Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โลกกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

โลกกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Published by supada khunnarong, 2021-07-21 07:59:49

Description: ตำราประกอบการเรียนวิชาพื้นฐาน หมวดการศีกษาทั่วไป มรภ.เพชรบุรี

Search

Read the Text Version

135 (2) แผ่นธรณีเคล่ือนท่ีเข้ำหำกัน (Convergent boundaries) เกิดจำกกำร ชนกนั ของแผ่นธรณีสองแผ่นในแนวมุดตัว แผ่นทีม่ ีควำมหนำแนน่ มำกกว่ำจมตัวลงส่ชู ้ันฐำนธรณีภำค ทำใหเ้ กิดแผน่ ดนิ ไหวอย่ำงรนุ แรงทีร่ ะดบั 300-700 กิโลเมตร หำกเกดิ ในมหำสมุทรจะทำใหเ้ กิดคลื่นสึ นำมิ เชน่ สนั เขำใตส้ มทุ รใกล้เกำะสมุ ำตรำ และเกำะฮอนชู ประเทศญป่ี ุ่น (3) แผ่นธรณีเคลื่อนท่ีผ่ำนกัน (Transform fault) เป็นกำรเคล่ือนท่ีผ่ำนกัน ด้วยควำมเร็ว 3-6 เซนตเิ มตรต่อปี เม่อื เวลำผำ่ นไป 100 ปีจะเคลอื่ นที่ไป 3-6 เมตร และเม่ือเกิดกำร คืนตวั ของหินจะเกดิ กำรปลดปล่อยพลงั งำนออกมำมหำศำล เช่น รอยเล่ือนซำนแอนเดรียส์ ทที่ ำควำม เสยี หำยให้เมืองซำนฟรำนซสิ โก ประเทศสหรัฐอเมรกิ ำ เม่ือปี พ.ศ. 2449 4.4.3.5 คล่ืนสึนำมิ (Tsunami) โดยปกติคลื่นผิวน้ำจะเกิดจำกแรงลมพัด พลังงำน จลน์จำกอำกำศถูกถ่ำยสู่ผิวน้ำทำให้เกิดคล่ืน แต่คล่ืนสึนำมิเป็นคล่ืนท่ีเกิดจำกแผ่นดินไหวมีขนำด ใหญ่กว่ำคล่ืนผิวน้ำหลำยสิบเท่ำ พลังงำนจลน์จำกแผ่นดินไหวใต้มหำสมุทรถูกถ่ำยทอดจำกใต้แผ่น เปลือกโลกขึ้นสู่ผิวน้ำแล้วขยำยตัวทุกทิศทำงเข้ำสู่ชำยฝ่ัง จุดกำเนิดของคล่ืนสึนำมิเกิดจำกศูนย์ กำเนิดแผ่นดินไหวบริเวณเขตมุดตัว (Subduction zone) ซึ่งเป็นบริเวณรอยต่อของแผ่นธรณี เคล่ือนที่เข้ำหำกัน (Convergent boundaries) เม่ือแผ่นธรณีเคลื่อนที่เข้ำหำกันแผ่นธรณีท่ีมีควำม หนำแน่นมำกกว่ำจะจมตัวสู่ชั้นธรณีภำคทำให้เกิดแผ่นดินไหวอย่ำงรุนแรง เม่ือแผ่นเปลือกโลกใต้ มหำสมุทรยุบตัวลงเป็นร่องลึก น้ำทะเลที่อยู่ด้ำนบนก็จะไหลยุบตำมลงไป ทำให้น้ำท่ีอยู่บริเวณ ข้ำงเคยี งท่ีอยูร่ ะดับสงู กวำ่ ไหลเขำ้ มำแทนที่แล้วปะทะกนั จึงทำให้เกดิ คลื่นสะท้อนกลับไปในทุกทิศทำง นอกจำกนี้กำรเกิดคลื่นสินำมิยังสำมำรถเกิดจำกสำเหตุอื่น เช่น ภูเขำใต้ทะเลถล่ม อุกกำบำตพุ่งชน มหำสมุทรซ่ึงแรงสะเทือนน้ีทำให้เกิดคลื่นขนำดใหญ่ท่ีมีฐำนกว้ำง 100 กิโลเมตร สูง 1 เมตร และ เคล่ือนท่ีด้วยควำมเร็ว 700-800 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เม่ือคลื่นสึนำมิกระทบเข้ำกับชำยฝั่งทำให้ คลื่นลดควำมเรว็ และอดั ตัวจนฐำนของคลื่นเหลือเพยี ง 2-3 กิโลเมตรแตม่ ีควำมสูงถงึ 10-30 เมตร จึง สร้ำงควำมเสียหำยเป็นมหนั ตภัยร้ำยแรงทำให้มีผูเ้ สียชีวิตจำนวนมำก จำกสถติ กิ ำรเกิดคล่นื สึนำมิท่ีมี กำรบนั ทึกไวพ้ บว่ำ สึนำมขิ นำดใหญ่จะเกิดขึน้ โดยเฉลี่ยทุก 15-20 ปี และเกดิ ในมหำสมทุ รแปซิฟิกท่ีมี อำณำเขตปกคลุมคร่ึงหน่ึงของเปลือกโลก คล่ืนสึนำมิท่ีมีขนำดใหญ่มีขนำดสูงถึง 35 เมตรที่เกำะสุ มำตรำท่ีมีสำเหตุอันเนื่องมำจำกแรงส่ันสะเทือนของกำรระเบิดภูเขำไฟกรำกำตัว เมื่อ 27 สิงหำคม 2426 ส่วนในประเทศไทยเคยได้รับควำมเสียหำยรำ้ ยแรงจำกคล่ืนสึนำมิเม่ือวันที่ 26 ธนั วำคม 2547 เกิดเนื่องจำกแผ่นดินไหวที่บริเวณร่องลึกซุนดรำเกิดกำรยุบตัวของเปลือกโลกบริเวณรอยต่อของแผน่ ธรณีอินเดียกับแผ่นธรณีพม่ำ ทำให้เกิดแรงส่ันสะเทือนขนำด 9.1 ริกเตอร์ มีจุดเหนือศูนย์เกิด แผ่นดินไหวอยู่ทำงทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกำะสุมำตรำ เหตุกำรณ์ในครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต จำนวนมำกท้งั คนไทยและชำวต่ำงชำติ 4.4.3.5 ไฟป่ำ (Forest fire) ไฟป่ำตำมคำนิยำมของ US Forest Service อ้ำงโดย Brown and Davis (1973) คือ ไฟที่ปรำศจำกกำรควบคุม ลุกลำมไปอย่ำงอิสระโดยเผำผลำญ เชื้อเพลิงธรรมชำติในป่ำและในระดับหน่ึงสำมำรถเผำผลำญต้นไม้ที่ยังมีชีวิต โดยลักษณะสำคัญที่ แยกแยะไฟป่ำออกจำกไฟที่เผำตำมกำหนด (Prescribe Burning) คือ ไฟป่ำมีกำรรุกลำมอย่ำงอิสระ ปรำศจำกกำรควบคุม ในขณะที่ไฟท่ีเกิดจำกกำรเผำตำมกำหนดจะมีกำรควบคุมกำรลุกลำมให้อยู่ใน ขอบเขตที่กำหนดเอำไว้เท่ำนั้น สำหรับประเทศไทยได้กำหนดนิยำมของไฟป่ำว่ำ เป็นไฟที่เกิดจำก

136 สำเหตุใดก็ตำมแล้วลุกลำมไปได้โดยอิสระปรำศจำกกำรควบคุมทั้งน้ีไม่ว่ำไฟน้ันจะเกิดขึ้นในป่ำ ธรรมชำตหิ รอื สวนป่ำ สำเหตุของกำรเกิดไฟป่ำเกิดจำก 2 สำเหตุคือ (1) เกิดจำกธรรมชำติ เช่น ฟ้ำผ่ำ และกิ่งไม้เสียดสีกันเกิดข้ึนได้ในพื้นท่ีป่ำที่มีไม้ข้ึนอยู่อย่ำงหนำแน่นและมีสภำพอำกำศแห้งจัด เชน่ ในป่ำไผห่ รือป่ำสน และ (2) เกิดจำกกำรกระทำของมนุษย์ เชน่ กำรเก็บหำของป่ำโดยกำรจุดไฟ ส่วนใหญ่เพ่ือให้พื้นป่ำโลง่ เดินสะดวก เพ่ือให้แสงสว่ำงในระหว่ำงกำรเดินทำงผ่ำนป่ำในเวลำกลำงคนื เพือ่ กระตนุ้ กำรงอกของเห็ด กระตุ้นกำรแตกใบใหมข่ องผักหวำนและใบตองตึง ไล่มดแดงออกจำกรัง รมควันไล่ผึ้ง หรือไล่แมลงต่ำง ๆ ในขณะที่อยู่ในป่ำ กำรเผำไร่เพื่อกำจัดวัชพืชหรือเศษซำกพืชท่ี เหลืออยู่ภำยหลังกำรเก็บเก่ียวเพ่ือเตรียมพื้นท่ีเพำะปลูกในรอบต่อไป นอกจำกน้ีก็ยังมีสำเหตุมำจำก ควำมประมำท กำรจุดไฟไล่สัตว์ให้หนีออกจำกท่ีซ่อนและควำมคึกคะนองโดยไม่มีวัตถุประสงค์ใด ๆ แตจ่ ุดเลน่ เพื่อควำมสนุกสนำน กำรแบ่งชนิดของไฟป่ำถือเอำกำรไหม้เชื้อเพลิงในระดับต่ำง ๆ ในแนวด่ิง ตั้งแต่ระดับช้ันดินขึ้นไปจนถึงระดับยอดไม้เป็นเกณฑ์ ทำให้แบ่งไฟป่ำออกเป็น 3 ชนิด คือ ไฟใต้ดิน ไฟผิวดิน และไฟเรือนยอด ดังน้ี (Brown and Davis,1973 อ้ำงถึงใน ส่วนควบคุมและปฏิบัติกำรไฟ ป่ำ สำนกั บรหิ ำรพ้นื ทอ่ี นรุ ักษท์ ่ี 16 จงั หวัดเชียงใหม่) (1) ไฟใต้ดนิ (Ground Fire) คือ ไฟที่ไหมอ้ นิ ทรียวัตถุที่อยู่ใตช้ ้นั ผวิ ของพื้นป่ำ เกดิ ข้นึ ในป่ำบำงประเภท โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งป่ำในเขตอบอนุ่ ท่ีมรี ะดับควำมสูงมำก ๆ ซึง่ อำกำศหนำว เย็นทำให้อัตรำกำรย่อยสลำยอินทรียวัตถุต่ำจึงมีปริมำณอินทรียวัตถุสะสมอยู่บนหน้ำดิน (Mineral soil) ในปริมำณมำกและเปน็ ชั้นหนำ โดยอินทรียวัตถดุ งั กลำ่ วอำจจะอยใู่ นรูปของ duff, muck, หรือ peat ในบริเวณท่ีชน้ั อินทรียวัตถุหนำมำก ไฟชนิดนีอ้ ำจไหมแ้ ทรกลงไปใต้ผิวพืน้ ป่ำ (Surface Litter) ได้หลำยฟุตและลุกลำมไปเรื่อย ๆ ใต้ผิวพื้นป่ำในลักษณะกำรครุกรุ่นอย่ำงช้ำ ๆ ไม่มีเปลวไฟ และมี ควันน้อยมำก จึงเป็นไฟที่ตรวจพบหรือสังเกตพบได้ยำกที่สุดและเป็นไฟที่มีอัตรำกำรลุกลำมช้ำที่สุด แต่เป็นไฟท่ีสร้ำงควำมเสียหำยให้แก่พื้นท่ีป่ำไม้มำกที่สุดเพรำะไฟจะไหม้ทำลำยรำกไม้ ทำให้ต้นไม้ ใหญน่ ้อยทงั้ ป่ำตำยในเวลำตอ่ มำและยงั เปน็ ไฟที่ควบคมุ ไดย้ ำกทีส่ ุด (2) ไฟผิวดิน (Surface Fire) คือ ไฟที่ไหม้ลุกลำมไปตำมผิวดิน โดยเผำไหม้ เชอ้ื เพลิงบนพน้ื ปำ่ ได้แก่ ใบไม้ กง่ิ ก้ำนไมแ้ หง้ ทตี่ กสะสมอยูบ่ นพ้ืนปำ่ หญ้ำ ลกู ไม้เล็ก ๆ ไมพ้ ื้นล่ำง กอ ไผ่ ไมพ้ มุ่ เป็นไฟทพี่ บมำกทีส่ ดุ และพบได้ทัว่ ไปในแทบทุกภูมภิ ำคของโลก ไฟชนิดนี้ไม่ทำให้ต้นไม้ถึง ตำยแต่จะทำให้เกิดรอยตำหนิและต้นไม้ออ่ นแอจนทำใหโ้ รคและแมลงเข้ำทำอนั ตรำยตน้ ไม้ได้ ไฟป่ำ น้ีเป็นไฟท่ีพบส่วนใหญ่ในประเทศไทย มีควำมสูงของเปลวไฟตั้งแต่ 0.5-3 เมตร พบในป่ำเต็งรังและ ควำมสงู ของไฟ 5-6 เมตร พบได้ในปำ่ เบญจพรรณ (3) ไฟเรอื นยอด (Crown Fire) คือ ไฟที่ไหมล้ ุกลำมจำกยอดของต้นไม้หรือไม้ พุ่มต้นหน่ึงไปยังยอดของต้นไม้หรอื ไม้พุ่มอีกต้นหน่ึง ส่วนใหญ่เกิดในป่ำสนในเขตอบอุ่น มีอัตรำกำร ลกุ ลำมท่รี วดเร็วและเป็นอันตรำยอยำ่ งยง่ิ สำหรบั พนักงำนดับไฟปำ่ ทั้งนเ้ี น่ืองจำกไฟมีควำมรุนแรงมำก และมีควำมสงู เปลวไฟประมำณ 10 - 30 เมตร แต่ในบำงกรณีไฟอำจมีควำมสูงถึง 40-50 เมตร และ เป็นสำเหตทุ ีท่ ำให้เจ้ำหน้ำทด่ี ับไฟเสียชวี ิตจำกไฟป่ำ

137 4.4.3.6 หลุมยุบ (Sinkhole) เป็นปรำกฏกำรณ์ธรรมชำติท่ีดินยุบตัวลงเป็นหลุมลึก มี รูปร่ำงและขนำดต่ำง ๆ กัน อำจมีลักษณะเป็นวงกลมหรือวงรี มีน้ำขังก้นหลุม น้ำใต้ดินจะกัดเซำะทำ ใหก้ น้ หลุมยบุ ลึกขึน้ สำเหตขุ องกำรเกดิ หลุมยบุ มำจำกโพรงใต้ดินยบุ ตัวลงเนื่องจำกกำรสูบน้ำใต้ดินทำ ให้ขำดแรงพยุงเพดำนโพรงหรืออำจเกิดจำกกำรมียำนพำหนะสัญจรไปมำในบริเวณใกล้เคียงหรือ แรงสั่นสะเทือนจำกแผ่นดินไหวจึงทำให้เพดำนโพรงพังทลำย หลุมยุบท่ีพบในประเทศไทยมีดังนี้ (กรมทรัพยำกรธรณี, 2554) (1) โพรงหินปูนใต้ดิน น้ำฝนที่มีควำมเป็นกรดอย่ำงอ่อนเมื่อไหลผ่ำนและ สัมผัสหินปูนจะละลำยเนื้อหินปูนออกไปด้วยจนเกิดเป็นโพรงหรือถ้ำใต้ดินข้ึน เม่ือโพรงดินมีกำร ขยำยขนำดมำกข้ึนและเพดำนไม่สำมำรถต้ำนทำนน้ำหนักของดินและสิ่งที่กดทับด้ำนบนได้ก็จะถล่ม ลงมำดำ้ นลำ่ งกลำยเปน็ หลุมยุบ รปู ที่ 4.5 หลมุ ยุบที่บำ้ นพะละใหม่ อ.แม่ระมำด จ.ตำก (ซ้ำย) และหลุมยบุ ท่ี อ.สะเมิงใต้ จ.เชยี งใหม่ ท่ีมำ : (http://www.dmr.go.th/download/Landslide/Sinkhole/what_sinkhole.htm) (2) ชั้นเกลือหินใต้ดิน พื้นท่ีส่วนใหญ่ในภำคตะวันออกเฉียงเหนือมีช้ันเกลือ หินรองรับอยู่ด้ำนล่ำงและมีคุณสมบัติละลำยน้ำได้ง่ำยเมื่อมีกำรทำเหมืองจึงทำให้เกิดโพรงใต้ดินขึ้น ในเวลำต่อมำเพดำนโพรงเกดิ กำรพังทลำยลงจึงเกิดเปน็ หลุมยบุ ขน้ึ (3) ช้ันทรำยถูกน้ำใต้ดินพัดพำ เกิดในพ้ืนท่ีท่ีมีชั้นทรำยรองรับอยู่ใต้ดินและ อยู่ใกล้แม่น้ำ พบท่ัวทุกภำคของประเทศ เม่ือมีฝนตกหนักติตต่อกันทำให้ปริมำณและแรงพัดพำของ น้ำใต้ดินเพ่ิมข้ึนจึงพัดพำเอำตะกอนทรำยใต้ดินลงสู่แม่น้ำลำคลองทำให้เกิดเป็นโพรงใต้ดินข้ึนมำซึ่งมี ขนำดไมใ่ หญม่ ำ

138 รูปท่ี 4.6 หลุมยบุ ที่ อ.ปะเหลียน จ.ตรัง (ซำ้ ย) และท่ีอ.ดอยสะเกด็ จ.เชียงใหม่ ทมี่ ำ : (http://www.dmr.go.th/download/Landslide/Sinkhole/what_sinkhole.htm.) 4.4.4 ไมโครพลำสติก พลำสตกิ เป็นวัสดทุ ี่มีกำรนำมำใช้งำนหลำกหลำยประเภทและมปี ริมำณกำรใช้เพ่ิมมำก ข้ึนอยำ่ งต่อเน่อื ง กำรผลติ พลำสตกิ เพ่อื กำรใชง้ ำนจะมีคณุ สมบตั ิแตกต่ำงกันไปตำมแตล่ ะประเภทกำร ใช้งำน เชน่ ถงุ พลำสติกสำหรับใสอ่ ำหำรรอ้ น อำหำรเย็น บรรจภุ ัณฑใ์ ส่อำหำร ฟลิ ์มถนอมอำหำร ของ ใช้ ของเล่นเด็ก หรือแม้กระท่ังในผลิตภัณฑ์เคร่ืองสำอำงยังมีพลำสติกผสมอยู่ นอกจำกตัวพลำสติก แล้วในกำรผลิตพลำสติกยังใส่สำรเติมแต่ง เช่น ไวนิลคลอไรด์ และฟอร์มำดีไฮด์ ซ่ึงจัดเป็นสำรก่อ มะเร็งกลุ่มท่ี 1 คือ เป็นสำรที่มีหลักฐำนยืนยันได้ว่ำสำมำรถก่อให้เกิดมะเร็งในคน ส่วนในด้ำน สิ่งแวดล้อมน้ันกำรมีพลำสติกเพิ่มข้ึนจะนำไปสู่กำรเพิ่มปริมำณขยะมำกขึ้นด้วย โดยเฉพำะปัญหำ ขยะพลำสติกในทะเลซ่ึงประเทศไทยเคยติดอันดับที่ 6 ของโลกท่ีมีปริมำณขยะพลำสติกในทะเลมำก ท่ีสุดแห่งหน่ึง จำกขยะพลำสติกช้ินใหญ่ท่ีอยู่ในส่ิงแวดล้อมปัจจุบันได้พบขยะพลำสติกที่มีขนำดเล็ก ซ่ึงเกิดจำกกำรแตกตัวหรือกำรหลุดลอกของเน้ือพลำสติกขนำดใหญ่ออกเป็นช้ินเล็ก ๆ โดยเฉพำะ พลำสติกกลุ่ม Oxo-biodegradable หรือ Oxo-fragmentable ที่แตกตัวออกมำเป็นช้ินเล็ก ๆ หรือ บำงทีก็เป็นพลำสติกท่ีมีอนุภำคขนำดเล็กต้ังแต่เริ่มแรกและเข้ำไปปนเป้ื อนอยู่ในส่ิงแวดล้อมและเข้ำ ไปสหู่ ว่ งโซ่อำหำรของส่ิงมชี วี ติ ในที่สุด ไมโครพลำสติก (Microplastics) หมำยถึง พลำสติกท่ีมีขนำดอนุภำคเล็กกว่ำ 5 มิลลิเมตร ในขณะที่ European Food Safety Authority (EFSA) ได้ให้คำจำกัดควำมของไมโครพ ลำสติกว่ำคือ ส่วนผสมของเศษพลำสติกรูปร่ำงต่ำง ๆ ที่มีขนำดตั้งแต่ 0.1-5,000 ไมโครเมตร ไมโค รพลำสติกมักใช้เป็นสำรตั้งต้นของผลิตภัณฑ์ชนิดต่ำง ๆ เช่น เม็ดบีดสครับ ท่ีใช้ในเคร่ืองสำอำง ผลิตภัณฑ์ยำสีฟัน แชมพู ครีมขัดผิว และเส้นใยสังเครำะห์ต่ำง ๆ ไมโครพลำสติกสำมำรถพบได้ใน ส่ิงแวดล้อมและที่สำคัญคือด้วยลักษณะท่ีเบำและลอยน้ำได้จึงทำให้ไมโครพลำสติกมีโอกำสหลุดไป ปนเป้ือนอยู่ในแหล่งน้ำโดยเฉพำะทะเลและแหล่งน้ำธรรมชำติได้ง่ำย นอกจำกน้ีไมโครพลำสติกยัง จัดเป็นสำรตกค้ำง สะสมได้ในห่วงโซ่อำหำร มีควำมเป็นพิษและยังสำมำรถดูดซับสำรมลพิษอ่ืน ๆ ที่ อยู่ในแหล่งน้ำได้ เช่น โลหะหนัก สำรมลพิษท่ีตกค้ำงยำวนำนในสิ่งแวดล้อม (Persistent Organic

139 Pollutants ; POPs) ไฮโดรคำร์บอนที่มีคลอรีนเป็นองค์ประกอบ เช่น Polychlorinated Biphenyls(PCBs ) กำรรวมตัวกันของอนุภำคไมโครพลำสติกและมลสำรที่เป็นพิษส่งผลต่อคุณภำพ แหล่งน้ำและห่วงโซ่อำหำรท่ีอำจนำไปสู่ปัญหำสุขภำพของผู้บริโภคท่ีสัมผสั มลสำรเหลำ่ นี้ ไมโครพลำ สตกิ ทพ่ี บโดยท่วั ไปมรี ปู ร่ำงหลำยแบบ อำจเป็นทรงกลม ทรงรี หรอื มรี ปู รำ่ งไม่แนน่ อน หำกจะจำแนก ชนดิ ของไมโครพลำสติกสำมำรถจำแนกตำมธรรมชำตขิ องอนุภำคและแหลง่ กำเนิด ไดเ้ ปน็ 2 กลุ่ม คอื (1) Primary microplastic เป็นไมโครพลำสติกท่ีมีกำรผลิตเป็นพลำสติกขนำดเล็กมำต้ังแต่ต้น เชน่ เม็ดพลำสติกท่ีใช้เป็นวัสดุตั้งต้นของกำรผลติ ผลิตภณั ฑ์พลำสติก เช่น พลำสติกเอทีลีนโพรพิลีน โพลีส ไตรีน หรือไมโครบีดที่ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอำงและเวชภัณฑ์ และ (2) Secondary microplastic ที่เกิดจำกพลำสติกขนำดใหญ่ที่สะสมอยู่ในส่ิงแวดล้อมและเกิดกำรย่อย สลำยแตกหักกลำยเป็นอนุภำคขนำดเล็กปนเป้ือนอยู่ทั่วไป (สุทธิรัตน์ กิตติพงษ์วิเศษ และคณะ, 2562) จำกกำรศึกษำกำรปนเปื้อนของไมโครพลำสติกในหอยสองฝำบริเวณชำยหำดเจ้ำหลำวและ ชำยหำดค้งุ วิมำนของปิติพงศ์ ธำระมนต์และคณะ (2559) ท่ีศกึ ษำกำรปนเป้ือนของไมโครพลำสติกใน หอยสองฝำ 2 ชนิดคือ หอยเสียบ และหอยกระปุก ผลกำรวิจัยพบว่ำ หอยทั้งสองชนิดมีกำรปนเป้ือน ไมโครพลำสติกและสอดคล้องกับผลกำรวิจัยก่อนหน้ำนี้ที่พบกำรแพร่กระจำยของไมโครพลำสติกบน ชำยหำดคงุ้ วิมำนและเจำ้ หลำวมำกอ่ น (อรวรรณ แกว้ ทอง, 2556) 4.4.5 ขยะอิเลก็ ทรอนิกส์ จำกควำมก้ำวหน้ำทำงเทคโนโลยีทำให้อุตสำหกรรมเก่ียวกับเครื่องใช้ฟ้ำและอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์เกิดข้ึนอย่ำงมำกมำย มีสินค้ำหลำกหลำยชนิดออกสู่ตลำดแต่หลำยคนลืมนึกถึงว่ำ สินค้ำน้ีเมื่อใช้งำนไประยะหนึ่งย่อมหมดอำยุกำรใช้งำนและจะกลำยเป็นขยะท่ีเรียกกว่ำขยะ อิเล็กทรอนิกส์เกิดข้ึน ขยะอิเล็กทรอนิกส์คือ ผลิตภัณฑ์เคร่ืองใช้ไฟฟ้ำและอิเล็กทรอนิกส์ที่หมดอำยุ กำรใช้งำนหรือเรำไม่ต้องกำรแล้วโดยกรมควบคุมมลพิษใช้คำว่ำ ซำกผลิตภัณฑ์เคร่ืองใช้ไฟฟ้ำและ อิเลก็ ทรอนกิ ส์ (Waste Electronic and Electronic Equipment ; WEEE) ท้งั นตี้ ำมกฎระเบยี บของ สหภำพยุโรปนิยำมให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ครอบคลุมผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้ำและอิเล็กทรอนิกส์ 10 กลุ่ม ตำมตำรำงท่ี 4.2 โดยกลุ่มที่มีกำรเก็บรวบรวมได้มำกที่สุดคือ กลุ่มเคร่ืองใช้ไฟฟ้ำในครัวเรือน ขนำดใหญ่ รองลงมำเปน็ กลุ่มอปุ กรณเ์ พื่อควำมบันเทงิ เช่น โทรทัศน์ และกลมุ่ อปุ กรณ์สำรสนเทศ และกำรสอ่ื สำร เช่น คอมพวิ เตอร์ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศกำลังพัฒนำกำลังเพิ่มสูงข้ึนอย่ำงรวดเร็วและยังไม่มี กฎหมำยและระบบกำรจัดกำรรองรับ คำดกำรณ์ว่ำในปี พ.ศ. 2573 ขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศ กำลังพัฒนำประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีปริมำณเพิ่มขึ้นมำกกว่ำสองเท่ำโดยประเมินข้ันต่ำอยู่ที่ 400 ล้ำนเครื่องเทียบกับปริมำณที่เกิดขึ้นในประเทศท่ีพัฒนำแล้ว 200 ล้ำนเคร่ือง นอกจำกขยะ อิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดข้ึนภำยในประเทศแล้วยังมีกำรส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์จำกประเทศท่ีพัฒนำ แล้วไปยังประเทศกำลังพัฒนำด้วยเหตุผลว่ำเป็นกำรส่งออกเพื่อนำไปใช้ซ้ำหรือกำรส่งออกเพ่ือกำรรี ไซเคิล ในขยะอิเล็กทรอนิกส์มีสำรอันตรำยและโลหะหนักหลำกหลำยชนิดที่อยู่ในช้ินส่วนของขยะ อิเล็กทรอนิกส์ ถ้ำหำกไม่จัดกำรกับขยะอิเล็กทรอนิกส์เหล่ำน้ีให้ถูกต้องจะกลำยเป็นปัญหำ ส่งิ แวดล้อมและส่งผลกระทบต่อสขุ ภำพ Robinson (2009 อำ้ งถึงในสุจติ รำ วำสนำดำรงดี, 2558) ได้ รวบรวมชนิดของสำรอนั ตรำยและโลหะหนกั ท่ีใชใ้ นกระบวนกำรผลติ ช้ินสว่ นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่ง

140 พบว่ำ มจี ำนวนมำกกว่ำ 20 ชนิด และไดป้ ระมำณกำรถึงปริมำณสำรอันตรำย โลหะหนักบำงชนดิ ที่ มีอยู่ในขยะอิเล็กทรอนิกส์ท่ัวโลกท่ีเกิดข้ึนอย่ำงน้อย 20 ล้ำนตันต่อปี พบว่ำ มีปริมำณทองแดงมำก ที่สดุ รองลงมำได้แก่ นิกเกลิ โครเมียม สังกะสี และตะก่ัว ตำมลำดับ 4.4.5.1 กำรจัดกำรขยะอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับประเทศไทยในปัจจุบันยังไม่มีระบบ กำรบรหิ ำรจัดกำรขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่ำงครบวงจรคือ ต้ังแต่กำรเก็บรวบรวม กำรคัดแยก กำรขนส่ง กำรรีไซเคิลและกำรกำจัด ระบบกำรเก็บหรือเรียกคืนซำกจำกผู้ผลิตและผู้จำหน่ำยยังมีจำกัดและ หน่วยงำนระดับท้องถ่ินก็ยังไม่มีระบบกำรจัดกำรอย่ำงถูกต้อง กำรดำเนินกำรท่ีมีอยู่ในขณะน้ีคือ มี กำรทิ้งปะปนไปกับขยะมูลฝอยทั่วไป ขำยให้กับผู้รับซื้อของเก่ำและยังมีกำรลักลอบนำผลิตภัณฑ์ เคร่ืองใช้ไฟฟ้ำและขยะอิเล็กทรอนิกส์ท่ีใช้งำนไม่ได้จำกต่ำงประเทศเข้ำมำยังประเทศไทยและนำมำ จัดกำรรีไซเคิลอย่ำงไม่ถูกต้อง โดยขยะอิเล็กทรอนิกส์จะถูกส่งไปคัดแยกในชมุ ชนคัดแยกเพื่อนำส่วน ที่เป็นโลหะไปขำย ส่วนเศษท่ีเหลือจะทำลำยโดยกำรเผำหรือฝังกลบอย่ำงไม่ถูกวิธี ซึ่งโดยส่วนมำก ขยะอิเลก็ ทรอนิกส์ในประเทศกำลังพัฒนำจะถูกจัดกำรโดยกลุ่มผูป้ ระกอบกำรรำยย่อยหรือชำวบ้ำนท่ี มิได้จดทะเบียนเป็นโรงงำน แหล่งขนำดใหญ่ที่สุดอยู่ที่ประเทศจีน ได้แก่ เมือง Guiyu และเมือง Longtang ในจังหวัด Guangdong และเมือง Taizhou โดยเมอื ง Guiyu ถอื ว่ำเปน็ แหล่งรีไซเคิลขยะ อิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประชำชนกว่ำ 150,000 คน ประกอบอำชีพคัดแยกและรีไซเคิล ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นกระบวนกำรถอดแยกและรีไซเคิลท่ีไม่ถูกต้องตำมหลกั วิชำกำร กรมควบคมุ มลพิษไดส้ รุปภำพรวมของปญั หำจัดกำรขยะอิเล็กทรอนกิ ส์ไว้ดงั นี้ (1) ไมม่ รี ะบบกำรบริหำรจัดกำรซำกผลติ ภัณฑอ์ ยำ่ งครบวงจร (2) ข้อจำกัดด้ำนกฎหมำยและแนวทำงกำรปฏิบัติเพื่อกำรจัดกำรซำก ผลิตภัณฑ์ เช่น กฎระเบียบในกำรคัดแยกซำกผลิตภัณฑ์ กลไกกำรเรียกคืนซำกผลิตภัณฑ์ และ กฎหมำยทีม่ ีอยไู่ ม่เอ้ืออำนวยในกำรจดั กำรซำกผลิตภัณฑอ์ ยำ่ งมีประสิทธภิ ำพ (3) ไม่มีระบบกำรจัดเก็บค่ำธรรมเนียมเพื่อกำรจัดกำรซำกผลิตภัณฑ์อย่ำงมี ประสิทธภิ ำพ

141 ตำรำงที่ 4.3 กำรแบง่ กลมุ่ ผลิตภัณฑเ์ ครื่องใชไ้ ฟฟำ้ และอิเล็กทรอนิกสใ์ นสหภำพยโุ รป กลมุ่ ผลติ ภัณฑ์ สดั ส่วนท่เี กบ็ รวบรวมได้ (%) 1. เครอ่ื งใชไ้ ฟฟำ้ ในครัวเรอื นขนำดใหญ่ (Large household appliances) (เชน่ ตเู้ ย็น เครอ่ื งปรบั อำกำศ เครอื่ งซกั ผำ้ เตำไมโครเวฟ) 49.07 2. เครอื่ งใชไ้ ฟฟำ้ ในครวั เรอื นขนำดเล็ก (Small household appliances) (เช่น เคร่อื งดูดฝ่นุ เตำรีด เครือ่ งปิง้ ขนมปงั เครอื่ งชงกำแฟ) 7.01 3. อปุ กรณ์สำรสนเทศและสอ่ื สำร (IT and telecommunications equipment) (เชน่ คอมพวิ เตอร์ เครือ่ งพมิ พ์ โทรศพั ทม์ ือถอื ) 16.27 4. อุปกรณ์เพ่อื ควำมบนั เทิงของผ้บู ริโภค (Consumer equipment) (เช่น โทรทศั น์ ชดุ เครื่องเสียง) 21.10 5. อปุ กรณใ์ หแ้ สงสวำ่ ง (Lighting equipment) (เชน่ หลอดไฟทกุ ชนิด) 6. อุปกรณ์ชำ่ ง (Electrical and electronic tools) (เชน่ สว่ำน เลอ่ื ยไฟฟ้ำ) 2.40 7. ของเลน่ อปุ กรณ์สันทนำกำรและกฬี ำ (เชน่ เคร่อื งเล่นเกม) 3.52 8. อุปกรณท์ ำงกำรแพทย์ (Medical devices) 0.11 9. เคร่ืองมอื ตรวจสอบ (Monitoring and control instruments) 0.12 10. ตอู้ ัตโนมัติ (Automatic dispensers) (เช่น ต้หู ยอดเหรยี ญเคร่อื งดื่ม ตู้เอทีเอม็ ) 0.21 0.18 ทมี่ ำ : (สุจติ รำ วำสนำดำรงดี, 2558) (4) กำรรณรงค์ประชำสัมพันธ์ให้ประชำชนและผู้ประกอบกำรทุกระดับเข้ำ มำมีส่วนร่วมในกำรจัดกำรซำกผลิตภัณฑ์ทั้งระบบยังไม่ต่อเนื่อง และประชำชนยังไม่ตระหนักถึง อันตรำยของซำกผลิตภัณฑ์และยังไม่มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจที่ถูกต้องในกำรคัดแยกซำกผลิตภัณฑ์ออก จำกมลู ฝอยทัว่ ไป (5) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสำมำรถควบคุมดูแลกำรดำเนินงำนของร้ำน รับซื้อของเก่ำและชุมชนคัดแยกขยะตำมพระรำชบัญญัติสำธำรณสุข พ.ศ. 2535 แต่ยังไม่ได้นำ มำตรกำรทำงกฎหมำยมำบังคบั ใช้อย่ำงเข้มงวด และองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่นิ เองก็ยังไม่มีระบบคัด แยก เกบ็ ขน และเก็บกกั และยงั ขำดทรพั ยำกรในกำรจดั กำรอย่ำงเพียงพอ (6) โรงงำนคัดแยก บำบัด และกำจัดซำกผลิตภัณฑ์มีจำนวนน้อยและยังไม่มี กระบวนกำรถอดแยกและรีไซเคิลอย่ำงครบวงจร (7) ภำคเอกชนขำดแรงจูงใจในกำรลงทุนโรงงำนคัดแยกและรีไซเคิลซำก ผลิตภัณฑ์อย่ำงครบวงจรทั้งนี้เพรำะไม่มีระบบในกำรรวบรวมซำกผลิตภัณฑ์ท่ีสร้ำงควำมแน่นอนใน ปรมิ ำณซำกผลิตภัณฑท์ จ่ี ะเข้ำสโู่ รงงำนรไี ซเคลิ (8) กำรคดั แยกโดยผ้ปู ระกอบกำรท่ีไม่ได้จดทะเบียนโรงงำน ทำกำรถอดแยก ซำกผลิตภณั ฑอ์ ย่ำงไม่เหมำะสมและไม่มีระบบกำรป้องกนั อันตรำยจำกสำรอันตรำยที่อำจปนเปื้อนไป ยังส่งิ แวดล้อม (9) กำรลักลอบนำเข้ำซำกผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้ำและอิเล็กทรอนิกส์แล้ว นำมำรไี ซเคลิ อยำ่ งไมถ่ ูกต้อง

142 (10) ไม่มีกำรกำหนดมำตรฐำนบังคับในกำรนำเข้ำผลิตภณั ฑ์ใหม่ ทำใหม้ ีกำร นำเข้ำผลิตภณั ฑ์ทม่ี ีคุณภำพตำ่ ซึง่ จะกลำยเป็นซำกผลติ ภณั ฑท์ ี่ต้องกำจัด 4.4.5.2 ผลกระทบท่เี กิดจำกขยะอิเลก็ ทรอนิกส์ กำรจัดกำรซำกผลิตภณั ฑท์ ี่ไมถ่ ูกต้อง ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภำพและสิ่งแวดล้อม วิธีกำจัดซำกอิเล็กทรอนิกส์โดยกำรเผำสำยไฟเพ่ือให้ ได้ทองแดงแตท่ ำให้เกดิ ไอระเหยของพลำสติกและโลหะบำงส่วนท่ีเป็นเหตขุ องกำรเกดิ โรคมะเร็ง กำร เผำแผงวงจรเพ่ือหลอมตะก่ัวและทองแดงทำให้เกิดไอตะกั่วแพร่กระจำยสู่อำกำศ สะสมอยู่ในดินและ น้ำ กำรใช้กรดสกัดโลหะมีค่ำจำกแผงวงจรแล้วทำให้เกิดกำรปนเป้ือนในน้ำเสียไหลสู่แหล่งน้ำและดนิ เป็นตน้ (1) ผลกระทบต่อสุขภำพ โลหะหนักในขยะอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ตะก่ัว แคดเมียม ปรอท และสำรหนู อันตรำยต่อสุขภำพกลำ่ วคือ ตะกั่วทำลำยระบบประสำท ต่อมไรท้ อ่ ไต ระบบเลือดและมีผลต่อพัฒนำทำงด้ำนสมองของเด็ก พิษเร้ือรังของตะกั่วทำให้เกิดอำกำรคล่ืนไส้ อำเจียน ท้องผูก และมีผลต่อระบบประสำท ทำให้ทรงตัวไม่อยู่ แคดเมียมสำมำรถสะสมอยู่ใน ส่ิงแวดล้อมได้และมีควำมเป็นพิษสูง กำรสูดดมไอระแหยของแคดเมียมทำให้เกิดโรคระบบทำงเดิน หำยใจ กำรสะสมในระยะยำวทำให้เกิดโรคกระดูกผุ โลหิตจำง และถ้ำได้รับปริมำณมำกในเวลำส้ัน ๆ อำจทำใหเ้ กดิ อำกำรไข้ ปวดศีรษะ อำเจยี น เจบ็ หนำ้ อกและไอรนุ แรง พษิ ของปรอททส่ี ะสมในไขมัน ในร่ำงกำยมีตั้งแต่มีอำกำรเพียงเล็กน้อยจนถึงข้ันรุนแรงทำใหเ้ สียชีวิต อำกำรท่ีเกิดจำกกำรได้รับสำร ปรอทคือ ใจสั่น นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ตำพร่ำมัว เดินเซ พูดไม่ชัด อ่อนเพลียและทำลำยระบบ ประสำท และถ้ำมีกำรสะสมในปริมำณสูงจะส่งผลต่อไต ระบบกำรหำยใจ ส่วนสำรหนูมีฤทธ์ิทำลำย ระบบประสำท ผิวหนัง และระบบกำรย่อยอำหำร หำกได้รับในปริมำณมำกอำจทำให้เสียชีวิตได้ พิษ เฉยี บพลนั ของกำรได้รบั สำรหนคู ือ คลนื่ ไส้ อำเจียน เป็นตะคริว กล้ำมเนือ้ เกร็ง อำจเกดิ อำกำรแทรก ซอ้ นเก่ยี วกบั กำรทำงำนของระบบหัวใจและเสียชวี ิตจำกภำวะหัวใจลม้ เหลวได้ นอกจำกนีแ้ ลว้ ยังมสี ำร อันตรำยอน่ื ๆ ที่พบในขยะอเิ ล็กทรอนิกส์และมีอนั ตรำยต่อสุขภำพดงั ในตำรำงที่ 4.3 (2) ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีงำนวิจัยจำนวนมำกที่แสดงให้เห็นถึง ผลกระทบของขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มีต่อส่งิ แวดล้อม งำนวิจัยได้รำยงำนถึงโลหะหนกั และสำรอินทรีย์ หลำยชนิด เช่น แคดเมียม โครเมียม ตะก่ัว สังกะสี ทองแดง สำรกลุ่ม PAHs PBDDs PBDEs สำรได ออกซินและฟิวแรน ซึ่งเป็นสำรก่อมะเร็งโดยมีกำรพบสำรเหล่ำน้ีในตัวอย่ำงดิน ข้ำว ตะกอน ฝุ่น ปลำ รวมทั้งในเส้นผม ปัสสำวะ เลอื ด ในพน้ื ที่เมอื ง Guiyu, Longtang และเมือง Taizhou ทม่ี คี ำ่ สูง กว่ำค่ำมำตรฐำนและสูงกว่ำพ้ืนท่ีอ่ืนท่ีไม่มีกำรรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ นอกจำกน้ียังพบกำร ปนเป้อื นของโลหะหนกั ในดินจำกพื้นทท่ี ่ีมีกำรคดั แยกและรีไซเคลิ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ พื้นทีก่ ำจัดขยะ อิเลก็ ทรอนกิ สท์ ใ่ี ช้วธิ กี ำรเผำในทโี่ ล่งในเมืองตำ่ ง ๆ ของประเทศจีน อินเดยี และไนจเี รียพบวำ่ ปริมำณ โลหะหนักในดินจำกแหล่งกำจัดหรือรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์มีค่ำเกินมำตรฐำน นอกจำกน้ีใน ประเทศอินเดียและประเทศในแถบแอฟริกำ เช่น ไนจีเรีย กำนำ และแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟิลิปปินส์ เวียดนำม ก็ยังมีแหล่งคัดแยกและรีไซเคิลท่ีดำเนินกำรโดยกลุ่มชำวบ้ำนและสร้ำง ผลกระทบตอ่ สขุ ภำพและสง่ิ แวดล้อมในพ้ืนทเี่ ชน่ เดียวกนั (สจุ ติ รำ วำสนำดำรงดี, 2558)

143 ตำรำงท่ี 4.4 อนั ตรำยจำกขยะอิเล็กทรอนิกส์ตอ่ สุขภำพ สารอนั ตราย ช้นิ ส่วน ผลกระทบต่อสุขภาพ ทองแดง ทองแดงใน คลืน่ เหยี น อำเจยี น อักเสบในชอ่ งท้องและกล้ำมเนื้อ เครอ่ื งใช้ไฟฟ้ำ ทอ้ งเสยี สำรหน่วงกำร สำยไฟ กำรทำงำนของหัวใจผิดปกติ หำกสะสมในปริมำณมำก ติดไฟ อำจทำใหร้ ำ่ งกำยสน่ั อยตู่ ลอดเวลำ กล้ำมเนือ้ แขง็ เกร็ง ส่วนผสมใน น้ำมกู น้ำลำยไหล ควบคมุ กำรพูดลำบำก สำรทำควำม พลำสติก แผงวงจร รบกวนกำรทำงำนของระบบประสำท สมอง ตอ่ มไร้ท่อ เย็น(CFC-11, สำยเคเบลิ และฮอรโ์ มน ส่งผลตอ่ กำรพัฒนำของทำรกในครรภ์ เพิ่ม CFC-12) ควำมเสี่ยงในกำรเกิดโรคมะเร็งในระบบทำงเดนิ อำหำร ไดออกซิน ตเู้ ยน็ และ และต่อมนำ้ เหลอื ง และฟิวแรน เครอ่ื งปรับอำกำศ ระคำยเคืองต่อระบบหำยใจ ตำ ปวดศรี ษะ หวั ใจเตน้ เรว็ รุ่นเกำ่ ทำลำยโอโซนในบรรยำกำศ สง่ ผลตอ่ กำรเพิ่มรงั สีอลุ ตรำ โครเมียม สำยไฟ ชิน้ สว่ น ไวโอเลตท่เี ข้ำมำยงั โลกทจี่ ะมีผลกำรเกิดมะเรง็ ผิวหนงั พลำสตกิ พีวีซี เปน็ สำรกอ่ มะเรง็ เป็นพิษต่อระบบประสำท กลำ้ มเน้ือ เสอื่ ม โรคผิวหนัง ตับทำงำนผิดปกติ ควำมผดิ ปกตขิ อง อตุ สำหกรรม ระบบสบื พันธใ์ุ นหญงิ ตังครรภ์และทำใหเ้ กิดควำมผดิ ปกติ สี อุตสำหกรรม ของทำรก ฟอกหนัง งำนเชอ่ื ม อำกำรเฉียบพลัน จะทำให้เกิดอำกำรอักเสบของ โลหะ ผิวหนัง ไอ มีเสียงหวีด ปวดศีรษะ น้ำหนักลด ระคำย เคอื งหลอดลมปอด น้ำตำไหล เยื่อบตุ ำอกั เสบ คันในช่อง จมูก อำกำรเรอ้ื รงั จะมีอำกำรระคำยเคืองทำงผิวหนังและ มีกำรอกั เสบทผ่ี นงั กน้ั จมูกและเป็นสำเหตุของมะเร็งปอด ทม่ี ำ : (ดดั แปลงจำกสุจิตรำ วำสนำดำรงดี, 2558) 4.4.6 คราบนา้ มันในทะเล กำรรั่วไหลของน้ำมันเกิดได้จำกหลำยสำเหตุทั้งจำกธรรมชำติและ กำรกระทำของ มนุษย์ เช่น กำรร่ัวจำกแหล่งน้ำมันใต้ดิน อุบัติเหตุจำกเรือ กำรขุดเจำะน้ำมัน กำรลักลอบท้ิงสู่แหล่ง น้ำ กำรขนส่งน้ำมันทำงทะเล เป็นต้น ผลกระทบจำกครำบน้ำมันรั่วไหลสู่ทะเลจะทำให้เกิดกำร เปลี่ยนแปลงสภำพแวดล้อมท้ังทำงกำยภำพ เคมี และชีวภำพ สัตว์และพืชน้ำอำจขำดออกซิเจน เพรำะครำบนำ้ มนั ทล่ี อยอย่บู นผิวน้ำจะปิดกน้ั กำรสังเครำะห์แสงของแพลงก์ตอนพชื สำหร่ำย และพืช น้ำต่ำง ๆ ทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลง นอกจำกน้ีครำบน้ำมันยังส่งผลกระทบต่อกำรทำอำชีพประมง กำรเพำะเลี้ยงชำยฝั่งและลดควำมสวยงำมของชำยหำด ทำลำยทัศนียภำพท่ีจะไปส่งผลกระทบต่อ กำรท่องเท่ียวซ่ึงเป็นแหลง่ รำยได้ของชุมชนท้องถิ่น ในอดีตกำรเกิดน้ำมันรั่วไหลในทะเลของประเทศ ไทยมำจำกอุปกรณ์ที่ใช้ในกำรเดินเรือ เก็บกักหรือถ่ำยเกิดกำรชำรุด เกิดจำกกำรร่ัวไหลระหว่ำงกำร

144 สูบถ่ำยน้ำมันกลำงทะเลจำกเรือใหญ่สเู่ รอื เล็กหรือระหว่ำงท่ำเทียบเรือ กำรลักลอบทิ้งโดยกำรปลอ่ ย น้ำมนั ชนิดเดิมท้ิงก่อนบรรทุกน้ำมนั ชนิดใหม่ และกำรรัว่ ไหลจำกแท่นขุดเจำะปโิ ตรเลียมในทะเล 4.4.6.1 แนวทำงกำรจัดกำรน้ำมันรั่วไหล เม่ือมีเหตุกำรณ์น้ำมันรั่วไหลเกิดขึ้น หน่วยงำนท่ีเกยี่ วข้องจะดำเนนิ กำรในกำรแก้ไขปญั หำ โดยมีเป้ำหมำยเพ่ือลดผลกระทบต่อส่งิ แวดล้อม และเศรษฐกิจซ่ึงมีข้ันตอนหลักคือหยุดและป้องกันไม่ให้น้ำมันรั่วไหล ติดตำมตรวจสอบกำรเคลือ่ นท่ี ของครำบน้ำมันในทะเล จำกัดขอบเขตและขจัดครำบน้ำมันโดยใช้ทุ่นกักน้ำมัน (Boom) และ เคร่ืองดูดครำบน้ำมัน (Skimmer) ใช้ทุ่นกักน้ำมันป้องกันพ้ืนที่ท่ีมีควำมสำคัญทำงเศรษฐกิจและ ส่ิงแวดล้อม และข้ันตอนสุดท้ำยทำควำมสะอำดครำบน้ำมันบนชำยฝั่ง ในกำรปฏิบัติกำรกำจัดน้ำมนั ร่วั ไหลตำมแผนป้องกันและขจัดมลพิษทำงน้ำจำกบรรษัทน้ำมันแหง่ ชำติ จำแนกปรมิ ำณน้ำมันรั่วไหล เป็น 3 ระดบั (กรมควบคุมมลพษิ , 2553) ไดแ้ ก่ (1) ระดับที่ 1 (Tier I) ปริมำณน้ำมันรั่วไหลไม่เกิน 20 ตันลิตร ส่วนใหญ่ เกิดข้ึนระหว่ำงขนถ่ำยน้ำมันบริเวณท่ำเทียบเรือโดยผู้ท่ีก่อให้เกิดนำ้ มันร่วั ไหลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ในกำรขจดั ครำบน้ำมนั และ/หรือหน่วยงำนทเี่ ก่ียวข้องให้ควำมช่วยเหลือในกำรขจัดครำบน้ำมันหำกมี ควำมจำเปน็ และตอ้ งแจง้ ใหก้ รมเจำ้ ท่ำทรำบก่อน (2) ระดับที่ 2 (Tier II) ปริมำณน้ำมันรั่วไหลมำกกว่ำ 20 ตันลิตร แต่ไม่เกิน 1,000 ตนั ลติ ร ซึ่งอำจเกิดจำกเรือชนกัน กำรขจดั ครำบนำ้ มันในระดบั นี้ต้องรว่ มมือกันระหว่ำงภำครัฐ และเอกชนท่ีเกี่ยวข้องตำมแผนป้องกันและขจัดมลพิษทำงน้ำเนื่องจำกน้ำมันแห่งชำติ หำกเกิน ควำมสำมำรถอำจขอรบั กำรสนบั สนนุ จำกตำ่ งประเทศทงั้ นต้ี ้องแจ้งกรมเจ้ำทำ่ ทรำบกอ่ น (3) ระดับที่ 3 (Tier III) ปริมำณรั่วไหลมำกกว่ำ 1,000 ลิตร อำจเกิดจำก อุบัติเหตุท่ีรุนแรง กำรขจัดครำบน้ำมันระดับนี้ต้องกำรควำมรว่ มมือจำกหน่วยงำนต่ำง ๆ ในประเทศ และตอ้ งขอรับควำมช่วยเหลอื ระดับนำนำชำติเพอื่ กำรปฏบิ ตั งิ ำนอย่ำงมปี ระสทิ ธิภำพ 4.4.6.2 ทำงเลือกในกำรขจัดครำบน้ำมัน ในกำรขจัดครำบน้ำมันมีหลำยทำงเลือก ดว้ ยกันแต่ควรเลอื กให้เหมำะกับสถำนกำรณด์ ังน้ี (1) ปล่อยให้ย่อยสลำยเองตำมธรรมชำติ ในกรณีที่มีน้ำมันร่ัวไหลปริมำณ น้อยสำมำรถปล่อยให้ย่อยสลำยเองไปตำมธรรมชำติได้แต่ต้องมีกำรติดตำมกำรเคล่ือนที่ของครำบ นำ้ มนั ควบคู่ไปด้วย (2) ปล่อยให้ครำบน้ำมันเคล่ือนท่ีเข้ำชำยฝ่ังแล้วทำควำมสะอำด เหมำะกับ สภำพอำกำศเป็นอุปสรรคในกำรออกปฏิบัติกำรขจัดครำบน้ำมันในบริเวณน้ัน และในบำงคร้ังเป็น ผลดีเน่ืองจำกทำให้ครำบน้ำมันเคลื่อนท่ีเข้ำชำยฝั่งที่มีผลกระทบต่ำ ทำให้ช่วยลดผลกระทบท่ีเกิด ขึน้ กบั ชำยฝั่งสำคัญไว้ได้ (3) กำรเผำครำบนัน้ ซงึ่ เปน็ วิธกี ำรท่ีต้องอำศยั ผ้เู ชี่ยวชำญในกำรดำเนินกำร (4) กำรใช้เจล (Gel) และกำรใชส้ ำรหรือวัสดุที่ทำให้น้ำมนั จับตวั กนั เป็นก้อน เพอ่ื ใหง้ ่ำยตอ่ กำรจดั เก็บ (5) กำรใช้เคร่ืองมือกล (Mechanical recovery) เป็นกำรใช้อุปกรณ์ในกำร กักแ ล ะเ ก็บ คร ำ บ น้ ำ มัน ซ่ึ ง เ ป็ น ทำ ง เ ลือกที่เ ห มำ ะส มที่สุ ด กับ สิ่ งแ ว ด ล้อมเ พร ำ ะส่ ง ผล กระทบ ต่อ

145 สิ่งแวดล้อมน้อยท่ีสุด โดยกำรใช้ทุ่นล้อมกักครำบน้ำมันและใช้อุปกรณ์ดูดครำบน้ำมันบนผิวน้ำขึ้นมำ แตท่ ัง้ น้กี ็ข้นึ อยกู่ บั สภำพกำรร่วั ไหลของครำบน้ำมันและสภำพภมู ิอำกำศดว้ ย (6) กำรใช้สำรเคมีขจัดครำบน้ำมัน โดยวิธีนี้จะมีสำรเคมีหลำยประเภทซึ่งมี วัตถุประสงค์ในกำรใช้ที่แตกต่ำงกันไป เช่น ทำใหน้ ำ้ มนั กระจำยตัว สำรเคมีชว่ ยเพมิ่ ประสทิ ธิภำพกำร แยกน้ำมันด้วยอุปกรณ์ สำรเคมีช่วยเพ่ิมประสิทธิภำพกำรบำบัดและกำจัดน้ำมันและสำรเคมีช่วย ฟน้ื ฟูชำยฝงั่ เป็นต้น 4.4.6.3 สำรเคมีที่ใช้ในกำรกำจัดครำบน้ำมันรั่วไหล (พิสุทธ์ิ เพียรมนกุลและปฏิภำณ ปญั ญำพลกลุ , 2556) (1) สำรกระจำยครำบน้ำมนั (Dispersants) เปน็ สำรเคมีทม่ี ีคุณสมบัติในกำร ช่วยใหน้ ำ้ มันกระจำยตวั เป็นหยดนำ้ มนั ขนำดเล็กจำกบริเวณผิวหน้ำน้ำ ทำให้เกิดกำรกระจำยและเจือ จำงอนภุ ำคนำ้ มันขนำดเล็กในทะเลซึ่งจะส่งผลดตี ่อกำรย่อยสลำยอนุภำคน้ำมันดว้ ยกำรย่อยสลำยทำง ชีวภำพ (Biodegradable mechanism) ในสำรกระจำยครำบน้ำมันจะมีสำรลดแรงตึงผิว (Surfactant) เป็นสำรเคมปี ระเภทสบู่และสำรซักลำ้ ง สำรลดแรงตึงผวิ ท่ีใช้เป็นสำรช่วยกระจำยตัวจะ มีค่ำสมบัติกำรละลำยเท่ำกับน้ำและน้ำมันจึงทำให้น้ำมันมีควำมเสถียรมำกขึ้นและไม่เกิดกำรรวมตัว กลับมำเป็นหยดน้ำมันขนำดใหญ่ แต่กำรใช้สำรกระจำยครำบน้ำมันก็ต้องมีกำรพิจำรณำให้รอบคอบ เพรำะมีขอ้ โตเ้ ถยี งในด้ำนผลกระทบต่อสง่ิ มชี วี ติ ในทะเล (2) สำรเคมีด้ำนกำรเพ่ิมประสิทธภิ ำพกำรแยกน้ำมนั ดว้ ยอุปกรณ์ (2.1) สำรทำลำยกำรเกิดอิมัลชันหรือสำรยับย้ัง (Emulsion breaker and Inhibitors) ใช้ป้องกันกำรเกิดอิมัลชันของน้ำและน้ำมัน เพรำะกำรรวมตัวเป็นอิมัลชัน จะทำให้ยำกต่อกำรทำควำมสะอำด อิมัลชันมีควำมหนืดมำกทำให้เป็นปัญหำกับอุปกรณ์และสกิม เมอร์และเครื่องสูบน้ำ ซึ่งสำรทำละลำยอิมัลชันมีหลำยประเภทจึงต้องเลือกใช้ให้เหมำะสมในแต่ละ กรณี เชน่ ใชง้ ำนไดด้ ีกบั ระบบปิดหรือมีปริมำณนำ้ อยู่น้อย หรอื บำงประเภทใชไ้ ด้ดีกบั ระบบเปิดหรือมี ปรมิ ำณนำ้ มำก ประสทิ ธภิ ำพของสำรทำลำยกำรเกิดอิมัลชันหรือสำรยบั ยั้งวัดได้โดยหำปริมำณที่น้อย ท่ีสุดที่ใช้ในกำรทำลำยเสถียรภำพของอิมัลชัน แต่กำรกำรทดสอบประสิทธิภำพและระดับควำมเป็น พษิ ยงั มอี ย่นู อ้ ยมำกจงึ ไม่นิยมใช้ในพน้ื ท่เี ปดิ หรือในกระบวนกำรทำควำมสะอำด (2.2) สำรช่วยส่งเสริมกำรคนื สภำพ (Recovery enhancers) หรอื สำรเพ่ิมควำมยืดหยุ่น (Viscoelastic) เป็นสำรช่วยเพิ่มกำรทำงำนของเคร่ืองสกิมเมอร์หรืออุปกรณ์ สำหรับสูบนำ้ มันทรี่ ัว่ โดยเพิ่มควำมสำมำรถในกำรยึดติดของน้ำมันกับอุปกรณ์ เพิม่ อตั รำกำรนำน้ำมัน กลบั คืนของสำรดดู ซับบรเิ วณผิวอุปกรณส์ กิมเมอรแ์ ตส่ ำรน้ีไมส่ ำมำรถใชก้ ับสำรท่ีมคี วำมหนดื มำก (3) สำรเคมีดำ้ นกำรเพิม่ ประสิทธภิ ำพกำรบำบดั และกำจัดน้ำมนั (3.1) สำรช่วยจับตัวเป็นของแข็ง (Solidifiers) ใช้เป็นสำรเปล่ียน น้ำมันที่เป็นของเหลวให้เป็นสำรประกอบของแข็งซึ่งทำให้สำมำรถจัดเก็บสำรเหล่ำนี้จำกผิวน้ำได้โดย ใช้ตำข่ำยหรือเคร่ืองจักรกลหรืออำจเรียกว่ำสำรทำให้เกิดเจล (Gelling agents) ในอดีตสำรนี้ไม่ได้ ถูกใช้เพรำะกำรทำให้เป็นของแข็งเป็นกำรเพิ่มควำมยำกในกำรใช้เครื่องสกิมเมอร์ เคร่ืองสูบ ถังเก็บ และเครื่องมือแยกอ่ืน ๆ เพรำะเครื่องมือนี้ใช้จัดกำรกับของเหลวและมีควำมหนืดมำกเท่ำนั้น สำรเคมีน้ียังไม่เหมำะสำหรับกำรรั่วของน้ำมันในปริมำณที่มำกเนื่องจำกกำรใช้สำรชนิดน้ีมำกเกินไป

146 และเม่ือทำปฏิกิริยำกับน้ำมันเป็นของแข็งในบริเวณจุดเร่ิมต้นอย่ำงรวดเร็วซึ่งจะไปขัดขวำงกำรทำ ปฏิกริ ิยำกับนำ้ มนั ในบรเิ วณท่ีหำ่ งออกไป ดังนั้นสำรนีจ้ งึ เหมำะสำหรับกำรรัว่ ไหลของนำ้ มนั ในบริเวณ ท่ีมีขนำดเลก็ (3.2) สำรท่ีทำให้จม (Sinking agent) เป็นสำรที่สำมำรถดูดซับ น้ำมันในน้ำได้และจมลงสู่ใต้ทะเลแต่จะเกิดปัญหำกับสิง่ มีชีวิตที่อยู่ในทะเลและน้ำมันยังสำมำรถหลดุ ออกจำกสำรนก้ี ลบั ขึน้ มำได้อกี สำรน้ยี งั ไมไ่ ด้รับอนุญำตใหใ้ ช้ในเกือบทุกประเทศ (4) สำรเคมีดำ้ นกำรฟืน้ ฟูชำยฝง่ั หรอื ระบบนเิ วศ (4.1) สำรชำระลำ้ งพน้ื ผิว (Surface-washing agents) หรอื สำรใช้ ทำควำมสะอำดชำยหำด ซึ่งจะมีสำรลดแรงตึงผิวที่คล้ำยกับสำรกระจำยครำบน้ำมัน (Dispersants) แต่มีกลไกกำรทำงำนท่ีแตกต่ำงกับสำรกระจำยครำบน้ำมันท่ีคุณสมบัติกำรละลำยของสำรลดแรงตึง ผิวโดยสำรลดแรงตึงผิวในสำรชำระล้ำงพื้นผิวน้ีจะมีคุณสมบัติละลำยน้ำได้ดีกว่ำละลำยในน้ำมันซึ่งมี ลกั ษณะคล้ำยกับสำรซกั ล้ำงเสื้อผ้ำ จุดประสงค์ของกำรใช้งำนสำรชำระลำ้ งคือ ชำระล้ำงพื้นผิวบรเิ วณ ชำยฝ่ังเพื่อป้องกันน้ำมันซึมเข้ำไปใต้ดนิ และยึดเกำะกับวตั ถุอ่ืน ๆ โดยจะฉีดน้ำอัดควำมดันต่ำในพืน้ ท่ี หลังจำกพ่นสำรชำระล้ำงพื้นผิว สำรนี้ช่วยทำให้น้ำมันหลุดออกจำกหินหรือวัตถุอ่ืน ๆ ได้ประมำณ 90-95 % และพบว่ำสำรชำระล้ำงนี้มีควำมเป็นพิษน้อยมำก สำมำรถลดควำมอันตรำยท่ีจะเกิดกับ สง่ิ มีชีวติ บริเวณชำยฝ่ังได้ (4.2) สำรย่อยสลำยทำงชวี ภำพ (Biodegradable agent) เป็นสำรช่วย เร่งกระบวนกำรย่อยสลำยของน้ำมันโดยใช้จุลินทรีย์ เหมำะสำหรับกำรใช้งำนบนชำยฝั่งหรือพื้นดิน แต่ไม่มีประสิทธิภำพเมื่อใช้ในทะเลเพรำะกำรเจือจำงและกำรเคลื่อนท่ีอย่ำงรวดเร็วของน้ำมัน กำร เลือกใช้สำรย่อยสลำยทำงชีวภำพมีควำมสำคัญกับกำรย่อยสลำยทำงชีวภำพ เพรำะมีควำม หลำกหลำยของสำยพันธุ์แบคทีเรียและรำท่ีมีประสิทธิภำพในกำรย่อยสลำยองค์ประกอบของน้ำมัน เชน่ นำ้ มันชนิดอ่มิ ตวั บำงสำยพนั ธส์ุ ำมำรถยอ่ ยสลำยสำรประกอบท่ีมหี มู่อโรมำติกที่มีน้ำหนักโมเลกุล ต่ำ และชนิดของน้ำมันที่แตกต่ำงกันก็จะส่งผลต่อกำรเกิดกำรย่อยสลำยทำงชีวภำพที่แตกต่ำงกัน โดยพบว่ำส่วนท่ีอ่ิมตัวจะเป็นส่วนท่ีสำมำรถย่อยสลำยได้เป็นส่วนใหญ่ เช่น น้ำมันดีเซล จะมีส่วน อิ่มตัวมำกกว่ำ 95 % จึงทำให้น้ำมันดีเซลสำมำรถถูกย่อยสลำยได้อย่ำงรวดเร็วในสภำวะท่ีเหมำะสม จำกงำนวิจัยของวิชุดำ เกตุใหม่ และคณะ (2553) ศึกษำกำรคัดแยกจุลินทรีย์ท่ีสำมำรถย่อยสลำย น้ำมันหล่อล่ืนเครื่องยนต์ใช้แล้วที่ดำเนินกำรในอำเภอหำดใหญ่ จังหวัดสงขลำ โดยเก็บตัวอย่ำงดินท่ี ปนเป้ือนน้ำมัน นำมำแยกจุลินทรีย์ได้ 36 ไอโซเลท ได้แก่ แบคทีเรีย 25 ไอโซเลท และยีสต์ 11 ไอโซ เลท โดยยีสต์ไอโซเลท PO 1.2 มีประสิทธิภำพในกำรย่อยสลำยน้ำมันหล่อล่ืนเคร่ืองยนต์ที่ใช้แล้ว และสำมำรถสร้ำงสำรลดแรงตึงผิวชีวภำพ (Biosurfactant) ได้ดีที่สุด เม่ือนำมำพิสูจน์เอกลักษณ์ พบว่ำ เป็นเชื้อ Issatchenkia orientalis และเม่ือนำมำศึกษำประสิทธิภำพกำรย่อยสลำยน้ำมัน เครอื่ งใช้แล้วพบว่ำ มีประสิทธภิ ำพในกำรยอ่ ยสลำยน้ำมันเคร่อื งยนตใ์ ช้แล้ว 63.60% 4.4.7 ฝนุ่ ละออง จำกสถำนกำรณ์ควำมรุนแรงของฝุ่นที่เกิดข้ึนท้ังในกรุงเทพมหำนครและส่วนภูมิภำค ทำให้ผู้คนหนั มำตน่ื ตวั กับอันตรำยจำกมลพิษในอำกำศมำกขึ้นเพรำะควำมวติ กกังวลตอ่ ผลกระทบของ ฝุ่นที่มีต่อสุขภำพ ฝุ่นละออง หมำยถึง อนุภำคของของแข็งและหยดละอองของเหลวที่แขวนลอย

147 กระจำยในอำกำศ อนุภำคที่แขวนในอำกำศบำงชนิดมีขนำดใหญ่ มองเห็นเป็นเขม่ำและควัน บำง ชนิดมีขนำดเล็กมำกไม่สำมำรถมองเห็นด้วยตำเปล่ำ โดยท่ัวไปฝุ่นที่แขวนลอยในอำกำศจะมีขนำด ต้ังแต่ 100 ไมครอนลงมำ นำนำประเทศมีกำรกำหนดมำตรฐำนฝุ่นละอองในบรรยำกำศซึ่งใน สหรัฐอเมริกำโดย US.EPA (United State Environment Protection Agency) ได้กำหนดค่ำ มำตรฐำนฝุ่นรวม (Total Suspended Particulate) และฝุ่นละอองขนำดเล็กกว่ำ 10 ไมครอน ต่อมำภำยหลังไดย้ กเลกิ คำ่ มำตรฐำนฝุ่นรวมและกำหนดคำ่ ฝนุ่ ขนำดเล็กออกเป็น 2 ชนิดคือ ฝ่นุ ละออง ขนำดเล็กกว่ำ 10 ไมครอน (PM 10) และฝุ่นละอองทม่ี ีขนำดเลก็ กวำ่ 2.5 ไมครอน (PM 2.5) 4.4.7.1 ขนำดและประเภทของฝุ่น (1) PM 10 ตำมคำจำกัดควำมของ US.EPA หมำยถึง ฝุ่นหยำบ (Course particle) เปน็ อนภุ ำคที่มีเส้นผำ่ นศูนย์กลำง 2.5-10 ไมครอน มีแหล่งกำเนิดจำกกำรจรำจร และจำก กำรขนส่งวสั ดุ (2) PM 2.5 ตำมคำจำกัดควำมของ US.EPA หมำยถึง ฝุ่นละเอียด (Fine particle) เป็นอนุภำคท่ีมีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงเล็กกว่ำ 2.5 ไมครอน มีแหล่งกำเนิดจำกควันเสียของ รถยนต์ โรงไฟฟ้ำ โรงงำนอุตสำหกรรม กำรใช้ไม้ฟืน และก๊ำซต่ำง ๆ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) และสำรอินทรยี ร์ ะเหยง่ำย (Volatile Organic Compounds ; VOCs) ทท่ี ำปฏิกริ ยิ ำกบั สำรอื่นในอำกำศทำใหเ้ กิดฝนุ่ ละเอยี ดได้ ในประเทศไทยให้ควำมหมำยฝุ่นละออง หมำยถึง ฝุ่นละอองรวม (Total Suspended Particulate ; TSP) ซ่ึงเป็นฝุ่นที่มีขนำดเส้นผำ่ นศูนย์กลำงต้งั แต่ 100 ไมครอน ส่วนฝุน่ ขนำดเล็ก (PM 10) หมำยถงึ ฝุ่นที่มีขนำดตั้งแต่ 10 ไมครอนลงมำ กำรจำแนกประเภทของฝุ่นในอำกำศจำแนกตำมลักษณะกำรเกิดได้เป็น 2 ประเภทคอื ฝุน่ ปฐมภูมิ ได้แก่ ฝนุ่ จำกถนน จำกเกลือทะเล จำกกระแสลม ขี้เถ้ำ เขมำ่ ควนั ไฟ และฝุ่น ทุติยภูมิ มำจำกปฏิกิริยำต่ำง ๆ ในบรรยำกำศท่ีถูกปล่อยออกมำจำกแหล่งกำเนิดซ่ึงอำจเป็นอนุภำค ใหม่หรืออนุภำคเดิมที่มีองค์ประกอบเพิ่มข้ึน ซึ่งมีสำรองค์ประกอบหลักได้แก่ ซัลเฟต ไนเตรท และ คำร์บอนอินทรีย์ ซ่ึงออกไซด์ของซัลเฟตและไนเตรทมำจำกแหล่งทุติยภูมิ โดยมีก๊ำซซัลเฟอร์ได ออกไซด์และไนโตรเจนไดออกไซด์เป็นสำรเร่ิมต้นปฏิกิริยำ เช่น ก๊ำซซัลเฟอร์ไดออกไซด์จะถูก ออกซิไดซ์เป็นกรดซัลฟิวริกและเร่ิมจับตัวเป็นฝุ่นขนำดเล็กจำกกระบวนกำร Nucleation และเพิ่ม ขนำดเม็ดฝุ่นจำกกระบวนกำร Coagulation และ Condensation (Wilson snd Suh,1997 อ้ำงถึง ใน กระทรวงสำธำรณสขุ , 2558) 4.4.7.2 แหล่งท่ีมำของฝุ่น ฝุ่นในอำกำศมีที่มำจำกหลำกหลำยแหล่ง รวมไปถึงข้ีเถ้ำ เขม่ำควันทั้งที่เกิดจำกแหล่งธรรมชำติและกิจกรรมของมนุษย์ จำกกำรรวบรวมแหล่งกำเนิดฝุ่นโดย The Standard (2018) รำยงำนว่ำแหล่งกำเนิดและปริมำณฝุ่นขนำด 2.5 ไมครอน (Particulate Matter ; PM 2.5) ท่ีเกดิ ข้นึ มำจำก 2 ปจั จยั คือ (1) แหลง่ กำเนดิ โดยตรง (1.1) กำรเผำในที่โล่ง มีกำรปลอ่ ย PM 2.5 มำกที่สุดถงึ 209,937 ตันต่อปี โดยมำจำกกำรเผำในพื้นท่ีเพำะปลูกพืชเชิงเด่ียวเพ่ือป้อนเข้ำส่หู ่วงโซ่อุปทำนกำรผลิตอำหำร

148 ของบริษัทอุตสำหกรรมเกษตรขนำดใหญใ่ นภำคเหนือตอนบนของไทยและภูมภิ ำคลุ่มน้ำโขงรวมไปถึง หมอกควนั พิษข้ำมพรมแดน (1.2) กำรคมนำคมขนส่ง มีกำรปล่อย PM 2.5 รำว 50,240 ตัน ต่อปี โดยมำจำกกำรเผำไหม้ของเช้ือเพลิงท้ังดีเซลและแก๊สโซฮอล์ และยังเป็นแหล่งกำเนิดของ ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) และซลั เฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) (1.3) กำรผลิตไฟฟ้ำ มีกำรปลอ่ ย PM 2.5 รำว 31,793 ตนั ต่อปี ถึงแม้จะมีค่ำ PM 2.5 น้อยกว่ำกำรเผำในท่ีโล่งและกำรคมนำคมขนส่งแต่มีสัดส่วนในกำรปล่อยก๊ำซ ซลั เฟอรไ์ ดฃออกไซด์ (SO2) และออกไซดข์ องไนโตรเจน (NOx) ส่ชู ้ันบรรยำกำศมำกทส่ี ดุ (1.4) อตุ สำหกรรมกำรผลิต มกี ำรปล่อย PM 2.5 รำว 65,140 ตนั ต่อปี โดยพบมำกที่สุดในพ้ืนท่ีเขตควบคุมมลพิษมำบตำพุด จังหวัดระยอง ซ่ึงเกิดจำกสำรอินทรีย์ ระเหยง่ำยจำกสำรเคมีและอุตสำหกรรม (2) กำรรวมตัวของก๊ำซอ่ืน ๆ ในบรรยำกำศ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) รวมทั้งมีสำรปรอท (Hg) แคดเมียม (Cd) อำร์เซนิก (As) หรือโพลีไซ คลิกอะโรมำตกิ ไฮโดรคำร์บอน (PAHs) ทเ่ี ปน็ สำรพิษอนั ตรำยต่อมนษุ ย์ จำกกำรศึกษำวิจัยเรื่องปริมำณโลหะหนักในฝุ่นละอองรวมบริเวณริมทำงหลวง (ถนน บำงนำ - ตรำด) กิโลเมตรที่ 18 ของธนำพร มณีรัตน์ และคณะ (2560) ซ่ึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำ ควำมเข้มข้นของโลหะหนักท่ีปนเป้ือนในฝุ่นละอองรวม โดยกำรตรวจวัดควำมเข้มข้นของโลหะที่ สะสมในฝุ่นละอองรวมท้ังหมด 6 ชนิด ได้แก่ แคดเมียม (Cd) เหล็ก (Fe) โครเมียม (Cr) ตะก่ัว (Pb) และสังกะสี (Zn) วิเครำะห์ด้วยเคร่ือง Atomic Absorption Spectrophotometer) ผลกำรศึกษำ พบว่ำ มีค่ำควำมเข้มข้นเฉลี่ยของสังกะสีสูงที่สุด เท่ำกับ 0.18063 มิลลิกรัมต่อลูกบำศก์เมตร และ โลหะหนักท่ีมีควำมเข้มข้นน้อยที่สุดคือ ตะกั่ว มีควำมเข้มข้นเฉล่ียเท่ำกับ 0.00164 มิลลิกรัมต่อ ลูกบำศก์เมตร แต่เม่ือนำควำมเข้มข้นของโลหะท้ังหมดไปเทียบกับค่ำอ้ำงอิงทำงสุขภำพพบว่ำ โครเมียม แคดเมยี ม ตะกัว่ และแมงกำนีสมีคำ่ เกินคำ่ อำ้ งองิ 4.4.7.3 อันตรำยจำกฝุ่น ฝุ่นท่ีเกิดจำกสำเหตุจำกธรรมชำติและกิจกรรมของมนุษย์ ล้วนส่งผลต่อมนุษย์เรำทั้งสิ้น สำมำรถรวบรวมผลกระทบจำกฝุ่นที่มีต่อสุขภำพได้ดังน้ี (โรงพยำบำล บำรุงรำษฎร์, 2561) (1) ฝุ่นขนำดย่ิงเล็กย่ิงอันตรำย เนื่องจำกฝุ่นขนำดเล็กสำมำรถถูกสูดเข้ำไปสู่ ปอดและทำงเดนิ หำยใจ และบำงอนุภำคอำจเข้ำไปถงึ กระแสเลอื ดและไหวเวียนทวั่ ร่ำงกำย (2) กำรเสียชวี ติ ก่อนวยั อันควร องค์กำรอนำมยั โลกได้ประมำณว่ำมปี ระชำกร ท่ีต้องเสียชีวิตก่อนเวลำอันควรเน่ืองจำกมลพิษในอำกำศท่ัวโลกมำกกว่ำ 6,000,000 คนในแต่ละปี และในจำนวนน้ีเป็นเด็กอำยุต่ำกว่ำ 5 ขวบรำวร้อยละ 20 คือ ประมำณ 1,200,000 คน และยังมี งำนวิจัยที่แสดงให้เห็นว่ำฝุ่นยังเป็นสำเหตุกำรกำเริบของโรคท่ีมีอยู่ก่อน เช่น หอบหืด ซึ่งรวมทั้งโรค ปอดอดุ กน้ั เร้ือร้ังและโรคมะเรง็ ปอด นอกจำกนยี้ งั เป็นเหตใุ ห้หัวใจวำย หวั ใจเตน้ ผิดจังหวะ หัวใจเตน้ แรง อัตรำกำรผันแปรกำรเต้นของหัวใจลดลง ตลอดจนมีควำมเส่ียงท่ีจะเกิดกำรตำยเสียชีวิตจำก ภำวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน และมีหลักฐำนควำมเช่ือมโยงระหว่ำงภำวะหลอดเลือดแข็งกับกำร

149 สัมผัสอนุภำคฝุ่นขนำดเล็กเป็นระยะเวลำนำนที่ทำให้เกิดกำรสะสมตะกอนภำยในหลอดเลือดซึ่งเป็น สำเหตุของกำรเกดิ ภำวะหัวใจวำยและหลอดเลือดในสมองตบี ได้ (3) อันตรำยต่อสมอง กำรสัมผัสกับมลพิษในอำกำศเป็นระยะเวลำนำนเป็น กำรเพิ่มควำมเส่ียงที่จะทำให้เกิดหลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว ควำมดันโลหิตสูงขึ้นและควำมหนืด ของเลือดเพิ่มขึน้ ซง่ึ เปน็ ปัจจัยเสย่ี งในกำรเกดิ ลมิ่ เลือดในสมอง (4) อันตรำยต่อกลุ่มเสี่ยง กำรเผชิญกับอนุภำคฝุ่นขนำดเล็กเป็นอันตรำยต่อ สุขภำพ โดยเฉพำะกับกลุ่มเส่ียง ซึ่งได้แก่ เด็กที่มีอำยุน้อย ๆ ย่ิงมีควำมเส่ียงมำก เน่ืองจำกปอดและ ระบบภมู ิคุม้ กนั ของเด็กยังอยใู่ นระยะท่ีกำลังพฒั นำ มีกำรวจิ ยั ที่แสดงวำ่ กำรเผชิญกบั มลพษิ ในอำกำศ จะขัดขวำงกำรเจริญเติบโตของปอดในเด็กวัยเรียน กลุ่มเส่ียงต่อมำคือ หญิงมีครรภ์ ซึ่งจะมีควำม อ่อนแอต่อกำรเผชญิ กบั มลพษิ ในอำกำศจำกฝ่นุ ละอองในระดับสูง จำกงำนวิจัยพบว่ำ มคี วำมเชื่อมโยง ระหว่ำงกำรเผชิญกับฝุ่นละอองกับกำรคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักทำรกแรกคลอดต่ำ มีควำมเส่ียงท่ี จะเกิดกำรแท้งบตุ รและอัตรำกำรตำยของทำรกเพม่ิ ขนึ้ สว่ นในกลุ่มผสู้ งู วัยทร่ี ะบบภูมคิ มุ้ กนั อ่อนแอลง และรำ่ งกำยมีควำมสำมำรถในกำรรบั มือกบั มลพษิ ในอำกำศลดลง และมแี นวโน้มมำกขึ้นท่ีจะมีอำกำร เกี่ยวกับโรคหัวใจหรือระบบทำงเดินหำยใจที่ยังไม่ได้รับกำรวินิจฉัยซึ่งอำจกำเริบข้ึนได้ดังแสดงระดับ ของอนั ตรำยต่อสขุ ภำพในตำรำงที่ 4.4 นอกจำกนี้งำนวิจัยของรัชนีวรรณ คำตัน และคณะ (2562) ท่ีศึกษำปัญหำหมอกควนั และผลกระทบด้ำนสุขภำพในจังหวัดเชียงใหม่ เพ่ือวิเครำะห์สภำพปัญหำและผลกระทบทำงด้ำน สุขภำพโดยใช้ข้อมูลอนุกรมต้ังแต่เดือนมกรำคม-ธันวำคม พ.ศ. 2560 ประกอบด้วยฝุ่นละอองไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง และเก็บข้อมูลจำนวนผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในจำก 4 กลุ่มโรค พบว่ำ ในช่วงสภำพกำรเกิดหมอกควันต้ังแต่ พ.ศ. 2556-2560 พบจุดควำมร้อนมำกที่สุดในพ้ืนที่ป่ำ สงวน พืน้ ทปี่ ่ำอนรุ ักษ์ และพ้ืนทเ่ี กษตร ตำมลำดับ โดยพบมำกที่สุดในเดือนมีนำคม อำเภอเชียงดำวมี กำรเกิดไฟป่ำมำกท่ีสุดและมีแนวโน้มของกำรเกิดไฟป่ำต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 เป็นต้นมำ ส่วน อำเภอแม่แจ่มมีจุดควำมร้อนสะสมมำกที่สุดแต่พบแนวโน้มของกำรเกิดจุดควำมร้อนและกำรเกิดไฟ ป่ำลดลงอย่ำงต่อเนื่อง ผลกำรวิเครำะห์ผลกระทบกำรเพิ่มขึ้นของปริมำณฝุ่นละอองไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) เฉล่ีย 24 ชั่วโมงพบว่ำ มีผลต่อกำรเปล่ียนแปลงจำนวนผู้ป่วยนอกมำกกว่ำผู้ป่วยใน โดยเฉพำะกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลอื ดทุกชนิด รองลงมำเป็นกลุ่มโรคทำงเดินหำยใจทุกชนดิ ที่ต้อง เฝ้ำระวังเปน็ พิเศษ 4.4.7.4 อนั ตรำยจำกฝุ่นทม่ี สี ำรอืน่ เปน็ องค์ประกอบ ผลกระทบจำกฝุ่นท่ีมีสำรอ่ืนเป็นองค์ประกอบ เช่น ซิลิกำ (Silica) หรือหิน ทรำยซ่ึงเป็นวัตถุดิบท่ีนำมำใช้ในกำรผลิตของโรงงำนอุตสำหกรรม เช่น กระดำษทรำย หินขัด วัสดุ ทนไฟ แก้ว จำนกระเบื้อง ฉนวนควำมร้อนของท่อ เตำเผำ ใช้ทำเป็นโลหะผสม ทำฉนวนก้ันเสียง เปน็ ต้น เม่อื ฝนุ่ ผงเลก็ ๆ ท่ีมขี นำดเลก็ กว่ำ 10 ไมครอนเข้ำสู่ระบบหำยใจและปอดอำจทำใหเ้ กิดปอด บวม ถงุ ลมโปง่ พอง วัณโรคและเสียชวี ติ ได้ โรคซิลิโคสิสซึ่งเกิดจำกฝุ่นหินซิลิกำโดยเม่ือร่ำงกำยได้รับฝุ่นหินทรำยเข้ำไปสู่ ระบบทำงเดินหำยใจและปอดเป็นระยะเวลำนำนจะเกิดกำรสะสมในปริมำณท่ีมำกข้ึน และเม่ือ เอ็กซเรย์อำจไม่พบควำมผิดปกติแต่ถ้ำหำกมีมำกข้ึนเร่ือย ๆ จะทำให้หำยใจขัด หอบ ช่วงกำรหำยใจ

150 ส้ัน มีอำกำรไอและเจ็บหน้ำอก หัวใจต้องทำงำนหนักและอำจถึงแก่ชีวิตในระยะเวลำ 5-10 ปี ทั้งน้ี ขึ้นอยู่กับสุขภำพของแต่ละบุคคล ส่วนอำกำรเฉียบพลันของผู้ที่ได้รับฝุ่นหินทรำยคือหำยใจขัด แน่น อึดอัด ผิวหนังเป็นสีเขียวคล้ำเนื่องจำกขำดออกซิเจน หอบ หำยใจเร็วและอำจมีวัณโรคแทรกซ้อนได้ โดยโรคซิลิโคสิส แบง่ ออกเป็น 3 ชนดิ คือ (กระทรวงสำธำรณสุข, 2558) (1) ชนิดเฉียบพลัน เกิดจำกกำรหำยใจเอำฝุ่นทรำยขนำดเล็ก ๆ เข้ำไปใน ปริมำณมำกทำให้ถุงลมอักเสบและกลำยเป็นพังผืดก้อนเล็ก ๆ จำนวนมำก กำรเกิดอำกำรเหล่ำน้ีใช้ เวลำต้ังแตไ่ ม่กส่ี ปั ดำห์จนถึงหลำยเดือน ท้ังน้ีกลมุ่ อำชีพเส่ียงคอื คนงำนขัดโลหะโดยกำรพน่ ทรำย (2) ชนิดเร่ง เกิดจำกกำรหำยใจเอำฝุ่นทรำยขนำดเล็ก ๆ เข้ำไปในปริมำณ ต่อเนื่อง 2-5 ปี แต่กำรพัฒนำใช้เวลำประมำณ 5-15 ปี ก้อนพงั ผืดมีขนำดเล็กและมักเกิดในบริเวณ สว่ นกลำงของปอด คนทีท่ ำงำนในเหมอื งแร่มโี อกำสและควำมเสีย่ งท่ีจะเกดิ โรคซลิ ิโคสสิ ชนดิ นี้ (3) ชนดิ เรือ้ รงั เกิดจำกกำรหำยใจเอำฝุ่นทรำยขนำดเล็ก ๆ เขำ้ ไปในปริมำณ ไมม่ ำกแตเ่ ปน็ ระยะเวลำนำนหลำยปี กำรพัฒนำกำรเกดิ โรคใช้เวลำนำนกวำ่ 2 ชนิดแรก คอื 20 - 45 ปี กอ้ นพงั ผดื มกั เปน็ ตรงปอดส่วนบน อำชีพทีม่ ีควำมเส่ยี งคอื คนทำงำนในโรงโม่หนิ บด ยอ่ ยหิน 4.4.7.5 กำรป้องกันตนเองจำกฝุ่นละออง ทุกคนสำมำรถลดอันตรำยจำกฝุ่นละออง ได้โดยกำรเฝ้ำระวังระดับมลพิษซึ่งมีกำรแสดงผลแบบเรียลไทม์ผ่ำนแอพลิเคชันสมำร์ทโฟน และควร ปฏิบตั ิตำมขอ้ แนะนำดงั น้ี (1) ลดกำรทำกิจกรรมนอกบ้ำน อ้นตรำยที่เกิดจำกมลพิษในอำกำศจะ เพิ่มข้ึนหำกทำกิจกรรมนอกบ้ำนที่ใช้กำลังมำกตำมระยะเวลำที่อยู่กลำงแจ้งและระดับควำมรุนแรง ของมลพษิ ดงั นัน้ จึงควรลดอันตรำยโดยกำรใช้กำลังลดลง เชน่ กำรเดินแทนกำรวิ่งเหยำะ ลดเวลำอยู่ กลำงแจ้ง และหลีกเลยี่ งกำรทำกจิ กรรมในช่วงเวลำหรอื พ้นื ท่ที มี่ ีมลพิษสงู (2) อยู่ในอำคำรเมื่อระดับมลพิษสูง ควรอยู่ในอำคำรหำกมีระดับมลพิษสูง ควรย้ำยกำรทำกิจกรรมภำยนอกอำคำรในช่วงเวลำที่มีมลพิษสูงไปในอำคำรแทน เช่น กำรออกกำลัง กำยกลำงแจง้ ควรยำ้ ยไปออกกำลงั กำยในโรงยิมแทน (3) ปรับปรุงคุณภำพอำกำศภำยในอำคำร ปิดหน้ำตำ่ งในชว่ งที่มรี ะดับมลพิษ สูง ปรับเครื่องปรับอำกำศให้ใช้อำกำศภำยในอำคำรไหลเวียนแทนกำรดึงอำกำศจำกภำยนอก ใช้ เคร่ืองฟอกอำกำศท่ีมีเครื่องกรองอนุภำคฝุ่นละอองที่มีประสิทธิภำพสูง และเคร่ืองฟอกอำกำศต้องมี ขนำดท่เี หมำะสมกบั ขนำดของหอ้ ง (4) สวมหน้ำกำกป้องกัน เมื่อสวมหน้ำกำกอย่ำงถูกต้องหน้ำกำกจะช่วย ป้องกันทำงเดินหำยใจ ช่วยกรองอนุภำคฝุ่นละอองได้ถึงร้อยละ 95 (หน้ำกำก N 95 กรองได้อย่ำง นอ้ ยร้อยละ 95 ส่วนหนำ้ กำก N 99 กรองไดอ้ ย่ำงนอ้ ยรอ้ ยละ 99)

151 ตำรำงที่ 4.5 The air guide for particle pollution includes cautionary statements and actions people can take to reduce their risk from exposure to air pollution at different levels of health concern ทมี่ ำ : (https://www.epa.gov/sites/production/files/2014-09/aqiguidepm.png.) 4.5 วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยเี พ่อื การแก้ปญั หาทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม 4.5.1 การกาจดั คารบ์ อนไดออกไซด์ สถำนกำรณ์โลกร้อนเป็นปัญหำท่ีมีควำมรุนแรงมำกขึ้นและส่งผลกระทบในวงกว้ำง สำเหตุสำคัญของกำรเกิดภำวะโลกร้อนมำจำกปริมำณคำร์บอนไดออกไซด์ในช้ันบรรยำกำศมีปริมำณ สูงมำกขึ้น อัตรำกำรปล่อยก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ในปัจจุบันทั่วโลกอยู่ท่ี 2.7% ซ่ึงจะส่งผลต่อกำร เปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศ คำดกำรณ์ว่ำในปี ค.ศ. 2050 อุณหภูมิโลกอำจจะเพ่ิมสูงขึ้นกว่ำ 3-6 องศำเซลเซยี ส จึงทำใหค้ ณะกรรมกำรระหว่ำงรฐั บำลว่ำด้วยกำรเปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศ (IPCC) ต้ังเป้ำหมำยลดกำรปล่อยก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ลงคร่ึงหน่ึงภำยในปี ค.ศ. 2030 และต้องไม่มีกำร ปล่อยก๊ำซเพ่ิมภำยในปี 2050 เพื่อคงอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกินจำกเดิม 1.5 องศำเซลเซียส จึงทำให้ หลำยประเทศตอ้ งหำวิธกี ำรในกำรลดคำรบ์ อนไดออกไซด์

152 4.5.1.1 กำรแยกก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ (CO2 Separation) ในปฏิกิริยำกำรเผำไหม้ จะทำให้เกิดกำ๊ ซคำรบ์ อนไดออกไซด์ผสมอยู่กับก๊ำซอืน่ ๆ เช่น ไอน้ำ ซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์ ไฮโดรเจน กำรพัฒนำเทคโนโลยีกำรดักจับและ กำจัดก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ จึงต้องแยกก๊ำซ คำรบ์ อนไดออกไซด์โดยกำรปล่อยกำ๊ ซใหล้ อยผ่ำนสำรละลำยท่ีมสี ว่ นประกอบของเอมีนซ่ึงเป็นสำรที่มี หมู่ฟังก์ชันอะมิโน (-NH2) เอมีนจะทำปฏิกิริยำเคมีกับก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์และปล่อยก๊ำซอื่น ๆ ออกไป แลว้ จึงใหค้ วำมร้อนสำรประกอบเอมีนและคำรบ์ อนไดออกไซด์ด้วยไอนำ้ เพื่อทำให้พันธะของ สำรประกอบแตกออกและแยกก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์บริสทุ ธ์ิออกมำ กำ๊ ซคำร์บอนไดออกไซด์จะถูก บีบอัดให้เป็นของเหลวและถูกขนส่งไปฝั่งไว้ใต้ดินที่มีสภำพทำงธรณีวิทยำที่เหมำะสมเพ่ือไม่ให้ร่ัวไหล เข้ำสู่บรรยำกำศ ดังแสดงในรปู ท่ี 4.9 ก ำ ร พั ฒ น ำ ก ำ ร แ ย ก ก๊ ำ ซ ค ำ ร์ บ อ น ไ ด อ อ ก ไ ซ ด์ ด้ ว ย อุ ป ก ร ณ์ ดั ก จั บ ก๊ ำ ซ คำร์บอนไดออกไซด์ของบริษัท Climeworks บรษิ ทั พัฒนำด้ำนพลงั งำนท่ีรเิ ริ่มเทคโนโลยโี ดยนักศึกษำ ปรญิ ญำโท 2 คน คือ Christoph Gebald และ Jan Wurzbacher เมอื งซรู คิ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยพัฒนำเครื่องดักจับก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ที่ประกอบด้วยส่วนหลัก ๆ คือ พัดลมขนำดใหญ่ ปล่องหรือช่องลมสำหรบั ให้อำกำศผ่ำนและแผ่นกรองก๊ำซคำรบ์ อนไดออกไซด์ท่ีติดตั้งอยู่ภำยใน เมื่อ อำกำศไหลผ่ำนเข้ำไปยังอุปกรณ์ ก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์จะทำปฏิกิริยำเคมีกับแผ่นกรองซ่ึงเป็น สำรประกอบเอมีนหลังจำกก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ถูกจับไว้แล้ว อำกำศที่สะอำดจะถูกปล่อยออกไป อีกด้ำนหนึ่ง เมื่อแผ่นกรองอิ่มตัว ช่องลมจะถูกปิดและดูดอำกำศออกเป็นสภำวะสุญญำกำศ ระบบ จะให้ควำมร้อนกับแผ่นกรองจนมีอุณหภูมิประมำณ 100 องศำเซลเซียสเพ่ือกระตุ้นโมเลกุลของ คำร์บอนไดออกไซด์ให้ถูกแยกออกไป เม่ือแผ่นกรองเย็นลงสำรเอมีนกลับเข้ำสู่สภำวะเดิมจึงเปิดช่อง ลมเพอ่ื ดกั จับก๊ำซคำรบ์ อนไดออกไซด์ต่อไป ก๊ำซคำร์บอนไดออกไซดจ์ ะถกู นำไปกำจัดโดยกำรฝงั ใต้ดิน แต่บริษัท Climeworks ได้นำก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ท่ีดักจับได้จำกเครื่องต้นแบบนี้ไปใช้ในเรือน กระจกเพ่ือปลูกผักและมีแผนในกำรขำยก๊ำซนี้ไปให้ผู้ประกอบธรุ กิจเครื่องดมื่ น้ำอดั ลม ธุรกิจยำนยนต์ เป็นต้น อีกตัวอย่ำงของกำรนำไปใช้คือ บริษัท Carbon Engineering ท่ีได้นำก๊ำซที่ดักจับได้ไปใช้ เป็นสำรประกอบตัง้ ต้นของกำรผลิตเชอ้ื เพลิงสงั เครำะห์สำหรบั ใช้ในยำนพำหนะทว่ั ไป (ชนกำนต์ พันสำ, 2562)

153 รปู ที่ 4.7 อุปกรณด์ ักจับแกส๊ คำร์บอนไดออกไซด์ของบริษทั Climeworks ทมี่ ำ : (https://www.climeworks.com/page/story-to-reverse-climate-change) 4.5.1.2 เทคโนโลยีกำรดักจับและกักเก็บก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage ; CCS) วิธีกำรลดกำรปลดปลอ่ ยก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์จำกแหล่งกำเนิดแบบชัดเจน เชน่ โรงงำนท่มี กี ำรเผำไหม้เช้ือเพลงิ หรือโรงงำนท่ีก๊ำซคำร์บอนไดออกไซดเ์ ป็นผลิตภัณฑข์ ้ำงเคียงจะมี กำรจัดกำรกับก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์โดยแบ่งเป็น 2 ข้ันตอน คือ ขั้นตอนแรกเป็นกำรดักจักก๊ำซ คำร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage) และขั้นตอนท่ีสองเป็นกำรนำก๊ำซ คำร์บอนไดออกไซด์ที่ดักจับได้ไปเก็บหรือนำไปใช้ประโยชน์ (Carbon Capture and Utilization ; CCU) ในอดีตวิธีกำรแบบ CCS เป็นที่นิยมใช้กันอย่ำงแพร่หลำยมำกกว่ำ CCU เน่ืองจำกมีปริมำณ กำ๊ ซคำรบ์ อนไดออกไซดม์ ำกเกนิ กว่ำจะนำไปใช้ไดห้ มดและกระบวนกำรในกำรนำไปใชม้ ีข้อจำกัด โดย หลักกำร CCS คือ กำรนำก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ไปกักเก็บไว้ในสถำนท่ีท่ีก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ไม่ สำมำรถกลับสู่บรรยำกำศได้ (กุลนันท์ วีรณรงค์กรและอมรชัย อำภรณ์วิชำนพ, 2560) รูปที่ 4.8 เป็น ตัวอย่ำงโรงงำนที่มีกำรใช้เทคโนโลยีกำรดักจับและเก็บกักคำร์บอนได้แก่ Sake Power Boundary Dam ประเทศแคนำดำ เป็นโรงไฟฟ้ำถ่ำนหินที่สำมำรถดักจับคำร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ตันต่อปีและ คำร์บอนไดออกไซด์ท่ีดักจับไว้จะถูกส่งไปสู่กระบวนกำรช่วยเพ่ิมกำรผลิตน้ำมัน (Enhance Oil Recovery)

154 รูปท่ี 4.8 SaskPower’s Boundary Dam coal-fired power plant ประเทศแคนำดำ ท่ีมำ : (https://inspiredeconomist.com/2014/11/26/canada-premier-carbon-capture- storage/) 4.5.1.3 กำรแปรรูปก๊ำซคำรบ์ อนไดออกไซด์ (Transforming CO2) (1) นวัตกรรมกำรเปลี่ยนคำร์บอนเป็นพลังงำน กำรพัฒนำตัวเร่งปฏิกิริยำ เปลี่ยนคำร์บอนไดออกไซดเ์ ป็นเชอื้ เพลิงและเคมีภณั ฑ์ นักวิจัยจำกศูนยว์ ิจัยนำโนเทคโนโลยีแหง่ ชำติ (NECTEC) ผุศนำ หิรัญสิทธิ์ ได้ศึกษำงำนวิจัยเกี่ยวกับตัวเร่งปฏิกิริยำระดับนำโนโดยใช้สำรประกอบ ทองแดงเป็นตัวเร่งปฏิกิริยำซึ่งมีรำคำไม่สูง โดยตัวเร่งปฏิกิริยำทองแดงน้ีจะเข้ำไปทำปฏิกิริยำกับ คำร์บอนไดออกไซด์และได้คำร์บอนมอนอกไซด์กับไอออนของออกซิเจน แล้วจึงนำ คำร์บอนมอนอกไซด์ไปทำปฏิกิริยำกับไฮโดรเจนท่ีอยู่ในสำรละลำยไฟฟ้ำเคมีซ่ึงอยู่ภำยในเซลล์ พลงั งำน (Fuel Cell) และได้โมเลกุลที่ประกอบด้วยคำร์บอน ออกซเิ จนและไฮโดรเจนออกมำ ตัวเรง่ ปฏิกิริยำทองแดงจะเข้ำไปแยกออกซิเจนออกจำกคำร์บอนและพำไฮโดรเจนเข้ำไปทำปฏิกิริยำกับ คำร์บอนทำให้ได้สำรประกอบท่ีเสถียรคือ เมทำนอล (Methanol) และเอทีลีน (Ethylene) (ผู้จัดกำร ออนไลน์, 2560) โดยเมทำนอลน้ีถือเป็นวัตถุดิบพ้ืนฐำนที่สำคัญในกำรผลิตสำรเคมีต่ำง ๆ รวมถึง ผลิตไบโอดีเซลและยังสำมำรถเปลี่ยนรูปไปเป็นไดเมทิลอีเทอร์ (Dimethyl ether) ซ่ึงเป็นพลังงำน สะอำดท่ีจะมำแทนก๊ำซหุงต้ม (LPG) และดีเซลในอนำคต ส่วนเอทีลีนน้ันจะนำไปใช้เป็นสำรตั้งต้น ของอุตสำหกรรมพลำสติกพอลิเมอร์ แม้ว่ำปจั จุบนั เทคโนโลยกี ำรดักจบั กำรใช้ประโยชน์ และกกั เก็บ ค ำ ร์ บ อ น ( Carbon Capture, Utilization and Storage ; CCUS) ยั ง มี ต้ น ทุ น ท่ี สู ง แ ต่ ก๊ ำ ซ คำร์บอนไดออกไซด์ที่ได้จำกกำรดักจับโดยใช้เทคโนโลยี CCUS สำมำรถนำไปใช้ประโยชน์ได้ หลำกหลำยดงั เชน่ กำรผลติ น้ำมนั ดงั กล่ำวขำ้ งต้นหรือกำรนำไปใช้ในกระบวนกำรผลิตน้ำมนั ขึ้นมำจำก

155 หลมุ หลงั จำกได้มีกำรผลิตตำมธรรมชำติแล้ว (Enhance Oil Recovery ; EOR)3 เพ่อื เพมิ่ ปริมำณกำร ผลิตน้ำมัน กำรผลิตน้ำแข็งแห้งเพื่อรักษำควำมสดและยับยั้งกำรเจริญเติบโตของแบคทีเรียในอำหำร หรือในกระบวนกำรหมัก สำรกันบูดในอุตสำหกรรมเคร่ืองด่ืม เป็นต้น และได้คำดกำรณ์ว่ำจะมีกำร เตบิ โตของเทคโนโลยี CCUS ในตลำดโลกเพ่ิมขน้ึ (สำนักงำนนวัตกรรมแห่งชำติ, 2562) (2) กำรแปรรูปคำร์บอนไดออกไซด์เป็นผลิตภัณฑ์อุตสำหกรรม เทคโนโลยี กำรดักจับก๊ำซคำรบ์ อนไดออกไซด์ได้รับกำรพัฒนำมำอย่ำงต่อเน่ืองและได้นำก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ ไปใช้ประโยชน์เพ่ือผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่ำง ๆ ซึ่งมีตลำดหลักของผลิตภัณฑ์จำกคำร์บอนไดออกไซด์ (Carbon-based product) ได้แก่ วัสดุก่อสร้ำง เคมีภัณฑ์ เช้ือเพลิง และโพลิเมอร์ (กำรนิคม อุตสำหกรรมแห่งประเทศไทย, 2560) Carbon Cure Technologies เป็นผู้นำเทคโนโลยีกำรแปรรปู คำร์บอนไดออกไซด์ช้ันนำของโลก สำมำรถคิดค้นนวัตกรรมกำรแปรรูปคำร์บอนไดออกไซด์ให้เป็น ส่วนประกอบของคอนกรีตชนิดใหม่ท่ีแข็งแรง ทนทำนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คำดกำรณ์ว่ำ นวัตกรรมนชี้ ว่ ยลดคำรบ์ อนไดออกไซด์ของโลกได้มำกกวำ่ 10 เปอรเ์ ซ็นต์ รปู ท่ี 4.9 ขั้นตอนกำรกำจัดแก๊สคำรบ์ อนไดออกไซด์ ท่มี ำ : (http://www.captureready.com) 3 กระบวนกำรช่วยเพ่ิมปริมำณกำรผลิตน้ำมัน (Enhance Oil Recovery) เป็นกระบวนกำรที่ช่วยในกำรนำน้ำมันข้ึนมำจำกหลุม ภำยหลงั จำกไดม้ ีกำรผลิตตำมธรรมชำติ (กำรขดุ เจำะครัง้ แรก นำ้ มนั จะสำมำรถไหลขนึ้ มำจำกหลุมดว้ ยแรงดันภำยในหลุม) ขั้นตอนน้ีจะ เป็นกำรอัดนำ้ หรือก๊ำซเข้ำไปในแหล่งกักเก็บเพื่อให้น้ำหรอื กำ๊ ซนั้นเข้ำไปแทนท่ีน้ำมันดิบและไล่นำ้ มันดิบมำเข้ำหลุมผลิต

156 ภำยในปี ค.ศ. 2030 บริษัท Asaki Kasei ของญ่ีปุ่นใช้คำร์บอนไดออกไซด์ประมำณ 660,000 ผลิตโพลีคำร์บอเนตเพื่อใชท้ ำขวดพลำสติกและเคลือบผิวเลนส์ นอกจำกนี้ยังใช้ในกำรผลติ สำรโพลิออล (Polyol) ซ่งึ เป็นโมเลกุลทีม่ โี ครงสรำ้ งของน้ำตำลเพื่อสร้ำงวัสดปุ ระเภท Polyurethane สำหรับกำรทำกำวและใช้เคลือบวัสดุอ่ืน เช่น เคลือบกระจกป้องกันกระสุนและเสริมควำมทนของ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ Convestro ส่วนบริษัท Bayer Material Science เป็นธุรกิจจำกกำรวิจัย และพัฒนำผลิตภัณฑ์รักษ์โลก โดยผลิตภัณฑ์ครอบคลุมอุตสำหกรรมยำนยนต์ ไฟฟ้ำ อิเล็กทรอนิกส์ ก่อสร้ำง อุปกรณก์ ฬี ำ และอุตสำหกรรมทอ่ งเท่ยี ว โดยมผี ลิตภณั ฑ์ท่โี ดดเดน่ คอื โฟมและอีลำสโตเมอร์ และบริษัท Novomer Inc. ผู้ผลิตโพลิเมอร์ประสิทธิภำพสูงและเคมีภัณฑ์ผลิตโฟมชนิดแข็งจำกโพลิ ออลท่ีใช้คำร์บอนไดออกไซด์เป็นวัตถุดิบมำกกว่ำ 40 % ช่วยลดกำรใช้ปิโตรเลียมในกำรผลิตวัสดุได้ และยังช่วยลดกำรใช้สำรป้องกันกำรติดไฟได้มำกกว่ำ 50 เปอร์เซ็นต์ นอกจำกผลิตภัณฑ์ข้ำงต้นท่ีใช้ คำร์บอนไดออกไซด์แล้วยังมีกำรใช้ก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ 20 ล้ำนตัน/ปี เพ่ือทำน้ำอัดลมและทำ สำรละลำยที่ใช้ในกำรทำควำมสะอำดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ใช้คำร์บอนไดออกไซด์ 114 ล้ำนตัน/ปี เพ่อื ผลติ ปยุ๋ และใช้คำรบ์ อนไดออกไซด์ 117 กิโลกรัมเพ่อื ผลติ แคลเซยี มคำรบ์ อเนตใหไ้ ด้ 1 ตัน ควำมพยำยำมในกำรแก้ปัญหำกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศทำให้รัฐบำลของแต่ ละประเทศมุ่งเน้นกำรลงทุนในพลังงำนสะอำดและเทคโนโลยีคำร์บอนต่ำ โดยมีตัวอย่ำงกำรลงทุน ของประเทศต่ำง ๆ ดังน้ี ประเทศเยอรมนี ได้ใช้งบประมำณ 4,000 ล้ำนบำทในปี ค.ศ. 2009 เพ่ือ กำรวิจัยเร่ืองกำรใช้คำร์บอนไดออกไซด์ในกำรผลิตสำรประกอบเคมี เช้ือเพลิงสังเครำะห์ สหรัฐอเมริกำ มีกำรลงทุนเพอ่ื ศึกษำวธิ ีนำคำรบ์ อนไดออกไซด์ใปใช้ให้เกิดประโยชนม์ ำกทีส่ ุด จนี จดั ตงั้ กองทุนเพื่อแปรรูปคำร์บอนไดออกไซด์เพ่ือใช้ประโยชน์ในอุตสำหกรรมปูนซีเมนต์และเหล็กกล้ำ ที่ อินเดียโดยบริษัท carbon Clean Solutions Limited ใช้สำรเคมีดักจับก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ท่ี โรงไฟฟ้ำแห่งหน่ึงแล้วเปลี่ยนให้เป็นเบคกิ้งโซดำหรอื โซเดียมคำร์บอเนตเพ่ือใช้เป็นสำรเคมีพื้นฐำนใน กำรผลิตผงซักฟอก น้ำตำล กระดำษ เป็นกำรทำให้เกิดมูลค่ำเพ่ิมมำกกว่ำกำรดักจับก๊ำซ คำร์บอนไดออกไซด์แล้วนำไปฝังตำมช่องว่ำงของหินซ่ึงมีต้นทุนสูงมำกและไม่เกิดมูลค่ำทำงเศรษฐกิจ ท้ังนี้บริษัทสำมำรถดักจับก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 60,000 ตันต่อปี หรือ 90 % ของปริมำณ ก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมำจำกโรงไฟฟ้ำ ประเทศนอร์เวย์นำก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ท่ี ดักจับจำกโรงไฟฟ้ำมำเล้ียงสำหร่ำยแล้วนำมำผลิตเป็นกรดโอเมก้ำ-3 เพ่ือใช้เป็นอำหำรเสริมแก่ปลำ เน่ืองจำกปลำก็ต้องกำรกรดไขมันเหมือนกับคน ปลำจึงต้องกินสัตว์น้ำเล็ก ๆ เพ่ือให้ได้สำรอำหำรแต่ ในฟำร์มเล้ียงปลำไม่เหมือนแหล่งน้ำตำมธรรมชำติผู้เลี้ยงจึงต้องให้อำหำรเสริม โดยใช้ คำร์บอนไดออกไซด์ 1 เมตริกตันต่อสำหร่ำย 1 เมตริกตัน สำมำรถผลิตน้ำมันปลำได้ 300-400 กิโลกรัม นอกจำกนี้ยังส่งเป็นสินค้ำออกอันดับสองของนอร์เวย์ที่รองจำกก๊ำซและน้ำมันซ่ึงเป็น โครงกำรทีร่ ฐั บำลนอร์เวย์ให้กำรสนับสนนุ โดยมีศูนย์ CO2 Technology Centre Mongstad (TCM) เป็นผู้รับผิดชอบ สหรัฐอเมรกิ ำโดยบริษัท Ford Motor Company เป็นบริษัทแรกของอุตสำหกรรม ยำนยนต์ท่ีพัฒนำโฟมและพลำสติกโดยใช้เทคโนโลยีดักจับก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ท่ีจะนำมำพัฒนำ เปน็ เบำะที่น่งั ส่วนประกอบใตฝ้ ำกระโปรงรถและสว่ นประกอบอน่ื ๆ ของรถเพื่อใช้เป็นวัสดุทดแทน โดยโฟมและพลำสตกิ ทีป่ ระกอบด้วยสำรโพลีออลมคี ำรบ์ อนไดออกไซด์เปน็ สว่ นประกอบหลกั ถงึ

157 50 % ซ่ึงคำดว่ำจะช่วยลดปริมำณกำรใช้ปิโตรเลียมได้มำกกว่ำ 600 ล้ำนปอนด์ต่อปี ในประเทศ อิสรำเอลได้เปลี่ยนก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์และน้ำให้กลำยเป็นเช้ือเพลิงทำงเลือกที่สะอำด โดย บรษิ ทั New CO2 Fuels ที่มุ่งค้นหำพลังงำนสะอำดโดยมเี ทคโนโลยจี ำกห้องทดลองของศำสตรำจำรย์ Jacob Kami ที่ Weizmann Institute of Science สนับสนนุ ควำมสำเร็จจำกห้องทดลองคือ กำร รวบรวมก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์และน้ำแล้วมำสร้ำงเป็นเช้ือเพลิงโดยต้องใช้อุณหภูมิสูงมำกผลิต ออกมำเป็น Syngas (ก๊ำซเชื้อเพลิงผสม) แล้วจึงแปลงไปเป็นเมทำนอลที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ สำหรบั ประเทศในกลุ่มอำเซียนทปี่ รมิ ำณกำรปลอ่ ยกำ๊ ซคำร์บอนไดออกไซด์ มีประมำณ 55 ล้ำนตันต่อ ปี และมีอัตรำกำรเติบโตอย่ำงรวดเร็วทำให้มีปริมำณกำรปล่อยก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์เพ่ิมมำกข้ึน ดังน้ันจึงได้มีมำตรกำรในกำรยับย้ังและปรับปรุงเทคโนโลยีเพ่ือลดกำรปล่อยคำร์บอนไดออกไซด์ ซ่ึง หลำยประเทศในอำเซียนได้มีกำรศึกษำและพัฒนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดังกล่ำวแล้ว ในประเทศ ไทยมบี ริษัททีอ่ ยใู่ นอุตสำหกรรมกำรผลิตและแปรรูปคำรบ์ อนไดออกไซด์ 3 แห่ง ได้แก่ บรษิ ทั Praxair ประเทศไทย จำกัด บริษัท ไทยอินดัสเตรียลก๊ำซ จำกัด และบริษัทไฮโดรแก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด โดยนำคำร์บอนไดออกไซด์ท่ีปล่อยจำกโรงแยกก๊ำซธรรมชำติมำแปรรูปเพ่ือใช้ในอุตสำหกรรมแช่แข็ง และถนอมอำหำรหรืออุตสำหกรรมผลิตน้ำอดั ลม (กำรนิคมอุตสำหกรรมแห่งประเทศไทย, 2560) ซง่ึ ในอนำคตจะได้เห็นเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกี่ยวกับกำรแปรรูปคำร์บอนไดออกไซด์มำกข้ึน ทั้งนี้ อำจจะดว้ ยปจั จัยกำรเปล่ียนแปลงสภำพภมู ิอำกำศหรอื โอกำสทำงด้ำนเศรษฐกจิ ท่ีมำกระต้นุ ทำให้เกิด กำรวิจัยและพัฒนำเพ่ือหำนวัตกรรมและเทคโนโลยีในกำรลดกำรปล่อยก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์แต่ก็ นับไดว้ ำ่ มีประโยชน์ตอ่ สงิ่ แวดล้อมในกำรนำของเสยี กลบั มำใช้ประโยชน์ใหม่ 4.5.1.4 กำรเก็บกักคำร์บอนโดยพ้ืนทีป่ ่ำไม้ กำรแก้ไขปญั หำภำวะโลกร้อนมแี นวทำง ท่ีสำคญั คือ กำรลดกำรปล่อยกำ๊ ซเรอื นกระจกโดยเฉพำะกำ๊ ซคำรบ์ อนไดออกไซด์และเพ่ิมศักยภำพใน กำรกำจัดคำร์บอนไดออกไซด์ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่ำง ๆ อีกหนึ่งแนวทำงในกำรช่วยดูดซับ คำร์บอนไดออกไซด์ออกจำกชั้นบรรยำกำศคือ กำรใช้ต้นไม้ช่วยในกำรดูดซับคำร์บอนไดออกไซด์ เนื่องจำกต้นไม้จะนำก๊ำซคำรบ์ อนไดออกไซด์ไปใช้ในกระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสงเพ่ือสร้ำงอำหำร กำรเพ่ิมพ้ืนท่ีป่ำจึงเป็นกำรช่วยลดก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ดังน้ันป่ำไม้จึงเป็นแหล่งกักเก็บคำร์บอนท่ี สำคญั มกี ำรวิจยั เก่ยี วกับกำรเก็บกักคำร์บอนของปำ่ ไม้ในพ้ืนที่ต่ำง ๆ ทีแ่ สดงถงึ ศกั ยภำพของป่ำไม้ใน กำรช่วยลดก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ดังน้ี (1) กำรเก็บกักคำร์บอนของป่ำชำยเลน ป่ำชำยเลนเป็นป่ำท่ีมีศักยภำพใน กำรดูดซับคำร์บอนไดออกไซด์ จำกงำนวิจัยของนันทวรรณ ประทีปพวงรัตน์ (2555) เรื่องกำร ประเมินกำรเก็บกักและกำรปลดปล่อยคำร์บอนจำกกำรใช้ประโยชน์โกงกำงใบเล็ก ตำบลยี่สำร จังหวัดสมุทรสงครำมพบว่ำ ปริมำณคำร์บอนท่ีสะสมอยู่ในเน้ือไม้โกงกำงใบเล็กเฉลี่ยเท่ำกับร้อยละ 44.47 โดยน้ำหนักแห้ง และมีกำรกักเก็บคำร์บอนในมวลชีวภำพเหนือดินเท่ำกับ 3.96 ตันคำร์บอน/ ไร่ และพบวำ่ มวลชีวภำพสว่ นของลำต้นเป็นแหล่งกักเกบ็ คำร์บอนมำกทีส่ ุดเท่ำกบั 3.08 ตนั คำรบ์ อน/ ไร่ ในขณะที่ต้นแสมขำวจดั เป็นพืชท่ีมีกำรเก็บกักคำร์บอนได้ดีที่สุดในงำนวิจัยของนิตรำ ต่อมคำและ คณะ (2562) ท่ีทำกำรศึกษำวิจัยเรื่องกำรเก็บกักคำร์บอนของป่ำชำยเลนคลองโคน จังหวัด สมุทรสงครำม เพื่อศึกษำกำรเก็บกักคำร์บอนในพืชและดินของป่ำชำยเลนคลองโคลน ตำบลคลอง โคลน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงครำม โดยกำรวิเครำะห์กำรเก็บกักคำร์บอนของป่ำชำยเลนในใบ

158 พืชสด และดินชำยเลนที่หมักกับใบพืช ผลกำรศึกษำพบว่ำ แสมขำวเก็บกักคำร์บอนเท่ำกับ 101.53 ตันต่อเฮกแตร์ ซ่ึงเป็นพืชที่เก็บกักคำร์บอนได้สูงสุดในสังคมพืชป่ำชำยเลน ศักยภำพในกำรเก็บกัก คำร์บอนของเสม็ดซึ่งเป็นพืชป่ำชำยเลนชนิดหน่ึงก็มีผลกำรวิจัยว่ำมีศักยภำพในกำรเก็บกักคำร์บอน เช่นกันดังในรำยงำนกำรวิจัยเร่ืองกำรประเมินสภำพป่ำและศักยภำพในกำรเก็บกักคำร์บอนของป่ำ เสม็ดในเขตป่ำชุมชนพ้ืนท่ีป่ำทุ่งบำงนกออกแห่งลุ่มน้ำทะเลสำบสงขลำตอนล่ำง โดยกำรสำรวจป่ำ ชุมชนในสองหมู่บ้ำนที่มีสภำพป่ำที่แตกต่ำงกันพบว่ำสภำพป่ำท่ีมีต้นเสม็ดขำวที่เป็นป่ำสมบูรณ์จะมี ควำมสัมพันธ์กับกำรเก็บกักคำร์บอน นอกจำกนี้ป่ำท่ีเส่ือมโทรมจำกกำรเกิดไฟไหม้ป่ำบ่อยครั้งส่งผล ต่อปริมำณกำรเก็บกักคำร์บอนท่ีลดลง ท้ังนี้จำกกำรวิจัยพบว่ำ ศักยภำพในกำรเก็กกักคำร์บอนของ ป่ำชุมชนในงำนวจิ ยั มคี ่ำเท่ำกบั 62.64 ตนั คำร์บอนตอ่ ไร่ (สวรินทร์ เบญ็ เด็มอะหลี, 2557) นอกจำกน้ี ยังมีกำรประเมินกำรสะสมคำร์บอนเหนือพื้นดินของป่ำชำยเลนด้วยข้อมูลดำวเทียม WORLDVIEW-2 ในพื้นท่ีอำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ผลกำรประเมินพบว่ำ บริเวณศูนย์ศึกษำธรรมชำติและอนุรักษ์ป่ำ ชำยเลนเพื่อกำรท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จังหวัดชลบุรี พันธ์ุไม้ป่ำชำยเลนที่มีกำรสะสมคำร์บอนมำกท่ีสุด คือโกงกำงใบใหญ่ 9.50 ตนั คำรบ์ อนต่อเฮกแตร์ รองลงมำเปน็ แสมทะเล 7.25 ตันคำรบ์ อนต่อเฮกแตร์ และแสมขำว 4.29 ตันคำร์บอนต่อเฮกแตร์ หรือคิดเป็นปริมำณคำร์บอนสะสมเฉลี่ยของพื้นท่ีศูนย์ ศึกษำธรรมชำติและอนุรักษ์ป่ำชำยเลนเพ่ือกำรท่องเที่ยวเชิงนิเวศเท่ำกับ 21.02 ตันคำร์บอนต่อเฮก แตร์ (ภำนุ เน่ืองจำนงค์ กำญจนำ นำคะภำกร และสิริกร กำญจนสุนทร, 2558) ส่วนกำรศึกษำกำร สะสมคำร์บอนของหญำ้ ทะเลไดม้ ีผลกำรศึกษำจำกงำนวิจยั ของปัทมำ ศรีน้ำเงิน เพชรดำ ปินใจ สมุ ติ ร คุณเจตน์ และสนธิชัย จันทร์เปรม (2559) ในกำรศึกษำเร่ืองกำรสะสมคำร์บอนของหญ้ำทะเลบรเิ วณ พ้ืนท่ีศกึ ษำเขตศูนย์กำรศึกษำพัฒนำอ่ำวคุ้งกระเบน จังหวัดจนั ทบรุ ี โดยกำรศึกษำศักยภำพกำรสะสม อินทรีย์คำร์บอนในหญ้ำทะเลหรือที่เรียกกันว่ำคำร์บอนสีน้ำเงิน ในหญ้ำทะเล 2 ชนิดคือ Enhalus acoroides และ Halodule pinifolia พบว่ำ หญ้ำทะเลชนิด Enhalus acoroides ท่ีข้ึนอยู่ตำม บริเวณขอบน้ำชำยน้ำทะเลประมำณ 0.5, 0.5-1.0 และมำกกว่ำ 1.0 กิโลเมตรข้ึนไป มีปริมำณ อินทรีย์คำร์บอนสะสมอยู่บริเวณเหง้ำมำกท่ีสุด 43.67 เปอร์เซ็นต์ แต่ในหญ้ำทะเลชนิด Halodule pinifolia ปริมำณอินทรีย์คำร์บอนสะสมในใบ เหง้ำ และรำกไม่แตกต่ำงกัน และปริมำณอินทรีย์ คำร์บอนไมไ่ ด้ขนึ้ อยกู่ ับตำแหนง่ หรือบริเวณทีห่ ญ้ำทะเลเจรญิ เติบโต (2) กำรเกบ็ กักคำรบ์ อนของป่ำบก ระบบนเิ วศป่ำไมเ้ ปน็ แหลง่ ดดู ซบั คำร์บอน ที่สำคญั เพรำะป่ำไม้จะเก็บกักกำ๊ ซคำร์บอนไดออกไซดจ์ ำกบรรยำกำศผ่ำนกระบวนกำรสังเครำะห์แสง เพือ่ นำไปสร้ำงเน้อื เยื่อและเก็บไวใ้ นรูปของมวลชีวภำพท้งั ในส่วนเหนือพ้นื ดินและใตพ้ ้ืนดนิ ซ่งึ เนอ้ื เย่ือ ที่ได้จำกกระบวนกำรนี้ในช่วงเวลำหนง่ึ เรียกว่ำผลผลิตข้ันปฐมภมู ิ ดังนั้นกระบวนกำรที่เกิดขึ้นในปำ่ ไม้จึงเป็นกิจกรรมท่ีมีบทบำทสำคัญต่อกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศคือ กำรลดปริมำณ คำร์บอนไดออกไซด์ จำกงำนวิจัยหลำยเรื่องได้พบว่ำ ป่ำไม้แต่ละประเภทมีศักยภำพในกำรกักเก็บ คำร์บอนในปริมำณท่ีแตกต่ำงกันออกไป วสันต์ จนั ทรแ์ ดง ลดำวัลย์ พวงจติ ร และสำพิศ ดลิ กสัมพันธ์ (2553) ศึกษำกำรเก็บกักคำร์บอนในป่ำเต็งรังและสวนป่ำยูคำลิปตัส ณ สวนป่ำมัญจำคีรี จังหวัด ขอนแก่น ผลกำรศึกษำพบว่ำ สวนป่ำยูคำลิปตัส อำยุ 3 ปี มีกำรสะสมคำร์บอนรวมมำกท่ีสุด เท่ำกับ 64.70 ตันคำร์บอนต่อเฮกแตร์ รองลงมำเป็นสวนป่ำยูคำลิปตัส 4 ปี ป่ำเต็งรัง สวนป่ำยูคำลิปตัส 2 ปี และ 1 ปี โดยมีกำรสะสมคำร์บอนเท่ำกับ 60.41 58.36 54.55 และ 44.48 ตันคำร์บอนต่อเฮก

159 แตร์ สว่ นกำรกักเกบ็ คำรบ์ อนในสวนยำงพำรำอำยุ 2 5 12 16 และ 26 ปี พบวำ่ สวนยำงสำมำรถเก็ก กักคำร์บอนทั้งหมดอยใู่ นช่วง 50.68-193.72 ตันต่อเฮกแตร์ และเมื่อประเมินเป็นรำยได้สุทธิจำกกำร ทำสัญญำชดเชยกำรเก็บกักคำร์บอนตลอด 25 ปี คิดเป็นเงิน 3,063.27 บำทต่อไร่ (ระวี เจียรวิภำ สุ รชำติ เพชรแก้ว มนตรี แก้วดวง และวทิ ยำ พรหมมี, 2555) สำหรับกำรเก็บกักคำร์บอนในมวลชวี ภำพ ของพืชท่ีมีเน้ือไม้ได้มีกำรศึกษำโดย ชัญษำ กันฉ่ิง และคณะ (2559) โดยประเมินกำรกักเก็บคำร์บอน ในมวลชีวภำพของพชื ท่มี ีเน้ือไม้ ป่ำชุมชนหว้ ยขำ้ วกำ่ อำเภอจุน จงั หวดั พะเยำ ในพ้นื ท่สี ำรวจ 4,000 ตำรำงเมตร ผลกำรสำรวจพบพรรณไม้ 23 วงศ์ 48 สกุล 58 ชนิด ปริมำณกำรเก็บกักคำร์บอนรวม ของแปลง 74,949.67 กิโลกรัม โดยมีปริมำณกำรเก็บกักคำร์บอนรวมของลำต้น ก่ิง และใบ เท่ำกับ 65,876.05 กิโลกรัม 7,580.87 กิโลกรัม 1,492.75 กิโลกรัม ตำมลำดับ ซ่ึงขึ้นอยู่กับมวลชวี ภำพของ ตน้ ไม้และแปรผนั ตำมชนดิ ควำมโตของลำตน้ และจำนวนต้นไม้ สว่ นในพ้นื ทป่ี ำ่ ทถี่ กู ทำลำยแลว้ มีกำร ฟื้นฟูก็ได้มีกำรศึกษำถึงกำรกักเก็บคำร์บอนด้วยเช่นกัน เช่นในกำรศึกษำเรื่องกำรเปล่ียนแปลงและ กำรกักเก็บคำร์บอนของสังคมพืชในแปลงตัวอย่ำงป่ำฟื้นฟูระบบนิเวศป่ำเขำภูหลวง จังหวัด นครรำชสีมำ พบว่ำ หมู่ไม้มีกำรเจริญเติบโตอย่ำงต่อเน่ืองท้ังด้ำนควำมโตและควำมสูงจึงทำให้มีกำร เพิ่มมวลชีวภำพและกำรกักเก็บคำร์บอนอย่ำงต่อเน่ือง โดยในระยะเวลำ 6 ปี (พ.ศ. 2552-2558) มี กำรเพ่มิ มวลชีวภำพเฉลี่ย 4.640 ตันตอ่ ไร่ คิดเป็นคำ่ เฉล่ียรำยปีเท่ำกับ 0.773 ตันตอ่ ปีต่อไร่ และกำร เก็บกักคำร์บอนเฉล่ีย 2.181 ตันต่อไร่ และคิดเป็นกำรกักเก็บคำร์บอนเฉล่ียรำยปีเท่ำกับ 0.363 ตัน ตอ่ ปีต่อไร่ (กำนตน์ ภสั ดวงกลำง สคำร ทจี ันทกึ และสมพร แม่ลิม่ , 2561) 4.5.2 การใชพ้ ลงั งานชวี มวล ชีวมวล (Biomass) คือ สำรอินทรีย์ที่เป็นแหล่งกักเก็บพลังงำนจำกธรรมชำติที่อยู่ใน รูปสำรอินทรีย์และสำมำรถนำชีวมวลเหล่ำนั้นมำผลิตพลังงำนได้ สำรอินทรีย์ท่ีเป็นแหล่งกักเก็บ พลังงำนและนำมำผลิตพลังงำนชีวมวล ได้แก่ มูลสัตว์ ขยะ วัสดุเหลือใช้ทำงกำรเกษตร กำกจำก กระบวนกำรผลิตในอุตสำหกรรมเกษตร เช่น แกลบจำกกำรสีข้ำว ชำนอ้อยจำกกระบวนกำรผลิต น้ำตำลทรำย เศษไม้จำกกำรแปรรูปไม้ยำงพำรำหรือยูคำลิปตัส แล้วจึงนำชีวมวลมำผ่ำนกระบวนกำร ต่ำง ๆ เพื่อให้ได้พลังงำนในหลำยรูปแบบ เช่น พลังงำนควำมร้อน เชื้อเพลิงเหลว ก๊ำซเช้ือเพลิง เป็น ต้น โดยท่ัวไปชีวมวลจะมีองค์ประกอบ 3 ส่วนหลัก คือ ควำมช้ืน (Moisture) ซ่ึงกำรนำชีวมวลมำใช้ ผลิตพลังงำนโดยกำรเผำไหม้ควรมีควำมชื้นไม่เกิน 50% ส่วนประกอบต่อมำคือ ส่วนที่เผำไหม้ได้ (Combustible substance) ประกอบด้วยส่วนที่ระเหยได้ (Volatile matter) และสว่ นที่เผำไหม้ได้ งำ่ ย (Fix carbon volatile matter) และสว่ นประกอบสดุ ท้ำยคอื เถำ้ (Ash) ซ่ึงจะมีประมำณ 1-3 % แตถ่ ้ำเป็นแกลบหรอื ฟำงข้ำวจะมีเถำ้ ประมำณ 10-20 % 4.5.2.1 กำรเปล่ียนชีวมวลเป็นพลังงำน กำรศึกษำวิจัยในกำรแปรรูปชีวมวลใน ปัจจุบันได้รับควำมสนใจท้ังจำกภำครัฐ เอกชน สถำบันกำรศึกษำเพื่อกำรผลิตพลังงำนทดแทนใน สถำนกำรณท์ ป่ี ระเทศไทยเปน็ ประเทศท่ีต้องพ่งึ พำพลังงำนจำกตำ่ งประเทศ กำรผลติ พลงั งำนชีวมวล ใชไ้ ด้เองโดยพึ่งพำวัตถุดบิ ภำยในประเทศจะทำให้ประเทศไทยเกิดควำมยง่ั ยืนด้ำนพลังงำนมำกกว่ำซ่ึง เทคโนโลยกี ำรแปรรูปชีวมวลใหเ้ ปน็ พลงั งำนมีดงั นี้

160 (1) กำรสันดำปหรือกำรเผำไหม้ (Combustion technology) คือ กำรเผำ ชวี มวลโดยนำชวี มวลมำเผำจะได้ควำมร้อนตำมค่ำควำมร้อนของชีวมวลแต่ละชนิด คำ่ ควำมร้อนท่ีได้ สำมำรถนำไปผลิตไอนำ้ ท่มี อี ุณหภูมแิ ละควำมดันสงู ซึง่ จะนำไอนำ้ นไี้ ปผลิตไฟฟำ้ (2) กำรผลิตเชื้อเพลิงเหลว (Liquidification technology) โดยกำรนำชีว มวลมำผ่ำนกระบวนกำรเพือ่ ใหไ้ ดเ้ ชื้อเพลงิ เหลวซึง่ มี 3 กระบวนกำรคือ (2.1) กระบวนกำรทำงชีวภำพ คือ กระบวนกำรนำชวี มวลมำย่อย สลำยแป้ง น้ำตำล และเซลลูโลสเพื่อให้ได้เอทำนอลแล้วนำมำใช้เป็นเชื้อเพลิงเหลวในเคร่ืองยนต์ เบนซิน ชีวมวลท่ีนำมำใช้ในกำรผลิตเชื้อเพลิงเหลวได้แก่ มันสำปะหลัง อ้อย ข้ำวโพด ข้ำวฟ่ำงหวำน และเศษเหลอื ทิ้งจำกกำรแปรรูปผลผลิตทำงกำรเกษตร เช่น กำกน้ำตำล ลำตน้ อ้อย เป็นตน้ (2.2) กระบวนกำรทำงฟิสิกสแ์ ละเคมี คือกระบวนกำรนำชีวมวลท่ี เป็นพชื นำ้ มนั เชน่ ปำลม์ เมลด็ ทำนตะวนั ถั่ว มำสกัดน้ำมันแลว้ จึงนำน้ำมันทส่ี กัดไปส่กู ระบวนกำร ทรำนส์เอสเตอริฟเิ คช่ันเพื่อให้ไดน้ ้ำมันเชือ้ เพลิงไบโอดีเซล (2.3) กระบวนกำรให้ควำมร้อนสูง เช่น กระบวนกำรไพโรไลซิส เป็นกระบวนกำรที่ใชค้ วำมรอ้ นสูงและในสภำพไม่มีออกซิเจนเพื่อให้ชีวมวลสลำยตัว กระบวนกำรไพ โรไลซิส เป็นกระบวนกำรที่ใช้ในกำรผลิตน้ำมันเช้ือเพลิงเหลว (Biomass to liquid ; BTL) จะใช้ กระบวนกำรทำงด้ำนเคมีควำมร้อนท่ีอุณหภูมิ 500-600 องศำเซลเซียส ซึ่งกำรผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง เหลวนี้ได้รับควำมสนใจเป็นอย่ำงมำกโดยเฉพำะผู้ผลิตน้ำมันรำยใหญ่ของโลกได้ทำกำรศึกษำวิจัย พลังงำนท่ีมำจำกชีวมวลท่ีไม่ใช่พืชอำหำร เช่น ประเทศญ่ีปุ่น อังกฤษ เยอรมัน สวีเดน สหภำพยุโรป และสหรัฐอเมริกำต่ำงมีมำตรกำรส่งเสริม เช่น กำรลดหย่อนภำษี ยกเว้นกำรเก็บภำษี เพ่ิมภำษี พลังงำนฟอสซิล เปน็ ต้น (3) กำรผลิตก๊ำซเช้ือเพลิง (Gasification technology) เป็นกระบวนกำร เปลี่ยนของแขง็ ให้เป็นก๊ำซเชื้อเพลิงโดยกำรเผำชวี มวลในอปุ กรณ์ท่ีจำกัดอำกำศเพ่ือใหเ้ กดิ กำรเผำไหม้ ทไ่ี มส่ มบรู ณท์ ำให้ได้ก๊ำซคำรบ์ อนมอนอกไซด์ กำ๊ ซไฮโดรเจนและกำ๊ ซมเี ทนเปน็ องค์ประกอบ (4) กำรผลิตก๊ำซโดยกำรหมัก (Anaerobic Digestion) ชีวมวลจะถูกย่อย สลำยและแตกตัวเกิดก๊ำซชีวภำพเป็นกระบวนกำรนำชีวมวลมำหมักด้วยแบคทีเรียในสภำวะที่ไม่มี อำกำศหรือไม่มีออกซิเจน ก๊ำซชีวภำพท่ีได้จะมีส่ วนประกอบของก๊ำซมีเทนและก๊ำซ คำรบ์ อนไดออกไซดเ์ ป็นหลกั 4.5.2.2 ศักยภำพพลังงำนชีวมวล ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม จึงมีปริมำณ เศษวัสดุเหลือทิ้งทำงกำรเกษตรมำกตำมปริมำณกำรเพำะปลูก แต่ทั้งนี้ชีวมวลแต่ละประเภทจะให้ พลงั งำนเทยี บเทำ่ แตกตำ่ งกนั ไปตำมแตล่ ะประเภทดังน้ี (1) แกลบ ข้ำวเปลอื ก 1 ตัน ใชพ้ ลังงำน 30-60 kWh เพื่อใหไ้ ด้ขำ้ ว 650-700 กิโลกรัม และมวี สั ดเุ หลือจำกกระบวนกำรผลติ ประมำณ 220 กิโลกรมั หรือเทยี บเทำ่ พลังงำนไฟฟ้ำได้ 90-125 kWh แกลบที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะนำไปทำเป็นเช้ือเพลิงในอุตสำหกรรมต่ำง ๆ เช่น อุตสำหกรรมกระดำษเน่ืองจำกรำคำถูกกว่ำเม่ือเทียบกับน้ำมันเตำที่มีแนวโน้มรำคำสูงขึ้นจึงทำให้ แกลบเป็นที่สนใจของโรงงำนอุตสำหกรรมต่ำง ๆ และเม่ือเผำไหม้แล้วเถ้ำที่เกิดขึ้นยังนำไปใช้เป็น วัตถุดบิ ในอุตสำหกรรมกำรผลติ สำรกง่ึ ตัวนำได้อีก

161 (2) กำกและชำนอ้อย ชีวมวลที่ได้จำกโรงงำนน้ำตำล อ้อย 1 ตันต้องใช้ พลังงำน 25-30 kWh และใช้ไอน้ำ 0.4 ตันเพ่ือให้ได้น้ำตำลทรำย 100-121 กิโลกรัม และมีวัสดุท่ี เหลือจำกกระบวนกำรผลิตหรือกำกอ้อยประมำณ 290 กิโลกรัมหรือเทียบเท่ำพลังงำนได้ 100 kWh ปัจจุบันชำนอ้อยถูกใช้เป็นเช้ือเพลิงเพ่ือผลิตพลังงำนสำหรับกระบวนกำรผลิตน้ำตำลเกือบ 100 % ของปริมำณที่เกิดข้นึ ทั้งหมด (3) เปลือกปำล์ม กะลำปำล์ม และทลำยปำล์ม ชีวมวลที่ได้จำกโรงงำนสกัด น้ำมันปำล์ม โดยปำล์ม 1 ตัน ใช้พลังงำน 20-25 kWh และไอน้ำ 0.73 ตัน เพ่ือให้ได้น้ำมันปำล์ม 140-200 กิโลกรัม และจะมีเศษวัสดุจำกกระบวนกำรผลิต เช่น เปลือกปำล์ม กะลำปำล์ม ประมำณ 190 กิโลกรัม และไดเ้ ปน็ ทลำยปำล์ม 230 กโิ ลกรมั หรอื เทยี บเท่ำพลงั งำนไฟฟ้ำ 120 kWh และมีน้ำ เสยี จำกโรงงำนคิดเทียบเทำ่ ก๊ำซชีวภำพ 20 ลกู บำศก์เมตร ในปจั จบุ นั เสน้ ใยปำล์มจะถูกนำมำใช้เป็น เชื้อเพลิงเพ่ือผลิตพลังงำนควำมร้อนและไฟฟ้ำในโรงงำนหีบน้ำมันปำล์มเกือบท้ังหมด ส่วนกะลำ ปำลม์ จะใช้เป็นเชอื้ เพลงิ ในโรงงำนอตุ สำหกรรมปูนซีเมนต์หรือใช้เปน็ วัตถดุ ิบในกำรผลิตถำ่ นกัมมันต์ (4) เศษไม้ ชีวมวลที่ได้จำกโรงเลอื่ ยไม้ ไม้ 1 ลกู บำศกเ์ มตร ใช้พลงั งำน 35-45 kWh เพื่อให้ได้ไม้แปรรูป 0.5 ลูกบำศก์เมตร และมีวัสดุเหลือจำกกระบวนกำรผลิตหรือเศษไม้ ประมำณ 0.5 ลกู บำศกเ์ มตรหรือเทยี บเทำ่ พลังงำนไฟฟ้ำได้ 80 kWh (5) มันสำปะหลัง ชีวมวลจำกมันสำปะหลังแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือเหง้ำ และส่วนท่ีสองคือ ลำต้น ยอด และใบ ปริมำณมันสำปะหลังจำนวน 25.15 ล้ำนตันจะมีวัสดุเหลือใช้ ในส่วนเป็นเหง้ำประมำณ 5.03 ตัน คิดเป็น 20 % ของผลผลิตมันสำปะหลังท้ังหมดและจะมีส่วน เหง้ำเหลือท้ิงประมำณ 3.32 ล้ำนตันต่อปี มีศักยภำพพลังงำนประมำณ 435 ktoe ส่วนลำต้นจะมี ปรมิ ำณ 2.26 ลำ้ นตันตอ่ ปี มีศักยภำพพลงั งำน 343.10 ktoe (6) ข้ำวโพด ปริมำณผลผลิตข้ำวโพดเล้ียงสัตว์ 4.249 ล้ำนตันจะมีปริมำณ วัสดุเหลือใช้ท่ีเป็นส่วนของซังข้ำวโพดประมำณ 1.02 ล้ำนตัน คิดเป็น 24 % ของผลผลิตข้ำวโพด ท้ังหมดและจะมีเศษวัสดุเหลือใช้ประมำณ 0.683 ล้ำนตัน คิดเป็นศักยภำพพลังงำนเท่ำกับ 156.98 ktoe (7) ยำงพำรำ วัสดุท่ีเกิดจำกกำรโค่นต้นยำงพำรำ จะได้รำกไม้ยำงพำรำ และ ก่ิงไม้เล็กเป็นปริมำณ 40 % ของปริมำณต้นยำงพำรำท้ังหมด ศักยภำพที่จะนำมำแปรรูปเพ่ือผลิต กระแสไฟฟ้ำมนี อ้ ยมำกแต่สำมำรถประเมินคงเศษเหลือท่นี ำมำใช้ได้ประมำณ 0.986 ลำ้ นตนั ประเมิน ศักยภำพพลงั งำนไดป้ ระมำณ 154.75 ktoe 4.5.2.3 ปัญหำและอุปสรรคในกำรใช้ชีวมวล กำรใช้เชื้อเพลิงชวี มวลมีสดั ส่วนเพิ่มขน้ึ ทำให้พบปัญหำหลำยประกำรท้งั ในภำคอุตสำหกรรมและกำรผลติ ไฟฟ้ำซ่ึงสรปุ ได้ดงั น้ี (1) รำคำชีวมวลเพิ่มขึ้นส่งผลต่อต้นทุนสินค้ำและกำรตัดสินใจเพื่อเลือกซ้ือ อุปกรณ์ต้นกำลัง (2) ปริมำณและคุณภำพชีวมวล ชีวมวลมีปริมำณไม่แน่นอน ชีวมวลแต่ละ ชนิดปลูกตำมฤดูกำลและยังขึ้นอยู่กับปัจจัยทำงด้ำนสภำพภูมิอำกำศและมีกำรกระจำยอยู่ในหลำย พ้ืนท่ีทำให้รวบรวมได้ยำกและยังไม่มีควำมแน่นอนของชีวมวลแต่ละชนิด เน่ืองจำกกำรเปลี่ยนแปลง

162 พ้ืนที่กำรเกษตรและเกษตรกรเปล่ียนชนิดของพืชท่ีปลูกไปตำมควำมต้องกำรของตลำดและเน่ืองจำก ชีวมวลเปน็ ของเหลอื ท้งิ ทำงกำรเกษตรจงึ ไม่ได้มีกำรควบคุมคุณภำพ (3) ปริมำณชีวมวลในบริเวณทใ่ี กล้เคียงกับโรงงำนผลติ ไฟฟ้ำมีไม่เพียงพอท่ีจะ นำไปใช้เพ่ือให้ได้ผลตอบแทนในกำรลงทุนที่ดีพอและถ้ำต้องนำชีวมวลมำจำกแหล่งอ่ืน ๆ จะทำให้มี ต้นทุนในกำรขนส่งสงู และมีควำมเส่ยี งท่ีจะไดป้ รมิ ำณชีวมวลไม่เพยี งพอตอ่ ควำมต้องกำร (4) เทคโนโลยีกำรผลิตชีวมวล โรงงำนขำดควำมเช่ือมั่นในกำรลงทุน เน่อื งจำกควำมไม่แนน่ อนของปรมิ ำณชวี มวลจึงทำให้สถำบันกำรเงินไมส่ นับสนุนกำรลงทุน นอกจำกน้ี ยังขำดควำมมั่นใจในด้ำนเทคโนโลยีท่ียังขำดกำรสำธิตเทคโนโลยีโดยเฉพำะกำรมีบุคลำกรดำเนินกำร และผูใ้ ห้คำปรึกษำทำงดำ้ นเทคนคิ จำกกำรศึกษำวิจัยด้ำนโอกำสและอุปสรรคกำรใช้ชวี มวลในกำรผลิตไฟฟ้ำชุมชนของก ฤตภำส มงคลธำรงกุลและประพิธำร์ ธนำรักษ์ (2558) พบว่ำ กำรใช้ชีวมวลจะมีข้อจำกัดเก่ียวกับกำร จัดกำรวัตถุดิบเนื่องจำกชีวมวลที่กระจัดกระจำยและกำรวำงแผนจัดหำและเก็บรวบรวมยังไม่มี ประสิทธิภำพท่ีดเี พยี งพอ และโรงไฟฟ้ำยงั มีควำมเป็นไปได้น้อยในกำรใชช้ ีวมวลเพยี งชนดิ เดียวในกำร ผลติ ไฟฟ้ำ นอกจำกนี้ถำ้ หำกโรงไฟฟ้ำชุมชนใช้เทคโนโลยีกำรเผำชวี มวลโดยตรงจะทำให้มปี ัญหำเรื่อง ฝุ่นละอองและผลกระทบสิ่งแวดล้อมอ่ืน ๆ ซึ่งไม่เกิดกำรยอมรับในพื้นที่ แต่ถ้ำหำกใช้เทคโนโลยีที่มี ประสิทธิภำพในกำรกำจัดฝุ่นละอองก็อำจประสบปัญหำกับงบประมำณในกำรลงทุนสูง อีกท้ังกำร สร้ำงแรงจูงใจจำกภำครัฐในกำรสนับสนุนกำรใช้ชีวมวลก็ยังไม่ดีพอ เม่ือพิจำรณำจำกแผนพัฒนำ กำลังผลติ ไฟฟำ้ ของประเทศไทย พ.ศ. 2553-2573 ทม่ี งุ่ เน้นกำรสง่ เสรมิ กำรใชพ้ ลังงำนทดแทนให้มำก ขึ้น เพ่ิมแหล่งพลังงำนภำยในประเทศ และลดกำรพึ่งพำพลังงำนหลัก พลังงำนจำกเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งสอดคล้องกับศักยภำพทำงด้ำนวัตถุดิบของประเทศไทยที่ได้มีกำรประเมินเช้ือเพลิงชีวมวลโดยรวม ท้งั ประเทศมีศักยภำพในกำรผลิตไฟฟ้ำทงั้ หมด 8,928 เมกะวตั ต์ โดยแยกเปน็ ชีวมวลแบบกระจุกตัว 1,896 เมกะวัตต์ และแบบกระจำยตัว 7,032 เมกะวัตต์ (พุฒิชำติ คิดหำทอง วีรินทร์ หวังจิรนิรนั ดร์ และ อัจฉริยำ สุริยะวงค์, 2557) ดังนั้นแล้วหำกต้องกำรให้มีกำรใช้ชีวมวลอย่ำงจริงจัง รัฐควรมี นโยบำยสนับสนุนทำงกำรเงินในกำรพัฒนำเทคโนโลยีชีวมวลท่ีสะอำดเพ่ือส่งเสริมให้เกิดกำรใช้ พลงั งำนชีวมวลในชมุ ชนเพม่ิ ขน้ึ 4.5.3 ระบบการเตือนภยั แผน่ ดนิ ไหว แผ่นดินไหวเป็นปรำกฎกำรณ์ทำงธรรมชำติที่ซับซ้อนเกิดขึ้นในพ้ืนท่ีที่เป็นรอยต่อของ เปลือกแผ่นเปลือกโลก ปัจจุบันกำรเกิดแผ่นดินไหวมีควำมถ่ีมำกข้ึนจนเป็นเรื่องธรรมดำแต่เป็น เหตุกำรณ์ท่ีสร้ำงควำมเสียหำยได้มหำศำล เหตุกำรณ์แผ่นดินไหวท่ีเกิดขึ้นไม่ว่ำจะเป็นในมหำสมุทร อินเดีย ทำงตะวันตกของเกำะสุมำตรำ ประเทศญ่ีปุ่น หรือในประเทศไทย ล้วนแต่สร้ำงควำมตื่น ตระหนกและควำมเสียหำยทั้งชีวิตและทรัพย์สินให้แก่ประชำชน ดังน้ันจึงได้มีกำรคิดค้นนวัตกรรม ตำ่ ง ๆ เพอื่ ช่วยในกำรเฝ้ำระวังและเตือนภัย มกี ำรนำระบบกำรคำนวณควำมแม่นยำสูงมำใชเ้ พื่อกำร เตือนภัยแผ่นดินไหวและสึนำมิล่วงหน้ำในจุดที่มีแนวโน้มในกำรเกิดแผ่นดินไหวบ่อยคร้ัง ควำม แม่นยำของระบบน้ีจะช่วยแจ้งเตือนทันทีท่ีเกิดเหตุแผ่นดินไหวข้ึน นวัตกรรมน้ีได้มีกำรนำไปใช้ ตรวจจับคลื่นสึนำมิเกำะสุมำตรำในปี ค.ศ. 2004 โดย GPS ทำงำนร่วมกับระบบ GLONASS และ ระบบทไ่ี ดค้ ิดคน้ นี้ได้นำไปตดิ ตง้ั ทดลองในประเทศเยอรมันและอนิ โดนเี ซีย เรียกว่ำระบบเตอื นภัยสึนำ

163 มิล่วงหน้ำ GITEWS โดยระบบจะทำงำนผ่ำนสัญญำณดำวเทียมที่มีกำรติดต้ังเคร่ืองรับสัญญำณ GNSS-R ซ่ึงเป็นนวัตกรรมกำรใช้สัญญำณ GNSS สำหรับระยะไกลในมหำสมุทร สะท้อนให้เห็น สัญญำณ GNSS สำหรับผิวน้ำทะเลและสำมำรถวัดควำมสูงของคล่ืนได้ กำรใช้ดำวเทียมมีประโยชน์ ในกำรได้รับข้อมูลเก่ียวกับกำรเปล่ียนแปลงในผนื แผ่นดิน มหำสมุทร บรรยำกำศ สำมำรถตรวจสอบ กำรเกิดแผ่นดินไหวและกำรพยำกรณ์บนข้อมูลที่ได้รับจำกดำวเทียมเพื่อให้ได้ข้อมูลเตือนภัยล่วงหน้ำ ระบบกำรเตือนภัยท่ีพัฒนำจะขึ้นอยู่กับปฏิสัมพันธ์ระหว่ำงแผ่นเปลือกโลกและควำมเครียดก่อนที่จะ เกิดแผ่นดินไหว นอกจำกน้ีระบบกำรเตือนภัยน้ียังสำมำะบอกให้ทรำบถึงระดับควำมรุนแรงของ แผ่นดินไหวไดอ้ ย่ำงแม่นยำและรวดเรว็ ซึ่งช่วยประเมนิ พ้ืนท่ีเสยี่ งอย่ำงเจำะจง ประเทศญ่ีปุ่นถือว่ำเป็นประเทศท่ีมีประสบกำรณ์กำรเกิดแผน่ ดนิ ไหวมำกทสี่ ุดแห่งหน่ึง เพรำะตั้งอยู่ในเขตเสี่ยงภัยกำรเกิดแผ่นดินไหวและภูเขำไฟระเบิด เป็นประเทศที่มีระบบกำร เตรียมกำรป้องกันเป็นอย่ำงดี ระบบเตือนภัยที่ญ่ีปุ่นพัฒนำข้ึนมำเป็นท่ียอมรับว่ำเตือนภัยได้รวดเร็ว แม่นยำและมีประสิทธิภำพทำให้สำมำรถลดควำมเสียหำยจำกเหตุกำรณ์แผ่นดินไหวได้ ศูนย์ อุตุนิยมวิทยำของญ่ีปุ่นจะทำหน้ำท่ีเป็นศูนย์ให้บริกำรด้ำนสภำพอำกำศของรัฐบำลญ่ีปุ่นในยำมปกติ และเฝ้ำสังเกตกำรณ์แผ่นดินไฟ คล่ืนสึนำมิ และกำรปะทุของภูเขำไฟ โดยมีจุดตรวจวัดควำมรุนแรง ของแผ่นดินไหว จำนวน 627 จุดทั่วประเทศ มีสำนักงำนใหญ่อยู่ที่กรุงโตเกียวและมีสำนักงำนระดับ ภูมิภำค 6 แห่ง ได้แก่ เมืองซับโปโร เซนได โตเกียว โอซำกะ ฟุกุโอกะ และนำฮำ นอกจำกน้ียังทำ หน้ำท่ีเป็นศูนย์ให้คำปรึกษำเก่ียวกับไซโคลนเขตร้อนในภูมิภำคอีกด้วย ระบบกำรเตือนภัย แผ่นดินไหวของประเทศญี่ปุ่นทำงำนอัตโนมัติภำยในเวลำเพียง 3 วินำที หลังเกิดแรงสั่นสะเทือนท่ี ศูนย์กลำงโดยคลื่นแผ่นดินไหวจะใช้เวลำ 90 วินำทีในกำรเดินทำงถึงกรุงโตเกียว ส่วนกำรเตือนภัยสึ นำมิจะใช้เวลำ 3 นำทีหลังเกิดแผ่นดินไหวและใช้เวลำในกำรเดินทำง 6 นำทีก่อนพัดเข้ำชำยฝ่ังที่อยู่ ใกลจ้ ุดศูนย์กลำงแผน่ ดินไหว ดงั น้ันประชำชนจะมีเวลำประมำณ 15 นำทีในกำรเตรียมอพยพไปอยู่ใน ท่ีที่ปลอดภัย ระบบกำรเตือนภัยแผ่นดินไหวทำงำนโดยกำรรวบรวมข้อมูลจำกหน่วยตรวจจับ สัญญำณแผ่นดินไหวท่ีมีกว่ำ 1,000 แห่งท่ัวประเทศ เมื่อเกิดแผ่นดินไหวเครื่องจับจะเร่ิมทำงำนโดย หำจุดพิกัดของศูนย์กลำงกำรไหว ควำมรุนแรงและประเมินควำมเสี่ยงของพ้ืนท่ีโดยรอบศูนย์กลำง แล้วส่งคลื่นที่เรียกว่ำคล่ืนปฐมภูมิ (P-wave : Preliminary Tremor) ออกมำ และเมื่อเครื่องตรวจ จับสัญญำณแล้วจะดำเนินกำรประมวลผลแล้วส่งไปยังศูนย์ข้อมูลแผ่นดินไหวส่วนกลำงซึ่งกำรพัฒนำ ระบบกำรเตือนภัยแผ่นดินไหวน้ีสำมำรถใช้ได้อย่ำงเป็นทำงกำร สำมำรถช่วยบรรเทำผลกระทบจำก แผน่ ดนิ ไหวและคล่ืนสนึ ำมใิ นประเทศญ่ีปุน่ ไดอ้ ยำ่ งดี 4.5.4 เทคโนโลยภี ูมิสารสนเทศ เทคโนโลยีภูมิสำรสนเทศ หมำยถึง กำรบูรณำกำรควำมรู้และเทคโนโลยีทำงด้ำนกำร รับรู้จำกระยะไกล (Remote Sensing) หรือกำรสำรวจข้อมูลจำกระยะไกล ระบบภูมิสำรสนเทศ (Geographic Information System) และระบบดำวเทียมนำทำงโลก ( Global Navigation Satellite System) เพื่อนำไปใช้งำนในด้ำนต่ำง ๆ ให้เกิดประสิทธิภำพ เทคโนโลยีกำรรบั รู้ระยะไกล มีควำมสำคัญในด้ำนกำรศึกษำองค์ประกอบของพื้นโลกและชัน้ บรรยำกำศ มีประโยชน์ในกำรติดตำม กำรเปล่ียนแปลงสภำพแวดล้อมทำงธรรมชำติโดยสำมำรถเลือกใช้ข้อมูลจำกดำวเทียมท่ีมีควำม ละเอียดและมีประเภทดำวเทียมหลำกหลำย ข้อมูลจำกกำรสำรวจระยะไกลจะเป็นข้อมูลที่สำมำรถ

164 ตอบสนองควำมต้องกำรได้ทันที ส่วนระบบสำรสนเทศภูมิศำสตร์คือ ควำมสำมำรถในกำรจัดกำร ข้อมลู เชงิ พ้ืนท่ี วเิ ครำะห์ขอ้ มูลและนำไปใช้เพ่ือกำรวำงแผนจดั กำรทรัพยำกรธรรมชำติ ดำวเทียมนำ ทำงโลกสำมำรถนำมำใช้กำหนดตำแหน่งเชิงพ้ืนที่เพ่ือติดตำมกำรเคลื่อนท่ีของคน วัตถุสิ่งของได้อยำ่ ง แม่นยำ เทคโนโลยภี มู ิสำรสนเทศจึงนำมำใช้ในกำรพัฒนำงำนของแตล่ ะหน่วยงำนได้เป็นอย่ำงดี เช่น ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม ป่ำไม้ ภัยพิบัติทำงธรรมมชำติ ผังเมือง เกษตร กำรจรำจรและ ขนส่ง ระบำดวิทยำ เป็นต้น 4.5.4.1 องคป์ ระกอบของเทคโนโลยีภูมิสำรสนเทศ (1) กำรรับรู้จำกระยะไกล (Remote Sensing) เป็นวิทยำศำสตร์ของกำรได้ ข้อมูลเก่ียวกับวัตถุ พื้นท่ี และปรำกฏกำรณ์บนพ้ืนโลกจำกเครือ่ งรบั รโู้ ดยผทู้ ่ีศึกษำไม่ต้องเข้ำไปสัมผสั กับวัตถุเป้ำหมำยแต่จะอำศัยพลังงำนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำเป็นสื่อในกำรได้มำของข้อมูลที่ต้องกำร ซง่ึ มีคุณสมบัติ 3 ประกำรคอื ลกั ษณะกำรสะท้อนช่วงคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟำ้ ลักษณะเชิงพนื้ ท่ีของวตั ถุบน พน้ื ผิวโลกและลกั ษณะกำรเปลีย่ นแปลงของวตั ถตุ ำมช่วงเวลำโดยมีกระบวนกำรและองคป์ ระกอบกำร รบั รูร้ ะยะไกลดงั น้ี (ภำคภูมิ เหลำ่ ตระกูล, 2558) (1.1) กระบวนกำรได้มำของข้อมลู (Data acquisition) โดยคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้ำจำกแหล่งกำเนิดพลังงำน เช่น ดวงอำทิตย์ (ก) เคลื่อนที่ผ่ำนชั้นบรรยำกำศ (ข) เกิด ปฏิสัมพันธ์ของพลังงำนกับรูปลักษณ์พ้ืนผิวโลก (ค) เดินทำงเข้ำสู่เคร่ืองรับรู้ท่ีติดต้ังในตัวยำน ได้แก่ เครื่องบิน ยำนอวกำศและดำวเทียม (ง) ถูกบันทึกและผลิตเป็นข้อมูลในรูปแบบภำพ (Photograph) และ/หรือรปู แบบเชิงตัวเลข (Digital form) (จ) (1.2) กำรวิเครำะห์ขอ้ มลู (Data Analysis) ประกอบด้วย กำรแปล ตีควำมข้อมูลด้วยสำยตำ (Visual interpretation) และกำรวิเครำะห์ข้อมูลเชิงตัวเลข (Digital analysis) (ฉ) โดยมีข้อมูลอ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้องประกอบด้วยข้อมูลอ้ำงอิง เช่น แผนท่ี ข้อมูลปฏิทินและ สถิติกำรปลูกพืชและอื่น ๆ และได้ผลผลิต (ช) ของกำรแปลตีควำมในรูปแบบแผนท่ี ข้อมูลเชิงตัวเลข ตำรำง คำอธิบำยหรือแผนภูมิ เป็นตน้ เพ่ือใชป้ ระโยชน์ (ซ) (2) ระบบสำรสนเทศภูมิศำสตร์ เป็นระบบฐำนข้อมูลที่มีควำมสำมำรถในกำร จัดกำรข้อมูลเชิงพ้ืนท่ีของแผนท่ีเชิงตัวเลขและข้อมูลเชิงลักษณะท่ีนำเอำข้อมูลมำรวบรวม จัดเก็บ และวิเครำะห์ผ่ำนโปรแกรมคอมพิวเตอร์จนได้ผลเป็นข้อสนเทศท่ีสำมำรถสืบค้นและปรับปรุงข้อมูล รวมไปถึงกำรนำข้อมูลไปใช้ประกอบกำรตดั สนิ ใจ (3) ระบบดำวเทียมนำทำงโลก (Global Navigation Satellite System ; GNSS) มรี ะบบดำวเทียมทเี่ ปดิ ให้บรกิ ำรไดแ้ ก่ (3.1) Global Positioning System (GPS) เป็นดำวเทียมระบบ แรกของโลกออกแบบประเทศสหรัฐอเมริกำ มีดำวเทียมทั้งหมด 32 ดวง ครอบคลุมท่ัวโลก ควำมสูง ของดำวเทียมนำทำงในวงโคจร คอื 21,000 กิโลเมตรเหนือพ้นื ผิวโลก (3.2) Global Orbiting Navigation Satellite System (GLONASS) เปน็ ระบบดำวเทยี มของประเทศรสั เซีย มีดำวเทยี มทงั้ หมด 27 ดวง ครอบคลมุ ทั่วโลก ควำมสงู ของดำวเทยี มนำทำงในวงโคจร 20,000 กิโลเมตรเหนอื พ้นื ผิวโลก

165 (3.3) Galileo Navigation Satellite System เปน็ ดำวเทยี มท่ี พัฒนำโดยสหภำพยโุ รป มีดำวเทียมทง้ั หมด 30 ดวง ควำมสูงขดงดำวเทียมนำทำงในวงโคจร 23,222 กิโลเมตรเหนอื พื้นผวิ โลก (3.4) Beidou Navigation Satellite System (BDS) เป็นระบบ ดำวเทยี มทพ่ี ัฒนำโดยประเทศจีน มจี ำนวนดำวเทยี มทงั้ หมด 35 ดวง ให้บริกำรระดับภูมิภำค และจะ ขยำยใหค้ รอบคลมุ ท่ัวโลกในสิ้นปี ค.ศ. 2020 (3. 5) Quasi- Zenith Satellite System (QZSS) เป็นระบบ ดำวเทียมท่ีพัฒนำโดยประเทศญี่ปุ่น เป็นระบบนำทำงด้วยดำวเทียมในภูมิภำคท่ีให้บริกำรในประเทศ ญ่ีปุ่น เอเชียตะวันออกและภูมิภำคโอเชียเนีย ควำมสูงของดำวเทียมนำทำงในวงโคจร 42 ,164 กโิ ลเมตรเหนอื พืน้ ผวิ โลก (3.6) Indian Radio Navigation Satellite System (IRNSS) เป็นกำรพัฒนำโดยประเทศอินเดีย มีดำวเทียมท้ังหมด 7 ดวง ให้บริกำรในประเทศอินเดียและ ภูมิภำคในพ้ืนที่ขยำยประมำณ 1,500 กิโลเมตรทั่วประเทศอินเดีย ควำมสูงของดำวเทียมนำทำงในวง โคจร 36,000 กิโลเมตรเหนือพน้ื ผิวโลก (ปติ ิภูมิ โพสำวงั สถิตโชค โพธิส์ ะอำด และวสันต์ ภัทรอธคิ ม, 2560) ตำรำงที่ 4.6 ระบบนำทำงด้วยดำวเทียมบนพืน้ โลกในปจั จุบัน ระบบ ความสงู จานวนดาวเทียม จานวนดาวเทียมใน พน้ื ท่คี รอบคลุม ของวงโคจร ในแผนการ การดาเนนิ การเต็ม การใช้งาน GPS ดาเนินงาน GLONASS 21,000 32 รูปแบบ ท่ัวโลก GALILEO 20,000 27 31 ทวั่ โลก BeiDou 23,222 30 24 ท่วั โลก QZSS 21,528 35 24 ทว่ั โลก 42,164 4 35 ประเทศญีป่ นุ่ เอเชีย IRNSS 1 ตะวันออกและภมู ิภำค 36,000 7 โอเชียเนยี 6 ประเทศอินเดยี ภูมภิ ำคใน พน้ื ท่ขี ยำย ประมำณ 1,500 กโิ ลเมตรรอบ อนิ เดีย ท่ีมำ : (ปติ ิภูมิ โพสำวงั สถติ โชค โพธิ์สะอำดและวสันต์ ภัทรอธคิ ม, 2560) 4.5.4.2 กำรใช้ประโยชน์เทคโนโลยีภูมิสำรสนเทศ ทั้งภำครัฐและเอกชนตระหนักถึง ควำมสำคัญของกำรใชป้ ระโยชน์เทคโนโลยีภูมิสำรสนเทศเพ่ือพฒั นำประสิทธภิ ำพของงำนในด้ำนต่ำง ๆ เช่น กรมส่งเสริมคุณภำพส่ิงแวดล้อม กรมทรัพยำกรธรณี กรมชลประทำน กรมป่ำไม้ ธนำคำร

166 พำณิชน์ เป็นต้น และเพ่ือให้กำรนำเทคโนโลยีภูมิสำรสนเทศไปใช้ในด้ำนต่ำง ๆ เพื่อพัฒนำประเทศ จึงได้จัดตั้งสำนักงำนเทคโนโลยีอวกำศและภูมิสำรสนเทศ ซ่ึงเป็นองค์กำรมหำชนข้ึนมำในปี พ.ศ. 2543 โดยเน้นกำรให้บริกำรข้อมูลจำกดำวเทียม ข้อมูลภูมิสำรสนเทศ และบริกำรวิชำกำรต่ำง ๆ ตลอดจนกำรวิจัยและพัฒนำเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ต่อกำรพัฒนำประเทศ กำรใช้เทคโนโลยีภมู ิ สำรสนเทศมีควำมหลำกหลำยในงำนหลำยด้ำน ตัวอย่ำงของกำรประยุกต์เทคโนโลยีภูมิสำรสนเทศ จำกงำนวิจัยต่ำง ๆ มีดงั ตอ่ ไปน้ี (1) กำรใช้งำนเทคโนโลยีภูมิสำรสนเทศทำงด้ำนสำธำรณสุข ในงำนด้ำน ระบำดวิทยำและกำรควบคุมโรคซ่ึงจะใช้เทคโนโลยีน้ีในกำรควบคุมและป้องกันกำรแพร่ระบำดของ โรคไขเ้ ลือดออกเพรำะไข้เลือดออกเป็นโรคทผ่ี ันแปรไปตำมปัจจัยทำงด้ำนภมู ิอำกำศ ทงั้ น้ีจนั ทนยี ์ บุญ มำมีพูล และคณะ (2660) ได้ทำกำรศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสภำพภูมิอำกำศ ควำมหนำแน่นของ บ้ำนเรือนและอัตรำกำรระบำดเพื่อประเมินพื้นที่ควำมเส่ียงของโรคไข้เลือดออกในเขตอำเภอบำงละ มุง จงั หวัดชลบรุ ี มจี ดุ ประสงคเ์ พือ่ ประเมนิ พื้นทคี่ วำมเส่ยี งต่อกำรระบำดของโรคทำใหท้ รำบชว่ งเวลำ ของกำรระบำดที่มีควำมเส่ียงสูงจงึ สำมำรถใช้เป็นขอ้ มลู พนื้ ฐำนในกำรวำงแผนควบคมุ และป้องกันกำร ระบำดของโรคไขเ้ ลอื ดออกได้ (2) กำรใช้งำนเทคโนโลยีภูมิสำรสนเทศทำงด้ำนกำรเกษตร เช่น กำร ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสำรสนเทศเพ่ือจำแนกพื้นท่ียืนต้นยำงพำรำด้วยข้อมูลจำกดำวเทียม โดย จินดำ มูนละมณี และคณะ (2560) มวี ตั ถุประสงค์เพ่อื จำแนกพ้นื ที่ยนื ตน้ ยำงพำรำจำกข้อมลู ดำวเทียม ซ่ึงเป็นกรณีศึกษำในประเทศลำวทำให้ทรำบว่ำพื้นท่ีบริเวณใดมีพ้ืนที่ยืนต้นยำงพำรำมำกท่ีสุดและค่ำ จำกกำรประเมนิ มคี วำมถกู ตอ้ งเท่ำกับ 85 % (3) กำรใช้เทคโนโลยีภูมิสำรสนเทศในงำนทำงด้ำนสิ่งแวดล้อม ซ่ึงมีอยู่อย่ำง กว้ำงขวำง เช่น กำรศึกษำผลกระทบและแบบจำลองของกำรเปล่ียนแปลงสภำพภูมิอำกำศท่ีรุนแรง บริเวณอุทยำนสิ่งแวดล้อมนำนำชำติสิรินธรโดยยุทธศำสตร์ อนุรักติพันธ์ุ (2559) โดยกำรศึกษำนี้มี วัตถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ติดตำม ประเมนิ ผลกระทบจำกกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมอิ ำกำศเพื่อใช้วำงมำตรกำร และจัดทำระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ และวำงแผนรับมือกับกระทบที่จะเกิดข้ึนต่อภำคกำรเกษตร ผลกำรวิจัยทำให้เกษตรกรในพื้นที่นำผลกำรวิจัยไปใช้เพ่ือปรับตัวกับสภำพภูมิอำกำศที่เปลี่ยนแปลง โดยกำรทำสระในไร่นำ ปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชทนแล้ง ส่วนส่ิงแวดล้อมในเมืองมีกำรศึกษำ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงอุณหภูมิพ้ืนผิวดินกับพ้ืนที่ชุมชนและส่ิงปลูกสร้ำง กรณีศึกษำ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง โดยนรำธิป เพ่งพิศและคณะ (2560) จำกงำนวิจัยนี้ทำให้สำมำรถวิเครำะห์ได้ว่ำพ้ืนที่ ประเภทใดมีผลต่อกำรเพ่ิมข้ึนของอุณหภูมิเฉลี่ยในพ้ืนท่ีซ่ึงจำกผลกำรศึกษำสำมำรถนำไปทำนำยค่ำ อณุ หภมู ใิ นอนำคตและจะนำไปสกู่ ำรเตรียมกำรรบั มือกบั กำรเปลีย่ นแปลงที่จะเกดิ ข้ึนในอนำคต (4) กำรใช้เทคโนโลยีภูมิสำรสนเทศในงำนด้ำนทรัพยำกรธรรมชำติ ซ่ึงกำร จัดกำรทรัพยำกรธรรมชำติ กำรฟ้ืนฟูทรัพยำกรธรรมชำติได้นำเอำเทคโนโลยีภูมิสำรสนเทศเข้ำมำใช้ ประโยชน์อย่ำงหลำกหลำย เช่น กำรบริหำรจัดกำรและพัฒนำทรัพยำกรน้ำแบบบูรณำกำรโดยใช้ เทคโนโลยีภูมิสำรสนเทศ จังหวัดชลบุรี (สุพรรณ กำญจนสุธรรมและวุฒิชัย แก้วแหวน, 2559) โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อให้ทรำบปัญหำและควำมต้องกำรโครงกำรที่สอดคล้องกับพ้ืนที่ หำแนวทำงในกำร แกไ้ ขปัญหำน้ำแลง้ และนำ้ ทว่ มระดบั ตำบล อำเภอและจงั หวดั เพื่อจะนำไปสู่กำรนำเสนอโครงกำรกำร

167 แก้ปัญหำของจังหวัดเพื่อช่วยลดกำรขำดแคลนน้ำและกำรป้องกันภัยแล้ง เทคโนโลยีภูมิสำรสนเทศ ยงั สำมำรถนำมำประยุกตใ์ ช้เพอื่ วิเครำะห์ควำมเส่ยี งของพ้นื ทใี่ นด้ำนต่ำง ๆ ได้อีก เชน่ กำรประยกุ ตใ์ ช้ ระบบสำรสนเทศภูมิศำสตร์เพื่อวิเครำะห์หำพื้นท่ีเส่ียงต่อกำรเกิดอุทกภัยในจังหวัดนครปฐม (สมคิด ภูมิโคกรักษ์, 2559) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหำพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมในพ้ืนที่ที่มีควำมสู งจำก ระดับน้ำทะเลแตกต่ำงกันทำให้สำมำรถเตรียมกำรในกำรป้องกันภัยน้ำท่วมเมืองได้ หรือวิเครำะห์ พน้ื ท่ีเสย่ี งภัยจำกดินถล่มในจังหวดั เพชรบูรณ์ (สภุ ัทรำ ผมทอง และดวงเดือน อัศวสธุ รี กลุ , 2560) ท่ีมี วตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือวิเครำะห์พน้ื ทีเ่ สี่ยงต่อกำรเกิดดินถล่มจังหวดั เพชรบูรณ์ โดยศึกษำจำกปัจจยั ในด้ำน ต่ำง ๆ เช่น ควำมลำดชัน ควำมสูงของภูมิประเทศ กำรใช้ประโยชน์ที่ดิน กำรระบำยน้ำ และปริมำณ น้ำฝน ทำให้สำมำรถวิเครำะห์โอกำสในกำรเกิดดินถล่มของพ้ืนที่ต่ำง ๆ ได้ ซึ่งจะมีประโยชน์ในด้ำน กำรเตรยี มแผนกำรป้องกนั ดินถลม่ ของจงั หวดั ตอ่ ไป 4.5.5 เทคโนโลยใี นการกาจดั ฝุน่ กำรกำจัดฝุ่นในโรงงำนอุตสำหกรรมโดยเฉพำะโรงงำนอุตสำหกรรมที่มีกำรเผำไหม้ เช้ือเพลิงจะใช้หลักกำรใสแ่ รงกระทำตอ่ อนุภำคเพ่ือแยกอนภุ ำคออกจำกกระแสก๊ำซและให้อนุภำคไป ชนกับพื้นผิวของตัวดักจับ (Collector) อุปกรณ์ท่ีใช้ในกำรดักจับฝุ่นในโรงงำนอุตสำหกรรมมีหลำย แบบและมีควำมสำมำรถในกำรดักจับฝุ่นได้แตกต่ำงกัน ดังตำรำงท่ี 4.7 อุปกรณ์ท่ีใช้ในกำรดักจับฝุ่น ไดแ้ ก่ 4.5.5.1 ระบบคัดแยกโดยกำรตกเน่ืองจำกน้ำหนักฝุ่น (Gravity Settling chamber) ระบบนีใ้ ช้แยกฝุ่นออกจำกอำกำศ โดยอำศัยกำรตกของฝุ่นด้วยแรงโน้มถว่ ง อำกำศจะถูกดูดผ่ำนท่อ ที่มีพ้ืนท่ีขนำดเล็กเข้ำมำยังห้องที่มีพื้นท่ีขนำดใหญ่ทำให้อนุภำคมีควำมเร็วลดลงและตกลงด้ำนล่ำง ระบบคัดกำรตกเน่ืองจำกน้ำหนกั ฝุ่น ใช้ดักฝุ่นที่มีขนำด 40-60 ไมครอน มีค่ำติดตั้งและดำเนินกำรไม่ สูง ใช้พลงั งำนตำ่ และมคี วำมทนทำนแต่ใชไ้ ดก้ บั ฝนุ่ ขนำดใหญ่เท่ำน้นั 4.5.5.2 ไซโคลน (Cyclone) ระบบไซโคลนอำศัยหลักกำรหนศี ูนย์กลำงในกำรแยกฝุ่น ออกจำกอำกำศ (รูปท่ี 4.10) ฝุ่นและอำกำศจะถูกดูดเข้ำไปในไซโคลนท่ีเป็นกระแสวนหนีศูนย์กลำง เหว่ียงอนุภำคไปยังผนังกระแสวนจะพำอนุภำคฝุ่นเคล่ือนตัวลงไปถึงปลำยโคนโดยท่ีอำกำศท่ีไม่มีฝุ่น จะถูกหมุนกลับข้ึนด้ำนบนออกไปที่ทอ่ ออก ระบบน้ีใช้บำบัดฝุ่นท่ีมีขนำดใหญ่กวำ่ 10 ไมครอน เป็น ระบบท่ีมีรำคำค่ำติดต้ังและดำเนินกำรไม่สูง ใช้กับฝุ่นท่ีมีอุณหภูมิสูงได้แต่ใช้ไม่ได้กับฝุ่นท่ีมีขนำดเล็ก ถึง 5 ไมครอน

168 รปู ท่ี 4.10 ไซโคลนเครื่องมือดักฝนุ่ ในภำคอุตสำหกรรม ท่มี ำ : (http://www.ej.eric.chula.ac.th/content/6136/286, 2563) 4.5.5.3 กำรดักจับด้วยหยดน้ำ (Wet scrubber) ระบบบำบัดอำกำศแบบน้ีใช้สำหรับ บำบัดก๊ำซมลพิษที่เกิดจำกกระบวนกำรผลิต มีหลักกำรทำงำนดังรูปที่ 4.11 คือ ให้อำกำศเสียสัมผสั กับของเหลวคือ น้ำหรือสำรเคมีโดยเร่ิมจำกอำกำศจะถูกดูดเข้ำสู่สครับเบอร์แล้วผ่ำนช้ันตัวกลำง (Packing Media) ชั้นตัวกลำงจะทำหน้ำที่เพิ่มพ้ืนที่ผิวสัมผัสระหว่ำงอำกำศเสียกับน้ำ เพรำะน้ำจะ ถูกฉีดพน่ เปน็ ละอองนำ้ เพ่ือดักจบั ฝุ่นละอองหรือสำรที่ปนเปื้อนมำกบั อำกำศ มวลสำรจะถกู จับด้วยน้ำ ไม่สำมำรถหลุดออกไปภำยนอกพร้อมกับอำกำศดีที่ผ่ำนกำรบำบัดภำยในอุปกรณ์สครับเบอร์ซ่ึงจะถกู ปล่อยออกทำงปล่องอำกำศ ระบบนี้มีประสิทธิภำพในกำรบำบัดฝุ่นท่ีมีขนำดอนุภำคใหญ่และเล็กใช้ กับอำกำศที่มีอุณหภูมิและควำมชน้ื สงู ได้ อนุภำคท่ีมีกำรเส่ียงในกำรติดไฟและระเบิด สำมำรถบำบัด อนภุ ำคกำ๊ ซ และไอไปพร้อมกนั 4.5.5.4 ถุงกรอง (Bag Filter) ระบบถุงกรองใช้หลักกำรแยกอนุภำคออกจำกกระแส ก๊ำซ เครอื่ งกรองคอื โครงสร้ำงทเ่ี ป็นรูพรุนประกอบด้วยสำรทีเ่ ปน็ เมด็ เล็กดกั อนุภำคไว้และใหก้ ๊ำซไหล ผ่ำนช่องว่ำงของเคร่ือง (รูปที่ 4.12) ถุงกรองทำด้วยผ้ำทอที่มีประสิทธิภำพสูง สำมำรถบำบัดฝุ่น ขนำดต้ังแต่ 0.1 ไมครอน

169 รปู ที่ 4.11 ระบบกำรกำจัดก๊ำซแบบหยดนำ้ (Wet scrubber) ที่ ม ำ : ( https://www.semanticscholar.org/paper/Fuzzy-Logic-Controller-(FLC)-for-the- Control-of-in-Umar-Babawuro/c07a2e05f7b7f1677c9319efe73ebf1b768ff7d4/figure/0, 2015) รูปท่ี 4.12 ระบบถุงกรอง (Bag Filter) ทม่ี ำ : (http://projects-pdp2010.egat.co.th/projects1/index.php?option=com_ content&view=article&id=3:coal-technology&catid=1:introduction-of-coal)

170 4.5.5.5 เครือ่ งดักฝุ่นแบบไฟฟำ้ สถิต (Electrostatic Precipitator ; ESP) ใชแ้ รงไฟฟ้ำ ในกำรแยกอนภุ ำคออกจำกก๊ำซโดยกำรใสป่ ระจไุ ฟฟ้ำให้อนุภำคแลว้ นำอนุภำคทีม่ ีประจุไฟฟ้ำผำ่ นเข้ำ ไปในสนำมไฟฟ้ำสถิต อนุภำคจะเคล่ือนท่ีเข้ำหำและถูกเก็บบนแผ่นท่ีมีศักย์ไฟฟ้ำตรงกันข้ำมกับ อนุภำคไฟฟ้ำสถิต ระบบน้ีมีประสิทธิภำพสูงในกำรเก็บฝุ่นขนำดเล็กกว่ำ 1 ไมครอน ถึง 99.5 % ส่วนใหญ่ถูกใช้ในระบบบำบัดอำกำศของโรงไฟฟ้ำ โรงหล่อหลอมเหล็ก โรงปูนซิเมนต์ เป็นต้น เคร่ือง ดักฝุ่นแบบไฟฟ้ำสถิตมี 2 แบบคือ แบบท่อทรงกระบอก รูปที่ 4.13 (ซ้ำย) และ แบบแผ่นบำง รูปที่ 4.13 (ขวำ) แบบท่อทรงกระบอก แบบแผน่ บำง รูปที่ 4.13 เครอ่ื งตกตะกอนไฟฟำ้ สถติ แบบท่อทรงกระบอกและแบบแผ่นบำง ทม่ี ำ : (Jaworek et al., 2000 อ้ำงถงึ ใน พำนชิ อนิ ต๊ะ, 2011)

171 ตำรำงท่ี 4.7 ควำมสำมำรถในกำรดกั จับฝุ่นของอปุ กรณ์แตล่ ะชนดิ อปุ กรณด์ กั จบั ฝุ่น ขนาดอนภุ าคท่ดี ักจับได้ (ไมครอน) 40-60 ระบบคัดแยกโดยกำรตกเนื่องจำกน้ำหนักฝุ่น (Gravity Settling chamber) >10 ไซโคลน (Cyclone) >5 >5 กำรดักจบั ดว้ ยหยดนำ้ (Wet scrubber) >5 - Spray Tower Scrubber >1 - Packed Bed Scrubber >0.1 - Tray or Plate Scrubber <0.1 - Venturi Scrubber ถุงกรอง (Bag Filter) เคร่อื งดกั ฝ่นุ แบบไฟฟำ้ สถิต (Electrostatic Precipitator ; ESP) ท่ีมำ : (กรมโรงงำนอตุ สำหกรรม, มปป.) บทสรุป ทรัพยำกรธรรมชำติ คือ สิ่งท่ีเกิดขึ้นตำมธรรมชำติและมนุษย์นำมำใช้ประโยชน์ ส่วน ส่ิงแวดล้อมคือ ส่ิงที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรำท้ังหมดที่จะมีอิทธิพลต่อชีวิตหรือสังคมของส่ิงมีชีวิต มนุษย์และ ส่ิงแวดล้อมมีควำมสัมพันธ์กันโดยท่ีมนุษย์มีควำมคิด ควำมเชื่อว่ำตนเองเป็นผู้ที่สำมำรถควบคุมและ เอำชนะธรรมชำติได้ซึง่ เป็นควำมเข้ำใจทีผ่ ิดพลำดเพรำะแทจ้ รงิ แลว้ มนุษยก์ ็คือสว่ นหนึ่งของระบบตำม ธรรมชำติที่ต้องอยู่ภำยใต้กฎเกณฑ์ของธรรมชำติ มนุษย์พยำยำมจะเอำชนะ ควบคุมธรรมชำติ แต่ กำรกระทำเช่นนั้นได้ปรำกฎผลให้เห็นชัดเจนว่ำไม่ประสบควำมสำเร็จและยิ่งทำให้เกิดวิกฤติของ ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อมมำกขึ้นในปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จำกสถำนกำรณ์ ทรัพยำกรธรรมชำติและส่ิงแวดล้อม เช่น กำรสูญเสียพ้ืนที่ป่ำเขตร้อน ควำมเส่ือมโทรมของพ้ืนท่ีป่ำ ควำมแห้งแล้งของป่ำท่ีนำมำซึ่งปัญหำไฟไหม้ป่ำ วิกฤติด้ำนภัยพิบัติทำงธรรมชำติที่มีควำมถ่ีและ รุนแรงมำกขึ้นที่สร้ำงควำมเสยี หำยแก่ชวี ิตและทรัพย์สนิ นับคร้ังไม่ถ้วน ปัญหำกำรละลำยของนำ้ แขง็ ที่ขั้วโลกและอีกหลำยปัญหำซ่ึงภัยพิบัติทำงธรรมชำติเหล่ำนี้มีสำเหตุ ปัจจัยท่ีหลำกหลำยซับซ้อน ได้แก่ ปัญหำประชำกรท่ีเพ่ิมมำกข้ึนท่ีทำให้จำนวนประชำกรโลกขยำยตัวโดยฉพำะในประเทศอินเดยี ท่ีมีกำรคำดกำรณ์ว่ำในปี ค.ศ.2027 อินเดียจะมีประชำกรของประเทศมำกกว่ำประเทศจีน ปัญหำ เทคโนโลยีท่มี ีควำมก้ำวหน้ำถงึ แม้ว่ำเทคโนโลยีจะสรำ้ งควำมเจริญใหแ้ ก่ประเทศและโลกแต่ควำมก้ำว ของเทคโนโลยีก็ส่งผลกระทบทรัพยำกรธรรมชำติและส่ิงแวดล้อมด้วยเช่นกัน เช่น กำรพัฒนำ อตุ สำหกรรมทำให้มกี ำรใชพ้ ลังงำนและสำรเคมที สี่ ง่ ผลกระทบต่อดิน แหลง่ น้ำและบรรยำกำศ ปัญหำ ต่อมำคือเรื่องกำรเมืองกำรปกครองท่ีเป็นปัญหำของเกือบทุกประเทศในโลกเพรำะเม่ือพิจำรณำลงไป จะพบว่ำ กำรเมืองกำรปกครองเป็นต้นเหตุของปัญหำส่ิงแวดล้อมทั้งหมดเพรำะบำงปัญหำอำจไม่ ได้มำจำกปัญหำทำงเทคนิคหรอื วิทยำศำสตรแ์ ต่เป็นเพรำะสังคมและจติ วิญญำณของมนุษยต์ ่ำงหำกท่ี เปน็ ปญั หำโดยหลักฐำนท่ีเห็นอย่ำงชดั เจนคือ ระบบทุนนยิ มซึ่งเปน็ ระบบกำรเมืองหลักของโลกที่ได้มี กำรรแสดงผ่ำนควำมรู้สึกของเยำวชนคนหน่ึงที่ออกมำเคลื่อนไหวว่ำไม่มีแนวคิดทำงกำรเมืองกำร ปกครองใดท่ีจะสำมำรถยับย้ังกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศได้ ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม

172 ผูกขำดท่ีเติบโตอย่ำงรวดเร็วมีผลต่อควำมเสียหำยของทรัพยำกรธรรมชำติและส่ิงแวดล้อมอย่ำง รวดเรว็ เช่นกนั หลงั กำรปฏวิ ัตอิ ตุ สำหกรรมทำให้เห็นได้ชดั ถึงควำมเสื่อมโทรมของทรัพยำกรธรรมชำติ และสิ่งแวดล้อมมำกข้ึนโดยเฉพำะในประเทศที่ยำกจนที่ขำดทั้งควำมรู้และเทคโนโลยี เม่ือปัญหำ ส่ิงแวดล้อมได้ขยำยวงกว้ำงมำกข้ึนจึงทำใหป้ ระเทศตำ่ ง ๆ เริ่มหันมำสนใจกับปญั หำมำกขน้ึ ดังจะเห็น ได้จำกควำมร่วมมือของประเทศต่ำง ๆ ผ่ำนกำรประสำนงำนขององค์กำรสหประชำชำติท่ีจะร่วมกัน แก้ไขปัญหำโดยกำรมีข้อตกลง มำตรกำร และเทคโนโลยใี นกำรสนับสนุนกำรแก้ไขปัญหำในด้ำนตำ่ ง ๆ สำหรับสถำนกำรณ์สิ่งแวดล้อมในประเทศไทยก็เช่นเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ ที่เป็นปัญหำอยู่ใน ขณะนี้ได้แก่ ปัญหำควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพลดลง มีกำรคำดกำรณ์ว่ำได้มีกำรสูญเสียควำม หลำกหลำยไปแล้วร้อยละ 20 ของชนิดพันธุ์ท่ีมีอยู่ในปัจจุบันในเวลำ 30 ปี กำรรุกรำนของชนิดพนั ธ์ุ ต่ำงถน่ิ ซง่ึ มีรำยงำนว่ำประเทศไทยมชี นดิ พันธุ์ต่ำงถน่ิ ท่ีรวบรวมได้จำนวน 3,500 ชนดิ และมศี ักยภำพ รุกรำนในประเทศไทย 182 ชนิด ส่วนปัญหำสิ่งแวดล้อมอ่ืน ๆ ได้แก่ ขยะประเภทไมโครพลำสติกท่ี ประเทศไทยตดิ อนั ดับประเทศที่มีขยะพลำสติกในทะเลอยู่ในอันดบั ตน้ ๆ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ทม่ี ำจำก ควำมก้ำวหน้ำของเทคโนโลยี ปัญหำครำบน้ำมันในทะเลท่ีสร้ำงควำมเสียหำยแก่ชำยฝ่ังและระบบ นิเวศในท้องทะเล ปัญหำฝุ่นละอองขนำด 2.5 ไมครอน ด้วยปัญหำทรัพยำกรธรรมชำติและ สิ่งแวดล้อมที่กล่ำวมำท้ังหมดจงึ ได้มีควำมพยำยำมในกำรใชว้ ิทยำศำสตร์และเทคโนโลยเี พื่อแก้ปัญหำ เช่น กำรแก้ปัญหำคำร์บอนไดออกไซด์ด้วยเทคโนโลยีกำรแยกก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ เทคโนโลยี กำรดักจับและกักเก็บก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ กำรแปรรูปก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ กำรเก็บกัก คำร์บอนโดยพื้นท่ีปำ่ ไม้ กำรลดก๊ำซเรอื นกระจกด้วยกำรใช้พลังงำนชีวมวล กำรสร้ำงระบบเตือนภยั แผ่นดินไหวเพื่อป้องกันควำมเสียหำยโดยเป็นกำรนำระบบคำนวณควำมแม่นยำสูงมำใช้เพ่ือเตือนภัย แผ่นดินไหวและกำรเกิดสึนำมิล่วงหน้ำในจุดที่มีแนวโน้มกำรเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง กำรใช้ เทคโนโลยีภูมิสำรสนเทศในงำนด้ำนต่ำง ๆ ให้เกิดประสิทธิภำพและกำรใช้เทคโนโลยกี ำจัดฝ่นุ ได้แก่ ระบบคัดแยกโดยกำรตกเนื่องจำกน้ำหนักฝุ่น กำรใช้ไซโคลน กำรดักจับด้วยหยดน้ำ กำรใช้ถุงกรอง และเครอื่ งดักฝุ่นแบบไฟฟำ้ สถิต

173 คาถามทบทวนทา้ ยบทเรยี น 1. จงบอกควำมหมำยของทรพั ยำกรธรรมชำติและสิง่ แวดล้อม 2. ปัญหำทรัพยำกรธรรมชำตแิ ละส่ิงแวดลอ้ มใดที่จดั เปน็ ปญั หำวกิ ฤตในระดับประเทศและระดบั โลก 3. จงบอกสำเหตทุ ี่ทำให้เกดิ ปญั หำทรพั ยำกรธรรมชำติและส่ิงแวดลอ้ ม 4. เพรำะสำเหตุใดจึงทำใหค้ วำมหลำกหลำยทำงชวี ภำพในประเทศไทยลดลง 5. จงอธบิ ำยวำ่ ชนดิ พันธุ์ต่ำงถน่ิ มีผลกระทบอย่ำงไรตอ่ ระบบนิเวศ 6. จงอธบิ ำยกระบวนกำรเกดิ แผ่นดินไหว 7. จงบอกสำเหตุทท่ี ำใหเ้ กดิ ไฟป่ำและไฟปำ่ แบง่ ออกเป็นก่ีชนดิ 8. ไมโครพลำสติกมีกระบวนกำรเกิดอย่ำงไรและจะสง่ ผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ มอย่ำงไรบำ้ ง 9. ขยะอิเล็กทรอนกิ ส์มอี นั ตรำยอย่ำงไร 10. กำรรว่ั ไหลของครำบน้ำมนั ในทะเลจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่ำงไร 11. จงบอกวิธีกำรกำจดั ครำบน้ำมนั ในทะเล 12. ฝ่นุ แบ่งออกเปน็ ก่ปี ระเภทและอนั ตรำยจำกฝ่นุ แตล่ ะประเภทมอี ะไรบ้ำง 13. จงอธิบำยวำ่ กำ๊ ซคำรบ์ อนไดออกไซด์มผี ลกระทบต่อสง่ิ แวดลอ้ มอยำ่ งไร 14. จงบอกวิธีกำรหรือเทคโนโลยใี นกำรลด/กำจัดก๊ำซคำรบ์ อนไดออกไซด์ 15. พลังงำนชีวมวลหมำยถงึ อะไร 16. จงอธบิ ำยประโยชน์ทไี่ ด้รบั จำกกำรใช้เทคโนโลยภี ูมสิ ำรสนเทศ 17. จงบอกองคป์ ระกอบของเทคโนโลยีภมู ิสำรสนเทศ 18. จงอธิบำยว่ำเทคโนโลยภี มู สิ ำรเทศจะนำมำใชใ้ นงำนด้ำนสำธำรณสขุ อยำ่ งไร 19. จงยกตวั อยำ่ งระบบดำวเทียมทม่ี ีกำรใหบ้ รกิ ำรในปัจจบุ นั 20. จงบอกเทคโนโลยที ใ่ี ชใ้ นกำรกำจดั ฝุ่น

174 เอกสารอ้างองิ กรมควบคุมมลพิษ. (2553). การคาดการณ์การเคลื่อนที่ของคราบน้ามันในทะเล ผลกระทบต่อ ทรัพยากรธรรมชาติและแนวทางจัดการแก้ไข. กรุงเทพฯ : ห้ำงหุ้นส่วนจำกัด กชกำร พับ ลิชชงิ่ . กรมทรัพยำกรธรณี. (2554). ความรเู้ กีย่ วกับหลุมยบุ . ค้นเมอ่ื มถิ ุนำยน 5, 2563, จำก http://www.dmr.go.th/download/Landslide/Sinkhole/what_sinkhole.htm. ----------. (2559). สาเหตุการเกดิ แผน่ ดินไหว. ค้นเมอื่ กรกฎำคม 5, 2563, จำก http://www.dmr.go.th/main.php?filename=case_eq. กระทรวงพลงั งำน. (2554). เทคโนโลยีชวี มวลในปัจจุบันและอนำคต.วารสาร Energy plus, 30:2-5. ---------. (มปป.) คูม่ ือการพัฒนาและการลงทุนผลิตพลงั งานทดแทนชุดที่ 4 พลังงานชวี มวล. มปท. กระทรวงสำธำรณสุข. (2558). แนวทางการเฝ้าระวังพ้ืนที่เส่ียงจากมลพิษทางอากาศ กรณีฝุ่น ละอองขนาดเล็ก.มปท. กฤตภำส มงคลธำรงกุล และประพิธำร์ ธนำรักษ์. (2558, พฤศจิกำยน). โอกาสและอุปสรรคในการ จัดตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวลชุมชน. กำรประชุมสัมมนำเชิงวิชำกำรรูปแบบพลังงำนทดแทนสู่ ชมุ ชนแหง่ ประเทศไทย ครง้ั ที่ 8, มหำวิทยำลัยเทคโนโลยรี ำชมงคลธญั บุร.ี กฤษฎำ บุญชัย. (2563). การเมืองแห่งความหวังในการเผชิญโลกร้อน. ค้นเม่ือ กรกฎำคม 23, 2563, จำก https://thaipublica.org/2020/03/kritsada-boonchai-12/. กำนต์นภัส ดวงกลำง สคำร ทีจันทึก และสมพร แม่ลิ่ม. (2561, มีนำคม). การเปล่ียนแปลงและการ กักเก็บคาร์บอนของสังคมพืชในแปลงตัวอย่างป่าฟ้ืนฟูระบบนิเวศป่าเขาภูหลวง จังหวัด นครราชสีมา. กำรประชุมวิชำกำรเสนอผลงำนวิจัยระดับบัณฑิตศึกษำแห่งชำติ คร้ังที่ 19, มหำวิทยำลยั ขอนแก่น. กำรนิคมอุตสำหกรรมแห่งประเทศไทย. (2560). ECO challenge Magazine. มปท. : รุ่งศิลป์กำร พมิ พ.์ กุลนันท์ วรี ณรงค์กร และอมรชัย อำภรณว์ ิชำนพ. (2560). แนวทำงกำรนำกำ๊ ซคำรบ์ อนไดออกไซด์มำ ใช้ประโยชน์. วารสารส่งเสริมเทคโนโลยี, 255 : 30-34. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักด์ิ. (2557). แนวโนม้ โลก 2050 (4) : การเปล่ยี นแปลงดา้ นสภาพแวดล้อม ของโลก. คน้ เม่ือ ตุลำคม 30, 2561, จำก http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/615036 ไกรชำติ ตันตระกำรอำภำ และอัมรินทร์ คงทวีเลิศ. (มปป.). สถำนกำรณ์น้ำท่วม ผลกระทบต่อ สุขภำพ. วารสารสง่ิ แวดลอ้ ม, 16(1) : 37-44. จันทนีย์ บุญมำมีพูล สุพรรณ กำญจนสุธรรม แก้ว นวลฉวี และณรงค์ พลีรักษ์. (2560). กำรศึกษำ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสภำพภูมิอำกำศ ควำมหนำแน่นของบ้ำนเรือน และอัตรำกำรระบำด เพ่ือประเมินพ้ืนท่ีควำมเสี่ยงของโรคไข้เลือดออก ในเขตอำเภอบำงละมุง จังหวัดชลบุรี. วารสารเทคโนโลยภี ูมิสารสนเทศ มหาวิทยาลัยบูรพา, 2(3) : 1-12.

175 จินดำ มูนละมณี สุพรรณ กำญจนสุธรรม แก้ว นวลฉวี และนฤมล อินทวิเชียร. (2560). กำรประยุกต์ เทคโนโลยภี มู สิ ำรสนเทศเพอื่ จำแนกพน้ื ทย่ี ืนต้นยำงพำรำดว้ ยข้อมลู จำกดำวเทยี ม กรณีศึกษำ จังหวัดบลิคำไช สำธำรณรัฐประชำธิปไตยประชำชนลำว. วารสารเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ มหาวิทยาลยั บรู พา, 2(3) : 13-26. จินตนำ ประชุมพันธ์. (2018). PM2.5 ฝนุ่ ขนาดเล็กในอากาศกบั วิกฤติสขุ ภาพท่คี นไทยจะต้อง แลก. คน้ เม่ือ มิถนุ ำยน 21, 2563, จำก https://thestandard.co/pm-2-5- environmental-nano-pollutants/. ชนกำนต์ พันสำ. (2562). เคร่ืองดูดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากอากาศ. ค้นเม่ือ มิถุนำยน 5, 2563,จำก http://standford.edu. ชัญษำ กันฉิง่ และคณะ. (2559, มิถุนำยน). การกักเก็บคารบ์ อนในมวลชีวภาพของพืชทีม่ เี นอ้ื ไม้ ปา่ ชุมชนห้วยข้าวก่า อาเภอจุน จังหวัดพะเยา. กำรประชุมวิชำกำรกำรบริหำรจัดกำรควำม หลำกหลำยทำงชีวภำพแหง่ ชำติ ครง้ั ท่ี 3, โรงแรมดอิ ิมเพรสนำ่ น จังหวดั นำ่ น. ทดี อี ำร์ไอ. (2560). รายงานทีดอี ารไ์ อการจดั การขยะอเิ ล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย. คน้ เมื่อ กรกฎำคม 14, 2563, จำก https://tdri.or.th/wp- content/uploads/2018/04/wb133.pdf. ธนำพร มณีรัตน์ และคณะ. (2560). ปริมำณโลหะหนักในฝุ่นละอองรวมบริเวณทำงหลวง (ถนนบำง นำ-ตรำด) กโิ ลเมตรท่ี 18. วารสารวทิ ย์. เทคโน. หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ, 3(1) : 61-68. นรำธิป เพ่ิงพิศ สุพรรณ กำญจนสุธรรม แก้ว นวลฉวี และภัทรำพร สร้อยทอง. (2560). กำรศึกษำ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงอุณหภูมิพื้นผิวดินกับพื้นท่ีชุมชนและสิ่งปลูกสร้ำง กรณีศึกษำ อำเภอ เมือง จงั หวัดระยอง. วารสารเทคโนโลยภี มู สิ ารสนเทศ มหาวทิ ยาลัยบูรพา, 2(3) : 27-39. นันทวรรณ ประทีปพวงรัตน. (2555). การประเมินการกักเก็บและการปลดปล่อยคาร์บอนจากการ ใช้ประโยชน์โกงกางใบเล็ก ตาบลยี่สาร จังหวัดสมุทรสงคราม. วิทยำนิพนธ์วิทยำศำสตร มหำบณั ฑิต คณะพลงั งำนสิ่งแวดล้อมและวสั ดุ มหำวทิ ยำลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลำ้ ธนบรุ ี. นิตยสำรคิด. (2563). มองไปข้างหน้า 2050 : แนวโน้มกระแสโลก (ตอนที่ 1การเปล่ียนแปลงดา้ น ประชากร). คน้ เมื่อ กรกฎำคม 16, 2563, จำก https://www.creativethailand.org/ article/trend/32488/th#LOOK-ISAN-NOW-ep-1. นิตรำ ต่อมคำ กนกพร สว่ำงแจ้ง และกมลชนก พำนิชกำร. (2562, มิถุนำยน). การเก็บกักคาร์บอน ของป่าชายเลนคลองโคลน จังหวัดสมุทรสงคราม. กำรประชุมวิชำกำร มหำวิทยำลัย เทคโนโลยรี ำชมงคลรัตนโกสินทร์ ครั้งที่ 4 และกำรประชุมนำนำชำติ มหำวิทยำลัยเทคโนโลยี รำชมงคลรัตนโกสนิ ทร์ คร้งั ที่ 1 กำรยกระดับงำนวจิ ัยเพ่ือขบั เคลอื่ นเศรษฐกจิ และสงั คมอย่ำง ยั่งยืน, โรงแรมรอยลั รเิ วอร์ กรงุ เทพมหำนคร. บัณฑิต ศิริรักษ์โสภณ. (2561). กำรเมืองเร่ืองป่ำชุมชน : ปัญหำเชิงนโยบำยและระบบกรรมสิทธ์ิร่วม ในสงั คมไทย. วารสารธรรมศาสตร์, 37(2) :144-162. ปทั มำ ศรีน้ำเงิน เพชรดำ ปินใจ สมุ ิตร คุณเจตน์ และสนธชิ ัย จันทรเ์ ปรม. (2559). กำรสะสมคำรบ์ อน ของหญ้ำทะเลบริเวณพ้ืนที่ศึกษำเขตศูนย์กำรศึกษำพัฒนำอ่ำวคุ้งกระเบน จังหวัดจันทบุรี. วารสารพืชศาสตรส์ งขลานครนิ ทร์, 3 (ฉบบั พเิ ศษ (II)) : 29-35.

176 ปิตพิ งศ์ ธำระมนต์ สหุ ทัย ไพรสำนฑ์กลุ และนภำพร เลียดประถม. (2559). กำรปนเป้ือนของไมโครพ ลำสติกในหอยสองฝำบริเวณหำดเจ้ำหลำวและชำดหำดคุ้งวิมำน จังหวัดจันทบุรี. วารสาร แกน่ เกษตร, 44 (ฉบับพเิ ศษ 1) :738-744. ปิติภมู ิ โพสำวัง สถติ โชค โพธิ์สะอำด และวสันต์ ภัทรอธิคม. (2560) .กำ้ วสู่โลกแหง่ กำรระบุตำแหน่ง ที่แม่นยำ : พัฒนำกำรในปัจจุบันและอนำคตของระบบดำวเทียมนำทำงทั่วโลกหลำยระบบ. วารสารวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์, 9(10) :1- 16. ผจู้ ดั กำรออนไลน.์ (2560). พัฒนาตัวเร่งปฏกิ ริ ยิ าเปล่ียน CO2 เปน็ เชือ้ เพลิงและเคมีภัณฑ์มลู ค่าสูง. คน้ เมอ่ื มิถนุ ำยน 6, 2563, จำก https://mgronline.com/science/detail/9600000098157. พัชริดำ พงษปภัสร์ .(2561). ชนิดพันธุ์ต่างถ่ิน มิตรหรือศัตรู. ค้นเมื่อ กรกฎำคม 5, 2563, จำก https://www.seub.or.th/bloging/. พชิ ำย รตั นดิลก ณ ภเู กต็ . (2562). การพฒั นาในศตวรรษท่ี 21 : การเตบิ โตสเี ขียวหรือลดการ เตบิ โต. คน้ เมอื่ กรกฎำคม 16, 2563, จำก https://mgronline.com/daily/detail/9620000114329. พิสุทธ์ิ เพยี รมนกลุ และปฏภิ ำณ ปญั ญำพลกุล. (2556). ภาพรวมของสารเคมที ่ีมีการประยกุ ต์ใช้งาน ในภาวะ น้ามนั ร่ัวไหล (Oil spill) ลงสู่ทะเล. ค้นเมอื่ กรกฎำคม 13, 2563, จำก https://www.eng.chula.ac.th/th/18178. พุฒิชำติ คิดหำทอง วีรินทร์ หวังจิรนิรันดร์ และ อัจฉริยำ สุริยะวงค์. (2557). กำรศึกษำศักยภำพเชิง พ้ืนทขี่ องชวี มวลสำหรับผลิตไฟฟำ้ ของประเทศไทย.วารสารวิจัยพลังงาน, 11(1) : 63-57. ภำคภมู ิ เหลำ่ ตระกูล. (2558). พ้นื ฐานการรับรจู้ ากระยะไกล (1). คน้ เมอื่ กรกฎำคม 12, 2563, จำก https://www.gistda.or.th/main/th/node/936. ภำนุ เนื่องจำนงค์ กำญจนำ นำคะภำกร และสิริกร กำญจนสุนทร. (2558, มิถุนำยน). การประเมิน การสะสมคาร์บอน เหนือพ้ืนดินของป่าชายเลนดว้ ยข้อมูลดาวเทียม WORLDVIEW-2 ใน พื้นท่ีอาเภอเมือง จังหวัดชลบุรี. กำรประชุมวิชำกำรและเสนอผลงำนวิจัยระดับชำติ สร้ำงสรรค์และพัฒนำเพ่ือก้ำวหน้ำสู่ประชำคมอำเซียน ครั้งที่ 2, วิทยำลัยนครรำชสีมำ อำเภอเมอื ง จงั หวดั นครรำชสมี ำ. มูลนิธิสืบนำคะเสถียร. (2560). ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์ป่าและสถานภาพของสัตว์ป่าใน ปัจจุบนั . ค้นเมือ่ กรกฎำคม 14, 2563, จำก https://www.seub.or.th/seub/. ยุทธศำสตร์ อนุรักติพันธุ์. (2559). ผลกระทบและแบบจำลองของกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภมู ิอำกำศท่ี รุนแรงบริเวณอุทยำนสิ่งแวดล้อมนำนำชำติสิรินธรโดยระบบสำรสนเทศภูมิศำสตร์. วารสาร เทคโนโลยภี ูมิสารสนเทศ มหาวิทยาลัยบรู พา, 1(2) : 31-40. ระวี เจียรวภิ ำ สุรชำติ เพชรแก้ว มนตรี แกว้ ดวง และวิทยำ พรหมมี. (2555). กำรประเมินกำรเก็บกัก คำร์บอนและรำยได้จำกกำรชดเชยคำร์บอนในสวนยำงพำรำ. วารสารวิทยาศาสตร์บูรพา, 17(2) : 91-102.

177 รชั นีวรรณ คำตนั และคณะ. (2562). ปัญหำหมอกควนั และผลกระทบด้ำนสุขภำพในจงั หวัดเชยี งใหม่. วารสารสหวทิ ยาการวจิ ยั , 8(1) : 265 - 273. โรงพยำบำลบำรุงรำษฎร.์ (2561). มลพิษจากอนุภาคฝุ่นละออง อันตรายคุกคามในอากาศ. ค้นเม่ือ มิถุนำยน 20, 2563, จำก https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/february- 2018/air-pollution-threat. วรพจน์ กนกกนั ฑพงษ์. (2551). อปุ กรณ์ดักจับฝ่นุ ละออง. วารสาร มฉก.วิชาการ, 11(22) : 79-86. วสนั ต์ จนั ทรแ์ ดง ลดำวลั ย์ พวงจิตร และสำพศิ ดิลกสัมพันธ.์ (2553). กำรกกั เก็บคำร์บอนของป่ำเต็ง รัง และสวนป่ำยคู ำลปิ ตัส ณ สวนป่ำมัญจำคีรี จังหวัดขอนแก่น. วารสารวนศาสตร์, 29(3) : 36-44. วิชุดำ เกตุใหม่ เสำวภำ แก้วสุกใส และลีซำ แยนำ. (2553). กำรคัดแยกจุลินทรียท์ ่ีสำมำรถย่อยสลำย น้ำมนั หล่อล่นื เคร่อื งยนตท์ ี่ใช้แล้ว. วารสารมหาวิทยาลยั ทักษณิ , 12(3) : 202-213. สมคิด ภูมิโคกรักษ์. (2559). กำรประยุกต์ระบบสำรสนเทศภูมิศำสตร์เพื่อวิเครำะห์หำพ้ืนท่ีเสี่ยงต่อ กำรเกดิ อทุ กภัยในจงั หวดั นครปฐม. วารสารเทคโนโลยภี มู ิสารสนเทศ มหาวทิ ยาลัยบูรพา, 1(2) : 41-48. สรรค์ใจ กลิ่นดำว. (2542). ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ : หลักการเบ้ืองต้น. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ มหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์. สว่ นควบคมุ และปฏิบัตกิ ำรไฟปำ่ สำนักบริหำรพ้ืนท่ีอนุรักษ์ท่ี 16 จงั หวัดเชยี งใหม.่ (2554). ความรู้ เร่อื งไฟปา่ . คน้ เมื่อ กรกฎำคม 5, 2563, จำก http://www.fca16.com/newblog/blog.php?id=forestfire41. สวรินทร์ เบ็ญเด็มอะหลี. (2557). กำรประเมินสภำพป่ำและศักยภำพในกำรเก็บกักคำร์บอนของป่ำ เสม็ดใน เขตปำ่ ชมุ ชนพ้นื ทปี่ ่ำทุง่ บำงนกออกแห่งลุ่มนำ้ ทะเลสำบสงขลำตอนลำ่ ง. วารสารวน ศาสตร์, 33(2) : 88-101. สำนักงำนนวัตกรรมแหง่ ชำติ. (2562). NIA เผย CCUS นวัตกรรมเปลย่ี นคาร์บอนเป็นพลังงาน. ค้น เมือ่ มิถนุ ำยน 5, 2563, จำก https://www.smeone.info/center-service-sme- detail/4751. สำนักพัฒนำเทคโนโลยีอวกำศและภูมิสำรสนเทศ. (มปป.). ความหมายของเทคโนโลยีภูมิ สารสนเทศ. คน้ เมอ่ื กรกฎำคม 12, 2563, จำก http://learn.gistda.or.th/. สำนักเลขำธิกำรสภำผู้แทนรำษฎร. (2561). ขยะอิเล็กทรอนิกส์ : ขยะพิษมหันตภัยร้ายจาก เทคโนโลยี. คน้ เมื่อ กรกฎำคม 1, 2563, จำก http://www.parliament.go.th/library. สุจิตรำ วำสนำดำรงด.ี (2558, มิถุนำยน). สถานการณ์ปญั หาขยะอเิ ล็กทรอนิกส์. กำรเสวนำวชิ ำกำร ขยะอิเล็กทรอนิกส์ จัดกำรอย่ำงไรให้ปลอดภัย, สถำบันวิจัยสภำวะแวดล้อม จุฬำลงกรณ์ มหำวทิ ยำลัย. สุทธิรัตน์ กิตติพงษ์วิเศษ อำทิตย์ เพ็ชร์รักษ์ เจรยุกต์ โล่วัชรินทร์ จงรักษ์ ผลประเสริฐ. (2562). มล สำรไมโครพลำสตกิ ในแหลง่ นำ้ เสียดบิ และระบบำบัดนำ้ เสีย. วารสารสง่ิ แวดลอ้ ม, 23(1) : 1- 10.

178 สุพรรณ กำญจนสุธรรม และวุฒิชัย แก้วแหวน. (2559). แผนบริหำรจัดกำรและพัฒนำทรัพยำกรน้ำ แบบบูรณำกำรโดยใช้เทคโนโลยีภูมิสำรสนเทศ จังหวัดชลบุรี.วารสารเทคโนโลยีภูมิ สารสนเทศ มหาวิทยาลยั บรู พา, 1(1) : 1-13. สุพิณ แสงสขุ . (2552). วัสดุนาโนกบั ผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ ม. ค้นเมือ่ กรกฎำคม 16,2563, จำก http://www.chemtrack.org/News-Detail.asp?TID=5&ID=7. สภุ ทั รำ ผมทอง และดวงเดอื น อศั วสุธรี กุล. (2560). กำรวเิ ครำะห์พ้ืนท่ีเส่ยี งภัยจำกดินถล่มในจังหวัด เพชรบรู ณ์. วารสารเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ มหาวิทยาลยั บูรพา, 2(3) : 41-52. อรวรรณ แก้วทอง. (2556). การแพร่กระจายของไมโครพลาสติกบริเวณชายหาดเจ้าหลาวและคุ้ง วิมาน จังหวดั จันทบุรี. ปัญหำพิเศษ คณะเทคโนโลยีทำงทะเล มหำวิทยำลยั บรู พำ. เอกพล ฉม้ิ พงศ์. (มปป.) ระบบสารสนเทศภมู ิศาสตร.์ ค้นเม่ือ กรกฎำคม 12, 2563, จำก http://kmcenter.rid.go.th/kmc14/gis_km14/gis_km14(39).pdf. เอกวิทย์ เตระดิษฐ์. (2562). ใน 1 ปีพ้ืนท่ีป่าท่ัวโลกหายไปเทียบเท่าขนาดของประเทศอังกฤษ. ค้น เมื่อ กรกฎำคม 14, 2563, จำก https://www.seub.or.th/bloging/. European Society of Cardiology. (2019). Air pollution causes 8.8 million extra early deaths a year. Science Daily. Retrieved June 21, 2020, from www.sciencedaily.com/releases/2019/03/190312075933.htm.

บทท่ี 5 วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีกับการเกษตรและอตุ สาหกรรมเกษตร ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ประชำกรส่วนใหญ่ประกอบอำชีพทำกำรเกษตรเพ่ือ กำรดำรงชีพ แต่ด้วยโลกเกิดกำรเปล่ียนแปลงในหลำยด้ำนท้ังด้ำนสิ่งแวดล้อมท่ีเปล่ียนแปลงไป ควำมก้ำวหน้ำทำงด้ำนวิทยำกำรสมัยใหม่ ระบบเศรษฐกิจในระดับโลกท่ีมีผลต่อกำรค้ำขำยสินค้ำ เกษตรจึงทำให้ประเทศเกษตรกรรมอย่ำงประเทศไทยจำเป็นต้องปรับตัวและหำวิธีกำรในกำรทำ เกษตรที่สอดคล้องกับสถำนกำรณ์ของโลกที่เป็นอยู่ในขณะนี้ วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีกำรเกษตร จึงเป็นควำมหวังของเกษตรกรรมในกำรพัฒนำทำงด้ำนกำรเกษตรให้ส ำมำรถสร้ำงผลผลิตท่ีมี มูลค่ำเพิ่ม มีคุณภำพและปริมำณที่เพียงพอสำหรับกำรบริโภคและกำรส่งออกเพ่ือสร้ำงรำยได้ให้แก่ ประเทศซ่ึงเป็นควำมม่ันคงของประเทศเกษตรกรรมอย่ำงประเทศไทย 5.1 ความหมายและความสาคัญของเกษตรกรรมและอตุ สาหกรรมเกษตร 5.1.1 เกษตรกรรม เกษตรกรรม (Agriculture) หมำยถึง กระบวนกำรผลิตอำหำร เส้นใย เชื้อเพลิงและ ผลิตภัณฑ์อ่ืน ๆ โดยกำรเพำะปลกู พืช กำรเล้ียงสัตว์ ประมง อย่ำงเป็นระบบเพื่อใหไ้ ด้ผลผลิตท้ังจำก พืชและสัตว์รวมเรียกว่ำผลผลิตทำงกำรเกษตร เกษตรกรรมเป็นวิธีกำรยังชีพของมนุษย์เป็นกำร ทำงำนเพื่อกำรใช้ประโยชน์จำกธรรมชำติให้ได้ผลผลิตตำมควำมต้องกำรของมนุษย์โดยมนุษย์มีกำร ควบคุมดำเนินกำรด้วยกำรใช้ควำมรู้และเทคโนโลยีอย่ำงมีระบบแบบแผนและมีขั้นตอนกำร ปฏิบัติงำน หรือกำรเกษตรคือ กำรปฏิบัติกับทรพั ยำกรดินเพ่ือให้เกิดผลผลิตท้ังกำรปลกู พืช เล้ียงสัตว์ กำรทำประมง กำรทำเกษตรผสมผสำน โดยอำศัยควำมรู้ ควำมชำนำญต่ำง ๆ ในกำรทำให้พืชและ สัตวเ์ จริญเติบโตและใหผ้ ลผลติ 5.1.1.1 ผลผลิตทำงกำรเกษตร หมำยถึง สิ่งท่ีได้มำจำกเกษตรกรรมและผลิตภัณฑ์อน่ื ๆ ที่ได้จำกกำรแปรรูปผลผลิตทำงกำรเกษตร ซึ่งกำรแปรรูปเป็นกำรช่วยป้องกันปัญหำผลผลิตทำง กำรเกษตรล้นตลำดหรือผลผลิตท่ีมีคุณภำพไม่ได้ตำมควำมต้องกำรของลูกค้ำ เป็นกำรยกระดับรำคำ ผลิตผลไม่ให้ตกต่ำและสร้ำงมูลค่ำเพิ่มให้แก่ผลิตผลทำงกำรเกษตร ในกำรแปรรูปผลผลิตทำง กำรเกษตรมเี ทคนิคหลำยข้นั ตอนและหลำยรปู แบบ แต่สำคัญที่ว่ำเมอ่ื แปรรูปแลว้ ผลติ ภณั ฑน์ นั้ จะต้อง เป็นท่ีต้องกำรของลูกค้ำและผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์อำหำรแปรรูปสำมำรถสร้ำงรำยได้ให้แก่เกษตรกร และผ้ปู ระกอบกำร ท้งั กำรจำหนำ่ ยในประเทศหรอื กำรส่งออก 5.1.1.2 กำรแปรรูปผลผลิตทำงกำรเกษตร สำมำรถทำได้หลำยวิธีดังนี้ (กรมส่งเสริม อตุ สำหกรรม, มปป.) (1) กำรทำให้แห้ง คือ กำรลดควำมชน้ื ของอำหำรจนถึงระดับท่ีสำมำรถยบั ยั้ง กำรเจรญิ เติบโตของเชื้อจุลนิ ทรีย์ไดท้ ำให้เกบ็ อำหำรได้นำน กำรทำแหง้ อำหำรจะอำศยั ควำมร้อนเพื่อ ระเหยนำ้ ออกจำกอำหำร กำรทำใหแ้ ห้งโดยใชค้ วำมรอ้ นมหี ลำยวิธีดงั นี้

180 (1.1) กำรทำแห้งโดยตำกแดด เป็นกำรนำผลผลิตทำงกำรเกษตร ไปตำกแดดโดยตรง มีควำมสะดวกและเสียค่ำใช้จ่ำยน้อยโดยเฉพำะพลังงำนแสงอำทิตย์เป็น แหล่งกำเนิดควำมร้อนที่ได้มำโดยไม่ต้องเสียค่ำใช้จ่ำย แต่กำรตำกแห้งโดยใช้พลังงำนแสงอำทิตย์ แบบด้ังเดิมไม่สำมำรถควบคุมระดับควำมร้อนและคุณภำพของผลิตภัณฑ์ได้จึงมีกำรพัฒนำสร้ำงเป็น ตู้อบโดยใช้ควำมรอ้ นจำกแสงอำทิตย์ข้นึ มำใชแ้ ทน (1.2) กำรทำแห้งโดยใช้ตู้อบลมร้อน วิธีกำรน้ีเป็นกำรนำวิธีกำร แรกมำปรบั ปรุง โดยใช้ตู้อบขนำดใหญ่ที่มลี มร้อนเป่ำผ่ำนทำให้น้ำระเหยไปกับลมร้อนทำงช่องระบำย ลมภำยในตู้อบ ใช้อุณหภูมิประมำณ 60-90 องศำเซลเซียส ขึ้นอยู่กับชนิดของวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ที่ ได้มีควำมสะอำด มีควำมแห้งตำมท่ีต้องกำรและมีควำมช้ืนสม่ำเสมอ ลดกำรปนเป้ือนของจุลินทรีย์ ไดด้ ีกว่ำกำรตำกแดด (1.3) กำรทำแห้งโดยใชล้ กู กลิ้ง เป็นกำรทำให้อำหำรเหลว ข้น ไป เคลือบเป็นแผ่นบำงบนผิวลูกกลิ้งร้อน เกิดกำรถ่ำยเทควำมร้อนจำกผิวของลูกกลิ้งไปยังแผ่นอำหำร เมอื่ ลูกกล้ิงหมุนไปจนครบรอบ อำหำรจะแหง้ พอดแี ลว้ ถกู ขูดออกด้วยใบมดี อำหำรแหง้ ทไี่ ด้ออกมำจะ มีลักษณะเป็นแผ่นบำง สำมำรถนำแผ่นอำหำรน้ีไปบดเป็นผงละเอียดเมื่อนำกลับมำชงน้ำร้อนจะ สำมำรถคนื ตวั ได้ (1.4) กำรทำแห้งแบบเยือกแข็ง กำรทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง ทำ ให้น้ำในโครงสรำ้ งอำหำรเปล่ียนสถำนะเป็นผลึกน้ำแข็งกอ่ น แลว้ จึงลดลดควำมดนั บรรยำกำศเพ่ือให้ ผลกึ น้ำแข็งที่อยภู่ ำยในเกดิ กำรระเหิดกลำยเปน็ ไอออกไปจำกผิวหน้ำของผลิตภัณฑ์ (1.5) กำรทำแห้งโดยใช้ไมโครเวฟ คล่ืนไมโครเวฟสำมำรถ เคลื่อนท่ีเข้ำไปในวัตถุดิบและทำให้วัตถุดิบซึ่งมีน้ำอยู่ร้อนขึ้นอย่ำงรวดเร็วท้ังภำยในและท่ีผิวหน้ำไป พร้อม ๆ กัน โดยคล่ืนไมโครเวฟมีผลกระทบต่อวัสดุอื่น ๆ น้อยมำก เมื่อเรำใช้ไมโครเวฟในกำร อบแห้งอำหำรโดยมีกำรควบคุมที่เหมำะสม ส่วนท่ีเป็นน้ำจะถูกทำให้ร้อนขึ้นอย่ำงรวดเร็วจนระเหย ออกไปโดยท่ีควำมรอ้ นจะไมท่ ำให้โครงสรำ้ งและรสชำตขิ องอำหำรเสียไป (2) กำรดอง เป็นกำรทำให้ผลผลิตมีรส กลิ่น เปล่ียนไปจำกเดิม กำรดองเค็ม โดยใช้เกลือ เช่น กำรดองไข่ มะนำว ผักกำดดอง เป็นต้น สำมำรถฆ่ำหรือยับยั้งกำรเจริญเติบโตของ จุลินทรีย์ท่ีทำให้เกิดกำรเน่ำเสียได้หรือกำรดองหวำนหรือกำรแช่อิ่มโดยใช้น้ำตำล เช่น มะม่วงแช่อิ่ม มะดนั แช่อม่ิ เปน็ ตน้ (3) กำรใช้ควำมเย็น เป็นวิธีท่ีสะดวกช่วยในกำรเก็บรักษำผัก ผลไม้ เน้ือสัตว์ ตำ่ ง ๆ ใหส้ ด และยังมคี ุณค่ำทำงโภชนำกำรที่ดีอยู่แต่ไม่สำมำรถทำลำยจุลินทรีย์ได้ทุกชนิด เช่น กำร แช่เย็นธรรมดำ ใช้อุณหภูมิ 5-10 องศำเซลเซียส กำรแช่แข็งใช้อุณหภูมิ -40 องศำเซลเซียส สำมำรถ เก็บรักษำผลผลติ บำงชนิดไดน้ ำนเปน็ ปี (4) กำรใช้รังสี โดยใช้รังสีแกมมำซ่ึงได้จำกสำรกัมมันตรังสี เพื่อชะลอกำรสุก ของมะม่วงและควบคมุ กำรแพร่พันธ์ุของแมลงในระหวำ่ งกำรเกบ็ รกั ษำ (5) กำรใช้ควำมร้อน พ้ืนฐำนสำคัญของใช้ควำมร้อนฆ่ำเชื้อในอำหำร คือกำร ถ่ำยเทควำมร้อน (Heat transfer) จัดเป็นกระบวนกำรสำคัญในกำรแปรรูปอำหำรเพรำะกำรถ่ำยเท ควำมร้อนเข้ำสู่ผลิตภัณฑ์ทำให้เกิดผลในกำรฆ่ำเชื้อ ทำให้ผลิตภัณฑ์อำหำรมีควำมปลอดภัยในกำร

181 บริโภค ควำมร้อนจะถ่ำยเทจำกที่ที่มีอุณหภูมิสูงไปยังท่ีท่ีมีอุณหภูมิต่ำ กำรถ่ำยเทควำมร้อนเกิดขึ้น ได้ 3 วธิ ี คอื (1) วธิ ีกำรนำควำมร้อน เกิดจำกกำรถ่ำยเทพลังงำนควำมร้อนจำกโมเลกลุ ท่ีมอี ุณหภูมิสูง ไปยังโมเลกุลที่มีอุณหภูมิต่ำกว่ำ (2) วิธีกำรพำควำมร้อน กำรถ่ำยเทควำมร้อนโดยอำศัยกำรพำควำม ร้อนเกิดขึ้นระหว่ำงผิวของแข็งและของไหลในบริเวณใกล้เคียงกันที่มีอุณหภูมิต่ำงกัน ซ่ึงของไหลท่ี กล่ำวถึง ได้แก่ แก๊ส หรือของเหลว เป็นต้น ของไหลนี้เปรียบเสมือนตัวพำควำมร้อน และ (3) วิธีกำร แผ่รังสี กลไกกำรถ่ำยเทควำมร้อนด้วยกำรแผ่รังสี มีควำมแตกต่ำงจำกกำรถ่ำยเทควำมร้อนด้วยกำร นำและกำรพำควำมร้อน เนื่องจำกกำรแผ่รังสคี วำมร้อนไม่ต้องอำศัยตัวกลำงโดยถ่ำยเทควำมร้อนใน รปู ของรงั สีแมเ่ หลก็ ไฟฟ้ำ กำรใช้ควำมร้อนเปน็ กระบวนกำรหน่ึงทีน่ ำควำมร้อน ณ อณุ หภูมิหนึ่ง ในช่วง เวลำหน่ึง ท่ีสำมำรถฆ่ำและทำลำยจุลินทรีย์ท่ีก่อให้เกิดกำรเน่ำเสียของอำหำร จุลินทรีย์ท่ีทำให้เกิด โรค สำรพิษ พยำธิ แมลงและเอนไซม์ต่ำง ๆ ในกำรแปรรูปและถนอมรักษำอำหำร แบ่งกำรให้ควำม รอ้ นออกเปน็ 3 ระดับ (กรมส่งเสริมอุตสำหกรรม, มปป.) ดงั นี้ (5.1) กำรฆ่ำเช้ือแบบพำสเจอไรซ์ (Pasteurization) เป็นวิธีกำร ทำลำยจลุ ินทรีย์ทกี่ ่อใหเ้ กิดโรคและไมส่ ร้ำงสปอร์ กำรถนอมอำหำรดว้ ยวิธนี ้ที ำใหค้ ุณภำพของอำหำร แตกต่ำงจำกวัตถุดิบไม่มำกนัก แต่กำรฆ่ำเชื้อในระดับพำสเจอไรซ์จะไม่สำมำรถทำลำยสปอร์ของ เช้ือจุลินทรีย์ท่ีเป็นอันตรำยต่อผู้บริโภคและไม่สำมำรถทำลำยเชื้อจุลินทรีย์ที่ ทนควำมร้อนสูงได้ ดังนั้นจะต้องเก็บรักษำผลิตภัณฑ์ท่ีผ่ำนกำรพำสเจอไรซ์ไว้ท่ีอุณหภูมิต่ำกว่ำ 4 องศำเซลเซียส เพรำะ กำรเก็บรักษำท่ีอุณหภูมิต่ำสำมำรถยับย้ังกำรงอกของสปอร์ ปริมำณเช้ือท่ียังคงมีอยู่ในอำหำรจึงไม่ เป็นอันตรำยต่อผู้บริโภค กำรพำสเจอไรซ์เป็นกระบวนกำรใช้ควำมร้อนท่ีอุณหภูมิไม่เกิน 100 องศำ เซลเซียสเพื่อทำลำยเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค (Pathogenic microorganisms) จึงมักใช้ร่วมกับ วิธีกำรถนอมอำหำรวิธีอื่น เช่น กำรแช่เย็น กำรเติมสำรเคมี กำรหมักหรือกำรบรรจุภำยใต้ภำวะ สญุ ญำกำศซ่งึ กระบวนกำรพำสเจอไรซท์ ำไดด้ ังน้ี 1) Low temperature, long time , LTLT เป็นกำรให้ควำมรอ้ น ที่อุณหภูมิไม่สูงมำกแต่ใช้เวลำนำน เช่น กำรพำสเจอไรซ์น้ำนมสดท่ีอุณหภูมิ 63 องศำเซลเซียส ใช้ เวลำนำน 30 นำที เพอ่ื ทำลำยเช้ือจุลนิ ทรยี ์ทท่ี ำใหเ้ กดิ โรค 2) High temperature, short time , HTST เป็นกำรให้ควำม ร้อนท่ีอุณหภูมิสูงแต่เป็นเวลำส้ัน ๆ เช่น กำรพำสเจอไรซ์น้ำนมสดที่อุณหภูมิ 72 องศำเซลเซียส ใช้ เวลำเพียง 15 วนิ ำที เพอ่ื ทำลำยจุลินทรีย์ทท่ี ำให้เกดิ โรค (5.2) กำรฆ่ำเช้ือแบบสเตอริไลซ์ (Sterilization) เพ่ือทำลำย จุลินทรีย์รวมท้ังสปอร์ของจุลินทรีย์ที่ทำให้อำหำรเป็นอันตรำยต่อผู้บริโภคและสปอร์สว่ นใหญ่ท่ีทำให้ อำหำรเน่ำเสีย ปริมำณควำมร้อนที่ใช้ในอุตสำหกรรมอำหำรจะอยู่ในระดับท่ีเรียกว่ำ กำรฆ่ำเชื้อเชิง กำรค้ำ (Commercial sterilization) หลักกำรของกำรฆ่ำเชื้อแบบกำรค้ำ คือ กำรให้ควำมร้อนแก่ อำหำรที่สำมำรถทำลำยจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคและกำรยับยั้งจุลินทรีย์ที่ทำให้อำหำรเน่ำเสีย แต่ เน่ืองจำกควำมร้อนไม่ได้ทำลำยเชื้อจุลินทรีย์ท้ังหมดแบบท่ีใช้ในกำรฆ่ำเชื้อทำงกำรแพทย์ อำหำรจึง อำจมีสปอร์ของแบคทีเรียทนร้อน (Thermophiles) หลงเหลืออยู่ แต่ไม่เป็นปัญหำเนื่องจำกอำหำร ถูกเก็บรกั ษำที่อุณหภูมิห้องหรือต่ำกว่ำ 45 องศำเซลเซียส สปอร์ของแบคทีเรียทนร้อนจึงไม่งอกและ

182 เพม่ิ จำนวน กำรสเตอรไิ ลซเ์ ป็นกำรใช้ควำมร้อนท่ีอณุ หภูมิสูงกว่ำ 100 องศำเซลเซียสภำยใต้ควำมดัน ในกรณีของเคร่ืองฆ่ำเช้ือภำยใต้ควำมดันท่ีใช้ไอน้ำเป็นตัวกลำงในกำรให้ควำมร้อนที่ 121.1 องศำ เซลเซยี ส มีค่ำควำมดันประมำณ 15 psi (ปอนดต์ อ่ ตำรำงนว้ิ ) โดยมวี ัตถปุ ระสงคเ์ พ่ือทำลำยจลุ ินทรีย์ ท่ีทำให้เกิดโรคและจุลนิ ทรีย์ที่ทำให้อำหำรเส่ือมเสียซึ่งโดยท่ัวไปกำรใช้อุณหภูมิสงู ๆ เป็นเวลำนำน ๆ ย่อมสำมำรถทำลำยจุลินทรีย์ได้มำก สำหรบั อำหำรนั้นเรำไม่สำมำรถใช้ควำมร้อนปริมำณสงู มำก ๆ ได้ เน่ืองจำกจะทำใหส้ ญู เสียคณุ ภำพของผลติ ภัณฑ์ ( 5 . 3) ก ร ะ บ ว น ก ำ ร ฆ่ ำ เ ช้ื อ แ บ บ ยู เ อ ช ที ( Ultra-High Temperature, UHT) เป็นกำรใช้อุณหภูมิที่สูงกว่ำ 100 องศำเซลเซียส โดยทั่วไปจะสูงกว่ำ 130 องศำเซลเซียส ทำให้สำมำรถลดเวลำในกำรฆ่ำเช้ือลงเหลือเพียงในระดับไม่ก่ีวินำทีก็สำมำรถทำลำย จุลินทรีย์ได้และยังคงคุณค่ำของสำรอำหำร เช่น วิตำมินไว้ได้ แต่กำรใช้ควำมร้อนระดับ UHT นี้มี ข้อด้อยคือ เวลำท่ีใช้สั้นมำก ดังนั้นเอนไซม์บำงชนิดยังไม่ถูกทำลำยเม่ือเก็บอำหำรไว้ระยะหน่ึง เอนไซมอ์ ำจทำปฏกิ ริ ิยำกับอำหำรทำให้อำหำรเปลยี่ นสภำพหรือเสยี ได้ เช่น นมสด UHT (6) กำรใช้วัตถุเจือปนในอำหำร มีวัตถุประสงค์เพื่อสงวนคุณค่ำทำง โภชนำกำรของอำหำร เพื่อยืดอำยุกำรเก็บหรือช่วยให้อำหำรน้ันมีคุณภำพคงที่หรือช่วยปรับปรุง คณุ ภำพของอำหำรเกย่ี วกับสี กล่นิ รส ลักษณะสมั ผัสและลกั ษณะปรำกฏ โดยทีไ่ ม่มกี ำรเปลี่ยนแปลง คณุ สมบตั หิ รือคณุ ค่ำอำหำร สำรเจือปนทนี่ ิยมใช้ในผลิตภณั ฑ์ผกั และผลไม้ ได้แก่ (6.1) กรด กำรใช้กรดเพ่ือช่วยปรับปรุงรสชำติ สี และกล่ิน ของผลติ ภณั ฑใ์ ห้ดขี ึ้น ป้องกันปฏิกิรยิ ำกำรเกิดสนี ้ำตำลและยังช่วยยบั ยั้งกำรเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ทำให้คุณภำพผลิตภัณฑ์ดีข้ึน นอกจำกนี้กรดยังช่วยลดอุณหภูมิที่ต้องใช้ในกำรแปรรูปของผลิตภัณฑ์ ประเภทผักและผลไม้ กำรเลือกใช้กรดจะขึ้นอยู่กับชนิดของกรดที่มีอยู่มำกในผลไม้ ซึ่งผลไม้ท่ัวไป ส่วนมำกจะมกี รดซติ ริกหรือกรดมะนำวและกรดทำรท์ ำริกหรือกรดมะขำม (6.2) สำรคงรูป ใช้เพ่ือปรับปรงุ คุณภำพทำงดำ้ นเนอื้ สมั ผสั ของผักและผลไมใ้ ห้ดขี น้ึ สำรคงรปู ได้แก่ ปูนขำว ปนู แดง และสำรสม้ อตุ สำหกรรมกำรแปรรูปผักและ ผลไมใ้ นปัจจบุ นั จะใชแ้ คลเซยี มคลอไรด์ (6.3) สำรกนั เสยี เปน็ สำรประกอบเคมี ได้แก่ กรดเบนโซอิก หรือเกลือเบนโซเอทท่ีช่วยยืดอำยุกำรเก็บอำหำรหรือช่วยยับยั้งกำรเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ซึ่งเป็น สำเหตุในกำรเสียของผลติ ภัณฑป์ ระเภทผกั และผลไม้ (6.4) โซเดียมไบคำร์บอเนต หรือผงโซดำ เป็นสำรเคมีที่มี คุณสมบัติเป็นด่ำงอ่อน นิยมเติมลงไปในน้ำลวกหรือน้ำแช่โดยมีจุดประสงค์เพ่ือปรับสภำพน้ำลวกให้ เป็นดำ่ ง ชว่ ยรักษำสีใหค้ งควำมเขียวสด 5.1.2 อตุ สาหกรรมเกษตร นักวิชำกำรได้นิยำมควำมหมำยอุตสำหกรรมเกษตรไว้ว่ำหมำยถึง อุตสำหกรรมที่ใช้ ผลผลิตเบ้ืองต้นท่ีเกิดจำกกำรผลิตทำงกำรเกษตรเป็นวัตถุดิบในกำรผลิตที่คิดเป็นมูลค่ำไม่น้อยกว่ำ ร้อยละ 50 ของมูลค่ำวัตถุดิบที่ใช้ทั้งหมดเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่ำเพิ่มข้ึน โดยใช้ กรรมวิธีและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น อุตสำหกรรมเกี่ยวกับกำรสีข้ำว อุตสำหกรรมกำรผลิตน้ำตำล ทรำย อุตสำหกรรมกำรผลิตแป้งมันสำปะหลัง อุตสำหกรรมกำรผลิตผักและผลไม้กระป๋องรวมไปถึง

183 อุตสำหกรรมกำรผลิตอำหำรกระป๋อง (บัญญัติ จุลนำพันธ์ุ, 2542) อุตสำหกรรมเกษตร เป็นธุรกิจ กำรเกษตรประเภทหนึ่ง (Agribusiness) จัดอยู่ในธุรกิจกำรเกษตรประเภทกำรผลิตและกำรแปรรูป เป็นกำรดำเนนิ กำรแปรรปู โดยกำรนำวัตถดุ บิ มำผ่ำนกระบวนกำรผลิตแบบอุตสำหกรรมให้ออกมำเป็น สินค้ำและจัดจำหน่ำย (นฤดม บุญ-หลง, 2529) ซึ่งธุรกิจกำรเกษตรเป็นกำรดำเนินกิจกรรมต้ังแต่กำร ผลิตและจำหน่ำยปัจจัยกำรผลิต กำรผลิตสินค้ำเกษตรในระดับฟำร์ม กำรเก็บรักษำ กำรแปรรูป สินค้ำเกษตรและกำรจำหน่ำยผลิตภัณฑ์สินค้ำเกษตรและผลิตผลพลอยได้หรือธุรกิจท่ีเก่ียวข้องกับ กำรเกษตรทุกประเภท (สมคิด ทกั ษณิ ำวสิ ทุ ธิ์, 2554) 5.1.2.1 ควำมสำคัญของอุตสำหกรรมเกษตร ผลิตภัณฑ์อุตสำหกรรมเกษตรเป็น ผลิตภัณฑ์ท่ีจำเป็นในกำรดำรงชีวิต ไม่ว่ำจะเป็นผลิตภัณฑ์ท่ีได้จำกกำรแปรรูปจำกพืชหรือสัตว์ ผลิตภัณฑ์เส้ือผ้ำเครื่องนุ่งห่มหรืออื่น ๆ อีกมำกมำยและมีจำนวนเพ่ิมข้ึนอย่ำงรวดเร็วซ่ึงนฤดม บุญ- หลง (2559) ได้สรปุ ควำมสำคญั ของอุตสำหกรรมเกษตรไวด้ งั นี้ (1) อุตสำหกรรมเกษตรช่วยให้มนุษย์ได้ใช้ผลผลิตจำกผลิตผลทำงกำรเกษตร ที่มำจำกเกษตรกรรมและจำกธรรมชำติได้อย่ำงเต็มที่และสูญเปลำ่ น้อยท่ีสุดโดยผำ่ นกรรมวิธีกำรแปร รูปเพ่ือช่วยรักษำและถนอมอำหำรให้สำมำรถใชป้ ระโยชน์ได้นำนข้ึน เนื่องจำกผลผลิตทำงกำรเกษตร มีกำรเปล่ียนแปลงสภำพไปตำมระยะเวลำรวมทั้งยงั เป็นกำรนำผลติ ผลทำงกำรเกษตรท่ีมีปริมำณมำก ตำมฤดกู ำลมำแปรรปู ให้สำมำรถเกบ็ ไดน้ ำนและนำไปใช้ได้ตำมต้องกำร (2) อุตสำหกรรมเกษตรเป็นปัจจัยท่ีทำให้เกิดธุรกิจเกษตรและธุรกิจอื่น ๆ เพม่ิ ขึ้นตอ่ เนื่องเพรำะมีควำมเก่ียวข้องในปจั จัยกำรผลติ และรวมไปถึงกำรกระจำยสนิ ค้ำ เช่น กำรผลิต ผักผลไม้แปรรูปจำเป็นต้องใช้ปัจจัยกำรผลิตของธุรกิจอ่ืน ๆ เช่น เคร่ืองจักรและอุปกรณ์ในกำรผลิต ผักผลไม้ท่ีเป็นวัตถุดิบและรวมถึงกำรกระจำยสินค้ำที่ต้องอำศัยร้ำนค้ำเป็นคนกลำงระหว่ำงผู้บริโภค และผู้ผลติ (3) อุตสำหกรรมเกษตรทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ที่มปี ระโยชน์กับผู้บริโภค ด้วยควำมก้ำวหน้ำของวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีทำให้มีกรรมวิธีในกำรผลิตสินค้ำจำกผลผลิตทำง กำรเกษตรท่ีหลำกหลำยและยังเพ่ิมคุณประโยชน์จำกผลผลติ ทำงกำรเกษตรใหม้ ำกข้ึนทำให้สินค้ำน้นั เหมำะกับผู้บริโภคท่มี ีควำมตอ้ งกำรท่หี ลำกหลำย เช่น อำหำร เคร่อื งสำอำง วิตำมิน และยำรักษำโรค (4) อุตสำหกรรมเกษตรชว่ ยพัฒนำกำรเกษตรของประเทศ ทำให้เกิดแนวทำง ในกำรพฒั นำกำรเกษตรท่คี รอบคลมุ และเป็นไปในทิศทำงเดียวกนั (5) อุตสำหกรรมเกษตรทำให้เกิดเสถียรภำพทำงเศรษฐกิจเพรำะประเทศไทย เป็นประเทศเกษตรกรรมมีรำยได้จำกกำรปลูก ส่งออกสินค้ำเกษตรและเกษตรแปรรูปในปริมำณสูง จำกกำรวิเครำะห์เปรียบเทียบอุตสำหกรรมสำคัญของประเทศโดยสุเนตรำ เล็กอุทัย (2010) พบว่ำ อุตสำหกรรมอำหำรเป็นอุตสำหกรรมท่ีมีควำมต้องกำรสูงท้ังจำกในประเทศและต่ำงประเทศ มูลค่ำ กำรผลิตรวมสูงท่ีสุดเมอ่ื เทียบกบั อตุ สำหกรรมอ่ืนและอุตสำหกรรมอำหำรยังก่อให้เกดิ กำรจ้ำงงำนและ มูลค่ำเพ่ิมในระบบเศรฐกิจสูงที่สุด รวมท้ังก่อให้เกิดกำรนำเข้ำเงินตรำจำกต่ำงประเทศสูงท่ีสุดเมื่อ เทียบกับอุตสำหกรรมหลักอ่ืน ๆ ของประเทศ ดังน้ันกำรเติบโตของอุตสำหกรรมอำหำรจึงมี ควำมสำคญั กับระบบเศรษฐกจิ ของประเทศทั้งภำคกำรเกษตร อุตสำหกรรมและกำรบรกิ ำรอย่ำงแนบ แนน่ กว่ำอตุ สำหกรรมอน่ื ๆ

184 5.1.2.2 ประเภทของอตุ สำหกรรมเกษตร อตุ สำหกรรมเกษตรแบง่ เป็นประเภทต่ำง ๆ ดังต่อไปนี้ (1) อุตสำหกรรมอำหำร อุตสำหกรรมอำหำร หมำยถึง อุตสำหกรรมท่ีทำกำร แปรรูปวัตถุดิบทำงกำรเกษตรเพื่อนำไปใช้ในกำรบริโภคต่อไป เช่น อุตสำหกรรมอำหำรกระป๋อง อุตสำหกรรมแปรรูปอำหำร เป็นต้น (บัญญัติ จุลนำพันธุ์, 2542) หรือหมำยถึง อุตสำหกรรมที่นำ ผลผลิตจำกภำคเกษตร ซ่ึงได้แก่ ผลผลิตจำกพืช ปศุสัตว์ และ ประมง มำใช้เป็นวัตถุดิบหลักในกำร ผลติ โดยอำศยั เทคโนโลยีตำ่ ง ๆ ในกระบวนกำรผลติ เพ่ือให้ได้ผลิตภณั ฑ์ท่ีสะดวกต่อกำรบริโภค หรอื กำรนำไปใชใ้ นขัน้ ตอ่ ไป และเป็นกำรยืดอำยุกำรเก็บรกั ษำผลผลิตจำกพืช ปศสุ ัตว์ และประมงโดยผ่ำน กระบวนกำรแปรรูปขั้นต้นหรือขั้นกลำงเป็นสินค้ำกึ่งสำเร็จรูปหรือขั้นปลำยเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (สำยพณิ ชนิ ตระกลู ชัยและศุภนติ ย์ ต้ังสงำ่ ศักดศิ์ ร,ี 2559) (2) อุตสำหกรรมเกษตรก่งึ อำหำร อุตสำหกรรมเกษตรกงึ่ อำหำร หมำยถงึ อุตสำหกรรมเกษตรท่ีผลิตสิ่งของขึ้นมำเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในกำรประกอบอำหำรแต่ไม่ได้บริโภคสง่ิ ของ น้ันโดยตรงแต่จำเป็นสำหรับกระบวนกำรปรุงอำหำรเพื่อปรุงแต่งสี รส กล่ินของอำหำรรวมท้ังยังเป็น กำรเพ่มิ คณุ ค่ำทำงโภชนำกำรอำหำรด้วย เชน่ ชำ กำแฟ เหลำ่ นี้นี้จะเป็นอตุ สำหกรรมเกษตรก่งึ อำหำร ท่ีให้พวกรส กล่ิน หรือ น้ำปลำ น้ำตำล ก็เป็นอุตสำหกรรมกำรเกษตรกึ่งอำหำรที่ไม่สำมำรถจะกินได้ ทันทตี อ้ งนำไปผำ่ นกำรปรงุ แตง่ กบั อำหำรประเภทอนื่ ๆ จงึ จะสำมำรถกนิ ได้ เป็นตน้ (3) อุตสำหกรรมประเภทที่ไม่ใช่อำหำร อุตสำหกรรมประเภทที่ไม่ใช่อำหำร หรือเป็นอุตสำหกรรมอ่ืน ๆ หมำยถึงอุตสำหกรรมเกษตรที่ถูกผลิตข้ึนมำเพ่ือใช้ในกำรอุปโภคซ่ึง อุตสำหกรรมกำรเกษตรประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเห็นได้ว่ำเป็นสิ่งท่ีใช้อยู่ในชีวิตประจำวันของเรำ เช่น อตุ สำหกรรมส่งิ ทอซง่ึ สำมำรถใชฝ้ ำ้ ยหรอื ไหมมำผ่ำนกระบวนกำรทำงอุตสำหกรรมทำใหเ้ กิดเป็นสินค้ำ ชนิดใหม่ อุตสำหกรรมกำรฟอกหนัง อุตสำหกรรมอำหำรสัตว์ อุตสำหกรรมเกี่ยวกับยำประเภทตำ่ ง ๆ ล้วนเป็นอุตสำหกรรมกำรเกษตรดว้ ยกันทงั้ ส้ิน 5.1.2.3 แนวโน้มของอุตสำหกรรมเกษตร อุตสำหกรรมเกษตรมีควำมสำคัญกับ เศรษฐกิจของประเทศในทุกระดับไม่ว่ำจะเป็นในระดับชุมชน สังคม และประเทศ โดยเฉพำะ อุตสำหกรรมอำหำรของประเทศไทยท่ีมีควำมเกี่ยวข้องกับวัตถุดิบทำงกำรเกษตรท่ีมีปริมำณมำก จึง เป็นอุตสำหกรรมที่ใชว้ ัตถุดิบในประเทศสูง ใช้เงินลงทุนและเป็นโรงงำนขนำดเล็กก็สำมำรถผลิตอยำ่ ง มีประสิทธิภำพ อุตสำหกรรมอำหำรจึงมีศักยภำพในกำรผลิตมำก โดยเฉพำะในพ้ืนที่ภำคตะวันออก ท่ีมีควำมโดดเด่นทำงด้ำนอำหำรจึงถูกยกให้เป็นระเบียงเศรษฐกิจภำคตะวันออกของประเทศไทย (Eastern Economic Corridor, EEC) อตุ สำหกรรมแปรรูปอำหำรของไทยจึงไดเ้ ปรียบเพรำะมีควำม อดุ มสมบรู ณ์ของทรพั ยำกรธรรมชำติและวัตถุดบิ ทำงกำรเกษตรยังมีมำตรฐำนกำรผลิตทีป่ ลอดภัยและ เป็นที่ยอมรับท่ัวโลก ประเทศไทยจึงพร้อมท่ีจะเป็นศูนย์กลำงในกำรผลิตอำหำรของโลกในอนำคต ดังนั้นรัฐจึงต้ังเป้ำหมำยว่ำจะเป็น 1 ใน 5 ของอุตสำหกรรมในกลุ่ม First-S-Curve4 (โชติกำ ชุ่มมี, 4 First S -Curve (อุตสำหกรรมเดมิ ทมี่ ศี ักยภำพ) ประกอบดว้ ย 1) อุตสำหกรรมยำนยนต์สมยั ใหม่ (Next – Generation Automotive) 2) อตุ สำหกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ สอ์ ัจฉรยิ ะ (Smart Electronics) 3) อุตสำหกรรมกำรทอ่ งเทย่ี วกลุม่ รำยไดด้ แี ละกำรท่องเทย่ี วเชิงสขุ ภำพ (Affluent, Medical and Wellness Tourism)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook