ ำรณำประเมินสถำนภำพ

130 4.4.1.2 ระดับควำมรนุ แรงของสถำนภำพสตั วป์ ำ่ ตำรำงท่ี 4.2 ระดบั ควำมรนุ แรงของสถำนภำพสตั ว์ป่ำ ระดับความรุนแรงของสถานภาพสัตว์ปา่ คาย่อ สถานภาพ สถานภาพ สญู พันธุ์ EX Extinct สญู พนั ธ์ุไปจำกโลก EW Extinct in the Wild สูญพนั ธุ์ไปจำกธรรมชำติ ถกู คุกคำม CR Critically Endangered วกิ ฤต EN Endangered อนั ตรำย VU Vulnerable เสยี่ งสูญพันธุ์ เสี่ยงน้อย CD Conservation Dependent ปลอดภัยภำยใต้แผนงำนอนรุ กั ษ์ (LR) NT Near Threatened ใกล้ถกู คกุ คำม LC Least Concerned มคี วำมเสีย่ งน้อย NE Not Evaluated ยงั ไมม่ ีกำรประเมนิ สถำนภำพ ทมี่ ำ : (สหภำพนำนำชำติเพ่ือกำรอนุรักษ์ธรรมชำติและทรัพยำกรธรรมชำติหรือ International Union for Conservation of Nature ; IUCN ) สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็น 1 ใน 193 ประเทศที่เข้ำร่วมเป็นภำคีอนุสัญญำว่ำด้วยควำม หลำกหลำยทำงชีวภำพ โดยสำนักงำนนโยบำยและแผนทรัพยำกรธรรมชำติและส่ิงแวดล้อมได้ ประเมินสถำนภำพของส่ิงมีชีวิตโดยจัดทำเป็นหนังสือแสดงสถำนภำพโดยใช้หลักกำรจัดทำของ Red List of Threatened Species (IUCN Ver. 3.1:2001) แบ่งแยกตำมประเภท ได้แก่ สัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนม สัตว์เลื้อยคลำน สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก นก ปลำ และพืช และชนิดพันธุ์ที่มีกำรประเมิน สถำนภำพกำรประเมินตำม Thailand red date (2003) ของสัตว์ทะเลได้แก่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สตั วเ์ ล้ือยคลำน สตั วส์ ะเทนิ น้ำสะเทนิ บกและปลำ 4.4.2 ชนิดพนั ธ์ุตา่ งถ่ิน ชนิดพันธ์ุต่ำงถ่ิน (Alien Species) คือ ชนิดพันธ์ุของสิ่งมีชีวิตท่ีไม่ใช่ชนิดพันธ์ุที่มีอยู่ ตำมท้องถิ่นด้ังเดิม แต่สิ่งมีชีวิตเหล่ำนั้นได้ถูกนำเข้ำมำในถิ่นน้ัน ๆ ด้วยวิธีกำรใดวิธีกำรหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ หมำยควำมเฉพำะเพียงสัตว์อย่ำงเดยี วแต่รวมไปถึงพืช จลุ นิ ทรีย์ และเช้อื รำด้วย สว่ นผลกระทบที่จะ เกิดต่อสภำพแวดล้อมใหม่จำกกำรเข้ำมำของชนิดพันธ์ุต่ำงถ่ินข้ึนอยู่กับปัจจัยสภำวะแวดล้อมต่ำง ๆ เช่น อำกำศ ควำมชื้น แสงแดด สำยลม เหมำะกับสิ่งมีชีวิตเหล่ำน้ันมำกน้อยเพียงใด หำกพบว่ำมี สภำวะท่ีเหมำะสมต่อกำรเจริญเติบโต เช่น มีอำหำรที่สมบูรณ์ ไม่มีกลไกทำงธรรมชำติที่จะควบคุม ประชำกร ชนดิ พนั ธตุ์ ำ่ งถ่ินก็สำมำรถปรบั ตัวและแพรก่ ระจำยพันธ์ุไดด้ ี สรำ้ งและขยำยอิทธพิ ลในพื้นท่ี

131 นั้น ๆ จนเกิดผลกระทบกับสภำพแวดล้อมรอบตัวเรียกชนิดพันธ์ุต่ำงถ่ินนี้ว่ำ ชนิดพันธ์ุต่ำงถ่ินรุกรำน (Invasive alien species) ชนิดพันธ์ุต่ำงถิ่นจะก่อผลกระทบอย่ำงน้อย 4 ด้ำนคือ (1) ผลกระทบทำง เศรษฐกิจ (2) ผลกระทบทำงกำรเกษตร (3) ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ (4) ผลกระทบต่อควำม หลำกหลำยทำงชีวภำพ ตัวอยำ่ งของผลกระทบจำกชนดิ พนั ธตุ์ ่ำงถนิ่ รุกรำนคือ กำรเข้ำไปเบียดเบียน ชนิดพันธุ์ท้องถ่ินด้ังเดิมด้วยกำรไล่กัดกิน แย่งอำหำร แย่งพ้ืนที่ในกำรสืบพันธ์ุ กำรผสมกับพันธ์ุท่ีมี ควำมใกล้เคียงจนได้ลูกท่ีเกิดมำมีโอกำสรอดต่ำและเป็นหมันในรุ่นถัดไป ทำให้ควำมหลำกหลำยทำง พันธุกรรมเดิมเส่ือมลง ในบำงกรณีอำจเป็นพำหะนำโรคหรือปรสิตเข้ำสู่พ้ืนท่ีโดยท่ีชนิดพันธ์ุท้องถิ่น อำจไม่สำมำรถต้ำนทำนได้ เม่ือมีกำรรุกรำนทำงชีวภำพผลท่ีเกิดขึ้นคือ ควำมเสียหำยและกำร สูญเสียท่ีจะคงอยู่ต่อไปและอำจเพิ่มข้ึน จำกกำรประเมินระบบนิเวศแห่งสหัสวรรษ (Millennium Ecosystem Assessment, 2005) พบว่ำ กำรคุกคำมต่อควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพทั่วโลก มีเรื่อง ชนิดพันธุ์ต่ำงถิ่นรุกรำนสรำ้ งปญั หำเป็นอันดับสองซึ่งเป็นรองเพียงแค่กำรทำลำยถ่ินท่ีอยู่อำศัยเทำ่ น้นั (พัชริดำ พงษปภัสร์, 2561) แต่ชนิดพันธุ์ต่ำงถ่ินก็มิได้เป็นชนิดพันธุ์ต่ำงถ่ินรุกรำนไปทั้งหมดซ่ึงได้มี กำรสำรวจและเก็บข้อมูลในพ้ืนท่ีของประเทศน้ันประกอบด้วยและในบำงกรณีชนิดพันธุ์ต่ำงถ่ินเป็น ชนิดพันธุ์ประเภทที่ไม่รุกรำน ไม่มีผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมและระบบนิเวศโดยตรงหรือชดั เจน ถ้ำ หำกชนิดพันธุ์ต่ำงถ่ินนั้นไม่ได้เข้ำไปแข่งขัน แย่งชิงอำหำรและพ้ืนท่ีจนขัดต่อวิถีชีวิตของชนิดพันธุ์ ทอ้ งถน่ิ ดั้งเดิม ชนิดพนั ธุ์ตำ่ งถน่ิ บำงชนิดนั้นก็ถือวำ่ มีผลเชิงบวก เช่น เปน็ วชั พชื ที่ช่วยปกคลมุ หน้ำดิน ปลำนิลท่ีเป็นแหล่งอำหำรโปรตีนหลักและพืชสมุนไพร เป็นต้น แต่ท้ังน้ีชนิดพันธุ์ต่ำงถ่ินจะเข้ำไปสู่ ระบบนิเวศได้ก็ด้วยกำรกระทำของมนุษย์ทั้งสิ้น จำกข้อมูลองค์กรระหว่ำงประเทศเพ่ือกำรอนุรักษ์ ส่ิงแวดล้อม (IUCN) รำยงำนว่ำ ปัจจุบันประเทศไทยได้รวบรวมข้อมูลชนิดพันธุ์ต่ำงถ่ินไว้ประมำณ 3,500 ชนิด แต่มีศกั ยภำพในกำรรกุ รำนในประเทศไทยทั้งส้นิ 182 ชนดิ สตั วห์ ลำยชนดิ ทีค่ ุ้นเคยกันดี ก็นับเป็นสัตว์ต่ำงถ่นิ รุกรำนและสร้ำงผลกระทบร้ำยแรง เชน่ นกเอี้ยงสำลิกำ แมวบ้ำน เปน็ ตน้ กำรพิจำรณำชนิดพันธ์ุต่ำงถ่ินรุกรำนตำมบัญชีรำยกำรชนิดพันธุ์ต่ำงถิ่นรุกรำนมี หลักเกณฑ์พจิ ำรณำ 2 ประกำรคือ (1) ผลกระทบที่สิ่งมชี วี ติ ชนดิ นั้นมีต่อควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ และผลกระทบต่อควำมเป็นอยู่ของมนุษย์ และ (2) ผลกระทบต่อสภำพแวดล้อมและถ่ินท่ีอยู่อำศัย ตำมธรรมชำติโดยรอบ หลังจำกส่ิงมีชีวิตชนิดนั้นเข้ำมำรุกรำน ซ่ึงในบัญชีดังกล่ำวมีรำยช่ือชนิดพันธุ์ ต่ำงถิ่นท่ีพบในประเทศไทย ได้แก่ หอยทำกยักษ์แอฟริกำ (ลำดับที่ 2) นกเอ้ียงสำลิกำ (ลำดับที่ 3) ต้นสำบเสือ (ลำดับที่ 23) แมวบ้ำน (ลำดับท่ี 38) ต้นกระถินยักษ์ (ลำดับที่ 46) ต้นไมยรำบยักษ์ (ลำดับที่ 56) หนอนตัวแบนนิวกินี (ลำดับท่ี 72) หอยเชอร่ี (ลำดับที่ 73) และเต่ำญ่ีปุ่นหรือเต่ำ แก้มแดง (ลำดบั ที่ 93) เปน็ ต้น ปลำหมอสีคำงดำ มีถ่ินกำเนิดดั้งเดิมในทวีปแอฟริกำถูกนำเข้ำมำในปี พ.ศ. 2553 จำนวน 5,000 ตัว เพ่ือพัฒนำชนิดพันธ์ุปลำเศรษฐกิจ แต่ชนิดพันธุ์ต่ำงถิ่นชนิดนี้ได้หลุดลงสู่แหล่งน้ำ และเป็นผู้ล่ำกินแพลงก์ตอน ลูกปลำและกุ้งเป็นอำหำร และยังขยำยพันธ์ุได้อย่ำงรวดเร็ว สำมำรถ อำศัยอยไู่ ดท้ ุกแหล่งน้ำจงึ ส่งผลต่อสัตวท์ ้องถน่ิ รวมถึงบ่อเลย้ี งของเกษตรกรให้ได้รบั ควำมเสยี หำย

132 รูปที่ 4.2 ปลำหมอคำงดำ ที่มำ : (http://www.fisheries.go.th.) หอยทำกยักษ์แอฟริกำ มีถิ่นท่ีอยู่อำศัยทำงฝ่ังตอนตะวันออกของทวีปแอฟริกำ เข้ำ มำในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2500 และเกิดกำรระบำดไปทั่วประเทศ หอยทำกยักษ์แอฟริกำพบได้ ตำมป่ำเสื่อมโทรม พื้นที่กำรเกษตร สวนไร่ และแหล่งชุมชน สืบพันธุ์ได้ง่ำย อำหำรของหอยทำก ยักษ์แอฟริกำคือ ใบไม้ ซำกใบ้ไม้และยอดอ่อน จึงทำให้หอยทำกยักษ์แอฟริกำกลำยเป็นศัตรูพืชทำง กำรเกษตรไปท่ัวโลก ประเทศในแถบหมู่เกำะแปซิฟิกจึงแก้ปญั หำด้วยกำรปล่อยหนอนตัวแบนนิวกินี เข้ำไปในพ้ืนท่ีเพ่ือกำจัดหอยทำกยักษ์แอฟริกำ แต่ถึงแม้ว่ำหนอนตัวแบนนิวกินีจะช่วยกำจัดศัตรูให้ เกษตรกรแต่มันกไ็ ลล่ ำ่ ทำกทอ้ งถ่นิ จนกระท่งั สูญพันธุ์ไปดว้ ยเชน่ กนั รปู ที่ 4.3 หนอนตัวแบนนวิ กินี ทมี่ ำ : (นณณ์ ผำณิตวงศ)์

133 รปู ท่ี 4.4 หอยทำกยักษ์แอฟริกำ ที่มำ : ( www.wikimedia.org.) 4.4.3 ภัยพิบตั ิทางธรรมชาติ 4.4.3.1 อุทกภัย (Flooding) พำยุหมุนเขตร้อนเป็นสำเหตุของกำรเกิดอุทกภัยท่ีพำยุ เคล่ือนตัวผ่ำน นอกเหนือจำกบำงพ้ืนที่ก็มีสำเหตุมำจำกหย่อมควำมกดอำกำศต่ำในเขตร้อนและลม มรสุมทำงตอนใต้ของทวีปเอเชียและในพื้นที่อ่ืน ๆ ในบำงพื้นท่ีของบำงประเทศอำจเกิดจำกกำร ละลำยของหิมะในบริเวณเทือกเขำจนทำให้เกิดน้ำท่วมในท่ีลุ่มท่ีอยู่ห่ำงไกลออกไป กำรเกิดน้ำหลำก จำกภูเขำเน่ืองจำกฝนตกหนักในบริเวณต้นน้ำจึงเป็นสำเหตุของกำรเกิดน้ำท่วมอย่ำงฉับพลัน โดยทั่วไปแล้วอุทกภัยเกิดจำก 2 สำเหตุ คือ (1) น้ำท่วมขัง เน่ืองจำกระบบกำรระบบน้ำไม่มี ประสิทธิภำพทำใหร้ ะบำยนำ้ ไม่ทันมักเกิดในพ้นื ท่รี ำบลุ่มแมน่ ้ำหรอื ชุมชนเมืองขนำดใหญ่ และ (2) น้ำ ท่วมฉบั พลนั และน้ำป่ำ เน่ืองจำกฝนตกหนักในบรเิ วณพน้ื ท่ีที่มีควำมลำดชนั มำกและไมส่ ำมำรถเก็บกัก นำ้ ได้ เช่น บรเิ วณต้นน้ำซง่ึ มคี วำมชันของพ้ืนท่ีมำก พน้ื ที่ป่ำถูกทำลำยไปจึงทำใหค้ วำมสำมำรถในกำร กักเก็บน้ำได้น้อยลง เมื่อเกิดปัญหำน้ำท่วมขึ้นมำแล้วย่อมส่งผลถึงควำมเสียหำยท่ีจะตำมมำ ได้แก่ อำคำรบ้ำนเรือนและส่ิงปลูกสร้ำงเสียหำย ถ้ำเป็นอำคำรท่ีไม่แข็งแรงอำจถูกกระแสน้ำพัดพำไป คน และสัตวเ์ ลี้ยงได้รับอนั ตรำยถึงชวี ิต เส้นทำงคมนำคมถกู ตัดขำดทำให้ไม่สำมำรถขนส่งสนิ ค้ำ พัสดุ และ กำรเดินทำงสัญจรไปมำได้ ระบบสำธำรณูปโภค เช่น ไฟฟ้ำ ประปำ โทรศัพท์ ได้รับควำมเสียหำย หรือขัดข้อง พื้นที่กำรเกษตร กำรเลี้ยงสัตว์ต่ำง ๆ ต่ำงได้รับผลกระทบและเกิดควำมเสียหำยจำก กำรเกิดน้ำท่วมท้ังสิ้นซ่ึงจะนำไปสู่ควำมเสียหำยทำงเศรษฐกิจโดยภำพรวม นอกจำกนี้น้ำท่วมยัง ส่งผลกระทบต่อปัญหำสุขภำพโดยพบโรคที่มำกับน้ำท่วม ได้แก่ โรคตำแดง ที่กระจำยไปในพื้นท่ีต่ำง ๆ โรคอุจจำระร่วง ไข้เลือดออก มือ ปำก เท้ำ ซ่ึงมำจำกพำหะนำโรคและกำรติดเชื้อ และบำงรำย อำจมีปัญหำเก่ียวโรคทำงสุขภำพจิต เช่น โรคเครียด กำรเกิดภำวะซึมเศร้ำ บำงรำยอำจคิดทำร้ำย ตัวเองเนื่องจำกควำมสูญเสียทรัพย์สินหรอื บคุ คลอันเปน็ ที่รัก

134 4.4.3.2 ภยั แลง้ (Drought) คือ ภัยท่เี กดิ จำกกำรขำดแคลนนำ้ ในพื้นท่ใี ดพ้ืนท่ีหนึ่งเป็น เวลำนำนจนก่อให้เกิดควำมแห้งแล้งและส่งผลกระทบต่อชุมชน โดยสำเหตุของกำรเกิดภัยแลง้ มำจำก หลำยสำเหตุมำจำกกำรกระทำของมนุษย์และจำกธรรมชำติ ภัยแล้งในประเทศไทยเกิดจำกฝนแล้ง และฝนท้ิงช่วงคือช่วงที่มีปริมำณฝนตกไม่ถึงวันละ 1 มิลลิเมตร ติดต่อกันเกิน 15 วัน ในช่วงฤดูฝน เดือนที่มีโอกำสเกิดฝนทิ้งช่วงสูงคือ เดือนมิถุนำยนและกรกฎำคม ซ่ึงในภำวะปริมำณฝนตกน้อยกว่ำ ปกติหรือฝนไม่ตกต้องตำมฤดูกำลสำมำรถแบ่งระดับควำมรุนแรงออกเป็น 3 ระดับด้วยกันคือ ภำวะ ฝนแล้งอยำ่ งเบำ ภำวะฝนแล้งปำนกลำงและภำวะฝนแล้งอย่ำงรนุ แรง ภยั แล้งในประเทศไทยเกิดได้ 2 ชว่ งคือ ชว่ งฤดหู นำวตอ่ เนอ่ื งถงึ ฤดูร้อนโดยเร่มิ จำกคร่ึงเดือนหลังของเดือนตลุ ำคมเป็นตน้ ไปในพื้นท่ี ตอนบนของประเทศไทย ได้แก่ ภำคเหนือ ภำคตะวันออกเฉียงเหนือ ภำคกลำงและภำคตะวันออก โดยปริมำณฝนจะลดลงเป็นลำดับจนเข้ำสู่ฤดูฝนในช่วงกลำงเดือนพฤษภำคมของปีถัดไปและจะเกิด ลักษณะเช่นนี้เป็นประจำทุกปี และฝนแล้งจะเกิดขึ้นอีกช่วงหนึ่งคือประมำณปลำยเดือนมิถุนำยนถึง เดือนกรกฎำคม ลักษณะฝนทิ้งช่วงนี้อำจเกิดข้ึนเฉพำะบำงท้องถ่ินหรือบำงบริเวณซึ่งบำงคร้ัง ครอบคลุมพ้ืนทีบ่ รเิ วณกวำ้ งเกอื บทั่วประเทศ 4.4.3.3 ดินถล่ม (Landslide) คือ กำรเคล่ือนท่ีของมวลดินหรือหินตำมท่ีลำดเชิงเขำ ดว้ ยอิทธพิ ลแรงโน้มถ่วงของโลก ดนิ ถลม่ ท่เี กิดขึ้นในประเทศไทยจะเกิดจำกน้ำเป็นสว่ นใหญเ่ พรำะน้ำ จะเป็นตัวลดแรงต้ำนทำนในกำรเคล่ือนตัวของมวลดินและยังทำให้คุณสมบัติของดินเปลี่ยนจำก ของแข็งกลำยเป็นของไหล ปรำกฎกำรณ์ดินถล่มมักเกิดบริเวณภูเขำลำดชันสูงแต่ในที่ที่มีควำมลำด ชันต่ำก็สำมำรถเกิดดินถล่มได้เช่นกัน เช่น เป็นบริเวณที่ใกล้กับแนวรอยเล่ือนท่ีมีพลังและมีกำรยกตวั ของแผ่นดินข้ึนเป็นภูเขำหรือเป็นบริเวณท่ีมีทำงน้ำกัดเซำะ มีแนวรอยแตกและรอยแยกบนลำดเขำ ดินถล่มมักเกดิ จำกกำรทนี่ ้ำซมึ ลงในชน้ั ดินบนลำดเขำและเกิดแรงดันของนำ้ เพิ่มขน้ึ ในช้นั ดินในช่วงที่มี ฝนตกหนัก 4.4.3.4 แผ่นดนิ ไหว (Earthquake) เป็นปรำกฎกำรณ์ทเ่ี กยี่ วเน่ืองกับกระบวนกำรทำง ธรณีแปรสัณฐำน (Plate techtonics) โดยเปลือกโลกเกิดกำรเคลื่อนท่ีและปลดปล่อยพลังงำนท่ี สะสมไว้ภำยในออกมำเพ่ือปรับสมดุลของเปลือกโลกให้คงที่ เมือ่ แผน่ ธรณีกระทบกนั จะเกิดแรงกดดัน หรือแรงเสียดทำนทำให้หินบริเวณขอบแผ่นธรณีเกิดควำมเค้นและควำมเครียด เม่ือหินแตกหักจึง ปลดปล่อยพลังงำนออกมำทำให้เกิดกำรส่ันสะเทือนเป็นแผ่นดินไหว โดยทฤษฎีกลไกกำรเกิด แผ่นดินไหวมี 2 ทฤษฎีคือ ทฤษฎีว่ำด้วยกำรขยำยตัวของเปลือกโลก เกิดจำกเปลือกคดโค้ง โก่ง ตัวอย่ำงฉับพลันและเมื่อวัตถุขำดออกจำกกันจะเกิดกำรปลดปล่อยพลังงำนออกมำในรูปของคล่ืน แผ่นดินไหว และอีกทฤษฎีเป็นกำรว่ำด้วยกำรคืนตัวของวัตถุซึ่งมำจำกกำรเคล่ือนที่ของรอยเลื่อนท่ี เคลื่อนตัวมำถึงจุดหนึ่งแล้วจะแยกออกจำกกันและปลดปล่อยพลังงำนออกมำในรูปคลื่นแผ่นดินไหว และกลับคืนเข้ำสู่สภำพเดิม แผ่นดินไหวที่เกิดในบริเวณรอยต่อของแผ่นธรณีซ่ึงเป็นบริเวณท่ีเกิด กระบวนกำรธรณแี ปรสณั ฐำนมี 3 ลักษณะคือ (1) แผ่นธรณีเคล่ือนตัวออกจำกกัน (Divergent boundaries) เกิดจำกแมก มำชั้นฐำนธรณีดันให้แผ่นธรณีโก่งตัวอย่ำงช้ำจนแตกเป็นหุบเขำ (Rift valley) หรือสันเขำใต้สมุทร (Oceanic ridge) ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนำดเบำท่ีระดับลึกจำกพ้ืนผิวน้อยกว่ำ 70 กิโลเมตร เช่น บริเวณกลำงมหำสมุทรแอตแลนติก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook